9 วิธีคิดในการทำธุรกิจหนังสือให้ขายดีติดอันดับตามแบบฉบับของ Biblio

หากเป็นอดีต หนึ่งในสิ่งบันเทิงที่เป็นที่นิยมก็คือ ‘หนังสือ’ แต่ในยุคโซเชียลมีเดียที่เต็มไปด้วยคอนเทนต์ และมีสารพัดกิจกรรมบันเทิงให้เสพ แน่นอนว่าการมีตัวเลือกที่มากขึ้น และโลกเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปส่งผลต่อมูลค่าตลาดหนังสือ ซึ่งธุรกิจสิ่งพิมพ์เหล่านี้ก็ต้องปรับตัวเพื่อหาทิศทางให้หนังสือเดินต่อไปได้

แม้ตลาดหนังสือที่ถูกท้าทายด้วยหลายปัจจัย แต่ Biblio กลับเป็นสำนักพิมพ์ที่หนังสือเกือบทุกเล่มขึ้นชั้นขายดี ที่สำคัญคือเป็นสำนักพิมพ์ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2563 ปีที่มีการระบาดของโควิด ที่ร้านหนังสือต้องปิดชั่วคราว และไม่มีงานหนังสือประจำปีเช่นทุกๆ ปี

Capital List ตอนนี้จะพาไปถอด 9 วิธีคิดของ จีระวุฒิ เขียวมณี บรรณาธิการบริหารและหนึ่งในผู้ก่อตั้งสำนักพิมพ์ Biblio ผู้ที่อยู่เบื้องหลังยอดขายและการพาหนังสือไปอยู่บนชั้นหนังสือขายดีทั้งในร้านหนังสือออนไลน์และออฟไลน์

1. วางลำดับการปล่อยหนังสือเล่มแรกให้ดี เพราะเป็นการสะท้อนตัวตนของแบรนด์

นอกจากคอนเซปต์ของสำนักพิมพ์ที่ต้องชัดเจนว่าเราคือใคร มีคาแร็กเตอร์แบบไหน อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากันก็คือการวางลำดับการปล่อยหนังสือเล่มแรก วิธีนี้จะทำให้ผู้อ่านรับรู้ได้ว่าเราคือใคร เป็นสำนักพิมพ์ที่มีความเชื่อแบบไหน สื่อสารเรื่องอะไร กับใคร 

2. วางแผนเส้นทางช่วง 5 ปีแรกของบริษัทให้ชัดเจน

โดยเส้นทาง 5 ปีแรกของ Biblio นั้นในปีที่ 1 เป็นการกำหนดให้ชัดว่าจะเป็นบริษัทขนาดไหน เป็นสำนักพิมพ์เล็กๆ หรือใหญ่ ปีที่ 2 หาว่าจะเป็นบริษัทที่ทำอะไรบ้าง เมื่อเข้าสู่ปีที่ 3 ต้องแตกไลน์โปรดักต์ จึงจะเห็นว่าหลังจากเปิดตัวไปสักพัก Biblio เปิดตัว BiLi สำนักพิมพ์ที่มีนิยายแปลหลากแนวหลายอารมณ์ในแวดวง Boy’s Love ปีที่ 4 จะเป็นยังไงต่อ และปีที่ 5 จะต้องเห็นภาพที่ชัดเจน เช่นจากสำนักพิมพ์ขนาดเล็กจะก้าวไปสู่สำนักพิมพ์ขนาดกลางที่มีหนังสือออกใหม่ต่อเนื่องทุกๆ เดือน

3. มองหาและมองให้เห็นทิศทางของผู้อ่าน

ต้องดูฟีดแบ็กผู้อ่านว่าเป็นยังไง ไปในทิศทางไหน เพราะการมองเห็นทิศทางที่ชัดเจนของผู้อ่านสำคัญมาก วิธีที่ Biblio ทำคือวิเคราะห์ข้อมูลยอดขายจากต่างประเทศ พฤติกรรมการสั่งซื้อหนังสือของคนอ่าน และดูข้อมูลตัวเลขว่าผู้อ่านมีปฏิกิริยาหรือมีความสนใจกับคอนเทนต์ประเภทใดที่นำเสนอไป ซึ่งการดูข้อมูลจะช่วยให้ประเมินผู้อ่านและตลาดหนังสือได้

4. ทำหนังสือให้เข้าถึงคนอ่านให้ง่ายที่สุด

เข้าถึงคนอ่านให้ง่ายที่สุดของ Biblio คือการทำหนังสือที่สังเคราะห์ง่ายหรือย่อยง่าย ขณะเดียวกันก็ให้ความบันเทิง และไม่เคร่งเครียดชนิดตำราเรียน เพื่อให้คนอ่านสามารถหยิบขึ้นมาอ่านได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการมองหาพล็อตเรื่องใหม่ๆ เลือกหยิบประเด็นที่เชื่อมโยงกับสังคม ไปจนถึงการบรรจงกับดีไซน์ของหน้าปกหนังสือ 

5. มองหนังสือให้รอบด้าน มองให้ครบ 360 องศา 

ในหนึ่งปีมีไม่กี่สัปดาห์เท่านั้นที่สำนักพิมพ์จะได้เจอกับผู้อ่านโดยตรง และอีกสามร้อยกว่าวันคือหน้าที่ของร้านหนังสือและตัวแทนขาย ดังนั้นต้องมองหนังสือให้รอบด้านว่าน่าสนใจยังไง นำเสนอมุมไหนได้ เพื่อทำให้ฝ่ายขายเห็นศักยภาพของหนังสือและสื่อสารต่อไปยังผู้จัดการร้านหนังสือ เพราะคนเหล่านี้คือตัวแปรสำคัญที่จะนำข้อมูลนั้นไปขายให้กับลูกค้า และมันยังทำให้พาร์ตเนอร์ทำงานง่ายขึ้น และทำให้หนังสือแต่ละเล่มไปต่อได้ในเชิงธุรกิจ

6. มองต้นทางจนถึงปลายทางของหนังสือด้วยมุมธุรกิจ 

คล้ายกับทุกๆ ธุรกิจที่ต้องมองเส้นทางและส่วนประกอบอื่นๆ นอกจากมองเห็นองค์ประกอบว่าโปรดักต์เป็นยังไง ต้องพัฒนาโปรดักต์ด้วยวิธีแบบไหน หรือช่องทางการจัดจำหน่ายที่ทำอยู่เหมาะสมหรือไม่ สำหรับธุรกิจหนังสือที่เป็นเหมือนผลงานศิลปะเชิงพาณิชย์ก็ต้องตรวจสอบเหมือนกันว่าหนังสือที่ทำอยู่มีคุณค่าเพียงพอแก่ผู้อ่านแล้วหรือยัง  เพราะหากมองหนังสือเป็นเพียงสินค้าประเภทหนึ่งมากเกินไป ก็อาจจะไม่ได้ใส่ใจลงไปมากพอ มันก็จะกลายเป็นสินค้าที่กินอิ่มแต่ไม่ประทับใจ

7. เปลี่ยนมุมในการนำเสนอหนังสือรวมถึงวิชวลต่างๆ

แน่นอนว่าหนังสือหนึ่งเล่มมีหลายมุมมอง ทั้งดราม่า อบอุ่น ฟีลกู๊ด ฯลฯ ดังนั้นในการนำเสนอเนื้อหาและวิชวลต่างๆ จึงต้องครอบคลุมและปรับเปลี่ยนเสมอๆ เพราะจากหนังสือที่อาจอยู่นอกสายตาคนอ่าน เมื่อจับแต่งตัวใหม่ก็อาจน่าสนใจขึ้นได้เช่นกัน 

8. ทำหนังสือให้คนอ่านรู้สึกอยากหยิบหนังสือของสำนักพิมพ์เรามาพิจารณา

ธรรมชาติของตลาด เมื่อโปรดักต์หรือหนังสือเล่มไหนขายดี ทุกคนก็จะนำเสนอโปรดักต์ที่หน้าตาคล้ายๆ กัน หรือตอบโจทย์คนอ่านในลักษณะเดียวกัน ดังนั้นทำยังไงให้หนังสือยังมีคาแร็กเตอร์ที่คนอ่านมองแล้วรู้สึกว่า ต่อให้มีหนังสือ 10-20 ปกในเดือนนั้นที่ใกล้เคียงกัน เขาก็ยังอยากหยิบหนังสือของเรามาพิจารณาอยู่ ถ้าทำแค่หนังสือที่ปกสวย แต่ไม่สามารถสื่อสารรายละเอียดที่อยู่เบื้องหลังปกออกมาได้ ไม่สามารถสร้างการรับรู้กับคนอ่านได้ มันก็จะกลายเป็นแค่หนังสือที่ปกสวย

9. หาแนวทางใหม่หรือมองหาเซกชั่นใหม่ของหนังสือที่จะนำเสนอ

คนอ่านเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด สำนักพิมพ์ต้องปรับตัวตาม โดยที่นี่ทำโดยขยายประเภทหนังสือผ่านสำนักพิมพ์ย่อยๆ ในเครือ นอกจากนี้ด้วยมุมมองที่มองว่า Biblio เป็นมากกว่าหนังสือ แต่สามารถเป็นแบรนด์เป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในอนาคตแบรนด์จึงวางเป้าหมายไว้ว่าอาจจะมีร้านหนังสือของตัวเอง หรือเป็นพื้นที่สร้างประสบการณ์การอ่านให้กับเหล่านักอ่าน 

คุยกับวิชิต ซ้ายเกล้า แห่ง Chitbeer ขบถผู้ลุกขึ้นสร้างทางเลือกในการดื่ม และสอนคนต้มเบียร์มาแล้วหลักพันคน

Cedric Grolet เชฟขนมที่ร้อนแรงที่สุดในปารีสเจ้าของฉายาเชฟขนมหวานที่ดีที่สุดในโลก

ความรื่นรมย์ในชีวิตอาจประกอบได้จากหลายสิ่ง บางครั้งเกิดจากการอ่านหนังสือที่พาเราท่องไปในกาลเวลา บางครั้งเกิดจากการฟังเพลงที่พาให้คิดถึงใครบางคนที่มีพื้นที่พิเศษในหัวใจของเราเสมอ หรือบางครั้งอาจเป็นอะไรบางอย่างที่เรียบง่ายกว่านั้นมาก เช่น การกินขนมหวานที่อร่อย!

ทว่าร้านขนมหวานแสนอร่อยที่เราอยากพาคุณไปทำความรู้จักวันนี้ ไม่ได้มีดีแค่รสอร่อย หากแต่ยังมีดีที่ถ่ายรูปสวยอีกต่างหาก เรียกได้ว่าสวยทั้งข้างนอกเมื่อมองเห็น และสวยทั้งข้างในเมื่อได้สัมผัสชิม และร้านขนมที่เราพูดถึงคือ หนึ่งในร้านขนมที่เราปักหมุดเอาไว้ว่าจะต้องไปเยือนให้ได้เมื่อมาถึงปารีส 

นั่นคือร้าน Cedric Grolet

ราชาแห่งขนมหวานบนโลกออนไลน์

Cedric Grolet เป็นทั้งชื่อร้านและชื่อของเชฟทำขนมที่เป็นเจ้าของร้านนี้ ตอนนี้เราอาจจะพอเรียกเซดริกได้ว่าเขาเป็นอินฟลูเอนเซอร์ขนมอบที่ร้อนแรงที่สุดคนหนึ่งบนโลกออนไลน์ ด้วยผู้ติดตามกว่า 7.7 ล้านคนในอินสตาแกรม และอีก 2.1 ล้านผู้ติดตามใน TikTok เท่ากับว่าคนบนโลกนี้เกือบ 10 ล้านคนพร้อมใจกันเฝ้าหน้าจอมือถือเพื่อรอดูว่าวันแต่ละวันของเซดริกจะมาทำขนมอะไรบนโลกออนไลน์บ้าง

ด้วยลีลาทะมัดทะแมงของเซดริก กับแววตามุ่งมั่นแต่ก็ขี้เล่นอยู่ในทีทุกครั้งที่เขาทำขนม บวกกับเทคนิคการตัดต่อภาพและเสียงที่ฉับไวน่าสนใจ แต่ละครั้งแต่ละทีที่เซดริกโพสต์คลิปทำขนมบนโลกออนไลน์ไม่ว่าจะในอินสตาแกรมหรือบน TikTok คนเรือนล้านต่างพากันเข้าไปดูเชฟขนมหวานชาวฝรั่งเศสคนนี้วาดลวดลายทำขนมแบบไม่มีเบื่อ

เซดริกเองเข้าใจดีถึงความทรงพลังของโซเชียลมีเดีย เขาจึงย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า ขนมที่เขาทำต้องทั้งน่าดูน่ากินในโลกออนไลน์และอร่อยลิ้นเมื่อได้ชิมจริง เพราะโลกออนไลน์อาจนำพาแฟนๆ ผู้รักขนมทั่วโลกมาติดตามเขา แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่เขาจะประนีประนอมกับรสชาติหรือมาตรฐานของขนมที่เขาทำเลย

“โลกออนไลน์ช่วยทลายกำแพงและข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์ลง พลังของโซเชียลอนุญาตให้คนทั้งโลกได้เห็นขนมของผมและได้มีปฏิสัมพันธ์กับผมโดยตรง แน่นอนว่ามันทำให้ผมมีลูกค้าเพิ่มมากขึ้น ผมต้องมั่นใจทุกครั้งว่าทุกอย่างที่โพสต์ออกไปมันดูน่ากินและมันต้องอร่อยจริงๆ ด้วยเหมือนกัน” เซดริกให้สัมภาษณ์ไว้กับ Michelin Guide

แต่ละครั้งที่เขาทำขนม ไม่ว่าจะเป็นขนมปัง ขนมเค้ก ทาร์ต หรือครัวซองต์ เซดริกมักจะเริ่มต้นการทำขนมด้วยการนวดแป้งโดว์ก้อนใหญ่ๆ แล้วค่อยๆ ผ่าฝานแป้งโดว์ก้อนใหญ่นั้นให้เล็กลง เล็กลง เราได้เห็นส่วนผสมทุกสิ่งทุกอย่าง เราได้เห็นทุกขั้นตอนของการนวด การผสม การเท การวาดลวดลายต่างๆ บนขนมอย่างบรรจงและมีศิลปะ จนแป้งโดว์ก้อนใหญ่ๆ ก้อนนั้นที่เห็นในตอนต้นคลิปกลายเป็นขนมชิ้นพอดีคำรูปร่างสวยงามที่เราได้กินในชีวิตปกติ 

การได้เห็นพัฒนาการของขนมหน้าตาแสนอร่อยที่เราชอบกินจากที่มันเป็นเพียงแค่ก้อนแป้งหน้าตาธรรมดามาสู่ขนมหน้าตาที่เราคุ้นเคย อาจจะเปรียบเสมือนกับการที่เราได้มองเห็นต้นไม้ดอกไม้ที่เราปลูกค่อยๆ เติบโตขึ้นจนเป็นดอกไม้ที่ผลิงามสมบูรณ์ด้วยเวลาเพียงแค่ไม่กี่นาทีด้วยฝีมือการตัดต่อของทีมงาน Cedric Grolet บนแพลตฟอร์มอินสตาแกรมและ TikTok เป็นเหมือนการสรุปให้เราทราบด้วยความรวดเร็วภายในเวลาเพียงแค่ 3 นาทีว่า ขนมหน้าตาน่ากินที่เราเห็นกันอยู่ตรงหน้าที่อาจใช้เวลาหลายสิบชั่วโมงในกระบวนการบ่มและทำนั้นต้องผ่านกระบวนการใดมาบ้าง

ด้วยความเท่าเทียมกันของอัลกอริทึมบนโลกออนไลน์ที่ให้โอกาสดวงดาวสายเชฟทำขนมได้แจ้งเกิดอยู่เสมอหากคุณมีฝีมือจริง เก่งจริง และจริตการทำขนมของคุณเป็นที่ถูกใจมหาชนจริง แต่ Cedric Grolet ยังคงเป็นชื่อที่ผู้คนบนโลกออนไลน์ต่างเรียกหาแถมยังยืนระยะการเป็นขวัญใจชาวเน็ตได้นานหลายปี เหตุผลที่อธิบายไปข้างต้นถึงลีลาท่าทางและการตัดต่อของทีมงานคงไม่ใช่เพียงแค่เหตุผลสำคัญที่ทำให้เขายืนหยัดอยู่ได้นานเช่นนี้ 

เส้นทางสายหวาน

นอกจากการเป็นขวัญใจของคนรักขนมบนโลกออนไลน์แล้ว หากเราจะพูดว่าเซดริกใช้เวลาของเขาเกือบทั้งชีวิตเพื่อพิสูจน์ตัวเองในเส้นทางสายขนมก็คงจะไม่ผิดนัก ด้วยวัย 37 ปี ในขณะนี้ที่มีผู้ติดตามเกือบ 10 ล้านคนบนโลกออนไลน์ เซดริกเริ่มชีวิตทำขนมตั้งแต่วัย 11 ขวบด้วยการหัดเข้าไปทำขนม ตีวิปครีมด้วยตะกร้อมือในครัวในโรงแรมของคุณปู่คุณย่าที่ Bouthéon, the Loire Valley 

เขารู้ตัวตั้งแต่นั้นมาว่าเขารักการทำขนมเป็นชีวิตจิตใจและเขาเกิดมาเพื่อทำขนม จนเมื่ออายุ 13 ปี เซดริกเริ่มเป็นพนักงานฝึกหัดในครัวอย่างเป็นจริงเป็นจัง เมื่ออายุ 14 เขาจึงเริ่มตัดสินใจเข้าเรียนที่โรงเรียนสอนทำขนมอย่างเป็นเรื่องเป็นราว

เมื่อก้าวเข้าสู่โลกแห่งการทำขนมแบบจริงจังที่โรงเรียนสอนทำขนม เซดริกเริ่มเส้นทางการเป็นเชฟทำขนมเฉกเช่นเชฟทำขนมคนอื่นๆ ที่เข้าเรียนในโรงเรียนสอนทำขนม นั่นคือการออกล่ารางวัล

เซดริกเริ่มเก็บแต้มสะสมถ้วยและเหรียญรางวัลจากเวทีประกวดแข่งทำขนมตั้งแต่อายุ 15 หนึ่งในถ้วยรางวัลที่น่าจะเป็นที่ภูมิใจสำหรับตัวเซดริกเองและครอบครัว แถมทำให้เขาเป็นที่จับตามองในฐานะเชฟทำขนมหน้าใหม่ไฟแรง คือเซดริกชนะถ้วยการประกวดการทำขนมระดับประเทศในสาขาศิลปะการใช้น้ำตาล

หากคุณได้เฉียดกรายเข้าไปในบัญชีออนไลน์ของเซดริก ไม่ว่าจะเป็นในอินสตาแกรมหรือใน TikTok คุณคงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าขนมแต่ละชิ้น แต่ละก้อนของเซดริกมันช่างสวยงามราวกับงานศิลปะ ถ้าคำว่า “สมบูรณ์ไร้ที่ติ” มีอยู่จริง ขนมของ Cedric Grolet คงเหมาะสมทุกประการที่จะใช้คำคำนี้ในการขยายความ ด้วยรูปทรงที่พอเหมาะพอดี ทุกเว้าโค้ง เหลี่ยมมุมของขนม เหมือนถูกจัดวางและถูกคิดมาเป็นอย่างดีแล้วว่าควรจะอยู่ในฉากมุมองศาขนาดไหนจึงจะพอดีลงตัว

หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้ขนมของเซดริกงดงามน่าจะเกิดจากการที่เซดริกไม่ได้เป็นเพียงแค่เชฟทำขนมที่ใส่ใจแต่เรื่องการทำขนม แต่เขายังใส่ใจในเรื่องรูปทรงและความงามภายนอกของขนมอีกต่างหาก นอกจากเซดริกจะรักการทำขนมแล้ว เขายังเป็นคนชอบวาดรูปอีกด้วย นอกเหนือจากคลาสทำขนม เซดริกยังลงเรียนวิชาศิลปะเพิ่มเติมอีกต่างหาก

จนกระทั่งเมื่อเซดริกเรียนจบตอนอายุ 21 เขาก็เริ่มเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานทำมาการงที่ Fauchon (ร้านขายขนมหวานและวัตถุดิบอุปกรณ์ต่างๆ เกี่ยวกับการทำขนมชื่อดังสัญชาติฝรั่งเศส) ที่ที่บ่มเพาะทักษะการทำงานและการทำขนมของเซดริกให้ยิ่งแหลมคมขึ้นไปอีก

เซดริกอยู่ที่ Fauchon 6 ปี จากนั้นเซดริกสามารถก้าวขึ้นไปเป็นหัวหน้าแผนกขนมทั้งหมดของโรงแรม Le Meurice (ห้องอาหารไฟน์ไดนิงของที่นี่ได้ 2 ดาวมิชลิน) โดยเซดริกรับผิดชอบขนมทั้งหมดที่เสิร์ฟในบริเวณโรงแรม และเขาต้องนำทีมลูกน้องทั้ง 20 ชีวิตเพื่อทำขนมให้กับส่วนต่างๆ ของโรงแรมด้วย โดยขนมของเซดริกเสิร์ฟในมื้อเช้า มื้อสาย เสิร์ฟในร้านอาหารและเสิร์ฟในห้องน้ำชา (tea room) ของโรงแรม 

ขนมจริงหรือสิ่งลวงตา

จากความคิดสร้างสรรค์ของเซดริก ประกอบกับฝีมือในการทำขนมที่บ่มเพาะมาในตัวของเขาตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้เซดริกมีฝีไม้ลายมือในการทำขนมที่หาตัวจับยาก เทคนิคการทำขนมที่เป็นลายเซ็นเฉพาะตัวของเซดริกคือเทคนิคที่เรียกว่า เดอะทรอมพลุยล์ (the trompe l’œil) ที่แปลว่า ลวงตา 

เดอะทรอมพลุยล์ คือเทคนิคในเชิงศิลปะที่ทำให้ภาพหรือสิ่งใดก็ตามที่เป็นสองมิติมองดูแล้วเสมือนกับงานสามมิติ เทคนิคนี้ถูกนำไปใช้โดยทั่วไปในงานศิลปะและการวาดภาพ โดยผู้ชมต้องใช้เวลาและการสังเกตในการพินิจพิเคราะห์ว่าภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าเป็นเพียงแค่ภาพวาดหรือเป็นวัตถุจริงกันแน่

และนั่นคือเคล็ดวิชาท่าไม้ตายส่วนตัวที่เซดริกมักใช้อยู่เสมอกับการทำขนมของเขา เขามักทำให้ขนมของเขาดูเสมือนกับของสิ่งใดสิ่งหนึ่งจริงๆ เช่น ทำให้ขนมมีรูปร่างเหมือนเฮเซลนัต, ลูกแพร์, แอปริคอต, อโวคาโด, แอปเปิล, ส้ม ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเปลือกด้านนอกจะทำจากงานช็อกโกแลต ในขณะที่ด้านในจะเป็นมูสและเจลลี่ หรือบางทีเซดริกอาจจะใส่ผลไม้ชนิดนั้นจริงๆ ลงไปข้างใน

