เปิดกล่อง ‘Pandora’ แบรนด์เครื่องประดับจากโคเปนเฮเกนที่ฐานการผลิตปักหลักในประเทศไทย

ใครจะคิดว่าร้านเครื่องประดับเล็กๆ ในโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก จะเติบโตขึ้นเป็นแบรนด์ที่ผู้คนทั่วโลกหลงใหล? 

Pandora ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องประดับ แต่เป็นสัญลักษณ์แห่งความทรงจำและตัวตนของผู้สวมใส่ ด้วยแนวคิดที่เปลี่ยนมุมมองของจิวเวลรีจากสินค้าหรูหราสำหรับบางกลุ่ม ให้กลายเป็นสิ่งที่ทุกคนเข้าถึงได้ ผ่านดีไซน์ที่ปรับแต่งเองได้ ทำให้ทุกชิ้นงานเป็นเอกลักษณ์เฉพาะบุคคล

ปัจจุบัน Pandora มีร้านค้ากว่า 6,700 แห่งในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก รวมถึงร้านแฟล็กชิปสโตร์ในเมืองสำคัญ เช่น นิวยอร์ก ลอนดอน และเซี่ยงไฮ้ โดยสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด รองลงมาคือจีน นอกจากนี้ แบรนด์ยังจำหน่ายเครื่องประดับได้กว่า 100 ล้านชิ้นต่อปี ซึ่งสะท้อนถึงความนิยมของ Pandora ในวงกว้างได้เป็นอย่างดี

สำหรับประเทศไทย นอกจากจะเป็นหนึ่งในตลาดที่มีสาขาหลายแห่ง Pandora ยังเลือกตั้งโรงงานผลิตหลักที่นี่ทั้งในกรุงเทพฯ และลำพูน ทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตที่สำคัญที่สุดของบริษัท ซึ่งช่วยขับเคลื่อน supply chain และตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว

คอลัมน์ Biztory จึงอยากชวนทุกท่านย้อนดูที่มาของ Pandora แบรนด์เครื่องประดับที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง ด้วยแนวคิดที่โดดเด่นและกลยุทธ์ทางการตลาดที่ชาญฉลาด 

1. จุดเริ่มต้นจากร้านเล็กๆ สู่แบรนด์ระดับโลกที่มีหัวใจอยู่ในประเทศไทย

ย้อนกลับไปในปี 1982 Pandora ถือกำเนิดขึ้นจากความมุ่งมั่นของสองสามีภรรยา Per และ Winnie Enevoldsen ทั้งคู่เปิดร้านขายเครื่องประดับเล็กๆ ในโคเปนเฮเกน โดยชื่อ Pandora นั้นไม่ได้มาจากผู้ก่อตั้งแบรนด์ แต่เกิดขึ้นจากไอเดียของนักศึกษาฝึกงานคนหนึ่งในบริษัท ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากตำนานกรีกเกี่ยวกับ ‘กล่องของแพนดอร่า’ ที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังและความปรารถนา ชื่ออันทรงพลังนี้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของแบรนด์ที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนทั่วโลก

ระหว่างทำแบรนด์นั้นเอง ทั้งคู่เดินทางมายังประเทศไทยบ่อยครั้งเพื่อเฟ้นหาอัญมณีและเครื่องประดับที่มีคุณภาพกลับไปจำหน่ายต่อในเดนมาร์ก ปี 1989 Pandora จึงตัดสินใจตั้งฐานการผลิตแห่งแรกในประเทศไทย ไม่ใช่แค่เรื่องต้นทุนการผลิต แต่เป็นเพราะ ‘ฝีมือของช่างไทย’ ที่ขึ้นชื่อด้านความละเอียดและความเชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์เครื่องประดับคุณภาพสูง

การตัดสินใจครั้งนี้ไม่เพียงช่วยให้ Pandora ควบคุมคุณภาพสินค้าได้อย่างใกล้ชิด แต่ยังทำให้ขยายธุรกิจไปทั่วโลกได้อย่างรวดเร็ว 

ทุกวันนี้ Pandora มีโรงงานขนาดใหญ่หลายแห่งในประเทศไทย รวมถึงโรงงานที่ลำพูน ซึ่งได้รับมาตรฐาน LEED Gold สะท้อนแนวคิดด้านความยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมีทีมช่างฝีมือชาวไทยกว่า 12,000 คน ที่ผลิตเครื่องประดับได้มากกว่า 200 ล้านชิ้นต่อปี กลายเป็นหนึ่งในโรงงานจิวเวลรีที่ใหญ่ที่สุดในโลก ผลิตภัณฑ์ของ Pandora ถูกส่งออกไปยังหลายประเทศ และเป็นที่รักของผู้คนทั่วโลก

2. สินค้าชิ้นแรก Charm จุดเปลี่ยนสำคัญที่พา Pandora สู่แบรนด์ระดับโลก

Pandora ไม่ได้เติบโตขึ้นเพียงเพราะดีไซน์ที่โดดเด่น แต่ยังมาจากกลยุทธ์ทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง แบรนด์มุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์ที่เชื่อมโยงกับลูกค้า ผ่านเครื่องประดับที่ปรับแต่งเองได้

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2000 Pandora เป็นแบรนด์เครื่องประดับจากเดนมาร์กที่กำลังมองหาสิ่งใหม่ๆ เพื่อสร้างความแตกต่าง และนั่นคือช่วงเวลาที่ Charm หรือ ‘ชาร์ม’ ได้ถือกำเนิดขึ้น

ชาร์มไม่ใช่แค่เครื่องประดับธรรมดา แต่เป็นลูกปัดขนาดเล็กที่สามารถเลือกและปรับแต่งได้ตามใจชอบ ร้อยเรียงเข้ากับสร้อยข้อมือ ให้กลายเป็นเครื่องประดับที่บอกเล่าเรื่องราวของผู้สวมใส่ ไม่ว่าจะเป็นโอกาสพิเศษ ความทรงจำที่อยากเก็บไว้ หรือสิ่งที่สะท้อนตัวตน

คอลเลกชั่นแรกของ Pandora ใช้ชื่อว่า Moments ซึ่งเปิดโอกาสให้ลูกค้าเลือกชาร์มแต่ละชิ้นตามความหมายที่ต้องการ นี่เองคือกุญแจสำคัญที่ทำให้ Pandora แตกต่างจากแบรนด์เครื่องประดับอื่นๆ เพราะแทนที่จะเป็นเพียงเครื่องประดับหรูหรา มันกลับกลายเป็นสัญลักษณ์ของความรู้สึกและความทรงจำ ที่พกพาไปได้ทุกที่

กระแสตอบรับเกินคาด จากเดนมาร์ก Pandora ขยายตัวอย่างรวดเร็วไปยังสหรัฐอเมริกา เยอรมนี และออสเตรเลีย ในเวลาไม่นาน ความต้องการที่พุ่งสูงทำให้แบรนด์ต้องเร่งขยายกำลังการผลิต และประเทศไทยก็กลายเป็นฐานการผลิตหลักของ Pandora นับตั้งแต่ปี 1989

นี่จึงทำให้ Charm Bracelet ไม่ใช่แค่สินค้าชิ้นหนึ่งของแบรนด์อีกต่อไป แต่กลายเป็นไอคอนของ Pandora ด้วยยอดขายมากกว่า 100 ล้านชิ้นทั่วโลก และยังคงเป็นหนึ่งในสินค้ายอดนิยมที่ผู้คนหลงรักมาจนถึงทุกวันนี้

3. Affordable Luxury กลยุทธ์ที่ทำให้ Pandora เข้าถึงผู้คนทั่วโลก

Pandora ไม่เพียงเปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับเครื่องประดับให้เป็นของที่สามารถบอกเล่าเรื่องราวได้ แต่ยังพลิกโฉมอุตสาหกรรมจิวเวลรีด้วยกลยุทธ์ Affordable Luxury หรือ ‘ความหรูหราที่เข้าถึงได้’ โดยสร้างสรรค์เครื่องประดับที่มีคุณภาพดี ดีไซน์โดดเด่น แต่ยังคงอยู่ในช่วงราคาที่คนทั่วไปสามารถซื้อหาได้

หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้กลยุทธ์นี้ประสบความสำเร็จคือ การเติบโตของกลุ่มผู้บริโภคชนชั้นกลาง ซึ่งต้องการสินค้าคุณภาพสูงในราคาที่จับต้องได้ Pandora ตอบโจทย์ความต้องการนี้ด้วยสองแนวทางหลัก ได้แก่

การควบคุมกระบวนการผลิตแบบครบวงจร แพนโดราเป็นหนึ่งในแบรนด์เครื่องประดับไม่กี่รายที่ดำเนินกระบวนการผลิตเองตั้งแต่ต้นจนจบ โรงงานขนาดใหญ่ในประเทศไทย ซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตหลักของแบรนด์ ทำให้บริษัทสามารถควบคุมคุณภาพ ลดต้นทุน และผลิตสินค้าในปริมาณมากได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้สามารถเสนอราคาที่เหมาะสมแก่ลูกค้า

การใช้วัสดุที่มีคุณค่าในราคาสมเหตุสมผล แทนที่จะใช้ทองคำบริสุทธิ์หรือเพชรแท้ที่ทำให้ราคาสูงเกินไป Pandora ใช้วัสดุทางเลือกที่ยังคงรักษาความงดงามและคุณภาพ เช่น เงินสเตอร์ลิง (sterling silver) และทอง 14K/18K แทนการใช้ทองคำบริสุทธิ์ อัญมณีสังเคราะห์ และแก้วมูราโน่ แทนการใช้เพชรหรืออัญมณีหายาก Pandora Shine (ทองเคลือบ) และ Pandora Rose (อัลลอยด์ผสมทองคำ) เพื่อให้ได้ลุคหรูหราในราคาที่เข้าถึงได้

แม้ว่า Pandora จะประสบความสำเร็จอย่างมากในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา แต่แบรนด์ยังคงมุ่งหน้าขยายตลาดต่อไป ด้วยเป้าหมายที่จะเป็นแบรนด์เครื่องประดับที่เข้าถึงได้สำหรับทุกคน ผ่านการออกแบบที่สวยงาม คุณภาพสูง และมีราคาสมเหตุสมผล

4. Pandora Store Experience

หากคุณเคยก้าวเข้าไปในร้าน Pandora สักครั้ง คุณจะรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่แตกต่างออกไปจากร้านเครื่องประดับทั่วไป ทุกอย่างถูกออกแบบมาเพื่อสร้างประสบการณ์ที่พิเศษและน่าประทับใจ ตั้งแต่สีสันที่อบอุ่นไปจนถึงบริการที่ใส่ใจทุกรายละเอียด

เมื่อเดินเข้ามา ลูกค้าทุกคนจะได้พบกับการออกแบบร้านที่สะอาดตาและหรูหรา โทนสีขาวและชมพูอ่อนช่วยสร้างความรู้สึกละมุนละไมและเป็นมิตร ทำให้การเลือกเครื่องประดับเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความสุข ไม่ใช่แค่เพียงการช้อปปิ้ง แต่เป็นการสัมผัสประสบการณ์ที่แตกต่าง

สินค้าถูกจัดวางอย่างพิถีพิถันเป็นเซต เพื่อให้ลูกค้าเห็นไอเดียการมิกซ์แอนด์แมตช์ที่ลงตัว ช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังสามารถทดลองสวมใส่เพื่อดูว่าเครื่องประดับแต่ละชิ้นเข้ากับสไตล์ของตนเองหรือไม่ เพราะ Pandora เชื่อว่าทุกคนควรมีเครื่องประดับที่สะท้อนตัวตนได้อย่างแท้จริง

สิ่งที่ทำให้ประสบการณ์นี้พิเศษยิ่งขึ้นคือบริการจากพนักงานที่ได้รับการฝึกอบรมมาเป็นอย่างดี พวกเขาไม่ได้ทำหน้าที่เพียงแค่ขายสินค้า แต่ยังช่วยแนะนำเครื่องประดับที่เข้ากับบุคลิกและโอกาสพิเศษของลูกค้าแต่ละคน เป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่มากกว่าการซื้อ-ขาย แต่เป็นการช่วยให้ลูกค้าได้ค้นพบชิ้นที่ใช่สำหรับตัวเอง

5. Pandora x แบรนด์ระดับโลก

ในโลกของเครื่องประดับ การออกแบบที่โดดเด่นอาจเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จ แต่สำหรับ Pandora แล้ว หนึ่งในกุญแจที่ทำให้แบรนด์ครองใจผู้คนทั่วโลกคือการร่วมมือกับแบรนด์ระดับโลก ซึ่งช่วยให้ Pandora ขยายฐานลูกค้าและสร้างมูลค่าให้กับแบรนด์อย่างต่อเนื่อง 

ไม่ว่าจะเป็น Disney, Marvel, Harry Potter หรือ Netflix ความร่วมมือเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงการเพิ่มความหลากหลายให้กับคอลเลกชั่น แต่ยังทำให้ Pandora กลายเป็นแบรนด์ที่ผูกพันกับอารมณ์และความทรงจำของผู้คน

  • Pandora x Disney เสน่ห์แห่งเทพนิยายที่ครองใจแฟนๆ

หากพูดถึงการจับมือที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของ Pandora คงหนีไม่พ้น Pandora x Disney ที่นำตัวละครอันเป็นที่รักจากโลกดิสนีย์ เช่น Mickey Mouse, Cinderella และ Elsa มารังสรรค์เป็นเครื่องประดับสุดพิเศษ คอลเลกชั่นนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องประดับแฟชั่น แต่ยังเป็นตัวแทนของความฝันและความทรงจำในวัยเด็กที่ผู้คนอยากเก็บไว้ใกล้ตัว การร่วมมือนี้ช่วยให้ Pandora เข้าถึงกลุ่มแฟนดิสนีย์ที่หลงใหลในเรื่องราวและตัวละครที่พวกเขาเติบโตมาพร้อมกัน

  • Pandora x Netflix จากหน้าจอสู่เครื่องประดับสุดไอคอนิก

Pandora ไม่ได้จำกัดตัวเองอยู่แค่โลกแห่งเทพนิยาย แต่ยังสามารถสะท้อนความลึกลับและความตื่นเต้นของซีรีส์ดังอย่าง Stranger Things ของ Netflix ได้ คอลเลกชั่นนี้นำเอาไอคอนสำคัญจากซีรีส์ เช่น ไฟคริสต์มาสที่ใช้สื่อสารกับโลกกลับด้าน หรือจักรยานของไมค์มาสร้างเป็นชาร์มที่เป็นที่ต้องการของเหล่าแฟนซีรีส์ ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่า Pandora ไม่ได้ขายแค่เครื่องประดับ แต่ขายเรื่องราวที่มีความหมายต่อแฟนๆ

นอกจากคอลแล็บกับ Disney และ Netflix แล้ว Pandora ยังมีคอลเลกชั่นพิเศษที่จับมือกับ Marvel, Harry Potter และ UNICEF ซึ่งแต่ละคอลเลกชั่นมีเสน่ห์และเรื่องราวที่ดึงดูดลูกค้ากลุ่มต่างๆ โดยเฉพาะนักสะสมที่ต้องการเครื่องประดับที่สะท้อนตัวตนและความชื่นชอบของพวกเขา

การจับมือกับแบรนด์ดังระดับโลกช่วยให้ Pandora ไม่ได้เป็นเพียงแบรนด์เครื่องประดับอีกหนึ่งแบรนด์ แต่เป็นแบรนด์ที่สามารถสร้างความผูกพันทางอารมณ์กับลูกค้าได้อย่างลึกซึ้ง แฟนคลับไม่ได้เพียงแค่ซื้อชาร์มหรือสร้อยข้อมือ แต่พวกเขากำลังครอบครองเรื่องราวและความทรงจำที่มีความหมายสำหรับตัวเอง และนี่คือสิ่งที่ทำให้ Pandora แตกต่างและยังคงเป็นที่รักของผู้คนทั่วโลก

6. สร้าง Moment Concept ความทรงจำที่สวมใส่ได้

เครื่องประดับของ Pandora ไม่ใช่แค่เครื่องประดับทั่วไป แต่เป็นชิ้นส่วนของเรื่องราว เป็นเสี้ยวหนึ่งของความทรงจำที่ผู้สวมใส่พกพาไปได้ทุกที่ นี่คือเสน่ห์ของชาร์มอันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์—ทุกชิ้นมีความหมายในตัวเอง บางชิ้นอาจแทนความรักอันลึกซึ้ง บางชิ้นอาจเป็นตัวแทนของการเดินทางครั้งสำคัญ หรือเป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจ

Pandora เข้าใจถึงความสำคัญของอารมณ์ที่เชื่อมโยงกับเครื่องประดับ จึงพัฒนาแนวคิด moment concept ที่เปลี่ยนชาร์มให้เป็นมากกว่าเครื่องประดับแฟชั่น แต่เป็น ‘ไดอารี่แห่งความทรงจำ’ ในรูปแบบที่สวมใส่ได้ เช่น หัวใจสีแดงอาจบ่งบอกถึงความรักที่เบ่งบาน เครื่องบินเล็กสะท้อนถึงการเดินทางที่ไม่มีวันลืม หรือหมวกปริญญาเป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จที่หมั่นเพียรไขว่คว้า นอกจากนี้ Pandora ยังออกแบบชาร์มตามเทศกาลสำคัญ เช่น ตรุษจีน คริสต์มาส หรือวันวาเลนไทน์ เพื่อให้ผู้คนสามารถบันทึกช่วงเวลาพิเศษเหล่านั้นผ่านเครื่องประดับได้

7. สะสมความทรงจำผ่านชาร์ม Pandora จากทุกประเทศ

สำหรับนักสะสมตัวจริง หากเดินเข้าไปในร้าน Pandora แต่ละประเทศ จะพบว่ามี Charm ดีไซน์พิเศษที่หาซื้อได้เฉพาะในประเทศนั้นๆ เท่านั้น เปรียบเสมือนของที่ระลึกสุดพิเศษที่มีเพียงแห่งเดียวในโลก

ที่สิงคโปร์ คุณจะพบกับชาร์มรูปเมอร์ไลออน สัญลักษณ์ของเมืองแห่งสิงโต ที่ญี่ปุ่นมีชาร์มดอกซากุระที่สะท้อนถึงฤดูใบไม้ผลิอันงดงาม ส่วนไทยก็มีชาร์มรูปช้าง ซึ่งเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมือง สื่อถึงความโชคดีและความสำเร็จ หรือถ้าหากคุณไปเยือนอิตาลี คุณอาจพบชาร์มรูปโคลอสเซียม ฝรั่งเศสมีชาร์ม หอไอเฟล อันเป็นสัญลักษณ์ของความโรแมนติก และบางประเทศอาจมีชาร์ม ลิมิเต็ดที่ได้แรงบันดาลใจจากแลนด์มาร์กสำคัญ เช่น วัดพระแก้วของไทย

นักเดินทางจำนวนมากเลือกสะสมชาร์มของ Pandora จากทุกประเทศที่เคยไปเยือน เปลี่ยนสร้อยข้อมือให้เป็น ‘บันทึกการเดินทาง’ ที่เต็มไปด้วยความทรงจำ และเรื่องราวในแต่ละช่วงชีวิต ไม่ใช่แค่สวมใส่เพื่อความสวยงาม แต่เป็นเครื่องประดับที่มีความหมายทางจิตใจ

นอกจากนี้ Pandora ยังออกคอลเลกชั่นพิเศษที่มีจำหน่ายเฉพาะในบางประเทศหรือช่วงเทศกาลสำคัญ เช่น ชาร์มเฉลิมฉลองวันชาติ ชาร์มเทศกาลตรุษจีน หรือรุ่นลิมิเต็ดในโอกาสพิเศษที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมท้องถิ่นโดยเฉพาะ ทำให้แต่ละชิ้นมีคุณค่า ไม่ใช่แค่เพราะเป็นเครื่องประดับ แต่เพราะเป็นตัวแทนของความทรงจำ

8. Phoenix กลยุทธ์ปลุกปั้นแบรนด์สู่การเติบโตระดับโลก

ในโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขันของธุรกิจเครื่องประดับ Pandora ได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าเป็นแบรนด์ที่ไม่หยุดนิ่งและพร้อมที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง เรื่องราวของ Pandora เริ่มต้นจากการสร้างสรรค์สร้อยข้อมือและชาร์มที่สะท้อนช่วงเวลาอันมีค่าของลูกค้า ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่สร้างคุณค่าและความผูกพันกับผู้บริโภคได้อย่างลึกซึ้ง

ในปี 2021 Pandora เปิดตัวกลยุทธ์ Phoenix เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจไปอีกขั้น ผ่าน 4 เสาหลัก ได้แก่

  • Brand การสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง โดยเน้นย้ำถึงความเป็นแบรนด์เครื่องประดับที่สามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการของลูกค้า และเป็นเครื่องประดับที่มีความหมายในทุกช่วงเวลาของชีวิต
  • Design สร้างสรรค์เครื่องประดับที่มีดีไซน์หลากหลาย น่าสนใจ และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม
  • Personalization เปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถเลือกและผสมผสานเครื่องประดับได้อย่างอิสระ เพื่อสร้างสรรค์เครื่องประดับที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง
  • Core Market การขยายตลาดหลักเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าหลักที่มีความสนใจในเครื่องประดับและมีความพร้อมที่จะซื้อสินค้า เช่น สหรัฐอเมริกาและจีน

ผลลัพธ์จากกลยุทธ์นี้ทำให้ Pandora เติบโตต่อเนื่อง โดยในปี 2023 ยอดขายเพิ่มขึ้น 8% และมีรายได้กว่า 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

9. Pandora Lab-Grown Diamonds นวัตกรรมเพชรแห่งอนาคตที่ยั่งยืน

หากพูดถึงเพชร เรามักนึกถึงอัญมณีสุดล้ำค่าที่เปล่งประกายงดงาม และเป็นสัญลักษณ์ของความหรูหรา แต่ Pandora กำลังเปลี่ยนนิยามของเพชรไปอีกขั้น ด้วย Lab-Grown Diamonds หรือเพชรที่ปลูกในห้องปฏิบัติการ ซึ่งไม่เพียงแต่สวยงามเหมือนเพชรธรรมชาติ แต่ยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

การผลิตเพชรจากห้องแล็บของ Pandora ใช้เทคโนโลยี chemical vapor deposition (CVD) ซึ่งเลียนแบบกระบวนการเกิดขึ้นของเพชรธรรมชาติ แต่ทำได้ในสภาพแวดล้อมที่ควบคุมได้อย่างสมบูรณ์ โดยใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ส่งผลให้ได้เพชรที่ไร้มลพิษ ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 95% เมื่อเทียบกับเพชรจากเหมือง นอกจากนี้ตัวเรือนของเครื่องประดับยังใช้เงินและทองรีไซเคิล 100% ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายความยั่งยืนของ Pandora ที่มุ่งใช้โลหะรีไซเคิลทั้งหมดภายในปี 2025

ที่สำคัญ Lab-Grown Diamonds จาก Pandora ไม่เพียงแต่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แต่ยังมีราคาที่จับต้องได้มากขึ้น โดยมีต้นทุนเพียง 1 ใน 3 ของเพชรจากเหมือง ทำให้ผู้บริโภคสามารถสวมใส่เพชรได้ในทุกๆ วัน ไม่ใช่แค่ในโอกาสพิเศษ

