Stay in Wonderland

เสกโลกแฟนตาซีในโรงแรมมหัศจรรย์ด้วยห้องพักที่คอนเซปต์ดีไซน์ไม่ซ้ำกันแบบ Kitsch Hotel 

หลังจาก Capital เคยคุยกับร้านมัลติแบรนด์สไตล์กุ๊กกิ๊กชื่อดังแห่งหนึ่งไปเมื่อปีที่แล้ว ครั้งนั้นความลับที่แอบรู้มาล่วงหน้าคือวันหนึ่งเจ้าของธุรกิจแห่งนี้อยากขยายธุรกิจจากแค่ขายเสื้อผ้าและของกระจุกกระจิกมาทำโรงแรม ผ่านไปหลักปี ภาพโรงแรมในฝันที่เป็นเพียงไอเดียในวันนั้นถูกเสกให้เป็นจริงแล้วในวันนี้ 

ธุรกิจที่มีสาขาหลักอยู่ใจกลางสยามแสควร์อย่าง Daddy and the muscle academy กับ Frank Garcon ของ ลูกศร–ศรุติ ตันติวิทากุล และ อั้ม–บุญญนัน เรืองวงศ์ เป็นธุรกิจที่เริ่มอยู่ตัวหลังจากเปิดมาแล้วราว 8-9 ปี จนมองเห็นโอกาสที่นอกกรอบกว่านั้น

ทั้งคู่สังเกตว่าโดยส่วนใหญ่ลูกค้าที่มาช้อปปิ้งสินค้าในร้านมักใช้ระยะเวลาอย่างมากก็ 40-45 นาที จะดีไหมถ้าทำโรงแรมในธีมที่มีความน่ารัก จับกลุ่มลูกค้าผู้หญิงกลุ่มเดียวกับร้าน Daddy and the muscle academy ที่มีกำลังจ่าย สร้างแบรนด์ที่เปิดโอกาสให้คนมาสัมผัสประสบการณ์อย่างเต็มที่และนอนค้างด้วยกันสักคืน แถมโรงแรมบูทีกสไตล์วินเทจที่ตกแต่งน่ารักและคอนเซปต์ชัดในไทยก็ยังไม่ค่อยมี

อั้มมองว่าหากเป็นลูกค้าของ Frank Garcon ที่มีสัดส่วนผู้ชายมากกว่า กลุ่มนี้จะมีความอินดี้กว่าและเน้นตลาด niche แต่ธุรกิจโรงแรมควรจับกลุ่มแมสและเน้นลูกค้าผู้หญิง จากอินไซต์สุดคมว่าในบรรดาคู่รักที่เลือกจองโรงแรม คนเลือกมักจะเป็นผู้หญิง และคนจ่ายมักเป็นผู้ชาย ซึ่งในกลุ่มนี้มีทั้งกลุ่มเพื่อนที่อยากมาสังสรรค์กัน ผู้ที่อยาก staycation กลุ่มครอบครัวและคุณแม่ลูกอ่อน

Kitsch Hotel แห่งนี้จึงเป็นเหมือน Magic Wonderland ที่แต่ละห้องมีคอนเซปต์ดีไซน์พิเศษที่ตกแต่งแทบไม่ซ้ำกัน ทั้งโรงแรมใช้ของแตกต่างกว่า 100 ชิ้น แถมยังมีร้านอาหาร SoupSip บนชั้นรูฟท็อปที่ลองชิมแล้วรสชาติอร่อยกลมกล่อม เปิดให้แขกที่ไม่ได้นอนพักที่โรงแรมแวะมาทานได้

ทั้งนี้ลูกศรบอกว่าความจริงแล้วธุรกิจบริการคือสิ่งที่คุณพ่อของเธอเคยห้ามเอาไว้ “ปะป๊าของศรจะบอกตั้งแต่เด็กๆ เลยว่า 2 ธุรกิจที่ห้ามทำเลย คือโรงแรมและร้านอาหาร แต่เราก็เบรกข้อจำกัดของพ่อไปหมดแล้ว ตอนแรกพ่อบอกว่าร้านอาหารห้ามทำนะ ก่อนหน้านี้เราก็ทำร้านอาหารใต้ชื่อปากนัง แล้วตอนนี้ก็มาทำโรงแรม

“เขาบอกว่ามันเป็นธุรกิจบริการที่ต้องใส่หัวใจเข้าไป 24 ชม. ไม่ใช่แค่เราซื้อของมาแล้วขายไป แต่มันคือทุกอย่างเลยที่เกี่ยวกับความเป็นอยู่ของลูกค้า เหมือนเราต้อนรับเขามาแล้วต้องดูแลประสบการณ์ 360 องศาว่าเขาจะเจออะไรบ้าง”
ถ้าโรงแรมเป็นธุรกิจที่ทำยาก แล้วเบื้องหลังทั้งคู่มีเหตุผลอะไรที่เสกโรงแรมมหัศจรรย์แห่งนี้ขึ้นมา ชวนเคาะประตูห้องพักแต่ละห้องแล้วตามไปผจญภัยพร้อมๆ กัน 

