You'll Never Wash Alone

WashXpress ร้านสะอาดซักที่สร้าง user experience ที่ดีด้วยเทคโนโลยี และไม่ขายแฟรนไชส์เพราะอยากคุมคุณภาพ

ในยุคที่เราเห็นร้านสะดวกซักได้แทบทุกมุมตึก หลายคนอาจเคยสังเกตเห็นร้านสะดวกซักที่มีมาสคอตเป็นรูปพี่วัวตัวโต ในร้านขนาดใหญ่ที่คนใช้บริการหนาแน่นแทบทุกช่วงเวลา ทุกสาขามีลานจอดรถกว้างขวาง รถเข็นผ้า โต๊ะ และเก้าอี้ที่จัดอย่างเป็นสัดส่วน บางสาขามีพนักงานประจำที่คอยซัก อบ พับ รอให้บริการลูกค้า

เรากำลังพูดถึง WashXpress แบรนด์ร้านสะดวกซักที่ก่อตั้งโดยสี่เพื่อนซี้ วิน–กวิน กลองกระโทก, นิค–ชิษณุพันธ์ ตั้งเฉลิมกุล, ปั๊ก–อุไรวรรณ อ่อนเจริญ และซันนี่–พรสิริ ธัญญานุรักษา เมื่อ 7 ปีก่อน ภายใต้ชื่อบริษัท ลอนดรี้ ยู จำกัด (มหาชน) 

สะดวก สะอาด และทำให้ลูกค้าได้ประสบการณ์การซักผ้าที่ดีที่สุด

หากให้นิยามคอนเซปต์ที่ทำให้ WashXpress ดึงดูดเหล่าแม่บ้านและคนที่ต้องทำงานบ้านเข้ามาใช้บริการได้ เราอาจสรุปได้แบบนั้น และนั่นอาจเป็นเหตุผลที่ร้านสะดวกซักเล็กๆ ที่เปิดแค่ไม่กี่สาขาในช่วงแรกที่ก่อตั้ง แต่ปัจจุบันเติบโตจนขยายได้มากกว่า 530 สาขาทั่วประเทศ จนทำให้บริษัทเตรียมความพร้อมและยื่น Filing เข้าตลาดหลักทรัพย์ได้ในที่สุด

แต่ภายใต้ความสำเร็จที่มองเห็นด้วยตาเปล่า ลึกลงไปมีความคิด ความเชื่อในการทำแบรนด์อันหนักแน่น ขั้นตอนการให้บริการมีการพัฒนาครั้งแล้วครั้งเล่า สำคัญที่สุดคือโมเดลธุรกิจที่ไม่เหมือนกับแฟรนไชส์ร้านสะดวกซักเจ้าไหนๆ

ส่วนสิ่งนั้นคืออะไรและสำคัญยังไงในการทำธุรกิจ ผู้ก่อตั้ง WashXpress มีคำตอบ

ย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้น อะไรทำให้คุณอยากทำธุรกิจร้านสะดวกซัก

วิน : ผมกับนิคเป็นเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย หลังเรียนจบต่างคนต่างแยกย้ายไปทำงาน นิคมีธุรกิจของที่บ้าน ส่วนผมไปเรียนต่อปริญญาโทด้านคณิตศาสตร์ประกันภัย ทำงานเป็นพนักงานบริษัทได้ประมาณ 6 ปีก็อยากเริ่มทำธุรกิจของตัวเอง

ณ วันนั้น นิคเพิ่งแต่งงาน บ้านเราอยู่ใกล้กันเลยนัดกินข้าวกันทุกเย็น เราคุยกันว่าในเศรษฐกิจแบบนี้จะทำธุรกิจอะไร ผมอยากทำธุรกิจที่ใช้คนน้อย เพราะไม่ชอบวุ่นวายกับการบริหารจัดการคน

นิค : ที่บ้านของผมทำธุรกิจสิ่งทอและลงทุนเพิ่มในธุรกิจอสังหาฯ  ปล่อยเช่าอพาร์ตเมนต์ ใต้อพาร์ตเมนต์จะมีเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญที่เราต้องช่วยดูแลด้วย เราดูแลเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญประมาณ 50-60 เครื่อง  และได้พบปัญหาคือเครื่องเสียบ่อย เพราะเครื่องซักผ้าเหล่านั้นถูกออกแบบมาใช้ที่บ้านวันละ 1-2 ครั้ง แต่ที่อพาร์ตเมนต์มีคนมาใช้มากกว่านั้น ผมจึงเริ่มมองหาเครื่องซักผ้าที่คุณภาพดีกว่า