สุดท้ายเรื่องราวทั้งหมดของ Pandora แบรนด์เครื่องประดับที่เติบโตจากร้านเล็ก ๆ ในเดนมาร์กจนโด่งดังไปทั่วโลก ความสำเร็จของแพนดอร่ามาจากการที่เครื่องประดับของแบรนด์สามารถเข้าถึงได้ง่ายและผู้สวมใส่สามารถเลือกเครื่องประดับที่สะท้อนถึงความเป็นตัวเองได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสร้อยข้อมือชาร์มที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของแบรนด์

กลยุทธ์ต่างๆ ที่ใช้ทำให้แพนดอร่าสามารถนำเสนอเครื่องประดับคุณภาพสูงในราคาที่จับต้องได้ นอกจากนี้แพนดอร่ายังให้ความสำคัญกับความยั่งยืน โดยใช้ Lab-Grown Diamonds ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้เครื่องประดับของแพนดอร่าไม่เพียงแต่สวยงาม แต่ยังเต็มไปด้วยเรื่องราว ความหมาย และความรับผิดชอบต่อโลก

ข้อมูล

‘โกลเด้นรีทรีฟเวอร์’ จากหมาเหลืองตกเกรด ถูกเพาะพันธุ์ในคฤหาสน์ สู่สุนัขผู้นำการเมือง

ทุกวันนี้แทบไม่มีใครไม่รู้จักเจ้าหมาสีทองสุดแสบอย่างโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ ชนิดที่ถ้าใครฝันจะมีบ้านสักหลัก มีครอบครัวเล็กๆ เชื่อว่าในภาพฝันนั้นน่าจะต้องมีเจ้าหมาสีทองนี้เป็นสมาชิกในครอบครัว  

เจ้าโกลเด้นดูเหมือนจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่กับครัวเรือนของเรามาอย่างเนิ่นนาน ทว่าถ้าเรามองย้อนไปสัก 20-30 ปี เจ้าสี่ขาหมาน้อยประจำบ้านอาจจะยังไม่มีภาพโกลเด้นรีทรีฟเวอร์แต่เป็นภาพเยอรมันแชปเพิร์ดหรือหมาใหญ่พันธุ์อื่นๆ หลายบ้านอาจจะมีบีเกิล มีดัลเมเชียน และแน่นอน หลายยุคในบ้านขนาดย่อมลงมาหน่อย ก็มักจะเลี้ยงหมาเล็กกว่านั้นเช่นพูเดิลหรือชิห์สุ 

เจ้า ‘สุนัขสายพันธุ์ยอดนิยม’ จึงค่อนข้างสัมพันธ์กับยุคสมัย 

ถ้าเรามองช่วงเวลาของหมายอดฮิตจากการจัดอันดับของสมาคมผู้เลี้ยงสุนัขซึ่งเริ่มจัดอันดับสุนัขยอดฮิตพร้อมๆ กับความนิยมในการเลี้ยงสุนัขอย่างเป็นกิจจะลักษณะ มีการจัดการสายพันธุ์และการประกวด เราก็จะเห็นลำดับหมายอดนิยมซึ่งตั้งแต่ทศวรรษ 1910 เรื่อยมานั้นยังไม่มีเจ้าสุนัขกลุ่มรีทรีฟเวอร์ 

กระทั่งช่วงทศวรรษ 1990 ใกล้จะปี 2000 เจ้าโกลเด้น ถึงจะเริ่มเฉิดฉาย ด้วยขนสีทอง อุปนิสัยอันน่ารัก ใจเย็น และรักเด็กซึ่งสัมพันธ์กับการเป็นสัตว์เลี้ยงในบ้านโดยเฉพาะชนชั้นกลางและความฝันอเมริกันในปัจจุบัน

ถ้าเราย้อนไปอย่างเร็วๆ เราก็อาจเริ่มเห็นถึงพลังของวัฒนธรรมและบริบท ซึ่งมาสัมพันธ์กับเจ้าหมาน้อยที่เราพบได้ในบ้านเรือน เช่นในทศวรรษ 1920 สุนัขที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือเยอรมันแชปเพิร์ด นอกจากแชปเพิร์ดแล้ว 

ในช่วงปี 1905-1935 ผู้ท้าชิงสำคัญคือสุนัขพันธุ์ไซบีเรียนฮัสกี้ สายพันธุ์ที่ทุกวันนี้ขึ้นชื่อว่าปัญญาอ่อนหนัก แต่ในทศวรรษดังกล่าว พวกมันมีบทบาทสำคัญในพื้นที่แถบขั้วโลกเหนือ เป็นสุดยอดเพื่อนที่ดีของมนุษย์ ในปี 1925 ถึงขนาดสร้างวีรกรรมลากเลื่อนไม่พักเพื่อนำส่งวัคซีนไปยังหมู่บ้านห่างไกล 

หลังจากนั้นนิดหน่อย ทศวรรษ 1950 เป็นเจ้าบีเกิลซึ่งมีชื่อเสียงจากสนูปปี้ สุดท้ายหนึ่งในสุนัขยอดฮิตยาวนานก็คือสุนัขพันธุ์พูเดิลซึ่งได้รับความนิยมตั้งแต่ทศวรรษ 1960 ยาวมาจนถึงทศวรรษ 1980 ทำให้บ้านเราเองที่ได้รับอิทธิพลการพัฒนาจากอเมริกา เด็กเจนฯ ซี ไม่ว่าจะเป็นบ้านคนไทยหรือคนไทยเชื้อสายจีน อากงอาม่า พ่อแม่ ป้าน้าของเรามักจะมีพูเดิลเลี้ยงในบ้านเสมอ ซึ่งพูเดิลเองเป็นที่นิยมในอเมริกา มีสินค้าที่เกี่ยวข้องเช่นตุ๊กตา กล่องดนตรี

จากที่กล่าวมาอย่างยืดยาว เราจะเริ่มเห็นบริบทที่น่าสนใจว่าหมาน้อยในครัวเรือนของเรามีรายละเอียดและบริบทวัฒนธรรมที่ส่งผลต่อเนื่องมาสู่ความนิยมของพวกมัน กลับไปที่เจ้าโกลเด้น ในแง่ของสายพันธุ์ โกลเด้นเป็นหมาที่แต่เดิม ‘ไม่เข้าลักษณะ’ ในกิจกรรมการเลี้ยงสุนัขซึ่งสมัยก่อนมักเลี้ยงไว้เพื่อล่าสัตว์ แต่โกลเด้นเป็นสุนัขที่มีขนสีทอง ใช้ล่าสัตว์ได้ไม่ดี แต่พวกมันก็มีคุณสมบัติที่ดีในการเป็นผู้ช่วยล่าของมนุษย์ 

แต่ทว่าเรื่องน่าสนใจของโกลเด้นคือพวกมันได้รับการเพาะพันธุ์ขึ้นในคฤหาสน์ในสกอตแลนด์ ก่อนที่จะค่อยๆ ได้รับการยอมรับและมาโด่งดังในอเมริกา เริ่มมีภาพของโกลเด้นที่สัมพันธ์กับการใช้สุนัขทางการทหาร การเป็นเพื่อนคู่กายของผู้นำประเทศ และการเป็นดาราใหญ่

คฤหาสน์ในสกอตแลนด์และหมาขนเหลืองที่ถูกทิ้ง

เวลาเราพูดถึงประวัติศาสตร์หรือที่มาโดยเฉพาะในเรื่องเล็กๆ หน่อยเช่นกิจกรรมการเลี้ยงสุนัข การพัฒนาสายพันธุ์สุนัข ในยุคเช่นร้อยปีหรือสองร้อยปีก่อน ใช้วิธีการรวบรวมหลักฐานต่างๆ ซึ่งบางส่วนเป็นเรื่องเล่า ไม่ได้มีข้อสรุปแน่นอนเป็นข้อเท็จจริง 

กรณีการพัฒนาสายพันธุ์โกลเด้นก็เช่นกัน เรื่องเล่ามาตรฐานมักจะให้เกียรติว่าเป็นผลงานของขุนนางท่านหนึ่งและการเพาะเลี้ยงขึ้นในคฤหาสน์กิซากาน (Guisachan) แปลว่าที่ของต้นเฟอร์ (the place of the firs) โดยขุนนางที่มีชื่อว่าลอร์ดทวีดเมาท์ หรือดัดลีย์ คูตส์ มาร์ชแบงก์ส (Dudley Coutts Marjoribanks) 

แต่ก่อนเชื่อว่าท่านลอร์ดซื้อสุนัขมาจากคณะละครสัตว์และประทับใจในการล่าสัตว์ของมัน ท่านลอร์ดจึงนำไปผสมกับสุนัขพันธุ์บลัดฮาวนด์ (Bloodhound) ที่มีสีทรายทำให้เป็นบรรพบุรุษของโกลเด้น 

ตำนานดังกล่าวถูกเล่าอย่างพร่าเลือนมาจนถึงทศวรรษ 1950 เรื่องราวการผสมพันธุ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ตัวแรกจึงได้รับการเปิดเผยเมื่อมีการเผยแพร่บันทึกส่วนตัวของลอร์ดทวีดเมาท์ บันทึกเล่าถึงรายละเอียดการเพาะเลี้ยงสุนัขในรายละเอียดมากขึ้นว่าลอร์ดไปได้สุนัขสีเหลืองอ่อนมาจากช่างทำรองเท้าและเพาะพันธุ์จนกลายเป็นบรรพบุรุษสีทองของโกลเด้นทั้งปวงในเวลาต่อมา

ก่อนจะเปิดบันทึก ขอเล่าถึงภาพการเลี้ยงสุนัขในฐานะกิจกรรมของผู้มีอันจะกินในปลายศตวรรษที่ 19 ในยุคนั้นผู้มีอันจะกินมีกิจกรรมยามว่างในการเพาะและพัฒนาสายพันธุ์ สำหรับคฤหาสน์กิซาเกน เป็นคฤหาสน์นอกเมืองของตระกูลมาร์ชแบงกส์ เป็นพื้นที่สำคัญในการล่ากวางและล่าสัตว์ต่างๆ การเพาะเลี้ยงสุนัขจึงมักเป็นสุนัขเพื่อการใช้งานเฉพาะซึ่งคือการพัฒนาเพื่อใช้ในการล่าสัตว์

อันที่จริง สุนัขจำนวนมากที่เรารู้จัก ในยุคเฟื่องฟูของกิจกรรมการพัฒนาสายพันธุ์ค่อนข้างเกี่ยวข้องกับการล่าสัตว์ทั้งสิ้น แล้วแต่ว่าจะนำไปใช้ในการล่าอะไร เช่นสุนัขใหญ่จำพวกฮาวนด์ ถูกใช้ในการล่าตั้งแต่ครั้งโบราณที่พวกมันมีหน้าที่เข้าติดตามและขย้ำเหยื่อโดยตรง 

สุนัขกลุ่มรีทรีฟเวอร์หรือกลุ่มที่มีขนาดกลางลงมาค่อนข้างสัมพันธ์กับเกมการล่าที่ใช้ปืนยิง สุนัขเหล่านี้มีหน้าที่ตามกลิ่น ไล่สัตว์ และกลับไปคาบสัตว์ปีกทั้งหลายที่ถูกยิงตกแล้วกลับมาคืนเจ้านาย กระทั่งหมาน้อยขาสั้นเช่นดัชชุนก็ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อล่าสัตว์ตัวเล็กๆ ที่อยู่ตามพื้นท่ีเช่นกระต่ายป่าหรือใช้ดมกลิ่นติดตาม

สุนัขกลุ่มรีทรีฟเวอร์ได้รับการพัฒนาสายพันธุ์ในฐานะสุนัขล่ากลุ่ม ‘กัดไม่หนัก (soft mouths)’ เป็นสัตว์กินเนื้อที่มีแรงกัดปานกลาง เป็นสิ่งบ่งชี้ของการเข้าสังคม ฝึกเลี้ยงได้ จุดเด่นของสุนัขปากเบาประเภทนี้คือพฤติกรรมที่พวกมันมักจะงับ หยิบ และคาบสิ่งต่างๆ ไว้ ทำให้มนุษย์เรามาฝึกเลี้ยงเพื่อให้พวกมันไปนำสิ่งต่างๆ กลับมา ซึ่งก็สมกับชื่อกลุ่มสายพันธุ์คือ Retrieve ที่แปลว่านำกลับ ดึงกลับ ส่วนในการฝึกเลี้ยงนั้นก็นำมาซึ่งนิสัยอื่นๆ อย่างการชอบเอาอกเอาใจ ใจเย็น มีความอดทนอดกลั้นสูง เชื่อฟังคำสั่ง 

ทีนี้ กลับมาที่ลอร์ดทวีดเมาท์ บันทึกระบุว่าดัดลีย์ไปได้สุนัขรีทรีฟเวอร์สีเหลืองอ่อนมาจากช่างทำรองเท้าคนหนึ่ง ในตอนนั้นสุนัขรีทรีฟเวอร์มีการเลี้ยงและใช้ล่าสัตว์แล้ว แต่มีความเชื่อว่าสุนัขล่าสัตว์ที่ดีต้องมีสีเข้ม เช่นดำหรือน้ำตาลอมแดง อาจจะด้วยความคิดเรื่องการพรางตัวและความเชื่อต่างๆ ดังนั้น เราอาจอนุมานได้ว่า เจ้าสุนัขสีเหลืองอาจเป็นลูกสุนัขที่ถูกทิ้งขว้าง ไม่เป็นที่ต้องการ ซึ่งช่างรองเท้าก็อาจจะไปได้มาจากบ้านของผู้ดีสักคน

https://www.akc.org/expert-advice/lifestyle/7-things-you-didnt-know-about-the-american-water-spaniel/

นั่นคือจุดเริ่มตามบันทึก สุนัขสีเหลืองที่มีขนเป็นคลื่นสวยจากช่างรองเท้าได้ชื่อว่าเจ้า นูร์ (Nous) และท่านลอร์ดก็ได้นำไปผสมกับเจ้าเบล (Belle) สุนัขพันธุ์ Tweed Water Spaniel ซึ่งปัจจุบันสูญพันธุ์ไปแล้ว โดยลักษณะสุนัขกลุ่มสเปเนียล และการมีชื่อกลุ่ม Water เป็นสุนัขขนาดกลาง และมีคุณสมบัติว่ายน้ำเก่ง การผสมของสองสายพันธุ์ทำให้เกิดสุนัขล่าที่ทั้งมีขนเป็นคลื่นสวย ทั้งเชี่ยวชาญการล่าบนบกและในน้ำ เชื่อฟังคำสั่ง สุภาพเรียบร้อย เรียกได้ว่าครบครัน

สำหรับการสืบสายเลือดของเจ้านูร์และเบล ลูกหลานครอกแรกของพวกมันสามตัวคือครอคัส (Crocus) คาวสลิป (Cowslip) และพริมโรส (Primrose) ซึ่งถือกันว่าเป็นโกลเดนรีทรีฟเวอร์ชุดแรกของโลก

หลังจากนั้นการกระจายตัวของโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ ส่วนใหญ่เป็นการที่คฤหาสน์หรือทางตระกูลมาร์ชแบงก์สส่งต่อกันในครอบครัว หรือมอบให้เป็นของขวัญ เจ้าโกลเด้นในยุคแรกๆ ถือเป็นสุนัขพิเศษของครอบครัวที่สืบทอดหรือเป็นมิตรสหายของครอบครัวชนชั้นสูง

อันที่จริง ตรงนี้ก็มีข้อเสนอเช่นว่า ประวัติศาสตร์การพัฒนาโกลเด้นอาจซับซ้อนกว่านั้น เช่นการที่ภาพพิมพ์หรือนิตยสารก่อนปี 1865 ที่บันทึกว่าได้เจ้านูส์มา มีภาพสุนัขที่หน้าตาเหมือนรีทรีฟเวอร์ หรือสุนัขสายพันธุ์ใกล้เคียงที่มีสีเหลืองแล้ว เช่นภาพพิมพ์ในพระตำหนักบาลมอรัล ซึ่งเป็นภาพสุนัขที่มีฉากหลังที่น่าจะเป็นพระราชวังวินด์เซอร์พร้อมด้วยภาพของพระนางเจ้าวิคตอเรียและเจ้าชายอัลเบิร์ตพระสวามี 

ภาพพิมพ์เป็นสิ่งสะท้อนมิตรภาพของตระกูลมาร์ชแบงก์สและราชสำนักอังกฤษ ซึ่งตัวต้นฉบับภาพพิมพ์นั้นก็มาจากคฤหาสน์กิซากานนั่นแหละ ภาพดังกล่าวสะท้อนว่าคฤหาสน์อาจมีสุนัขสีเหลืองก่อนทศวรรษ 1840 ซึ่งก็อาจจะมีการนำมาผสมข้ามสายพันธุ์ด้วย

รวมถึงข้อสังเกตว่าในยุคนั้นมีกลุ่มสีที่เรียกว่ากลุ่มสีเหมือนตับ (liver colour) ซึ่งหมายถึงสีขนสุนัขที่หมายถึงสีน้ำตาลแบบกว้างๆ ซึ่งรวมถึงสีทองด้วย และต่อมาเจ้าสีโกลเด้นที่ว่าก็ดูจะครอบคลุมไปถึงสีเฉดออกแดง ตรงนี้ก็สัมพันธ์กับการแยกสายของลูกๆ ของเจ้านูร์ เช่น ลูกชายคนหนึ่งได้เจ้าครอคัสไป และมีสุนัขพันธุ์เซตเตอร์ (Setter) สีแดงเข้ม ซึ่งอาจอธิบายเฉดสีแดงเข้มได้ มีรุ่นหลานที่ได้ลูกๆ อีกครอกไปและนำไปเพาะพันธุ์ต่อที่ดอร์เซต (Dorset) เป็นอีกหนึ่งสายของโกลเด้นที่มีชื่อเสียง

กระทั่งการที่โกลเด้นเดินทางไปถึงอเมริกาก็สัมพันธ์กับการที่ลูกชายคนเล็กของลอร์ดชื่ออาร์ชี่ เดินทางมาตั้งถิ่นฐานทำฟาร์มที่เท็กซัส ซึ่งพาโกลเด้นน้อยมาหนึ่งตัวชื่อ ‘Sol’ มาเลี้ยงด้วย หลังจากนั้นอาร์ชี่เดินทางไปแคนาดาเพื่อรับตำแหน่งเลขานุการให้กับข้าหลวงซึ่งเป็นน้องเขย ตอนนั้นก็พาโกลเด้นเพศเมียอีกตัวไปยังแคนาดา ซึ่งสุดท้ายเจ้าโกลเด้นเพศเมียที่ชื่อเลดี้ก็กลับไปยังอังกฤษในทศวรรษ 1890 และผลิตลูกหลานต่อ

จากสุนัขขุนนาง สู่หมาที่ส่งสัญญาณในสื่อ

เจ้าโกลเด้นเริ่มกระจายตัวไปทั่วโลก มีการผลิตลูกหลาน มีฟาร์มและมีการกำหนดมาตรฐานสายพันธุ์ทั้งในอังกฤษและอเมริกาในราวทศวรรษ 1920-1930 คือได้ชื่อว่าเป็นโกลเด้นรีทรีฟเวอร์อย่างเป็นทางการ

จุดเปลี่ยนสำคัญของโกลเด้นคือเรื่องของสื่อ ในช่วงทศวรรษ 1920-1930 เป็นยุคซึ่งโลกคุกรุ่นไปด้วยสงคราม อิทธิพลหรือภาพของสุนัขในยุคนั้นสัมพันธ์กับพื้นที่ทางการทหารและการปกครอง หมาที่ได้รับความนิยมเป็นสุนัขอารักขา โดยเฉพาะเจ้าเยอรมันแชปเพิร์ดซึ่งทั้งนุ่มนวลและดุดัน ยุคหลังจากนั้นเล็กน้อยคือการมาถึงของสุนัขบ้านสำคัญคือเจ้าแลสซี่พันธุ์รัฟ คอลลี่ สุนัขดาราในหนัง Lassie Come Home เล่าเรื่องการเป็นเพื่อนคู่ใจของมนุษย์ในช่วงเวลาคับขันคือสงครามโลก

จากสุนัขสงครามและสุนัขบ้านที่จงรักภักดี สะท้อนความคิดเรื่องคุณธรรมที่สัมพันธ์กับการทหาร ในยุคสงครามเวียดนาม การใช้สุนัขรูปแบบใหม่นอกจากสุนัขอารักขา คือการใช้สุนัขประเภทตรวจสอบติดตาม (tracking dog) ซึ่งก็คือเจ้าหมาสายพันธ์ุรีทรีฟเวอร์ทั้งโกลเด้นและลาบราดอร์ ขึ้นมามีบทบาทสำคัญ และกลายเป็นสัตว์คู่ใจที่พบเห็นได้ในหน้าสื่อ

การเปลี่ยนแปลงของสุนัขใช้งานที่เพิ่มฟังก์ชั่น สอดคล้องกับอีกหลายมิติ แต่ในที่สุดในยุคสงครามเย็น ภาพของสุนัขที่อ่อนโยนขึ้น สง่างาม เป็นมิตร เชื่อฟัง ยิ่งได้รับความนิยมอย่างถล่มทลายเมื่อประธานาธิบดีของสหรัฐฯ มีโกลเด้นและลาบราดอร์เป็นสุนัขประจำทำเนียบ

เริ่มจากเจ้าลิเบอร์ตี้ โกลเด้นคู่ใจของประธานาธิบดี เจอรัลด์ ฟอร์ด (Gerald Ford) ในสมัยนั้นทำเนียบขาวและรัฐบาลเริ่มมีการใช้สื่อของตัวเองแล้ว ภาพของทำเนียบขาวมักปรากฏเจ้าลิเบอร์ตี้เป็นส่วนประกอบสำคัญของภาพการทำงานของประธานาธิบดี เป็นส่วนหนึ่งที่มีนัยความหมายทางการเมือง ทั้งยังทำให้พื้นที่การบริหารของอเมริกาดูเป็นมิตร และตอบสนองกับมวลชนด้วย

จากยุคประธานาธิบดีฟอร์ด โรนัลด์ เรแกน (Ronald Reagan) เป็นอีกหนึ่งประธานาธิบดีที่ใช้สื่อได้อย่างทรงพลัง เรแกนเองก็มักปรากฏตัวพร้อมกับโกลเด้นและลาบราดอร์อยู่ข้างกาย หลังจากนั้นบิล คลินตัน ก็มีเจ้าสุนัขสีทองเช่นกัน ในทศวรรษ 1980-1990 สองหมาเหลืองจึงเริ่มเข้าสู่สายตาและความนิยมของผู้คน เกิดเป็นดาราฮอลลีวูด ซีรีส์ซิตคอมสุดดังคือ Full House (ปลายทศวรรษ 1980) ก็มีโกลเด้นสุดน่ารักเป็นสมาชิกในครอบครัว หลังจากนั้นก็มีหนังเป็นของตัวเองคือ Air Bud (1997)

