ในงาน ‘ฐากูร ชาติสุทธิผล’ ผู้อำนวยการอาวุโส กลุ่มผลิตภัณฑ์ระบบจัดการร้านอาหาร FoodStory POS ของ LINE MAN Wongnai ยังเปิดฟีเจอร์ใหม่ เช่น Mobile Order ระบบสั่งอาหารผ่านการสแกน QR code ที่ส่งตรงถึงพนักงานในครัว ลดปัญหาการรับออร์เดอร์ผิดพลาดหรือตกหล่น Master Data ระบบรวมศูนย์จัดการข้อมูลจากหลายสาขา เข้าถึงข้อมูลร้านอาหารทุกสาขาได้ทุกที่ทุกเวลา
ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจในการเป็น ecosystem ร้านอาหารไทยของ LINE MAN Wongnai ที่ไม่เพียงช่วยให้ร้านอาหารไทยมีระบบการจัดการที่ดีขึ้น แต่ยังเป็นธุรกิจสำคัญที่เสริมแกร่งให้ LINE MAN Wongnai มีทั้งฐานข้อมูลและบริการสำหรับร้านอาหารที่ครบกว่า
ต่อจากนี้จึงน่าสนใจว่า จากเทรนด์ฟู้ดเดลิเวอรีที่กำลังหดตัว การเดินหน้ารุกธุรกิจ POS เต็มตัวของบริษัทจะทำให้ LINE MAN Wongnai เดินหน้าสู่ทิศทางไหนได้อีกบ้าง
อาจจะมีซีรีส์และหนังหลายเรื่องที่ใช้ปารีสเป็นฉากหลัง แต่คงต้องยอมรับว่าตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา ซีรีส์ที่ถ่ายทำในปารีสและถูกพูดถึงมากที่สุด และอาจยังต้องถือว่าเป็นซีรีส์ที่ทำให้คนอยากลัดฟ้าบินไปปารีสมากที่สุดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาคือ ออริจินัลซีรีส์จาก Netflix เรื่อง Emily in Paris
Emily in Paris พูดถึงเอมิลี่ นักการตลาดสาวจากอเมริกาที่ต้องย้ายมาประจำการที่ปารีส ที่ด้วยหน้าที่การงานที่มีโอกาสได้พบเจอกับคนมากหน้าหลายตาอยู่บ่อยๆ อยู่แล้ว เพราะเธอต้องเจอกับลูกค้า ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเจ้าของแบรนด์สินค้าระดับไฮเอนด์ ทั้งร้านอาหาร เสื้อผ้า หน้าผม งานสังคมต่างๆ ที่เอมิลี่ไป ที่เอมิลี่กิน ดูจะน่าสนใจน่าไปลองเช็กอินตามไปซะหมด
ร้านที่เราไปเยือนคือ Terra Nera ร้านอาหารอิตาเลียน ที่ตั้งอยู่ที่ถนน Rue des Fossés-Saint-Jacques โดยหนึ่งในฉากน่าประทับใจในเรื่อง Emily in Paris คงหนีไม่พ้นซีนที่นางเอกสาวชาวอเมริกันยืนกรานขอให้ทางร้านอาหารเปลี่ยนสเต๊กให้สุกแบบมีเดียมแรร์แบบที่เธอต้องการ ไม่ใช่สุกแบบตามใจเชฟ
ถึงแม้ว่าพนักงานเสิร์ฟจะยืนกรานเสียงแข็งว่า นี่คือระดับความสุกที่เชฟการันตีแล้วว่าอร่อยที่สุดและดีที่สุดสำหรับสเต๊กจานนี้ แต่เอมิลี่ก็ยังคงยืนกรานว่า “Customer is always right” (ลูกค้าต้องถูกเสมอสิ!) พนักงานเสิร์ฟจึงหมดหนทางจะเถียงต่อ ต้องไปตามเชฟออกมาอธิบายด้วยตัวเองว่าสเต๊กจานนี้ตกลงมันควรสุกระดับไหนกันแน่
ในเรื่อง Emily in Paris ร้านอาหารร้านนี้ชื่อว่า Les Deux Compères ขายอาหารฝรั่งเศสและต่อมาได้ถูกเปลี่ยนชื่อให้เป็น L’Esprit de Gigi เมื่อแกเบรียลได้ขยับขึ้นมาเป็นหุ้นส่วนของร้าน แต่ก็ยังคงเป็นร้านอาหารฝรั่งเศสอยู่แต่ใส่ความเป็นนอร์มังดีเข้าไปตามพื้นเพเดิมของแกเบรียล