ก่อนหน้านั้น ผมเห็นว่ามีร้านสะดวกซัก (laundromat) มาเปิดหน้าหมู่บ้าน ผมกับแฟนขับรถผ่านทุกวัน คุยกันตลอดว่าไม่เห็นมีใครมาใช้เลย แต่เวลาผ่านไป 2-3 ปีก็ยังไม่เจ๊ง ผมเลยลองเข้าไปคุยกับเจ้าของร้าน พบว่าเขาคือร้านที่ซื้อแฟรนไชส์มาจากมาเลเซีย ใช้เครื่องซักผ้าแบบอุตสาหกรรมซึ่งถูกดีไซน์มาให้ใช้ได้ตลอด 24 ชั่วโมง และจริงๆ ลูกค้าจะมาใช้ช่วงเย็นกับช่วงหลังเลิกงาน ซึ่งไม่ใช่ช่วงที่เราขับรถผ่าน

ผมรู้สึกว่าเป็นโมเดลที่น่าสนใจแต่ยังไม่เชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ เลยบินไปดูที่มาเลเซีย ซึ่ง 8 ปีที่แล้วร้านสะดวกซักในมาเลเซียที่เปิดมายาวนานที่สุด เขาเปิดมาเป็นสิบปีแล้ว ขณะที่เมืองไทยเพิ่งเริ่มได้ 2-3 ปีและยังไม่ค่อยมีคนเห็นโอกาส พอผมบินกลับมาก็วิ่งหาโลเคชั่นเพื่อทดลองเปิดเลย

ตอนแรกเปิดกี่สาขา

นิค : ตอนแรกคิดว่าจะซื้อแฟรนไชส์มาเปิดแค่ 1 สาขา แต่พอคุยกับที่บ้าน คุณพ่อแนะนำว่าธุรกิจนี้มันขึ้นอยู่กับโลเคชั่น เราเปิด 1 ที่เราไม่รู้หรอกว่ามันจะเวิร์กหรือไม่เวิร์ก อย่างน้อยต้องลองสัก 5 ที่เราเลยลองเปิดในสถานที่ที่แตกต่างกัน ทั้งห้องแถวในตึก ห้องแถวหัวมุม และอาคารที่เป็นสแตนด์อะโลน 

ในบรรดาห้องทั้งหมด อาคารที่เป็นสแตนด์อะโลนเวิร์กที่สุดเพราะมีที่จอดรถสำหรับลูกค้า สะดวกให้พวกเขาสามารถขนผ้ามา 2-3 ตะกร้า จอดรถหน้าร้านแล้วเดินเข้ามาได้เลย

แล้วจุดไหนที่ทำให้อยากเปิดแบรนด์ของตัวเอง

นิค : ตอนแรกที่ซื้อแฟรนไชส์มา เราอยากเป็นนักลงทุนเฉยๆ และให้เจ้าของแฟรนไชส์บริหารจัดการแทน แต่พอเปิดไปสักพักก็มีเจ้าอื่นมาเปิดแข่ง บวกกับการดูแลร้านที่ไม่ทั่วถึง ยอดขายเลยตก 

เราเลยอยากลงมาดูแลจัดการร้านเอง ช่วงนั้นก็คุยกับวินตลอด เลยคิดว่าไหนๆ จะต้องจัดการร้านเองแล้วก็เปิดแบรนด์ของตัวเองดีกว่า

วิน : ก่อนจะเปิดแบรนด์ด้วยกัน ผมซื้อแฟรนไชส์เจ้าเดียวกับนิคมาเปิดเหมือนกันแถวๆ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ pain point ที่ผมมีตั้งแต่ตอนเรียนคือเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญมักจะซักไม่สะอาด ต้องขนกลับไปซักบ้านเสมอ ผมก็อยากมีเครื่องซักผ้าดีๆ ไว้ให้ซัก พอได้มาคุยกับนิคก็เห็นว่ามีแนวทางเดียวกัน 