ภาพของโกลเด้นมีความซับซ้อนซึ่งเติบโตไปกับการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม กระทั่งการเมืองอเมริกาและการเมืองโลก การเติบโตของโกลเด้นสัมพันธ์กับการเติบโตของกลุ่มชนชั้นกลาง โกลเด้นและลาบราดอร์เป็นสุนัขกลุ่มที่ ‘ไม่กัด’ เป็นมิตร พวกมันเติบโตขึ้นพร้อมกับวิถีชีวิตของชนชั้นกลางอเมริกัน การมีบ้านขนาดกะทัดรัดในชานเมือง ความเป็นมิตร รักเด็ก ซื่อสัตย์ เชื่อฟัง ขนาดที่กำลังพอเหมาะกับครอบครัวเดี่ยว 

ความสวยงามของพวกมันเช่นท่าทาง ขนสีทองเป็นที่จับตาและใช้ในสื่อและโฆษณาจนกลายเป็นระดับไอคอนของทีวีและสื่ออเมริกัน คู่เปรียบสำคัญของโกลเด้นคือพิตบูลล์ซึ่งมีนัยทางวัฒนธรรมตรงข้ามกัน พอเทียบกันเราก็พอจะเห็นภาพมิติทางวัฒนธรรมของชนชั้นกลางที่มีระเบียบเรียบร้อยอยู่ในความฝันอเมริกันชานเมือง กับอีกยุคที่พิตบูลล์จะเป็นสัตว์เลี้ยงดุดันที่ชนชั้นกลางที่ตั้งอกตั้งใจทำงานไม่เลือกที่จะเลี้ยง

ความเฟื่องฟูขึ้นของโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ได้รับการนิยามว่าเป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมที่สำคัญอย่างหนึ่ง นอกจากในอเมริกาที่ขยายตัวมาจนถึงบ้านเราแล้ว ในพื้นที่การเมืองเช่นที่อินเดียเองประวัติศาสตร์การขยายตัวของโกลเด้นก็สัมพันธ์กับการเป็นอาณานิคมของอังกฤษ 

การที่เจ้าชายและมหาราชาเริ่มเพาะพันธุ์พวกมันเพื่อใช้ในการล่าสัตว์ พวกโกลเด้นที่ดินแดนภารตะได้รับคำยกย่องจากพลังงานอันเหลือล้น การไล่นกเป็ดน้ำได้อย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย การวิ่งตะลุยไปในบึงโคลนได้ทั้งวันทั้งคืน ภายหลังพวกมันก็เป็นเพื่อนตัวโปรดในพื้นที่แถวหน้าทางการเมืองด้วยเช่นการเป็นสุนัขตัวโปรดของนางอินทิรา คานธี

สุดท้ายเจ้าโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ เป็นอีกหนึ่งตัวแทนหมู่บ้านจากสายพันธุ์ที่ได้รับการพัฒนามาอย่างยาวนานและสอดคล้องกับบริบทในขณะนั้น จากบทบาทการร่วมไล่และล่านก เป็ด ไก่ฟ้า ถึงยุคสมัยของการทำงานในสงครามเวียดนาม และการที่ขนสีทอง ความใจดี และท่าทีภูมิฐานแต่ร่าเริงของมันกลายเป็นตัวแทนหนึ่งของบ้านและของครอบครัวอันอบอุ่นปลอดภัย

ความสำคัญของโกลเด้นจึงค่อนข้างมีความซับซ้อน และแน่นอนว่าพวกมันก็ไปสัมพันธ์กับเศรษฐกิจอีกหลายมิติ ทั้งการเป็นสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยม กิจการฟาร์ม บางที่เจ้าโกลเด้นช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยว พวกมันนำไปสู่การเป็นดาราหน้ากล้อง ขับเคลื่อนค่านิยมบางอย่างแบบอเมริกัน นำไปสู่การเติบโตของตลาดสินค้าที่เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง เป็นดาราโฆษณา และแน่นอน เป็นตัวแสบในบ้านที่คุณจะคิดถึงมันทุกวัน

อ้างอิงข้อมูลจาก

ผ่านพ้นไปแล้วกับงาน Creative House by CEA: Creativity x Business ที่จัดขึ้นใน Bangkok Design Week 2025

งานนี้เกิดจากความมุ่งมั่นของสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) ที่ต้องการนำพาผู้ประกอบการไทยก้าวข้ามความท้าทายของการแข่งขันในตลาดโลก ในปีที่ผ่านมา CEA ได้พาผู้ประกอบการไทยไปแสดงสินค้าในงานระดับนานาชาติกว่า 10 เมืองทั่วโลก ด้วยแนวคิด Creativity x Business ที่สะท้อนถึงการผสมผสานศิลปะและกลยุทธ์ธุรกิจเข้าด้วยกัน กิจกรรมนี้จึงไม่เพียงเน้นการแสดงออกถึงศักยภาพของสินค้าไทย แต่ยังมุ่งเน้นการสร้างเครือข่ายธุรกิจ และเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

นอกจากเวิร์กช็อป เสวนา และกิจกรรม Show & Shop ที่เปิดให้ช้อปสินค้าจากผู้ประกอบการที่มาจัดแสดงผลงานแล้ว ครั้งนี้ยังมีกิจกรรม business matching ที่มีผู้ประกอบการ นักออกแบบ และองค์กรต่างๆ มาร่วมเจรจาธุรกิจ แลกเปลี่ยนมุมมอง และขยายเครือข่ายระหว่างกัน

นี่จึงคืออีกหนึ่งความสำเร็จในการเชื่อมโยงระหว่างผู้ประกอบการและเครือข่ายใหม่ๆ ที่ช่วยขยายธุรกิจและสร้างการเติบโต ทั้งในระดับประเทศและระดับสากล ไม่เพียงแต่เกิดการเจรจา แต่ยังเป็นการเปิดประตูสู่การสร้างพันธมิตรใหม่ๆ ที่พร้อมผลักดันสินค้าและบริการของไทยสู่ตลาดโลกด้วยความโดดเด่นจากซอฟต์พาวเวอร์ที่เป็นเอกลักษณ์อีกด้วย

ทำธุรกิจกับหุ้นส่วนยังไง ให้ธุรกิจไม่เจ๊ง ความสัมพันธ์ไม่จบ

หลายต่อหลายครั้งที่ต้องเห็นร้านโปรดที่เราชอบ แบรนด์โปรดที่เรารักต้องปิดตัวลง ด้วยหนึ่งเหตุผลสุดคลาสสิก อย่างการมีปัญหากับหุ้นส่วน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทะเลาะเบาะแว้ง หรือผลประโยชน์ที่ไม่ลงรอยกัน โดยเฉพาะการร่วมหุ้นกับคนสนิท ที่มักจะมีคำเตือนไว้บนตำราของคนทำธุรกิจว่า ‘ถ้าไม่อยากให้ทั้งธุรกิจและความสัมพันธ์มีปัญหา อย่าทำธุรกิจกับเพื่อนหรือแฟน’

ถึงขนาดมีการศึกษาจาก Harvard Business School พบว่าบริษัทที่ก่อตั้งโดยกลุ่มเพื่อน เป็นองค์กรที่มีความมั่นคงน้อยที่สุด และมีผู้ก่อตั้งตัดสินใจลาออกจากบริษัทตัวเองเพราะผิดใจกับหุ้นส่วนเกือบ 30% แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีการสำรวจพบว่าธุรกิจที่มีหุ้นส่วนกว่า 40% มักเริ่มจากการเป็นเพื่อนหรือแฟนกันมาก่อนที่จะเริ่มทำธุรกิจด้วยกัน

แม้ผลสำรวจจะเป็นเช่นนั้นก็ไม่ได้ฟันธงว่าการที่คุณเป็น 60% ที่ทำธุรกิจหุ้นกับคนไม่รู้จักจะทำให้ธุรกิจไปได้สวยเสมอไปเพราะเมื่อลงเรือลำเดียวกัน แล้วพายไปในน่านน้ำที่เรียกว่าการทำธุรกิจ ย่อมเจอกับคลื่นปัญหาซัดผ่านเข้ามาเสมอ ทั้งในเรื่องการแบ่งบทบาทหน้าที่ ความคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน ไปจนกระทั่งเรื่องเงิน ที่อาจทำให้พายเรือไปได้ไม่ตลอดรอดฝั่ง จนดับฝันคนทำธุรกิจไปเลยก็ว่าได้

แต่ถึงอย่างไรก็ใช่ว่าธุรกิจแบบมีหุ้นส่วนจะเกิดปัญหาเสมอไป ในอีกมุมหนึ่งหุ้นส่วนก็เหมือนจิ๊กซอว์ที่เข้ามาเติมเต็มในส่วนที่ขาดหายไป ดังนั้นหากตั้งลำเรือในการเลือกหุ้นส่วนที่ใช่ตั้งแต่ต้น ทำข้อตกลง แบ่งผลประโยชน์กันชัดเจน ไปจนถึงเตรียมพร้อมหากวันหนึ่งเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ผิดใจกันในเรื่องฉ้อโกงหรือผลประโยชน์ไม่ลงตัว เทคนิคเหล่านี้ย่อมช่วยลดโอกาสที่ทำให้ธุรกิจเจ๊ง ความสัมพันธ์จบได้อีกทางหนึ่ง

#คำถามสำคัญก่อนเริ่มทำธุรกิจร่วมกัน

1. หุ้นส่วนมองเป้าหมายเดียวกันกับคุณหรือไม่

ย่อมเป็นธรรมดาที่คนทำธุรกิจร่วมกันจะมีความเห็นต่าง แต่ต้องไม่ใช่กับการมองเป้าหมายที่ต่างกัน เพราะเป้าหมายถือเป็นเข็มทิศสำคัญเพื่อกำหนดว่าธุรกิจควรเติบโตไปในทิศทางไหน โดยธุรกิจสตาร์ทอัพระดับโลกทุกองค์กรมักแนะนำให้มองหาหุ้นส่วนที่เป็นแบบ vision driven หรือมีวิสัยทัศน์ในการกำหนดเป้าหมายให้ธุรกิจขับเคลื่อนไปข้างหน้ามากกว่าคนที่เป็นแบบ money driven หรือมองเรื่องเงินเป็นตัวตั้ง สามารถจับสังเกตได้ผ่านการพูดคุยว่าเขาเน้นพูดเรื่องเป้าหมายและเสนอไอเดีย มากกว่าเรื่องผลตอบแทนที่เขาจะได้รับหรือไม่

2. หุ้นส่วนมีทักษะที่ช่วยเติมเต็มซึ่งกันและกันหรือไม่

ไม่เพียงแต่หุ้นส่วนจะมาร่วมลงทุนในเรื่องของเงินเท่านั้น แต่เป็นการนำความสามารถและความเชี่ยวชาญของแต่ละคนมาเติมเต็มในส่วนที่บริษัทยังขาดหายไป เช่น บางคนเก่งเรื่องบัญชีและตัวเลข บางคนเก่งเรื่องการตลาด บางคนเก่งเรื่องงานดีไซน์ ก็สามารถดึงจุดเด่นของแต่ละคนมาส่งเสริมธุรกิจร่วมกันได้

3. หุ้นส่วนสามารถแยกแยะและแบ่งบทบาทได้ชัดเจนหรือไม่

ถ้าเป็นหุ้นส่วนที่เป็นเพื่อนหรือแฟน ยิ่งต้องไม่เอาเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัวมาปะปนกับเรื่องงาน และขีดเส้นให้ชัดเจนในเวลางานว่าเป็น ‘หุ้นส่วนทางธุรกิจ’ เพื่อขจัดความไม่กล้าพูด ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น เปลี่ยนเป็นพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมา ภายใต้ความคิดเดียวกันว่าอยากให้ธุรกิจเดินต่อไปข้างหน้า

และในเมื่อหาหุ้นส่วนที่ทักษะเฉพาะทางที่แตกต่างกันแล้ว ก็ควรทำสัญญาตกลงกันเป็นลายลักษณ์อักษร ถึงบทบาทหน้าที่ของหุ้นส่วนแต่ละคน ว่าใครบริหารงานส่วนไหน ต้องทำอะไรบ้าง และต้องให้อำนาจสิทธิขาดตามหน้าที่ที่แบ่งหน้ากันไว้ ไม่เข้าไปก้าวก่ายซึ่งกันและกันโดยไม่จำเป็น แต่หากเกิดปัญหาที่ยากจะแก้ไขด้วยตัวคนเดียว ก็ให้หันหน้าคุยกันด้วยเหตุผล สลับกันเป็นผู้พูด และผู้ฟัง เพื่อฝ่าฟันปัญหาไปได้อย่างราบรื่นและธุรกิจดำเนินไปได้อย่างลงตัว

4. หุ้นส่วนมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นหรือไม่

ในการทำธุรกิจร่วมกันจะขาดความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นหรือ empathy ไม่ได้เลย เพราะหากเกิดปัญหาแล้วเอาแต่สาดโคลนใส่กัน ขาดความเห็นใจและไม่พยายามช่วยกันแก้ไขปัญหา ย่อมไม่สามารถก้าวผ่านอุปสรรคต่างๆ ไปได้

แม้แต่ สัตยา นาเดลลา (Satya Nadella) CEO ของ Microsoft ยังมองหาหุ้นส่วนและพัฒนาองค์กรให้เต็มไปด้วย Empathy Skills และแอนดรูว์ วอลล์บริดจ์ (Andrew Wallbridge) หัวหน้าฝ่ายทักษะความเป็นผู้นำและการจัดการของ TSW ยังแนะนำว่านอกจากจะมีกลุ่มผู้นำในองค์กรที่ตัดสินใจเฉียบคม มีวิสัยทัศน์เฉียบแหลมแล้ว การมีความเห็นอกเห็นใจย่อมทำให้การบริหารองค์กรและทีมงานเต็มไปด้วยความราบรื่นอีกด้วย

5. หุ้นส่วนจะไม่ดึงบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องมาแทรกแซงธุรกิจใช่หรือไม่

ไม่เพียงแต่หุ้นส่วนที่ทะเลาะกันจนทำให้ธุรกิจต้องปิดตัวลงเท่านั้น บางทีก็มีบุคคลที่สาม ที่สี่ หรือผู้ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับธุรกิจเข้ามาแทรกแซง ก็เป็นมือมืดที่ทำให้ธุรกิจไปต่อได้ยาก โดยเฉพาะการทำธุรกิจกับคนสนิท ที่อาจมีแฟนของเพื่อน พ่อแม่ของแฟนเข้ามามีส่วนในการตัดสินใจจากการที่หุ้นส่วนหันไปปรึกษาคนเหล่านั้น เพราะฉะนั้นจะต้องตกลงกันตั้งแต่ต้นว่าต่อให้เราสนิทกับหุ้นส่วนและครอบครัวของเขาแค่ไหน ก็จะไม่ดึงบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับธุรกิจโดยเด็ดขาด

#แบ่งหุ้นยังไงให้ไม่ผิดใจกัน

อย่างที่รู้กันว่า ‘เรื่องเงิน’ เป็นอาวุธที่คมที่สุดในการตัดความสัมพันธ์และทำให้ธุรกิจพังไม่เป็นท่ามานักต่อนัก จึงควรตกลงแบ่งหุ้นส่วนกันให้ชัดเจนตั้งแต่เริ่มต้น โดยทั่วไปหากเป็นหุ้นส่วนที่เริ่มก่อตั้งธุรกิจด้วยกันมา มักนิยมแบ่งหุ้นกันคนละครึ่ง เช่น มีหุ้นส่วน 2 คน แบ่งคนละ 50-50 มีหุ้นส่วน 4 คนแบ่งคนละ 25% ในแง่ของผลตอบแทนการแบ่งเท่ากันดูแฟร์กับทุกฝ่าย แต่ในสิทธิการบริหารงาน ไม่สามารถแบ่งคนละครึ่งได้ชัดเจนขนาดนั้น จำเป็นต้องให้อำนาจการตัดสินใจเด็ดขาดที่คนใดคนหนึ่ง ซึ่งควรเป็นคนที่ถือหุ้นมากที่สุด

สามารถคำนวณเปอร์เซ็นต์การถือหุ้นได้จากการลงทุนที่แบ่งเป็น 3 ประเภทหลักๆ คือ

1. คนลงเงิน หมายถึง คนที่ลงทุนด้วยเม็ดเงินอย่างเดียว ไม่ได้เข้ามาบริหารงานมากนัก สามารถคำนวณเปอร์เซ็นต์ได้จากเงินที่นำมาลงทุนได้เลย

2. คนลงแรง นับรวมทั้งลงแรงกายและแรงสมอง สามารถคำนวณได้จากการคิดออกมาเป็นค่าแรงในระยะเวลาหนึ่ง เช่น ค่าแรงต่อเดือน ค่าแรงต่อปี

สมมติธุรกิจหนึ่งมีหุ้นส่วน 2 คน คนแรกลงเงินจำนวน 700,000 บาท สำหรับเป็นต้นทุนดำเนินธุรกิจ 1 ปี คนที่ 2 ลงแรงบริหารงานทุกส่วนคิดเป็นค่าแรง 300,000 บาทต่อปี สัดส่วนการลงทุนจะเป็น 70% และ 30% ตามลำดับ แต่หากในอนาคตมีการลงทุนเพิ่มเติมหรือมีหุ้นส่วนเพิ่มขึ้น ก็สามารถคำนวณปรับลดส่วนแบ่งกันได้ 

#ในวันที่ถูกหุ้นส่วนโกงควรทำยังไง

ฝันร้ายที่ไม่มีคนทำธุรกิจคนไหนอยากให้เกิดขึ้น ซึ่งสามารถเตรียมพร้อมรับมือเผื่อเกิดเหตุการณ์นี้เข้าสักวัน ดังขั้นตอนตามนี้

1. รวบรวมหลักฐานที่ชัดเจน เช่น บัญชีรายรับ-รายจ่ายที่ผิดปกติ หลักฐานการโอนเงินเข้าบัญชีส่วนตัว สัญญาที่มีการปลอมแปลง ข้อความหรือแชตที่มีเนื้อหาเชื่อมโยงกับการฉ้อโกง

2. นำหลักฐานไปพูดคุยกับหุ้นส่วน ถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นความเข้าใจผิดหรือมีเหตุผลที่ทำให้เกิดการกระทำไม่ดี เพื่อไกล่เกลี่ยกันให้ลงตัว สามารถให้หุ้นส่วนที่เป็นฝ่ายผิดชดใช้ค่าเสียหายหรือออกจากการเป็นหุ้นส่วนได้

3. หากการพูดคุยไม่เป็นผล คงต้องพึ่งกระบวนการยุติธรรม โดยฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง หรือฟ้องคดีอาญา ขึ้นอยู่กับพฤติการณ์และความเสียหายที่เกิดขึ้น

อย่างไรก็ตามขอเน้นย้ำว่าการทำธุรกิจแบบมีหุ้นส่วนไม่ได้เต็มไปด้วยข้อเสียหรือข้อควรระวังเท่านั้น เพราะยังมีอีกหลายธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจากการมีหุ้นส่วนที่ดี จากการเลือกหุ้นส่วนที่ใช่ ตกลงการทำงานร่วมกันอย่างลงตัว และแบ่งผลประโยชน์อย่างชัดเจน จนประคับประคองธุรกิจให้รอดและรุ่งไปตลอดรอดฝั่ง

ที่มา

การปั้นเพจให้ทะยานแบบ ‘ทอย DataRockie’ ที่ยึดหลักสอนฟรี 99% ขาย 1% เพื่อขับเคลื่อนการศึกษา

จะมีสักกี่คนที่บอกว่าการ ‘แจกของฟรี 99% + ขาย 1%’ คือหลักการทำธุรกิจที่เมคเซนส์ที่สุด ทอย–กษิดิศ สตางค์มงคล หรือที่หลายคนรู้จักกันในนาม ‘แอดทอย’ คือเจ้าของเพจ DataRockie ที่ทำคอนเทนต์สอนด้านสถิติ, data science, การเขียนโปรแกรมเบื้องต้น ฯลฯ ไปจนถึงแชร์เคล็ดลับการเป็นสุดยอด ‘มนุษย์เป็ดโปร’ (generalist), ปรัชญาการสร้างธุรกิจด้วยตัวคนเดียว (one- person business) และความชื่นชอบส่วนตัวด้านปรัชญาสโตอิก (stoic)

เบื้องหลังจักรวาลความสนใจอันมากมายและลงลึกของแอดทอยคือความคิดลึกซึ้งที่หมั่นแจกคอนเทนต์และคอร์สฟรีจนนักเรียนเขิน ขายคอร์สคุณภาพด้วยราคาถูกมากจนเกินคำว่าคุ้ม ไปจนถึงแจกทุนฟรีไม่อั้นให้คนที่อยากเรียนแต่ไม่มีเงินทุน ด้วยความเชื่อที่ว่าการศึกษาเป็นสิ่งที่ควรทำให้เข้าถึงทุกคนให้ได้มากที่สุด และอยากให้ใครก็ตามที่รักเรียนได้มีโอกาสเรียนตามสโลแกนของเพจคือ ‘เรียนจนต้องร้องขอชีวิต’ 

หลังจากก้าวเข้าสู่วงการคอนเทนต์ครีเอเตอร์ด้วยการเปิดเพจ DataRockie ตั้งแต่ 9-10 ปีที่แล้ว ทุกวันนี้มักเห็นโพสต์ของ ‘แอดทอย’ เป็นไวรัลและมีคนแชร์ล้นหลามผ่านตาอยู่บ่อยครั้ง จนเจ้าตัวบอกว่า สิ่งที่ชอบที่สุดในการทำเพจ DataRockie คือการโตแบบออร์แกนิก โดยตั้งแต่เริ่มทำโมเดลธุรกิจการศึกษาเป็นต้นมา ก็ไม่เคยยิงโฆษณาอีกเลย และยังได้รับโอกาสใหม่ให้ไปสอนในหลายบริษัทจากการมีคอมมิวนิตี้ผ่านแฟนเพจและมีนักเรียนที่ช่วยกันบอกต่อเพราะประทับใจในเนื้อหาคุณภาพ  

“DataRockie ในตอนนี้ stand for ใครก็ตามที่อยากจะเก่งขึ้นทุกวัน เราไม่ได้มองว่าเป็นเพจแล้ว แต่เป็นคอมมิวนิตี้” แอดทอยบอกว่าการทำเพจมาใกล้ครบ 10 ปีแล้วทำให้ต้องพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นทุกวัน เพราะไม่สามารถเล่าเรื่องเดิมซ้ำได้ตลอด และแม้จะเป็นคนมีวินัยและรักการพัฒนาตัวเองมาก แต่ทุกวันนี้กลับไม่ได้ตั้งเป้าหมายว่าอยากให้เพจเติบโตแค่ไหน และยังเป็นคนที่ชอบ play safe ที่สุด

นับเป็นครั้งแรกของคอลัมน์ ‘Play Risk’ ที่เจอผู้ประกอบการผู้สามารถสร้างธุรกิจให้เติบโตและบอกว่าไม่ชอบความเสี่ยงใดๆ เลย ซึ่งเป็นเหตุผลที่เราอยากชวนแอดทอยมาพูดคุยกันในวันนี้  

ย้อนกลับไป Day 1 คุณเริ่มต้นเส้นทางทำธุรกิจด้วยตัวคนเดียวได้ยังไง

หลังเรียนจบปริญญาโท เรามีทักษะหนึ่งที่คนไทยหลายคนยังทำไม่เป็นคือการใช้ SPSS (Statistical Package for the Social Science) ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ สมัยก่อนเด็กปริญญาตรี ปริญญาโทที่เรียนจบสายสังคมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ มาร์เก็ตติ้งจะต้องทำงานวิจัยเป็นเล่มจบ แล้วมันก็มี pain point ว่าคนเรียนวิชานี้มาน้อยมาก ในมหาวิทยาลัยไม่ได้สอนเท่าไหร่ คนส่วนใหญ่ต้องไปจ้างคนทำให้ ก็เลยมีดีมานด์ค่อนข้างเยอะแต่ซัพพลายมีน้อย 