แปลงโฉมโรงแรมเก่าเป็นวันเดอร์แลนด์

ก่อนรีโนเวตเป็นโรงแรม Kitsch ที่แห่งนี้เคยเป็นโรงแรมราคาประหยัดที่ขายห้องพักในราคาคืนละ 700 บาท เน้นกลุ่มลูกค้าที่อยากหาห้องพักแบบง่ายๆ ในกรุงเทพฯ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกแบบพื้นฐานที่สุด 

โปรเจกต์แปลงโฉมโรงแรมเก่าเป็นวันเดอร์แลนด์โรงแรมมหัศจรรย์เริ่มจากแก้ไขโครงสร้างและฟังก์ชั่นหลักบางส่วน เช่น รื้อผนังห้องพักที่บางจนเสียงทะลุถึงกันได้ ทำประตูห้องน้ำเพิ่มเพื่อให้มีความเป็นส่วนตัว ปรับผังในบางห้อง เพิ่มรายละเอียดความสุนทรี เช่น การทำหลังคาห้องให้สูงคล้ายห้องใต้หลังคาพร้อมติดวอลเปเปอร์ลายวินเทจที่ออกแบบเอง

จากตอนแรกที่คิดว่าจะจ้างบริษัทอินทีเรียร์มาออกแบบให้และทำเพียงมู้ดบอร์ดเป็นคอนเซปต์ตั้งต้น แต่ด้วยระยะเวลารีโนเวตอันจำกัดรวมถึงกิมมิกที่ดีไซน์แต่ละห้องไม่เหมือนกันเลย อั้มจึงกลัวว่าหากงานไปตกอยู่ในมือของบริษัทอินทีเรียร์หลายเจ้า ภาพรวมของโรงแรมจะไม่สอดคล้องกันและภาพสุดท้ายจะไม่เป็นไปตามที่คิดไว้ จึงตัดสินใจเรียนโปรแกรม SketchUp แบบเร่งรัดและออกแบบแต่ละห้องเอง เป็นโครงการที่ใช้เวลารีโนเวตโรงแรมเพียง 6 เดือน  

ส่วนแนวคิดการออกแบบของ Kitsch Hotel คือการหยิบเอาศิลปะ Kitsch มาเป็นคอนเซปต์หลักของโรงแรม 

“Kitsch คือศิลปะไร้ค่าในสมัยก่อน ยุคหนึ่งศิลปินจะต้องจบจากโรงเรียนสอนอาร์ตเท่านั้น ถึงจะเป็นอาร์ทิสต์ได้ แต่พอถึงยุคที่ผู้คนเข้าถึงศิลปะง่ายขึ้น ไม่ต้องมีเงินเยอะก็ทำศิลปะได้ ก็เลยเกิดศิลปะแนว Kitsch ที่เกิดการถูกเหยียดในยุคนั้น 

“แต่พอเวลาผ่านไป ศิลปะแนวนี้ก็กลายเป็นพื้นฐานของงานป๊อปอาร์ตและ commercial art เราเลยรู้สึกว่า Kitsch Art ไม่มีข้อจำกัดเลย จะทำเป็นสไตล์ไหนก็ได้ เอาของที่ดูไม่ค่อยมีค่าในสายตาคนอื่นมาทำให้เหนือความคาดหมายได้ รู้สึกว่า Kitsch ถูกหลอมให้เป็นได้หลายสไตล์” 

ลูกศรอธิบายถึงคอนเซปต์หลักก่อนที่อั้มจะเล่าต่อว่า “ผมว่าร้าน Daddy and the muscle academy และ Frank Garcon มีตัวตนที่เป็นแบรนดิ้งของแต่ละร้าน แต่โรงแรมนี้เราสร้างแบรนด์ให้แต่ละห้อง โดยมีแบรนด์ใหญ่คือคอนเซปต์ Kitsch ครอบอีกทีหนึ่ง 

“แต่ละห้องต้องคิดไว้ก่อนวิ่งหาพร็อพและของตกแต่งว่ากลุ่มเป้าหมายแต่ละห้องเป็นใคร แบรนดิ้งเป็นแบบไหนซึ่งต้องชัด คนเข้ามาจะมีประสบการณ์ยังไง เราทำแบบห้องให้ชัดเจน แล้วเรนเดอร์เป็นวิดีโอไว้เลย เพื่อให้คนทำงานต่อหรือหุ้นส่วนเราเห็นภาพที่ชัดขึ้น”  

ห้องพักไฮไลต์หลักจึงคือห้อง Kitsch โดยได้แรงบันดาลใจจากภาพยนตร์เรื่อง The Queen’s Gambit จากฉากที่ตัวเอกอาศัยที่บ้านสไตล์วินเทจของญาติ และยังใส่กิมมิกสนุกๆ ในห้องพักเพิ่มเติมด้วยเค้กยักษ์สำหรับโอกาสพิเศษที่แขกอยากจัดปาร์ตี้วันเกิด  

