เบื้องหลังร้านซีฟู้ดที่ทำให้คนทั้งโลกหันมองศรีลังกาในฐานะประเทศหนึ่งที่ปูอร่อยที่สุดในโลก

ไม่น่ามีเด็กไทยคนไหนที่โตมาแล้วไม่ได้อ่านเรื่องราวของ รามเกียรติ์ วรรณกรรมชิ้นเอกของไทยที่ได้แรงบันดาลใจมาจากมหากาพย์อันศักดิ์สิทธิ์ของอินเดียเรื่อง รามายณะ

เรื่องราวยิ่งใหญ่ของรามเกียรติ์ที่มีความยาวเป็นร้อยตอน แต่เส้นเรื่องที่สำคัญคือการรบพุ่งกันของพระรามและไพร่พลลิงที่ยกทัพไปช่วยนางสีดาซึ่งถูกลักพาตัวโดยราชาแห่งยักษ์ผู้ปกครองกรุงลงกา จึงเป็นที่มาของชื่อตอนที่เป็นที่รู้จักกันดี เช่น นางสีดาถูกลักพา ยกทัพไปตีลังกา หนุมานถวายแหวน เป็นต้น

เวลาต่อมาก็มีคนต่างตีความไปนานาว่า กรุงลงกา ที่ว่าน่าจะเป็น เมืองลังกา หรือ ประเทศศรีลังกา ในปัจจุบัน

แต่ใช่ว่าศรีลังกาจะมีดีแค่ว่าเป็นฉากหลังในมหากาพย์อันยิ่งใหญ่ของไทยและอินเดีย แต่ประเทศนี้เป็นประเทศที่น่าสนใจทั้งในเชิงภูมิศาสตร์ การเมือง ศาสนา วัฒนธรรม และเศรษฐกิจ และที่สำคัญคือธุรกิจอาหาร ก็ถือเป็นพลังอันนุ่มลึกของประเทศนี้ที่ส่งออกไปครองใจคนอีกมากมายทั่วโลก

ไข่มุกแห่งมหาสมุทรอินเดีย

ศรีลังกาได้รับฉายาว่าไข่มุกแห่งมหาสมุทรอินเดีย ด้วยเหตุผลตรงตามตัวและตรงตามความหมาย ประเทศนี้มีลักษณะเป็นเกาะ ตั้งอยู่ในมหาสมุทรอินเดียและมีรูปร่างเหมือนไข่มุก ฉะนั้นภูมิประเทศโดยรอบจึงโดนโอบล้อมด้วยทะเล พื้นที่ตรงกลางและทางใต้ของประเทศเป็นป่าและเทือกเขาสลับซับซ้อน 

ทรัพยากรธรรมชาติมีอยู่มากมายทั้งหินแร่ อัญมณี และที่สำคัญประเทศนี้โด่งดังเรื่องการปลูกชา เพราะพื้นที่หลายแห่งมีความสูงจากระดับน้ำทะเลอยู่ที่ 1,000-2,000 เมตร ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีอากาศเย็นสบาย หมอกบางๆ แสงแดดอ่อนๆ แถมมีดินที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุ ชาที่เก็บเกี่ยวได้จึงเป็นชาที่มีความสมบูรณ์ในรสชาติ มีกลิ่นหอม และใบชาเรียวสวย แถมระบบการซื้อ-ขายชาในศรีลังกาก็ถูกเซตไว้เป็นอย่างดีโดยพ่อค้าชาวอังกฤษในช่วงศตวรรษที่ 19 เนื่องด้วยประเทศนี้เคยเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษมาก่อน 

ใช่แล้ว ประเทศนี้เคยตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษมาก่อน ในยุคล่าอาณานิคม

เกาะลังกา สู่ชาซีลอน 

พูดไปก็น่าเศร้าใจ แต่ก็อาจจะถือว่าเป็นโชคดีของพวกเราที่ไม่ได้เกิดมาในยุคล่าอาณานิคม ยุคที่เราคงจินตนาการกันไม่ออกว่ามันเป็นไปได้ยังไงที่ผู้คนถือวิสาสะรบพุ่งเอากำลังพลเข้ายึดประเทศคนอื่นตามใจชอบ เพียงเพราะเห็นแก่ทรัพยากรธรรมชาติของเขา คนเรามันใจร้ายใจดำกันได้อย่างนั้นเชียวหรอ

ในยุคล่าอาณานิคมศรีลังกา โดยเดิมถูกเรียกว่าลังกา (Lanka) ซึ่งแปลว่าเกาะ ในภาษาสันสกฤต ถูกยึดครองโดยโปรตุเกสในปี 1505-1658 เมื่อคนโปรตุกีสเข้ามาปกครองก็เริ่มเรียกเกาะนี้ว่า Ceilao (เป็นสำเนียงโปรตุเกสของชื่อเรียก Lanka) ต่อมาชาวดัตช์มาขับไล่คนโปรตุเกสและเข้ายึดศรีลังกาอีกในปี 1658-1796 คนเนเธอร์แลนด์เริ่มเรียกเกาะนี้ว่า Zeylan และด้วยความที่เป็นไข่มุกล้ำค่าแห่งมหาสมุทรอินเดีย อังกฤษก็มาเข้ายึดศรีลังกาต่อจากฮอลแลนด์อีกทีในปี 1796-1948 และช่วงนี้เองที่ชาวอังกฤษเริ่มเปลี่ยนชื่อเรียกเกาะนี้ให้เป็น Ceylon หรือซีลอน ซึ่งกลายเป็นชื่อเรียกอีกชื่อของเกาะศรีลังกาไปโดยปริยาย

เล่าถึงตรงนี้ทุกคนน่าจะเห็นภาพว่าประเทศนี้ผ่านมือการปกครองของชาติมีอำนาจมามากมาย จึงเป็นประเทศที่รุ่มรวยไปด้วยวัฒนธรรมอันหลากหลาย และที่สำคัญวัตถุดิบที่ต่อมาชาวลังกาเอามาทำอาหารอย่างแพร่หลายมากมาย หลายต่อหลายอย่างก็มาจากประเทศผู้ล่าอาณานิคมเหล่านี้แหละที่เอามาแนะนำให้ชาวศรีลังการู้จัก เช่น พริก (ที่ชาวโปรตุเกสเอามาจากแอฟริกาแล้วเอามาเผยแพร่ในอินเดียและศรีลังกา)

และที่ร่ายคลาสวิชาประวัติศาสตร์อาหารมายืดยาวเพราะอยากพาคุณไปรู้จักร้านอาหารร้านหนึ่งที่ถือว่าเป็นหนึ่งในร้านอาหารที่มีพลังการส่งออกวัฒนธรรมระดับมหาศาลเพราะสามารถทำให้คนทั้งโลกหันมามองศรีลังกาในฐานะประเทศที่มีปูที่ดีที่อร่อยที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง

ร้านอาหารร้านนั้นมีชื่อว่า Ministry of Crab

กระทรวงปู

หลักการบริหารบ้านเมืองคือเรื่องการจัดการ การจัดการทุกอย่างในประเทศให้เป็นระบบระเบียบก็ต้องมีการตั้งหน่วยงานต้นสังกัดเพื่อเป็นโต้โผในการดูแลอะไรสักอย่างที่เป็นเรื่องเฉพาะกิจนั้นๆ เช่น กระทรวงมหาดไทย ดูแลเรื่องการปกครองบ้านเมือง, กระทรวงกลาโหม ดูแลเรื่องทหารและความมั่นคง, กระทรวงการคลัง ดูแลเรื่องเงินตรา 

แล้วถ้ามีใครสักคนคิดอยากจะเอาจริงเอาจังกับ ‘ปู’ อยากจะให้ปูเป็นหน้าเป็นตาระดับประเทศ อยากให้คนทั้งประเทศหันมาสนใจและให้ความสำคัญกับปู ว่าแล้วเจ้าของไอเดียนี้ก็เลยริเริ่มการทำร้านอาหารที่มีปูเป็นตัวชูโรงและตั้งชื่อร้านนี้ว่า Ministry of Crab ที่แปลเป็นภาษาไทยแบบตรงตัวว่า ‘กระทรวงปู’

เจ้าของไอเดียการทำร้าน Ministry of Crab คือคุณ Dharshan Munidasa เชฟดังลูกครึ่งศรีลังกา-ญี่ปุ่น 

ประวัติของคุณดาร์ชันอาจจะไม่ได้ตรงตามขนบความเป็นเชฟมืออาชีพสักเท่าไหร่ เพราะคุณดาร์ชันไม่ได้เรียนจบโรงเรียนสอนทำอาหารที่ไหน ตรงกันข้ามคุณดาร์ชันจบ ดีกรีแบบ double degree (หลักสูตรแบบเรียนจบแล้วได้ปริญญาพร้อมกัน 2 ใบ) ได้แก่ วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จากมหาวิทยาลัย John Hopkins University

เคยมีคนสัมภาษณ์คุณดาร์ชันแล้วถามเขาว่า “เสียดายไหมที่เรียนปริญญามาตั้งสองใบ แต่สุดท้ายกลับไม่ได้ใช้”

คุณดาร์ชันตอบว่า “ไม่เคยเสียดายเลย”

เนื่องจากมหาวิทยาลัยที่คุณดาร์ชันเรียนอยู่ที่สหรัฐอเมริกา เขาจึงต้องทำอาหารด้วยตัวเองทุกมื้อทุกวัน แถมยังทำเผื่อเพื่อนและครอบครัวอีก เวลาที่คุณพ่อคุณแม่มาเยี่ยมที่อเมริกา คุณดาร์ชันจึงได้ฝึกปรือทำอาหารตอนเรียนหนังสือและได้ค้นพบตัวตนว่า เป็นคนชอบทำอาหารและอยากเดินเส้นทางสายนี้

ชีวิตพัดพาให้คุณดาร์ชันมาอยู่ในเส้นทางการทำอาหารจนได้กลายมาเป็นเชฟ ทั้งๆ ที่ไม่เคยเข้าเรียนที่โรงเรียนสอนทำอาหารที่ไหนเลย อาจจะเพราะใจรักและเป็นลูกครึ่งศรีลังกา-ญี่ปุ่น คุณดาร์ชันจึงได้เรียนรู้ทั้งการใช้วัตถุดิบต่างๆ ที่มีอยู่อย่างมากมายในดินแดนที่อุดมสมบูรณ์อย่างศรีลังกา และการดึงรสชาติของวัตถุดิบที่อร่อยกลมกล่อมเป็นธรรมชาติในตัวของวัตถุดิบแต่ละชนิดในอาหารออกมาอย่างชาวญี่ปุ่น จึงทำให้คุณดาร์ชันเป็นเชฟที่โด่งดังมีชื่อเสียงและได้ออกรายการอาหารทางทีวีที่สิงคโปร์ชื่อว่ารายการ Culinary Journeys with Dharshan ในปี 2009 ในรายการนั้นมีตอนหนึ่งที่คุณดาร์ชันเลือกใช้ปูจากศรีลังกา เป็นวัตถุดิบหลักของการทำเมนู

หลังจากที่เทปรายการนั้นออกเผยแพร่ มีฟีดแบ็กที่ดีมากมายมาถึงคุณดาร์ชันรวมถึงคำถามยอดฮิตที่ว่า “ทำไมคุณไม่เปิดร้านอาหารที่ใช้ปูจากศรีลังกาเป็นวัตถุดิบหลักล่ะ” 

คุณดาร์ชันจึงไปชวนเพื่อนสนิทอีก 2 คนที่เป็นนักคริกเก็ตระดับตำนานชาวศรีลังกามาร่วมลงทุน นั่นคือคุณ Mahela Jayawardene และ Kumar Sangakkara

สองปีต่อมา เราจึงได้เห็นร้าน Ministry of Crab แห่งแรกของโลกเปิดที่เมืองโคลอมโบ ประเทศศรีลังกา

จากเกาะแห่งชาสู่ร้านปูทะเลสุดเท่ของเอเชีย

หลักการทำร้าน Ministry of Crab ฟังดูเหมือนเรียบง่าย ไม่มีอะไรยาก และทุกครั้งที่คุณดาร์ชันให้สัมภาษณ์มันก็ดูเป็นอย่างนั้นจริงๆ นั่นคือ การใช้วัตถุดิบที่สด นั่นคือปูทะเลของศรีลังกาซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นปูที่ถูกจับมาโดยธรรมชาติ

เมื่อปูเป็นๆ ถูกจับและส่งมาถึงร้านแล้ว จะมีเวลาอยู่ในร้านไม่เกิน 2 วัน ก่อนที่ปูนั้นจะถูกปรุงและเสิร์ฟมาอยู่บนจานของคุณลูกค้าที่ร้าน ฉะนั้นความสด ความใหม่ของปูสำคัญมากสำหรับคุณดาร์ชัน

อีกทั้งเรายังต้องอย่าลืมว่าคุณดาร์ชันเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น เขาเก่งกาจเรื่องการผสมผสานรสชาติและการดึงรสชาติให้กลมกล่อมอูมามิ จังหวะไหนที่ต้องเผ็ดร้อนเขาทราบดีว่าต้องใช้พริกไทยดำ พริกป่น น้ำมัน กระเทียมยังไงให้เค็ม เผ็ด จัดจ้านในแบบที่คนศรีลังกาและชาวเอเชียนิยม จังหวะไหนที่ต้องปรุงแบบกลมกล่อมให้รสชาติหอมหวนเขาก็สามารถทำให้ลูกค้าชมได้ไม่หยุดปากจากการปรุงและตวัดปลายตะหลิวของเขาเช่นกัน

ไซส์ปูที่เสิร์ฟที่ร้าน Ministry of Crab มีตั้งแต่ไซส์เล็กสุดคือ ½ kilo crab (แปลเป็นไทยคือตัวละครึ่งกิโลฯ) ไปจนถึง Crabzilla (ปูตัวละ 2 กิโลฯ!)

วิกฤตศรีลังกา กับความกล้าในการตั้งกระทรวงของเชฟ

นอกจากคลาสประวัติศาสตร์โดยย่อแล้ว เราขอพาคุณเข้าห้องเลกเชอร์คลาสเศรษฐศาสตร์แบบรวบรัดจบใน 5 นาที ตามนี้

ข่าวที่ใหญ่ที่สุดในรอบปี 2021-2022 ของประเทศในแถบเอเชียคงหนีไม่พ้นวิกฤตเศรษฐกิจที่อาจเรียกได้ว่าความพังพินาศที่สุดในประวัติศาสตร์การเงินของศรีลังกา ความโดยย่อต่อสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดคือ รัฐบาลศรีลังกาล้มเหลวในการบริหารประเทศ มีการไปกู้ยืมเงินจากจีน อินเดีย ญี่ปุ่น และสถาบันการเงินอื่น แต่พอถึงนัดชำระหนี้กลับไม่มีเงินไปจ่ายหนี้ จึงถือว่าผิดนัดชำระหนี้ พอเกิดเหตุการณ์แบบนี้ เท่ากับว่าประเทศติดหนี้อยู่มหาศาล รัฐบาลก็หาวิธีมากมายที่พยายามประคับประคองเศรษฐกิจก็แล้ว แต่ก็ดูเหมือนว่าทำอะไรก็ผิดไปหมดในสายตาชาวโลก เช่น การลดภาษี ที่หนักเกินไปที่ตอนแรกตั้งใจว่าจะให้เป็นนโยบายกระตุ้นการใช้จ่ายแต่สุดท้ายกลับกลายเป็นการทำให้รายได้รัฐยิ่งลดลง, การพิมพ์เงินมากเกินไป ทำให้เงินเฟ้อ พอเงินเฟ้อค่าเงินรูปีก็ร่วง เมื่อค่าเงินร่วงก็หมายความว่า ราคาข้าวของเครื่องใช้ทั้งหลายก็จะสูงขึ้นจนคนศรีลังกาจ่ายไม่ไหว แถมให้อีกปัญหาคือ เมื่อรัฐบาลศรีลังกามีเงินเหลือไม่พอในคงคลัง รัฐจึงไม่มีเงินในการซื้อพลังงานจากต่างประเทศ เช่น น้ำมันดิบ ไฟฟ้า ก๊าซหุงต้ม ทำให้ศรีลังกาเคยเกิดวิกฤตพลังงาน คือไฟฟ้าดับวันละ 10-13 ชั่วโมง ทั้งเกาะ!

ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้หากสาธยายไปก็รังแต่จะทำให้คุณต้องปวดหัว เลยขอสรุปความว่า ศรีลังกาเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจที่หนักหนาสาหัสที่สุด จนผู้คนรวมตัวออกมาประท้วงใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ในปี 2022

วิกฤตทั้งหมดพอจะผ่านพ้นไปได้ เมื่อศรีลังกาได้รับการอนุมติเงินกู้จาก IMF (กองทุนการเงินระหว่างประเทศ) ในปี 2023

เหตุผลที่นำพาวิกฤตมายังศรีลังกาที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดที่นักวิเคราะห์เศรษฐกิจทั่วโลกว่ากันคือ การบริหารงานที่ผิดพลาดของรัฐ บ้างก็ว่าปัญหาคอร์รัปชั่นสะสม และการทำงานที่ล่าช้าของเจ้าหน้าที่รัฐที่ศรีลังกาที่เป็นต้นตอของปัญหาการบริหารงานภายในประเทศ

สื่อหลายที่เคยโยงเอาการตั้งชื่อร้านอาหารว่า Ministry of Crab หรือ กระทรวงปู ของคุณดาร์ชันว่าเป็นการจิกกัดเสียดสีรัฐบาลศรีลังกาที่ล่าช้าและคงจะไม่เอาจริงเอาจัง ถ้ารัฐบาลจะทำอะไรช้าตลอด อย่างนั้นผมตั้งกระทรวงขึ้นเองเลยก็แล้วกัน ตั้งชื่อร้านว่ากระทรวงปู หรือ  Ministry of Crab เอาเองซะเลย

ย้ำอีกครั้งว่า ทั้งหมดนี้คุณดาร์ชันไม่เคยพูดตรงๆ พูดเพียงแต่ว่า “เราแค่ต้องการชื่อที่เอาจริงเอาจังและดูซีเรียส มีความเป็นสถาบัน”

จะอย่างไรก็ตาม คุณดาร์ชันก็พาความเป็นปูทะเลศรีลังกาให้คนมากมายทั่วโลกได้รู้จักจริงๆ เพราะปัจจุบันนี้ Ministry of Crab เปิดไปแล้ว 8 สาขา คือ โคลอมโบ, เซี่ยงไฮ้, เฉิงตู, มุมไบ, มัลดีฟส์, สิงคโปร์, กัวลาลัมเปอร์ รวมถึงที่กรุงเทพมหานคร

จะเพราะความกล้า ความบ้า หรือความเนิร์ดก็ตาม แต่คุณดาร์ชันก็ได้ทำให้โลกเห็นว่าศรีลังกาไม่ได้มีดีแค่ชา และไม่ได้เป็นแค่กรุงลงกาที่โด่งดังจากมหากาพย์รามเกียรติ์เท่านั้น แต่วันนี้โลกได้รู้จักกับศรีลังกาในมุมใหม่ว่า ปูทะเลที่นี่ก็อร่อยและชื่อร้านก็ยังเท่ไม่แพ้ใครอีกด้วย

อ้างอิง

Nitori จากร้านเล็กๆ ในซัปโปโรที่เกือบล้มละลาย สู่แบรนด์เฟอร์นิเจอร์อันดับ 1 ของญี่ปุ่น

แม้โควิด-19 จะผ่านไปแล้ว แต่ความชอบแต่งบ้านของผู้คนยังคงเป็นมรดกสำคัญที่ยังไม่จางหายไป ไม่แปลกใจหากแบรนด์ใหญ่จากญี่ปุ่นอย่าง NITORI จะเข้ามาช่วงชิงตลาดในไทย ทั้งยังโตเร็วคือขยายสาขากว่า 10 แห่งภายในระยะเวลาเพียง 2 ปีเท่านั้น

เรื่องน่าสนใจของ NITORI คือครั้งหนึ่งเคยเป็นเพียงแค่ร้านเล็กๆ ที่กำลังจะล้มละลาย แต่ด้วยความฉลาดของอากิโอะ นิโตริ (Akio Nitori) ในวัยเพียง 25 ปี ที่ต้องเข้ามารับช่วงต่อกิจการ จึงพลิกฟื้นธุรกิจและยืนหนึ่งในตลาดญี่ปุ่นได้ ชนิดที่ครั้งหนึ่งทำเอายักษ์ใหญ่จากสวีเดนอย่าง IKEA ต้องลาไปจากแดนอาทิตย์อุทัย ก่อนกลับมาใหม่เพื่อขอท้าชิงอีกรอบ

คอลัมน์ Biztory ตอนนี้จึงขอพาไปดูเบื้องหลังแบรนด์ที่เติบโตจากร้านเล็กๆ ในฮอกไกโด สู่แบรนด์เฟอร์นิเจอร์อันดับหนึ่งของญี่ปุ่น และมีสาขาทั่วโลกมากกว่า 1,000 แห่ง พร้อมตั้งเป้าขยาย 3,000 สาขาทั่วโลกในปี 2032

NITORI

หมอนอิง เก้าอี้ โต๊ะทำงาน แจกันดอกไม้ และสารพัดของแต่งบ้าน 

ทั้งหมดนี้เป็นสินค้าที่คุณเลือกสรรเพื่อสร้างพื้นที่อยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบได้จาก Nitori แบรนด์เฟอร์นิเจอร์จากญี่ปุ่นที่ครองใจผู้บริโภคมานานและสร้างแรงบันดาลใจให้การอยู่อาศัยกลายเป็นเรื่องง่าย 

จุดเด่นของ Nitori ไม่ใช่แค่การออกแบบที่สวยงาม หรือราคาที่เข้าถึงได้เท่านั้น แต่ยังมีเรื่องราวของความพยายามและวิสัยทัศน์ของชายผู้หนึ่งที่เชื่อว่า ‘รากฐานแห่งการใช้ชีวิต เริ่มต้นจากบ้านที่มั่นคง’

คอลัมน์ Biztory จะพาไปดูเบื้องหลังแบรนด์ที่เติบโตจากร้านเล็กๆ ในฮอกไกโด สู่แบรนด์เฟอร์นิเจอร์อันดับหนึ่งของญี่ปุ่น และมีสาขาทั่วโลกมากกว่า 1,000 แห่ง รวมถึงมีสาขาในไทยมากถึง 10 แห่งภายในระยะเวลา 2 ปี 

 จากร้านเล็กๆ สู่แบรนด์เฟอร์นิเจอร์อันดับ 1 ของญี่ปุ่น

ปี 1967 ณ เมืองซัปโปโร ประเทศญี่ปุ่น อากิโอะ นิโตริ (Akio Nitori) ในวัย 25 ปี รับช่วงต่อร้านเฟอร์นิเจอร์ที่ใกล้ล้มละลาย เขาไม่ได้มีเส้นทางชีวิตที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่ด้วยความมุ่งมั่นและการเรียนรู้ไม่หยุดยั้ง เขาค่อยๆ พลิกฟื้นร้านเฟอร์นิเจอร์เล็กๆ ให้กลายเป็น NITORI Corporation แบรนด์เฟอร์นิเจอร์อันดับหนึ่งของญี่ปุ่นในปัจจุบัน

อากิโอะ นิโตริ 

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 1972 เมื่อร้านที่ 2 ของเขาประสบปัญหาทางธุรกิจ แทนที่จะยอมแพ้ เขาเลือกออกเดินทางไปสัมมนาผู้ประกอบการในสหรัฐฯ ที่นั่น เขาพบว่าราคาเฟอร์นิเจอร์อเมริกันถูกกว่าญี่ปุ่นถึง 3 เท่า และมีดีไซน์ที่หลากหลายกว่า นั่นหมายความว่าคนญี่ปุ่นต้องจ่ายค่าเฟอร์นิเจอร์สูงเกินความจำเป็น ทำให้เขาเห็นช่องว่างของตลาดเฟอร์นิเจอร์ในญี่ปุ่นและโอกาสทางธุรกิจที่รออยู่ จึงมุ่งมั่นที่จะทำเฟอร์นิเจอร์ที่ราคาจับต้องได้และต้องมีคุณภาพดี 

Nitori Furniture Store แห่งแรก
Nitori Furniture Store แห่งแรก

หลังกลับจากสหรัฐฯ นิโตริเปลี่ยนแนวทางธุรกิจจากการมุ่งเพิ่มยอดขายเพียงอย่างเดียว มาเป็นการสร้างบ้านที่มีชีวิตชีวาโดยยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง เขานำแนวคิดที่ได้จากสหรัฐฯ มาปรับใช้ และกำหนดหลักสำคัญ 3 ประการให้กับผลิตภัณฑ์ของ Nitori ได้แก่ ความคุ้มค่า การจัดวางที่ลงตัว (coordination) และการแบ่งหมวดหมู่ตามฟังก์ชั่น ทั้งหมดนี้ทำให้ชื่อ Nitori กลายเป็นสัญลักษณ์ของการคิดนอกกรอบและความสำเร็จที่ยั่งยืน

ปัจจุบัน Nitori มีสาขากว่า 1,000 แห่งทั่วโลก ในญี่ปุ่นเพียงประเทศเดียวมีถึง 835 สาขา สะท้อนถึงความนิยมและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อแบรนด์ Nitori ไม่เพียงเป็นแบรนด์เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านที่ได้รับความนิยมสูงสุด แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของคุณภาพ ราคาที่เข้าถึงได้ และแนวคิด ‘ทำให้การใช้ชีวิตดีขึ้น’ (Make Your Room Better) ซึ่งตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี

ความสำเร็จของ Nitori ไม่ได้จำกัดแค่ในญี่ปุ่น แต่ยังขยายสู่ตลาดต่างประเทศ เช่น ไต้หวัน จีน และสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะในไต้หวัน ที่มีสาขามากกว่า 50 แห่งและเป็นหนึ่งในแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ที่ขายดีที่สุด แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของแบรนด์ญี่ปุ่นที่สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างแข็งแกร่ง และยังคงได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง

แบรนด์เฟอร์นิเจอร์แบบครบวงจร 

สินค้าของ Nitori แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือสินค้าที่วางจำหน่ายตลอดปี และสินค้าตามฤดูกาลที่เปลี่ยนไปตามเทรนด์และสภาพอากาศ แนวคิดนี้ช่วยให้ลูกค้าปรับเปลี่ยนบรรยากาศภายในบ้านได้ง่ายขึ้น  เช่น ปลอกหมอนคอลเลกชั่น Spring & Summer 2025 ที่มีสีสันและลวดลายสดใส เหมาะกับฤดูร้อน

Nitori ปลอกหมอนคอลเลกชั่น Spring & Summer 2025
Nitori ปลอกหมอนคอลเลกชั่น Spring & Summer 2025

Nitori ยังเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ของญี่ปุ่น โดยใช้แนวคิด TPOS (Time, Place, Occasion, Style) ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสหรัฐฯ เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์การใช้งานจริง เช่น ในตลาดญี่ปุ่นที่เฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่เป็นตู้เก็บของแบบดั้งเดิม Nitori ได้พัฒนาเตียงและโซฟาที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์สมัยใหม่ รวมถึงตู้ที่ตั้งตรงได้แม้ในยามเกิดแผ่นดินไหว และตู้ที่มีสารเคลือบผิวทนต่อรอยขีดข่วน เพื่อเพิ่มความคงทนในการใช้งาน

นอกจากเครื่องนอนหรือของใช้ในครัว Nitori ยังเป็นศูนย์รวมสินค้าสำหรับการแต่งบ้านแบบครบวงจร ตั้งแต่โต๊ะ ตู้ ผ้าม่าน ของใช้ในห้องน้ำ ของใช้สำหรับเด็ก ไปจนถึงอุปกรณ์จัดเก็บและของตกแต่ง จุดเด่นอยู่ที่การออกแบบสินค้าให้จับคู่กันได้อย่างลงตัว ทำให้ลูกค้าออกแบบพื้นที่อยู่อาศัยให้มีสไตล์และฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์

ผ้าคลุมสำหรับเด็ก 
ผ้าคลุมสำหรับเด็ก 

สินค้าของ Nitori ยังรองรับไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย เช่น เฟอร์นิเจอร์ขนาดกะทัดรัดสำหรับอพาร์ตเมนต์ในเมือง หรือโต๊ะและเก้าอี้ที่ออกแบบพิเศษสำหรับครอบครัวที่มีเด็กเล็ก นอกจากนี้ยังมีชุดเครื่องนอนที่ใช้เทคโนโลยีช่วยระบายอากาศในช่วงฤดูร้อน และผ้าม่านกันแสงที่ช่วยลดอุณหภูมิห้องเพื่อประหยัดพลังงาน

ในหมวดเครื่องครัวและอุปกรณ์ทำอาหาร Nitori มีสินค้าที่เหมาะทั้งสำหรับเชฟมืออาชีพและผู้ที่ทำอาหารง่ายๆ เช่น กระทะเคลือบหินอ่อน ชุดจานเซรามิก และเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็กอย่างหม้อหุงข้าวและหม้อทอดไร้น้ำมัน ส่วนสินค้าจัดเก็บ เช่น โต๊ะทำงานพร้อมลิ้นชักซ่อนเก็บของ หรือโซฟาแบบมีที่เก็บของใต้เบาะ ก็ได้รับความนิยมในหมู่ผู้ที่อาศัยในพื้นที่จำกัด

ด้วยแนวคิดแบบ one-stop home solution Nitori จึงเป็นแบรนด์ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการด้านการแต่งบ้าน ไม่ว่าจะเป็นคนที่เพิ่งย้ายเข้าบ้านใหม่ คนที่ต้องการรีโนเวตห้อง หรือแม้แต่เจ้าของธุรกิจที่ต้องการตกแต่งคาเฟ่หรือโฮมออฟฟิศ ความหลากหลายของสินค้าผสานกับราคาที่คุ้มค่า ทำให้ Nitori เป็นแบรนด์ที่ผู้บริโภคไว้วางใจเมื่อต้องการเปลี่ยนบ้านให้เป็นพื้นที่ที่สะดวกสบายและน่าอยู่มากขึ้น

กระทั่งยักษ์ใหญ่อย่าง IKEA ยังไม่สามารถชนะใจคนญี่ปุ่นได้เท่า Nitori

แม้ IKEA จะประสบความสำเร็จในหลายประเทศ แต่ในญี่ปุ่นกลับเจอกับอุปสรรคเฉพาะตัว เช่น พฤติกรรมการเดินทางของคนญี่ปุ่นที่พึ่งพารถไฟเป็นหลัก ทำให้การขนเฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่กลับบ้านเป็นเรื่องยุ่งยาก ขณะที่คอนเซปต์ DIY ของ IKEA ซึ่งให้ลูกค้าขนและประกอบเฟอร์นิเจอร์เองก็ไม่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์เท่าไหร่นัก

ตรงกันข้าม Nitori แบรนด์ญี่ปุ่นท้องถิ่นเข้าใจผู้บริโภคในประเทศอย่างลึกซึ้ง แม้จะใช้แนวคิด DIY เช่นกัน แต่ให้บริการจัดส่งสินค้าถึงบ้าน ตอบโจทย์มากกว่า นอกจากนี้เฟอร์นิเจอร์ของ IKEA ซึ่งออกแบบมาสำหรับบ้านในยุโรปที่กว้างขวาง มักไม่เหมาะกับพื้นที่จำกัดในบ้านญี่ปุ่น จนทำให้ IKEA ถูกมองว่าไม่เข้าใจตลาด และเคยต้องถอนตัวจากญี่ปุ่นในปี 1983 ก่อนจะกลับมาในปี 2006

ด้วยความเข้าใจตลาดท้องถิ่น ผสานกับกลยุทธ์ราคาที่เข้าถึงได้ Nitori จึงกลายเป็นคู่แข่งสำคัญของ IKEA ซึ่งแบรนด์ใช้ระบบ vertical integration ควบคุมทุกกระบวนการตั้งแต่การออกแบบ ผลิต จนถึงจำหน่ายกว่า 90% ของสินค้าทั้งหมด ทำให้ตั้งราคาถูกกว่า IKEA ได้ถึง 30-40% สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงยังมีคลังสินค้าอัตโนมัติของตัวเองหลายแห่งในญี่ปุ่น และมีระบบโลจิสติกส์ที่เชื่อมโยงกับหน้าร้านโดยตรง ทำให้จัดส่งสินค้าได้อย่างรวดเร็ว

Nitori ยังออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้เหมาะกับการขนส่ง เช่น การออกแบบกล่องบรรจุเฟอร์นิเจอร์ให้มีขนาดพอดีกับตู้คอนเทนเนอร์ เพื่อประหยัดค่าขนส่งระหว่างประเทศ และเพิ่มความปลอดภัยระหว่างการขนย้าย ทั้งหมดนี้ไม่เพียงแค่ช่วยให้ต้นทุนต่ำ แต่ยังเสริมสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ ‘คิดเอง ทำเอง เพื่อคุณภาพที่คุมได้’ ได้อย่างชัดเจน

อีกกลยุทธ์ที่ Nitori ใช้เพื่อแข่งขันกับ IKEA คือ การขยายไปสู่ธุรกิจใหม่ เช่น ร้านอาหารและคาเฟ่ในสาขาขนาดใหญ่ รวมถึงการนำเสนอสินค้าสำหรับสำนักงานและธุรกิจโรงแรม ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่ IKEA เริ่มให้ความสนใจเช่นกัน

ร้านอาหารแห่งแรกของ Nitori (ภาพจาก soranews24.com/2021/04/15/nitori-opens-its-first-ever-restaurant-in-japan)

บุกตลาดไทย

ในปี 2023 Nitori ได้เปิดสาขาแรกในประเทศไทยที่เซ็นทรัลเวิลด์ และขยายเพิ่มอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันมี 10 สาขา ในทำเลสำคัญ เช่น ไอคอนสยาม, เซ็นทรัลศรีราชา, ฟิวเจอร์พาร์ค และวัน แบงค็อก โดยมีแผนขยายสาขาเพิ่มเติมในอนาคต

Nitori สาขาเซ็นทรัลเวิลด์ แห่งแรกในไทย

การเข้ามาในตลาดไทยเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การขยายธุรกิจสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง Nitori ต้องแข่งขันกับแบรนด์เฟอร์นิเจอร์รายใหญ่มากมาย แต่จุดเด่นของ Nitori คือการนำเสนอสินค้าคุณภาพดีในราคาจับต้องได้ พร้อมดีไซน์ที่เหมาะกับการใช้ชีวิตของคนไทย ซึ่งมีพื้นที่อยู่อาศัยที่หลากหลายตั้งแต่อพาร์ตเมนต์ขนาดเล็กไปจนถึงบ้านเดี่ยว

Nitori ยังใช้กลยุทธ์การตลาดที่เน้นความครบวงจร ทำให้ลูกค้าเลือกซื้อทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับการตกแต่งบ้านในที่เดียว รวมถึงการให้บริการจัดส่งและประกอบเฟอร์นิเจอร์ที่สะดวกสบาย เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคไทยที่ต้องการความสะดวกและคุ้มค่า

ทั้งนี้ Nitori ในญี่ปุ่นมี store format ทั้งแบบ stand alone บริษัทซื้อที่ดินและสร้างเอง มีขนาดตั้งแต่ 4,500-6,000 ตารางเมตร และแบบเปิดในศูนย์การค้า ขนาด 1,500-2,000 ตารางเมตร ดังนั้นในการขยายสาขานอกญี่ปุ่น Nitori จะนำโมเดลสาขาเหล่านี้ไปปรับใช้กับตลาดประเทศนั้นๆ อย่างการเปิดสาขาในไทย จะเน้นเปิดในศูนย์การค้าก่อน เนื่องจากมี traffic คนเดินอยู่แล้ว

ไฮไลต์สำคัญของการขยายสาขาคือ Nitori ยังปรับสินค้าให้เข้ากับชีวิตประจำวันของผู้คนในแต่ละประเทศ โดยเฉพาะประเทศไทยที่มีทั้งสภาพอากาศ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตที่แตกต่างจากญี่ปุ่น Nitori ในไทยจึงเน้นนำเสนอสินค้าที่ช่วยให้บ้านเย็นและอยู่สบายขึ้น 

ไม่ว่าจะเป็น ผ้าห่มสัมผัสเย็น พัดลมไอเย็น หรือเครื่องนอนที่ระบายอากาศได้ดี นอกจากนี้ยังออกแบบสินค้าให้ตอบโจทย์พื้นที่จำกัดของที่อยู่อาศัยในเมือง เช่น เฟอร์นิเจอร์ขนาดกะทัดรัด พับเก็บได้ หรือมีหลายฟังก์ชั่นในชิ้นเดียว

ผ้านวม N COOL MOCHI N-S BL S ใช้เทคโนโลยี N COOL ช่วยให้รู้สึกเย็นสบายเมื่อสัมผัส
เหมาะสำหรับสภาพอากาศร้อนชื้นของประเทศไทย