เราก็เลยเปิดเว็บไซต์ง่ายๆ ขึ้นมาเป็นหน้า landing page หน้าหนึ่ง ใช้ google site ทำ สมัยนั้นทำเว็บไซต์ไม่เป็นเลย ก็เดินไปร้านหนังสือ อ่านวิธีการเองเแล้วกลับมาทำที่ห้อง ลูกค้าเราก็จะมาจากกูเกิลเลยเพราะเราซื้อโฆษณากูเกิล ตอนนั้นมีความเชื่อแบบเด็กๆ ว่าถ้าใช้โปรดักต์ของกูเกิล กูเกิลน่าจะชอบเว็บไซต์นี้แล้วก็จะช่วยดันคอนเทนต์เราขึ้นมาโดยที่ตอนนั้นยังไม่รู้จัก SEO เท่าไหร่เลย

ก็เลยเริ่มรับงานฟรีแลนซ์ทางออนไลน์ตั้งแต่ช่วง 2013-2015 สมัยนั้นเอาจริงๆ ไม่รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่เราแค่รู้สึกว่าอยากลองหารายได้เสริมดู แล้วพอมองย้อนกลับไปก็พบว่าตัดสินใจถูกที่เริ่มทำอะไรของตัวเอง จำได้ว่าตอนนั้นรายได้จากฟรีแลนซ์เริ่มมากกว่างานประจำและมีบางเดือนได้เงินเป็นแสน นั่นเป็นจุดเริ่มต้นเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว

อะไรคือปัจจัยแห่งความสำเร็จในการเริ่มรับงานฟรีแลนซ์ในวันนั้น

เราเสิร์ชกูเกิลดูว่าคนอื่นรับทำงานนี้ในราคากี่บาท ก็เห็นว่าคิดราคาแพง รับวิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมหนึ่งครั้งคิดราคา 1,000 บาท ถ้าต้องรันข้อมูล 8 ครั้งในการทำรายงานวิจัยทั้งเล่มทั้งหมด ก็ต้องจ่าย 8,000-9,000 บาท ซึ่งความจริงแต่ละครั้งมันรันโปรแกรมง่ายมากถ้ารู้ว่าต้องทำยังไง เราเลยปฏิวัติวงการด้วยการรับทำที่ราคาเหมารับจบ 1,500-3,000 บาท ก็เลยมีลูกค้าเข้ามาเยอะมาก เป็นคนไม่ชอบคิดราคาแพงและก็อยากช่วยคนด้วย ซึ่งตอนนั้นก็ชวนเพื่อนมหาวิทยาลัยมาช่วยทำด้วย เพราะคอนเซปต์ของ one-person business ไม่ได้แปลว่าเราต้องทำคนเดียวเท่านั้น

ปรัชญาการทำ one-person business ที่คุณเชื่อเป็นยังไง

เราชอบใช้คำว่า one-person business มากกว่า Company of One ปรัชญาในการทำธุรกิจของมันคือการตั้งคำถามว่าเราจำเป็นต้องโตไปตลอดหรือเปล่า เพราะถ้าธุรกิจเราสเกลใหญ่ขึ้น มันก็จะมีปัญหาใหม่ๆ ตามเข้ามาเยอะเหมือนกัน คือเราไม่จำเป็นต้องหาเงินให้เยอะขึ้นเรื่อยๆ ก็ได้ แค่ต้องรู้ว่ารายได้ที่เราต้องการของแต่ละเดือนอยู่ที่เท่าไหร่ ทำงานให้ครอบคลุมรายจ่ายและเงินออม แล้วออกไปใช้ชีวิต ซึ่งเราเชื่อแบบนี้มากกว่า ไม่จำเป็นต้องตั้งเป้าเหมือนที่บริษัทชอบตั้งกันว่า ปีหน้าต้องหาเงินได้เพิ่มอีก 20%

มันก็เลยเป็นเหมือนแก่นในการทำงานของเรา แล้วก็เชื่อว่ายิ่งช่วยคนเยอะเท่าไหร่ยิ่งดี เมทริกซ์ในการวัดผลของเราอยู่ที่จำนวนคนที่ได้ช่วยมากกว่าจำนวนเงินที่หาได้ เราเชื่อเรื่อง ‘give to grow’ มาก คือให้ก่อนแล้วมันจะเริ่มมีอะไรบางอย่างกลับมาหาเรา อาจจะไม่ใช่วันนี้ ไม่ใช่พรุ่งนี้ อาจจะปีหน้าหรือ 2 ปีหน้า ไม่มีใครรู้หรอก แต่ยิ่งให้เยอะก็ยิ่งมีบางอย่างกลับมาหาเรา 

จุดเปลี่ยนที่เริ่มหันมาหารายได้ในนาม DataRockie คืออะไร 

ปี 2015 เราเริ่มเปิดเพจ DataRockie เวอร์ชั่นแรกขึ้นมาเพื่อรับงานทำ SPSS ซึ่งไม่ใช่เวอร์ชั่นที่เป็นเหมือนทุกวันนี้ ช่วงแรกที่เปิดเพจขึ้นมา เรายิงโฆษณายับเลยในเฟซบุ๊ก สมัยก่อนมันทำง่ายมากเพราะยิงโฆษณายังใช้เงินไม่เยอะ ช่วงแรกมีคนติดตาม 1,000-2,000 คน ตอนนั้นมีลูกค้าเข้ามาตลอด ได้งานและเงินเข้ามาเรื่อยๆ

แต่จุดเปลี่ยนคือปี 2016 ตอนนั้นไปเรียนแลกเปลี่ยนที่เยอรมัน วันนั้นไม่มีอะไรทำเลยโพสต์คอนเทนต์เล่นๆ สอนคนวิเคราะห์สถิติง่ายๆ ในโปรแกรม Excel ด้วยปลั๊กอินชื่อว่า Analysis ToolPak ซึ่งเป็นเครื่องมือที่สามารถทำสถิติโดยไม่ต้องเขียนโค้ดและรันดาต้าให้เสร็จเลย ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังใช้กันอยู่เลย อยู่ดีๆ โพสต์นั้นมีคนแชร์เยอะมากถึง 6,000-7,000 แชร์ ซึ่งเราไม่เคยทำคอนเทนต์แบบออร์แกนิกได้มาก่อนเลย ปกติเสียเงินซื้อโฆษณาอย่างเดียว 

วันนั้นก็เป็นจุดเปลี่ยนว่าไม่รับงาน SPSS แล้วดีกว่า ทำมา 3 ปีแล้วเบื่อมาก งั้นมาสอนหนังสือดีไหม เราไม่ทำให้เขาแล้วแต่เปลี่ยนมาสอนให้คนที่จ้างเราทำเป็นด้วยตัวเองดีกว่า ตอนนั้นก็ยังไม่รู้ว่าโมเดลธุรกิจจะเป็นยังไงนะ ช่วงเด็กๆ เราก็แค่โพสต์คอนเทนต์แล้วก็หมือนเสพติดยอดไลก์ยอดแชร์นิดหนึ่ง ในฐานะครีเอเตอร์ พอมีคนสนใจคอนเทนต์เราเยอะๆ ก็รู้สึกว่ามันมีประโยชน์บางอย่าง ทำให้อยากตื่นเช้ามาทำโพสต์ทุกวันเลย จนมีคนแชร์คอนเทนต์ไปเรื่อยๆ แล้วเพจก็โตขึ้นเรื่อยๆ จากผู้ติดตามหลักพันเป็นหลักหมื่นคนจากการที่เราเริ่มทำคอนเทนต์ที่มีประโยชน์ ตั้งแต่วันนั้นก็ไม่ได้รับงานทำให้คนอื่นแล้ว แต่เน้นสอนคนอื่นทำมากกว่า 

ประสบการณ์ช่วงแรกที่เพิ่งเริ่มเปิดคอร์สสอนเป็นยังไงบ้าง  

พอกลับมาไทย ปลายปี 2016 ได้งานประจำที่ DTAC แล้วมีเวลาช่วงเสาร์-อาทิตย์ก็เลยไปเช่า co-working space เปิดคอร์สอนเรื่องดาต้า จำได้เลยว่าวันที่เปิดสอนวันแรกมีเพื่อนมาเรียน 10-15 คน คิดราคาแค่ 300-400 บาท คิดราคาถูกมากเพราะลองสอนด้วยและไม่ได้ตั้งใจจะคิดเงินเยอะ แต่ปีถัดไปก็ขึ้นราคาเป็น 900 บาทให้ดูเหมาะสม เรียนทั้งวัน มีข้าวกินกลางวันด้วย 

สำหรับเราถ้ามีคนมาเรียน 10 คน จ่ายค่าเรียนราวคนละ 900 บาท รวม 10 คนก็ได้เงินประมาณ 9,000 บาท คิดยังไงก็เยอะกว่ารายได้ต่อวันของเงินเดือนประจำตอนนั้นอยู่ดี ในใจก็เลยรู้สึกว่ามันก็วิน-วินนะ แค่ 10 คนเราก็สอนแล้ว ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังเป็นแบบนั้นนะ ความรู้สึกยังเหมือนเดิม แค่มี 10 คนที่อยากมาฟังก็แฮปปี้แล้ว แต่เดี๋ยวนี้ห้องไม่พอแล้ว ปลายปีที่แล้วจัดอีเวนต์ฟรีชื่อ what the duck (ทอล์ค How to survive the future แบบฉบับมนุษย์เป็ด) คนก็มาเต็มห้อง 350 คน

แล้วอะไรที่ทำให้คุณอยากลาออกจากงานประจำมาทำเพจเต็มตัวมากขึ้นในวันนั้น 

ตอนนั้นเหตุผลที่ตัดสินใจลาออกเพราะเวลาสอนวันเสาร์-อาทิตย์ก็มีคนมาเรียนกับเรานะ ถึงแม้จะไม่ได้เยอะมาก คลาสหนึ่งมีคนเรียน 30-40 คนก็โอเคแล้ว เราเรียกโมเดลของธุรกิจการศึกษาว่าเป็น skill-based คือเราเรียนทักษะและขายทักษะ คนทั่วไปขายทักษะให้กับบริษัท แต่เราขายทักษะให้คนอื่นสามารถนำไปต่อยอดได้อีกทีหนึ่ง มันเหมือนกันเลยแต่แค่เปลี่ยนมุมมองว่า ทักษะของเราจะเวิร์กกับบริษัทหรือจะเวิร์กกับคนส่วนใหญ่

ซึ่งถ้าเราออกมาทำเองเป็นธุรกิจส่วนตัว เราจะขายทักษะที่มีให้กับใครก็ได้ที่อยากจะได้ทักษะของเรา มันต่างกันตรงที่รายได้ทุกเดือนจากบริษัทจะคงที่และคาดการณ์ได้ แต่พอทำของตัวเอง ยิ่งเราทำเยอะเราก็ได้เยอะ ยิ่งใส่เวลาเข้าไปเยอะหรือช่วยลูกค้าได้เยอะขึ้นก็ยิ่งได้เงินกลับมาเยอะ รู้สึกว่าการออกมาทำด้วยตัวเองทำให้รายได้มีไม่จำกัดตามเวลาที่สามารถทำงานได้มากขึ้น

แปลว่าคุณให้ความสำคัญกับไลฟ์สไตล์การทำงานอิสระด้วยใช่ไหม 

Work Less, Earn more, Enjoy Life (ทำงานน้อยลง หาเงินได้มากขึ้น มีความสุขกับชีวิตมากขึ้น) เป็นคำพูดที่ได้ยินมาจาก Dan Koe เมื่อ 2-3 ปีที่แล้วชอบมากเลยและคิดว่าเป็นไปได้ วันที่ตัดสินใจลาออกจากงานประจำเมื่อปี 2020 ก็ตั้งคำถามนี้กับตัวเองว่า เป็นไปได้ไหมที่มนุษย์คนหนึ่งจะทำงานน้อยลงครึ่งหนึ่งแต่หาเงินได้เท่าเดิม แล้วมีความสุขกับชีวิตมากขึ้น

ในหัวคิดตั้งแต่เด็กๆ ว่าถ้าเราสามารถลดเวลาทำงานจาก 12 เดือนเหลือ 6 เดือน ได้เงินเดือนเท่าเดิม แล้วใช้เวลา 6 เดือนที่ว่างไปพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้น กลับมาปีถัดไปเราอาจจะได้ทำงานน้อยลงอีกจาก 6 เดือนเหลือ 5 เดือนแล้วยังได้เงินเท่าเดิม และเอาเวลาที่ได้มาเพิ่มไปใช้ชีวิต ไปทำตัวเองให้เก่งขึ้น คิดและใช้ชีวิตแบบนี้มาตั้งแต่เด็กๆ เลย แล้วก็ทำได้จริงๆ นะ 

จากวันนั้น ผ่านมา 5 ปี เราอยู่ในจุดที่ทำได้อย่างที่เราตั้งใจไว้ ทำงานลดลงครึ่งหนึ่งแล้วก็ได้รายได้เท่าเดิมเหมือนสมัยทำงานบริษัทสมัยก่อน ซึ่งโคตรแฮปปี้เลย แล้วมีคนทำแบบนี้ได้เยอะมากเลยที่เมืองนอก

เคยตั้งเป้าหมายความสำเร็จของ DataRockie ไหมว่าอยากได้แฟนเพจเยอะแค่ไหน 

เคย ยุคแรกๆ เลยเคยคิด สมัยเด็กๆ เราเคยมีเป้าหมายว่าอยากให้เพจโตไปถึงแสนถึงล้านคน แต่เพิ่งเข้าใจเมื่อไม่นานมานี้ประมาณ 2-3 ปีที่ผ่านมาว่า แล้วเราจะมีแฟนเพจเยอะๆ ไปเพื่ออะไร เราเห็นแพตเทิร์นของครีเอเตอร์ที่เริ่มพูดถึงกันเยอะมากในต่างประเทศว่า ความจริงแล้วโมเดลธุรกิจที่ครีเอเตอร์ส่วนใหญ่สอนกันว่าคุณต้องมีผู้ติดตามเยอะ ถึงจะหาเงินได้เยอะ มันผิดหมดเลย มีเคสที่ครีเอเตอร์มีคนติดตามอยู่ 6 แสนคนแล้วสามารถหาเงินได้พันล้านบาทหรือ 30 กว่าล้านดอลลาร์จากช่องของเขา ซึ่งหลายคนที่มีผู้ติดตามมากกว่านี้หลายเท่ายังหาเงินได้ไม่เยอะเท่าเขาเลย เราจึงไม่ได้สนใจจำนวนคนดู แต่สนใจว่าคนที่มาดูคอนเทนต์เราเป็นคนที่ซัพพอร์ตเราจริงหรือเปล่า 

สิ่งที่ครีเอเตอร์ส่วนใหญ่ทำคือโพสต์คอนเทนต์วันละเยอะๆ เพื่อให้มีผู้ติดตามเยอะ แล้วหวังว่าจะมีบางคอนเทนต์ที่ฟลุกแล้วปังขึ้นมา แต่เรามองตรงกันข้ามเลย คอนเทนต์ไม่ต้องโพสต์เยอะ แต่ควรเป็นคอนเทนต์ที่มีคุณค่า (value content) ต่อกลุ่มคนที่เราอยากช่วยเขาจริงๆ แล้วโพสต์ครั้งเดียวต่อวันหรือสัปดาห์ละครั้งยังได้เลย โดยที่ผู้ติดตามไม่ต้องเยอะเลย เราเชื่อคอนเซปต์เรื่อง true fan มากๆ ถ้ามีแฟนคลับที่ชอบเราจริง 1,000 คน เราอยู่รอดได้แล้วในฐานะครีเอเตอร์ สมมติมี subscriber 1,000 คน แล้วเขาจ่ายให้เราเดือนละ 100 บาท เท่ากับว่าเราได้เดือนละ 1 แสนบาท อยู่ในประเทศไทยได้สบายๆ 

พอเข้าใจแบบนี้ปุ๊บ DataRockie เลยหยุดวิ่งตามหาจำนวนผู้ติดตามแล้ว ถ้าวันนี้ใครอยากเก่งขึ้น เพจเราอยู่ตรงนี้ให้คุณมาตามแล้วเอาทักษะจากเราไปสร้างรายได้อื่นได้ เป็นคอมมิวนิตี้ของคนที่เป็น ‘เป็ดโปร’ (มนุษย์เป็ดแบบโปรเฟสชันนอล) ที่อยากเก่งขึ้นทุกวันแต่ไม่ต้องเก่งที่สุดก็ได้ แต่ถ้าวันนี้ใครยังไม่ได้อยากเก่งขึ้นเพจเราก็ไม่รู้จะไปช่วยอะไรเขาได้อยู่ดี รู้สึกว่าไม่ใช่ทุกคนที่ตื่นขึ้นมาตอนเช้าแล้วอยากเปลี่ยนชีวิตตัวเอง อาจจะเป็นความจริงที่ฟังดูขัดหูและเจ็บปวดนิดหนึ่งนะ แต่เป็นอย่างนั้นเลย

แล้วทุกวันนี้คุณตั้งเป้าหมายยังไงบ้าง  

ช่วงนี้ไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะต้องสร้างคอมมิวนิตี้ใหญ่เท่าไหร่ หรือต้องไปถึง 1 ล้านซับฯ ไหม ครีเอเตอร์ทุกคนก็คงอยากจะมีล้านซับฯ ใช่ไหม แต่คำถามคือจะมีล้านซับฯ ไปเพื่ออะไรถ้าอยากมีผู้ติดตามล้านคนในประเทศไทย เราก็อยากจะทำไปเพื่อช่วยเหลือให้เขาเก่งขึ้น มันไม่ควรจะทำทุกอย่างเพราะเรื่องเงินไปหมด ซึ่งขัดกับที่หลายคนเชื่อนะ รู้สึกว่าตอนนี้แค่ได้ตื่นมาแล้วได้ทำในสิ่งที่อยากจะทำก็แฮปปี้แล้ว จำนวนตัวเลขไม่ได้มีความหมายกับเราแล้ว

อย่างคอมมิวนิตี้ตอนนี้มีผู้ติดตามในเฟซบุ๊กเพจที่ 1.5 แสนคน และมีเฟซบุ๊กกรุ๊ปคอมมิวนิตี้อีก 4 หมื่นคน ถ้ามันเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ อีก 10 ปีต่อจากนี้ก็แฮปปี้แล้ว ขอให้คนที่เขายังอยู่กับเราเอ็นจอยที่ได้อยู่ในกลุ่มนี้แล้วแฮปปี้ ได้เติบโต แข็งแกร่งไปด้วยกันก็แฮปปี้ละ ไม่อยากจะโตไปกว่านี้แล้ว อยากอยู่กับเพื่อนๆ ที่เขาเชื่อในตัวเรา แล้วเราก็เชื่อในตัวพวกเขาเหมือนกันว่าเขาจะสามารถเป็นคนที่เก่งกว่านี้ได้ แล้วเรามาอยู่ด้วยกัน ทุกอย่างมันจบแล้วสำหรับเรา แค่ทำคอมมิวนิตี้ ณ วันนี้ให้ดี

คอนเทนต์สำคัญกับการทำ one-person business ยังไงบ้าง  

คิดว่า one-person business มันเกิดขึ้นมา ‘around content’ เลย คือใช้คอนเทนต์เป็นเครื่องมือหลักในการสร้างธุรกิจ อย่างเวลาลูกค้าจะมาซื้อของเราครั้งแรกก็ต้องรู้จักที่นี่ก่อน ต้องเข้าใจว่าเราคือใคร ขายอะไร โปรดักต์เราจะช่วยเขาได้ยังไงบ้างถึงจะมีคนมาซื้อถูกไหม ซึ่งจังหวะที่เราจะให้ความรู้กับคนที่จะมาซื้อของ เราก็ต้องทำคอนเทนต์เป็นแก่นหลัก 

ปัญหาคือสิ่งที่คนส่วนใหญ่ที่เพิ่งเริ่มทำเจอเหมือนกันหมดเป็นเรื่อง awareness คือจะทำยังไงให้คนเสิร์ชเจอเรา ซึ่งก็ต้องเริ่มจากการทำคอนเทนต์ จุดเด่นจุดหนึ่งที่เจอในชีวิตก็คือการมีเว็บไซต์เป็นของตัวเองช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้นเยอะมากเลย  ปี 2017 พอเริ่มเปิดเว็บไซต์ datarockie.com ก็ทำให้คนรู้จักเรามากขึ้น ซึ่งเป้าหมายของ datarockie.com คือเปิดเว็บไซต์ขึ้นมาเพื่อแจกคอนเทนต์ดีๆ ที่ได้เปลี่ยนชีวิตเขา โดยหวังว่าในอนาคตถ้าเกิดวันหนึ่งเราขายโปรดักต์ของตัวเองสักอย่างหนึ่งขึ้นมา คนในคอมมิวนิตี้ที่แฮปปี้กับคอนเทนต์เราก็จะกลับมาช่วยซื้อของเราในอนาคต

เคล็ดลับการทำการตลาดให้โตแบบออร์แกนิกของคุณคืออะไร   

หลักการตลาดของเราคือ Education 99% Sale 1% ไม่อยากเจอหน้ากันครั้งแรกแล้วขายตั้งแต่วันแรกทั้งที่ยังไม่ได้รู้จักมักจี่กันเลย รู้สึกว่าการตลาดคือการสร้างความสัมพันธ์ ทำให้เขารู้สึกว่าเรารู้จักเขามากขึ้น แล้วเราก็สามารถที่จะขายได้มากขึ้นในวันข้างหน้า อย่างที่ Peter Drucker บอกไว้ว่า ‘marketing makes sales unnecessary’ ซึ่งเราว่าโคตรเมคเซนส์เลย

ส่วนใหญ่เราทำคอร์สฟรีเยอะนะ เพราะคิดว่าธุรกิจคือการสร้างความสัมพันธ์ เรามองภาพว่าถ้าเกิดคนนี้เรียนฟรีมาแล้ว 3 ปี แล้ววันหนึ่งข้างหน้าเปิดคลาสราคาหลักพันขึ้นมา มันจะไม่ได้แพงเลย เขาก็อยากจะมาช่วยซัพพอร์ตเรากลับ จนคนมาคอมเมนต์เต็มเลยว่าพี่ทอยคิดเงินบ้างก็ดีนะ เรียนฟรีจนเขินแล้ว แต่เราก็จะเล่นมุกว่า ‘สอนฟรีจนแม่ว่า’ ซึ่งแม่ก็ว่าจริงๆ ว่าทำไมสอนฟรีเยอะจัง ตอนเริ่มขายของแรกๆ ก็ไม่ได้ขายแแพงมาก ปี 2020 ที่เขียนหนังสือ e-Book เล่มแรก เราคิดราคาเล่มละ 300 บาท ก็มีคนมาซื้อกัน แต่หลังจากขายไปได้แค่ 2 อาทิตย์ก็เลิกแล้ว ตอนนี้เน้นแจกฟรี 

