NITORI

Nitori จากร้านเล็กๆ ในซัปโปโรที่เกือบล้มละลาย สู่แบรนด์เฟอร์นิเจอร์อันดับ 1 ของญี่ปุ่น

แม้โควิด-19 จะผ่านไปแล้ว แต่ความชอบแต่งบ้านของผู้คนยังคงเป็นมรดกสำคัญที่ยังไม่จางหายไป ไม่แปลกใจหากแบรนด์ใหญ่จากญี่ปุ่นอย่าง NITORI จะเข้ามาช่วงชิงตลาดในไทย ทั้งยังโตเร็วคือขยายสาขากว่า 10 แห่งภายในระยะเวลาเพียง 2 ปีเท่านั้น

เรื่องน่าสนใจของ NITORI คือครั้งหนึ่งเคยเป็นเพียงแค่ร้านเล็กๆ ที่กำลังจะล้มละลาย แต่ด้วยความฉลาดของอากิโอะ นิโตริ (Akio Nitori) ในวัยเพียง 25 ปี ที่ต้องเข้ามารับช่วงต่อกิจการ จึงพลิกฟื้นธุรกิจและยืนหนึ่งในตลาดญี่ปุ่นได้ ชนิดที่ครั้งหนึ่งทำเอายักษ์ใหญ่จากสวีเดนอย่าง IKEA ต้องลาไปจากแดนอาทิตย์อุทัย ก่อนกลับมาใหม่เพื่อขอท้าชิงอีกรอบ

คอลัมน์ Biztory ตอนนี้จึงขอพาไปดูเบื้องหลังแบรนด์ที่เติบโตจากร้านเล็กๆ ในฮอกไกโด สู่แบรนด์เฟอร์นิเจอร์อันดับหนึ่งของญี่ปุ่น และมีสาขาทั่วโลกมากกว่า 1,000 แห่ง พร้อมตั้งเป้าขยาย 3,000 สาขาทั่วโลกในปี 2032

NITORI

หมอนอิง เก้าอี้ โต๊ะทำงาน แจกันดอกไม้ และสารพัดของแต่งบ้าน 

ทั้งหมดนี้เป็นสินค้าที่คุณเลือกสรรเพื่อสร้างพื้นที่อยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบได้จาก Nitori แบรนด์เฟอร์นิเจอร์จากญี่ปุ่นที่ครองใจผู้บริโภคมานานและสร้างแรงบันดาลใจให้การอยู่อาศัยกลายเป็นเรื่องง่าย 

จุดเด่นของ Nitori ไม่ใช่แค่การออกแบบที่สวยงาม หรือราคาที่เข้าถึงได้เท่านั้น แต่ยังมีเรื่องราวของความพยายามและวิสัยทัศน์ของชายผู้หนึ่งที่เชื่อว่า ‘รากฐานแห่งการใช้ชีวิต เริ่มต้นจากบ้านที่มั่นคง’

คอลัมน์ Biztory จะพาไปดูเบื้องหลังแบรนด์ที่เติบโตจากร้านเล็กๆ ในฮอกไกโด สู่แบรนด์เฟอร์นิเจอร์อันดับหนึ่งของญี่ปุ่น และมีสาขาทั่วโลกมากกว่า 1,000 แห่ง รวมถึงมีสาขาในไทยมากถึง 10 แห่งภายในระยะเวลา 2 ปี 

 จากร้านเล็กๆ สู่แบรนด์เฟอร์นิเจอร์อันดับ 1 ของญี่ปุ่น

ปี 1967 ณ เมืองซัปโปโร ประเทศญี่ปุ่น อากิโอะ นิโตริ (Akio Nitori) ในวัย 25 ปี รับช่วงต่อร้านเฟอร์นิเจอร์ที่ใกล้ล้มละลาย เขาไม่ได้มีเส้นทางชีวิตที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่ด้วยความมุ่งมั่นและการเรียนรู้ไม่หยุดยั้ง เขาค่อยๆ พลิกฟื้นร้านเฟอร์นิเจอร์เล็กๆ ให้กลายเป็น NITORI Corporation แบรนด์เฟอร์นิเจอร์อันดับหนึ่งของญี่ปุ่นในปัจจุบัน