ไม่เพียงแค่ฟังก์ชั่น Nitori ยังเข้าใจรสนิยมและการใช้งานของคนไทย โดยเลือกใช้โทนสี ดีไซน์ และวัสดุที่ถูกใจผู้บริโภคมากขึ้น เช่น เครื่องครัวที่เหมาะกับการทำอาหารไทย หรือราวตากผ้าที่พับเก็บได้ เหมาะกับคอนโดและอพาร์ตเมนต์ที่มีพื้นที่จำกัด แสดงให้เห็นว่า Nitori ไม่ได้เพียงแค่ขายสินค้า แต่กำลังออกแบบประสบการณ์การอยู่อาศัยให้สอดรับกับวิถีชีวิตในแต่ละประเทศได้อย่างแท้จริง

โซฟาเข้ามุมที่เหมาะกับพื้นที่จำกัด

 เป้าหมายใหญ่ 3,000 สาขาทั่วโลกในปี 2032

Nitori วางหมุดหมายครั้งสำคัญในการขยายสาขาทั่วโลกให้ครบ 3,000 แห่งภายในปี 2032 โดยโฟกัสที่ตลาดเอเชีย ทั้งจีน ไต้หวัน และประเทศไทย ควบคู่กับการรุกเข้าสู่ยุโรปและอเมริกาเหนือ เพื่อสร้างเครือข่ายระดับโลกและตอกย้ำจุดยืนในฐานะแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ชั้นนำ

ไม่เพียงแค่การเติบโตทางกายภาพ Nitori ยังเร่งขยายช่องทางออนไลน์ให้แข็งแรงควบคู่กัน พัฒนาแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซให้ตอบโจทย์ และลงทุนในบริการจัดส่งที่รวดเร็ว เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงสินค้าได้ง่ายขึ้นทุกที่ทุกเวลา กลยุทธ์ omnichannel นี้คือกุญแจสำคัญในการแข่งขันกับผู้เล่นระดับโลก 

การเติบโตในต่างประเทศย่อมมาพร้อมกับบททดสอบใหม่ๆ ตัวอย่างชัดเจนคือการทำตลาดในไทย ที่ต้องเผชิญการแข่งขันกับแบรนด์ที่มีชื่อเสียงมายาวนานอย่าง IKEA การสร้างความแตกต่างในด้านดีไซน์ ฟังก์ชั่น และราคาคือหัวใจสำคัญที่ Nitori ต้องเร่งสร้างการรับรู้และความผูกพันกับลูกค้าในพื้นที่นั้นๆ

ในระยะยาว Nitori เดินหน้าขยายสาขา ควบคู่กับการพัฒนาสินค้าที่ตอบโจทย์วัฒนธรรม การใช้ชีวิต และพื้นที่ของแต่ละประเทศอย่างลึกซึ้ง เป้าหมายไม่ใช่แค่การเป็นแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ที่รู้จักในระดับสากล แต่คือการเป็นส่วนหนึ่งของ ‘บ้าน’ ในความหมายที่แท้จริง ‘บ้าน’ สถานที่ที่ทุกคนเริ่มต้นวันใหม่อย่างสบายใจ และพักผ่อนอย่างเต็มที่เมื่อสิ้นวัน

และนั่นคือแก่นแท้ที่ Nitori ยึดถือมาตลอด 

การออกแบบเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ว่า ‘บ้าน’ ของคุณจะอยู่ที่มุมไหนของโลกก็ตาม

อ้างอิง

ธุรกิจไทยปรับตัวอย่างไรในยุคกำแพงภาษีและวิกฤติเศรษฐกิจ

ข่าวเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อการค้าโลกในช่วงที่ผ่านมาคงหนีไม่พ้นนโยบายด้านภาษีของสหรัฐอเมริกาที่ส่งผลกระทบอย่างชัดเจนต่อระบบการค้าเสรีทั่วโลก การปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ภาษีนำเข้าใหม่ทำให้ธุรกิจที่ส่งออกสินค้าไปยังตลาดสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นทันที ทั้งยังส่งแรงกระเพื่อมไปยังห่วงโซ่อุปทานของโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ภายใต้บริบทของมาตรการด้านภาษีที่เข้มงวด ธุรกิจจำนวนมากทั่วโลกจึงต้องปรับตัวรับมือกับความไม่แน่นอนที่ไม่เคยพบมาก่อน

เมื่อระบบเศรษฐกิจโลกเชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อน การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยในประเทศใดประเทศหนึ่งจึงก่อให้เกิดผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะในภาคการผลิตและการจัดจำหน่ายที่ต้องพึ่งพาวัตถุดิบและตลาดระหว่างประเทศเป็นหลัก ทั้งต้นทุนการขนส่งที่เพิ่มขึ้น การเปลี่ยนแปลงของกำลังซื้อ และความไม่แน่นอนของการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ล้วนเป็นปัจจัยที่ซ้อนทับกันและสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของโครงสร้างเศรษฐกิจในระดับมหภาค

ในขณะที่สหรัฐฯ ใช้มาตรการภาษีเพื่อปกป้องตลาดภายในของตน ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกต่างมีแนวโน้มปรับทิศทางการค้าเพื่อหาตลาดใหม่รองรับสินค้า ส่งผลให้การแข่งขันของตลาดส่งออกในหลายประเทศทวีความเข้มข้นขึ้น ขณะเดียวกัน สินค้านำเข้าจากประเทศอื่นที่มองหาช่องทางระบายสินค้าก็อาจหลั่งไหลเข้าสู่ไทยมากขึ้นทำให้การแข่งขันในประเทศสูงขึ้นด้วยเช่นกัน

สถานการณ์เช่นนี้ไม่เพียงเป็นบททดสอบสำหรับธุรกิจไทยในแง่ของการปรับตัว แต่ยังสะท้อนถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการวางกลยุทธ์ระยะยาวเพื่อรักษาความสามารถทางการแข่งขันในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง และการค้า 

แล้วธุรกิจไทยควรเตรียมแผนปรับตัวและรับมืออย่างไรเมื่อเศรษฐกิจไทยที่อยู่ในภาวะถดถอยอยู่แล้วต้องเผชิญกับปัจจัยภายนอกอย่างกำแพงภาษีที่ทำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจและทำธุรกิจยากยิ่งขึ้นเข้าไปอีก Keynote ตอนนี้ขอพาไปดู 3 กลยุทธ์ในการปรับตัวและรับมืออย่างมีประสิทธิภาพที่อาจช่วยพาธุรกิจฝ่าวิกฤติไปได้  

1. บริหารกลยุทธ์ ตั้งราคาอย่างยืดหยุ่น

การตั้งราคาสินค้า (Pricing Strategy) เป็นหัวใจสำคัญเมื่อต้องเผชิญต้นทุนผันผวนและแรงกดดันจากภายนอก ธุรกิจในอุตสาหกรรมที่มีอำนาจในการตั้งราคาได้เองหรือปรับกลยุทธ์ด้านราคาได้อย่างเหมาะสมย่อมมีโอกาสรักษากำไรและความได้เปรียบในตลาดแม้ในภาวะเศรษฐกิจไม่แน่นอนซึ่งสามารถทำได้ดังนี้

– วางแผนต้นทุนการผลิตอย่างเป็นระบบ
วิเคราะห์โครงสร้างต้นทุนในทุกมิติ ทั้งต้นทุนด้านวัสดุนำเข้า การผลิต การขนส่ง ทบทวนกระบวนการออกแบบผลิตภัณฑ์ วิเคราะห์สภาพตลาดแล้วปรับราคาตามความเหมาะสมเพื่อคงส่วนแบ่งตลาดไว้ รักษากระแสเงินสดให้อยู่ในสภาพคล่อง แม้ต้นทุนภายนอกผันผวน

– ลดค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ
เช่น มองหาวัสดุหรือชิ้นส่วนที่เสียภาษีนำเข้าน้อยหรือจัดหาในประเทศได้เพื่อลดความเสี่ยงจากต้นทุนที่ไม่แน่นอน นำเทคโนโลยีและระบบอัตโนมัติต่างๆ มาช่วยบริหารจัดการแรงงานอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อลดต้นทุนแรงงาน (Labor Costs) ที่สูงขึ้น

2. สร้างซัพพลายเชนที่แข็งแกร่ง
การบริหารจัดการซัพพลายเชน (Supply Chain Management) อย่างมีกลยุทธ์เป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญในการรับมือกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากภาษีนำเข้า ธุรกิจที่ปรับโครงสร้างซัพพลายเชนได้ดีจะสามารถรักษาเสถียรภาพได้ ซึ่งสามารถดำเนินการได้ดังนี้

– ปรับโครงสร้างซัพพลายเชนและแผนการจัดซื้อ
วางแผนเปลี่ยนเส้นทางนำเข้าหรือเลือกซัพพลายเออร์จากประเทศที่มีอัตราภาษีต่ำ พร้อมทั้งกระจายความเสี่ยงด้วยการจัดซื้อจากหลายแหล่งเพื่อลดการพึ่งพาประเทศเดียว รวมถึงทบทวนกลยุทธ์การจัดซื้อ เช่น การกักตุนสินค้าในช่วงก่อนที่ภาษีจะปรับขึ้น เพื่อควบคุมต้นทุนให้อยู่ในระดับที่แข่งขันได้

– บริหารสินค้าคงคลังอย่างมีประสิทธิภาพ
ควบคุมปริมาณสินค้าคงคลังให้เหมาะสม เพื่อรักษาสมดุลระหว่างต้นทุนการเก็บรักษาและความต่อเนื่องของการผลิต โดยเฉพาะในช่วงที่อัตราภาษีมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

3. ปรับโมเดลธุรกิจให้ทันเกมโลก
การวางแผนรับมือความเสี่ยงและพร้อมปรับโครงสร้างโมเดลธุรกิจ (Business Model Adaptation)
อยู่เสมอจะทำให้ค้นหาโอกาสใหม่ได้อย่างทันท่วงทีและรักษาความสามารถในการแข่งขันเพื่อเติบโตอย่างยั่งยืนได้ในระยะยาว ซึ่งสามารถดำเนินการได้ดังนี้

– วางแผนการบริหารความเสี่ยงอย่างเป็นระบบ
ประเมินสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจ ทั้งในแง่เศรษฐกิจ ภาษีนำเข้า และกฎระเบียบในแต่ละประเทศ พร้อมจัดทำแผนรับมือทั้งในกรณีดีที่สุดและกรณีเลวร้ายที่สุดเพื่อเพิ่มความพร้อมในการตัดสินใจและลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

– ค้นหาโอกาสใหม่ในตลาดที่ใช่
ศึกษาทิศทางของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เพื่อหาจุดแข็งที่แตกต่างจากคู่แข่งในตลาดต่างประเทศ ระมัดระวังการลงทุนในอุตสาหกรรมขาลงที่เสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย เช่น ธุรกิจที่พึ่งพาการส่งออกหรือนำเข้าสูง และมองหาโอกาสใหม่ในตลาดเกิดใหม่หรือตลาดที่สอดคล้องกับเมกะเทรนด์โลก แทนที่จะแข่งขันในตลาดที่อิ่มตัวอย่างจีนหรือสหรัฐฯ

สำหรับธุรกิจไทย นี่คือช่วงเวลาสำคัญที่จะเร่งปรับตัว เสริมความแข็งแกร่ง และค้นหาเส้นทางใหม่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง ด้วยการบริหารราคาที่ยืดหยุ่น สร้างซัพพลายเชนที่คล่องตัว และปรับโมเดลธุรกิจให้สอดรับกับทิศทางโลก ธุรกิจที่มองไกลและลงมืออย่างมีกลยุทธ์ จะไม่เพียงแต่ประคับประคองตัวผ่านพ้นวิกฤติ แต่ยังมีโอกาสเติบโตอย่างมั่นคงในตลาดโลกที่เปิดกว้างสำหรับผู้ที่พร้อมเสมอให้กับความเปลี่ยนแปลง

อ้างอิง

WashXpress ร้านสะอาดซักที่สร้าง user experience ที่ดีด้วยเทคโนโลยี และไม่ขายแฟรนไชส์เพราะอยากคุมคุณภาพ

ในยุคที่เราเห็นร้านสะดวกซักได้แทบทุกมุมตึก หลายคนอาจเคยสังเกตเห็นร้านสะดวกซักที่มีมาสคอตเป็นรูปพี่วัวตัวโต ในร้านขนาดใหญ่ที่คนใช้บริการหนาแน่นแทบทุกช่วงเวลา ทุกสาขามีลานจอดรถกว้างขวาง รถเข็นผ้า โต๊ะ และเก้าอี้ที่จัดอย่างเป็นสัดส่วน บางสาขามีพนักงานประจำที่คอยซัก อบ พับ รอให้บริการลูกค้า

เรากำลังพูดถึง WashXpress แบรนด์ร้านสะดวกซักที่ก่อตั้งโดยสี่เพื่อนซี้ วิน–กวิน กลองกระโทก, นิค–ชิษณุพันธ์ ตั้งเฉลิมกุล, ปั๊ก–อุไรวรรณ อ่อนเจริญ และซันนี่–พรสิริ ธัญญานุรักษา เมื่อ 7 ปีก่อน ภายใต้ชื่อบริษัท ลอนดรี้ ยู จำกัด (มหาชน) 

สะดวก สะอาด และทำให้ลูกค้าได้ประสบการณ์การซักผ้าที่ดีที่สุด

หากให้นิยามคอนเซปต์ที่ทำให้ WashXpress ดึงดูดเหล่าแม่บ้านและคนที่ต้องทำงานบ้านเข้ามาใช้บริการได้ เราอาจสรุปได้แบบนั้น และนั่นอาจเป็นเหตุผลที่ร้านสะดวกซักเล็กๆ ที่เปิดแค่ไม่กี่สาขาในช่วงแรกที่ก่อตั้ง แต่ปัจจุบันเติบโตจนขยายได้มากกว่า 530 สาขาทั่วประเทศ จนทำให้บริษัทเตรียมความพร้อมและยื่น Filing เข้าตลาดหลักทรัพย์ได้ในที่สุด

แต่ภายใต้ความสำเร็จที่มองเห็นด้วยตาเปล่า ลึกลงไปมีความคิด ความเชื่อในการทำแบรนด์อันหนักแน่น ขั้นตอนการให้บริการมีการพัฒนาครั้งแล้วครั้งเล่า สำคัญที่สุดคือโมเดลธุรกิจที่ไม่เหมือนกับแฟรนไชส์ร้านสะดวกซักเจ้าไหนๆ

ส่วนสิ่งนั้นคืออะไรและสำคัญยังไงในการทำธุรกิจ ผู้ก่อตั้ง WashXpress มีคำตอบ

ย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้น อะไรทำให้คุณอยากทำธุรกิจร้านสะดวกซัก

วิน : ผมกับนิคเป็นเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย หลังเรียนจบต่างคนต่างแยกย้ายไปทำงาน นิคมีธุรกิจของที่บ้าน ส่วนผมไปเรียนต่อปริญญาโทด้านคณิตศาสตร์ประกันภัย ทำงานเป็นพนักงานบริษัทได้ประมาณ 6 ปีก็อยากเริ่มทำธุรกิจของตัวเอง

ณ วันนั้น นิคเพิ่งแต่งงาน บ้านเราอยู่ใกล้กันเลยนัดกินข้าวกันทุกเย็น เราคุยกันว่าในเศรษฐกิจแบบนี้จะทำธุรกิจอะไร ผมอยากทำธุรกิจที่ใช้คนน้อย เพราะไม่ชอบวุ่นวายกับการบริหารจัดการคน

นิค : ที่บ้านของผมทำธุรกิจสิ่งทอและลงทุนเพิ่มในธุรกิจอสังหาฯ  ปล่อยเช่าอพาร์ตเมนต์ ใต้อพาร์ตเมนต์จะมีเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญที่เราต้องช่วยดูแลด้วย เราดูแลเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญประมาณ 50-60 เครื่อง  และได้พบปัญหาคือเครื่องเสียบ่อย เพราะเครื่องซักผ้าเหล่านั้นถูกออกแบบมาใช้ที่บ้านวันละ 1-2 ครั้ง แต่ที่อพาร์ตเมนต์มีคนมาใช้มากกว่านั้น ผมจึงเริ่มมองหาเครื่องซักผ้าที่คุณภาพดีกว่า

ก่อนหน้านั้น ผมเห็นว่ามีร้านสะดวกซัก (laundromat) มาเปิดหน้าหมู่บ้าน ผมกับแฟนขับรถผ่านทุกวัน คุยกันตลอดว่าไม่เห็นมีใครมาใช้เลย แต่เวลาผ่านไป 2-3 ปีก็ยังไม่เจ๊ง ผมเลยลองเข้าไปคุยกับเจ้าของร้าน พบว่าเขาคือร้านที่ซื้อแฟรนไชส์มาจากมาเลเซีย ใช้เครื่องซักผ้าแบบอุตสาหกรรมซึ่งถูกดีไซน์มาให้ใช้ได้ตลอด 24 ชั่วโมง และจริงๆ ลูกค้าจะมาใช้ช่วงเย็นกับช่วงหลังเลิกงาน ซึ่งไม่ใช่ช่วงที่เราขับรถผ่าน

ผมรู้สึกว่าเป็นโมเดลที่น่าสนใจแต่ยังไม่เชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ เลยบินไปดูที่มาเลเซีย ซึ่ง 8 ปีที่แล้วร้านสะดวกซักในมาเลเซียที่เปิดมายาวนานที่สุด เขาเปิดมาเป็นสิบปีแล้ว ขณะที่เมืองไทยเพิ่งเริ่มได้ 2-3 ปีและยังไม่ค่อยมีคนเห็นโอกาส พอผมบินกลับมาก็วิ่งหาโลเคชั่นเพื่อทดลองเปิดเลย

ตอนแรกเปิดกี่สาขา

นิค : ตอนแรกคิดว่าจะซื้อแฟรนไชส์มาเปิดแค่ 1 สาขา แต่พอคุยกับที่บ้าน คุณพ่อแนะนำว่าธุรกิจนี้มันขึ้นอยู่กับโลเคชั่น เราเปิด 1 ที่เราไม่รู้หรอกว่ามันจะเวิร์กหรือไม่เวิร์ก อย่างน้อยต้องลองสัก 5 ที่เราเลยลองเปิดในสถานที่ที่แตกต่างกัน ทั้งห้องแถวในตึก ห้องแถวหัวมุม และอาคารที่เป็นสแตนด์อะโลน 

ในบรรดาห้องทั้งหมด อาคารที่เป็นสแตนด์อะโลนเวิร์กที่สุดเพราะมีที่จอดรถสำหรับลูกค้า สะดวกให้พวกเขาสามารถขนผ้ามา 2-3 ตะกร้า จอดรถหน้าร้านแล้วเดินเข้ามาได้เลย