“ตอนผมเด็กๆ แทนที่จะกินของหวานๆ ผมชอบกินผลไม้ ธรรมชาติมักจะมอบแรงบันดาลใจอะไรสักอย่างกับผม ผลไม้บางชนิดอร่อยมากเมื่อกินแบบสดๆ แต่มันจะยิ่งอร่อยขึ้นไปอีก ถ้าคุณโฟกัสกับรสชาติของมัน ผมจะพอใจแบบสุดๆ ก็ต่อเมื่อขนมของผมมีรสชาติที่ดีกว่าผลไม้ที่เป็นแรงบันดาลในการสรรค์สร้างขนมชนิดนั้นๆ ขึ้นมา” เซดริกให้สัมภาษณ์ไว้กับ Gastronomos

มองดูจากการที่เซดริกให้ความสำคัญในเรื่องศิลปะ การออกแบบ การสร้างสรรค์ และการจำลองให้เหมือนจึงไม่น่าแปลกใจที่งานขนมของเซดริกแต่ละชิ้นที่วางเรียงรายขายอยู่ที่ร้านขนมของเขาทั้ง 2 สาขาที่ปารีส ทั้งที่สาขา Opera และ Le Meurice จะมองดูคล้ายงานศิลปะ บวกกับดิสเพลย์การจัดเรียงขนมที่วางเรียงกันเป็นชิ้นเดี่ยวๆ ครอบแก้วเอาไว้แยกกันทีละชิ้นทีละอัน เพื่อให้ลูกค้าเลือก ราวกับว่านี่คือ ศิลปะล้ำค่าหากแต่คุณสามารถเอามันเข้าปากได้ แถมยังอร่อยอีกต่างหาก

หลายต่อหลายครั้งเมื่อเราเห็นขนมสวยๆ ที่วางขายในร้าน เราเคยคิดว่า ขนมพวกนี้สวยเสียจนเราไม่อยากกินมันเลย อยากซื้อมันไปวางโชว์ให้มันสวยอยู่อย่างนั้น และเมื่อเราเข้าไปในร้านของ Cedric Grolet สาขา Opera ก็เป็นอีกครั้งที่เรามีความคิดแบบนั้นผ่านเข้ามาในหัว

เมื่อความอร่อย ความสวยงาม
และความมั่นคงทางอาหารยืนอยู่ข้างเดียวกัน 

นอกจากความสวยงามสมจริงของขนมที่เซดริกรังสรรค์ขึ้นมา เขาเองยังคงไว้ลายเลือดฝรั่งเศสอย่างเต็มตัว ชาติที่คิดถึงความยั่งยืนในเชิงอาหารอย่างเข้มแข็งในยุคปัจจุบัน ทั้งๆ ที่เซดริกเปิดร้านขายขนมถึง 2 สาขาในปารีสและร้านของเขาขายดิบขายดีจนคนต้องเข้าคิวรอซื้อไม่ว่าจะวันที่แดดจ้า หรือวันที่ละอองหิมะลง เซดริกเองรู้ทั้งรู้อยู่แล้วว่าเมนูใดเป็นเมนูที่ขายดีแน่ๆ ถ้าทำเป็นเมนูที่แน่นอน ขายทั้งปี เขาจะต้องได้กำไรงามๆ แน่นอน แต่เซดริกกลับไม่ทำเช่นนั้น

“ผมเป็นคนที่ชอบความเรียบง่ายนะ งานขนมของผมถูกสั่งการจากผลผลิตของแต่ละฤดูกาล” เซดริกให้สัมภาษณ์ไว้กับ Gastronomos

เมนูขนมของเซดริกคือขนมที่ทำจากผลไม้หรือวัตถุดิบที่หาได้ตามฤดูกาล เพราะเขาต้องการเน้นความสดใหม่และคิดถึงความยั่งยืนของอาหาร ที่มนุษย์ควรจะบริโภคอาหารที่ผลิตได้ตามฤดูกาลนั้นๆ เพื่อไม่เป็นภาระแก่การขนส่งวัตถุดิบที่หาได้ยากที่อาจต้องส่งมาจากแดนไกล อันก่อให้เกิดคาร์บอนฟุตปรินต์

อันที่จริงแค่ผลงานที่เห็นอยู่ตรงหน้าก็น่าจะเป็นที่ประจักษ์แก่ผู้คนแล้วว่าฝีมือในการทำขนมของเซดริกนั้นยอดเยี่ยมแค่ไหน แต่รางวัลจากการประกวดต่างๆ ก็น่าจะการันตีได้อีกชั้นหนึ่งว่าฝีมือของเซดริกโดดเด่นไม่แพ้ใครในยุคนี้จริงๆ

ช่วงปี 2015-2018 ที่เซดริกออกล่ารางวัล เขากวาดรางวัลมาเพียบ ได้แก่ Best Chef Confeiteiro of France ประจำปี 2015 ที่จัดโดยนิตยสาร Magazine Le Chef, รางวัล Relais Desserts Award for the Best Confectioner ประจำปี 2016, รางวัล Omnivore Pastry Award ประจำปี 2017, รางวัลเชฟทำขนมที่ดีที่สุดในโลก หรือ Best Pâtisserie chef in the world for ‘Les Grandes Tables du Monde’ ในปี 2017, รางวัลเชฟทำขนมที่ดีที่สุดในโลก หรือ Best chef of Pâtisserie ประจำปี 2018 จาก the guide Gault & Millau

ปี 2017 เซดริกได้ออกทัวร์รอบโลกเพื่อนำเสนอและเผยแพร่งานทำขนมของเขา ซึ่งนั่นคือโอกาสที่ทำให้เขาได้ค้นพบกับวัฒนธรรมใหม่ๆ ทั่วโลกเช่นกัน ทั้งในรัสเซีย ญี่ปุ่น จีน ออสเตรเลีย สิงคโปร์ ไทย สหรัฐอเมริกา และเม็กซิโก

ปัจจุบันนี้เซดริกเปิดร้านขายขนม Cedric Grolet ซึ่งมี 2 สาขาในปารีส และอีก 1 สาขาในลอนดอน ถ้าวันไหนคุณได้มีโอกาสแวะไปที่ปารีสหรือลอนดอน คุณคงรู้แล้วว่าคุณสามารถจะไปตามหาความรื่นรมย์แบบง่ายๆ จากเชฟทำขนมที่ว่ากันว่าเป็นเชฟที่ดีที่สุดในโลกจากที่ไหน

แต่หากคุณยังไม่ได้มีโอกาสบินไปยุโรปในเร็วๆ นี้ เพียงแค่คุณเข้าไปในแอ็กเคานต์ออนไลน์ของ Cedric Grolet คุณก็สามารถดูเซดริกทำขนม ซึ่งน่าจะถือเป็นอีกหนึ่งความรื่นรมย์ในชีวิตที่เรียบง่ายที่คุณหาได้เพียงปลายนิ้วของคุณเช่นกัน

ที่มา

ประสงค์ ศุภชาติวงศ์ กับ FUN project by ANOA กระถางเซรามิกจากเครื่องพิมพ์ 3 มิติดีไซน์ล้ำสมัย

นับแต่อดีตกาลนานมา เทคโนโลยีหรือนวัตกรรมอันก้าวหน้าล้ำสมัย นอกจากจะถูกนำไปใช้ในการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ การแพทย์ต่างๆ แล้ว ยังถูกนำมาใช้ในการพัฒนาทางศิลปะในแขนงต่างๆ อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นทัศนศิลป์ งานสถาปัตยกรรม และงานออกแบบในแขนงต่างๆ

แม้แต่งานศิลปหัตถกรรมที่น่าจะอยู่ห่างไกลกันคนละขั้วอย่างงานเซรามิก หรือเครื่องเคลือบดินเผา ก็ยังมีการใช้เทคโนโลยีหรือนวัตกรรมอันล้ำสมัยมาช่วยในการผลิตและออกแบบด้วยเช่นเดียวกัน 

หนึ่งในหลักฐานอันเป็นรูปธรรมคือผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดของแบรนด์ผู้เชี่ยวชาญด้านภาชนะเซรามิกสำหรับแคคตัส ANOA (อะโนอา) ที่หยิบเอานวัตกรรมอันล้ำสมัยอย่างดิจิทัลอาร์ต และเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ (3D printing) มาใช้ในการสร้างสรรค์กระถางแคคตัสเซรามิกเป็นครั้งแรกในประเทศไทย

ในคราวนี้เรามีโอกาสได้มาชมการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดของแบรนด์อย่างกระถางเซรามิกจากเครื่องพิมพ์ 3 มิติ อันสวยงามแปลกตา ในงาน Cactus Home Begin EP.2 Thailand only ณ เซ็นทรัลลาดพร้าว และได้มีโอกาสสนทนากับผู้ก่อตั้งแบรนด์หนุ่มไฟแรงอย่าง ประสงค์ ศุภชาติวงศ์ ถึงที่มาที่ไปและแรงบันดาลใจเบื้องหลังผลิตภัณฑ์อันเปี่ยมดีไซน์สุดล้ำของเขา มาร่วมรับฟังไปพร้อมกัน

ย้อนกลับไป ชื่อแบรนด์ ANOA มีที่มาจากอะไร

ANOA เป็นชื่อของควายพันธุ์หนึ่ง เป็นควายแคระที่พบได้ส่วนใหญ่ในประเทศอินโดนีเซีย ผมและครอบครัวมีความผูกพันกันกับควายพันธุ์นี้ ตั้งแต่ตอนที่ผมเกิด เราเลี้ยงเอาไว้เป็นสัตว์เลี้ยงที่บ้านประมาณ 50 กว่าตัว ก็เลยผูกพันมาตลอดครับ อีกอย่างสมัยผมเรียนภาพยนตร์ ผมก็ทำสารคดีเกี่ยวกับควายส่งประกวดแล้วได้รางวัลสารคดียอดเยี่ยม ได้ไปแข่งต่อที่ญี่ปุ่นด้วย ก็เลยเอาชื่อของควายพันธุ์นี้มาใช้เป็นชื่อแบรนด์ ผมคิดว่าชื่อนี้โดดเด่นไม่ซ้ำใครดี ฟังตอนแรกอาจจะออกเสียงยากสักหน่อย แต่พอได้ยินแล้วติดหู ทำให้คนจำได้ง่าย

แบรนด์ ANOA มีจุดเริ่มต้นยังไง ทำไมถึงสนใจทำธุรกิจนี้

ดั้งเดิมทางบ้านผมทำธุรกิจส่งออกเกี่ยวกับต้นไม้หลากหลายสายพันธุ์อยู่แล้ว เพราะคุณพ่อคุณแม่ของผม (ธำรง และไฮเก้ ศุภชาติวงศ์) ท่านมีความหลงใหลเกี่ยวกับต้นไม้มากๆ และต้นไม้ที่เขาเพาะพันธุ์ก็เรียกได้ว่าเกือบจะดีที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ บางพันธุ์ก็หาไม่ได้ในที่อื่นๆ แต่พอเขาเห็นต้นไม้เหล่านี้ถูกเอาไปใส่ในกระถางพลาสติก เขาก็เลยรู้สึกว่า ทำไมต้นไม้ที่สวยขนาดนี้ถูกเอาไปใส่ในกระถางธรรมดาๆ ดูไม่มีคุณค่าคู่ควรกับต้นไม้ เราจะทำยังไงให้กระถางคู่ควรกับต้นไม้ที่ใส่ลงไป ตอนแรกเราก็ไปหาซื้อตามท้องตลาดนั่นแหละ แต่ซื้อมาใส่แล้วก็ยังไม่ถูกใจ เพราะไม่ตอบโจทย์ที่เราอยากได้ 

ท้ายที่สุดเราก็เชิญศิลปินเซรามิกท่านหนึ่งชื่อคุณสราวุธ อ่อนทอง มาร่วมงานกัน ด้วยความที่ทางเรามีไอเดียและความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับต้นไม้ ส่วนเขามีทักษะและความรู้ความเชี่ยวชาญทางเซรามิก ก็เลยร่วมมือกันกับเขาสร้างแบรนด์นี้ขึ้นมา เราทำงานเหมือนเป็นการช่วยกันทำขึ้นมา เพราะว่าเขามีความคิดสร้างสรรค์ ส่วนเราเป็นคนปลูกต้นไม้ เราก็จะรู้ว่าต้นไม้ต้องการอะไร กระถางแบบไหนที่จะโอบอุ้มชูต้นไม้ได้ดีที่สุด

จุดเด่นและเอกลักษณ์ของแบรนด์ ANOA ที่แตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ คืออะไร

เอกลักษณ์และจุดเด่นของ ANOA ก็คือ เราเป็นแบรนด์แรกๆ ที่ทำกระถางแคคตัสเซรามิกในวงการ กระถางของเรามีรูปทรงและสีสันที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ที่สำคัญ ด้วยความที่เราเป็นคนปลูกและขายแคคตัสมาก่อน เพราะฉะนั้นเราก็จะรู้ว่าแคสตัสแต่ละแบบเหมาะสมที่จะอยู่ในกระถางแบบไหน ที่จะไม่ขโมยซีนแคคตัส แต่สามารถชูให้แคคตัสเด่นขึ้นมาได้ เพราะบางดีไซน์ทำออกมาสวยก็จริง แต่ในความเป็นจริงอาจจะไม่ค่อยเวิร์กในการปลูกต้นไม้ได้จริง คือดูสวย แต่ไปด้วยกันกับต้นไม้ไม่ได้

แล้วกระถางแคคตัสที่ดีควรจะมีคุณสมบัติยังไง

ก็ต้องขึ้นอยู่กับต้นไม้ชนิดนั้น ว่าเป็นต้นไม้ประเภทไหน อย่างแคคตัสนั้นเป็นต้นไม้ที่ต้องการกระถางที่สามารถระบายน้ำและอากาศ หรือมีการไหลเวียนน้ำและอากาศที่ดี ซึ่งกระถางเซรามิกของเรานั้นเคลือบผิวแค่ภายนอก แล้วก็ไม่ได้เคลือบหนามาก ด้วยความที่ไม่ได้เคลือบข้างใน จึงทำให้กระถางสามารถระบายอากาศและน้ำออกมาได้ เพราะดินเผาที่ไม่ได้เคลือบจะมีฟองอากาศ ทำให้น้ำและอากาศสามารถซึมออกมาข้างนอกได้เลย ถึงแม้เราจะเคลือบข้างนอกก็ซึมออกมาได้ จากรอยแตกรอยกะเทาะเล็กๆ บนพื้นผิวที่เรามองไม่เห็นด้วยตา ซึ่งกระถางแบบนี้จะดีกว่ากระถางพลาสติกมาก

ทำงานดีไซน์ที่แปลกและแตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ แบบนี้ คุณเคยมีปัญหาการโดนลอกเลียนแบบบ้างไหม

ก็มีมาเรื่อยๆ แต่เราก็พยายามทำอะไรใหม่ๆ ออกมาเรื่อยๆ เรารู้แหละ ว่าในตลาดมีดีไซน์อะไรบ้าง แต่เราก็จะไม่ทำตามเขา หรือทำอะไรซ้ำๆ เดิม แต่จะพัฒนาต่อไป และฉีกจากแบรนด์อื่นๆ ไปเรื่อยๆ อย่างผลิตภัณฑ์ในโครงการใหม่ของเราชุดหนึ่งเป็นการจับคู่กันระหว่างเซรามิกกับทองเหลือง เพราะผมคิดว่าเซรามิกเองก็มีข้อจำกัดหลายๆ อย่างที่ไม่สามารถทำได้ อย่างเช่นรูปทรงแหลมๆ หรือว่าเล็กๆ บิดๆ เซรามิกจะไม่สามารถทำได้ หรือหากทำได้ก็เปราะมาก แตกง่าย เราก็เอาโลหะอย่างทองเหลือง บรอนซ์ หรืออัลลอย มาใช้ร่วมกันให้มีความแข็งแรง พอดีผมมีเพื่อนในวงการแคคตัส เขาเป็นบริษัททำบรอนซ์ เขาก็มาเสนอผมว่าลองทำเป็นบรอนซ์ดูไหม แล้วก็มานั่งคุย นั่งออกแบบกัน ว่าเราจะเริ่มอย่างไร พอทำเป็นชิ้นงานออกมาเราก็รู้สึกว่าน่าจะไปต่อได้ ยกตัวอย่างอัลลอยเนี่ย น่าสนใจตรงที่มันมีความขลัง พอสัมผัสแล้วพื้นผิวก็แปลกออกไปจากเซรามิก แต่ถ้าเราจับให้อยู่ด้วยกันได้ ก็จะทำให้เกิดดีไซน์ใหม่ๆ ที่น่าสนใจขึ้นมา 

เวลาออกแบบ เราก็ต้องหาจุดเชื่อมระหว่างวัสดุสองชนิด และใช้กระบวนการหลายขั้นตอนจนจบงานได้ ให้เซรามิกกับโลหะอยู่ด้วยกันยังไงให้ออกมาแล้วสวย เราก็ลองผิดลองถูกกันเยอะมาก ทำออกมาเสียก็เยอะ แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะเรามีความหลงใหล เราอยากจะไปให้สุดในสายงานนี้

อย่างงานชุดล่าสุดนี่ฉีกไปสุดทางมาก คือการใช้เครื่องพิมพ์ 3 มิติ มาทำงานเซรามิก ทำไมถึงเลือกใช้เทคโนโลยีชนิดนี้

ด้วยความที่เวลาเราทำงานเซรามิก เราติดปัญหาหลายๆ อย่าง เช่นเวลาเรามีไอเดียหลายอย่าง มีรูปทรงหลายแบบที่เราคิดฝันอยากจะทำ แต่เราใช้มือปั้นขึ้นมาไม่ได้ ผมก็ไปหาข้อมูลทางออนไลน์ ก็ไปเจอเทคโนโลยีเครื่องพิมพ์ 3 มิติ ซึ่งตอนแรกก็เริ่มจากลองซื้อเครื่องพิมพ์ 3 มิติแบบพลาสติกมาใช้ เพราะอยากรู้ว่ามันทำได้ขนาดไหน แต่ก็ยังไม่เวิร์ก ไม่ตอบโจทย์ ทำได้แค่เป็นแม่พิมพ์หล่องานเซรามิก แล้วก็เป็นเทคโนโลยีที่ใครๆ ก็ใช้กันในปัจจุบัน ไม่ได้มีความแปลกใหม่อะไร 

เราก็หาข้อมูลต่อ จนไปเจอเทคโนโลยี 3D Clay Printing (3D Potter) ซึ่งเป็นเครื่องพิมพ์ดินเหนียว 3 มิติสำหรับทำเซรามิกโดยเฉพาะ ที่สามารถพิมพ์ดินเหนียวขึ้นเป็นรูปทรงได้ตามความต้องการ ตามแต่ผู้ออกแบบจะป้อนข้อมูลดิจิทัลเข้าไป แต่ในเมืองไทยไม่มีขาย ต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศ 

เครื่องนี้จะทำงานคล้ายกับเครื่องพิมพ์ 3 มิติแบบพลาสติก แต่จะพิมพ์ดินเหนียวออกมาเป็นเส้นแทน เป็นดินเหนียวที่มีความความหนืดและเปียกอยู่ ซึ่งโดยปกติอุปกรณ์พวกนี้จะไม่ถูกกับน้ำ แต่เราก็มีการดัดแปลงไปเรื่อยๆ จนสามารถใช้งานกับดินเหนียวได้อย่างปลอดภัย ปกติเทคโนโลยีนี้จะเป็นอะไรที่เฉพาะกลุ่มมากๆ แทบไม่มีใครใช้งาน ส่วนใหญ่จะใช้กันในสถาบันการศึกษา ให้นักศึกษาใช้ทดลองทำงานออกแบบ แต่ถ้าเป็นการใช้ทำกระถางแคสตัส ผมเชื่อว่าเราน่าจะเป็นแบรนด์เดียวในโลกที่ทำ เพราะเท่าที่ผ่านมายังไม่เคยเห็นใครทำออกมา

แล้วรูปทรงหรือดีไซน์ของกระถางใครเป็นคนออกแบบ

ผมออกแบบเอง ใช้เวลาหลายปีค่อยๆ หัดทำ ตัวผมเองมีงานประจำอยู่แล้ว คือธุรกิจส่งออกต้นไม้ของครอบครัวเป็นงานหลัก ผมก็ต้องปลีกเวลาตื่นมาตี 3 ตี 4 เพื่อที่จะหัดโปรแกรมออกแบบตัวนี้เอาเอง เพราะมันค่อนข้างเฉพาะทางมาก ส่วนใหญ่การสอนโปรแกรม 3D จะเป็นงานเกี่ยวกับสถาปัตยกรรม ไม่มีใครที่สอนทำงานออกแบบกระถางต้นไม้โดยเฉพาะ ผมก็ต้องเอาโปรแกรม 3D แบบสถาปัตยกรรมมาปรับใช้ ลองผิดลองถูก จับเล็กผสมน้อย โน่นนิดนี่หน่อย เอามารวมกันให้สามารถเป็นอะไรที่เราใช้งานได้ ตัวผมเองก็ไม่มีพื้นฐานทางการออกแบบมาก่อน มีแค่ความอยากจะทำ

เวลาทำงานออกแบบในโปรแกรมที่ว่านี้มีขั้นตอนยังไงบ้าง

แรกสุดเราต้องสร้างรูปทรงขึ้นมาก่อนด้วยโปรแกรม 3 มิติ หลังจากนั้นก็ต้องแปลงเป็นโค้ด เพื่อให้เครื่องพิมพ์เข้าใจ ค่อนข้างซับซ้อน ต้องใช้หลายโปรแกรม ประมาณ 3-5 โปรแกรมร่วมกัน เป็นอะไรที่ค่อนข้างยากอยู่เหมือนกัน เพราะคนที่ทำงานเซรามิก มักจะอยู่คลุกคลีกับดิน การทำโปรแกรมคอมพิวเตอร์นี่เป็นอะไรที่ค่อนข้างตรงกันข้าม แต่จริงๆ การใช้เครื่องนี้ต้องใช้ทั้งการออกแบบโปรแกรม 3 มิติ ในคอมพิวเตอร์ และงานฝีมือผสมกัน มันถึงเป็นอะไรที่ใหม่จริงๆ

หมายความว่าใช้เครื่องพิมพ์ 3 มิติ อย่างเดียวงานยังไม่จบ ต้องใช้มือทำต่อด้วย?

ใช่ครับ ต้องมีการเก็บงาน หรือเก็บรายละเอียดที่เครื่องทำไม่ได้ เราเลยเรียกงานแบบนี้ว่าเป็นงานแบบ ComputerCraft

พอใช้เครื่องพิมพ์ 3 มิติ มาช่วยงานแบบนี้ คุณสามารถผลิตผลงานออกมาในจำนวนมากได้อย่างรวดเร็วแบบเดียวกับระบบอุตสาหกรรมไหม

  ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้ผิดหวัง (หัวเราะ) เพราะการทำงานด้วยเครื่องแบบนี้ช้ากว่าทำด้วยมือมากๆ ปกติช่างของเราทำกระถางเซรามิกไม่กี่ชั่วโมงก็ได้หลายสิบใบแล้ว แต่เวลาทำด้วยเครื่องพิมพ์ 3 มิติ เราไม่สามารถสั่งพิมพ์แล้วทิ้งไว้สามชั่วโมงแล้วค่อยกลับมาดูตอนเสร็จแล้วได้ ต้องมีคนเฝ้า เพราะมันเป็นกระบวนการที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน เพราะดินที่ฉีดออกมายังเปียกอยู่ บางทีขึ้นไปนิดหน่อยก็ล้มพับลงมา เราต้องค่อยๆ ป้อนคำสั่งว่าจังหวะนี้ให้ฉีดดินออกมาน้อยลง หรือจังหวะนี้เพิ่มดินได้ ไม่ใช่อะไรที่ตายตัวที่คอมพิวเตอร์จะทำเองได้ทั้งหมด 

ยังต้องมีคนคอยควบคุมเครื่องอยู่ดี?