อากิโอะ นิโตริ 

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 1972 เมื่อร้านที่ 2 ของเขาประสบปัญหาทางธุรกิจ แทนที่จะยอมแพ้ เขาเลือกออกเดินทางไปสัมมนาผู้ประกอบการในสหรัฐฯ ที่นั่น เขาพบว่าราคาเฟอร์นิเจอร์อเมริกันถูกกว่าญี่ปุ่นถึง 3 เท่า และมีดีไซน์ที่หลากหลายกว่า นั่นหมายความว่าคนญี่ปุ่นต้องจ่ายค่าเฟอร์นิเจอร์สูงเกินความจำเป็น ทำให้เขาเห็นช่องว่างของตลาดเฟอร์นิเจอร์ในญี่ปุ่นและโอกาสทางธุรกิจที่รออยู่ จึงมุ่งมั่นที่จะทำเฟอร์นิเจอร์ที่ราคาจับต้องได้และต้องมีคุณภาพดี 

Nitori Furniture Store แห่งแรก
Nitori Furniture Store แห่งแรก

หลังกลับจากสหรัฐฯ นิโตริเปลี่ยนแนวทางธุรกิจจากการมุ่งเพิ่มยอดขายเพียงอย่างเดียว มาเป็นการสร้างบ้านที่มีชีวิตชีวาโดยยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง เขานำแนวคิดที่ได้จากสหรัฐฯ มาปรับใช้ และกำหนดหลักสำคัญ 3 ประการให้กับผลิตภัณฑ์ของ Nitori ได้แก่ ความคุ้มค่า การจัดวางที่ลงตัว (coordination) และการแบ่งหมวดหมู่ตามฟังก์ชั่น ทั้งหมดนี้ทำให้ชื่อ Nitori กลายเป็นสัญลักษณ์ของการคิดนอกกรอบและความสำเร็จที่ยั่งยืน

ปัจจุบัน Nitori มีสาขากว่า 1,000 แห่งทั่วโลก ในญี่ปุ่นเพียงประเทศเดียวมีถึง 835 สาขา สะท้อนถึงความนิยมและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อแบรนด์ Nitori ไม่เพียงเป็นแบรนด์เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านที่ได้รับความนิยมสูงสุด แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของคุณภาพ ราคาที่เข้าถึงได้ และแนวคิด ‘ทำให้การใช้ชีวิตดีขึ้น’ (Make Your Room Better) ซึ่งตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี

ความสำเร็จของ Nitori ไม่ได้จำกัดแค่ในญี่ปุ่น แต่ยังขยายสู่ตลาดต่างประเทศ เช่น ไต้หวัน จีน และสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะในไต้หวัน ที่มีสาขามากกว่า 50 แห่งและเป็นหนึ่งในแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ที่ขายดีที่สุด แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของแบรนด์ญี่ปุ่นที่สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างแข็งแกร่ง และยังคงได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง

แบรนด์เฟอร์นิเจอร์แบบครบวงจร 

สินค้าของ Nitori แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือสินค้าที่วางจำหน่ายตลอดปี และสินค้าตามฤดูกาลที่เปลี่ยนไปตามเทรนด์และสภาพอากาศ แนวคิดนี้ช่วยให้ลูกค้าปรับเปลี่ยนบรรยากาศภายในบ้านได้ง่ายขึ้น  เช่น ปลอกหมอนคอลเลกชั่น Spring & Summer 2025 ที่มีสีสันและลวดลายสดใส เหมาะกับฤดูร้อน

Nitori ปลอกหมอนคอลเลกชั่น Spring & Summer 2025
Nitori ปลอกหมอนคอลเลกชั่น Spring & Summer 2025

Nitori ยังเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ของญี่ปุ่น โดยใช้แนวคิด TPOS (Time, Place, Occasion, Style) ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสหรัฐฯ เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์การใช้งานจริง เช่น ในตลาดญี่ปุ่นที่เฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่เป็นตู้เก็บของแบบดั้งเดิม Nitori ได้พัฒนาเตียงและโซฟาที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์สมัยใหม่ รวมถึงตู้ที่ตั้งตรงได้แม้ในยามเกิดแผ่นดินไหว และตู้ที่มีสารเคลือบผิวทนต่อรอยขีดข่วน เพื่อเพิ่มความคงทนในการใช้งาน