แล้วจุดไหนที่ทำให้อยากเปิดแบรนด์ของตัวเอง

นิค : ตอนแรกที่ซื้อแฟรนไชส์มา เราอยากเป็นนักลงทุนเฉยๆ และให้เจ้าของแฟรนไชส์บริหารจัดการแทน แต่พอเปิดไปสักพักก็มีเจ้าอื่นมาเปิดแข่ง บวกกับการดูแลร้านที่ไม่ทั่วถึง ยอดขายเลยตก 

เราเลยอยากลงมาดูแลจัดการร้านเอง ช่วงนั้นก็คุยกับวินตลอด เลยคิดว่าไหนๆ จะต้องจัดการร้านเองแล้วก็เปิดแบรนด์ของตัวเองดีกว่า

วิน : ก่อนจะเปิดแบรนด์ด้วยกัน ผมซื้อแฟรนไชส์เจ้าเดียวกับนิคมาเปิดเหมือนกันแถวๆ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ pain point ที่ผมมีตั้งแต่ตอนเรียนคือเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญมักจะซักไม่สะอาด ต้องขนกลับไปซักบ้านเสมอ ผมก็อยากมีเครื่องซักผ้าดีๆ ไว้ให้ซัก พอได้มาคุยกับนิคก็เห็นว่ามีแนวทางเดียวกัน 

ความท้าทายที่เจอในวันแรกๆ ของธุรกิจคืออะไร

นิค : พอมันเป็นของใหม่ ช่วงแรกๆ จึงต้องการการแนะนำ 

ซันนี่ : สาขาแรกที่เปิดคือหมู่บ้านทิพวัล แถวเทพารักษ์ ซึ่งเป็นชุมชนเก่าที่เต็มไปด้วยตึกแถวและมีแต่คนที่เกษียณแล้ว พอเราไปเปิดเมื่อประมาณ 8 ปีที่แล้ว เขาก็อาจจะคิดว่าเครื่องซักผ้าของเราไม่ต่างจากที่บ้านเขา ตอนแรกก็ไม่สนใจจะมาซัก จนมีวันที่เครื่องซักผ้าเขาเสีย เขาเลยลองมาซักกับเรา จึงได้เห็นว่าเครื่องซักผ้าของเราไม่เหมือนเครื่องซักผ้าที่บ้านนะ มันเป็นเครื่องระบบอุตสาหกรรมที่ซักสะอาดกว่า ปั่นแห้งกว่า ซักเร็วกว่า มีเครื่องอบให้แห้งได้เลย ไม่ต้องตาก แถมยังกำจัดเชื้อโรคและไรฝุ่น ทำให้ป้องกันภูมิแพ้ได้ด้วย พอเขาได้มาลองเขาก็ไม่ได้ซ่อมเครื่องซักผ้าและมาซักกับเราตลอด

โมเดลธุรกิจของคุณแตกต่างจากโมเดลของร้านสะดวกซักที่ซื้อแฟรนไชส์มายังไง

วิน : โดยปกติธุรกิจนี้ ตอนซื้อแฟรนไชส์เจ้าของจะขายเครื่องให้ โดยหน้าที่บริหารจัดการร้านจะเป็นของคนซื้อแฟรนไชส์ การเปิดร้านและดูทำเลไม่ได้ยากมาก แต่ความยากคือเปิดร้านแล้วดูแลยังไงให้ร้านสะอาดตลอดเวลา เครื่องไม่เสียบ่อย หรือเมื่อลูกค้ามีปัญหาแล้วแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้เร็ว

มันจึงเป็นที่มาของโมเดลธุรกิจที่เน้นขยายสาขาของตัวเอง เพราะเราต้องการควบคุมคุณภาพ

ซันนี่ : เราเคยซื้อแฟรนไชส์มา 15 สาขา ทำให้เรารู้ว่ามีจุดไหนที่เราอยากพัฒนาการบริหารจัดการให้ดีขึ้น และทำให้เรารู้ว่ามีอะไรที่ลูกค้า concern บ้างในร้านซักผ้า เราตั้งใจเอาประสบการณ์ที่มีมาทำร้านที่ทำให้ลูกค้าสะดวกที่สุด สะอาดที่สุด และมีประสบการณ์ที่ดีในการซักผ้า

นิยามของประสบการณ์การซักที่ดีของคุณคือแบบไหน

ซันนี่ : เริ่มตั้งแต่ลูกค้าขับรถเข้ามาแล้วเห็นร้านชัด จะต้องมีป้ายขนาดใหญ่ มีที่จอดรถกว้าง ไม่เป็นหลุมเป็นบ่อ เพื่อให้ลูกค้าจอดรถได้สะดวก พอเดินเข้าไปในร้านเราก็มีรถเข็นให้ลูกค้าเข็นตะกร้าผ้าเข้าร้านได้ง่ายๆ ด้านในมีเครื่องจำหน่ายน้ำยาซักผ้าและน้ำยาปรับผ้านุ่มสำหรับคนที่ลืมหรือไม่ได้เตรียมมา

ลูกค้าบางคนเขากังวลเรื่องความสะอาดของเครื่องซัก เพราะต้องซักรวมกับคนอื่น เราเลยมีปุ่มล้างเครื่องด้วยน้ำร้อนเพื่อฆ่าเชื้อก่อนการซักผ้า ตอนซักและอบผ้าเขาต้องรอ เพราะฉะนั้นถ้าเราทำร้านที่อับ ไม่โปร่ง เขาก็จะรู้สึกไม่สะดวกสบาย นั่นคือที่มาที่เราทำร้านให้ใหญ่และมีลมไหลเวียนเข้ามา บางสาขามีแดดส่องเราก็จะหาม่านหรือผ้าใบมากั้นให้ เพื่อให้ลูกค้าไม่ร้อนมากจนเกินไป 

นี่คือสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เป็น touch point แต่ละอย่างที่เราพยายามพัฒนาให้ดีขึ้น ทุกวันนี้เราก็ยังพัฒนาเพื่อประสบการณ์ที่ดีที่สุดของลูกค้าอยู่ เพราะในอนาคตเขาอาจจะต้องการอะไรที่มากขึ้น

ที่บอกว่าอยากควบคุมคุณภาพทุกสาขา คุณควบคุมได้ยังไง

วิน : ปั๊กจะชอบบอกว่า เราเป็นธุรกิจบริการที่ไม่มีคนให้บริการ นี่คือความยาก สิ่งที่เราทำคือเราเอาเทคโนโลยีมาช่วยบริหารจัดการทั้งหมด อย่างเครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้าทุกเครื่อง เราสามารถดูออนไลน์ได้ว่าวันนี้มีเครื่องไหนเสียหรือทำงานปกติ มีลูกค้ามาใช้บริการกี่ครั้ง เวลาไหนบ้าง และถ้าเครื่องมีปัญหา เราสามารถสั่งหยุดเครื่องได้เลย สมมติลูกค้ามาใช้งานแล้วมีปัญหา เราก็บอกให้ลูกค้าเอาผ้าใส่อีกเครื่องได้ แล้วเราจะกดเริ่มใช้งานโดยที่ลูกค้าไม่ต้องจ่ายเงินอีก

ปั๊ก : เราค่อนข้างให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาให้ลูกค้า เพราะฉะนั้นที่ร้านเราจะมีช่องทางให้ลูกค้าติดต่อเยอะมาก ทั้งเฟซบุ๊ก ไลน์ เบอร์โทรที่ถ้าโทรมาจะเจอคนแน่นอน ไม่ใช่โรบอต ด้วยระบบที่เรามี คอลเซนเตอร์ของเราสามารถแก้ไขปัญหาให้ลูกค้าได้ 24 ชั่วโมง

นิค : นอกจากควบคุมมาตรฐานให้เหมือนกันทุกสาขา โมเดลนี้ดีต่อการทำการตลาดของเราด้วย สมมติถ้าเราขายแฟรนไชส์ออกไป เจ้าของร้านแต่ละร้านเขามีความคิดไม่เหมือนกัน การที่เราคิดโปรโมชั่นออกมาสักอย่างแล้วทำให้ทุกคนทำตาม มันต้องเสียเวลาเจรจาต่อรอง แต่การที่เราเป็นเจ้าของและบริหารเอง เราคิดโปรฯ วันนี้ พรุ่งนี้ก็ทำได้เลยทุกสาขา

วิน : แอพพลิเคชั่นก็เป็นอีกสิ่งที่เราช่วยให้เราจัดการสาขาต่างๆ และทำให้เรารู้พฤติกรรมลูกค้าด้วย เพราะเรามีฐานลูกค้าในแอพฯ มากกว่า 1 ล้านคน เพราะฉะนั้นเราจะรู้พฤติกรรมของลูกค้าเลยว่าเป็นยังไง เราจึงทำระบบ CRM (การบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า) หรือทำแคมเปญแบบเฉพาะบุคคล (personalized) ให้กับลูกค้าได้จากข้อมูลที่เรามี สิ่งเหล่านี้จะทำให้เราต่อยอดและเติบโตได้อย่างมั่นคง 

ตอนแรกที่คุณวินบอกว่าไม่ชอบธุรกิจที่ต้องบริหารคนเยอะๆ แต่ปัจจุบันพนักงานในเครือมีหลายร้อยคนแล้ว ความรู้สึกของคุณเปลี่ยนไปบ้างไหม

วิน : เปลี่ยนไปแล้ว มันเป็นจุดที่ต้องทำ เราต้องปรับตัวและพัฒนาตัวเอง เรามีมากกว่า 530 สาขา ใช้พนักงานกว่า 400 คน และมีเทคโนโลยีมาช่วยบริหารจัดการด้วย ซึ่งถ้าเทียบกับธุรกิจอื่นถือว่าใช้คนน้อยนะ

สิ่งที่คุณย้ำบอกกับพนักงานบ่อยๆ คืออะไร

วิน : คอนเซปต์ของเราคือ ‘คนพร้อม เครื่องพร้อม ร้านพร้อม ลูกค้าประทับใจ เขาจะกลับมาใช้ซ้ำและบอกต่อ’

เราต้องทำทุกอย่างให้เราพร้อม คนพร้อมคือมีคนทำความสะอาดทุกวัน ถ้าลูกค้ามีปัญหาอะไร ต้องมีคนคอยแก้ไขปัญหาให้เขา คนของเราก็ต้องถูกเทรนก่อนให้บริการลูกค้า สามารถตอบคำถามและให้คำแนะนำลูกค้าได้

สองคือเครื่องพร้อม เพราะสิ่งที่ทำรายได้ให้เราคือเครื่องจักร ถ้าลูกค้ามาแล้วเครื่องเสียหลายๆ เครื่อง ลูกค้าเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยชอบรอคิว เขาจะรู้สึกว่าเขาไม่มาแล้วดีกว่า เพราะฉะนั้นเราต้องทำเครื่องให้พร้อมใช้งานได้ตลอด นั่นคือเหตุผลที่เลือกเครื่องจักรที่เป็น top quality จากอเมริกา แพงกว่าที่อื่นเยอะ แต่เราเชื่อว่าถ้าลูกค้าได้ใช้ของดี ลูกค้าจะไม่เจอปัญหา สุดท้ายคือร้านพร้อม ที่จอดต้องกว้าง ร้านต้องสะอาด นั่งรอสบาย ไฟส่องสว่าง รู้สึกปลอดภัยในการมาใช้บริการตลอดเวลา 

ด้วยธุรกิจของเราเป็นธุรกิจที่เกิดในชุมชน การตลาดที่ดีที่สุดคือการบอกต่อ เราเชื่อว่าถ้าเราทำ 3 สิ่งนี้ได้ดี ลูกค้าจะประทับใจ กลับมาใช้ซ้ำ และชวนเพื่อนบ้านหรือคนรู้จักมาใช้บริการ

ตลาดร้านสะดวกซักตอนนี้ถือว่าแข่งขันกันสูง คุณมีกลยุทธ์ที่จะสู้กับเจ้าอื่นๆ ยังไง

ปั๊ก : ในมุมมองของพวกเรา โอกาสในธุรกิจนี้ยังมีอีกเยอะ คู่แข่งของเราอาจจะไม่ใช่แค่คู่แข่งทางตรง แต่คู่แข่งทางอ้อมคือคนที่ยังซักและตากผ้าที่บ้าน คนที่ยังไม่เคยมาใช้บริการ เราจะทำยังไงให้เขามาใช้ นั่นคือโจทย์ที่ท้าทายมากๆ แม้หลายคนจะมองว่าธุรกิจนี้เป็น red ocean เพราะมีผู้เล่นจำนวนมาก แต่เรายังเห็นโอกาสเติบโตอีกมาก วันนี้เรามีมากกว่า 530 สาขาใน 21 จังหวัด แต่ยังมีอีกหลายพื้นที่ที่สามารถขยายเข้าไปได้ การขยายสาขาให้ครอบคลุมมากขึ้นจะเป็นโอกาสสำคัญในการเข้าถึงลูกค้าใหม่ๆ และยกระดับมาตรฐานร้านสะดวกซักในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศหากดูจากต่างประเทศ แม้ตลาดจะมีการแข่งขันสูง แต่ก็ยังเติบโตได้ต่อเนื่องเราจึงมั่นใจว่าตลาดไทยยังมีช่องว่างอีกมาก ทั้งในแง่พื้นที่และกลุ่มผู้ใช้ใหม่

คุณมองอนาคตของ WashXpress ไว้ยังไง 

วิน : vision ของเราคืออยากให้การซักผ้าเป็นเรื่องง่ายของทุกชุมชน เพราะฉะนั้นเราก็อยากขยายไปสู่ชุมชนต่างๆ ให้ได้เยอะที่สุด นี่คือความตั้งใจแรก

ความตั้งใจที่สองคือ เราอยากทำให้มันง่ายกว่านี้อีก มันมีอีกหลายจุดที่เราทำให้ง่ายขึ้นได้ เช่น เมื่อก่อนเราเป็นร้านที่ต้องบริการตัวเองร้อยเปอร์เซ็นต์ ลูกค้าต้องมานั่งรอซักอบ 1 ชั่วโมง ซึ่งง่ายนะถ้าเทียบกับที่บ้านที่ซัก 1 ชั่วโมง ตาก 2 ชั่วโมง และต้องซักทีละเครื่อง ผ้านวมใหญ่ๆ ก็ซักไม่ได้ เราแก้ pain เหล่านี้ไปหมดแล้ว

pain ที่ต่อยอดมาจากนั้นคือ การที่ลูกค้ามานั่งรอ 1 ชั่วโมง บางทีเขาก็อยากไปทำอย่างอื่น ไม่อยากมานั่งรอ เราจึงเริ่มมีบริการฝากผ้าให้พนักงานซักอบให้ ลูกค้าสามารถเอาตะกร้ามาวางและให้พนักงานทำให้ได้เลย จากการซักผ้า 1 ชั่วโมง เหลือซักผ้าแค่ 3 นาที สเตปต่อไปคือลูกค้าไม่จำเป็นต้องมาที่ร้านก็ได้ แต่เราจะทำ 1 Click Laundry ที่สั่งงานจากที่บ้านแล้วเรียกพนักงานมารับ-ส่งผ้าแบบเดลิเวอรีได้ นี่คืออีกข้อดีของการเป็น own store แบบเปิดสาขาเอง ทำให้เราสามารถต่อยอดและสเกลได้ ต่างจากร้านแฟรนไชส์ที่อาจมีความซับซ้อนเยอะกว่าในแง่การบริหาร 

ถึงวันนี้การสร้างแบรนด์ WashXpress สำคัญกับพวกคุณยังไง

นิค : ที่บ้านของผมมีแม่บ้านคอยซักผ้าให้ ผมจึงไม่เคยคิดจะใช้บริการร้านสะดวกซักที่ต้องซักผ้ารวมกับคนอื่นๆ เลย สิ่งที่เราพยายามทำคือทำร้านยังไงก็ได้ให้ผมโอเคที่จะมาใช้ เป็นร้านที่สะอาดและสะดวกที่สุด ทุกวันนี้ผมสบายใจที่จะยกเสื้อผ้าจากที่บ้านมาซักที่ร้าน เพราะผมรู้ว่าเครื่องซักผ้าที่ร้านสะอาดกว่าที่บ้านผม เนื่องจากเราทำความสะอาดมากกว่า 80 ขั้นตอนในทุกๆ วัน 

วิน : กับการทำแบรนด์นี้ เราไม่เคยคิดว่าแค่ ‘สะดวก’ จะเพียงพอ เพราะลูกค้ามาหาเราด้วยความหวังว่าจะได้อะไรที่ดีกว่าการซักที่บ้าน เราจึงลงรายละเอียดในทุกจุด เพื่อให้มั่นใจว่าทุกการซักจะไม่ใช่แค่เร็ว แต่ต้องสะอาดจริง ไม่ใช่แค่สบาย แต่ต้องสบายใจ และไม่ใช่แค่ใช้บริการ แต่ต้องอยากกลับมาอีก

เพราะสุดท้ายแล้ว ธุรกิจซักผ้าอาจดูธรรมดาในสายตาคนทั่วไป แต่สำหรับเรา มันคือพื้นที่เล็กๆ ที่เราเชื่อว่า ถ้าเราทำให้ดี ทำให้สะอาด ทำให้ลูกค้ารู้สึกสบายใจทุกครั้งที่เข้าร้าน มันจะไม่ใช่แค่ ‘ร้านซักผ้า’ อีกต่อไป แต่มันจะกลายเป็น ‘แบรนด์ที่คนไว้วางใจ’

และนั่นคือสิ่งที่เราซักกันอยู่ทุกวัน ไม่ใช่แค่ผ้า แต่คือความเชื่อ ความมั่นใจของทุกคนที่เดินเข้ามา

สร้าง ‘meaningful job’ ให้ทีม ด้วยสมการง่ายๆ แต่ทรงพลัง

ประชุมกับลูกทีม 7 วัน งานไม่เดิน สั่งงานทีละคนก็ยังไม่ได้ผล น้องบางคนไม่มีใจ บางคนยังไม่เก่ง แล้วเราจะสร้างทีมที่มีผลงานโดดเด่นได้ยังไง? เราในฐานะพี่ใหญ่จะทำให้น้องๆ สร้างงานที่ตอบโจทย์องค์กรแบบไหน 

เชื่อว่าหลายคนที่เป็นหัวหน้าหรือผู้จัดการอาจเคยเจอสถานการณ์แบบนี้ ประกรรษ์ จันทร์ทอง Chief People Officer (CPO) จาก TCP Group จึงได้แชร์ ‘สมการของการทำงาน’ ในเซสชั่น เป้าหมายองค์กร vs. งานที่มีความหมาย อะไรที่ขับเคลื่อนความสำเร็จของบริษัท? ในงานเสวนา PEOPLE PERFORMANCE CONFERENCE 2025 : Year of Management ซึ่ง Capital สรุปสมการที่ดูเหมือนง่ายแต่ทรงพลังมาให้ทุกคนแล้ว