ใช่ ถ้าให้เปรียบเทียบก็คงเหมือนหมอใช้แขนกลหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดเพื่อให้ผ่าตัดได้ละเอียดยิ่งขึ้น แต่ก็ยังต้องใช้มนุษย์ควบคุมเครื่องอยู่ดี เหมือนเราใช้เทคโนโลยีช่วยในการทำงานศิลปะในรูปแบบใหม่ๆ ขึ้นมามากกว่า เพราะเทคโนโลยีนี้จะช่วยทำงานดีไซน์บางอย่างที่งานเซรามิกแบบดั้งเดิมไม่สามารถทำได้ หรือทำรูปทรงบางอย่างที่เป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างขึ้นด้วยมือมนุษย์ 

เป็นการขยายขอบเขตความคิดให้สามารถต่อยอดออกมาเป็นความจริงได้?

ใช่ครับ เพราะเราอยากทำอะไรใหม่ๆ ที่ไม่สามารถทำด้วยนวัตกรรมแบบเดิมๆ ได้ เพราะถ้าวัดกันจริง ผมทำกระถางด้วยเครื่องพิมพ์ 3 มิติใบเล็กๆ หนึ่งใบใช้เวลาสองสามชั่วโมง แต่ถ้าทำแบบดั้งเดิม 2-3 ชั่วโมงผมทำได้ 50 ใบแล้ว นวดดิน, ขึ้นรูป, วางบนแป้นหมุน ปั้นปรื๊ดๆๆ ง่ายๆ แต่เครื่องพิมพ์ 3 มิติเราเร่งไม่ได้ ต้องค่อยๆ ทำ ถึงจะเพิ่มเครื่องเป็น 20-30 เครื่อง ก็ทำไม่ได้ เพราะต้องใช้คน 20-30 คนมาคุมเครื่องอยู่ดี แต่ที่ใช้นวัตกรรมใหม่ๆ เพราะเราตั้งใจทำออกมาเป็นงานศิลปะ เราเก็บรายละเอียดให้เนี้ยบทุกใบ ให้เป็นอะไรที่มีคุณค่าจริงๆ บางทีลูกค้าหลายคนที่ซื้อไปเขาไม่ได้เอาไปใส่แคคตัส แต่เอาไปวางโชว์ในตู้ทั้งอย่างนั้นเลย 

ตอนนี้เขาฮิต AI กัน คุณเคยลองใช้ AI ออกแบบกระถางดูบ้างหรือยัง

ยังครับ (หัวเราะ) ผมว่า AI น่าจะข้อมูลยังไม่พอ intelligence คงยังไปไม่ถึง เพราะผมคิดว่า AI ก็คือคนนี่แหละ ที่เอาข้อมูลใส่เข้าไปในดาต้าเบสเยอะๆ จนสามารถคิดด้วยตัวเองได้ แต่กับงานเซรามิกผมว่าน่าจะยังอีกไกล แต่ในอนาคตก็น่าจะสนุก ผมก็รอดูนะว่าต่อไปจะเป็นยังไง

ดีไซน์ของงานชุดนี้ดูสวยแปลกตามาก มีที่มาจากอะไร

จากประสบการณ์ และเครือข่ายที่เราอยู่ในวงการแคคตัส เพราะเราปลูกแคคตัสเอง เราส่งประกวดแคคตัส เราก็จะรู้ว่าเราต้องออกแบบกระถางแบบไหนให้ชูแคคตัสได้มากที่สุด พอเรามี 3D Clay Printing เราก็สามารถควบคุมรูปทรงให้ออกมาได้ดังใจ เพราะมันทำได้ทุกรูปทรง มีความน่าสนใจ และยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน

คือนอกจากจะเป็นกระถางที่สวยงามแปลกตา ยังใช้ในการปลูกแคคตัสได้ดีอีกด้วย

ใช่ครับ ปกติแล้ว กระถางแคคตัสที่เราทำกันอยู่โดยทั่วไปจะไม่ได้สวยทุกมุม บางอันสวยแค่ข้างๆ บางอันสวยตรงมุมบน แต่พอเรามี 3D Clay Printing นี่คือปลดล็อกขีดจำกัดตรงนั้นจนทะลุไปเลย เพราะเราสามารถทำได้สวยทุกมุม กระถางแต่ละใบก็จะออกแบบมาเพื่อปลูกแคคตัสแต่ละพันธุ์โดยเฉพาะ แม้แต่สีของกระถางเราก็ต้องคิดว่าเราจะลงสีเพื่อใส่พันธุ์ไหน มีรายละเอียดยิบย่อยมาก ทำให้เราค่อนข้างมั่นใจว่าลูกค้าเราก็น่าจะรับรู้ได้ว่า เราเป็นคนที่รักต้นไม้ที่ทำกระถางออกมาเพื่อต้นไม้จริงๆ 

พอเป็นเครื่องพิมพ์ 3 มิติ ดินที่ใช้กับเครื่องนี่เป็นดินสังเคราะห์หรือดินจริงๆ จากธรรมชาติ

เป็นดินจริงๆ จากธรรมชาติครับ เป็นดินที่เราหามาจากหลายๆ แห่ง เอามาบด และผสมให้มีความเหนียวพอเหมาะที่จะใช้งานกับเครื่องพิมพ์เครื่องนี้ และถึงแม้จะพิมพ์งานเสียหายเราก็ไม่จำเป็นต้องทิ้งดินไป แต่ปล่อยให้แห้งและนำไปบดละลายน้ำกลับมาใช้ใหม่ได้ ถึงแม้จะนำไปเผาแล้วก็ยังนำกลับมาใช้ใหม่ได้ เราแค่บดให้เป็นผง และผสมทำในสูตรบางงานได้ เราสามารถรีไซเคิลได้ทั้งหมด ซึ่งเป็นกระบวนการทำงานที่เป็นมิตรกับธรรมชาติมากๆ

ผมเลยเรียกโครงการนี้ว่า FUN project เพราะเป็นอะไรที่ผมทำแล้วสนุก และพยัญชนะแต่ละตัวก็สื่อความหมายแทนปรัชญาของการทำงานในโครงการนี้ โดย ‘F’ คือ unlimited FUTURE possibility ส่วน ‘U’ คือ UNIQUE design และ ‘N’ คือ with a touch of NATURE เพราะเราต้องการสร้าง อนาคตแห่งความเป็นไปได้ที่ไร้ขีดจำกัด และการออกแบบที่มีความเป็นเอกลักษณ์ด้วยสัมผัสจากธรรมชาติ

คุณวางแผนอะไรในอนาคตกับแบรนด์ ANOA บ้าง

ในอนาคต เราอยากให้ทุกคนในโลกรู้จักว่า ANOA เป็นแบรนด์กระถางเซรามิกสำหรับแคคตัสที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะผลิตด้วยกระบวนการหัตถกรรม หรือผลิตด้วยระบบ ComputerCraft ช่วงหลังเราเริ่มส่งออกผลิตภัณฑ์ของเราไปยังแถบเอเชีย อย่างประเทศจีน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ทำให้คนเริ่มรู้จักแบรนด์เรามากขึ้น อนาคต เรามีแผนว่าจะส่งออกไปยังยุโรป อเมริกา และอเมริกาใต้ ผมมีความฝันว่าอยากให้แบรนด์ ANOA ไปได้ไกลจนกลายเป็นอันดับหนึ่งของโลก ผมคิดว่าเราทำไหว เพราะเราก็พัฒนาตัวเองและก้าวต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่หยุด (ยิ้ม)

ติดต่อสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของ ANOA ได้ที่ Line OA : @anoa.thailand หรือคลิกลิงก์นี้ lin.ee/Ch2T1Nn หรือเพจเฟซบุ๊ก ANOA

RAVIPA แบรนด์เครื่องประดับไทยที่ตีตลาดคนรุ่นใหม่ด้วยจิวเวลรีสายมูฯ จนได้คอลแล็บกับดิสนีย์

คุณผู้อ่านทั้งหลายที่รักการใส่เครื่องประดับเป็นชีวิตจิตใจ คงไม่มีใครไม่รู้จักแบรนด์เครื่องประดับสัญชาติไทยอย่าง RAVIPA

ขนาดเรา ที่ไม่ใช่แฟนตัวยงของเครื่องประดับเท่าไหร่ แต่นับตัวเองว่าเป็นติ่งการ์ตูนดิสนีย์มาตั้งแต่เด็ก ยังเคยเห็นชื่อแบรนด์นี้ผ่านตาอยู่หลายครั้ง

อ่านถึงตรงนี้อาจงงว่า RAVIPA กับดิสนีย์เกี่ยวข้องกันตรงไหน ขอเฉลยให้ฟังเลยว่า RAVIPA เป็นแบรนด์เครื่องประดับหนึ่งเดียวของไทยที่ได้มีโอกาสไปจับมือกับดิสนีย์ ร่วมกันทำคอลเลกชั่นที่เครื่องประดับทุกชิ้นล้วนได้แรงบันดาลใจมาจากเจ้าหญิงและตัวละครอื่นๆ ในจักรวาลมิกกี้เมาส์

ความปังไม่หยุดแค่นั้น เพราะนอกจากดิสนีย์แล้ว RAVIPA ยังไปจับมือกับแบรนด์สินค้าต่างๆ ที่เราไม่คิดว่าจะมาร่วมงานกันได้ ไล่ตั้งแต่ PAÑPURI, Potato Corner ไปจนถึงโรงแรมห้าดาวหลายแห่ง ตัวแบรนด์เองยังขยายสาขาได้มากกว่า 25 สาขาในเวลาไม่ถึง 10 ปี และที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ RAVIPA เป็นแบรนด์แรกๆ ผู้จุดกระแสสร้อยข้อมือสายมูฯ ที่คนใส่กันเต็มบ้านเต็มเมือง

เช้าวันที่เรามีนัดกับ สา–ธนิสา วีระศักดิ์ศรี หนึ่งในผู้ก่อตั้งแบรนด์ที่ช็อปของเธอภายในห้างเอ็มโพเรียม เราขอให้หญิงสาวเท้าความถึงจุดเริ่มต้นของการปลุกปั้นแบรนด์อายุ 10 ปี และเคล็ดลับที่ทำให้ RAVIPA กลายเป็นเครื่องประดับที่เติมเต็มลุคของคนใส่ให้สมบูรณ์ จนคนรักเครื่องประดับหลงใหลไปตามๆ กัน

Everyday Essential

คุณเป็นคนชอบใส่เครื่องประดับอยู่แล้วหรือเปล่า

ชอบ เพราะใส่แล้วเหมือนได้คอมพลีตลุค สาไม่ได้เป็นสายแฟชั่น ตามเทรนด์ตลอดเวลา ปกติแต่งตัวเรียบง่าย ไม่ตะโกนมาก แต่ก็เป็นเหมือนผู้หญิงหลายคนที่ถ้าไม่ได้ใส่ต่างหูหรือเครื่องประดับเราก็ไม่มีความมั่นใจ สาเลยคิดว่าเครื่องประดับเป็นสิ่งที่ผู้หญิงขาดไม่ได้ สมัยนี้อาจจะเป็นผู้ชายและเพศอื่นด้วย 

ก่อนหน้านี้สาชอบใส่ต่างหูแต่ตอนนี้สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือสร้อยข้อมือ เพราะเป็นเครื่องประดับที่กึ่งๆ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางใจ เราใส่ติดตัวได้ทุกวัน ใส่อาบน้ำ ออกกำลังกาย ซึ่งสาคิดว่าน่าจะเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เราเห็นคนใส่สร้อยข้อมือเยอะ มันเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน (everyday essential) ที่ขาดไม่ได้จริงๆ

รู้มาว่าจุดเริ่มต้นของแบรนด์ RAVIPA มาจากพี่สาวของคุณสาที่เรียนทำเครื่องประดับ

ใช่ค่ะ จริงๆ เริ่มต้นมาจากพี่สาวที่เรียน Jewery Design ที่ซานฟรานซิสโก แล้วไปชนะรางวัลหนึ่งมา ตอนนั้นสากำลังเรียนปี 3 อยู่คณะบัญชี จุฬาฯ ก็ถามเขาว่าเก่งขนาดนี้จะไปรับทำงานฟรีแลนซ์ให้คนอื่นทำไม มาทำแบรนด์เองเถอะ ด้วยความที่ 10 ปีที่แล้วเรายังเด็ก แพสชั่นของเราแรงกล้า สากับพี่สาวก็ลองทำโดยไม่ได้คาดหวังว่า RAVIPA จะโตถึงทุกวันนี้ ถึงขนาดที่ตอนนี้เรามีพนักงานกว่าร้อยชีวิตแล้ว 

ตอนนั้นคุณยังเป็นนักศึกษาอยู่เลย อะไรทำให้มั่นใจว่าธุรกิจนี้จะไปรุ่ง

จริงๆ สาเป็นคนชอบขายของ มีดีเอ็นเอแม่ค้าในตัว สาขายของตั้งแต่ตอนเรียนที่มาแตฯ เขาจะมีกิจกรรมให้ขายของในโรงเรียนหรืองานกีฬาสี แล้วสารู้สึกว่าทุกครั้งที่ได้ทำเรามีแพสชั่นมาก ไม่ได้คาดหวังเลยว่าจะกำไรเท่าไหร่ แต่มีความสุขกับการคิด ขาย คุยกับลูกค้า มีความสุขตลอดเวลา แล้วสาคิดว่านี่เป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่าด้วยซ้ำ 

พอได้มาทำ RAVIPA ก็ยิ่งชอบ อาจเพราะมันเป็นงานดีไซน์ที่ออกมาจากเราตั้งแต่ศูนย์ ตอนเห็นลูกค้าชอบเราก็ดีใจ และพอสเกลธุรกิจมันโตขึ้น ลูกค้าไม่ได้ชอบแค่โปรดักต์แล้ว แต่ชอบทั้งการทำดิสเพลย์ แพ็กเกจจิ้ง แคมเปญของเรา ทุกๆ การชื่นชมของลูกค้ายิ่งทำให้เรามีแพสชั่นกับธุรกิจ

ย้อนกลับไปก่อนก่อตั้งแบรนด์ ตลาดเครื่องประดับเป็นยังไง

งานเครื่องประดับของดีไซเนอร์ไทยมีแค่เจ้าใหญ่ๆ ที่เจ้าของเป็นรุ่นคุณพ่อ รุ่นอากง ช่วง 10 ปีก่อนไม่มีจิวเวลรีสำหรับคนเจนฯ ใหม่หรือนิวเจนฯ เลย ดังนั้น จุดเริ่มต้นของเราจึงเป็นการทำแหวนคู่รักสำหรับวัยรุ่น เพราะเราคิดว่าเวลาวัยรุ่นมีความรักคงอยากใส่แหวนคู่กับแฟน ถ้าต้องรอแต่งงานเลยมันไม่ได้ ต้องจองแฟนไว้ก่อน (หัวเราะ) แล้วแหวนคู่รักเป็นแหวนอินฟินิตี้ ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีใครทำ และมันก็กลายเป็นซิกเนเจอร์ของแบรนด์ในตอนหลัง

ฟีดแบ็กตอนนั้นเป็นยังไง

จำได้เลยว่าสมัยก่อนไม่ได้มีป๊อปอัพสโตร์เหมือนตอนนี้ สาเลยไปเปิดป๊อปอัพสโตร์ที่ตลาดนัดเควิลเลจ จำได้ว่าใส่ชุดนักศึกษาไปขายเลย สอบเสร็จแล้วไปขายต่อ มีลูกค้าเดินมาบอกว่าชอบผลงาน ตอนนั้นดีใจมากจนแทบจะให้เขาฟรี (หัวเราะ) ไม่ได้คิดเรื่องเงินเลย ซึ่งอันที่จริงแพสชั่นในการทำธุรกิจของสาก็ไม่ได้ตั้งต้นจากเงินมาตั้งแต่เริ่ม ไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะต้องรวยร้อยล้านหรือมีเงินเท่าไหร่ 

ถามว่าเงินสำคัญไหม สำคัญนะ แต่สาคิดว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่คนทำงานสร้างสรรค์ต้องคิดเรื่องเงิน ทุกอย่างจะช็อตและคิดไม่ได้ ทุกครั้งที่จะต้องดีไซน์เครื่องประดับใหม่ๆ สาจึงเอาเงินออกจากสมการเสมอ 

Jewelry is Everyone’s Best Friend

ทุกวันนี้มีแบรนด์เครื่องประดับใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย สิ่งที่ทำให้ RAVIPA ชนะใจลูกค้าจนมาซื้อกับคุณได้คืออะไร

ตัวดีไซเนอร์เอง ก่อนจะออกมาเป็นหนึ่งคอลเลกชั่นเราคิดเยอะมาก เราจะออกแบบคอนเซปต์จากอะไร ใครจะใส่คอลเลกชั่นนี้ เหมือนเราเอาลูกค้าเป็นที่ตั้งว่าอยากให้เขาได้ใส่สิ่งนี้เพื่ออะไร เราไม่ได้อยากออกแบบแค่สวยแต่เขาต้องใส่แล้วได้อะไรสักอย่างด้วย อาจเป็นความหมายดีๆ กำลังใจ ได้รับพลังจากเรา หรือความหวังดีที่เราถ่ายทอดผ่านเครื่องประดับ

สาไม่รู้ คิดว่าเราต้องทำแบบเน้นจำนวนเยอะๆ แบบทำมาเลย 5,000 แบบแล้วให้ลูกค้าไปเลือกเอาเอง เราไม่ได้คิดอย่างนั้น สาให้ค่ากับเวลาและเงินที่เขามอบให้ ดังนั้นสิ่งที่เขาได้กลับไปมันต้องมากกว่า และสิ่งนี้แหละที่ถ่ายทอดออกมาเป็นแบรนด์ RAVIPA ที่อัดแน่นไปด้วยความหมาย

อย่างคุณภาพของอัญมณีแต่ละชิ้น เราใช้ของคุณภาพดีที่สุดที่ท้องตลาดจะหาได้ อย่างเครื่องเงินเราใช้ทองขาว พลอยเราก็ใช้อัญมณีแท้ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เรายึดมั่นแต่ที่เพิ่มเติมกว่านั้นคือความหมายของมัน เครื่องประดับของเรายึดคอนเซปต์ Meaningful Jewelry เช่น ไข่มุกที่เป็นสัญลักษณ์ของแม่และส่งพลังของความเป็นผู้หญิง หรืออย่างคอลเลกชั่นที่เราทำกับดิสนีย์ เรามีการจับคู่อัญมณีกับคาแร็กเตอร์ของดิสนีย์ หมายถึงเรื่องราวของตัวละครนั้นกับพลอยที่ใช้จะต้องส่งเสริมไปด้วยกัน มันไม่ใช่แค่ใส่ธีมเจ้าหญิงที่คุณชอบ แต่ใส่แล้วเจ้าหญิงคนนี้จะส่งพลังอะไรให้คุณด้วย นี่คือสิ่งที่ทำให้ RAVIPA แตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ 

การเอาลูกค้าเป็นที่ตั้งมีข้อดียังไง

ถ้าย้อนกลับไปวันที่เราตั้งบูทขายเอง เราคุยกับลูกค้ามาตั้งแต่วันนั้น แล้วสากล้าบอกเลยว่าหลายๆ คอลเลกชั่นที่ออกมาก็เกิดขึ้นเพราะลูกค้า เกิดขึ้นเพราะเราฟังเสียงเขา เราพยายามดีไซน์สิ่งที่ลูกค้าขาดไม่ได้ ไม่ใช่สิ่งที่ดีไซเนอร์ต้องการจริงๆ

อย่างคอลเลกชั่นสร้อยข้อมือศักดิ์สิทธิ์หรือสร้อยข้อมือสายมูฯ ตอนแรกสาอยากทำเพราะสาต้องขึ้นไปพูดในวันสำคัญวันหนึ่ง ซึ่งวันนั้นเรารู้สึกขาดความมั่นใจ จะห้อยสร้อยพระก็ไม่ได้เพราะไม่เข้ากับการแต่งตัวที่โมเดิร์นและดูไม่ใช่เรา แต่เราอยากมีสิ่งยึดเหนียวทางจิตใจ ทำยังไงดีนะ สุดท้ายก็คิดถึงสร้อยข้อมือมูเตลูแบบมินิมอล มูยังไงไม่ให้รู้ว่ามูฯ  เราเลยดีไซน์คอลเลกชั่นนี้ แล้วตอนนั้นเผอิญไปชนะรางวัล Design Excellence Award ขึ้นมาพอดี เราเลยทำขายตอนปี 2019 แบบลิมิเต็ด เพราะจริงๆ ไม่ได้ตั้งใจทำขายแต่ทำเพราะตัวเองอยากใส่

ช่วงโควิดที่ผ่านมา มีลูกค้าคนหนึ่งทักมาบอกว่าช่วยทำคอลเลกชั่นนี้อีกครั้งได้ไหม เขาเคยซื้อช่วงขายลิมิเต็ดแล้วมันดีมาก แต่ตอนนี้เพื่อนเขาตกงาน อยากฆ่าตัวตาย เขาอยากให้เครื่องประดับที่เคยยึดเหนี่ยวจิตใจเขากับเพื่อน ตอนนั้นทำให้สากลับมาย้อนคิดว่าสาทำแบรนด์นี้ไปเพื่ออะไร สาทำเพราะอยากช่วยคนใช่ไหม อยากให้คนได้พลังบวกใช่ไหม ถ้าคำตอบคือใช่แล้วทำไมสาจะไม่ทำคอลเลกชั่นนี้อีกครั้ง ถ้ามันได้ช่วยใครสักคนทำไมเราจะไม่ทำ

สุดท้ายคอลเลกชั่นสายมูฯ ก็กลับมาในปี 2021 เพราะเรารับฟังเสียงลูกค้า ทั้งยังดีไซน์เพื่อตอบโจทย์ความต้องการพื้นฐานของพวกเขา นั่นคือเรื่องความรักและการงาน โดยกำหนดธีมตามองค์เทพหลักๆ เริ่มจากองค์พญานาค พระตรีมูรติ แล้วต่อยอดสู่องค์อื่นๆ  ที่เซอร์ไพรส์สาคือช่วงโควิดสาก้มหน้าก้มตาทำงาน ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาดูว่าคอลเลกชั่นนี้ประสบความสำเร็จแค่ไหน จนสาไปกินข้าวกับเพื่อนนอกบ้านแล้วเห็นว่ามีแต่คนใส่เต็มไปหมด   ช่วงนั้นไม่มีครั้งไหนที่สาออกจากบ้านแล้วจะไม่เห็นคนใส่ RAVIPA เลย สาก็คิดว่าจริงเหรอ แบรนด์เรามาถึงขนาดนี้แล้วเหรอ