ความท้าทายที่เจอในวันแรกๆ ของธุรกิจคืออะไร

นิค : พอมันเป็นของใหม่ ช่วงแรกๆ จึงต้องการการแนะนำ 

ซันนี่ : สาขาแรกที่เปิดคือหมู่บ้านทิพวัล แถวเทพารักษ์ ซึ่งเป็นชุมชนเก่าที่เต็มไปด้วยตึกแถวและมีแต่คนที่เกษียณแล้ว พอเราไปเปิดเมื่อประมาณ 8 ปีที่แล้ว เขาก็อาจจะคิดว่าเครื่องซักผ้าของเราไม่ต่างจากที่บ้านเขา ตอนแรกก็ไม่สนใจจะมาซัก จนมีวันที่เครื่องซักผ้าเขาเสีย เขาเลยลองมาซักกับเรา จึงได้เห็นว่าเครื่องซักผ้าของเราไม่เหมือนเครื่องซักผ้าที่บ้านนะ มันเป็นเครื่องระบบอุตสาหกรรมที่ซักสะอาดกว่า ปั่นแห้งกว่า ซักเร็วกว่า มีเครื่องอบให้แห้งได้เลย ไม่ต้องตาก แถมยังกำจัดเชื้อโรคและไรฝุ่น ทำให้ป้องกันภูมิแพ้ได้ด้วย พอเขาได้มาลองเขาก็ไม่ได้ซ่อมเครื่องซักผ้าและมาซักกับเราตลอด

โมเดลธุรกิจของคุณแตกต่างจากโมเดลของร้านสะดวกซักที่ซื้อแฟรนไชส์มายังไง

วิน : โดยปกติธุรกิจนี้ ตอนซื้อแฟรนไชส์เจ้าของจะขายเครื่องให้ โดยหน้าที่บริหารจัดการร้านจะเป็นของคนซื้อแฟรนไชส์ การเปิดร้านและดูทำเลไม่ได้ยากมาก แต่ความยากคือเปิดร้านแล้วดูแลยังไงให้ร้านสะอาดตลอดเวลา เครื่องไม่เสียบ่อย หรือเมื่อลูกค้ามีปัญหาแล้วแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้เร็ว

มันจึงเป็นที่มาของโมเดลธุรกิจที่เน้นขยายสาขาของตัวเอง เพราะเราต้องการควบคุมคุณภาพ

ซันนี่ : เราเคยซื้อแฟรนไชส์มา 15 สาขา ทำให้เรารู้ว่ามีจุดไหนที่เราอยากพัฒนาการบริหารจัดการให้ดีขึ้น และทำให้เรารู้ว่ามีอะไรที่ลูกค้า concern บ้างในร้านซักผ้า เราตั้งใจเอาประสบการณ์ที่มีมาทำร้านที่ทำให้ลูกค้าสะดวกที่สุด สะอาดที่สุด และมีประสบการณ์ที่ดีในการซักผ้า

นิยามของประสบการณ์การซักที่ดีของคุณคือแบบไหน

ซันนี่ : เริ่มตั้งแต่ลูกค้าขับรถเข้ามาแล้วเห็นร้านชัด จะต้องมีป้ายขนาดใหญ่ มีที่จอดรถกว้าง ไม่เป็นหลุมเป็นบ่อ เพื่อให้ลูกค้าจอดรถได้สะดวก พอเดินเข้าไปในร้านเราก็มีรถเข็นให้ลูกค้าเข็นตะกร้าผ้าเข้าร้านได้ง่ายๆ ด้านในมีเครื่องจำหน่ายน้ำยาซักผ้าและน้ำยาปรับผ้านุ่มสำหรับคนที่ลืมหรือไม่ได้เตรียมมา

ลูกค้าบางคนเขากังวลเรื่องความสะอาดของเครื่องซัก เพราะต้องซักรวมกับคนอื่น เราเลยมีปุ่มล้างเครื่องด้วยน้ำร้อนเพื่อฆ่าเชื้อก่อนการซักผ้า ตอนซักและอบผ้าเขาต้องรอ เพราะฉะนั้นถ้าเราทำร้านที่อับ ไม่โปร่ง เขาก็จะรู้สึกไม่สะดวกสบาย นั่นคือที่มาที่เราทำร้านให้ใหญ่และมีลมไหลเวียนเข้ามา บางสาขามีแดดส่องเราก็จะหาม่านหรือผ้าใบมากั้นให้ เพื่อให้ลูกค้าไม่ร้อนมากจนเกินไป 

