5 ธุรกิจ Therapy ทางเลือกใหม่ที่ดีต่อใจจากเทรนด์สุขภาพองค์รวม

หากป่วยต้องกินยาและไปโรงพยาบาล หรืออยากสวยอาจต้องพึ่งพาการทำหัตถการที่คลินิก ในอดีตทางเลือกในการดูแลสุขภาพมักถูกจำกัดอยู่เพียงไม่กี่รูปแบบ แต่ปัจจุบันแนวคิดเรื่องสุขภาพขยายกว้างขึ้น ผู้คนไม่ได้มองแค่การรักษาโรคเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับสุขภาพองค์รวม (Holistic Wellness) ที่ครอบคลุมทั้งร่างกาย จิตใจ และพลังงานภายใน

จากแนวคิดนี้ทำให้ธุรกิจที่นำเสนอการบำบัดด้วยศาสตร์ทางเลือกได้รับความนิยมมากขึ้น โดยธุรกิจ Wellness แต่ละแห่งต่างมีแนวทางเฉพาะตัวและความเชื่อเฉพาะศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นการปรับสมดุลพลังงานผ่านคลื่นเสียงบำบัดและ Manifest, การเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้วย Ice Bath, ศิลปะบำบัดเพื่อเยียวยาอารมณ์, การแพทย์แผนจีนที่เชื่อมโยงภูมิปัญญาโบราณกับสุขภาพยุคใหม่ ไปจนถึงการฟื้นฟูร่างกายด้วยที่ผสานพลังของจุลินทรีย์ธรรมชาติ

แนวทางการบำบัดเหล่านี้กำลังได้รับความสนใจในตลาดสุขภาพระดับโลก เพราะไม่เพียงช่วยฟื้นฟูจากภายในอย่างยั่งยืน แต่ยังเปิดมุมมองใหม่ในการดูแลตัวเองที่ลึกซึ้งกว่าที่เคย ใครที่กำลังมองหาทางเลือกในการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม วันนี้ขอพาไปรู้จักกับ 5 ธุรกิจ Therapy ทางเลือกใหม่ ที่อาจทำให้คุณหลงรักศาสตร์การบำบัดแนวใหม่ และอาจได้ค้นพบคลินิกหรือสถานที่ดูแลสุขภาพที่กลายเป็นที่โปรดแห่งใหม่โดยไม่ต้องพึ่งพาเพียงแค่ยาและการรักษาแบบเดิมอีกต่อไป

1. Kiss My Soul
ล้อมวงคืนพระจันทร์เต็มดวงและแมนิเฟสพลังบวกด้วยพลังงานบำบัด

คืนพระจันทร์เต็มดวงครั้งต่อไป คุณมีแผนไปไหนหรือยัง หากใครกำลังอยากดูแลใจแบบโรแมนติกที่สุด ขอแนะนำคอมมูนิตี้ที่จะฝึกให้จุมพิตกับจิตวิญญานของตัวเองอย่าง Kiss My Soul ที่ก่อตั้งโดยเหวิน-นภสร ศิรินรรัตน์ นักบำบัดที่ศึกษาหลายศาสตร์ทั้งไพ่, โยคะ, เรกิ, คลื่นเสียงบำบัด (sound healing) ฯลฯ

ตามศาสตร์พลังงานและโหราศาสตร์มีความเชื่อว่าคืนพระจันทร์เต็มดวงเป็นช่วงที่เหมาะแก่การปรับพลังงานที่สุด จึงมักเห็นหลายกิจกรรมของ Kiss My Soul ที่ชวนกันมาล้อมวงทบทวนตัวเองและปรับพลังงานเพื่อเริ่มต้นใหม่ในคืน Full Moon โดยมีเอกลักษณ์คือการบำบัดท่ามกลางบรรยากาศโปร่งสบายใกล้ชิดธรรมชาติ บางครั้งจัดเวิร์กช็อป Sunset Self-Love ในช่วงเวลาที่มองเห็นวิวพระอาทิตย์ตก บางครั้งจัดกิจกรรมสะท้อนตัวเองอย่างสงบที่โอบล้อมด้วยคลื่นเสียงและภาพฉายแสงดาว ซึ่งทำให้กิจกรรมมีความน่าดึงดูดสำหรับมือใหม่ที่อยากหาทางเลือกในการดูแลตัวเอง

กิจกรรมบำบัดของที่นี่มักผสมผสานหลายศาสตร์เข้าด้วยกัน เช่น การฝึก Manifest ผ่านการทำ Vision Board, ฝึกทำ Positive Affirmation, ทำสมาธิและใช้คลื่นเสียงบำบัดช่วยปรับพลังงาน ความเชื่อในพลังธรรมชาติของเหวินยังทำให้ต่อยอดกิจกรรมอย่างการปรับสมดุลย์จักระด้วยคริสตัล ดอกไม้ และสมุนไพร เหมาะกับผู้ที่อยากสัมผัสใจตัวเองไปจนถึงผู้ที่อยากหาเพื่อนร่วมทางในเส้นทางฮีลใจไปด้วยกัน

ขอบคุณภาพจาก Kiss My Soul

2. Breath Inspired 
แช่น้ำแข็งตามเทรนด์ Ice Bath แบบถูกต้องตามหลัก Wim Hof Method

ปีนี้เทรนด์ Ice Bath หรือการแช่น้ำแข็งที่อุณหภูมิ 10 – 15 องศาเซลเซียสเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้ร่างกายและจิตใจกำลังเป็นกระแสอย่างมาก และโรงเรียนสอน Ice Bath ระดับกูรูที่ผ่านการรับรองเพียงแห่งเดียวในประเทศไทยตามหลัก Wim Hof Method คือ Breath Inspired

แตกต่างจากการบำบัดรูปแบบอื่นที่เน้นความผ่อนคลาย การแช่น้ำแข็งต้องอาศัยความฝึกฝนและการกล้าก้าวออกจากคอมฟอร์ตโซน ดังที่หลายคนอาจเคยได้ยินเรื่องราวของวิม ฮอฟ (Wim Hof) นักกีฬาเอ็กซ์สตรีมชาวดัตช์ที่ได้รับฉายามนุษย์น้ำแข็งจากการฝึกหายใจและใช้ความเย็นบำบัดจนสามารถสร้างสถิติแช่น้ำแข็งนานเหนือมนุษย์

ในไทย แก้ม – วริศรา กัญพันธ์เป็นผู้สอนที่ได้รับการรับรอง Wim Hof Method รายแรกและรายเดียวในโลก เธอก่อตั้ง Breath Inspired ขึ้นมาเพื่อเผยแพร่เทคนิคการหายใจและแช่น้ำแข็งให้คนทั่วไปสามารถนำไปใช้เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกัน ลดความเครียดและเพิ่มระดับพลังงานโดยไม่จำเป็นต้องเป็นคนเหนือมนุษย์ ใครที่สนใจมาที่นี่จะต้องเป็นคนที่อยากเรียนหลักสูตรฝึกอบรมอย่างจริงจังก่อนจะสามารถแช่น้ำแข็งได้ด้วยตัวเอง เหมาะแก่การชวนเพื่อนที่อยากฝึกความอดทนและความแข็งแกร่งมาสนุกกับการเป็นมนุษย์น้ำแข็งไปด้วยกัน

ขอบคุณภาพจาก Breath Inspired

3. Studio Persona
ระบายความทุกข์ผ่าน Art therapy โดยสตูดิโอศิลปะบำบัดมืออาชีพ 

ศิลปะบำบัดเป็นสิ่งที่หลายคนเคยได้ยินอย่างแพร่หลายแต่อาจนึกไม่ถึงว่าทุกวันนี้บริการ Art Therapy ที่ใช้ศิลปะช่วยสะท้อน รักษาและค้นลึกไปในจิตใจมีหลายรูปแบบและหลายศาสตร์มากกว่าที่คิด และถ้าอยากทดลองปรึกษากับนักศิลปะบำบัดวิชาชีพต้องนึกถึง Studio Persona ที่ก่อตั้งโดยปัท-ปรัชญพร วรนันท์

ที่นี่เป็นสตูดิโอศิลปะบำบัดที่มีทั้งบริการให้คำปรึกษาส่วนตัว กิจกรรมกลุ่ม และจัดเวิร์กช็อปให้องค์กร โดยที่ผ่านมามีกิจกรรมสร้างสรรค์ เช่น Therapeutic Collage ที่นำทำความเข้าใจตัวเองผ่านภาพ การเล่าเรื่อง และประสาทสัมผัสในศิลปะตัดปะ, การใช้การ์ดภาพและข้อความช่วยคลี่คลายประสบการณ์ อารมณ์ ความรู้สึก, กิจกรรมกลุ่มในหัวข้อหลากหลายที่ไม่ว่ากำลังเผชิญความรู้สีกสูญเสียหรือเบิร์นเอาท์ก็สามารถใช้ศิลปะเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนกับเพื่อนรอบตัวได้ 

นอกเหนือจากคำนิยามที่ให้บริการด้านศิลปะ Studio Persona ยังให้คำจัดความธุรกิจตัวเองเป็น learning design studio ที่สนับสนุนการเรียนรู้ของทุกคนด้วยความเชื่อว่าศิลปะจะช่วยสื่อสารสิ่งที่อธิบายเป็นคำพูดได้ยากให้เห็นออกมาเป็นภาพได้ง่าย ไม่ว่าจะเครียด วิตกกังวล ซึมเศร้า ถ้าความรู้สึกในใจจุกอกจนพูดไม่ออก ลองหันมาระบายผ่านศิลปะดู

ขอบคุณภาพจาก Studio Persona

4. Unwa Wellness
ฝังเข็ม ครอบแก้ว กัวซาที่คลินิกแพทย์แผนจีนบรรยากาศโมเดิร์น 

ใครที่คุ้นชินกับการแพทย์แผนจีนน่าจะเคยได้ยินการฟื้นฟูสุขภาพด้วยวิธีฝังเข็มปรับสมดุล ครอบแก้วคลายปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ นวดหน้ากัวซาบำรุงผิวหน้า นวดทุยหนาเพื่อบำรุงเลือดไหลเวียนอยู่บ้าง ท่ามกลางคลินิกแพทย์แผนจีนเก่าแก่มากมายที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ Unwa Wellness เป็นคลินิกใจกลางเมืองในบรรยากาศโมเดิร์นเหมือนสปาสมัยใหม่ที่อยากเชื้อเชิญให้คนกรุงที่อาจกลัวการฝังเข็มมาลองสัมผัสการรักษาทางเลือกดูสักครั้ง

จุดเด่นของ Unwa Wellness คือการนำศาสตร์การแพทย์แผนจีนโบราณ (Traditional Chinese Medicine – TCM) มาผสมผสานกับแนวทางการรักษาสมัยใหม่ เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้คนยุคปัจจุบันที่ต้องการการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม โดยยังคงหลักการปรับสมดุลร่างกายที่สืบทอดมากว่าพันปี แต่ปรับให้เข้าถึงง่ายขึ้นผ่านบริการที่สะดวกสบายและบรรยากาศที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้บริการ ชื่อคลินิก ‘อัน-ว่า’ (UN-WA) มาจากคำที่แปลว่าบันดลและผลลัพธ์ สะท้อนแนวคิดในการช่วยให้ผู้คนกลับมามีสมดุลท่ามกลางความเคร่งเครียดและความไม่แน่นอนของโลกยุคใหม่

เบื้องหลังการก่อตั้ง Unwa Wellness คือการนำแนวคิดการทำธุรกิจที่เข้าใจทั้งวัฒนธรรมไทยและจีนอย่างลึกซึ้งมาปรับใช้โดยผู้ก่อตั้งอย่าง เอเชีย หลิว นักธุรกิจไทย-จีนกับโจ หลิว ผู้ประกอบการชาวมาเก๊า และนำทีมรักษาโดยหัวหน้าทีมแพทย์ ดร. เดนนี่ เฉิง หรือ ‘อาจารย์หมอเจี่ยง’ ผู้เชี่ยวชาญด้านแพทย์แผนจีนที่ได้รับรางวัล Qi Huang Young Scholarship Top 100 TCM Practitioners ซึ่งเป็นหนึ่งในเกียรติยศสูงสุดของวิชาชีพนี้  ด้วยประสบการณ์อันเชี่ยวชาญของทีมแพทย์และบรรยากาศโคซี่แสนผ่อนคลาย หากใครกำลังสนใจดูแลสมดุลร่างกาย Unwa Wellness ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ

ขอบคุณภาพจาก Unwa Wellness

5. Sala Bran
อบเอนไซม์รำข้าวที่สปาธรรมชาติส่งตรงจากเมืองมิกิ ประเทศญี่ปุ่น

สปาเอนไซม์รำข้าว (Rice Bran Enzyme Bath) เป็นบริการเฉพาะทางที่ไม่ได้หาพบได้ทั่วไป เพราะเป็นศาสตร์การดูแลสุขภาพจากเมืองมิกิ จังหวัดเฮียวโงะ ประเทศญี่ปุ่นที่ผสานพลังของจุลินทรีย์ธรรมชาติ เพื่อช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ขับสารพิษ และปรับสมดุลร่างกาย โดยใช้รำข้าว 100% ที่ผ่านกระบวนการหมักในอุณหภูมิประมาณ 60°C ช่วยให้เหงื่อออกทั่วร่างกาย พร้อมบำรุงลำไส้และทำให้เลือดสะอาดขึ้น แตกต่างจากการแช่น้ำร้อนหรือซาวน่าตรงที่ให้ความรู้สึกอุ่นลึกจากภายใน

Sala Bran หรือศาลารำข้าว เป็นผู้ให้บริการสปาเอนไซม์รำข้าวสูตรต้นตำรับส่งตรงจากญี่ปุ่นเพียงไม่กี่แห่งในไทย ปัจจุบันมีสาขาที่กรุงเทพฯ เชียงราย และโคราช นอกจากบริการอบเอนไซม์ที่ช่วยฟื้นฟูสุขภาพแบบองค์รวมแล้ว สาขาเอกมัยยังมีโซนคาเฟ่ที่นำเสนออาหารหมักดอง เช่น มิโสะ ซอสถั่วเหลืองโคจิ และอะมะสาเก ซึ่งล้วนมีประโยชน์ต่อระบบทางเดินอาหารและภูมิคุ้มกัน

คุมิ ยูกิ เจ้าของร้าน Sala Bran สาขาเอกมัย กรุงเทพฯ มีความตั้งใจอยากสร้างธุรกิจที่ส่งเสริมสุขภาพผ่านศาสตร์เอนไซม์และอาหารหมักดอง การใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางเป็นจุดแข็งของธุรกิจทำให้ที่นี่ไม่ได้เพียงแค่นำเสนอเพียงเมนูอาหารและบริการสปาทั่วไป แต่เป็นศูนย์เพิ่มภูมิคุ้มกันสำหรับใครก็ตามที่สนใจฟื้นฟูร่างกายจากภายในและดูแลสุขภาพอย่างยั่งยืน

ขอบคุณภาพจาก Sala Bran

Patom Organic Living โอเอซิสใจกลางเมืองที่เชื่อมต่อผู้คนกับสินค้าออร์แกนิกด้วยงานดีไซน์

ไม่น่าเชื่อว่าขนาดบ่ายคล้อยวันธรรมดาวันหนึ่ง เรายังต้องฝ่ารถติดบนถนนสุขุมวิทเป็นเวลานาน แน่นอนว่าวิวสองข้างทางต่างเต็มไปด้วยตึกสูงละลานตา ที่มีเยอะยิ่งกว่าต้นไม้ ใบหญ้า และแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเห็นพื้นที่สีเขียวใจกลางเมืองที่วุ่นวายขนาดนี้

แต่ทันทีที่เลี้ยวเข้าซอยสุขุมวิท 49 เรากลับพบสถานที่หนึ่งซึ่งเป็นเหมือนเรือนกระจกขนาดใหญ่ รายล้อมไปด้วยหมู่มวลต้นไม้นานาพันธุ์ ที่ทำให้รู้สึกสงบ ร่มเย็น เหมือนหลุดมาอยู่อีกโลกหนึ่งซึ่งแตกต่างจากสิ่งที่พบเจอเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนอย่างชัดเจน