ที่ไปไกลกว่าที่คิดคือมีคนดังระดับโลกใส่ของเราด้วย เวลาคนมาถามว่าจ้างหรือเปล่า เราจะบอกว่าเปล่าเลย เพราะจริงๆ เราเป็นแบรนด์เล็กที่เริ่มต้นด้วยตัวเอง ไม่ได้มีเงินถุงเงินถังจะไปจ้างใคร ที่คนดังใส่เพราะเขาซื้อเอง มีแฟนคลับหรือครอบครัวซื้อให้ มันเป็นสิ่งดีๆ ที่บอกต่อปากต่อปาก

อะไรคือเอกลักษณ์ที่ทำให้คอลเลกชั่นมูฯ ของ RAVIPA ต่างจากแบรนด์อื่นๆ 

สิ่งที่อาจจะแตกต่างคือเราทำเพราะเราเชื่อจริง ไม่ได้ทำเพราะมันเป็นกระแสแล้วเรากระโดดเข้ามาทำ แต่เราเป็นคนแรกๆ ที่จุดกระแสมากกว่า 

สาไหว้เจ้าตั้งแต่เด็ก ที่บ้านทำบุญอยู่เสมอ และบ้านของสาอยู่แถววัดแขก เราเลยได้เห็นความเชื่อเหล่านี้มาตั้งแต่เด็ก สานับถือพุทธ รู้จักศาสนาพราหมณ์ ฮินดู และมีเชื้อสายจีน การบูชาทั้ง 3 แบบนี้คือสิ่งที่เราเชื่อมาตั้งแต่ต้น และสาเชื่อว่าลูกค้าที่เขาอินจริงๆ เขาจะรับรู้ว่าเราไม่ได้มั่ว  อย่างคอลเลกชั่นของเราพิเศษตั้งแต่ตัวดีไซน์ที่เราออกแบบทุกเซนติเมตรให้ถูกหลักฮวงจุ้ย มีองศาที่ถูกต้องตามหลักโหราศาสตร์ คือตั้งแต่ดีไซน์ก็ปังแล้ว ยิ่งได้ผ่านการทำพิธีปลุกเสกและการอนุมัติจากซินแสประจำบริษัทด้วยก็ยิ่งเสริมพลังเข้าไปอีก (ยิ้ม)

กว่าจะมาเป็นเครื่องประดับของ RAVIPA หนึ่งชิ้นต้องผ่านอะไรมาบ้าง

ทุกชิ้นใช้เวลากว่า 6 เดือนในการสร้างสรรค์ ตั้งแต่การออกแบบที่เราต้องระดมความคิดหาคอนเซปต์ สร้างตัวต้นแบบที่สาต้องลองก่อน ถ้ารู้สึกว่าอันไหนไม่ดี ไม่ชอบ สาจะไม่ทำต่อ คือสามองว่าถ้าเรายังไม่อยากใส่แล้วลูกค้าจะอยากไหม เทียบกับร้านอาหารก็เหมือนเราไม่กินอาหารที่ร้านตัวเอง  

สิ่งที่เรายึดถือไว้ในใจคือคำว่า Minimal Everyday Wears เครื่องประดับของ RAVIPA ไม่ได้ทำเพื่อใส่วันเดียวแล้วจบแต่ต้องเป็นจิลเวลรีที่ใส่ได้ทุกวัน ต่างหูคู่หนึ่งสามารถใส่ไปพรีเซนต์งาน ไปงานแต่ง ไปกินข้าวกับเพื่อนก็ทำได้ ต้องเป็นอะไรที่ใส่แล้วคุ้ม คลาสสิก ใส่ได้ในหลายลุค 

เราอยากให้ลูกค้าได้รับสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ อย่างถ้าได้มาที่ร้าน สามั่นใจเลยว่า พนักงานของสาจะไม่ได้แนะนำของที่แพงที่สุดให้ แต่จะแนะนำสิ่งที่เหมาะกับเขาที่สุด เพราะสุดท้ายสาเชื่อว่าพนักงานทุกคนมีความเชื่อเหมือนกันคือถ้าลูกค้าใส่แล้วรู้สึกดี เขาจะกลับมาหาเรา 

A Dream Is A Wish Your Heart Makes

หนึ่งในคอลเลกชั่นที่สร้างชื่อให้ RAVIPA คือคอลเลกชั่นที่คุณร่วมงานกับดิสนีย์ คุณไปจับมือกับแบรนด์ระดับโลกขนาดนี้ได้ยังไง

สาเคยพูดลอยๆ ทีหนึ่งว่า ถ้าเลือกคอลแล็บกับแบรนด์หนึ่งแบรนด์ที่ฝันอยากจะคอลแล็บด้วยที่สุด สาอยากคอลแล็บกับดิสนีย์ หลังจากนั้นไม่กี่เดือนต่อมา ช่วงปลายๆ โควิดระลอกแรก ทางดิสนีย์ส่งอีเมลมาว่า “Hello from Disney” ตอนแรกสาก็เอ๊ะ เราจองตั๋วไปดิสนีย์แลนด์ไว้หรือเปล่า ไม่มีนี่นา เพราะเราเป็นแฟนคลับดิสนีย์ ต้องไปดิสนีย์แลนด์ทุกปี แต่พอเปิดอ่านอีเมลดูแล้วรู้ว่าเขาอยากร่วมงานกับแบรนด์จิลเวลรีรุ่นใหม่และเขาอยากร่วมงานกับเรา นี่เรียกได้ว่าเป็นฝันที่เป็นจริงของเราเลย  

กระบวนการหลังจากนั้นคือการร่วมงานกัน อย่างในโลโก้จะเห็นว่ามีเครื่องหมาย x หรือ | ซึ่งดิสนีย์เขาเรียกว่าเป็นการ co-branding หรือการทำงานร่วมกันที่ไม่ใช่แค่ให้ลิขสิทธิ์ตัวละครของเขามาเฉยๆ ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่เรามองหา สาเลยได้ทำงานร่วมกับดิสนีย์ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อดีไซน์เครื่องประดับร่วมกัน

นอกจากดิสนีย์จะเห็นได้ว่า RAVIPA ไปจับมือร่วมงานกับแบรนด์อื่นๆ เช่น Potato Corner, PAÑPURI, Grab และโรงแรมระดับห้าดาวอีกมากมาย คุณมีเกณฑ์ในการเลือกแบรนด์ที่จะร่วมงานด้วยหรือเปล่า

เหมือนทุกครั้งที่เราทำสินค้าใหม่ เราจะยึดว่าต้องเป็นโปรดักต์ที่เราใส่แล้วรู้สึกใช่ มันคือตัวตนของเรา การคอลแล็บก็เหมือนกัน สาคิดว่าสาต้องชอบหรือเคยใช้แบรนด์นั้น ต้องเคยเป็นลูกค้าของเขาก่อน หรือหากไม่เคย สาก็ต้องเข้าไปเป็นลูกค้าของเขาเพื่อเข้าใจว่าเขาเป็นยังไง ถ้าไม่ดีจริงเราก็ไม่อยากแนะนำเขาให้ลูกค้าของเรา สาไม่อยากหลอกขายลูกค้า เพราะเรามีทุกวันนี้ได้เพราะลูกค้าทั้งนั้น ดังนั้นแบรนด์ที่เราจับมือด้วยต้องดีพอสำหรับพวกเขาด้วย นี่คือสิ่งที่สาเลือก

อยากรู้เรื่องกลยุทธ์การขยายสาขาบ้าง เพราะ RAVIPA  ขยายสาขาเยอะมากในช่วงปีที่ผ่านมา อะไรคือเคล็ดลับเบื้องหลังการขยายสาขาเหล่านี้

คนถามมาเยอะมากทำไมขยายเยอะขนาดนี้ ทำทัน ทำไหวได้ไง สาบอกเลยว่ามันไม่มีคำว่าพร้อม เมื่อโอกาสมา พื้นที่มีจำกัด แต่เรายังไม่กล้าไป คนอื่นจะชิงเซ็นสัญญาแล้วได้พื้นที่นั้นไปอีก 3-5 ปีเลยนะ แล้วพื้นที่นั้นมันจะวนกลับมาหาเราอีกไหม สารู้สึกว่ามันคือการที่เราต้องปรับตัวมากกว่า ที่สำคัญคือต้องกล้าลอง เพราะแน่นอนว่าแต่ละห้าง แต่ละสถานที่มีกลุ่มลูกค้าต่างกัน สิ่งที่เราทำได้คือเราต้องปรับตัว นั่นคือคีย์เวิร์ดที่ทำให้ RAVIPA มีหลายสาขาได้

อีกอย่างคือ จะเห็นได้ว่าเราขยายสาขาทั้งแบบหน้าร้านสโตร์และ kiosk ในแต่ละห้างด้วย ซึ่งจริงๆ แล้วสาชอบแบบ kiosk มากกว่าเพราะเป็นสิ่งที่จับต้องง่าย เข้าถึงง่าย ชวนลูกค้าให้มาลองสวมใส่ จะสังเกตได้ว่าเครื่องประดับของ RAVIPA จะเป็นเชลฟ์แบบเปิด เพราะสารู้สึกว่าจิลเวลรีต้องเข้าถึงได้ ลูกค้าไม่ต้องมา “ขออนุญาตนะคะ เปิดตู้ได้ไหม” สารู้สึกว่ามันเขินที่ต้องพูดแบบนี้ เราอยากเป็นจิลเวลรีที่ “ลองเลยค่า อยากให้ลองใส่ดูจัง” เป็นจิลเวลรีที่เป็นมิตร ไม่ได้อยากเป็นเครื่องประดับหรูๆ หยิ่งๆ ในตู้กระจก 

Small Fish Dies, Quick Fish Survives

ทำแบรนด์มา 10 ปี ความท้าทายในวันนี้ของ RAVIPA คืออะไร

สาคิดว่าโลกเปลี่ยนแปลงเร็ว ไม่ว่าจะทำธุรกิจอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นจิลเวลรี แฟชั่น เสื้อผ้า เราต้องตามเทรนด์ให้ได้ หมายถึงไม่ได้ตามกระแสอย่างเดียวแต่เราต้องเข้าใจยุคสมัย เช่น ตอนนี้คนเริ่มไปอยู่ TikTok เราก็ต้องไปอยู่ในนั้น หรือเขาไปช็อปใน e-Commerce กัน ถ้าเราไม่ไปเราจะขายยากขึ้น

แล้วยิ่งช่วงโควิดที่ผ่านมาเป็นตัวพิสูจน์ว่าทุกอย่างมันเปลี่ยนเร็ว เราต้องปรับตัวให้ทัน ในโลกธุรกิจจะมีคำว่าปลาใหญ่กินปลาเล็กแต่สามองไว้เสมอว่า RAVIPA เป็นปลาเร็วที่รอดในตลาด เราไม่ได้มีกำลังสู่กับปลาใหญ่อยู่แล้ว แต่เราเป็นปลาเล็กที่เร็วมาก พอคลื่นมาเราก็ซอกแซกเปลี่ยนคลื่น ทำให้เรารอดขึ้นมาได้

คุณเรียนรู้คำว่าปลาเร็วมาจากไหน

น่าจะมาจากฟีดแบ็กจากทีมที่บอกว่าสาทำงานเร็ว โอกาสมาเราคว้า เราทำ เราต้องรีบปรับตัวเพราะเราไม่ได้เป็นบริษัทเงินทุนหนา ไม่กู้ใครมา ทุกอย่างมาจากการเก็บเงินแล้วเอากำไรต่อยอดเรื่อยๆ ดังนั้นสาเห็นคุณค่าของเงินและคิดว่าถ้าเราไม่สามารถแก้ปัญหาด้วยเงินได้ เราต้องแก้ด้วยความสามารถ ความอึด และความอดทน

ในการทำธุรกิจ สิ่งสำคัญที่คุณยึดถือมาตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้คืออะไร 

สาเชื่อในความเห็นอกเห็นใจมากๆ เลย  ไม่ใช่แค่กับลูกค้าที่สาคิดว่าของที่เราส่งต่อให้เขาต้องเป็นของดี มีคุณภาพ ไม่หลอกขาย ทว่ารวมไปถึงทีมด้วย 

สาอยากมีความเห็นอกเห็นใจกับเด็กๆ ในทีม มีหลายครั้งในการทำงานที่สาเก็บไปคิดว่าเราพูดแบบนี้ไปน้องโอเคไหมนะ เราทำงานเยอะไป น้องไหวไหมนะ สาเป็นคนคิดเยอะเพราะสาใส่ใจเขา ในขณะเดียวกันสิ่งนี้ก็เป็นความอบอุ่นที่เกิดขึ้นในทีม สาไม่ได้คิดว่าเขาคือลูกจ้างเราแต่คิดว่าเขาเป็นน้องเรา เป็นทีมเดียวกัน แล้วสาเชื่อว่าความจริงใจและความเห็นอกเห็นใจที่สื่อออกไปเด็กในทีมก็คงรู้สึกได้ หรืออย่างพาร์ตเนอร์ของเรา สาคิดว่าการร่วมมือกันมันต้อง win-win ทั้งสองฝ่ายมากที่สุด สำหรับสา 1+1 ต้องได้ 10 ไม่ใช่ได้ 2 เราพยายามซัพพอร์ตพาร์ตเนอร์ให้แฮปปี้กับการทำงานมากที่สุด 

ในวันนี้ กำไรสำคัญกับธุรกิจของคุณมากแค่ไหน

ถ้าบอกว่าเงินไม่สำคัญคงโกหกเพราะการทำตามความฝันต้องใช้เงิน ในขณะเดียวกันเงินก็ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดเสมอไป ถ้าถามสาว่าทุกวันนี้ RAVIPA มีรายได้เท่าไหร่ สาไม่รู้นะ ไม่ได้โกหกด้วย เพราะสามัวแต่มองไปข้างหน้าว่าจะทำอะไรต่อ มีสิ่งที่อยากทำเต็มไปหมด สิ่งหนึ่งที่คิดไว้เสมอคือทำอะไรขอแค่ไม่ขาดทุน คิดถึงเรื่องเงินได้แต่ไม่ได้เอาเงินมาเป็นที่ตั้งหรือสิ่งที่คิดเป็นอย่างแรกตอนตั้งโปรเจกต์ อย่างที่สาเคยบอกไปว่าเมื่อไหร่ที่เอาเงินมาอยู่ในสมการ ความคิดสร้างสรรค์และแพสชั่นของสาจะหายไป เราตั้งโปรเจกต์ด้วยจุดประสงค์ว่าเราอยากได้เครื่องประดับแบบไหน ตอบโจทย์ลูกค้ายังไงมากว่า ไม่รู้ว่าเป็นวิธีที่ดีไหมแต่เป็นวิธีที่สาใช้ทำงาน

หากเงินไม่ได้สำคัญที่สุดกับธุรกิจ แล้วอะไรคือสิ่งสำคัญสำหรับคุณ

ลูกค้าแล้วกันค่ะ เมื่อก่อนจะเป็นคำชมที่เขามีให้เครื่องประดับเราแต่ตอนนี้คือการที่เขาใช้เวลาร่วมกับเรา อย่างล่าสุดเราเพิ่งปิดโรงหนังเรื่อง The Little Mermaid เพื่อดูกับลูกค้า เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้สาชื่นชมเขามากเพราะลูกค้าสาเขาเป็นคนที่มีกำลังซื้อระดับหนึ่ง จะไปดูเองก็ได้แต่เขาก็ยังเลือกจะมาดูหนังกับเรา สาเป็นคนที่ให้ค่ากับเวลามากนะ แล้วการที่ลูกค้ามาร่วมดูกับ RAVIPA นั่นยิ่งทำให้สาชื่นชมเขามากขึ้นไปอีก นี่คือแรงซัพพอร์ตที่เป็นกำลังใจให้สาขับเคลื่อนธุรกิจต่อไป

คุณมองอนาคตแบรนด์ไว้ยังไงบ้าง

สาอยากเป็นแบรนด์ไทยที่อยู่ใน wish list ของชาวต่างชาติเวลาเขามาเที่ยวประเทศไทย เหมือนเวลาเราไปต่างประเทศต้องไปดูช็อปของ Dior อะไรแบบนี้ สารู้สึกว่าถ้าเขามาประเทศเราแล้วมาหา RAVIPA มันคงเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจมาก

อีกความน่าภาคภูมิใจอย่างหนึ่งคือตอนเดินทางไปต่างประเทศแล้วลูกค้าที่รู้จักเราเห็นว่าเครื่องประดับของเรามีขายที่นั่นด้วย RAVIPA มาถึงนี่แล้วเหรอ สาคิดว่านี่ไม่ได้เป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจแค่ตัวสาหรือครอบครัวแต่หวังว่าจะเป็นความภูมิใจเล็กๆ ของคนไทยด้วย

การทำแบรนด์ RAVIPA ให้มาไกลขนาดนี้ได้มีความหมายกับคุณยังไง

ตั้งแต่ตอนเป็นนักศึกษาจนถึงตอนนี้ สาไม่ได้คาดหวังว่า RAVIPA จะมาไกลขนาดนี้ ทุกครั้งที่ทำบางสิ่งสำเร็จแล้วสาจะเซตเป้าหมายถัดไปทันที เหมือนอยากท้าทายตัวเองไปเรื่อยๆ และทุกครั้งที่สำเร็จสาก็ภาคภูมิใจกับมัน อย่างการได้ไปคอลแล็บกับแบรนด์ในฝันอย่าง Disney และโปรเจกต์อื่นๆ ที่จะตามมาในอนาคต สิ่งเหล่านี้ทำให้เราคิดว่า “แบรนด์ไทยเนี่ยนะ แบรนด์ที่เราปั้นกับมือเนี่ยนะจะร่วมงานกับแบรนด์ระดับโลกได้แล้ว” สาคิดว่าการทำแบรนด์นี้เติมเต็มความฝันของตัวสาเอง ทำให้สาอยากทำมันต่อไปเรื่อยๆ

10 ขั้นตอนการเริ่มต้นทำธุรกิจคาแร็กเตอร์ลิขสิทธิ์จากตัวอย่างความสำเร็จของ กรชนก ตรีวิทยานุรักษ์ ผู้ผลิตตุ๊กตา Moomin, Mr. Men & Little Miss, LINE FRIENDS ฯลฯ

สำหรับคนที่มีคาแร็กเตอร์การ์ตูนในดวงใจและอยากทำธุรกิจน่าจะเคยฝันถึงการเป็นเจ้าของแบรนด์สินค้าคาแร็กเตอร์สุดน่ารักที่ตัวเองชื่นชอบ ข้อดีของธุรกิจนี้คือมีตลาดรองรับเพราะหากคาแร็กเตอร์เป็นที่รู้จัก นั่นแปลว่ามีกลุ่มแฟนคลับที่มีความชอบเหมือนคุณซึ่งตั้งตารอซื้อสินค้าอยู่แล้ว
.
เราขอรวบรวม 10 ขั้นตอนการเริ่มต้นทำธุรกิจคาแร็กเตอร์ลิขสิทธิ์ให้สำเร็จและยืนระยะได้อย่างแข็งแกร่ง จากตัวอย่างของอาณาจักรธุรกิจตุ๊กตาสุดน่ารักทั้ง Moomin, Mr. Men & Little Miss, Miffy, We Bare Bears, LINE FRIENDS, Looney Tunes ฯลฯ ที่ ทอย–กรชนก ตรีวิทยานุรักษ์ ถือลิขสิทธิ์ภายใต้หลายบริษัท ทั้งบริษัท CODEC Creation, Present Tale และ CODY Factory

มาดูขั้นตอนตั้งแต่เริ่มจนขั้นตอนการพัฒนาธุรกิจกันเลยว่าคุณเหมาะไหมที่จะก้าวเข้ามาในธุรกิจนี้

1. เลือกตัวการ์ตูนจากความชอบและไทม์มิ่งที่เหมาะสม

สิ่งที่ทำให้คาแร็กเตอร์จะรอดหรือร่วงคือจังหวะเวลาที่เหมาะสม การเลือกตัวการ์ตูนที่เป็นที่รู้จักอยู่แล้วจะทำให้ขายง่าย หากการ์ตูนที่เราชอบยังไม่ดังในตอนนั้น ก็ต้องรอเวลาจนกว่าคาแร็กเตอร์นั้นจะดังขึ้น อย่าง Mr. Men & Little Miss ที่ซื้อลิขสิทธิ์ก่อนที่คนจะรู้จักแพร่หลายราว 5-6 ปี  

2. ติดต่อเจ้าของลิขสิทธิ์และหาพาร์ตเนอร์ที่ช่วยเสริมจุดแข็ง

ในการติดต่อซื้อลิขสิทธิ์ ต้องยื่นข้อมูลโปรไฟล์บริษัทว่าเราคือใคร ทำสินค้าแบบไหน หากมีโรงงานเป็นของตัวเองและแหล่งการขายอยู่แล้วจะได้เปรียบในการนำเสนอจุดแข็งของบริษัท สามารถหาพาร์ตเนอร์ที่ช่วยเสริมจุดแข็งด้านการเจรจาซื้อลิขสิทธิ์และการผลิตมาช่วยเราได้ 

3. ศึกษาคาแร็กเตอร์จากไกด์ไลน์โดยเจ้าของลิขสิทธิ์

ส่วนใหญ่เจ้าของลิขสิทธิ์จะมีข้อแนะนำในการนำคาแร็กเตอร์ไปใช้ เป็นไกด์หรือหนังสือเกี่ยวกับคาแร็กเตอร์นั้นๆ สำหรับให้ศึกษา ก่อนผลิตสินค้าจึงควรศึกษาข้อแนะนำเหล่านี้ให้ละเอียด

4. เตรียมใจในการแก้แบบที่ต้องใช้เวลาและมีต้นทุนสูง

การส่งแบบให้เจ้าของลิขสิทธิ์ตรวจต้องเผื่อเวลาในการพัฒนาและแก้แบบ อย่างตุ๊กตาของกรชนกถูกแก้มาแล้วมากกว่า 20 ครั้ง และหนึ่งคอลเลกชั่นใช้เวลาราว 6-8 เดือนในการพัฒนา ใส่ใจรายละเอียดทุกจุด ต้องถ่ายวิดีโอทุกมุมและส่งสินค้าไปให้เจ้าของลิขสิทธิ์ตรวจ

5. หากอยากออกแบบให้ทำท่าพิเศษต้องเสนอเจ้าของลิขสิทธิ์ก่อน

การออกแบบให้คาแร็กเตอร์ทำท่าพิเศษที่ถูกใจคนไทยจะทำให้สินค้ามีความน่าสนใจ เช่น ตุ๊กตาท่ายกมือไหว้ ใส่ชุดไทย หรือทำท่าต่างๆ ที่เจ้าของคาแร็กเตอร์ยังไม่เคยทำ แต่ต้องเสนอเจ้าของลิขสิทธิ์ก่อน

6. เล่าสตอรีให้คนรักและอินกับคาแร็กเตอร์

เลือกคาแร็กเตอร์ที่มีเรื่องราวและเล่าเรื่องราวเหล่านั้นให้คนรัก ไม่ว่าจะเป็นคาแร็กเตอร์นี้เป็นใคร มาจากไหน มีเนื้อเรื่องอะไร มีนิสัยแบบไหน เพราะคนมักชอบตัวละครจากสตอรีที่ตรึงใจ