นี่คือสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เป็น touch point แต่ละอย่างที่เราพยายามพัฒนาให้ดีขึ้น ทุกวันนี้เราก็ยังพัฒนาเพื่อประสบการณ์ที่ดีที่สุดของลูกค้าอยู่ เพราะในอนาคตเขาอาจจะต้องการอะไรที่มากขึ้น

ที่บอกว่าอยากควบคุมคุณภาพทุกสาขา คุณควบคุมได้ยังไง

วิน : ปั๊กจะชอบบอกว่า เราเป็นธุรกิจบริการที่ไม่มีคนให้บริการ นี่คือความยาก สิ่งที่เราทำคือเราเอาเทคโนโลยีมาช่วยบริหารจัดการทั้งหมด อย่างเครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้าทุกเครื่อง เราสามารถดูออนไลน์ได้ว่าวันนี้มีเครื่องไหนเสียหรือทำงานปกติ มีลูกค้ามาใช้บริการกี่ครั้ง เวลาไหนบ้าง และถ้าเครื่องมีปัญหา เราสามารถสั่งหยุดเครื่องได้เลย สมมติลูกค้ามาใช้งานแล้วมีปัญหา เราก็บอกให้ลูกค้าเอาผ้าใส่อีกเครื่องได้ แล้วเราจะกดเริ่มใช้งานโดยที่ลูกค้าไม่ต้องจ่ายเงินอีก

ปั๊ก : เราค่อนข้างให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาให้ลูกค้า เพราะฉะนั้นที่ร้านเราจะมีช่องทางให้ลูกค้าติดต่อเยอะมาก ทั้งเฟซบุ๊ก ไลน์ เบอร์โทรที่ถ้าโทรมาจะเจอคนแน่นอน ไม่ใช่โรบอต ด้วยระบบที่เรามี คอลเซนเตอร์ของเราสามารถแก้ไขปัญหาให้ลูกค้าได้ 24 ชั่วโมง

นิค : นอกจากควบคุมมาตรฐานให้เหมือนกันทุกสาขา โมเดลนี้ดีต่อการทำการตลาดของเราด้วย สมมติถ้าเราขายแฟรนไชส์ออกไป เจ้าของร้านแต่ละร้านเขามีความคิดไม่เหมือนกัน การที่เราคิดโปรโมชั่นออกมาสักอย่างแล้วทำให้ทุกคนทำตาม มันต้องเสียเวลาเจรจาต่อรอง แต่การที่เราเป็นเจ้าของและบริหารเอง เราคิดโปรฯ วันนี้ พรุ่งนี้ก็ทำได้เลยทุกสาขา

วิน : แอพพลิเคชั่นก็เป็นอีกสิ่งที่เราช่วยให้เราจัดการสาขาต่างๆ และทำให้เรารู้พฤติกรรมลูกค้าด้วย เพราะเรามีฐานลูกค้าในแอพฯ มากกว่า 1 ล้านคน เพราะฉะนั้นเราจะรู้พฤติกรรมของลูกค้าเลยว่าเป็นยังไง เราจึงทำระบบ CRM (การบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า) หรือทำแคมเปญแบบเฉพาะบุคคล (personalized) ให้กับลูกค้าได้จากข้อมูลที่เรามี สิ่งเหล่านี้จะทำให้เราต่อยอดและเติบโตได้อย่างมั่นคง 

ตอนแรกที่คุณวินบอกว่าไม่ชอบธุรกิจที่ต้องบริหารคนเยอะๆ แต่ปัจจุบันพนักงานในเครือมีหลายร้อยคนแล้ว ความรู้สึกของคุณเปลี่ยนไปบ้างไหม

วิน : เปลี่ยนไปแล้ว มันเป็นจุดที่ต้องทำ เราต้องปรับตัวและพัฒนาตัวเอง เรามีมากกว่า 530 สาขา ใช้พนักงานกว่า 400 คน และมีเทคโนโลยีมาช่วยบริหารจัดการด้วย ซึ่งถ้าเทียบกับธุรกิจอื่นถือว่าใช้คนน้อยนะ

