‘ชงดี’ ชาใต้ขนานแท้ ที่เพิ่มมูลค่าให้ขนมพื้นบ้าน และแมสติดตลาดชาภายใน 2 ปีครึ่ง

อันดับ 7 จากปี 2023 และอันดับ 10 จากปี 2024 คืออันดับตัวเลขที่เว็บไซต์ TasteAtlas มอบให้ ‘ชาไทย’ ในฐานะเครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์ที่ดีที่สุดในโลก วัดจากองค์ประกอบหลายด้านทั้งรสชาติกลมกล่อม กลิ่นหอมหวานรัญจวนจมูก และวัฒนธรรมการดื่มยากเกินจะเลียนแบบที่อยู่มาเนิ่นนาน

กลับมาที่ปีนี้ ท่ามกลางเทรนด์การดื่มชาที่มีให้เลือกมากมายหลากหลายสไตล์ ชาไทยยังคงยืนหนึ่งเป็นเมนูในดวงใจของใครหลายคน ซึ่งหนึ่งในแบรนด์ชาไทยที่ thai tea lover เลือกฝากท้องมักมีชื่อของ ‘ชงดี’ หรือ ‘Chongdee Teahouse’ เป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ

อย่างไรก็ดี แม้จะถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่เดียวกับชาไทย แต่ความอร่อยในแบบที่ชงดีนำเสนอถูกเรียกว่า ‘ชาใต้’ ชาสีส้ม (ค่อนไปทางน้ำตาล) รสชาติเข้มข้นถึงใจ หอมกลิ่นใบชาซีลอน กินคู่กับปาท่องโก๋ร้อนๆ ถูกต้องตามตำหรับโรงน้ำชาภาคใต้

ไหนจะต่อยอดเมนูให้โมเดิร์นด้วยการหยิบชาใต้มาแปลงร่างเป็นเมนูสเลอปี้, บิงซู, มินิโทสต์ ฯลฯ รวมไปถึงฟิวชั่นความอร่อยกับเมนูขนมพื้นบ้าน เช่น โอ่วหนี่แปะก๊วย, มันเดือย, กล้วยข้าวเม่าสติ๊ก และบัวลอย

จึงไม่แปลกใจสักเท่าไหร่นักที่ในระยะเวลาเพียง 2 ปีครึ่งชงดีจะขยายหน้าร้านจากป๊อปอัพสโตร์ขนาดไม่กี่ตารางเมตรบนห้างเซ็นทรัลลาดพร้าว สู่ 12 สาขาทั่วกรุงเทพฯ และตั้งเส้นชัยสู่ 15 สาขา ควบคู่กับนับถอยหลังกวาดยอดขายรวมให้ได้ถึง 100 ล้านบาทภายในปี 2568

ยิ่งติดตามก็ยิ่งน่าสนใจว่าวิธีคิดหรือ business model แบบไหนที่ทำให้ชงดีก้าวมาถึงจุดนี้ แน่นอนว่าไม่มีใครเฉลยคำตอบนี้ได้ดีไปกว่า ‘ก้อย–สุรีย์พร พูนศักดิ์ไพศาล’ ผู้ร่วมก่อตั้งโรงชาชงดี ที่อยู่กับแบรนด์ชาใต้ตั้งแต่ตั้งไข่ พร้อมแบ่งปันความเห็นถึงกระแสความร้อนแรงของแวดวงธุรกิจชาที่คนรักชาหรือไม่รักชาก็เอนจอยได้

เพราะรักจึงอยาก ‘ชง’

สถานที่นัดหมายระหว่างเราและผู้ร่วมก่อตั้งโรงชาชงดี คือสาขาใหม่ที่ตั้งอยู่ในโครงการ One Bangkok ชั้น 1 โซน the storey ที่เธอสามารถพูดได้เต็มปากว่าเป็นสาขาที่เป็น ‘ที่สุด’ ของชงดี ไม่ว่าจะในแง่ขนาดสถานที่ การตกแต่งร้าน และเมนูที่มีให้เลือกหลากหลาย

“ย้อนกลับไปเมื่อสัก 5 ปีที่แล้วคนส่วนใหญ่คุ้นชินว่าชาสีส้มต้องเท่ากับชาไทยเท่านั้น เราเองก็เข้าใจแบบนั้น จนกระทั่งมีโอกาสได้ไปบ้านเกิดของพี่เขยที่เป็นคนหาดใหญ่ ถึงรู้ว่าชาสีส้มแบบนี้ที่ใต้เขาเรียกว่า ‘ชาใต้’ ซึ่งคาแร็กเตอร์ทั้งเรื่องรสชาติ สี และกลิ่นต่างไปจากชาสีส้มที่ขายในกรุงเทพฯ 

“พี่เขยเคยเปรยให้ฟังว่าชาใต้แบบนี้หาดื่มที่กรุงเทพฯ ยากมากนะ กอปรกับที่เราเองก็ชอบในเครื่องดื่มนี้ เลยอยากให้คนกรุงเทพฯ ได้ลองชาใต้แบบต้นตำรับจริงๆ บ้าง”

ก้อยเริ่มต้นบทสนทนาด้วยการย้อนถึงจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอได้ลองชิมชาใต้ขนานแท้ กระทั่งกลายมาเป็นชาใต้เลิฟเวอร์ และปิ๊งไอเดียว่าถ้านำชาใต้แบบนี้มาวางขายน่าจะดีไม่น้อย เธอใช้เวลาอยู่พอสมควรก่อนจะตัดสินใจลาออกจากสายงานเอเจนซีที่ทำมานาน จับมือชวนพี่สาวและพี่เขยมาทำแบรนด์ชาใต้ของตัวเอง

ฟังดูเป็นเรื่องง่ายกับการเปิดร้านเครื่องดื่มที่ตนเองชอบ แต่การเสิร์ฟชาใต้ให้ได้คาแร็กเตอร์แบบต้นตำรับเป๊ะๆ ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย เธอจึงต้องปรับสูตรหลายอย่างให้เหมาะกับการวางขายบนห้างที่ต้องใช้ความรวดเร็ดในการทำแก้วต่อแก้ว

“หลักๆ คาแร็กเตอร์ของชาใต้มีอยู่ 3 ข้อ ข้อแรกคือสี สีออกน้ำตาลเพราะไม่ได้แต่งสี, ข้อที่สองคือความหอมจากใบชาซีลอน ซึ่งจะคนละแบบกับชาไทยทั่วไปที่ทำมาจากใบชาอัสสัม และข้อที่สามคือรสชาติที่เข้มข้น ถูกใจคนที่ไม่ชอบรสชาติหวานมาก

“อีกส่วนคือเรื่องของวิธีการชง ใครที่เคยดื่มชาใต้น่าจะเคยเห็นวิธีการชงแบบต้นตำรับที่คนชงต้องใช้กาชักชาไปมา แต่พอมาอยู่ที่กรุงเทพฯ ด้วยออร์เดอร์ที่มาเร็วเราไม่สามารถทำแบบนั้นหน้าร้านได้ หรือจะใช้วิธีการต้มในครัวกว่าจะเสิร์ฟถึงลูกค้ากลิ่นหอมก็ไม่เหมือนเดิม เราเลยพัฒนาเครื่องสกัดระบบไอน้ำ (steam distillation) ที่เก็บกลิ่นหอมและรักษารสชาติอย่างที่ควรจะเป็น”

จากกระแสปากต่อปากถึงความเจ้มจ้นเกินต้านของชาชงดี ทำให้บรรดาบล็อกเกอร์และอินฟลูเอนเซอร์เข้ามารีวิวเมนู ‘ชาชงดี’ และ ‘ชาชงร่วม’ 2 เมนูซิกเนเจอร์ที่มีทั้งแบบธรรมดาและสเลอปี้ จนทำให้ชงดีสาขาแรกเนืองแน่นไปด้วยผู้คนที่มาต่อแถวพิสูจน์ความอร่อย 

“พอขายไปได้ 2 อาทิตย์เราเริ่มสังเกตว่าคนที่มาซื้อส่วนใหญ่เป็นกลุ่มลูกค้าหน้าเดิมๆ เราถึงมั่นใจว่ารสชาติชาที่เราทำมาถูกทาง เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญของคนทำธุรกิจร้านเครื่องดื่มหรือร้านอาหารก็ต้องเป็นเรื่องของรสชาติว่าถูกใจคนซื้อหรือเปล่า 

“กับอีกเรื่องคือแบรนดิ้งที่ชัดเจน อย่างลูกค้าของเราเขาจะจำได้ทันทีว่าถ้าเป็นชงดีต้องเป็นร้านสีเขียวๆ ประมาณนี้ หรือชงดีหนึ่งแก้วเสิร์ฟคู่กับปาท่องโก๋ซึ่งไม่มีแบรนด์ชาไทยแบรนด์ไหนเคยทำ 2 ข้อนี้ ช่วยส่งให้เราเป็นที่รู้จัก และตัดสินใจขยายสาขาได้ง่ายขึ้น”

ต่อยอดเมนูชาใต้พร้อมครีเอตเมนูขนมพื้นบ้านให้โมเดิร์น

มีเฉลยไปข้างต้นเล็กน้อย ว่านอกจากเมนูชาใต้ที่เป็นซิกเนเจอร์ ก็ยังมี ‘ปาท่องโก๋’ ที่เป็นอีกหนึ่งภาพจำของโรงชาชงดี 

น่าสนใจว่าของกินเล่นสามัญที่ใครก็ต้องเคยลองสักครั้งอย่างปาท่องโก๋ เมื่อนำมาเสิร์ฟคู่กับแก้วชาใต้ในสไตล์ take away ที่ง่ายต่อการซื้อกลับบ้านหรือกินทันทีของลูกค้า จะส่งให้ชงดีโดดเด่นจากแบรนด์ชาไทยอื่นๆ ในตลาด

ก้อยอธิบายกับเราว่า แนวคิดชาใต้กินคู่ปาท่องโก๋เป็นการหยิบวัฒนธรรมการดื่มชาของชาวอังกฤษมาปรับให้ทันสมัยยิ่งขึ้น จุดประสงค์เพื่อนำมาเสริมความอร่อยของชาใต้และคืนกำไรให้กับลูกค้าไปในตัว

“เราสังเกตว่าวัฒนธรรมการดื่มชาของคนอังกฤษนิยมทานคู่กับคุ้กกี้ เลยฉุกคิดได้ว่าชาไทยก็มีคาแร็กเตอร์ที่ทำแบบนี้ได้นะ เลยนึกถึงปาท่องโก๋ซึ่งเป็นของทานเล่นที่คนไทยคุ้นเคย ถ้านำมาเสิร์ฟน่าจะทำให้การดื่มชาอร่อยขึ้น เลยตัดสินใจแถมปาท่องโก๋คู่กับชาทุกแก้วของชงดี”

จากปาท่องโก๋นำมาสู่ขนมทานเล่นอื่นๆ เช่น ขนมปังปิ้งชิ้นพอดีคำ, เอแคลร์เนื้อเนียน และกล้วยข้าวเม่าสติ๊กกรอบนอกนุ่มใน ก้อยอธิบายว่าขนมเหล่านี้เป็นเมนูคลาสสิกที่หาทานได้ทั่วไป แต่ในความธรรมดาซ่อนมูลค่าบางอย่างที่คนอาจหลงลืม เธอจึงตั้งใจหยิบรสชาติเหล่านี้นำเสนอลูกค้าตามคอนเซปต์ The Charms of Local Taste

“ขนมของชงดีส่วนใหญ่เป็นขนมสไตล์โลคอลและสตรีทฟู้ด เพราะเราอยากยกระดับมูลค่าของขนมเหล่านี้ ทำให้ผู้คนเห็นว่าขนมบ้านๆ แบบนี้ก็ขึ้นห้างได้ ใช้ความคลาสสิกเป็นจุดขาย แต่ต้องปรับหน้าตาและรสชาติให้เข้ายุคสมัย 

“อย่างกล้วยแขกเราก็เคยคิดจะลองทำ แต่ติดเรื่องการจัดการ เพราะการจะทำกล้วยแขกหมายความว่าคุณต้องทำสด ซึ่งมันยากมากที่จะเอากระทะมาตั้งหน้าร้านที่มีขนาดแค่ 30 ตารางเมตร สุดท้ายเราก็ปรับมาเป็นเมนูกล้วยข้าวเม่าสติ๊กแทน เป็นเมนูที่รสชาติเหมือนกล้วยข้าวเม่า แต่ห่อด้วยแป้งทำเป็นแท่งเพื่อให้ทานง่ายขึ้น”

ณ เวลานี้ชงดีมีขนมสไตล์โลคอลในลิสต์มากกว่า 20 เมนู ก้อยเล่าว่าขนมแต่ละเมนูส่วนใหญ่ที่วางจำหน่ายมาจากความชอบส่วนตัวที่อยากให้ลูกค้าได้ลองชิมขนมหาทานยาก ซึ่งการคิดสูตรก็มาจากการระดมสมองภายในครอบครัวเธอ

“คาแร็กเตอร์ของชาใต้มาจากการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมไทย-จีน ดังนั้นของหวานหรือของทานเล่นที่เรานำเสนอเลยออกไปในสไตล์นั้น อย่าง ‘โอ่วหนี่แปะก๊วย’ ที่เด็กรุ่นใหม่แทบไม่เคยรู้จักถ้าไม่เคยกินโต๊ะจีน” เธอหัวเราะ ก่อนจะยกตัวอย่างเมนูต่อไป 

“หรืออย่างเมนูมันเดือยที่เราพยายามนำเสนอก็พบปัญหา คือในจำนวน 10 คนที่ได้ลองชิมเขาฟีดแบ็กว่าชอบมาก ถามตลอดว่าเมื่อไหร่จะนำกลับมาขาย แต่อีก 90 คนเขาไม่กล้าลองเพราะเขาไม่รู้ว่ามันคือขนมอะไร หน้าที่ของเราคือต้องแนะนำลูกค้าว่าเมนูนี้น่าสนใจยังไง มันเป็นขนมที่คนหาดใหญ่นิยมนะ เราพยายามปรับหน้าตาให้มันโมเดิร์น ดูคล้ายกับบิงซู แต่สุดท้ายก็ต้องมาพิจารณาฟีดแบ็กจากลูกค้าว่าเขาชอบเมนูนี้จริงๆ ไหม ถ้าไม่ชอบก็ต้องคัดออก หรือปรับเป็นเมนูเฉพาะฤดูกาลแทน

“ทุกวันนี้เวลาเราไปยืนขายเอง หรือเป็นแอดมินตอบแชต ก็จะลุ้นอยู่ตลอดว่าเมนูที่ออกใหม่ลูกค้าชอบหรือเปล่า คอยถามเขาว่าเมนูนี้โอเคไหม หวานไป หรือเข้มไปไหม เพื่อนำมาปรับปรุงหาจุดร่วมระหว่างคาแร็กเตอร์ของเมนูกับความชอบของลูกค้าให้เจอ” 

ไม่ใช่แค่ความหลากหลายและแปลกใหม่ การวางขายเมนูเฉพาะสาขานั้นๆ ก็เป็นกลยุทธ์ marketing product ดึงดูดลูกค้าให้กระจายไปตามสาขาต่างๆ เช่น เมนูชาไทยแบบใส (Crystal Thai Tea), ชาช็อต 4 รสชาติ, บิงซูน้ำมะพร้าวชาไทย และมันเดือย ที่จำหน่ายแค่สาขา One Bangkok 

เมื่อมองภาพรวมจึงเป็นความสนุกของทั้งคนขายและคนซื้อที่ต้องหากันและกันให้เจอ

หน้าร้านที่ใครก็อยากนั่งสู่ไอเดียมาสคอตปาท่องโก๋ตัวน้อยสุดแรร์

ในมุมของคนทำธุรกิจอาหาร การมี ‘หน้าร้าน’ ที่สวยงาม คือจุดเริ่มต้นในการกุมหัวใจลูกค้า

ชงดีเองก็คำนึงถึงข้อนี้เช่นกัน หน้าร้านจึงถูกดีไซน์ให้คลาสสิก โดดเด่น แต่ยังคงเอกลักษณ์ความเป็นโรงชาไว้ทุกกระเบียดนิ้ว โดยที่ลูกค้าใช้เวลานั่งอยู่ในร้านได้อย่างสบายใจ หรือจะถ่ายรูปอวดลงโซเชียลฯ ก็ยังได้

“เราอยากทำให้หน้าร้านดูคลาสสิกและโมเดิร์นไปในตัว ซึ่งการใช้ ‘สีเขียว’ เป็นโทนหลักของร้านทำให้ลูกค้าที่เข้ามารู้สึกสบายตา เป็นสีที่มองแล้วดูใหม่ก็ได้ ดูเก่าก็ได้

“ส่วนช่องวางกาที่เป็นเอกลักษณ์เราหยิบยกมาจากการตกแต่งร้านชาสไตล์อังกฤษ เพียงแต่ของเราวางเป็นกระป๋องชาชัก ซึ่งเป็นมุมที่ใครมาก็ต้องหยุดถ่ายรูป” co-founder ชงดีเล่าถึงที่มาในการดีไซน์หน้าร้าน

ด้วยความแมสของแบรนด์นำมาสู่การขยายสาขาเพิ่ม แต่ระหว่างการขยายสาขาล่าสุดที่ One Bangkok ทำให้เกิด ‘น้องปาท่องโก๋’ มาสคอตสุดน่ารักที่แฟนๆ ชงดีขาประจำและขาจรล้วนหมายปอง

“น้องปาท่องโก๋เกิดจากความบังเอิญ คือเรามีคิวเปิดแฟล็กชิปสโตร์วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 พอดี ด้วยความที่สาขามากขึ้น เราอยากให้ลูกค้ารู้ว่าเราใส่ใจเขามากแค่ไหน กอปรกับเรากลัวว่าวันเปิดตัวตรงกับวาเลนไทน์แล้วบรรยากาศจะหงอย ก็เลยนึกอยากหาของแจกสร้างสีสัน

“เผอิญเรานึกถึงลักษณะของปาท่องโก๋ที่มันเป็นคู่ มันดูน่ารักดีเหมือนคู่รัก เลยทำแคมเปญแจกหมอนปาท่องโก๋แต่มีข้อแม้คือคนที่ร่วมสนุกได้ต้องมาเป็นคู่ ผลปรากฏว่ากลายเป็นกระแสจนเราตกใจ”

ก้อยเล่าให้ฟังต่อด้วยรอยยิ้มว่า น้องปาท่องโก๋มีส่วนช่วยให้ชงดีเป็นที่รู้จักยิ่งขึ้นกว่าเดิม เธอจึงต่อยอดทำสินค้าที่เกี่ยวข้องกับมาสคอตตัวนี้ในเวลาต่อมาจนเกิดปรากฏการณ์ห้างแตก ไม่ต่างจากที่ช่วงหนึ่งที่มีกระแสต่อคิวซื้อกล่องจุ่ม

“เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาตรงกับครบรอบ 2 ปีของแบรนด์ เราเลยตัดสินใจทำพวงกุญแจน้องปาท่องโก๋มาแจก เพื่อเป็นของขวัญเล็กๆ น้อยๆ แทนคำขอบคุณที่ลูกค้าทำให้เรามีวันนี้ 

“จะมองว่าเป็นความบังเอิญก็ได้นะ แต่เรามองว่าที่น้องปาท่องโก๋ได้รับความนิยม มีคนรอต่อคิวยาวเหยียด เพราะคนไทยเก็ตในเซนส์ความน่ารักแบบนี้ ถ้าไปแจกคนต่างชาติเขาอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่านี่เป็นปาท่องโก๋” เธอเล่ายิ้มๆ

คล้อยตามได้แต่ต้องไม่ลืม ‘ตัวตน’ ของแบรนด์

“คิดว่ากระแสธุรกิจชาที่กำลังมาแรงในปีนี้เกิดจากอะไร” เราถาม co-fouder ชงดีด้วยความสงสัย เหมือนกับที่ถามผู้ประกอบการธุรกิจชาที่เคยพูดคุยมาก่อนหน้า ซึ่งคำตอบที่ได้ดูจะคล้ายคลึงกันอย่างน่าประหลาดใจ 