7. พาคาแร็กเตอร์ไปอยู่ในที่ที่คนเห็นบ่อยๆ

ทำให้คนเห็นบ่อยๆ เช่น ใช้การตลาดแบบอินฟลูเอนเซอร์เข้าช่วย วางขายที่ห้างสรรพสินค้าชื่อดัง
เมื่อคนเห็นผ่านตาบ่อยครั้งจะทำให้คนรู้สึกว่าตัวละครตัวนี้มีกระแสและอยากรู้จักคาแร็กเตอร์นั้นเพิ่มเติม

8. ทำโปรดักต์หลายแบบให้คนซื้อซ้ำได้

เพิ่มโอกาสให้คนซื้อซ้ำได้เพราะสินค้าบางอย่างอาจไม่ได้ซื้อตลอดเวลา เช่น ตุ๊กตา เลือกประเภทสินค้าที่มีข้อได้เปรียบด้านการผลิตจะได้เปรียบ เช่น จากการผลิตตุ๊กตาเป็นหลักก็ขยายไลน์สินค้าเป็นโปรดักต์ที่ทำจากผ้ามีขน เช่น รองเท้าสลิปเปอร์ พวงกุญแจ กระเป๋า

9. ทำโปรดักต์หลายช่วงราคาให้คนเข้าถึงได้

การทำสินค้าชิ้นเล็กจะทำให้สามารถขายในราคาที่ถูกลงและเข้าถึงคนได้มากขึ้น อย่างพวงกุญแจขนาดเล็กที่มีราคาไม่แพงและเข้าถึงเด็กๆ ได้ง่าย

10. ซื้อลิขสิทธิ์คาแร็กเตอร์อื่นๆ เพิ่มเพื่อสะสมความน่าเชื่อถือ

นอกจากการขยายคาแร็กเตอร์ในพอร์ตให้มีหลายตัวจะช่วยเพิ่มโอกาสทางการขายแล้ว ยังช่วยเพิ่มความเชื่อถือในเวลาที่อยากซื้อลิขสิทธิ์เพิ่ม หาพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจเพิ่ม หรือแตกแบรนด์เพื่อขยายธุรกิจ

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ capitalread.co/codec-creation

หลัก 4P+1 และปรัชญาของสตูดิโอ ‘ซ่อมด้วยรัก’ ที่รับซ่อมเซรามิกแตกให้งดงามด้วยศิลปะคินสึงิ

คินสึงิ คือศิลปะการซ่อมกระเบื้องที่แตกด้วยยางรัก เกิดเป็นรอยร้าวสีทองที่งดงามแม้เคยแตกเป็นเศษเล็กเศษน้อยไปแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งนอกจากจะเป็นศิลปะแล้ว แก่นของคินสึงิยังเป็นปรัชญาทางเซนด้านการยอมรับในความไม่สมบูรณ์แบบของตัวเองด้วยเช่นกัน

ตูน–ชยานันท์ อนันตวัชกร เป็นศิลปินคินสึงิที่ทำงานศิลปะเป็นงานอดิเรกอย่างจริงจังจนเปิดเพจชื่อ ‘ซ่อมด้วยรัก Kintsugi Thai’ ที่ปัจจุบันมีคนติดตามกว่าสามพันคนและรับซ่อมให้คนที่ทำถ้วยชาหรือภาชนะของรักของหวงแตก 

ความหลงใหลในศิลปะของตูนเริ่มจากการชอบดื่มชามาก่อนซึ่งนำพาให้เขาได้สัมผัสกับวัฒนธรรมการดื่มชา ศึกษาลงลึกตั้งแต่เรื่องราวเกี่ยวกับใบชาไปจนถึงประวัติศาสตร์ของถ้วยกระเบื้องและเซรามิกที่ใช้ดื่ม จนเริ่มสะสมถ้วยชาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากการเดินทางท่องเที่ยวเพื่อเก็บความทรงจำเหล่านั้นในจักรวาลแห่งถ้วยชา  

การบังเอิญทำถ้วยชาใบหนึ่งแตกเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ตูนรู้จักกับคินสึงิ เขาศึกษาเองและลองทำเองด้วยความสนุกจนมีคนติดตามและส่งภาชนะใบรักมาให้ซ่อมเรื่อยๆ ตูนมองตัวเองเป็นทั้งศิลปินที่ทำงานศิลปะและ craftsman ซึ่งต้องสะสมทั้งประสบการณ์และออกนอกกรอบในขณะเดียวกัน ในการทำงานคราฟต์ต้องสะสมระยะเวลาฝึกฝีมือจนเชี่ยวชาญคล้ายเชฟซูชิที่แล่ปลาเก่งจากการสะสมประสบการณ์แล่ปลานับครั้งไม่ถ้วน ส่วนงานศิลปะก็ต้องออกนอกกรอบเพื่อสร้างเอกลักษณ์ของตัวเอง และการทำงานคินสึงิของตูนก็เป็นทั้งสองแบบนั้น  

แม้จะเป็นงานศิลปะที่ไม่ได้ตั้งใจขยายเป็นธุรกิจที่คิดกำไรอย่างจริงจัง แต่งานคินสึงิของตูนก็เป็นทั้งการซ่อมสินค้า (product) ให้ถ้วยชาที่มีรอยร้าวกลับมาผสานกันดังเดิมในทางตรงและเป็นกระบวนการ (service) ซ่อมใจที่แตกสลายในทางอ้อม ทำให้ความหมายของชื่อสตูดิโอซ่อมด้วยรักมีความหมายอันลึกซึ้งเป็นสองแบบ 

(Art) Product
ศิลปะการซ่อมถ้วยชาที่แตกร้าว 

‘รัก’ ในความหมายแรกของ ‘ซ่อมด้วยรัก’ หมายถึงยางรักซึ่งใช้เชื่อมกระเบื้องเซรามิกที่แตกให้ติดกัน

คินสึงิจัดเป็นศิลปะประเภทงานเครื่องเขิน (lacquer art) แก่นของการทำคือใช้วัสดุจากธรรมชาติ เนื่องจากในสมัยก่อนยังไม่มีกาวสังเคราะห์เหมือนในยุคปัจจุบัน คนโบราณจึงคิดค้นประดิษฐ์กาวจากธรรมชาติเรียกว่ายางรักหรืออุรุชิที่ได้มาจากยางต้นไม้ของญี่ปุ่นและมีคุณสมบัติประสานวัตถุเข้าด้วยกัน 

การทำกาวจากธรรมชาติจะใช้แป้งผสมกับยางรัก ซึ่งตูนลงมือผสมด้วยตัวเอง “ยางรักนี้จะได้รับผลกระทบต่อความชื้นและความร้อนของอากาศ พอมาทำที่บ้านเราซึ่งความชื้นของอากาศต่างกับญี่ปุ่นและได้ยางจากต้นไม้คนละพันธ์ุ เราก็ต้องมาประยุกต์การผสมอุรุชิของเราเอง แป้งที่นำไปผสมกับยางรักจะมีความเหนียว มีคุณสมบัติสามารถแอนตี้แบคทีเรียและปลอดภัยต่อการบริโภค มันก็เลยเวิร์กกับการมาทำเครื่องดื่มชา” 

กระบวนการแรกเมื่อได้เศษกระเบื้องที่แตกมาแล้วคือหาเศษชิ้นส่วนที่พอดีกัน “เวลากระเบื้องแตก เราก็ต้องมาดูลักษณะการแตกว่ามันแตกยังไง บางอันร้าว บางอันแตกแยกจากกันเลย” ตูนบอกว่าสำหรับงานบางประเภทจะสามารถหยิบชิ้นส่วนที่แตกหักมาต่อกันได้เลยเหมือนต่อจิ๊กซอว์ แต่กระเบื้องบางชิ้นที่แตกเป็นขุยจากการเผาในอุณภูมิต่ำต้องใช้เครื่องมาเจียให้มีช่องว่างก่อนใส่ (ยาง) รักเชื่อมเข้าไป 

“พอเราแปะเข้าไปเสร็จก็เอาไปบ่มไว้ให้จับตัวแข็งมากขึ้น มั่นใจได้เลยว่าจะไม่กลับมาแตกอีก ถ้าฟังเสียงเคาะของงานคินสึงิจะเป็นเสียงเดียวกันเลยกับชิ้นที่ยังไม่แตก โดยทั่วไปคนที่ดื่มชาจะทะนุถนอมอยู่แล้วเพราะฉะนั้นความแข็งแรงในระดับนี้มากพอที่จะนำไปใช้งานต่อได้ปกติ”  

หลังจากนำกระเบื้องมาติดประกบกันแล้วจะมีรูพรุน จึงต้องเชื่อมชั้นพื้นฐานให้แน่นด้วย ‘ซาบิอุรุชิ’ คือการนำอุรุชิไปผสมกับผงดินชนิดหนึ่งเพื่อเอาไปอุดรูเหมือนยาแนว จากนั้นเอาไปขัดด้วยกระดาษทรายเพื่อให้ได้เส้นที่เนียนสะอาดและเก็บรายละเอียดความเนี้ยบของเส้นเชื่อมด้วยการลงยางรักซ้ำราว 3-4 รอบ 

“และขั้นตอนสุดท้ายคือลงทอง ตอนที่ยางรักยังไม่แห้งและไม่เปียกจนเกินไปก็นำฝุ่นทองที่บดละเอียดมาโรยและปัดซึ่งบ้านเราไม่มีขาย การลงรักปิดทองของบ้านเราจะเป็นการเอาทองคำเปลวมาแปะ ถ้าฝุ่นทองของญี่ปุ่นจะนำทองมาบดจนละเอียดแล้วใส่เข้าไปในน้ำ บดไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นเกล็ดเล็กๆ นำไประเหยออกให้กลายเป็นฝุ่น ซึ่งจะเป็นทองคำแท้ กลายเป็นต้นทุนที่ค่อนข้างสูงในการซ่อม พอรักแห้ง มันจะหลอมรวมกัน เกลี่ยเข้าด้วยกันแล้วจะเนียนไปกับพื้นผิวและทนต่อแรงขูดขีด”

กระบวนการทั้งหมดนี้ตูนเรียนรู้ด้วยตัวเองจากหนังสือและบล็อกต่างๆ ที่คนญี่ปุ่นเขียนไว้ “เคยมีบทสนทนากับคนญี่ปุ่นเหมือนกันว่าวิธีคิดของคนญี่ปุ่นที่ทำงานคราฟต์ดั้งเดิมจะไม่เหมือนกับที่เราทำเท่าไหร่ ของเขาจะมีสำนัก มีครูและมีศิษย์ มีหลักการว่าแตกยังไงก็ต้องซ่อมแบบนั้นซึ่งเป็นสิ่งที่ทำสืบทอดกันมาตลอด ส่วนเราไม่เคยเข้าไปเรียนในคลาส academic ของเขา ทำให้ไม่ค่อยมีกรอบ เราทดลองทำเองมาเรื่อยๆ ทำลายกรอบเหล่านั้นแล้วเดินตามทางของเรา คล้าย beginner’s mind ของคนวาดรูปที่ไม่เคยผ่านอะไรมาจะแตกต่างกับคนที่เรียนจากอาจารย์แล้วค่อยๆ พัฒนา มันจะคนละแบบกัน เราจะมีอิสระในการทำงานศิลปะต่างจากคนที่เรียนคินสึงิโดยตรงมาจากทางญี่ปุ่นเลย”  

เพราะชอบการพลิกแพลงจึงไม่น่าแปลกใจที่นอกจากซ่อมถ้วยชา ตูนยังนำเทคนิคคินสึงิมาใช้ซ่อมภาชนะประเภทอื่นที่ผู้คนทำแตกและอยากให้ซ่อมอีกมากมายอย่างกระปุกน้ำหอมโบราณ เครื่องชามของไทย แก้วใส่เทียนหอม จานรองจอกชาไม้สนขาวจากญี่ปุ่น หรือแม้แต่พระเครื่อง 

ของทุกชิ้นล้วนเป็นของรักของหวงของใครสักคนที่ไม่ได้ตั้งใจทำแตก เมื่อได้รับการผสานรอยร้าวก็ดั่งได้รับการทะนุถนอมเก็บความทรงจำของคนที่รักผ่านภาชนะเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นลูกหลานที่เอาถ้วยชาของคุณปู่มาฝากซ่อมหรือคนในครอบครัวที่อยากปัดฝุ่นเอาของเก่าแก่ในบ้านมาชื่นชม

“มันน่าสนใจตรงที่ว่าข้าวของมันเหมือนจะเสียไปแล้วแต่ความทรงจำของเขายังไปต่อได้ บางครั้งของอาจไม่ได้มีมูลค่าและดูธรรมดาแต่มีความทรงจำอยู่ในนั้นและไม่ธรรมดาสำหรับเจ้าของ เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่เราซ่อมมันมีความหมาย” 

ปรัชญาการซ่อมหัวใจที่แตกสลาย

‘รัก’ ในความหมายที่สองของ ‘ซ่อมด้วยรัก’ หมายถึงความรักในตัวเองและผู้อื่นตามธรรมชาติของแต่ละคนซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ใช้ซ่อมใจเวลาเกิดความรู้สึกแตกสลาย 

ในวัฒนธรรมญี่ปุ่น พิธีกรรมการดื่มชาไม่ใช่แค่การลิ้มรสชาเท่านั้น แต่ยังเป็นการชื่นชมกระบวนการชงและความงดงามของถ้วยชา เกิดเป็นคำว่าทิวทัศน์บนถ้วย “เวลาเราเดินขึ้นภูเขาแล้วมองไปที่วิว จากวิวทั้งหมดอาจจะมีจุดที่สวยที่สุดแค่ 2-3 จุด เหมือนเวลาเราเห็นถ้วยมัตฉะมีด้านหนึ่งที่สวยที่สุด เราก็จะเอาด้านนั้นหันไปเสิร์ฟให้แขกดู แขกก็จะเห็นทิวทัศน์นั้น คนโบราณก็เลยเปรียบเทียบวิวบนถ้วยชาว่าเป็นทิวทัศน์บนกระเบื้องเซรามิก”   

“วันหนึ่งเจ้าของทำถ้วยแตกซึ่งเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ พอเอามาซ่อม มันก็จะเกิดทิวทัศน์ใหม่ซึ่งแต่ละชิ้นจะไม่เหมือนกัน เส้นที่แตกก็จะมาประสานกับงานเดิม บางครั้งมองแล้วเหมือนเมฆหรือถ้าคนจินตนาการหน่อยก็จะมองเห็นเหมือนสายฟ้าผ่าลงมา ถ้าไม่ได้อยู่ในจุดที่แตกหักทั้งหมด ทิวทัศน์เดิมก็จะยังอยู่แล้วผสมผสานกับคินสึงิ เกิดเป็นทิวทัศน์ใหม่ ของพวกนี้มันเกิดจากความบังเอิญที่เกิดขึ้น”  

ทิวทัศน์ใหม่ในสายตาของตูนเมื่อทำผลงานศิลปะเสร็จแล้วมีทั้งรอยร้าวที่ทอดยาวบนจานทำให้นึกถึงทิวทัศน์ทะเลและก้อนหินโค้งมนบนหาดทราย, คินสึงิสีทองบนถ้วยชาสีดำสนิทที่ส่องสะท้อนเหมือนแสงสว่างในความมืด, ถ้วยชาสีเขียวที่เมื่อประกอบเศษเข้าด้วยกันอีกครั้งทำให้นึกถึงภาพมอสสดบนขอนไม้เก่าและแสงสะท้อนของน้ำค้างยามเช้า

ทุกชิ้นมีรอยแตกหักจากความบังเอิญที่ไม่เหมือนกันเลยและศิลปินจะซ่อมตามรอยแตกทางธรรมชาตินั้น ทั้งส่วนป้านคยุสุ (ด้ามจับของถ้วยชาญี่ปุ่น) แตก ถ้วยชาที่เกิดรอยร้าวทั้งใบจนน้ำซึม จานที่แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและสภาพโทรมจนแทบไม่เห็นลวดลายเดิม ทุกรอยร้าวแตกออกและกลับมาอยู่ด้วยกันใหม่อย่างสวยงามได้อีกครั้งดั่งปาฏิหาริย์

เราไม่ได้กำลังพูดถึงแค่การซ่อมถ้วยชาที่แตก หากเปรียบภาชนะเป็นความรู้สึกทางใจที่รองรับอารมณ์ไว้มากมาย เมื่อกลับไปอ่านทวนเรื่องราวการมองทิวทิศน์บนถ้วยชาให้สวยงามอีกครั้งจะพบว่ามันเป็นเรื่องเดียวกันกับการซ่อมความรู้สึกที่แตกสลาย เพราะการไม่พยายามควบคุมให้ได้ดั่งใจและยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบเป็นหัวใจของปรัชญาคินสึงิที่ไม่มองรอยแตกว่าเป็นบาดแผลในชีวิต แต่โอบกอดส่วนที่แตกสลายและแต่งแต้มบาดแผลนั้นให้สวยงาม 

“เราไม่สามารถควบคุมการแตกได้ว่าจะให้มันแตกตรงนี้หรือแตกแบบนี้ ถึงเวลาเราก็ต้องเรียนรู้ ยอมรับสภาพและอยู่กับมัน แทนที่จะรังเกียจและรู้สึกไม่สมบูรณ์ ก็ยอมรับและเอนจอยกับมัน เหมือนเวลาเราไปดูสวนหินของญี่ปุ่น บางครั้งก็มีมอสขึ้นหรือมีหินที่เบี้ยว คนญี่ปุ่นพยายามจะสื่อว่าของทุกชิ้นไม่จำเป็นต้องวางเหมือนกันเป๊ะ บางครั้งเราก็ปล่อยให้มันโตขึ้นด้วยตัวเองตามธรรมชาติ”  

เพราะรอยแตกเป็นเรื่องของความบังเอิญ ตูนจึงกล่าวไว้ในเพจซ่อมด้วยรักว่า “การสรรค์สร้างนี้จึงเป็นเรื่องของโอกาส (by chance) เท่านั้น เพราะงั้นแล้ว จึงไม่มีครั้งที่สองอีก ในป้านทุกใบ ในถ้วยชาทุกถ้วย” ไม่มีรอยร้าวไหนในชีวิตที่แตกซ้ำรอยกัน ในรูปแบบเดียวกัน แต่ทุกร่องรอยของบาดแผลล้วนทิ้งเรื่องราวเป็น ‘Traces of the story that happened’ ให้ได้เรียนรู้เอาไว้ 

Price 
Value is in the Eye of the Beholder 

ช่วงราคาการซ่อมคินสึงิเริ่มต้นที่หลักพันไปจนถึงหลักหมื่นขึ้นอยู่กับปริมาณของรอยแตก ลักษณะและขนาดของภาชนะที่เอามาซ่อม โดยใช้ระยะเวลาในการซ่อมไม่ต่ำกว่า 8-10 สัปดาห์ ไปจนถึงเป็นปีสำหรับบางชิ้นที่มีรอยแตกหักเยอะหรือมีขนาดใหญ่

ตูนบอกว่าต้นทุนในการทำงานศิลปะคินสึงิแบ่งเป็นสองแบบ หนึ่งคือต้นทุนจริง เช่น ต้นทุนของยางรักและฝุ่นทองที่ต้องหามาจากญี่ปุ่น สองคือต้นทุนที่มองไม่เห็น ซึ่งศิลปินต้องประเมินด้วยตัวเองอย่างเวลาที่ใช้ในการซ่อมไปจนถึงฝีมือของศิลปิน โดยถ้าเป็นชิ้นที่มีรอยแตกเยอะ ก็ต้องใช้เวลาและใช้ยางรักเยอะมากขึ้นตามไปด้วย

“ถ้าเราเป็นศิลปินจะมีหลักการคิดราคาคนละแบบกับธุรกิจ ธุรกิจจะสนใจกำไรเป็นปลายทาง ส่วนในการเริ่มต้นทำงานศิลปะซึ่งเป็นงานอดิเรก เราไม่ได้มองว่าเราจะต้องรวยกับการขายงาน แต่ก็ต้องมีมูลค่าด้วยเช่นกัน ซึ่งมูลค่านั้นจะสะท้อนมาจากความพยายามและคุณค่างานของเรา ต้องมาดูว่าเมื่อเทียบมูลค่าราคาที่จ่ายกับมูลค่าทางความรู้สึกของลูกค้ามันสอดคล้องกันหรือเปล่า ภาชนะชิ้นนั้นสำคัญพอสำหรับเขาหรือเปล่า”

โดยตูนมองว่างานคราฟต์อย่างคินสึงิเป็นงานศิลปะที่สะท้อนคุณค่าและฝีมือของศิลปินออกมาได้เองโดยไม่ต้องอธิบาย หมายความว่างานชิ้นนั้นสามารถหยุดสายตาของคนได้ คนทั่วไปที่ไม่มีความรู้พื้นฐานด้านคินสึงิมาก่อนก็สามารถชื่นชมความงามของคินสึงิบนถ้วยชาได้ด้วยตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องฟังคำพรรณนาความงามจากศิลปิน ซึ่งพอมองเห็นความงามด้วยตัวเองก็จะไม่มีคำถามต่อว่าทำไมงานศิลปะถึงต้องแพง นอกจากการรับซ่อมภาชนะที่คนทำแตกแล้ว ในอนาคตตูนยังอยากเพิ่มมูลค่าของเศษกระเบื้องด้วยหลายวิธี อย่างการประยุกต์ใช้เทคนิคคินสึงิกับงานศิลปะอื่นๆ เช่น งาน sculpture เพื่อให้คนสามารถสะสมได้ 

“เคยไปเที่ยวที่สุโขทัย แล้วเห็นเศษชามกระเบื้องต่างๆ ก็เลยซื้อกลับมา ถ้าเราเอาไปให้พิพิธภัณฑ์ เขาอาจจะไม่รับเพราะมันยังเหมือนเป็นขยะ เราอยากเอาเศษกระเบื้องพวกนี้มาซ่อมมันจะกลายเป็นชิ้นงานศิลปะชิ้นใหม่ เราแพลนว่าอาจจะทำงานร่วมกับร้านเตาเผาที่มีเศษกระเบื้องและไปนำเสนอกับแกลเลอรีต่างๆ”

อีกรูปแบบที่ให้คนทั่วไปสัมผัสคินสึงิได้คือการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำด้วยตัวเองในเวิร์กช็อปที่ตูนเคยจัดในนามสตูดิโอซ่อมด้วยรักโดยสอนตั้งแต่พื้นฐานศิลปะญี่ปุ่นและทุกขั้นตอนการทำในราคา 9,500 บาท ซึ่งถือเป็นมูลค่าในการเรียนศาสตร์อันลึกซึ้งของศิลปะญี่ปุ่น

Promotion & Place
เล่าเรื่องผ่านการลงมือทำที่ร้านชา

ด้วยเป็นงานศิลปะและเชื่อในความงามที่สะกดสายตาคนเห็นโดยไม่ต้องพรรณนา ตูนจึงบอกว่าเขาไม่เคยตั้งใจโปรโมตผลงานทางเพจอย่างจริงจัง แค่ลงผลงานและมีกลุ่มคนที่ชอบแบบเดียวกันมาติดตามเรื่อยๆ
โดยยึดในหลักการว่าแม้เป็นงานศิลปะก็จะไม่ลดราคาพร่ำเพรื่อแต่ยืนหยัดในมูลค่าของงาน 