นอกจากเครื่องนอนหรือของใช้ในครัว Nitori ยังเป็นศูนย์รวมสินค้าสำหรับการแต่งบ้านแบบครบวงจร ตั้งแต่โต๊ะ ตู้ ผ้าม่าน ของใช้ในห้องน้ำ ของใช้สำหรับเด็ก ไปจนถึงอุปกรณ์จัดเก็บและของตกแต่ง จุดเด่นอยู่ที่การออกแบบสินค้าให้จับคู่กันได้อย่างลงตัว ทำให้ลูกค้าออกแบบพื้นที่อยู่อาศัยให้มีสไตล์และฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์

ผ้าคลุมสำหรับเด็ก 
ผ้าคลุมสำหรับเด็ก 

สินค้าของ Nitori ยังรองรับไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย เช่น เฟอร์นิเจอร์ขนาดกะทัดรัดสำหรับอพาร์ตเมนต์ในเมือง หรือโต๊ะและเก้าอี้ที่ออกแบบพิเศษสำหรับครอบครัวที่มีเด็กเล็ก นอกจากนี้ยังมีชุดเครื่องนอนที่ใช้เทคโนโลยีช่วยระบายอากาศในช่วงฤดูร้อน และผ้าม่านกันแสงที่ช่วยลดอุณหภูมิห้องเพื่อประหยัดพลังงาน

ในหมวดเครื่องครัวและอุปกรณ์ทำอาหาร Nitori มีสินค้าที่เหมาะทั้งสำหรับเชฟมืออาชีพและผู้ที่ทำอาหารง่ายๆ เช่น กระทะเคลือบหินอ่อน ชุดจานเซรามิก และเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็กอย่างหม้อหุงข้าวและหม้อทอดไร้น้ำมัน ส่วนสินค้าจัดเก็บ เช่น โต๊ะทำงานพร้อมลิ้นชักซ่อนเก็บของ หรือโซฟาแบบมีที่เก็บของใต้เบาะ ก็ได้รับความนิยมในหมู่ผู้ที่อาศัยในพื้นที่จำกัด

ด้วยแนวคิดแบบ one-stop home solution Nitori จึงเป็นแบรนด์ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการด้านการแต่งบ้าน ไม่ว่าจะเป็นคนที่เพิ่งย้ายเข้าบ้านใหม่ คนที่ต้องการรีโนเวตห้อง หรือแม้แต่เจ้าของธุรกิจที่ต้องการตกแต่งคาเฟ่หรือโฮมออฟฟิศ ความหลากหลายของสินค้าผสานกับราคาที่คุ้มค่า ทำให้ Nitori เป็นแบรนด์ที่ผู้บริโภคไว้วางใจเมื่อต้องการเปลี่ยนบ้านให้เป็นพื้นที่ที่สะดวกสบายและน่าอยู่มากขึ้น

กระทั่งยักษ์ใหญ่อย่าง IKEA ยังไม่สามารถชนะใจคนญี่ปุ่นได้เท่า Nitori

แม้ IKEA จะประสบความสำเร็จในหลายประเทศ แต่ในญี่ปุ่นกลับเจอกับอุปสรรคเฉพาะตัว เช่น พฤติกรรมการเดินทางของคนญี่ปุ่นที่พึ่งพารถไฟเป็นหลัก ทำให้การขนเฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่กลับบ้านเป็นเรื่องยุ่งยาก ขณะที่คอนเซปต์ DIY ของ IKEA ซึ่งให้ลูกค้าขนและประกอบเฟอร์นิเจอร์เองก็ไม่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์เท่าไหร่นัก

ตรงกันข้าม Nitori แบรนด์ญี่ปุ่นท้องถิ่นเข้าใจผู้บริโภคในประเทศอย่างลึกซึ้ง แม้จะใช้แนวคิด DIY เช่นกัน แต่ให้บริการจัดส่งสินค้าถึงบ้าน ตอบโจทย์มากกว่า นอกจากนี้เฟอร์นิเจอร์ของ IKEA ซึ่งออกแบบมาสำหรับบ้านในยุโรปที่กว้างขวาง มักไม่เหมาะกับพื้นที่จำกัดในบ้านญี่ปุ่น จนทำให้ IKEA ถูกมองว่าไม่เข้าใจตลาด และเคยต้องถอนตัวจากญี่ปุ่นในปี 1983 ก่อนจะกลับมาในปี 2006