ทำไมคุณถึงคิดว่าการแจกของฟรี 99% และขายของแค่ 1% ถึงเมคเซนส์ ทั้งที่คุณสามารถเพิ่มสัดส่วนรายได้มากกว่านี้ได้  

ความตั้งใจของ DataRockie คือไม่อยากให้คนไทยต้องจ่ายแพงเรื่องการศึกษา คือพอทำเรื่องการศึกษาเราจะรู้เลยว่า คนไทยส่วนใหญ่รายได้ไม่พอ ขนาดหนังสือ 300 บาทยังมีคนที่ยังไม่พร้อมจ่ายกันเลย แล้วก็รู้สึกว่าหนังสือมันดีและมีคุณค่าสำหรับแจก บางครั้งคลาสเสียเงินเราก็เปิดสอนให้ฟรี บางคนทักมาบอกว่าไม่มีตังค์ ขอผ่อนได้ไหม เราก็บอกว่าเรียนฟรีได้เลยครับ 

แล้วพบอุปสรรคอะไรไหมจากกลยุทธ์การแจกฟรีเยอะกว่าคิดตังค์

pain point ที่เจอคือหลายครั้งเวลาเราให้ของฟรีไป คนจะไม่ค่อยเห็นค่าเท่าไหร่และไม่ได้ตั้งใจเรียนขนาดนั้น ซึ่งนี่ก็เป็นจุดที่อยากจะแก้ แต่ยังหาทางแก้ไม่ได้ ทางเศรษฐศาสตร์เรียกปัญหาพวกนี้ว่า asymmetric information คือเราอยากจะแจกทุน แต่เราไม่รู้ว่าคนนี้รับไปแล้วจะตั้งใจจริงหรือเปล่า แต่ถ้าเราตั้งกฎให้สูงขึ้นในการแจกทุน คนที่เขาอยากจะเรียนจริงๆ เขาอาจจะไม่ได้ทุนนั้นก็ได้ รู้สึกดาวน์ทุกครั้งเลยเวลาเจอแบบนี้ แต่ช่วงหลังเริ่มดีขึ้นแล้ว พยายามมองว่าทุกอย่างที่เราให้ไปแล้ว คนอื่นจะทำอะไรกับทุนนั้นเลยก็ได้ ซึ่งเราน่าจะเป็นหนึ่งในคนที่แจกทุนเยอะที่สุดในประเทศไทย

การที่คุณทำคอนเทนต์เยอะมาก แถมยังฟรีเป็นส่วนใหญ่อีก ทำยังไงให้รายได้เติบโตอย่างยั่งยืน

ค้นพบว่าจริงๆ แล้วเราต้องรู้ว่า growth ของเราอยู่ที่จุดไหน เราไม่จำเป็นต้องโตไปมากกว่านี้แล้ว
ไม่จำเป็นต้องหาลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นทุกปี แต่ทำให้ลูกค้าที่มีอยู่ตอนนี้แฮปปี้ที่สุด จนเขาอยากจะกลับมาซื้อซ้ำกับเราเรื่อยๆ เรียกว่า return business ที่สร้างธุรกิจที่ยั่งยืนไปได้เรื่อยๆ

เวลานักเรียนหลายคนเรียนจบ เราจะถามฟีดแบ็กว่าเป็นยังไงบ้าง ประมาณ 80% เลยเรียนจบแล้วอยากจะกลับมาเรียนกับพี่ทอยอีก และ 90% ขึ้นไปของนักเรียนเราจะแนะนำให้เพื่อนมาเรียนต่อแบบแฮปปี้มาก ตรงนี้คือคีย์สำคัญที่คนที่ชอบเราจะกลับมาซื้อกับเราเรื่อยๆ 

ทำยังไงให้นักเรียนส่วนใหญ่แทบทั้งหมดชื่นชอบคอร์สของคุณ

เราให้นักเรียนเยอะมาก อยากส่งมอบคุณค่าบางอย่างที่เยอะกว่าสิ่งที่นักเรียนคาดหวัง รุ่นหนึ่งเราเรียนกัน 4-5 เดือน หรืออย่างรุ่น 10 ที่เพิ่งจบไปก็อยู่กันมา 8 เดือน เราใช้เงินตัวเองเกือบล้านบาทเพื่อซื้อหลักสูตร Coding ของนอร์เวย์ชื่อว่า W3Schools ให้นักเรียนได้เรียน โดยยังคิดราคาคอร์ส bootcamp ของเราเท่าเดิมประมาณ 3,000-4,000 บาท และนักเรียนยังได้เรียนหลักสูตรนี้จากต่างประเทศที่ได้ใบ certificate เพิ่มไปด้วย ในขณะที่สถาบันการศึกษาอื่นๆ ในไทยจะคิดราคาคอร์ส bootcamp ที่ราคา 3 – 4 หมื่นบาท เราขายถูกกว่าเขาเกือบ 90% แต่เนื้อหาเราคือระดับเวิลด์คลาสเลย

ทุกวันนี้คุณมีทั้งแฟนเพจและคนที่ชื่นชอบแล้ว มองว่าจะทำยังไงให้ DataRockie เติบโตแบบยั่งยืนยิ่งขึ้นไปอีก

ตอนนี้ปัญหาที่เจอคือเราหยุดทำไม่ได้เลย มันยังไม่เป็นระบบที่เป็น Passive Income ขนาดนั้น มันใช้เวลาเราเยอะ ไม่มีใครทำโมเดลธุรกิจเหมือนเราเลย คือสอนแล้วอยู่กับนักเรียนเกือบปี และต้องหาทำคอนเทนต์ใหม่ๆ ตลอด ความถี่เท่าไหร่เดี๋ยวว่ากัน แต่ว่าหยุดทำไม่ได้นอกจากจะสร้างระบบที่ทำให้สามารถมี Passive Income เข้ามาได้มากขึ้น ด้วยการสร้างดิจิทัลโปรดักต์ มีของขายของตัวเอง นั่นคือโมเดลที่เราต้องมี เลยพยายามหาหนทางที่เราจะทำงานให้น้อยลง ไม่ใช่ว่าปีหน้าจะทำเยอะขึ้น 

เห็นช่วงหลังคุณปรับจากสอนดาต้าอย่างเดียวมาเป็นสอนทักษะของ ‘มนุษย์เป็ด’ (School of Generalist) คุณมองทิศทางคอนเทนต์ของคุณเป็นยังไงต่อไปในอนาคต   

เพิ่งตกผลึกเลยว่าวิธีการนี้ไม่เวิร์ก ตัวเราเป็น generalist (มนุษย์เป็ด) ได้ก็จริง แต่พอมาเป็นธุรกิจ เราเป็นทุกอย่างให้กับทุกคนเป็นไม่ได้ เพราะเวลาเราเปิดโรงเรียนขึ้นมา ถ้ามีโฟกัสในเชิงการตลาดมันน่าจะเวิร์กกว่าสอนกว้างๆ  ตอนนี้ทิศทางของ DataRockie ก็เลยจะย้อนกลับไปเป็น Data Science School เหมือนเดิม โดยที่ส่วนตัวเรายังคงเป็นคนแบบ generalist แต่ถ้าเราบอกว่าโรงเรียนเราเป็น School of Generalist คนก็จะไม่เข้าใจ มันต้องใช้เวลาในการสอนตลาดนานที่จะทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าคำว่า ‘เป็ดโปร’ แปลว่าอะไร

ทุกวันนี้คุณคิดว่าคนเข้าใจคำว่า ‘มนุษย์เป็ด’ หรือยัง 

ไม่เข้าใจ คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจว่าเก่งแบบเป็ดมันดียังไง ‘มนุษย์เป็ด’ ที่คนไทยเข้าใจกับที่เราเข้าใจมันคนละความหมายกัน คำถามคือเป็นเป็ดแล้วแฮปปี้กับชีวิตตอนนี้หรือเปล่า เราว่ามนุษย์เป็ดส่วนใหญ่ทำได้หลายอย่าง แต่อาจไม่ได้แฮปปี้กับชีวิตตอนนี้เลย คำถามคือเพราะอะไร เพราะว่ายังไม่ได้เป็น ‘เป็ดโปร’ หรือยัง
เป็นเป็ดที่เก่งไม่พอ 

ปรัชญาสโตอิกบอกว่า ยิ่งเราเก่งขึ้นทุกวันเราก็จะทำได้มากขึ้น ช่วยคนได้มากขึ้น แล้วชีวิตก็จะมีความสุขมากขึ้น แปลว่าหนทางแห่งความสุขคือเราต้องเก่งขึ้นก่อน มีคำศัพท์ภาษากรีกว่า Eudaimonia คือเป้าหมายสูงสุดในชีวิตที่เกิดมาคือเป็นตัวเองเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดที่เราสามารถเป็นได้ ทุกวันเราจึงควรจะพยายามเป็นคนๆ นั้นให้ได้ จากที่ตอนเกิดเราเป็นเหมือนเมล็ดพันธุ์แล้วค่อยๆ เติบโตเป็นต้นไม้ที่แข็งแกร่ง แต่มองว่า ‘เป็ด’ ในมุมมองคนไทยไม่มีสิ่งเหล่านี้อยู่ในนั้น เราไม่ได้พยายามจะเป็นคนที่เก่งขึ้น ดีขึ้น เพื่อจะช่วยคนได้มากขึ้น เพราะแค่เอาตัวเองให้รอดยังไม่รอดเลย 

ทุกวันนี้มนุษย์เป็ดโปรแบบ ‘แอดทอย’ ’อยากเพิ่มทักษะอะไรอีกเพื่อให้ตัวเองเก่งขึ้น  

ตอนนี้โฟกัสที่ Meta Skill อย่างเดียวเลยซึ่งเป็นทักษะพื้นฐานคือการอ่านกับเขียน เพราะถ้าเราอ่านกับเขียนเก่ง เราก็จะเรียนรู้เรื่องอื่นได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ใจเราอยากจะกลับไปเรียนคณิตศาสตร์และพวก Logic ในการคิดให้เยอะขึ้นเหมือนกัน มีเพื่อนคนหนึ่งทำเพจคณิตศาสตร์สอนมาว่า ‘ถ้าโจทย์ตรงหน้ามันเป็นปัญหาที่ยากมาก คณิตศาสตร์ที่เราใช้แก้โจทย์พวกนั้นก็ต้องยากขึ้นตามไปด้วยเหมือนกัน การเข้าใจคณิตเยอะขึ้นจะทำให้แก้ปัญหาโครงสร้างที่ใหญ่ขึ้นได้ การพัฒนาทักษะอ่าน เขียน วิชาเลขให้เก่งขึ้นจะทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นหมด แล้วจะไม่มีหนังสือเล่มไหนในโลกนี้ที่จะทำให้เรากลัวได้เลย ถ้าเราเข้าใจ Meta Skill พวกนี้ 

แล้วคุณมีหลักคิดในการบริหารความเสี่ยงอย่างไรในการทำงาน 

มองว่าความเสี่ยงอย่างเดียวคือการที่เราไม่ลงมือทำ ตอนนี้ถ้าเกิดสมมติว่านอนเป็นผักอยู่ที่บ้าน ไม่ทำอะไรเลย ไม่มีทางที่เราจะสำเร็จได้เลย แต่ถ้ายิ่งเราทำเยอะขึ้นก็มีโอกาสที่จะสำเร็จมากขึ้น การบริหารความเสี่ยงของเราก็คือการตัดสินใจ ณ โมเมนต์นั้นว่าทำสิ่งนั้นไปแล้ว ชีวิตเราจะเข้าใกล้เป้าหมายขึ้นไหม หรือว่ามันจะวิ่งออกห่างจากเป้าหมายที่เราวางไว้

ถ้าเราใช้ชีวิตผิด มันจะเสี่ยงมากเลยว่าเราจะไม่ถึงเป้าหมาย แล้วก็ไปทำร้ายพาร์ทอื่นๆ ในชีวิตเราด้วยเหมือนกัน เราว่าเรื่องเวลาสำคัญสุด ถ้าถามเรา เราว่าไม่ควรจะใช้เวลาผิด เช่นสมมติบอกว่าเป้าหมายคืออยากมีธุรกิจเป็นของตัวเองและเกษียนตอนอายุ 40 ปี คำถามคือการหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูซีรีส์ 8 ชั่วโมงมันทำให้เข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้นหรือเปล่า 

ทุกวันนี้เห็นคุณทั้งผลิตและเสพคอนเทนต์เยอะมาก คุณบริหารจัดการเวลาในชีวิตยังไง 

เราอินกับเรื่องการใช้เวลามาก เมื่อเช้าออกจากบ้านตี 5.30 น. ใช้เวลาเดินทางราวชั่วโมงเดียวและถึงที่หมายเวลา 6.30 เพราะเราประหยัดเวลาได้ถ้าออกเช้า แต่คนส่วนใหญ่จะตื่น 8 โมงแล้วก็ไปติดอยู่บนถนนอีก 2 ชั่วโมง ถึงออฟฟิศ 10 โมง ซึ่งความจริงเราเซฟเวลา 2 ชั่วโมงนั้นได้ ถ้าเราใช้เวลาให้เหมาะสมและเต็มประสิทธิภาพในสิ่งที่ควรจะต้องทำ นั่นคือก้าวแรกเลยของความแข็งแกร่งที่เราว่าเวิร์กสุดแล้ว 

Time Management เป็นเรื่อง Mind Management คือการบริหารจัดการความคิดว่าเราจะทำอะไร และจะได้อะไรกลับมาภายในชั่วโมงนั้น สมมติเรามีเวลาหนึ่งชั่วโมงในการอ่านหนังสือหนึ่งเล่ม แต่ประโยคในหนังสือเล่มนั้นไม่ได้มีคุณค่าเท่ากันทั้งเล่ม เราจะย่อยข้อมูลยังไงให้ได้เนื้อหาที่ทำให้เข้าใกล้เป้าหมายเราได้ดีที่สุดภายในเวลาหนึ่งชั่วโมง และใช้เวลาให้เกิดประสิทธิภาพที่สุดด้วยการอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง เรามีเวลามากมายก็จริงแต่คำถามคือเราใช้เวลานั้นทำอะไร

หลักคิดทางปรัชญาช่วยคุณบริหารความเสี่ยงและความไม่แน่นอนในชีวิตการทำงานยังไงบ้าง 

ถ้าตามหลักสโตอิกแบบขั้นสุดก็คือ มันมีอยู่แค่ไม่กี่อย่างในโลกนี้ที่เราสามารถควบคุมได้ ก็คือความคิดและการกระทำของเรา เรื่องอื่นนอกเหนือจากนั้นก็เลยจะไม่ได้มีอิทธิพลกับชีวิตมากนัก อย่างเช่น สภาพเศรษฐกิจ มันจะดีไม่ดีก็อยู่เหนือการควบคุมเราไปเยอะมากเลย สิ่งเดียวที่เราทำได้ก็คือเราจัดการตัวเองให้ดีก็พอ

ถ้าเรามีกรอบในการใช้ชีวิตแล้ว ไม่มีทางที่ชีวิตเราจะแย่ลงกว่านี้ได้เลย ซึ่งสิ่งที่ดีในมุมสโตอิกมี Cardinal Virtues 4 อย่าง คือ Wisdom กิจกรรมที่ทำให้เราเข้าถึงความรู้ทุกอย่างได้ดีขึ้น, Courage กล้าทำในสิ่งที่ดี, Justice ช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ใช่แค่ทำเพื่อตัวเองอย่างเดียว, Moderation หรือ Temperance ใช้ชีวิตแบบรู้จักพอ  

ความเสี่ยงจะเกิดขึ้นถ้าเกิดเราใช้ชีวิตแบบไม่มีกรอบและข้อจำกัดเลย เราจะทำอะไรในโลกนี้ก็ได้ แต่ชีวิตที่ไม่มีกรอบจะเสี่ยงมาก ถ้าเรากินพิซซ่าทุกวันต่อจากนี้ไป 5 ปี ปีที่ 6 เราอาจจะเดินไม่ได้เพราะเราอ้วนเกินไป ถ้าเราไม่ออกกำลังกาย อนาคตเราอาจไม่มีอิสระเลย Wisdom คือการที่เราเข้าใจว่า 10 ปีต่อจากนี้ถ้าเกิดเราทำสิ่งนี้ต่อไปเรื่อยๆ ชีวิตเราจะเป็นยังไงบ้าง

นอกจากนี้จะมีกฎที่เรียกว่า Polarity คือการมีขั้วตรงข้ามเสมอ จะมีคนเก่งกับไม่เก่ง รวยกับจน ฉลาดกับไม่ฉลาดเสมอ โลกไม่สามารถทำให้ทุกคนบนโลกนี้เป็นคนขยันเหมือนกันหมดได้ มันจะยังมีคนขี้เกียจอยู่ดี แต่ในมุมเราคือเราเลือกได้ว่าเราจะเป็นขั้วไหนและจะใช้ชีวิตอยู่ในขั้วไหนมากกว่ากัน ถ้าเลือกขั้วถูก ชีวิตเราก็ไม่มีทางจะแย่ลงกว่านี้ได้เลยในเชิงปรัชญา ซึ่งเราว่าทุกอย่างอยู่ในอำนาจการตัดสินใจของเราอยู่แล้วและจะดีมากถ้ามันมีกรอบในการเลือก 

โดยรวมแล้วคุณมองว่าตัวเองเป็นคนชอบ take risk หรือ play safe 

เรา play safe หมดเลย เป็นคนไม่ชอบความเสี่ยงเท่าไหร่ ไม่ลงทุนในหุ้นไทยเลย มองว่าการทำตัวเองให้เก่งขึ้นทุกวันคือการ play safe ที่สุดแล้วในชีวิต ทุกๆ อย่างในชีวิตเราเกิดจากการที่เรามีทักษะเลย การที่เรามีงานทำก็เพราะว่าเรามีทักษะ ถ้าเกิดวันนี้เราบอกว่าปัญหาคือเราอยากจะมีงานที่ดีขึ้นกว่านี้ มีอยู่ทางเดียวก็คือต้องเก่งขึ้นกว่านี้ ต้องรู้ว่าเป้าหมายของเราคืออะไร แล้วลดความเสี่ยงด้วยการทำสิ่งที่ช่วยให้เราเข้าใกล้เป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น

ถ้าชีวิตที่ดีและเก่งไม่จำเป็นต้องเสี่ยง คุณมองว่าทำไมถึงยังมีคนที่ไม่ประสบความสำเร็จ

ความจริงแล้วคนส่วนใหญ่อาจไม่ได้มีเป้าหมายในชีวิตตัวเองด้วยซ้ำ ถ้าถามว่าอยากมีอะไรในชีวิต หลายคนอาจจะตอบว่าอยากมีบ้าน มีรถ งานที่มั่นคง มีครอบครัว แต่มันใช่ความฝันตัวเองไหมหรือว่าคนอื่นเอาความฝันนั้นมายัดใส่ในหัวเราเข้าไป จริงๆ แล้วชีวิตเราต้องการอะไร สำหรับเรา เราอยากทำให้การศึกษาเข้าถึงได้ง่ายขึ้น เป็นเป้าหมายใหญ่เลย ซึ่ง DataRockie ก็ไม่รู้จะทำสำเร็จไหมแต่เราจะทำไปเรื่อยๆ 

บทเรียนสำคัญที่คุณได้เรียนรู้หลังจากทำ DataRockie มาเกือบสิบปีคืออะไร 

เยอะมากเลย ข้อแรกเป็นเรื่องทักษะ ถ้าเราเก่งขึ้นปัญหาหลายๆ อย่างในชีวิตเราจะง่ายขึ้นเยอะมาก เราจะแก้ปัญหาได้เยอะขึ้น อนาคตก็อาจจะมีรายได้ทางใหม่เข้ามามากขึ้นเหมือนกัน 

ข้อ 2 คือ ยิ่งให้ยิ่งได้รับกลับมา ยิ่งเรารู้อะไรใหม่ๆ มากขึ้น เราควรจะต้องแชร์ให้แก่คนอื่นด้วย ตอนปี 2016 ที่เราเริ่มทำคอนเทนต์แล้วมีคนกดแชร์ไปเยอะ นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เรามีวันนี้เลย ถ้าไม่ทำคอนเทนต์ตอนนั้น วันนั้นเราก็คงไม่ได้เปิดเว็บไซต์ขึ้นมา แล้วก็อาจจะไม่มีวันนี้ก็ได้ 

ข้อ 3 อาจจะเป็นเชิงปฏิบัตินิดนึง คือการมีเว็บไซต์เป็นของตัวเองมันเวิร์ก ใครก็ตามที่ทำธุรกิจหรือเป็นพนักงานบริษัทก็ตาม เว็บไซต์เหมือนเรซูเม่ของเด็กยุคใหม่เลยเพราะจะเปิดโอกาสได้เยอะมาก ซึ่งในการทำเว็บไซต์การเขียนคอนเทนต์กับ SEO ก็ต้องมาด้วยกัน 

ข้อ 4 ในการสร้างคอนเทนต์ เราเชื่อเรื่องการเขียนมากเลย ยิ่งเราเขียนเก่งเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสมากขึ้นเท่านั้น เหตุผลก็เพราะว่าสำหรับเราการเขียนกับการคิด มันคือเรื่องเดียวกันเลย เราจะเขียนได้เก่งเพราะเราคิดออกมาก่อน มันคือการที่สิ่งในหัวเราถูกแปลงออกมาให้อยู่ในกระดาษ ยิ่งเราคิดเก่งขึ้นเราก็จะเขียนได้เก่งขึ้น และพอเราเขียนเก่งขึ้น เราก็จะคิดได้เก่ง

ทั้งหมดนี้มันกลายเป็นลูปที่ไม่มีวันจบเลย พัฒนาทักษะ ให้มากกว่ารับ สร้างเว็บไซต์ ฝึกเขียน และข้อสุดท้าย พอเราทำเพจมาเรื่อยๆ รู้จักสโตอิกมากขึ้น รู้สึกว่าการเป็นคนดีคือที่สุดแล้ว เราสามารถทำธุรกิจที่และมีกำไร เลี้ยงครอบครัว เลี้ยงตัวเองได้โดยไม่จำเป็นต้องเอาเปรียบคนอื่น ตั้งตนอยู่บนความดีงาม ซึ่งดูเป็นคำที่เชยมากเลย 

คุณมองว่าการเป็นคนดีสำคัญต่อการทำธุรกิจยังไง

เคยดูรายการ Shark Tank ชื่อตอน Tree T-PEE ในซีซั่นแรกๆ  ซึ่งเป็นตอนที่ชอบที่สุดเลย คนที่มาออกชื่อ Johnny Georges เขาสร้างตัวพ่นน้ำที่รดน้ำในรัศมีรอบต้นไม้ ซึ่งสามารถลดการใช้น้ำได้ถึง 80-90% ต้นไม้ก็เติบโตได้ดีขึ้น ชุ่มชื้นมากขึ้น กันแมลง กันน้ำค้างด้วย ไม่เคยมีใครคิดเรื่องนี้มาก่อนว่าเวลาพ่นน้ำ น้ำจะพุ่งไปไกลมากทั้งที่ต้นไม้อยู่ใกล้แค่นี้

จอห์นนี pitch ที่ Shark Tank โดยขายสินค้านี้ในราคาอันละ 5 เหรียญ นักลงทุนก็ถามว่าทำไมไม่ขายราคา 12 เหรียญ เขาบอกว่าเพราะคนที่ซื้อเป็นชาวนาทำให้ไม่อยากขายแพง ชาวนาไม่พร้อมจ่าย 10 เหรียญ เราเห็นด้วยกับเขาเลย ตอนดูครั้งแรกเราร้องไห้เลย ชอบคอนเซปต์เรื่องนี้มาก คือการเป็นคนดี

