คุยกับ ‘BVC Asia’ ผู้ใช้ Visual Recording แปลงประเด็นบนเวทีสัมมนาออกมาเป็นภาพสดๆ

ทุกคนเกิดมาพร้อมกับความสามารถคิดเป็นภาพ 

ก่อนจะมีการคิดค้นอักขระหลายล้านรูปแบบ การใช้ภาพเป็นการสื่อสารแรกๆ ที่มนุษย์รู้จัก จนกระทั่งในศตวรรษที่ 21 ที่เทคโนโลยีการสื่อสารเปลี่ยนไป จึงได้รู้ว่าอักษรเริ่มมีข้อจำกัดในหลายด้าน ทั้งต้องใช้เวลาในการอ่าน หรือการไม่เข้าใจภาษาอื่นๆ ก็เป็นอุปสรรคที่ก้าวข้ามได้ยาก หลายคนจึงหันมาสนใจ ‘การใช้ภาพ’ มากขึ้น เพราะไม่ได้แค่สื่อสารเนื้อหา แต่ยังกระตุ้นให้เกิดการจำ ซึ่งให้ความรู้สึกมากกว่าการอ่าน

BVC Asia (Business Visualization Company Asia) คือธุรกิจที่ใช้กระบวนการคิดและสื่อสารด้วยภาพ โดยใช้ visual recording เพื่อแก้ปัญหาที่ซับซ้อนต่างๆ ทั้งการจดบันทึกในงานสัมมนา บันทึกการประชุม การสื่อสารกลยุทธ์และวิสัยทัศน์ขององค์กร ไปจนถึงการใช้ภาพวาดเพื่อเป็นเครื่องมือในการอธิบายเรื่องยากให้เข้าใจง่าย

หากใครเป็นแฟนงานสัมมนาระดับประเทศหลายๆ งานน่าจะเคยเห็นผลงานภาพวาดที่แปลงประเด็นซับซ้อนบนเวทีสัมมนาออกมาเป็นภาพวาดที่ทั้งสวยงามและสื่อความหมายได้อย่างตรงประเด็นของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นงานเทคโนโลยีนานาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Techsauce Global Summit ที่ BVC Asia ได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของงานมากว่า 7 ปี หรืองาน ESG Symposium 2023 ที่บริษัทเข้าไปมีส่วนร่วมผ่านการวาดภาพที่สะท้อนปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม 

ผลงานแต่ละชิ้นของ BVC Asia ไม่ได้มีแค่ความสวยงาม น่ามอง แต่ยังแฝงด้วยข้อมูลที่มีประโยชน์ จึงได้รับความสนใจจากผู้ชมเสมอ เชื่อว่าหลายคนที่ได้เห็นคงอดไม่ได้ที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปเก็บไว้

เราจึงตั้งใจชวน ปุ่น–พนิต ธัญมงคลสวัสดิ์ Co-founder และ แป้ง–อมรรัตน์ สุขสายันต์ OD & Learning consultant แห่ง BVC Asia มาเล่าถึงความคิด ความเชื่อ และความฝัน ในฐานะคนทำ visual recording

ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ คุณเริ่มทำ visual recordingได้ยังไง

อมรรัตน์ : ก่อนจะมาทำงานด้านนี้จริงจัง เราทำงานด้านพัฒนาองค์กรและบุคลากรมาก่อน ซึ่งในเวลานั้นใช้ visualization หรือภาพเป็นเครื่องมือสื่อสารอยู่แล้ว ก็รู้สึกว่าการสื่อสารด้วยภาพที่ทำอยู่สามารถพัฒนาเป็นธุรกิจได้ และในปี 2016 เรามีโอกาสได้เข้าไปทำ visual recording ในงาน TEDxBangkok เป็นครั้งแรกและเป็นงานใหญ่ การได้ไปร่วมงานนั้นก็เป็นเหมือนการเปิดตัว BVC Asia ไปด้วย 

พนิต : ในงาน TEDxBangkok 2016 เราได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการสร้าง visual note สรุปประเด็นบนเวที โดยใช้ภาพวาดเพื่อสร้างความเข้าใจในหัวข้อนั้นๆ ทำให้เกิดอิมแพกต์ในวงกว้าง และหลังจากทำมาสักพักเริ่มพบว่าในไทยยังไม่มีธุรกิจลักษณะนี้เท่าไหร่ ทำให้เราเชื่อว่าการทำ visual recording สามารถเป็นอาชีพได้ เราจึงเริ่มทำ BVC Asia ตั้งแต่นั้นมา

ช่วงนั้นในไทยยังไม่ค่อยมีธุรกิจประเภทนี้ อะไรคือความท้าทายในการทำ visual recording

อมรรัตน์ : คนส่วนใหญ่มองว่า visual recording เป็นแค่การวาดภาพ ความท้าทายของเราจึงเป็นเรื่องการสร้างความเข้าใจ ทำยังไงก็ได้ให้คนรู้ว่ามันไม่ใช่แค่การวาดรูปสวยงาม แต่เป็นการถ่ายทอดข้อมูลให้เข้าใจง่ายขึ้น  เป็นการผสมผสานความคิดและการวาดภาพ เราต้องการให้งานของเราเชื่อมโยงกับธุรกิจ เป็นเครื่องมือในการสื่อสารพูดคุยแลกเปลี่ยน ซึ่งวิธีนี้ยังเป็นเรื่องใหม่สำหรับคนไทย ที่จากเดิมใช้แค่ PowerPoint เราต้องการเปลี่ยนมายด์เซตการสื่อสารแบบดั้งเดิม

พนิต : สำหรับในสายงานนี้ ผมมองว่าความท้าทายเป็นเรื่องของข้อมูล ในทุกๆ ครั้งที่เราเข้าไปทำ เราจะได้ความรู้และข้อมูลใหม่ๆ ที่ต้องอัพเดตให้ผู้ชมอยู่เสมอ เราต้องการถ่ายทอดข้อมูลเหล่านี้ผ่านภาพวาดให้คนเห็นในเวลาอันรวดเร็ว และต้องมีคีย์เวิร์ดที่เห็นแล้วเข้าใจเนื้อหาทันที ความยากจึงอยู่ที่การเป็นคนแรกที่จะ input ข้อมูลเหล่านี้ไปสู่สมองหรือเป็นภาพจำของทุกคน 

เพราะฉะนั้น ในภาพหนึ่งภาพที่เราจับประเด็น จะต้องมีเนื้อหาครบถ้วน มีสีสันหลากหลาย มีสัญลักษณ์หรือภาพที่ทำให้เกิดการจดจำ เห็นแล้วสามารถคิดและต่อยอดในประเด็นนั้นๆ ได้ เช่น มีคนต่างประเทศที่ไม่เข้าใจภาษาไทยดูงานของเรา แม้จะอ่านไม่ออก แต่เขาจะรับรู้ได้ว่าภาพนี้ต้องการสื่ออะไร 

หลายคนอาจยังไม่เข้าใจว่า visual recording มีความเหมือนหรือแตกต่างจากอินโฟกราฟิก และ mind mapping ยังไง

พนิต : มีส่วนต่างอยู่ 3 ส่วนหลักๆ คือ ประโยชน์ กระบวนการ และคุณภาพ หน้าที่ของอินโฟกราฟิกเป็นการรวบรวมข้อมูลต่างๆ มาจัดอยู่ในเลย์เอาต์ที่ทำให้คนจดจำ ส่วน mind mapping มีจุดเด่นในเรื่องความครบถ้วน มองแล้วต้องเห็นองค์ประกอบ เห็นระดับชั้นของความสัมพันธ์ ส่วน visual recording จะมีสตอรีและการอธิบายเรื่องราว อาศัยความสามารถในการอ่านภาพตามธรรมชาติของมนุษย์

องค์ประกอบของงาน visual recording ที่ดีต้องมีอะไรบ้าง

อมรรัตน์ : ทุกส่วนมีความสำคัญหมด ตั้งแต่เลย์เอาต์ การจัดวาง ข้อมูล และการสื่ออารมณ์ ซึ่งเป็นจุดเด่นของ visual recording ที่สามารถถ่ายทอดอารมณ์ของผู้พูดได้ เช่น ในงาน SCG ที่พูดเรื่องสิ่งแวดล้อมและโลกร้อน เราใช้คีย์เวิร์ด ‘โลกเดือด’  ที่สื่อว่าตอนนี้สภาพแวดล้อมของโลกเราอยู่ในภาวะโลกเดือด ไม่ใช่แค่โลกร้อนธรรมดาๆ ในภาพจึงใช้ภาพโลกที่ตั้งอยู่บนกาน้ำร้อน เพื่อทำให้คนสนใจ และตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้น 

พนิต : ไม่ใช่แค่ข้อมูลที่เราให้ความสำคัญ จริงๆ แล้วอารมณ์และความรู้สึกของผู้พูดก็เป็นองค์ประกอบสำคัญในการทำ visual recording เช่นกัน เราต้องฟังและจับความรู้สึกให้ได้ว่าผู้พูดกำลังรู้สึกยังไง พูดด้วยอารมณ์ไหน แล้วพยายามถ่ายทอดออกมาให้ได้มากที่สุด เพราะบางครั้งตัวอักษรก็ไม่เพียงพอ

ถ้าจะบอกว่าสไตล์ของ BVC Asia อยู่ที่การถ่ายทอดอารมณ์ของผู้พูดผ่านภาพได้หรือไม่

พนิต : เราไม่ได้ทำแค่ฟังแล้ววาดตาม แต่เราจะดูบริบทโดยรวมทั้งหมด ใช้ทักษะ active listening บวกกับดูว่าผู้พูดต้องการสื่อเรื่องอะไร เช่น ในงานเสวนาที่ผู้พูดแชร์ประสบการณ์ชีวิต กว่าจะมาถึงวันนี้ต้องผ่านความยากลำบากมากมาย ไม่เคยได้รับการสนับสนุน เราเลือกที่จะวาดภาพเขากำลังยืนอยู่บนหน้าผา ที่สื่อว่าเป็นช่วงเวลาที่ต้องเด็ดเดี่ยว กล้าตัดสินใจ และกล้าลงมือทำ เพื่อถ่ายทอดอารมณ์ของพวกเขาให้ได้มากที่สุด

หรือบางครั้งถ้าไม่ใช่นักพูดมืออาชีพ ผู้บรรยายเป็นคนพูดไม่เก่ง แต่เนื้อหาที่นำเสนอดี เราต้องดูว่าเขามี core value อะไรที่ยึดถือ และแกนหลักในการสื่อสารคืออะไร 

ก่อนจะลงมือทำแต่ละครั้งต้องเตรียมตัวยังไง

อมรรัตน์ : อย่างแรกเลยคือต้องดูหัวข้อ แล้วดูว่าสปีกเกอร์เป็นใคร เพราะงานประเภทนี้ส่วนใหญ่เราจะไม่สามารถขอข้อมูล หรือสไลด์ล่วงหน้าได้ จึงต้องทำการบ้านไปก่อนส่วนหนึ่ง ทำความเข้าใจในเรื่องนั้นๆ สวมวิญญาณนักเรียนหาข้อมูลให้มากๆ อย่างปีแรกที่เราทำงานกับทีม Techsauce ที่เน้นเรื่องเทคโนโลยีหรือบล็อกเชน ซึ่งในเวลานั้นเป็นเรื่องใหม่มาก เราก็ต้องหาข้อมูลเพิ่ม อย่างน้อยต้องเข้าใจศัพท์เทคนิค หรือคำเฉพาะในวงการบล็อกเชน เพื่อให้เราฟังรู้เรื่อง มีคำที่คุ้นหูบ้าง เพราะถ้าไม่รู้อะไรเลยจะแย่เอา

เตรียมตัวมาดีขนาดนี้ เคยเจอปัญหาหน้างานบ้างไหม

พนิต : เจอบ่อยจนชินครับ (หัวเราะ) ถ้าหน้างานผู้พูดแตกประเด็นใหม่ หรือพูดในเรื่องที่เราไม่คุ้นเคย เราต้องรีบเสิร์ชหาข้อมูลทันที ทุกอย่างต้องเร็วและมีสติ ดังนั้นอะไรที่เราเตรียมล่วงหน้าได้ เราจะทำไปก่อน เช่น โลโก้บริษัท โลโก้งาน ชื่อวิทยากร หรือชื่อหัวข้อ เป็นต้น

ในการทำงาน เราจะแบ่งหน้าที่กันในทีม เช่น ทีมวางเลย์เอาต์ ทีมฟังและเก็บข้อมูล และทีมวาดและลงสี โดยแต่ละทีมจะมีหน้าที่แตกต่างกันไป อย่างทีมฟังและเก็บข้อมูลจะรับผิดชอบว่าข้อมูลทั้งหมดไปในทิศทางไหน ซึ่งถ้าเปรียบข้อมูลเป็นทะเลก็มีทั้งข้อมูลที่อยู่ลึกและข้อมูลที่อยู่ผิวน้ำ เราต้องคัดกรองข้อมูล และเลือกข้อมูลที่มีประโยชน์ที่สุด เพื่อให้ผู้ชมได้ข้อมูลที่พวกเขาคาดหวังในเวลาอันสั้น และถ้าเขายกมือถือขึ้นมาถ่ายรูปงานของเรา เขาต้องได้ข้อมูลที่มีประโยชน์ไม่ใช่มีแค่ big word หรือ fashion word

ในกรณีที่วาดบนกระดาษถ้ามีการเขียนผิด สะกดผิด มีหลายวิธีในการแก้ไข เช่น ใช้ปากกาที่ใช้ลบคำผิด ถมสีขาวทับลงไป หรืออาจจะแปะกระดาษทับ เรามองว่าความผิดพลาดเกิดขึ้นได้เสมอ แต่เราต้องมีสติ แก้ให้เนียนที่สุด มีการรีเช็กตัวสะกด เพราะงานของเราต้องละเอียด เร็ว และถูกต้อง

ในระหว่างฟังทำยังไงไม่ให้ประเด็นตกหล่นหรือหลุดหายไป

อมรรัตน์ : ทุกงานที่เราทำต้องมีสติขั้นสุด และต้องทำการบ้านมาก่อน ต้องรู้ว่าแต่ละเซกชั่นที่พูดมีกี่นาที จะมีข้อมูลประมาณไหน ทุกอย่างต้องเป็นระบบ ช่วงแรกๆ ที่ทำงานนี้เรากดดันมาก เพราะเป็นงานที่ยาก ต้องใช้ทุกวินาทีให้ได้ประโยชน์มากที่สุด ดูนาฬิกาตลอดเวลา หรือถ้าเวลากระชั้นจริงๆ เราจะโน้ตไว้ก่อนว่าบริเวณนี้จะเป็นภาพประมาณไหน แล้วค่อยๆ วาดเก็บทีละส่วนจนเสร็จ

พนิต : เรามีแพตเทิร์นในการทำงานอยู่ครับ เราแบ่งการทำงานออกเป็น 4 ส่วน ส่วนแรกของการบรรยายเราจะเริ่มจับทิศทางและอารมณ์ของผู้พูดว่าเขาพูดเรื่องอะไร เมื่อได้ประเด็นเราจะจดใส่โพสต์อิทไว้ประเด็นละ 1 แผ่น เมื่อเข้าสู่ช่วงที่ 2 เราจะรู้แล้วว่าข้อมูลเหล่านี้จะเกี่ยวข้องกับประเด็นไหน และเมื่อเข้าสู่ช่วง 3 และ 4 เป็นช่วงที่เราต้องวาดและลงสีแล้ว ในระหว่างนั้นทีมฟังก็จะเก็บข้อมูลไปด้วย 

ในแต่ละงานที่เข้าไปทำก็มักเจอปัญหาใหม่เสมอ เช่น ผู้พูดแตกประเด็นใหม่มาเรื่อยๆ ทำให้เราต้องรื้อความคิดใหม่ และฟังว่าจะนำข้อมูลแบบไหนมาใช้ อีกหนึ่งเรื่องคือ พูดจบแต่ภาพไม่จบ คือ ผู้พูดจบแล้ว กางประเด็นครบแล้ว แต่ภาพยังไม่เสร็จ มีข้อมูลไม่พอสำหรับลงกระดาษ ทำให้ในภาพยังมีพื้นที่ว่างอยู่ ถ้าเจออย่างนี้เราต้องดูว่าผู้พูดสื่อสารด้วยอารมณ์ไหน แล้วค่อยเติมสัญลักษณ์หรือไอคอนที่สื่ออารมณ์เข้าไปแทน 

ภาพที่วาดยากที่สุดคือภาพไหน

อมรรัตน์ : ภาพแรกตอนเช้าจะยากที่สุด (หัวเราะ) เพราะตอนนั้นสมองยังไม่ตื่น เครื่องยังไม่ติด ภาพแรกจะเป็นเหมือนการวอร์มสมองก่อน พอถึงภาพที่ 2 และ 3 จะเริ่มเข้าที่แล้ว ทุกอย่างโฟลว์ตามปกติค่ะ

คิดว่าอะไรเป็นทักษะที่จำเป็นของการทำ visual recording

พนิต : สำหรับมือใหม่ ทักษะหลักๆ ที่ต้องมีคือ ‘รับ คิด วาด’ หมายถึง การรับฟัง คิดตาม และลงมือวาด แต่ถ้าแอดวานซ์ขึ้นมาหน่อย ‘รับ ตรึกตรอง สังเคราะห์ และวางโครงสร้าง’ แต่ถ้าอยากเริ่มต้นทำจริงๆ ผมแนะนำว่า ให้เริ่มคิดเป็นภาพก่อน

คนที่มีทักษะการวาดภาพเป็นศูนย์ทำได้ไหม

พนิต : ทำได้ ขอแค่มี visual thinking (กระบวนการคิดเป็นภาพ) เพราะตั้งแต่เด็กจนโตเรามักถูกสอนให้จด ไม่ได้ถูกสอนให้วาด และวิชาวาดรูปเราก็ทำได้แค่ในชั่วโมงศิลปะเท่านั้น ผมอยากให้ทุกคนมีมายด์เซตว่า ทุกอย่างวาดได้ ไม่จำเป็นต้องจดอย่างเดียว ตอนนี้อาจารย์ในมหาวิทยาลัยหลายท่านก็เริ่มให้นักศึกษาส่งการบ้านด้วยการทำ mind map หรืออินโฟกราฟิก ซึ่งเป็นการฝึกทักษะการคิดด้วยภาพและวางระบบทางความคิด

จริงๆ แล้วคุณไม่จำเป็นต้องวาดสวยเหมือนศิลปิน แค่วาดให้ตัวเองเข้าใจ และจัดกลุ่มข้อมูลก็พอ เช่น วาดวงกลมแทนบ้าน แล้วค่อยๆ ลากเส้นไปสู่ประเด็นต่างๆ เป็นการฝึกทักษะการจัดกลุ่มข้อมูล หรือจะลองเลือกสินค้ามาสักชิ้น แล้วเล่ากระบวนการผลิตสินค้านั้นด้วยภาพ เล่าให้เป็นเรื่องให้ได้ 

การทำ visual recording เป็นศาสตร์ที่น่าสนใจมาก มีคำแนะนำสำหรับคนที่อยากเริ่มต้นทำไหม

พนิต : สำหรับคนที่ยังไม่เคยวาดภาพ หรือไม่ถนัดวาดบนกระดาษ แค่มีไอแพดก็ทำได้แล้ว คำแนะนำที่ผมอยากให้คือ อย่ามุ่งมั่นกับการจดมากเกินไป ตอนนี้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยบันทึกเสียง คุณแค่ตั้งใจจดในประเด็นสำคัญ ฟังให้ละเอียด เก็บอารมณ์ผู้พูดให้ได้ แล้วจึงค่อยๆ ฝึกวาดไป

เราเชื่อว่าใครเห็นผลงานของ BVC Asia ก็ต้องยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูป สำหรับคุณแล้วได้รับฟีดแบ็กยังไงบ้าง 

อมรรัตน์ : ส่วนใหญ่ที่เจอทุกคนจะชื่นชม และตื่นเต้นที่ได้เห็นผลงานของเรา หลายคนชอบถามว่ารู้ข้อมูลมาก่อนไหม เพราะว่าเราวาดสดทุกภาพ ทุกคนมายืนดูตอนเราทำได้เลย เขาจะได้เห็นกระบวนการทำงานทั้งหมด ตั้งแต่การวาดภาพไปพร้อมกับการคิดและฟัง และถ้าเป็นคนที่แม่นเรื่องข้อมูล เขาจะอ่านงานของเราอย่างละเอียด บางครั้งเราก็ขอเช็กความถูกต้องของข้อมูลจากคนดูงานนี่แหละ

พนิต : ทั่วโลกมีนักจับประเด็นภาพ หรือทำงานแบบเราประมาณ 1,000 คนเท่านั้น ทำให้งานของเราได้รับความสนใจจากต่างชาติจำนวนมาก ถือเป็นงานที่มีลักษณะเฉพาะตัวที่ได้รับการยอมรับ ผมมองว่าเอกลักษณ์เด่นของงานเราอยู่ที่ความประณีต และมีความเป็น craftsmanship

ไม่ใช่แค่งานสัมมนา ปัจจุบันหลายองค์กรในไทยก็ต้องการภาพวาดของเราไปสื่อสาร เช่น การวาดภาพวิสัยทัศน์องค์กรเพื่อสื่อสารภายในองค์กร หรือภาพวาดที่บอกเล่าจุดเริ่มต้นขององค์กร เป็นต้น

ลูกค้าที่ต้องการร่วมงานกับคุณ ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจประเภทไหน

อมรรัตน์ : มีครบเลยค่ะ ทั้งการเงิน ธนาคาร ค้าปลีก ภาครัฐ วิสาหกิจ อสังหาฯ ขั้นอยู่กับสินค้าและบริการของบริษัทนั้นๆ เพราะการทำ visualization ไม่ได้ตีกรอบว่าต้องเป็นองค์กรใดองค์กรหนึ่ง แต่ทุกองค์กรสามารถสื่อสารด้วยภาพได้

พนิต : ปัจจุบันผู้บริหารหลายคนมีแนวคิดที่ดี ต้องการให้พนักงานทุกคนเห็นภาพเดียวกัน เพราะฉะนั้นการนำภาพเข้ามาช่วยจะทำให้พนักงานเห็นสิ่งที่อยู่ในหัวของผู้บริหาร หรือสิ่งที่อยู่ในหัวของกันและกัน เช่น ในโรงเรียนแพทย์ที่มีหลายภาควิชา ถ้าให้อาจารย์หมอทุกคนนั่งคุยกัน อาจคุยกันไม่รู้เรื่อง แต่ถ้ามีภาพก็จะคุยกันได้ง่ายขึ้น แทนที่จะต้องใช้ PowerPoint ที่มีสไลด์หลายหน้า แต่ถ้าใช้ภาพวาดทุกคนจะเห็นภาพเดียวกัน

ในกรณีที่เข้าไปทำงานในองค์กร คุณต้องทำอะไรบ้าง

อมรรัตน์ : ส่วนใหญ่เราเข้าไปจัดเวิกร์กช็อปกับพนักงานในบริษัท ขึ้นอยู่กับโซลูชั่นขององค์นั้นๆ ถ้าทำเรื่องวัฒนธรรมองค์กรเราก็ต้องคุยกับพนักงานทุกระดับ หรือถ้าเป็นเชิงกลยุทธ์ก็อาจคุยกับหัวหน้าทีมเป็นหลัก ในทุกองค์กรที่เข้าไป เรามีเทมเพลตที่ใช้ในแต่ละสถานการณ์ทางธุรกิจ 

พนิต : บางองค์กรมีคนหลายเจเนอเรชั่นที่ทำงานร่วมกัน การใช้ภาพวาดก็สามารถบอกเล่าเรื่องราวความยากลำบาก จุดเริ่มต้น ปัญหา อุปสรรคทางธุรกิจได้ ทำให้พนักงานทุกคนเข้าใจในสิ่งเดียวกัน ลดความขัดแย้งในองค์กร มีความเคารพกันและกัน และอยู่ร่วมกันได้

อะไรคือความแตกต่างของการวาดภาพเพื่อสารสารกับคนในองค์กร กับวาดในงานสัมมนา

อมรรัตน์ : ในส่วนของการวาดอาจไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ ปัจจุบันทุกหน่วยงานมองว่าการสื่อสารด้วยภาพเป็นเรื่องจำเป็น ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารภายในองค์กร หรืองานสัมมนาต่างๆ เป้าหมายหลักจะเหมือนกันคือ ต้องการถ่ายทอดเรื่องที่เข้าใจยาก ให้ง่ายขึ้น และต้องสื่อสารกับคนจำนวนมาก 

กว่า 7 ปีที่ BVC Asia ให้บริการลูกค้าทั้งในไทยและต่างประเทศ คิดว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้บริษัทเติบโตมาจนถึงวันนี้

อมรรัตน์ : เราค่อนข้างไม่ compomise กับทุกมิติของงานที่ทำ เราไม่ได้มองว่าลูกค้าคือลูกค้า แต่ลูกค้าเป็นพาร์ตเนอร์กับเรา รู้ว่าเขาต้องการอะไร  ไม่ว่าจะเป็นงานภายในองค์กร หรืองานสัมมนานอกสถานที่ เราคุยโจทย์กับลูกค้าค่อนข้างเยอะเพื่อให้งานมีคุณภาพที่สุด เราอาจไม่ใช่บริษัทที่ทำการตลาดเยอะ งานของเราส่วนใหญ่จึงเป็นการบอกต่อจากลูกค้าสู่ลูกค้าด้วยกัน

พนิต : ผมว่าความเชื่อเป็นสิ่งสำคัญ และสิ่งที่ผมเชื่อมาตลอดคือ เชื่อว่างานของเรามีประโยชน์จริงๆ สามารถแก้ปัญหาและลดช่องว่างในการสื่อสารได้ ที่สำคัญในอนาคตงานของเราจะกลายเป็นคลังความรู้ที่ดี