ส่วนโซนล็อบบี้ของโรงแรมก็มีองค์ประกอบสุดแฟนตาซีแสนประหลาดอย่างแมวยักษ์ โซนเคาน์เตอร์สีพาลเทล ประตูลิฟต์วิเศษที่พร้อมพาไปแวะดูความมหัศจรรย์ของห้องพักแต่ละชั้น ซึ่งองค์ประกอบทั้งหมดนี้เล่าเรื่องได้อย่างชัดเจนว่า Kitsch ในนิยามของลูกศรและอั้มมีกลิ่นอายวินเทจจากความชอบในของสะสมและหนังที่เสพ  

หลังจากอั้มออกแบบดีไซน์ของแต่ละห้องใน SketchUp เสร็จเรียบร้อย ทีมก็จะวิ่งหาของตกแต่งที่ถูกใจในสเปกและราคา รายละเอียดบางอย่างที่สั่งทำพิเศษอย่างหมียักษ์ แมวยักษ์ ก็กระจายซัพพลายเออร์ผู้ผลิตตามความถนัดของแต่ละเจ้า ส่วนลูกศรเองที่เป็นคนใส่ใจรายละเอียดมากๆ ถึงขั้นลงมือทำวอลเปเปอร์ผนังบางส่วนด้วยตัวเองและขนของสะสมวินเทจกระจุกกระจิกที่ชอบมาซ่อนไว้ในทุกมุมของโรงแรม

“เฟอร์นิเจอร์บางอย่างในโรงแรมนี้ได้มาจากของที่ปะป๊าของศรเก็บสะสมไว้นานแล้วหรือว่าเป็นของศรเองที่เก็บสะสมมา อย่างพื้นไม้ตาม corridor เป็นไม้จริง ซึ่งเป็นของมีค่าที่ไปรื้อจากโรงแรมเก่ามาแล้วเราเอากลับมาทำให้มีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง หรือกระจกไม้สักตามห้องพักก็เป็นของเก่าที่เราเอามาตกแต่งใหม่ ทาสีใหม่ ชุบชีวิตมันให้เกิดใหม่ขึ้นได้อีกครั้งหนึ่ง”  

รวมแล้วโรงแรมแห่งนี้มีของตกแต่งเกิน 100 ชิ้น กัดไม่ปล่อยกับทุกองค์ประกอบ ตั้งแต่ปลอกหมอนที่มีสีและดีไซน์ตามคอนเซปต์ของห้องนั้น กระเบื้องห้องน้ำที่เลือกสีไม่ซ้ำกันในแต่ละห้อง ชุด bathrobe ที่ออกแบบอย่างตั้งใจสำหรับโรงแรมนี้โดยเฉพาะเพราะอยากให้ทุกห้องพิเศษและเล่าเรื่องความเป็น Kitsch ได้จริงๆ

Magic Concept of Hotel Room

กว่าจะเสกคอนเซปต์ของแต่ละห้องจนประกอบร่างเป็นโรงแรมมหัศจรรย์แห่งนี้ไม่ง่าย ลูกศรและอั้มเล่าให้เราฟังถึงเบื้องหลังโลกแฟนตาซีของแต่ละห้องซึ่งมีที่มาที่ไปไม่ธรรมดา

ห้อง Teddy เป็นหนึ่งในห้องที่มีคนจองตลอดและขายดีที่สุดรองจากห้อง Kitsch จากแรงบันดาลใจในหนังเรื่อง Moonrise Kingdom ผสมกับความชอบในเมืองโยเซมิตี (Yosemite) ที่อเมริกาซึ่งเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยคาแร็กเตอร์หมี ทำให้ห้องนี้มีจุดเด่นคือโซฟาหมียักษ์ วอลเปเปอร์ที่จำลองเหมือนอยู่กลางภูเขาและกลิ่นอายเหมือนอยู่ในหนังผจญภัยของ Wes Anderson

แต่ถ้าคิดว่าห้อง Teddy เป็นห้องที่สุดโต่งที่สุดแล้ว คุณอาจคิดผิด เพราะมีห้องที่ลูกศรและอั้มบอกว่าเบื้องหลังมีความสุดโต่งในการตกแต่งที่เปลี่ยนไอเดียกลับไปกลับมาหลายรอบมากที่สุดคือห้อง Apple ที่ได้แรงบันดาลใจจากรูปวาดของ René Magritte ซึ่งเป็นภาพผู้ชายและมีแอปเปิลลอยบนท้องฟ้า ห้องนี้มีการตกแต่งแบบเซอร์เรียลที่ใส่ความสนุกสดใสแบบยุค 60s เข้าไป คุมโทนด้วยภาพวาดแอปเปิล หมอนอิงแอปเปิล นาฬิกาทรงแอปเปิล และโคมไฟแอปเปิลลอยอยู่บนฟ้าที่ติดกระจกด้านล่างสำหรับให้เงยหน้าขึ้นมาเซลฟี่ได้ 