เราเชื่อว่ายิ่งให้ยิ่งได้รับกลับมาแล้วเราไม่ควรเอาเปรียบใครเลยในการทำธุรกิจ มันขัดกับที่หลายคนบอกว่าถ้าเป็นคนดีเกินไป ทำธุรกิจไม่ได้ แต่เราไม่เชื่อเรื่องนี้เลย อย่างที่บอกว่าเชื่อใน ‘Give to Grow’ ยิ่งเราเป็นคนดี ธุรกิจเราจะยิ่งโต ยิ่งให้ยิ่งได้รับกลับมา เราคิดราคาแบบหมาะสม ไม่ควรขายแพง 

ความเชื่อนี้ทำให้ในอนาคต DataRockie ก็อยากจะลดราคาลงเรื่อยๆ เดี๋ยวนี้ค่าเทอมแพงขึ้นเยอะมาก คนไทยจ่ายของแพงกว่าที่ควรจะเป็นโดยเฉพาะเรื่องการศึกษา แต่รายได้บ้านเราไม่ได้สูงขึ้นตามเงินเฟ้อที่เกิดขึ้น ซึ่งการที่การศึกษาปรับราคาขึ้นตามเงินเฟ้อเป็นเรื่องที่ผิดมาก

เราอยากให้อะไรก็ตามที่เกี่ยวกับการศึกษามีราคาถูกลงเรื่อยๆ เป้าหมายใหญ่ของ DataRockie คือการทำหลักสูตรมหาวิทยาลัยทางเลือกให้คนไทยได้เรียน ซึ่งเราจะทำไปเรื่อยๆ นะ ไม่รู้จะเสร็จเมื่อไหร่แต่ก็จะไม่หยุด

ส่องเรื่องราว ‘4 บุคลากร’ ผู้ได้รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล กับการใช้ความมุ่งมั่นยกระดับวงการสาธารณสุขโลก 

นอกเหนือจากเศรษฐกิจ การศึกษา หรือสาธารณูปโภค อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประเทศแข็งแรงคือเรื่องของ ‘ระบบสาธารณสุข’ ซึ่งเป็นที่พึ่งของประชาชนในยามเจ็บป่วยตั้งแต่อาการไข้หวัดธรรมดาไปจนถึงอาการหนักหนาสาหัส และโรคระบาดที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

ยกตัวอย่างประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงในทวีปเอเชียอย่างเกาหลีใต้ ที่มีอัตรา GDP ในประเทศเติบโตมากถึงร้อยละ 3 ต่อปี ส่วนหนึ่งเป็นผลพวงมาจากการมีระบบสาธารณสุขยอดเยี่ยม ถึงขั้นเคยคว้าอันดับ 1 ของประเทศที่มีระบบสาธารณสุขดีที่สุดในโลกจากการจัดอันดับของนิตยสาร CEOWORLD โดยประชากรผู้เสียภาษีของเกาหลีใต้จำนวน 96.3% อยู่ภายใต้โครงการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ส่วนอีก 3.7% ที่เป็นประชาชนผู้มีรายได้น้อยก็อยู่ภายใต้การดูแลของโครงการช่วยเหลือทางการแพทย์อย่าง Medical Aid Program 

เนื่องจากโอกาสการรักษาที่ครอบคลุมประชาชนทุกระดับนี้เอง จึงไม่แปลกใจสักเท่าไหร่นักหากประชากรเกาหลีใต้จะมีอัตราการรอดชีวิตจากโรคร้ายแรงสูง ยกตัวอย่างโรคร้ายแรงอย่างมะเร็งลำไส้ ที่ผู้ป่วยมีโอกาสรอดสูงถึง 72.8%

หรืออย่างประเทศไทยซึ่งเคยคว้าอันดับ 6 ประเทศที่มีระบบสาธารณสุขดีที่สุดในโลก ก็มีโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือ 30 บาทรักษาทุกโรค เปิดให้บริการประชาชนมาตั้งแต่ปี 2544 ด้วยจุดประสงค์ที่อยากลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการรักษา

อย่างไรก็ตาม เบื้องหลังการมีอยู่ระบบสาธารณสุขที่ดี ย่อมต้องพึ่งพา ‘บุคลากรทางการแพทย์’ หรือ ‘นักวิจัย’ ที่สามารถส่งต่อแนวทางหรือนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มโอกาสการช่วยชีวิตผู้ป่วยได้สูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโรคเรื้อรังอย่างเบาหวาน โรคไต โรคร้ายแรงอย่างมะเร็ง หรือโรคอุบัติใหม่อย่างโควิด-19 ที่มนุษยชาติเพิ่งผ่านพ้นวิกฤตไปไม่นาน ซึ่งแต่ละกรณีล้วนแต่มีจุดประสงค์เดียวกัน คือ “ ถือประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่หนึ่ง ให้ทุกคนเข้าถึงสุขภาพดีถ้วนหน้า ”

ด้วยความสำคัญของบุคคลเบื้องหลังทางการแพทย์และสาธารณสุขที่กล่าวถึงข้างต้น คอลัมน์ Recap จึงอยากบอกเล่าถึงชีวิตบุคลากรกลุ่มหนึ่งผู้เป็นดังกระดูกสันหลังของวงการสาธารณสุขโลก ที่ใช้สองมือ มันสมอง และความมุ่งมั่น แปรเปลี่ยนเป็นหนทางการช่วยชีวิตผู้คนทั่วโลกมากมายจากโรคร้าย

ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์จากโรคมะเร็งด้วย ‘วิธีรักษาโรคมะเร็งแบบมุ่งเป้า’ 

มะเร็ง คือโรคร้ายอันดับ 1 ที่คร่าชีวิตผู้คนทั่วโลก อีกทั้งยังเป็นโรคที่ต้องใช้เวลาในการรักษาและติดตามเฝ้าดูอาการ ศาสตราจารย์ ดร. แอนโทนี เร็กซ์ ฮันเตอร์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘ศาสตราจารย์ ดร.โทนี ฮันเตอร์’ ซึ่งดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ที่สถาบันซอล์กเพื่อการศึกษาชีววิทยา และ นักวิจัยอาวุโส (Renato Dulbecco Chair) ของศูนย์มะเร็งแห่งสถาบันซอล์กเพื่อการศึกษาชีววิทยา สหรัฐอเมริกา จึงพยายามคิดค้นหาวิธีเพื่อช่วยผู้คนให้หายจากโรคมะเร็งในเปอร์เซ็นต์ที่สูงขึ้น ก่อนจะพบกับแนวทางการรักษาที่มีชื่อว่า ‘การรักษาโรคมะเร็งแบบมุ่งเป้า (targeted therapy)’  

ความสำเร็จของแนวทางการรักษาดังกล่าว มาจากการที่ศาสตราจารย์ ดร.โทนี ฮันเตอร์ ได้ค้นพบกระบวนการ ‘ฟอสโฟรีเลชั่น’ (phosphorylation) ซึ่งเป็นกระบวนการที่ก่อให้เกิดการกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ไทโรซีนไคเนส (tyrosine kinase) ที่หากมีการผลิตมากเกินในร่างกายจะนำไปสู่การเปลี่ยนเซลล์ธรรมดาให้กลายเป็นเซลล์มะเร็ง โดยการค้นพบนั้นนำไปสู่การพัฒนายาที่สามารถยับยั้งเซลล์มะเร็งได้เป็นจำนวนมากมาย ไม่น้อยกว่า 86 ตัว เช่น อิมาทินิบ (Imatinib, Gleevec™) ที่ใช้รักษามะเร็งเม็ดเลือดขาว ดังนั้นการค้นพบครั้งนี้จึงเป็นหมุดหมายสำคัญของวงการแพทย์และสาธารณสุขในการรักษาโรคมะเร็ง และช่วยให้ผู้ที่เจ็บป่วยจากโรคนี้ได้กลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติอีกครั้ง

รางวัลอันทรงเกียรติที่เคยได้รับ : รางวัลเจ้าฟ้ามหิดล สาขาการแพทย์ ปี 2567

ชายผู้ใช้เวลา 20 ปี คิดค้นยารักษาโรคเบาหวานชนิดที่ 2 

โรคเบาหวานเป็นอีกหนึ่งโรคอันตรายที่ผู้คนประสบทั่วโลก ซึ่งนอกจากเบาหวานชนิดที่ 1 ที่เกิดจากเซลล์ตับอ่อนถูกทำลายจากภูมิคุ้มกันของร่างกายทำให้ขาดสารอินซูลิน ก็ยังมีเบาหวานชนิดที่ 2 ที่เกิดจากการดูดกลืนน้ำตาลกลับเข้าที่ไตเพิ่มขึ้นผ่านช่องทางการไหลผ่านระหว่างโซเดียมและน้ำตาลในร่างกาย โดยเบาหวานชนิดที่ 2 นี้มักเกิดขึ้นในผู้มีภาวะอ้วนลงพุง ที่มักไม่ตอบสนองต่อการให้สารอินซูลิน

กระทั่ง ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ราล์ฟ เอ. ดีฟรอนโซ ศาสตราจารย์ สาขาวิชาเบาหวาน ภาควิชาอายุรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเท็กซัส ซานอันโตนิโอ รัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา ใช้เวลามากกว่า 20 ปีในการคิดค้นหาวิธีรักษากลุ่มผู้ป่วยเบาหวานประเภทที่ 2 ตั้งแต่การใช้ยาเมทฟอร์มิน (metformin) ที่ช่วยยับยั้งการดูดกลับของน้ำตาลสู่ไต ควบคู่กับการใช้วิธีรักษาโรคเบาหวานแบบเฉพาะบุคคล (personalized treatment) โดยออกแบบโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น การออกกำลังกายลดน้ำหนักตามความเหมาะสมของบุคคล ซึ่งต่อมาวิธีนี้ได้เผยแพร่ใช้กันในการรักษาเบาหวานทั่วโลก

รางวัลอันทรงเกียรติที่เคยได้รับ : รางวัลเจ้าฟ้ามหิดล สาขาการแพทย์ ปี 2566

การค้นพบ ‘ยาต้านเกล็ดเลือด’ เพื่อช่วยผู้ป่วยจากโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน

เป็นเวลาเกือบครึ่งชีวิตที่ศาสตราจารย์ ดร. นายแพทย์ วาเลนติน ฟัสเตอร์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยโรคหัวใจและหลอดเลือดแห่งชาติ กรุงมาดริด ประเทศสเปน, นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลเมาท์ไซนาย นครนิวยอร์ก จากสหรัฐอเมริกา และหัวหน้ากองบรรณาธิการ วารสารวิทยาลัยโรคหัวใจแห่งอเมริกา สหรัฐอเมริกา หมดไปกับการวิจัยเรื่องบทบาทของ ‘เกล็ดเลือด’ เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน ที่แต่เดิมมีวิธีการรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดเท่านั้น และบ่อยครั้งที่ผู้ป่วยมีโอกาสกลับมาป่วยซ้ำหลังการผ่าตัด

หลังใช้เวลาอย่างยาวนาน จนในที่สุด ศาสตราจารย์ ดร. นายแพทย์วาเลนติน ฟัสเตอร์ ได้คิดค้นยาที่มีชื่อว่า ‘ยาต้านเกล็ดเลือด’ ซึ่งสามารถใช้ควบคู่ภายหลังจากการผ่าตัดหลอดเลือดหัวใจบายพาส’ (CABG-Coronary Artery Bypass Grafting) ในผู้ป่วยโรคหัวใจตีบตัน ทำให้อัตราการสูญเสียในกลุ่มผู้ป่วยโรคดังกล่าวลดน้อยลง และหายขาดจนกลับมาใช้ชีวิตได้ดังปกติ อีกทั้งยาตัวดังกล่าวยังสามารถนำไปต่อยอดรักษาผู้ป่วยที่มีอาการเกี่ยวกับหลอดเลือดอุดตันส่วนอื่นๆ เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบ เป็นต้น ได้อีกด้วย 

รางวัลอันทรงเกียรติที่เคยได้รับ : รางวัลเจ้าฟ้ามหิดล สาขาการแพทย์ ปี 2563

‘แมทธิว โนโมแกรม’ เครื่องมือช่วยเหลือช่วยเหลือผู้ประสบตับเป็นพิษจากยาพาราเซตามอล  

พาราเซตามอลคือยาสามัญประจำบ้านที่มีไว้บรรเทาอาการปวด ทว่าการใช้ในปริมาณที่มากหรือใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน อาจส่งผลเป็นพิษต่อตับ ยิ่งหากย้อนกลับไปเมื่อ 52 ปีที่มีผู้เสียชีวิตจากภาวะตับวายจากการใช้ยาพาราเซตามอลเกินขนาด มากถึงร้อยละ 70 ของผู้ป่วยทั่วโลก

จากปัญหาดังกล่าว ศาสตราจารย์ นายแพทย์แบร์รี่ เอช. รูแมค ที่ในเวลานั้นดำรงตำแหน่งอยู่ในโรงพยาบาลรอยัลแห่งเอดินบะระ ในประเทศสกอตแลนด์ ได้คิดหาวิธีช่วยชีวิตผู้ที่ประสบตับเป็นพิษจากพาราเซตามอล ก่อนจะสามารถประดิษฐ์ ‘Rumack–Matthew nomogram’ หรือเครื่องมือที่สามารถแสดงกราฟค่าความเข้มข้นของพาราเซตามอลในเลือด ซึ่งสามารถบ่งชี้ถึงความเสี่ยงต่อภาวะตับเป็นพิษในผู้ป่วยแต่ละราย ควบคู่กับการใช้ยาเอ็น อะซิติลซิสเตอีน (N-acetylcysteine) ที่สามารถบรรเทาอาการตับเป็นพิษรุนแรง โดยต่อมาเครื่องมือนี้ถูกใช้อย่างแพร่หลายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในแผนกห้องฉุกเฉินที่ต้องกะปริมาณยาในเวลาสั้นๆ

รางวัลอันทรงเกียรติที่เคยได้รับ : รางวัลเจ้าฟ้ามหิดล สาขาการสาธารณสุข ปี 2566

‘สู่รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล รางวัลโนเบลด้านการแพทย์ของไทย’

อย่างที่เห็นว่า บุคลากรที่กล่าวมาทั้ง 4 คนล้วนควรค่าแก่การชื่มชมและยกย่อง ในฐานะผู้ยกระดับและช่วยเหลือวงการสาธารณสุขโลก โดยแต่ละรายล้วนได้รับรางวัลอันทรงเกียรติ นั่นคือ ‘รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ในพระบรมราชูปถัมนภ์’ (Prince Mahidol Award Foundation) ที่เป็นเสมือนดั่ง ‘รางวัลโนเบล’  สาขาการแพทย์และสาธารณสุข เพื่อตอบแทนความมุ่งมั่นพยายามของพวกเขา โดยแบ่งเป็น ‘รางวัลสาขาการแพทย์’ ที่มอบให้แก่บุคคลหรือองค์กรที่ปฏิบัติงาน และวิจัยดีเด่นการแพทย์ อันก่อประโยชน์แก่มนุษยชาติ และ ‘รางวัลสาขาการสาธารณสุข’ ที่มอบให้แก่บุคคลหรือองค์กรที่ปฏิบัติงานดีเด่นทางด้านสาธารณสุข เป็นประโยชน์แก่สุขภาพอนามัยของมนุษยชาติ

ซึ่งการมอบรางวัลให้แก่บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขทั้ง 4 ราย ถือเป็นความตั้งใจของมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลฯ ที่ต้องการสร้างความพร้อมควบคู่กับความเจริญก้าวหน้าของวงการแพทย์และสาธารณสุข เพื่อประโยชน์ต่อผู้คนจำนวนมาก ตามพระราชปณิธานของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ผู้ทรงเป็นบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันและการสาธารณสุขของไทย 

ทั้งนี้ รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล เป็นรางวัลที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้จัดตั้งขึ้นเพื่อถวายเป็นพระราชานุสรณ์แด่สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ผู้ทรงเป็นบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันและการสาธารณสุขของไทย เนื่องในวโรกาสเฉลิมฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพครบ 100 ปี นับตั้งแต่ปี 2535 จวบจนปัจจุบัน

นอกจากการมอบรางวัลเชิดชู มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลฯ ยังมีอีกหนึ่งหน้าที่สำคัญ นั่นคือการดำเนิน ‘โครงการเยาวชนรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล’ (Prince Mahidol Award Youth Program) ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อสร้าง

นักวิจัยและนักพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพรุ่นใหม่ ที่พร้อมสานต่อเจตนารมณ์แห่งการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ด้วยงานวิจัยสร้างสรรค์จากการศึกษาด้านทฤษฎีและการลงมือปฏิบัติอย่างแท้จริง ดังนั้นเยาวชนที่มีความฝันอยากจะเป็นแพทย์หรือนักวิจัยโครงการนี้จึงเป็นอีกหนึ่งบันไดสำคัญในการไปถึงจุดหมาย (สามารถดูรายละเอียดของโครงการได้ที่เว็บไซต์ เว็บไซต์ https://www.si.mahidol.ac.th/PMAYP/index.html)

ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องราวของบุคคลสำคัญที่ใช้ความรู้ ความสามารถ ในการคิดค้นแนวทางและเครื่องมือการรักษาเพื่อช่วยเหลือผู้คนทั่วโลกด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ แต่เหนือสิ่งอื่นใด รางวัลอาจเป็นเพียงผลลัพธ์ปลายทางของความสำเร็จ แต่ ‘หัวใจ’ จริงๆ ที่อยู่ในของรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล รวมไปถึงเจตนารมย์ของมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลฯ นั่นคือ ‘การเสียสละ’ เพื่อช่วยชีวิตเพื่อนร่วมโลกจำนวนมาก ซึ่งสักวันคนไทยที่มีความสามารถก็อาจก้าวไปถึงจุดนั้นได้ ตราบใดที่ไม่ละทิ้งความพยายาม 

อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นว่า ทุกๆ ความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุขที่ดี ย่อมนำมาซึ่งคุณภาพชีวิตที่ดี พร้อมกับสามารถขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้าได้ โดยมีบุคลากรด้านการแพทย์และสาธารณสุขที่เป็นดังกระดูกสันหลังคอยค้ำจุนอยู่เบื้องหลัง ซึ่งบุคคลเหล่านี้เหมาะสมแล้วแก่การเชิดชูและจดจำในหน้าประวัติศาสตร์

การเดินทางของ ‘เจ้าชายน้อย’ และ 7 เคล็ดลับที่ทำให้วรรณกรรมเรื่องนี้ยังอยู่ในใจผู้คนตลอดกาล

ถ้าพูดถึงวรรณกรรมเยาวชนในดวงใจของคนทุกยุคทุกสมัย ชื่อของ ‘เจ้าชายน้อย’ หรือ The Little Prince โดย อองตวน เดอ แซ็งแตกซูว์เปรี นักเขียนชาวฝรั่งเศส น่าจะเป็นชื่อที่ใครหลายคนพูดถึง

เรื่องของนักบินคนหนึ่งที่เครื่องบินตกกลางทะเลทราย แล้วจู่ๆ ก็ไปพบกับเจ้าชายน้อย เด็กชายผมทองจากดาว B612 ผู้ท่องเที่ยวไปยังดวงดาวต่างๆ ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องราวเปี่ยมไปด้วยจินตนาการ ขณะเดียวกัน วรรณกรรมเยาวชนเรื่องนี้ก็ลึกซึ้งและสอดแทรกบทเรียนว่าด้วยชีวิต จนทำให้นักอ่านทั่วโลกยกให้เป็นหนังสือขึ้นหิ้ง แม้เวลาจะผ่านมานานกว่า 80 ปีนับตั้งแต่ได้พิมพ์ครั้งแรก

แต่สิ่งที่ทำให้เจ้าชายน้อยกลายเป็นวรรณกรรมอมตะไม่ได้มีเพียงเท่านั้น เพราะหากมองด้วยสายตาของคนทำธุรกิจ เจ้าชายน้อยนี่แหละคือตัวอย่างชั้นดีในการทำแบรนดิ้งให้น่าจดจำ และการต่อยอดวรรณกรรมสู่สินค้าไลฟ์สไตล์ในชีวิตประจำวันทำให้คนที่ชอบอยู่แล้วยิ่งรัก ทำให้คนที่ไม่รู้จักอยากติดตาม

กว่าจะดังแบบทุกวัน เจ้าชายน้อยผ่านการเดินทางอะไรมาบ้าง เราขอสรุปออกมาเป็น 7 ข้อนี้

1. เข้าถึงหัวใจคนได้ทั่วโลกด้วยการแปลเป็นภาษาต่างประเทศมากที่สุด เป็นรองแค่คัมภีร์ไบเบิล 

นับจนถึงตอนนี้ เจ้าชายน้อยถือเป็นวรรณกรรมที่ถูกนำไปแปลเป็นภาษาต่างประเทศมากที่สุด (รองลงมาจากคัมภีร์ไบเบิล) เจ้าชายน้อยถูกแปลไปแล้ว 618 ภาษาอย่างเป็นทางการในปี 2025 ไหนจะมีภาษาถิ่นอีกมากมายที่เกินจินตนาการของเรา อย่างในไทยเองก็มีคนหยิบยกไปแปลเป็นภาษาล้านนา ภาษายาวี ไปจนถึงภาษาปกาเกอะญอ ทำให้ในทุกปี เจ้าชายน้อยหลากหลายภาษาเหล่านี้ขายได้มากกว่า 5 ล้านเล่มเลยทีเดียว

ยังไม่นับรวมความปังที่ว่า ไม่ว่าภาษาอะไร ผู้จัดพิมพ์ก็ขยันเข็นเจ้าชายน้อยออกมาให้นักอ่านเห็นตามชั้นหนังสือเสมอ บ้างจัดพิมพ์พร้อมสำนวนแปลใหม่ บ้างจัดพิมพ์พร้อมปกโดยนักวาดคนใหม่ บ้างก็จัดพิมพ์ในวาระพิเศษ อย่างในไทย สำนักพิมพ์ อ่าน๑๐๑ ก็เพิ่งออกเจ้าชายน้อยฉบับครบรอบ 80 ปี เฉลิมฉลองด้วยปกฝีมือนักวาดไทย Apolar เมื่อไม่นานมานี้เอง

2. ต่อยอดองค์ประกอบแสนอุ่นใจเป็นสินค้าและคอลแล็บกับแบรนด์ระดับโลก

หนึ่งในมนตร์วิเศษที่ทำให้ชื่อเจ้าชายน้อยยังเป็นที่รักของผู้คน คือการต่อยอด โดยเฉพาะการต่อยอดออกมาเป็นสินค้า merchandise มากมายโดย Le Petit Prince Licensing บริษัทแม่ผู้ถือครองลิขสิทธ์ของเจ้าชายน้อยเอง กว่า 30 ปีที่ผ่านมา พวกเขาผลิตสินค้าลิขสิทธิ์ของเจ้าชายน้อยออกมากว่า 10,000 รายการ มีตั้งแต่เกม ตุ๊กตา ไปจนถึงเครื่องเรือนเครื่องใช้ ซึ่งบริษัทแม่มีมาตรฐานที่จะควบคุมคุณภาพสินค้า เพื่อให้มั่นใจว่าแฟนๆ จะได้โปรดักต์ที่ดีที่สุด

