เปิดกล่องดูวิธีคิดแบรนด์อาร์ตทอยสัญชาติจีน ทำยังไงถึงขยายอาณาจักรได้ทั่วโลกในเวลาแค่ 10 ปี

นาทีนี้เมื่อพูดถึงวงการอาร์ตทอยคงไม่มีอะไรกระแสแรงไปกว่าแบรนด์อาร์ตทอยกล่องสุ่มจาก POP MART อีกแล้ว นอกจากจะเป็นกล่องสุ่มที่คนลุ้นกันทั่วบ้านทั่วเมือง โดยเฉพาะในประเทศแถบเอเชีย ในบ้านเราก็ยังฮอตฮิตจนทำเอา POP MART สาขาเซ็นทรัลลาดพร้าวทุบสถิติสาขาที่มียอดขายเป็นอันดับ 1 จากกว่า 400 สาขาทั่วโลก 

ย้อนกลับไปปี 2010 ในวันแรกที่ POP MART ก่อตั้งขึ้น ‘หวังหนิง (Wang Ning)’ ชายหนุ่มชาวจีนแห่งมณฑลเหอหนานเริ่มต้นแบรนด์มาด้วยการเป็นเพียงร้านขายสินค้าจิปาถะที่รวมของป๊อปๆ ที่อยู่ในเทรนด์ โดยร้านของเขาตั้งอยู่ในย่านซิลิคอนแวลลีย์ของปักกิ่ง เขาขายตั้งแต่เครื่องเขียน เครื่องสำอาง ไปจนถึงของเล่นกระจุ๊กกระจิ๊ก ตอนทำร้านสาขาแรกนั้นหวังหนิงได้ระดมทุนกับเพื่อสมัยเรียนมหาวิทยาลัย โดยที่ทั้งคู่อายุแค่ 22-23 เท่านั้น

แม้ตอนนี้กิจการของเล่นกล่องสุ่มในชื่อ POP MART จะประสบความสำเร็จเป็นพลุแตก แต่หากย้อนอดีตกลับไปดูวันวานของหวังหนิง กว่าจะเดินทางมาถึงวันนี้เขาต้องฝ่าฟันปัญหามานับไม่ถ้วน ยิ่งเมื่อเขาเริ่มกิจการมาด้วยแพสชั่นและความฝัน และไม่มีประสบการณ์ด้านการทำธุรกิจที่มากนัก ทำให้ต้องเจอกับปัญหามากมายที่ยากจะแก้ไข ไม่ว่าเป็นการที่ร้านขายสินค้าหลากหลายประเภทเกินไปจนเกิดปัญหาสินค้าล้นคลัง ตลอดจนการเจอกับปัญหาเรื่องพนักงานและการรักษาคุณภาพการให้บริการลูกค้า 

จนเมื่อธุรกิจเข้าสู่ปีที่ 4 (2014) ทุกอย่างจึงค่อยๆ ดีขึ้น เมื่อพวกเขาแก้ปัญหาด้วยการการลดประเภทสินค้าในร้านลงให้เหลือเฉพาะหมวดของเล่น และหวังหนิงก็ได้เข้าเรียนต่อในวิทยาลัยบริหารธุรกิจที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง ก่อนจะได้พบกับเพื่อนใหม่ในคลาสเรียน ที่ในเวลาต่อมากลายเป็นทีมบริหาร แต่กลยุทธ์การปรับตัวที่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธุรกิจของหวังหนิงเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ ก็คือการเข้าไปจับตลาดของเล่นแบบกล่องสุ่มหรือกาชาปองของญี่ปุ่น 

ในวันที่แบรนด์ของเล่นแสนเก๋สัญชาติจีนได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ในตลาดของเล่นทั่วโลก โดยเฉพาะเรื่องของกลยุทธ์การขายแบบกล่องสุ่มที่ผสานทั้งความสนุก ตื่นเต้น และความหายากเข้าไว้ด้วยกัน Capital List ครั้งนี้จึงอยากชวนแฟนๆ ของ POP MART กระทั่งคนที่กำลังอยากเข้ามาในวงการของเล่นกล่องสุ่ม ไปอันบอกซ์ดูเบื้องหลังและวิธีคิดที่ทำให้แบรนด์ของเล่นแบรนด์นี้ประสบความสำเร็จและเติบโตจนสร้างมูลค่าหลายหมื่นล้านบาทได้ในเวลาเพียงไม่กี่ปี 