“ต้องบอกว่ากระแสชาไม่ได้แมสแค่ในหมู่ชาไทย ชาเขียว ชาผลไม้ ชาจีน หรือมัทฉะเองก็ได้รับความนิยม ส่วนตัวมองว่ากระแสที่กำลังเกิดขึ้นมาจากไลฟ์สไตล์ของผู้คนที่เปลี่ยนไป เมื่อก่อนชาอาจจะมองว่าเป็นเครื่องดื่มของคนมีอายุ แต่ตอนนี้เป็นเครื่องดื่มของคนรักสุขภาพ ยิ่งผู้ประกอบการปรับภาพลักษณ์ของชาให้มีความสเปเชียลตี้ ออกแบบเมนูให้หลากหลาย กระแสความนิยมก็ยิ่งแพร่หลายง่ายขึ้น   

“อีกส่วนหนึ่งคือวัฒนธรรมการดื่มชามันมีเรื่องราวที่น่าสนใจเป็นทุนเดิม การชงก็คนละแบบ ความอร่อยก็คนละแบบ เราไม่แปลกใจสักเท่าไหร่ถ้าจู่ๆ การดื่มชาจะได้รับความนิยม” 

เธอวิเคราะห์ต่ออีกว่าการแข่งขันในแวดวงธุรกิจชามีแนวโน้มที่จะโตกว่าเดิมจากที่เป็นอยู่ ซึ่งเป็นข้อดีในการขยายจำนวนนักดื่มชา 

ถึงกระนั้นก้อยเน้นย้ำทิ้งท้ายว่า สิ่งสำคัญของคนทำธุรกิจชา คือต้องไม่ลืม ‘ตัวตน’ ของแบรนด์ที่สร้างไว้

“เรื่องของเมนูอาจจะเปลี่ยนไปตามเทรนด์ได้ เช่น วันนี้คนฮิตชาชีส ก็อาจคอลแล็บกับแบรนด์อื่นหรือทำเมนูชาชีสบ้าง แต่เหนือสิ่งอื่นใดผู้ประกอบการที่อยู่ในแวดวงธุรกิจชาต้องไม่ลืมตัวตนที่สร้างมา เราปรับไปตามโลกได้แต่ต้องรู้ว่าคาแร็กเตอร์ของแบรนด์ตัวเองเป็นแบบไหน 

 “ถ้าทำได้จะไม่มีการตั้งคำถามจากผู้บริโภคว่าทำไมเขาถึงต้องจ่ายเงิน 70-80 บาทเพื่อซื้อชาสักแก้ว เขาซื้อเพราะเชื่อว่าคุณภาพที่ได้มันสัมพันธ์กับราคาที่เราตั้งไว้ โชคดีที่ลูกค้าของชงดีเข้าใจเรา บางคนบอกด้วยซ้ำว่าราคาที่เราขายถูกไป”

Malee แบรนด์ไทยที่ส่งออก 30 ประเทศ มี 3 โรงงาน 1 ฟาร์มนม และเตรียมเป็นบริษัท wellness 

ถ้าพูดถึงแบรนด์ไทยที่ไปไกลระดับโลก หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า Malee คือหนึ่งในนั้น แบรนด์น้ำผลไม้ที่เราคุ้นเคยกันดี วันนี้ส่งออกไปกว่า 30 ประเทศ มี 3 โรงงานและ 1 ฟาร์มโคนมในเครือ (แถมยังเป็นผู้ผลิตนมโชคชัยด้วยนะ)  

วันนี้ Malee ไม่ได้มองตนเองเป็นเพียงแบรนด์น้ำผลไม้อีกต่อไป แต่ตั้งเป้าเป็น Global Wellbeing Company หรือบริษัทที่ส่งมอบสุขภาวะระดับโลกอย่างเต็มรูปแบบในปี 2571 โดยมีคีย์หลักคือ ‘Beyond Fruit to Global Wellbeing’ ซึ่ง Malee ทำทั้งหมดนี้ได้อย่างไร เราขอพาไป Recap พร้อมๆ กัน

จัดพอร์ตสินค้าตามความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลาย

Malee เน้นพัฒนาสินค้าจากความต้องการของผู้บริโภคเป็นหลัก โดยมีสเปกตรัมสินค้าตั้งแต่ enjoy หรือเพื่อความเพลิดเพลินไปจนถึงสินค้าที่มีคุณประโยชน์สูง ปัจจุบันมีกลุ่มสินค้าทั้งน้ำผลไม้พรีเมียม ซึ่งเป็นเบอร์หนึ่งในไทย, น้ำมะพร้าวที่คว้าเบอร์หนึ่งในไทยมาเมื่อเดือนมิถุนายน 2568, ผลไม้กระป๋อง, นมวัว, เครื่องดื่ม plant-based และเครื่องดื่มอัดแก๊ส 

ภายใน 3 ปี ที่ Malee วางแผน บริษัทจะขยายสินค้าสู่หมวดหมู่ใหม่ๆ โดยเน้นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ (functional drink) ที่ยังคงความอร่อยและสดชื่น ตอบเทรนด์โลกที่ผู้คนให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น

สร้างนวัตกรรมของตัวเอง เพื่อสร้างความแตกต่างในตลาด 

หลายบริษัทใช้วิธีซื้อ active ingredients จากผู้พัฒนา แต่เมื่อ Malee มองว่าจะเป็นมากกว่าบริษัทผลิตน้ำผลไม้ และมุ่งสู่การเป็นบริษัทสุขภาพระดับโลกแล้ว Malee เลือกที่จะลงทุนในนวัตกรรมด้วยตนเอง หมุดหมายสำคัญคือการก่อตั้ง MAS (Malee Applied Science) หน่วยธุรกิจไบโอเทค (biotech) ที่ครอบคลุมด้าน agritech, foodtech, biotech และ neurotech 

MAS ทำหน้าที่คิดค้น active ingredients ลิขสิทธิ์เฉพาะ ตั้งแต่น้ำมะพร้าว Malee Coco มีสูตรที่ผสม Lycosos ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ไปจนถึง Power Plant ที่มีส่วนผสมของ Innogutz ที่ช่วยดูแลลำไส้และมีอายุการเก็บรักษานานขึ้นในอุณหภูมิห้องจนได้รับรางวัลนวัตกรรม

นอกจากผลิตนวัตกรรมใหม่ๆ ให้แบรนด์ตนเองได้แล้ว MAS ยังสร้างนวัตกรรมไปขายให้บริษัทอื่น หรือนำไปใช้กับ OEM ได้อีกด้วย MAS ยังมีหน้าที่ในการนำผลิตภัณฑ์เหลือใช้หรือวัสดุเหลือใช้จากการผลิตมาสร้างคุณค่าและมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัท ช่วยลดภาระต่อสิ่งแวดล้อม ลดต้นทุนการผลิต เรียกว่าทำหนึ่ง ได้หลายต่อ 

ตั้งเป้าการขยายให้ชัด แล้วสื่อสารการตลาดหลากหลายรูปแบบเพื่อสร้างการรับรู้

Malee ให้ความสำคัญกับงบประมาณการตลาดในต่างประเทศมากกว่าในประเทศ เนื่องจาก Malee ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนยอดขายจากต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 40% ให้สูงขึ้นไปอีกในอนาคต 

ตลาดเป้าหมายหลักตอนนี้คือจีน เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย และตะวันออกกลาง เพราะทั้งสี่ตลาดมีสิ่งหนึ่งเหมือนกันคือความสนใจในเครื่องดื่มสุขภาพเพิ่มสูงขึ้นทุกปี โดยเฉพาะจีน ที่ตลาดน้ำมะพร้าวและ plant-based โตเร็วมากในกลุ่มคนรุ่นใหม่

ในแต่ละประเทศที่ไป Malee ไม่ได้ใช้สูตรธุรกิจแบบเดียวกันแต่ปรับพอร์ตสินค้าและการสื่อสารให้เหมาะกับรสนิยมท้องถิ่น เช่น ตลาดจีนใช้ Malee Coco เป็นตัวหลัก เพราะน้ำมะพร้าวเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมในหมู่คนรุ่นใหม่  

วิธีการสื่อสารของ Malee ยังหลากหลาย ตั้งแต่การเข้าร่วมงานแสดงสินค้าและแฟร์ระดับนานาชาติ รวมถึงงาน THAIFEX ในประเทศ เพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้างและแสดงศักยภาพของผลิตภัณฑ์และบริษัท ไปจนถึงการใช้พรีเซนเตอร์ระดับภูมิภาค เช่น จางหลิงเฮ่อ ดาราจีนดาวรุ่ง มาเป็น Asia-Pacific Brand Presenter ให้กับ Malee Coco เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ทันสมัยและเพิ่มการรับรู้แบรนด์ในตลาดต่างประเทศ และเมื่อเข้าไปในตลาดประเทศนั้นๆ ได้แล้ว Malee ยังเน้นให้ความรู้แก่ผู้บริโภคให้เข้าใจถึงคุณประโยชน์ของสินค้า  

สร้างสมดุลระหว่าง own brand และ OEM

จุดแข็งของ Malee คือการสร้างสมดุลธุรกิจโดยมุ่งเน้นทั้งฝั่ง OEM ที่รับจ้างผลิต และฝั่งแบรนด์ตัวเอง  

โดย Malee มีโรงงานใหญ่สามแห่ง ทั้งในไทยและเวียดนาม ที่ผลิตเครื่องดื่มได้ครบทุกแบบ ทั้งหมดผ่านมาตรฐานระดับโลกชนิดที่ถ้า Malee อยากส่งสินค้าไปขายที่ไหนก็ย่อมไปได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องใบรับรองมาตรฐาน 

ลูกค้า OEM ของ Malee หลายรายเป็นแบรนด์ชั้นนำในตลาดต่างประเทศซึ่งช่วยให้ Malee มองเห็นพฤติกรรมผู้บริโภคในแต่ละภูมิภาคว่าชอบสินค้าแบบไหนข้อมูลพวกนี้กลายเป็นฐานความรู้ที่ต่อยอดกลับมาสู่ฝั่งแบรนด์ของตัวเองได้

ส่วนฝั่ง own brand อย่าง Malee และ Malee Coco นับเป็นการสร้างกำไร สร้างชื่อเสียง และสร้างการจดจำให้กับบริษัท โดย Malee ตั้งเป้าว่าภายในปี 2028 สัดส่วนรายได้ของแบรนด์เหล่านี้จะเพิ่มจาก 35% เป็น 55% ของพอร์ตทั้งหมด  

สร้างระบบหลังบ้านให้แข็งแรง พร้อมรับการเติบโต ด้วยการใช้ AI Automatio

เพราะ Malee ทำทั้ง OEM และ own brand ระบบหลังบ้านจึงต้องพร้อมรองรับทั้งโปรดักต์ที่ต้องผลิตได้เร็วและได้คุณภาพตามสเปกลูกค้า ขณะเดียวกันก็ต้องยืดหยุ่นพอที่จะให้แบรนด์ได้ทดลองสูตรใหม่ๆ Malee จึงลงทุนใน automation และเทคโนโลยี เพื่อให้ผลิตได้เร็วขึ้น คุมคุณภาพได้ และลดการพึ่งแรงงานคน เรียกว่าเปลี่ยนโรงงานแบบเดิมให้กลายเป็น smart factory ที่พร้อมโตไปกับตลาดโลก 

ในวันที่ตลาดเปลี่ยน ผู้เล่นใหม่ๆ กระโดดเข้ามาในสนามเดียวกัน และสิ่งที่เคยขายดีอาจกลายเป็นของธรรมดา สิ่งสำคัญจึงคือการกล้าที่จะถามตัวเองว่าเราจะเป็นอะไรต่อไป สำหรับ Malee นั้นเลือกที่จะไม่ยึดติดกับคำว่า ‘น้ำผลไม้’ แต่เลือกมองไปข้างหน้าว่าอะไรคือสิ่งที่คนทั้งโลกต้องการ 

รสชาติชีวิตของ ‘ลุงชงชา’ แห่ง ‘ตามใจคาเฟ่’ ร้านที่มีใบชาจากทั่วโลกและเบลนด์ชาจนคว้ารางวัล 

หากใครเป็นคนในแวดวงโฆษณา อาจคุ้นหน้าคุ้นตาชายคนนี้ในฐานะผู้กำกับโฆษณาที่คร่ำหวอดในวงการมากว่า 40 ปี และเป็นเจ้าของโปรดักชั่นเฮาส์ ทศกัณฐ์ ​ฟิล์ม

หากใครเป็นสายจัดอีเวนต์หรือจัดงานแต่ง อาจรู้จักเขาในฐานะเจ้าของบ้านวรรณกวี

หรือหากใครเป็นสายดื่มชา เชื่อว่าจะเคยเห็นหน้าค่าตาคุณลุงใจดีในฐานะลุงชงชา เจ้าของร้านตามใจคาเฟ่

เรากำลังพูดถึง เอ๊ง–สาโรจน์ สุวัณณาคาร ชายผู้เผชิญทั้งวิกฤตต้มยำกุ้ง ดิจิทัล ดิสรัปชัน และวิกฤตช่วงโควิด จนต้องพลิกเกมจากผู้กำกับโฆษณาปรับตัวมาสู่โลกธุรกิจ ด้วยการเปิดร้านตามใจคาเฟ่ ที่หยิบความชอบดื่มชามาตั้งแต่เด็กและสะสมชาจากทั่วทุกมุมโลก มาเสิร์ฟให้ผู้คนได้ชิมตามสโลแกนของร้านที่ว่า ‘ดื่มชาอร่อยสไตล์ลุง’ ถ้าลุงว่าไม่อร่อยก็จะไม่เสิร์ฟ

เสน่ห์ของตามใจคาเฟ่คือที่การลุงชงชาสามารถทายนิสัยผู้คนได้จากชาที่เลือกดื่ม และได้ชาเบลนด์เป็นของตัวเองทั้งชาอบควันเทียนและชาสปาจนไปคว้ารางวัลระดับโลก อีกทั้งยังมีแฟนคลับจากหลากหลายประเทศทั่วโลกยอมข้ามน้ำข้ามทะเลมาลิ้มลองรสชาติชาของคุณลุง

ช่วงโพล้เพล้จวบจะได้เวลาที่ตามใจคาเฟ่กำลังจะปิดให้บริการในวันนั้น เราถือโอกาสไปเยือนย่านห้วยขวาง ขับรถลัดเลาะรอบต้นไม้อันร่มรื่นที่เหมือนหลุดมาอยู่อีกโลก เพื่อลิ้มรสชาติชาที่ชายผู้นี้แนะนำว่ารสชาตินี้แหละอร่อยสไตล์ลุง 

พร้อมกันนั้น เราขอพาไปลิ้มรสชาติชีวิตของเอ๊งที่ผ่านร้อน ผ่านหนาว จนมีรสชาติขมปนหวานไม่ต่างจากรสชาติชาที่เขารัก

ชาถ้วยที่ 1 รสชาติขมปนหวาน ในวันที่ต้องปรับตัวตามโลก

“โลกมันเปลี่ยนแปลง เราต้องยอมรับ และปรับตัวตาม” เป็นประโยคแรกๆ ที่ลุงชงชาพูดกับเรา ก่อนจะเล่าถึงจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผู้กำกับโฆษณามือฉมัง ผันตัวมาเปิดร้านชาเป็นของตัวเอง

ย้อนไปก่อนหน้านี้เขาทำงานเป็นก๊อบปี้ไรเตอร์อยู่ที่ Ogilvy เอเจนซี่โฆษณาระดับโลก ก่อนจะลาออกมาเป็นผู้ช่วยไดเรกเตอร์ของผู้กำกับชื่อดัง และก่อตั้งบริษัททศกัณฐ์ ​ฟิล์ม เพื่อรับทำงานโฆษณา แต่หลังจากก่อตั้งบริษัทได้เพียง 1 ปีก็เจอเข้ากับวิกฤตต้มยำกุ้ง

“ตอนนั้นผมเหลือเงินอยู่ 200,000 บาทสุดท้าย ซื้อฟิล์มมาลองเทสต์งานโฆษณาแชมพู หลังจากนั้นลุงก็กลายเป็นผู้กำกับโฆษณาเกี่ยวกับผมและผิวไปโดยไม่ตั้งใจ เพราะมีลูกค้าชาวญี่ปุ่นเขาชอบผลงานเราก็เลยให้ไปถ่ายเฉพาะโฆษณางานผมกับงานผิว”

หลังจากนั้นก็เจอกับดิจิทัล ดิสรัปชัน ที่ทำให้ทุกอย่างถูกลง แม้แต่ค่าโฆษณา ทำให้วงการโฆษณามาตัดราคากันเอง งานก็น้อยลง ทำให้เขาตัดสินใจรับงานทำโฆษณาให้กับธุรกิจ SMEs เพียงตัวละ 8,000 บาท ก่อนที่โชคจะเข้าข้างทำให้ได้ทำโขนภาพยนตร์ ตามสิ่งที่ชายผู้นี้ฝันอยากจะทำมาตั้งนาน เขาย้ำว่าสิ่งนี้เป็นมากกว่าหนัง แต่คือการถ่ายทอดความมหัศจรรย์ของโขนในแง่มุมต่างๆ ให้ผู้คนได้สัมผัส

“ผมว่าช่วงที่แย่ที่สุดจริงๆ คือช่วงโควิด จะถ่ายหนังทำโปรดักชั่นก็ไม่ได้ เลยไปปลูกกล้วยด่างที่บ้านเพื่อนแถวนครปฐม แล้วไลฟ์สดขายกล้วยด่าง บางต้นขายได้ถึงต้นละ 8,000 บาท แล้วเราเห็นว่าเทรนด์ wellness กำลังมาแรง ก็เลยปลูกผักออร์แกนิคขายด้วย ให้ลูกน้องที่ทำโฆษณาอยู่ด้วยขี่มอไซต์ไปส่งผักให้ลูกค้า

“ช่วงที่เขาขี่รถออกไปนี่เราน้ำตาซึมเลยนะ เพราะรู้ว่าพวกเขาต้องลำบากขึ้น แต่ทำยังไงได้ งานโฆษณามันน้อยลง เราต้องทำเพื่อความอยู่รอด และดึงให้ลูกน้องอยู่กับเราได้มากที่สุด เงินเดือนบางส่วนที่จ่ายเขาผมก็ควักมาจากกระเป๋าตังค์ตัวเอง หมดไปประมาณ 10 ล้าน แต่ทุกคนในออฟฟิศยังอยู่กับผมหมด ไม่เอาใครออกสักคน เพราะผมรู้สึกเหมือนเป็นพ่อของพวกเขาจริงๆ”ฃ

ชาถ้วยที่ 2 รสชาติแห่งความหวัง ในวันที่กลายมาเป็นลุงชงชา

พื้นที่แห่งนี้รายล้อมไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่อันสงบและร่มเย็น เหมือนหลุดมาอยู่อีกโลกนึงที่ไม่ใช่เมืองความวุ่นวายอย่างห้วยขวาง พื้นที่ถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่งคือบ้านเรือนไทยในชื่อ ‘บ้านวรรณกวี’ เป็นสถานที่จัดงานแต่งและอีเวนต์ต่างๆ ส่วนอีกฝั่งข้างๆ กันคือ ‘ตามใจคาเฟ่’

“คาเฟ่นี้เกิดในช่วงเวลาที่ผมต้องตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง ผมก็มาคิดว่าเราชงชาได้นี่ เพราะชอบกินชากับที่บ้านมาตั้งแต่เด็ก มีชาในสต็อกประมาณนึง ก็เอามาชงขายดีกว่า พนักงานในร้านก็เป็นคนทำโปรดักชั่นของเราทั้งหมด มีผู้กำกับ โปรดักชั่นเมเนเจอร์ คนแคสติ้งโฆษณา และตากล้องก็มาเป็นบาริสต้า มาช่วยเสิร์ฟ มาช่วยโบกรถบ้าง สลับๆ หน้าที่กันไป”