ไม่รอช้าเราผลักบานประตูกระจกใสที่มีกรอบไม้สีเข้มเข้าไปยังตัวร้าน ด้านซ้ายมือเป็นเหมือนโชว์รูมขนาดย่อมที่วางขายผลิตภัณฑ์ที่พบเห็นได้ในชีวิตประจำวัน แต่สิ่งที่พิเศษไปกว่านั้นคือทุกชิ้นล้วนแต่เป็นสินค้าออร์แกนิก

ด้านขวามือเป็นโต๊ะ เก้าอี้สีไม้เข้มเหมือนบานประตู แม้จะอยู่ในร้านก็ยังรู้สึกเหมือนนั่งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ จากดีไซน์ตัวร้านที่เป็นกระจกทั้งหมด ประกอบกับเพดานสูงที่ทำให้รู้สึกโปร่ง โล่งสบาย แม้จะมีที่นั่งถึง 2 ชั้นก็ตาม

ฟี่–อนัฆ นวราช

สิ่งที่เจอทั้งหมดย้ำเตือนให้รู้ว่าเราได้มาถึง Patom Organic Living เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเรามีนัดพูดคุยกับ ฟี่–อนัฆ นวราช เจ้าของร้านแห่งนี้ ที่หมวกอีกใบของเขาคือทายาทรุ่นที่ 3 ของสามพราน ริเวอร์ไซด์ โรงแรมและแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติริมแม่น้ำท่าจีน อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม

ถ้าจะเรียกว่าคาเฟ่แห่งนี้เป็นผลิตผลจากเมล็ดพันธุ์ที่ครอบครัวของเขาได้ปลุกปั้นโครงการสามพรานโมเดลไว้ก็คงไม่ผิดนัก เพราะฟี่ตั้งใจให้ Patom Organic Living เป็นสื่อกลางเชื่อมระหว่างผู้คนในเมืองกับสินค้าออร์แกนิกเข้าด้วยกัน ให้คนได้ลองใช้ แล้วอยากทำความรู้จัก จนเดินทางไปทำกิจกรรมที่สามพราน เรียนรู้กระบวนการตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ จรดถึงปลายน้ำ

คอลัมน์ Show Room ในครั้งนี้เราขอถือโอกาสมาคาเฟ่ฮอปปิ้ง ชิมอาหารจากวัตถุดิบออร์แกนิก ทดลองหยิบจับและใช้สินค้าออร์แกนิกจริงๆ พร้อมพูดคุยกับฟี่ถึงวิธีการดีไซน์ธุรกิจและดีไซน์ร้าน Patom Organic Living ให้คนได้เข้ามาเรียนรู้ จนค่อยๆ หลงรักความเป็นออร์แกนิกในที่สุด

ปฐมบทของปฐม ออร์แกนิค ลิฟวิ่ง

ย้อนไปตั้งแต่ตอนที่ฟี่และพี่ชายได้มารับช่วงต่อดูแลธุรกิจของที่บ้านอย่างโรงแรมสามพราน ริเวอร์ไซด์ ด้วยความที่พี่ของเขาเป็นคนรักสุขภาพ ประกอบกับช่วงนั้นต้องการให้โรงแรมแตกต่างจากที่อื่นและอยู่ได้อย่างยั่งยืน จึงทำโครงการสามพรานโมเดลขึ้นมา เป็นโมเดลธุรกิจที่ดึงเกษตรกรรอบๆ สวนสามพานให้หันมาทำเกษตรอินทรีย์

และสร้างช่องการกระจายสินค้า ทั้งนำมาใช้เป็นวัตถุดิบทำอาหารและของใช้ภายในโรงแรม เช่น แชมพู สบู่ พร้อมเปิดเป็นตลาดสุขใจที่เกษตรกรมาขายวัตถุดิบออร์แกนิกในวันเสาร์ อาทิตย์ พอกระแสตอบรับดีก็เริ่มมีกิจกรรมเวิร์กช็อป และเกิดเป็นคาเฟ่ในที่สุด

“เราทำงานครบลูปทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ต้นน้ำเป็นการปลูกผักออร์แกนิก กลางน้ำคือการผลิต ปลายน้ำคือสินค้าที่ออกมา ไม่ว่าจะเป็นของกินหรือของใช้ และเพื่อหาจุดขายสินค้าเราเลยเปิดเป็นคาเฟ่ Patom Organic Village ที่ตั้งชื่อเป็นหมู่บ้าน เพราะมีเกษตรกรที่เราทำงานด้วยถึง 200 คน และมีกิจกรรมให้คนมาเข้าร่วมปรับเปลี่ยนไปตามแต่ละฤดูกาลขึ้นอยู่กับวัตถุดิบในฟาร์ม เช่น มาย้อมผ้า มาทำชา”

แต่พอยุคสมัยเปลี่ยน ความนิยมก็เปลี่ยนไป สามพรานกลับกลายเป็นที่รู้จักเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นพ่อ รุ่นแม่ แต่เด็กรุ่นใหม่ไม่ค่อยรู้จักมากนัก ประกอบกับว่าของที่ขายในช่วงนั้นยังไม่มีการทำแบรนด์อย่างจริงจัง 

“ด้วยความที่ผมเคยเป็นช่างภาพที่อเมริกามาก่อนและชอบเรื่องงานดีไซน์ พอทำไปสักพักเราก็เริ่มคิดถึงเรื่องแบรนดิ้ง ว่าทำไมเราไม่รีดีไซน์แพ็กเกจจิ้งให้ทุกอย่างดูเรียบๆ เหมือนที่เราชอบ และทำให้เข้าถึงง่าย สร้างแบรนด์สินค้าออร์แกนิกที่ใครๆ ก็ใช้ได้”

นั่นเป็นจุดเริ่มต้นให้ฟี่อยากต่อยอดสิ่งที่ทำอยู่แล้วให้ขยายไปในวงกว้างมากยิ่งขึ้นและเข้าถึงคนเมืองได้มากขึ้น จึงใช้พื้นที่ส่วนหนึ่งในบ้านคุณยายที่อยู่ในทำเลทองอย่างซอยสุขุมวิท 49 มาเปิดเป็นร้าน Patom Organic Living

“คอนเซปต์เราคือ organic living การกินอยู่อย่างออร์แกนิก ผมว่าร้านนี้เป็นหมือน one-stop ที่รวบรวมของอินทรีย์หรือของออร์แกนิก ไม่ว่าจะเป็นของกิน ของใช้ ผมมักจะพูดตลอดว่าถ้าใครอยากลองใช้ชีวิตอย่างออร์แกนิก ก็ให้มาลองซื้อของพวกนี้ไปลองใช้ดู ซื้อแชมพูไปใช้ มาลองกินอาหารจากวัตถุดิบออร์แกนิก ซึ่งมันก็ไม่ได้ยากอะไร ทำให้คนเข้าถึงของออร์แกนิกได้ง่ายกว่าเมื่อก่อน ที่มักจะขายของออร์แกนิกในซูเปอร์มาร์เก็ตอย่างเดียว และถ้าอยากรู้จักความเป็นออร์แกนิกอย่างลงลึกก็ค่อยไปที่สามพราน”

Patom Organic Living

โอเอซิสในเมืองที่ใส่ใจในทุกงานดีไซน์

“เมื่อก่อนตรงนี้ไม่มีอะไรเลยเป็นพื้นที่โล่งๆ”

หลังจากได้รู้จักจุดเริ่มต้นกันพอหอมปากหอมคอแล้ว ฟี่เริ่มเล่าถึงดีไซน์ของร้านนี้ให้เราฟัง พร้อมชี้ไปยังภาพเบื้องหน้าจากจุดที่เรานั่งอยู่เป็นโต๊ะยาวริมกระจก ที่มองเห็นสวนหน้าร้านและเห็นต้นไม้น้อยใหญ่ที่ขึ้นอยู่อย่างเป็นธรรมชาติ จนไม่น่าเชื่อว่าพื้นที่ตรงนี้เคยถูกปล่อยทิ้งให้รกร้างมาก่อน

“คอนเซปต์คือผมรู้สึกว่าอยากให้ร้านกลืนหายไปกับธรรมชาติ ไม่อยากเอาตึกอะไรมาตั้งบดบังทัศนียภาพ แล้วเก็บต้นไม้ขนาดใหญ่ในพื้นที่นี้ไว้แบบเดิม ทำสวนเพิ่มขึ้นให้เป็นพื้นที่สีเขียว ตัวร้านก็ใช้เป็นกระจกใสทั้งหมดให้ความรู้สึกเหมือนนั่งอยู่ในสวน ได้ใกล้ชิดธรรมชาติ เพดานยกสูงให้คนมองเข้ามา หรือคนมองออกไปก็รู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบาย”

นอกจากดีไซน์ตัวร้านที่สะดุดตาตั้งแต่แรกเห็นแล้ว จุดที่ฟี่เน้นย้ำว่าเป็นหัวใจสำคัญในงานดีไซน์ครั้งนี้คือการใช้ของเก่าและวัสดุรีไซเคิลจากสานพรานเกือบทั้งหมด ตั้งแต่เสาโครงสร้างร้าน ทำมาจากไม้ที่เคยเป็นแพเก่าอายุ 40 โต๊ะทำมาจากไม้จริงที่ล้มเองตามธรรมชาติในสวนสามพราน เก้าอี้แต่เดิมเป็นเก้าอี้เบาะที่เสื่อมสภาพการใช้งาน ก็นำกลับมาซ่อมใหม่โดยใช้หวายทำเป็นที่นั่งและพนักพิง

“ผมเป็นคนชอบดีไซน์อะไรที่มันเป็นดีเทลเล็กๆ ที่ถ้าไม่บอกก็อาจจะไม่เห็น”

ฟี่พูดก่อนจะชี้ให้เราเห็นจุดเล็กๆ ที่ถ้าไม่สังเกตก็คงไม่เห็นตามที่เขาว่า เริ่มตั้งแต่เสากลางร้านที่พอเงยหน้าไปมองข้างบนจะเห็นมีไม้กระจายออกเป็นแฉกๆ ถ้าดูเผินๆ ก็คิดว่าคงตั้งใจให้เป็นคานรองรับน้ำหนักหลังคา แต่ความจริงแล้วเขาตั้งใจให้เป็นดีไซน์เหมือนต้นมะพร้าว เพราะอาหารและผลิตภันฑ์ในร้านใช้มะพร้าวเป็นส่วนใหญ่ ก่อนที่พี่จะชี้ให้เราดูจุดต่อไป

“รูปทรงของโต๊ะและดีไซน์ทรงขวดสินค้า เราก็ทำให้เป็นเชปเหมือนเมล็ดพันธุ์ เพื่อสื่อสารว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสินค้าออร์แกนิกที่เกิดจากเมล็ดพันธุ์ของการทำเกษตรอินทรีย์ และอีกจุดที่เล็กมากๆ คือตรงน็อตที่ยึดดึงไม้สักข้างนอกและข้างในเพื่อบีบกระจกให้เป็นทรงร้านสี่เหลี่ยม น็อตทั้งหมดเป็นแผ่นทองเหลืองที่ดีไซน์ให้คล้ายกับเจดีย์ ซึ่งเป็นโลโก้ของร้านที่มีแนวคิดมาจากพระปฐมเจดีย์ แลนด์มาร์กสำคัญของจังหวัดนครปฐม

“คนที่มาที่นี่จะบอกว่าเหมือนเป็นโอเอซิสในเมือง ที่เข้ามาแล้วรู้สึกว่าเราไม่ได้อยู่ในเมือง เข้ามาแล้วมีพื้นที่สวน มีต้นไม้สีเขียว เข้ามานั่งเล่น มากิน มาทำอะไรได้สบายๆ ผมว่ามันมีความเป็นพื้นที่สีเขียวในเมืองที่ไม่ใช่สวนสาธารณะ แต่สามารถมานั่งเล่นได้ตลอด”

เมื่อคาเฟ่เปิดประตูสู่โอกาสใหม่ๆ

สิ่งที่เซอร์ไพรส์ฟี่มากก็คือจากตอนแรกที่เขาอยากเปิดร้านเพื่อให้คนรู้จักโรงแรมและกิจกรรมในสามพรานกลับกลายเป็นร้านแห่งนี้มีกระแสตอบรับดีกว่าที่คิด โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มักจะเวียนกันเข้ามาในวันธรรมดา ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์จะเป็นครอบครัวชาวไทยซะส่วนใหญ่ และเกิดการซื้อสินค้าออร์แกนิกไปใช้จริง จากที่ขายแบบ B2C ก็เริ่มขยับขยายสู่ B2B

“พอมันไปต่อได้ คนให้ความสนใจ และมีผลตอบรับที่ดี แต่ถ้าถามว่าธุรกิจหลักของเราคือธุรกิจคาเฟ่ไหม มันก็ไม่ใช่ซะทีเดียว เราต้องการผลักดันให้สินค้าออร์แกนิกเติบโตมากขึ้น จึงเจาะกลุ่มภาคธุรกิจด้วยการทำ B2B ลูกค้าหลักตอนนี้คือ CPN ห้างเซ็นทรัลใช้ hand wash ของเราทุกห้างเลย ธุรกิจในกลุ่มศรีพันวาก็ใช้ของเราในห้องพัก โรงพยาบาลบํารุงราษฎร์ก็ใช้ของเราด้วย แต่ธุรกิจประเภทนี้ไม่ใช่อยู่ดีๆ จะกราฟพุ่งสูงข้ามคืน ผมว่ามันค่อยๆ โต”

ฟี่เลือกใช้วิธีการหาพาร์ตเนอร์ที่สนใจเรื่องความยั่งยืน สนใจเรื่องออร์แกนิก และสนใจเรื่องสุขภาพเหมือนกันกับธุรกิจเขา เพื่อเข้าไปทำงานร่วมกันมากกว่าการขายสินค้าแล้วจบไป ตัวอย่างที่เห็นภาพชัดเขาเล่าถึงโรงแรมในเครือ Ad Lib ที่มีสาขาในขอนแก่น

จากตอนแรกที่เขาขายผลิตภัณฑ์ให้โรงแรมไปใช้ในห้องน้ำเฉยๆ แต่พอฟี่เห็นว่าบริเวณนั้นมีหลายฟาร์มมากที่ทำการเกษตรแบบออร์แกนิกอยู่แล้ว แทนที่จะซื้อวัตถุดิบจากเครือข่ายที่นครปฐม ฟี่คิดว่าเขาไปทำงานร่วมกับเกษตรกรในพื้นที่แล้วซื้อวัตถุดิบเขามาทำของใช้ในโรงแรมที่ขอนแก่นดีกว่า เป็นการสร้างงานสร้างรายได้กระจายสู่ชุมชนอีกทางหนึ่ง

บทเรียนสำคัญตั้งแต่ day 1 จนถึงขวบปีที่ 7

ปัจจุบัน Patom Organic Living เดินทางเข้าสู่ขวบปีที่ 7 ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่คาเฟ่แห่งหนึ่งจะยืนระยะมาได้ถึงขนาดนี้ในขณะที่มีคาเฟ่เปิดใหม่แทบทุกวัน โดยฟี่มีบทเรียนสำคัญที่เขายึดถือตั้งแต่ day 1 มาจวบจนทุกวันนี้

“ผมว่าในโลกธุรกิจสิ่งที่ยากที่สุดคือการเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรมของคน ไม่ว่าจะเป็นคนที่ทำงานด้วยกัน เป็นพาร์ตเนอร์ หรือเป็นผู้บริโภค ทุกคนก็มีความต้องการของตัวเอง ตั้งแต่ตอนที่เราไปสนับสนุนให้เกษตรกรหันมาทำเกษตรอินทรีย์ เพราะต้องอาศัยความใส่ใจเป็นพิเศษ ถ้าเป็นปกติแมลงมาเขาฉีดยาฆ่าแมลงก็จบ แต่ถ้ามองในระยะยาวเกษตรอินทรีย์จะสร้างวงจรให้ธรรมชาติสมบูรณ์ ผลผลิตก็จะงอกเงยมากขึ้น