ผมเชื่อว่าเราเป็นทีมที่ศึกษาและหาข้อมูลเกี่ยวกับองค์กรหรืออีเวนต์เยอะ เพราะเรามองว่า ถ้าลูกค้าต้องการให้เราเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของงานเราต้องทำเต็มที่ และต้องการให้ทุกคนรู้ว่าศาสตร์แขนงนี้มีคุณภาพแค่ไหน ถ้าเราไม่ตั้งใจหรือทำผ่านๆ ก็คงไม่ได้รับเสียงตอบรับที่ดีขนาดนี้ และตัวเราเองอาจไม่พอใจกับงานที่ทำด้วย เราจึงพยายามทำให้ดีขึ้นเรื่อยๆ 

ล้วงลึกกลยุทธ์ Music Marketing ของ อณาสิริ บทพิสูจน์ความสำเร็จที่พอดีและลงตัว

เคยไปเดินห้างสรรพสินค้าแล้วได้ยินเพลงบางเพลงแล้วคิดถึงบางผลิตภัณฑ์ทันที หรือคิดถึงบางสินค้าแล้วเสียงเพลงก็ลอยเข้ามาในใจบ้างไหม 

เสียงเพลงเหล่านี้ที่พันผูกกับโลกการตลาดจนเกิดภาพจำบางอย่างระหว่างโปรดักต์และเสียงเพลงนั้นเรียกว่า ‘Music Marketing’

ปัจจุบันกลยุทธ์การตลาดไม่จำกัดแค่ต้องสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายด้วยภาพนิ่งหรือวิดีโอเสมอไป แต่การทำ Music Marketing เป็นเครื่องมือการสื่อสารที่มีพลัง เพราะสิ่งที่ซ่อนอยู่ในสุนทรียะในการฟังดนตรีนั้นนอกจากช่วยสร้างให้เกิดการจดจำแบรนด์แล้วยังเป็นอีกวิธีในการสร้าง brand love 

จริงๆ แล้วนิยามของ Music Marketing นั้นแปลตรงตัวคือ การใช้เสียงเพลงเพื่อการทำตลาดนั่นเอง เช่น การสร้างแคมเปญการตลาดที่มีเสียงเพลงเพื่อโปรโมตสินค้า หรือทำให้กลุ่มเป้าหมายรับรู้ตัวตนของแบรนด์ในมุมอื่นๆ

โดยหนึ่งในเคสที่น่าสนใจในการนำ Music Marketing มาประยุกต์ให้เข้ากับกลยุทธ์การตลาดของตัวเอง และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริง คือแคมเปญของอณาสิริ ที่ปล่อยเพลง น่ารักจนใจเจ็บ (Feel Just Right) ของ Bonnadol (บอนซ์–ณดล ล้ำประเสริฐ) ที่ถ้าไม่บอกว่าเป็นเพลงจากโครงการบ้านและทาวน์โฮม อณาสิริ (Anasiri) ในเครือแสนสิริ ก็แทบไม่รู้เลยว่าเป็นเพลงโฆษณา ซึ่งเนื้อเพลงนั้นสะท้อนคอนเซปต์ Feel Just Right ความพอดีที่ลงตัว

ก่อนจะไปล้วงลึกกลยุทธ์ Music Marketing ของ อณาสิริ เราอยากให้คุณได้ฟังเพลงนี้ก่อน แล้วค่อยมาดู 7 วิธีการใช้ Music Marketing ที่สร้างการจดจำผ่านบทเพลง และเกิดเป็นไวรัลใน TikTok

และต่อไปนี้คือ 7 สิ่งที่ทำให้ Music Marketing ของอณาสิริ ครั้งนี้ประสบความสำเร็จ ซึ่งแต่ละแบรนด์สามารถนำไปปรับใช้ได้

1. สร้าง brand matching ผสานตัวตนของแบรนด์เข้ากับศิลปินได้ดี

การทำ Music Marketing ถือเป็นการ collaboration ระหว่างแบรนด์และศิลปิน ซึ่งการจับคู่ในครั้งนี้เป็นการแชร์ดีเอ็นเอร่วมกันเพื่อส่งเสริมแบรนด์ให้ดีขึ้น และกลุ่มเป้าหมายเข้าถึงแบรนด์ได้ง่าย

สำหรับโครงการอณาสิริ ใช้กลยุทธ์ Music Marketing เพื่อสื่อสารถึงตัวโครงการโดยทางแบรนด์มองว่า ดนตรีสามารถเข้าถึงทุกคน และการเลือก Bonnadol (บอนซ์–ณดล ล้ำประเสริฐ) นักร้องวัยรุ่นชื่อดังมานั้น ก็เป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ ซึ่งก็ตรงกับกลุ่มเป้าหมายหลักของอณาสิริที่เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่เช่นกัน

โดยเพลง น่ารักจนใจเจ็บ (Feel Just Right) ถูกแต่งและขับร้องโดย Bonnadol (บอนซ์–ณดล ล้ำประเสริฐ) ที่ให้ความรู้สึกสนุกสนาน เป็นกันเอง เหมาะกับคนรุ่นใหม่ที่ต้องการพื้นที่ใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง ซึ่งตรงกับคอนเซปต์ของโครงการอณาสิริที่บอกเล่าความพอดีได้แบบเรียบง่าย

ด้วยเหตุนี้ทำให้ Music Marketing เป็นอีกหนึ่งหมัดเด็ดในการทำการตลาด ผนวกกับเทรนด์ T-pop ในปัจจุบันทำให้แบรนด์ต่างๆ เลือกใช้ Music Marketing มากขึ้น เพราะสามารถเข้ามาช่วยแสดงให้เห็นถึงคาแร็กเตอร์ของแบรนด์ หรือรีแบรนด์ใหม่ให้ดูเด็กขึ้นและทันสมัยขึ้นได้อีกด้วย

2. จับกระแส T-pop เลือกศิลปินที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว 

เวลานี้กระแส T-pop ในบ้านเราอยู่ในยุค The Expression Era ที่ศิลปินสามารถแสดงความเป็นตัวเองได้เต็มที่ผ่านผลงานต่างๆ ที่มีความคิดสร้างสรรค์ มีแนวเพลงหลากหลาย นี่จึงเป็นโอกาสของแบรนด์ที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมกับกระแส T-pop เพื่อสร้างเอนเกจเมนต์สร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมาย และต่อยอดฐานลูกค้า

หากย้อนมองแคมเปญ Music Marketing ที่เคยเห็นผ่านๆ มา แบรนด์มักเลือกศิลปินดังหรืออยู่ในอันดับต้นๆ ของประเทศซึ่งถ้าจะมองอย่างนั้นก็ไม่ผิด ทางโครงการอณาสิริกลับมองว่าการทำแคมเปญ Music Marketing ร่วมกับศิลปินรุ่นใหม่ที่มีฐานแฟนคลับเหนียวแน่น ก็สามารถอินสไปร์ผู้ติดตามได้

โดยจะเห็นได้จากความสามารถและคาแร็กเตอร์ของบอนซ์ที่ดูสนุกสนาน เป็นกันเอง และผลงานเพลงที่ผ่านมา ทั้ง ‘ฉลามชอบงับคุณ’, ‘หัวใจปลาดาว’ จนมาถึงเพลง ‘น่ารักจนใจเจ็บ (Feel Just Right)’ ที่ถ่ายทอดความพอดีที่ลงตัวเมื่อเราได้ใช้ชีวิตหรือได้อยู่กับคนที่เรารัก เป็นแรงบันดาลใจของคนรุ่นใหม่ที่สัมผัสได้ถึงตัวตนและเรื่องราวต่างๆ ในชีวิต

3. เข้าใจอินไซต์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย

อณาสิริเป็นแบรนด์ในเครือแสนสิริ ที่เกิดขึ้นมาจากอินไซต์ของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการมีบ้านหลังแรก ต้องการพื้นที่ส่วนตัว หรือเริ่มต้นสร้างครอบครัว ซึ่งคนกลุ่มนี้มีความต้องการบาลานซ์ชีวิตทุกด้าน ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว พวกเขาไม่ได้ทุ่มเทให้กับความสำเร็จในเรื่องงานอย่างเดียวอีกต่อไป แต่ยังให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตในด้านอื่นๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการให้เวลากับตัวเอง ดูแลสุขภาพ ใส่ใจคนสำคัญในครอบครัว 

นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้โครงอณาสิรินำอินไซต์เหล่านี้มาต่อยอดเป็นดีไซน์ที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ในทุกด้าน ทั้งการใช้ชีวิตแบบพอดี การทานอาหารที่พอดี การเล่นที่พอดี การทำงานที่พอดี หรือการมีความสัมพันธ์ที่พอดี ให้ทุกคนได้พบความพอดีในชีวิตในราคาเริ่มต้น 2-7 ล้านบาท*

เมื่อได้อินไซต์ รวมถึงมู้ดแอนด์โทนโดยรวมของบ้านแล้ว ทางแบรนด์ก็นำไอเดียนี้มาพัฒนาเป็นแคมเปญ Music Marketing ในคอนเซปต์ ‘Feel Just Right ความพอดีที่ลงตัว’ เพื่อสะท้อนว่าเสียงเพลงสามารถส่งผลต่ออารมณ์ของผู้รับฟังได้ และในแง่ของการตลาดเสียงเพลงเข้าไปแทรกซึมอยู่ในช่วงเวลาที่อบอุ่นและน่าจดจำของผู้บริโภคด้วย

4. เพลงดี เต้นสนุก ใช้คำฮิต ฮุกติดหู สอดแทรกคีย์เมสเซจได้ลงตัว

เมื่อพูดถึงตัวเพลง เพลงนี้ก็มีกิมมิกน่ารักๆ ในการใส่คำฮิตในหมู่วัยรุ่นไปด้วยนั่นคือคำว่า ‘น่ารักจนใจเจ็บ’ ตามสูตรสำเร็จของเพลงฮิตที่มักมีเนื้อหาจำง่าย ใช้คำที่คุ้นเคย รวมถึงมีการตอกย้ำใส่ชื่อเพลงลงไปในประโยคท่อนฮุกอยู่บ่อยๆ จนทำให้กลายเป็นเพลงที่ฟังครั้งแรกก็ร้องตามได้ทันที

หากคุณได้ฟังเพลงนี้แล้วจะพบว่าเนื้อเพลงในหลายๆ ท่อนได้สอดแทรกคีย์เมสเซจ ‘Feel Just Right’ ความพอดีที่ลงตัวลงไปได้อย่างแนบเนียน และในเนื้อเพลงยังมีการพูดถึงการใช้ชีวิตในบ้าน ที่เราสามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้หลากหลาย ที่สำคัญเพลงนี้ไม่มีการกล่าวถึงชื่ออณาสิริแต่อย่างใด ทำให้หลายๆ คนไม่รู้ว่านี่คือเพลงโฆษณา

5. กระจายเพลงทุกแพลตฟอร์ม เพื่อสร้างการรับรู้

ข้อดีของ Music Marketing คือสามารถสื่อสารได้หลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นออนไลน์หรือออฟไลน์ แต่ถึงยังไงก็ควรศึกษาให้ดีว่ากลุ่มเป้าหมายนิยมใช้แพลตฟอร์มไหนมากที่สุด ในแคมเปญนี้โครงการอณาสิริได้สร้างการรับรู้ในวงกว้างด้วยการปล่อยในแพลตฟอร์มสตรีมมิงทุกช่องทาง เพิ่มความสะดวกสบายและหลากหลายในการเข้าถึงเพลง ทั้ง Apple Music, Spotify, YouTube Music และ Joox รวมถึงช่องทางของศิลปินเองด้วย

6. ใช้พลัง fandom marketing ต่อยอดคอนเทนต์ สร้างไวรัลใน TikTok

ปฏิเสธไม่ได้ว่า TikTok ช่วยให้เกิดการเข้าถึงผู้ชมในวงกว้าง มีการรับรู้สูงขึ้นผ่านเนื้อเพลงสั้นๆ เรียกได้ว่า TikTok ช่วยสร้างให้เป็นกระแส และทำให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมผ่านการเต้นชาลเลนจ์ และแพลตฟอร์มสามารถใช้เพลงในการมาทำคอนเทนต์ได้ฟรี ให้เกิดเป็น UGC (user-generated content–คอนเทนต์ที่สร้างขึ้นมาโดยลูกค้า) ได้ง่ายและเร็ว บวกกับกระแส T-pop อยู่ในความสนใจของผู้คน บวกกับความนิยมของแพลตฟอร์มวิดีโอสั้น TikTok ทำให้ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บน TikTok มีอัตราการใช้แฮชแท็ก #Tpop เติบโตขึ้น 3 เท่า นั่นหมายถึงโอกาสทางการตลาดด้วยเช่นกัน

ในเคสของโครงการอณาสิริ หลังจากปล่อยเพลงน่ารักจนใจเจ็บ (Feel Just Right) ไปแล้วได้รับเสียงตอบรับที่ดีอย่างมาก โดยเฉพาะใน TikTok ที่มีผู้ใช้แผ่นเสียงเพลงนี้ใน TikTok มากกว่า 9,000 ครั้ง สามารถดูคอนเทนต์ต่างๆ ได้ผ่านแฮชแท็กนี้ #AnasirixBonnadol #FeelJustRight #Sansiri

7. สร้างภาพจำด้วยเอ็มวีที่บ่งบอกเรื่องราว สะท้อนวิถีความพอดีในการใช้ชีวิต

จะไม่พูดถึงก็คงไม่ได้ สำหรับมิวสิกวิดีโอที่ถ่ายทอดฟังก์ชั่นต่างๆ ที่ตอบโจทย์แนวคิด ‘Feel Just Right ความพอดีที่ลงตัว’ ของโครงการอณาสิริ ไม่ว่าจะเป็นไลฟ์สไตล์ของคนยุคปัจจุบันที่มองหาความพอดีในทุกด้านของชีวิต ผ่านการรองรับด้วยพื้นที่ภายในบ้านและฟังก์ชั่นต่างๆ ที่สะท้อนออกมาเป็นความพอดีใน 5 มุมการใช้ชีวิต

  • Work Just Right บาลานซ์ชีวิตทำงานให้พอดี ค้นหาไอเดียรอบตัว
  • Love Just Right รักที่พอดี ในปริมาณที่ใช่ กับพื้นที่ฉันและพื้นที่เรา
  • Play Just Right พื้นที่ครอบครัวที่พอดี เล่นสนุกได้ทุกเวลา
  • Eat Just Right กินให้พอดี ต้องไม่มีสารเคมีมากวนใจ
  • Live Just Right ชีวิตที่พอดี เริ่มจากบ้านที่อุ่นใจ

สะท้อนให้เห็นถึงกิจกรรมทุกช่วงเวลาที่เกิดขึ้นจริงตอนอยู่ที่บ้าน ซึ่งกิจกรรมทั้งหมดเต็มไปด้วยความสุขและรอยยิ้ม ตามสไตล์ของอณาสิริที่ต้องตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตจริง ทั้งหมดนี้ถูกนำเสนอแบบไม่ฮาร์ดเซลล์จนเกินไป 

และมิวสิกวิดีโอเพลงนี้ถ่ายทำที่โครงการของอณาสิริ ที่ให้เห็นกิจกรรมที่ทำได้หลากหลายในบ้าน การใช้งานฟังก์ชั่นต่างๆ ของบ้าน เพื่อตอบโจทย์ความพอดีที่ลงตัว เช่น ห้องอเนกประสงค์ที่สามารถปรับเป็นห้องทำงาน, ห้องนั่งเล่น ส่วนรับประทานอาหาร และ connecting space ที่เชื่อมต่อกัน ให้เราใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่เดียวกัน, ส่วนกลางที่ร่มรื่น หรือสวนที่ปลูกพืชผักสวนครัว ที่มีในส่วนกลางของอณาสิริทุกโครงการ ตอกย้ำภาพแห่งความสุข ความรู้สึกที่อบอุ่นภายใต้ดีไซน์ Lagom, Modern Japanese, Mediterranean และ Modern Barn House

หากคุณเป็นแฟนเพลงของบอนซ์ เราว่านี่เป็นอีกหนึ่งเพลงที่ฟังครั้งแรกแล้วต้องชอบ ด้วยมู้ดแอนด์โทนที่สดใส ฟังแล้วไม่เครียด เรียกได้ว่าบอนซ์สามารถถ่ายทอดบทเพลงให้เห็นภาพของอณาสิริได้ชัดเจน และไม่ใช่แค่ความเป็นคนรุ่นใหม่ แต่การที่อณาสิริเลือกบอนซ์มายังช่วยเสริมภาพลักษณ์แบรนด์ให้ดูเข้าถึงง่ายอีกด้วย

มาถึงตรงนี้ คุณคงรู้แล้วว่า Music Marketing ไม่ใช่แค่การทำเพลงเพื่อโปรโมตสินค้าหรือบริการ แต่เป็นอีกหนึ่งขั้นบันไดของการทำตลาดให้ประสบความสำเร็จ และเชื่อว่าการสื่อสารผ่านเสียงเพลงจะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตผู้คนได้

ติดตามรายละเอียดของโครงการอณาสิริ ได้ที่ siri.ly/Wge2Ai9

เบื้องหลัง ‘ความหวังครั้งที่สอง’ หนังสือของผู้บริหาร TQM กับวิธีรักษาความหวังยามเจอวิกฤต

“ต่อให้ล้มครั้งที่สาม สี่ หรือห้า หรือล้มมาไม่รู้กี่รอบ ก็ขอให้สำเร็จสักครั้งหนึ่งเถอะ” อู๊ด–อัญชลิน พรรณนิภา ประธานกรรมการแห่ง TQM บอกว่าความหมายของชื่อหนังสือ ‘ความหวังครั้งที่สอง’ คือการมีความหวังครั้งใหม่และลุกขึ้นสู้อีกครั้งในยามที่แสงแห่งความหวังยังมืดมิด  

ในช่วงวัยรุ่น อัญชลินเคยใฝ่ฝันอยากเป็นศิลปิน แต่เพราะสอบเข้าคณะสายศิลป์ไม่ติดหลายครั้งหลายครา จึงเบนทิศทางชีวิตไปทางอื่น ก่อนสานต่อธุรกิจประกันภัยของครอบครัวเขารับบทบาทนักขายและทำธุรกิจบริษัทออร์แกไนเซอร์จัดงานแฟร์ ธุรกิจจัดจำหน่ายเหล็กและวัสดุสำหรับงานก่อสร้าง จนกระทั่งเจอช่วงเศรษฐกิจซบเซาและวิกฤตต้มยำกุ้งในปี 2540 ทำให้ต้องล้มเลิกกิจการเหล่านี้ไปและมีหนี้สิน จนเหลืออาชีพเดียวที่ไม่อยากทำในตอนแรก แต่โชคชะตาก็บังคับให้ต้องทำในที่สุดเพราะไม่มีทางเลือกอื่นในการชำระหนี้ คืองานขายประกัน

อัญชลินบอกว่าภาพบอลลูนบนหน้าปกหนังสือเปรียบเหมือนการคิดไกล ถ้าเราอยู่ในที่สูงอย่างบนบอลลูนจะสามารถมองเห็นวิวได้ไกลกว่าตอนมองจากพื้นราบ เพราะเวลามองความผิดหวังหรือล้มเหลวจากพื้นราบอาจเห็นแค่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าแล้วจมกับมัน หรือถ้าใครมาว่าเราตอนยืนอยู่ชั้นล่าง เราก็อาจจะรู้สึกโกรธเพราะได้ยินเสียงนั้นชัดเจน ในทางกลับกัน ถ้ายิ่งบินสูงขึ้นไปเท่าไหร่ ก็ยิ่งเห็นวิวทิวทิศน์ได้กว้างไกลและเสียงที่ว่าเราก็จะยิ่งเบาลงไปเรื่อยๆ จนไม่ได้ยินเสียงรบกวนใดๆ อีกเลย

ด้วยวิสัยทัศน์ที่มองการณ์ไกลของอัญชลินทำให้เขาเชื่อว่าไม่มีปัญหาอะไรที่แก้ไม่ได้ในระยะยาว ความหวังครั้งที่สองของเขาจึงเป็นการอดทนซื่อสัตย์ในการชำระหนี้ให้หมดและมีความหวังในการหันมาทำธุรกิจครั้งใหม่อย่างธุรกิจประกันที่ทำให้ลุกขึ้นยืนอย่างแข็งแกร่งจนกลายเป็นเบอร์หนึ่งของวงการในเวลาต่อมา  

“สำคัญที่สุดคือมายด์เซต” อัญชลินบอกว่าจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ TQM ไปได้ไกลคือการเปลี่ยนความคิดว่าการขายประกันคือการตื๊อลูกค้าและขายเพื่อคอมมิชชั่น ประสบการณ์ที่เคยเจอผู้คนเดือดร้อนจากภัยต่างๆ เช่น อัคคีภัย แต่เพราะทำประกันไว้ทำให้มีเงินไปตั้งตัวใหม่ได้ทำให้อัญชลินเลิกคิดว่าตัวเองต้องเข้ามาทำธุรกิจนี้เพราะไม่มีทางเลือก แล้วหันมามองเห็นคุณค่าของธุรกิจครอบครัวว่า ธุรกิจประกันเป็นธุรกิจที่ดี ไม่ใช่แค่ขายประกันแต่เป็นที่ปรึกษาทางการเงินไปจนถึงธุรกิจให้ลูกค้า

การไม่ยึดติดกับวิธีการทำงานและความเชื่อแบบเดิมๆ ทำให้ TQM โตแบบก้าวกระโดด จากขายแบบ face-to-face มาเป็นเทเลเซลส์ โทรศัพท์หาลูกค้า และขยายช่องทางออนไลน์ทางแอพพลิเคชั่นทำให้เข้าถึงคนได้มากขึ้นเป็นเท่าตัว โดยใช้ทรัพยากรเวลาและกำลังคนน้อยลง จนสามารถโตขึ้นจากหลักร้อยล้านไปหมื่นล้านอย่างรวดเร็ว นอกจากคิดไกลแล้วยังลงมือทำเต็มที่และบากบั่นระหว่างทางตั้งแต่เดินสายขับรถไปขายประกันทีละจังหวัดและค่อยๆ สร้างอาณาจักรใหม่ขึ้นมา

แม้ธุรกิจตัวกลางที่ขายประกันจะดูเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับตัวเลขและสถิติอย่างมาก แต่อัญชลินที่ชื่นชอบความสุนทรีในศิลปะและดนตรีบอกว่าความหวังใหม่สามารถเกิดขึ้นได้ในธุรกิจประกันด้วยความคิดสร้างสรรค์และการคิดนอกกรอบ “ศาสตร์ทำให้มีกรอบ ส่วนศิลปะเป็นจินตนาการทำให้เราคิด beyond จากสินค้าประกันรูปแบบเดิม”

หลักของการทำธุรกิจประกันคือการมองเห็นว่าอะไรเป็นความเสี่ยงบ้าง ซึ่งในโลกนี้มีภัยใหม่และโรคระบาดใหม่รวมถึงปัจจัยอื่นๆ อีกมากมายอุบัติขึ้นมาใหม่ตลอด และจินตนาการก็ทำให้เกิดไอเดียการป้องกันความเสี่ยงในรูปแบบใหม่ ตัวอย่างเช่น กระแสความฮิตในสเกตบอร์ดซึ่งเป็นเครื่องเล่นที่มีราคาสูงทำให้เกิดแพ็กเกจประกันสำหรับโปรเสกตบอร์ดโดยเฉพาะ, ‘ประกันรถสีขาว’ เกิดจากการสังเกตเห็นจากดาต้าว่ารถสีขาวเป็นรถที่เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนน้อยที่สุดเพราะสีที่เด่นชัด ทำให้เกิดประกันที่มีราคาถูกลงมาสำหรับผู้ใช้รถที่เสี่ยงน้อย  

สิ่งสำคัญอีกอย่างที่อัญชลินบอกว่าทำให้ผ่านวันที่มืดมนมาได้คือคู่ชีวิต ตุ๊ก–นภัสนันท์ พรรณนิภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารที่ร่วมบุกเบิก TQM มาด้วยกัน “ถ้าผมคนเดียว ยังไม่แน่ บางทีพอเหงา มันก็ท้อแท้ แต่พอมีคนช่วยคิด ช่วยทำ ช่วยลุย ช่วยกันปลอบใจ มันก็ไม่เหงา” 

คำว่าความหวังสำหรับอัญชลินจึงไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องธุรกิจและกำไรเสมอไป บางทีก็เป็นเรื่องเล็กๆ อย่างการซื้อที่ดินแปลงหนึ่งไว้ปลูกเป็นบ้านหลังเล็กยามแก่เฒ่า ความหวังว่าพอกลับบ้านไปแล้วจะได้กินอาหารอร่อยๆ หรือแม่ครัวจะทำผัดกะเพราให้กิน มีใครสักคนที่พูดหวานอย่างภรรยา ลูก เพื่อน ลูกน้องอยู่เคียงข้าง

สิ่งที่ช่วยจุดประกายให้ยังมีความหวังในแต่ละวันต่อไปได้และอัญชลินก็บอกว่าเป็นวิธีที่ทำให้รับมือกับความหวังผิดได้ดีขึ้นเรื่อยๆ คือประสบการณ์การเผชิญอุปสรรคทั้งหนักและเบาซึ่งกลายเป็นวัคซีนที่ทำให้มีภูมิคุ้มกันและความมั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป 

เรื่องราว ‘ความหวังครั้งที่สอง’ ของอัญชลินเล่าเส้นทางความสำเร็จของ TQM กว่าจะเติบโตเป็นบริษัทนายหน้าประกันภัยรายแรกที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้สำเร็จ และทำให้เข้าใจว่า ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ชีวิตก็ยังมีความหวังให้ก้าวเดินต่อไปเสมอ

สำรวจมูลค่าตลาดอุตสาหกรรมหนังไทย หลังกระแส ‘สัปเหร่อ’ กวาดรายได้ทะลุ 500 ล้าน กับสัดส่วนรายได้ที่หดลงระหว่างหนังต่างชาติและหนังไทยในบ้านเรา