ไม่เพียงเท่านั้น เจ้าชายน้อยยังเปิดช็อปออฟฟิเชียลของตัวเองในปารีส แถมยังเดินทางไปจับมือคอลแล็บกับแบรนด์เล็กใหญ่จากทั่วโลก ตั้งแต่ Funko Pop! แบรนด์อาร์ตทอยชื่อดัง, Moleskine แบรนด์เครื่องเขียนของคนเท่, แบรนด์รองเท้าสวย CAVAL, โรงแรมเชนใหญ่ Sofitel และอีกมากมาย เพื่อทำให้เจ้าชายน้อยกลายเป็นสินค้าไลฟ์สไตล์ อยู่ในชีวิตประจำวันของเราทุกคน

3. หยิบจับเรื่องราวคลาสสิก ดัดแปลงเป็นหนังดังที่ดูได้ไม่รู้เบื่อ

หนึ่งในสูตรของการต่อยอดวรรณกรรมคลาสสิกให้คนรู้จักและรักมันอยู่เสมอ คือการดัดแปลงสู่จอเงิน

เจ้าชายน้อยก็เหมือนกับหนังสือดังหลายเล่มที่ขายดีแล้วถูกหยิบมาทำเป็นหนัง ซึ่งข้อดีของการทำเป็นหนังก็คือ มันสามารถรีเมคได้เรื่อยๆ และตีความได้หลายครั้ง เจ้าชายน้อยเองก็เช่นกัน หนังเรื่องแรกที่พาเจ้าชายน้อยไปโลดแล่นบนจอใหญ่คือ The Little Prince ฉบับ live-action ที่มีคนแสดงจริง ออกฉายในปี 1974

แต่เวอร์ชั่นที่คนยุคนี้น่าจะคุ้นกันคือ The Little Prince ฉบับแอนิเมชั่นปี 2015 ที่สตูดิโอในฝรั่งเศสออกทุนสร้างเอง เวอร์ชั่นนี้ทำเงินเกือบร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นแอนิเมชั่นฝรั่งเศสที่ประสบความสำเร็จที่สุด

4. สร้างคาเฟ่และพิพิธภัณฑ์ให้นักอ่านแวะเวียนมาเยี่ยมเยือ

วรรณกรรมเรื่องนี้ดังแค่ไหน หนึ่งในตัวชี้วัดที่ใช้วัดได้ คือเจ้าชายน้อยมีพิพิธภัณฑ์และคาเฟ่ของตัวเอง และไม่ได้มีแค่แห่งเดียวเสียด้วย

The Morgan Library & Museum ที่นิวยอร์ก คือที่เก็บต้นฉบับดั้งเดิมของเจ้าชายน้อยที่อองตวน เดอ แซ็งแตกซูว์เปรี เขียนและวาดกับมือ ที่นั่นจึงจัดแสดงเวอร์ชั่นดิจิทัลของต้นฉบับเจ้าชายน้อย แถมยังมีวิดีโอของผู้เชี่ยวชาญมาวิเคราะห์ให้ฟังอีก

หากข้ามมายังฝั่งเอเชียบ้านเรา พิพิธภัณฑ์ที่หลายคนคุ้นหูอาจเป็น The Little Prince Museum ในเมืองฮาโกเน่ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งสร้างอาคารและจัดแสดงประติมากรรมเจ้าชายน้อย (น่าเสียดายที่ปัจจุบันปิดไปแล้ว) แต่แฟนๆ ไม่ต้องเสียดายไปหรอก เพราะเมื่อปี 2022 The Little Prince Musuem ก็เปิดสาขาใหม่ที่เกาะเจจู ประเทศเกาหลีใต้ จัดแสดงนิทรรศการ งานศิลป์ และประสบการณ์ immersive ของเจ้าชายน้อย ให้นักอ่านทั่วโลกได้แวะเวียนไปชม

หรือถ้าคนไทยคนไหนอยากไปใกล้หน่อย ที่บ้านเราก็มีคาเฟ่เจ้าชายน้อยที่ L’Envol Art Space ถนนสวนพลู เปิดต้อนรับทุกคนให้ไปจิบกาแฟ กินขนม เสพงานศิลป์ในร้านบรรยากาศสุดชิลล์ที่ตกแต่งด้วยธีมเจ้าชายน้อยได้เลย

The Little Prince Universe: an Immersive Journey

5. เพิ่มความอินให้นักอ่านด้วยประสบการณ์เสมือนจริงผ่านนิทรรศการ Immersive 

ถ้าหากคาเฟ่กับพิพิธภัณฑ์ยังไม่จุใจ ขอเชิญคุณไปร่วมสัมผัสประสบการณ์ด้านภาพ แสง สี เสียงของเจ้าชายน้อยในงาน The Little Prince Universe: an Immersive Journey

หลังจากเจ้าชายน้อยแวะเวียนไปจัดงาน Immersive มาแล้วหลายประเทศ ทั้งดูไบ ตุรกี เม็กซิโก และมาเลเซียจนมีผู้เข้าชมล้นหลาม ในที่สุด เจ้าชายน้อยก็เดินทางสู่กรุงเทพฯ บ้านเรา โดยเขาได้เนรมิตพื้นที่กว่า 2,000 ตารางเมตรให้กลายเป็นโลกที่ผสมผสานประสบการณ์ Digital Interactive Experience กับงานศิลปะที่จัดวางอย่างสวยงาม ให้ผู้เข้าชมมีส่วนร่วมได้อย่างสนุกสนาน ใครที่สนใจ ซื้อบัตรเข้าไปชมกันได้ที่ ICONSIAM ตั้งแต่ 24 มกราคมจนถึง 11 พฤษภาคมนี้เท่านั้น

6. ขยันจัดงานฉลองครบรอบเพื่อให้ชื่อ The Little Prince ยังก้องอยู่ในใจตลอดกาล 

เจ้าชายน้อยถือเป็นวรรณกรรมที่จัดงานครบรอบได้ฉ่ำสุดๆ ไม่ว่าจะผู้ถือลิขสิทธิ์ สำนักพิมพ์ หรือแฟนนานุที่เป็นนักอ่าน จะปีไหนๆ ก็ขยันฉลองกันอย่างสม่ำเสมอ ในวันที่ 29 มิถุนายนของทุกปีคือวันเกิดของนักเขียน วันนี้จึงถูกยกให้เป็นวัน International Little Prince Day ที่แฟนๆ ทั่วโลกจะร่วมเซเลเบรตกันในวิธีต่างๆ ของตัวเอง

อย่างในปี 2023 บริษัทแม่ผู้ถือลิขสิทธิ์ก็เพิ่งฉลองอย่างยิ่งใหญ่ ด้วยการปล่อยตัวอย่างซีรี่ส์อนิเมชั่นเจ้าชายน้อย เปิดพิพิธภัณฑ์ที่เกาะเจจู เปิดขายอาร์ตทอย Funko Pop! เจ้าชายน้อย และสินค้าอื่นๆ อีกมากมาย
วิธีนี้เองทำให้ชื่อของเจ้าชายน้อยไม่เคยหายไป ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน

7. เนื้อเรื่องสุดคลาสสิกที่อ่านซ้ำกี่ครั้งก็ยังตรึงใจ

สุดท้ายแล้ว เหนือไปกว่าปัจจัยทั้งหมด สิ่งที่ทำให้ใครหลายคนรักเจ้าชายน้อยไม่ไปไหน คือเนื้อเรื่องที่แสนจะลึกซึ้งนี่แหละ

เจ้าชายน้อยเป็นวรรณกรรมสำหรับทุกเพศทุกวัย เต็มไปด้วยประโยคที่ลุ่มลึก น่าตีความ และทำให้เราอัศจรรย์ใจทุกครั้งที่กลับมาอ่านแล้วจะได้มุมมองใหม่ๆ กลับไปเสมอ โดยเฉพาะเหล่าคนที่ผ่านชีวิตมาแล้วประมาณหนึ่ง

เหมือนในประโยคสุดคลาสสิก ‘เราจะมองเห็นแจ่มชัดด้วยหัวใจเท่านั้น สิ่งสำคัญนั้นไม่อาจเห็นได้ด้วยดวงตา’ ภายใต้ลายเส้นน่ารักและเรื่องราวการเดินทางอันน่าทึ่ง หากเรามองลึกลงไป เจ้าชายน้อยสอนบทเรียนเกี่ยวกับมิตรภาพ ความรัก ความเหงา การสูญเสีย และทั้งหมดนั้นแหละคือชีวิต

อ้างอิง

SC Asset กับกลยุทธ์ Rethink to Reform ปรับพอร์ต เปิดโครงการใหม่ พร้อมฝ่าคลื่นเศรษฐกิจ 2025

ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยกำลังเผชิญแรงกดดันจากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นระดับหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในจุดสูงสุด อุปทานที่ล้นตลาด หรือความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ 

อุปสรรคเหล่านี้ส่งผลโดยตรงต่อการเติบโตของตลาดที่อยู่อาศัยและการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ แต่ในทุกวิกฤตย่อมมีโอกาสเสมอ และในปีนี้ SC Asset หนึ่งในบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทย ได้ปรับกลยุทธ์ครั้งสำคัญเพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ พร้อมวางรากฐานสู่การเติบโตที่ยั่งยืนในปี 2025

ภายใต้กลยุทธ์ Rethink to Reform หรือการคิดใหม่เพื่อทรานส์ฟอร์ม ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า SC Asset ไม่เพียงแต่ปรับตัวเพื่อความอยู่รอดในสภาพแวดล้อมที่ผันผวน แต่ยังมุ่งเน้นการสร้างความแข็งแกร่งจากภายในองค์กรด้วยการ Reform 3 เรื่อง ได้แก่ ปรับพอร์ตโฟลิโอธุรกิจเพื่อกระจายความเสี่ยง ปรับโครงสร้างต้นทุนและค่าใช้จ่ายให้เหมาะสมเพื่อเพิ่มความสามารถในการทำกำไร และปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจที่หลากหลาย

เบื้องหลังโครงการใหม่ของ SC ASSET ทั้งบ้านเดี่ยว SONLE, คอนโด Reference และ COBE โรงแรม KROMO, Curio Collection by Hilton และ The Standard ที่พัทยา, คลังสินค้าเพื่อเช่าย่านบางนา กม. 20, แหลมฉบัง และนิคมอมตะ ชลบุรี และอีกมากมาย ชวนไขกลยุทธ์ว่าผู้นำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์วางแผนกลยุทธ์ยังไงเพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ  

กลยุทธ์ปรับพอร์ต :
สร้างสมดุลระหว่างการเติบโตและความมั่นคง

หนึ่งในแนวทางสำคัญของ SC Asset คือการปรับโครงสร้างพอร์ตธุรกิจให้มีความสมดุลมากขึ้น โดยแบ่งเป็นสามกลุ่มหลัก กลุ่มแรกคือธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย ซึ่งเป็นหัวใจหลักของบริษัท ครอบคลุมทั้งบ้านแนวราบและคอนโดมิเนียม โดยในปี 2025 บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ถึง 15 โครงการ รวมมูลค่า 28,000 ล้านบาท
ความน่าสนใจของแผนพัฒนาในปีนี้ คือการเปิดตัวบ้านเดี่ยวแบรนด์ใหม่ SONLE ที่นำเสนอความหรูหราในสไตล์ Sophisticated Modern Tropical ซึ่งเป็นตลาดที่มีดีมานด์เฉพาะกลุ่ม และบ้านเดี่ยวระดับพรีเมียมภายใต้แบรนด์ Bangkok Boulevard ที่ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ส่วนคอนโดมิเนียม SC Asset ยังคงเดินหน้าต่อยอดความสำเร็จของแบรนด์ Reference และ COBE ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการในทำเลศักยภาพที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมือง
กลุ่มธุรกิจที่สองคือ อสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างรายได้ประจำ ซึ่งประกอบไปด้วยโรงแรม คลังสินค้า อาคารสำนักงาน และอพาร์ตเมนต์ให้เช่าในสหรัฐอเมริกา จุดแข็งของกลุ่มธุรกิจนี้คือความสามารถในการสร้างกระแสรายได้ที่มั่นคง ลดความผันผวนจากยอดขายที่อยู่อาศัย 

ในปี 2025 บริษัทวางแผนขยายธุรกิจโรงแรมเพิ่มขึ้น โดยเปิดตัว KROMO, Curio Collection by Hilton บนถนนสุขุมวิท ตรงข้ามห้าง EmSphere และโรงแรม The Standard แห่งใหม่ริมชายหาดพัทยา นอกจากนี้ยังเตรียมเปิดคลังสินค้าให้เช่าในทำเลสำคัญ เช่น บางนา กม. 20 แหลมฉบัง และนิคมอุตสาหกรรมอมตะ ชลบุรี เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากอุตสาหกรรมโลจิสติกส์และอีคอมเมิร์ซ

ส่วนกลุ่มธุรกิจที่สาม คือการลงทุนในโอกาสใหม่ๆ ที่มีแนวโน้มเติบโตในอนาคต การขยายพอร์ตธุรกิจในลักษณะนี้ไม่เพียงแต่ช่วยกระจายความเสี่ยง แต่ยังเป็นการสร้างโอกาสให้ SC Asset ก้าวเข้าสู่ตลาดใหม่ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้ในระยะยาว

การบริหารต้นทุนและองค์กร :
เสริมความสามารถในการแข่งขันและเติบโตต่อเนื่อง

นอกเหนือจากการกระจายพอร์ตธุรกิจ SC Asset ยังให้ความสำคัญกับการบริหารต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน  มุ่งเน้นการเพิ่มความคล่องตัว เพื่อให้สามารถขยายธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 

แนวทางสำคัญคือการปรับกระบวนการทำงานให้เหมาะสมกับโมเดลธุรกิจที่หลากหลาย พร้อมสร้างโอกาสในการเติบโตให้กับพนักงานผ่านการพัฒนาทักษะและการเพิ่มบทบาทในองค์กร และเน้นการลงทุนในนวัตกรรมและคุณภาพของสินค้าเพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป

แม้ว่าปี 2025 จะยังคงเป็นปีที่มีความท้าทาย แต่ SC Asset ได้วางแผนเติบโตอย่างมั่นคง โดยตั้งเป้ายอดขาย 26,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากปีก่อน และคาดว่ารายได้รวมจากทุกกลุ่มธุรกิจจะเติบโต 11% เป็น 25,000 ล้านบาท ด้วยงบลงทุนกว่า 7,000 ล้านบาท

นอกจากเป้าหมายทางการเงินแล้ว บริษัทยังมุ่งเน้นเรื่องความยั่งยืน โดยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ลงมากกว่า 100,000 ตันคาร์บอนในช่วงปี 2025-2030 ซึ่งเป็นหนึ่งในความพยายามที่จะสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางธุรกิจและความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

SC Asset ไม่ได้มองการเติบโตในปี 2025 เป็นเพียงเป้าหมายระยะสั้น แต่เป็นการวางรากฐานสำหรับอนาคตขององค์กรในระยะยาว การปรับพอร์ตโฟลิโอให้สมดุลระหว่างธุรกิจที่สร้างรายได้ทันทีและธุรกิจที่มีศักยภาพเติบโตในอนาคต ทำให้บริษัทสามารถรับมือกับความผันผวนทางเศรษฐกิจได้ดีขึ้น ในขณะที่การบริหารต้นทุนและการเพิ่มประสิทธิภาพภายในองค์กรช่วยให้ SC Asset สามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันได้อย่างต่อเนื่อง 

ด้วยแนวทาง Rethink to Reform และการบริหารงานที่รอบคอบ SC Asset กำลังก้าวเข้าสู่ปี 2025 อย่างมั่นคง และพร้อมเผชิญกับทุกความท้าทาย เพื่อรักษาตำแหน่งผู้นำในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยต่อไป

การเฮ็ด BWILD Isan แบรนด์ที่ทำให้ช่าง นักออกแบบ และสินค้าเมดอินอีสานเป็นที่ยอมฮับ

คำว่าซอฟต์พาวเวอร์ถูกพูดถึงบ่อยขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในมิติศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มักถูกมองว่าเป็นของดีที่อาจยกระดับเพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้

แต่ก่อนที่คำคำนี้จะเฟื่องฟูขึ้นและถูกผูกโยงกับมิติวัฒนธรรมและภูมิปัญญา จนกลายมาเป็นนโยบายที่ภาครัฐพยายามขับเคลื่อนเพื่อสร้างโอกาสให้คนไทย เช่น นโยบาย 1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์นั้น ย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว BWILD Isan เองก็เกิดขึ้นด้วยเหตุผลคล้ายกัน แตกต่างเพียงโอกาสที่ BWILD Isan พยายามสร้างคือโอกาสของคนอีสาน เพื่อให้โอกาสเป็นเส้นทางพาอีสานไปสู่อีสานที่ดีขึ้นในทุกๆ วันด้วยงาน ความคิดสร้างสรรค์ และฝีมือคนอีสาน

ชมพู่–กาญจนา ชนาเทพาพร ผู้ก่อตั้ง BWILD Isan

“อีสานเราไม่ได้มีโอกาสมากมาย ถ้าเทียบกับภูมิปัญญา ทรัพยากรที่เรามีอยู่ เราต้องการโอกาสที่จะแสดงฝีมือ ที่จะรักษา ปกป้องงาน และภูมิปัญญาของผู้คนมากกว่านี้ มันเกิดจากสิ่งนี้ และที่ปักหมุดเป็นอีสาน เพราะที่นี่คือบ้าน ฉันอยู่ที่นี่ บ้านฉันยังไม่ดี ฉันอยากให้ที่นี่ดี และที่นี่จะต้องดีด้วยทุกสิ่งที่ฉันทำ” ชมพู่–กาญจนา ชนาเทพาพร ผู้ก่อตั้ง BWILD Isan เล่าย้อนถึงจุดเริ่มต้นและความตั้งใจใน day 1 ให้ฟัง

การก่อร่างขึ้นของ BWILD Isan ไม่มีการวางแผนล่วงหน้า ไม่ได้เกิดจากการเห็นโอกาสทางธุรกิจ มีเพียงคำถามเล็กๆ ที่ว่า ในสถานการณ์ที่แย่ที่สุดอย่างโควิดที่ธุรกิจและการทำมาหากินของผู้คนหยุดชะงัก คนอีสานหลายคนต้องหวนกลับสู่บ้านเกิด ไร้งาน ไร้ความหวัง รวมถึงห้องเสื้อ By Heart ของชมพู่ เธอในฐานะเจ้าของกิจการจะพานักออกแบบและช่างฝีมืออีกหลายชีวิตผ่านวิกฤตนี้ไปยังไง

แม้จะเริ่มต้นกันมาจากก้าวเล็กๆ และเริ่มในสถานการณ์ที่ยาก แต่ตลอดระยะเวลากว่า 5 ปีที่ผ่านมา BWILD Isan ได้สร้างโอกาส สร้างชื่อเสียงให้กับช่างฝีมือและนักออกแบบชาวอีสานในระดับประเทศ อย่างช่วงกลางปี 2024 BWILD Isan ก็ได้พาสินค้าจากช่างฝีมือและนักออกแบบชาวอีสานไปเฉิดฉาย ณ กรุงมอสโก ในงาน Thai Festival in Moscow 2024 หรือจะเทศกาลคริสต์มาสที่ผ่านมา ที่การได้ร่วมงานกับเซ็นทรัลพัฒนาและสตูดิโอสถาปนิก ATTA STUDIO เนรมิตต้นคริสต์มาส ‘คัก-คริส-มัด’ ที่คำนึงถึงความยั่งยืนขึ้นหน้าลานเซ็นทรัล ขอนแก่น ที่สำคัญโปรเจกต์นี้ยังเป็นการทำงานร่วมกับชุมชนอีกกว่า 15 ชุมชนและร่วมมือกับช่างในท้องถิ่นอีสาน

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ชมพู่และทีม BWILD Isan พยายามทำเพื่อให้ผู้คนได้เห็นศักยภาพอีสานบ้านเกิด และทำให้อีสานเข้าถึงโอกาสได้มากขึ้น  เพราะมากกว่าเรื่องของแฟชั่น ล่าสุดเธอคนนี้ยังเป็นส่วนเล็กๆ ของกลุ่มนักสร้างสรรค์ในการร่วมทำงานโปรเจกต์ ‘ปลาร้าหมอลำ Isan to the World’ ขึ้น ซึ่งเป็นเฟสติวัลครั้งแรกที่จัดขึ้นโดยภาครัฐและเอกชน เพื่อตั้งใจนำเสนอวัฒนธรรมดนตรีและอาหารการกินอีสาน โดยเฉพาะ ‘ปลาร้า’ และ ‘หมอลำ’ ไปสู่สายตาชาวโลก

น่าสนใจว่าอะไรคือเหตุผลเบื้องหลังที่ทำให้ชมพู่ไม่ละทิ้งความเป็นอีสานไป เพราะไม่ว่าจะลงมือทำอะไร เธอยังคงยึดโยงอยู่กับดินแดนแห่งนี้ทั้งสิ้น ตามไปค้นลึกถึงมุมมองและวิธีคิดทำ BWILD Isan การเปลี่ยนอีสานเป็นสินค้าที่ขายได้ และย้อนภูมิหลังของเธอพร้อมกันในคอลัมน์ ‘อี’คอมเมิร์ซ’ ตอนนี้

-1-
บ่แม่นคนอีสานตั้งแต่เกิด แต่กะฮักอีสานบ่แพ้ไผ 

“พ่อแม่พี่ไม่ใช่คนอีสาน พี่เกิดในครอบครัวคนจีน พ่อพี่เป็นคนกรุงเทพฯ แม่เป็นคนแปดริ้ว พ่อกับแม่ย้ายไปทำมาหากินที่อุดรธานีตั้งแต่พี่ยังเด็ก ทำกิจการเล็กๆ เป็นร้านค้าห้องแถวในตลาด

“พี่เกิดและเติบโตที่อุดร ความรู้สึกเรา เราคือคนอีสานนะ เป็นคนอีสานที่อยู่ในเมือง เพราะพอโตมาเข้ามหา’ลัยก็ยังเรียนอยู่ที่อีสาน คือมหาวิทยาลัยขอนแก่น ทั้งปริญญาตรีและปริญญาโท”

แม้ไม่ใช่คนอีสานแต่กำเนิด แต่ชีวิตที่ได้คลุกคลีกับสังคมอีสานมาตั้งแต่ยังเล็กทำให้เธอรู้สึกได้ว่าที่นี่คือ ‘บ้าน’

“บางคนมีคำถามว่าทำไมถึงต้องแค่อีสาน ในใจพี่คือ ถ้าบ้านเราเรายังทำให้ดีไม่ได้ จะไปคิดอะไรใหญ่กว่านี้ได้ ทำบ้านตัวเองให้ดีก่อน มันไม่ได้เป็นเรื่องแปลกเลย การที่คนคนหนึ่งพูดเรื่องบ้านตัวเองหรือรักบ้านตัวเอง และยอมรับได้ในเรื่องที่มันทั้งดี ไม่ดี และเลือกที่จะทำให้มันดีขึ้น 