“บางครั้งราคาของคินสึงิก็ไม่แมตช์กับราคาที่ลูกค้าคิด เวลาที่ลูกค้ารับไม่ไหวกับค่าซ่อม เราก็ต้องยืนยันคุณค่างานซ่อมคินสึงิของเรา เพราะบางครั้งการต่อรองราคาลงมาก็เป็นการลดคุณค่าแรงงานของเราเองและต้นทุนของเราก็อาจจะไม่ไหวด้วย เราจึงต้องมีจุดยืนในคุณค่าแรงงานที่ใช้ในการทำงานด้วย 

สำหรับคำว่าโปรโมชั่นในหลัก 4P นอกจากจะหมายความถึงส่วนลดที่ตรงตัวแล้ว ยังหมายถึงการเล่าเรื่องราวเพื่อทำให้คนเข้าใจเบื้องหลังความเป็นมาก่อนจะออกมาเป็นผลงานสุดท้าย ซึ่งสำหรับตูน เขาเล่าสตอรีเหล่านี้ผ่านเวิร์กช็อป

คอร์สเรียนครั้งแรกของตูนจัดขึ้นในชื่อ ‘Kintsugi Workshop : Comprehensive Traditional Kintsugi Class’ ช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมาที่ Aoon Pottery ร้านชาบรรยากาศอบอุ่นที่ปั้นถ้วยชาเซรามิกและขายชาเพื่อให้ผู้คนสามารถแวะมาลองสัมผัสไออุ่นจากการจิบชาด้วยถ้วยเซรามิกได้ 

สาเหตุที่ตูนเลือกจัดที่ร้าน Aoon Pottery นั้นมีเหตุผลที่ลึกซึ้งอยู่ “ทางร้าน Aoon Pottery มีส่วนที่คาบเกี่ยวกันระหว่างคนทำกระเบื้องและคนรักการดื่มชาที่เข้าใจวัฒนธรรมตะวันออก เพราะถ้าไม่ดื่มชาก็จะไม่เข้าใจรายละเอียดต่างๆ เช่น การเคลือบถ้วย ส่วนคอนเซปต์ของเราคือรับของจากที่อื่นมาซ่อม ไม่ได้ซื้อกระเบื้องมาทุบแล้วขาย พอจะจัดเวิร์กช็อปก็นึกว่าจะไปหาเศษกระเบื้องมาจากไหนดี เลยคิดว่าไปหาคนปั้นงานที่มีคุณค่าโดยตรงเลยดีกว่า” 

“การที่เราเข้าไปร้านเขาถึงที่เตาเผาเลย ก็คิดว่ามันทำให้มีความน่าสนใจที่จะจัดเวิร์กช็อป เพราะการปั้นเซรามิกก็เป็นศาสตร์หนึ่ง ส่วนการซ่อมมันก็เป็นอีกศาสตร์หนึ่ง มันน่าจะเวิร์กเมื่อคนทำกับคนซ่อมมาจัดเวิร์กช็อปร่วมกัน ก็เป็นการขยายมุมมองของตัวเองและได้ไอเดียมากขึ้นด้วย” โดยระยะเวลาของ 1 คอร์สคือ 4 สัปดาห์ เพราะแต่ละขั้นตอนต้องใช้เวลาในการทาส่วนผสมแล้วรอเกือบอาทิตย์ให้แห้ง  

กิจกรรมอีกรูปแบบหนึ่งที่ตูนจัดขึ้นเป็นมินิเวิร์กช็อปซึ่งจัดร่วมกับร้านอาหาร Kintsugi Bangkok by Jeff Ramsey ที่โรงแรม The Athenee Hotel ที่อยากนำเสนออาหารญี่ปุ่นสไตล์ไคเซกิแบบดั้งเดิมโดยเติมไอเดียใหม่แต่ยังคงเสน่ห์ดั้งเดิมเอาไว้ ซึ่งเป็นการตีความคอนเซปต์ของคินสึงิในรูปแบบใหม่ที่ถ่ายทอดศิลปะผ่านอาหาร ในครั้งนี้ตูนถ่ายทอดเรื่องราวโดยสอนลงรักและลงทองบางส่วน ย่อกระบวนการทั้งหมดให้เหลือสั้นไม่กี่ชั่วโมงพร้อมกิจกรรมชิมอาหารที่ร้าน 

ไม่ว่าเวิร์กช็อปรูปแบบไหน สิ่งสำคัญที่ตูนอยากให้ผู้เข้าร่วมได้รับกลับไปคือการบรรลุในจุดประสงค์ของตัวเองเมื่อมาเข้าร่วม “คิดว่าศิลปะมันกว้างและเป็นเรื่องปัจเจกของแต่ละคน มันมีทั้งเรื่องการชื่นชมความสวยงามของศิลปะอย่างเส้นทองที่อยู่บนกระเบื้องสวย บางคนเป็นคนที่สะสมของเก่าโบราณแล้วไปขุดไปซ่อมของมาขาย บางคนอาจจะภูมิใจกับการได้ลงมือทำหรือบางคนมาเพื่ออยากทำกระบวนการแล้วสะท้อนไปถึงตัวเอง”

“ในเวิร์กช็อปเราจะคุยทั้งเรื่องคอนเซปต์ของศิลปะ กระบวนการคิด กระบวนการทำ แล้วแต่ละคนชอบหรือหลงใหลด้านไหนเป็นพิเศษ เขาก็จะไปลงรายละเอียดของเขาเอง เหมือนเวลาที่เราให้ผ้าใบสีขาวและสีกับแต่ละคนไป แต่ทุกคนจะวาดรูปออกมาไม่เหมือนกันแน่นอน”   

สำหรับคนที่เป็นซึมเศร้า การทำคินสึงิซึ่งซ่อมของที่แตกหักในมือด้วยกระบวนการอันเนิบช้าช่วยสะท้อนกลับไปยังจิตใจภายในเหมือนได้ซ่อมความแตกสลายข้างในไปด้วย “การทำสิ่งนี้ช่วยเชื่อม broken pieces back together ภายในใจของเขา ซ่อมของที่แตกอยู่ข้างใน”  

“งานแบบนี้ต้องค่อยๆ ทำ มันเร่งไม่ได้ ถ้าสมัยก่อนที่ทำเพนต์ติ้ง เราสามารถวาดไปได้เรื่อย ๆ แต่อย่างคินสึงิเราโดนบังคับให้รอให้แห้งร้อยเปอร์เซ็นต์มันถึงจะทำต่อได้  มันจะดึงให้เราช้าลง ทุกวันนี้ทุกอย่างมันเร็วไปหมด พอคนเป็นแบบนี้ทำให้ความช้าในการใช้ชีวิตหายไป พอมาทำอาร์ตพวกนี้เหมือนการบำบัด รักษาให้ตัวเองกลับมามีสมาธิอีกครั้ง” 

People 
Ritual of Art Appreciation

สำหรับศิลปินคินสึงิอย่างตูน เขามองว่างานศิลปะที่ทำมาทั้งหมดจะไม่มีมูลค่าเลยถ้าไม่มีมนุษย์ผู้เสพศิลปะด้วยอารมณ์  “ถ้าไม่มีมนุษย์ สุดท้ายงานศิลปะชิ้นหนึ่งจะไม่มีประโยชน์เลย ไม่เหมือนซื้อเครื่องสำอางที่มันจะถูกใช้งาน งานศิลปะมันตอบความรู้สึกทางจิตใจของคน ที่เราทำอยู่นี้มันไม่ได้ซ่อมแค่วัตถุ แต่ยังซ่อมตัวเจ้าของเองด้วย เพราะว่าบางครั้งเจ้าของอาจรู้สึกว่าเขาไม่สมบูรณ์แบบ ของเขาแตกไป แต่เราสามารถซ่อมจิตใจของเขากลับมาได้ เขาก็มีความสุข ได้เติมเต็มมากขึ้น” 

“เราอาจจะเป็นมนุษย์ปัจจุบันที่มีความทันสมัย เราไปถึงอวกาศ เรามี ChatGPT แต่อย่าลืมว่าการทำเรื่องเล็กๆ เช่น การดื่มชา การวาดรูป เป่าขลุ่ย เล่นไวโอลิน การชื่นชมงานศิลปะเหล่านี้หรือทำงานศิลปะด้วยวิธีการของมันโดยไม่ใช้ทางลัดเป็นการรักษาความทรงจำของคนโบราณเอาไว้ด้วยวิธีหนึ่ง เหมือนว่าคุณกำลังคุยเรื่องเดียวกับคนยุคสี่ร้อยปีก่อนโดยไม่ได้ให้เทคโนโลยีทำแทนทั้งหมด เราเป็นมนุษย์ที่พยายามจะทำให้งานศิลปะต่างๆ มายกระดับจิตใจเราให้ดีขึ้น ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่เดินไปข้างหน้าแต่การทำตามวัฒนธรรมดั้งเดิมแบบนี้มันก็เป็นทางเลือกหนึ่ง”  

เรื่องเล็กๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่ตูนมองว่ามีผลอย่างใหญ่หลวงในการรักษาวัฒนธรรมให้มีลมหายใจ “ที่ญี่ปุ่น ทำไมเขาถึงมีสำนักจัดดอกไม้และสำนักชงชา ผู้คนยังใส่กิโมโน การทำอะไรเล็กๆ แบบนี้ของคนญี่ปุ่นมันช่วยส่งเสริมให้ฐานของวัฒนธรรมมีชีวิตต่อไปได้ เหมือนช่างศิลป์ของญี่ปุ่นที่บางศาสตร์มีมาตลอดถึงรุ่นที่ 17 ทำมาตลอด 17 ปีไม่เคยขาดตอน เพราะคนในประเทศยังคงชื่นชมกับงานเล็กๆ แบบนี้ แค่ซื้อชาและถ้วยชาที่ผลิตในพื้นที่ ก็เป็นเหมือนสิ่งหล่อเลี้ยงให้ช่างศิลป์มีชีวิตต่อไปได้ ให้วัฒนธรรมยังมีลมหายใจอยู่”

แม้จะถนัดศาสตร์งานศิลป์จากญี่ปุ่น แต่ตูนมองว่าวัฒนธรรมไทยก็สามารถสร้างมูลค่าแบบนี้ได้เช่นกัน การเริ่มต้นเห็นคุณค่าในวัฒนธรรมอาจไม่จำเป็นต้องลงมือทำงานศิลป์ดั้งเดิมอย่างวาดลายกนก แค่บริโภคงานคราฟต์และอุดหนุนของกิน ของใช้จากชุมชนท้องถิ่นในชีวิตประจำวันก็เป็นการสนับสนุนวัฒนธรรมในรูปแบบหนึ่งแล้ว 

เมื่อการซ่อมถ้วยเซรามิกที่แตกกลายเป็นวิถีชีวิตอันรื่นรมย์ในแต่ละวันก็ช่วยหล่อเลี้ยงจิตใจของศิลปินและยังกลายเป็นงานศิลปะที่ขายได้ สร้างความรื่นรมย์แก่ผู้ที่มองเห็นความงามของคินสึงิคนอื่นๆ ต่อไป


ข้อมูลติดต่อ :
Facebook :
ซ่อมด้วยรัก Kintsugi Thai
Instagram :
@fixbylove
Email :
[email protected]

ซื้อทีละหมื่น ยืนต่อคิวเป็นวัน Art Toy ป๊อปคัลเจอร์ที่สะสมได้ และกระแสในจีน

วงการอาร์ตทอยหรือดีไซเนอร์ทอย เป็นอีกหนึ่งวงการสุดโหดหิน หมายถึงว่า ถ้าคุณเป็นคนรักอาร์ตทอยซะแล้ว ใจต้องสู้จริงๆ เอาเป็นว่าเราข้ามเรื่องราคาไปได้ อาร์ตทอยเป็นวงการที่ไม่ใช่ว่าคุณจะมีเงินแล้วจะซื้อได้เลย หลายครั้งคุณต้องกำเงินสดไว้ในมือ ติดตามข่าวสาร ตื่นแต่เช้าเพื่อไปรอต่อแถว บางทีก็ต้องอาศัยดวงส่งชื่อหรือจับสลากเพื่อให้ได้สิทธิ์ซื้อ บางทีได้สิทธิ์ซื้อแล้วก็แล้วแต่บุญกรรมว่าเราจะได้ตัวที่เราอยากได้ไหม

ข้างต้นคือคนเล่นอาร์ตทอยสายแข็ง แบบที่เข้าถึงง่ายหน่อยคือนวัตกรรมการขายที่เราเรียกกันว่า ‘กล่องสุ่ม’ ซึ่งเจ้ากลองสุ่มก็มีความปวดหัว เราจะชอบตัวไหนใช่ว่าจะได้ตัวนั้น แถมในขบวนการกล่องสุ่มแต่ละคอลเลกชั่นก็จะมีตัวลับหรือซีเครตเป็นอีกหนึ่งความสนุกในการสะสมของเล่น ที่ไม่ใช่แค่ของเล่นแต่มีมูลค่าในตัวเองต่อไป

แน่นอนว่าอาร์ตทอย หรือวงการของเล่นที่ทุกวันนี้ไม่ได้หมายถึงแค่ของเล่นที่เอามาเล่นจริงๆ แต่เป็นของที่ผู้ใหญ่อย่างเราๆ ออกล่าและสะสมไว้เป็นคอลเลกชั่นส่วนตัว อาร์ตทอยเหล่านี้นับเป็นอีกหนึ่งกระแสที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ เป็นวัฒนธรรมร่วมของคนรุ่นใหม่ที่เริ่มสร้างเนื้อสร้างตัวและเริ่มมีบ้าน มีรสนิยมเฉพาะของตัวเอง

ถ้าเราย้อนไปราวต้นปีที่ผ่านมา บ้านเราก็เพิ่งมีงานทอยเอกซ์โป ในงานนั้นมีทั้งศิลปินจากนานาชาติ และสิ่งที่เราพบเห็นได้คือกลุ่มคนไทยและชาวต่างชาติโดยเฉพาะชาวจีน นั่งต่อแถวกลางแดดพร้อมกำเงินที่เต็มไปด้วยแบงก์พัน อดทนเฝ้ารอเพื่อเอาเงินเหล่านั้นยัดใส่มือแต่ละบูทเพื่อให้ได้ของเล่นหน้าตาประหลาด และเชื่อว่าหลายท่านที่อ่านอยู่นี้คงจะเคยลงเล่นกล่องสุ่ม หลายท่านคงเข้าใจความรู้สึกทั้งการเรียนรู้ที่จะผิดหวังจากการสุ่มหรือการแย่งซื้อของ ความดีใจเมื่อได้น้องๆ ทั้งหลายมาครอบครอง

ไม่ว่าคุณจะเป็นแฟนของอาร์ตทอยตัวไหน จากรุ่นเก่าเช่นแก๊งตากากบาทของของ KAWS เรื่อยมาจนถึงวงการหมีที่มีรูปทรงเดียวแต่ราคาพุ่งระยับคือเจ้า Bearbrick ไปจนถึงแฟนๆ ของเหล่าคาแร็กเตอร์น้องๆ ยอดฮิตที่เป็นกระแสในช่วงหลังนี้ ไม่ว่าจะเป็นน้องปากเป็ดมอลลี่ เจ้าปีศาจตัวแสบที่ราคาทะยานเช่นเจ้าลาบูบู้ หรือน้องนอนที่แสนจะฮิตและต้องแย่งซื้อกับคนจีน Dimoo มาจนถึงผลงานอาร์ตทอยไทยที่หายากสุดๆ เช่นน้องควายหรือคชาปติจาก Coarse ไปจนถึงงานคนไทยที่ฮิตยิ่งคือ Crybaby

นี่คือประวัติศาสตร์ย่นย่อของเหล่าน้องๆ จากยุคสมัยของของเล่นไวนิลจากเหล่าสตรีทดีไซเนอร์ มาจนถึงยุคสมัยแห่ง POP MART ผู้เปิดตลาดอาร์ตทอยราคาเข้าถึงได้และเปิดตลาดยักษ์หลับของจีนจนกลายเป็นสุดยอดผู้ซื้อของวงการ และการมาถึงของ POP MART และวงการอาร์ตทอยไทย

ป๊อปคัลเจอร์ และวัฒนธรรมสตรีท

อาร์ตทอยถือเป็นกระแสที่สัมพันธ์กับหลายมิติ ตั้งแต่ประเด็นที่ว่าอะไรคือศิลปะไปจนถึงห้วงเวลาที่คนยุคหนึ่งคือชาวมิลเลนเนียลหรือชาวเจนฯ วายมีกำลังซื้อ ประกอบกับเทคโนโลยีการผลิตคือไวนิล 

ตัวอาร์ตทอยโดยทั่วไปหมายถึงของเล่นกึ่งสะสม ส่วนใหญ่แล้วจะผลิตขึ้นในจำนวนที่จำกัด ออกแบบโดยนักออกแบบทำให้บางทีเรียกว่าดีไซเนอร์ทอย ความพิเศษเบื้องต้นที่สุดของอาร์ตทอยคือความเป็นของสะสม อาร์ตทอยมักผลิตในจำนวนน้อย ถ้าผลิตเป็นจำนวนมากก็อาจจะขายในช่วงเวลาที่จำกัด ออกมาเป็นคอลเลกชั่น ถ้าพลาดแล้วคือพลาดเลย 

เวลาพูดถึงประวัติศาสตร์อาร์ตทอย เรามักมองไปที่ทศวรรษ 1990 เป็นกระแสที่เกิดขึ้นในเอเชียเช่นในญี่ปุ่น ฮ่องกง บางส่วนของยุโรปและอเมริกา คำว่าอาร์ตทอยก็ตามชื่อคือมันเป็นของเล่นที่ตัวมันเองเป็นเหมือนกับงานศิลปะ และงานศิลปะในยุคปัจจุบันคือตั้งแต่สมัยใหม่เป็นต้นมาก็คือวัฒนธรรมป๊อปหรือวัฒนธรรมสตรีท งานอาร์ตทอยเกือบทั้งหมดเป็นงานที่เชื่อมโยงกับป๊อปคัลเจอร์ไม่ว่าจะเป็นการ์ตูน หนัง ไปจนถึงปรากฏการณ์ทางสังคม

คำว่าอาร์ต ในอาร์ตทอยจึงค่อนข้างสัมพันธ์กับประเด็นเรื่องความเป็นศิลปะ อันที่จริงอาร์ตทอยเป็นกระแสหนึ่งของความชื่นชอบศิลปะของมนุษย์ ในยุคหนึ่งเราอาจจะสะสมภาพเขียน ประติมากรรม แต่แน่นอนว่าศิลปะชั้นสูงเหล่านั้นอาจไม่ใช่รสนิยมของคนทั่วไป รวมถึงความสามารถในการครอบครองเข้าถึงได้ เป็นของสะสมที่ผลิตแบบแมสแหละ แต่ก็ไม่แมสมาก ซื้อได้แต่ไม่ง่าย มีมากแต่ไม่นาน

ความน่าสนใจอาร์ตทอยคือ พอถึงจุดหนึ่งประชากรที่เราเรียกหลวมๆ ว่าคนเจนฯ วายหรืออาจจะรวมคนยุคมิลเลนเนียล พวกชาวที่เกิดในยุค 1890s ที่โตมากับหนัง การ์ตูน และวัฒนธรรมป๊อป ไปจนถึงวัฒนธรรมสตรีท ถึงจุดหนึ่งคนเหล่านี้กลายเป็นผู้ใหญ่ที่มีกำลังซื้อ บางคนมีบ้านเป็นของตัวเอง การสะสมของเพื่อทั้งประดับตกแต่งบ้าน ไปจนถึงเป็นวัตถุที่แสดงถึงรสนิยม ความฝันของเราในยุคหนึ่งซึ่งก็คือเหล่าอาร์ตทอย ของเล่นที่ไม่ได้มีไว้เล่น แต่มีไว้เก็บและมีความหมายบางอย่างต่อรสนิยมและความชอบเฉพาะของสังคมร่วมสมัย

Urban Vinyl และจุดเริ่มวงการ

ปัจจุบันอาร์ตทอยมีความหมายกว้างมาก โดยเฉพาะในแง่วัสดุและขนาด หมายถึงทุกวันนี้อาร์ตทอยมีความหลากหลายมาก อาจจะทำจากอะไรก็ได้ เป็นไม้ เป็นเรซิน เป็นพลาสติก บางส่วนเป็นผ้า จะผลิตมากน้อย ตัวใหญ่แค่ไหน ถ้าสะสมได้ก็ค่อนข้างเป็นอาร์ตทอยได้ แต่จุดเปลี่ยนสำคัญที่เรามักพูดถึงคือการมาถึงของวัสดุประเภทไวนิลที่เข้ามาทำให้วงการสตรีทคัลเจอร์ขึ้นรูปงานศิลปะเป็นสามมิติและผลิตเป็นจำนวนมากขึ้นได้

งานอาร์ตทอยชุดแรกในความหมายของอาร์ตทอยสมัยใหม่มักชี้ไปที่ทศวรรษ 1990 เป็นยุคที่วัฒนธรรมสตรีทเช่นสเกตบอร์ด ศิลปะร่วมสมัยที่สัมพันธ์กับเมืองเช่นกราฟฟิตี้ เพลงฮิปฮอป ในช่วงนั้นเองที่ศิลปินทั้งในฮ่องกง ญี่ปุ่น และอเมริกาเริ่มผลิตสิ่งที่เรียกว่า urban vinyl ขึ้น คำว่า ‘urban’ ในที่นี้ก็คือประเด็นที่งานศิลปะร่วมสมัยพูดถึงคือวัฒนธรรมของเมือง คำว่า urban vinyl ค่อนข้างมีความหมายพ้องคือใช้สลับกับดีไซเนอร์ทอยได้

การเกิดขึ้นของอาร์ตทอยค่อนข้างสัมพันธ์กับการมาถึงของเทคโนโลยีพลาสติกและ PVC เจ้า urban vinyl สัมพันธ์กับนวัตกรรมที่เกี่ยวกับการผลิตและขึ้นรูปพลาสติก เช่นของเล่นประเภท soft vinyl ที่ใช้นวัตกรรมการผลิตขึ้นรูปด้วยการเหวี่ยง (rotocasting) คือเป็นการขึ้นรูปแล้วใช้แรงเหวี่ยง นึกภาพของเล่นแบบเป็ดยางนิ่มที่กลวงตรงกลางหรือนวัตกรรมการขึ้นรูปด้วยการฉีดพลาสติก การผลิตเหล่านี้ได้ผลดีหลายประการคือได้ชิ้นงานที่ใช้พลาสติกน้อยลง มีความกลวงทำให้มีน้ำหนักเบา และแน่นอนผลิตได้หลายชิ้นมากขึ้น

ดังนั้นในช่วงนั้นเอง ศิลปินที่แต่เดิมงานแบบป๊อปทั้งหลายอาจจะเคยเป็นภาพวาด หรือการขึ้นวัสดุด้วยวิธีต่างๆ ซึ่งทำให้ผลิตงานได้ครั้งละชิ้น งานศิลปะในยุคนั้นยังคงมีราคาสูงมากหลักหมื่นดอลลาร์ต่อชิ้น แต่ด้วยพลังของการขึ้นโมฯ และพลาสติก คราวนี้จากภาพสองมิติก็กลายเป็นของเล่นที่มีราคา 50-100 ดอลลาร์ ผลิตขึ้นอย่างเฉพาะเจาะจง