หนึ่งในประเด็นที่กำลังเป็นกระแสคือการที่ภาพยนตร์ไทยอย่าง ‘สัปเหร่อ’ กวาดรายได้ทะลุ 500 ล้านไปหมาดๆ แน่นอนว่าปัจจัยเบื้องหลังความสำเร็จของภาพยนตร์เรื่องนี้นั้นแสนเฉพาะตัว และไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครจะทำตามได้แม้จะมีผู้คนพยายามถอดรหัสความสำเร็จก็ตาม สิ่งที่น่าสนใจคือสัดส่วนตัวเลขรายได้ของภาพยนตร์ไทยในช่วงปีหลังๆ เมื่อเทียบกับภาพยนตร์ต่างประเทศ 

ปัจจุบันอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยมีมูลค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3,000-4,000 ล้านบาทต่อปี แม้ภาพยนตร์ต่างประเทศจะยังทำรายได้มากกว่ามาตลอด แต่เมื่อเทียบเป็นสัดส่วนจะเห็นว่าช่องว่างลดลง

  • ปี 2562 มีมูลค่าอยู่ที่ 4,600 ล้านบาท แบ่งเป็นหนังต่างประเทศ 3,900 ล้านบาท และหนังไทย 700 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 16% ของสัดส่วนมูลค่าตลาดภาพยนตร์ไทย โดยมีหนังไทยเข้าฉาย 45 เรื่อง
  • ปี 2563 มีมูลค่าอยู่ที่ 1,000 ล้านบาท แบ่งเป็นหนังต่างประเทศ 700 ล้านบาท และหนังไทย 300 ล้านบาท คิดเป็น 30% ของสัดส่วนมูลค่าตลาดภาพยนตร์ไทย โดยมีหนังไทยเข้าฉาย 28 เรื่อง
  • ปี 2564 มีมูลค่าอยู่ที่ 1,100 ล้านบาท แบ่งเป็นหนังต่างประเทศ 900 ล้านบาท และหนังไทย 200 ล้านบาท คิดเป็น 19% ของสัดส่วนมูลค่าตลาดภาพยนตร์ไทย โดยมีหนังไทยเข้าฉาย 18 เรื่อง
  • ปี 2565 มีมูลค่าอยู่ที่ 2,128 ล้านบาท แบ่งเป็นหนังต่างประเทศ 1,700 ล้านบาท และหนังไทย 428 ล้านบาท คิดเป็น 21% ของสัดส่วนมูลค่าตลาดภาพยนตร์ไทย โดยมีหนังไทยเข้าฉายกว่า 40 เรื่อง

หากลงลึกไปในตัวเลขรายได้ เราจะพบว่าในช่วง 1-2 ปีมานี้ มีภาพยนตร์ไทยหลายเรื่องจากหลากค่ายมากขึ้นที่สามารถสร้างเซอร์ไพรส์กวาดรายได้ทะลุ 100 ล้านบาท เช่น ร่างทรง รายได้รวม 112 ล้านบาท, บุพเพสันนิวาส รายได้รวม 392 ล้านบาท, บ้านเช่า บูชายัญ รายได้รวม 100 ล้านบาท, 4 Kings รายได้รวม 170 ล้านบาท, ขุนพันธ์ 3 รายได้รวม 100 ล้านบาท และล่าสุด สัปเหร่อ รายได้ ณ ปัจจุบันทะลุ 500 ล้านบาทไปแล้ว

จากรายชื่อภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จในมุมธุรกิจจะเห็นความหลากหลายของเรื่องราว และอาจกล่าวได้ว่าภาพยนตร์บางเรื่องนับว่าแหวกขนบหนังไทยร้อยล้านที่ผ่านมา อย่างเรื่องราวของ ‘สัปเหร่อ’ ที่มีพล็อตในบริบทความเป็นอีสาน สะท้อนความเป็นอยู่ในชุมชน สังคม อาชีพ และความสัมพันธ์ในครอบครัว ถือเป็นการสานต่อความสำเร็จของ ‘จักรวาลไทบ้าน’ ที่สร้างปรากฏการณ์ครั้งใหญ่ ที่พาคนไทยกลับเข้าสู่โรงภาพยนตร์อย่างเนืองแน่นอีกครั้ง

สำหรับในบ้านเรา ปีนี้มีหนังไทยทยอยเข้าฉายมาตั้งแต่ต้นปี รวมแล้วเกิน 40 เรื่อง และเดินสายฉายในต่างประเทศ ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยเติบโตขึ้น นอกจากนี้ ฝั่งโรงภาพยนตร์ก็เริ่มฟื้นตัวกลับมาหลังจากช่วงวิกฤตโควิด เครือเมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ตั้งเป้าการเติบโตไว้ที่ 80% เทียบกับช่วงก่อนมีโควิด บวกกับมีภาพยนตร์ต่อคิวเข้าฉายมากขึ้น ผู้คนเริ่มเข้าสู่โรงภาพยนตร์ เรียกได้ว่าแทบจะกลับสู่วิถีชีวิตปกติแล้ว จึงส่งผลดีต่อผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมภาพยนตร์อย่างมาก

นอกจากเรื่องการสร้างหนัง และการฟื้นตัวของจำนวนคนดูหนัง การเจรจาซื้อหนังก็ตื่นตัวไม่แพ้กัน ซึ่งในช่วงต้นปีมีงาน Film Art 2023 ที่ประเทศฮ่องกง ที่ผู้ผลิตสื่อบันเทิงและนักลงทุนได้เจอกันเป็นครั้งแรกหลังโควิด คอนเทนต์จากไทยได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติอย่างมาก ซึ่งสร้างมูลค่ากว่า 1,300 ล้านบาท ซึ่งทำรายได้มากกว่าหนังจากประเทศอื่นๆ ที่ไปร่วมงานครั้งนี้ โดยเฉพาะคอนเทนต์แนวสยองขวัญ หรือเรื่องเกี่ยวกับวิถีชีวิตผู้คนในภูมิภาคต่างๆ ที่เป็นซอฟต์พาวเวอร์ของไทยอย่างแท้จริง 

อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในต่างประเทศ ของไทยยังคงห่างชั้นในด้านงบลงทุน หรือการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างเป็นรูปธรรม ทำให้ซอฟต์พาวเวอร์ที่ผู้ผลิตไทยต้องการส่งออกไปไม่ถึงตลาดโลกอย่างที่คาดหวังไว้

‘ภาพยนตร์ไทยจะไปต่อยังไงในยุคแพลตฟอร์มสตรีมมิงเฟื่องฟู’

ต้องยอมรับว่าการแข่งขันในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยยุคนี้ไม่ได้มีแค่คู่แข่งจากต่างประเทศ แต่เนื้อหาที่เผยแพร่ในประเทศ และฉายในแพลตฟอร์มสตรีมมิงก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจว่านี่คือภัยคุกคามหรือโอกาสของวงการภาพยนตร์

หากมองในแง่ดี แน่นอนว่าการเข้ามาของสตรีมมิงช่วยเปิดโอกาสแก่ผู้ผลิตหน้าใหม่ได้สร้างคอนเทนต์ที่หลากหลายมากขึ้น ไม่ผูกขาดแค่กับเนื้อหาบางประเภท นอกจากนั้นเมื่อลงไปอยู่ในแพลตฟอร์มสตรีมมิงจะช่วยขยายฐานคนดูไปสู่ต่างประเทศได้ง่าย ทำให้ผู้ผลิตหนังไทยต้องเผชิญการแข่งขันที่สูงมาก เนื่องจากผู้บริโภคสามารถเลือกได้เองว่าอยากชมอะไร ดังนั้น คนทำหนังยุคนี้ต้องรีเสิร์ช หาอินไซต์และกลุ่มเป้าหมายของตัวเองให้เจอ เพื่อลดโอกาสที่จะขาดทุน 

และในอีกมุม โรงหนังและสตรีมมิงอาจไม่ใช่คู่แข่งกันเสียทีเดียว เพราะถ้าเปรียบหนังสักเรื่องเป็นสินค้า สตรีมมิงก็เปรียบได้กับชั้นวางสินค้า จากเดิมที่เมื่อหนังออกจากโรง ผู้ชมก็หาชมได้ยาก แต่ตอนนี้เราสามารถต่ออายุสินค้าได้ด้วยการนำลงในแพลตฟอร์มสตรีมมิง

โดยสรุปหากภาพยนตร์ไทยมีกระบวนวางแผนและการผลิตที่ดีตั้งแต่ต้นน้ำ เพื่อสร้างปลายน้ำที่มีคุณภาพ อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยไม่ว่าจะอยู่ในโรงภาพยนตร์หรือในสตรีมมิง ก็มีโอกาสที่จะอยู่รอดได้ในมุมธุรกิจ อย่างที่เราเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะในช่วงปีหลังๆ ซึ่งนี่อาจเป็นความหวังของคนในวงการภาพยนตร์ไทยยามนี้

รวมหลักคิดของธุรกิจสัตว์เลี้ยงที่เกิดขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาให้เหล่าทาส และสร้างคุณภาพความเป็นอยู่ที่ดีให้สัตว์เลี้ยง

ถ้าถามว่าธุรกิจไหนเฟื่องฟูที่สุดในยุคนี้ หากตอบ ‘ธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง’ คงไม่เกินไปนัก เพราะท่ามกลางการซบเซาของหลายธุรกิจในช่วงยุคโควิดระบาด มาจนถึงตอนนี้ที่เศรษฐกิจทั่วโลกถอดถอย ธุรกิจสัตว์เลี้ยงกลับค่อยๆ โตขึ้นและโตต่อเนื่อง 

มีการคาดการณ์ว่าในปี 2012-2026 มูลค่าของตลาดสัตว์เลี้ยงทั่วโลกจะมีการเติบโตเฉลี่ยแบบทบต้นเฉลี่ยปีละ 7.2% จนมีมูลค่ารวมอยู่ที่ประมาณ 217,651 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนไทยบ้านเราก็คาดว่าตลาดสัตว์เลี้ยงจะโตเฉลี่ยปีละ 8.4% และทำให้ภายในอีก 3 ปีข้างหน้าตลาดสัตว์เลี้ยงในไทยจะมีมูลค่าอยู่ที่ 66,748 ล้านบาท 

ในวันที่ธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงผุดขึ้นกันเป็นดอกเห็ด Capital ซึ่งเคยมีโอกาสพูดคุยกับเจ้าของแบรนด์เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง จึงอยากรวบรวมเรื่องราวของธุรกิจเหล่านี้ ทั้งที่มีอายุมาหลายสิบปี และธุรกิจใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นในช่วงธุรกิจสัตว์เฟื่องฟู ไล่ตั้งแต่ Kafbo แบรนด์ที่ลับเล็บแมวกระดาษเจ้าแรกของไทย, Petige ร้าน selected petshop รวมสินค้าคุณภาพเยี่ยมสำหรับสัตว์เลี้ยง, Ready to Woof แบรนด์หมวกคู่ที่อยากให้มะนุดและสัตว์เลี้ยงแต่งตัวคู่กันได้ทุกวัน, Royal Canin แบรนด์อาหารหมาแมวที่อยู่คู่เหล่า pawrent มากว่า 15 ปี และโรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ โรงพยาบาลสัตว์ขวัญใจชาวทาสที่ยืนหยัดมาในตลาดสัตว์เลี้ยงจนปีที่ 30

ท่ามกลางการแข่งขันของตลาดสัตว์เลี้ยง ธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงเกิดขึ้นใหม่ไม่หยุดหย่อน แบรนด์หรือธุรกิจต่างๆ เหล่านี้มีวิธีคิดและแนวทางการบริการธุรกิจยังไงให้แตกต่าง กระทั่งบางธุรกิจทำยังไงให้แบรนด์ยืนระยะมาได้ยาวนาน ตามไปหาคำตอบเกี่ยวกับหลักคิดของธุรกิจสัตว์เลี้ยงเหล่านี้ได้ที่ Capital List ตอนนี้

Kafbo ที่ลับเล็บแมวกระดาษเจ้าแรกของไทย ที่อยากแก้ pain point ให้คนรักแมว

5 หลักคิดในการทำธุรกิจของ Kafbo

  1. ส่งเสริมและต่อยอดสิ่งที่มีให้ดียิ่งขึ้น Kafbo จึงใช้ความชอบผสานกับต้นทุนที่มีอย่างธุรกิจรับทำพาเลตกระดาษของครอบครัวมาต่อยอด
  2. Kafbo เกิดขึ้นในยุคที่ตลาดสัตว์เลี้ยงยังไม่โตเท่าปัจจุบัน แต่ความที่เป็นเด็กจบใหม่ของเจ้าของแบรนด์ เธอจึงใช้แพสชั่นนำทาง และค่อยๆ คราฟต์ Kafbo ขึ้นทีละนิด
  3. ศึกษาพฤติกรรมแมวอย่างลึกซึ้งเพื่อให้เข้าใจอินไซต์และพัฒนาโปรดักต์ได้ตรงจุด ซึ่ง Kafbo พบว่าแมวเป็นสัตว์ป่าที่เคยอยู่ตามธรรมชาติมาก่อน พฤติกรรมหนึ่งของมันคือมักลับเล็บกับเปลือกต้นไม้ แต่เมื่อคนเอาแมวมาเลี้ยง แมวจึงต้องลับเล็บกับเฟอร์นิเจอร์ในบ้านซึ่งสร้าง pain point ให้กับคนเลี้ยง 
  4. เชื่อในโปรดักต์ที่ทำเพราะมองเห็นโอกาสว่ายังไม่มีสินค้าไหนในตลาดที่ตอบโจทย์ทั้งแมวและคน
  5. ยึดถือสโลแกน Happy Home, Happy Cat (ความสุขของแมว ความสวยของบ้าน) สินค้าทุกชิ้นของแบรนด์จึงให้ความสำคัญกับความสุขของทั้งเจ้าของและแมว 
  6. ให้ความสำคัญกับดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์และคุณภาพของสินค้า แม้ในวันที่โรงงานจีนเริ่มเข้ามาตีตลาดที่ลับเล็บแมว ก็ยังทำให้ Kafbo เอาชนะใจลูกค้าได้
  7. ปรับตัวอยู่เสมอ โดย Kafbo จะดูว่าสินค้าเดิมเป็นแบบไหน และลองหาที่ทาง เช่น เพิ่มสีใหม่ๆ ที่เข้ากับเทรนด์สมัยใหม่ กระทั่งลองทำไซส์ใหญ่ที่ตอบโจทย์ลูกค้าที่มีแมวตัวใหญ่ เป็นต้น

อ่านบทสัมภาษณ์เต็มได้ที่  capitalread.co/kafbo

Petige แหล่งรวมสินค้าคุณภาพเยี่ยมสำหรับสัตว์เลี้ยง ที่เป็นที่รักของเหล่า pawrent

6 หลักคิดในการทำธุรกิจของ Petige

  1. brand positioning ที่ใช่คือหัวใจที่ไม่ควรมองข้าม แม้ตลาดสัตว์เลี้ยงจะเป็นเทรนด์ และธุรกิจสัตว์เลี้ยงมีโอกาสเติบโตในอนาคต แต่ไม่ใช่ว่าต้องกระโดดลงไปทำมันเดี๋ยวนั้น Petige จึงรีเสิร์ชตัวตนและตลาด เพื่อหาที่ทางว่าจะเข้าไปในตลาดนี้ยังไงก่อนเริ่มลงมือทำ
  2. โลเคชั่นที่ถูกต้องคือแต้มต่อทางธุรกิจ พวกเขาจึงเลือกย่านที่อยู่อาศัยเพราะเชื่อว่าแถบที่พักอาศัยผู้คนมักจะเลี้ยงหมาเลี้ยงแมวกันเยอะ และเลือกเป็นปั๊มน้ำมันเนื่องจากหมาแมวไม่สามารถเข้าคอมมิวนิตี้หรือห้างได้ 
  3. ใครชอบเดินร้าน pet shop เป็นประจำ อาจเห็นแพตเทิร์นบางอย่างจากหลายร้านที่ส่วนใหญ่มักอัดแน่นด้วยสารพัดสิ่งของ ไม่ได้รับการจัดโซนนิ่ง และทำให้หลายครั้งไม่มีทางเดิน แต่สำหรับ Petige ไม่ใช่แบบนั้น เพราะที่นี่จัดระเบียบโซนต่างๆ อย่างดี และออกแบบพื้นที่ให้แตกต่าง ด้วยตั้งใจอยากสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้า
  4. อีกหลักคิดที่พวกเขายึดถือและสะท้อนให้เห็นชัดผ่านโปรดักต์ที่วางขายก็คือ คัดสรรจากหัวใจ โดยวิธีการเลือกสินค้าจะเลือกจากส่วนผสมเป็นอย่างแรกและจะดูเรื่องมาตรฐานและคุณภาพ ที่สำคัญยังดูว่าสินค้าแต่ละประเภทที่เลือกมานั้นปลอดภัยกับน้องหมาน้องแมวหรือไม่ 
  5. เก็บข้อมูลและปรับตัวอยู่เสมอ โดยทีมจะประชุมกันทุกเดือนเพื่อลงลึกในลูกค้า เช่นดูว่าลูกค้าใหม่กลับมาซื้อซ้ำไหม ลูกค้าเก่ามีพอหรือยัง ถ้าอยากขยายฐานลูกค้าต้องทำอะไรบ้าง 
  6. ข้อสุดท้ายก็คือต้องรักแมวและรักสัตว์ เพราะความรักที่มีต่อสัตว์เลี้ยงคือย่อมเป็นหัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนให้ Petige เติบโต

อ่านบทสัมภาษณ์เต็มได้ที่ capitalread.co/petige

Ready to Woof แบรนด์หมวกคู่ที่อยากให้มะนุดและสัตว์เลี้ยงแต่งตัวคู่กันได้ทุกวัน

6 หลักคิดในการทำธุรกิจของ Ready to Woof 

  1. มองหาโอกาสใหม่ๆ สำหรับธุรกิจที่จะทำ แม้ตลาดสัตว์เลี้ยงจะโตและดูมีโอกาส แต่ก็ใช่ว่าทุกสินค้าจะเหมาะกับทุกโลเคชั่น สินค้าบางชิ้นอาจเวิร์กกับคนในประเทศหนึ่งแต่ไม่เวิร์กกับคนในอีกประเทศ ถ้ามองไปยังแถบยุโรปที่คนชอบพาหมาไปเดินเล่นออกกำลังกาย ชุดคู่อาจจะขายไม่ดีเท่าสายจูงหรือถุงเก็บอึ แต่สำหรับประเทศไทยที่คนชอบไปถ่ายรูปที่คาเฟ่ ไอเทมคู่เจ้าของและสัตว์เลี้ยงอาจเป็นสินค้ายอดนิยม
  2. ทำ market research เพื่อดูว่าสินค้าหมาแมวในเมืองไทยมีอะไรและยังไม่มีอะไร ซึ่งจากการศึกษาตลาดของ Ready to Woof ได้คำตอบว่าของใช้ประเภทเสื้อผ้ามีเยอะ แต่หมวกคู่ของเหล่าทาสกับหมาแมวยังคงมีน้อย 
  3. ใส่ใจทุกรายละเอียดและขั้นตอนการผลิตเพราะการทำเสื้อผ้าสัตว์เลี้ยงมีจุดที่ต้องคำนึงถึง ตั้งแต่ลองทำแพตเทิร์น ทดลองให้น้องหมาน้องแมวใช้สินค้าก่อนขายจริง และละเอียดในวัสดุที่ใช้เพื่อให้ทั้งเจ้าของและน้องหมาน้องแมวสบายตัวมากที่สุดเวลาสวมใส่
  4. ด้วยคอนเซปต์หลักของแบรนด์คือการเป็นแบรนด์เสื้อผ้าสัตว์เลี้ยงที่น้องหมาแมวใส่ได้ทุกวัน สินค้าทุกชิ้นจึงเริ่มคิดจาก ‘มะนุด’ เป็นหลัก โดยเน้นออกแบบสิ่งที่คนอยากใส่ โฟกัสเทรนด์ที่คนกำลังสนใจ แล้วค่อยทำไอเทมนั้นในไซส์สัตว์เลี้ยง
  5. ตามหาอินไซต์ของลูกค้าให้เจอ เช่นอินไซต์คนเลี้ยงหมาจะชอบแต่งตัวให้สัตว์เลี้ยงในช่วงเทศกาล สิ่งที่แบรนด์ทำจึงเป็นการออกสินค้า seasonal อย่างชุดผู้ช่วยซานต้าสำหรับวันคริสต์มาส หมวกผีน้อยสำหรับวันฮาโลวีน
  6. ข้อสุดท้ายก็คล้ายๆ ธุรกิจสัตว์เลี้ยง ที่ต้องมีแพสชั่นและความรักต่อหมาแมวและลูกๆ ของตัวเอง

อ่านบทสัมภาษณ์เต็มได้ที่  capitalread.co/ready-to-woof

Royal Canin แบรนด์อาหารหมาแมวที่อยู่มาตั้งแต่ยุคตลาดสัตว์เลี้ยงยังไม่โต เพราะไม่หยุดพัฒนา

9 หลักคิดในการทำธุรกิจของ Royal Canin

  1. จุดเริ่มต้นของ Royal Canin นั้นเกิดจากความรักและวิทยาศาสตร์ หลักการแตกไลน์ผลิตภัณฑ์จึงมีตั้งแต่ A Better World for Pets, Cats and Dogs First, Science Behind Nutrition จนถึงในปัจจุบันอย่าง Health Through Nutrition  หรือการสร้างสุขภาพที่ดีผ่านโภชนาการที่ถูกต้องเหมาะสม 
  2. ให้ความสำคัญกับหมาแมวทุกๆ สายพันธุ์ แม้ทั้งโลกจะมีคนเลี้ยงสายพันธุ์ ‘ทิเบตัน มาสทิฟฟ์’ แค่หลักพันกว่าตัว แต่ Royal Canin ก็ยังผลิตอาหารสูตรเฉพาะสำหรับสายพันธุ์นี้ขึ้นมาเพราะแบรนด์มองว่าจำเป็น ด้วยทิเบตัน มาสทิฟฟ์ต้องการโภชนาการที่เฉพาะเจาะจง
  3. ส่งมอบความรู้ให้ทั้งผู้เพาะพันธุ์ ร้านขายอาหารสัตว์ และคุณหมออย่างจริงจังผ่านการเทรนและการทำงานวิจัยร่วมกัน เพราะ Royal Canin เน้นมอบความรู้ให้ทุกคนใน ecosystem นี้ เพื่อทำให้เกิดความเข้าใจเรื่องอาหารสัตว์ นอกจากการให้ความรู้กับพาร์ตเนอร์แล้ว แบรนด์ยังเน้นให้ความรู้โดยตรงกับลูกค้าผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ
  4. ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงเปลี่ยนไป ความท้าทายเองก็เปลี่ยนแปลง สิ่งที่ Royal Canin ทำคือไม่วางขายสินค้าในโมเดิร์นเทรด และเปลี่ยนไปเน้นกระจายสินค้า ส่งตัวแทนแบรนด์เข้าไปเทรนร้านขายอาหารสัตว์ ตลอดจนเทรนคุณหมอตามคลินิกว่าถ้าหมาแมวป่วยควรจะใช้อาหารสูตรไหนประกอบการรักษา จนปัจจุบันทำให้แบรนด์มีพาร์ตเนอร์คลินิกมากกว่า 1,500 แห่ง และร้านขายอาหารสัตว์อีก 1,200 ร้านทั่วประเทศ
  5. ใช้การตลาดออนไลน์เพื่อให้ลูกค้าเกิด awareness หรือความตระหนักรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงดูที่ถูกต้อง
  6. พัฒนาระบบการขายเพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงสินค้าได้ง่ายขึ้น เช่นมี online official store ทั้งใน Lazada, Shopee และมี distribution outlet รวมถึงพัฒนาระบบแอพพลิเคชั่น ให้คุณหมอสั่งอาหารสัตว์ป่วยให้ลูกค้าได้โดยตรง
  7. คุณภาพอาหารคือสิ่งที่ Royal Canin ให้ความสำคัญที่สุดก็จริง แต่การพัฒนาธุรกิจให้เติบโตและตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างตรงจุดต้องมาจากการวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก Royal Canin ทุกๆ ประเทศจึงต้องเก็บสถิติและข้อมูลต่างๆ อยู่เสมอ เพื่อนำข้อมูลมาสร้าง ecosystem ให้กับธุรกิจ
  8. ความรักที่มีต่อน้องหมาน้องแมวคือแรงจูงใจสำคัญในการทำงานของทีม Royal Canin แน่นอนว่าการทำให้ธุรกิจกำไรเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องทำ แต่มากกว่ากำไรขาดทุน ความรักและแพสชั่นของทีมที่มีต่อน้องหมาน้องแมวก็สำคัญในการขับเคลื่อนการทำงาน
  9. ทำการตลาดในแบบที่เชื่อ แม้ว่าตลาดสัตว์เลี้ยงจะโตมากและมีโอกาสโตขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ต้องไม่รอให้ตลาดโตของมันเองเท่านั้น แต่ต้องสร้างตลาดขึ้นมาเองผ่านการทำการตลาดในแบบที่เชื่อ นั่นก็คือการทำให้คนตระหนักถึงความสำคัญของการให้อาหารที่มีโภชนาการเหมาะสมผ่านการให้ความรู้ คอนเทนต์​ แคมเปญ และการเทรนพาร์ตเนอร์ 

อ่านบทสัมภาษณ์เต็มได้ที่ capitalread.co/royal-canin

โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ โรงพยาบาลสัตว์ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพและมาตรฐาน จนยืนระยะมาได้ 30 ปี

5 หลักคิดในการทำธุรกิจของโรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ 

  1. ทุ่มเทและตั้งใจทำงาน เพราะอยากทำให้คุณภาพชีวิตของหมาแมวดีขึ้น และอยากทำให้การรักษาสัตว์ดีขึ้นได้กว่าเดิม
  2. มองหาโมเดลธุรกิจตัวอย่าง ด้วยตลาดโรงพยาบาลสัตว์เมื่อ 30 ปีที่แล้วยังไม่ได้มีมากเช่นปัจจุบัน แน่นอนว่าโรงพยาบาลสัตว์ตัวอย่างเองก็ไม่ค่อยมีให้ศึกษา โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อจึงใช้โรงพยาบาลคนเป็นตัวอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการมีใบสั่งงานเพื่อให้ทุกอย่างมันควบคุมได้ เปลี่ยนจากระบบกระดาษเป็นดิจิทัลเพื่อลดความผิดพลาดวุ่นวาย กระทั่งนำระบบ iMed® ระบบ HIS หรือ Hospital Information System ซึ่งเป็นระบบที่ใช้ในโรงพยาบาลคนมาใช้กับโรงพยาบาลสัตว์
  3. ถือหลักคิดว่าวันนี้ต้องดีกว่าเมื่อวาน ทำให้วิชชั่นของโรงพยาบาลสัตว์แห่งนี้คือการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง เมื่อเจอกับปัญหาก็จะแก้ไขทันที หรือระบบอะไรที่ไม่ดี ยังไม่มีประสิทธิภาพก็จะปรับให้ดีขึ้น ดังเช่นนำเทคโนโลยีมาใช้อย่างข้อที่กล่าวไปข้างต้น มากไปกว่านั้นคือพัฒนาบุคลากรเสมอ โดยจะมีทุนให้เรียนและอบรม
  4. รับฟังความคิดเห็นของลูกค้าเพื่อให้เข้าใจความต้องการของลูกค้าได้ และพัฒนาโรงพยาบาลให้ตรงกับความต้องการได้มากขึ้น เช่น Pet Taxi บริการรับ-ส่งพ่อแม่และหมาแมวถึงหน้าบ้าน ร้านกาแฟนั่งรอเจ้าสัตว์เลี้ยงตรวจร่างกาย หรือจะมี pet shop ที่เจ้าของหมาแมวก็มาซื้อได้เลย 
  5. แม้จะเป็นโรงพยาบาลก็ไม่ได้แค่รักษาสัตว์อย่างเดียว ทั้งยังเอาความรู้ในแง่การเป็นสัตวแพทย์ไปเติมเต็มเพื่อพัฒนาอาหารและขนมน้องหมาน้องแมว ไปจนถึงผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของแบรนด์มากมาย เช่น แบรนด์ Remy ที่มีขนมหมาและแมวที่ดีต่อสุขภาพ เป็นต้น

อ่านบทสัมภาษณ์เต็มได้ที่ capitalread.co/thonglorpet

เบื้องหลังการทำร้านมัลติแบรนด์ให้ฮิตติดกระแสป๊อปคัลเจอร์ของ Daddy and the muscle academy

เสื้อยืดที่โรเซ่วง BLACKPINK ใส่ลงสตอรีในอินสตาแกรม สมุดที่วง NewJeans ใช้ ไปจนถึงเสื้อผ้าแฟชั่น Y2K เครื่องเขียน สติ๊กเกอร์ และของใช้กระจุกกระจิกอีกมากมาย คอลเลกชั่นทั้งหมดนี้สามารถหาได้ที่ Daddy and the muscle academy

ปีที่ผ่านมานับว่า เทรนด์ Y2K กลับมานิยมอีกครั้งในรอบหลายสิบปี แต่มีร้านมัลติแบรนด์ในไทยสไตล์วินเทจป๊อปที่ทำสไตล์นี้มานานแล้วก่อนที่เทรนด์นี้จะแมส และหลังจากที่ทำธุรกิจมาราว 8 ปีความฮิตที่หน้าร้านสาขาหลักอย่างสยามสแควร์ก็ไม่เคยแผ่วลงเลย  มีสาวๆ เข้าร้านแน่นแทบจะตลอดเวลาโดยเฉพาะวันหยุด จนตอนนี้มีแบรนด์พาร์ตเนอร์ที่ฝากวางขายในร้านรวมทั้งหมดราวกว่า 200 แบรนด์

วันนี้ ลูกศร–ศรุติ ตันติวิทยากุล เป็นตัวแทนของผู้ร่วมก่อตั้ง Daddy and the muscle academy มาเล่าถึงเคล็ดลับการทำธุรกิจมัลติแบรนด์ให้อยู่ในกระแสได้ตลอดเวลาโดยยังอิงจากความชอบของตัวเอง ทั้งเธอและ ทิน แสงทวีป ต่างเป็น Co-founder ที่จบด้านดีไซเนอร์และมีความชื่นชอบในสไตล์วินเทจ ลูกศรเก่งด้านแฟชั่นดีไซน์ ส่วนทินถนัดกราฟิกดีไซน์และดูแลทิศทางลายเส้นทั้งหมดของแบรนด์ 

จากความชอบและความถนัดส่วนตัวสู่การลุกขึ้นมาทำธุรกิจของดีไซเนอร์ ทั้งคู่ประสบความสำเร็จในการเปิดร้านที่สยามสแควร์ซึ่งเป็นย่านฮิตของวัยรุ่นใจกลางเมืองโดยมีชาวต่างชาติแวะมาไม่ขาดสายและคอยมอนิเตอร์เทรนด์ใหม่เพื่อออกคอลเลกชั่นให้ป๊อปอยู่เสมอ 

เราจึงเดินทางไป Daddy and the muscle academy เพื่อพูดคุยถึงเบื้องหลังความสำเร็จของร้านมัลติแบรนด์ขวัญใจคนยุคใหม่ที่ทำร้านให้เป็นแหล่งช้อปปิ้งใจกลางเมืองมาได้อย่างยาวนานไม่ว่ากระแสวินเทจจะมาหรือไปก็ตาม 

Pop Collections On Trend   

ก่อนที่เทรนด์ Y2K จะเป็นกระแสนิยมในช่วงที่ผ่านมา ย้อนกลับไป 8 ปีที่แล้ว ลูกศรในวัย 20 ต้นมีความชื่นชอบในสไตล์วินเทจยุค 90s และก่อตั้ง Daddy and the muscle academy ร่วมกับเพื่อนๆ ซึ่งกลายเป็นร้านสไตล์วิจเทจป๊อปที่ป๊อปปูลาร์กับสาวๆ ทุกวัยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่วัยรุ่น

ลูกศรเล่าว่าช่วงแรกทั้งเธอและทินเริ่มจากความชอบในวินเทจแนวหวาน แต่พอระยะเวลาผ่านไปสไตล์วินเทจของร้านก็ปรับเปลี่ยนให้กว้างขึ้นตามเทรนด์ 

“สไตล์ของเราจะปรับเปลี่ยนมาจากฟีดแบ็กจากลูกค้าค่อนข้างเยอะ พอได้ดาต้ามาจากการขาย เราก็จะเอามาวิเคราะห์กันว่าคนน่าจะชอบแบบนี้ อันไหนขายดี ด้วยความโชคดีที่ร้านเราตั้งอยู่ที่สยามสแควร์ เราก็จะรู้ก่อนเลยว่าช่วงนี้ลูกค้าอินกับอะไร” 

right timing หรือจังหวะเวลาที่ใช่เป็นปัจจัยสำคัญที่ลูกศรบอกว่ามีส่วนว่าคอลเลกชั่นหนึ่งจะแจ้งเกิดหรือไม่ “เป็นเรื่อง timing และความเข้าใจของคน ณ ตอนนั้นว่าคนชอบอะไร เสพอะไร อินกับอะไร การเอาคอลเลกชั่นสมัยก่อนกลับมาทำในตอนนี้มันอาจจะไม่เวิร์กแล้ว หรือถ้าเอาคอลเลกชั่นตอนนี้ไปทำคนละช่วงเวลา คนก็อาจจะไม่เก็ต” 

สำหรับสินค้าที่ออกแบบเอง การออกคอลเลกชั่นใหม่จะอยู่ที่ทุกๆ 2 เดือนครึ่งโดยอิงจากเทรนด์ที่คนกำลังนิยมในช่วงนั้น “อย่างล่าสุดเทรนด์สปอร์ตกำลังมา ซึ่งจริงๆ ก็จะมีหลายแบรนด์ทำชุดสปอร์ตกันเยอะมากในช่วงหนึ่ง เราก็มาคิดว่าจะเล่าเรื่องยังไงให้เป็นสปอร์ตในแนว Daddy มันก็จะมีความแตกต่างในแบรนด์ที่เราทำ”

ความสปอร์ตในสไตล์ของแบรนด์คือการใส่ดีเทลความกุ๊กกิ๊กเข้าไป อย่างการใส่ผ้าลูกไม้ เล่นแถบ silhouette เล่นลายและคัตเอาต์ต่างๆ กับเสื้อผ้าสไตล์สปอร์ตให้ดูมีความแฟชั่นมากขึ้น 

หรือเมื่อเห็นว่าเทรนด์บัลเลต์กำลังเป็นกระแส ลูกศรและทินก็จะมานั่งคุยกับทีมว่ามีอะไรที่สามารถพลิกมุมมาเล่าบนสินค้าได้ไหมในมุมมองของร้าน และใส่กิมมิกเหล่านี้ในแต่ละคอลเลกชั่นโดยยังคงตัวตนความวินเทจของแบรนด์ไว้

“ในสไตล์วินเทจยุค 90s ที่เราชอบอยู่แล้ว เราก็จะปูทางเล่าสตอรีมาตั้งแต่ต้นในคาแร็กเตอร์การ์ตูนของเรา อย่างน้อง Wendy ที่เป็นเด็ก เราก็จะสร้างเรื่องราวให้มีเพลงที่เขาฟัง มีไดอารี แล้วเราก็ออกแบบ Wendy’s diary เวลาเราขายสมุด เล่าเรื่องในแบบวินเทจที่เราชอบมาเรื่อยๆ พอวันหนึ่งที่เทรนด์ Y2K มา มันก็ไม่ได้ยากเลยกับการที่เราจะทำคอลเลกชั่นขึ้นมาแล้วเอากิมมิกบางอย่างมาใส่”  

ด้วยความที่ผู้ก่อตั้งทั้งสองคนเป็นคนขี้เบื่อทำให้ไม่อยากนำเสนอสินค้าซ้ำเดิม แต่พยายามอัพเดตเทรนด์และเล่าเรื่องในมุมใหม่ตลอดเพื่อให้ลูกค้ามีความตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลา

Cute with Twisted Gimmick

หลายคนเมื่อเห็นโทนสีชมพูทั้งร้านที่สยามอาจเข้าใจว่าคาแร็กเตอร์ของแบรนด์คือผู้หญิงหวานแหววแต่ลูกศรบอกว่าความจริงแล้วตัวตนที่แท้จริงที่เธออยากสื่อคือความน่ารักแบบเสียดสีที่ซ่อนอยู่ในโลกสีพาสเทล ตั้งแต่ชื่อร้าน Daddy and the muscle academy ที่ได้จากชื่อหนัง LGBTQ+ จากฟินแลนด์ซึ่งสอดแทรกความขี้เล่นไปจนถึงการสร้างคาแร็กเตอร์การ์ตูน 4 ตัวของร้านที่เป็นตัวแทนของสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้งทุกคนในยุคบุกเบิก ได้แก่ คุณพ่อผู้เล่นกล้าม คุณแม่ที่มีความออร์แกไนซ์ ลูกสาวทั้งสองได้แก่ Wendy ตัวแทนเด็กสาววัยรุ่นที่อยู่ในวัย first love และน้อง Lucy น้องเล็กที่เป็นตัวป่วนสาย trouble maker ของบ้าน 

เวลาทำลวดลายบนสินค้าต่างๆ ลูกศรจะเล่าเรื่องราวความขี้เล่นของคาแร็กเตอร์เหล่านี้และใส่กิมมิกความกวนลงไปในสินค้าเฮาส์แบรนด์ที่ดีไซน์เอง หากมองแวบแรกอาจเห็นแค่สินค้าสายหวานสำหรับผู้หญิง แต่ถ้ากลับมาสังเกตดีๆ อีกทีจะเห็นรายละเอียดที่แสบซ่าในการครีเอตสินค้า เช่น 

เสื้อยืดที่ทำภาพการ์ตูนล้อกับการ์ตูนตาหวานแต่ชูนิ้วกลาง

เสื้อที่เขียนว่า Fragile และข้างล่างมีตัวอักษรเล็กๆ เขียนว่า Please care 

เสื้อลายคาแร็กเตอร์ฝาแฝดที่คนหนึ่งส่องกระจกแต่ข้างในกระจกเป็นฝาแฝดอีกคนหนึ่งที่มีสีผิวต่างกัน 

“มันจะมีความความน่ารักนะแต่มันไม่ได้น่ารักจริงๆ มันมีความเสียดสีบางอย่างซ่อนไว้
ในความน่ารักกระจุ๋งกระจิ๋ง”

เบื้องหลังแรงบันดาลใจในผลงานของลูกศรนั้น นอกจากข้าวของและไลฟ์สไตล์สายวินเทจที่ซึมซับมาตั้งแต่สมัยวัยรุ่นแล้ว ยังเป็นวัฒนธรรม ซอฟต์คัลเจอร์และไลฟ์สไตล์ในชีวิตประจำวันซึ่งไม่จำเป็นต้องอยู่ในเทรนด์และไม่จำเป็นต้องเป็นข้าวของ ‘คาวาอี้’ เท่านั้น แค่เห็นอะไรรอบตัวก็สามารถหยิบมาเป็นแรงบันดาลใจในการทำคอลเลกชั่นได้หมด 

อย่างสมุดบันทึกและโปสเตอร์วินเทจที่ทำเลียนแบบยุคก่อน ซึ่งนอกจาก house brand แล้วลูกศรก็ตั้งใจให้แบรนด์อื่นๆ ที่เลือกมาวางขายที่ร้านล้วนเป็นแบรนด์ที่มีความพิเศษในแบบของตัวเองเช่นกัน  

“เกณฑ์อย่างหนึ่งเลยที่น่าจะเป็นเกณฑ์ที่สำคัญที่สุดของ Daddy คือสินค้าต้องมีเอกลักษณ์ ไม่เหมือนใคร เป็นสินค้าที่ออกแบบเองแล้วก็มีความคราฟต์และทำมือหรือสร้างสรรค์ผลงานด้วยตัวเอง อย่างสติ๊กเกอร์โดยนักวาดภาพประกอบมากมายที่อยู่ในร้านเรา” 

ด้วยความที่สินค้าในร้านมีมากถึง 200 แบรนด์และมีหลากหลายหมวด ความหลากหลายนี้ทำให้เกิดการแข่งขันสูง ส่งผลให้แต่ละแบรนด์พยายามครีเอตความคิดสร้างสรรรค์ที่ทำให้สินค้าดึงดูดความสนใจลูกค้า  

อย่างแบรนด์ bringhome.thebacon ที่ทวิสต์รูปแบบกล่องใส่เครื่องเขียนสำหรับเด็กด้วยการทำกระป๋อง และเทียนหอม Summerstuff.marine ที่ออกแบบกลิ่นพิเศษเป็นกลิ่น Daddy’s store โดยเฉพาะ 

“แต่ละแบรนด์ก็จะมีกิมมิกเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้อยู่ในร้านซ่อนเต็มไปหมดเลย มันก็เลยกลายเป็นแม็กเน็ตที่ทำให้ลูกค้าที่เข้ามาในแต่ละครั้งได้ประสบการณ์ต่างกันกลับไป ของมันหลากหลายมาก แล้วแต่ว่าใครจะเลือกสิ่งไหนที่เข้ากับตัวเองกลับไป”  

Magic in Retail Store

ก่อนเปิดหน้าร้านที่สยาม ลูกศรเริ่มเปิดร้านจากช่องทางออนไลน์ในยุคที่อินสตาแกรมเพิ่งเข้ามาใหม่ๆ การก้าวมาเปิดหน้าร้านเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้แจ้งเกิดและคนรู้จักเยอะ

“เราไม่ได้อยากนิยามตัวเองแค่ร้านมัลติแบรนด์ ในอนาคตแบรนด์เราอาจจะไม่ใช่แค่สโตร์ก็ได้ มันอาจจะเป็น Daddy hotel หรือ Daddy pet shop หรือ Daddy café ก็ได้ จุดหมายของแบรนด์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราได้กำไรเท่าไหร่หรือขยายอีก 10 สาขาแต่เป็นการสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้า” 

ภาพร้านสีพาสเทลที่ตั้งอยู่กลางสยามโดดเด่นตั้งแต่ดิสเพลย์หน้าร้าน เมื่อเปิดประตูเข้ามาเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในโลกสีพาสเทลสดใสที่เต็มไปด้วยสารพัดของกุ๊กกิ๊กวางเรียงรายอัดแน่น  

ธีมของร้านจะผ่าครึ่งแบ่งเป็นสองฝั่งอย่างชัดเจน “ด้านหนึ่งใช้ชื่อว่า Daddy and the muscle academy ที่มีความโฮมมี่ดูบ้านๆ หน่อย ตัวเฮาส์แบรนด์ที่ดีไซน์เองก็จะมีทั้งเสื้อผ้า เครื่องเขียน และแอ็กเซสเซอรีต่างๆ อีกฝั่งหนึ่งจะใช้ชื่อว่า STICKERLAND เป็นดินแดนสติ๊กเกอร์ที่เดินเข้ามาจะมีความเป็นมาร์ตนิดๆ”  

ชั้น 1 นอกจากมีสินค้าสำหรับวางขายแล้ว ทุกมุมของร้านยังตกแต่งอย่างน่ารักเหมือนฉาบด้วยกลิตเตอร์สีชมพูให้ไม่เหลือพื้นที่ว่าง ตั้งแต่ตู้คีบตุ๊กตา ตู้ล็อกเกอร์โรงเรียนติดสติ๊กเกอร์ ห้องลองเสื้อที่ตกแต่งด้วยผ้าแพตช์เวิร์กจากผ้าเช็ดหน้าวินเทจลายดอกไม้ 

ชั้น 2 เป็นโซนตู้ถ่ายรูปสติ๊กเกอร์ที่ถ่ายรูปแล้วสามารถลอกสติ๊กเกอร์มาติดได้จริงๆ เหมือนตู้ถ่ายรูปที่ฮิตในยุค 90s และร้านทำเล็บ Kantima Salon ที่เหมือนยกทุ่งดอกไม้และบรรยากาศความสดใสในร้านทั้งหมดไปอยู่บนเล็บ 

นอกจากแจ้งเกิดในบรรดาลูกค้าไทยแล้ว ลูกศรอธิบายว่าเพราะหน้าร้านที่สื่อสไตล์แตกต่างชัดเจนนี้เองที่ทำให้ลูกค้าต่างชาติแวะมาเยี่ยมเยียนที่ร้านซึ่งตรงกับความตั้งใจแรกของลูกศรและทินที่อยากให้ไทยมีที่ช้อปปิ้งเป็น tourist destination ของชาวต่างชาติ

“พอเราทำสโตร์ ช่วงแรกก็ยังเป็นลูกค้าคนไทยอยู่ แต่เพราะที่นี่เป็นสยามก็เลยมีลูกค้าชาวต่างชาติเริ่มมาบ้าง เริ่มจากมีลูกค้าชาวจีนมาถ่ายรูปกลับไปแชร์บอกเพื่อนๆ ในแอพพลิเคชั่นอย่าง Xiaohongshu (เสี่ยวหงซู) ที่คล้ายอินสตาแกรมของไทย พอคนไปแชร์เยอะๆ ก็เริ่มมีทั้งคนจีน ไต้หวัน ฮ่องกงกลับมา ลูกค้าจากทางฝั่งยุโรปและตะวันออกกลางก็มีบ้างเหมือนกัน จนก่อนโควิด-19 ลูกค้าชาวไทยและต่างชาติคิดเป็น 50:50 เลย และช่วงนี้ลูกค้าต่างชาติก็เริ่มทยอยกลับมาแล้ว” 

ออฟไลน์เป็นส่วนหลักที่ทำให้ภาพแบรนด์แข็งแรงจนเตะตาดึงดูดคน ส่วนออนไลน์เป็นส่วนเสริมที่ทำให้ไวรัลและเกิดการบอกปากต่อปาก โดยมีแพลตฟอร์มต่างๆ ทั้ง Shopee, Lazada, Pinkoi เป็นช่องทางเสริมให้ลูกค้าเข้าถึงง่ายมากขึ้น

“ร้านเราได้ word-of-mouth เยอะมาก คือถ้าให้เทียบว่าเราทำการตลาดแบบยิงโฆษณาไหม คือเราแทบไม่ได้ยิงและแทบไม่ใช้การตลาดแบบเสียเงินเลย มันไปได้ไกลและไปเร็วเพราะการที่คนมาแล้วได้สัมผัสประสบการณ์จริงกลับไปทำให้คนได้ซึมซับแล้วเอาไปพูดต่อได้ 

“มันอาจจะขัดกับตอนนี้ที่ทุกคนคิดว่าหน้าร้านไม่จำเป็นแล้ว ทุกคนก็ไปเน้นออนไลน์ แต่อย่างร้านของเราจะกลับกันที่คนเข้ามาหน้าร้านเพื่อมาเสพ เวลาที่คนช้อปออนไลน์มันอาจจะไม่ได้สนุกเท่ากับการได้มาเสพประสบการณ์ที่นี่ที่ไม่ได้แค่ของกลับไป แต่ได้ประสบการณ์เลือกซื้อของที่ดีต่อใจ”

ทั้งนี้ที่ผ่านมาลูกศรบอกว่าสิ่งที่ลองทำแล้วต้องพับไปก็มีเหมือนกัน เช่น การเปิดร้านสาขาใหม่ที่หัวลำโพงในชื่อ Daddy Vintage and Souvenir Store ซึ่งเปิดได้ไม่นานก็เจอโควิด-19 ทำให้ต้องล้มเลิกไปแต่ก็ไม่เสียใจที่ได้ลองทำ เพราะยึดเป้าหมายหลักในระยะยาวที่อยากสร้างประสบการณ์ใหม่ให้ลูกค้า 

Go Niche or Go Home  

นอกจากเป็นผู้ร่วมก่อตั้งของ Daddy and the muscle academy แล้ว ลูกศรยังควบตำแหน่งผู้ร่วมก่อตั้ง Frank Garcon ร้านมัลติแบรนด์ที่เน้นสินค้ายูนิเซ็กซ์สำหรับผู้หญิงและผู้ชายซึ่งมีสไตล์และกลุ่มลูกค้าแตกต่างจากสายหวานโดยสิ้นเชิง 

ในการปั้นร้านมัลติแบรนด์ให้เป็นขวัญใจวัยรุ่น เธอบอกว่าสิ่งที่ทำให้ร้านมีความแตกต่างและโดดเด่นคือ CI (corporate identity) หรืออัตลักษณ์ของแบรนด์ที่ต้องทำให้ชัดเจน 

“การสื่อสารเรื่องราวของแบรนด์ออกไป วิธีที่จะทำให้คนเก็ตฟีลและเข้าใจสไตล์ของร้านเราได้คือ CI ต้องชัดมากก่อน โมเดลธุรกิจอาจดูคล้ายกัน แต่รายละเอียดจริงๆ ในทุกจุดจะต่างกันโดยสิ้นเชิง ลักษณะการสื่อสารออกไปของ Daddy and the muscle academy จะต้องเป็นเหมือนเด็กผู้หญิงเล่าเรื่อง ส่วนของ Frank Garcon จะเป็นเพื่อนที่พูดภาษาเดียวกับกลุ่มเป้าหมาย ร้านจะมีกลิ่นอายความเท่และความเป็นผู้ชาย เหมือนเป็นโลกอีกใบหนึ่งไปเลย จุดสำคัญคือการสื่อสารให้ถึง” 

จับกลุ่มเป้าหมายให้ถูก เล่าเรื่องให้ถูกกลุ่ม สื่อสารให้ชัด คือแก่นสำคัญในการเริ่มต้นทำมัลติแบรนด์ ซึ่งสไตล์ของ Daddy and the muscle academy ถือว่าเป็นธุรกิจที่จับตลาด niche แม้ไม่แมส แต่การไปให้สุดในตลาดเฉพาะกลุ่มของตัวเองนั้นทำให้ใครก็ตามที่ชอบความกุ๊กกิ๊กน่ารักแบบ 90s จะนึกถึง Daddy เป็นร้านแรก

“ไม่ใช่ลูกค้าทุกคนที่จะเป็นลูกค้า Daddy แต่ผู้หญิงที่ชอบของกุ๊กกิ๊กทุกคนต้องเข้าร้านเรา ด้วยความเยอะของกลุ่มลูกค้าเลยทำให้ขนาดตลาดของร้านเท่ากับ Frank Garcon ที่แมสกว่า ถึงเราจะ niche แต่เราเก็บทุกคนที่ชอบสไตล์นี้ได้”

95% ของลูกค้าที่ร้านเป็นผู้หญิงซึ่งครอบคลุมหลายวัยและมีความชอบหลายแบบ ทั้งเด็กนักเรียนที่อยากได้เครื่องเขียนอย่างสติ๊กเกอร์ สมุดที่น่ารักดีต่อใจสำหรับจดเลกเชอร์หรืออ่านหนังสือสอบ ลูกค้าชาวต่างชาติที่อยากได้เสื้อผ้า กระเป๋า หมวกเทรนด์ Y2K กลับไปมิกซ์แอนด์แมตช์กับเสื้อผ้าที่มีอยู่ ผู้ใหญ่ที่ยังชอบของกุ๊กกิ๊กและอยากย้อนวัยกลับไปเป็นเด็กวัยรุ่นอีกครั้ง ไปจนถึงเด็กที่มากับคุณพ่อคุณแม่

ยิ่งพอเปิดร้านมายาวนานหลายปี ลูกศรก็ได้เห็นความเติบโตของแฟนคลับที่เติบโตไปพร้อมกัน “พอเราเปิดเมื่อ 7-8 ปีที่แล้ว ลูกค้าที่อยู่ ม.1 ในวันนั้น วันนี้เขาก็เข้ามหาวิทยาลัยแล้ว 

“คนที่เพิ่งเรียนจบในตอนนั้น ตอนนี้เขาก็น่าจะอายุ 30 ปีแล้ว ความคิดของเขาหรือสิ่งที่เขาเจอ เพื่อนๆ ของเขาก็ต่างออกไปแล้ว ลูกค้าหน้าใหม่ที่เป็น young generation ก็จะผลัดเปลี่ยนเข้ามา แต่ถ้าเขานึกถึงความกุ๊กกิ๊กเบอร์นี้เมื่อไหร่ ยังไงเขาก็ต้องนึกถึงเรา”