การตกแต่งในร้านทั้งจานชาม โต๊ะ เก้าอี้ จากในเรื่องสู่ความจริงดูเหมือนกันทุกอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ต่างกันเพียงตรงที่ว่า ในความเป็นจริงแล้วร้านร้านนี้ ไม่ได้ชื่อว่า Les Deux Compères หรือ L’Esprit de Gigi แต่ชื่อว่า Terra Nera แถมไม่ได้ขายอาหารฝรั่งเศสแต่อย่างใด แต่ขายอาหารอิตาเลียนและเมดิเตอร์เรเนียนต่างหาก
Midnight in Paris
บางครั้งแค่เห็นชื่อผู้กำกับเราก็พอจะเดามู้ดแอนด์โทนของหนังเรื่องนั้นๆ ออกตั้งแต่ยังไม่ได้เข้าไปดูตัวอย่างหนังด้วยซ้ำ และสำหรับ Woody Allen ก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งผู้กำกับที่ใครๆ พอจะเดาทางได้เมื่อเห็นชื่อของเขาคนนี้ว่าน่าจะต้องเป็นหนังที่มีโทนในการเล่าเรื่องที่ฉลาดคมคาย
วู้ดดี้ อัลเลน เติบโตมาจากย่านบรูกลินที่คุณพ่อเป็นคนทำหนังสือ คุณแม่ทำงานที่ร้านขายดอกไม้ ส่วนตัวเขาเองก็เป็นป๊อปปูลาร์บอยตั้งแต่เด็ก เพราะชอบทำกิจกรรมในโรงเรียน จึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจที่เราจะเห็นวู้ดดี้ทำหนังเกี่ยวกับนิวยอร์กอยู่บ่อยๆ เช่นแมนแฮตตัน ใน A Rainy Day in New York (2019)
กิล พระเอกของเรื่องสามารถย้อนเวลากลับไปได้ในยุค 1920s โดยเขาได้ไปพบกับเหล่าศิลปิน นักคิด นักเขียน ผู้มีชื่อเสียงมากมายที่อาศัยอยู่ในปารีสในยุคนั้น เช่น F. Scott Fitzgerald, Ernest Hemingway และ Jean Cocteau
The Crémerie-Restaurant Polidor คือสถานที่ที่กิลได้พบกับเออร์เนสต์ เฮมิงเวย์ บทสนทนาที่เขาทั้งสองในฐานะนักเขียนที่ถึงแม้จะอยู่กันคนละช่วงยุค แต่ใจก็ใฝ่ไปในทางเดียวกันดูเป็นบทสนทนาที่น่าสนใจ ซื่อสัตย์ จริงใจ ที่นักเขียนสองคนจะแลกเปลี่ยนความคิดต่ออาชีพของตัวเองให้แก่กันและกันได้
ร้าน The Crémerie-Restaurant Polidor เป็นร้านอาหารเก่าแก่ของปารีสที่เปิดมาตั้งแต่ปี 1845 ในร้านขายอาหารฝรั่งเศสและเป็นร้านที่เหล่านักเขียน และปัญญาชนชอบมารวมตัวกันตั้งแต่สมัยไหนๆ ชื่อที่เราน่าจะคุ้นหูกันดีน่าจะมี James Joyce, Boris Vian และเออร์เนสต์ เฮมิงเวย์ ปัจจุบันนี้ร้าน Polidor ยังคงเปิดให้บริการและเสิร์ฟความอร่อยให้คนปารีสอยู่ทุกวัน
อาจจะเป็นที่ตำแหน่งที่ตั้งของร้านที่ตั้งอยู่ใกล้สถานศึกษาอย่าง University of Paris และ The Collège de France ทำให้เราได้เห็นนักศึกษาแวะเวียนมาเป็นลูกค้าร้านนี้อยู่จำนวนไม่น้อย แถมอีกสาเหตุที่ทำให้ร้านนี้เป็นขวัญใจนักศึกษารวมถึงชาวปารีส นั่นคือ นอกจากอาหารฝรั่งเศสของร้านนี้จะเสิร์ฟด้วยความอร่อยและใส่ใจในการทำ ราคาที่ร้าน Polidor ตั้งเอาไว้เมื่อเทียบกับทั้งบรรยากาศ คุณภาพ และความอร่อยของอาหาร ถือว่าเป็นราคาที่เป็นมิตรกับกระเป๋าสตางค์มากโขอยู่ทีเดียว