ช่วงแรกที่เปิดตามใจคาเฟ่บางวันไม่มีลูกค้าเลย บางวันมีคนมาสั่งชาแค่ 1 แก้วเท่านั้น เพราะเมื่อก่อนคนมักจะเดินเข้าคาเฟ่เพื่อไปดื่มกาแฟกันมากกว่าการเข้าคาเฟ่เพื่อไปดื่มชา

@capitalreadco

6 ชาที่คว้ารางวัลระดับโลกของลุงชงชา #Capital#SmallTalk#ลุงชงชา#ชา

♬ original sound – capitalreadco – capitalreadco

“ผมก็เลยทำคลิปพูดเรื่องชามันทุกวัน ลงวันละ 2-3 คลิป แต่ยอดวิวช่วงแรกๆ ไม่ค่อยไป เพราะมันอยากให้เราจ่ายตังค์ เราก็สู้กับอัลกอริทึมลงวันนึง 4 คลิปไปเลย ตอนนั้นเราก็ถ่ายเอง ตัดเอง เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่เราทำได้อยู่แล้ว เพราะการถ่ายหนัง ทำโปรดักชั่นมันอยู่ในสายเลือด แต่ขอถ่ายแค่เทคเดียวเท่านั้น เพราะแค้นใจเวลาถ่ายโฆษณาต้องถ่ายหลายเทคกว่าลูกจะชอบ”

เอ๊งยังบอกอย่างตรงไปตรงมาว่าคลิปที่ลงในเฟซบุ๊กและอินสตาแกรมยอดไม่ค่อยดีนัก แต่คนดูใน TikTok เริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และเวลามีใครมาขอสัมภาษณ์คุณลุงจะให้สัมภาษณ์หมดทุกที่ และยังพูดอย่างติดตลกว่าเป็นผู้กำกับโฆษณามา 40 ปี ไม่เคยยอมให้ใครสัมภาษณ์มาก่อน แต่อยากให้คนรู้จักตามใจคาเฟ่ถึงให้สัมภาษณ์ 

ชาถ้วยที่ 3 รสชาติอร่อยสไตล์ลุง ที่คนทั่วโลกอยากลิ้มลอง

สิ่งที่จุดพลุให้ตามใจคาเฟ่เป็นที่รู้จักมากขึ้น เกิดจากพลังแห่งการรีวิว ที่มีคนถ่ายคลิปลุงชงชาไปลงในโซเชียลมีเดีย จนทำให้คนแห่มาร้าน เพราะอยากพบเจอและพูดคุยกับคุณลุง

“คนมาถ่ายรีวิวว่าลุงสามารถทายนิสัยจากการดื่มชาได้ เพราะผมเป็นผู้กำกับมานาน พูดคุยกับคนมาทุกเจนเนอเรชั่น เวลาผมกำกับการแสดงของใครก็จะมองตาเขา จะดู movement และบรีฟเพื่อให้เขาแสดงตามคาแรคเตอเร์ที่ผมอยากได้

“เพราะฉะนั้นเวลามีใครมาสั่งชา ผมก็จะดูว่าคนที่เลือกชาแบบนี้จะเป็นนิสัยประมาณนี้ ดูคาแรกเตอร์รวมๆ ของเขา และผมจะมองเข้าไปในตาเขาด้วยว่ารู้สึกอะไรอยู่ในตอนนี้ อย่างมีคนนึงเลือกชากุหลาบ ทั้งที่ภายนอกเขาดูห้าวหาญ แต่ข้างในเขาเป็นคนอ่อนโยน เวลาเราทายนิสัยแบบนี้คนจะชอบบอกว่าเรารู้ได้ไง แล้วมันก็กลายเป็นอีกความสนุกนึงเวลาคนมาร้านเรา”

อีกหนึ่งเสน่ห์ที่ทำให้ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติหลั่งไหลเข้ามาที่ตามใจคาเฟ่ คือการที่ลุงมีชาจากทั่วทุกมุมโลกมาให้ลูกค้าได้ชิม เขาเริ่มจากชาฝรั่งเศลที่ตนหลงรัก ก่อนจะเริ่มขยับไปสั่งชาติจากประเทศอื่นๆ มามากมาย โดยมีหลักเกณฑ์ง่ายๆ คือต้องเป็นชาที่เขาดื่มแล้วชอบ อันไหนไม่ชอบจะไม่เอามาขายเลย

“สโลแกนร้านผมคือ ‘ดื่มชาอร่อยสไตล์ลุง’ มาจากที่โลกใบนี้ โดยเฉพาะตอนนี้ที่ทุกอย่างอยู่ในโลกออนไลน์ ถ้าทำอะไรที่ผิดแปลกไปจากประเพณีเขาก็จะโดนด่า ผมเลยบอกทุกคนว่าเราทำร้านชาสไตล์เรา ไม่ได้มีพิธีรีตองอะไร ชาก็เป็นชาที่เราดื่มแล้วชอบ คิดว่ามันอร่อย

“เหตุผลที่ผมมีชาหรือมีเมนูให้เลือกเยอะมาก ขนาดที่ถ้าร้านอื่นทำเมนูเยอะขนาดนี้อาจจะเจ๊งได้เลย แต่ผมอยากให้ลูกค้าเข้ามาคุยกันว่าจะสั่งอะไรดี บางทีถ้าลูกค้ามาแล้วสั่งเมนูเลย ถ้าเรารู้สึกไม่ชอบก็จะไปถามเขาว่าเปลี่ยนเป็นตัวอื่นได้มั้ย ตัวอื่นอร่อยกว่านี้ ชาบางอย่างเหมาะชงแบบลาเต้ (ชาที่ชงผสมกับนม) ถ้ามาชงแบบ Clear มันไม่อร่อย (ชงที่ชงผสมกับน้ำ) พอเราแนะนำแบบนั้นเขาก็เปลี่ยนตามคำแนะนำนะ”

ลุงเล่าด้วยรอยยิ้มว่าแฟนคลับลุงชงชามีอยู่ในหลายประเทศทั่วโลก พวกเขาต่างยอมข้ามน้ำข้ามทะเลมาเพื่อให้ได้ลิ้มลองรสชาติอร่อยสไตล์ลุง ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าที่มาไกลจากสหรัฐอเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย สแกนดิเนเวีย แอฟริกาใต้ ประเทศแถบตะวันออกกลาง หรือแม้แต่ประเทศต้นตำรับเรื่องชาอย่างจีนและญี่ปุ่นก็เดินทางมาหาคุณลุง

“มีชาวต่างชาติมาขอถ่ายลุง ถ่ายบรรยากาศร้าน แล้วไปลงรีวิวในโซเชียลว่า The place you should go for matcha in Thailand คือบอกว่าถ้ามาไทยควรมาดื่มมัทฉะที่ร้านนี้ แต่ผมว่ามัทฉะในไทยที่ดีกว่าร้านผมมีเยอะแยะ แต่เขาอาจจะมาดื่มมัทฉะร้านเราแล้วชอบ ทำให้หลังๆ มานี้ใครมาก็สั่งแต่มัทฉะ”

ชาถ้วยที่ 4 รสชาติความเป็นไทย ที่ไปคว้ารางวัลระดับโลก

“ผมทำงานเป็นผู้กำกับโฆษณามา 40 ปี แล้ววันนี้มาขายชา ผมไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องเสียหายหรือเป็นเรื่องน่าอายอะไร วันนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองก็ยังทำงานเป็นผู้กำกับอยู่ แค่ไม่ได้กำกับโฆษณา แต่มากำกับชีวิตตัวเอง มันก็ขึ้นอยู่กับว่าผมอยากกำกับตัวเองให้คนอื่นเห็นแบบไหน ก็ได้ข้อสรุปว่าผมอยากทำแบรนด์ชาของคนไทยให้มันดัง”

นั่นเป็นจุดเริ่มต้นให้ลุงชงชาเริ่มเบลนด์ชาเป็นของตัวเอง เขาสังเกตว่าชาค่อนข้างดูดกลิ่นต่างๆ ได้ดี แล้วเห็นคนไทยชอบทำขนมหรือสินค้าอบควันเทียน เลยอยากลองทำชาอบควันเทียนดูบ้าง ลุงเล่าอย่างติดตลกว่าตอนนั้นเขาเหมือนคนบ้าที่กว้านซื้อเทียนทั้งหมดเท่าที่จะหาได้มาเป็นร้อยๆ แพ็ก และลองอบควันเทียนจนทิ้งชาไปมากมาย จนได้ชาอบควันเทียนมาถึง 8 รสชาติ

“มีคนแนะนำเราว่ามีการประกวดชานานาชาติ Les Thés Du Monde’ AVPA Paris 2024 ที่ฝรั่งเศส เราก็เอาชาส่งไปประกวดดู ปรากฏว่าฝรั่งดันชอบแล้วให้รางวัลมา 3 ตัว คือทศกัณฐ์ ตีความว่าเขาเป็นยักษ์ที่ดูซื่อสัตย์ เลยใช้ชาเขียวชั้นดีมาผสมกับใบเตย เพราะใบเตยเป็นวัตถุดิบที่ดูซื่อที่สุดของการทำขนม เหมือนเวลาจะทำขนมอะไรก็ชอบหยิบใบเตยไปใส่

“อีกตัวที่ได้รางวัลคือพระนารายณ์ เป็นผู้ปกป้องกับผู้กอบกู้โลกและมีผิวกายเป็ยสีม่วง เราเลยใช้ชาขาวชั้นดี มาเติมอัญชันและลาเวนเดอร์เข้าไป ลูกเล่นอยู่ตรงที่ผมใส่มะนาวลงไปด้วย พอชงชากับน้ำอัญชันจะลองอยู่ข้างบน มะนาวจะอยู่ข้างล่าง ทำให้น้ำดูเป็นสีน้ำเงิน แต่พอยกดื่มแล้วอัญชันผสมกับมะนาว สีในแก้วจะเปลี่ยนเป็นสีม่วง

“ตัวสุดท้ายคือพระลักษณ์ มักจะโดนพระรามใช้ให้ทำโน่นนี่บ่อยๆ และมีผิวกายเป็นสีเหลือง เราเลยอยากให้เป็นชาที่ดื่มได้ตลอด 24 ชั่วโมง เลยใช้ชารอยบอสที่ไม่มีคาเฟอีน มาผสมกับเก๊กฮวยนิดหนึ่ง เพราะรสชาติของชารอยบอสจะคล้ายชาแดง ซึ่งรสชาติของชาแดงกับเก๊กฮวยเป็นรสชาติที่ไปด้วยกันได้”

นอกจากชาที่ได้รับรางวัลแล้ว ชาอบควันเทียนชุดนี้ยังมีพระราม นางสีดา หนุมาน สุครีพ และพระอุมาเทวี ถ้าสังเกตดูจะเห็นว่าชาเหล่านี้มีชื่อ และลวดลายบนกระป๋องชามาจากตัวละครในเรื่องรามเกียรติ์ ซึ่งเชื่อมโยงกับทศกัณฐ์ ฟิล์ม ชื่อบริษัทโปรดักชั่นเฮาส์ของคุณลุงนั่นเอง

ชาชุดต่อมาที่เขาส่งประกวดมาจากไอเดียที่ว่าประเทศไทยมีสปาที่ดีและในต่างประเทศไม่ได้มีสมุนไพรเหมือนบ้านเรา จึงนำไอเดียนี้มาทำเป็นชาสปาซีรีส์ และส่งไปประกวดในงาน Great Taste Award 2025 ที่ประเทศอังกฤษ ถึง 7 รสชาติ และคว้ารางวัลมาได้ 2 รสชาติ

“ตัวแรกคือ Signature Tea Spa มาจากเวลาคุณเข้าไปในสปาไทยจะเห็นอ่างน้ำที่มีกลีบดอกกุหลาบและดอกมะลิโรยอยู่ เราเลยใช้ชาขาวมาอบกับดอกมะลิ ตอนนั้นดอกมะลิกิโลฯ ละพัน แต่เราอยากทำมากก็เลยไปซื้อมาแล้วศึกษาว่าต้องอบตอนกลางคืนแล้วรีบเก็บตอนเช้า ไม่งั้นมะลิจะช้ำ แล้วเราน้ำมาเบลนด์กับดอกกุหลาบ และดอกครีกเมาน์เทน

“อีกตัวเป็น Good Night Tea Spa เป็นชารอยบอสออร์แกนิกที่ไม่มีคาเฟอีน แล้วเวลาคนนึกถึงชาที่กินก่อนนอนจะนึกถึงชาคาโมมายล์ แต่ผมไม่ชอบเพราะกลิ่นแรงไป เลยใส่ลงไปนิดเดียว แล้วก็ใส่เลมอน เวอร์บีน่า มะตูม ตะไคร้ และใส่หญ้าหวานลงไปให้มีรสหวานกลมกล่อมนิดหนึ่ง ให้อารมณ์เหมือนดื่มชาหลังจากนวดเสร็จหรือดื่มชาก่อนนอน”

ชาถ้วยที่ 5 รสชาติแห่งชีวิต ที่อยากให้ทุกทิศมีแต่ลุงชงชา

ณ ปัจจุบันตามใจคาเฟ่เปิดมาได้เป็นปีที่ 2 แล้ว แต่ลุงชงชาพูดกับเราแบบติดตลกว่าจริงๆ ลุงชงชาเกิดขึ้นมา 60 กว่าปี นับตั้งแต่เขาลืมตาดูโลก เพราะเขาชอบชิมชากับพ่อมาตั้งแต่เด็ก เวลาไปต่างประเทศก็มักจะไปตะเวนชิมชาทั่วสารทิศ

“ผมดีใจที่ทุกวันนี้ตลาดชาโตขึ้น เพราะจริงๆ แล้วชาเป็นเครื่องดื่มอันดับ 2 ของโลก รองมาจากน้ำ ไม่ใช่กาแฟ ดีใจที่คนรุ่นใหม่มีตัวเลือกในการดื่มชาเพิ่มมากขึ้น ถ้าใครจะมาเปิดร้านแข่งกับลุงก็เปิดไป ไม่เป็นไร”

เขายังบอกว่าหากวันใดวันหนึ่งที่ตามใจคาเฟ่จะขยายสาขาใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการไปเปิดสาขาด้วยตัวเองหรือแฟรนไชส์ สิ่งสำคัญคือต้องหาลุงประจำสาขานั้นๆ ให้ได้ก่อน ลุงที่มีความเป็นอาร์ทิสต์ มีความคิด positive ถ้าดีไปกว่านั้นคือสามารถฮีลใจผู้คนได้ด้วย

“นึกดูว่ามันสนุกแค่ไหน ถ้าคุณไปเที่ยวทุกจังหวัด และมีลุงชงชาคาแร็กเตอร์แปลกๆ อยู่ทุกจังหวัด แล้วผมอยากให้เป็นคนในพื้นที่ด้วย เขาจะได้รู้ว่าคนแถวนั้นเป็นยังไง คนจะได้มาคุยกันรู้เรื่อง คิดดูว่าวันหนึ่งมีลุงติสต์ๆ นั่งตีกลองอยู่หน้าร้าน ใครอยากดื่มชารอลุงตีกลองก่อนเดี๋ยวไปชงให้ อีกที่หนึ่งมีลุงนั่งวาดรูปอยู่ ถ้าอยากดื่มชาไปให้คนอื่นชงก่อนอะไรแบบนี้ มันดูกวนตีนดีนะ

“แล้วคาแร็กเตอร์ลุงไปได้ทั่วโลกเลย เพราะสังคมผู้สูงอายุเยอะขึ้น อาร์ทิสต์ในไทยก็มีไม่น้อย และสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว AI ตามไม่ได้คือคาแร็กเตอร์ลุงที่ชอบพูดคุยกับผู้คน ซื่อสัตย์ อยากเสิร์ฟของที่มีคุณภาพให้คนได้ชิม นี่แหละคือตัวตนของลุงชงชา”

แชตกับปิ๊น-อนุพงศ์ ในวาระครบรอบ 15 ปี Carnival กับ 15 คำถามที่สาวกอยากรู้ 

จากร้านขายรองเท้าคอนเวิร์สขนาด 9 ตารางเมตรในตึกสยามกิตติ์ ถึงตอนนี้ Carnival เติบโตเป็นร้านมัลติแบรนด์ชั้นนำในดวงใจของใครหลายคน เรียกว่าออกสินค้าคอลเลกชั่นไหนหรือคอลแลบกับแบรนด์ใดสาวกก็ไฮป์โดนใจสาวกเสมอ บางชิ้นถึงขั้นกลายเป็นตำนานไอเทมสตรีทแฟชั่นในเวลาต่อมา ไหนจะต่อยอดความสำเร็จด้วยการเปิดตัวซับแบรนด์ทั้ง Carnival Running สำหรับนักวิ่งสายแฟชั่น และ Carnival Golf สำหรับนักกอล์ฟสายคูล

ด้วยวาระโอกาสที่มัลติแบรนด์นี้ครบรอบ 15 ปีพอดิบพอดี เราถือโอกาสทักแชตไปหา ปิ๊น-อนุพงศ์ คุตติกุล Co-Founder แห่ง Carnival เพื่อถามคำถามค้างคาใจผ่าน 15 คำถามที่เหล่าสาวกอยากรู้ในคอลัมน์ Cap. Chat ตอนนี้ ทั้งแง่ของ business model, ผลงานที่เป็นที่สุด ไปจนถึงความรู้สึกในการปลุกปั้นแบรนด์ที่ไม่เคยบอกกับใครที่ไหนมาก่อน

Capital : ยินดีด้วยกับขวบปีที่ 15 ถึงตรงนี้คุณมอง Carnival ต่างไปจากวันแรกไหม

Pint : ขอบคุณมากครับ 15 ปีมันผ่านไปเร็วมาก ยังจำวันที่เราเพิ่งจะฉลองครบรอบ 6 ปีได้อยู่เลย มุมมองของ Carnival ในวันนี้แตกต่างจากวันแรกแน่นอน เพราะการเดินทางของเรารวมถึง Business Model ผ่านการเดินทาง และการเปลี่ยนแปลงมาเยอะมาก แต่จะยังไงก็แล้วแต่ไฟในการทำงาน และตัวตนของแบรนด์ Carnival ก็ยังเหมือนเดิม

Capital : จุดเปลี่ยนสำคัญจากร้าน Converse Carnival สู่แบรนด์ Carnival อย่างที่เห็นทุกวันนี้คือจุดใด

Pint :จุดเปลี่ยนสำคัญหลักๆ มีด้วยกัน 4 จุด แบ่งเป็น 4 ช่วงเวลา

1. ช่วงเริ่มต้นที่เราขายแต่แบรนด์ Converse อย่างเดียว

2. ช่วงที่สองที่เราเอาคำว่า Converse ออกจากชื่อร้านและเปลี่ยนร้านเราเป็น Multibrand และมีแบรนด์อื่นๆ เข้ามาเพิ่มเติม

3. ช่วงที่สามคือการเริ่มต้นทำแบรนด์ Carnival ขึ้นมาเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ในร้านเรา

4. ช่วงที่สี่คือการเติบโตของแบรนด์ Carnival ขึ้นมาเป็นแบรนด์อันดับหนึ่ง และสามารถทำยอดขายแซงการขายรองเท้า Sneakers ในร้านได้แล้ว

Capital : ตลอด 15 ปี สำหรับคุณมีผลงานไหนของ Carnival ที่น่าจดจำและสร้างอิมแพกต์มากที่สุด 

Pint :  สิ่งที่น่าจดจำมันมีเยอะมากจนไม่สามารถเลือกได้ว่าอันไหนคือที่สุด ในฐานะคนทำแบรนด์มันยากมากที่จะเลือก แต่ถ้าจะให้เลือกที่คิดว่าคอลเลคชั่น Naruto , KFC, Asics และ Adidas น่าจะเป็นคอลเลคชั่นที่ลูกค้าเราพูดถึงมากที่สุด 