Academy for Creators 

หลายคนมักบอกว่าการทำธุรกิจต้องเริ่มต้นจากการคิดใหญ่แล้วจะไปได้ไกล ลูกศรเป็นตัวแทนของคนที่เริ่มจากแพสชั่นแล้วแปลงความชอบส่วนตัวให้อยู่ในโลกความเป็นจริงได้

“เราเริ่มต้นจากไม่ได้ think big ว่า business model จะต้องเติบโตได้เท่าไหน เราทำกับเพื่อนแล้วเริ่มพัฒนาจากความชอบ เริ่มง่ายๆ เปิดไอจีกันเอง เริ่มขายกันเอง ช่วงแรกเราเป็นแอดมินเอง เปิดร้านก็เข้าเอง เราเลยโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป” 

สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการเป็นดีไซเนอร์ที่มาทำธุรกิจคือการคิดให้กลม 360 องศา เพราะการทำธุรกิจประกอบด้วยหลายส่วนทั้งภาษี บัญชี เรื่องตัวเลขทั้งสต็อกและดาต้ามากมายไปจนถึงเรื่องการบริหารจัดการคน

เรื่องไหนที่ไม่ถนัดอย่างบัญชีก็หาคนที่รู้จริงในด้านนั้นมาช่วย ส่วนการบริหารจัดการที่ยิบย่อยอย่างสต็อกที่มีสินค้าราวหมื่นชิ้นก็เซ็ทอัพระบบและทีมในการบริหารจัดการเพื่อช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ไม่ถนัด  

“มันไม่ใช่แค่เราสร้างร้านมาสวยงามแล้วหลังบ้านเราจะทำยังไงก็ได้ ทั้ง front และ bank-end (หน้าบ้านและหลังบ้าน) รวมถึงเรื่องทีมก็ต้องแข็งแรงมากๆ การเป็นเจ้าของกิจการต้องใช้หลายทักษะมากๆ ต้องผสมทักษะการคุยกับคนและการบริหารจัดการต่างๆ โดยที่ความคิดสร้างสรรค์ของเราก็ยังต้องมีอยู่” 

จาก day 1 ของ Daddy and the muscle academy ทุกวันนี้วงการครีเอเตอร์เติบโตขึ้นอย่างมาก มีแบรนด์เล็กๆ ทยอยเกิดใหม่ขึ้นมากมาย ทั้งสินค้าทำมือของศิลปินและงานออกแบบของดีไซเนอร์ 

ลูกศรมองว่าร้านของเธอเป็นเวทีหนึ่งที่เปิดโอกาสให้แบรนด์รายย่อยเหล่านี้ได้ฉายแสงและความภาคภูมิใจคือการเห็นศิลปินและแบรนด์ต่างๆ ที่เริ่มต้นทำมาด้วยกันเติบโตจนบางแบรนด์สามารถเปิดร้านของตัวเองได้ไปจนถึงมีชื่อเสียงโด่งดังหรือเป็นที่รู้จักแพร่หลายมากขึ้นในวงการของตัวเอง  

“เราไม่ได้หวงและไม่คิดว่าจำเป็นจะต้องมีร้านเราที่เดียว รู้สึกว่าการมีแบรนด์หรือนักวาด

ใหม่ๆ เป็นการเขย่าให้คนรู้สึกว่ามีแบรนด์ที่น่าสนับสนุนอีกมากมาย คิดว่ามันเป็นการส่งเสริมและกระตุ้นเศรษฐกิจของวงการสร้างสรรค์นี้ด้วยและแต่ละร้านมัลติแบรนด์ก็จะมีสไตล์เป็นของตัวเองอยู่แล้ว” 

ร้านมัลติแบรนด์จึงเป็นเหมือน Business Academy ที่สร้างพื้นที่ปล่อยของให้เหล่าครีเอเตอร์ที่ชอบสไตล์เดียวกัน ยิ่งมีแบรนด์เยอะ ก็ยิ่งคูณพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์ให้เป็นแหล่งรวมแบรนด์ที่พิเศษอย่างเท่าทวีคูณ 

Add to Cart : 5 สินค้าฮิตติดเทรนด์ของ Daddy and the muscle academy

  1. เสื้อยืด Rosie Rose เมื่อแฟนคลับซื้อเสื้อยืดรุ่นนี้ให้ศิลปินคนโปรดอย่างโรเซ่ blackpink แล้วโรเซ่ใส่ขึ้นคอนเสิร์ตจริง ทำให้เสื้อตัวนี้ขายถล่มทลายในชั่วพริบตาเดียว 
  2. สมุด NewJeans Collect Book แต่เดิมสไตล์สมุดวินเทจของร้านนั้นมีความน่ารักเป็นเอกลักษณ์อยู่แล้ว วันหนึ่งปรากฎว่าวง New Jeans นำสมุดของร้านไปใช้ เลยกลายเป็นสมุดสุดฮิต
  3. คอลเลกชั่นเสื้อผ้า DADDY X IPYAL ที่ร่วมคอลแล็บกับแบรนด์ I Peach you A Lot นำลายเส้นน่ารักของศิลปินมาอยู่บนชุดอย่าง Pixie Baby Dress และอีกมากมาย
  4. Private School Top เสื้อกีฬาครอปตามเทรนด์สปอร์ตที่สกรีนสีสดใสให้เหมาะกับสาวๆ
  5. Little Wendy & Daddy Doll Keychain ตุ๊กตาพวงกุญแจรูป Wendy และแด๊ดดี้ เป็นคาแร็กเตอร์เอกลักษณ์ของร้านที่ไม่เหมือนใคร
ข้อมูลติดต่อ :
Facebook :
Daddy and the muscle academy 
Instagram : @daddy_and_themuscleacademy

Chaya Teahouse ร้านมัทฉะออร์แกนิกสไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิมโดยคนไทยที่เคยไปฝึกงานที่ไร่ชาถึงญี่ปุ่น

ปฏิเสธไม่ได้ว่าเทรนด์การดื่มมัทฉะของคนไทยในช่วง 3-4 ปีผ่านมานี้ยังคงมาแรงไม่แพ้เทรนด์การกินอาหารเพื่อสุขภาพหรือการดื่มนมทางเลือก เห็นได้จากบรรดาเหล่าคาเฟ่สเปเชียลตี้มัทฉะที่ผุดขึ้นมาใหม่เรื่อยๆ ไม่เพียงแค่ในกรุงเทพฯ แต่รวมถึงในต่างจังหวัดด้วย ซึ่งถ้าจะบอกว่าคนไทยส่วนหนึ่งก็ต่างมีความรู้เรื่องมัทฉะแบบลงลึกและลงดีเทลมากขึ้นก็ไม่เกินเลยไปนัก มัทฉะกลายเป็นเสมือนเครื่องดื่มในชีวิตประจำวันของใครบางคน ไม่เว้นแม้แต่ตัวผู้เขียนไปแล้ว

อธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ‘มัทฉะ’ คือชาเขียวญี่ปุ่นชนิดหนึ่งที่มีความแตกต่างในกรรมวิธีการผลิต โดยมัทฉะจะต้องเป็นใบเทนฉะที่ถูกปลูกแบบคลุมร่ม ก่อนจะถูกเก็บเกี่ยวด้วยการคัดสรรยอดใบชา 3 ใบแรก แล้วจึงผ่านกระบวนการนึ่ง ไปจนถึงการโม่ให้เป็นผง โดยความสดใหม่นี้นี่แหละ ที่ทำให้ตัวผู้ดื่มเองได้รับประโยชน์ในเชิงสุขภาพไปเต็มๆ

ท่ามกลางคาเฟ่สเปเชียลตี้มัทฉะที่เปิดขึ้นใหม่ในปัจจุบัน บ้านชาญี่ปุ่นหลังเล็กๆ อย่าง ‘Chaya Teahouse’ ที่ก่อตั้งโดย น้ำ–จิตชญา สาระสมบัติ กลับมีจุดยืนของแบรนด์ที่แตกต่างและโดดเด่น อย่างการเลือกใช้มัทฉะ–ชาญี่ปุ่นออร์แกนิกซึ่งผ่านการรองรับมาตรฐานระบบเกษตรอินทรีย์ของประเทศญี่ปุ่น (JAS: Japanese Agricultural Standards) จากความตั้งใจของเธอที่อยากจะให้คนไทยทุกๆ คนได้ทำความรู้จักกับมัทฉะคุณภาพดี รสชาติอร่อย และมีประโยชน์ต่อสุขภาพ

“ประโยชน์ของมัทฉะ คือการที่เขาอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ (anitioxidant) มีสารแอลธีอะนีน (L-theanine) ที่ช่วยให้สงบ รู้สึกผ่อนคลาย ในขณะเดียวกันก็ยังมีคาเฟอีน โดยฤทธิ์ของคาเฟอีนจะค่อยๆ ถูกปล่อย ช่วยให้รู้สึกสดชื่นระหว่างวันได้แบบยาวๆ แล้วที่สำคัญมัทฉะนั้นยังมีรสชาติที่อร่อย ถูกใจคนไทยอีกด้วย” น้ำบอกถึงสรรพคุณของมัทฉะ

ด้วยสิ่งที่เธอหลงใหลอย่างมัทฉะบวกกับความรักในการดูแลสุขภาพ อยากจะส่งมอบสิ่งดีๆ ให้กับผู้ดื่ม ‘มัทฉะและชาญี่ปุ่นแบบออร์แกนิก’ จึงกลายมาเป็นทางเลือกแรกและชอยส์หลักในการริเริ่มทำธุรกิจชาของเธอ

แต่เมื่อพูดถึงคำว่า ‘ออร์แกนิก’ pain point ของอาหารและเครื่องดื่มในหมวดหมู่นี้คือเรื่องรสชาติที่ใช่ว่าจะเข้าใจได้ง่าย โดยเฉพาะในช่วงที่เทรนด์การกินอาหารเพื่อสุขภาพยังไม่บูมพอ นี่จึงเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนของน้ำในการเสาะหามัทฉะออร์แกนิกที่รสชาติดี ทั้งยังมีมัทฉะหลากหลายสายพันธุ์เดี่ยวที่ให้ผู้ดื่มสามารถเอ็นจอยไปกับการเลือกโทน-โน้ตที่แตกต่างกันไปได้ตามใจชอบด้วย 

เพราะไม่ได้อยากเติบโตในองค์กรจนเกษียณ
สู่การเปิดบริษัทชาในนาม ‘Chaya & Co.’

บริษัท Chaya & Co. ซึ่งเป็นร่มใหญ่ของบ้านชาอย่าง Chaya Teahouse มีจุดเริ่มต้นมาจากน้ำในวัย 30 ปีปลายๆ ที่ยังเป็นพนักงานออฟฟิศ ตอนนั้นเธอคิดว่าตัวเองจะต้องตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง เพื่อไม่ให้ชีวิตนี้ต้องทำงานอยู่ในองค์กรจนเกษียณไป ซึ่งด้วยความชอบดื่มชาญี่ปุ่นทั่วไป ผนวกกับความชื่นชอบในการบริโภคอาหารญี่ปุ่นรสธรรมชาตินี่เอง ที่ทำให้ทุกๆ อย่างเกิดขึ้นได้แบบไม่คาดคิด

“ช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมาเราไปญี่ปุ่นบ่อยเพราะชอบวัฒนธรรม ชอบอาหารรสธรรมชาติ ชอบคน ชอบเกียวโตมาก แล้ววันหนึ่งเราไปเจอคุณป้าคนนึงที่เขาสอนทำกับข้าวแบบไพรเวตที่บ้าน เราก็ไปขอเรียนกับคุณป้า และเมื่อไหร่ที่ไปเกียวโตก็จะต้องแวะกลับไปหาแกอย่างน้อยหนึ่งวัน เพื่อให้แกสอนชิมรสชาติธรรมชาติของ ingredient ไม่ว่าจะเป็นซีอิ๊ว เป็นฮอนมิริน เป็นสาหร่าย ถั่ว เต้าหู้ดีๆ แล้วเวลาเราไปร้านชาที่เกียวโตเราก็มีโอกาสได้เจอ tea master บ้าง ก่อนจะขอให้เขาสอนพิธีชงชาให้กับเรา ถือเป็นความบังเอิญที่โชคดี เราก็เลยเริ่มคอนเนกต์ทุกๆ อย่างเข้าไว้ด้วยกันตั้งแต่นั้นมา”

ทุกอย่างเหมือนเป็นใจให้กับน้ำ เธอจึงคิดว่าเธอควรจะเริ่มทำธุรกิจให้ออกมาเป็นรูปเป็นร่างเสียที โดยการก่อตั้งบริษัท Chaya & Co. ขึ้นเป็นบริษัททัวร์ ซึ่งเป็นธุรกิจที่จะรวมเอาความหลงใหลในเสน่ห์ทุกอย่างของประเทศญี่ปุ่นเข้าไว้ด้วยกันได้ แต่นั่นไม่ใช่แค่สิ่งเดียวที่เธอคิด เพราะเธออยากทำบริษัทชาควบคู่กันไปด้วย

“ตอนตั้งบริษัทก็คิดอยู่นานเหมือนกันว่าจะชื่ออะไร คิดมาหลายชื่อมาก แล้วสุดท้ายเราก็ทำรีเสิร์ชเยอะพอสมควร ก็รู้ว่าคำว่า ‘ชา’ ญี่ปุ่นเขาเรียก ชา (茶) ส่วน ชายะ (茶屋) แปลว่าร้านชา ซึ่งอาจจะไม่ขายชาอย่างเดียวก็ได้ แต่ยังสามารถหมายถึงที่พักผ่อน ที่พักของคนเดินทางก็ได้ เหมือนเป็นที่ที่ offer hospitality

 “เราเลยคิดว่าใช้ชื่อ Chaya น่าจะดี เพราะก็คล้องกับชื่อจริงตัวเองอย่างจิตชญาด้วย ซึ่งคำว่า ‘ชญา’ ในภาษาไทยแปลว่า ‘เข้าใจถ่องแท้ รู้ซึ้ง’ พอรวมกันเป็นจิตชญาเลยแปลว่า ‘เข้าใจจิตใจของคนอื่น’ ทีนี้แค่ Chaya อย่างเดียวมันยังฟังดูสั้นๆ เราเลยปรึกษากับเพื่อน เพื่อนบอกว่า ก็ ‘ชญาและเพื่อนไง’ ก็เลยได้กลายมาเป็น Chaya & Co.ในทุกวันนี้”

จากคอนเซปต์หลักของบริษัททัวร์ที่เธอตั้งไว้อย่างการชวนผู้คนให้ได้ไปท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นกันแบบ ecotourism หรือการท่องเที่ยวแบบสัมผัสประสบการณ์ญี่ปุ่นแถบชนบท ความคิดของการอยากจะพาลูกทัวร์ไปชมไร่ชาออร์แกนิกจึงเกิดขึ้น

“ecotourism ในความหมายของเราคือการเที่ยวในชานเมือง เที่ยวชมธรรมชาติ เที่ยวในฟาร์มสเตย์ ในช่วงนั้นเราก็มีการนัดแนะกับทางจังหวัดนากาโน่เอาไว้เพื่อที่จะไปพรีเซนต์โปรเจกต์ทัวร์นี่แหละ แล้วอยู่ๆ พอเราบอกเพื่อนว่าตัวเราจะไปพรีเซนต์นะ เพื่อนก็บอกว่า ‘มาเยี่ยมฉันที่ไร่ชาที่ชิซึโอกะสิ ฉันจะพาเธอดูชาออร์แกนิก’ เราก็เลยคิดว่ามันเป็นไอเดียที่ดี เพราะก็สามารถโยงกับเรื่องท่องเที่ยวได้ แล้วมันก็เป็นเรื่องที่เราชอบ เราก็เลยตัดสินใจไป”

แต่ด้วยโรคระบาดโควิด-19 แพลนการก่อตั้งบริษัททัวร์ของน้ำจำต้องพับเหลือเพียงแค่โปรเจกต​์ที่สอง หรือบริษัทชาที่เธอเองตั้งใจจะทำบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ในคอนเซปต์ของการอยากเชิญชวนผู้คนมาทำความรู้จักกับชาออร์แกนิกให้มากขึ้นและสนุกไปกับการชงชาดื่มเองได้ที่บ้าน 

จุดเริ่มต้นของ ‘Chaya & Co.’ คือการได้รับโอกาส

ถึงแม้ความตั้งใจในตอนแรกของน้ำคือการเปิดบริษัททัวร์และการไปเยี่ยมเพื่อนที่ทำงานอยู่ในไร่ชาตามคำเชิญชวน แต่ไม่น่าเชื่อว่าด้วยโอกาสนี้เองจึงทำให้น้ำได้ไปฝึกงานอยู่ที่ไร่ชาออร์แกนิกของคุณฮัตโตริ (Hattori) ในเมืองคิคุกาวะ (Kikugawa) จังหวัดชิซึโอกะ (Shizuoka) ทั้งยังเป็นช่วงฤดูเก็บเกี่ยวแรกของปี หรือในเดือนพฤษภาคมอย่างพอดิบพอดี โดยนับเป็นระยะเวลาราวๆ 2 สัปดาห์ ก่อนเธอจะหยิบนำเหล่าความรู้ที่ตกผลึกแล้วมาเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของการเปิดบริษัทชาภายใต้ชื่อ Chaya & Co. อย่างเต็มรูปแบบ

“จุดเริ่มต้นของ Chaya & Co. นั้นคือเราเห็นโอกาสของการได้ผลิตภัณฑ์ที่ดี ซึ่งเราก็อยากจะเอาของดีๆ เหล่านี้มาให้คนอื่นได้ดื่ม เพราะในบ้านเรา ณ ตอนนั้นยังไม่มีชาออร์แกนิกที่คุณภาพดีและอร่อยแบบนี้

“จริงอยู่ท่ีว่าจุดเด่นของที่ไร่คือการปลูกชาแบบออร์แกนิก แต่ในขณะเดียวกันเราก็อยากที่จะรู้กระบวนการผลิตชาตั้งแต่ต้นจนจบว่าเขาทำชากันยังไง เพราะเราก็คิดว่าถ้าเราเข้าใจมันได้ดีเราเองก็จะขายของได้ อธิบายได้ นี่ก็เลยเป็นจุดที่ทำให้ตอนนั้นเราตัดสินใจที่จะไป”

จากการเดินทางไปฝึกงานที่ไร่ชาของน้ำในครั้งนี้ ทำให้เธอได้รู้ว่า ‘การมีความรู้แบบคนดื่มชา’ กับ ‘การมีความรู้แบบคนที่ผลิตชา’ นั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เพราะในทุกๆ วันที่เธอได้ไปทำงานเธอได้รับความรู้ใหม่ๆ มากมาย ทั้งยังต้องกลับมาทบทวนหน้าที่ที่ได้รับผิดชอบในส่วนของไร่ชาและโรงงานอีกด้วย

“การดูแลชาเป็นการทำงานหนัก เป็นงานละเอียด คนที่อยู่หน้างานเขามีทั้งแรงกาย แรงใจ เขาดูแลชาเหมือนลูกเลย มันเลยทำให้เรารู้ว่าชาออร์แกนิกที่นี่มีคุณภาพจริงๆ”

จากประสบการณ์ในไร่ชาออร์แกนิกครั้งนั้นนำมาซึ่งจุดยืนที่สำคัญของ Chaya & Co. ในขวบปีแรก อย่างการเป็นผู้นำเข้ามัทฉะและชาญี่ปุ่นออร์แกนิกเจ้าแรกในประเทศไทยนับตั้งแต่ช่วงปี 2018 จากการได้รับโอกาสและแรงบันดาลใจจากเจ้าของไร่ชาที่เธอได้ไปฝึกงาน

“เรารู้สึกว่าเจ้าของไร่ชาเขาให้เกียรติเรามาก คือเราเป็นเสมือนคนแปลกหน้าคนนึง แต่เขาก็ให้โอกาส ให้ไปดูไร่เขา ให้เราได้ไปทำ เขาให้โอกาสเราได้เห็นการผลิตอะไรหลายๆ อย่างที่คนอื่นเขายังไม่ได้ให้เห็นเยอะขนาดนี้เลย นั่นคือแรงบันดาลใจที่รู้สึกว่าเขาเปิดใจให้เรามากๆ”

เพียงแค่ต้องการพื้นที่สำหรับทำออฟฟิศ
หน้าร้านอย่าง ‘Chaya Teahouse’ จึงเกิดขึ้น

ด้วยความรู้เรื่องชาออร์แกนิกจากประสบการณ์โดยตรง การพยายามสร้างธุรกิจที่ยังไม่มีในไทย และคอนเซปต์ของบริษัทอย่าง ‘การอยากให้ลูกค้าได้ชงชาอยู่ที่บ้านด้วยตัวเองได้’ ในช่วงโรคระบาดโควิด-19 เช่นนี้จึงเป็นดั่งแต้มต่อให้ Chaya & Co. เติบโตอย่างรวดเร็วภายใน 3 ปี ประจวบกับเทรนด์ของมัทฉะเองก็เริ่มมาแรงมากขึ้น ‘Chaya Teahouse’ จึงได้ถือกำเนิดขึ้นในปี 2021 ด้วยโลเคชั่นที่ตั้งอยู่ในย่านอารีย์-ประดิพัทธ์ 

“จริงๆ แล้วเราเป็นคนเชียงใหม่ แต่มาอยู่กรุงเทพฯ นานมาก แล้วก็อยู่ย่านนี้มา 10 กว่าปี สิ่งที่เห็นก็คือการเปลี่ยนแปลงที่เร็วมาก มีไวบ์ที่ดี มีอะไรเก๋ๆ สมัยใหม่เกิดขึ้นมากมาย ในขณะเดียวกันมันก็มีความเก่าแก่จากเหล่าบ้านเรือนของเพื่อนบ้านที่อยู่อาศัยกันมาเนิ่นนาน ถือเป็นความรู้สึกอบอุ่นที่ดี แต่ก็เป็นย่านที่มีความทันสมัย เพราะก็มีคนรุ่นใหม่และคนที่ทำงานออฟฟิศเข้ามาอยู่อาศัยกันมากขึ้น” 

และด้วยความที่น้ำเป็นคนง่ายๆ โลเคชั่นของร้านจึงต้องเข้าถึงได้ง่ายและสะดวกต่อการเดินทาง ทั้งสำหรับเธอเองและลูกค้าด้วย โดย pain point หลักของลูกค้าย่านนี้ก็คือที่จอดรถ เธอจึงตัดสินใจเลือกสถานที่ที่ทั้งติดบีทีเอส มีที่จอดรถ และมู้ดโดยรอบที่ผสมปนเประหว่างความเก่า-ใหม่ตรงกับคอนเซปต์ของ Chaya Teahouse อย่างลงตัว

“จุดที่คิดว่าต้องเปิด Chaya Teahouse ได้แล้วคือลูกค้าเริ่มสอบถามถึงสถานที่เข้ามาชิมชา แล้วลูกค้าก็อยากจะเรียนรู้วิธีการชงชา ดังนั้นเราก็เลยรู้สึกว่าเราจะต้องมีสถานที่สำหรับนัดเจอกันมากกว่าการออกไปนัดเจอตามสถานที่ต่างๆ

“ตอนนั้นคิดแค่ว่าอยากจะมีออฟฟิศ มีที่สต็อกชา แล้วก็อยากมีห้องรับแขกไว้รับลูกค้าที่นัดมาชิมชา นัดมาหัดชงชา โดย Chaya Teahouse ก็จะต้องตอบสนองความสนใจส่วนตัวในเรื่องวัฒนธรรมญี่ปุ่นของเราด้วย นั่นคือสิ่งที่ทำให้เราตัดสินใจตกแต่งออฟฟิศกว่าครึ่งหนึ่งเป็นห้องชงชาแบบญี่ปุ่น ก่อนจะมีคนเริ่มพูดกับเราว่า ‘ทำเป็นคาเฟ่เลยดีไหม’”

ด้วยทำเลที่ดี สถานที่ที่พร้อม น้ำจึงตัดสินใจที่จะเปิดคาเฟ่ หรือบ้านชาในชื่อ Chaya Teahouse ต้อนรับผู้คนเป็นครั้งแรก ซึ่งด้วยสถานที่ที่มีขนาดกะทัดรัด เธอจำจะต้องประกาศให้ลูกค้าได้ทำการจับจองที่นั่งล่วงหน้า พร้อมทั้งแจ้งให้ลูกค้าทราบถึงคอนเซปต์ของร้านที่น้ำเองยังอยากจะนำเสนอเมนูมัทฉะและชาชนิดต่างๆ ในสไตล์ญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม อาทิ เมนูมัทฉะเกรดพิธีชาที่ถูกนำมาชงด้วยน้ำร้อน เรียกว่า ‘อุซุฉะ’ (Usucha) หรือการชงบาง เมนู ‘โค่ยฉะ’ (Koicha) หรือการชงข้น ก่อนจะเสิร์ฟในถ้วยดื่ม มาพร้อมกับขนมหวานดั้งเดิมของญี่ปุ่น (Wagashi) ตามฤดูกาลนั้นๆ ไปจนถึงเมนูมัทฉะลาเต้ตามแบบฉบับญี่ปุ่นที่จะเน้นใช้สัดส่วนชาน้อย ให้ความรู้สึกดื่มสบาย โดยตัวมัทฉะเองก็ยังจะถูกชงด้วยน้ำร้อน ก่อนจะราดลงบนชั้นนมเย็นๆ คนให้เข้ากันพร้อมดื่ม เป็นต้น

 เพราะเสียงของลูกค้าสำคัญที่สุด
ความ Traditional กับ Modern ต้องมาด้วยกัน

จริงอยู่ที่ว่า ‘Chaya Teahouse’ อาจดูเหมือนคาเฟ่สเปเชียลตี้มัทฉะที่เพียบพร้อมไปหมดซะทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความรู้ ความเชี่ยวชาญ บรรยากาศของห้องชงชาที่ถูกปูด้วยเสื่อทาทามิ เสมือนวาร์ปไปยังประเทศญี่ปุ่น และเมนูมัทฉะสไตล์ดั้งเดิมเองก็ดี แต่เชื่อไหมว่าในระยะเวลาเพียงแค่ 2 สัปดาห์หลังจากการเปิดร้าน น้ำจำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนเมนูตามเสียงฟีดแบ็กของลูกค้าคนไทยด้วย นั่นก็เพราะว่าเธอตั้งใจอยากให้ Chaya Teahouse เป็นคาเฟ่สำหรับทุกคน โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่อยากเข้าถึงมัทฉะและชาออร์แกนิก ก่อนจะปล่อยให้บ้านชาหลังนี้ค่อยๆ เติบโตไปแบบ word-of-mouth อีกหนึ่งการเติบโตของธุรกิจที่ออร์แกนิกด้วยเช่นกัน 