1. คอลแล็บกับศิลปินและบริษัทคาแร็กเตอร์

หลังจากปรับตัวขนานใหญ่ ในปี 2016 POP MART ก็ได้ร่วมมือกับ Kenny Wong ศิลปินเจ้าของคาแร็กเตอร์มอลลี่ (Molly) การจับมือของ POP MART และศิลปินผู้ออกแบบมอลลี่ได้ทำยอดขายให้กับแบรนด์กว่า 22 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2016 และอีกกว่า 73 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2017 ต่อจากนั้นแบรนด์ก็ได้คอลแล็บกับศิลปินเรื่อยมา อย่างที่ไทยก็มีร่วมมือกับ มด–นิสา ศรีคำดี เจ้าของคาแร็กเตอร์ Crybaby ทำอาร์ตทอยคาแร็กเตอร์น้องเด็กน้ำตานองขึ้นมาเพื่อตีตลาดคนไทย ซึ่งก็ขายดิบขายดี ขายได้กว่า 50 ล้านชิ้น และทำรายได้ไม่น้อยให้กับแบรนด์ 

นอกจากการร่วมมือกับศิลปินเจ้าของมอลลี่ POP MART ยังได้ทำงานกับนักออกแบบคาแร็กเตอร์ในภูมิภาคเอเชียอีกหลายคน เช่น Kasing Lung เจ้าของน้อง Labubu, Ayan Deng เจ้าของน้อง Dimoo ฯลฯ ทั้งทางแบรนด์ยังได้คอลแล็บกับบริษัทคาแร็กเตอร์มากมายเพื่อเพิ่มความหลากหลายให้กับอาร์ตทอย และเพิ่มโอกาสด้านการขาย ไม่ว่าจะเป็นการร่วมมือกับแฮร์รี่ พอตเตอร์, สพันจ์บ็อบ, DC ไปจนถึงเหล่าคาแร็กเตอร์จากค่ายดิสนีย์ ซึ่งปัจจุบันแบรนด์มีศิลปินในความร่วมมืออยู่มากกว่า 300 คนทั่วโลก 

2.  ให้อิสระและโอกาสกับศิลปินในการสร้างสรรค์ผลงาน

ที่สำคัญกว่าการร่วมมือกับศิลปินและบริษัทคาแร็กเตอร์ คือการที่ POP MART ให้อิสระในการทำงานกับเหล่าศิลปินนี่แหละ เราเลยจะได้เห็นว่าทุกๆ คอลเลกชั่นของคาแร็กเตอร์ต่างๆ นั้นเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ และตอบสนองรสนิยมที่แตกต่างหลากหลายของเหล่าแฟนแบรนด์และแฟนคาแร็กเตอร์อาร์ตทอย และการให้อิสระกับศิลปินนี่เองที่เป็นอีกส่วนสำคัญที่ทำให้ศิลปินผสมผสานงานศิลป์กับความเป็นสมัยใหม่ให้เข้ากันได้อย่างลงตัว

ปี 2017 ทางแบรนด์ยังได้ตั้ง POP Design Center (PDC) ขึ้นมาเพื่อพัฒนาศิลปินและบริหารจัดการเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อประโยชน์ของศิลปิน นอกจากนั้นก็ได้เปิดเวที Largest Art Toys Show in Asia ตามหานักออกแบบหน้าใหม่ๆ และศิลปินมากฝีมือได้มีโอกาสมาคิดสร้างสรรค์อาร์ตทอยร่วมกันกับแบรนด์ 

3. เน้นการขายแบบกล่องสุ่มปริศนา (mystery box) 

ความสนุกของการซื้อกล่องของเล่นที่มาพร้อมกับความเป็นปริศนา (mystery) คือผู้ซื้อได้สนุกกับการซื้อ ซึ่งกล่องสุ่มของ POP MART ได้เปรียบเหมือนกล่องปริศนา ทุกครั้งก่อน unbox เรามักจะเลือกตัวละครพิเศษที่เราอยากได้ไว้ก่อน และลุ้นไปจนถึงนาทีสุดท้ายที่น้องตัวการ์ตูนน่ารักๆ จะโผล่ออกมาให้ได้ชื่นใจ สร้างทั้งความตื่นเต้น ท้าทาย และกระตุ้นให้คนซื้ออยากซื้อซ้ำเพื่อสะสมคาแร็กเตอร์ให้ครบคอลเลกชั่น ถึงแม้ว่าของเล่นกล่องสุ่มจะมีมานานแล้วในวัฒนธรรมของญี่ปุ่น แต่การนำกลยุทธ์นี้มาใช้ของ POP MART ก็นับเป็นการเอาความเก่ามาทำใหม่ได้โฮ่งมากคุณน้า 