Capital :  รู้สึกยังไงที่หลายคนบอกว่าแค่มีโลโก้ของ Carnival บนโปรดักต์ ราคาก็พุ่งเป็นเท่าตัว

Pint : จริงๆ ก็รู้สึกดีที่คนชื่นชมแบรนด์เรา แต่ความจริงมันไม่ใช่แบบนั้นเสมอไป อาจจะมีสินค้าส่วนใหญ่ที่ขายดี แต่ก็มีบางอย่างที่ขายไม่ดีด้วยเช่นกันเป็นเรื่องปกติของการทำสินค้าออกมาหลากหลาย 

Capital : ส่วนใหญ่คนมักบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่ากดซื้อสินค้า Carnival แทบไม่เคยทัน คุณอยากบอกอะไรกับคนเหล่านั้นบ้าง

Pint :  ขอบคุณที่อยากซื้อสินค้าของเรา ผมคิดว่าตอนนี้น่าจะซื้อง่ายขึ้นกว่าเดิมแล้ว เพราะเรามีสาขามากขึ้น สินค้าก็ผลิตเพิ่มมากขึ้นตามกำลังที่เราจะทำได้ อยากขอบคุณลูกค้าทุกคน และผมคิดว่าบางครั้งบางคอลเลคชั่นก็ไม่ได้ซื้อยากขนาดนั้น ลองเช็คหน้าร้านและเว็บไซต์ของเราได้ครับ 

Capital : ใครๆ ก็ยกย่อง Carnival ว่าเป็นมาสเตอร์ด้านการคอลแลบ อยากรู้ว่าการคอลแลบที่ประสบความสำเร็จต้องอาศัยองค์ประกอบใดบ้าง

Pint : สำหรับผมการคอลแลบที่ดีคือการสร้างอะไรใหม่ๆ ให้กับวงการนั้นๆ และที่สำคัญแบรนด์ที่มาทำด้วยกันต้อง Win-Win ทั้งคู่ และสุดท้ายลูกค้าต้องได้อะไรจากการ Collab 

Capital : การคอลแลบไหนที่คุณภูมิใจที่สุดที่ได้ทำ

Pint : ตอบยากมากเลย จริงๆ ภูมิใจหลายโปรเจ็คมาก แต่ถ้าให้เลือกอาจจะเป็น  Adidas เพราะในประวัติศาสตร์ไม่เคยมีแบรนด์ไทยแบรนด์ไหนได้ทำรองเท้า Collab มาก่อน ยากมากกว่าจะถึงจุดที่เราได้ทำ และมันก็คุ้มค่ามากๆ 

Capital : ถ้าให้คอลแลบกับแบรนด์ใดก็ได้ในโลกตอนนี้คุณอยากคอลแลบกับใคร แล้วถ้าได้ทำจริงอยากทำโปรดักต์อะไร โดยมีข้อแม้ว่าห้ามเป็นสนีกเกอร์

Pint : อยาก Collab กับแบรนด์ Arc’teryx ครับ อยากทำ Goretex Jacket 

Capital : สิ่งที่กลัวที่สุดในการทำ Carnival คืออะไร แล้วคุณก้าวผ่านมันไปได้ยังไง 

Pint :  กลัวว่าสักวันนึงถ้าเราไม่ได้ทำงานแล้ว จะมีใครมาทำแทนเราได้ไหม

Capital : ทำยังไงให้ตัวเองยังรู้สึกท้าทายในการทำงานอยู่เสมอ แม้จะทำแบรนด์เดิมมา 15 ปีแล้ว

Pint : ไม่เคยรู้สึกว่าต้องพยายามหาความท้าทายในการทำงาน อาจจะเป็นเพราะวันนึงเราคิดงานทั้งวันทั้งคืน ในหัวจะมีไอเดียตลอดเวลาว่าอยากทำอะไรบ้าง อะไรที่ยังไม่ได้ทำ มันเหมือนเป็นเครื่องจักรที่ไม่มีวันหยุดเลย ไม่รู้สาเหตุเหมือนกัน แต่มันเป็นไปโดยธรรมชาติ เราก็เลยปล่อยให้จิตนาการ และไฟในการทำงานพาไปเรื่อยๆ 

Capital : ปัจจุบันแบรนด์ของคุณมีการต่อยอดสู่ Carnival Golf และ Carnival Running วันข้างหน้าเราจะได้เห็น Carnival ในรูปแบบไหนอีกไหม

Pint : ผมชอบ Business Model ของ BEAMS มาก เขาอยู่มาเกือบ 50 ปีแล้ว เขาทำทั้งเสื้อผ้าผู้ชาย-ผู้หญิง เสื้อผ้ากีฬากอล์ฟ แตกแบรนด์ย่อยและสาขาที่หลากหลายมากๆ อนาคตผมอยากเห็น Carnival เติบโตให้ได้แบบ BEAMS บ้าง เพราะฉะนั้นยังมีอีกหลายอย่างมากที่เราสามารถทำได้ 

Capital :ถ้า Carnival มีโอกาสขยายสาขาไปต่างประเทศ คุณอยากไปขยายสาขาไปที่ไหน เพราะอะไร 

Pint : สิงค์โปร์กับมาเลเซียเพราะมีฐานลูกค้าเราอยู่ที่นั่นพอสมควร และญี่ปุ่นเพราะผมรักวัฒนธรรม Street Culture ที่นั่นครับ

Capital : เคล็ดลับการยืนระยะแบรนด์ที่อยากฝากไปบอกไปถึงคนทำธุรกิจสายแฟชั่นด้วยกันมีอะไรบ้าง

Pint : ผมคิดว่าการสร้างแบรนด์ขึ้นมาใหม่มันง่ายมากๆ เลยในสมัยนี้ แค่ทำเสื้อยืดมาก็เปิด IG ขายของได้แล้ว แต่การยืนระยะมันยากมาก สิ่งที่สำคัญคือการหาตัวตนและอดทนมากๆ ที่จะพยายามต่อไปเรื่อยๆ จนแบรนด์เริ่มยืนได้ 

Capital : สิ่งที่เรียนรู้จากการบริหาร Carnival ตลอด 15 ปีคืออะไร

Pint :  ความพยายาม อดทน และทำงานอย่างบ้าคลั่ง มันคุ้มค่ามากในวันนี้

Capital : ถ้าย้อนกลับไปวันแรกที่เปิดร้าน คุณอยากเดินเข้าไปบอก ปิ๊น Carnival ที่นั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์ในวันนั้นว่าอะไร

Pint :  อยากบอกว่า มึงทำต่อไปนะ มึงมาถูกทางแล้ว เราทำพลาดมาเยอะมาก แต่ผมไม่คิดจะแก้ไขอะไรเลย เพราะที่ผ่านมามันสอนให้เราโตขึ้นมาจากความผิดพลาดเหล่านั้น  

แชตโดย กิตตินันท์ วัฒนธิติกุล

Cap. Chat คือคอลัมน์ใหม่เอี่ยมของ Capital ที่ตั้งใจส่งข้อ ความไปพูดคุยไถ่ถามกับผู้คนในแวดวงต่างๆ ถึงประเด็นที่น่าสนใจหรือบางคำถามคาใจของพวกเรา แล้วแคปข้อความเหล่านั้นมาส่งต่อให้ผู้อ่านได้รับรู้ไปด้วยกัน

รู้จัก insider trading กรณี ‘ต๊อบ เถ้าแก่น้อย’ ลาออก หลัง ก.ล.ต.ลงโทษ เหตุอินไซด์หุ้น

ประเด็นร้อนที่หลายคนจับตา คือ ‘ต๊อบ เถ้าแก่น้อย’ หรือ ‘อิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) และกรรมการของบริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู้ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN ได้ยื่นลาออกจากตำแหน่ง หลังสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ลงโทษทางแพ่งในคดีซื้อ-ขายหุ้นโดยใช้ข้อมูลภายใน หรือที่เรียกว่า insider trading

จากเหตุการณ์ที่ว่า หลายคนที่รู้เฟื่องเรื่องหุ้นอยู่แล้วน่าจะเข้าใจคำว่า insider trading เป็นอย่างดี แต่อีกหลายคนก็อาจจะยังไม่เคลียร์มากนัก เราจึงขอพามาทำความเข้าใจคำนี้ไปพร้อมๆ กัน

insider trading คืออะไร?

insider trading คือการซื้อหรือขายหลักทรัพย์ของบริษัท โดยใช้ข้อมูลภายในที่ยังไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ ซึ่งเป็นข้อมูลที่อาจส่งผลต่อราคาหุ้นของบริษัทนั้น เช่น ผู้บริหารบริษัทใช้ข้อมูลลับเกี่ยวกับผลประกอบการมาซื้อ-ขายหุ้นของบริษัทตนเอง หรือบุคคลภายนอก (เรียกว่า tippee) ได้รับข้อมูลลับจากคนในบริษัท (tipper) แล้วนำไปใช้ซื้อขายหุ้น

ยกตัวอย่างจากเคสนี้ เรื่องราวคือ ก.ล.ต.เปิดเผยว่าต๊อบ เถ้าแก่น้อย พร้อมผู้เกี่ยวข้องรวม 5 คน ได้ซื้อหุ้น TKN ช่วงวันที่ 5 สิงหาคม – 9 พฤศจิกายน 2565 โดยใช้ข้อมูลภายในเกี่ยวกับผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2565 ซึ่งมีกำไรสุทธิ 179.97 ล้านบาท และการประกาศจ่ายเงินปันผลพิเศษ 0.08 บาทต่อหุ้น ประเด็นสำคัญคือข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลที่ยังไม่เปิดเผยต่อประชาชนในตอนนั้น

เมื่อบริษัทประกาศผลอย่างเป็นทางการในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2565 ราคาหุ้น TKN ปรับตัวขึ้น หมายความว่าต๊อบ เถ้าแก่น้อย และผู้เกี่ยวข้องย่อมได้กำไรจากการซื้อ-ขายก่อนข่าวออก (และแน่นอนว่าก่อนใคร)

insider trading คือสิ่งผิดกฎหมายใช่ไหม?

จริงๆ แล้วต้องบอกว่าไม่ใช่ทุกกรณีของ insider trading จะผิดกฎหมาย เช่น ผู้บริหารที่ซื้อหุ้นของบริษัทตนเองโดยใช้ข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณะและแจ้งต่อหน่วยงานกำกับตามกฎ แบบนี้ถือว่าถูกกฎหมาย

แต่ในกรณีที่ผิดกฎหมาย คือเมื่อบุคคลซื้อ-ขายโดยใช้ข้อมูลที่ยังไม่เปิดเผยซึ่งอาจมีผลต่อราคาหุ้น นอกจากนั้นกรณีที่ผิดกฎหมายอาจวิเคราะห์ได้จากหลายปัจจัย เช่น

  1. ผู้กระทำเป็น insider เช่น กรรมการ ผู้บริหาร หรือผู้ถือหุ้นรายใหญ่
  2. ข้อมูลนั้นเป็นข้อมูลที่นักลงทุนทั่วไปถือว่าสำคัญในการตัดสินใจซื้อหรือขาย
  3. ข้อมูลนั้นเป็นข้อมูลที่ยังไม่เปิดเผย
  4. บุคคลนั้นซื้อ-ขายหรือให้ข้อมูลแก่ผู้อื่นเพื่อให้ซื้อ-ขาย

ทำไมเรื่องนี้ถึงสำคัญ?

เนื่องจาก insider trading ทำให้ตลาดการเงินขาดความเป็นธรรม เพราะการที่บางคนมีข้อมูลพิเศษที่คนทั่วไปไม่มีส่งผลให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดลง และทำให้บริษัทระดมทุนได้ยากขึ้น ด้วยเหตุนี้ ในหลายประเทศจะมีหน่วยงานหรือกฎหมายเฉพาะที่กำกับดูแล และย่อมมีบทลงโทษแก่ผู้กระทำผิด

กรณีของเถ้าแก่น้อยนี้ ก.ล.ต. สั่งให้ทั้ง 5 คน ชำระค่าปรับรวมกว่า 16.39 ล้านบาท และห้ามดำรงตำแหน่งกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทจดทะเบียนตามระยะเวลาที่กำหนด อย่างต๊อบ เถ้าแก่น้อย ถูกปรับ 11.6 ล้านบาท และห้ามดำรงตำแหน่ง 20 เดือน ซึ่งเงินค่าปรับทางแพ่งและเงินค่าชดใช้คืนผลประโยชน์นี้จะเป็นรายได้แผ่นดินที่นำส่งกระทรวงการคลังต่อไป

ฟากบริษัท เถ้าแก่น้อยฯ ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ว่า รับทราบคำสั่งของ ก.ล.ต.แล้ว และยืนยันว่า เหตุการณ์นี้ไม่กระทบต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัท รวมถึงบริษัทยังอยู่ระหว่างหาผู้บริหารใหม่มาทำหน้าที่แทนตำแหน่งที่ว่าง แต่จากข้อมูลล่าสุด ราคาหุ้นของ TKN ตกลงมาทันทีหลังข่าวแพร่กระจายออกไป

สรุปศึกชิง ‘แร่แรร์เอิร์ธ’ เมื่อไทยเซ็น MOU กับสหรัฐฯ ทั้งที่ยังไม่เคยมีเหมืองพาณิชย์

หนึ่งในประเด็นร้อนแรงช่วงนี้คือการที่ไทยลงนาม MOU เรื่องแร่แรร์เอิร์ธกับสหรัฐอเมริกา และเกิดกระแสมากมายจากหลายกลุ่ม บ้างก็ว่าไทยยังไม่พร้อมด้านกฎหมาย บ้างก็ว่านี่จะทำให้เกิดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมมหาศาล

แม้แร่แรร์เอิร์ธในไทยจะพบได้ตั้งแต่เหนือจรดใต้ของไทย แต่การเซ็น MOU นี้และการเคลื่อนไหวของไทยส่งผลกระทบในหลายแง่มุม เราจึงขอพาทุกคนไป Recap เหตุการณ์ศึกชิงแร่แรร์เอิร์ธพร้อมๆ กัน 

แร่แรร์เอิร์ธคืออะไร แรร์จริงไหม แล้วทำไมสำคัญ?

– แร่แรร์เอิร์ธ (Rare Earth Elements: REEs) คือกลุ่มของโลหะหายาก 17 ชนิดที่พบในเปลือกโลก ประกอบด้วยธาตุในกลุ่มแลนทาไนด์ 15 ธาตุ รวมกับสแกนเดียม (Sc) และอิตเทรียม (Y) 

– จริงๆ แร่เหล่านี้ไม่ได้หายาก แต่มักจะกระจายตัวในชั้นเปลือกโลกมากกว่าจะพบเป็นกลุ่มใหญ่ การจะขุดทำเหมืองจึงอาจไม่คุ้มค่าพอ การสกัดและแปรรูปยังต้องอาศัยกระบวนการทางเคมีที่ซับซ้อน ซึ่งมักก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม 

– REEs เป็นหัวใจของเทคโนโลยีสมัยใหม่ ตั้งแต่สมาร์ตโฟน รถยนต์ไฟฟ้า (EV) กังหันลม เครื่องเอกซเรย์ ไปจนถึงระบบอาวุธสมัยใหม่ คุณสมบัติด้านแม่เหล็ก แสง และไฟฟ้าเคมีของแร่แทบไม่มีธาตุอื่นทดแทนได้

แร่แรร์เอิร์ธหาได้ที่ไหน?

– ตามรายงานของ USGS จีนมีแหล่งสำรองแร่แรร์เอิร์ธที่ 44 ล้านเมตริกตัน ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ใหญ่ที่สุดในโลก รองลงมาคือบราซิล อินเดีย ออสเตรเลีย รัสเซีย และสหรัฐฯ

– ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เวียดนามมีแหล่งสำรองราว 3.5 ล้านตัน แต่ผลิตได้เพียง 300 เมตริกตันในปี 2024 ส่วนไทย แม้จะมีแหล่งสำรองเพียงราว 4,500 เมตริกตัน แต่ผลิตได้ถึง 13,000 เมตริกตันในปี 2024 เพิ่มขึ้นกว่า 261% จากปี 2023

– ในไทยนั้นพบตั้งแต่เหนือจรดใต้ เช่น เชียงราย แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ อุทัยธานี กาญจนบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ระนอง พังงา และสุราษฎร์ธานี ฯลฯ

ศึกชิงแร่แรร์เอิร์ธเกิดขึ้นได้ยังไง?

– จีนครองสัดส่วนการผลิตกว่า 70% และการแปรรูปมากกว่า 90% ของทั้งโลก การถลุงและแปรรูปต้องใช้เงินทุนสูงและสร้างมลพิษ ทำให้หลายประเทศเลือกพึ่งจีนเพื่อหลีกเลี่ยงต้นทุนและผลกระทบสิ่งแวดล้อม

– ในปี 2567 ราว 70% ของแร่แรร์เอิร์ธที่สหรัฐฯ นำเข้า มาจากจีน แต่ภายใต้รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ สหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษีนำเข้าแร่หายากจากจีน 25% ในวันที่ 9 ตุลาคมที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ของจีน (MOFCOM) จึงตอบโต้ด้วยการออกประกาศ หมายเลข 61 ปี 2025 

ใจความสำคัญคือ

1. หากใครจะส่งออกแร่แรร์เอิร์ธ หรือ เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับแร่ ต้องขออนุญาตรัฐบาลจีนทุกครั้ง

2. เพิ่มธาตุอีก 5 ชนิด (holmium, erbium, thulium, europium, ytterbium) เข้าสู่บัญชีควบคุม พูดง่ายๆ คือแร่พวกนี้ต่อไปจะขายออกนอกประเทศได้ยากขึ้น เพราะต้องผ่านขั้นตอนขออนุญาต

3. แม้โรงงานจะอยู่นอกประเทศจีน ถ้าใช้วัตถุดิบหรือเทคโนโลยีที่มาจากจีน เช่น ซื้อแร่แรร์เอิร์ธจากจีน ใช้เครื่องจักรที่ผลิตโดยบริษัทจีน ก็ยังต้องขออนุญาตจากรัฐบาลจีนก่อนจะส่งต่อไปประเทศอื่น

– มาตรการนี้ทำให้สหรัฐฯ ญี่ปุ่น เกาหลี และยุโรป ฯลฯ ที่พึ่งพาแร่จากจีนเผชิญความเสี่ยงด้านห่วงโซ่อุปทาน ทำให้ประเทศต่างๆ ต้องหาทางหาแร่แรร์เอิร์ธจากแหล่งอื่น ไม่พึ่งพาเพียงผู้ผลิตรายเดียว 

ไทยในห่วงโซ่อุปทานแร่แรร์เอิร์ธ

– ไทยถูกมองว่าเป็นหนึ่งในจุดยุทธศาสตร์ใหม่ของภูมิภาค หลังการผลิตเพิ่มขึ้นกว่า 9,400 ตันในปี 2024 แม้จะยังไม่ใช่ประเทศผู้ส่งออกหลัก แต่ไทยเป็นผู้นำเข้าหลักของจีนในด้านแร่หายาก เพื่อนำมาผลิตต่อยอดในอุตสาหกรรมปลายน้ำ เช่น แม่เหล็กและอิเล็กทรอนิกส์

– จากข้อมูลของ Money&Banking Magazine พบว่าโรงงานสำคัญที่ใช้แร่ดังกล่าวคือโรงงาน Neo Magnequench ที่นครราชสีมาบริษัทย่อยใน Neo Performance Materials ของแคนาดาที่ผลิตวัสดุแม่เหล็กหายากสำหรับอุตสาหกรรม EV และ อิเล็กทรอนิกส์ จีนยังมาเปิดโรงงานผลิต BYD ที่ระยอง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานแม่เหล็กและแร่หายาก  

ไทยกับข้อตกลงสหรัฐฯ

– วันที่ 26 ตุลาคม 2025 สหรัฐฯ ไทยและมาเลเซียได้ลงนามข้อตกลงความร่วมมือห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญ (Critical Minerals Supply Chain Cooperation) โดยสหรัฐฯ จะสนับสนุนการลงทุน เทคโนโลยี และการพัฒนาทักษะบุคลากร ขณะที่ไทยยังคงอำนาจควบคุมทรัพยากรของตนเต็มที่

แต่ในอีกด้าน ก็อาจถือเป็นข้อพึงระวัง เช่น

– ถ้าไทยมีแหล่งแร่หรือโครงการที่เปิดขายให้เอกชน บริษัทสหรัฐฯ จะมีสิทธิ์ได้พิจารณาก่อนชาติอื่น

– สหรัฐฯ จะได้เข้าถึงข้อมูลสำรวจแร่ของไทยในระดับที่อาจละเอียดกว่าประเทศอื่น

– ไทยต้องปรับกฎหมายและมาตรการควบคุมให้สอดคล้องกับแนวทางของสหรัฐฯ

– ในอนาคตถ้ามีการลงทุนเกิดขึ้นจริง ไทยต้องแบกรับความเสี่ยงทางสิ่งแวดล้อม การกำกับดูแล และความโปร่งใสเอง

ไทยพร้อมแค่ไหน?