“ภายในระยะเวลา 2 อาทิตย์มันทำให้เรารู้ได้เลยว่าลูกค้าชอบรสหนัก ทั้งยังชื่นชอบเมนูสดชื่น เพราะบ้านเราเป็นเมืองร้อน ดังนั้นแล้วเราก็ต้องปรับสัดส่วนชาในเครื่องดื่มของเราทั้งหมด ก่อนจะลองหันมาเพิ่มเมนูมัทฉะลาเต้ที่ตีมัทฉะไปกับนมเพื่อให้ได้รสแน่นๆ ตามที่ลูกค้าคนไทยชอบ ซึ่งความเข้มนี่แหละที่เป็นประเด็นสำคัญจนทำให้เราต้องเริ่มมาทำความเข้าใจกับมันใหม่

“พวกเครื่องดื่มแบบสดชื่นๆ รสเปรี้ยว-หวานเราก็จำเป็นที่จะต้องมี เพราะเราอยู่ประเทศไทย เราเลยคิดว่า งั้นเราก็ลองนำเสนอน้ำผึ้งของไทยด้วยเมนู ‘Matcha Honey Lemon’ มัทฉะน้ำผึ้งเลมอนด้วยเลยก็ดี อีกทั้งเรายังมีเมนู ‘Matcha Sparkling Rose’ ที่ไม่เหมือนใคร เพราะเราใช้กุหลาบที่ปลูกที่บ้านจากเชียงใหม่มาเป็นส่วนผสมของเครื่องดื่มในร้านเรา จนกลายมาเป็นอีกหนึ่งเครื่องดื่มที่ขายดี”

แม้การปรับเข้าหาลูกค้านั้นสำคัญ แต่ส่ิงที่สำคัญไม่แพ้กันเลยเห็นจะเป็น ‘การไม่ทิ้งจุดยืน’ ของความเป็น Chaya Teahouse

“ในตอนแรกเราอาจจะยึดแนวทางการคิดค้นเมนูจากสิ่งที่เราได้ที่ญี่ปุ่น แต่หลังจากที่เราได้ฟีดแบ็กของลูกค้าเราก็ไม่หยุดที่จะปรับเปลี่ยนให้ตอบโจทย์ผู้คน ถึงอย่างนั้นพอเราเริ่มเพิ่มเมนูทางเลือกอื่นๆ ที่โมเดิร์นขึ้นมาหน่อย เราก็ต้องมีวิธีในการเสิร์ฟ วิธีในการนำเสนอที่ยังคงบอกเล่าสตอรีของชาทุกแก้วทุกถ้วยที่เราเสิร์ฟออกไปได้เสมอ อีกทั้งเมนูเหล่านี้เองยังจะต้องอร่อยตามความชอบของเราอยู่ 

“แน่นอนว่าเราจะยังคงไม่เสิร์ฟในแก้วพลาสติก นอกเสียจากว่าลูกค้าจะ takeaway จุดประสงค์เราคืออยากให้ลูกค้าได้ดื่มด่ำชา ได้ดื่มด่ำกับถ้วยชา กาน้ำชา หรือว่าแก้วที่มันเหมาะสมกับชาแต่ละชนิดเพื่อให้ได้อรรถรส ไม่ว่าจะเป็นรสชาติ หรืออโรม่าของชาก็ตาม เพราะเราอยากให้ลูกค้ารู้จักชาออร์แกนิกแต่ละสายพันธุ์เดี่ยวที่เรามี”

ไม่ใช่แค่มัทฉะสายพันธุ์เดี่ยวและชาออร์แกนิกจากจังหวัดชิซุโอกะเท่านั้นที่ Chaya Teahouse วางขาย แต่น้ำยังคงเสาะหาชาออร์แกนิกคุณภาพดีตามมาตรฐานเดิมของเธออยู่เรื่อยๆ จน ณ ตอนนี้ชาออร์แกนิกของที่ร้านเอง ก็ยังมีที่มามาจากทั้งเมืองอูจิ (Uji) เมืองวาซุกะ (Wazuka) จังหวัดเกียวโต (Kyoto) รวมไปถึงจากจังหวัดคาโกชิม่า (Kagoshima) อีกด้วย

ในวันที่ไม่ได้มีแค่ชาออร์แกนิก
‘การซื่อสัตย์กับลูกค้า’ จะทำให้พวกเขาแฮปปี้

ถึงวันนี้ก็เข้าสู่ขวบปีที่ 5 ของ Chaya & Co. และขวบปีที่ 2 ของ Chaya Teahouse เป็นที่เรียบร้อย การเปิดห้องชาไซส์กะทัดรัดที่ต้องจองที่นั่งล่วงหน้าก่อน ผสมรวมกันไปกับการวอล์กอินได้บ้างในบางวัน ทำให้น้ำมีโอกาสได้พูดคุยกับลูกค้าที่ผ่านเข้ามามากมายด้วยตัวเอง จนเธอนั้นเรียนรู้ว่าฐานลูกค้าโดยส่วนใหญ่ของเธอมีความชื่นชอบชาในรสชาติแบบใดบ้าง 

“เพราะเรารับลูกค้าเองอยู่บ่อยๆ มันเลยทำให้เราได้พูดคุยถึงรสชาติที่ลูกค้าชื่นชอบ ซึ่งนอกจากรสชาติแล้ว ลูกค้าบางคนก็สามารถบอกได้ถึงความชอบในเรื่องของบอดี้ชา อีกหนึ่งคาแร็กเตอร์หลักที่สำคัญและเป็นสิ่งที่ลูกค้าบางคนเขาโฟกัส อย่างความครีมมี่ หรือความ mellow นั่นเอง

“ลำพังมัทฉะออร์แกนิกสายพันธุ์เดี่ยวที่เรามีก็อาจจะไม่ได้ครอบคลุมในสิ่งที่ลูกค้าต้องการ เราจึงจำเป็นต้องหาทางเลือกอย่างมัทฉะที่ไม่ออร์แกนิกเพิ่มเข้ามา ซึ่งถ้าเราหาให้ลูกค้าได้เราก็ต้องหา ในขณะเดียวกันเราก็ต้องซื่อสัตย์ด้วย อย่างการที่เราจะสามารถบอกกับเขาได้ว่าชานี้มาจากที่ไหน ผลิตยังไง ซึ่งเราคิดว่าพอเราจริงใจกับลูกค้าเขาก็จะแฮปปี้และเปิดใจมากขึ้น กล้าเข้ามาลองมากขึ้น เพราะเขาเชื่อในการสื่อสารของเรา”

เพราะทุกอย่างอาจจะต้องหาตรงกลางให้เจอและสมดุลย์ให้ได้ น้ำจึงตัดสินใจเริ่มชิมและเสาะหามัทฉะแบบไม่ออร์แกนิกเข้ามาไว้ที่ร้านบ้าง โดยมัทฉะไม่ออร์แกนิกที่ว่าจะต้องมีคุณภาพที่ดี รสชาติที่คงที่คงเดิม อีกทั้งคาแร็กเตอร์ของตัวชาเองก็อาจจะต้องแตกต่างออกไปจากมัทฉะไลน์ออร์แกนิกที่เธอมี อย่างการเลือกมัทฉะเบลนด์จากหลากหลายสายพันธุ์เข้ามาแทนการทับไลน์มัทฉะสายพันธุ์เดี่ยวแบบออร์แกนิก

“จากการที่เราได้ลองฟังเสียงลูกค้า เราเลยเลือกนำเข้ามัทฉะแบบไม่ออร์แกนิกจากเมืองนิชิโอะ (Nishio) จังหวัดไอจิ (Aichi) เข้ามาดู ซึ่งปรากฏว่ามันเป็นมัทฉะที่ให้รสชาติถูกใจคนไทย เหมาะกับลูกค้าอีกกลุ่มหนึ่งของเราที่เขาชื่นชอบดื่มชาสไตล์นี้อยู่แล้ว ถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องมากๆ ของทั้ง Chaya & Co. และ Chaya Teahouse” 

จากการเริ่มต้นด้วยตัวคนเดียว สู่การทำงานแบบทีมเวิร์ก
ระบบหลังบ้านจึงเป็นหัวใจที่สำคัญ

จากแบรนด์ Chaya & Co. ที่เคยมีเพียงมัทฉะและชาออร์แกนิกจากแค่จังหวัดเดียววางขายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ สู่หน้าร้านแบบออนไซต์ หรือบ้านชาอย่าง Chaya Teahouse ที่เติบโตมากขึ้นแล้ว  แน่นอนว่าน้ำจะต้องมีทีมงานที่คอยช่วยเหลือและรับผิดชอบ ทั้งการดูแลงานหน้าร้านอย่างการคอยบริการ และพูดคุยกับลูกค้า ระบบหลังบ้านที่รวมไปถึงการทำเครื่องดื่มพร้อมเสิร์ฟ งานเอกสาร ตลอดจนการดูแลการซื้อ-ขายสินค้าบนแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ ไม่เว้นแม้แต่แอพเดลิเวอรีกับแพลตฟอร์มสำหรับ e-Commerce อีกด้วย 

“ด้วยความที่เรามีสถานที่ที่เล็ก ทีมจึงอาจจะต้องพลอยเล็กไปด้วย และถึงแม้เราจะมีเพียงแค่ทีมเล็กๆ แต่สตาฟของเรานั้นจะต้องมีความชัดเจนในเรื่องหน้าที่และความรับผิดชอบของตัวเอง เช่นคนนี้ทำบัญชี คนนี้ทำแอดมิน คนนี้ทำสต็อก คนนี้ดูแลครัว คนนี้ดูแลลูกค้าหน้าบ้าน เป็นต้น เพราะเราเชื่อว่าเมื่อเขารู้หน้าที่หลักของตัวเอง เขาก็จะสามารถทำหน้าที่นั้นๆ ได้ดี เสมือนการมี ownership

“พอทีมมีการรู้หน้าที่ที่ชัดเจนของตัวเองว่าอันไหนงานของฉัน อันไหนงานที่ต้องพร้อมจะซัพพอร์ตคนอื่นในทีมได้ ระบบหลังบ้านของเราก็จะเกิดการสอนงานซึ่งกันและกันขึ้น ถือเป็นคัลเจอรที่ค่อนข้างสำคัญสำหรับเรา เพราะถ้าหากตัวแบรนด์หรือคาเฟ่เกิดมีปัญหาในส่วนไหนขึ้นมา ทุกๆ คนก็จะช่วยกันเข้าชาร์จได้อย่างทันท่วงที

“ส่วนงานระบบที่เป็นระบบจริงๆ เช่น สต็อกอันนี้ต้องเป๊ะ เพราะเราก็ต้องลงทุนซื้อซอฟต์แวร์มาเพื่อเมเนจสต็อกของเราเอง เราจะได้รู้ว่าเมื่อไหร่ที่มีอะไรเข้า-ออก หรือว่าเว็บไซต์ก็ต้องมีคนที่คอยดูแลให้โดยเฉพาะ เพราะเราเชื่อว่าทุกวันนี้ ในการขายเนี่ยเรามีหลายช่องทาง แต่การที่เราไปวางขายตาม e-Channels ต่างๆ กลุ่มลูกค้าของเราที่ยิ่งเป็นลูกค้ากลุ่มเฉพาะ ไม่ใช่ลูกค้าแมส เขาจะมีคำถาม และอาจจะต้องใช้เวลาในการปรึกษาผ่านช่องทางเหล่านี้ด้วย”

เพราะ Chaya Teahouse ไม่ได้เป็นเพียงแค่ร้านชา แต่ด้วยคอนเซปต์ตั้งแต่วันแรกของร้านนั้นคือการสอดแทรกวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่น้ำชื่นชอบ ผนวกกับการที่เธอคิดว่าชาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมาโดยตลอด การดื่มชาควบคู่ไปกับวากาชิจึงยังเป็นสิ่งจำเป็น ก่อนจะนำพาให้ Chaya Teahouse มาสู่การเป็นพื้นที่สำหรับจัดเวิร์กช็อปทำขนมวากาชิที่สอนโดยเชฟญี่ปุ่น การจัดเวิร์กช็อปอิเคบานะ (Ikebana) หรือการจัดดอกไม้ ศาสตร์หนึ่งของญี่ปุ่นที่สอนโดยอาจารย์ชาวญี่ปุ่นเอง ตลอดจนการจัดเวิร์กช็อปสอนชงชาของน้ำเองก็ด้วย 

ด้วยกิจกรรมของร้าน Chaya Teahouse ที่หลากหลายเช่นนี้ พวกเขาจึงมีทีมซัพพอร์ตลูกค้าอย่าง customer relationship ด้วย ไม่แน่ว่าในอนาคตพวกเราก็อาจจะได้เห็นการเปิดเวิร์กช็อปในหมวดหมู่อื่นๆ ที่มาจากเสียงของกลุ่มลูกค้า ผู้ซึ่งชื่นชอบวัตนธรรมญี่ปุ่นไม่แพ้กัน

อนาคตของ Chaya & Co. และ Chaya Teahouse

“เราเห็นว่าธุรกิจเราจะโตขึ้น แล้วก็มีความเป็นไปได้ว่าเราก็อยากที่จะ explore ชาอื่นๆ ที่ไม่ใช่ชาญี่ปุ่น โดย Chaya & Co. นั้นก็ยังจะคงเป็นซัพพลายเออร์ต่อไป” 

“ในมุมของการเป็นรีเทลเลอร์ เราอยากให้ลูกค้าคิดว่ามัทฉะคือ food ingredient อย่างหนึ่งด้วย ไม่ใช่แค่จะเอาไปแต่ชงชา หรือทำเป็นเครื่องดื่มชา เพราะมันยังสามารถเอาไปทำขนมได้ เอาไปทำอาหารได้ เอาไปอยู่ในไลน์การผลิตก็ยังได้ เพียงแต่เราต้องเลือกชนิดชาที่เหมาะสม หรือสำหรับใครที่อยากจะสร้างแบรนด์ของตัวเองที่เป็นขนม หรือเครื่องดื่มแบบพร้อมดื่มที่เป็นชา เราก็ยินดีที่จะเข้าไปตรงจุดนั้น นั่นคืออนาคตของ Chaya & Co.

“ส่วน Chaya Teahouse เราก็ยังจะคงความมีเสน่ห์แบบเล็กๆ ของเราต่อไป แต่ถามว่าในอนาคตเราต้องโตไหม แน่นอนว่าเราต้องโต ซึ่งตรงนี้ก็เป็นการบ้านที่เราต้องคิดต่อไปเหมือนกัน เพราะเราเองก็ยังมีกลุ่มลูกค้าอีกหลายกลุ่มที่คิดว่าเราอยากจะเข้าหา อย่างกลุ่มลูกค้าที่ไม่ได้ชงชาเองแต่ชื่นชอบไปฮอปปิ้งคาเฟ่ เป็นต้น”

“อยากบอกอะไรกับคนที่กำลังมีความคิดอยากริเริ่มธุรกิจจากความชอบและแพสชั่นของตัวเองบ้าง” เราถามคำถามสุดท้ายกับน้ำก่อนแยกย้าย

“อยากบอกว่าการมีแพสชั่นนั้นดี เพราะมันจะเป็นแรงผลักดันให้เราทำ แล้วเรามีพลัง แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องมีมากๆ คือวินัยในการทำธุรกิจ เพราะว่าบางทีเรามีแพสชั่นในบางเรื่อง อย่างเราชอบชงชา แต่เราไม่ได้ชงชาอย่างเดียวในธุรกิจ เพราะเราต้องเป็นทั้งผู้ลงทุน เราต้องเป็นทั้งนักบัญชี ผู้จัดการทางการเงิน ทั้งนักบริหารความเสี่ยง ทั้งอาร์ตติสท์ที่เราจะต้อง perform ต่อหน้าลูกค้า ทั้งเป็น Service Provider เป็นคนหลังบ้าน เป็นคนครัว ทั้งเป็นพนักงานขาย ทั้งเป็นพนักงานสต็อก ก็จะต้องเป็นทุกอย่าง

“ดังนั้นถ้าจะทำธุรกิจอะไรก็ตาม อาจจะไม่ใช่ชาก็ได้ อะไรก็ได้ ก็ต้องคิดให้รอบด้าน แล้วก็ต้องมีความอดทน และต้องมีวินัยในการที่จะทำธุรกิจนั้น”

What I’ve Learned 

  • ต้องหาทีมงานที่เข้าใจแบรนด์ในวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ขององค์กร เพื่อที่เราจะได้เห็นเป้าหมายเดียวกัน เห็นภาพเดียวกัน และทำงานไปในแนวทางเดียวกันได้ 
  • Seamless Communication การสื่อสารระหว่างทีมงานสำคัญมาก เพราะจะทำให้การประสานงานทั้งภายนอกและภายในองค์กรเป็นไปอย่างเรียบร้อย งานเสร็จสมบูรณ์
  • ให้ทำงานที่สำคัญและยากก่อน เช่น การติดต่อราชการ การนำเข้าชา การคุยกับซัพพลายเออร์ญี่ปุ่น
  • Brand Blue Print สำคัญมาก brand identity ต้องชัดเจนและเป็นตัวตนของเรา เพราะมันจะอยู่ในทุกสิ่งที่เราทำ ผลิตภัณฑ์ กิจกรรมและการสื่อสาร การตกแต่งร้าน พนักงาน การบริการ ถือเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์และการสื่อสารของแบรนด์ทั้งหมด 
  • ผลิตภัณฑ์ที่ดีจะขายตัวมันเองได้เสมอ 

5P ของ Berries Table เค้กผลไม้แบบตะโกนที่ทำเพียงวันละ 4 ก้อน จนมียอดจองติดต่อกันหลายเดือน

เอ่ยถึงฟรุตเค้กเชื่อว่าภาพที่หลายคนนึกถึงคงเป็นเค้กที่ทำจากแป้ง นม ไข่ และน้ำตาล ก่อนผสมเนื้อผลไม้เชื่อมชิ้นเล็กชิ้นน้อยลงไป ให้ความรู้สึกถึงวันวานยามเด็ก ไม่ก็ช่วงคริสต์มาสหรือวันปีใหม่

เมื่อได้เห็น The Real Fruit Cake ที่ทำขึ้นจากผลไม้สดจริงๆ โดยฝีมือของ Berries Table หลายคนคงอดสงสัยไม่ได้ว่าเค้กก้อนนี้มีวิธีทำแบบไหน และใครกันหนอที่บรรจงจัดเค้กผลไม้เหล่านี้อย่างสวยงาม 

เราจึงมีนัดกับ ‘มอส–ยงยุทธ คำบุดดี’ ติวเตอร์แห่งโรงเรียนสอนพิเศษอย่างดาว้องก์ นิสิตปริญญาเอกด้านวรรณคดีที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเจ้าของธุรกิจหน้าใหม่อย่าง ‘Berries Table’ ที่เขาฟูมฟักและปลุกปั้นขึ้นด้วยแพสชั่นและตัวตนของเขาจริงๆ

ไม่จำเป็นต้องอธิบายให้มากความ ทันทีที่เราก้าวเข้าไปในห้องสีน้ำเงินครีมของเขา พักเหนื่อยด้วยชาหอมๆ ที่เข้ากันได้ดีกับผลไม้และเยลลี่ที่เขาเตรียมไว้อย่างวิจิตรบรรจง เราก็เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าทำไมเค้กผลไม้แต่ละก้อนจึงออกมาจากสองมือและหนึ่งใจของชายตรงหน้า

เราจึงอยากชวนทุกคนค่อยๆ ลงลึกถึงเบื้องหลังเค้กผลไม้ของ Berries Table ผ่านหลัก 4P+1 ข้างล่างนี้ที่สะท้อนตัวตนของเขาได้อย่างแจ่มชัด

Product
เริ่มต้นด้วยแพสชั่นและประสบการณ์ที่สั่งสม

“เราเติบโตในย่านเยาวราช” มอสเกริ่นเพื่อเริ่มบทสนทนา ชวนให้เราค่อยๆ เข้าใจถึงเบื้องหลังเค้กผลไม้แต่ละก้อน 

“มันเป็นย่านที่เต็มไปด้วยศาลเจ้า นั่นหมายความว่ามันมีเทศกาล มีการไหว้เจ้า ที่ทำให้เราได้เห็นการจัดแต่งผลไม้ ดอกไม้ การจัดวางองค์ประกอบโดยรวม ไปจนถึงวัฒนธรรมจีนและภาษาจีน เรายังชอบภาษาไทยมาก และมันไม่ใช่แค่การเรียนภาษาแต่มันคือการเปิดโลกด้านวัฒนธรรมและวรรณคดีไทย”

ความหลงใหลในวัฒนธรรมไทยและจีนผสานรวมกับความชอบอาหารการกินทำให้เขาสนใจวรรณคดีและวรรณกรรมแทบทุกเรื่องที่กล่าวถึงอาหารการครัว เมื่ออ่านเจอเมนูแปลกๆ ที่ไม่เคยเห็นหรือได้ยินมาก่อน ต่อมความสงสัยจะกระตุ้นให้เขาลงลึกถึงวิธีการทำ 

“ในหนังสือ แม่ครัวหัวป่าก์ มีบทหนึ่งที่พูดถึงผลไม้โดยเฉพาะ เล่าตั้งแต่การเลือกผลไม้ ไปจนถึงการจัดการกับผลไม้แต่ละประเภท อย่างลิ้นจี่ ในหนังสือบอกว่าลิ้นจี่หน้าไหนอร่อย เลือกยังไง คว้านยังไง เราก็นั่งดูจนจำได้

“หรือเมื่อไปอ่านเจอวรรคที่ว่า ‘หมากปรางนางปอกแล้ว ใส่โถแก้วแพร้วพรายแสง’ ในกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน เราก็สงสัยว่าทำไมต้องปอกมะปราง แล้วมันปอกยังไงนะ จนไปค้นเจอว่า อ๋อ การปอกมะปรางมันเรียกว่าริ้วมะปรางนะ แล้วแต่ละราชสกุลของไทยจะมีวิธีการริ้วมะปรางที่แตกต่างกัน” แววตาของมอสเปล่งประกาย ขณะพลิกหน้าหนังสือ แม่ครัวหัวป่าก์ ให้เราดู 

จากผลไม้ไทย มอสเริ่มสนใจผลไม้ฝรั่งทั้งในแง่รสชาติและวิธีการจัดการกับผลไม้แต่ละชนิด เขาหัดปอกผลไม้ไปเรื่อยๆ จนการปอกผลไม้สารพันชนิดอย่างวิจิตรบรรจงกลายเป็นเรื่องปกติ และนั่นก็นำมาสู่การทำเค้กจากผลไม้เป็นของขวัญวันเกิดให้เพื่อนสนิท 

“เราอยากทำธุรกิจของตัวเองมาสักพักใหญ่ เราอยากทำร้านดอกไม้ อยากทำร้านขนม เราอยากเอาความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรม การทำงานฝีมือ มาทำอะไรสักอย่าง แต่ร้านดอกไม้คนก็ทำเยอะแล้ว จนมาถึงวันเกิดเพื่อนนี่แหละที่เราอยากได้เค้กจากผลไม้มาให้เพื่อน เพราะเขาจริงจังกับสุขภาพมาก

“ปรากฏว่าหายังไงก็ไม่มี ถึงมีก็เป็นการทำเค้กด้วยเทคนิคแบบกดพิมพ์และการวางองค์ประกอบอีกแบบหนึ่ง ซึ่งยังไม่ใช่แบบที่เราชอบ เลยตัดสินใจทำเองโดยที่ก็ไม่รู้หรอกว่าจะทำได้ไหม”

จากเค้กก้อนแรกนั้นเองนำมาสู่เค้กก้อนต่อๆ มาในนาม Berries Table แบรนด์เค้กจากผลไม้หลากชนิดที่จัดวางองค์ประกอบด้วยเทคนิคการจัดดอกไม้ องค์ความรู้ด้านวัฒนธรรม และหลักการทำงานฝีมือ

จริงจังกับแบรนดิ้งตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น 

หลังสำรวจตลาดและมั่นใจว่าเค้กผลไม้ของเขาแตกต่าง มอสเริ่มลงมือวาดภาพของแบรนด์ทันที และคำว่า ‘classy’ ก็ผุดออกมาเป็นคำแรกเมื่อเขาวาดภาพแบรนด์ในฝัน 

“เราไม่ได้ต้องการสื่อสารว่าเค้กของเราเป็นเค้กสุขภาพ เพราะผลไม้มันดีต่อสุขภาพอยู่แล้ว แต่เราอยากขายของที่มันดู classy ผ่านการเลือกสรรชนิดผลไม้ การจัดวางองค์ประกอบ การเลือกใช้ภาชนะ ทั้งจานชาม มีด หรือแก้วต่างๆ”

ความ classy สัมพันธ์ยังไงกับเบอร์รี? เป็นสิ่งที่เราสงสัยว่าเหตุใดคนชอบทานผลไม้แบบเขาจึงเลือกนำเสนอเบอร์รีเป็นจุดเด่นของแบรนด์

“ชื่อแบรนด์ต้องกระชับและนำเสนอผลิตภัณฑ์ได้ มันเลยเป็นคำว่า ‘berries’ เพราะเราใช้ผลไม้ตระกูลเบอร์รีเป็นหลัก ส่วนคำว่า ‘table’ มาจากการที่ทุกครั้งที่เราเห็นเค้กสามชั้นเราจะคิดถึงโต๊ะอาหารฝรั่งซึ่งมีผลไม้อยู่บนนั้นมากมาย 