Julia Child หญิงที่ติดตามสามีนักการทูตมาอาศัยอยู่ในปารีส เธอจึงไปเรียนทำอาหารที่โรงเรียนสอนทำอาหาร Le Cordon Bleu จนต่อมาเธอได้ตีพิมพ์หนังสือสอนทำอาหารร่วมกับเพื่อนอีกสองคน โดยหนังสือเล่มนั้นคือ Mastering the Art of French Cooking แถมเธอยังมีรายการทีวีทำอาหารเป็นของตัวเองที่เป็นระดับตำนานอีกต่างหาก
Julie Powell หญิงที่ติดอยู่กับงานรูทีนแบบเดิมๆ ที่เธอไม่ได้รัก แต่จำต้องทำเพราะชีวิตบางครั้งก็ไม่ได้อนุญาตให้เราได้มีทางเลือกมากมายนัก เธอคิดจะหาบางสิ่งบางอย่างที่เป็นเป้าหมายของชีวิต เพื่อให้ตัวเองได้ตื่นขึ้นมาในแต่ละวัน และเป้าที่เธอตั้งไว้คือการทำอาหารทุกวันทั้ง 524 เมนู จากหนังสือ Mastering the Art of French Cooking ของจูเลีย ไชลด์ เป็นเวลา 1 ปี และเธอจะบันทึกการทำอาหารผ่านบล็อกของเธอทุกวัน เมื่อเขียนบล็อกทุกวันๆ เข้า ก็เริ่มมีคนสนใจตามอ่านเรื่องราวการทำอาหารของจูเลียมากขึ้นทุกวัน จนสุดท้ายเธอก็ได้ทำอาหารต้อนรับคอลัมนิสต์จากหนังสือพิมพ์ The New York Times เรื่องราวการทำอาหารของเธอถูกตีพิมพ์และถูกกล่าวถึงในสื่อต่างๆ มากมาย
แต่ที่เราเรียกว่าตามรอย Julie & Julia มาที่ร้านคาเฟ่แห่งนี้ เพราะร้านหนังสือข้างๆ คาเฟ่ร้านนี้ที่มีชื่อร้านว่า Shakespeare and Company เป็นร้านหนังสือที่จูเลีย ไชลด์ ไปยืนค้นหนังสือในตอนต้นๆ ของเรื่อง ตอนเพิ่งย้ายมาอยู่ที่ปารีสใหม่ๆ
ร้านหนังสือ Shakespeare and Company เป็นร้านหนังสือเก่าแก่ของปารีสที่เปิดมาตั้งแต่ปี 1951 โดย George Whitman แถมเป็นร้านหนังสือที่เป็นแหล่งรวมพลคนรักการอ่านการเขียนมาตั้งแต่ยุคไหนๆ เดิมทีร้านนี้ชื่อว่า Le Mistral ต่อมาร้านนี้ได้ถูกเปลี่ยนให้ชื่อว่า Shakespeare and Company ในปี 1964 ด้วยเหตุผล 2 ประการ คือ 1.ในฐานะครบรอบ 400 ปีเกิดของวิลเลียม เชกสเปียร์ 2. เป็นเกียรติให้กับนักทำร้านหนังสือที่จอร์จศรัทธา นั่นคือ Sylvia Beach (ซึ่งซิลเวียเปิดร้านหนังสือชื่อ Shakespeare and Company เช่นกันแต่เปิดในช่วงปี 1919-1941)
ร้านหนังสือ Shakespeare and Company ของจอร์จจึงถูกมองว่าเป็นร้านหนังสือที่เป็นทายาทของซิลเวีย เพราะเหมือนจะสืบทอดเจตนารมณ์ต่างๆ เฉกเช่นเดียวกันกับร้านหนังสือของซิลเวีย ร้าน Shakespeare and Company ของซิลเวีย เป็นร้านหนังสือภาษาอังกฤษที่รวบเอาคอนเซปต์ร้านหนังสือและห้องสมุดเข้าไว้ด้วยกันเป็นแห่งแรกของปารีส
ด้วยเหตุนี้เอง ร้าน Shakespeare and Company จึงเป็นแหล่งรวมพลคนรักการอ่านการเขียนมาตั้งแต่ยุค 100 กว่าปีที่แล้ว หรือแม้กระทั่งเจมส์ จอยซ์ เองก็เป็นหนึ่งในนักเขียนที่มีความสัมพันธ์อันดีที่สุดกับร้านหนังสือแห่งนี้
จอร์จตั้งใจว่าจะให้ร้าน Shakespeare and Company เป็นเมกกะรวมคนที่รักการอ่านการเขียนไว้ด้วยกัน จนถึงปัจจุบันเหล่าคนรักการอ่านจากทั่วทุกมุมโลกยังคงแวะเวียนมาที่ร้านหนังสือแห่งนี้อยู่อย่างเนืองแน่นจนถึงกับต้องเข้าคิวเพื่อเข้าร้านหนังสือ!