อีกหนึ่งห้องที่ลูกศรแนะนำเป็นพิเศษคือห้อง Suite สำหรับพัก 4 คนชื่อ New Romance ที่เพนต์ลายดอกไม้บนวอลเปเปอร์ด้วยมือทั้งหมด ให้ความรู้สึกเหมือนได้นอนอยู่ท่ามกลางสวนดอกไม้ มีบรรยากาศโรแมนติกอบอุ่นซึ่งได้แรงบันดาลใจจากศิลปะแนวอาร์ตนูโว ความพิเศษของห้องนี้คือทั้งคู่ตั้งต้นไอเดียการตกแต่งจากเฟอร์นิเจอร์ที่สะสมเอง แล้วสร้างห้องให้เฟอร์นิเจอร์อยู่พร้อมติดม่านซุ้มที่ทำให้รู้สึกเหมือนเป็นเจ้าหญิงสุดพิเศษในห้องแสนหวาน 

ถ้าใครมาคนเดียวและอยากได้ห้องที่เป็นลายดอกไม้ อีกห้องที่แนะนำคือ Floral Oasis ที่จิ๋วแต่แจ๋ว ถึงจะเป็นห้องที่เล็กที่สุดแต่มีวิวสุดพิเศษซึ่งมองเห็นหน้าต่างคืออาคารโบราณของแบงก์สยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ และเตียงซุ้มขนาดเล็กแต่อบอุ่นที่ล้อมรอบด้วยการตกแต่งในธีมดอกไม้และผีเสื้อ

สำหรับสาวๆ ที่นี่ยังมีอีกหลายห้องที่มีความหวานแบบวินเทจในรูปแบบที่ต่างกัน อย่างห้อง Candy Cottage ที่ได้แรงบันดาลใจจากห้องคุณยายในยุค 70s รวมของใช้กุ๊กกิ๊กสไตล์ที่คุณยายชอบมาตกแต่งห้อง เช่น เซตถ้วยน้ำชา ไหมพรมที่ยังถักไม่เสร็จ และยังมีห้องที่ได้แรงบันดาลใจจากหนังเรื่อง The Virgin Suicides ของ Sofia Coppola ที่ทำเลียนแบบห้องพักของบ้านสไตล์อเมริกันในบรรยากาศชวนฝันหวาน 

ลูกศรบอกว่าถ้าเธอมีโอกาสชวนเพื่อนสาวมาจัดปาร์ตี้นอนพักค้างคืนด้วยกัน อยากชวนเพื่อนๆ มาพักห้องที่มีความ girly มากที่สุดคือ Pink Pavillion ที่ทุกอย่างเป็นสีชมพู มีโซนอ่างอาบน้ำใจกลางห้องที่ใหญ่ที่สุดเหมาะกับ hen night party สุดๆ ซึ่งมาจากความตั้งใจที่อยากจำลองห้องนั่งเล่นในยุค 80s ที่มีกลิ่นอายของมาดอนน่าและบาร์บี้ผสมกัน 

สำหรับสุภาพบุรุษ โรงแรมนี้ก็มีห้องที่หากผู้ชายมานอนแล้วจะไม่รู้สึกเขินจนเกินไปเช่นกัน ซึ่งอั้มบอกว่าถ้าชวนเพื่อนมานอนค้างด้วยกันที่นี่ อยากจอง 2 ห้องติดกันคือห้อง Hideout Cabin กับ Urban Jungle

คอนเซปต์ของห้อง Hideout Cabin นั้นตรงตามชื่อคือคล้ายห้องใต้หลังคาหรือห้องใต้บันไดที่จำลองโลกส่วนตัวของเด็กผู้ชาย ของตกแต่งในห้องเต็มไปด้วยของเล่นและของใช้สไตล์ผู้ชายขี้เล่นที่ยังสนุกกับวัยเด็ก มีโคมไฟที่เล่นแสงสีได้สำหรับเปิดในห้องนอนตอนกลางคืน ส่วนห้อง Urban Jungle จะโมเดิร์นและเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาในธีม Jungle ตกแต่งด้วยบรรยากาศซาฟารี มีองค์ประกอบที่สื่อถึงบรรยากาศเขียวขจีและของตกแต่งเป็นสิงสาราสัตว์ต่างๆ 

หากใครเป็นสายเสพศิลป์ก็มีห้องที่ได้แรงบันดาลใจจากศิลปะอย่างห้อง Fusion Pop ที่คิดคอนเซปต์ห้องจากผลงานศิลปะของ David Hockney และห้อง Color Block สไตล์สแกนดิเนเวียน ที่ตกแต่งแบบ mid-century เล่นคู่สีป๊อปสดใสแบบไม่ฉูดฉาดจนเกินไปควบคู่กับการใช้วัสดุไม้ และประดับผนังด้วยศิลปะแอ็กสแตรกท์