4. กล่องสุ่มของเล่นที่มาพร้อมกับคุณภาพ

อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ทำให้สินค้าของ POP MART มัดใจแฟนๆ อาร์ตทอยได้ก็คือการเป็นของเล่นที่มีคุณภาพ แม้จะเป็นของเล่นที่มีสถานะเป็นกล่องสุ่ม แต่โปรดักต์ทุกชิ้นของแบรนด์ล้วนละเอียด สวยงาม และได้รับการควบคุมคุณภาพ ของเล่นทุกชิ้น สำคัญขนาดที่ทางแบรนด์เปลี่ยนจากจากโรงงาน OEM มาเป็นการมีโรงงานเป็นของตัวเองกันเลย ซึ่งการมีโรงงานนั้น นอกจากจะช่วยให้ควบคุมการผลิตและคุณภาพสินค้าได้ดีขึ้น อีกด้านก็ช่วยให้แบรนด์ได้เปรียบทางการแข่งขันและสามารถควบคุมต้นทุนและผลิตสินค้าออกมาได้ตามความต้องการของตลาดด้วยเช่นกัน

5. ขายของเล่นแต่เน้นทำตลาดกับผู้ใหญ่ 

ด้วยตัวหวังและเพื่อนๆ เชื่อว่าของเล่นไม่ได้มีกลุ่มเป้าหมายเป็นเพียงแค่เด็กๆ แต่คนเจนวายฯ รุ่นเดียวกับพวกเขา กระทั่งตัวพวกเขาเองก็ยังชื่นชอบของเล่น เมื่อคิดและเชื่อแบบนั้น POP MART จึงเริ่มกลยุทธ์ ‘ขายของเล่นแต่เน้นทำตลาดกับผู้ใหญ่’ ซึ่งถ้ามองย้อนกลับไปยังกลยุทธ์ที่เล่าไปข้างต้น ก็จะเห็นว่างคาแร็กเตอร์ที่แบรนด์ไปคอลแล็บด้วย เช่น แฮร์รี่ พอตเตอร์ สพันจ์บ็อบ ฯลฯ ต่างเป็นการ์ตูนที่เติบโตมาพร้อมกับคนเจนวายฯ ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ค่อนข้างมีกำลังซื้อของเล่น ของสะสม หรือสินค้าจิปาถะ 

6. เปิดระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อเพิ่มโอกาสขยายธุรกิจ

ถึงตอนนี้หวังหนิงจะกลายเป็นมหาเศรษฐีดาวรุ่งพุ่งแรง และพากิจการของเล่นกล่องสุ่มเติบโตถึงจุดสูงสุดที่เป็นบริษัทของเล่นที่ใหญ่ที่สุดในจีน ทว่าหวังหนิงยังคงต่อยอดและหาโอกาสขยายธุรกิจให้โตขึ้นมากกว่าเดิม โดยในปี 2020 เสนอขายหุ้น IPO (หุ้นที่มีการซื้อ-ขายเป็นครั้งแรกให้กับประชาชนโดยทั่วไปเพื่อที่จะมาจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ) เป็นครั้งแรก ทำให้ในตอนนั้นรายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นกว่าสามเท่า หรือกว่า 256.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และในปีเดียวกันก็ได้เข้าซื้อลิขสิทธิ์กับ Walt Disney และ Universal Studios ซึ่งเป็นยุทธวิธีที่ช่วยให้แบรนด์มีโอกาสขยายตัวธุรกิจอย่างมาก 