– นายอดิทัต วะสีนนท์ อธิบดี กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) ยืนยันว่าไทยยังไม่มีเหมืองแรร์เอิร์ธเชิงพาณิชย์ และยังไม่มีเทคโนโลยีสกัดธาตุได้เอง ที่ผ่านมา สิ่งที่ไทยทำคือนำเข้าแร่จากออสเตรเลียและประเทศอื่น มาแต่งแร่ก่อนส่งออกต่อ

– รัฐบาลยังย้ำว่า MOU นี้ “ไม่ใช่สัญญาผูกพันทางกฎหมายระหว่างประเทศ” แต่เป็นเพียงกรอบความร่วมมือแลกเปลี่ยนความรู้และโอกาสลงทุน ซึ่งไทยยังคงอำนาจควบคุมทรัพยากรเต็มที่ และหากมีการสำรวจหรือการลงทุนจริง ต้องผ่านการประเมิน EIA /EHIA ตามกฎหมายสิ่งแวดล้อมของไทยทุกขั้นตอน

– สำหรับไทย MOU ฉบับนี้อาจเป็น ‘ใบเบิกทาง’ สู่ห่วงโซ่อุตสาหกรรมยุคใหม่ หากบริหารอย่างรอบคอบ โปร่งใส และยั่งยืนแต่หากเราขาดมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม สิ่งที่ได้อาจไม่ใช่เทคโนโลยี แต่คือฝุ่นพิษและของเสียเคมีที่ยากจะแก้ไข

คำถามคือ เราจะใช้โอกาสนี้พัฒนาอย่างยั่งยืน หรือซ้ำรอยความเสียหายทางสิ่งแวดล้อมเช่นที่หลายจังหวัดในภาคเหนือได้รับผลจากการทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ธผิดกฎหมายจากประเทศเพื่อนบ้าน

อ้างอิง

MATCHAZUKI แบรนด์ที่สร้างคอมมิวนิตี้ของคนรักมัทฉะ และทำให้การดื่มมัทฉะง่ายถูกปากคนไทย 

กล่าวถึง ‘มัทฉะ’ หรือ ‘มัตจะ’ ถึงจะออกเสียงต่างกันตามแต่สะดวก ทว่าสิ่งที่เหมือนกันคือเครื่องดื่มสีเขียวจากยอดอ่อนของใบชากำลังได้รับความนิยมในกลุ่มคนจำนวนมาก ตั้งแต่คอมัทฉะตัวจริง, คนรักสุขภาพ, คนวัยทำงาน, วัยรุ่นเทสต์ดี หรือ performative male ก็ตาม

ไม่แปลกใจที่ในปีนี้จะมีปรากฏการณ์มัทฉะขาดตลาด ผู้คนแย่งกันกว้านซื้อ เปิดโอกาสให้พ่อค้าแม่ค้าหัวใสนำมาปล่อยต่อในราคารีเซลที่แพงกว่าท้องตลาด ไหนจะถูกดัดแปลงให้กลายเป็นเมนูขนมหวานนานาชนิด  แม้กระทั่งงานมหกรรมกาแฟยังต้องมีบูทมัทฉะ 

ถอยกลับมาสักเล็กน้อยก่อนที่ปรากฏการณ์มัทฉะฟีเวอร์จะเกิดขึ้น ย้อนกลับไปในปี 2014 มีแบรนด์มัทฉะแบรนด์หนึ่งที่ทำหน้าที่ดัง ‘คอมมิวนิตี้’ แลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจในหมู่คนรักมัทฉะ ทั้งศาสตร์วิธีการชง, การเก็บรักษาผง, การเลือกภาชนะสำหรับดื่ม, สูตรการนำไปแปรรูปเป็นขนม ฯลฯ

แบรนด์ดังกล่าวมีชื่อว่า ‘MATCHAZUKI’ ที่มาจากคำสองคำ นั่นคือ ‘Matcha’ (มัทฉะ) และ ‘Zuki’ (สึกิ) ที่ในภาษาญี่ปุ่นแปลว่า ‘รัก’ ตรงตามความรู้สึกของ ‘ทิม–ธีรภัทร์ เตชะมหพันธ์’ ซีอีโอผู้ก่อตั้งแบรนด์แบรนด์นี้ด้วยความรักและความหลงใหลที่มีต่อมัทฉะ 

“เราเลือกมัทฉะ อย่างคนที่รักมัทฉะ” จากความรักสู่ปณิธานที่อยากให้คนไทยได้ลิ้มรสประสบการณ์การดื่มมัทฉะคุณภาพเยี่ยม ด้วยการพัฒนาโปรดักต์ร่วมกับ R&D (research and development) และ Tea Master จากฝั่งประเทศญี่ปุ่นต้นตำรับด้านการดื่มมัทฉะขนานแท้  ยกตัวอย่างการพัฒนาผงมัทฉะร่วมกับไร่ชา Kono ที่ถูกขนานนามว่า Mozart’s tea จากการเปิดเพลงให้ต้นชาฟัง เพื่อให้ใบชาผ่อนคลายอารมณ์ดีก่อนเก็บเกี่ยวผลผลิต การันตีด้วยรางวัลชนะเลิศชาเขียวโลกถึง 6 ปี และโรงงานผลิตผงมัทฉะที่ได้รับมาตรฐานการผลิตระดับสากล FSSC 22000

ด้วยเหตุที่กระแสมัทฉะมาแรงจนฉุดไม่อยู่ เราชวนธีรภัทร์มาพูดคุยถึงวิธีการสร้างแบรนด์ MATCHAZUKI ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันที่แบรนด์เติบโต โดยยังคงการเป็นพื้นที่คอมมิวนิตี้ของคนรักมัทฉะ, การทำให้มัทฉะดื่มง่ายถูกปากคนไทย จนถึงคำถามตัวโตๆ ว่า มัทฉะฟีเวอร์เป็นเพียงกระแสที่ถูกจุดติดครู่หนึ่งเท่านั้นหรือไม่?

เท้าความให้ฟังหน่อยว่าอะไรทำให้คุณหลงใหลเครื่องดื่มที่ชื่อว่ามัทฉะ

ต้องย้อนกลับไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน ตอนนั้นผมไปเรียนต่อที่อเมริกา และมีช่วงที่เริ่มหันมาสนใจเรื่องสุขภาพ เลยเริ่มค้นหาว่ามีอะไรที่ช่วยให้เราใช้ชีวิตได้ดีขึ้นบ้าง จนได้รู้จักกับสิ่งที่เรียกว่ามัทฉะ

ตอนนั้นหลายคนยังไม่คุ้นกับมัทฉะเท่าไหร่ ที่อเมริกาเองก็หาดื่มยากมาก จนวันหนึ่งผมได้ลองดื่มมัทฉะลาเต้เป็นครั้งแรกแล้วรู้สึกประทับใจมาก มันมีรสชาติที่กลมกล่อมเป็นเอกลักษณ์ และพอได้อ่านเพิ่มเติมก็พบว่ามัทฉะมีประวัติยาวนานและมีคุณค่าทางวัฒนธรรมสูง หลังจากนั้นผมก็ดื่มมัทฉะเป็นประจำแทบทุกวัน

ถึงตอนไหนที่ทำให้คุณรู้สึกว่าความรักในมัทฉะต่อยอดเป็นธุรกิจขั้นจริงจังได้

ต้องบอกว่าเราไม่ได้เริ่มทำ MATCHAZUKI เพราะมองว่ามันเป็นธุรกิจ แต่เราเริ่มจากการแก้ปัญหาให้กับตัวเองที่หามัทฉะดื่มยากในไทย แต่พอทำไปสักพักเราก็ตั้งคำถามกับตัวเองต่อว่า มีคนอื่นอีกหรือเปล่าที่กำลังเจอปัญหาแบบเรา

ตอนกลับมาประเทศไทยปี 2014 ผมค้นพบว่ามัทฉะในประเทศไทยหาดื่มยากมาก เท่าที่หาซื้อได้ตามห้างสรรพสินค้าคุณภาพก็ไม่ดีเทียบเท่าที่เราเคยดื่ม จนเราเกิดความรู้สึกอยากแก้ pain ponit ตรงนี้ ก็เลยลองศึกษาข้อมูลดูว่ามัทฉะเขาผลิตกันที่ไหน ผลิตยังไง แล้วติดต่อตัวแทนที่เขาผลิตจากฝั่งญี่ปุ่นเพื่อลองนำเข้าผงมัทฉะ 

ช่วงแรกเราเน้นขายให้กับกลุ่มคนที่ชอบมัทฉะจริงๆ ตอนนั้นยังไม่มีระบบกดใส่ตะกร้าในเว็บไซต์เหมือนทุกวันนี้ด้วยซ้ำ วิธีขายของเราคือโพสต์ผ่านเฟซบุ๊กถ้าใครสนใจก็ค่อยติดต่อผ่านอีเมล ปรากฏว่ามีคนสนใจติดต่อมา ยอมรับว่าแปลกใจเหมือนกัน เพราะเราไม่ได้คาดหวังว่าจะมีคนจำนวนมากชอบมัทฉะเหมือนเรา 

ฐานลูกค้าของ MATCHAZUKI คือใคร?

MATCHAZUKI เกิดมาจากกลุ่มคนรักมัทฉะก็จริง แต่ฐานลูกค้าที่ทำให้แบรนด์เติบโตจนถึงทุกวันนี้มาจาก B2B (business-to-business) เรียกว่าเกือบ 100% มาจากร้านกาแฟอินดี้สเปเชียลตี้คอฟฟี่ที่มองหาวัตถุดิบชั้นดี ซึ่งแนวคิดแบบนี้แมตช์กับแนวทางของเราที่อยากเสิร์ฟของมีคุณภาพแก่ลูกค้า

ส่วนอีกพาร์ตหนึ่งก็ยังขายสินค้าให้กับคนที่เป็นมัทฉะเลิฟเวอร์เหมือนกับเรา ตรงกับชื่อแบรนด์ MATCHAZUKI ที่แปลว่าความรักความหลงใหลในมัทฉะ

ในยุคที่มัทฉะยังไม่กลายเป็นเทรนด์เหมือนทุกวันนี้ MATCHAZUKI มีวิธีการสื่อสาร core value ของแบรนด์ไปถึงลูกค้ายังไง

ด้วยความที่ยุคนั้นคนอาจจะยังไม่รู้จักมัทฉะดีเหมือนทุกวันนี้ ดังนั้นวิธีการสื่อสารของเราต้องเริ่มตั้งแต่นับหนึ่ง เช่น ทำให้คนเข้าใจว่าผงมัทฉะต่างไปจากผงชาเขียวยังไง มันต่างกันตั้งแต่การเพาะปลูก วิธีเก็บเกี่ยว จนถึงการแปรรูป

 เครื่องมือหลักๆ ในการสื่อสารนอกจากเว็บไซต์ก็คือเพจเฟซบุ๊กที่เราเริ่มสร้างตั้งแต่ตอนปี 2014 เป็นความโชคดีที่อัลกอริทึมของเฟซบุ๊กตอนนั้นช่วยส่ง คือเราโพสต์คอนเทนต์มีคุณภาพออกไป ผลลัพธ์ที่ได้กลับมาคือยอดรีช ยอดแชร์ เป็นหมื่นเป็นแสน จากที่แบรนด์รู้จักแค่เฉพาะกลุ่มก็เริ่มมีคนสนใจมากขึ้นจำนวนมาก จนมีแอบคิดว่าจริงๆ เราไม่ต้องมีเว็บไซต์ก็ได้ (หัวเราะ)

ใครที่คุ้นเคยกับ MATCHAZUKI มาตั้งแต่ 10 ปีที่แล้วจะเห็นว่าคอนเทนต์ส่วนใหญ่ของเราคือการแชร์สูตร แชร์ให้เห็นว่ามัทฉะเอาไปทำอะไรได้บ้าง เอาไปทำเป็นเครื่องดื่ม เป็นขนม คนที่ชอบเขาก็แชร์คอนเทนต์ อีกส่วนหนึ่งก็เข้ามาติดต่อขอซื้อสินค้า

 เราเริ่มต้นจากความตั้งใจที่เรียบง่าย คืออยากทำสินค้ามัทฉะคุณภาพดี เพราะเชื่อว่าสินค้าดีจะดึงดูดคนที่รักมัทฉะเหมือนกันให้มาพบกันเอง จนกลายเป็นคอมมิวนิตี้ที่อบอุ่นอย่างทุกวันนี้

นอกจากเรื่องของการสื่อสารมีปัจจัยไหนอีกที่ทำให้ MATCHAZUKI มีฐานลูกค้าเหนียวแน่น ทั้งที่ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมามีแบรนด์มัทฉะเกิดใหม่จำนวนไม่น้อย

(หยุดคิดครู่หนึ่ง) คิดว่าเป็นเรื่องของการ ‘caring’  คือไม่ว่าจะทำคอนเทนต์หรือทำโปรดักต์ เราปรารถนาอยากให้ลูกค้าได้รับสิ่งที่ดีที่สุด สมัยก่อนเราเจอคำถามว่าทำไมผงมัทฉะของเราถึงราคาสูง เราก็ต้องอธิบายได้ว่าผงชาของเรามันพรีเมียมยังไง ผงมัทฉะสีเขียวเข้มแบบนี้หมายถึงมัทฉะคุณภาพดีนะ ระหว่างทางเราก็เก็บฟีดแบ็กจากการขายมาปรับปรุงพัฒนาอยู่เรื่อยๆ ทำซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้นับสิบปีจนลูกค้าเชื่อใจเรา

เรามองว่าเราเป็นแค่มัทฉะเลิฟเวอร์คนหนึ่ง แต่ไม่ใช่มัทฉะเลิฟเวอร์ที่อยู่บนยอดสุดของพีระมิดถึงขั้นต้องมีพิธีรีตองการชงเป๊ะ หรือต้องชงมัทฉะเกรดราคาเป็นหมื่น เราอยากเซอร์วิสคนที่ชอบดื่มมัทฉะ ชอบในคุณประโยชน์ของมัทฉะ แต่ก็ยังเอนจอยความอร่อยของมัทฉะได้ด้วย โปรดักต์ทั้งหลายที่ออกมาเลยเน้นออกมาเพื่อคนกลุ่มนี้

ยกตัวอย่างโปรดักต์สักชิ้นที่ MATCHAZUKI มีต่อลูกค้า

ผมนึกถึงสินค้าที่เรียกว่า ‘starter kit’ มันเป็นเหมือนกับชุดชงชาเริ่มต้นสำหรับมือใหม่ที่เพิ่งเข้าวงการแล้วอยากจะลองชงมัทฉะด้วยตัวเอง เราก็จัดเป็นเซตเครื่องมือชงชาขึ้นมา 1 เซต ซึ่งสามารถดูวิธีการชงผ่านคอนเทนต์ที่เรามีในเฟซบุ๊กหรือยูทูบ แม้กระทั่งน้องๆ แอดมินในทีมเราก็เทรนให้เขาสามารถช่วยเหลือตอบคำถามลูกค้าที่กำลังหัดเรียนรู้วิธีการชงมัทฉะ

จากโปรดักต์ที่เป็น starter kit เลยนำมาสู่ไอเดียสินค้าใหม่ๆ ที่เน้นตอบโจทย์ผู้บริโภคแบบ B2C มากขึ้นใช่หรือเปล่า

เบื้องหลังมันเกิดขึ้นตอนช่วงโควิด คือตอนนั้นเราเน้นขายกลุ่มลูกค้า B2B เป็นหลัก B2C อาจมีบ้างประปราย แต่พอช่วงโควิด ร้านอาหาร ร้านกาแฟ คาเฟ่ถูกสั่งปิดหมด ปรากฏว่ามีลูกค้าที่เป็น B2C ติดต่อเข้ามาซื้อสินค้ามากขึ้น ยิ่งสะท้อนว่ามีลูกค้าที่อยากซื้อมัทฉะไปชงทานเองที่บ้าน เราเลยตัดสินใจพัฒนาโปรดักต์เพื่อลูกค้ากลุ่มนี้ 

ไม่ว่าจะขนาดซองที่เล็กขึ้น เมื่อก่อนเราผลิตปริมาณขั้นต่ำอยู่ที่ 100 กรัม ก็ลดลงมาเหลือปริมาณ 40 กรัม หรือผลิตในรูปแบบ 3 in 1 เป็นผงมัทฉะผสมกับนมผงและน้ำตาลสามารถนำไปละลายน้ำชงเป็นเมนูมัทฉะลาเต้

จนเมื่อปีที่แล้วเราต่อยอดคิดค้นเมนู Coconut Matcha หรือผงมัทฉะผสมผงน้ำมะพร้าวที่เป็นแบบ 2 in 1 ฉีกซองชงดื่มได้ทันทีซึ่งไม่มีใครเคยทำมาก่อน เมนูนี้มาจากข้อมูลที่รีเสิร์ชซึ่งเราพบว่าคนไทยนิยมนำมัทฉะไปผสมกับน้ำมะพร้าว พอมาลองทำดื่มเองก็พบว่าเมนูนี้อร่อยจริงๆ จนเราตั้งคำถามว่าเราทำให้เมนูมัทฉะน้ำมะพร้าวดื่มง่ายกว่านี้ได้ไหม สามารถทำดื่มเองที่บ้านโดยไม่ต้องเตรียมน้ำมะพร้าว เตรียมทั้งผงมัทฉะ ก็เลยเกิดมาเป็นสินค้าขายดีตัวนี้

ในฐานะคนที่อยู่ในวงการมัทฉะมานาน คิดว่าอะไรที่ทำให้มัทฉะได้รับความนิยมจนกลายเป็นกระแสไปทั่วโลก

ผมคิดว่ามีอยู่ 2 ปัจจัย

ข้อ 1 คือของอะไรที่ไม่ดีจริงจะอยู่ได้ไม่นาน แต่การที่ประวัติศาสตร์การดื่มชาอยู่ได้มาเป็นพันๆ ปีเพราะมันมีคุณค่าในตัวมันเอง เสน่ห์ของมัทฉะคือมันมีประโยชน์ เป็นของมีประโยชน์ที่อร่อย สามารถนำไปทำเมนูได้มากมาย เรียกว่ามันมีคุณสมบัติที่พร้อมจะแมสได้ทุกเมื่อ

ข้อ 2 คือช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาบรรดาอินฟลูเอนเซอร์สายสุขภาพจากฝั่งยุโรปเริ่มสนใจมัทฉะกันมากขึ้น ประจวบเหมาะกับเทรนด์เรื่องเฮลตี้กำลังมา จากความสนใจของอินฟลูเอนเซอร์ถูกส่งต่อมาถึงกลุ่มผู้ติดตามจนขยายเป็นวงกว้างไปทั่วโลกรวมถึงในไทยดังที่เห็นตอนนี้

