Born Again
โต้คลื่นกับ Grom อาร์ตทอยรีไซเคิลจากขยะตัวแรกของไทย ไอเดียรักษ์โลกจาก Reborn Studio
คิดว่าอาร์ตทอยในภาพด้านล่างนี้แตกต่างจากอาร์ตทอยตัวอื่นๆ ที่เคยเห็นยังไงบ้าง?

หากจะตอบว่ารูปร่างหน้าตาที่เป็นเด็กน้อยหัวหนวดหมึก ทำให้ดูไม่เหมือนใครก็คงไม่ผิดนัก แต่ความพิเศษอีกอย่างที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้าตาน่ารักนี้ คือเป็นอาร์ตทอยที่ทำมาจากขยะพลาสติกทางทะเลเกือบทั้งตัว
“เรียกว่าเป็นคาแร็กเตอร์แรกๆ ของประเทศไทยหรือของโลกเลยด้วยซ้ำที่รีไซเคิลมาจากขยะ”
จินต์ สถาพรสถิตย์สุข ชายเจ้าของคาแร็กเตอร์ดีไซน์นี้พูดกับเราด้วยท่าทีมั่นใจ เพราะในฐานะที่เขาเป็นทั้งนักสะสมอาร์ตทอยตัวยงและนักออกแบบคาแร็กเตอร์ที่เคยสร้างผลงานขึ้นชื่ออย่าง Nong Joong เด็กน้อยรูปร่างเหมือนกุ้งมังกร ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศในการประกวดแข่งขันมาสคอตภูเก็ตในปี 2562 พ่วงด้วยตำแหน่งเจ้าของ ThaiVetro แบรนด์เครื่องประดับงานคราฟต์จากวัสดุแก้ว
เมื่อพบว่าตลาดอาร์ตทอยยังไม่มีคาแร็กเตอร์หน้าตาแบบนี้มาก่อน รวมถึงยังไม่เจออาร์ตทอยที่รีไซเคิลจากขยะพลาสติกทางทะเล Grom และ Reborn Studio จึงเกิดขึ้น แต่อะไรทำให้ Grom เป็นมากกว่าอาร์ตทอยธรรมดา วิธีการทำธุรกิจสุดน่ารักที่ยืนหยัดเรื่องความยั่งยืนของเขาเป็นยังไง
คอลัมน์ In Good Company พร้อมพาไปโต้คลื่น ไขคำตอบไปพร้อมๆ กัน
โต้คลื่นลูกที่ 1
ชุบชีวิตขยะให้เป็นประโยชน์
แรกเริ่มเดิมทีจินต์เกิดและโตที่กรุงเทพ เขาได้ทำแบรนด์ ThaiVetro เป็นเครื่องประดับและของที่ระลึกงานคราฟต์ซึ่งทำมาจากแก้ว ก่อนจะเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในกรุงเทพ ทำให้ต้องย้ายถิ่นฐานไปตั้งโรงงานที่บ้านภรรยาแถวเขาหลัก จังหวัดพังงา
ในขณะที่ธุรกิจกำลังไปได้สวย จากการเจาะตลาดประเทศญี่ปุ่น ทำให้เขามีแผนจะขยายโรงงานไปที่ญี่ปุ่น พร้อมเปิดคาเฟ่ที่ขายของที่ระลึกซึ่งทำจากแก้วในย่านท่องเที่ยวไปด้วย แต่ดันเจอกับพิษของโควิด-19 ทำให้ต้องเปลี่ยนแผนมาเปิดคาเฟ่แถวชายหาดบางสัก จังหวัดพังงา