“ชีวิตตั้งแต่เด็กจนโต สังคมรอบตัวทำให้เราซึมซับวิถีชีวิตคนอีสานและความเป็นอีสานที่แตกต่าง การโตมากับสังคมอีสานทำให้เราได้เห็นอีสานในหลายมิติ ในด้านที่มีพร้อม มีเกินพอ ไปจนถึงด้านที่มีไม่พอ พี่มีทั้งเพื่อนที่มาจากกรุงเทพฯ มาเรียนขอนแก่น พร้อมทุกด้าน และมีทั้งเพื่อนที่อยู่ต่างอำเภอ ต้องมาพักหอพักใน ม. คนที่อยู่ต่างอำเภอเขาก็ต้องต้องดิ้นรน หาค่าเรียน ค่าเทอม การเรียนมหา’ลัยทำให้เราได้เห็นชีวิตนั้น

“แม้แต่ช่างเย็บผ้าที่ร้าน 17 ปีที่ทำงานด้วยกัน เขายังต้องนั่งรถประจำทางโดยสารกันเป็นชั่วโมงเพื่อเข้ามาทำงานในเมือง ตอนกลับก็ต้องรีบกลับเพราะรถโดยสารจะหมด ขนาดเราอยู่ขอนแก่นเหมือนกันแท้ๆ ต่างกันแค่เขาอยู่ต่างอำเภอ การคมนาคมการเดินทางยังยากมาก เลยรู้สึกว่าการต่อสู้เพื่อที่จะมีชีวิตควรจะเป็นของคนอีสาน หรือคนที่ทำธุรกิจในอีสานนั้นมันไม่ง่าย เพราะไม่ว่าจะอยู่ในจุดไหน มันมีความไม่พอ และไม่พร้อมไปหมด ”

-2-
BWILD Isan จากคน Isan เพื่อคน Isan 

ชมพู่เติบโตมาในครอบครัวชนชั้นกลาง ถือเป็นชีวิตที่ไม่ได้ลำบาก อยู่ในสิ่งแวดล้อมของคนอีสานในเมือง ทำให้เธอไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่าใครและคิดว่าคนกรุงเทพฯ กับเธอก็มีโอกาสและศักดิ์ศรีเท่ากัน ทว่าอีกด้านของความคิดก็รู้ว่าไม่ใช่คนอีสานทุกคนจะรู้สึกถึงความเท่าเทียม

ด้วยความเชื่อว่าอีสานมีดี ประกอบกับประสบการณ์การทำธุรกิจที่สั่งสมมา ทำให้เธอได้เรียนรู้ว่า การทำธุรกิจหรืองานที่เธอจะสามารถทำมันได้ดีที่สุดก็คือ งานที่สร้างจากความดีงามของพื้นที่ที่เธออยู่และเติบโต

“ทำไม BWILD Isan เลือกที่จะชูความเป็นอีสาน ก็ต้องบอกว่า คงถูกหล่อหลอมจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ ทั้งการให้รักบ้าน ดูแลครอบครัว เราถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กจนโต พอสั่งสมประสบการณ์ทางธุรกิจ มันทำให้เรารู้ว่าการจะทำธุรกิจหรือทำอะไรสักอย่าง นั่นหมายถึงเรากำลังปกป้อง ดูแลบางอย่างที่มีความหมายมากกว่าแค่ทำมาหากินได้นะ และมันเป็นสิ่งที่ดี

“จริงๆ พี่เพิ่งมาตกตะกอนตอนวัย 40 กว่าปีนี่เอง ก็คือ 4-5 ปีที่แล้ว ตอนที่เริ่มทำ BWILD Isan นี่แหละ ซึ่งอายุตอนนั้นก็ไม่ได้เด็กแล้วนะ เห็นอะไรมาเยอะ ทำธุรกิจมาก็เกือบ 20 ปี จนมีวิกฤตหนักตอนช่วงโควิด วิกฤตมันทำให้เราเห็นตัวเอง ทำให้มีคำถามในใจว่า เราเกิดมาเพื่อทำธุรกิจหาเงินเลี้ยงชีพ เลี้ยงครอบครัวตัวเองให้รอด แต่ในวันนี้ที่ทุกอย่างต้องหยุดชะงัก เราควรจะเอาตัวรอด หรือเราจะลุกขึ้นมาพาใครให้รอดไปด้วยกันได้ไหม 

BWILD Isan

“มีคำถามเกิดขึ้นมากมายในใจเราว่าคำว่าเกื้อกูล พึ่งพากัน ช่วยเหลือ กัลยาณมิตร มันควรต้องใช้ได้ในสถานการณ์ที่มันแย่ที่สุด ทำให้มีความกล้าที่จะลุกขึ้นมาทำ BWILD Isan ในช่วงนั้น” ชมพู่เล่าด้วยน้ำเสียงจริงจัง ก่อนจะขยายความสถานการณ์ที่เธอเรียกมันว่ายากลำบากให้เข้าใจ

“ในช่วงโควิด 4-5 ปีที่แล้ว ถ้าจำได้คือมันลำบากยากเย็นมาก ต้องตัดสินใจระหว่างยอมแพ้กับลุกขึ้นมาสู้ และจะง่ายเลยถ้าพี่มีความคิดที่จะปกป้องแค่ตัวเองและครอบครัว ตอนนั้นพี่ก็แค่หยุด ปิดกิจการ ไม่ต้องลงทุนอะไร ไม่ต้องเกิด BWILD Isan ก็แค่เซฟเงินทั้งหมดเพื่อให้ครอบครัวเราอยู่ต่อไปได้

“แต่เราไม่ได้เลือกเส้นทางนั้น เราไม่ได้มีมากหรอก แต่รู้ว่าจะปล่อยผ่านคนที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้ มันคือชีวิตคน ตอนนั้นพี่ตัดสินใจลงทุนอย่างมีความหวัง เพราะเชื่อว่าชีวิตทุกคนรอบตัวจะต้องผ่านช่วงโควิดไปให้ได้ ตอนนั้นมีกันประมาณ 7-10 ชีวิต ซึ่งหมายถึง 7-10 ครอบครัว”

การลุกขึ้นมาต่อสู้ในช่วงเวลาที่หลายชีวิตกำลังยอมแพ้ไม่เพียงเพื่อต้องการให้ทีมงานหลายชีวิตรอดไปด้วยกัน แต่คือการเชื่อในศักยภาพของทีมออกแบบและช่าง รวมถึงเชื่อใน local wisdom (ภูมิปัญญาท้องถิ่น) ของอีสาน 

“เรามีของดีมากพอ ถ้าเรารักสิ่งที่เรามี เราจะเล่าได้แตกต่าง” เธอยืนยัน

“ช่างบางคน งานฝีมือบางอย่าง หรือภูมิปัญญาท้องถิ่นบางอย่างมันไม่สามารถสร้างได้ใน 8 ภาคการเรียน 4 ปีการศึกษา ต่อให้คุณจบปริญญามาก็อาจจะไม่มีความรู้เท่าเหล่าช่างฝีมือ หรือครูช่างทั้งหลายที่เขาสั่งสมประสบการณ์มาตลอดชีวิต

“อย่างคนเย็บกระเป๋าไก่ของ BWILD Isan เนี่ย มีประสบการณ์มาแล้ว 20 ปีนะ เราใช้ช่างหนังคนเดียวเย็บไก่ 1 ตัว และช่างแต่ละคนทักษะไม่เท่ากัน เขาก็จะมีลายเซ็นที่ไม่เหมือนกัน ต่อให้แพตเทิร์นเดียวกัน งานทำมือโดยคนก็จะออกมาต่างจากงานโรงงาน งานอุตสาหกรรม นั่นคือเอกลักษณ์ของงานคราฟต์และงานดีไซน์ แต่ทักษะช่างฝีมือเหล่านี้กำลังจะหายไปจากประเทศเรา เพราะสู้กับระบบอุตสาหกรรมไม่ได้ 

“และที่เลือกใช้ชื่อแบรนด์ให้มีคำว่า ‘อีสาน’ เพราะว่าเราต้องปักหมุดตัวเองไว้ให้มั่นคงและจริงใจ เลยเลือกที่จะเอาสิ่งที่เราอยากเห็นมันดีมาทำ นั่นก็คืออีสาน เพราะที่นี่คือบ้านของเรา ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็น wonder woman เก่งกว่าใครที่จะมาทำให้อีสานดูดี อีสานมีคนเก่งเยอะ เราแค่ช่วยกันในมุม ในมิติของตัวเอง ในสิ่งที่เราทำได้ บ้านเราอยู่ที่นี่ เราสร้างงานที่นี่ และหวังว่าที่นี่จะต้องดี”

-3-
สารพัดของดีอีสานจากช่างและนักออกแบบอีสาน

กระเป๋าไก่บ้าน (Kai Baan Bag), กระเป๋าปลากัด (Pla Kad Bag), กระเป๋าสุ่มไก่ (Chicken Cage Bag), คัก-คริส-มัด ไปจนถึงคอลเลกชั่น Re-no-waste เหล่านี้คือสารพัดสินค้าและงานสร้างสรรค์จาก BWILD Isan ที่ทำให้เห็นว่าอีสานก็มีดีไม่แพ้ใคร มากกว่านั้นยังเป็นผลงานที่บอกเล่าเรื่องราวความเป็นอีสานได้อย่างถ่องแท้

“กระเป๋าไก่บ้านเกิดจากการหาเหตุผลของการที่คนจะซื้อกระเป๋าสักใบ คุณค่าไหนที่ลูกค้าจะได้ และยังส่งกลับมาสู่คุณค่าที่เราต้องการให้เกิดขึ้นด้วย การที่คนจะซื้อหรือแต่งตัวที่มีเหตุผลและดีได้คือสิ่งไหน ถือแล้วต้องได้ทั้งกับคนถือ คนออกแบบ ช่างฝีมือไทย และยังต้องส่งความภาคภูมิใจกลับมาสู่อีสาน นี่คือสิ่งที่เราคิดและพยายามทำให้เกิดขึ้นในดีไซน์ของเรา เราเลยใช้เรื่องราวของไก่บ้านอีสานมาเล่า

“ไก่บ้านแม้จะเป็นสิ่งบ้านๆ แต่เป็นสัตว์เลี้ยงที่ทุกบ้านคนอีสานมี ไก่บ้านคือไก่ชน แล้วพอเป็นไก่ชนที่ชนเก่ง แปลว่าทั้งครอบครัวของมันจะถูกอัพเกรดขึ้น มีมูลค่า ได้รับการดูแลที่ดี แล้ววิถีไก่ชนเขาจะเต็มที่ เต็มเหนี่ยว ซึ่งพี่รู้สึกเชื่อมโยงกับการทำธุรกิจของ BWILD Isan ในช่วงเวลานั้น

“เหมือนกับพวกเรา คนอีสานทุกคน ถ้าเราต่อสู้ให้เต็มที่จนประสบความสำเร็จ ครอบครัว ตัวเขาก็จะถูกยกระดับขึ้นมาด้วย ไก่ชนกว่ามันจะประสบความสำเร็จได้ ไม่ใช่แค่นั่งสบายแล้วได้ชัยชนะ มันต้องสู้ก่อน พี่ก็คิดว่ามันเชื่อมโยงกับตัวพี่ น้องๆ และช่างในทีมที่ต่างเป็นคนอีสาน เราต่างก็ต้องต่อสู้”

นอกจากกระเป๋าไก่บ้านแล้ว กระเป๋าปลากัดเองก็นำเสนอความเป็นอีสานได้คมคายไม่น้อยหน้า โดยเฉพาะการเป็นสัตว์เลือดนักสู้

“ใครเป็นคนอีสานจะคุ้นกันดีกับการกัดปลา ชนไก่ของคนอีสาน จนมีคำว่า ‘ว่างเว้นจากนา ก็กัดปลาชนไก่’ เพราะพอว่างเว้นจากฤดูทำนา คนอีสานเขาจะทำกิจกรรมเหล่านี้ร่วมกัน ซึ่งกระเป๋าปลากัดมาจากการที่เราได้ลงพื้นที่ที่ขอนแก่นแล้วได้ไปเจอกับเซียนปลากัดและได้รู้จักกับปลากัดป่า พอศึกษาดูก็ได้รู้ว่าปลากัดป่านั้นมีในหลายพื้นที่และแตกต่างกัน 

“และปลากัดป่าอีสานจะเป็นปลากัดป่าที่ตัวเล็ก สีไม่สวย แต่ดุมาก กัดทีกัดจนตาย และบ่อไหนกัดชนะ มูลค่าจะถูกยกขึ้นทั้งบ่อ ถือเป็นสายเลือดนักสู้ ซึ่งรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของเรื่องราวเหล่านี้ สำหรับพี่คือวัตถุดิบที่มีมูลค่าและสามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์ต่อยอดได้อีกมากมายไม่รู้จบ

“ไก่บ้านและปลากัดป่าเลยกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้ในมุมของการใช้ความคิดสร้างสรรค์ที่นำพาวิถีชีวิต ภูมิปัญญา ผู้คนของเราไปต่อ คือวิถีที่เราใช้เล่าเรื่องความดีงามของผู้คน พื้นที่ วัสดุ ภูมิปัญญา และหลายๆ อย่างของอีสาน

“วิธีคิดงานของเราจะเป็นแนวลึก ไม่ฉาบฉวย ทุกอย่างมีเหตุมีผล มีที่มาที่ไป จะผลิตเท่าที่คนต้องการ ในราคาที่ช่างฝีมือไปต่อได้ และธุรกิจยังมีกำไร เราคิดงานเพื่อเป็นโอกาสให้ศิลปินและช่างฝีมือและเล่าเรื่องราวของอีสานที่เรารัก”

นอกจากกระเป๋าไก่บ้านและปลากัดที่สร้างภาพจำแฟชั่นอีสานแบบใหม่ โดยเฉพาะความเก๋และสนุก ในวันที่แฟชั่นเป็นตัวร้ายทำลายโลก และผู้คนเริ่มให้ความสำคัญกับเรื่องความยั่งยืน กระทั่งแบรนด์แฟชั่นหลายแบรนด์หันหลังให้ฟาสต์แฟชั่น ชมพู่และ BWILD Isan เองก็ไม่ทิ้งเรื่อง sustainable fashion และมีแนวคิด sustainable fashion ตั้งแต่เริ่มต้นแบรนด์

“คนอาจจะมองแฟชั่นเป็นตัวร้าย ยิ่ง BWILD Isan ออกกระเป๋าไก่ เขาคงมีคำถาม อะไรของเธอกระเป๋าไก่ เราใช้เวลาและความพยายามมากๆ ที่จะสื่อสารให้คนมองทะลุเปลือกนอกเข้ามาถึงข้างในว่าทำไมต้องไก่บ้าน ทำไมต้องปลากัด และต่อให้ต้องพูดไปนานกว่านี้ เราก็จะพูดจนกว่าทุกคนจะรู้ว่าทำไมเราต้องทำสิ่งนี้

“ตราบใดที่เรายังมีภูมิปัญญา มีช่างฝีมือ มีนักสร้างสรรค์ที่ยังต้องพัฒนางาน พัฒนาตน พัฒนาสังคม เพื่อพัฒนาประเทศเราได้อย่างเกื้อกูลกัน งานคราฟต์ในแฟชั่นจึงยังจำเป็นต้องมีอยู่ เพราะมันคือวิถีชีวิตผู้คนของเรา ทุกคนดูแลตนเอง ดูแลครอบครัวได้ด้วยงานฝีมือของตัวเอง

“อีกโปรเจกต์ที่สะท้อนแฟชั่นยั่งยืนและบอกเล่าเรื่องราวความเป็นอีสานได้อย่างดีคือ Re-no-waste เกิดมาจากการที่พี่ได้เห็นวิธีคิดของคนอีสานที่เขาไม่ยอมทิ้งอะไรไปง่ายๆ เวลามีวัสดุอะไรเหลือทิ้ง เขาก็จะไม่ทิ้งเลย เขาจะเก็บไว้แล้วเอามาประดิษฐ์เป็นข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ เช่น สายพลาสติกรัดกล่องพัสดุ พี่เห็นช่างเย็บผ้าพี่เก็บเป็นกำเลยนะ พอเยอะก็เอามาทำสานเป็นตะกร้าใช้ สานเป็นลายสวยงามด้วย ทำของใช้เอง ไม่มีอะไรถูกทิ้งขว้างง่ายๆ นี่คือทักษะของช่างอีสานที่แทบจะมีอยู่ในทุกคน”

ปีที่ผ่านมา ชมพู่ได้ทำโปรเจกต์ Re-no-waste ร่วมกันระหว่าง SUITCUBE x BWILD ISAN  คือใช้เศษผ้าที่เหลือในการตัดสูทมาตัดเย็บเป็นกระเป๋าไก่ Messenger Bag ถือเป็นการร่วมมือกันของธุรกิจแฟชั่นเพื่อแสดงความรับผิดชอบกับสิ่งแวดล้อมร่วมกัน

-4-
ธุรกิจอีสานจากศาสตร์การคิดแบบ
‘พอแล้วดี The Creator’

“เวลามีชีวิตอื่นอยู่ในเส้นทางเดินของธุรกิจเรา มันจะทำให้การมีอยู่ของเราในเส้นทางนั้นมีความหมาย ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ การมีคนร่วมทาง ร่วมแชร์ความรู้สึก พี่ว่ามันเป็นความหมายของการมีชีวิตอยู่ การที่เราได้สร้างบางสิ่งให้กับสังคมและบ้านเกิดในวันที่เรายังมีแรง หรือการที่เราได้รักษาบางสิ่งเอาไว้อย่างเต็มที่ในตอนที่เรายังทำงานได้ มันคือช่วงเวลาที่มีความหมายและพี่อยากทำให้เต็มที่

“สิ่งสำคัญที่พี่ได้เรียนรู้จากการทำธุรกิจแบบพอแล้วดีของ BWILD Isan ธุรกิจเล็กๆ ที่วิถีการทำธุรกิจแทบจะคือส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิต การมีจุดยืนคือเรื่องที่สำคัญ จุดยืนกับจุดขายเป็นคนละเรื่องกัน เราจึงต้องเลือกว่าจะทำอะไร และจะไม่ทำอะไร เราเป็นทุกอย่างสำหรับทุกคนไม่ได้ แต่เราเลือกที่จะเป็นสิ่งที่มีความหมายสำหรับบางคนได้”

ถึงชมพู่จะบอกว่าความหมายของการมีชีวิตอยู่ของเธอนั้นมากกว่าแค่ตัวเอง ทว่าอีกด้านเธอยังคงยืนยันว่าต้องเลือก ด้วยไม่สามารถเป็นทุกอย่างสำหรับทุกคน วิธีคิดนี้ของชมพู่ทำให้เห็นว่าการบริหารความคิดให้สมดุลนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะนอกจากจะมีผลกับการใช้ชีวิต ตัวตน สิ่งนี้ยังมีผลกับการทำธุรกิจของเธอ

หลังจากได้เริ่มต้นทำ BWILD Isan ในช่วงโควิด เธอได้มีโอกาสไปเรียนหลักสูตร ‘พอแล้วดี The Creator’ และเล่าให้ฟังว่า ดร.ศิริกุล เลากัยกุล หรือพี่หนุ่ยของเธอนั้นถือเป็นครูคนแรกที่สอนให้เชื่อว่าธุรกิจเล็กๆ ก็สร้างสิ่งที่มีคุณค่าได้ อีกทั้งเธอยังได้เรียนรู้เรื่องอิคิไกและริเน็นเพิ่มเติมในช่วงเวลานั้น ยิ่งทำให้เข้าใจความหมายของการมีชีวิต และความหมายของการทำธุรกิจของเรา 

“เราได้เรียนรู้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง แต่เราก็เกิดคำถามว่าแบรนด์แฟชั่นจะใช้คำว่า ‘พอ’ ได้ยังไง แต่พอพี่ได้เช็ก พี่รู้เลยว่าสำหรับ BWILD Isan นั้นยัง เรายังมีไม่พอ ทั้งศักดิ์ศรีในการอยู่ การเป็นคนอีสาน ศักดิ์ศรีในการประกอบอาชีพ ค่าแรง การให้คุณค่า ให้เกียรติ วิชาชีพ ภูมิปัญญา พอไม่ได้แปลว่าหยุด แต่ต้องรู้ว่าถ้ามีไม่พอ ต้องเพิ่ม ต้องทำให้มีให้พอ 

“การทำธุรกิจ ทำแบรนด์ จำเป็นต้องมีจุดยืนชัดเจน มีเข็มทิศ มีเป้าหมายที่จะไป ถ้าเป็นธุรกิจก็คือ brand model กำหนดไว้ไม่ให้เราหลงทาง มันคือการตอบคำถามตัวเองให้ได้ว่าจะทำธุรกิจนี้เพื่ออะไร ด้วยแนวทางไหน ส่งมอบคุณค่าอะไรให้ใครบ้าง มีธุรกิจเราเกิดขึ้นแล้วสังคมดีขึ้นหรือไม่ ยังไง ต้องวัดผลได้ ไม่ใช่คิดเอง เออเอง” 

การได้เข้ามาเรียนรู้เรื่องนี้จากพอแล้วดีทำให้ชมพู่รู้จักตัวเองมากขึ้น เธอรู้สึกว่าตัวเองกับแบรนด์คือส่วนหนึ่งของกันและกัน ที่สามารถสร้างจุดยืนของตนเอง และสร้างภูมิคุ้มกันให้แบรนด์และธุรกิจของตัวเองได้ เป็นที่มาของคำที่เธอบอกว่า “เมื่อแบรนด์เราชัด ลูกค้าก็ชัดเช่นกัน”

“หลายครั้งในวงการฟาสต์แฟชั่นมีคนพูดกับพี่ว่า โง่รึเปล่า คนอยากได้ ทำไมไม่ทำออกมาเยอะๆ ราคาต้นทุนแพงไป ก็ไปทำให้ถูกลงสิ ไปสั่งผลิตล็อตใหญ่ๆ ที่เมืองจีนจะได้ถูกลง ใครๆ ก็ทำกัน ในจุดยืนบางอย่างที่เรารักษาไว้มันอาจจะดูโง่ เพราะเราอยู่ในจุดยืนที่ต่างกัน แต่เพราะมันสำคัญกับเรา เราก็จะไม่ทำ ถ้าเราทำแบบนั้น งานของเราไม่เห็นว่าจะช่วยศักดิ์ศรีช่างฝีมือไทยในตรงไหน ผลิตเยอะๆ เพราะอยากได้กำไรเยอะๆ ไม่ได้ทำให้ชีวิตใครที่ดีขึ้นได้ ก็คงเป็นแค่การนำคำว่าอีสานมาหากิน 

“ทุกวันนี้ที่ทำธุรกิจ พี่ยังคงต้องการกำไร แต่ธุรกิจนั้นต้องมีคุณค่า เพื่อที่จะเป็นเกราะคุ้มกันและเลี้ยงดูธุรกิจและผู้คนได้ เราต้องหาจุดสมดุลน้ันให้เจอทั้งกับชีวิตและการทำงาน”

ชมพู่ทิ้งท้ายบทสนทนาด้วยประโยคสั้นๆ แต่กลับสะท้อนวิธีคิดของเธอและจุดยืนของ BWILD Isan ได้อย่างดี

ข้อมูลติดต่อ

Website : bwildisan.com

Facebook : www.facebook.com/BWILDISAN 

Instagram : www.instagram.com/bwildisan