จากการที่มารีเมกโกะใช้สินค้าแฟชั่นเป็นตัวนำทำให้ปัจจุบันมารีเมกโกะในไทยมีสัดส่วนรายได้จากการขายสินค้า Ready to Wear 49%, Bag & Accessories 30%, Home Collection 20% และอื่นๆ 1%
ต่างจากหลายแบรนด์ที่เมื่อเริ่มโตก็หันไปออกสินค้าหมวดอื่นมากจน core value ของแบรนด์สั่นคลอน เช่นที่ครั้งหนึ่ง Apple ผลิตสินค้าหลากหลายมากเกินไป จนทำให้เกือบไปไม่รอด เมื่อ Steve Jobs กลับมาเป็นซีอีโอที่ Apple อีกครั้ง ในปี 1997 เขาเลือกลดจำนวนผลิตภัณฑ์และรุ่นของ Apple ลง 70% และมุ่งผลิตสินค้าเพียงไม่กี่อย่าง เมื่อสิ้นสุดปีงบประมาณปี 1998 Apple ก็กลับมาทำกำไรได้กว่า 309 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
อีกเรื่องที่รอไม่ได้คือ ปัญหาหนี้ครัวเรือนของ Gen Y ที่อยู่กึ่งกลางระหว่าง Gen X และ Gen Z ซึ่งในอนาคต Gen Y นี่แหละจะเป็นเดอะ แบก ในการแบกรับภาระต่างๆ และในยุคที่เศรษฐกิจไม่ดี สิ่งที่ตามมาต้องเป็นเรื่องค่าแรงที่ปรับขึ้นไม่ได้ ทำให้เกิดสภาวะที่ยากลำบาก ทั้งการเป็นเสาหลักของบ้าน ความกังวลในเรื่องหน้าที่การงาน หรืออยากใช้ชีวิตให้เต็มที่แต่เงินไม่พร้อม ซึ่งปัญหาเหล่านี้ต้องการการแก้ไขอย่างเร่งด่วน
Barry Jenkins ผู้กำกับภาพยนตร์ ‘Moonlight’ เคยกล่าวประโยคข้างต้นเอาไว้ ซึ่งสะท้อนวิธีคิดของค่ายภาพยนตร์ทางเลือกอย่าง A24 เอาไว้ได้เป็นอย่างดี
สำหรับคนนอกวงการที่อาจจะยังไม่รู้จัก A24 เป็นบริษัทธุรกิจบันเทิงอิสระสัญชาติอเมริกัน ก่อตั้งเมื่อปี 2012 โดยเพื่อนสนิท 3 คนอย่าง Daniel Katz, David Fenkel และ John Hodges ชื่อของบริษัทเกิดขึ้นอย่างไม่ซับซ้อนเพราะ Katz ให้สัมภาษณ์ว่าเขาอยากทำค่ายหนังมานานแล้ว แต่ระหว่างคิดว่า ‘ถึงเวลาแล้วที่จะต้องทำค่ายหนัง’ ก็เป็นจังหวะเดียวกันกับตอนที่เขาอยู่บนทางด่วน A24
หลายคนแม้ยังไม่คุ้นชื่อค่ายหนังที่ว่า แต่เชื่อเถอะว่าเราอาจจะเคยได้ยินชื่อหนัง หรือเคยเห็นโปสเตอร์หนังจากค่ายนี้อยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็น Everything Everywhere All at Once (2022), Pearl (2022) Hereditary (2018), Lady Bird (2017), Moonlight (2016) หรือแม้กระทั่งภาพยนตร์โรแมนติกดราม่าเรื่องล่าสุดอย่าง Past Lives (2023) ที่กำลังเข้าฉายในขณะนี้