“ส่วนในมุมผู้บริโภคและในภาคธุรกิจเอง สิ่งที่อธิบายได้ดีสุดคือใช้สุขภาพอธิบาย คือเราคงไม่ไปบอกคนว่าออร์แกนิกคืออะไร ทำไมถึงไม่ใช้สารเคมี ผมว่ามันไกลตัว แต่ถ้าเราไปบอกว่าถ้าอยากสุขภาพดีทำได้หลายอย่างนะ หนึ่งหันมากินของที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น หันมาใช้ของที่ไม่มีสารเคมี พอพูดเรื่องสุขภาพนำหน้า คนจะเข้าใจและจะเข้าถึงตรงนี้ได้มากกว่า”

บทเรียนข้อที่ 2 ของฟี่ถ้าจะบอกว่าเกิดจากการลองผิดลองถูกก็คงไม่ผิดนัก มีช่วงหนึ่งที่เขาออกผลิตภัณฑ์มาเยอะมาก เพราะรู้สึกว่าอยากทำอันนู้น อันนี้เต็มไปหมด แต่ก็เรียนรู้ว่าความจริงการทำธุรกิจนั้นจะต้องพยายามมองว่าตลาดต้องการอะไร หรือตลาดขายอะไรได้ แล้วค่อยย้อนกลับมาว่าเราผลิตได้ไหม และใช้อะไรผลิตให้ตลาด เพราะฉะนั้นแทนที่จะเป็นไดรฟ์การผลิตจากความชอบในองค์กร อาจจะต้องไดรฟ์การผลิตจากความชอบของตลาดมากขึ้น เวลาขายก็จะขายออกได้ง่ายมากขึ้น แต่ถึงกระนั้นฟี่ก็ไม่ได้ทิ้งความต้องการของตัวเองไป เวลาเขาอยากผลิตอะไรจากความชอบ ก็ทำขายในจำนวนน้อยๆ อาจจะขายได้ช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร

“บทเรียนข้อสุดท้าย ผมว่าการมีจุดยืนสำคัญที่สุด ถึงแม้เราจะขายสินค้าตามความต้องการของตลาดก็จริง แต่พอเราตั้งใจจะขายสินค้าออร์แกนิก ทุกอย่างก็ต้องได้มาตรฐานที่เรากำหนดไว้ ตั้งแต่ต้นน้ำที่เกษตรกรก็ต้องทำเกษตรอินทรีย์จริงๆ และถึงแม้เราจะไว้ใจฟาร์มนั้นแค่ไหน แต่เราจะเข้าไปเช็กผลผลิตก่อนทุกครั้ง

“พอวางขายจริงเราก็รู้ว่าแต่ละคนความชอบไม่เหมือนกัน บางคนก็รู้สึกว่าสินค้าเราดูเรียบจัง ดูน่าเบื่อ บางคนก็บอกว่ากลิ่นอ่อนไป หรือบอกว่ากลิ่นหอมดีก็มี สุดท้ายแล้วเราก็ต้องมีจุดยืนว่าเราจะนำเสนอเอกลักษณ์แบบนี้ มีดีไซน์เรียบง่าย กลิ่นมาจากธรรมชาติ ถ้าจะให้ทำกลิ่นฉุนกว่านี้นั่นก็จะไม่ใช่สินค้าออร์แกนิกแบบที่เราตั้งใจไว้ในตอนแรกแล้ว”
 

เทรนด์ธุรกิจไหนที่ใช่สำหรับโลกยุคใหม่คำตอบจาก สุธีรพันธ์ุ สักรวัตร หัวเรือ SCBX

เป็นเวลาหลายล้านปีที่วัฏจักรของโลกใบนี้ดำเนินไปด้วยการ disrupt ตั้งแต่การที่เผ่าพันธุ์ไดโนเสาร์ถูกแทนที่ด้วยสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม กระทั่งถูกปกครองด้วยมนุษย์อย่างสมบูรณ์ เฉกเช่นเดียวกับโลกของธุรกิจที่มีการผันผวนและแทนที่กันอยู่เสมอ จากอุตสาหกรรมเหมืองแร่และการเกษตร สู่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่เติบโตอย่างรวดเร็ว

ประเด็นเรื่องของการ disrupt ด้านธุรกิจตามที่เปรยไว้ ณ ข้างต้น ถูกยกขึ้นมาพูดถึงอีกครั้งโดย ‘สุธีรพันธ์ุ สักรวัตร’ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานการตลาด Chief Marketing Officer แห่ง SCBX Group ภายในเซสชั่นที่มีชื่อว่า Chaos or Prospect? Navigating the Uncertainty of Future Business ซึ่งเป็นไฮไลต์ส่วนหนึ่งของงาน Future Trends Ahead Summit 2025

สิ่งที่น่าสนใจในเซสชั่นนี้ คือการฉายให้เห็นความเปลี่ยนแปลงของหน้ากระดานผู้นำในโลกธุรกิจตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน บางบริษัทที่ยิ่งใหญ่กลายเป็นแค่อดีต บางบริษัทใช้เวลาไม่กี่ปีกลายเป็นผู้นำอุตสาหกรรม 

ในมุมหนึ่งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วดูเป็นความโกลาหล แต่ขณะเดียวกันก็แฝงด้วยโอกาส สุธีรพันธ์ุจึงชวนคาดการณ์ต่อว่า หลังปี 2025 ที่เปรียบเสมือนจุดออกสตาร์ทของโลกยุคใหม่ ธุรกิจใดบ้างที่มีแนวโน้มจะมีมูลค่า และสามารถเปลี่ยนโฉมหน้าเศรษฐกิจโลกอีกครั้ง

1. ตลอด 2 ทศวรรษ กับการเปลี่ยนมือผู้นำด้านอุตสาหกรรมจาก ‘พลังงาน’ สู่ ‘เทคโนโลยี’

ช่วงต้นของเซสชั่นสุธีรพันธ์ุเผยให้เห็นถึงผู้นำด้านธุรกิจโลกในปี 2005 โดย 5 อันดับแรกประกอบไปด้วย General Electric, ExxonMobil, Microsoft, citigroup และ BP ซึ่งหากสังเกตจะเห็นว่ากลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็นผู้นำธุรกิจส่วนใหญ่ คืออุตสาหกรรมยานยนต์และพลังงาน โดยมีมูลค่าทางการตลาดมากที่สุดอยู่ที่ 382bn

กระทั่งเวลาล่วงเลยถึงปี 2020 ผู้นำตลาดโลกได้เปลี่ยนมือกลายมาเป็น Apple ตามด้วย Microsoft, Amazon, Alphabet และ Saudi Aramco ซึ่งจะเห็นว่านี่คือยุคที่ ‘เทคโนโลยี’ ได้ยึดครองอุตสาหกรรมธุรกิจโลกแทบจะสมบูรณ์ โดยมูลค่าการตลาดที่มากที่สุดอยู่ที่ 1.68tn

และเมื่อปี 2024 ที่เพิ่งผ่านพ้นไปจนถึงตอนนี้ แม้ Apple จะยังครองตลาดอยู่ แต่ที่น่าสนใจคือผู้ตามที่ไล่หลังมาคือบริษัท NVIDIA รวมไปถึง Broadcom และ TSMC หากสังเกตชื่อของบริษัทเหล่านี้จะสอดคล้องทันทีกับการมาของเทรนด์ AI และ semiconductor ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการผลิตนวัตกรรมล้ำยุค

2. อุตสาหกรรมไหนที่ยังอยู่รอดในโลกยุคใหม่

เพียงเวลาแค่ 4 ปี ดูเหมือนว่าอุตสาหกรรมโลกกำลังจะเปลี่ยนอีกครั้ง ซึ่งสุธีรพันธ์ุกล่าวว่า ในความโกลาหลที่เกิดขึ้นนี้ หากเราสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าไว้ได้ก่อน ก็จะกลายเป็นโอกาสล้ำค่าในการต่อยอดทำธุรกิจ

โดยการคาดการณ์ที่ว่านี้ สุธีรพันธ์ุได้หยิบยกงานวิจัยของ McKinsey & Company บริษัทให้คำปรึกษาด้านกลยุทธ์ธุรกิจ สัญชาติสหรัฐฯ ที่เผยให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของ 3,000 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่มีเพียง 12 อุตสาหกรรมที่สามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง นั่นคือ Electric Vehicle (EV), Cloud Services, Fintech & Digital Payments, E-commerce, Consumer Internet, Consumer Electronics, Biopharma, Video & Audio Entertainment, Industrial Electronics, Info-enabled Business Services, Software และ Semiconductors

โดยงานวิจัยของ McKinsey & Company ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงผู้นำด้านอุตสาหกรรมนั้นเปรียบเสมือนการ ‘shuffle card’ ที่ยิ่งอุตสาหกรรมไหนอยู่ด้านบนสุดก็มีสิทธิ์ที่จะถูกแรงกดดันจากอุตสาหกรรมที่ตามมาแซงหน้าได้ เสมือนการสับไพ่ที่ไพ่ที่อยู่บนสุดจะถูกสลับไปอยู่ข้างใต้ก่อนเป็นใบแรกๆ 

ทั้งนี้ 12 อุตสาหกรรมที่สามารถอยู่รอดและเติบโตได้นั้น มีคาแร็กเตอร์ที่เหมือนกัน 3 ประการ คือ

• Business Model or Technological Change การใช้เทคโนโลยีหรือนวัตกรรมใหม่ๆ มาเพื่อสร้างโปรดักต์ เพื่อเพิ่มโอกาสการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ

• Incentives for Investment อุตสาหกรรมที่นักลงทุนให้ความสนใจในการลงทุน ซึ่งสามารถถือครองเพื่อหวังผลตอบแทนได้ในระยะยาว

• Large or Growing Market เป็นอุตสาหกรรมที่มีตลาดขนาดใหญ่ สามารถเติบโตได้ทั้งในประเทศและนอกประเทศ ทั้งยังเป็นอุตสาหกรรมที่ดึงดูดให้นักลงทุนเข้ามาแข่งขัน

3. สู่ 18 อุตสาหกรรมที่ใช่! สำหรับโลกยุคใหม่

จากข้อมูลของอุตสาหกรรมที่ยังอยู่รอดในยุคปัจจุบัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเทรนด์ของผู้บริโภคกำลังไปในทิศทางใด นำมาสู่การคาดการณ์ที่ว่า อุตสาหกรรมใดที่จะกลายเป็น ‘อนาคต’ ของโลกธุรกิจ โดยสุธีรพันธ์ุระบุว่ามีทั้งหมด 18 อุตสาหกรรม คือ 

• E-commerce ธุรกิจค้าปลีกออนไลน์

• AI Software & Services ปัญญาประดิษฐ์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน

• Cloud Services บริการคลาวด์รองรับข้อมูลปริมาณมาก

• Electric Vehicles (EV) ยานยนต์ไฟฟ้า

• Digital Advertising โฆษณาดิจิทัล

• Robotics หุ่นยนต์บริการด้านต่างๆ

• Semiconductors เทคโนโลยีนาโนชิปอัจฉริยะ

• Shared Autonomous Vehicles ยานยนต์ไร้คนขับ

• Space อุตสาหกรรมอวกาศ

• Cybersecurity ผู้ดูแลระบบความปลอดภัยบนโลกไซเบอร์

• Batteries นวัตกรรมแบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพสูง

• Video Games เกมและอุตสาหกรรมความบันเทิงอินเทอร์แอ็กทีฟ  

• Modular Construction การก่อสร้างสำเร็จรูป  

• Streaming Video แพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่ง  

• Future Air Mobility ยานพาหนะบินได้สำหรับการสัญจรในเมือง

• Drugs for Obesity & Related Conditions ยาและเทคโนโลยีสุขภาพ  

• Industrial & Consumer Biotechnology ชีววิทยาศาสตร์ที่มีประโยชน์ต่อผู้บริโภค  

• Nuclear Fission Power Plants โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้ในปริมาณจำนวนมาก  

สุดท้ายนี้ สุธีรพันธ์ุยังกล่าวถึงเทรนด์ผู้บริโภคในอนาคตที่น่าจับตามองและมีแนวโน้มที่จะเติบโตยิ่งขึ้น นั่นคือ wellness economy ซึ่งในประเทศยักษ์ใหญ่อย่างจีน, สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร ได้ให้ความสนใจ เช่น Health at Home การบริการดูแลผู้ป่วยที่บ้าน, Gen AI-Driven Personalization การให้ AI ช่วยวางแผนการใช้ชีวิต และ Biomonitoring & Wearables อุปกรณ์เทคโนโลยีที่ช่วยเก็บข้อมูลทางสุขภาพ

อย่างไรก็ดี สิ่งที่จะต้องควรพึงระวังให้ดี คือการบาลานซ์ระหว่างการให้บริการในมุมออนไลน์และออฟไลน์ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภคเจนฯ Z ที่จะเป็นกลุ่มผู้บริโภคสำคัญในอนาคต ที่มักโหยหาความเรียบง่าย เน้นการปฏิสัมพันธ์กับผู้คนมากกว่าในโลกออนไลน์ ดังนั้นการทำธุรกิจไม่ว่าจะในแง่ของการสร้างโปรดักต์หรือการให้บริการยังจำเป็นที่จะต้องคำนึงถึงการเผชิญหน้ากับผู้บริโภค พร้อมมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดอยู่ดี

เปิดแนวคิดคอนโดใหม่ อยู่สบาย ‘NUE REN Chaengwattana’ ที่ร้อยเรียงธรรมชาติและสถาปัตยกรรมเข้าด้วยกัน

ลองจินตนาการถึงสถานที่หนึ่ง ที่ถูกโอบล้อมไปด้วยธรรมชาติ มีต้นจามจุรีอายุกว่า 30 อยู่ท่ามกลางต้นไม้น้อยใหญ่ และใบหญ้าเขียวขจี มีสวนให้นั่งพักผ่อนหย่อนใจ มาพร้อมบรรยากาศที่โปร่งโล่งสบาย มีอาคารสีคล้ายเปลือกไม้กลมกลืนไปกับพื้นที่สีเขียวในบริเวณนั้น

คุณคิดว่าเรากำลังพูดถึงที่ไหน?