7. ออกคอลเลกชั่นใหม่ไม่ซ้ำ ไม่ให้แฟนแบรนด์เบื่อ 

การตลาดไม้ตายที่ทำเมื่อไหร่ก็เรียกเสียงฮือฮาและสร้างยอดขายแก่แบรนด์ได้ก็คือ การออกคอลฯ ใหม่ไม่ซ้ำ เพราะเป็นวิธีที่เชื้อเชิญให้เหล่าแฟนๆ อยากจ่ายเพื่อซื้อความน่ารักของคาแร็กเตอร์ในดวงใจ หรือแม้แต่คนที่ไม่ใช่แฟนๆ คาแร็กเตอร์ก็ยังอาจจะอยากได้ ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น Crybaby ที่ล่าสุดก็ได้ออกคอลเลกชั่น CRYBABY × Powerpuff Girls มาให้เหล่าแฟนๆ น้องคาแร็กเตอร์เจ้าน้ำตา จนถึงแฟนๆ Powerpuff Girls ได้อันบอกซ์ หรือกระทั่งช่วงที่ผ่านมา น้อง Crybaby ก็มีคอลเลกชั่นอื่นๆ ออกมาใหม่ต่อเนื่อง Monster Tears, Lonely Christmas, The Treasure Keeper, Crying Parade ฯลฯ 

8. เปิดช่องทางการขายที่หลากหลาย 

ก่อนหน้านี้เหล่านักสะสม Art Toys จะซื้อสินค้าได้ก็คือต้องซื้อผ่านในออนไลน์ ตามแอพฯ อีคอมเมิร์ซเท่านั้น แต่ตอนนี้แบรนด์ได้ตีตลาดกว้างขึ้นด้วยการมีหน้าร้าน (physical store) มีตู้ขายอัตโนมัติ (Robo shop) ตามจุดต่างๆ และมีสาขางอกเงยขึ้น ครอบคลุมกว่า 30 ประเทศ กว่า 450 สาขาทั่วโลก เพื่อให้สินค้าเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น 

ความสำเร็จของแบรนด์ของเล่นสัญชาติจีนแบรนด์นี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ การจะขยายรสนิยมแบบเอเชียไปสู่ระดับโลกได้คือเบื้องหลังที่วางกลยุทธ์ทางการตลาดมาแล้วว่าจะดำเนินธุรกิจไปในทิศทางไหน แต่เหนืออื่นใดก็น่าสนใจไม่น้อยว่าธุรกิจที่ว่าด้วยของเล่นนี้จะงอกเงยขึ้นไปอีกยังไง ซึ่งคงต้องรอติดตามกันต่อไป

ภาพ : POP MART

อ้างอิง 

“หยุดพัฒนาคือความเสี่ยงที่สุด” เส้นทางการไลฟ์จาก 0 ถึง 22 ล้านบาทของ ‘ตี๋โอ’ อาตี๋ รีวิว

‘คนไทยคนแรก ที่ไลฟ์ขายของออนไลน์หนึ่งครั้ง แล้วทำยอดขายแตะ 8 หลัก’

เอาแค่กิตติศัพท์ข้างต้นก็เชื่อว่าน่าจะทำให้ ตี๋โอ–วุฒิพงษ์ ลิขิตชีวัน แห่งช่องอาตี๋ รีวิวได้รับฉายาว่าเป็น ‘ราชานักไลฟ์เมืองไทย’ ได้แล้ว เพราะหลังจากที่วันที่ 9 เดือน 9 ที่เขาไลฟ์ขายของในแพลตฟอร์ม TikTok ติดกัน 17 ชั่วโมง ยอดขายทั้งหมดของการไลฟ์ครั้งนั้นจบที่ 22 ล้านบาท เกิดเป็นตำนานบทใหม่ในโลกออนไลน์ และยังสร้างแรงบันดาลใจให้อีกหลายคนหยิบโทรศัพท์มาไลฟ์สร้างรายได้ให้กับตัวเองบ้าง

แต่รู้ไหมว่าหลังจากนั้นเมื่อกระแสซาไป ตี๋โอยังทดสอบกับตัวเองด้วยว่าการไลฟ์ในวันที่ 9.9 ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ โดยการทำยอดขายแตะตัวเลข 8 หลักอีกครั้งและอีกครั้ง จนพิสูจน์ได้ว่านี่คือวิธีการที่ได้ผล นำมาสู่การเป็นผู้เชี่ยวชาญในปัจจุบัน ที่เขาพยายามบอกเล่าและแนะนำเคล็ดลับการไลฟ์แก่ผู้คนที่สนใจอย่างสม่ำเสมอ