นอกจากชื่อบริษัทที่แปลกแตกต่าง ค่ายนี้ยังเซอร์ไพรส์คอหนังอยู่เสมอ และแม้จะเป็นเพียงค่ายเล็กๆ แต่ปี 2023 A24 ก็ได้เข้าชิงออสการ์ถึง 18 ครั้ง และในครั้งนั้น Everything Everywhere All at Once ก็ได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมไป
A24 เป็นค่ายที่รู้ตัวดีว่ากลุ่มคนดูหนังพวกเขาคือใคร นั่นก็คือกลุ่มมิลเลนเนียล และเจนฯ Z หรือกลุ่มคนดูอายุ 18-34 ปีนั่นเอง
ความชัดเจนตรงนี้ทำให้ครั้งหนึ่ง นักเขียนนามว่า Willy Sraley ถึงกับเอ่ยปากแซวว่า A24 ย่อมาจาก ‘A 24-year-old guy will think this is the best movie ever made.’ หรือก็คือ ‘A24 ค่ายหนังที่คนอายุ 24 ปี คิดว่าผลิตหนังได้เจ๋งที่สุด’ การันตีจากคะแนนรีวิวจาก Rotten Tomatoes ที่รวบรวมคะแนนหนังจากนักวิจารณ์มากหน้าหลายตา
ไม่ใช่เพียงแค่หนังแสดงที่ได้รับการรู้จักบนหน้าจอมากขึ้น ผู้กำกับหน้าใหม่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้หนังอย่าง A24 เป็นที่จดจำมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Daniel Scheinert และ Daniel Kwan ที่สร้างหนังที่ดังเป็นพลุแตกอย่างเรื่อง Everything Everywhere All At Once (2022) ก็เปิดตัวการกำกับหนังเรื่องแรกของพวกเขาอย่างเรื่อง Swiss Army Man (2016) กับค่าย A24
หนึ่งเรื่องที่ผมบอกกับทีมเสมอว่า ถ้าคุณไม่มี value คุณแค่ทำธุรกิจแบบหักหัวคิวคุณอย่าทำ ในวันที่เขาไปติดต่อกันเองหลังไมค์คุณก็จบแล้ว
value ในตนเองของคิวช่างคือต้องหางานให้ช่างได้มากพอ คุณต้องแก้ปัญหาในวันที่เขาไม่ว่าจะเป็นช่างหรือลูกค้าต้องการ นั่นคือฟังก์ชั่น ลูกค้าที่มาใช้บริการเราแล้วเงียบไปนี่น่ากลัวนะ
Q-CHANG ACADEMY ที่เปิดขึ้นมานี้ไม่ใช่พัฒนาเพื่อยกระดับมาตรฐานฝีมือช่างในแพลตฟอร์มอย่างเดียว แต่เราให้ความสำคัญคือการยกระดับมาตรฐานฝีมือและคุณภาพชีวิตของช่างในและนอกแพลตฟอร์ม
ในแง่ธุรกิจปฏิเสธไม่ได้ว่าเราจะต้องเติบโตอย่างมั่นคงแข็งแรงแบบไม่ต้อง raise fund แล้ว ต้องไปถึงจุดนั้นให้ได้ภายใน 2-3 ปี
เราหวังอยากเป็นเบอร์ 1 ของผู้ให้บริการซ่อมแซมต่อเติมบ้านในตลาดประเทศไทยให้ได้ และอาจจะเริ่มไปเติบโตในต่างประเทศ ไปเป็น world player ที่ตอนนี้คิวช่างกำลังศึกษาอยู่