สิ่งที่คุณย้ำบอกกับพนักงานบ่อยๆ คืออะไร

วิน : คอนเซปต์ของเราคือ ‘คนพร้อม เครื่องพร้อม ร้านพร้อม ลูกค้าประทับใจ เขาจะกลับมาใช้ซ้ำและบอกต่อ’

เราต้องทำทุกอย่างให้เราพร้อม คนพร้อมคือมีคนทำความสะอาดทุกวัน ถ้าลูกค้ามีปัญหาอะไร ต้องมีคนคอยแก้ไขปัญหาให้เขา คนของเราก็ต้องถูกเทรนก่อนให้บริการลูกค้า สามารถตอบคำถามและให้คำแนะนำลูกค้าได้

สองคือเครื่องพร้อม เพราะสิ่งที่ทำรายได้ให้เราคือเครื่องจักร ถ้าลูกค้ามาแล้วเครื่องเสียหลายๆ เครื่อง ลูกค้าเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยชอบรอคิว เขาจะรู้สึกว่าเขาไม่มาแล้วดีกว่า เพราะฉะนั้นเราต้องทำเครื่องให้พร้อมใช้งานได้ตลอด นั่นคือเหตุผลที่เลือกเครื่องจักรที่เป็น top quality จากอเมริกา แพงกว่าที่อื่นเยอะ แต่เราเชื่อว่าถ้าลูกค้าได้ใช้ของดี ลูกค้าจะไม่เจอปัญหา สุดท้ายคือร้านพร้อม ที่จอดต้องกว้าง ร้านต้องสะอาด นั่งรอสบาย ไฟส่องสว่าง รู้สึกปลอดภัยในการมาใช้บริการตลอดเวลา 

ด้วยธุรกิจของเราเป็นธุรกิจที่เกิดในชุมชน การตลาดที่ดีที่สุดคือการบอกต่อ เราเชื่อว่าถ้าเราทำ 3 สิ่งนี้ได้ดี ลูกค้าจะประทับใจ กลับมาใช้ซ้ำ และชวนเพื่อนบ้านหรือคนรู้จักมาใช้บริการ

ตลาดร้านสะดวกซักตอนนี้ถือว่าแข่งขันกันสูง คุณมีกลยุทธ์ที่จะสู้กับเจ้าอื่นๆ ยังไง

ปั๊ก : ในมุมมองของพวกเรา โอกาสในธุรกิจนี้ยังมีอีกเยอะ คู่แข่งของเราอาจจะไม่ใช่แค่คู่แข่งทางตรง แต่คู่แข่งทางอ้อมคือคนที่ยังซักและตากผ้าที่บ้าน คนที่ยังไม่เคยมาใช้บริการ เราจะทำยังไงให้เขามาใช้ นั่นคือโจทย์ที่ท้าทายมากๆ แม้หลายคนจะมองว่าธุรกิจนี้เป็น red ocean เพราะมีผู้เล่นจำนวนมาก แต่เรายังเห็นโอกาสเติบโตอีกมาก วันนี้เรามีมากกว่า 530 สาขาใน 21 จังหวัด แต่ยังมีอีกหลายพื้นที่ที่สามารถขยายเข้าไปได้ การขยายสาขาให้ครอบคลุมมากขึ้นจะเป็นโอกาสสำคัญในการเข้าถึงลูกค้าใหม่ๆ และยกระดับมาตรฐานร้านสะดวกซักในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศหากดูจากต่างประเทศ แม้ตลาดจะมีการแข่งขันสูง แต่ก็ยังเติบโตได้ต่อเนื่องเราจึงมั่นใจว่าตลาดไทยยังมีช่องว่างอีกมาก ทั้งในแง่พื้นที่และกลุ่มผู้ใช้ใหม่

คุณมองอนาคตของ WashXpress ไว้ยังไง 

วิน : vision ของเราคืออยากให้การซักผ้าเป็นเรื่องง่ายของทุกชุมชน เพราะฉะนั้นเราก็อยากขยายไปสู่ชุมชนต่างๆ ให้ได้เยอะที่สุด นี่คือความตั้งใจแรก