“เราเปิดคาเฟ่ชื่อ Garang Artisan Icecream ซึ่งอยู่ติดกับหาดสาธารณะ เป็นหาดเดียวเลยที่คนเข้าถึงได้โดยไม่ติดกับโรงแรมใหญ่ แล้วที่นี่ดังเรื่องเล่นเซิร์ฟมาก เราเลยเปิดร้านเซิร์ฟสเกตไปด้วย พอเราได้เล่นเซิร์ฟก็ได้ใกล้ชิดกับทะเลมากขึ้น แล้วก็ได้รู้ว่าปัญหาว่าขยะมันเยอะมาก
“เมื่อก่อนตอนเราอยู่กรุงเทพฯ ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร คิดว่าขยะทางทะเลเป็นเรื่องไกลตัว แต่พอได้มาอยู่ที่นี่ก็เห็นกับตาว่าขยะมันเต็มไปหมด ขนาดเราเล่นเซิร์ฟอยู่ขยะก็ลอยมาชนขา อะไรที่ย่อยสลายได้ก็จะจมไปที่ใต้น้ำ แต่ขยะพลาสติกทั้งหมดจะซัดเข้าฝั่ง โดยเฉพาะช่วงหน้ามรสุมซัดขยะเข้ามาเต็มหาดเลย”
จินต์จึงนำเรื่องนี้ไปคุยกับเพื่อนๆ ที่เล่นเซิร์ฟด้วยกัน ว่ามีอะไรที่พวกเขาจะทำได้บ้าง ซึ่งในกลุ่มนี้มีคนเปิดโรงงานทำเซิร์ฟบอร์ดอยู่ที่เขาหลัก ทำให้เขามีทักษะเกี่ยวกับการจัดการพลาสติกเรซิ่น ส่วนจินต์ก็มีความรู้ด้านการออกแบบคาแร็กเตอร์ตัวละคร


ประกอบกับช่วงนั้นกระแสอาร์ตทอยกำลังมาแรง แถมเป็นสินค้าที่ราคาดี น่าหยิบมาต่อยอดเป็นธุรกิจได้ จึงก่อตั้งเป็น Reborn Studio ขึ้นมา พร้อมเขียนคำอธิบายในเพจตัวโตๆ ว่าเป็น ‘สตูดิโอที่มุ่งมั่นนำเศษพลาสติก ขยะพลาสติกนำกลับมาให้เป็นสิ่งมีค่าอีกครั้ง ผ่านการออกแบบที่ดี เพื่อท้องทะเล และสิ่งแวดล้อม เพื่อความยั่งยืนของเรา’
“เราเลือกตั้งชื่อว่า Reborn เพื่อสื่อถึงการคืนชีพให้พลาสติกกลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง ผ่านการออกแบบที่ดี ในมุมมองของเรา การออกแบบที่ดีคือต้องตีโจทย์ให้ครอบคลุมหลายมิติ ยิ่งตอบโจทย์ได้เยอะยิ่งสร้างคุณค่าได้มาก อย่างการที่เราตัดสินใจออกแบบอาร์ตทอยก็ตอบโจทย์เรื่องความสวย และตอบโจทย์ฟังก์ชั่นการใช้งานที่ช่วยเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมได้แม้แต่เพียงเล็กน้อยก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย”
โต้คลื่นลูกที่ 2
ใส่เรื่องราวให้เหล่า Grom
ในช่วงออกแบบคาแร็กเตอร์อาร์ตทอย จินต์เริ่มจากการสำรวจว่าในพื้นที่ที่เขาอยู่มีเอกลักษณ์เด่นอะไรบ้าง ที่เห็นแน่ชัดคือเต่าทะเลเป็นสัตว์ตัวแรกที่คนมักนึกถึงเมื่อพูดถึงปัญหาทางทะเล อีกทั้งยังเป็นมาสคอตของจังหวัดพังงาด้วย แต่เขาคิดว่าถ้าหยิบมาเล่าซ้ำคนอาจไม่ได้จดจำและสนใจ จึงเลือกหยิบสัตว์ทะเลตัวใหม่ที่ยังไม่ค่อยมีใครหยิบมาเล่า