แต่ท่ามกลางความสำเร็จที่เกิดขึ้นนี้เอง ที่ทำให้เราเกิดข้อสงสัย ว่าอะไรที่ทำให้ผู้ชายคนหนึ่งจากจังหวัดเชียงใหม่ ก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งในโลกออนไลน์ได้, แนวคิดไหนที่ทำให้ตี๋โอพายอดขายช่องอาตี๋ รีวิวไปแตะ 8 หลัก และท่ามกลางโลกออนไลน์ที่หมุนผ่านไปอย่างเร็วรี่ อะไรคือความเสี่ยงที่สุดในมุมของราชานักไลฟ์เมืองไทย

เรานั่งลงคุยกันข้างสตูดิโอที่สร้างประวัติศาสตร์ 22 ล้านบาท เพียงแต่ครั้งนี้อาจแตกต่างกับตอนไลฟ์สักหน่อย เพราะตี๋โอไม่ได้พูดด้วยเสียงอันดังเพื่อเชิญชวนคนอีกแล้ว แต่เขากำลังถ่ายทอดเรื่องราวของตัวเองอย่างสุขุมผสมเสียงหัวเราะ ด้วยน้ำเสียงที่อาจเบากว่าเดิม แต่กลับหนักแน่นไปด้วยการพิสูจน์ตัวเองตลอดเส้นทาง

กล้องพร้อม ไฟพร้อม Live

ชีวิตที่ผ่านมาของตี๋โอผ่านตัวอักษรจะเริ่มใน 3 … 2 … 1 …

ก่อนเป็นตี๋โอยอดนักไลฟ์ เด็กชายตี๋โอเป็นเด็กยังไง ชอบเล่นขายของหรือเปล่า

(หัวเราะ) ผมเป็นลูกชายที่เกิดในครอบครัวที่ประกอบอาชีพค้าขายอยู่แล้ว แม่ทำธุรกิจร้านขายจักรยาน ส่วนพ่อทำธุรกิจผลิตเครื่องอบลำไยที่ต้องไปค้าขายกับเกษตรกร ดังนั้นถามว่าชอบเล่นขายของไหม อาจไม่ใช่แบบนั้น แต่ใช้คำว่าผม ‘คุ้นชิน’ กับการขายก็แล้วกัน คือไม่ได้รู้สึกกลัวหรือมองการค้าขายเป็นเรื่องแปลก เพราะได้ช่วยแม่ขายจักรยานหน้าร้านหรือตามคุณพ่อไปขายเครื่องจักรในสวนอยู่บ้างเหมือนกัน

ตอนนั้นสนุกกับการค้าขายไหม

ไม่เลย (ตอบทันที) เพราะด้วยความเป็นเด็ก เราอยากเล่นเกมอยู่บ้านมากกว่า ดังนั้นถามว่าชอบไหม คงตอบว่าไม่ แต่อย่างน้อยสิ่งที่ประสบการณ์ตรงนั้นให้คือความคุ้นตาว่าการค้าขายทำยังไง

หรืออย่างตอนเลือกคณะเรียนต่อมหาวิทยาลัย ผมเลือกสอบเข้าคณะเศรษฐศาสตร์ ก็ไม่ใช่เพราะว่าเริ่มชอบการค้าขาย แต่มาจากความคิดแค่ว่า ยังไงวันหนึ่งเราก็ต้องมาช่วยธุรกิจของพ่อแม่ ดังนั้นผมแค่เลือกคณะที่ดูเกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจสักหน่อยก็พอ ตอนเรียนผมเลยสบายๆ คือรักษามาตรฐานไว้ให้ได้ ไม่ต้องได้เกรด 4.00 แต่ต้องไม่ตก เพราะจบมาผมไม่ต้องไปต่อสู้แย่งงานกับใครอยู่ดี 

สุดท้ายผมจบจากคณะเศรษฐศาสตร์มาด้วยเกรดเฉลี่ย 2.00 พอดีเป๊ะครับ (หัวเราะ) ซึ่งก็มาช่วยแม่ทำธุรกิจร้านจักรยานที่บ้านต่อเลย

โลกแห่งการทำงานจริงเป็นยังไงบ้าง

ถ้ามาย้อนคิดจากตอนนี้ ผมว่าโลกแห่งการทำงานของผมตอนนั้นยังไม่ใช่โลกจริงเท่าไหร่ เพราะการทำงานกับธุรกิจของแม่ถือว่าค่อนข้างสบาย แต่ถ้าถามว่าแล้วโลกจริงของผมเกิดขึ้นตอนไหน คงเป็นตอนที่ได้เริ่มมาช่วยงานคุณพ่อมากกว่า