แต่ถ้าใครกำลังมองหาห้องที่มีความคลาสสิกแบบเรียบง่าย Kitsch Hotel ก็ยังตอบโจทย์ด้วยห้อง Blanc Chateau ที่จำลองห้องชนบทในปารีส คุมโทนห้องด้วยสีขาวและเตาผิงจำลองที่ทำให้รู้สึกเหมือนมาพักผ่อนในประเทศที่อากาศหนาวมาก แม้ความจริงแล้วจะพักอยู่ที่โรงแรมใจกลางราชเทวีก็ตาม

Unique Hotel Proposition 

unique selling proposition หรือสิ่งที่ทำให้โรงแรมของลูกศรและอั้มแตกต่างจากคู่แข่งจึงเป็นคอนเซปต์ดีไซน์ และการที่ทั้งคู่ไม่มีประสบการณ์ตรงในอุตสาหกรรมนี้กลับกลายเป็นข้อได้เปรียบที่ทำให้มองการทำธุรกิจโรงแรมแบบนอกกรอบ

“มันอาจเป็นข้อดีของศรกับพี่อั้มที่เราไม่ได้อยู่ในวงการโรงแรมมาก่อน เราเลยไม่ได้สู้ด้วยท่าของธุรกิจโรงแรม พอเรามี know-how เรื่องการทำแบรนด์แฟชั่นเราก็จะทำธุรกิจด้วยโมเดลที่คล้ายแบรนด์แฟชั่นแต่อยู่ในรูปแบบโรงแรมแค่นั้นเอง” ลูกศรกล่าว

คอนเซปต์ของ Kitsch Hotel จึงเป็นโรงแรมบูทีกที่แตกต่างจากโรงแรมสไตล์ดั้งเดิมในย่านใกล้เคียง ดังที่อั้มอธิบาย “ถนนเพชรบุรีเส้นนี้มีโรงแรมเกิน 20 โรงแรม เป็นถนนเส้นโรงแรมเลยเพราะเดินทางสะดวก ใกล้สยาม ใกล้เซ็นทรัลเวิลด์ ใกล้ประตูน้ำ แต่เราจะทำยังไงให้โรงแรมเราโดดเด่นขึ้นมา ถ้าเราไปสู้กับโรงแรมอื่นๆ ด้วยการตกแต่งที่กลางๆ เราก็คงเป็นเพียงหนึ่งในตัวเลือก แต่ถ้าเราทำโรงแรมให้ยูนีกไปเลย เราจะกลายเป็น destination 

“ถ้าเราทำโรงแรมธรรมดา เราจะต้องสู่สงครามราคาซึ่งโหดมาก โรงแรมดังๆ ตอนนี้เวลาลดราคาราคาจะลงไปกว่า 50% เราไม่มีทางสู้เขาได้ วิธีการของเราคือสู้คนละตลาดเลย หาตลาดที่คิดว่ากลุ่มลูกค้าไม่ดูราคาและต้องการประสบการณ์ เพราะฉะนั้นในถนนเส้นนี้เลยไม่มีใครเป็นคู่แข่งโดยตรงกับเรา แต่จะมีคู่แข่งทางอ้อมคือโรงแรมทั่วไปที่มีราคาเบาสบายหรือมีสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์

“ผมเลยมองว่าการทำให้โรงแรมยูนีกไปเลยไม่ใช่ทางเลือกนะ แต่เป็นทางรอดเดียวจริงๆ ของการทำธุรกิจนี้ เพราะถ้าเราไม่แตกต่างมันยากมากๆ ที่จะรอดได้ในถนนเส้นนี้ที่เป็น red ocean ถ้าไม่ทำแบบนี้ผมคิดกลยุทธ์ไม่ออกจริงๆ ว่าจะทำยังไงให้คนอยากมา”

ช่วงแรกอั้มเล่าว่าทั้งคู่นำไอเดียการออกแบบโรงแรมที่แต่ละห้องตกแต่งไม่เหมือนกันเลยไปปรึกษานักลงทุนที่ทำโรงแรมอยู่แล้ว ปรากฏว่านักลงทุนไปไม่เป็นเพราะไม่เคยเจอโรงแรมที่มีดีไซน์หนึ่งแบบแค่ 1-2 ห้อง ในขณะที่โรงแรมส่วนใหญ่จะมีแค่หนึ่งดีไซน์ที่ใช้ซ้ำไป 10-20 ห้อง

“พอเขาเห็นแบบห้องที่เราเอาไปเล่าให้ฟัง เรามองแล้วรู้เลยว่าเขามองเราด้วยสายตาเป็นห่วง เห็นใจเราว่าเหนื่อยแน่”