ในฝั่งประเทศญี่ปุ่นที่เป็นต้นตำรับมองปรากฏการณ์มัทฉะฟีเวอร์ยังไง

น่าแปลกใจเหมือนกันที่กระแสมัทฉะญี่ปุ่นไม่ได้ฟีเวอร์เมื่อเทียบกับประเทศอื่นหรือบ้านเรา อาจจะพอมีกระแสอยู่บ้างตามร้านคาเฟ่ต่างๆ แต่คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่เน้นบริโภคชาใสหรือชาที่เป็นแบบ ready to drink มากกว่า 

ส่วนตัวคุณคิดว่าเทรนด์มัทฉะที่กำลังเกิดขึ้นเป็นเพียงกระแสที่เกิดขึ้นชั่วคราวไหม

ผมตั้งคำถามถึงสิ่งนี้เหมือนกัน เพราะจากข้อมูลที่มีคือเทรนด์มัทฉะมันไม่ได้โตแค่ 10% หรือ 20% แต่มันโตภายในเดือนเดียว 4-5 เท่า จนมีช่วงหนึ่งกระแสเริ่มตกลงมา แต่ตกลงในจุดที่อยู่ระดับสูงมากๆ เมื่อเทียบกับฐานความนิยมเดิม ผมเลยคิดว่าตอนนี้มัทฉะไม่ใช่แค่เทรนด์ที่มาเล่นๆ แล้วก็ไป 

จากความนิยมในมัทฉะเลยนำมาสู่ปัญหามัทฉะขาดตลาด ในมุมของ MATCHAZUKI มีวิธีรับมือปัญหานี้ยังไงบ้าง

ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เราไม่เคยเจอกับปัญหาแบบนี้มาก่อน ต้องยอมรับว่าส่งผลกับเรามากจริง ๆ จากที่เคยมีสินค้าพร้อมส่งเสมอ กลับกลายเป็นช่วงเวลาที่ลูกค้าสั่งซื้อแล้วเรายังไม่สามารถจัดส่งได้ทัน แม้เรา ทีมผู้ปลูกและทีม R&D จากญี่ปุ่นจะพยายามหาทางออกกันอย่างเต็มที่แต่ก็ต้องใช้เวลา 

เราขอขอบคุณทุกความเข้าใจ และขอยืนยันว่าเรากำลังเร่งแก้ไขด้วยความตั้งใจ เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าคุณภาพที่ทุกคนรักจะกลับมาโดยเร็วที่สุด

อีกมุมหนึ่งพอเราเจอกับปัญหานี้ก็ถือเป็นโอกาสให้เรากลับไปปรับแก้ระบบ supply chain หลังบ้านใหม่ จะทำยังไงในเมื่อทรัพยากรมีจำกัด จะบาลานซ์การกระจายสินค้ายังไงให้หลังบ้านยังเหลือสต็อกและทั่วถึงลูกค้าทุกๆ ราย ยกตัวอย่างการจำกัดจำนวนการซื้อต่อสัปดาห์ก็เป็นสิ่งที่เราทำเพื่อแก้ปัญหานี้

สามารถแก้ปัญหามัทฉะขาดตลาดด้วยการหาซื้อจากแหล่งเพาะปลูกที่ไม่ใช่จากประเทศญี่ปุ่น เช่นจากประเทศจีนได้ไหม

เราไม่เคยปิดกั้นเรื่องการนำเข้ามัทฉะจากประเทศอื่น ที่ผ่านมาเราเคยทดลองคุณภาพมัทฉะจากจีนหรือแม้แต่จากประเทศอื่นๆ มาเทียบกับที่เราใช้อยู่ แต่เรายังไม่เจอคุณภาพแบบที่สามารถขายให้กับลูกค้าได้ ถ้าในอนาคตเจอคุณภาพมัทฉะจากจีนแบบที่เราต้องการก็อาจจะเปิดใจ ตอนนี้เลยยังนำเข้ามัทฉะจากญี่ปุ่น 100%

ถ้าอย่างนั้น เกณฑ์มัทฉะคุณภาพดีในแบบของ MATCHAZUKI ต้องมีอะไรบ้าง

ต้องบอกว่ามัทฉะเป็นผลผลิตทางการเกษตรชนิดหนึ่งซึ่งมีคาแร็กเตอร์สี กลิ่น และรสต่างกันไป ผลิตจากแต่ละโรงงานก็สร้างความแตกต่างเช่นกัน อย่างมัทฉะคุณภาพดีสีที่ได้ก็จะต้องเป็นสีเขียวสวย กลิ่นข้อนี้แล้วแต่ความชอบอาจเป็นกลิ่นแนว floral (ดอกไม้) หรือกลิ่นแนวนัทตี้

ส่วนรสชาติโดยปกติมัทฉะที่ดีจะต้องขมน้อย ฝาดน้อย มีความอูมามิ โดยรวมเราต้องแมตช์ทั้ง 3 ข้อนี้ (สี กลิ่น และรส) เพื่อให้มัทฉะที่เราขายมีคุณภาพและราคาที่ลูกค้าสามารถนำไปขายต่อหรือนำไปชงดื่มเองได้

การมีพาร์ตเนอร์เป็น tea master ในประเทศญี่ปุ่นถือเป็นข้อได้เปรียบที่ทำให้ MATCHAZUKI ได้มัทฉะคุณภาพดีต่างจากที่อื่นหรือเปล่า

จะว่าอย่างนั้นก็ได้ คือนอกจาก tea master เรายังมีพาร์ตเนอร์ทั้งในฝั่งที่เป็นฟาร์มและโรงงานผลิต โดยปกติวิธีการทำงานของเรากับฝั่งญี่ปุ่นที่ทำมาตลอด 10 ปี คือเราจะส่ง requirement ว่าเราอยากได้มัทฉะประมาณไหน 

เช่นอยากให้หอมกลิ่นคั่วกว่านี้อีกนิดหนึ่ง เราก็จะส่งมัทฉะที่เป็นตัวเบสไปให้เขาเบลนด์แล้วบดเป็นผงเพื่อส่งกลับมาให้เราลองเทสต์ ทีม R&D ในประเทศไทยก็จะทดสอบว่าตรงกับที่เราต้องการแล้วหรือยัง กระบวนการปรับแก้ส่งไปกลับจากไทยไปญี่ปุ่นจะอยู่ราวๆ 2-3 รอบถึงไฟนอล 

บางครั้งฝั่งเราก็มีบินไปหา tea master ที่ญี่ปุ่น เพื่อนำตัวอย่างไปให้เขาดูว่าอยากได้โปรดักต์ประมาณไหนเพราะคุยต่อหน้าอธิบายให้เข้าใจง่ายกว่า ในทางกลับกันฝั่งญี่ปุ่นเองก็บินมาหาเราเพราะเขาอยากรู้ว่าลูกค้าคนไทยต้องการมัทฉะประมาณไหน ต่างจากที่ญี่ปุ่นยังไง

นอกจากพาร์ตเนอร์ฝั่งญี่ปุ่น MATCHAZUKI ยังมีการคอลแล็บกับแบรนด์ไทยหลายเจ้า ช่วยเล่าถึงแนวทางการตลาดจุดนี้ให้ฟังหน่อย

มันเกิดจากการตั้งคำถามว่าเราตั้งใจทำแบรนด์นี้เพราะอะไร เราอยากทำให้คนรักมัทฉะมากขึ้น แนวทางของเราที่กำลังทำอยู่ก็ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งคือการหาพาร์ตเนอร์ที่มีเจตจำนงเหมือนกันคืออยากส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า ดังนั้นการคอลแล็บกันก็จะทำให้กลุ่มคนหน้าใหม่ๆ ได้รู้จักหรือลองมัทฉะมากขึ้น ในขณะที่กลุ่มลูกค้าของเราก็จะได้ลองโปรดักต์ใหม่ๆ ที่ทำจากมัทฉะ

ยกตัวอย่าง Almond Matcha Spread (เนยถั่ว) ที่ทำกับแบรนด์ Paweenee, นมโอ๊ตมัทฉะที่ทำกับแบรนด์ Goodmate หรือโปรตีนพืชมัทฉะที่ทำกับแบรนด์ Proove ทางฝั่งพาร์ตเนอร์เขาก็แจ้งว่าได้รับฟีดแบ็กที่ดี แล้วก็ยังมีคาเฟ่อีกหลายร้านที่เราเคยไปร่วมงานด้วย หลายๆ เคสต์ที่เราได้ร่วมคอลแล็บทำให้เราตื่นเต้นและภูมิใจที่ได้เห็นมัทฉะถูกนำไปแมตช์เป็นเมนูต่างๆ แล้วมีคนชอบ

คุณพบเจอความยากหรือความท้าทายอะไรบ้างตลอดหลายสิบปีที่อยู่ในวงการธุรกิจมัทฉะ

ต้องบอกว่าความยากมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ช่วงที่ทำธุรกิจแรกๆ ความยากคือทำให้ลูกค้าเข้าใจว่ามัทฉะกับชาเขียวมันต่างกันยังไง พอมาถึงยุคนี้ความต้องการมัทฉะของผู้คนเยอะขึ้น ผู้ขายเยอะขึ้น ก็เกิดปัญหาเรื่องซัพพลายอย่างที่เล่าไป ความท้าทายก็กลายเป็นจะหาผงมัทฉะคุณภาพดีเข้ามาขายให้ลูกค้าต่อเนื่องยังไง 

ผมเชื่อว่าทุกธุรกิจมีปัญหาและความท้าทายรออยู่ระหว่างทาง แต่สิ่งสำคัญคือจะทำยังไงให้เรียนรู้และปรับตัวได้รวดเร็ว ถ้าหาเจอ สิ่งนี้จะทำให้แบรนด์เติบโตได้เร็วยิ่งขึ้น

คุณยังสนุกกับการทำ MATCHAZUKI เหมือนวันแรกอยู่หรือเปล่า

ความตั้งใจของเราจากวันแรกที่เริ่มทำ MATCHAZUKI คืออยากให้คนได้ลองมัทฉะคุณภาพดี ถึงทุกวันนี้ความตั้งใจนั้นก็ยังไม่เปลี่ยน ที่เปลี่ยนไปคือโจทย์ว่าจะทำยังไงให้ผู้คนได้ลองมัทฉะได้อร่อยมากขึ้น หาทานง่ายมากขึ้น หรือดีต่อสุขมากขึ้น หรือในอนาคตไม่ใช่แค่คนไทยที่ได้ทานมัทฉะของเรา วันหนึ่งเราอาจจะส่งมัทฉะจากแบรนด์เราไปขายในต่างประเทศ

โจทย์เหล่านี้ทำให้เรายังสนุกไปกับการทำแบรนด์ในทุกๆ วัน โดยที่ความเชื่อยังเหมือนเดิมคืออยากทำให้ผู้คนเข้าถึงมัทฉะง่ายขึ้นและรักมัทฉะมากขึ้น

เปิดอาณาจักร ‘เฟย ภัทร’ นักธุรกิจที่แสดงหนังได้นิดหน่อย

“เรียกว่าอยากเป็นอายุน้อยร้อยล้านก็ได้ อยากเป็นอย่างนั้น ผมรู้สึกว่าพอเงินมันลงตัว ธุรกิจมันเซตตัวแล้ว ทีนี้ผมก็สบายขึ้น จะได้ไม่ต้องโหมงานหนักเท่านี้แล้ว”

‘เฟย–ภัทร เอกแสงกุล’ นักแสดงหนุ่มที่หลายคนรู้จักจากภาพยนตร์ ‘4Kings’ เคยให้สัมภาษณ์ไว้เช่นนั้น หลังจากที่ลงทุนทำธุรกิจหลากหลายแบบ ตั้งแต่ sun of a beach เสื้อผ้าที่เหมาะกับคนรักชายหาดซึ่งเริ่มตั้งแต่ปี 2020 หรือช่วงโควิด-19 ก่อนหน้านี้ยังทำโรตีแบร์ร่วมกับเพื่อนๆ และรุ่นพี่

นอกจากนั้นยังมีบีชคลับที่เตรียมตัวเปิดที่เกาะกูด สอดคล้องกับเทรนด์ health & wellness และความชื่นชอบเล่นเซิร์ฟของเฟย ส่วนปัจจุบัน ธุรกิจที่เขาระบุไว้ในอินสตาแกรม มีด้วยกัน 4 ธุรกิจ 

เฟยกับอาณาจักรธุรกิจ

Black Cabin Bar บาร์ดนตรีสดในกรุงเทพฯ ย้ายจากพระราม 4 มาทองหล่อ ที่นี่เน้นให้ศิลปินได้เล่นเพลงที่ชอบจริงๆ ไม่ต้องทำตามคำขอของลูกค้า   

LOULOU Café & Restaurant คาเฟ่และร้านอาหารที่ทำร่วมกับเพื่อนนักเซิร์ฟ ได้แรงบันดาลใจจากการเล่นเซิร์ฟและพบเจอขยะมากมาย เมื่อเปิดร้านอาหารของตนจึงยึดหลัก 3R หรือ Reduce, Reuse, Recycle ตั้งแต่การออกแบบที่เลือกใช้กระเบื้องจากขยะพลาสติกรีไซเคิล การใช้กระป๋องอะลูมิเนียมบรรจุเครื่องดื่มเย็นแทนแก้วพลาสติก

LOULOU ยังมีโปรเจกต์ที่ร่วมทำกับศิลปินมากมาย เช่น Manzood ศิลปินสตรีทอาร์ตและนักโต้คลื่น ไม่นานมานี้ยังต่อยอดธุรกิจใหม่ LOULOU Catering ที่ออกแบบงานจัดเลี้ยงและคอนเซปต์อีเวนต์ในสไตล์เฉพาะตัว ทั้งสวยงาม อร่อย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

รูป : ig @hangrybeefnoodle

Hangry Beef Noodle หมี่คลุกเนื้อวากิวในกล่อง กินง่าย เก็บข้ามคืนได้โดยเส้นไม่ติดกัน เนื้อไม่เหนียว และซอสไม่เสีย ทีเด็ดคือเนื้อวากิวไทยใช้ส่วนที่ไม่มันมาก ทำให้ได้รสเนื้อชัด กลิ่นหอม และเนื้อนุ่มชมพูอ่อนจากการปรุงระดับพอดี ปัจจุบันให้บริการผ่าน Grab Food เท่านั้น และมีหลายจุดในกรุงเทพฯ ได้แก่ สามย่าน, สุขุมวิท 51, เกษตร, วงเวียนใหญ่ และสุขุมวิท 23

Simplify แบรนด์อาหารเสริมที่ออกแบบให้ตอบโจทย์การดูแลร่างกาย มีทั้ง Simplify Sunrise อาหารเสริมสำหรับเริ่มต้นวันใหม่อย่างมีพลังและสมาธิ และ Simplify Sunset อาหารเสริมสำหรับฟื้นฟูและพักผ่อนอย่างมีคุณภาพก่อนนอน

ดารานักแสดงกับการผันตัวเป็นนักธุรกิจ

หากถอยจากความเป็น ‘เฟย’ เราจะเห็นว่าปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับเขาคนเดียว ในอดีต ดารานักแสดงมักเป็นเพียงพรีเซนเตอร์ที่รับจ้างโปรโมตสินค้า แต่ปัจจุบันพวกเขาหันมาสร้างแบรนด์และทำธุรกิจของตนเองมากขึ้น จนกลายเป็นเรื่องปกติของวงการบันเทิงยุคใหม่

รูป : ig @foeifoeii

อิทธิพลของคนดังได้เปลี่ยนบทบาทจาก ‘เครื่องมือโฆษณา’ ไปสู่การเป็น ‘เจ้าของแบรนด์’ ที่มีอำนาจในการกำหนดทิศทางธุรกิจของตนเอง ไม่เพียงเพื่อสร้างรายได้ แต่เพื่อควบคุมภาพลักษณ์และอนาคตทางการเงินอย่างยั่งยืน แฟนคลับจำนวนมากมองว่าคำแนะนำจากคนดังมีน้ำหนักเหมือนคำแนะนำจากเพื่อน เพราะพวกเขารู้สึกเชื่อมโยงกับบุคลิกและวิถีชีวิตของคนดังที่ติดตาม ขณะเดียวกันโซเชียลมีเดียก็เปิดโอกาสให้คนดังสื่อสารกับแฟนคลับได้โดยตรง เกิดความรู้สึกใกล้ชิดและน่าเชื่อถือมากกว่าการโฆษณาแบบดั้งเดิม

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจของคนดังไม่ได้มีแต่ข้อดีเพราะชื่อเสียงที่สร้างยอดขายได้ ก็อาจย้อนกลับมาเป็นแรงกดดันได้เช่นกัน การทำธุรกิจอย่างระมัดระวัง และสอดคล้องกับตัวตนหรือแบรนดิ้งส่วนบุคคล จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจประสบความสำเร็จและยั่งยืน 

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ Rihanna ที่สร้างแบรนด์เครื่องสำอางและสกินแคร์ Fenty Beauty ในปี 2017 ด้วยแนวคิดเรื่องความครอบคลุมและความหลากหลายของผู้หญิงทุกเชื้อชาติ แบรนด์ของเธอได้รับการตอบรับอย่างมหาศาล จน Forbes ประเมินมูลค่าไว้ราว 2.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และ Rihanna เองก็แทบไม่ต้องกลับมาร้องเพลงอีกเลย

ธุรกิจของเฟย ตัวตนของเฟย

กลับมาที่เฟย ธุรกิจต่างๆ ที่เขาทำล้วนสัมพันธ์กับตัวตนของเขาอย่างแยกไม่ขาด ในหลายรายการ เฟยเล่าว่าในช่วงอายุยี่สิบต้นๆ เขาใช้ชีวิตเต็มที่ ทั้งดื่มเหล้าบ่อย นอนน้อย ทำงานเยอะ และมีความเครียดสะสม จนร่างกายเริ่มส่งสัญญาณเตือน เขาจึงตัดสินใจลาออกจาก GMM ต้นสังกัดที่อยู่มานานกว่า 11 ปี เพื่อดูแลตัวเองและหาโอกาสใหม่ๆ

ในรายการของ ‘พลอย หอวัง’ เขาเล่าว่าตอนนี้ได้สร้างวินัยในชีวิตอย่างเคร่งครัด คือตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้าเพื่อยืดเหยียดร่างกาย ทำสมาธิสั้นๆ ออกกำลังกายเป็นประจำ เข้านอนช่วง 3-4 ทุ่ม และลดการดื่มแอลกอฮอล์เหลือเพียงเดือนละ 2 ครั้ง เป้าหมายต่อจากนี้ของเขาคือการสร้างอาณาจักรธุรกิจที่แข็งแกร่งและยั่งยืน 

รูป : ig @foeifoeii

“ตอนเกษียณไม่รู้ แต่ตอนนี้อายุเท่านี้ อยากจะสร้าง empire ธุรกิจ มันอาจจะมีล้มหายตายจากไปบ้างบางธุรกิจ แต่มันต้องยึดไว้ได้สักบริษัทล่ะว่ะ มันต้องรอดสักอันแหละ”

แนวทางของเฟยสะท้อนให้เห็นหลักคิดของผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่เข้าใจตัวเองและตลาดไปพร้อมกัน เฟยไม่ได้เลือกทำธุรกิจเพราะตามเทรนด์ แต่ธุรกิจเหล่านี้คือสิ่งที่เขาชอบจริงๆ ตั้งแต่เซิร์ฟ ดนตรี อาหาร และสุขภาพ ทุกแบรนด์จึงมีจุดเริ่มต้นจากชีวิตของเขาเอง เฟยยังมีภาพจำเป็นคนสบายๆ มีสไตล์ รักอิสระ และรักธรรมชาติ เรียกว่า personal branding ของเขาสอดคล้องกับ business branding จนทำให้แบรนด์ดูจริงใจและมีชีวิต 