ด้วยความเข้าใจตลาดท้องถิ่น ผสานกับกลยุทธ์ราคาที่เข้าถึงได้ Nitori จึงกลายเป็นคู่แข่งสำคัญของ IKEA ซึ่งแบรนด์ใช้ระบบ vertical integration ควบคุมทุกกระบวนการตั้งแต่การออกแบบ ผลิต จนถึงจำหน่ายกว่า 90% ของสินค้าทั้งหมด ทำให้ตั้งราคาถูกกว่า IKEA ได้ถึง 30-40% สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงยังมีคลังสินค้าอัตโนมัติของตัวเองหลายแห่งในญี่ปุ่น และมีระบบโลจิสติกส์ที่เชื่อมโยงกับหน้าร้านโดยตรง ทำให้จัดส่งสินค้าได้อย่างรวดเร็ว

Nitori ยังออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้เหมาะกับการขนส่ง เช่น การออกแบบกล่องบรรจุเฟอร์นิเจอร์ให้มีขนาดพอดีกับตู้คอนเทนเนอร์ เพื่อประหยัดค่าขนส่งระหว่างประเทศ และเพิ่มความปลอดภัยระหว่างการขนย้าย ทั้งหมดนี้ไม่เพียงแค่ช่วยให้ต้นทุนต่ำ แต่ยังเสริมสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ ‘คิดเอง ทำเอง เพื่อคุณภาพที่คุมได้’ ได้อย่างชัดเจน

อีกกลยุทธ์ที่ Nitori ใช้เพื่อแข่งขันกับ IKEA คือ การขยายไปสู่ธุรกิจใหม่ เช่น ร้านอาหารและคาเฟ่ในสาขาขนาดใหญ่ รวมถึงการนำเสนอสินค้าสำหรับสำนักงานและธุรกิจโรงแรม ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่ IKEA เริ่มให้ความสนใจเช่นกัน

ร้านอาหารแห่งแรกของ Nitori (ภาพจาก soranews24.com/2021/04/15/nitori-opens-its-first-ever-restaurant-in-japan)

บุกตลาดไทย

ในปี 2023 Nitori ได้เปิดสาขาแรกในประเทศไทยที่เซ็นทรัลเวิลด์ และขยายเพิ่มอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันมี 10 สาขา ในทำเลสำคัญ เช่น ไอคอนสยาม, เซ็นทรัลศรีราชา, ฟิวเจอร์พาร์ค และวัน แบงค็อก โดยมีแผนขยายสาขาเพิ่มเติมในอนาคต

Nitori สาขาเซ็นทรัลเวิลด์ แห่งแรกในไทย

การเข้ามาในตลาดไทยเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การขยายธุรกิจสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง Nitori ต้องแข่งขันกับแบรนด์เฟอร์นิเจอร์รายใหญ่มากมาย แต่จุดเด่นของ Nitori คือการนำเสนอสินค้าคุณภาพดีในราคาจับต้องได้ พร้อมดีไซน์ที่เหมาะกับการใช้ชีวิตของคนไทย ซึ่งมีพื้นที่อยู่อาศัยที่หลากหลายตั้งแต่อพาร์ตเมนต์ขนาดเล็กไปจนถึงบ้านเดี่ยว

Nitori ยังใช้กลยุทธ์การตลาดที่เน้นความครบวงจร ทำให้ลูกค้าเลือกซื้อทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับการตกแต่งบ้านในที่เดียว รวมถึงการให้บริการจัดส่งและประกอบเฟอร์นิเจอร์ที่สะดวกสบาย เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคไทยที่ต้องการความสะดวกและคุ้มค่า

ทั้งนี้ Nitori ในญี่ปุ่นมี store format ทั้งแบบ stand alone บริษัทซื้อที่ดินและสร้างเอง มีขนาดตั้งแต่ 4,500-6,000 ตารางเมตร และแบบเปิดในศูนย์การค้า ขนาด 1,500-2,000 ตารางเมตร ดังนั้นในการขยายสาขานอกญี่ปุ่น Nitori จะนำโมเดลสาขาเหล่านี้ไปปรับใช้กับตลาดประเทศนั้นๆ อย่างการเปิดสาขาในไทย จะเน้นเปิดในศูนย์การค้าก่อน เนื่องจากมี traffic คนเดินอยู่แล้ว

ไฮไลต์สำคัญของการขยายสาขาคือ Nitori ยังปรับสินค้าให้เข้ากับชีวิตประจำวันของผู้คนในแต่ละประเทศ โดยเฉพาะประเทศไทยที่มีทั้งสภาพอากาศ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตที่แตกต่างจากญี่ปุ่น Nitori ในไทยจึงเน้นนำเสนอสินค้าที่ช่วยให้บ้านเย็นและอยู่สบายขึ้น 