หมึกสาย หรือที่ชาวบ้านชอบเรียกกันว่าหมึกโวยวาย จึงเป็นผู้ถูกเลือก เพราะบริเวณหาดบางสักที่จินต์อาศัยอยู่เป็นบริเวณที่ชาวบ้านชอบหาหมึกโวยวายกัน
“เราเอาหนวดหมึกมาใช้ออกแบบเป็นผม เพราะเท่าที่ไปรีเสิร์ชดูยังไม่มีใครทำแบบนี้ ส่วนใหญ่จะเอาหนวดมาไว้ด้านล่างมากกว่า ก็เลยคิดว่ามันน่าสนใจและแปลกใหม่ดี แล้วเราก็สร้างสตอรีให้ว่าน้องโตมาพร้อมกับชาวมอแกน ชนเผ่าที่อยู่ในหมู่เกาะสุรินทร์ จังหวัดพังงา ซึ่งหมู่เกาะนี้ขึ้นชื่อเรื่องการเป็นแหล่งดำน้ำระดับโลก
“แต่เวลามีขยะทางทะเล พายุเข้า น้ำท่วม ชาวเกาะนี้ก็จะได้รับความเดือดร้อนมากกว่าคนอื่นๆ ที่อยู่ในเมือง เราก็อยากสื่อสารเรื่องนี้ไปด้วย แล้วก็สร้างนิสัยส่วนตัวว่า Grom เป็นเด็กที่ชอบเล่นเซิร์ฟ ชอบอยู่กับทะเล เลยชอบอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางทะเลไปด้วย”
ส่วนชื่อ Grom คนทั่วไปอาจจะไม่คุ้นหู แต่ถ้าพูดชื่อนี้ขึ้นมาหมู่คนเล่นเซิร์ฟจะร้องอ๋อทันที เพราะว่าเป็นคำสแลงจากภาษาออสเตรเลีย ที่ใช้เรียกเด็กอายุไม่เกิน 18 ปีที่เล่นเซิร์ฟเก่งๆ และยังเป็นชื่อเรียกการแข่งขันเซิร์ฟรุ่นเยาวชนอีกด้วย
โต้คลื่นลูกที่ 3
ของเล่นที่ไม่ได้มาเล่นๆ
ถ้าจะกล่าวว่าคาแร็กเตอร์ของ Grom ออกมาถูกที่ ถูกเวลาก็คงไม่ผิดนัก เพราะในช่วงแรกที่ตัวต้นแบบของ Grom ยังไม่เสร็จดี เขาก็ตัดสินใจส่งเข้าไปประกวดในงาน Wonder Festival Bangkok 2024 จัดขึ้นโดย Ignite บริษัทชื่อดังที่นำเข้าสินค้าลิขสิทธิ์จากต่างประเทศมาขายในไทย เช่น Gundam และ One Piece ซึ่งในตอนนั้น Ignite อยากได้คาแร็กเตอร์อาร์ตทอยของคนไทยพอดี

ด้วยหน้าตาที่โดดเด่นและคอนเซปต์รักษ์โลกที่ไม่เหมือนใคร ทำให้ Grom คว้ารางวัลป๊อปปูลาร์โหวตมาครอง และนั่นเป็นงานที่เปิดประตูให้คนได้รู้จักเจ้าอาร์ตทอยหัวหนวดหมึกมากยิ่งขึ้น
“เราไปตั้งบูทเล็กๆ ในงานนั้นด้วย เพราะตั้งใจไปทำความรู้จักลูกค้าว่าเขาชอบแบบไหน ตอนนี้ในตลาดสนใจอะไรกันอยู่ เราก็เห็นว่าตลาดนี้ใช้คำว่าบ้าคลั่งได้เลย มีคนยอมต่อคิวยาวมาก ยอมจ่ายเงินแพงๆ เป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูงมาก ยิ่งพอเราเล่าให้ลูกค้าฟังว่าอาร์ตทอยเรารีไซเคิลมาจากขยะพลาสติกในทะเล ยิ่งทำให้คนสนใจ เพราะยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน ตอนนั้นก็ขายดีมาก แล้วก็มีคนพรีออร์เดอร์จนทำแทบไม่ทันเลย”


ประโยคสุดท้ายที่จินต์พูดถึงดูเป็นข่าวดีในมุมของคนทำธุรกิจ แต่ก็เป็นปัญหาที่ทำให้เขาคิดหนักไม่น้อย เพราะด้วยความที่กระบวนการผลิตอาร์ตทอยรีไซเคิลค่อนข้างซับซ้อนและเพนต์มือเองทุกขั้นตอน
“ช่วงแรกเรารวบรวมขยะจากการที่เราและน้องพนักงานในคาเฟ่ไปเก็บขยะเองที่ริมชายหาด หลังจากนั้นก็ออกแคมเปญให้ลูกค้าเก็บฝาขวดน้ำพลาสติก 69 ฝามาแลกไอศครีมที่คาเฟ่ได้ 1 ลูก รวมถึงขอความร่วมมือโรงแรมและร้านอาหารต่างๆ ในจังหวัดพังงา ว่าถ้ามีขยะพลาสติกก็เก็บมาให้เรารีไซเคิลได้นะ ในเพจเรายังทำโครงการ #เก็บฝากับกรอม ปรากฏว่าคนสนใจเยอะมาก ส่งมาเป็นแสนฝาเลย เราเลยส่งของรางวัลตอบแทนเขา เพราะไม่อยากให้ใครส่งฝามาฟรีๆ”
ถึงแม้ Grom รุ่นแรกจะมีข้อจำกัดจากเทคนิคการนำพลาสติกมาทำเป็นอาร์ตทอย จึงใช้แค่ฝามารีไซเคิลและอาร์ตทอยหนึ่งตัวใส่ขยะไปได้เพียง 30% เท่านั้น แต่เขาและทีมก็ปรับการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการในตลาดที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ จนก่อเกิดเป็นความตั้งใจใหม่ว่าอยากให้ Grom เกิดจากขยะรีไซเคิล 100% และพยายามหยิบขยะทุกอย่างมารีไซเคิลให้ได้