“ที่สำคัญเบอร์รีเป็นผลไม้ที่ไม่เคยอยู่ที่อื่นนอกจากบนโต๊ะสวยๆ เพราะมันเป็นผลไม้นำเข้าที่คนไทยมองว่าเป็นของ luxury มาแต่ไหนแต่ไร เหมือนกับเครื่องแก้วก็กลายเป็นของในวัง หรือภาษาเขมรที่เราใช้กันก็กลายเป็นคำราชาศัพท์ สำหรับเรา เบอร์รีเลยติดอยู่กับคำว่า classy” มอสเอ่ยถึงที่มาพลางสอดแทรกองค์ความรู้ด้านวัฒนธรรมและภาษาที่เขาสั่งสม 

คำหลักสำคัญของแบรนด์คำนี้ยังส่งผลต่อรูปแบบเค้กและสินค้าอื่นๆ ที่เขาทำ อย่างแรก เค้กผลไม้ทุกชิ้นเป็นเมนูสั่งทำเท่านั้น เพื่อให้ลูกค้าเลือกรูปแบบ สีสัน และชนิดของผลไม้ได้ตามใจปรารถนา นอกจากนั้นยังมี prosecco jelly หรือเบอร์รีในเยลลี่ที่ทำจากโพรเซคโค เครื่องดื่มซ่าคล้ายกับแชมเปญแต่ผลิตที่อิตาลี

“เราเลือกทำ prosecco jelly มากกว่าที่จะทำวุ้นผลไม้ทั่วไปเพราะเราคิดว่าเมนูนี้มันสะท้อนคำว่า classy ได้ดีกว่า มันเป็นเมนูที่เรามักจะเห็นบนโต๊ะอาหารฝรั่งอยู่เสมอ แล้วสังเกตว่าเราจะทำขนาดใหญ่เท่านั้น เพราะเราเน้นความโฮมมี่ เราคิดว่าพอเห็น prosecco jelly ขนาดใหญ่ มันทำให้นึกถึงยุควิคตอเรีย เห็นภาพแม่ครัวใส่ผ้ากันเปื้อน เสิร์ฟเยลลี่บนโต๊ะไม้” 

แม้จะเพิ่งเริ่มต้น มอสไม่เพียงจริงจังกับแบรนดิ้ง หรือการคิดสารพัดเมนูเท่านั้น แต่มอสยังสร้าง LINE OA ตั้งแต่วันแรก ทั้งยังมีแพตเทิร์นการถาม-ตอบ เตรียมพร้อมเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือของแบรนด์

“เราใหม่ก็จริงแต่เราต้องทำให้ดูมืออาชีพ ถ้ามีอะไรผิดพลาดจะบอกร้านเพิ่งเปิดไม่ได้ เรามองว่าถ้าไม่พร้อมก็อย่าเปิด ถ้าเรากล้าที่จะลงรูปในอินสตาแกรม กล้าที่จะยิงแอด ก็ต้องกล้าทำเดี๋ยวนั้น ถ้าทำนิดทำหน่อยมันดูไม่มืออาชีพ มันไม่ใช่แบรนด์ที่กลุ่มลูกค้าของเราจะมองหา” 

ไม่แปลกใจหากวันแรกที่เขาเปิดอินสตาแกรมของแบรนด์อย่างเป็นทางการ เขาก็มีออร์เดอร์เข้ามาทันที ทั้งยังมีออร์เดอร์ติดกันแทบทุกวันตลอด 3-4 เดือน

ผลไม้คุณภาพ ที่ไม่ใช่แค่รูปทรงสวย แต่ต้องรสชาติดี

เมื่อพิจารณาคำว่า ‘classy’ ซึ่งเป็นคำสำคัญของ Beries Table หลายคนคงคิดว่ามอสคงต้องคัดสรรแต่ผลไม้ราคาแพงหูฉี่มาแน่นอน 

แต่กลับผิดคาด ผลไม้ที่ดีในมุมของ Berries Table ไม่ใช่ผลไม้ที่แพงที่สุด แต่เป็นผลไม้คุณภาพ รสชาติดี สีสันได้ ที่สำคัญ ขนาดและรูปทรงต้องถูกต้อง เพราะในมุมของศิลปินผู้สร้าง ผลไม้เหล่านั้นไม่ได้นำมาปอกทานเฉยๆ แต่ส่งผลกับรูปลักษณ์ของเค้กแต่ละก้อน 

“ขนาดและรูปทรงมันต้องได้ก่อน เพราะเราไม่ได้ขายผลไม้แกะกล่อง แต่เราเหมือนกำลังจัดดอกไม้มากกว่า ซึ่งหลักการที่ว่ามันเริ่มจากเราต้องมีดอกขนาดใหญ่เป็นดอกหลัก มีดอกขนาดกลางและดอกเล็กๆ น้อยๆ แซมกันไป  

“อย่างแตงโมซึ่งเราใช้เป็นฐาน เราเปรียบมันเป็นโอเอซิส จึงต้องใช้ขนาด 3 กิโลกรัมขึ้นไปเท่านั้น ส่วนผลไม้อื่นๆ ก็ต้องมีขนาดลดหลั่นกันไป เช่น เมล่อนต้องมาอยู่บนแตงโมอีกทีมันจะต้องไม่ใหญ่เวอร์ เชอร์รีก็ต้องเป็นเชอร์รีที่มีก้านเพราะก้านจะช่วยนำสายตา ส่วนบลูเบอร์รีก็ต้องเป็นไซส์ขนาดกลาง เพราะเรามีสตรอว์เบอร์รีที่ใหญ่อยู่แล้ว ถ้าเลือกขนาดใหญ่มันก็จะตีกัน แต่ถ้าเลือกขนาดเล็กมันก็จะเปรี้ยว”

รายละเอียดเหล่านี้ทำให้มอสจำเป็นต้องเลือกผลไม้ด้วยตนเอง เพราะความชอบทานผลไม้ทำให้เขารู้ว่าผลไม้แบบไหนเหมาะกับการนำมาทำเค้กผลไม้ที่ผู้รับจะไม่ผิดหวัง

“งานเรามันซับซ้อนตรงที่ว่ามันมีทั้งเรื่องรูปลักษณ์ รสชาติ และสีสัน มันไม่ใช่แค่ไปหยิบแอปเปิลมา 1 ลูกแล้วใช้ได้เลย เราต้องดูว่าลูกค้าอยากได้สีแบบไหน ถ้าเขาบอกว่าอยากได้สีแดงก็ต้องถามว่าแดงไหน แดงลาย แดงเงา หรือแดงแบบเบอร์กันดี้”

มอสยังอธิบายว่าแอปเปิลแต่ละสายพันธุ์นั้นมีรสชาติและสัมผัสที่แตกต่างกัน นั่นคือเนื้อสัมผัสจะมีแบบเนื้อทรายและเนื้อกรอบ ทั้งเนื้อกรอบยังแบ่งได้อีกหลายระดับ ส่วนวิธีการเลือกสตรอว์เบอร์รีก็ไม่ต่างกัน คือนอกจากจะเลือกเฉดสีของสตรอว์เบอร์รี สายพันธุ์ที่หอมหวานอย่างเกาหลีก็ชนะใจเขาและลูกค้ามากกว่า

“ถ้ารูปทรงผ่านแต่รสชาติไม่ได้ เช่น ฝาดไป เราก็ไม่เลือก เพราะถึงคนจะเลือกสั่งเค้กผลไม้เพราะความสวยงามหรือมองว่ามันเป็นงานศิลปะ แต่เขาก็สั่งไปเฉลิมฉลองบนโต๊ะอาหาร รสชาติของผลไม้จึงสำคัญมาก” มอสอธิบายหลักการขณะกำลังปักสตรอว์เบอร์รีลูกโตลงไป

ทั้งหมดที่ว่ามานี้ส่งผลต่อแหล่งผลไม้ที่เขาเลือกสรรมาใช้ว่านอกจากจะต้องคัดสรรแต่ผลไม้คุณภาพมาแล้ว ยังต้องมีผลไม้ให้เขาเลือกหลายชนิด หลากขนาด 

“เราเลือกซื้อผลไม้จากเซ็นทรัลชิดลมและสยามพารากอน ไม่ใช่เพราะ 2 ที่นี้แพงหรือดีที่สุด แต่มีผลไม้ให้เลือกมากที่สุดต่างหาก

“จริงๆ เราเคยเปิดใจไปเลือกหาที่อื่นแล้ว แต่มันก็กลับมาที่ปัญหาเดิมคือของน้อยมากๆ เช่น ที่อื่นมีแตงโมให้เราเลือกแค่ 2 ลูก แต่ 2 ที่นี้มีให้เลือกหลากหลายสายพันธุ์ และแต่ละสายพันธุ์ก็มีขนาดมากมายให้คัด ที่สำคัญเรายังชิมและคัดเลือกผลไม้ได้โดยที่พนักงานไม่มองแรง” มอสหัวเราะขณะเล่าถึงความดีเทลของเขาที่อาจทำให้แม่ค้าในตลาดโมโหได้

ออกแบบและจัดวางอย่างเข้าใจความต้องการ

ทั้งในฐานะเจ้าของกิจการที่ต้องการตอบโจทย์ลูกค้าให้ได้มากที่สุด และในฐานะนักเรียนวรรณคดีที่สนใจการตีความ เค้กของ Berries Table จึงแตกต่างตามโจทย์ที่ลูกค้าแต่ละคนมอบให้ นั่นทำให้มอสสนุกกับการทำเค้กแต่ละก้อนอย่างมากเพราะลูกค้าโยนโจทย์ท้าทายให้เขาอยู่เสมอ

“ลูกค้าจะมาเป็นแพตเทิร์นว่าไม่ทานอะไร ชอบทานอะไรเป็นพิเศษ อยากเพิ่มอะไรจากผลไม้พื้นฐานที่มีให้บ้าง อย่างบางคนขอเพิ่มสตรอว์เบอร์รี เราก็ต้องไปคิดว่าจะจัดออกมาแบบไหนให้สตรอว์เบอร์รีมันเยอะตามที่เขาขอแต่ก็ยังบาลานซ์

“บางคนสั่งเค้ก 2 ก้อนพร้อมกัน แต่ขอสีแดงลูกหนึ่ง สีเหลืองลูกหนึ่ง เราก็ต้องไปคิดต่อว่าการที่เขาสั่ง 2 ก้อนใน 1 ครั้ง เขาไม่ควรได้เค้กที่เหมือนกันไปหรือเปล่า ดังนั้นเค้กทั้ง 2 ก้อนต้องมีผลไม้ที่หลากหลาย และแต่ละก้อนก็ต้องมีวิธีการนำเสนอที่ไม่เหมือนกัน ก้อนสีเหลืองเราตั้งใจโชว์เทคนิคการจัดผลไม้หรือการแทงผลไม้เข้าไปให้เกิดเป็นลวดลายโดยไม่เสียเนื้อผลไม้ ส่วนก้อนสีแดงเราเลือกคงรูปของผลไม้แต่ละชนิดไว้”

นอกจากการออกแบบเค้กตามโจทย์ลูกค้าแล้ว อีกหนึ่งผลงานที่เขาภูมิใจและสะท้อนว่าความสนุกของการทำ Berries Table คือการตีความเรื่องราวเบื้องหลังของผู้รับ คือเค้กที่เขาทำขึ้นพิเศษเพื่อมอบให้ ‘พลอย จริยะเวช’ นักคิด นักออกแบบคอนเซปต์ และนักเขียนที่เพิ่งออกหนังสือเล่มใหม่อย่าง ‘ผลิใหม่’

“ความที่เป็นนักเรียนวรรณคดี เวลาเราจะทำงานวิจัยเกี่ยวกับหนังสือเล่มไหน เราต้องไปอ่านประวัติผู้เขียนก่อนเพื่อให้เข้าใจความคิดความอ่านของเขา กับเค้กของคุณพลอย จริยะเวช เช่นกัน เราตั้งใจอ่านผลิใหม่เพื่อตีความออกมาเป็นเค้ก

“เราพบว่าในหนังสือกล่าวถึง ‘ผีเสื้อสีเหลือง’ ค่อนข้างมาก ทั้งยังมีความหมายต่อเรื่องราว เราเลยอยากนำเสนอเรื่องราวของผีเสื้อที่บินอยู่ในสวน คำถามคือเราจะเอาผลไม้อะไรมาทำเป็นผีเสื้อสีเหลือง ก็ต้องกลับไปที่หลักการทำอาหารว่าของตกแต่งในจานอาหารต้องทานได้ทั้งหมด ดังนั้นฟักทอง แคร์รอต หรือขนุนนั้นตัดไปได้เลย เพราะมันทานดิบไม่ได้ และรสชาติก็ไม่เข้ากับผลไม้ชนิดอื่น”

สุดท้าย ความหลงใหลผลไม้ของมอสก็ทำให้เขาเสกสรรผีเสื้อสีเหลืองจากมะเฟืองซึ่งหากหั่นและตัดแต่งแล้วจะคล้ายกับผีเสื้อมาก

“คุณพลอยก็ชอบมากเพราะตอนเด็กๆ เขาเคยกินมะเฟืองแต่ตอนนี้มันกลายเป็นผลไม้หายาก” มอสย้อนเหตุการณ์ครั้งนั้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“แต่บางอย่างเราก็ทำตามที่ลูกค้ารีเควสต์ให้ไม่ได้จริงๆ เช่นการเปลี่ยนฐานจากแตงโมเป็นผลไม้ชนิดอื่น เพราะแตงโมนั้นเหมาะสมที่สุด ทั้งเรื่องเนื้อสัมผัส และความคงทนนอกตู้เย็น มีครั้งหนึ่งลูกค้าบอกว่าเขาไม่ค่อยชอบกินแตงโม แต่เราขอทำเป็นเบสแตงโมเพราะเรามั่นใจที่สุด 

“เขาก็ตกลงเพราะเขาบอกว่าถึงเขาจะไม่ได้อยากกินแตงโมแต่เขาอยากเห็นผลงานของเรา”

สวยงามและทานได้จริง 

เคยเป็นกันไหม เวลาเห็นอาหารหรือขนมที่ถูกจัดแต่งมาอย่างดีเรากลับเสียดายความสวยงามนั้นจนไม่กล้ากินเสียอย่างนั้น กับ Beriries Table ก็เช่นกัน มอสจัดวางผลไม้แต่ละชนิดได้สวยงามเสียจนอยากสตัฟฟ์ไว้อย่างนั้น 

แต่สำหรับมอสเอง จริงอยู่ที่เขาภูมิใจหากคนมองว่าเค้กผลไม้ของเขาสวยงามจนเหมือนงานศิลปะบนหิ้ง แต่ขณะเดียวกันความตั้งใจในการทำ Berries Table ขึ้นมานั้นก็เพื่อให้ลูกค้าได้ทานผลไม้ที่เขาตัดแต่งอย่างตั้งใจด้วย หลักสำคัญอีกข้อของ Berries Table จึงคือเค้กผลไม้ของเขาต้องทานได้จริง

“คนที่สั่งเค้กผลไม้ก้อนละหลายพันไปย่อมไม่ได้ทานคนเดียวอยู่แล้วถูกไหม เขาสั่งไปเฉลิมฉลองกันหลายคน ดังนั้นถ้าดูเค้กผลไม้ของเรา ผลไม้ผลเล็กๆ น้อยๆ จะไม่ได้อยู่แค่ด้านใดด้านหนึ่ง แต่เราจะติดแบบ 360 องศา ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน ลูกค้าจะต้องเห็นว่าเค้กของเราสวยงามสมบูรณ์

“เรียกว่าเขาสั่งเค้กไปก้อนเดียว แต่มันกินกันได้หลายคนแน่ๆ อีกอย่าง หลักการเหล่านี้มันเป็นหลักพื้นฐานของการทำงานฝีมือเช่นกัน”

อีกความทานได้จริงของเค้กผลไม้ที่มอสตั้งใจคือหากเขาเลือกจัดการกับผลไม้ชนิดนั้นๆ ด้วยวิธีการแกะสลักแล้ว มันจะต้องเป็นการแกะสลักที่ไม่กินเนื้อผลไม้มากนัก

“จะเห็นว่าผลไม้บางชนิดเราเลือกที่จะคงรูปเดิมเพราะเราคิดว่ารูปทรงมันก็สวยงามอยู่แล้ว แต่บางชนิดเราเลือกแกะสลักเพิ่มเติมเพื่อสร้างมิติและเพิ่มความอลังการ แต่สิ่งสำคัญคือเราจะต้องให้มันเป็นการแกะสลักที่กินได้ด้วย ไม่ใช่การแกะสลักเพื่อความสวยงามอย่างเดียวจนไม่เหลือเนื้อผลไม้ให้ลูกค้าทาน” 

ความเรื่องกินเรื่องใหญ่ตรงนี้ยังสะท้อนผ่านการบาลานซ์รสชาติของเค้กผลไม้เช่นกันว่าเค้กแต่ละก้อนของเขาจะต้องมีทั้งรสเปรี้ยว หวาน หอมอย่างสมดุล ไม่โดดไปที่รสใดรสหนึ่ง 

“ผลไม้ที่เราได้มามันไม่ได้ปรุงแต่งอะไร ดังนั้นเราต้องรู้จักบาลานซ์รสชาติด้วย อย่างองุ่นมันก็จะหวานเลย สตรอว์เบอร์รีก็ต้องหวาน ติดเปรี้ยวหน่อยๆ ส่วนบลูเบอร์รีเราจะเลือกใช้แบบหวานอมเปรี้ยว จะไม่เลือกพันธุ์ที่หวานเจี๊ยบ เพราะองุ่นมันหวานแล้ว ส่วนราสป์เบอร์รีนี่ขอเปรี้ยวเลยเพราะมันไปด้วยกันได้” 

Price
ราคาที่สอดคล้องกับคุณภาพและกลุ่มเป้าหมาย

เค้กผลไม้ของมอสเริ่มต้นที่ราคา 1,450 บาทสำหรับเมนูบักเก็ต หรือเมนูที่มีแตงโมคว้านพร้อมทานเป็นเครื่องตกแต่ง

ราคา 2,450-3,450 บาท สำหรับเมนู Prosecco Jelly

ราคา 2,250-2,950 บาท สำหรับเค้กผลไม้ที่สั่งทำตามแบบ และราคา 3,450-4,550 บาท สำหรับเค้กสั่งทำพิเศษ 

แต่ละเมนูนั้นมีผลไม้พื้นฐาน เช่น แตงโม บลูเบอร์รี สตรอว์เบอร์รี องุ่น และเชอร์รีอยู่แล้ว แต่ถ้าลูกค้าต้องการเพิ่มผลไม้อื่นๆ เช่น พีช ฟิก เพิ่มตัวอักษร หรือเพิ่มการแกะสลัก จำเป็นต้องบวกราคาเพิ่ม

“ตอนแรกไม่มีคำว่าธุรกิจออนไลน์อยู่ในหัว เราคิดแต่ว่าจะขายเค้ก แล้วก็เริ่มถ่ายรูปลงอินสตาแกรม จากนั้นเราก็กดยิงแอดตามที่แอพเลือกมาให้เพราะเรากำหนดทาร์เก็ตไม่เป็น มันทำให้เราเห็นว่ากลุ่มลูกค้าที่เรามองไว้แต่แรกว่าจะเป็นกลุ่มวัยรุ่นที่สั่งเค้กไปถ่ายรูปนั้นแทบไม่มีเลย แต่คือคนอายุ 28-60 ปี ต่างหาก

“เหล่านี้มีทั้งคนที่รักสุขภาพซึ่งมองหา alternative birthday cake ที่เขาไม่อยากกินเค้กที่มันเสียสุขภาพ ซึ่งเขาหาไม่ได้เลยจนมาเจอเรา อีกกลุ่มคือกลุ่มที่เขาเลิฟงานศิลปะ เขาอยากกินเพราะมันสวย เขาไม่ได้อยากกินเพราะมันคือแตงโมจากแหล่งนั้นแหล่งนี้” 

ด้วยกลุ่มลูกค้าที่ค่อนข้างอยู่ในวัยทำงาน วัยลงหลักปักฐาน รวมถึงเป็นกลุ่มที่ให้คุณค่ากับงานศิลปะแล้วนั้น ราคาดังกล่าวถือว่าเป็นราคาที่เหมาะสม ยังไม่นับรวมว่าเค้กผลไม้เหล่านี้สะท้อนถึงประสบการณ์ด้านงานฝีมือของมอสที่สั่งสมมา และคุณภาพผลไม้ที่แทบจะเรียกได้ว่าดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ในประเทศไทย

“เมื่อลูกค้าเห็นว่ามันสวย มันหวาน มันกรอบ มันใหญ่ ลูกค้าก็รู้อยู่แล้วว่าราคามันต้องเท่าไหร่ เราเลยไม่เคยพูดว่าเราใช้ของดีเพราะฉะนั้นราคาจะสูงหน่อย แต่บทสนทนาระหว่างเรากับลูกค้าคือเขาอยากได้อะไร อยากเพิ่มอะไรมากกว่า ยิ่งลูกค้าเห็นว่ายิ่งใส่เพิ่มยิ่งสวย เขาก็จะบอกว่าใส่มาเลยค่ะ แล้วเราก็ลองบวกราคาให้เขา ทั้งหมดที่ว่ามาเราคิดตามหลักการคิดราคาทั่วไปเลยนะ

“มันทำให้เรานึกย้อนไปวันที่จะเริ่มทำแบรนด์นี้ ตอนนั้นคนรอบข้างไม่เห็นด้วยและบอกว่าจะขายได้เหรอผลไม้ราคาหลักพัน เราก็แอบเสียใจ แต่มันก็ทำให้เข้าใจว่าเราถามความเห็นคนอื่นได้ แต่เราต้องถามให้ถูกกลุ่มด้วย ถ้าเราถามคนที่เขาไม่ได้ให้คุณค่ากับงานศิลปะมันก็ไม่เกิดประโยชน์หรือเปล่า

“เพราะสำหรับเรา เค้กผลไม้ทุกชิ้นที่เราทำ เรามองว่ามันคืองานศิลปะ และลูกค้าทุกคนก็ไม่มีใครมองสินค้าของเราว่าเป็นเพียงผลไม้ เขาไม่ได้อยากได้แตงโมไปกินเล่นๆ แต่เขาอยากได้เค้กสำหรับวันเกิดแม่หรือคนที่เขารักต่างหาก” 

Place
ช่องทางออนไลน์ที่ต้องคิดละเอียดยิ่งกว่าหน้าร้าน

Berries Table เปิดขายช่องทางออนไลน์เป็นหลัก และรับจัดเลี้ยงบ้างตามโอกาสสำคัญ

ฟังดูแล้วเหมือนจะจัดการง่าย แต่ภายใต้คำว่า ‘ออนไลน์’ นั้นกลับซับซ้อนไม่น้อย ด้วยความเป็นเค้กจากผลไม้ที่ความสดใหม่เป็นเรื่องสำคัญ 

การวางแผนตั้งแต่ขั้นตอนเตรียมผลไม้ การจัดวาง ไปจนถึงการขนส่งด้วยรถยนต์เท่านั้นจึงต้องผ่านการทดลองซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อให้มั่นใจว่าเค้กผลไม้ราคาหลักหลายพันนั้นจะไปถึงมือผู้รับอย่างสวยงามและ ‘สมบูรณ์’ ตามภาพฝัน

Promotion & Personality 
ตัวตนคือหัวใจของแบรนด์

ตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในห้องแห่งนี้ ได้เห็นข้าวของเครื่องใช้ การจัดวางงานศิลปะ หนังสือบนชั้นสั่งทำพิเศษ ไปจนถึงการหยิบจับผลไม้ของมอส เราสัมผัสได้ถึงแพสชั่นที่เขามีและสัมผัสได้ว่าเค้กแต่ละก้อนที่ส่งถึงมือลูกค้าไม่ใช่เพียงเค้กผลไม้ธรรมดาๆ แต่เป็นเค้กผลไม้ที่กลั่นออกมาจากตัวตนของเขาจริงๆ

นั่นเองจึงเป็นที่มาว่าทำไมอีก P ที่สำคัญของ Berries Table จึงคือตัวตนหรือ ‘Personality’ ทั้งยังเป็นหลักการเดียวกันกับที่เขาใช้ในหลัก Promotion หรือกระบวนการสื่อสารที่มีผลต่อการขาย ไม่ใช่ Promotion แบบลด แลก แจก แถม ที่ผูกติดกับคำว่า ‘Price’

“ในอินสตาแกรมของ Berries Table เราฟอลโลว์แค่คนเดียวเท่านั้นคือเราเอง เพราะเราอยากให้ลูกค้าเห็นว่าคนที่ทำเค้กเหล่านี้ชีวิตเป็นยังไง ไลฟ์สไตล์แบบไหน แต่งตัวยังไง ชอบอะไรบ้าง เค้กถึงออกมาเว่อร์ได้ขนาดนี้ และนั่นหมายความว่าลูกค้าคุยกับเราได้ทั้งหมดว่าเขาอยากให้เราดีไซน์เค้กก้อนสำคัญของเขาในรูปแบบไหน

“ในรีลส์ที่เราทำ เราก็ตั้งใจนำเสนอถึงการเตรียมและการหยิบจับผลไม้ยังไงไม่ให้ช้ำ รวมถึงนำเสนอการแต่งกายของเราเพื่อให้เขามั่นใจได้เลยว่าเราใส่ใจเรื่องความสะอาดมากแค่ไหน”

ตัวตนเหล่านี้ไม่เพียงส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของแบรนด์เท่านั้น แต่ยังสื่อว่านอกจากลูกค้าจะได้รับเค้กผลไม้ที่ตั้งใจทำอย่างวิจิตรบรรจงแล้ว ลูกค้ายังจะได้รับประสบการณ์ที่ดีจากเจ้าของ Berries Table นาม ‘มอส’ แน่นอน

“เราอยากให้คนที่รับเค้กของเราไปไม่ผิดหวังแม้แต่นิดเดียว ถ้ามีอะไรที่แตกต่างจากที่คุยกันไว้เราต้องโทรหาลูกค้า เราจะไม่เซอร์ไพรส์โดยการเปลี่ยนอะไรพลการ เพราะเราเองยังไม่ชอบอะไรที่มันผิดคาดหรือผิดหวังเลย แล้วถ้าเราสร้างปมให้เขาเมื่อไหร่ เขาจะไม่กลับมาหาเราแน่นอน”