ไม่ว่าจะเป็น ผ้าห่มสัมผัสเย็น พัดลมไอเย็น หรือเครื่องนอนที่ระบายอากาศได้ดี นอกจากนี้ยังออกแบบสินค้าให้ตอบโจทย์พื้นที่จำกัดของที่อยู่อาศัยในเมือง เช่น เฟอร์นิเจอร์ขนาดกะทัดรัด พับเก็บได้ หรือมีหลายฟังก์ชั่นในชิ้นเดียว

ผ้านวม N COOL MOCHI N-S BL S ใช้เทคโนโลยี N COOL ช่วยให้รู้สึกเย็นสบายเมื่อสัมผัส
เหมาะสำหรับสภาพอากาศร้อนชื้นของประเทศไทย

ไม่เพียงแค่ฟังก์ชั่น Nitori ยังเข้าใจรสนิยมและการใช้งานของคนไทย โดยเลือกใช้โทนสี ดีไซน์ และวัสดุที่ถูกใจผู้บริโภคมากขึ้น เช่น เครื่องครัวที่เหมาะกับการทำอาหารไทย หรือราวตากผ้าที่พับเก็บได้ เหมาะกับคอนโดและอพาร์ตเมนต์ที่มีพื้นที่จำกัด แสดงให้เห็นว่า Nitori ไม่ได้เพียงแค่ขายสินค้า แต่กำลังออกแบบประสบการณ์การอยู่อาศัยให้สอดรับกับวิถีชีวิตในแต่ละประเทศได้อย่างแท้จริง

โซฟาเข้ามุมที่เหมาะกับพื้นที่จำกัด

 เป้าหมายใหญ่ 3,000 สาขาทั่วโลกในปี 2032

Nitori วางหมุดหมายครั้งสำคัญในการขยายสาขาทั่วโลกให้ครบ 3,000 แห่งภายในปี 2032 โดยโฟกัสที่ตลาดเอเชีย ทั้งจีน ไต้หวัน และประเทศไทย ควบคู่กับการรุกเข้าสู่ยุโรปและอเมริกาเหนือ เพื่อสร้างเครือข่ายระดับโลกและตอกย้ำจุดยืนในฐานะแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ชั้นนำ

ไม่เพียงแค่การเติบโตทางกายภาพ Nitori ยังเร่งขยายช่องทางออนไลน์ให้แข็งแรงควบคู่กัน พัฒนาแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซให้ตอบโจทย์ และลงทุนในบริการจัดส่งที่รวดเร็ว เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงสินค้าได้ง่ายขึ้นทุกที่ทุกเวลา กลยุทธ์ omnichannel นี้คือกุญแจสำคัญในการแข่งขันกับผู้เล่นระดับโลก 

การเติบโตในต่างประเทศย่อมมาพร้อมกับบททดสอบใหม่ๆ ตัวอย่างชัดเจนคือการทำตลาดในไทย ที่ต้องเผชิญการแข่งขันกับแบรนด์ที่มีชื่อเสียงมายาวนานอย่าง IKEA การสร้างความแตกต่างในด้านดีไซน์ ฟังก์ชั่น และราคาคือหัวใจสำคัญที่ Nitori ต้องเร่งสร้างการรับรู้และความผูกพันกับลูกค้าในพื้นที่นั้นๆ

ในระยะยาว Nitori เดินหน้าขยายสาขา ควบคู่กับการพัฒนาสินค้าที่ตอบโจทย์วัฒนธรรม การใช้ชีวิต และพื้นที่ของแต่ละประเทศอย่างลึกซึ้ง เป้าหมายไม่ใช่แค่การเป็นแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ที่รู้จักในระดับสากล แต่คือการเป็นส่วนหนึ่งของ ‘บ้าน’ ในความหมายที่แท้จริง ‘บ้าน’ สถานที่ที่ทุกคนเริ่มต้นวันใหม่อย่างสบายใจ และพักผ่อนอย่างเต็มที่เมื่อสิ้นวัน

และนั่นคือแก่นแท้ที่ Nitori ยึดถือมาตลอด 

การออกแบบเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ว่า ‘บ้าน’ ของคุณจะอยู่ที่มุมไหนของโลกก็ตาม

อ้างอิง

Writer

นักเขียนที่สนใจเรื่องธุรกิจ การตลาด และความเป็นไปในสังคม

You Might Also Like