“ทีมของเราคิดค้นวิธีว่าไม่ต้องเลือกแยกประเภทของขยะพลาสติกแล้ว เราใช้เป็นการบดโดยไม่ต้องใช้ความร้อนหลอมพลาสติกก่อน ทำให้เราเลือกใช้พลาสติกได้เยอะขึ้น หลากหลายมากขึ้น ทั้งขวดนมที่ใช้ในคาเฟ่ ถุงพลาสติก เรียกได้ว่าใช้ได้ทุกอย่างที่เป็นขยะเลยดีกว่า แม้แต่กากกาแฟเราก็นำมาบดแล้วใส่ลงไปในตัว Grom ด้วย ตัวนี้เราขายครั้งแรกในงาน Phangnga Coffee Journey 2025 ที่ทาง ททท.จัดขึ้นในจังหวัดพังงา แล้วก็ขายหมดตั้งแต่วันแรกเลย”
ปัจจุบัน Grom ทำมาจากขยะพลาสติกถึงประมาณ 90% และออกรุ่นล่าสุดที่ใช้พิมพ์ 3 มิติแบบใส เพื่อที่จะได้ใส่เศษพลาสติกและโชว์สีสันของพลาสติกมากขึ้น ซึ่งช่วยลดขั้นตอนการลงสี ทำให้สามารถผลิตได้ไวขึ้นและลดขยะได้มากขึ้น
โต้คลื่นลูกที่ 4
ตีตลาดใหญ่ผ่านการคอลแล็บ
ไม่เพียงแต่ไปออกงานแสดงสินค้าที่เกี่ยวกับอาร์ตทอย สิ่งแวดล้อม และการท่องเที่ยวที่ทำให้ Grom เป็นที่รู้จักเท่านั้น แต่จินต์ยังเลือกเปิดประตูบานใหม่ในตลาดที่ใหญ่กว่าเดิม ด้วยการคอลแล็บกับหน่วยงานและแบรนด์ต่างๆ

“เรามีคอลเลกชั่นพิเศษที่คอลแล็บกับ ททท.เพื่อโปรโมตแคมเปญเขาหลักเซิร์ฟทาวน์ ในช่วงโลว์ซีซั่นที่ฝนตก พายุเข้า คนจะไม่มาเที่ยวกัน แต่ช่วงนั้นเหมาะกับการมาโต้คลื่น ก็เลยทำอาร์ตทอยน้อง Grom ถือสเกตบอร์ดชวนคนมาเล่นเซิร์ฟ
“แล้วก็มี Grom x JaoMeuay มาสคอตแมวโคราชที่โด่งดังจากการทำกางเกงลายแมวออกมา เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าให้กับทางโคราช เราก็ออกมา 2 คอลเลกชั่น เป็นน้อง Grom ชวนแมวโคราชไปเที่ยวทะเล กับอีกอันคือน้อง Grom ใส่ชุดแมว”
อีกหนึ่งการคอลแล็บที่พา Grom ดังไกลถึงแดนมังกรคือคอลเลกชั่น Grom x Ignite Store ที่จินต์เลือกใช้สีส้ม-แดง ซึ่งเป็นทั้งสีประจำแบรนด์ของ Ignite Store และยังสื่อถึงสียามพระอาทิตย์ตกดินริมทะเล ตอกย้ำถึงการนำขยะในทะเลมารีไซเคิล รุ่นนี้ใช้ฝาพลาสติกประมาณ 40-100 ฝา ขึ้นอยู่กับแบบและขนาดตัว
จินต์เล่าว่าลูกค้าชาวจีนจะซื้อง่ายขายคล่อง แทบไม่ต้องถามราคา แค่ถูกใจก็ซื้อไปเก็บไว้เลย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่มีความคิดจะไปตั้งฐานการผลิตในจีน เพราะจะเป็นการรีไซเคิลขยะในจีนซะมากกว่า แทนที่จะเป็นการรีไซเคิลขยะในไทยตามที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่ต้น