ความตั้งใจที่สองคือ เราอยากทำให้มันง่ายกว่านี้อีก มันมีอีกหลายจุดที่เราทำให้ง่ายขึ้นได้ เช่น เมื่อก่อนเราเป็นร้านที่ต้องบริการตัวเองร้อยเปอร์เซ็นต์ ลูกค้าต้องมานั่งรอซักอบ 1 ชั่วโมง ซึ่งง่ายนะถ้าเทียบกับที่บ้านที่ซัก 1 ชั่วโมง ตาก 2 ชั่วโมง และต้องซักทีละเครื่อง ผ้านวมใหญ่ๆ ก็ซักไม่ได้ เราแก้ pain เหล่านี้ไปหมดแล้ว

pain ที่ต่อยอดมาจากนั้นคือ การที่ลูกค้ามานั่งรอ 1 ชั่วโมง บางทีเขาก็อยากไปทำอย่างอื่น ไม่อยากมานั่งรอ เราจึงเริ่มมีบริการฝากผ้าให้พนักงานซักอบให้ ลูกค้าสามารถเอาตะกร้ามาวางและให้พนักงานทำให้ได้เลย จากการซักผ้า 1 ชั่วโมง เหลือซักผ้าแค่ 3 นาที สเตปต่อไปคือลูกค้าไม่จำเป็นต้องมาที่ร้านก็ได้ แต่เราจะทำ 1 Click Laundry ที่สั่งงานจากที่บ้านแล้วเรียกพนักงานมารับ-ส่งผ้าแบบเดลิเวอรีได้ นี่คืออีกข้อดีของการเป็น own store แบบเปิดสาขาเอง ทำให้เราสามารถต่อยอดและสเกลได้ ต่างจากร้านแฟรนไชส์ที่อาจมีความซับซ้อนเยอะกว่าในแง่การบริหาร 

ถึงวันนี้การสร้างแบรนด์ WashXpress สำคัญกับพวกคุณยังไง

นิค : ที่บ้านของผมมีแม่บ้านคอยซักผ้าให้ ผมจึงไม่เคยคิดจะใช้บริการร้านสะดวกซักที่ต้องซักผ้ารวมกับคนอื่นๆ เลย สิ่งที่เราพยายามทำคือทำร้านยังไงก็ได้ให้ผมโอเคที่จะมาใช้ เป็นร้านที่สะอาดและสะดวกที่สุด ทุกวันนี้ผมสบายใจที่จะยกเสื้อผ้าจากที่บ้านมาซักที่ร้าน เพราะผมรู้ว่าเครื่องซักผ้าที่ร้านสะอาดกว่าที่บ้านผม เนื่องจากเราทำความสะอาดมากกว่า 80 ขั้นตอนในทุกๆ วัน 

วิน : กับการทำแบรนด์นี้ เราไม่เคยคิดว่าแค่ ‘สะดวก’ จะเพียงพอ เพราะลูกค้ามาหาเราด้วยความหวังว่าจะได้อะไรที่ดีกว่าการซักที่บ้าน เราจึงลงรายละเอียดในทุกจุด เพื่อให้มั่นใจว่าทุกการซักจะไม่ใช่แค่เร็ว แต่ต้องสะอาดจริง ไม่ใช่แค่สบาย แต่ต้องสบายใจ และไม่ใช่แค่ใช้บริการ แต่ต้องอยากกลับมาอีก

เพราะสุดท้ายแล้ว ธุรกิจซักผ้าอาจดูธรรมดาในสายตาคนทั่วไป แต่สำหรับเรา มันคือพื้นที่เล็กๆ ที่เราเชื่อว่า ถ้าเราทำให้ดี ทำให้สะอาด ทำให้ลูกค้ารู้สึกสบายใจทุกครั้งที่เข้าร้าน มันจะไม่ใช่แค่ ‘ร้านซักผ้า’ อีกต่อไป แต่มันจะกลายเป็น ‘แบรนด์ที่คนไว้วางใจ’

และนั่นคือสิ่งที่เราซักกันอยู่ทุกวัน ไม่ใช่แค่ผ้า แต่คือความเชื่อ ความมั่นใจของทุกคนที่เดินเข้ามา

Writer

นักอยากเขียนผู้รักทะเลและฤดูหนาวพอๆ กับหนังสุขซึ้ง สนใจประเด็น gender และเรื่องป๊อปทุกแขนง

You Might Also Like