ผมคิดว่าสิ่งที่ตัวเองเจอในตอนนั้นคือเหนือกว่าโลกจริงไปอีกครับ เพราะด้วยความที่พ่อผมเป็นคนจีนที่ตั้งใจและจริงจังกับงานมากๆ สิ่งที่ได้เจอเลยทำให้ผมตึงอยู่บ้าง ยิ่งต่างเจเนอเรชั่นกันด้วย สิ่งที่เราเสนอเลยไม่ได้รับการตอบรับหรือยอมรับเท่าที่ใจคิด ดังนั้นในขณะที่ผมได้เรียนรู้ศาสตร์ธุรกิจครอบครัวในทุกวัน ไฟแห่งความอยากออกมาทำอะไรเป็นของตัวเองก็ค่อยๆ มากขึ้นในทุกวันเช่นกัน

(นิ่งคิด) ซึ่งจนถึงจุดนั้น ผมก็ยังคิดว่าตัวเองไม่ได้ชอบการค้าขายนะ ผมขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยความรู้สึกอยากพิสูจน์ตัวเองมากกว่า

ความรู้สึกตรงนั้นออกมาเป็นรูปธรรมยังไง

ผมไปหาสินค้ามาขายเองครับ

ผมใช้ระยะเวลาหลังเลิกงานจากบริษัทคุณพ่อ เอาเคสมือถือที่สั่งจากออนไลน์มาขายที่ตลาดนัดโลตัสคำเที่ยง กิจวัตรในแต่ละวันหลังเลิกจากงานประจำเลยจะเป็นการยกโต๊ะและขนของจากชั้น 4 มาใส่รถ เพื่อรีบขับไปจองล็อกขายเพราะผมไม่ได้มีล็อกประจำ โดยวันไหนได้ล็อกใกล้ประตูทางเข้าก็โชคดีหน่อยเพราะคนเห็นมาก แต่วันไหนได้ที่ไกลก็โชคร้ายหน่อย ขายไม่ได้เลย

ขายไม่ได้

ใช่ครับ เรื่องปกติมาก (ตอบทันที) ถึงจะแบกของเหนื่อยขนาดไหน ขายไม่ได้ก็คือขายไม่ได้ ถึงจะเรียกลูกค้าเสียงดังยังไง ขายไม่ได้ก็คือขายไม่ได้ นี่คือเรื่องปกติ 

ตอนนั้นรู้สึกยังไง เสียใจไหมที่ขายไม่ได้

ผมรู้สึกท้าทายมากกว่า อาจเพราะนิสัยของผมด้วย ที่ชอบทำอะไรใหม่ๆ และทดสอบศักยภาพตัวเอง ผมเลยมองประสบการณ์ครั้งนี้เป็นเรื่องตื่นเต้น ไม่ได้มองเป็นความเหนื่อยยาก คิดแค่ว่า เออ! มา! เดี๋ยวจะลองดู ใช้ตรงนี้เป็นแรงขับภายในในการพิสูจน์อะไรบางอย่างให้พ่อเห็น ดังนั้นถึงจะมีวันที่ขายไม่ได้ หรือวันที่เรียกลูกค้าแล้วเขามองกลับมาด้วยสายตาไม่เป็นมิตร ผมคิดว่าก็ไม่เป็นไรหรอก ทั้งหมดคือการเรียนรู้ทั้งนั้น

แต่ต้องเน้นไว้ว่างานนี้คืองานเสริมสำหรับผมนะ ผมมีงานประจำที่ทำอยู่กับบริษัทของพ่ออยู่แล้ว ดังนั้นผมจึงสามารถเอนจอยและเก็บเกี่ยวกับประสบการณ์ได้อย่างเต็มที่ด้วย

บทเรียนสำคัญที่ได้จากช่วงนั้นคืออะไร

ไม่รู้ว่าเรียกเป็นบทเรียนได้ไหม แต่เอาเป็นสิ่งสำคัญที่ผมได้จากประสบการณ์ครั้งนี้ก็แล้วกัน ที่เชื่อมโยงกับปัจจุบันที่ไลฟ์ขายของอยู่