เชื่อว่าคำตอบส่วนใหญ่คงเทใจไปว่าเรากำลังพูดถึงสวนสาธารณะหรือแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติสักที่ แต่ความจริงแล้วเรากำลังพูดถึงโครงการ ‘นิว เรน แจ้งวัฒนะ’ (NUE REN Chaengwattana) คอนโดใหม่ อยู่สบาย ใจกลางแจ้งวัฒนะ ที่มาพร้อมดีไซน์สุดเก๋ ‘Nature’s Touch in the heart of it all’ ผสมผสานความเป็นธรรมชาติและงานสถาปัตยกรรมเข้าด้วยกัน 

จากความต้องการของคนรุ่นใหม่ในยุคปัจจุบันที่การซื้อคอนโดฯ ไม่ได้หมายถึงแค่ซื้อมาเป็นที่พักอาศัย แต่เป็นเหมือนการซื้อไลฟ์สไตล์ ที่สะดวกสบายต่อการใช้ชีวิตประจำวันพ่วงเข้าไปด้วย ทำให้เช็กลิสต์คอนโดฯ ในฝันของใครหลายคน นอกจากจะเป็นคอนโดฯ ที่ทำเลดี เดินทางง่าย อยู่ใกล้ที่ทำงาน ที่กิน และที่เที่ยว มีส่วนกลางที่ครบครัน มาพร้อมดีไซน์คอนโดฯ อันเป็นเอกลักษณ์แล้ว อีกข้อที่จำเป็นต้องเพิ่มในเช็กลิสต์จากสถานการณ์ในปัจจุบันที่ฝุ่น PM2.5 ล้อมเมืองและพื้นที่สีเขียวน้อยลงทุกวัน คือคอนโดที่ถูกโอบล้อมไปด้วยธรรมชาติอย่างลงตัว

เพื่อให้เห็นภาพว่าคอนโดฯ ในฝันที่กล่าวไปนั้นมีผลต่อการใช้ชีวิตของผู้คนยังไง คอลัมน์ Show Room ในครั้งนี้ขออาสารับบทเป็นลูกบ้าน พาไปจำลองการใช้ชีวิต เจาะแนวคิดการออกแบบโครงการนิว เรน แจ้งวัฒนะ คอนโดที่เป็นมากกว่าที่พักอาศัย แต่ใส่ใจถึงการใช้ชีวิตของลูกบ้านในทุกแง่มุม

แบรนด์นิว คอนโดฯ ที่เข้าใจคนนิวเจนฯ

ก่อนที่จะเปิดประตูไปเยือนคอนโดฯ นิว เรน แจ้งวัฒนะ ขอเท้าความก่อนว่านี่เป็นโครงการใหม่ล่าสุดของแบรนด์นิว (NUE) หรือที่หลายคนคุ้นเคยกันว่าเป็นหนึ่งใน Segment ของ Noble Development อสังหาริมทรัพย์เบอร์ต้นๆ ที่อยู่คู่คนไทยมากว่า 30 ปี ด้วยจุดแข็งที่เห็นปุ๊บรู้ปั๊บว่าเป็นผลงานจาก Noble Development คือการวางคอนเซปต์พัฒนาโครงการที่เน้นกลุ่มเป้าหมายอย่างชัดเจน ด้วยงานดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ มาพร้อมฟังก์ชั่นการใช้งานที่โดดเด่น บนทำเลที่มีศักยภาพ

ส่วนแบรนด์นิวก็ยังคงลายเส้นของ Noble Development เอาไว้ เพียงแต่จะโดดเด่นในแง่มุมของการเป็นคอนโดฯ ราคาเข้าถึงง่าย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ทั้งเลย์เอาต์ห้องที่อยู่สบาย มีส่วนกลางแบบจัดเต็ม อยู่บนทำเลย่านชานเมืองที่เป็นย่านธุรกิจส่วนต่อขยายหรือ EBD (Extension Business District) ใกล้กับจุดตัดรถไฟฟ้าต่างๆ

สำหรับโครงการนิว เรน แจ้งวัฒนะ มาพร้อมกับคอนเซปต์ ‘คอนโดใหม่ อยู่สบาย ใจกล้างแจ้งวัฒนะ’ ที่สะท้อนความอยู่สบายในแง่มุมของการใช้ชีวิตต่างๆ ทั้งการอยู่อาศัยในโครงการ การใช้ชีวิต และการเข้าถึง facility ต่างๆ รอบโครงการ อยู่ติด 3 ห้างทั้ง โลตัส แจ้งวัฒนะ, ชาน แอท ดิ อเวนิว, บิ๊กซี แจ้งวัฒนะ รวมทั้งการเดินทางเชื่อมต่อที่สะดวกสบาย เพียง 2 นาที* ถึงรถไฟฟ้าสายสีชมพู สถานีแจ้งวัฒนะ 14 และ ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ รู้จักกันพอหอมปากหอมคอแล้ว ขอชวนทุกคนออกเดินทางมายังนิว เรน แจ้งวัฒนะกันผ่านบทความนี้เลย

ชุบชูใจไปกับพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ใกล้บ้านคุณ

ทันทีที่เห็นหน้าโครงการรายล้อมไปด้วยพุ่มไม้และต้นไม้ใหญ่ กับตึกสีเปลือกไม้คล้ายกับตรงนี้เป็นพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ ต่อให้ไม่หันไปมองป้ายก็รู้ได้ทันทีว่ามาถึงที่นิว เรน แจ้งวัฒนะ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก่อนที่จะมีหน้าตาเป็นแบบนี้ พื้นที่เดิมมีต้นจามจุรีขนาดใหญ่ อายุกว่า 30 ปี อยู่กลางโครงการ

ซึ่งถ้ามองไปรอบๆ จะเห็นว่าบริเวณนี้นอกจากตรงศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะแล้ว ก็ไม่ค่อยมีพื้นที่สีเขียวมากนัก ทางโครงการจึงตัดสินใจอนุรักษ์ต้นจามจุรีนี้เอาไว้ เพื่อใช้เป็นพื้นที่สีเขียวให้กับลูกบ้านในนาคต จวบจนโครงการสร้างเสร็จมีพื้นที่สวนกว่า 2,900 ตารางเมตร แทรกตัวอยู่ในทุกพื้นที่ของโครงการ

ซึ่งทำให้เกิดระบบนิเวศที่รายล้อมไปด้วยธรรมชาติจริงๆ มากกว่าการมีสวนเป็นหย่อมๆ ในบางจุด หรือมีพื้นที่สีเขียวแค่ดาดฟ้าบนอาคาร ทำให้ชีวิตของลูกบ้านดีขึ้นในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของสุขภาพใจ ที่มีงานวิจัยหลายตัวออกมาว่าพื้นสีเขียวช่วยเยียวยาจิตใจได้เป็นอย่างดี คลายความเหนื่อยล้า ทำให้รู้สึกสุขสงบ

เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้นลองนึกถึงวันที่กลับมาจากทำงานเหนื่อยๆ หรือเวิร์กฟรอมโฮมอยู่คอนโดฯ นานๆ ไปจนถึงวันหยุดที่ไม่อยากอุดอู้อยู่ในห้อง แต่ก็อ่อนล้าเกินกว่าจะไปที่ไหนไกล แค่ได้ลงมาเดินเล่นในสวน อยู่กับธรรมชาติอันแสนสงบก็คงชุบชูใจไม่น้อย

ในแง่ของสุขภาพกายการมีพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ เหมือนมีกำแพงธรรมชาติที่ช่วยป้องกันฝุ่น กรองอากาศ ทำให้หายใจได้ชุ่มปอดมากขึ้นในวันที่อากาศบริสุทธิ์เป็นสิ่งหายาก นอกจากนี้ลูกบ้านยังรู้สึกเย็นสบายมากยิ่งขึ้น ทั้งจากต้นไม้ที่ช่วยดูดซับความร้อน เพิ่มความร่มรื่นผ่านกระบวนการคายน้ำ และยังเย็นสบายจากลมที่พัดมาตามแนวคลองประปา ซึ่งมีเขตทางกว้างถึง 80 เมตร และมีพื้นที่สีเขียว Garden Court ในทุกอาคาร ให้ประสบการณ์การอยู่อาศัยใช้ชีวิตอยู่สบายภายในโครงการอย่างแท้จริง

อยู่สบายด้วยดีไซน์ที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์

นอกจากพื้นที่สีเขียวที่ทำให้ลูกบ้านรู้สึกสบายทั้งกายและใจแล้ว งานสถาปัตยกรรมยังคำนึงถึงความสวยงามและการใช้งานที่ทำให้คุณภาพชีวิตของลูกบ้านดีขึ้น โดยมีการเลือกใช้องค์ประกอบความคอนทราสต์ของเงาบนพื้นดิน ที่เกิดจากแสงส่องผ่านต้นไม้ มาเป็นแนวความคิดในการออกแบบ facade ของอาคาร ส่วนสีนั้นแตกต่างจากคอนโดฯ อื่นๆ อย่างชัดเจน เพราะเลือกใช้เป็นสีของเปลือกไม้ เพื่อให้ผสานไปกับสีเขียวใบไม้ กลมกลืนไปกับธรรมชาติอย่างลงตัว

ถ้าเปิดดูผังของอาคารจะเห็นว่าทั้ง 3 อาคารถูกวางแบบสลับกัน ทำให้เกิดช่องลมพัดผ่านได้เป็นอย่างดี และยังเชื่อมต่อพื้นที่ courtyard ทั้ง 3 อาคารเข้าด้วยกันเพื่อให้ผู้อยู่อาศัยใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง โดยใช้องค์ประกอบที่มีตามธรรมชาติในงานออกแบบ เสนอผ่านชนิดวัสดุ ต้นไม้ พืชพรรณ การใช้เส้นสาย ความลื่นไหลเชื่อมต่อพื้นที่อาคารและสวนที่ออกแบบมาให้สามารถใช้งานได้เต็มที่

มาพร้อม Clubhouse ขนาดใหญ่ 2 ชั้น ทันทีที่ก้าวเท้ามายังชั้น 1 จะพบกับสระว่ายน้ำและพื้นที่ออกกำลังกายในบรรยากาศสุดร่มรื่น ก้าวขึ้นมาชั้น 2 จะพบกับ Coworking Space ที่เป็นมุมทำงานส่วนตัวในบรรยากาศผ่อนคลาย และ Rooftop ชมวิวสัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิด และด้วยความที่เป็นคอนโดฯ Low Rise มี 3 อาคาร แต่ละอาคารสูงเพียง 8 ชั้น และมีห้องชุดทั้งหมด 467 ยูนิต ทำให้รู้สึกถึงความสงบ เป็นส่วนตัวมากกว่าคอนโดฯ แบบ High Rise อีกด้วย

เปิดประตูห้องเข้ามาจะพบเลย์เอาท์ห้องแบบหน้ากว้างที่ทำให้รู้สึกถึงความโปร่งโล่งสบายตามสไตล์คอนโดฯ ของแบรนด์นิวเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือคำนึงถึงการใช้พื้นที่จริงภายในห้อง ผ่านการแบ่งฟังก์ชั่นให้เป็นสัดส่วน มีพื้นที่ห้องนั่งเล่นที่มากขึ้น เพื่อรองรับกิจกรรมต่างๆ และยังสามารถตกแต่งปรับเปลี่ยนห้องพักอาศัยได้ตามไลฟ์สไตล์ เพิ่มพื้นที่เก็บของขนาดใหญ่ และปรับขนาดหน้าต่างของห้องนอนให้เป็นแนวกว้าง เพื่อเปิดรับแสงและเห็นวิวธรรมชาติได้แบบเต็มๆ ตา

ขนาดห้องมีให้เลือกเริ่มต้นตั้งแต่ 27 ตารางเมตรไปจนถึง 50 ตารางเมตร มาพร้อมไทป์ห้องให้เลือกที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันทั้ง Bedroom เหมาะกับเทรนด์ตอนนี้ที่คนมักอยู่เป็นโสด มองหาห้องที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตคนเดียว มีห้องแบบ 1 Bedroom Plus เหมาะกับคนที่ทำงานอยู่บ้าน ตอบโจทย์พนักงานออฟฟิศที่เวิร์กฟรอมโฮม ไปจนถึงคนที่เป็นอินฟลูฯ หรือขายของออนไลน์ก็สามารถใช้พื้นที่ที่เพิ่มมาในการถ่ายรูปและไลฟ์สดได้ ไทป์สุดท้ายคือ 2 Bedrooms เหมาะกับลูกบ้านที่อยู่กันเป็นครอบครัวนั่นเอง

ใช้ชีวิตสบาย กิน เที่ยว ช้อปได้ใกล้บ้านคุณ

คงจะดีไม่น้อยถ้าสามารถไปหาของอร่อยๆ กิน ช้อปปิ้งซื้อของเข้าบ้าน เดินเที่ยวห้างในวันหยุด และสามารถทำทั้งหมดนี้ได้ในเวลาอันสั้น เพราะคอนโดฯ ใกล้ห้างเพียงไม่กี่ก้าว นิว เรน แจ้งวัฒนะ จึงเลือกตั้งอยู่ในทำเลใจกลางแจ้งวัฒนะ บริเวณถนนตัดใหม่เลียบคลองประปา ที่บริเวณด้านข้างรายล้อมไปด้วยห้างสรรพสินค้าถึง 3 ที่ ทั้งเทสโก้ โลตัส แจ้งวัฒนะ, บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ และ Charn at the Avenue Chaengwattana

รวมถึงยังตอบโจทย์ครอบครัวที่มีผู้สูงอายุหรือเผื่อในอนาคตอาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่ทำให้ต้องเข้ารับการรักษาอย่างเร่งด่วน ด้วยการมีโรงพยาบาลใกล้ๆ คอนโดฯ ถึง 2 แห่งคือโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ และโรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล

แม้แต่ครอบครัวที่วางแผนอยากมีลูกในอนาคต คอนโดฯ นี้ก็ตอบโจทย์ด้วยการมีโรงเรียนและมหาวิทยาลัยใกล้บ้าน อย่างโรงเรียนสาธิตปัญญาภิวัฒน์หรือสาธิตพีไอเอ็ม, โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี และมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์

อีกไฮไลต์สำคัญที่พูดถึงคอนโดฯ ย่านแจ้งวัฒนะปุ๊บนึกถึงปั๊บอย่างการมีศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ สถานบินดอนเมืองที่ทำให้สะดวกต่อการบินไปเที่ยวหรือไปทำงาน สำหรับสายคอนเสิร์ตก็สามารถไปอิมแพ็ค อารีน่าได้เพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในโครงการที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ได้อย่างแท้จริง

เดินทางสบายจะไปที่ไหนก็ง่ายนิดเดียว

เชื่อว่าคงไม่มีใครอยากเดินทางไกลๆ เผชิญรถติดหลายชั่วโมงกว่าจะถึงที่ทำงาน หรือไปเที่ยวตามที่ต่างๆ นิว เรน แจ้งวัฒนะ จึงเลือกทำเลที่สามารถเข้า-ออกได้ 2 ทาง ทั้งถนนแจ้งวัฒนะด้านหน้าโครงการ และฝั่งซอยแจ้งวัฒนะ 14 โดยเชื่อมต่อใจกลางเมืองผ่านถนนเส้นหลัก วิภาวดี-รังสิต, รามอินทรา ใกล้จุดขึ้น-ลงทางด่วนแจ้งวัฒนะ ศรีสมาน และเมืองทองธานี ถ้าไม่อยากขับรถหรือคนที่ไม่มีรถก็สามารถเดินทางได้ง่ายๆ ผ่านการนั่ง Shuttle Service รับ-ส่งจากโครงการ ไปยังรถไฟฟ้าสายสีชมพู สถานีแจ้งวัฒนะ14 เพียง 2 นาทีเท่านั้น

และการซื้อคอนโดฯ สักที่ไม่ได้ซื้อเพื่อการใช้ชีวิตปัจจุบันเท่านั้น แต่เป็นการซื้ออนาคตของย่านนั้นที่กำลังพัฒนา และง่ายต่อการปล่อยเช่าหรือขายในอนาคตอีกด้วย ซึ่งบริเวณแถวนิว เรน แจ้งวัฒนะ ในอนาคตก็นับว่าเป็นพื้นที่ที่เติบโตทางเศรษฐกิจ จากแผนพัฒนาพื้นที่ส่วนขยายของศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ที่จะเป็นต้นแบบเมืองสีเขียว ภายในปี 2570 บนที่ดิน 400 ไร่ และแผนพัฒนาสนามบินดอนเมืองเฟส 3 ที่จะรองรับผู้โดยสารสูงสุด 50 ล้านคนต่อปี

จากแนวคิดในการออกแบบนิว เรน แจ้งวัฒนะจะเห็นว่าใส่ใจตั้งแต่การเลือกทำเลที่สบายต่อการเดินทาง ดีไซน์อาคารที่ทำให้พักอาศัยได้อย่างสบาย และมีพื้นที่สีเขียวไว้ฮีลกายฮีลใจ สมกับคอนเซปต์คอนโดฯ อยู่สบายอย่างแท้จริง

อ่านมาถึงตรงนี้ถ้าใครอยากไปสัมผัสนิว เรน แจ้งวัฒนะด้วยตัวเอง สามารถเข้าชมห้องตัวอย่างได้แล้ววันนี้ ที่สำนักงานขายโครงการ ตั้งอยู่ที่ Charn At The Avenue ชั้น 2 ด้านบนร้าน Starbucks โดยสามารถลงทะเบียนเยี่ยมชมโครงการ พร้อมรับสิทธิพิเศษเพิ่มเติมได้ที่ https://nobleurl.com/3EJGVPJ  