ธุรกิจของคนดังในวันนี้ จึงไม่ใช่เพียงการต่อยอดชื่อเสียงแต่คือการสร้างอาณาจักรที่สะท้อนความคิด ตัวตน และคุณค่าของพวกเขาอย่างแท้จริง

อ้างอิง

Wisdom ของ Tea Master แห่งโรงน้ำชา ผู้บรรจงชงชาภายใต้ปรัชญาธุรกิจแบบเนิบช้า 

Tea Master คือผู้ที่มีรสนิยมดีและมีฝีมือในการชงชา หากใครหลงใหลในรสชาติกับสุนทรียะของชา และอยากเปิดบทสนทนาอันลึกซึ้ง เปี่ยมด้วย wisdom กับปราชญ์แห่งชา แนะนำให้แวะมาที่โรงน้ำชาแห่งนี้เพื่อพูดคุยกับ ตี่–จงรักษ์ กิตติวรการ ผู้เป็นทั้งเจ้าของและ Tea Master แห่ง Double Dogs Tea Room

ระหว่างบทสนทนา เราชิมทั้งชาแดง ‘เจิ้น ซาน เสียว จ่ง’ ที่มีรสละเอียดอ่อน ชาแต้จิ๋วที่เจือรสขมแต่หวานปลาย และมัทฉะรสละมุน ตั้งใจจะชวนคุยถึงหลักการทำธุรกิจ แต่บทสนทนากลับพาเดินทางไปสู่ภูเขาไกลโพ้นว่าด้วยภูมิศาสตร์ของชา พร้อมเกร็ดน่ารู้ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังชาแต่ละถ้วย 

หากปลูกชาใจกลางภูเขา จะเรียกเป็น ‘ชาตัวเงิน’ ที่มีบุคลิกของชาชัดเจนที่สุด ส่วนชาที่ปลูกบนพื้นที่สูง ยิ่งสูงเท่าใด ก็ยิ่งชงได้หลายรอบมากขึ้นเท่านั้น ขณะที่ชา rock tea ซึ่งขึ้นบนภูเขาที่มีหินเยอะ จะซึมซับแร่ธาตุในดินจนมีรสเปรี้ยว ส่วนชาป่าจากต้นชาพันปีสามารถชงซ้ำได้ถึง 20 ครั้ง

ที่โรงน้ำชาแห่งนี้ยังมีชาฝู่เออร์ที่ต้องใช้เวลาสุกตัวนานถึง 30-50 ปี เป็นชาที่คุณปู่ซื้อไว้ให้หลานกิน เพราะต้องรอให้สุกนานจนปู่ไม่ได้ดื่ม อีกทั้งยังมีชาที่อบอวลด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้และพืชพันธ์ุโดยธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็น ลิ้นจี่ จำปา สายน้ำผึ้ง ฯลฯ

เมนูในร้านยังเต็มไปด้วยคำพรรณนารสชาที่เขียนอย่างงดงามดั่งบทกวี

‘ชาไต้หวัน หอมดอกไม้ หวานนุ่มเป็นขนม’

‘ชาแดงฮกเกี้ยน หอมหวานกลิ่นดอกกล้วยไม้ คละเคล้ากลิ่นสนเขียว’

‘ชาฝู่เออร์สุก ทำจากชาป่าโดยวิธีทำมือ รสสะอาดสว่าง หอมกลิ่นแป้งรากบัว กุหลาบ ทับทิม’

‘ชาฮกเกี้ยน เก่าเก็บ รสสุขุม มีกลิ่นเปลือกส้มโอแห้ง เจือกลิ่นอบเชยเล็กน้อย’

ยังไม่นับเมนูชาที่เขียนด้วยตัวอักษรจีนและมัทฉะหลายประเภทที่เล่าไม่หมด

ในวันที่ตลาดชาบูมมากและหลายธุรกิจต่างแข่งขันกันโตเร็ว Tea Masters ผู้นี้แสดงให้เห็นถึงแก่นของปัญญาในการทำธุรกิจแบบเนิบช้า (Slow Philosophy)  ไม่ได้อิงหลักการธุรกิจตามกระแส แต่เข้าใจชาถึงแก่นลึก ทั้งจิตวิทยาในการบ่งบอกบุคลิกชา ประวัติศาสตร์และกลไกของตลาดมัทฉะก่อนวันที่ตลาดบูม วัฒนธรรมการชงชาเพื่อการเติบโตทางจิตวิญญาน ไปจนถึงความลับของสำนักชงชา

Tea Room Roots at Home

ตี่เติบโตมาในครอบครัวชาวจีนที่ชงชากาใหญ่ดื่มกันเป็นกิจวัตรประจำวัน เพราะในวัฒนธรรมจีนไม่นิยมดื่มน้ำเย็น การจิบชาร้อนจึงเป็นภาพคุ้นชินในทุกวันของชีวิต ชาที่บ้านชาวจีนจะนิยมดื่มแก้กระหาย เป็นรสเรียบง่ายที่อยู่ในวิถีชีวิตคนจีนทั่วไป ซึ่งแตกต่างจากกลุ่ม ‘ชาประณีต’ ที่ต้องอาศัยความพิถีพิถันและละเอียดอ่อนในการชงมากขึ้น

ชากลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตตี่ เขาดื่มทุกวันอย่างคุ้นชินจนแทบไม่รู้สึกว่ามีความพิเศษอะไร กระทั่งวันหนึ่งที่ไม่มีชาให้ดื่ม ตี่ถึงเพิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหายไป

“วันหนึ่งตอนอยู่ที่ญี่ปุ่นแล้วหาชาจีนไม่ได้ อยากกินชาจีนขึ้นมาก็เลยเริ่มออกไปตามหาชา ปรากฏว่าชาที่หาได้ในญี่ปุ่นตอนนั้น คุณภาพไม่ค่อยดีเลย กินไม่ถูกปาก เริ่มรู้สึกว่าชาดีๆ นี่มันหาไม่ง่ายเหมือนกันนะ ตอนอยู่บ้านเราไม่ต้องหา ได้ดื่มชาคุณภาพดีในระดับที่เรากินจนชิน ซึ่งเรื่องคุณภาพดีหรือไม่ดีก็เป็นสิ่งที่พูดได้ยาก ถ้าพูดง่ายๆ คือ ชาบางชนิดไม่มีบุคลิกที่มีเสน่ห์ กินแล้วขาดความรื่นรมย์ไปหน่อย มันไม่สามารถเติมเต็มความพอใจส่วนตัวได้”

จากจุดนั้น ตี่เริ่มศึกษาชาอย่างจริงจังด้วยตัวเอง ทั้งการชิม ออกเดินทางตามหาชาคุณภาพดีจากแหล่งต่างๆ และแลกเปลี่ยนกับเหล่า tea master หรือปรมาจารย์ด้านชา รวมถึงนักชิมเครื่องดื่มรสนิยมดีจากหลายประเทศ สั่งสมประสบการณ์และพัฒนาฝีมือการชงเรื่อยมาจนตกผลึกเป็นแนวทางของตัวเอง

“ตอนแรกผมดื่มชาเอง ไม่ได้คิดจะเปิดร้านชา สิ่งแรกที่เจอคือ พอซื้อชามาลองไปเรื่อยๆ มันมีชาเยอะมากเลยที่เราคิดว่ามันไม่ดีพอที่เราจะดื่ม เหลือเป็นกองภูเขาอยู่ ทิ้งก็เสียดาย เก็บไปก็ไม่รู้จะกินยังไง พอเปิดร้านเลยรู้สึกว่า เราไม่อยากให้คนต้องมาผ่านช่วงทดลองเหมือนเรา เพราะฉะนั้นเรากรองชาที่มีคุณภาพที่เราไม่กินออกเลยดีกว่า มันจะทําให้คนหาชาดีในแง่มุมของเราได้ง่ายขึ้น” 

ก่อนเปิด Double Dogs Tea Room ตี่ใช้เวลานานกว่า 15 ปีในการคัดสรรพันธุ์ชาที่ถูกปาก จนมั่นใจว่าสามารถส่งต่อรสชาติที่มีคุณภาพและบุคลิกชัดเจนให้ผู้ที่มาเยี่ยมเยือนโรงน้ำชาได้

“เราก็กรองชามาระดับหนึ่งแล้วเพื่อลูกค้าที่มาที่ร้าน ต่อจากนั้นลูกค้าจะต้องหาชาที่เขาชอบให้เจอจากที่มีมากมาย เราขายใบชาสำหรับซื้อกลับบ้านด้วย ส่วนชาบางรายการมีขายเฉพาะนั่งดื่มในร้าน เพราะใบชาเหลือน้อย ให้ดื่มในร้านเป็นประสบการณ์ เน้นคัดเลือกชาที่มีบุคลิกชัด”

Psychology of Tea Archetype

แล้วบุคลิกของชาที่ดื่มแล้วรื่นรมย์ ณ โรงน้ำชาแห่งนี้เป็นอย่างไร ตี่มองว่าการอธิบายรสละเมียดลึกซึ้งของชาด้วยคำศัพท์ สามารถบรรยายได้เพียงระดับหนึ่งเท่านั้น เพราะการดื่มชาเป็นสุนทรียะ

“ตอนนี้หลายคนชอบใช้ taste note กับเครื่องดื่ม แต่ส่วนตัวผมเองคิดว่ามันไม่บอกอะไรเลย เปรียบเหมือนถ้าเปลี่ยนชาให้เป็นภาพเขียน สมมติบอกว่าภาพโมเน่ต์มีสีแดง สีเขียว สีดํา สีขาว ฟ้า ภาพปิกัสโซ่ก็มีสีแดง สีเขียว สีดํา สีขาว สีฟ้า แล้วถามว่าภาพของโมเนต์กับปิกัสโซ่ต่างกันยังไง มันแทบจะไม่ต่างเลย มันเป็น microscopic (เล็กมากจนมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า) 

“ความจริงแล้ว เวลาเราทํางานศิลปะ สิ่งที่ต้องการคือการสื่อสาร ถ้าทําให้เห็นเป็นภาพแล้ว มันไม่จําเป็นต้องไปสนด้วยซ้ำว่าองค์ประกอบเล็กๆ น้อยๆ จะมีสีอะไร ภาพใหญ่สําคัญกว่าและขึ้นอยู่กับว่าภาพนั้นให้ความรู้สึกยังไงมากกว่า”

พูดง่ายๆ คือ การอธิบายสุนทรียศาสตร์ด้วยข้อมูลอาจไม่เพียงพอ สิ่งที่สำคัญกว่าคือความรู้สึกที่ชาแต่ละถ้วยมอบให้ สำหรับตี่ หัวใจของการแนะนำชาให้ลูกค้ายังเป็นการใส่ใจความชอบของแต่ละคน “ผมคิดว่าต้องรู้จักลูกค้าก่อนว่าเขาต้องการอะไร เหมือนกับเวลาเลือกน้ำหอม ทุกตัวหอม แต่หอมที่ชอบและเหมาะกับแต่ละคนไม่เหมือนกัน ต้องถามว่าลูกค้าชอบหรือไม่ชอบแบบไหนมากกว่า”

หากเป็นลูกค้าใหม่ที่เพิ่งเริ่มชิมชา เขามักใช้วิธีเดาง่ายๆ เช่น แบบทดสอบคล้ายจิตวิทยา เพื่อค้นหารสนิยมเบื้องต้น ก่อนเริ่มแนะนำชาให้เหมาะกับแต่ละคน ตี่ยกตัวอย่างด้วยการหยิบถ้วยชา 3 ใบ 3 สไตล์ เรียบง่าย ละเอียดอ่อนช้อย และดิบธรรมชาติ ขึ้นมาวางบนโต๊ะ แล้วอธิบายอย่างอารมณ์ดีว่า การเลือกถ้วยชาบ่งบอกบุคลิกของชาที่แต่ละคนน่าจะชอบได้เหมือนกัน

“คนที่ชอบถ้วยชาแบบดิบๆ หยาบๆ ที่มีความเป็นธรรมชาติหน่อย น่าจะชอบชาที่รสชาติไม่หวือหวา เช่น มัทฉะ ส่วนคนที่ชอบถ้วยประดิษฐ์ประดอยน่าจะชอบชาที่มีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เยอะ เช่น เจิ้น ซาน เสียว จ่ง ที่ดื่มอยู่ ถ้าชอบถ้วยชาที่เรียบง่ายและเรียบร้อย น่าจะเหมาะกับชาที่ไม่หยาบมาก เป็นชาประณีตที่มีความงามบางอย่าง

ต่างจากแนวคิดทางธุรกิจทั่วไปที่มักแนะนำเมนูขายดี ตี่กลับมองว่า คำถามว่า ชาตัวไหนขายดีที่สุด ไม่ได้สำคัญต่อผู้ดื่มเท่ากับการได้รู้ว่า ชาตัวไหนเหมาะกับเรา เพราะคนเราดื่มชาเพื่อตัวเอง

“ถ้าลูกค้าเริ่มลองชาตัวแรกแล้วสามารถให้คอมเมนต์ได้ เราก็จะช่วยเลือกชาตัวต่อไปให้เข้าใกล้สิ่งที่เขาชอบมากขึ้น ผมอยากให้ลูกค้ากลับมาดูตัวเอง ดูปฏิกิริยาของร่างกายและความรู้สึกต่อชาแต่ละตัวมากกว่า เพราะกระบวนการทั้งหมดคือการช่วยให้เขาค้นพบชาที่คลิกในแบบของตัวเอง”

สำหรับคนที่อยากลองชาจีนที่บุคลิกแตกต่างกัน ตี่แนะนำให้เริ่มจากการชิมชา ‘ข้ามกลุ่ม’ โดยชาจีนจะแบ่งตามกระบวนการผลิตเป็นชาขาว ชาเหลือง ชาเขียว ชาฟ้า ซึ่งเป็นสีของใบชาที่เปลี่ยนไปตามระดับการออกซิไดซ์

“อย่างชาเขียว หมายถึงชาที่ไม่ผ่านการออกซิไดซ์ ใบชาจะยังคงสีเขียวสด ส่วนชาแดงคือชาที่ออกซิไดซ์ไปจนสุด ใบชาจะกลายเป็นสีทองแดง แต่ถ้าหยุดปฏิกิริยาไว้ตรงกลางก็จะได้ชาฟ้าหรือชาสีนิล ส่วนชาขาวทำจากพันธ์ุชาที่มีขนขาวเยอะแล้วนำไปตาก ชาที่ได้จะขาวซีดคล้ายดอกไม้แห้ง มีกลิ่นหอมบางเบา”

และด้วยเหตุที่ตี่แบ่งชาตามบุคลิกของชาแทนที่จะยึดตามพรมแดนประเทศ เขาจึงไม่เน้นนำเสนอชาเพียงแค่บอกว่ามาจากประเทศใด แต่ให้ผู้ดื่มได้สัมผัสและค้นพบตัวตนของชาเอง

“มัทฉะเป็นชาที่กินแล้วมันดิบเข้าสู่ภายใน เป็นชาที่เหมาะจะกินนิ่งๆ สํารวจตัวเองภายในจิตใจ ส่วนชาจีนมันเปิดไปข้างนอก เป็นชาเพื่อการสนทนาและ ice breaking ได้มากกว่า มันอาจจะมีข้อดีกว่ากาแฟตรงที่ว่ามันดื่มได้เรื่อยๆไม่เหนื่อย”

Will the Tea Market Boom or Bust?

ก่อนจะชวนคุยถึงปรัชญาการทำกิจการโรงน้ำชาต่อ เราอยากรู้ว่า tea master ผู้เชี่ยวชาญในวงการชาเกินสิบปีมีมุมมองต่อตลาดชาที่บูมในทุกวันนี้อย่างไร ตี่ให้ความเห็นว่าถ้ามองให้ลึกลงไป เขาไม่แน่ใจนักว่าความบูมนี้ดีต่อคุณภาพและศิลปะการชงชาจริงหรือไม่ ซึ่งต้องย้อนเล่าไปถึงประวัติศาสตร์ในยุคเฟื่องฟูของชาที่เน้นฝีมือมากกว่าปัจจุบัน

“ถอยไปประมาณศตวรรษที่ 10 ถึง 15 พระญี่ปุ่นเอาเมล็ดพันธุ์ชาจากจีนมาปลูก เนื่องจากชาเป็นลักษณะพืชกลายพันธุ์ เหมือนมะม่วงที่พอปลูกด้วยเมล็ด ก็จะกลายพันธ์ไปเรื่อย กลายเป็นว่าคนสมัยนั้นกินชาเพื่อเอารสของพื้นที่มากกว่า สิ่งที่คนเล่นกันคือเดาว่าชานี้น่าจะเป็นชาต้นแท้ หรือเป็นชาที่แยกพันธ์ุออกมาใหม่” 

จุดประสงค์ดั้งเดิมของการผลิตชาทุกชนิดจะเน้นมุ่งสู่การผลิตชาคุณภาพสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ตี่มองว่าน่าเสียดายที่ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ฝีมือการผลิตชาของหลายเจ้าลดลงอย่างเห็นได้ชัด หากเปรียบเทียบกับชาที่ดื่มราวสิบปีก่อน ความพิถีพิถันและความใส่ใจนั้นลดลงไปมาก

ยกตัวอย่างตลาดมัทฉะ ในยุคดั้งเดิมมัทฉะในญี่ปุ่นเป็นชาเกรดสูง ต้องใช้แรงงานและความพิถีพิถันในการผลิตมหาศาล ในอดีตจึงมีเพียงชนชั้นสูงและพระเท่านั้นที่ได้ดื่ม แต่เดิมตลาดมัทฉะในญี่ปุ่นจึงเติบโตเต็มที่และมีมาตรฐานสูง แม้จะมีหลายแบรนด์ แต่ความแตกต่างของคุณภาพไม่ได้มากนัก ขึ้นอยู่กับรสนิยมของผู้ดื่มว่าใครชอบชาบุคลิกแบบไหน

ตี่เริ่มขายมัทฉะในปี 2004 ในยุคที่เมืองไทยมีผู้สนใจและขายมัทฉะเพียงไม่กี่ราย ทำให้การหาซื้ออุปกรณ์ชงชาและถ้วยชาเป็นเรื่องยากจนต้องจ้างช่างปั้นถ้วยให้ ในยุคนั้นตลาดมัทฉะมีขนาดเล็กมาก แม้กระทั่งในญี่ปุ่น กลุ่มคนดื่มมัทฉะก็ยังเป็นวงแคบ แถมส่วนใหญ่ยังเป็นกลุ่มระดับปรมาจารย์ที่ดื่มอย่างจริงจัง จนดูเหมือนเป็นตลาดที่น่าจะโตได้ยาก จนกระทั่งเกิดจุดเปลี่ยนที่ญี่ปุ่นทุ่มเทโปรโมทตลาดมัทฉะในหลายประเทศทั่วโลกราว 6-7 ปีที่แล้ว ทั้งอเมริกาเอเชีย ประเทศไทย จนตลาดบูมขึ้นมา 

ในความเห็นของตี่ เมื่อความนิยมในมัทฉะขยายตัวสู่หลายประเทศ สิ่งที่ตามมาคือความท้าทายด้านคุณภาพ มัทฉะส่วนใหญ่ที่เข้าไทยกลายเป็นเป็นเกรดกลางถึงล่างที่ราคาถูกลง จากชาญี่ปุ่นเกรดสูงที่ต้องใช้ฝีมือเบลนด์ถึงจะนำมาขาย กลายเป็นประเทศต่างๆ ทั้งยุโรป อเมริกาเริ่มนำวัตถุดิบชามาขายโดยไม่เบลนด์ และเรียกชาเหล่านั้นว่า single origin หรือ single cultivar ทำให้รูปแบบการขายเปลี่ยนไป ธุรกิจชาต่างๆ สามารถทำกำไรและขยายธุรกิจอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องใช้ฝีมือในการเบลนด์มากนัก