ในมุมของอั้มถ้าคนเป็นห่วงแปลว่าเป็นสัญญาณที่ดี “ถ้าสังเกตงานของพวกเรา ผมจะเลือกทางยากหมด ไม่ได้กลัวความยาก เพราะความจริงมันเป็นหน้าที่ของคนสายอาร์ตหรือนักธุรกิจในการทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ ผมมองว่าถ้าเราไปถามคนที่ชำนาญแล้วหน้าตาเขาไม่เป็นห่วงเรา อันนี้ผมไม่ทำ ถ้าเขาบอกว่าแบบนี้ดี ผมไม่ทำ เพราะถ้าคนอื่นฟังไอเดียแล้วคิดว่าอันนี้ดี ทำง่าย ทุกคนก็ทำได้ แต่ถ้าเขารู้สึกว่าเป็นห่วงเรา นั่นแหละเราถึงต้องทำ เพราะถ้าทำแล้วสำเร็จคนอื่นจะทำตามเรายาก” 

ด้วยหัวใจของแบรนด์ที่ยึดความแตกต่าง ทั้งคู่บอกว่าในอนาคตหากมีโอกาสก็ไม่อยากหยุดแค่การทำโรงแรม แต่อยากต่อยอดสู่หมวดธุรกิจอื่นๆ ที่เชื่อมโยงกับประสบการณ์ผู้เข้าพัก เช่น Kitsch Home ขายของแต่งบ้านที่ออกแบบสำหรับใช้ในโรงแรมโดยเฉพาะ อย่างชุด bathrobe จาน ปลอกหมอน โคมไฟ โปสต์การ์ด ซึ่งอั้มมองว่าหากแขกที่มาพักอินกับประสบการณ์ที่ได้รับจากโรงแรม ก็น่าจะเกิดความประทับใจจนอยากซื้อของสุดพิเศษเหล่านี้กลับบ้าน

“ตอนผมทำงานวงการโฆษณาจะชอบมีการประกวดแคมเปญสร้างสรรค์ซึ่งจะมีหลายหมวด หมวดที่ผมชอบทำคือหมวด Direct หมายถึงโฆษณาที่ขายตรงสู่ผู้ซื้อเลย จะทำยังไงให้คนเห็นปุ๊บแล้วอยากซื้อเลย ผมเป็นพ่อค้าเลยชอบวิเคราะห์ผู้ซื้อ โรงแรมที่นี่ก็เหมือนกัน คือถ้าคนที่มาได้ลองนอนด้วยตัวเอง แล้วชอบปลอกหมอน มีชุด rope ที่ใส่แล้วรู้สึกว่าดูดี มันก็เป็นการโฆษณาตัวสุดท้าย”

คำว่าโฆษณาตัวสุดท้ายของอั้มหมายถึงการขายตรงที่ลูกค้าได้สัมผัสจริงกับตัว ได้เห็นกับตา จนเกิดความประทับใจจนอยากซื้อ ณ โมเมนต์นั้น 

สร้างโรงแรมมหัศจรรย์แบบไม่เพ้อฝัน

ในขณะที่ลูกศรเรียนจบแฟชั่นดีไซน์ ส่วนอั้มเคยทำงานสายครีเอทีฟในเอเจนซีโฆษณาทำให้ถนัดสร้างคอนเซปต์ดีไซน์ที่โดดเด่น แต่ทั้งคู่ก็บอกว่าไอเดียโรงแรมที่มีความแฟนตาซีอย่าง Kitsch Hotel จะสำเร็จไม่ได้เลยถ้าไม่มีหุ้นส่วนอีก 6 คนที่มีความถนัดในเชิงธุรกิจ โดยเฉพาะหนึ่งในหุ้นส่วนที่มีธุรกิจครอบครัวด้านโรงแรม ซึ่งทำให้ได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญที่ช่วยเติมเต็มความรู้ให้ลูกศรกับอั้มที่ไม่เคยมีประสบการณ์การทำธุรกิจโรงแรมมาก่อนเลย

“ถ้าให้ผมทำกับลูกศรนะ ราวแขวนเสื้อคงไม่มี คงเอาตู้เย็นออกหมด” อั้มพูดติดตลกและเล่าต่อว่ามีหลายสิ่งที่คนวงการสร้างสรรค์นึกไม่ถึงในการทำโรงแรมและต้องเป็นคนในวงการที่มีประสบการณ์เท่านั้นถึงจะรู้ ส่วนใหญ่มักเป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ด้านฟังก์ชั่น” 

ตัวอย่างเช่น การวางโพซิชั่นของแบรนด์ว่าอยากเป็นโรงแรมกี่ดาวจะส่งผลต่อการเลือกเช็กลิสต์สิ่งอำนวยความสะดวกในห้องพักว่าควรมีอะไรบ้าง รวมถึงเกร็ดน่ารู้บางอย่างที่คนนอกวงการไม่รู้ อย่างตู้เซฟในห้องพักไม่ได้มีไว้เพื่อคุ้มครองลูกค้าเท่านั้น แต่ยังมีจุดประสงค์แฝงสำคัญคือเพื่อปกป้องสิทธิพื้นฐานของทางโรงแรมด้วยเช่นกัน ในแง่ว่าโรงแรมมีสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อความปลอดภัยให้ลูกค้าเลือกใช้แล้ว 