Tank Tinker จากร้านขายอุปกรณ์สัตว์เลี้ยง tactical สายเท่ สู่บ้าน pet parent ที่มีครบจบ 

พูดก็พูด สมัยนี้เวลาเห็นคนเข็นรถเข็นตามห้างสรรพสินค้าหรือคาเฟ่ต่างๆ เชื่อว่าหลายคนไม่น้อยที่เผลอคิดไปก่อนแล้วว่านี่ต้องเป็นรถเข็นน้องหมาน้องแมวแน่ๆ เพราะปัจจุบันการมีลูกสักคนกลายเป็นเรื่องหนักใจ ด้วยค่าใช้จ่ายที่ทวีคูณกว่าสมัยที่พ่อแม่เลี้ยงเราๆ ตอนเด็ก 

สัตว์เลี้ยงกลายเป็นลูกรัก ที่ยิ่งอยู่ร่วมโลกได้ไม่นานนัก ก็ขอเลี้ยงให้ดีที่สุด 

ร้านรวงเพื่อสัตว์เลี้ยงผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด จนปฏิเสธไม่ได้ว่าคู่แข่งในสังเวียนนี้เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ การหาจุดต่างให้ธุรกิจจึงสำคัญ ตามงานวิจัยหลายฉบับยังแนะนำเสียด้วยซ้ำว่ายิ่งขายของพรีเมียม หรือยิ่งมีของที่เติมเต็มความเป็นพ่อแม่ได้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ 

ตี้–เปรมสินี พิพัฒนสุภรส

หนึ่งในนั้นคือ Tank Tinker ร้านนำเข้าและจัดจำหน่ายอุปกรณ์สัตว์เลี้ยง จุดเด่นของ Tank Tinker คือการเลือกสรรสารพัดอุปกรณ์ อย่างสายรัดอก รองเท้า ของเล่น ฯลฯ ที่มีสไตล์แตกต่างจากสินค้าที่เราหาได้ทั่วๆ ไป ช่วยให้พ่อแม่สบายใจเวลาพาลูกๆ ออกไปพบปะเพื่อนสี่ขา ขณะเดียวกันก็สนุกที่ได้จับลูกแต่งตัว

เราชอบสไตล์ทหาร อยากได้อะไรที่มีความสแว็กแก๊กนิดหนึ่ง ไม่ได้อยากอะไรที่แบ๊วมาก” ตี้–เปรมสินี พิพัฒนสุภรส ย้อนเล่าถึงจุดเริ่มต้นแรก ที่ต้องการหาของใช้ให้ลูกอย่างเจ้า Tank หรือรถถัง หมาพันธุ์เฟรนช์บูลด็อก (ก่อนที่ปัจจุบันจะมีทั้ง Tinker หรือถิง และทอย)  

จากความรัก เธอเริ่มเห็นโอกาสทางธุรกิจ จากความชอบ กลายเป็นความชำนาญในการเลือกสรรสินค้าให้ตรงใจพ่อแม่ ณ วันนี้ Tank Tinker ไม่เพียงมีหน้าร้านเป็นของตนเอง แต่ยังมีสินค้าบางชิ้นที่วางขายในห้างสรรพสินค้าและโรงแรม

ในซอยสุขุมวิท 26 เราชวนตี้มาสนทนาถึงการทำร้านขายของใช้สัตว์เลี้ยงที่ไม่เพียงต้องใช้ความรักเท่านั้น แต่ยังต้องใช้กลยุทธ์ทั้งบู๊และบุ๋น

01 Form Meets Function

เชื่อว่าใครก็ตามที่ได้มาเยือน Tank Tinker จะต้องสะดุดตากับแผงวางสินค้าที่ให้ความรู้สึกเท่และดุดัน แต่มากไปกว่าสไตล์ที่แตกต่าง ตี้เผยว่าจุดที่ทำให้อยากนำสินค้าสไตล์ tactical นี้เข้ามาจำหน่ายในไทยนั้นคือเรื่องความถึกทน

“ตอนเลี้ยงรถถัง ตี้เปลี่ยนอุปกรณ์สายรัดอกบ่อยมาก ด้วยเขาที่โตขึ้น ด้วยตะขอพัง หัก หรืออะไรเล็กๆ น้อยๆ ที่รวมๆ แล้วก็เสียเงินไปประมาณหนึ่ง ตอนนั้นเราก็เลยอยากได้อะไรที่มันทนๆ ซึ่งก็คือสไตล์ tactical  

“ในเรื่องฟังก์ชั่น มันคล้ายกับอุปกรณ์เดินป่า อุปกรณ์ออกรบของคนเลยนะ ที่วัสดุมันสู้แดด สู้ลม สู้ฝน สู้ระเบิด เลเวลนั้นเลย ตัวล็อกมันไม่เหมือนกับอุปกรณ์ทั่วไป หรือดีเทลต่างๆ อย่างตะเข็บ ฝีเย็บ ในชุดสไตล์ tactical ที่มีเทคนิคการเย็บ bartark ซึ่งมันจะฝังแน่นทำให้ไม่พังง่ายๆ” 

เมื่อหาสินค้าที่ถูกจริตเจอ และมองเห็นโอกาสว่าสไตล์ที่เท่ขนาดนี้ยังไม่มีใครเคยนำเข้ามาขาย เธอจึงเริ่มเห็นหนทาง

“ช่วงแรกคนสนใจมาก เพราะมันแตกต่างแบบ เฮ่ย เท่ เฮ่ยคืออะไร แต่ต่อมา มันก็จะเป็นยุคที่ซา คนอาจจะไม่ได้ชอบแล้ว หรือมีไว้แค่ตัวเดียวก็พอ เพราะจริงๆ แล้วเขาไม่ได้เป็นคนไทป์นี้ ไม่ได้เป็นคนใช้งาน tactical เลย แค่อยากมีไว้สักชิ้นสองชิ้น

“แต่ว่าก็จะมีสเตปต่อมาที่คนชอบเพราะฟังก์ชั่นที่มันทนจริงๆ อย่างลูกค้าหลังอาน โดเบอร์แมน หรือสุนัขตัวใหญ่ อาจจะยังไม่เจอสินค้าที่ตอบโจทย์เขาในตอนนั้นมันเลยตอบโจทย์เขาได้”  ด้วยการใช้งานทนทานดุจหินผา กลุ่มลูกค้าช่วงแรกๆ จึงเป็นกลุ่มพ่อแม่น้องหมาพันธุ์ใหญ่ ส่วนน้องๆ พันธุ์เล็กมักเลือกซื้อด้วยแฟชั่นที่แปลกตามากกว่า 

“คุณพ่อสายทหาร สายตำรวจ บางคนเขาเลี้ยงชิวาว่า หรือน้องปอมตัวเล็ก ชุดเราก็ทำให้ลูกเขาเท่ได้” ตี้บอกแบบนั้น แต่เพื่อความยั่งยืนของร้าน การหาสรรพสินค้าอื่นๆ เข้ามาเสริมเพิ่มความหลากหลายจึงสำคัญ เพื่อขยายฐานลูกค้าให้กว้างกว่าเดิม

“ส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่เรารู้สึกว่าหมาเรายังขาดตรงนี้อยู่ ก็จะเอาเข้ามาลองใช้ ถ้าอันไหนเวิร์ก เราก็จะเริ่มดูว่าในตลาดมีประมาณนี้หรือเปล่า เราสามารถหาอะไรที่ทดแทนกันได้มั้ย” 

จุดเด่นของ Tank Tinker ยังเป็นการคัดสรรสินค้าที่ร้านเป็นผู้จัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในไทย เช่น KiloNiner ชุดรัดอกแนวทหารจากแคลิฟอร์เนีย วัสดุอุปกรณ์ทุกชิ้นยังใช้ลิขสิทธิ์เดียวกับชุดทหาร ด้วยความที่เจ้าของแบรนด์เป็นทหารเก่า ซึ่งเป็นจุดตั้งต้นแรกๆ ของร้านนั่นเอง

หรือจะเป็น wagwear รองเท้าน้องหมารูปแบบยางที่เธอคิดมาแล้วว่าเหมาะกับอากาศประเทศไทยที่ร้อนชื้น ไปจนถึง Roika ของเล่นฝึกทักษะสมองและกล้ามเนื้อของเหล่าน้องหมา

02 The Human Touch

มากไปกว่าสินค้าที่แตกต่าง ตี้ยืนยันว่าการบริการคือสิ่งสำคัญสูงสุดที่ทำให้เธอสามารถพา Tank Tinker ยืนหยัดมาได้อย่างยาวนาน

“เรื่องของเซอร์วิสเป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญลำดับต้นๆ ของร้านเลยค่ะ พาร์ตของการซื้อ-ขายก็ส่วนหนึ่ง พาร์ตในการดูแลหลังการขายก็เป็นสิ่งที่ปรับพัฒนามาตลอด อย่างการรับประกันสินค้า ตอนแรกก็ไม่มีนะ แต่พอรับฟีดแบ็กมาเรื่อยๆ เราก็เริ่มพัฒนาให้มีการรับประกันสินค้า อย่างรองเท้ารับประกันที่ 6 เดือน หรือชุดรัดอกรับประกันที่ 1 ปี 

“จะเรียกว่าซื้อใจก็ไม่ถูก มันเหมือนเป็นจุดที่เราอยากแสดงให้เห็นว่า เราคิดเผื่อให้ ถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้ เราดูแลให้ เพราะสินค้าร้านเราก็ไม่ใช่ถูกถ้าเทียบกับท้องตลาด ตี้คิดว่าจุดนี้เราดูแลให้ได้ เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกคุ้มค่า”

การบริการของเธอยังขยายความไปถึงการเข้าใจหัวอกคนเป็นพ่อแม่หมาอย่างแท้จริง ความใจเย็น ความเห็นอกเห็นใจ เป็นคีย์ที่เธอทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าต้องกลับมาหา Tank Tinker เมื่อมีโอกาส

“อย่างรองเท้าเนี่ย บางคนอาจจะบอกว่าหมาพี่ไม่ทำ ไม่ใส่ ไม่ใช้ เราต้องปรับจูนเจ้าของก่อนอันดับแรก ว่างั้นลองวิธีนี้มั้ย มันมีวิธีแบบนี้ใช้งานได้ ลองแค่ขาหน้าก่อนก็ได้ อย่าไปรีบเขา ตี้ว่าน้องหมาปรับจูนไม่ยากเท่าปรับจูนคุณแม่คุณพ่อ 

“เราเข้าใจเขานะ เพราะด้วยความที่เขารักหมาเหมือนลูก เขาก็จะดูว่าลูกจะชอบมั้ย จะใส่ได้มั้ย เพราะจริงๆ การขายของสัตว์เลี้ยงเนี่ย คนซื้อไม่ได้ใช้ คนใช้ไม่ได้ซื้อ มันเป็นเกมเดาใจ”

03 Retail Lab

“จุดเริ่มต้นไม่ได้คิดภาพในหัวเลยว่า Tank Tinker จะต้องมีหน้าร้าน” 

แรกเริ่มเดิมทีเธอเน้นการขายสินค้าในช่องทางออนไลน์เป็นหลัก เอาสินค้านั้นนี้เข้ามาขาย กระทั่งเจอกับสินค้าที่แค่เห็นผ่านจออาจไม่ชวนซื้ออย่างรองเท้า 

“รองเท้าคนเรารู้ไซส์ของตัวเอง เต็มที่ก็ใส่ไปเดินไม่ถนัด หรือไม่ก็กัด แต่เราก็มีวิธีเทคนิคในการปรับตัวกับรองเท้าคู่ใหม่ของเรา แต่กับน้องหมามันจะไม่ใช่แค่ว่าเขาใส่ได้พอดีไม่พอดี มันจะมีดีเทลเยอะมาก เลยบอกแฟนว่าต้องเปิดร้านละ ไม่มีที่ลองไม่ได้ ไม่งั้นซื้อไปเสียเงินเปล่าแน่นอน เพราะตี้มีปัญหากับการซื้อมาแล้วไม่ได้ใช้เยอะมาก”

ร้านขนาดย่อมในซอยสุขุมวิท 26 นี้เองจึงก่อร่างสร้างขึ้นมาในช่วงที่โควิด-19 เริ่มซา ซึ่งแม้อาจจะไม่ได้เข้าถึงง่ายนักถ้าเทียบกับการตั้งหน้าร้านริมถนน หรือในห้างสรรพสินค้า แต่เธอพิจารณาแล้วว่านี่แหละตอบโจทย์พ่อแม่หมาและตัวเธอเอง

 “ณ ตอนนี้ยังมองว่าหน้าร้านไม่ใช่แหล่งทำเงินหลัก แต่คือช่องทางที่จะซัพพอร์ตลูกค้ามากกว่า ดังนั้นร้าน Tank Tinker ถือเป็น destination ที่ลูกค้าไม่ได้บังเอิญเดินเข้ามา แต่เขาต้องตั้งใจมา ดังนั้นสิ่งที่เราให้ความสำคัญคือเรื่องที่จอดรถ เพราะสไตล์ครอบครัวพ่อหมาแม่หมาต้องคำนึงถึงที่จอดรถเป็นหลัก 

3-4 เดือนแรกที่เปิดร้าน เธอเน้นเรียนรู้ลูกค้าให้มากที่สุด ทั้งกลุ่มลูกค้า สไตล์การใช้ชีวิต ซึ่ง 80% เลี้ยงเหมือนลูก “เพราะจะมีใครที่ไหนมาซื้อรองเท้าให้หมา” เธอเล่าพลางหัวเราะ ก่อนอธิบายต่อว่าการเรียนรู้ลูกค้าลึกลงไปถึงขั้นว่า น้องหมาพันธุ์เล็กจะตัวเล็กแต่ใจใหญ่ ส่วนพันธุ์ใหญ่นั้นตัวใหญ่ใจคิตตี้ 

“เวลาที่เราตอบลูกค้าออนไลน์ ก็ได้ไอเดียจากการที่เราเจอลูกค้าหน้าร้าน บางทีเราไม่รู้ว่าสายพันธุ์นี้เป็นฟีลไหน แต่พอเราอยู่หน้าร้าน เราเจอสุนัขหลายสายพันธุ์มากขึ้น อย่างก่อนหน้านี้ในร้านไม่มีเก้าอี้ แต่ตี้อยากให้กลับไปบ้านก็ใส่รองเท้าได้เลย ไม่ต้องไปฝึกใส่ อยู่ตรงนี้ ฝึกกันไปเลย ซึ่งบางทีใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง หลังๆ เราก็ต้องมีเก้าอี้ให้ลูกค้านั่ง

“หรือพอมาเปิดหน้าร้าน ช่วงแรกๆ เราก็บริหารจัดการสต็อกพลาดบ่อยๆ ด้วยความที่รองเท้าไซส์เยอะ สีเยอะ SKU ประมาณ 40-50 ยิบย่อยมาก การบริหารสต็อกก็เลยเป็นสิ่งหนึ่งที่ท้าทาย มันจะไม่เหมือนออนไลน์สต็อก เพราะการเข้ามาของลูกค้าจะกะเกณฑ์ไม่ได้ ” เธออธิบายถึงการเปิดหน้าร้านที่คือการ do&learn อย่างไม่รู้จบ

นอกจากหน้าร้านบริเวณนี้แล้ว Tank Tinker ยังมีจุดวางจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าและโรงแรม หากเป็นที่ Siam Paragon หรือ Emporium จะเป็นกลุ่มสินค้า wagwear ที่มีสีสัน ถ้าเป็นโรงแรม The Standard ที่กรุงเทพฯ และหัวหิน เป็นกลุ่มของเล่นสุนัขที่เผื่อลูกค้าไปพักโรงแรม อยากมีกิจกรรมให้เด็กๆ ได้แก้เบื่อ 