1. เริ่มจากโจทย์ที่ชัด : Corporate Purpose

ถ้าอยากให้ทีมทำงานได้ดี ผู้นำหรือผู้จัดการควรต้อง crack เป้าหมายองค์กรให้ได้ แล้วจึงสื่อสารให้น้องๆ ในทีมรู้ว่า ‘เรากำลังจะไปทางไหน’ เพราะหากโจทย์องค์กรไม่ชัด ไม่ว่าคนจะเก่งแค่ไหนทีมจะหลงทางและไม่สามารถพาองค์กรไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ได้

2. เข้าใจและจัดการคน : People Management

หลายครั้งเรามองคนแค่ในมุมว่าเขาทำได้หรือไม่ได้แต่สิ่งที่เราควรเข้าใจมากกว่านั้นคือเขารู้สึกยังไง? เพราะถ้าเราไม่เข้าใจคนของเรา ก็ยากที่เขาจะเข้าใจงานของเรา

คำว่าเข้าใจนี้ต้องเข้าใจทั้งเชิงจิตใจว่าแต่ละบุคคลนั้นมีเป้าหมายอะไรในชีวิต มีความรัก ความชอบ หรือหลงใหลในอะไร 

สิ่งที่ประกรรษ์แนะนำจึงคือแทนที่จะคุยตัวต่อตัวกับน้องๆ ในทีม เฉพาะวันประเมินผลประจำปีหรือตอนขึ้นเงินเดือน ควรที่จะคุยแบบตัวต่อตัววันละ 5-10 นาที ว่าเขาเข้าใจงานแค่ไหน? เขามีความรู้ ความถนัดในสิ่งที่รับผิดชอบไหม? เพื่อเติมแรงบันดาลใจในการทำงานให้ทีม 

3. ประกอบร่าง 

โจทย์ขององค์กร + บริการจัดการคน = Performance ที่มีความหมาย

เมื่อเรามีโจทย์ที่ชัดเจน + ความเข้าใจคนอย่างแท้จริง สิ่งที่ได้คือ ‘พื้นที่ร่วม’ ที่คนในทีมจะรู้สึกว่างานที่ทำมีความหมาย และเขาเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรจริงๆ ไม่ใช่แต่ทำตามคำสั่งไปวันๆ แต่กำลังช่วยสร้างบางอย่างไปด้วยกัน

นี่คือหัวใจของ ‘meaningful job’  ที่คนทำงานอยากอยู่ และองค์กรเติบโตได้ เพราะเมื่อคนรู้ว่าสิ่งที่เขาทำ ‘มีความหมาย’ ต่อทั้งตัวเองและองค์กร performance ก็จะเกิดขึ้นเองอย่างยั่งยืน

World Poker Tour ทัวร์นาเมนต์กีฬาของคนชอบเสี่ยงดวงกับมูลค่ามหาศาลทางธุรกิจจนไทยต้องขอเป็นเจ้าภาพ 

แม้หลายฝ่ายจะยังเสียงแตกถึงประเด็นการจัดตั้ง entertainment complex หรือสถานบันเทิงครบวงจร ตามนโยบายของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ซึ่งสัดส่วน 10% ในโปรเจกต์ดังกล่าวมี ‘คาสิโน’ เป็นองค์ประกอบ 

ระหว่างที่กำลังถกเถียงอิรุงตุงนัง ช่วงเวลาไล่เลี่ยกันนี้เอง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นำโดย สรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา และจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ สสปน. ก็กำลังผลักดันให้ประเทศไทยกลายเป็นเจ้าภาพ ‘World Poker Tour’ (WPT) ทัวร์นาเมนต์การแข่งขันกีฬาโป๊กเกอร์ระดับโลก ภายในปี 2025 ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายของนโยบาย Thailand Grand Tourism and Sport Year 2025 ที่เนรมิตให้บ้านเรากลายเป็น tourism hub ที่สามารถดึงดูดและรองรับนักท่องเที่ยวจำนวนหลักล้านคน

ถึงตรงนี้มีสิ่งที่ชวนขีดเส้นใต้ตั้งคำถาม ว่า ทำไม Wolrd Poker Tour จึงมีมูลค่าถึงขั้นที่ประเทศไทยยกมือเสนอตัวเป็นเจ้าภาพ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเรื่องของการพนันหรือการแข่งขันเสี่ยงโชคถือเป็นข้อถกเถียงมาตลอด และที่สำคัญคือทัวร์นาเมนต์กีฬาดังกล่าวมีมูลค่าดึงดูดผู้คนทั่วโลกได้ขนาดนั้นจริงหรือไม่?

คำถามทั้งหมดนี้ไม่ต้องพึ่งดวงลุ้นหน้าคล้ำเขียว เพราะคอลัมน์ Recap ตอนนี้ จะขอพาผู้อ่านไปรู้จักกับ World Poker Tour แบบถึงพริกถึงขิง 

หงายไพ่แล้วไปกันโลด!

จุดกำเนิดของทัวร์นาเมนต์ชิงแชมป์โลกของคนชอบเสี่ยงดวง

ย้อนกลับไปช่วงปี 2002 โปรดิวเซอร์ทีวีโทรทัศน์นาม ‘สตีเฟน ลิปส์คอมบ์’ (Steven Lipscomb) เกิดปิ๊งไอเดียบรรเจิด นั่นคือการสร้างรายการทีวีที่หยิบ ‘โป๊กเกอร์’ ซึ่งเป็นกีฬาที่ชาวสหรัฐฯ เล่นกันแทบจะทุกหย่อมหญ้า ไม่ว่าจะในไนต์คลับ บาร์ หน้าบ้าน ไปจนถึงค่ายทหาร (หากจินตนาการไม่ออก ให้นึกถึงกีฬาหมากรุกที่คนไทยชอบล้อมวงเล่นกัน) ด้วยเหตุฉะนี้ ลิปส์คอมบ์จึงตัดสินใจให้กำเนิดรายการโทรทัศน์ที่มีชื่อว่า World Poker Tour ขึ้นมา โดยออกอากาศผ่านทางสถานีโทรทัศน์ Travel Channel

ความน่าสนใจของรายการโทรทัศน์ดังกล่าว คือการตระเวนไปยังคาสิโนชื่อดังหลายแห่ง อาทิ ในเมืองลาสเวกัสและลอสแอนเจลิส โดยในแต่ละแห่งเปิดโอกาสให้มือโป๊กเกอร์จำนวนมากเข้ามาชิงชัยหาความเป็นสุดยอดนักเสี่ยงดวง เพื่อชิงเงินรางวัล 5 แสนดอลลาร์สหรัฐ ความน่าตื่นเต้นของรายการ World Poker Tour นอกจากจะรวมโป๊กเกอร์มือทองจากทั่วทุกสารทิศและทุกเชื้อชาติ ในแง่การถ่ายทอดสดเองยังมีเทคนิคถ่ายทำพิเศษที่ทำให้ผู้ชมเห็นตอนที่ผู้เล่น ‘โฮลการ์ด’ หรือตอนที่ผู้เล่นแต่ละคนจั่วการ์ดขึ้นบนมือ ทำให้ผู้ชมได้ลุ้นระทึกว่า ผู้เล่นจะชิงเหลี่ยมหงายการ์ดในมุมไหนได้บ้าง

WPT Five Diamond World Poker Classic S19

จากรายการทีวี ความนิยมของ World Poker Tour ไต่ระดับขึ้นเรื่อยๆ จากความเป็น sportainment สร้างความบันเทิงให้กับคนชอบกีฬาโป๊กเกอร์ จนพัฒนากลายเป็นการแข่งขันทัวร์นาเมนต์จริงจัง มีนักพากย์คอยบอกเล่ากติกา เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย มีการป้องกันแชมป์ มีดาวรุ่งน่าจับตามอง ยกตัวอย่างปี 2007 ที่มีผู้เล่นเข้าร่วมถึง 637 ราย เช่นเดียวกับเงินรางวัลที่ขยับจากหลักแสนเป็นหลักล้านดอลาร์สหรัฐ

ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ World Poker Tour เสริมแบรนด์ให้มีความแข็งแรงมากขึ้น อย่างการสร้างระบบ ‘เมมเบอร์ออนไลน์’ ให้นักกีฬาโป๊กเกอร์เข้ามาพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น รวมไปถึงได้สิทธิพิเศษต่างๆ ในการเข้าแข่งขันทั้งหมด 25 ประเทศทั่วโลก ในทวีปเอเชียก็มีหลายประเทศที่  World Poker Tour เปิดให้บริการระบบสมาชิก เช่น ไทย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย เกาหลีใต้ เนปาล ฯลฯ

• ไม่ใช่แค่ตัวเลขลิขสิทธิ์แต่ยังช่วยดันมูลค่า GDP แก่ประเทศเจ้าภาพ 

ปัจจุบันลิขสิทธิ์การออกอากาศของ  World Poker Tour อยู่ในความดูแลของบริษัท CBS Sports Network มาตั้งแต่ปี 2023 แม้จะไม่มีการเปิดเผยตัวเลขลิขสิทธิ์แบบจริงจัง แต่หากมองย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น ตามข้อมูลออฟฟิเชียลของเว็บไซต์ World Poker Tour ระบุไว้ว่า ลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดอยู่กับบริษัท Game Show Network (GSN) นั้นมีมูลค่าการออกอากาศตอนละ 3 แสนดอลลาร์สหรัฐ และมีมูลค่าเพิ่มอีกถึง 20,000-35,000 ดอลลาร์สหรัฐ ตามค่าเฉลี่ยเรตติ้ง นับว่าเป็นมูลค่าที่สูงอย่างยิ่งของรายการโทรทัศน์ 

และนับตั้งแต่ปี 2023 ที่รายการ World Poker Tour ได้ย้ายสถานที่จัดการแข่งขันจากประเทศสหรัฐ สู่ 25 ประเทศทั่วโลก ทาง World Poker Tour ยังระบุไว้ว่า สามารถสร้างรายได้จากการแข่งขันขันแต่ละครั้งได้มากเกิน 1 ล้านดอลาร์สหรัฐ ซึ่งไม่ใช่แค่จากสปอนเซอร์ แต่ยังรวมถึงบรรดาโรงแรม ที่พัก หรือร้านให้บริการต่างๆ ที่ร่วมเป็นพันธมิตร ซึ่งเปิดให้บริการแก่นักโป๊กเกอร์ที่มาเข้าร่วม

ยกตัวอย่างตามข้อมูลของเว็บไซต์ Yahoo Finance ได้ระบุไว้ว่า เมืองปารีส ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในสังเวียนการจัด World Poker Tour เมื่อปี 2022 สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวหน้าใหม่เข้าสู่ประเทศได้มากถึง 8,000 ราย และผู้ชมอีกราว 25,000 ราย โดยนับเป็นตัวเลข GDP เข้าสู่ประเทศฝรั่งเศสถึง 13 ล้านยูโร ในช่วงระยะการแข่งขันเพียง 1 สัปดาห์เท่านั้น

ตัวเลขทั้งหมดที่ยกตัวอย่างมาจึงสะท้อนให้เห็นว่า โป๊กเกอร์คือกีฬายอดนิยมที่คนทั่วโลกยอมรับและให้ความสนใจ คนไทยก็เคยเข้าร่วมทัวร์นาเมนต์ดังกล่าว เช่น หลุยส์–ธชา คงคาเขตร ศิลปินแร็ปเปอร์และพิธีกรชื่อดัง หรือสวิส สรวิทย์ โปรโป๊กเกอร์ชื่อดังชาวไทย ที่เคยคว้าอันดับ 8 การแข่งขันเมื่อปี 2024 ซึ่งจัดขึ้นที่กัมพูชา

ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่ประเทศไทยจะเสนอตัวเป็นเจ้าภาพการแข่งขัน พร้อมกับเป้าหมายว่า จะนำรายได้เข้าสู่ประเทศได้หลัก 1 พันล้านบาท และสามารถสร้างอาชีพใหม่ๆ ให้กับคนไทยราว 1,500 ตำแหน่ง

• มองมุมต่างท่ามกลางฝุ่นตลบของข้อกฎหมาย Entertainment Complex

ถึงตรงนี้ ท่ามกลางฝุ่นตลบในรัฐสภาถึงการร่าง พ.ร.บ. Entertainment complex ที่ยังลูกผีลูกคน และหลายฝ่ายยังลังเลว่า ควรนำการพนันขึ้นมาอยู่บนดินให้ถูกกฎหมายดีไหม อย่างไรก็ดี มีข้อชวนสังเกตว่า ทำไมประเทศไทยถึงดูเหมาะสมต่อการเป็นเจ้าภาพทัวร์นาเมนต์กีฬาโป๊กเกอร์

เราขอยกตัวอย่างอีกหนึ่งทัวร์นาเมนต์กีฬาที่ไทยพร้อมเสนอตัวเป็นเจ้าภาพอย่าง ‘F1’ ซึ่งการเป็นเจ้าภาพหนึ่งครั้งจำเป็นต้องใช้เงินหลัก 7 พันล้านบาทในการเป็นเจ้าภาพ ซึ่งจำนวนที่มากนั้นส่วนใหญ่มาจากการปรับปรุงสนาม 5 จุดให้พร้อมต่อการเป็นซิตี้ เรซ ประกอบด้วย ถนนราชดำเนิน ถนนจตุจักร รอบสถานีรถไฟกรุงเทพ บริเวณรอบเมืองทองธานี ไปจนถึงรอบสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก จังหวัดระยอง นั่นทำให้ต้องใช้เวลานานถึง 3 ปีในการสร้างโปรไฟล์เสนอตัวเป็นเจ้าภาพ 

หรือหากมองย้อนกลับไปทัวร์นาเมนต์ใหญ่ๆ ที่ไทยเป็นเจ้าภาพคงต้องนึกถึง ‘เอเชียนเกมส์’ ปี 1998 ซึ่งล่วงเลยมาแล้วกว่า 27 ปี สาเหตุหลักๆ ที่ไทยมักจะชวดการเป็นเจ้าภาพทัวร์นาเมนต์กีฬาใหญ่ คงหนีไม่พ้นเรื่องความพร้อมด้านสนามการแข่งขัน ที่แต่ละสมาคมกีฬาถ้าไม่ขาดการเตรียมตัว ก็ขาดเรื่องทุนการขยับขยายพื้นที่จัดการแข่งขัน ดังนั้นคงต้องย้อนกลับมาใหม่ว่า การจัดการแข่งขันกีฬาเล็กแต่ระดับโลก น่าจะทำได้ง่ายกว่า และทำให้ประเทศไทยกลายเป็นตัวเลือกระดับต้นๆ กับเขาบ้าง

แต่ที่น่าขบคิดตามคือเรื่องของการผลักดันเรื่องการพนันให้ถูกกฎหมายซึ่งต้องทำควบคู่ไปด้วย หากอยากทำให้กีฬาโป๊กเกอร์ได้รับการยอมรับแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย เพียงแต่ต้องเป็นวาระที่เหมาะสมและมีกฎหมายควบคุมที่เคร่งครัด ในเมื่อเรามีนักกีฬาโป๊กเกอร์ฝีมือดีจำนวนมาก วัฒนธรรมที่น่าดึงดูด และผู้คนที่พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยว ด้วยองค์ประกอบที่ลงตัวแบบนี้ ไทยอาจได้เป็นทั้งเจ้าภาพและมหาอำนาจกีฬาโป๊กเกอร์ในอนาคตได้ไม่ยาก  

ขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจบ้านเราแล้ว ว่าจะดึงทรัพยากรที่มีอยู่ในมือสร้างรายได้ให้กับประเทศได้ยังไง และที่สำคัญคือทำยังไงให้โป๊เกอร์เป็นมากกว่าแค่เรื่องของการพนัน แต่เป็นกีฬาที่สร้างมูลค่าได้มหาศาล 

ที่มา : 

โต้คลื่นกับ Grom อาร์ตทอยรีไซเคิลจากขยะตัวแรกของไทย ไอเดียรักษ์โลกจาก Reborn Studio

คิดว่าอาร์ตทอยในภาพด้านล่างนี้แตกต่างจากอาร์ตทอยตัวอื่นๆ ที่เคยเห็นยังไงบ้าง?