ศิลปินเวฟแรกที่เรามักพูดถึง คนที่สื่อเรียกว่าเป็นบิดาของดีไซเนอร์ทอยคือ Michael Lau ศิลปินชาวญี่ปุ่นที่เดบิวต์ของเล่นไวนิลในฮ่องกง ซีรีส์อาร์ตทอยชุด Gardener ของหลิวถือเป็นจุดเริ่มของกระแสที่ศิลปินหันมาใช้วัสดุพลาสติกและผลิตของเล่นกึ่งแมส (คือผลิตเยอะแต่ไม่มาก) สำหรับงานของหลิวก็เป็นภาพของวัฒนธรรมสตรีท มีคาแร็กเตอร์ที่คล้ายกับวัยรุ่น แต่งตัวสไตล์ฮิปฮอปหรือสเกตบอร์ด บางส่วนมีการผสมผสานล้อไปกับศิลปะชั้นสูงเช่นงานแบบอิมเพรสชั่นนิสม์

ภาพรวมของอาร์ตทอยเวฟแรกช่วงต่อเนื่องเข้ายุคปี 2000 นอกจากหลูในฐานะผู้จุดกระแสในฮ่องกง ที่นิวยอร์กก็มี Ron English ญี่ปุ่นมี Takashi Murakami เจ้าของดอกไม้หน้ายิ้มสุดป๊อปที่ปัจจุบันจัดแสดงงานในพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัย และที่สำคัญคือศิลปิน KAWS เจ้าของตากากบาทและเจ้าหนูนั่งหงอย

อาร์ตทอยยุคแรก ที่ยังไม่ค่อยแมสและแพงมาก 

อันที่จริงอาร์ตทอยก็มีพัฒนาการที่สัมพันธ์กับโลกทุนนิยมและการผลิตที่แมสขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเราพูดถึงอาร์ตทอยหรือดีไซเนอร์ทอยยุคแรกซึ่งในยุคนั้นเป็นการผลิตของดีไซเนอร์เอง มีแฟนคลับเฉพาะและการแย่งซื้อในระดับวงในสุดๆ ถ้านับจากมุมมองคนทั่วไป และมองว่าอาร์ตทอยทุกวันนี้ที่ว่าแพงแล้ว อาร์ตทอยในยุคแรกเหมือนเป็นงานศิลปะสะสมกันในหมู่ผู้สนใจศิลปะร่วมสมัย เข้าถึงได้ยากและมีราคาสูงมากๆ ไม่ต่างกับงานศิลปะอื่นๆ 

หนึ่งในตัวอย่างหมุดหมายของวงการที่เราเองหรือผู้สนใจศิลปะป๊อปร่วมสมัยคือซีรีส์ Companion ของ KAWS ศิลปินกราฟฟิตี้ที่หันมาใช้ไวนิลขึ้นรูปเจ้าหนูตากากบาทที่กลายเป็นกระแสและเป็นหมุดหมายศิลปะร่วมสมัยไปทั่วโลก เจ้าหนูคอมพาเนียนเป็นตัวอย่างที่ค่อนช่างชัดเจนของอาร์ตทอยคือตัวมันเองล้อเลียนงานบันเทิงร่วมสมัย ตัวหน้าตาของมันคืออีกเวอร์ชั่นของมิกกี้เมาส์ และจุดเด่นของมันคือการเอาลักษณะของป๊อปคัลเจอร์ที่แมสๆ มาผสมผสาน เช่น ซิมป์สัน เอลโม่จากเซซามี่สตรีท พิน็อกคิโอ ไปจนถึงงานจากยุคก่อนหน้าเช่นประเด็นเรื่องสันติภาพ การต้านสงคราม ไปจนถึงพวกกราฟฟิตี้ที่พูดเรื่องความยากจนหรือไม่เท่าเทียม

เสน่ห์อย่างนึงของงานสตรีทและงานป๊อปอาร์ตคือ พวกมันกำลังล้อเลียนความเป็นศิลปะจากงานร่วมสมัย เช่นเอาภาพบันเทิงแมสๆ มาบิดและทำให้กลายเป็นชิ้นงานเฉพาะ ของเล่นขึ้นรูปเหล่านี้จึงมีสถานะเป็นศิลปะในตัว และตัวมันเองก็กำลังล้อเลียนทั้งความเป็นศิลปะที่เคยสูงส่งจากยุคก่อนหน้า ล้อเลียนไปจนถึงสิ่งที่เราเสพและสภาพสังคมร่วมสมัยของโลกทุนนิยมและชีวิตสมัยใหม่

ของเล่นในยุคปี 2000 ที่มี KAWS เป็นตัวอย่าง ในยุคนั้นถึงจะบอกว่าแมส แต่ก็นับว่าแพง เป็นของสะสมของเจ้าพ่อวงการสตรีท ของนักร้องคนดัง ตัวอย่างของ KAWS คือในปี 2017 ทาง Museum of Modern Art  หรือ MoMA จำหน่ายซีรีส์ Companion ความสูงขนาด 11 นิ้วในราคา 200 ดอลลาร์ต่อชิ้น ในตอนนั้นฟิกเกอร์หรืออาร์ตทอยราคาเกือบหมื่นนี้ขายดีจนเว็บล่มไปเลย ซึ่งราคาตอนนั้นนับว่าสูง แต่พอซื้อได้ ถ้าเรามองว่ามันคืองานศิลปะ ในขณะเดียวกันก็เป็นการผลิตที่มีจำกัด 

อันที่จริงราคาเปิดของดีไซเนอร์ทอยทั้งหลายไม่ใช่ปัญหา การได้มาจากการผลิตจำนวนจำกัดทำให้เกิดปรากฏการณ์ resell เรียกได้ว่าผลงานเหล่านี้ถ้าได้มาแล้วมักจะมีราคาพุ่งขึ้น บางชิ้นพุ่งขึ้นอย่างน่าตกใจจนเกิดการเก็งกำไรไปจนถึงเกิดปรากฏการณ์จ้างต่อคิวเพื่อให้ได้ของที่ต้องการมา เจ้าคอมพาเนียนเองก็มีการประมูลที่ขนาด 4 ฟุต ถูกประมูลใหม่ในราคา 150,000 ดอลลาร์ หรืองานระดับศิลปะไฟเบอร์กลาสรุ่น Clean Slate ปี 2014 มี 3 ตัวบนโลก ที่ประมูลทะลุราคาคาดการณ์ 1 ล้านดอลลาร์ ไปที่ 1.9 ล้านดอลลาร์

ความเคลื่อนไหวของวงการอาร์ตทอยก็ค่อยๆ ขยายตัวจากศิลปินสตรีทไปสู่กลุ่มนักออกแบบและผู้ผลิตอื่นๆ ในช่วงนี้เองที่เริ่มเกิดมาตรฐานหรือรูปแบบของอาร์ตทอยขึ้นเช่นการออกของเล่นชื่อ Qee Series จากผู้ผลิต Toy2R ที่ผลิตของเล่นในสเกลต่าง จากขนาด 2 นิ้วไปจนถึง 8 และ 16 นิ้ว แต่ขนาด 2 นิ้วเป็นขนาดหลัก มีการออกแบบที่ใช้ตัวของคาแร็กเตอร์ที่เหมือนกันและเปลี่ยนหัวไปเป็นสัตว์หรือรูปแบบต่างๆ ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งสไตล์การผลิตของอาร์ตทอย

ในยุคใกล้ๆ กันคือในปี 2001 ก็เกิดอาร์ตทอยสำคัญคือเจ้าหมีแบร์บริก หมีโล่งๆ ที่ชอบไปคอลแล็บกับป๊อปคัลเจอร์หรือแบรนด์ต่างๆ แบร์บริกทำให้เกิดมาตรฐานไซส์ของอาร์ตทอยที่ชาวอาร์ตทอยเรียกว่าเป็นขนาด 100% คือราว 7 เซนติเมตร และมีมาตรวัดที่สัมพันธ์กับขนาดมาตรฐานไม่ว่าจะเป็น 50% คือ 4 เซนติเมตร หรือ 400% คือ 28 เซนติเมตร และไซส์ยักษ์คือ 1,000% คือราว 70 เซนติเมตร ความสัมพัทธ์ของขนาดกลายเป็นอีกหนึ่งรายละเอียดย่อยของการเก็บสะสม เช่นขนาดใหญ่พิเศษที่ 200-1,000% อาจเป็นการผลิตรุ่นพิเศษที่มีขนาดใหญ่ มีราคาสูงขึ้น ระยะหลังขนาด 100% ค่อนข้างกลายเป็นขนาดอ้างอิงกับของกล่องสุ่ม (blind box)

ยุคสมัยของมอลลี่ ดีมู และกล่องสุ่ม อาณาจักร POP MART

เราก้าวมาถึงยุคสมัยที่อาร์ตทอยสามารถกดจากตู้ได้ ของเล่นประเภทกล่องสุ่มเป็นสิ่งที่หลายคนเคยกดเล่น การเกิดขึ้นและความแพร่หลายของอาร์ตทอย คงต้องพูดถึงการเกิดขึ้นของผู้ผลิตและตลาดจีน หนึ่งในพื้นที่บริโภคขนาดยักษ์ในกระแสอาร์ตทอยในปัจจุบัน คือการมาถึงของผู้ผลิตสำคัญคือ POP MART ผู้ผลิตที่ทั้งเปิดตลาดจีน พานักออกแบบและวัฒนธรรมเอเชียไปในระดับโลกได้

ก่อนจะเข้าไปสู่ดินแดนของ POP MART จุดแข็งของ POP MART คือการขายอาร์ตประเภทกล่องสุ่มหรือ Blind Box อันที่จริงกล่องสุ่มหรือถุงสุ่มมีที่มาหลากหลายเช่นกิจกรรมถุงสุ่มของญี่ปุ่นที่มักขายช่วงเทศกาล หรือจริงๆ ของเล่นที่มากับขนมเช่นพวกขนมไข่ช็อกโกแลตคินเดอร์ ไปจนถึงการหมุนกาชาปองก็เป็นการขายโดยมีการสุ่มเป็นจุดขาย

แต่วัฒนธรรมการสุ่มในวงการอาร์ตทอยมีจุดแข็งที่ต่างออกไป อย่างแรกคือความเป็นคอลเลกชั่น และจุดขายที่สำคัญมากที่ยกระดับของเล่นในกล่องสุ่มคือคุณภาพของตัวของเล่น ของเล่นในกล่องสุ่มในนามของอาร์ตทอยหรือดีไซเนอร์ทอยมักมีจุดแข็งที่การผลิตด้วยงานคุณภาพประณีต การแข่งขันที่ความน่ารัก ความสร้างสรรค์ของคอลเลกชั่นต่างๆ ไปจนถึงการเล่าเรื่องราวในงานออกแบบชุดนั้นๆ และระยะหลังเราจะเริ่มเห็นการใส่ลูกเล่นมาในการผลิต การปรับวัสดุที่มีการผสมผสานวัสดุและเทคนิคการผลิตที่ทำให้ชิ้นงานนั้นน่าตื่นเต้นมากขึ้น นอกจากความสวยแล้ว ความสนุกจากการสุ่มเองก็ยังเป็นหัวใจสำคัญหนึ่ง รวมถึงธรรมเนียมการมีตัวหายากที่ทำให้การแทงหวยยิ่งสนุกยิ่งขึ้นไปอีก

ตรงนี้เองที่แบรนด์ของเล่นสำคัญคือ POP MART ผงาดขึ้นมาในฐานะผู้ผลิตและแบรนด์ระดับโลก รวมถึงเป็นการตลาดของจีนด้วย POP MART ถือเป็นแบรนด์ดีไซเนอร์ทอยที่ทำให้ดีไซเนอร์ทอยแมสขึ้นผ่านมาตรฐานการผลิตที่ค่อนข้างสูง ในราคาของกล่องสุ่มทั้งหลายเข้าถึงได้ หมุดหมายสำคัญของตลาดของ POP MART คือการเปิดตัวคอลเลกชั่นมอลลี่ในปี 2016 ปีนั้นเองที่วงการอาร์ตทอยของจีนเริ่มกระแสบริโภคอาร์ตทอยขึ้นอย่างเป็นทางการ

ความน่าสนใจของ POP MART คือ นอกจากคุณภาพสินค้าแล้ว POP MART ทำงานร่วมทั้งป๊อปคัลเลอร์ของแฟรนไชส์ทั้งงานจากตะวันตก เช่น มินเนี่ยน แฮร์รี่ พ็อตเตอร์ หรือแฟรนไชส์จากอนิเมะร่วมสมัยต่างๆ ที่สำคัญคืองานอาร์ตทอยในปัจจุบันค่อนข้างสัมพันธ์กับการออกแบบคาแร็กเตอร์ POP MART ค่อนข้างมีการทำงานกับศิลปินที่เป็นศิลปินเจ้าเล็กจากหลายพื้นที่ของเอเชีย เช่น ดัคคู (Duckoo) จากเกาหลีใต้, ดีมู (Dimoo) หรือเจ้าหมูลูลู่ (LuLu The Piggy) จากจีนแผ่นดินใหญ่ มอลลี่ (Molly) จากฮ่องกง มอนสเตอร์หรือเจ้าลาบูบู้ของ Kasing Lung ศิลปินฮ่องกงที่เติบโตในยุโรป และล่าสุดคือการทำงานร่วมกับศิลปินไทยคือ Crybaby อีกหนึ่งกระแสที่กำลังถูกส่งออกไปทั่วโลกผ่านร้าน POP MART

POP MART ดังขนาดไหน POP MART ถือเป็นอีกหนึ่งซูเปอร์สตาร์ สาขาแรกของ POP MART เปิดตัวในปี 2010 ในปี 2014 เริ่มขายกล่องสุ่มโดยมีต้นแบบมาจากกาชาปองของญี่ปุ่น และหมุดหมายสำคัญคือการร่วมงานและเปิดตัวมอลลี่ในปี 2016 ในปีนั้นยอดขายของ POP MART ทะยานขึ้นสู่ 22 ล้านดอลลาร์ ในปี 2017 และพุ่งสู่ระดับ 73 ล้านดอลลาร์ ในปี 2018 ทุกวันนี้ POP MART มีร้านสาขากว่า 200 สาขา และเปิดสาขาหมุดหมายในเมืองแห่งศิลปะร่วมสมัยได้ตั้งแต่ลอนดอน และที่สำคัญคือปารีส สำหรับแถบบ้านเราก็มีท่ีสิงคโปร์ เกาหลีใต้ ฮ่องกง และล่าสุดข่าวว่าราชากล่องสุ่มก็พร้อมจะมาทำให้ล้มละลายที่สาขาเซ็นทรัลเวิลด์ที่กำลังจะเปิดเร็วๆ นี้

POP MART เข้าตลาดหุ้นในปี 2020 รายงานการเงินฉบับแรกมีรายได้ ‘2,500 ล้านหยวน’ อัตราการเติบโต 49% กำไร 63% ในแง่ของตลาดจีน ตัวเลขของตลาดของสะสมมีตัวเลขที่สัมพันธ์กับการทะยานขึ้นของ POP MART ในช่วงปี 2016 คือในปี 2015 ขนาดตลาดของเล่นของสะสมจีนมีขนาด 900 ล้านดอลลาร์ แต่ในปี 2019 ตัวเลขของตลาดของเล่นของสะสมขยายตัวไปเป็น 3,000 ล้านดอลลาร์ และคาดว่าจะขยายเป็น 7,000 ล้าน และ 10,000 ล้านในปี 2024 นับเป็นหนึ่งในตลาดความต้องการใหม่ที่เป็นที่จับตา 

ในบางรายงานระบุว่าตลาดของเล่นเป็นตลาดที่เติบโตสวนทางกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะงักลงในช่วงโรคระบาดแต่ก็สัมพันธ์กัน คือผู้ซื้อใช้เวลาอยู่กับบ้านจึงต้องการความบันเทิงใหม่ๆ นอกจากนี้ถ้าเราดูความเชี่ยวชาญของวงการอาร์ตทอย วงการนี้มีความเชี่ยวชาญและเชื่อมโยงกับผู้ซื้อผ่านระบบออนไลน์และการส่งของถึงบ้านเป็นสำคัญด้วย

วงการอาร์ตทอยหรือดีไซเนอร์ทอยเป็นกระแสการบริโภคที่ค่อนข้างกว้าง สัมพันธ์กับปรากฏการณ์ทางสังคม นอกจากที่กล่าวมาข้างต้นแล้วยังมีหลายพื้นที่ของวงการของเล่นของสะสมเช่นวงการโมเดลฟิกเกอร์ สำหรับบ้านเราเองก็มีบริบทที่น่าสนใจเช่นการเกิดขึ้นของกระแสน้องควาย จากนักออกแบบ Coarse ที่ทำงานร่วมกับแบรนด์ร้านขายของเล่นจนเกิดเป็นกระแสและกลายเป็นงานอาร์ตทอยประจำปีที่รวมทั้งนักออกแบบไทยและต่างชาติเข้ามาไว้กลายเป็นหนึ่งในสุดยอดมหกรรมระดับนานาชาติ

นอกจากนี้อาร์ตทอยไทยยังมีกระแสที่น่าสนใจคือการเชื่อมโยงกับวงการความเชื่อ พื้นที่เช่นวัตถุมงคลหรือรูปลักษณ์ที่สัมพันธ์กับบริบทเฉพาะทางวัฒนธรรมเช่นพระพิฆเนศก็ได้รับการปรับเปลี่ยนรูปโฉมให้เข้าสมัยและเข้ากับรสนิยมของคนรุ่นใหม่ เช่น คชาปติ งานของ Kaiju Smuggler ที่เน้นผสานวัฒนธรรมไทยให้ดูป๊อปขึ้น ที่ออกพระพิฆเนศฉบับลดทอนที่เรียบง่ายแต่ก็ซับซ้อนด้วยรูปทรงที่แปลกตา ไปจนถึงงานลูกผสมเซรามิกของ WK.studio งานสะสมกระแสใหม่ที่เป็นทั้งของสะสมผสมผสานกับการให้คุณทางใจ เป็นหิ้งพระแบบใหม่ที่ทั้งสวยงามและสืบทอดองค์ประกอบของบ้านแบบไทยๆ 

วงการอาร์ตทอยเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่อันที่จริงบ้านเราเองก็เป็นหนึ่งในกระแสสำคัญของวงการร่วมสมัยทั้งการเป็นฮับผู้ผลิตและผู้บริโภค ไปจนถึงการที่ศิลปินไทยเริ่มนำเอาวัฒนธรรมไทยปรับไปสู่สินค้าที่มีหน้าตาร่วมสมัย จากป๊อปคัลเจอร์ ถึง POP MART เรื่อยมาจนถึงของสะสมสายมู ความสนุกของการสุ่ม และความพิเศษของการบริโภคในความหมายที่มีความซับซ้อน 

ในแง่ของอาร์ตทอยนับเป็นอีกหนึ่งการบริโภคที่มีความเฉพาะ คือการได้มาที่เต็มไปด้วยราคาไม่ว่าจะเป็นเงิน เวลา ความรู้เฉพาะ เช่นรู้ว่าจะมีงานนี้ ไปจนถึงการมีดวงที่จะได้ของนั้นๆ มา วงการอาร์ตทอยค่อนข้างเป็นความหรูหราที่เงียบงัน หมายถึงการที่เรารู้ว่าเจ้าของพลาสติกหน้าตาธรรมดา หลายตัวมีมูลค่าอย่างน้อยหลักหมื่นบาท บางตัวมีราคาหลักแสน

อ้างอิงข้อมูลจาก

นามบัตร 6 ใบของ ‘กระทิง พูนผล’ จากกำแพงเพชรสู่ซิลิคอนแวลลีย์ มาจนถึงผู้นำด้านเทคฯ ของกสิกร

จากประสบการณ์การทำงานใน Google สำนักงานใหญ่ที่ซิลิคอนแวลลีย์ 

เป็นหัวหอกคนสำคัญที่ทำให้ Google Earth เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก 

เป็นผู้ปลุกปั้นโครงการบ่มเพาะสตาร์ทอัพระดับหัวกะทิในไทยอย่าง Dtac Accelerate 

เป็นผู้ก่อตั้ง 500 TukTuks กองทุนสตาร์ทอัพชื่อดังในบ้านเราที่มียูนิคอร์นอยู่ในพอร์ตถึง 4 ตัว

และจนถึงปัจจุบัน เป็นหัวเรือใหญ่คนสำคัญที่ดูแลระบบแอพฯ ธนาคารที่มีคนใช้มากที่สุดในไทยอย่าง K PLUS 

ไม่แปลกที่ กระทิง–เรืองโรจน์ พูนผล เจ้าของผลงานที่เรากล่าวมาในข้างต้นนี้จะได้รับฉายาว่า ‘เจ้าพ่อวงการสตาร์ทอัพของไทย’

ด้วยประวัติการทำงานที่น่าสนใจ (มาก) เราจึงชวนกระทิงมาพูดคุยกันในคอลัมน์ ณ บัตรนั้น ว่าตลอดเส้นทางการทำงานที่ผ่านมา อะไรคือสิ่งที่หล่อหลอมจนทำให้เขาสามารถเดินทางมาได้ ‘ไกล’ ถึงเพียงนี้

ไกลที่ว่าคือจากกำแพงเพชร สู่กรุงเทพฯ ไปจนถึงซิลิคอนแวลลีย์

กระทิงเกิดและเติบโตที่กำแพงเพชร อยู่ในบ้านสองชั้นที่มีสมาชิกอาศัยอยู่ 10 คน ทั้งหลังมีห้องน้ำอยู่ห้องเดียว แม่กับพ่อเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยเพราะจบเพียง ม.3 และ ปวส. แม้จะเติบโตมาอย่างไม่ได้สบายมากนัก แต่เขาก็บอกว่า “ผมโชคดีที่เกิดมาในครอบครัวที่ดีมาก”

“ถึงไม่ค่อยมีเงิน แต่มีความรักจากพ่อแม่ มีอาหารให้กินตลอด ป่วยก็ได้รับการรักษา และการศึกษาไม่เคยขาด พ่อจะหิ้วหนังสือมาให้ตลอด เขายอมอดข้าวเพื่อซื้อสารานุกรมราคา 3,000 บาทให้ผม ซื้อการ์ตูนโดราเอมอนกับการ์ตูนที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์มาให้อ่าน เขาสปอยล์ผมด้วยหนังสืออยู่เสมอ และหนังสือเป็นสิ่งที่เปิดโลกผมมาก” 

กระทิงใช้ความกันดารเป็นสินทรัพย์ ผลักดันตัวเอง ตั้งใจอ่านหนังสือ ทำการบ้าน แม้ในวันที่ไฟดับก็จะจุดเทียนเพื่อให้มีแสงสว่างเพียงพอต่อการอ่านหนังสือ สุดท้ายเขาก็กลายเป็นเด็กกำแพงเพชรคนแรกที่สามารถคว้าเหรียญทองฟิสิกส์โอลิมปิกระดับประเทศได้ ได้ที่ 3 ของการแข่งขันคณิตศาสตร์ระดับประเทศ และจากกำแพงเพชรก็เข้าสู่กรุงเทพฯ มาเรียนวิศวกรรมไฟฟ้าที่จุฬาฯ 