ไม่แปลกใจหากตั้งแต่วันแรกที่เขาเปิด Berries Table จนวันนี้ มอสมีลูกค้าใหม่เข้ามาไม่ขาดสาย ทั้งยังมีลูกค้าขาประจำที่สั่งแล้วสั่งอีกจนถ้ามีระบบสมัครสมาชิกลูกค้าจะต้องมีคะแนนสะสมจำนวนมาก 

“มันเกินไปจากที่คิดไว้มาก แต่เราก็มั่นใจว่าเราจะทำมันได้นะ เพราะอย่างที่บอกว่าเรารีเสิร์ชมาแล้วว่าเราต่างจริงๆ ที่สำคัญพอเราคิดจะทำเราก็ทำจริงจังมากๆ เราจึงมีภาพฝันที่สุดจะอุดมคติของ Berries Table ว่าทุกครั้งที่คนเห็นผลไม้ที่มันสุดแสนจะครีเอทีฟ เห็นผลไม้ที่ความ classy ตั้งอยู่บนโต๊ะ เขาจะนึกถึง Berries Table 

“เรายังอยากต่อยอดธุรกิจนี้เป็นเวิร์กช็อป และถ้ามันเติบโตได้จริงๆ สักวันเราก็คงจะขยับจาก Berries Table ที่ขายทางออนไลน์ไปเปิดหน้าร้านแบบออฟไลน์บ้าง” มอสทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้ม 

งานหนังสือในฐานะเทศกาลเก่าแก่ แฟรงก์เฟิร์ตยุคกลาง และความเฟื่องฟูจากกูร์เตนเบิร์ก

งานหนังสือเป็นอีกหนึ่งงานมหัศจรรย์ นอกจากหนังสือจะเป็นสินค้าที่มีงานแฟร์เป็นของตัวเองแล้ว งานหนังสือยังเป็นช่วงเวลาพิเศษที่คนรักหนังสือจะได้ไปรวมตัวกัน ได้ไปเจอหน้า เชื่อมต่อกับสำนักพิมพ์ผู้ผลิตหนังสือ ในงานเองก็มีลักษณะเป็นชุมชนของคนรักการอ่าน เป็นงานใหญ่ที่มีความน่ารักบางอย่างเจือปนอยู่

สำหรับบ้านเราพอพูดถึงงานหนังสือ เราก็จะต้องคิดถึงงานที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เป็นงานสมัยใหม่ นอกจากบ้านเราแล้วในเมืองสำคัญทั่วโลกก็มีการจัดงานหนังสือของตัวเอง ในงานหนังสือหลายแห่งจึงมีลักษณะเป็นพื้นที่พบปะและประชาสัมพันธ์ของภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับหนังสือ มีการเจรจาธุรกิจไปจนถึงจัดแสดงผลงานวรรณกรรมที่นับเป็นตัวตนหนึ่งของเมืองหรือของประเทศนั้นๆ 

แล้วงานหนังสือมาจากไหน จากงานเทศกาล จัดแสดงและจำหน่ายหนังสือร่วมสมัย อันที่จริงงานหนังสือถือเป็นอีกงานเทศกาลที่เก่าแก่มากๆ งานหนึ่งของโลก หมายความว่ากิจกรรมการอ่านการเขียนของเราเกี่ยวข้องกับการเกิดขึ้นของการผลิตหนังสือที่ผลิตได้เป็นจำนวนมากขึ้นทำให้เกิดตลาดหนังสือ มีการค้าหนังสือในระดับนานาชาติ ความเก่าของงานหนังสือหรือ book fair เก่าถึงขนาดย้อนกลับไปได้ในยุคกลาง กลับไปยังเมืองสำคัญเมืองหนึ่งในเยอรมนีคือเมืองแฟรงก์เฟิร์ต 

แฟรงก์เฟิร์ตได้ชื่อเป็นจุดกำเนิดของงานหนังสือ โดยงานหนังสือสัมพันธ์กับงานแฟร์ที่สำหรับบริบทเยอรมนีในยุคกลางเกี่ยวข้องทั้งกับเทศกาลเฉลิมฉลองทางศาสนา การเกิดขึ้นของเมืองที่มีพ่อค้าและนักเดินทาง และที่สำคัญคือแฟรงก์เฟิร์ตเป็นที่มั่นและมรดกสำคัญของการเกิดขึ้นของนวัตกรรมการพิมพ์สมัยใหม่ครั้งแรกคือโยฮัน กูร์เตนเบิร์ก โรงพิมพ์ที่ทำให้เกิดวัฒนธรรมหนังสือที่แมสขึ้นกลายเป็นหัวใจของการเปลี่ยนแปลงในยุโรปในยุคนั้นๆ เราจะพากลับไปดูภาพการเกิดขึ้นของหนังสือในฐานะสินค้า งานแฟร์ที่แฟรงก์เฟิร์ตเองก็มีคู่แข่งและสัมพันธ์กับประวัติศาสตร์ในภาพใหญ่

แฟรงก์เฟิร์ตยุคกลาง งานแฟร์และตลาดหนังสือ

เวลาเราพูดถึงจุดกำเนิดงานหนังสือ เรามักอ้างอิงกลับไปที่แฟรงก์เฟิร์ตในฐานะพื้นที่ที่จัดงานหนังสือแห่งแรกของโลก คำว่าแห่งแรกนี้ก็ถือว่าแรกจริงเพราะเชื่อมโยงย้อนกลับไปยาวนานหลัก 500 ปี พาเรากลับไปยังแฟรงก์เฟิร์ตในยุคกลางคือตั้งแต่ราวศตวรรษที่ 12 การเกิดขึ้นของงานหนังสือสัมพันธ์กับบริบทหลายด้านของความเป็นเมืองยุคกลางและการเป็นเมืองสำคัญของแฟรงก์เฟิร์ตเอง

อย่างแรกที่สุดคือในสมัยกลาง เมืองต่างๆ แม้จะอยู่ห่างกัน การเชื่อมต่อระหว่างเมือง เช่น ถนน การเดินทาง หรือกระทั่งการสื่อสารทำได้ค่อนข้างลำบาก แต่ในยุคกลางก็เริ่มมีการเชื่อมต่อเมืองต่างๆ เข้าหากัน เมืองในยุโรปกลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ มีการเดินทางจาริกแสวงบุญและมีพ่อค้าที่เดินทางข้ามไปมาระหว่างเมืองต่างๆ แฟรงก์เฟิร์ตถือเป็นเมืองหนึ่งที่ได้ประโยชน์ด้วยการอยู่บนเส้นทางการค้าและเมืองแฟรงก์เฟิร์ตเองก็ถือว่าเป็นเมืองสำคัญลำดับต้นๆ ในมุมมองจากศาสนจักร

ก่อนที่จะเข้าสู่งานหนังสือ คำว่างานหนังสือในบริบทยุคกลาง อยากเสนอประเด็นเรื่องคำว่างานแฟร์เล็กน้อย คำว่างานแฟร์เช่นในงานหนังสือของแฟรงก์เฟิร์ตจะเรียกว่า Frankfurter Buchmesse คำว่า buchmesse คำแรก buch แปลว่าหนังสือ ส่วนคำว่า messe คำหลังนี่แหละที่ถือเป็นอีกคำสำคัญที่สัมพันธ์กับยุคกลาง คือในสมัยกลางด้วยความที่เมืองสำคัญก็จริง แต่การค้าลำบาก เดินทางยาก ถนนของยุคกลางเต็มไปด้วยอันตราย สิ่งหนึ่งที่ถูกจัดขึ้นก็คือเจ้างาน messe นี่แหละ

ถ้าเราแปลในความหมายปัจจุบันก็อาจเรียกว่างานแฟร์ แต่ในบริบทเยอรมนีและยุคกลาง งานแฟร์ที่ว่าเป็นงานที่สัมพันธ์กับวันเฉลิมฉลองในพื้นที่เมืองของยุคกลาง ส่วนใหญ่จะเป็นวันฉลองนักบุญ แต่เดิมเป็นเหมือนงานรวมตัวของผู้คนให้ได้มาฉลองกันในแถวๆ พื้นที่กลางเมือง (ที่มักมีโบสถ์เป็นศูนย์กลาง) ในงานแฟร์นี้จะผสมกันระหว่างงานฉลองและงานที่เอาสินค้า ข้าวของมาจัดแสดงและขายออกร้าน ทีนี้แรกๆ งานแฟร์อาจจะจัดรายสัปดาห์ จนนานๆ เข้าก็เริ่มลดจนกลายเป็นเทศกาลใหญ่ อาจจะจัดปีละครั้งหรือสองครั้ง บางครั้งจะจัดในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวเช่นในเดือนตุลาคมหรือมีนาคมคือช่วงใบไม้ร่วงและใบไม้ผลิ เป็นทั้งช่วงพักและช่วงที่พืชผลสินค้าอุดมสมบูรณ์

ทีนี้ ด้วยความที่ยุคกลางเริ่มมีการค้าขายระหว่างเมืองซึ่งก็คือเกิดตลาดในระดับยุโรปและอาจเชื่อมไปสู่บางส่วนของโลกเช่นอินเดียและตะวันออกกลาง แต่การสื่อสารและเส้นทางยังไม่ดี เจ้าเมืองต่างๆ ก็เริ่มเห็นว่าการจัดงานแฟร์ที่ใช้แสดงสินค้า เป็นงานรื่นเริงพร้อมได้แสดงสินค้าของเมืองและเปิดรับพ่อค้านักเดินทางจากดินแดนอื่นๆ ด้วย เป็นกลยุทธ์ที่ดี เราก็ใช้งานแฟร์เป็นตัวกระตุ้นความมั่งคั่งของเมืองซะเลย อย่างแรกสุดคือการมีงานขนาดใหญ่ประจำปีเป็นเหมือนหมุดหมายที่พาคนมางานค้าขายสำคัญนี้

แฟรงก์เฟิร์ตเป็นอีกเมืองที่ทั้งได้เปรียบและเจ้านครเองก็ยินดีใช้งานแฟร์เป็นกลยุทธ์ด้วย ซึ่งแฟรงก์เฟิร์ตนอกจากจะทำเลดีแล้ว ทางนครแฟรงก์เฟิร์ตก็ไม่มีการเก็บค่าเข้าเมืองและค่าเข้างาน ในปี 1240 มีรายงานระบุว่าทางเจ้านครเมืองได้ทำการรับรองการจัดงานแฟร์อย่างเป็นทางการ คือมีการคุ้มกันและรับรองดูแลจากทางราชสำนัก แฟรงก์เฟิร์ตในยุคกลางถือเป็นเมืองการค้าและงานแฟร์ของแฟรงก์เฟิร์ตถือเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาเมืองทั้งหมด

เขียนเรื่องงานแฟร์มาอย่างยืดยาว ประเด็นสำคัญของงานแฟรงก์เฟิร์ตแฟร์คือต่อมางานหนังสือแฟรงก์เฟิร์ตเป็นส่วนหนึ่งของงานแฟรงก์เฟิร์ตแฟร์นี่แหละ โดยตั้งแต่ยุคที่มีงานแฟร์ ข้อสำคัญคือแฟรงก์เฟิร์ตในสมัยนั้นรุ่งเรืองเต็มไปด้วยสินค้าทั้งจากยุโรปรวมถึงเอเชียเช่นเครื่องแก้วจากซีเรีย เครื่องเทศจากตะวันออก โดยหนึ่งในสินค้าที่มีชื่อเสียงคือแฟรงก์เฟิร์ตเป็นตลาดของหนังสือ คือมีการขายหนังสือซึ่งในยุคนั้นเป็นแหล่งหนังสือเขียนมือแหล่งสำคัญของยุโรปด้วย

นวัตกรรมการพิมพ์ โรงพิมพ์ และกิจการหนังสือริมน้ำ

พอเมืองรุ่งเรืองทางการค้าแล้ว การมีสินค้าต่างๆ ที่รวมถึงหนังสือด้วยก็ไม่แปลกมาก แต่แฟรงก์เฟิร์ตกลายเป็นจุดเริ่มต้นของงานหนังสือและตลาดหนังสือได้ ก็คือในกลางศตวรรษที่ 15 ในช่วงทศวรรษ 1450 เป็นช่วงที่กูร์เตนเบิร์กคิดค้นระบบเรียงพิมพ์ที่สามารถขยับตัวอักษรและนำกลับมาใช้ได้เรื่อยๆ โดยงานพิมพ์สำคัญแรกๆ คือการพิมพ์ไบเบิลสองเวอร์ชั่น การพิมพ์ครั้งประวัติศาสตร์เกิดขึ้นที่เมืองไมนส์ (Mainz) ใกล้ๆ กับแฟรงก์เฟิร์ต 

กูร์เตนเบิร์กได้เครดิตเรื่องการคิดค้นเทคโนโลยีการพิมพ์ที่เป็นเชื้อเพลิงสำคัญของการเปลี่ยนโลก แต่การพิมพ์ของแกไม่ได้ประสบความสำเร็จ ต่อมากูร์เตนเบิร์กมีข้อพิพาทกับผู้ช่วย แพ้คดีและเสียสิทธิ์ในโรงพิมพ์และการพิมพ์ไบเบิลไป แต่เพื่อนร่วมงานก็ได้ย้ายโรงพิมพ์และอุปกรณ์มายังแฟรงก์เฟิร์ต กลายเป็นรากฐานของตลาดหนังสือและงานหนังสือแฟรงก์เฟิร์ตในเวลาต่อมา

ในแง่ของการพิมพ์ที่สัมพันธ์กับตลาดหนังสือ หลังจากยุคกูร์เตนเบิร์ก การพิมพ์ก็แพร่ขยายไปที่เมืองต่างๆ แต่ละเมืองมีการเติบโตของตัวเอง สำหรับแฟรงก์เฟิร์ตยังถือว่าเป็นเมืองสำคัญของการค้าขายหนังสือ โดยเฉพาะหนังสือภาษาละติน ในช่วงนั้นช่างพิมพ์เริ่มตั้งร้านบริเวณริมน้ำและเป็นเรื่องธรรมดาที่พ่อค้า ช่าง และกิจการที่เกี่ยวข้องกันมักจะตั้งร้านในละแวกเดียวกัน ในสมัยนั้นจะมีการส่งหนังสือมายังเมืองทางเรือและรับหนังสือไปด้วยเรือเช่นเดียวกัน 

ในราวปี 1581 ที่แฟรงก์เฟิร์ตเกิดพื้นที่ที่เรียกว่า buchgasse หรือ book valley เป็นตรอกหนังสือที่แสดงให้เห็นว่าผู้ค้า หนังสือ และสำนักพิมพ์มีการตั้งที่ทำการ ร้านค้า และคลังหนังสือ

ด้วยเงื่อนไขที่แฟรงก์เฟิร์ตกลายเป็นฐานที่มั่นการพิมพ์ เป็นศูนย์กลางหนังสือ ทำให้เมืองแห่งนี้เป็นปลายทางและศูนย์กลางของการค้าหนังสือภาษาละตินจากเมืองต่างๆ ในยุโรป ด้วยงานแฟร์ประจำที่ทำหน้าที่จัดแสดงและเป็นพื้นที่เจรจาซื้อ-ขายสำคัญของเมือง การเกิดขึ้นของตลาดหนังสือก็น่าจะเริ่มเฟื่องฟูตั้งแต่เมื่อโรงพิมพ์มรดกของกูร์เตนเบิร์กย้ายมาทำการที่แฟรงก์เฟิร์ต 

ภาพของงานหนังสือที่ค่อนข้างเป็นทางการเริ่มปรากฏชัดเจนในช่วงปี 1485 (กิจการการพิมพ์ของกูร์เตนเบิร์กย้ายมาราวปี 1462) ในช่วงปีดังกล่าวเริ่มมีบันทึกเช่นช่างพิมพ์จากเมืองนูร์เรมเบิร์กที่เดินทางมายังงานแฟร์และทำการเจรจาการค้ากับสำนักพิมพ์ ช่างพิมพ์ในงาน โดยงานหนังสือที่เป็นส่วนหนึ่งของงานแฟร์ใหญ่ไม่ได้มีแค่สำนักพิมพ์ โรงพิมพ์ แต่ยังคราคร่ำไปด้วยกิจการที่เกี่ยวข้อง เช่น ช่างกระดาษ กิจการเข้าเล่ม (binders) ช่างแกะสลักไม้ (ยุคนั้นเริ่มมีภาพประกอบและใช้เทคโนโลยีการพิมพ์ภาพลงไปด้วย)

สำรับแฟรงก์เฟิร์ตเอง ตลาดหนังสือหรืองานหนังสือแฟรงก์เฟิร์ตถือเป็นพื้นที่สำคัญในการกระจายความรู้ ความเป็นตลาดหนังสือในระดับภูมิภาคในยุคปลายของสมัยกลาง ตลาดหนังสือแห่งนี้ถือเป็นพื้นที่สำคัญที่นักคิด นักปรัชญาจากมหาวิทยาลัยต่างๆ หรือจากสำนักต่างๆ มารวมตัวกัน 

บรรยากาศของงานหนังสือในยุคนั้นเต็มไปด้วยความสดใหม่ บางงานเขียนก็เป็นเรื่องต้องห้าม งานเขียนสำคัญๆ ไม่ว่าจะเป็นทางเทววิทยาไปจนถึงข้อเขียน รายงานและการค้นพบทางวิทยาศาสตร์จำนวนมากถูกนำมารวมและจำหน่ายอยู่ในงานสำคัญแห่งนั้น งานเขียนที่ต่อมาแพร่กระจายไปทั่วยุโรปและกลายเป็นแรงขับเคลื่อนในการปฏิวัติต่างๆ ตั้งแต่การปฏิรูปศาสนาถึงการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ ในยุคปฏิรูปศาสนานี้เกิดเหตุการณ์สำคัญที่สัมพันธ์กับตลาดหนังสือเช่นเริ่มมีการแปลหนังสือออกเป็นภาษาเยอรมัน อย่างมาร์ติน ลูเทอร์ ที่แปลไบเบิลเป็นภาษาเยอรมัน เกิดตลาดที่คนทั่วไปเข้าถึงหนังสือได้มากขึ้น หนังสือเองก็มีราคาถูกลง

ในช่วงนั้นถึงงานหนังสือของแฟรงก์เฟิร์ตได้ฉายาอันงดงามว่า ‘งานของเทวีศิลปวิทยา (Fair of the Muses)’ คืออาจให้ภาพงานที่เต็มไปด้วยนักคิด ความรู้ รวมถึงเป็นงานที่สร้างแรงบันดาลใจจากหนังสือและภูมิรู้อันสดใหม่และสวยงาม ถือเป็นแรงขับและพื้นที่ทางภูมิปัญญาหนึ่งของศตวรรษที่ 16 ต่อเนื่องจนถึงสิ้นสุดศตวรรษที่ 17 งานหนังสือแฟรงก์เฟิร์ตถือเป็นงานหนังสือที่สำคัญที่สุดของยุโรป 

แฟรงก์เฟิร์ตกับดาวรุ่งดวงใหม่ และการกลับมาเป็นที่หนึ่งอีกครั้ง

ประวัติศาสตร์งานหนังสือเกี่ยวข้องกับกรอบประวัติศาสตร์หลายร้อยปี และการแพร่กระจายของการพิมพ์ หลังจากแฟรงก์เฟิร์ตกลายเป็นหมุดหมายการพิมพ์และตลาดหนังสือแรก หลังจากนั้นเมืองอื่นๆ ก็เริ่มมีการพิมพ์และเกิดตลาด ไปจนถึงงานหนังสือของตัวเอง คู่แข่งสำคัญของงานหนังสือแฟรงก์เฟิร์ตคืองานหนังสือที่เมืองไลป์ซิก (Leipzig Book Fair)

เมืองไลป์ซิกเป็นเมืองที่ค่อนมาทางเหนือของเยอรมัน บริบทเมืองนี้ถือว่าเป็นเมืองที่เปิดต่อความคิดใหม่ๆ มากกว่า งานหนังสือที่เมืองไลป์ซิกมีจุดกำเนิดราวศตวรรษที่ 15 ด้านหนึ่งเมืองแห่งนี้นับเป็นเมืองที่เปิดกว้างกว่า ในยุคร่วมกันเมืองแฟรงก์เฟิร์ตแม้จะเป็นศูนย์กลางหนังสือและความคิดใหม่ๆ แต่ที่แฟรงก์เฟิร์ตได้รับอิทธิพลจากศาสจักรโดยเฉพาะคาทอลิก 

ในช่วงศตวรรษที่ 16-17 ที่แฟรงก์เฟิร์ตมีการควบคุมและเซนเซอร์หนังสืออย่างเข้มเข้น ในขณะที่เมืองไลป์ซิกเป็นฐานที่มั่นเดิมอยู่แล้ว คือแต่เดิมเป็นที่ผลิตหนังสือและส่งมาขายที่งานแฟร์ที่แฟรงก์เฟิร์ต ภายหลังที่เมืองไลป์ซิกได้อิทธิพลจากโปรเตสแตนท์ เป็นเมืองที่เปิดต่อการปฏิรูปศาสนา การพิมพ์หนังสือที่ไลป์ซิกเป็นที่มั่นสำคัญของการพิมพ์วรรณกรรมเยอรมันและงานเขียนภาษาเยอรมันต่างๆ การเซนเซอร์หนังสือสัมพันธ์กับธรรมเนียมงานหนังสือคือการจัดทำแค็ตตาล็อกหนังสือมาให้ดูก่อน ก่อนที่จะมีการสั่งจองและจัดส่งหลังงานแฟร์ การเซนเซอร์เริ่มตั้งแต่การควบคุมแค็ตตาล็อกที่จะนำหนังสือเข้ามาขาย การเซนเซอร์นำไปสู่การบังคับให้ส่งหนังสือฟรีให้กับราชสำนัก การบังคับให้ส่งหนังสือฟรีหลายครั้งนำไปสู่ปัญหาต่างๆ เช่น การตรวจสอบการสั่งซื้อ การค้นร้านหนังสือ หรือการเข้าไปจัดการกับสต็อกหนังสือ ทั้งหมดนี้ส่งผลกับกิจการการค้าหนังสือและทำให้แฟรงก์เฟิร์ตในฐานะตลาดหนังสือค่อยๆ เสื่อมถอยลง

ในปี 1632 งานหนังสือที่ไลป์ซิก (เป็นส่วนหนึ่งของงานแฟร์ของเมืองเหมือนกับแฟรงก์เฟิร์ต) ถือว่าเอาชนะ ขึ้นเป็นงานหนังสืออันดับหนึ่งของยุโรปได้ มีตัวเลขปริมาณหนังสือที่มากกว่าแฟรงก์เฟิร์ต 7 เท่า โดยเมืองไลป์ซิกเป็นงานหนังสืออันดับหนึ่งในช่วงปี 1700-1800 และในช่วงเวลาเดียวกันแฟรงก์เฟิร์ตเองก็ถูกรุมเร้าด้วยหลายเรื่อง เช่น ผลกระทบของสงคราม 30 ปีที่เกิดจากความขัดแย้งทางศาสนา และการเข้าควบคุมหนังสือของศาสนจักรและราชสำนักที่ส่งผลโดยตรงกับการจัดการและขายหนังสือโดยเฉพาะจากพ่อค้าต่างเมืองและต่างชาติ

ความน่าสนใจของความเฟื่องฟูของงานหนังสือค่อนข้างสัมพันธ์กับบริบททางวัฒนธรรมและการเมืองในยุคสมัย ไลป์ซิกขึ้นแท่นอยู่หลายร้อยปีจนกระทั่งเกิดเหตุการณ์สำคัญคือการแบ่งแยกเยอรมันในช่วงสงคราม เมืองไลป์ซิกอยู่ฝั่งเยอรมันตะวันออกและกลายเป็นศูนย์กลางของเยอรมันฝ่ายตะวันออก ปกครองโดยสหภาพโซเวียต ในขณะที่แฟรงก์เฟิร์ตอยู่ฝั่งเยอรมันตะวันตก ตรงนี้เองที่ศูนย์กลางและความสำคัญของงานและกิจการเกี่ยวกับหนังสือจึงได้ย้ายกลับมาที่แฟรงก์เฟิร์ตอีกครั้งหนึ่ง

จากประวัติศาสตร์กว่า 500 ปี เราจึงกลับมาที่เมืองแฟรงก์เฟิร์ตกันอีกครั้งในฐานะต้นกำเนิดและงานหนังสือที่ใหญ่ที่สุดของโลก ในปี 1949 เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ทางสมาคมผู้จัดพิมพ์เยอรมันก็ได้รวมตัวกันและฟื้นงานหนังสือแฟรงก์เฟิร์ตกลับมาได้อีกครั้ง งานหนังสือในครั้งนั้นจัดขึ้นที่โบสถ์เซนต์ปอล มีสำนักพิมพ์เข้าร่วม 205 แห่ง

สำหรับงานหนังสือแฟรงก์เฟิร์ตในปี 1949 ก็ยังคงนับเป็นต้นแบบของงานหนังสือ เป็นงานหนังสือเก่าแก่ที่จัดอย่างต่อเนื่อง หลายธรรมเนียมก็มาจากงานหนังสือที่แฟรงก์เฟิร์ตนี้ เช่น การออกแค็ตตาล็อกหนังสือออกใหม่ การมีตีม หรือการเชิญแขกคือกลุ่มหนังสือจากประเทศต่างๆ ปัจจุบันงานหนังสือแฟรงก์เฟิร์ตถือเป็นงานหนังสือที่ใหญ่ที่สุด มีผู้เข้าร่วมแสดงในงานกว่า 7,000 ราย ร่องรอยสำคัญหลายอย่างก็ยังคงสืบทอดมาเช่นการจัดงานในกลางเดือนตุลาคม ปัจจุบันจัด 5 วัน ในบางงานเช่นที่ไลป์ซิกจะจัด 2 รอบ คือช่วงมีนาคม เป็นช่วงวันอีสเตอร์ และในช่วงปลายเดือนกันยายน (งานจัดเดือนตุลาคม) เป็นวันฉลองนักบุญมิคาเอล (Michaelmas)

อ้างอิงข้อมูลจาก