หากจะตอบว่ารูปร่างหน้าตาที่เป็นเด็กน้อยหัวหนวดหมึก ทำให้ดูไม่เหมือนใครก็คงไม่ผิดนัก แต่ความพิเศษอีกอย่างที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้าตาน่ารักนี้ คือเป็นอาร์ตทอยที่ทำมาจากขยะพลาสติกทางทะเลเกือบทั้งตัว

“เรียกว่าเป็นคาแร็กเตอร์แรกๆ ของประเทศไทยหรือของโลกเลยด้วยซ้ำที่รีไซเคิลมาจากขยะ”

จินต์ สถาพรสถิตย์สุข ชายเจ้าของคาแร็กเตอร์ดีไซน์นี้พูดกับเราด้วยท่าทีมั่นใจ เพราะในฐานะที่เขาเป็นทั้งนักสะสมอาร์ตทอยตัวยงและนักออกแบบคาแร็กเตอร์ที่เคยสร้างผลงานขึ้นชื่ออย่าง Nong Joong เด็กน้อยรูปร่างเหมือนกุ้งมังกร ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศในการประกวดแข่งขันมาสคอตภูเก็ตในปี 2562 พ่วงด้วยตำแหน่งเจ้าของ ThaiVetro แบรนด์เครื่องประดับงานคราฟต์จากวัสดุแก้ว

เมื่อพบว่าตลาดอาร์ตทอยยังไม่มีคาแร็กเตอร์หน้าตาแบบนี้มาก่อน รวมถึงยังไม่เจออาร์ตทอยที่รีไซเคิลจากขยะพลาสติกทางทะเล Grom และ Reborn Studio จึงเกิดขึ้น แต่อะไรทำให้ Grom เป็นมากกว่าอาร์ตทอยธรรมดา วิธีการทำธุรกิจสุดน่ารักที่ยืนหยัดเรื่องความยั่งยืนของเขาเป็นยังไง

คอลัมน์ In Good Company พร้อมพาไปโต้คลื่น ไขคำตอบไปพร้อมๆ กัน 

โต้คลื่นลูกที่ 1 
ชุบชีวิตขยะให้เป็นประโยชน์

แรกเริ่มเดิมทีจินต์เกิดและโตที่กรุงเทพ เขาได้ทำแบรนด์ ThaiVetro เป็นเครื่องประดับและของที่ระลึกงานคราฟต์ซึ่งทำมาจากแก้ว ก่อนจะเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในกรุงเทพ ทำให้ต้องย้ายถิ่นฐานไปตั้งโรงงานที่บ้านภรรยาแถวเขาหลัก จังหวัดพังงา

ในขณะที่ธุรกิจกำลังไปได้สวย จากการเจาะตลาดประเทศญี่ปุ่น ทำให้เขามีแผนจะขยายโรงงานไปที่ญี่ปุ่น พร้อมเปิดคาเฟ่ที่ขายของที่ระลึกซึ่งทำจากแก้วในย่านท่องเที่ยวไปด้วย แต่ดันเจอกับพิษของโควิด-19 ทำให้ต้องเปลี่ยนแผนมาเปิดคาเฟ่แถวชายหาดบางสัก จังหวัดพังงา

“เราเปิดคาเฟ่ชื่อ Garang Artisan Icecream ซึ่งอยู่ติดกับหาดสาธารณะ เป็นหาดเดียวเลยที่คนเข้าถึงได้โดยไม่ติดกับโรงแรมใหญ่ แล้วที่นี่ดังเรื่องเล่นเซิร์ฟมาก เราเลยเปิดร้านเซิร์ฟสเกตไปด้วย พอเราได้เล่นเซิร์ฟก็ได้ใกล้ชิดกับทะเลมากขึ้น แล้วก็ได้รู้ว่าปัญหาว่าขยะมันเยอะมาก

“เมื่อก่อนตอนเราอยู่กรุงเทพฯ ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร คิดว่าขยะทางทะเลเป็นเรื่องไกลตัว แต่พอได้มาอยู่ที่นี่ก็เห็นกับตาว่าขยะมันเต็มไปหมด ขนาดเราเล่นเซิร์ฟอยู่ขยะก็ลอยมาชนขา อะไรที่ย่อยสลายได้ก็จะจมไปที่ใต้น้ำ แต่ขยะพลาสติกทั้งหมดจะซัดเข้าฝั่ง​ โดยเฉพาะช่วงหน้ามรสุมซัดขยะเข้ามาเต็มหาดเลย”

 จินต์จึงนำเรื่องนี้ไปคุยกับเพื่อนๆ ที่เล่นเซิร์ฟด้วยกัน ว่ามีอะไรที่พวกเขาจะทำได้บ้าง ซึ่งในกลุ่มนี้มีคนเปิดโรงงานทำเซิร์ฟบอร์ดอยู่ที่เขาหลัก ทำให้เขามีทักษะเกี่ยวกับการจัดการพลาสติกเรซิ่น ส่วนจินต์ก็มีความรู้ด้านการออกแบบคาแร็กเตอร์ตัวละคร

ประกอบกับช่วงนั้นกระแสอาร์ตทอยกำลังมาแรง แถมเป็นสินค้าที่ราคาดี น่าหยิบมาต่อยอดเป็นธุรกิจได้ จึงก่อตั้งเป็น Reborn Studio ขึ้นมา พร้อมเขียนคำอธิบายในเพจตัวโตๆ ว่าเป็น ‘สตูดิโอที่มุ่งมั่นนำเศษพลาสติก ขยะพลาสติกนำกลับมาให้เป็นสิ่งมีค่าอีกครั้ง ผ่านการออกแบบที่ดี เพื่อท้องทะเล และสิ่งแวดล้อม เพื่อความยั่งยืนของเรา’

“เราเลือกตั้งชื่อว่า Reborn เพื่อสื่อถึงการคืนชีพให้พลาสติกกลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง ผ่านการออกแบบที่ดี ในมุมมองของเรา การออกแบบที่ดีคือต้องตีโจทย์ให้ครอบคลุมหลายมิติ ยิ่งตอบโจทย์ได้เยอะยิ่งสร้างคุณค่าได้มาก อย่างการที่เราตัดสินใจออกแบบอาร์ตทอยก็ตอบโจทย์เรื่องความสวย และตอบโจทย์ฟังก์ชั่นการใช้งานที่ช่วยเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมได้แม้แต่เพียงเล็กน้อยก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย”

โต้คลื่นลูกที่ 2 
ใส่เรื่องราวให้เหล่า Grom

ในช่วงออกแบบคาแร็กเตอร์อาร์ตทอย จินต์เริ่มจากการสำรวจว่าในพื้นที่ที่เขาอยู่มีเอกลักษณ์เด่นอะไรบ้าง ที่เห็นแน่ชัดคือเต่าทะเลเป็นสัตว์ตัวแรกที่คนมักนึกถึงเมื่อพูดถึงปัญหาทางทะเล อีกทั้งยังเป็นมาสคอตของจังหวัดพังงาด้วย แต่เขาคิดว่าถ้าหยิบมาเล่าซ้ำคนอาจไม่ได้จดจำและสนใจ จึงเลือกหยิบสัตว์ทะเลตัวใหม่ที่ยังไม่ค่อยมีใครหยิบมาเล่า 

หมึกสาย หรือที่ชาวบ้านชอบเรียกกันว่าหมึกโวยวาย จึงเป็นผู้ถูกเลือก เพราะบริเวณหาดบางสักที่จินต์อาศัยอยู่เป็นบริเวณที่ชาวบ้านชอบหาหมึกโวยวายกัน

“เราเอาหนวดหมึกมาใช้ออกแบบเป็นผม เพราะเท่าที่ไปรีเสิร์ชดูยังไม่มีใครทำแบบนี้ ส่วนใหญ่จะเอาหนวดมาไว้ด้านล่างมากกว่า ก็เลยคิดว่ามันน่าสนใจและแปลกใหม่ดี แล้วเราก็สร้างสตอรีให้ว่าน้องโตมาพร้อมกับชาวมอแกน ชนเผ่าที่อยู่ในหมู่เกาะสุรินทร์ จังหวัดพังงา ซึ่งหมู่เกาะนี้ขึ้นชื่อเรื่องการเป็นแหล่งดำน้ำระดับโลก

“แต่เวลามีขยะทางทะเล พายุเข้า น้ำท่วม ชาวเกาะนี้ก็จะได้รับความเดือดร้อนมากกว่าคนอื่นๆ ที่อยู่ในเมือง เราก็อยากสื่อสารเรื่องนี้ไปด้วย แล้วก็สร้างนิสัยส่วนตัวว่า Grom เป็นเด็กที่ชอบเล่นเซิร์ฟ ชอบอยู่กับทะเล เลยชอบอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางทะเลไปด้วย”

ส่วนชื่อ Grom คนทั่วไปอาจจะไม่คุ้นหู แต่ถ้าพูดชื่อนี้ขึ้นมาหมู่คนเล่นเซิร์ฟจะร้องอ๋อทันที เพราะว่าเป็นคำสแลงจากภาษาออสเตรเลีย ที่ใช้เรียกเด็กอายุไม่เกิน 18 ปีที่เล่นเซิร์ฟเก่งๆ และยังเป็นชื่อเรียกการแข่งขันเซิร์ฟรุ่นเยาวชนอีกด้วย

โต้คลื่นลูกที่ 3 
ของเล่นที่ไม่ได้มาเล่นๆ

ถ้าจะกล่าวว่าคาแร็กเตอร์ของ Grom ออกมาถูกที่ ถูกเวลาก็คงไม่ผิดนัก เพราะในช่วงแรกที่ตัวต้นแบบของ Grom ยังไม่เสร็จดี เขาก็ตัดสินใจส่งเข้าไปประกวดในงาน Wonder Festival Bangkok 2024 จัดขึ้นโดย Ignite บริษัทชื่อดังที่นำเข้าสินค้าลิขสิทธิ์จากต่างประเทศมาขายในไทย เช่น Gundam และ One Piece ซึ่งในตอนนั้น Ignite อยากได้คาแร็กเตอร์อาร์ตทอยของคนไทยพอดี

ด้วยหน้าตาที่โดดเด่นและคอนเซปต์รักษ์โลกที่ไม่เหมือนใคร ทำให้ Grom คว้ารางวัลป๊อปปูลาร์โหวตมาครอง และนั่นเป็นงานที่เปิดประตูให้คนได้รู้จักเจ้าอาร์ตทอยหัวหนวดหมึกมากยิ่งขึ้น

“เราไปตั้งบูทเล็กๆ ในงานนั้นด้วย เพราะตั้งใจไปทำความรู้จักลูกค้าว่าเขาชอบแบบไหน ตอนนี้ในตลาดสนใจอะไรกันอยู่ เราก็เห็นว่าตลาดนี้ใช้คำว่าบ้าคลั่งได้เลย มีคนยอมต่อคิวยาวมาก ยอมจ่ายเงินแพงๆ เป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูงมาก ยิ่งพอเราเล่าให้ลูกค้าฟังว่าอาร์ตทอยเรารีไซเคิลมาจากขยะพลาสติกในทะเล ยิ่งทำให้คนสนใจ เพราะยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน ตอนนั้นก็ขายดีมาก แล้วก็มีคนพรีออร์เดอร์จนทำแทบไม่ทันเลย”

ประโยคสุดท้ายที่จินต์พูดถึงดูเป็นข่าวดีในมุมของคนทำธุรกิจ แต่ก็เป็นปัญหาที่ทำให้เขาคิดหนักไม่น้อย เพราะด้วยความที่กระบวนการผลิตอาร์ตทอยรีไซเคิลค่อนข้างซับซ้อนและเพนต์มือเองทุกขั้นตอน

“ช่วงแรกเรารวบรวมขยะจากการที่เราและน้องพนักงานในคาเฟ่ไปเก็บขยะเองที่ริมชายหาด หลังจากนั้นก็ออกแคมเปญให้ลูกค้าเก็บฝาขวดน้ำพลาสติก 69 ฝามาแลกไอศครีมที่คาเฟ่ได้ 1 ลูก รวมถึงขอความร่วมมือโรงแรมและร้านอาหารต่างๆ ในจังหวัดพังงา ว่าถ้ามีขยะพลาสติกก็เก็บมาให้เรารีไซเคิลได้นะ ในเพจเรายังทำโครงการ #เก็บฝากับกรอม ปรากฏว่าคนสนใจเยอะมาก ส่งมาเป็นแสนฝาเลย เราเลยส่งของรางวัลตอบแทนเขา เพราะไม่อยากให้ใครส่งฝามาฟรีๆ”

ถึงแม้ Grom รุ่นแรกจะมีข้อจำกัดจากเทคนิคการนำพลาสติกมาทำเป็นอาร์ตทอย จึงใช้แค่ฝามารีไซเคิลและอาร์ตทอยหนึ่งตัวใส่ขยะไปได้เพียง 30% เท่านั้น แต่เขาและทีมก็ปรับการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการในตลาดที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ จนก่อเกิดเป็นความตั้งใจใหม่ว่าอยากให้ Grom เกิดจากขยะรีไซเคิล 100% และพยายามหยิบขยะทุกอย่างมารีไซเคิลให้ได้ 

“ทีมของเราคิดค้นวิธีว่าไม่ต้องเลือกแยกประเภทของขยะพลาสติกแล้ว เราใช้เป็นการบดโดยไม่ต้องใช้ความร้อนหลอมพลาสติกก่อน ทำให้เราเลือกใช้พลาสติกได้เยอะขึ้น หลากหลายมากขึ้น ทั้งขวดนมที่ใช้ในคาเฟ่ ถุงพลาสติก เรียกได้ว่าใช้ได้ทุกอย่างที่เป็นขยะเลยดีกว่า แม้แต่กากกาแฟเราก็นำมาบดแล้วใส่ลงไปในตัว Grom ด้วย ตัวนี้เราขายครั้งแรกในงาน Phangnga Coffee Journey 2025 ที่ทาง ททท.จัดขึ้นในจังหวัดพังงา แล้วก็ขายหมดตั้งแต่วันแรกเลย”

ปัจจุบัน Grom ทำมาจากขยะพลาสติกถึงประมาณ 90% และออกรุ่นล่าสุดที่ใช้พิมพ์ 3 มิติแบบใส เพื่อที่จะได้ใส่เศษพลาสติกและโชว์สีสันของพลาสติกมากขึ้น ซึ่งช่วยลดขั้นตอนการลงสี ทำให้สามารถผลิตได้ไวขึ้นและลดขยะได้มากขึ้น

โต้คลื่นลูกที่ 4 
ตีตลาดใหญ่ผ่านการคอลแล็บ

ไม่เพียงแต่ไปออกงานแสดงสินค้าที่เกี่ยวกับอาร์ตทอย สิ่งแวดล้อม และการท่องเที่ยวที่ทำให้ Grom เป็นที่รู้จักเท่านั้น แต่จินต์ยังเลือกเปิดประตูบานใหม่ในตลาดที่ใหญ่กว่าเดิม ด้วยการคอลแล็บกับหน่วยงานและแบรนด์ต่างๆ

“เรามีคอลเลกชั่นพิเศษที่คอลแล็บกับ ททท.เพื่อโปรโมตแคมเปญเขาหลักเซิร์ฟทาวน์ ในช่วงโลว์ซีซั่นที่ฝนตก พายุเข้า คนจะไม่มาเที่ยวกัน แต่ช่วงนั้นเหมาะกับการมาโต้คลื่น ก็เลยทำอาร์ตทอยน้อง Grom ถือสเกตบอร์ดชวนคนมาเล่นเซิร์ฟ

“แล้วก็มี Grom x JaoMeuay มาสคอตแมวโคราชที่โด่งดังจากการทำกางเกงลายแมวออกมา เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าให้กับทางโคราช เราก็ออกมา 2 คอลเลกชั่น เป็นน้อง Grom ชวนแมวโคราชไปเที่ยวทะเล กับอีกอันคือน้อง Grom ใส่ชุดแมว”

อีกหนึ่งการคอลแล็บที่พา Grom ดังไกลถึงแดนมังกรคือคอลเลกชั่น Grom x Ignite Store ที่จินต์เลือกใช้สีส้ม-แดง ซึ่งเป็นทั้งสีประจำแบรนด์ของ Ignite Store และยังสื่อถึงสียามพระอาทิตย์ตกดินริมทะเล ตอกย้ำถึงการนำขยะในทะเลมารีไซเคิล รุ่นนี้ใช้ฝาพลาสติกประมาณ 40-100 ฝา ขึ้นอยู่กับแบบและขนาดตัว

จินต์เล่าว่าลูกค้าชาวจีนจะซื้อง่ายขายคล่อง แทบไม่ต้องถามราคา แค่ถูกใจก็ซื้อไปเก็บไว้เลย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่มีความคิดจะไปตั้งฐานการผลิตในจีน เพราะจะเป็นการรีไซเคิลขยะในจีนซะมากกว่า แทนที่จะเป็นการรีไซเคิลขยะในไทยตามที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่ต้น

ในอนาคตเขายังอยากหาวิธีการผลิตที่ทำให้สามารถผลิตได้มากขึ้น และขายได้ในราคาถูกลง เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มคนทั่วไปได้มากกว่านี้ รวมถึงยังมีไอเดียนำขยะพลาสติกมารีไซเคิลเป็นสินค้าประเภทอื่นๆ อีกด้วย

“เราเคยเอาขยะมาทำเป็นอิฐบล็อกซ่อมฟุตพาทที่ผุพัง ทำไปทำมาเราเห็นว่ามันช่วยลดปริมาณขยะได้เยอะกว่าทำอาร์ตทอยก็จริง แต่ราคามันได้ไม่คุ้มค่าแรงที่เสียไป เพราะฉะนั้นก็เลยอยากทำสินค้าที่มีราคาสูงหน่อย เพื่อจะได้มีกำไรไปทำสิ่งอื่นต่อแล้วดึงให้คนอื่นมามีส่วนร่วมเยอะขึ้น ทำให้เขาเห็นว่าโมเดลนี้มันเวิร์ก

“อย่างในตลาดเครื่องประดับที่เราทำแบรนด์ ThaiVetro ก็ใช้พลาสติกรีไซเคิลมาทำ แล้วส่งออกต่างประเทศ โดยเฉพาะที่ญี่ปุ่นเขาชอบมาก ทำให้ราคาเครื่องประดับนี้สูงกว่าเดิมขึ้นไป 5-6 เท่าเลย แล้วมันเป็นช่องว่างทางการตลาดด้วยที่ยังไม่ค่อยมีใครทำสิ่งนี้ พอคนเริ่มสนใจจำนวนการผลิตก็เยอะขึ้น ก็สามารถนำขยะมารีไซเคิลได้มากขึ้น”

ส่วนในอนาคตจินต์มีแผนจะเปิดร้านชาผลไม้ในชื่อ Grom Cha ที่เมืองเก่าภูเก็ต และอยากจัดนิทรรศการน้อง Grom ที่สตูดิโอของพวกเขา พร้อมเล่าเรื่องว่าขยะเกิดขึ้นได้ยังไง มีปัญหายังไงบ้าง เพราะหลังจากที่เขาเริ่มนำขยะมารีไซเคิล ก็รู้เลยว่าสิ่งที่ทำช่วยแก้ปัญหาได้น้อยมากๆ เพราะขยะมีเพิ่มทุกวัน และยังมีเยอะขึ้นเรื่อยๆ

แต่อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นการช่วยกันส่งเสียงให้ดังๆ ว่ามันเป็นปัญหาของเมือง เป็นที่เรื่องนโยบาย ซึ่งไม่สามารถแก้ได้ด้วยกำลังของคนคนเดียวหรือคนกลุ่มเดียวเท่านั้น แต่เป็นเรื่องที่ต้องช่วยกันทุกคน ทุกฝ่าย ถึงจะแก้ปัญหาเรื่องขยะได้อย่างแท้จริง

ถึงแม้จินต์จะทำธุรกิจเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหัวใจสำคัญที่ทำให้ Grom Arttoy เป็นที่รู้จักและขายดีจนทำแทบไม่ทัน ส่วนหนึ่งมาจากการผสมผสานงานศิลปะเข้ากับความตั้งใจที่อยากรีไซเคิลขยะได้อย่างลงตัว พร้อมสร้างสตอรีที่หยิบยกเอกลักษณ์ของบ้านเกิดมาเล่าเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวไปในตัว

 อีกทั้งเขายังรีเสิร์ชตลาดอย่างจริงจัง และหาช่องว่างทางการตลาด เพื่อให้อาร์ตทอยของเขาโดดเด่นและแตกต่างไม่เหมือนใคร แถมยังพาตัวเองไปให้ลูกค้าได้รู้จักผ่านการประกวดและออกงานแสดงสินค้าต่างๆ ทำให้ทุกคนเห็นว่าธุรกิจที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมก็ทำออกมาให้น่ารัก เข้าถึงง่าย และสื่อสารถึงใจผู้คนได้ 

เสกโลกแฟนตาซีในโรงแรมมหัศจรรย์ด้วยห้องพักที่คอนเซปต์ดีไซน์ไม่ซ้ำกันแบบ Kitsch Hotel 