การเปิดหน้าร้านยังทำให้เธอได้รู้ว่าลูกค้าไม่ได้อยู่แค่กรุงเทพฯ เท่านั้น แต่บางคนขับรถมาจากกาญจนบุรี นครปฐม ชลบุรี เธอจึงอยากลองทำ mini roadshow ที่ไปเปิดหน้าร้านเล็กๆ ตามที่ต่างๆ ที่เป็น pet-friendly เพื่อเรียนรู้และเข้าใจลูกค้าแต่ละสถานที่ด้วย

 04 Pawfect Home

“ตอนแรกตี้ก็ช็อกเหมือนกันว่าวงการสัตว์เลี้ยง กระแสไปเร็วพอๆ กับคน มันเหมือนฟาสต์แฟชั่นพอสมควรเลย ดังนั้นตี้ว่าผู้ประกอบการทุกคนน่าจะมองเห็นตรงกันว่าสิ่งที่จะทำให้เรายืนระยะได้คือเรื่องคุณภาพ” ตี้กล่าวตอบ เมื่อเราถามถึงข้อกังวล ด้วยปฏิเสธไม่ได้ว่าคู่แข่งในสังเวียนนี้มีไม่น้อย

เพราะแม้เทรนด์แฟชั่นจะเปลี่ยนไปแค่ไหน แต่หากคุณภาพดี บริการถึง เธอยืนยันว่าลูกค้าจะผูกจิตกับร้าน ผูกใจกับแบรนด์ ว่านี่แหละคือที่ที่ pawrent ไว้ใจ แม้ไม่ได้กลับมาซื้อสินค้าชิ้นเดิมซ้ำ แต่จะกลับมาซื้อสินค้าตัวใหม่

“ในยุคช่วงเปิดร้านแรกๆ เราซื้อของที่เราไม่ได้ใช้มาเพียบเลย ใส่ได้บ้างไม่ได้บ้าง หรือใช้งานไม่ได้จริงบ้าง พอมาทำร้านของตัวเอง ตั้งแต่ day 1 ที่เริ่มทำ ขออย่างหนึ่งเลยคือถ้าซื้อไปขอให้ได้ใช้ ถ้าเอาไปแล้วไม่ได้ใช้ อย่าเพิ่งซื้อ 

“ลูกค้าเยอะมากที่มาจากกาญจนบุรี นครปฐม จากพื้นที่ที่ไกล เขายอมขับรถมาเพื่อเอาน้องหมามาลองรองเท้า มีทั้งที่เฟลกลับไป ไซส์ไม่ได้ เล็กไปใหญ่ไป หรือบางทีน้องสุนัข สายพันธุ์นั้นๆ ไม่สามารถใส่รองเท้าแบรนด์ wagwear ได้จริงๆ เราก็จะไม่ฝืนขาย”

แต่นอกจากคุณภาพและความจริงใจจะทำให้ Tank Tinker ยืนระยะในใจลูกค้าได้แล้ว การเริ่มต้นธุรกิจจากความชอบ และการปรับตัวสู่การเป็นผู้ประกอบการคือแกนหลักที่ทำให้ตี้ยังยืนระยะในการทำธุรกิจได้ เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าการทำธุรกิจนั้นต้องมีเงินๆ ทองๆ สัมพันธ์อย่างแยกไม่ขาด

“ตี้เลยคิดว่า เราต้องหาก่อนว่าเราชอบอะไร ให้มันฟอร์มเรา ให้มันมีความสุขกับการทำต่อ ส่วนปัญหาอื่นๆ ตี้คิดว่าการลงมาทำธุรกิจคือการที่พร้อมจะปรับตัว สุดท้ายแล้วเป็นแท่งหินไปทื่อๆ ก็จะล้มเอา มีหลายอย่างเหมือนกันที่ไม่ตรงกับภาพในหัวตี้เลยนะ 

“ทุกวันนี้ก็ยังต้องหยิกตัวเองอยู่ว่า เออ ยังไม่ต้องเพอร์เฟกต์ก็ได้ ก็ลองดูไปก่อน ตอบโจทย์ลูกค้าเรามั้ย หาลูกค้าเพิ่มได้มั้ย การค่อยๆ ลองไปในยุคเศรษฐกิจแบบนี้มันสำคัญนะ เรายังทำธุรกิจเล็กๆ มันอาจจะไม่คุ้มที่จะเล่นใหญ่ ไม่ต้องทำเกิน ให้ทำถึงก็พอ”

สำหรับเธอ Tank Tinker จึงไม่ใช่แค่ร้านค้าหรือแบรนด์ แต่ปัจจุบันกลับเป็นบ้านที่เธอต้องทำให้เต็ม ทำให้ถึง ทำให้ครบสำหรับสมาชิกที่จะเดินเข้ามายังบ้านหลังนี้

“เหมือนเราสร้างบ้านอยู่ ตอนนี้เรามีห้องแต่งตัว เรามีอุปกรณ์ เราขยายไปมีห้องน้ำน้องหมาละ เดี๋ยวเราจะมีห้องครัวนะที่เริ่มขายขนมหรืออาหาร แล้วจากนั้นบ้านหลังนี้มันจะมีองค์ประกอบอะไรได้อีกล่ะ จุดนี้เราเริ่มมองไม่เหมือนวันแรกที่แค่อยากขายของ แต่เราเริ่มมองว่าเราจะสร้างบ้านออกมาแบบไหน 

“เมื่อลูกค้าหนึ่งคนเข้ามา เขาจะได้อะไรกลับไปที่บ้านในอีกหลายๆ ห้อง หลายๆ องค์ประกอบ ตี้พยายามคิดว่าในแต่ละวัน 1 วัน cycle ของเขาต้องเจออะไรบ้าง พาเดินเล่น กิน นอน เข้าห้องน้ำ อาบน้ำ ตี้พยายามทำ cycle นั้นกับ Tank Tinker อยู่” 

Bunny Brown แบรนด์ผงซักผ้าขาวของ ‘นิ้งและเอิร์ธ’ ที่เริ่มจาก pain point แต่ลงมือทำด้วยรัก

ช่วงขวบปีที่ผ่านมาหลายคนน่าจะได้ก้าวออกจากเซฟโซนเพื่อลงมือทำอะไรใหม่ๆ เหมือนที่ นิ้ง–อริสา ลิขิตประเสริฐ (Ning Arisa) และเอิร์ธ–รัชชานนท์ ยามาโมโต (Earth Yamamoto) คู่รักอินฟลูเอนเซอร์สายไลฟ์สไตล์ ที่ตัดสินใจจับมือทำธุรกิจเป็นของตัวเองครั้งแรกในชีวิต

เหตุผลที่นิ้งและเอิร์ธเลือกที่จะทำแบรนด์ผงซักผ้าขาวนั้นไม่สลับซับซ้อน เพราะมาจากการหยิบ pain point ในชีวิตประจำวันอย่างการซักผ้าที่ผิวเผินดูเป็นเรื่องง่าย แต่สำหรับคนทำงานบ้านย่อมรู้ดีว่านี่เป็นงานโหดหินไม่ต่างจากการเข็นครกขึ้นภูเขา โดยเฉพาะผ้าขาวที่เปรอะไปด้วยคราบสกปรก ทั้งคู่จึงอยากสร้างโปรดักต์ที่สามารถแก้ไขปัญหาชวนปวดหัวที่ว่า 

“ผมกับนิ้งคุยกันมาตลอดว่าเราอยากทำธุรกิจเป็นของตัวเอง แต่เราจะทำอะไรกันดีล่ะ จนเรามองเข้ามาในชีวิตคู่ถึงนึกออกว่ามันควรจะเป็นของที่ใช้ในบ้าน ซึ่งตอนนั้นเรากำลังเจอปัญหาเรื่องการซักผ้าขาวพอดี ก็เลยตัดสินใจกันว่าจะลองทำแบรนด์ซักผ้าขาวเป็นของตัวเอง” เอิร์ธย้อนความถึงจุดกำเนิดของแบรนด์ Bunny Brown ให้เราฟัง

ด้วยเหตุนี้ ‘Bunny Brown’ จึงถือกำเนิดอย่างเป็นทางการ ซึ่งทั้งนิ้งและเอิร์ธนิยามแบรนด์แบรนด์นี้ว่าไม่ต่างจากลูกแท้ๆ ที่ถูกเลี้ยงให้เติบโตด้วยความรัก

จากออร์เดอร์หลักสิบเพิ่มเป็นหลักร้อย จากหลักร้อยเพิ่มเป็นหลักพัน ด้วยกระแสที่มาแรงนี้ คอลัมน์ 5P เลยขอชวนนิ้งและเอิร์ธมาเผยถึงเบื้องหลังการสร้างแบรนด์ Bunny Brown ที่เต็มไปด้วยความสนุก และความท้าทายอย่างการบริหารชีวิตคู่ รวมไปถึงอธิบายว่าแบรนด์ผงซักผ้าขาวของพวกเขามีความพิเศษยังไง

PRODUCT
ผงซักผ้าขาวที่อ่อนโยนต่อผิวและดีต่อใจพ่อบ้านแม่บ้าน

ใครที่ติดตามนิ้งและเอิร์ธน่าจะรู้ดีว่า ทั้งสองเป็นอินฟลูฯ สายคอนเทนต์ที่นำเสนอความน่ารักผ่านไลฟ์สไตล์ในชีวิตประจำวัน แต่อย่างที่รู้กันดีว่าโลกของคอนเทนต์จะรุ่งหรือร่วงนั้นวัดกันที่ยอดเอนเกจเมนต์ วันนี้อาจมียอดวิวหลักล้าน แต่อีกวันอาจเหลือแค่หลักร้อย ดังนั้นเพื่อเป็นอีกหลักประกันในชีวิต ทั้งคู่จึงคิดทำธุรกิจเป็นของตัวเอง ซึ่งเป็นเป้าหมายที่วางไว้ร่วมกันนานแล้ว 

เราคุยกับพี่เอิร์ธว่าถ้าคุณมองเค้า คุณคิดว่าเค้าควรขายอะไรดี มันมีไอเดียฟุ้งเต็มไปหมด อย่างเราเลี้ยงหมา เราก็อินกับเรื่องน้องหมามาก บวกกับเราชอบทำคลิป ก็เลยนึกอยากทำโปรดักต์ที่เป็นประโยชน์ต่อน้องหมาและต่อยอดทำเป็นคอนเทนต์ได้ ที่เราคิดไว้มีทั้งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของหมา ไวน์หมา เบียร์หมา เป็นเหมือนอาหารเลียนแบบมนุษย์ที่มีประโยชน์ต่อหมา แต่ในความเป็นจริงมันมีเรื่องของข้อจำกัดจากทางโรงงานผลิต มีเรื่องต้นทุนเข้ามาเกี่ยว ไอเดียเลยถูกตีตก

เอิร์ธ-รัชชานนท์ ยามาโมโต

“จนเราย้ายไปอยู่ที่บ้านใหม่ เราได้เจอกับพี่คนหนึ่งที่อยู่บ้านตรงข้าม เขาได้แชร์เรื่องการทำธุรกิจให้เราฟัง พี่เขาบอกว่าเขาทำมาหลายธุรกิจแต่ธุรกิจที่เริ่มจากความชอบทำแล้วเจ๊งหมด แต่ที่ประสบความสำเร็จกลับเป็นธุรกิจที่เริ่มจากความไม่ชอบ ความขี้เกียจ มาคิดค้นโปรดักต์ที่สามารถใช้แก้ปัญหานั้นได้ เราเลยกลับมานั่งคุยกับพี่เอิร์ธอีกครั้งว่า แล้วมีอะไรบ้างที่เราไม่ชอบ”

จากคำแนะนำโดยเพื่อนบ้านในตอนนั้น ช่างประจวบเหมาะกับปัญหางานบ้านที่นิ้งและเอิร์ธกำลังประสบอยู่ นั่นคือ ‘การซักเสื้อขาว’ ที่ต่อให้ขยี้หรือแช่ทิ้งไว้นานเท่าไหร่ก็ยังดูหมอง มิหนำซ้ำยังทิ้งคราบสกปรกไว้ โดยเฉพาะคราบเลอะจากครีมกันแดด 

ที่น่าหนักใจไม่แพ้กันคือผงซักผ้าขาวส่วนใหญ่มักไม่อ่อนโยนต่อผิวมือ มีอานุภาพรุนแรงถึงขั้นกัดผ้าสีให้สีซีดลงได้ จาก pain point ที่ว่านี้เอง นิ้งและเอิร์ธพร้อมหุ้นส่วนอีก 2 รายจึงตัดสินใจทำแบรนด์ผงซักผ้าขาวในอุดมคติเองเสียเลย

“สูตรแรกของ Bunny Brown คือการปรับผ้าหมองเป็นผ้าขาว ส่วนอีกสรรพคุณของเขาก็คือการจัดการพวกคราบฝังลึก ซึ่งทั้ง 2 ข้อนี้เป็นจุดเด่นของเขา โดยในส่วนผสมมีความอ่อนโยนต่อผิวมือเวลาซักและอ่อนโยนต่อตัวเนื้อผ้า

“ส่วนที่เราทำเป็นรูปแบบ ‘ผง’ แทนที่จะเป็นแบบลิควิดหรือสูตรน้ำที่คนนิยมกัน เพราะเราอยากให้การใช้งาน simple ที่สุด และข้อดีของแบบผงคือแช่แล้วละลายไม่ทิ้งคราบ ถึงจะเข้าเครื่องซักก็ตาม” เอิร์ธอธิบายถึงความพิเศษของผงซักผ้าขาว Bunny Brown ให้เราฟัง

ผงซักผ้าขาว Bunny Brown

อีกข้อที่ทำให้ Bunny Brown แตกต่างจากแบรนด์ผงซักผ้าขาวที่มีอยู่ในท้องตลาดคือ ‘แพ็กเกจจิ้ง’ ที่พวกเขาตั้งใจให้ดูโดดเด่นบนชั้นวาง มีกลิ่นอายวินเทจแบบ Y2K  สามารถนำมาถ่ายรูปทำคอนเทนต์ได้ ซึ่งเอิร์ธบอกกับเราว่า ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อให้เรื่องของงานบ้านที่น่าเบื่อจำเจดูสนุกขึ้น โดยไอเดียของดีไซน์แพ็กเกจจิ้ง และ Brand CI นั้นก็มาจาก ‘กระต่าย’ สัตว์ตัวน้อยขนปุยที่รักความสะอาดซึ่งเป็นมาสคอตของแบรนด์นั่นเอง

“เรื่องของดีไซน์เรามีคีย์เวิร์ดในใจคืออยากให้ดูวินเทจ เลยเริ่มจากตกลงกันว่าอยากให้โปรดักต์เป็นแบบกล่องกระดาษ แล้วมาโหวตว่าควรใช้สีอะไรดี ผลโหวตก็คือสีน้ำเงินกับเหลือง ตอนแรกผมเสนอให้โทนสีออกมาอ่อน แต่นิ้งกับหุ้นส่วนอีก 2 คนเขาอยากได้แบบสีสดๆ เพราะมองว่าโปรดักต์สีสดๆ ถ้าไปวางอยู่ในห้องซักผ้ามันน่าจะดูสวยมากแน่ๆ  

“แต่กว่าจะได้แบบที่เห็นเราแก้กันหัวแตกมาก เราเสนอไอเดียมู้ดแอนด์โทนกันไปกันมา จนสุดท้ายมาจบที่คนออกแบบคนที่สองซึ่งตอนนั้นเรามี material ให้ลองเยอะมาก แค่ process ตรงนี้ก็ใช้เวลา 3-4 เดือน จนสุดท้ายออกมาเป็นแบบที่เห็น ที่เรารู้สึกว่า อันนี้แหละ อันนี้สวย ชอบเลย”

“อันนี้คือความตั้งใจของเรา เพราะเรารู้สึกว่าอยากให้การซักผ้าเป็นคอนเทนต์ได้ ทำให้คนเห็นแล้วอยากหยิบโปรดักต์ขึ้นมาถ่าย อยากหยิบขึ้นมาใช้ มารีวิว เป็นความรู้สึกเดียวกันกับตอนที่เรารีวิวโปรดักต์สักแบรนด์” นิ้งอธิบายเสริม