เหตุผลที่เลือกวิศวกรรมไฟฟ้าที่จุฬาฯ ก็เพราะนี่เป็นภาควิชาที่คะแนนสูงสุด ขึ้นชื่อเรื่องความโหดหิน และด้วยความเป็นเด็กฟิสิกส์โอลิมปิก เขาจึงมักมองหาความท้าทายให้ตัวเอง จากที่คิดว่าเป็นคนเก่งในกำแพงเพชร เมื่อมาเจอคนที่เก่งกว่า จึงได้สัมผัสกับคำว่า ‘เหนือฟ้ายังมีฟ้า’ แม้จะจิตตกในช่วงแรก แต่ก็สามารถผลักดันตัวเองขึ้นมา และท้ายที่สุดเขาก็เรียนจบวิศวะไฟฟ้าจุฬาฯ ด้วยเกียรตินิยม

จนนำมาสู่นามบัตรใบแรกในชีวิตการทำงานของเขา 

ผู้จัดการฝ่ายวางแผนกลยุทธ์การตลาด
P&G ประเทศไทย 

อันที่จริงตอนอยู่ปี 3 ผมเคยฝึกงานที่ P&G มาก่อน ไปเป็นพนักงานในโกดัง ขับรถฟอร์กลิฟต์ หน้าที่คือจะทำยังไงให้ฟอร์กลิฟต์ประหยัดเวลาในการหาสินค้าได้มากขึ้น

“พอทำงานก็มาสมัครในตำแหน่ง Engineering and Technical System เป็นคนดูแลระบบตอนปั่นแชมพู หน้าที่ของเราคือทำยังไงให้เกิด waste ในการผลิตน้อยที่สุด แต่งานแรกของผมกลับทำแชมพูเจ๊งไป 6 ตัน มูลค่าความเสียหายตอนนั้นน่าจะมี 2-3 ล้าน ตอนนั้นช็อก ร้องไห้ เสียใจ กลัวตกงานมาก เพราะเราเป็นเด็กจนๆ การตกงานมันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเรามาก แต่เจ้านายเขาก็ดีมาก ไม่ได้ไล่เราออก แล้วก็สอนเราว่าถ้าเจอปัญหาต้องตั้งสติก่อนเสมอ แล้วมองสถานการณ์ตามความเป็นจริง ประเมินความเสียหายว่าอยู่ในระดับไหน ดูว่าจะแก้ยังไงได้บ้าง ทำ fishbone diagram ทำ why-why analysis (เครื่องมือช่วยวิเคราะห์และหาทางแก้ปัญหา)

“ถ้าเราแก้ไม่ได้แสดงว่าเราไม่ได้เรียนรู้จากวิกฤตนั้นเลย แต่ถ้าหาทางป้องกันในครั้งต่อไปได้นั่นหมายถึงเราค่อยๆ เติบโตขึ้นแล้ว

“จากคนปั่นแชมพู ก็เปลี่ยนมาทำในตำแหน่งฝ่ายขาย แล้วก็ฝ่ายการตลาด แต่กว่าจะขยับมาทำสองตำแหน่งนี้ได้บริษัทฯ บอกว่าต้องมีวุฒิปริญญาโท ผมก็เลยไปลงเรียน MIM ที่ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ซึ่งตอนนั้นเป็นอะไรที่เหนื่อยมาก เพราะผมมาอยู่หอแถวๆ ราชเทวี แต่โรงงาน P&G อยู่บางนา กม.36

“โรงงานเริ่ม 8 โมงเช้า ผมต้องพาตัวเองไปให้ถึงแยกบางนาให้ทันรถตู้ออกตี 5 เพราะถ้าไม่ทันจะต้องจ่ายค่าแท็กซี่เองซึ่งแพงมาก ทำงานเสร็จ 4 โมงเป๊ะต้องรีบออกจากโรงงานมาถึงแยกบางนา 5 โมงให้ได้ เพื่อมาต่อรถไปธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์ ห้ามสาย เพราะถ้าสายเกิน 5 นาทีเท่ากับขาดเรียน ภาพที่ทุกคนเห็นผมตอนนั้นคือการวิ่งกระหืดกระหอบมาเข้าห้องเรียนอยู่เสมอ กว่าจะเลิกเรียนก็ 4-5 ทุ่ม เป็นอย่างนั้นอยู่ 2 ปี จนเรียนจบถึงได้ขยับมาเป็นฝ่ายขาย และได้มาเป็นฝ่ายมาร์เก็ตติ้งในเวลาต่อมา” 

ที่ปรึกษา
McKinsey & Company

จาก P&G ผมสมัครทุนไปเรียน MBA ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดในอเมริกาได้ ตอนนั้นมีหลายความคิดอยู่ในหัวเหมือนกัน ทั้งกลัวที่ต้องไปอเมริกาคนเดียว ทั้งคิดว่านี่เราตัดสินใจถูกแล้วใช่ไหม เพราะงานที่ทำอยู่ก็กำลังเป็นไปด้วยดี แม่ผมก็เลยให้กำลังใจว่า “ทิงไม่ต้องกลัว มันก็เหมือนกับตอนทิงจากกำแพงฯ มากรุงเทพฯ แหละลูก” ผมบอกมันโคตรไม่เหมือนเลยแม่ มันคนละเรื่องกันเลย (หัวเราะ) แต่สุดท้ายผมก็ตัดสินใจมา

“ด้วยความที่ชอบเรื่องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาแต่เด็ก ตั้งแต่พ่อซื้อหนังสือไอน์สไตน์มาให้อ่าน ผมเลยเขียน Statement of Purpose ตอนจะมาเข้าสแตนฟอร์ดเอาไว้ว่า “ผมอยากเปลี่ยนประเทศไทยด้วย technology, innovation และ entreprenuership เพราะคิดว่าประเทศไทยยังไปได้ไกลกว่าที่เป็นอยู่มาก”

“พอไปอยู่ที่นั่นก็ไม่ได้สบาย ผมทำงานพิเศษไปด้วยเรียนไปด้วย ปั่นจักรยานไปเรียน บางวันไป Walmart ซื้อข้าวกล่องที่เขาลดราคาตอนจะหมดวันมาตุนไว้ในฟรีซ เพื่อเอาไว้กิน 

“การเรียนที่สแตนฟอร์ดมันดีมาก มีซีอีโอ Google เข้ามาสอน มี Mark Zuckerberg มาเป็นสปีกเกอร์ ทำให้เราได้ความรู้มากมาย ได้บ่มเพาะความเป็น tech culture เพราะมหาวิทยาลัยตั้งอยู่ใจกลางซิลิคอนแวลลีย์

“จากนั้นผมก็ได้ฝึกงานในบริษัทที่ปรึกษาอย่าง McKinsey & Company ซึ่งก็ทำได้นะ แต่ก็มีความรู้สึกว่าเราไม่ได้เหมาะกับการเป็นที่ปรึกษา แม้จะทำอยู่ไม่นานแต่ก็ได้แนวคิดจากที่นี่อยู่ไม่น้อย McKinsey & Company สอนให้เราแก้ปัญหาธุรกิจ มองปัญหาเป็นโครงสร้าง มองว่าแก่นของแต่ละธุรกิจเป็นยังไง หรืออะไรคือ key driver ของแต่ละธุรกิจ”

“หลังจากฝึกงานที่ McKinsey ผมยังไปลองทำงานเป็นผู้จัดการกองทุน Private Equity ที่ลงทุนในบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์และงานด้านการเงินอื่นๆ ซึ่งก็ค้นพบว่างานด้านการเงินและที่ปรึกษาเป็นงานที่เงินดีมากๆ แต่มันไม่ได้ตอบโจทย์ purpose ในใจเรา ตอนนั้นก็ลังเลมากว่าจะเลือกเงินหรือเลือกทำในสิ่งที่เคยตั้งใจเอาดี ก็เลยไปปรึกษาแม่

“คำตอบที่ได้จากคุณจินดา (แม่) ที่จบ ม.3 ทำให้ผมไม่ลังเลในการเลือกอีกต่อไป คุณจินดาบอกกับผมว่า “ทิงจำได้ไหมตอนจะไปอเมริกา ทิงเขียน Statement of Purpose ไว้ว่าอะไร

“เขียนไว้ว่าผมอยากเปลี่ยนประเทศไทยด้วย technology, innovation และ entrepreneurship” ผมตอบ

“แล้วการเป็นที่ปรึกษากับผู้จัดการการลงทุนมันทำให้ทิงได้ทำในสิ่งที่ตั้งใจเอาไว้ไหม ที่ทิงห่างบ้านไปสองปี เพราะสุดท้ายอยากทำสิ่งนี้จริงๆ เหรอ” คุณจินดาถามกลับ

“โอ้โห พอได้ฟังประโยคนั้นจากแม่ มันทำให้ผมตอบคำถามตัวเองได้ทันที นั่นทำให้ผมตัดสินใจย้ายงานไปทำที่ Google สำนักงานใหญ่ ที่ซิลิคอนแวลลีย์”

ผู้จัดการฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์
Google 

การสัมภาษณ์งานที่ Google ใช้เวลายาวนานมาก ผมเป็น 2 ใน 30 คนในทีมที่ไม่มีวุฒิปริญญาเอก ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันทำไมเขาถึงเลือก แต่สุดท้ายก็ได้เข้าไปทำ

“ตำแหน่งแรกใน Google ของผมคือ Quantitative Marketing Manager เป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาดด้านข้อมูล หน้าที่คือการทำการตลาดเชิงข้อมูล เป็นเหมือนการรวบรวมบิ๊กดาต้าแล้วเอาข้อมูลที่ได้นั้นมาวิเคราะห์เพื่อส่งต่อให้ทีมมาร์เก็ตติ้งเอาไปทำต่อ 

“หนึ่งในงานที่ทำคือการวิเคราะห์บิ๊กดาต้าให้กับ Google ในญี่ปุ่น ตอนนั้นที่ญี่ปุ่น Yahoo ชนะ Google หน้าที่ของผมคือทำยังไงก็ได้ที่ต้องวิเคราะห์บิ๊กดาต้าออกมาแล้วดูว่าเราควรโฟกัสที่ตรงไหน ต้องตั้งเป้ายังไง ยุทธศาสตร์ควรจะเป็นอย่างไรถึงจะทำให้ Google มีสัดส่วนคนใช้งานเพิ่มขึ้นมาให้ได้ 

“สุดท้ายภายในปีเดียวมาร์เก็ตแชร์ของ Google ในญี่ปุ่นมันขยับเพิ่มมาเป็น 10% ก็เลยทำให้ผมได้มีโอกาสขยับไปดู Google ใน global 

“ผมรับหน้าที่เป็นคนนำมาร์เก็ตติ้งของโปรดักต์อย่าง Google Earth ในทั่วโลก แล้วมีช่วงนึงต้องทำโปรเจกต์ที่ชื่อว่า Google Moon เพื่อเฉลิมฉลองครบครอบที่มนุษย์ไปดวงจันทร์ครบรอบ 40 ปี มีรองผู้อำนวยการนาซ่ามาเปิดงานให้ หน้าที่ของทีมผมคือเราต้องสร้างภาพจำลองสามมิติของดวงจันทร์ เพื่อที่นีล อาร์มสตรอง มนุษย์คนแรกที่ไปเหยียบดวงจันทร์จะมาอธิบายว่าตอนที่ไปดวงจันทร์ ภาพมันเป็นยังไง ความรู้สึกมันเป็นแบบไหน และไม่ใช่แค่นีล อาร์มสตรอง แต่ไมเคิล คอลลินส์ กับบัซซ์ อัลดริน ผู้ที่เดินทางไปดวงจันทร์ร่วมกับนีล อาร์มสตรอง ก็เดินทางมางานเปิดตัวนี้ด้วย นั่นหมายความว่า งานนี้มันจะพลาดไม่ได้เด็ดขาด เพราะบุคคลเหล่านี้ เพียงแค่มีเงินก็ใช่ว่าจะจ้างให้เขามางานได้

“ก่อนถึงวันงานไม่กี่สัปดาห์ ลองมาซ้อมเปิดจอกันดู ปรากฏว่าดวงจันทร์หายไปครึ่งดวง จอความยาวสิบเมตรที่เราจะใช้แสดงผลเพื่อให้ภาพที่ออกมาดูแกรนด์ๆ ก็ดันดับ โอ้โหช่วงนั้นมันเป็นอะไรที่เครียดมาก เครียดถึงขนาดผมอ้วกออกมาเป็นเลือดสดๆ เลย มันกดดันสุดๆ มันทำงานหนักทุกวัน แต่สุดท้ายงานนั้นก็ผ่านพ้นไปด้วยความตั้งใจและความคิดที่ว่าจริงๆ แล้วชีวิตที่ผ่านมาเราเจอวิกฤตมาเยอะมาก และครั้งนี้ก็เช่นกัน ผมจะต้องผ่านไปให้ได้ ผมไม่ได้มาถึงจุดนี้เพื่อที่จะยอมแพ้แล้วกลับไป 

“แล้วผมก็ได้จับมือกับนีล อาร์มสตรอง ด้วยนะ” (ยิ้ม)

รองประธานอาวุโส หัวหน้าส่วนผลิตภัณฑ์ 
DTAC

“ตั้งแต่เรียนจนถึงทำงาน รวมๆ แล้วผมใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริการาว 7 ปี จนรู้สึกอิ่มตัว ผมจึงตัดสินใจกลับมาไทย เพราะคนที่บ้านเริ่มอายุเยอะ คนแก่ๆ ในบ้านเริ่มป่วยและเสียชีวิต และอีกหลายเหตุผล รวมถึงเรื่องของ Statement of Purpose ที่เคยเขียนไว้ว่าอยากจะเปลี่ยนประเทศไทยด้วย technology, innovation และ entrepreneurship ก็เลยตัดสินใจกลับมาไทย

“งานแรกที่ทำตอนกลับมาไทยคือเปิดโรงเรียนสอนสตาร์ทอัพที่ชื่อว่า Disrupt Technology Venture ซึ่งสตาร์ทอัพในเวลานั้นเป็นเรื่องที่ใหม่มากในไทย ตอนนั้นทั้งประเทศไทยเราระดมทุนได้ไม่กี่ร้อยล้านบาท ก็เป็นเรื่องที่ยากมาก แต่ก็ดีใจที่ได้ทำ เพราะมันเป็นเหมือนการจุดกระแสให้คำว่าสตาร์ทอัพในไทยได้รับความสนใจมากขึ้น

“แต่จุดที่ทำให้ตัดสินใจเข้าไปทำ DTAC ก็เพราะพี่โจ้ ธนา ที่เป็นไอดอลของเราเขาเคยทำงานที่ DTAC ทั้งยังมีโจทย์ที่ท้าทาย และเราเริ่มคิดเรื่องการลงหลักปักฐานสร้างครอบครัวในไทย เราก็น่าจะต้องมีที่ทำงานเป็นหลักเป็นแหล่ง

“แล้วอย่างที่บอก คำว่าสตาร์ทอัพในตอนนั้นมันใหม่มาก ครอบครัวไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เราทำอยู่คืออะไร พอเกิดคำถามเหล่านี้ก็เลยเข้าไปทำงานที่ DTAC โชคดีที่ทาง DTAC เข้าใจผม ให้พื้นที่ผมได้ทำงาน ผมก็เลยได้ปลุกปั้น DTAC Accelerate ขึ้นมา เป็นหน่วยงานที่เอาไว้บ่มเพาะสตาร์ทอัพในไทย สร้างให้มันเป็น tech culture เหมือนกับที่ผมเคยได้สัมผัสตอนอยู่ซิลิคอนแวลลีย์ แล้วก็เป็นสิ่งที่ทำให้คำว่าสตาร์ทอัพในบ้านเราเป็นที่รู้จักและได้รับความสนใจในวงกว้างมากขึ้น”

ผู้ก่อตั้ง 
500 TukTuks 

“อยู่ DTAC ไปได้สักระยะ มันก็มีความรู้สึกอิ่มตัวเกิดขึ้นบางอย่าง แล้วตอนนั้นก็มีลูกศิษย์ที่ผมสอนเรื่องการทำสตาร์ทอัพเขาเริ่มขึ้นมารัน DTAC Accelerate แทนผมได้ ผมก็เลยออกมาก่อตั้งกองทุน 500 TukTuks ซึ่งเป็นกองทุนเน้นลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพ 

“ตอนออกมาทำ 500 TukTuks เองผมก็เป็น CEO นะ แต่ CEO ที่ว่านี้ย่อมาจาก Chief Everything Officer จากแต่ก่อนเคยมีเลขาฯ ตอนนี้ต้องทำด้วยตัวเองทั้งหมด แม้ระหว่างทางจะเกิดคำถามกับตัวเองว่า นี่ที่เราทำอยู่มันดีแล้วใช่ไหม มันคุ้มแล้วหรือกับการที่ออกจากงานดีๆ แล้วมาเริ่มนับหนึ่งใหม่ 

“แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะชีวิตที่ผ่านๆ มาผมเคยผ่านอะไรที่ลำบากมากกว่านี้เยอะ ดังนั้นผมไม่เคยมีความกลัวในการออกมาทำอะไรเองเลย ก็เลย keep pushing ต่อไป

“จนกระทั่งวันนึงได้มาเจอคุณปั้น (บัณฑูร ล่ำซำ อดีต CEO ของธนาคารกสิกรไทย) ซึ่งต่อมาผมก็ได้ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของคุณปั้นด้วย และช่วยต่อชีวิตทำให้ต่อมาผมสามารถระดมทุนได้เกินกว่าที่ตั้งเป้าไว้กว่า 50%

“ถึงตอนนี้ 500 TukTuks ลงทุนในสตาร์ทอัพไปแล้วกว่าร้อยตัว มียูนิคอร์น 4 ตัวอยู่ในพอร์ต ซึ่งนอกจาก 500 TukTuks ผมก็สร้างกองทุนอื่นมาด้วยเช่นกัน อย่างเช่น Stormbreaker Venture ที่เอาไว้บ่มเพาะสตาร์ทอัพที่เป็น EdTech (education technology) โดยเฉพาะ เพราะผมคิดว่าถ้าจะพัฒนาประเทศ ต้องเริ่มจากการพัฒนาการศึกษา ซึ่งตอนนี้ Stormbreaker Venture ลงทุนใน EdTech ไปแล้ว 17 ตัว

“จนปัจจุบันผมมีกองทุนที่ลงทุนในสตาร์ทอัพทั้งหมด 5 กองทุน คือ 500 TukTuks I , 500 TukTuks II, Orzon Ventures, Stormbreaker Venture และ KXVC

ประธานกลุ่ม KASIKORN Business-Technology Group (KBTG)
ธนาคารกสิกรไทย 

พอเริ่มทำงานสั่งสมประสบการณ์ ก็ทำให้มีคนรู้จักผมมากขึ้น แล้วก็มีคนมาชวนให้ผมไปเป็น CEO ให้กับบริษัทแห่งหนึ่งที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ผมก็เลยไปปรึกษาคุณปั้นว่าจะไปดีไหม ท่านก็พูดกับผมมาประโยคนึง “ถ้าคุณจะไป คุณต้องเลิกเป็นที่ปรึกษาผม เพราะ CEO เป็นที่ปรึกษา CEO ไม่ได้” ได้ยินคุณปั้นพูดแบบนี้ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่น้ำตามันไหล เพราะคุณปั้นเป็นเจ้านายที่ชุบชีวิตผมขึ้นมา ให้เกียรติผม แล้วผมก็รักคุณปั้นมาก

“สองสัปดาห์ถัดไป ผมยังไม่ได้เซ็นสัญญากับบริษัทที่ชวนไปเป็น CEO แล้วคุณปั้นก็เรียกผมไปคุยอีกครั้ง ถามผมว่าสนใจไปทำ KBTG (หน่วยงานดูแลด้านเทคโนโลยีของธนาคารกสิกรไทย) ไหม ผมตอบคุณปั้นขอกลับไปคิดก่อน แต่ในใจตอนนั้นผมตอบตกลงแบบทันทีทันใดไปแล้ว

“แล้วก็ได้เข้ามาทำงานใน KBTG วันที่เปิดตัวกับสื่อว่าผมจะมาเป็นผู้บริหารคนใหม่ของ KBTG คือตอนปี 2018 ช่วงเวลานั้นแอพฯ K PLUS เคยล่มเป็นวัน สื่อมวลชนถามกับผมว่า “พี่กระทิง แอพฯ K PLUS จะล่มอีกไหม” ผมตอบด้วยความมั่นใจ ไม่ล่มแล้ว

“แต่แอพฯ K PLUS ก็มาล่ม ในวันที่แถลงเปิดตัวผม ตอนนั้นเลย บอกตามตรงตอนนั้นหน้าชา ไปแทบไม่เป็น แต่สุดท้ายก็ต้องรีบตั้งสติ เรียกทีมทุกคนเข้ามา แล้วต้องเร่งแก้มันให้ได้ สุดท้ายแอพฯ ก็ล่มน้อยลง ใช้เวลาหนึ่งเดือน แล้วในที่สุดจากล่มบ่อย K PLUS กลายมาเป็นแอพฯ ที่มียอดดาวน์โหลดสูงสุด และมีเสถียรภาพที่สุดในวงการธนาคาร 3 ปีซ้อน

“นึกย้อนไป การเจอวิกฤตหน้าชาในครั้งนั้นมันก็ดีเหมือนกันนะ จากคนเคยทำงานในซิลิคอนแวลลีย์ เคยได้จดหมายเชิญจาก White House ให้ไปพูด เคยได้รางวัล Businessman Of The Year แต่การล่มของแอพฯ ในงานแถลงข่าวนั้นเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เรารู้สึกตัวเล็กลง และทลายอีโก้ที่เคยมีลงไปได้มาก

“ส่วนความฝันในตอนนี้ไม่ใช่แค่ทำให้ KBTG เติบโต แต่ผมมีความหวังว่าในอีก 10 ปีข้างหน้าอยากเห็นประเทศไทยเป็น Innovation Hub รวมถึงการที่เศรษฐกิจของประเทศสามารถเติบโตและมี New S-Curve ขึ้นมาได้ด้วยอุตสาหกรรมใหม่ๆ ไม่ใช่แบบทุกวันนี้ที่บริษัทใหญ่ๆ ในไทยส่วนใหญ่มีแต่ธุรกิจที่เป็น old industry เราควรมีระบบนิเวศน์ที่เกื้อหนุนการสร้าง New S-Curve และ New Industry of the Future

“ถามว่าเป็นไปได้ไหม ผมว่าเป็นไปได้ กว่าสิงคโปร์จะกลายเป็น startup hub ของเซาท์อีสต์เอเชียอย่างทุกวันนี้เขาใช้เวลาสร้างมา 20-30 ปี แต่ผมเพิ่งจะทำได้ 10 ปีเอง ดังนั้นผมว่ามันเป็นไปได้ (เน้นเสียง)

“แล้วตราบใดที่ยังไม่ตาย ผมก็จะพยายามทำให้มันเกิดขึ้นมาให้ได้ 

“แม้จะฟังเป็นเรื่องยาก แต่ชีวิตของผมที่ผ่านมา มันไม่เคยมีอะไรง่ายอยู่แล้ว”