หลังจาก Capital เคยคุยกับร้านมัลติแบรนด์สไตล์กุ๊กกิ๊กชื่อดังแห่งหนึ่งไปเมื่อปีที่แล้ว ครั้งนั้นความลับที่แอบรู้มาล่วงหน้าคือวันหนึ่งเจ้าของธุรกิจแห่งนี้อยากขยายธุรกิจจากแค่ขายเสื้อผ้าและของกระจุกกระจิกมาทำโรงแรม ผ่านไปหลักปี ภาพโรงแรมในฝันที่เป็นเพียงไอเดียในวันนั้นถูกเสกให้เป็นจริงแล้วในวันนี้ 

ธุรกิจที่มีสาขาหลักอยู่ใจกลางสยามแสควร์อย่าง Daddy and the muscle academy กับ Frank Garcon ของ ลูกศร–ศรุติ ตันติวิทากุล และ อั้ม–บุญญนัน เรืองวงศ์ เป็นธุรกิจที่เริ่มอยู่ตัวหลังจากเปิดมาแล้วราว 8-9 ปี จนมองเห็นโอกาสที่นอกกรอบกว่านั้น

ทั้งคู่สังเกตว่าโดยส่วนใหญ่ลูกค้าที่มาช้อปปิ้งสินค้าในร้านมักใช้ระยะเวลาอย่างมากก็ 40-45 นาที จะดีไหมถ้าทำโรงแรมในธีมที่มีความน่ารัก จับกลุ่มลูกค้าผู้หญิงกลุ่มเดียวกับร้าน Daddy and the muscle academy ที่มีกำลังจ่าย สร้างแบรนด์ที่เปิดโอกาสให้คนมาสัมผัสประสบการณ์อย่างเต็มที่และนอนค้างด้วยกันสักคืน แถมโรงแรมบูทีกสไตล์วินเทจที่ตกแต่งน่ารักและคอนเซปต์ชัดในไทยก็ยังไม่ค่อยมี

อั้มมองว่าหากเป็นลูกค้าของ Frank Garcon ที่มีสัดส่วนผู้ชายมากกว่า กลุ่มนี้จะมีความอินดี้กว่าและเน้นตลาด niche แต่ธุรกิจโรงแรมควรจับกลุ่มแมสและเน้นลูกค้าผู้หญิง จากอินไซต์สุดคมว่าในบรรดาคู่รักที่เลือกจองโรงแรม คนเลือกมักจะเป็นผู้หญิง และคนจ่ายมักเป็นผู้ชาย ซึ่งในกลุ่มนี้มีทั้งกลุ่มเพื่อนที่อยากมาสังสรรค์กัน ผู้ที่อยาก staycation กลุ่มครอบครัวและคุณแม่ลูกอ่อน

Kitsch Hotel แห่งนี้จึงเป็นเหมือน Magic Wonderland ที่แต่ละห้องมีคอนเซปต์ดีไซน์พิเศษที่ตกแต่งแทบไม่ซ้ำกัน ทั้งโรงแรมใช้ของแตกต่างกว่า 100 ชิ้น แถมยังมีร้านอาหาร SoupSip บนชั้นรูฟท็อปที่ลองชิมแล้วรสชาติอร่อยกลมกล่อม เปิดให้แขกที่ไม่ได้นอนพักที่โรงแรมแวะมาทานได้

ทั้งนี้ลูกศรบอกว่าความจริงแล้วธุรกิจบริการคือสิ่งที่คุณพ่อของเธอเคยห้ามเอาไว้ “ปะป๊าของศรจะบอกตั้งแต่เด็กๆ เลยว่า 2 ธุรกิจที่ห้ามทำเลย คือโรงแรมและร้านอาหาร แต่เราก็เบรกข้อจำกัดของพ่อไปหมดแล้ว ตอนแรกพ่อบอกว่าร้านอาหารห้ามทำนะ ก่อนหน้านี้เราก็ทำร้านอาหารใต้ชื่อปากนัง แล้วตอนนี้ก็มาทำโรงแรม

“เขาบอกว่ามันเป็นธุรกิจบริการที่ต้องใส่หัวใจเข้าไป 24 ชม. ไม่ใช่แค่เราซื้อของมาแล้วขายไป แต่มันคือทุกอย่างเลยที่เกี่ยวกับความเป็นอยู่ของลูกค้า เหมือนเราต้อนรับเขามาแล้วต้องดูแลประสบการณ์ 360 องศาว่าเขาจะเจออะไรบ้าง”
ถ้าโรงแรมเป็นธุรกิจที่ทำยาก แล้วเบื้องหลังทั้งคู่มีเหตุผลอะไรที่เสกโรงแรมมหัศจรรย์แห่งนี้ขึ้นมา ชวนเคาะประตูห้องพักแต่ละห้องแล้วตามไปผจญภัยพร้อมๆ กัน 

แปลงโฉมโรงแรมเก่าเป็นวันเดอร์แลนด์

ก่อนรีโนเวตเป็นโรงแรม Kitsch ที่แห่งนี้เคยเป็นโรงแรมราคาประหยัดที่ขายห้องพักในราคาคืนละ 700 บาท เน้นกลุ่มลูกค้าที่อยากหาห้องพักแบบง่ายๆ ในกรุงเทพฯ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกแบบพื้นฐานที่สุด 

โปรเจกต์แปลงโฉมโรงแรมเก่าเป็นวันเดอร์แลนด์โรงแรมมหัศจรรย์เริ่มจากแก้ไขโครงสร้างและฟังก์ชั่นหลักบางส่วน เช่น รื้อผนังห้องพักที่บางจนเสียงทะลุถึงกันได้ ทำประตูห้องน้ำเพิ่มเพื่อให้มีความเป็นส่วนตัว ปรับผังในบางห้อง เพิ่มรายละเอียดความสุนทรี เช่น การทำหลังคาห้องให้สูงคล้ายห้องใต้หลังคาพร้อมติดวอลเปเปอร์ลายวินเทจที่ออกแบบเอง

จากตอนแรกที่คิดว่าจะจ้างบริษัทอินทีเรียร์มาออกแบบให้และทำเพียงมู้ดบอร์ดเป็นคอนเซปต์ตั้งต้น แต่ด้วยระยะเวลารีโนเวตอันจำกัดรวมถึงกิมมิกที่ดีไซน์แต่ละห้องไม่เหมือนกันเลย อั้มจึงกลัวว่าหากงานไปตกอยู่ในมือของบริษัทอินทีเรียร์หลายเจ้า ภาพรวมของโรงแรมจะไม่สอดคล้องกันและภาพสุดท้ายจะไม่เป็นไปตามที่คิดไว้ จึงตัดสินใจเรียนโปรแกรม SketchUp แบบเร่งรัดและออกแบบแต่ละห้องเอง เป็นโครงการที่ใช้เวลารีโนเวตโรงแรมเพียง 6 เดือน  

ส่วนแนวคิดการออกแบบของ Kitsch Hotel คือการหยิบเอาศิลปะ Kitsch มาเป็นคอนเซปต์หลักของโรงแรม 

“Kitsch คือศิลปะไร้ค่าในสมัยก่อน ยุคหนึ่งศิลปินจะต้องจบจากโรงเรียนสอนอาร์ตเท่านั้น ถึงจะเป็นอาร์ทิสต์ได้ แต่พอถึงยุคที่ผู้คนเข้าถึงศิลปะง่ายขึ้น ไม่ต้องมีเงินเยอะก็ทำศิลปะได้ ก็เลยเกิดศิลปะแนว Kitsch ที่เกิดการถูกเหยียดในยุคนั้น 

“แต่พอเวลาผ่านไป ศิลปะแนวนี้ก็กลายเป็นพื้นฐานของงานป๊อปอาร์ตและ commercial art เราเลยรู้สึกว่า Kitsch Art ไม่มีข้อจำกัดเลย จะทำเป็นสไตล์ไหนก็ได้ เอาของที่ดูไม่ค่อยมีค่าในสายตาคนอื่นมาทำให้เหนือความคาดหมายได้ รู้สึกว่า Kitsch ถูกหลอมให้เป็นได้หลายสไตล์” 

ลูกศรอธิบายถึงคอนเซปต์หลักก่อนที่อั้มจะเล่าต่อว่า “ผมว่าร้าน Daddy and the muscle academy และ Frank Garcon มีตัวตนที่เป็นแบรนดิ้งของแต่ละร้าน แต่โรงแรมนี้เราสร้างแบรนด์ให้แต่ละห้อง โดยมีแบรนด์ใหญ่คือคอนเซปต์ Kitsch ครอบอีกทีหนึ่ง 

“แต่ละห้องต้องคิดไว้ก่อนวิ่งหาพร็อพและของตกแต่งว่ากลุ่มเป้าหมายแต่ละห้องเป็นใคร แบรนดิ้งเป็นแบบไหนซึ่งต้องชัด คนเข้ามาจะมีประสบการณ์ยังไง เราทำแบบห้องให้ชัดเจน แล้วเรนเดอร์เป็นวิดีโอไว้เลย เพื่อให้คนทำงานต่อหรือหุ้นส่วนเราเห็นภาพที่ชัดขึ้น”  

ห้องพักไฮไลต์หลักจึงคือห้อง Kitsch โดยได้แรงบันดาลใจจากภาพยนตร์เรื่อง The Queen’s Gambit จากฉากที่ตัวเอกอาศัยที่บ้านสไตล์วินเทจของญาติ และยังใส่กิมมิกสนุกๆ ในห้องพักเพิ่มเติมด้วยเค้กยักษ์สำหรับโอกาสพิเศษที่แขกอยากจัดปาร์ตี้วันเกิด  

ส่วนโซนล็อบบี้ของโรงแรมก็มีองค์ประกอบสุดแฟนตาซีแสนประหลาดอย่างแมวยักษ์ โซนเคาน์เตอร์สีพาลเทล ประตูลิฟต์วิเศษที่พร้อมพาไปแวะดูความมหัศจรรย์ของห้องพักแต่ละชั้น ซึ่งองค์ประกอบทั้งหมดนี้เล่าเรื่องได้อย่างชัดเจนว่า Kitsch ในนิยามของลูกศรและอั้มมีกลิ่นอายวินเทจจากความชอบในของสะสมและหนังที่เสพ  

หลังจากอั้มออกแบบดีไซน์ของแต่ละห้องใน SketchUp เสร็จเรียบร้อย ทีมก็จะวิ่งหาของตกแต่งที่ถูกใจในสเปกและราคา รายละเอียดบางอย่างที่สั่งทำพิเศษอย่างหมียักษ์ แมวยักษ์ ก็กระจายซัพพลายเออร์ผู้ผลิตตามความถนัดของแต่ละเจ้า ส่วนลูกศรเองที่เป็นคนใส่ใจรายละเอียดมากๆ ถึงขั้นลงมือทำวอลเปเปอร์ผนังบางส่วนด้วยตัวเองและขนของสะสมวินเทจกระจุกกระจิกที่ชอบมาซ่อนไว้ในทุกมุมของโรงแรม

“เฟอร์นิเจอร์บางอย่างในโรงแรมนี้ได้มาจากของที่ปะป๊าของศรเก็บสะสมไว้นานแล้วหรือว่าเป็นของศรเองที่เก็บสะสมมา อย่างพื้นไม้ตาม corridor เป็นไม้จริง ซึ่งเป็นของมีค่าที่ไปรื้อจากโรงแรมเก่ามาแล้วเราเอากลับมาทำให้มีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง หรือกระจกไม้สักตามห้องพักก็เป็นของเก่าที่เราเอามาตกแต่งใหม่ ทาสีใหม่ ชุบชีวิตมันให้เกิดใหม่ขึ้นได้อีกครั้งหนึ่ง”  

รวมแล้วโรงแรมแห่งนี้มีของตกแต่งเกิน 100 ชิ้น กัดไม่ปล่อยกับทุกองค์ประกอบ ตั้งแต่ปลอกหมอนที่มีสีและดีไซน์ตามคอนเซปต์ของห้องนั้น กระเบื้องห้องน้ำที่เลือกสีไม่ซ้ำกันในแต่ละห้อง ชุด bathrobe ที่ออกแบบอย่างตั้งใจสำหรับโรงแรมนี้โดยเฉพาะเพราะอยากให้ทุกห้องพิเศษและเล่าเรื่องความเป็น Kitsch ได้จริงๆ

Magic Concept of Hotel Room

กว่าจะเสกคอนเซปต์ของแต่ละห้องจนประกอบร่างเป็นโรงแรมมหัศจรรย์แห่งนี้ไม่ง่าย ลูกศรและอั้มเล่าให้เราฟังถึงเบื้องหลังโลกแฟนตาซีของแต่ละห้องซึ่งมีที่มาที่ไปไม่ธรรมดา

ห้อง Teddy เป็นหนึ่งในห้องที่มีคนจองตลอดและขายดีที่สุดรองจากห้อง Kitsch จากแรงบันดาลใจในหนังเรื่อง Moonrise Kingdom ผสมกับความชอบในเมืองโยเซมิตี (Yosemite) ที่อเมริกาซึ่งเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยคาแร็กเตอร์หมี ทำให้ห้องนี้มีจุดเด่นคือโซฟาหมียักษ์ วอลเปเปอร์ที่จำลองเหมือนอยู่กลางภูเขาและกลิ่นอายเหมือนอยู่ในหนังผจญภัยของ Wes Anderson

แต่ถ้าคิดว่าห้อง Teddy เป็นห้องที่สุดโต่งที่สุดแล้ว คุณอาจคิดผิด เพราะมีห้องที่ลูกศรและอั้มบอกว่าเบื้องหลังมีความสุดโต่งในการตกแต่งที่เปลี่ยนไอเดียกลับไปกลับมาหลายรอบมากที่สุดคือห้อง Apple ที่ได้แรงบันดาลใจจากรูปวาดของ René Magritte ซึ่งเป็นภาพผู้ชายและมีแอปเปิลลอยบนท้องฟ้า ห้องนี้มีการตกแต่งแบบเซอร์เรียลที่ใส่ความสนุกสดใสแบบยุค 60s เข้าไป คุมโทนด้วยภาพวาดแอปเปิล หมอนอิงแอปเปิล นาฬิกาทรงแอปเปิล และโคมไฟแอปเปิลลอยอยู่บนฟ้าที่ติดกระจกด้านล่างสำหรับให้เงยหน้าขึ้นมาเซลฟี่ได้ 

อีกหนึ่งห้องที่ลูกศรแนะนำเป็นพิเศษคือห้อง Suite สำหรับพัก 4 คนชื่อ New Romance ที่เพนต์ลายดอกไม้บนวอลเปเปอร์ด้วยมือทั้งหมด ให้ความรู้สึกเหมือนได้นอนอยู่ท่ามกลางสวนดอกไม้ มีบรรยากาศโรแมนติกอบอุ่นซึ่งได้แรงบันดาลใจจากศิลปะแนวอาร์ตนูโว ความพิเศษของห้องนี้คือทั้งคู่ตั้งต้นไอเดียการตกแต่งจากเฟอร์นิเจอร์ที่สะสมเอง แล้วสร้างห้องให้เฟอร์นิเจอร์อยู่พร้อมติดม่านซุ้มที่ทำให้รู้สึกเหมือนเป็นเจ้าหญิงสุดพิเศษในห้องแสนหวาน 

ถ้าใครมาคนเดียวและอยากได้ห้องที่เป็นลายดอกไม้ อีกห้องที่แนะนำคือ Floral Oasis ที่จิ๋วแต่แจ๋ว ถึงจะเป็นห้องที่เล็กที่สุดแต่มีวิวสุดพิเศษซึ่งมองเห็นหน้าต่างคืออาคารโบราณของแบงก์สยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ และเตียงซุ้มขนาดเล็กแต่อบอุ่นที่ล้อมรอบด้วยการตกแต่งในธีมดอกไม้และผีเสื้อ

สำหรับสาวๆ ที่นี่ยังมีอีกหลายห้องที่มีความหวานแบบวินเทจในรูปแบบที่ต่างกัน อย่างห้อง Candy Cottage ที่ได้แรงบันดาลใจจากห้องคุณยายในยุค 70s รวมของใช้กุ๊กกิ๊กสไตล์ที่คุณยายชอบมาตกแต่งห้อง เช่น เซตถ้วยน้ำชา ไหมพรมที่ยังถักไม่เสร็จ และยังมีห้องที่ได้แรงบันดาลใจจากหนังเรื่อง The Virgin Suicides ของ Sofia Coppola ที่ทำเลียนแบบห้องพักของบ้านสไตล์อเมริกันในบรรยากาศชวนฝันหวาน 

ลูกศรบอกว่าถ้าเธอมีโอกาสชวนเพื่อนสาวมาจัดปาร์ตี้นอนพักค้างคืนด้วยกัน อยากชวนเพื่อนๆ มาพักห้องที่มีความ girly มากที่สุดคือ Pink Pavillion ที่ทุกอย่างเป็นสีชมพู มีโซนอ่างอาบน้ำใจกลางห้องที่ใหญ่ที่สุดเหมาะกับ hen night party สุดๆ ซึ่งมาจากความตั้งใจที่อยากจำลองห้องนั่งเล่นในยุค 80s ที่มีกลิ่นอายของมาดอนน่าและบาร์บี้ผสมกัน 

สำหรับสุภาพบุรุษ โรงแรมนี้ก็มีห้องที่หากผู้ชายมานอนแล้วจะไม่รู้สึกเขินจนเกินไปเช่นกัน ซึ่งอั้มบอกว่าถ้าชวนเพื่อนมานอนค้างด้วยกันที่นี่ อยากจอง 2 ห้องติดกันคือห้อง Hideout Cabin กับ Urban Jungle

คอนเซปต์ของห้อง Hideout Cabin นั้นตรงตามชื่อคือคล้ายห้องใต้หลังคาหรือห้องใต้บันไดที่จำลองโลกส่วนตัวของเด็กผู้ชาย ของตกแต่งในห้องเต็มไปด้วยของเล่นและของใช้สไตล์ผู้ชายขี้เล่นที่ยังสนุกกับวัยเด็ก มีโคมไฟที่เล่นแสงสีได้สำหรับเปิดในห้องนอนตอนกลางคืน ส่วนห้อง Urban Jungle จะโมเดิร์นและเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาในธีม Jungle ตกแต่งด้วยบรรยากาศซาฟารี มีองค์ประกอบที่สื่อถึงบรรยากาศเขียวขจีและของตกแต่งเป็นสิงสาราสัตว์ต่างๆ 

หากใครเป็นสายเสพศิลป์ก็มีห้องที่ได้แรงบันดาลใจจากศิลปะอย่างห้อง Fusion Pop ที่คิดคอนเซปต์ห้องจากผลงานศิลปะของ David Hockney และห้อง Color Block สไตล์สแกนดิเนเวียน ที่ตกแต่งแบบ mid-century เล่นคู่สีป๊อปสดใสแบบไม่ฉูดฉาดจนเกินไปควบคู่กับการใช้วัสดุไม้ และประดับผนังด้วยศิลปะแอ็กสแตรกท์