PRICE
ราคาที่ต่างจากในตลาดเพราะเลือกความมั่นคงในคุณภาพ

Bunny Brown 1 กล่อง ขนาด 400 กรัม สนนราคา 299 บาท

แน่นอนล่ะ ว่าการจะลงมือทำธุรกิจจำย่อมต้องนึกถึงเรื่องผลกำไร หรือเรื่องช่องว่างของโปรดักต์ที่ยังขาดในตลาด แต่สำหรับนิ้งและเอิร์ธที่เลือกลงทุนลงแรงเพื่อสร้างแบรนด์ผงซักผ้าขาว ซึ่งเป็นตลาดที่มีผู้เล่นอยู่มากได้มองไว้แล้วว่า ราคาสินค้าที่ตั้งไว้นั้นสมเหตุสมผล และสามารถทำให้ผู้บริโภคเข้าใจถึงราคานี้ได้ โดยมีข้อแม้คือต้องยึดมั่นในคุณภาพและสื่อสารถึงความสมเหตุสมผลนี้ไปถึงผู้บริโภคให้ได้

“มองผิวเผินอาจจะดูว่าราคาแพง แต่เราก็เหมือนผู้ประกอบการทั่วไปที่ตั้งราคาโปรดักต์จากต้นทุน ซึ่งถ้าพูดกันตรงๆ ต้นทุนของเราก็สูง และอาจถูกเปรียบเทียบกับแบรนด์ที่มีอยู่ในตลาด เราเลยพยายามหาจุดขายมาสื่อสารให้ผู้บริโภคเห็นว่า เราไม่ได้ตั้งราคาขึ้นมามั่วๆ เราไม่ใช่แค่ผงซักฟอก แต่เราเป็นสินค้าแก้ปัญหา สินค้าของเราปลอดภัยต่อคนที่แพ้ผงซักผ้าขาวเอามากๆ ซึ่งเราเคยเอาให้เพื่อนที่แพ้ทดลองใช้ ปรากฏว่าเขาใช้แล้วมือไม่ลอกไม่แสบ

“กับลูกค้าอีกกลุ่มหนึ่งที่เราตั้งใจซัพพอร์ตคือกลุ่มคนที่เลี้ยงหมาและแมว อย่างเราที่เลี้ยงหมาเองก็อยากให้เขาปลอดภัยสุขภาพดี เราเลยพัฒนาให้ Bunny Brown อ่อนโยนต่อสุขภาพสัตว์เลี้ยง สามารถทำความสะอาดของเล่น หมอน หรือที่นอนของเขาได้” 

นิ้งอธิบายต่อว่า Bunny Brown 1 กล่องนั้นมีปริมาณการใช้ซักได้ถึง 27 ครั้ง โดยการใช้งาน 1 ช้อน สามารถใช้งานกับผ้าได้ถึง 10-20 ตัว หารเฉลี่ยแล้ว 1 กล่องสามารถใช้งานได้นานถึง 2 เดือน ทำให้ Bunny Brown ตอนนี้ก้าวเข้าไปอยู่ในใจผู้บริโภค โดยเฉพาะในกลุ่มแม่บ้านมือฉมัง

PROMOTION & PLACE 
ใช้ ‘คอนเทนต์’ เป็นกลยุทธ์การขายช่องทางออนไลน์จนปัง

ณ เวลานี้ สินค้าของ Bunny Brown มีวางจำหน่ายแบบออฟไลน์ที่ Matchbox 3 สาขา ได้แก่ สยาม เมกะบางนา และเซ็นทรัลเวสต์เกต โดยวางอยู่ในหมวดเดียวกับสินค้าประเภทเสื้อผ้าเพื่อให้ผู้ที่มาแวะซื้อได้หยิบจับ ตัดสินใจซื้อกลับไปลองใช้ ซึ่งทั้งคู่บอกกับเราว่า สาเหตุที่เลือกวางจำหน่ายที่มัลติแบรนด์สโตร์แห่งนี้เนื่องจากคาแร็กเตอร์ของแบรนด์ใกล้เคียงกัน

“ถ้าอนาคต Bunny Brown ไปสู่จุดที่เป็น volume trade ได้ก็ดีนะ แต่เราคุยกับคนในทีมทุกคนแหละว่า Bunny Brown อาจจะยังไม่เหมาะที่จะไปยืนอยู่ในจุดนั้น พูดกันตรงๆ ก็เพราะว่าด้วยเรื่องราคา คืออยู่ดีๆ จะไปวางขายในเซเว่นฯ เราจะเอากำไรจากไหน สินค้าเราเลยยังเป็นเรื่องของลูกค้าเฉพาะกลุ่มอยู่ แต่อนาคตถ้าหลังบ้านแข็งแกร่งมันก็อาจจะขยายไปตรงนั้นได้”

อย่างที่เอิร์ธว่าไว้ข้างต้น ดังนั้นเวลานี้ Bunny Brown จึงทุ่มเทการทำงานไปยังช่องทางออนไลน์เป็นหลัก โดยเฉพาะบนแพลตฟอร์ม TikTok Shop และ Shopee Thailand ซึ่งมีกลยุทธ์สำคัญในการกระตุ้นยอดขายถล่มทลาย นั่นคือการสร้างคอนเทนต์ที่พวกเขาถนัด

Ning Alisa

“นิ้งอยากจะบอกว่า ทั้งนิ้งและพี่เอิร์ธเอาประสบการณ์ เอาทุกศาสตร์ ทุกเครื่องมือ ตลอด 4 ปีที่ทำคอนเทนต์มาใช้  Bunny Brown กับแทบจะทั้งหมด อย่างตอนช่วงแรกที่เราไลฟ์ขายคนยังไม่เข้าใจว่าเราขายอะไร ใช้แล้วคราบแบบไหนถึงออก พี่เอิร์ธเลยแบบ โอเค งั้นเราทดลองให้เขาดูกันเลย เอาตู้ปลามาตั้ง ใส่น้ำ ใส่ผงซักแล้วแช่ให้เขาดู  

“หรือช่วงหนึ่งที่กระแสตุ๊กตาลาบูบู้มาแรง วันฮาโลวีนเราก็เอาลาบูบู้มาสาดคราบให้ดูน่ากลัว แล้วค่อยเอาน้องไปจุ่มซักทำความสะอาด ตอนนั้นจำได้ว่าคนเข้ามาดูไลฟ์เยอะมาก มันเป็นสิ่งใหม่ที่เราทำแล้วก็สนุกไปด้วย”

อย่างไรก็ดี สิ่งที่นิ้งและเอิร์ธยึดถือและย้ำเสมอเมื่อทำการไลฟ์ คือการไม่อวดอ้างสรรพคุณเกินจริง และต้องแนะนำลูกค้าอย่างตรงไปตรงมา เพื่อให้ลูกค้าที่เข้ามาชมหรือเข้ามาซื้อได้รับสิ่งที่ดีที่สุด

“คราบบนโลกนี้มันมีหลายพันคราบ ผ้าบนโลกนี้ก็มีหลายชนิด เราเลยบอกคนที่เข้ามาดูอยู่เสมอว่า อย่าหวังว่าใช้แล้วคราบมันจะออกหมดทันที เราไม่ใช่ผงวิเศษ เราแค่ทำให้มันดีขึ้น จางขึ้น ไม่ใช่ไปเคลมจนเว่อร์เกิน หรือผ้าสกรีน ผ้ามัดย้อม ก็ห้ามเอาไปแช่ เอาไปซักนะ ไม่จำเป็นต้องเป็นของ Bunny Brown หรอก เพราะของยี่ห้อไหนก็ลอกถ้าเอาไปซักกับผงซักผ้าขาว 

“ในทางหนึ่งการพูดจำกัดการซื้อแบบนั้นมันก็เหมือนการฆ่าตัวตายทางอ้อม แต่เราเป็นห่วงคนที่ซื้อไปใช้มากกว่า อย่างเมื่อไม่นานมานี้เราทำการทดลองเอาเครื่องสำอางสาดใส่เสื้อ ผมก็จะบอกผู้ชมว่าเรากำลังทำคอนเทนต์อยู่นะ ถ้าคราบแบบเนี้ยมันหนักเกิน เราควรหา remover ที่มันตรงกับเครื่องสำอางมาลบก่อนแล้วค่อยนำไปซัก

“คือหลายคนอาจจะคิดว่าเป็นอินฟลูฯ ต้องขายดีแน่ๆ แต่นั่นมันก็แป๊บเดียว ยังไงสุดท้ายผู้บริโภคก็เลือกวัดที่คุณภาพสินค้า ถ้าคุณภาพดีเขาก็กลับมาซื้อต่อ มาบอกต่อคนรอบตัว” เอิร์ธเน้นย้ำถึงจุดยืนของ Bunny Brown ด้วยสีหน้าจริงจัง

PARTNER
ทำธุรกิจกับ ‘คนรัก’ ต้องรู้จักการ ‘บาลานซ์ชีวิต’

“P ที่ 5 ของพวกคุณคืออะไร” ผมถามนิ้งและเอิร์ธ ก่อนที่ทั้งคู่ใช้เวลาอยู่หลายนาทีเพื่อหาคำตอบ ซึ่งคำตอบที่ได้นั่นคือคำว่า partner ที่ไม่ได้มีแค่เพียงมุมมองการทำธุรกิจร่วมกัน แต่ยังหมายถึงการใช้ชีวิตคู่ด้วย

“ไหนตอบดิ รักกันไหมเนี่ย” เอิร์ธพูดหยิกแกมหยอกพลางมองไปที่นิ้ง

“ถ้าพูดถึงการทำคอนเทนต์ออนไลน์เราเคยทำรวมกันกับพี่เอิร์ธมาก่อน แต่สุดท้ายเราตกลงว่าแยกช่องทำกันเถอะ คือเหมือนไลฟ์สไตล์เราแตกต่างกันชัดเจน เราต่างมีความเป็นไดเรกเตอร์สูง แต่พอมาเป็นเรื่องของการทำธุรกิจร่วมกันเราต้องปรับตัวกันใหม่หมด เหมือนเราต้องแบ่งฝั่งหน้าที่ไม่ก้าวก่ายกัน รวมไปถึงการทำงานกับฝั่งพาร์ตเนอร์ของเราอีกสองคนที่ซัพพอร์ตอยู่หลังบ้านด้วย” นิ้งตอบอย่างตรงไปตรงมา

“ก่อนหน้านั้นเราทำอินฟลูฯ เราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน เราหาคอนเทนต์ทุกอย่างที่มันสนุกอะ มันเลยทำให้ชีวิตเราสนุกมาก แต่พอเป็นเรื่องธุรกิจมันมีเรื่องความเครียดเข้ามา มีปัญหาให้แก้ในทุกๆ วัน กลายเป็นว่าชีวิตคู่เราโฟกัสกันแต่งาน จนบางที 3 เดือนนี้มันเป็นช่วงที่เราแทบจะคุยกันภาษาธุรกิจอย่างเดียวเลย เพื่อที่จะต่อยอดพัฒนาตัวเอง เคยคุยกับนิ้งเหมือนกันว่า นี่เรากำลังพยายามขนาดนี้กันไปเพื่ออะไร แล้วถ้าสมมติว่าพยายามขนาดนี้แล้วความสัมพันธ์เรามันแย่ลง มันคุ้มกันจริงเหรอ”

แม้จะเผชิญกับเรื่องน่าหนักใจ แต่สุดท้ายแล้วทั้งนิ้งและเอิร์ธก็สามารถหาทางออกให้กับเรื่องนี้ได้ นั่นคือการรู้จักที่จะบาลานซ์ชีวิต 

“เรากับพี่เอิร์ธสร้างโกลไว้ร่วมกัน คือทุกเดือนเราจะต้องไปเที่ยวต่างประเทศด้วยกัน ไม่ก็ต้องหาเวลาออกจากบ้านไปกินข้าว ไปรีแลกซ์ เพราะบ้านของเราที่ใช้ถ่ายคอนเทนต์มันก็ถือเป็นออฟฟิศที่ใช้คุยงานด้วย เวลาออกไปเราจะพยายามไม่คุยเรื่องงาน ถึงจะมีแอบแวะบ้าง คือเราต้องบาลานซ์ความสัมพันธ์ตรงนี้ให้ดี ไม่ปล่อยให้เคยชินกับสิ่งที่เป็นอยู่จนความสัมพันธ์มันพัง”

“ใช่ ถึงตรงนั้นทำแล้วได้เงินเยอะก็จริง แต่ถ้าชีวิตคู่พัง แล้วเป้าหมายของการทำธุรกิจเราจะทำไปทำไม แล้วเราจะรวยไปเพื่ออะไร” เอิร์ธพูดเสริม

ถึงตรงนี้ Bunny Brown อาจจะยังเป็นแบรนด์ผงซักผ้าขาวที่กำลังเติบโตและต้องใช้เวลาในการพัฒนาเพื่อแข่งขันในตลาดเดียวกัน  แต่เชื่อเหลือเกินว่าด้วยความรักที่ทั้งนิ้งและเอิร์ธมีต่อธุรกิจของพวกเขา จะทำให้ Bunny Brown เติบโตอย่างมั่นคงตามที่ตั้งใจไว้ ว่าอยากจะดูแลแบรนด์แบรนด์นี้ให้เหมือนลูกของตัวเอง

On จากสายฉีดน้ำในสวนหลังบ้าน สู่รองเท้าที่นุ่มสบายเหมือนเหยียบเมฆจนขายได้หมื่นล้านในเวลา 15 ปี

‘มีรูปร่างหน้าตาไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ต่างดาว’

นี่คือคำเปรียบเทียบที่สำนักข่าวยักษ์ใหญ่ในสหรัฐอเมริกาอย่าง The Wall Street Journal เคยกล่าวถึงรองเท้าแบรนด์หนึ่ง ซึ่งหากฟังเท่านี้ ดูเผินๆ รองเท้าแบรนด์นี้คงหมดอนาคตจนขายไม่ออกเป็นแน่แท้

แต่ความจริงแล้ว แบรนด์ที่ถูกกล่าวหากลับเป็นรองเท้าที่ฮอตฮิตติดตลาดในเวลาอันรวดเร็ว ชนิดที่ไม่ว่าจะไปวิ่ง ออกกำลังกาย กินข้าว ดูหนัง หรือแม้แต่ขึ้นรถไฟฟ้าก็จะเห็นคนใส่รองเท้ารูปทรงแปลกตานี้อยู่เสมอ ทั้งความนิยมนี้ทำให้ 2 แบรนด์กีฬาที่ครองส่วนแบ่งทางการตลาดมาอย่างยาวนานถึงกับสั่นคลอน

เรากำลังพูดถึง ‘On’ รองเท้ากีฬาสัญชาติสวิตเซอร์แลนด์ ที่ไม่ใช่แค่แบรนด์ขายรองเท้าทั่วๆ ไป แต่จริงๆ แล้วกลับขายเทคโนโลยีที่ทำให้รองเท้าทุกคู่ ‘เบาสบายเหมือนเดินบนปุยเมฆ’ 

หากดูจากรายงานของ Morgan Stanley พบว่าในปี 2023 แบรนด์กีฬาที่ครองส่วนแบ่งมากที่สุดถึง 35% คือ Nike ทิ้งห่างจากแบรนด์อันดับ 2 ที่ครองส่วนแบ่ง 16% อย่าง Adidas ถึงแม้ถ้ารวมยอดขายของทั้งคู่จะกินส่วนแบ่งไป 51% แต่ก็น้อยลงจากปี 2018 ที่มีส่วนแบ่งการตลาดรวมกัน 63%