ในอนาคตเขายังอยากหาวิธีการผลิตที่ทำให้สามารถผลิตได้มากขึ้น และขายได้ในราคาถูกลง เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มคนทั่วไปได้มากกว่านี้ รวมถึงยังมีไอเดียนำขยะพลาสติกมารีไซเคิลเป็นสินค้าประเภทอื่นๆ อีกด้วย
“เราเคยเอาขยะมาทำเป็นอิฐบล็อกซ่อมฟุตพาทที่ผุพัง ทำไปทำมาเราเห็นว่ามันช่วยลดปริมาณขยะได้เยอะกว่าทำอาร์ตทอยก็จริง แต่ราคามันได้ไม่คุ้มค่าแรงที่เสียไป เพราะฉะนั้นก็เลยอยากทำสินค้าที่มีราคาสูงหน่อย เพื่อจะได้มีกำไรไปทำสิ่งอื่นต่อแล้วดึงให้คนอื่นมามีส่วนร่วมเยอะขึ้น ทำให้เขาเห็นว่าโมเดลนี้มันเวิร์ก
“อย่างในตลาดเครื่องประดับที่เราทำแบรนด์ ThaiVetro ก็ใช้พลาสติกรีไซเคิลมาทำ แล้วส่งออกต่างประเทศ โดยเฉพาะที่ญี่ปุ่นเขาชอบมาก ทำให้ราคาเครื่องประดับนี้สูงกว่าเดิมขึ้นไป 5-6 เท่าเลย แล้วมันเป็นช่องว่างทางการตลาดด้วยที่ยังไม่ค่อยมีใครทำสิ่งนี้ พอคนเริ่มสนใจจำนวนการผลิตก็เยอะขึ้น ก็สามารถนำขยะมารีไซเคิลได้มากขึ้น”

ส่วนในอนาคตจินต์มีแผนจะเปิดร้านชาผลไม้ในชื่อ Grom Cha ที่เมืองเก่าภูเก็ต และอยากจัดนิทรรศการน้อง Grom ที่สตูดิโอของพวกเขา พร้อมเล่าเรื่องว่าขยะเกิดขึ้นได้ยังไง มีปัญหายังไงบ้าง เพราะหลังจากที่เขาเริ่มนำขยะมารีไซเคิล ก็รู้เลยว่าสิ่งที่ทำช่วยแก้ปัญหาได้น้อยมากๆ เพราะขยะมีเพิ่มทุกวัน และยังมีเยอะขึ้นเรื่อยๆ
แต่อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นการช่วยกันส่งเสียงให้ดังๆ ว่ามันเป็นปัญหาของเมือง เป็นที่เรื่องนโยบาย ซึ่งไม่สามารถแก้ได้ด้วยกำลังของคนคนเดียวหรือคนกลุ่มเดียวเท่านั้น แต่เป็นเรื่องที่ต้องช่วยกันทุกคน ทุกฝ่าย ถึงจะแก้ปัญหาเรื่องขยะได้อย่างแท้จริง

ถึงแม้จินต์จะทำธุรกิจเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหัวใจสำคัญที่ทำให้ Grom Arttoy เป็นที่รู้จักและขายดีจนทำแทบไม่ทัน ส่วนหนึ่งมาจากการผสมผสานงานศิลปะเข้ากับความตั้งใจที่อยากรีไซเคิลขยะได้อย่างลงตัว พร้อมสร้างสตอรีที่หยิบยกเอกลักษณ์ของบ้านเกิดมาเล่าเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวไปในตัว
อีกทั้งเขายังรีเสิร์ชตลาดอย่างจริงจัง และหาช่องว่างทางการตลาด เพื่อให้อาร์ตทอยของเขาโดดเด่นและแตกต่างไม่เหมือนใคร แถมยังพาตัวเองไปให้ลูกค้าได้รู้จักผ่านการประกวดและออกงานแสดงสินค้าต่างๆ ทำให้ทุกคนเห็นว่าธุรกิจที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมก็ทำออกมาให้น่ารัก เข้าถึงง่าย และสื่อสารถึงใจผู้คนได้