แต่ถ้าใครกำลังมองหาห้องที่มีความคลาสสิกแบบเรียบง่าย Kitsch Hotel ก็ยังตอบโจทย์ด้วยห้อง Blanc Chateau ที่จำลองห้องชนบทในปารีส คุมโทนห้องด้วยสีขาวและเตาผิงจำลองที่ทำให้รู้สึกเหมือนมาพักผ่อนในประเทศที่อากาศหนาวมาก แม้ความจริงแล้วจะพักอยู่ที่โรงแรมใจกลางราชเทวีก็ตาม

Unique Hotel Proposition 

unique selling proposition หรือสิ่งที่ทำให้โรงแรมของลูกศรและอั้มแตกต่างจากคู่แข่งจึงเป็นคอนเซปต์ดีไซน์ และการที่ทั้งคู่ไม่มีประสบการณ์ตรงในอุตสาหกรรมนี้กลับกลายเป็นข้อได้เปรียบที่ทำให้มองการทำธุรกิจโรงแรมแบบนอกกรอบ

“มันอาจเป็นข้อดีของศรกับพี่อั้มที่เราไม่ได้อยู่ในวงการโรงแรมมาก่อน เราเลยไม่ได้สู้ด้วยท่าของธุรกิจโรงแรม พอเรามี know-how เรื่องการทำแบรนด์แฟชั่นเราก็จะทำธุรกิจด้วยโมเดลที่คล้ายแบรนด์แฟชั่นแต่อยู่ในรูปแบบโรงแรมแค่นั้นเอง” ลูกศรกล่าว

คอนเซปต์ของ Kitsch Hotel จึงเป็นโรงแรมบูทีกที่แตกต่างจากโรงแรมสไตล์ดั้งเดิมในย่านใกล้เคียง ดังที่อั้มอธิบาย “ถนนเพชรบุรีเส้นนี้มีโรงแรมเกิน 20 โรงแรม เป็นถนนเส้นโรงแรมเลยเพราะเดินทางสะดวก ใกล้สยาม ใกล้เซ็นทรัลเวิลด์ ใกล้ประตูน้ำ แต่เราจะทำยังไงให้โรงแรมเราโดดเด่นขึ้นมา ถ้าเราไปสู้กับโรงแรมอื่นๆ ด้วยการตกแต่งที่กลางๆ เราก็คงเป็นเพียงหนึ่งในตัวเลือก แต่ถ้าเราทำโรงแรมให้ยูนีกไปเลย เราจะกลายเป็น destination 

“ถ้าเราทำโรงแรมธรรมดา เราจะต้องสู่สงครามราคาซึ่งโหดมาก โรงแรมดังๆ ตอนนี้เวลาลดราคาราคาจะลงไปกว่า 50% เราไม่มีทางสู้เขาได้ วิธีการของเราคือสู้คนละตลาดเลย หาตลาดที่คิดว่ากลุ่มลูกค้าไม่ดูราคาและต้องการประสบการณ์ เพราะฉะนั้นในถนนเส้นนี้เลยไม่มีใครเป็นคู่แข่งโดยตรงกับเรา แต่จะมีคู่แข่งทางอ้อมคือโรงแรมทั่วไปที่มีราคาเบาสบายหรือมีสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์

“ผมเลยมองว่าการทำให้โรงแรมยูนีกไปเลยไม่ใช่ทางเลือกนะ แต่เป็นทางรอดเดียวจริงๆ ของการทำธุรกิจนี้ เพราะถ้าเราไม่แตกต่างมันยากมากๆ ที่จะรอดได้ในถนนเส้นนี้ที่เป็น red ocean ถ้าไม่ทำแบบนี้ผมคิดกลยุทธ์ไม่ออกจริงๆ ว่าจะทำยังไงให้คนอยากมา”

ช่วงแรกอั้มเล่าว่าทั้งคู่นำไอเดียการออกแบบโรงแรมที่แต่ละห้องตกแต่งไม่เหมือนกันเลยไปปรึกษานักลงทุนที่ทำโรงแรมอยู่แล้ว ปรากฏว่านักลงทุนไปไม่เป็นเพราะไม่เคยเจอโรงแรมที่มีดีไซน์หนึ่งแบบแค่ 1-2 ห้อง ในขณะที่โรงแรมส่วนใหญ่จะมีแค่หนึ่งดีไซน์ที่ใช้ซ้ำไป 10-20 ห้อง

“พอเขาเห็นแบบห้องที่เราเอาไปเล่าให้ฟัง เรามองแล้วรู้เลยว่าเขามองเราด้วยสายตาเป็นห่วง เห็นใจเราว่าเหนื่อยแน่”

ในมุมของอั้มถ้าคนเป็นห่วงแปลว่าเป็นสัญญาณที่ดี “ถ้าสังเกตงานของพวกเรา ผมจะเลือกทางยากหมด ไม่ได้กลัวความยาก เพราะความจริงมันเป็นหน้าที่ของคนสายอาร์ตหรือนักธุรกิจในการทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ ผมมองว่าถ้าเราไปถามคนที่ชำนาญแล้วหน้าตาเขาไม่เป็นห่วงเรา อันนี้ผมไม่ทำ ถ้าเขาบอกว่าแบบนี้ดี ผมไม่ทำ เพราะถ้าคนอื่นฟังไอเดียแล้วคิดว่าอันนี้ดี ทำง่าย ทุกคนก็ทำได้ แต่ถ้าเขารู้สึกว่าเป็นห่วงเรา นั่นแหละเราถึงต้องทำ เพราะถ้าทำแล้วสำเร็จคนอื่นจะทำตามเรายาก” 

ด้วยหัวใจของแบรนด์ที่ยึดความแตกต่าง ทั้งคู่บอกว่าในอนาคตหากมีโอกาสก็ไม่อยากหยุดแค่การทำโรงแรม แต่อยากต่อยอดสู่หมวดธุรกิจอื่นๆ ที่เชื่อมโยงกับประสบการณ์ผู้เข้าพัก เช่น Kitsch Home ขายของแต่งบ้านที่ออกแบบสำหรับใช้ในโรงแรมโดยเฉพาะ อย่างชุด bathrobe จาน ปลอกหมอน โคมไฟ โปสต์การ์ด ซึ่งอั้มมองว่าหากแขกที่มาพักอินกับประสบการณ์ที่ได้รับจากโรงแรม ก็น่าจะเกิดความประทับใจจนอยากซื้อของสุดพิเศษเหล่านี้กลับบ้าน

“ตอนผมทำงานวงการโฆษณาจะชอบมีการประกวดแคมเปญสร้างสรรค์ซึ่งจะมีหลายหมวด หมวดที่ผมชอบทำคือหมวด Direct หมายถึงโฆษณาที่ขายตรงสู่ผู้ซื้อเลย จะทำยังไงให้คนเห็นปุ๊บแล้วอยากซื้อเลย ผมเป็นพ่อค้าเลยชอบวิเคราะห์ผู้ซื้อ โรงแรมที่นี่ก็เหมือนกัน คือถ้าคนที่มาได้ลองนอนด้วยตัวเอง แล้วชอบปลอกหมอน มีชุด rope ที่ใส่แล้วรู้สึกว่าดูดี มันก็เป็นการโฆษณาตัวสุดท้าย”

คำว่าโฆษณาตัวสุดท้ายของอั้มหมายถึงการขายตรงที่ลูกค้าได้สัมผัสจริงกับตัว ได้เห็นกับตา จนเกิดความประทับใจจนอยากซื้อ ณ โมเมนต์นั้น 

สร้างโรงแรมมหัศจรรย์แบบไม่เพ้อฝัน

ในขณะที่ลูกศรเรียนจบแฟชั่นดีไซน์ ส่วนอั้มเคยทำงานสายครีเอทีฟในเอเจนซีโฆษณาทำให้ถนัดสร้างคอนเซปต์ดีไซน์ที่โดดเด่น แต่ทั้งคู่ก็บอกว่าไอเดียโรงแรมที่มีความแฟนตาซีอย่าง Kitsch Hotel จะสำเร็จไม่ได้เลยถ้าไม่มีหุ้นส่วนอีก 6 คนที่มีความถนัดในเชิงธุรกิจ โดยเฉพาะหนึ่งในหุ้นส่วนที่มีธุรกิจครอบครัวด้านโรงแรม ซึ่งทำให้ได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญที่ช่วยเติมเต็มความรู้ให้ลูกศรกับอั้มที่ไม่เคยมีประสบการณ์การทำธุรกิจโรงแรมมาก่อนเลย

“ถ้าให้ผมทำกับลูกศรนะ ราวแขวนเสื้อคงไม่มี คงเอาตู้เย็นออกหมด” อั้มพูดติดตลกและเล่าต่อว่ามีหลายสิ่งที่คนวงการสร้างสรรค์นึกไม่ถึงในการทำโรงแรมและต้องเป็นคนในวงการที่มีประสบการณ์เท่านั้นถึงจะรู้ ส่วนใหญ่มักเป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ด้านฟังก์ชั่น” 

ตัวอย่างเช่น การวางโพซิชั่นของแบรนด์ว่าอยากเป็นโรงแรมกี่ดาวจะส่งผลต่อการเลือกเช็กลิสต์สิ่งอำนวยความสะดวกในห้องพักว่าควรมีอะไรบ้าง รวมถึงเกร็ดน่ารู้บางอย่างที่คนนอกวงการไม่รู้ อย่างตู้เซฟในห้องพักไม่ได้มีไว้เพื่อคุ้มครองลูกค้าเท่านั้น แต่ยังมีจุดประสงค์แฝงสำคัญคือเพื่อปกป้องสิทธิพื้นฐานของทางโรงแรมด้วยเช่นกัน ในแง่ว่าโรงแรมมีสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อความปลอดภัยให้ลูกค้าเลือกใช้แล้ว 

การออกแบบวอลเปเปอร์ติดผนังโรงแรมด้วยตัวเองก็ไม่ใช่เหตุผลแค่ความสวยงามและสร้างอัตลักษณ์แบรนด์เท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องการซ่อมแซมบำรุงรักษา เพราะการใช้วอลเปเปอร์สำเร็จรูปที่มีอยู่แล้วตามร้านต่างๆ หากวันหนึ่งวอลเปเปอร์เกิดฉีกขาดแล้วรุ่นที่ใช้อยู่ขาดตลาด ก็อาจหารุ่นเดิมไม่ได้อีกและกลายเป็นต้องเปลี่ยนวอลเปเปอร์ใหม่หมดทั้งผนัง

หลายไอเดียที่หวือหวาหรือแฟนตาซี เมื่อลงมือทำจริงก็ไม่ได้ยึดติดกับไอเดียแรกทั้งหมด แต่ถูกปรับหรือยกเลิกไปบ้างด้วยเหตุผลทางธุรกิจ เช่น ไอเดียสร้างเต็นท์ในห้องพักซึ่งจำลองบรรยากาศกางเต็นท์ในสวนหลังบ้าน หรือธีมหลุดโลกแนวอวกาศที่ต้องตัดทิ้งไปเพราะข้อจำกัดด้านงบประมาณ โดยสุดท้ายจะมีการโหวตไอเดียจากหุ้นส่วนทุกคนเพื่อเลือกห้องที่เชื่อว่าจะขายได้ และมีโอกาสเป็นที่ชื่นชอบของลูกค้ามากที่สุด มากกว่าการเลือกจากห้องที่สร้างสรรค์ที่สุดเพียงอย่างเดียว

พูดได้ว่าถึงแม้จะมีความกล้าในการทำโรงแรมที่แตกต่าง แต่สูตรการทำธุรกิจให้สำเร็จสำหรับอั้มก็ต้องไม่ทิ้งเรื่องการเงินด้วย และหนึ่งในเรื่องที่สำคัญที่สุดคือการคำนวณความคุ้มค่าในการคืนทุน 

“ถ้าทำธุรกิจร้านอาหาร เราอาจไม่จำเป็นต้องเป็นพ่อครัวที่เก่งที่สุดแต่เราต้องทำธุรกิจร้านอาหารที่ดีที่สุด หมายความว่าเราทำอาหารให้อร่อยที่สุดในต้นทุนที่เหมาะสมที่สุด เหมือนกัน ถ้าเราทำธุรกิจเสื้อผ้า เราอาจไม่ใช่สุดยอดดีไซเนอร์แต่เราทำเสื้อผ้าให้สวยที่สุดในราคาที่ลูกค้าจะซื้อได้มากที่สุด โรงแรมก็เหมือนกัน ทำให้สวยที่สุดในราคาที่อยู่ได้ ในต้นทุนที่ถูกจำกัดหรือถูกวางไว้แล้ว ผมไม่ใช่อินทีเรียร์ดีไซเนอร์ ผมเป็นผู้ประกอบการ มุมมองของเราจึงมองว่าจะทำยังไงให้คุ้มที่สุดสำหรับคนพัก”

สร้างบ้านด้วยอิฐ 

เมื่อถามถึงห้องที่ท้าทายที่สุดในการออกแบบและตกแต่ง Kitsch Hotel ทั้งลูกศรและอั้มมองตรงกันว่าความท้าทายคือการแปลงโฉมทุกห้อง อั้มเผยด้วยน้ำเสียงขำๆ ว่า “ผมว่าความท้าทายคือทั้งโรงแรมนี่แหละ น่าจะท้าทายทั้งหมด มันคือมวลรวม เพราะเราเปลี่ยนทุกห้องเลย”

และเมื่อถามว่าห้องไหนใน Kitsch Hotel ที่มีการตกแต่งที่สะท้อนเรื่องราวการเป็นนักธุรกิจขอทั้งคู่มากที่สุด ทั้งคู่ตอบตรงกันอีกเหมือนเดิมว่า สิ่งที่สะท้อนตัวตนที่สุดคือทั้งโรงแรม และไม่ขอเลือกห้องไหนเป็นพิเศษ 

ในมุมของลูกศร เพราะการใส่ใจรายละเอียดทุกจุดในทุกห้องทำให้รู้สึก “touch กับทั้งโรงแรมเลย” ส่วนอั้มที่เป็นครีเอทีฟและนักสร้างแบรนด์มืออาชีพก็มองว่า “นักทำแบรนดิ้งไม่มีแบรนดิ้งของตัวเอง ที่โรงแรมนี้เราสามารถสร้างแบรนดิ้งให้อะไรก็ได้ แม้กระทั่งห้องแต่ละห้อง” นั่นคือพลังของการเข้าใจแบรนด์อย่างลึกซึ้งที่ไม่ผูกแบรนด์ติดกับตัวตน 

ทั้งคู่ยังเปรียบเส้นทางการทำธุรกิจของตนเองคล้ายกับนิทานลูกหมูสามตัวที่มีข้อคิดสอนใจคือการสร้างบ้านจากวัสดุที่แข็งแรงที่สุดจะทำให้บ้านอยู่ได้นานและไม่พังง่ายๆ เหมือนหลักคิดในการทำธุรกิจที่ลูกศรบอกว่าอยากทำในสิ่งที่ยืนระยะ ไม่ใช่แค่ตามกระแส

“เรา 2 คนจะคุยกันตลอดว่าตอนนี้เราสร้างบ้านด้วยอิฐกันหรือเปล่า หรือเราสร้างบ้านด้วยฟางหรือไม้ ถ้าเราเลือกทำธุรกิจที่มาเร็วไปเร็วหรือธุรกิจที่ trendy มากๆ มันไม่จำเป็นต้องเป็นเรา 2 คนก็ได้ ใครทำก็ได้ เราเลยเลือกทำธุรกิจที่ไม่มีใครทำได้ แต่เรานี่แหละทำได้ พยายามทำสิ่งที่พิเศษจริงๆ ไม่ใช่แค่ดึงส่วนแบ่งทางการตลาดจากคนอื่น เราอยากเป็นหนึ่งใน player แรกที่ลุกขึ้นมาทำสิ่งนี้”

หากย้อนกลับไปราวสิบปีก่อน ร้านมัลติแบรนด์สไตล์เอกลักษณ์อย่าง Daddy and the muscle academy และ Frank Garcon ที่ตั้งใจเชิดชูนัดวาดภาพประกอบไทยและดีไซเนอร์ไทยให้ได้โชว์ผลงานและวางขายที่ร้านยังไม่เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายในไทยมากนัก เช่นเดียวกับร้านอาหารใต้ที่ตกแต่งน่ารักคล้ายคาเฟ่อย่าง ‘ปากนัง’ ก็ยังไม่ค่อยมีใครลุกขึ้นมาทำในรูปแบบนี้เช่นกัน

การสร้างธุรกิจในแบบของอั้มและลูกศรจึงเป็นการสร้างรากฐานด้วยอิฐอย่างมั่นคง ไม่ใช่แค่โรงแรมน่ารักๆ ที่หวังให้คนมาถ่ายรูปตามเทรนด์ แต่อยากเป็นโรงแรมคอนเซปต์ดีที่เป็นธุรกิจอันยั่งยืน 

“ศรเคยบอกพี่อั้มว่าจริงๆ แล้วอินเนอร์ของศรคืออยากให้ประเทศไทยมีของดี อยากให้กรุงเทพฯ มีของดี แต่เราไม่ได้มีศักยภาพที่จะไปเป็นรัฐมนตรี เราไม่ได้เรียนรัฐศาสตร์ ก็เลยใช้ศักยภาพในตัวเราที่คิดว่าทำให้ไปไกลที่สุดได้ ทำสิ่งที่เป็นหน้าตาของประเทศเรา ก็เลยพยายามผลักดันธุรกิจที่มีให้เป็น destination ของนักท่องเที่ยว”

“เป้าหมายของพวกผมคือไม่ได้อยากรวยมาก แต่อยากสร้างสิ่งพิเศษ ผมมีความเชื่อว่าคนไทยมีศักยภาพ เวลาเราไปต่างประเทศ ไปเกาหลีหรือญี่ปุ่น เรารู้สึกว่างานคนไทยไม่ได้แพ้ใครเลย เราทำโรงแรมเพื่อให้คนเห็นว่าเมืองไทยก็มี concept hotel ได้ ทำให้อาร์ตเข้าใกล้คนมากขึ้นได้ เรามองว่าอยากลงทุนในแบบที่ได้ความภูมิใจกลับมาด้วยว่าเราทำสิ่งที่พิเศษ อย่างน้อยก็ต่อใจเรา และเป็นการส่งต่อให้คนอื่นที่มาพักได้แรงบันดาลใจในการทำสิ่งที่พิเศษกลับไป ผมคิดว่าประเทศต้องการพลังที่ถูกส่งต่อแบบนั้น”