สวนทางกับแบรนด์รุ่นน้องอย่าง On ที่ในปี 2023 กวาดยอดขายได้ไปกว่า 6.7 หมื่นล้านบาท เติบโตจากปีที่ผ่านมากถึง 46.6% ส่งผลให้บางประเทศในฝั่งยุโรปก็มียอดขายแซง Adidas เป็นที่เรียบร้อย และยังสร้างปรากฏการณ์ให้เกิดคอมมิวนิตี้นักกีฬากว่า 7 ล้านคนใน 50 ประเทศทั่วโลกหันมาใส่รองเท้า On และเกิดการบอกต่อในวงกว้าง ขยายฐานแฟนๆ สู่การเป็นรองเท้าที่ผู้บริหาร ดารา ศิลปิน และผู้คนทั่วไปหยิบมาใส่ในชีวิตประจำวัน

อะไรที่ทำให้รองเท้าที่เคยถูกบูลลี่ใช้เวลาแจ้งเกิดเพียง 15 ปี ในการมาตีตลาดรองเท้ากีฬาและสนีกเกอร์ในวันที่มีเจ้าใหญ่ครองตลาด ตามมาหาคำตอบได้ผ่านคอลัมน์ Biztory ในตอนนี้กันได้เลย

1. เมื่อนักกีฬาหยิบสายฉีดน้ำในสวน มาทำเป็นรองเท้าที่รู้ใจนักกีฬา

ถึงแม้รองเท้าจะสำคัญกับนักกีฬาทุกประเภท แต่สำหรับโอลิเวียร์ แบร์นฮาร์ด (Olivier Bernhard) นักไตรกีฬามืออาชีพ ที่ครองแชมป์การแข่งขัน Ironman ถึง 6 สมัยและแชมป์โลกดูแอทลอน (Duathlon) 3 สมัยซ้อน กลับไม่เคยเจอรองเท้ากีฬาคู่ใจที่เขาพูดได้เต็มปากว่าดีมาก่อน

“พื้นรองเท้ากีฬาทั่วไปเหมือนกับที่นอนแข็งๆ” แบร์นฮาร์ดกล่าว ก่อนที่ในเดือนมกราคมปี 2010 เขาจะชักชวนกลุ่มเพื่อนอดีตนักกีฬาอย่าง แคสปาร์ คอปเพตตี้ (Casper Coppetti) และเดวิด อัลเลมันน์ (David Allemann) มาร่วมกันคิดค้นรองเท้ากีฬาแบบที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน พร้อมจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทขึ้นในชื่อ On Holding AG ที่เมืองซูริก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

เมื่อปัญหาหลักอยู่ที่พื้นรองเท้า พวกเขาจึงเลือกทดลองตัดชิ้นส่วนของสายยางรดน้ำในสวนหลังบ้าน มาติดเข้ากับรองเท้าแบบ racing ที่มีอยู่ เพราะคิดว่าสายยางที่มีท่อกลวง เมื่อได้รับการกระแทกจะเกิดแรงบีบอัดและผลักออกให้เกิดการเดินอย่างมั่นคง ซึ่งจะซัพพอร์ตการวิ่งได้ดี ขณะเดียวกันก็ยังให้สัมผัสที่นุ่มเบาสบายอย่างที่ใจต้องการ

แนวคิดนี้ถูกนำไปผนวกเข้ากับเทคโนโลยีด้านวิศวกรรมที่มีอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ และผสมผสานกับการออกแบบ จนกลายมาเป็นเทคโนโลยี ‘CloudTec’ ระบบรองรับแรงกระแทกและสร้างแรงส่งในทุกย่างก้าวของการวิ่ง และยังให้ความรู้สึกสบายเหมือนวิ่งอยู่บนเมฆ ก่อนจะนำเทคโนโลยีนี้ไปจดสิทธิบัตร และหนึ่งเดือนให้หลังรองเท้าต้นแบบของ On ได้รับรางวัล ISPO Brandnew Award บนเวทีสำหรับธุรกิจสตาร์ทอัพสายกีฬา ทำให้แบรนด์เป็นที่น่าจับตามองตั้งแต่ยังไม่วางขาย

2. ตีตลาดแตกด้วยการเป็นรองเท้ากีฬาที่นักกีฬาเลือกใส่และร่วมลงทุนด้วย

หลังจากนั้นไม่นาน ภายในเดือนกรกฎาคม 2010 ได้วางจำหน่ายรองเท้ารุ่นแรกในชื่อ On Cloudracer ซึ่งได้รับความนิยมทันทีเมื่อปี 2012 นิโคลา สปิริก (Nicola Spirig) นักไตรกีฬาชาวสวิตเซอร์แลนด์ ได้หยิบรองเท้ารุ่นนี้ไปสวมใส่ในการแข่งขันโอลิมปิกที่ลอนดอน จนกลายเป็นที่รู้จักในหมู่นักวิ่ง

ก่อนจะมาดังเปรี้ยงปร้างจริงๆ เมื่อปี 2019 โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ (Roger Federer) อดีตนักเทนนิสแชมป์แกรนด์สแลม 20 สมัยที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลก ได้ติดต่อเข้ามาร่วมลงทุนกับ On เพราะเป็นแฟนตัวยงที่ใส่รองเท้า On ทุกการแข่งขันแล้วชื่นชอบอย่างมาก แม้แต่คนรอบตัวของเขาก็ยังใส่รองเท้า On

ถึงแม้ตัวเลขการลงทุนจะไม่มีการเปิดเผยอย่างแน่ชัด แต่ เฟเดอเรอร์ก็ทุ่มเทอยู่ในห้องแล็บถึง 20 วัน เพื่อพัฒนารองเท้าเทนนิสระดับโปร จนออกมาเป็นคอลเลกชั่นลิมิเต็ดเอดิชั่น The Roger ซึ่งแตกต่างจากรองเท้า On รุ่นอื่น ตรงที่ไม่มีท่อกลวงขนาดใหญ่ แต่ใช้วิธีซ่อนอยู่ในพื้นรองเท้าแทน

นับว่าเป็นแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จอย่างแรง เพียงใช้เวลาแค่ 11 ปี ในปี 2021 ก็สามารถจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก และกลายเป็นบริษัทรองเท้าที่มีมูลค่าสูงถึง 4 แสนล้านบาท

3. เน้นเรื่องความยั่งยืนตั้งแต่ Day 1 จนถึงวันนี้

ไม่เพียงแต่เทคโนโลยี CloudTec ที่ทำให้ On เป็นมิตรต่อผู้สวมใส่จนทำให้นักกีฬาเลือกใช้เท่านั้น แต่พวกเขายังอยากให้เป็นแบรนด์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย เพื่อให้แบรนด์ยั่งยืนและแตกต่างจากแบรนด์รุ่นพี่อย่าง Nike และ Adidas ที่ในขณะนั้นโดนตั้งคำถามจากสังคมถึงการใช้วัสดุและกระบวนการผลิตที่ขาดแนวคิดเรื่องความยั่งยืน ถึงแม้ปัจจุบันทั้ง 2 แบรนด์จะหันมาใช้วัสดุที่เป็นสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

แต่การที่ On เน้นเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นย่อมทำให้คนจำภาพว่าเป็นแบรนด์ที่ใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมมากกว่า ผ่านการใช้ผ้าออร์แกนิกคอตตอน 100% ในการผลิตรองเท้า และรับซื้อฝ้ายจากฟาร์มที่ผ่านการรับรองว่าจ้างงานอย่างเป็นธรรม

ในปี 2024 ที่ผ่านมายังลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลให้เหลือเพียง 30% พร้อมพัฒนาการออกแบบให้ได้รองเท้าที่เป็นมิตรต่อโลกอย่างต่อเนื่อง เช่น รุ่น Cloud 5 เป็นรองเท้าที่ใช้วัสดุรีไซเคิลกว่า 44% รุ่น On Cyclon ที่มีส่วนประกอบของวัสดุประเภทเดียวกันแค่ 6 ชิ้น จากปกติที่รองเท้าของ On คู่หนึ่งจะมีส่วนประกอบไม่ต่ำกว่า 50 ชิ้น เพื่อให้ง่ายแต่การนำไปรีไซเคิล โดยยังคงคุณสมบัติที่ดีเอาไว้

นอกจากนั้น ยังทำโปรเจกต์ Cyclon ที่ให้ลูกค้านำรองเท้า On คู่เก่ามาแลกรองเท้าคู่ใหม่ และจะนำรองเท้าเหล่านั้นไปเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลอย่างถูกต้อง โดยตั้งเป้าไว้ว่าจะรีไซเคิลวัสดุทั้งหมดให้ได้ 100% ภายในปี 2025 นี้

4. พัฒนาสินค้าผ่านอินไซต์และขับเคลื่อนวงการกีฬาไปพร้อมๆ กัน

On ไม่เพียงแต่เป็นแบรนด์ที่ไปได้สวยในแวดวงธุรกิจ แต่ในวงการกีฬาเองก็นับถือกันว่านี่เป็นแบรนด์ที่สร้างแรงกระเพื่อมขับเคลื่อนวงการไปด้วยกัน พวกเขาถึงขั้นตั้งแผนก On Lab ที่มีวิศวกรผู้เชี่ยวชาญมาทดสอบและพัฒนานวัตกรรมรองเท้ารุ่นใหม่ไปกับนักกีฬาเหรียญทอง เพื่อให้ได้รองเท้าที่ตอบโจทย์การใช้งานอย่างแท้จริง

พร้อมพัฒนาชุมชนนักวิ่งผ่านแพลตฟอร์ม Oniverse เพื่อให้มาแบ่งปันเรื่องราว เคล็ดลับต่างๆ  และอัพเดตข่าวสารงานวิ่ง เพื่อให้เกิดคอมมิวนิตี้ที่เหนียวแน่น รวมถึงยังก่อตั้ง On Athletics Club โดยมีเดทาน ริตเซนไฮน์ (Dathan Ritzenhein) อดีตนักวิ่งมาราธอนโอลิมปิกมาเป็นผู้ฝึกสอนพิเศษ และนักวิ่งในคลับนี้ยังได้เป็นกลุ่มแรกๆ ที่ได้ลองสินค้าใหม่ของ On เพื่อทดสอบประสิทธิภาพผ่านการใช้จริง รวมถึงยังได้ฟีดแบ็กอย่างตรงไปตรงมาจากนักกีฬาอีกด้วย

5. ทำให้คนคิดถึงรองเท้ากีฬาและรองเท้าใส่ทำกิจกรรม ต้องคิดถึง On

ถ้าจะบอกว่ารองเท้า On ออกรองเท้ามาแทบจะครอบคลุมทุกกีฬาที่นึกออกก็คงไม่ผิดนัก เริ่มด้วยกลุ่มลูกค้าหลักอย่างนักวิ่ง ก็มีรองเท้า On Running เข้ามาตอบโจทย์ทั้งการวิ่งระยะสั้น วิ่งระยะไกล หรือวิ่งมาราธอน โดยเน้นไปที่การออกแบบให้รองรับแรงกระแทกจากการเคลื่อนที่แบบต่อเนื่อง คล่องตัว เพิ่มแรงส่งตัว และน้ำหนักเบา ซึ่งมีรุ่นเรือธงอย่าง The Cloud Collecting ที่มาพร้อมฟังก์ชั่นกันแรงกระแทก มี Cloud Waterproof ช่วยกันน้ำ ผสานกับนวัตกรรมที่ช่วยให้เท้าแห้งไวในวันที่ต้องวิ่งลุยแอ่งน้ำหรือวันที่ฝนตก จนได้รับความนิยมในหมู่นักวิ่งทันทีที่เปิดตัว

หรือแม้แต่การวิ่งเทรลในปี 2020 On ได้เปิดตัว CloudUltra ที่ออกแบบมาสำหรับเส้นทางเทรลที่สั้นและเร็ว มีความสามารถในการยึดเกาะเป็นพิเศษ จึงเหมาะสำหรับภูมิประเทศที่ขรุขระแม้จะวิ่งบนเทือกเขาแอลป์ก็ตาม

อีกรุ่นที่ยืนยันว่า On เจาะกลุ่มนักกีฬาอย่างแท้จริง คือ Cloudboom Strike LS ถูกออกแบบมาให้นักกีฬาที่แข่งขันในงานสำคัญโดยเฉพาะ เช่น การแข่งขันโอลิมปิก โดยความพิเศษอยู่ที่เทคนิคการผลิตขั้นสูงที่ช่วยลดของเสียและเพิ่มประสิทธิภาพ

เท่านั้นยังไม่พอ On เริ่มขยายสู่สายกิจกรรมมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น การเดินป่าที่มีรุ่น On Cloudwander ซึ่งมีความทนทานและมีเมมเบรนกันน้ำ แถมยังเบาสบายต่อการไปผจญภัยในป่า ไปจนถึงการออกกำลังกายหรือเข้าฟิตเนส ก็ยังมีรุ่น Cloudpulse เป็นรองเท้าฝึกซ้อมรุ่นแรกของ On ที่ออกแบบมาให้ใช้ในยิมโดยเฉพาะ ด้วยพื้นรองเท้าชั้นกลางซูเปอร์โฟม Helion Speedboard

แน่นอนว่าทุกรุ่นที่ยกตัวอย่างมาผสมผสานไปด้วยเทคโนโลยี CloudTec ทั้งสิ้น ซึ่งการที่ On เลือกออกแบบรองเท้าให้ครอบคลุมทุกกีฬาและกิจกรรมนี้ยิ่งเป็นการเปิดน่านน้ำให้ On เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น

6. เข้าไปอยู่ในตลาดไลฟ์สไตล์ผ่านการคอลแล็บร่วมกับ LOEWE

ถึงแม้ On จะเป็นที่พูดถึงในหมู่นักกีฬาว่าเป็นรองเท้าคุณภาพดีที่ใส่สบาย แต่ด้วยรูปร่างหน้าตาที่เข้าใจยากไปซะหน่อยสำหรับคนทั่วไป ในเดือนพฤษภาคมปี 2024 ที่ผ่านมา On จึงได้เลือกก้าวเข้าสู่รองเท้าไลฟ์สไตล์ที่ใครๆ ก็หยิบมาใส่ได้อย่างเต็มตัว ผ่านการคอลแล็บร่วมกับ LOEWE แบรนด์แฟชั่นหรูสัญชาติสเปน

จากการร่วมมือนั้นเกิดเป็นรองเท้ารุ่น Cloudtilt ที่ตัวรองเท้าเป็นผ้าตาข่ายประสิทธิภาพสูงและผ้าทอที่ดีไซน์เข้ากันอย่างลงตัว บริเวณพื้นรองเท้าเจ้าปัญหาที่บางคนอาจไม่ถูกใจนัก ก็ปรับดีไซน์ห่วงบริเวณรองเท้าให้มีลูกเล่น ดูเข้าถึงง่ายมากขึ้น

ไม่เพียงเท่านั้น LOEWE ยังพา On มาทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน คือนอกจากรองเท้าแล้วยังมีเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย และชุดออกกำลังกายแอ็กทีฟแวร์สำหรับทั้งผู้หญิงและผู้ชายอีกด้วย

จวบจนปัจจุบัน On ก้าวเข้าสู่ขวบปีที่ 15 ซึ่งถือว่าหน้าประวัติศาสตร์ของแบรนด์อาจไม่ยาวนานถ้าเทียบกับรองเท้าแบรนด์ดังอื่นๆ แต่ก็ถือว่าน่าจับตามองในฐานะแบรนด์น้องใหม่ ที่แจ้งเกิดได้อย่างว่องไวและยืนระยะมาได้จนทำให้แบรนด์ใหญ่ๆ ต้องมีหนาวกันบ้าง 

ด้วยการมองหาช่องว่างทางการตลาดที่ยังไม่มีรองเท้ากีฬาแบรนด์ไหนที่ใส่สบาย และมีการใช้เทคโนโลยีเข้ามาผสมผสาน ทำให้รองเท้า On โดดเด่นและแตกต่าง พร้อมขยายไลน์สินค้าให้ตอบโจทย์กีฬาและกิจกรรมทุกประเภท จนเข้ามาสู่ไลฟ์สไตล์ที่ในตอนนี้หันไปทางไหนก็ต้องเห็นคนใส่รองเท้า On กันบ้าง

ที่มา