การออกแบบวอลเปเปอร์ติดผนังโรงแรมด้วยตัวเองก็ไม่ใช่เหตุผลแค่ความสวยงามและสร้างอัตลักษณ์แบรนด์เท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องการซ่อมแซมบำรุงรักษา เพราะการใช้วอลเปเปอร์สำเร็จรูปที่มีอยู่แล้วตามร้านต่างๆ หากวันหนึ่งวอลเปเปอร์เกิดฉีกขาดแล้วรุ่นที่ใช้อยู่ขาดตลาด ก็อาจหารุ่นเดิมไม่ได้อีกและกลายเป็นต้องเปลี่ยนวอลเปเปอร์ใหม่หมดทั้งผนัง

หลายไอเดียที่หวือหวาหรือแฟนตาซี เมื่อลงมือทำจริงก็ไม่ได้ยึดติดกับไอเดียแรกทั้งหมด แต่ถูกปรับหรือยกเลิกไปบ้างด้วยเหตุผลทางธุรกิจ เช่น ไอเดียสร้างเต็นท์ในห้องพักซึ่งจำลองบรรยากาศกางเต็นท์ในสวนหลังบ้าน หรือธีมหลุดโลกแนวอวกาศที่ต้องตัดทิ้งไปเพราะข้อจำกัดด้านงบประมาณ โดยสุดท้ายจะมีการโหวตไอเดียจากหุ้นส่วนทุกคนเพื่อเลือกห้องที่เชื่อว่าจะขายได้ และมีโอกาสเป็นที่ชื่นชอบของลูกค้ามากที่สุด มากกว่าการเลือกจากห้องที่สร้างสรรค์ที่สุดเพียงอย่างเดียว

พูดได้ว่าถึงแม้จะมีความกล้าในการทำโรงแรมที่แตกต่าง แต่สูตรการทำธุรกิจให้สำเร็จสำหรับอั้มก็ต้องไม่ทิ้งเรื่องการเงินด้วย และหนึ่งในเรื่องที่สำคัญที่สุดคือการคำนวณความคุ้มค่าในการคืนทุน 

“ถ้าทำธุรกิจร้านอาหาร เราอาจไม่จำเป็นต้องเป็นพ่อครัวที่เก่งที่สุดแต่เราต้องทำธุรกิจร้านอาหารที่ดีที่สุด หมายความว่าเราทำอาหารให้อร่อยที่สุดในต้นทุนที่เหมาะสมที่สุด เหมือนกัน ถ้าเราทำธุรกิจเสื้อผ้า เราอาจไม่ใช่สุดยอดดีไซเนอร์แต่เราทำเสื้อผ้าให้สวยที่สุดในราคาที่ลูกค้าจะซื้อได้มากที่สุด โรงแรมก็เหมือนกัน ทำให้สวยที่สุดในราคาที่อยู่ได้ ในต้นทุนที่ถูกจำกัดหรือถูกวางไว้แล้ว ผมไม่ใช่อินทีเรียร์ดีไซเนอร์ ผมเป็นผู้ประกอบการ มุมมองของเราจึงมองว่าจะทำยังไงให้คุ้มที่สุดสำหรับคนพัก”

สร้างบ้านด้วยอิฐ 

เมื่อถามถึงห้องที่ท้าทายที่สุดในการออกแบบและตกแต่ง Kitsch Hotel ทั้งลูกศรและอั้มมองตรงกันว่าความท้าทายคือการแปลงโฉมทุกห้อง อั้มเผยด้วยน้ำเสียงขำๆ ว่า “ผมว่าความท้าทายคือทั้งโรงแรมนี่แหละ น่าจะท้าทายทั้งหมด มันคือมวลรวม เพราะเราเปลี่ยนทุกห้องเลย”

และเมื่อถามว่าห้องไหนใน Kitsch Hotel ที่มีการตกแต่งที่สะท้อนเรื่องราวการเป็นนักธุรกิจขอทั้งคู่มากที่สุด ทั้งคู่ตอบตรงกันอีกเหมือนเดิมว่า สิ่งที่สะท้อนตัวตนที่สุดคือทั้งโรงแรม และไม่ขอเลือกห้องไหนเป็นพิเศษ 