ผลกระทบที่ตามมาคือผู้ประกอบการขนาดใหญ่ในต่างประเทศกลับเข้าไปแย่งซื้อวัตถุดิบชาในญี่ปุ่นด้วยราคาที่สูงกว่า ผู้ผลิตชาญี่ปุ่นจึงขายให้กลุ่มต่างชาติเป็นหลัก ทำให้ชาวญี่ปุ่นรุ่นต่อไปที่ยังอยากชงชาเกรดประณีตขาดวัตถุดิบคุณภาพสำหรับการเบลนด์ชา ผลลัพธ์คือการผลิตมัทฉะคุณภาพสูงจำกัดลง ตัวเลือกในการสร้างสรรค์รสชาติลดน้อยลง และชาที่ตั้งใจเบลนด์ด้วยฝีมือเริ่มกลืนหายไปกับตลาด

ด้วยปัจจัยหลายประการเหล่านี้ทำให้ตี่รู้สึกว่าคนที่ไม่เคยชิมมัทฉะคุณภาพมาก่อนมักไม่สามารถแยกได้ว่ามัทฉะแบบไหนเป็นเกรดดี เพียงเห็นผงสีเขียวก็เรียกว่ามัทฉะ ทำให้ความชัดเจนระหว่างคุณภาพและราคามีความเบลอไปมาก

ทั้งนี้ตี่ยังมองว่า หากตลาดมัทฉะยังเน้นขายราคาถูกลงต่อไปเรื่อยๆ ภายใน 2 ปี จีนน่าจะสามารถปั้นแบรนด์มัทฉะราคาต่ำเข้ามาแข่งขันกับญี่ปุ่นได้ จนสุดท้ายตลาดมัทฉะทั้งระดับบนและล่างอาจรวนและลดคุณภาพลงทั้งระบบ

Infusing the Slow Tea Room Philosophy

จากสถานการณ์ของตลาดชาเหล่านี้ ตี่จึงบอกว่าปรัชญาในการทําโรงน้ำชาให้ยั่งยืนคือ “ขายของที่เรากินเอง ผมเริ่มทำจากตรงนี้”

“ก่อนหน้านี้ผมไม่ได้มาเป็นพ่อค้าแบบนี้ เคยทำงานวิชาการมาก่อน แต่หลังจากเปิดร้านและเห็นลักษณะการค้าของหลายกลุ่ม สิ่งที่เห็นก็คือคนขายหมูไม่กล้ากินหมูที่ตัวเองขาย คนขายผักไม่กล้ากินผักที่ตัวเองขาย เวลาทําขาย ทำแบบนึง แต่เวลากินเอง เลือกกินอีกแบบนึง คําถามคือ ถ้าในตลาดเป็นแบบนี้ทั้งหมด ต่อให้คุณรักษาสินค้าที่ดีของธุรกิจคุณได้หนึ่งตัว แต่สินค้าอาหารประเภทอื่นในตลาดเป็นขยะ ท้ายที่สุดก็จะมีขยะเต็มตลาดไปหมด”

ตี่จึงมองว่า หนทางที่จะพัฒนาคุณภาพอาหารได้ คือไม่หลอกตัวเองและมองมาตรฐานโลก เริ่มจากทำสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เราใช้เอง กินเองได้ อย่างน้อย ถ้าทุกคนนําเสนอของคุณภาพในตลาดโดยเริ่มตั้งแต่วันนี้ ก็จะเริ่มมีอาหารและเครื่องดื่มที่มีคุณภาพเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ในการเริ่มกิจการโรงน้ำชา ตี่รับฟังความคิดเห็นจากเพื่อนฝูงสายการตลาดที่มีสารพัดความคิดเห็นต่อการทำกิจการ ไม่ว่าจะเป็น ‘คนไทยส่วนใหญ่นิยมดื่มชาเย็น ทําชาร้อนจะขายได้เหรอ’ หรือ ‘ถ้าเปิดโรงน้ำชาถึงตอนเย็นจะมีคนกินเหรอ เพราะกินเย็นแล้วอาจนอนไม่หลับ’ บางคนก็บอกว่า ‘การทําธุรกิจจะต้องมี product champion หรือสินค้ายอดนิยมที่กินรายได้ประมาณ 70% คิดไว้แล้วหรือยังว่าจะเป็นตัวไหน’

เขารับฟังความเห็นเหล่านี้แล้วสะท้อนกลับในมุมมองของตัวเองว่า “ตอนแรกก็คิดแบบนั้น แต่พอมาลองทํา เราก็เริ่มเห็นตัวเราเองชัดขึ้น เพราะว่าโรงน้ำชาของเรามีความเฉพาะกลุ่ม (niche) ส่วนเพื่อนเราทําการตลาดให้องค์กรที่แมส ดังนั้นคําถามและมุมมองของเขามันไม่เหมือนกับเราเลย

“ลูกค้าเราไม่ใช่คนที่เข้ามาแล้วต้องการสิ่งสำเร็จรูป ไม่ใช่คนที่แค่เข้ามาแล้วจิ้มเมนูเลือก 1 2 3 แล้วจบเพราะฉะนั้นพฤติกรรมของลูกค้าเราจะต่างจากกลุ่มแมสโดยสิ้นเชิง กลุ่มคนกินชาร้อนอาจจะไม่ใหญ่เท่าตลาดแมส แต่พอให้ร้านเราอยู่รอดก็พอแล้ว แล้วมันก็มีกลุ่มคนที่มองหาเครื่องดื่มไม่เติมน้ำตาล ซึ่งคนกลุ่มนี้อาจจะเป็นกลุ่มที่มี pain point มากในตลาดแมสด้วยซ้ำไป เพราะว่าหาชาแบบที่อยากทานไม่ได้”

การทํา Double Dogs จึงเน้นหลักการทำธุรกิจแบบ slow philosophy ที่อยากคงคุณค่าและคุณภาพของชาไว้  ซึ่งต้องยืนหยัดทั้งจุดยืนในการทำธุรกิจที่สวนทางกับตลาดแมสที่โตอย่างรวดเร็ว และยังต้องโอบรับสิ่งที่ไม่ชอบในการทำกิจการ

“ร้านชาสอนเราหลายเรื่อง พอเราเป็นเจ้าของกิจการเอง เราไม่สามารถที่จะลาออกไปหางานอื่นทําได้ ต่อให้เราชอบชาเป็นพื้น แต่สิ่งที่สําคัญกว่าคือจะต้องโอบรับสิ่งที่ไม่ชอบของมันได้ สิ่งนี้ทําให้เราอยู่ตรงนั้นได้มากกว่า”

สำหรับลูกค้าที่แวะเวียนมาชิมชาเป็นครั้งคราว แน่นอนว่าย่อมได้ลิ้มลองชารสเลิศที่คัดสรรมาแล้ว แต่สำหรับตี่ เขาต้องชิมชาจำนวนมากนับไม่ถ้วนซึ่งส่วนใหญ่พบชาคุณภาพไม่ดีมากกว่าดี    

“ตอนจะเปิดร้านรู้สึกโลกสวย ดีจังเลยนะ เราจะเปิดร้านชาแล้ว ก็จะมีชาชิมทุกวัน แต่พอเปิดร้านจริง มันเจอโจทย์หนักของการทำมาค้าขายที่ต้องชิมชาเพื่อคัด บางครั้งแม้จะไม่พร้อมแต่ก็ต้องชิม ชาที่กินแล้วเป็นพิษก็มี ตอนไปหาชาที่จีนจากร้านขายส่ง ก็ต้องทดลองไปเรื่อย ปรากฏว่าชาบางร้าน กินแล้วลิ้นชา เราไม่รู้ว่า มันมีอะไรในนั้นบ้าง ทั้งยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า แต่งกลิ่น บางทีร้านก็ไม่บอกเรา” 

สำหรับโรงน้ำชาแห่งนี้ การรักษาคุณค่าจึงสำคัญมากกว่าการสร้างมูลค่าในธุรกิจ “ถ้าปัจจุบันเราทําธุรกิจที่ยึดเม็ดเงิน กำไร หรือ margin เป็นหลักแล้วยอมแลกทุกอย่างเพื่อให้ตัวเลขกําไรเพิ่มขึ้นจิ๊ดนึง ท้ายที่สุดก็จะไม่เหลือคุณค่าอะไรเลยในธุรกิจนั้น

“คําถามท้ายที่สุดก็คือ คุณค่าของธุรกิจคืออะไร ในเชิงคุณค่านะ ที่ไม่ใช่มูลค่า เพราะถ้ายอมแลกทุกอย่าง มันจะไม่เกิดคุณค่า”

Tea Cups That Leap Into Your Hands

นอกจากชาคุณภาพดี หากแวะมาเยือน Double Dogs จะพบกับถ้วยชาเซรามิกที่เปี่ยมความงดงามและพิถีพิถัน ถ้วยชาเหล่านี้มีเรื่องราวเบื้องหลังที่สนุกไม่แพ้เรื่องราวของชาเช่นกัน

เริ่มจากวันหนึ่ง ง้วน-พลเสฎฐ์ โลหะชาละธนกุล เจ้าของสตูดิโอเซรามิก Aoon Pottery ที่ตั้งอยู่ในย่านเยาวราชไม่ไกลจาก Double Dogs เดินเข้ามาที่โรงน้ำชา และบอกกับตี่ว่า สนใจปั้นถ้วยมัทฉะ 

“ผมบอกว่าถ้าคุณจะทําถ้วยมัทฉะ คุณต้องชงชาเป็น ถ้าคุณไม่ได้ชงชา ไม่ใช้อุปกรณ์ทำชาเลย คุณจะรู้ได้ยังไงว่าแบบไหนจะดีหรือไม่ดีกับผู้ใช้ ช่างทําเครื่องดนตรีควรจะเล่นเครื่องดนตรีได้ อาจจะไม่ต้องเก่ง แต่ควรเล่นได้ ทําอุปกรณ์ชาก็เหมือนกัน คุณควรจะชงชาและดื่มชาเป็นในระดับนึง

“สมมุติว่าเราเอาถ้วยมา แล้วบอกว่าเป็นถ้วยชา มันทำถ้วยยังไงก็ได้แหละ แต่พอคุณบอกว่าเป็นถ้วยมัทฉะปั๊บ คุณจะต้องเอาเกณฑ์ความเป็นถ้วยมัทฉะของญี่ปุ่นมาวางไว้ว่า นี่มันใช่ถ้วยมัทฉะตามขนบเขาหรือเปล่า มันไม่ใช่แค่อยู่ดีๆ คุณก็เอาชื่อถ้วยมัทฉะมาแปะเฉยๆ”

เนื่องจากการทำถ้วยมัทฉะไม่ใช่แค่เรื่องรูปร่างหรือความสวยงาม แต่เกี่ยวข้องกับขนบและการใช้งานอย่างแท้จริง ง้วนจึงใช้เวลาศึกษาการชงชาและศาสตร์การทำอุปกรณ์ชาราว 3-5 ปีกว่าจะทำถ้วยชาที่ได้ตามมาตรฐานระดับที่ญี่ปุ่นยอมรับ โดยเดินทางไปเรียนกับศิลปินแห่งชาติที่เกาหลีซึ่งมีบ้านอยู่กลางป่า

ในกระบวนการปั้นถ้วยชา มาสเตอร์แห่งชาอย่างตี่มักเป็นฝ่ายโยนโจทย์การทำถ้วยให้ก่อน จากนั้นมาสเตอร์นักปั้นถ้วยเซรามิกอย่างง้วนจะรับช่วงต่อ ทดลองปั้นถ้วยขึ้นมาแก้โจทย์ นำมาทดลองใช้ แล้วทำงานปรับแก้ร่วมกันไปเรื่อยๆ ซึ่งต้องใช้ความอดทนพากเพียรสูง

“โจทย์แรกคือทํายังไงให้มันเป็นถ้วยที่อยากกระโดดขึ้นมาบนมือเรา”

ฟังดูน่าฉงน ทำอย่างไรถ้วยถึงจะสามารถกระโดดได้ ก่อนจะเข้าใจศาสตร์ล้ำลึกในการทำถ้วยชาตรงนี้ ต้องเล่าว่าการทำถ้วยชาให้ดีนั้นสัมพันธ์กับวัฒนธรรมการใช้ถ้วยของประเทศแถบตะวันออก

“ถ้าเป็นคนจีนและคนญี่ปุ่นจะยกถ้วยข้าวขึ้นมาเวลากินข้าว แต่คนเกาหลีจะกินข้าวจากถ้วยที่ตั้งโต๊ะ ดังนั้นถ้วยจะมี 2 แบบ คือใช้งานแบบตั้งโต๊ะกับใช้งานแบบถือ ถ้วยแบบตั้งโต๊ะ เช่น ถ้วยแกง ต้องยืนมั่นคง ไม่ล้ม ไม่เอียง

“ส่วนถ้วยมัทฉะ เป็นถ้วยชนิดนึงที่ใช้แบบยกด้วยมือ สิ่งสำคัญของถ้วยเครื่องดื่มพวกนี้คือควรยกขึ้นมาดื่มได้ง่ายๆ กระโดดขึ้นมาบนมือเรา หากทำไม่ดี นิ้วจะช้อนไม่เข้า ทั้งน้ำหนักและพื้นผิวควรช่วยให้ยกถ้วยได้ง่ายขึ้น”

ถ้วย จาน ชามที่ Double Dogs จึงมีทรงหลากหลายจากการทดลองทำหลายแบบ ถ้าเป็นถ้วยชามักมีขอบบางเพื่อให้กลิ่นกระจายได้ง่าย ถ้าเป็นถ้วยแกง หรือจอกสาเกก็จะเป็นอีกทรงหนึ่ง แต่ทุกทรงล้วนผ่านการคำนึงถึงรายละเอียดมาแล้วอย่างถี่ถ้วน 

Zen Secrets of the Tea Sanctum

บทสนทนายืดยาวไปถึงวัฒนธรรมการชงชาที่เชื่อมโยงกับศาสนา ในแง่การทำสมาธิ ชาญี่ปุ่นมีรากฐานเชื่อมโยงกับพระพุทธศาสนานิกายเซนมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซ่งของจีน พระภิกษุจีนริเริ่มใช้ชาในการทำสมาธิ ซึ่งต่อมาพระภิกษุญี่ปุ่นที่ไปศึกษาที่จีนก็ได้นำแนวปฏิบัตินี้กลับมายังญี่ปุ่นเช่นกัน 

ในมุมมองของเซน การดำเนินชีวิตประจำวันทุกอย่างสามารถใช้เป็นอุบายในการปฏิบัติธรรมได้ การดื่มชาจึงเป็นการพัฒนาตัวเองอย่างหนึ่ง คล้ายกับการบรรลุธรรม

พิธีชงชาญี่ปุ่นจึงมุ่งเน้นการสร้าง ‘สันดานที่สอง’ หรือการเปลี่ยนแปลงจากสัญชาตญาณเดิมของมนุษย์ การเรียนรู้นี้ไม่สามารถสอนโดยตรงจากการคิดด้วยหัวหรือทฤษฎี แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงจากสันดานแบบหนึ่งไปสู่อีกแบบหนึ่งผ่านวิถีปฏิบัติแห่งความสงบ

สำหรับตี่ ช่วงเวลาที่ได้ชงชา แม้เป็นช่วงสั้นๆ ก็เหมือนเป็นการรีสตาร์ท ตัดทุกอย่างออกไปจนหมด ดื่มชาเสร็จแล้วออกไปสตาร์ทชีวิตใหม่และยังเกิดปรัชญาชีวิตที่สะท้อนแก่ตัวเอง

“ผมคิดว่า ชาสะท้อนตัวเรา โดยทั่วไป ลูกตาคนเรามักมองเห็นข้างนอก แต่ความจริงแล้วการมองเห็นตัวเราเองก็ไม่ยาก ทุกคนมักจะสะท้อนตัวเองผ่านน้ำชาที่ชง สภาพจิตใจคนละแบบก็ชงชาออกมาต่างกัน เพราะฉะนั้นเมื่อเราชงชา ก็จะมองถึงตัวเรา ซึ่งเกิดเพราะชาเซนซิทีฟต่อสภาพจิตใจของคนมากๆ วันที่หงุดหงิด โมโหเลยก็จะชงชาออกมาแบบที่กินไม่ได้ มันมักจะเป็นแบบนั้นให้เห็นได้ ชาตัวเดียวกัน เปลี่ยนคนชง รสก็เปลี่ยนแล้ว มันมีอะไรสักอย่างหนึ่งที่ทําให้บุคลิกของคนชงชาลงไปอยู่ในนั้น”

“เพื่อนคนหนึ่งเรียนชาจนถึงระดับเป็นอาจารย์สอนชงชาจากสํานักชาของญี่ปุ่น เขาตั้งคําถามว่า ‘รู้ไหมว่า การไปเรียนชงชาที่สำนักชงชา สิ่งหนึ่งที่สํานักชงชาไม่สอนคืออะไร? มันคือการชงชา’ ฟังดูย้อนแย้ง

“สำนักที่เขาเรียนเป็นสํานักที่ค่อนข้างใหญ่ มีมาตรฐาน จะสอนรูปแบบการชงชาว่า การจัดพิธีหรืองานเลี้ยงชงชาควรจะจัดยังไงในฤดูหนาว ฤดูร้อน ตอนเช้า อาจารย์ไม่ค่อยสอนว่า ชงชายังไงให้ได้รสชาติที่ดี ผมลองเอาคําถามนี้ไปถามอาจารย์ชงชาที่สํานักเล็กๆ ว่าคิดยังไง ท่านก็บอกว่ามันมีอะไรหลายอย่างในโลกนี้ ที่ไม่สามารถสอนได้โดยการคิด มันต้องใช้กระบวนการแบบอื่นในการสอน  การชงชาให้ได้รสที่ถูกต้องก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ชี้นำไม่ได้”

ตี่ยังเล่าความรู้เกี่ยวกับสำนักชาว่าเวลารับลูกศิษย์คนใหม่มา สิ่งที่อาจารย์ทำคือชงชาให้ดู ให้ลูกศิษย์ลองชิมรสชาที่เป็นแบบครู  “อาจารย์คาดหวังว่าเวลาศิษย์ดื่มชาแล้วจะจําได้ แต่ชาของลูกศิษย์แต่ละคน ด้วยลิ้น ด้วยจมูก ด้วยทักษะการสังเกตต่างๆ ที่สั่งสมมา จะเห็นรายละเอียดของชาถ้วยนี้ไม่เท่ากัน

“ถ้าศิษย์มาทดลองเรียนชงชาด้วยตัวเอง อาจารย์จะถามว่า ‘คิดว่าชาของตัวเองกับชาที่เป็นแบบครูเหมือนกันไหม’ ถ้าศิษย์ไม่เห็นความแตกต่าง คิดว่าชงชาเองแล้วเหมือนเลย อาจารย์จะมองว่าเด็กคนนี้ไม่มีพัฒนาการต่อแล้วสอนไม่ได้ เพราะเขาเห็นแค่นั้น แต่ถ้าเกิดเด็กคนนั้นเห็นความแตกต่าง ถึงจะมีแนวโน้มว่า สามารถสอนคนนี้ให้สามารถพัฒนาการชงเข้าไปสู่ ‘ชาแบบครู’ ได้

และนี่คือบทสนทนาในจักรวาลชา ณ Double Dogs Tea Room ที่เชื่อมโยงทั้งวัฒนธรรม ภูมิศาสตร์ประวัติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ศิลปะ จิตวิทยา ศาสนา ปรัชญาธุรกิจ และปรัชญาชีวิตที่เกี่ยวพันกับชาทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกัน

ขณะจิบชาถ้วยสุดท้ายก่อนบอกลา อดคิดไม่ได้ว่า หากทุกธุรกิจในประเทศไทยมีนักธุรกิจที่เป็นมาสเตอร์ ซึ่งสามารถเชื่อมโยงทุกศาสตร์เข้าด้วยกันได้แบบ Tea Masters ก็คงจะดีไม่น้อย