ในมุมของลูกศร เพราะการใส่ใจรายละเอียดทุกจุดในทุกห้องทำให้รู้สึก “touch กับทั้งโรงแรมเลย” ส่วนอั้มที่เป็นครีเอทีฟและนักสร้างแบรนด์มืออาชีพก็มองว่า “นักทำแบรนดิ้งไม่มีแบรนดิ้งของตัวเอง ที่โรงแรมนี้เราสามารถสร้างแบรนดิ้งให้อะไรก็ได้ แม้กระทั่งห้องแต่ละห้อง” นั่นคือพลังของการเข้าใจแบรนด์อย่างลึกซึ้งที่ไม่ผูกแบรนด์ติดกับตัวตน 

ทั้งคู่ยังเปรียบเส้นทางการทำธุรกิจของตนเองคล้ายกับนิทานลูกหมูสามตัวที่มีข้อคิดสอนใจคือการสร้างบ้านจากวัสดุที่แข็งแรงที่สุดจะทำให้บ้านอยู่ได้นานและไม่พังง่ายๆ เหมือนหลักคิดในการทำธุรกิจที่ลูกศรบอกว่าอยากทำในสิ่งที่ยืนระยะ ไม่ใช่แค่ตามกระแส

“เรา 2 คนจะคุยกันตลอดว่าตอนนี้เราสร้างบ้านด้วยอิฐกันหรือเปล่า หรือเราสร้างบ้านด้วยฟางหรือไม้ ถ้าเราเลือกทำธุรกิจที่มาเร็วไปเร็วหรือธุรกิจที่ trendy มากๆ มันไม่จำเป็นต้องเป็นเรา 2 คนก็ได้ ใครทำก็ได้ เราเลยเลือกทำธุรกิจที่ไม่มีใครทำได้ แต่เรานี่แหละทำได้ พยายามทำสิ่งที่พิเศษจริงๆ ไม่ใช่แค่ดึงส่วนแบ่งทางการตลาดจากคนอื่น เราอยากเป็นหนึ่งใน player แรกที่ลุกขึ้นมาทำสิ่งนี้”

หากย้อนกลับไปราวสิบปีก่อน ร้านมัลติแบรนด์สไตล์เอกลักษณ์อย่าง Daddy and the muscle academy และ Frank Garcon ที่ตั้งใจเชิดชูนัดวาดภาพประกอบไทยและดีไซเนอร์ไทยให้ได้โชว์ผลงานและวางขายที่ร้านยังไม่เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายในไทยมากนัก เช่นเดียวกับร้านอาหารใต้ที่ตกแต่งน่ารักคล้ายคาเฟ่อย่าง ‘ปากนัง’ ก็ยังไม่ค่อยมีใครลุกขึ้นมาทำในรูปแบบนี้เช่นกัน

การสร้างธุรกิจในแบบของอั้มและลูกศรจึงเป็นการสร้างรากฐานด้วยอิฐอย่างมั่นคง ไม่ใช่แค่โรงแรมน่ารักๆ ที่หวังให้คนมาถ่ายรูปตามเทรนด์ แต่อยากเป็นโรงแรมคอนเซปต์ดีที่เป็นธุรกิจอันยั่งยืน 

“ศรเคยบอกพี่อั้มว่าจริงๆ แล้วอินเนอร์ของศรคืออยากให้ประเทศไทยมีของดี อยากให้กรุงเทพฯ มีของดี แต่เราไม่ได้มีศักยภาพที่จะไปเป็นรัฐมนตรี เราไม่ได้เรียนรัฐศาสตร์ ก็เลยใช้ศักยภาพในตัวเราที่คิดว่าทำให้ไปไกลที่สุดได้ ทำสิ่งที่เป็นหน้าตาของประเทศเรา ก็เลยพยายามผลักดันธุรกิจที่มีให้เป็น destination ของนักท่องเที่ยว”

“เป้าหมายของพวกผมคือไม่ได้อยากรวยมาก แต่อยากสร้างสิ่งพิเศษ ผมมีความเชื่อว่าคนไทยมีศักยภาพ เวลาเราไปต่างประเทศ ไปเกาหลีหรือญี่ปุ่น เรารู้สึกว่างานคนไทยไม่ได้แพ้ใครเลย เราทำโรงแรมเพื่อให้คนเห็นว่าเมืองไทยก็มี concept hotel ได้ ทำให้อาร์ตเข้าใกล้คนมากขึ้นได้ เรามองว่าอยากลงทุนในแบบที่ได้ความภูมิใจกลับมาด้วยว่าเราทำสิ่งที่พิเศษ อย่างน้อยก็ต่อใจเรา และเป็นการส่งต่อให้คนอื่นที่มาพักได้แรงบันดาลใจในการทำสิ่งที่พิเศษกลับไป ผมคิดว่าประเทศต้องการพลังที่ถูกส่งต่อแบบนั้น” 

Writer

Craft Curator & Columnist, Chief Storyteller & Dream Weaver, Editor-in-Cheese, Design Researcher 'Instagram : @rata.montre'

Photographer

ช่างภาพที่สนุกกับการแต่งตัว อยู่กับเสียงเพลง และหลงรักในความทรงจำ Ig : mocfirst

You Might Also Like