มีหลายคนมากที่มักมาถามผม ว่าเวลาเริ่มไลฟ์แล้วไม่มีคนดู เริ่มไลฟ์แล้วยังขายไม่ได้ หรือไลฟ์แล้วต้องตะโกนเสียงดัง ผมไม่เหนื่อยใจบ้างเหรอ ซึ่งผมจะย้อนคิดไปถึงช่วงที่ขายของที่ตลาดนัดเสมอเลย ว่านี่คือเรื่องที่โคตรจะปกติ 

เพราะถ้าถามว่าตอนที่ขายของตลาดนัด ผมมีวันขายไม่ได้ไหม แน่นอน มีวันที่คนไม่สนใจไหม ทุกวัน แล้วในทุกครั้งต้องตะโกนขายไหม ใช่ ดังนั้นในตอนนี้ที่ผมเปลี่ยนมาขายผ่านแพลตฟอร์ม ไม่ต้องแบกของแล้ว ขายในห้องแอร์ด้วยซ้ำ มันสบายกว่ากันเยอะ แล้วทำไมผมต้องหยุดด้วยล่ะ ผมคิดแบบนี้นะ ซึ่งในปัจจุบันผมก็ยังคิดแบบนี้อยู่

ทำได้นานไหม แล้วทำไมถึงเลิกทำ

ผมขายอยู่ประมาณ 2-3 เดือนครับ แล้วก็มีเหตุการณ์ที่ผู้ชายคนหนึ่งมาทักว่าเคสมือถือที่ผมขายอยู่ถูกลิขสิทธิ์หรือเปล่า ผมตอบไปว่าไม่ทราบเหมือนกัน เพราะก็สั่งมาจากออนไลน์อีกที ถึงวันนั้นจะไม่เกิดอะไรขึ้น แต่มันก็เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ผมมาฉุกคิด ว่าที่เขาพูดอาจเป็นจริง เลยไม่ได้ไปขายที่ตลาดนัดอีก และเริ่มมองหาโอกาสใหม่ๆ ที่จะพิสูจน์ตัวเอง จนคิดขึ้นมาได้ว่า ไม่เป็นไร ถ้าออฟไลน์ไม่ได้ งั้นเดี๋ยวไปออนไลน์ก็แล้วกัน

ก้าวแรกในโลกออนไลน์เป็นยังไงบ้าง

ผมทำเฟซบุ๊กแฟนเพจก่อนครับ ในยุคที่เพจยังไม่ถูกกดยอดเท่านี้ (หัวเราะ) ตอนนั้นมีแรงบันดาลใจจากเพจ ‘คนอะไรเป็นแฟนหมี’ คือเป็นคอนเทนต์คู่รักที่สามารถสร้างเป็นคอมมิวนิตี้ได้ ผมเอามาประยุกต์เป็นลายเส้นและเรื่องราวของตัวเอง โดยหวังว่าในอนาคตอาจมีคนมาจ้างให้ตัวละครของเราถือสินค้า มองเป็นอีกหนึ่งมิติในการสร้างรายได้ที่น่าลองดู เลยเปิดเพจชื่อ ‘ฮันนี่ที่รัก’ ขึ้นมา

พอมีทักษะการวาดรูปอยู่แล้ว

เปล่า ไม่มีเลย (ตอบทันที) มีแค่ระดับเด็กวาดรูปหลังห้อง แต่การวาดแบบดิจิทัลอาร์ตคือทำไม่เป็น ผมเลยต้องอาศัยช่วงพักกลางวันระหว่างทำงานประจำ ขับรถไปเรียนกับเพื่อนที่เป็น Digital Artist ที่อยู่ใกล้ๆ ออฟฟิศ เรียนหนึ่งชั่วโมงแล้วก็กลับมาทำงานต่อ วนไปเป็นกิจวัตร จนวันหนึ่งที่เริ่มพอทำได้ เลยเริ่มจริงจังกับการทำเพจอย่างที่ตั้งใจไว้

จริงจังที่ว่านี้ คือจริงจังขนาดไหน

(นิ่งคิดนาน) พอมาย้อนคิดดูจากตอนนี้ ผมว่าหลักคิดเรื่องความจริงจังในการทำงาน ที่ผมได้จากช่วงเริ่มต้นทำเพจคือสิ่งสำคัญมากเลยนะ เพราะด้วยสถานการณ์ในตอนนั้น เพจผมไม่ใช่เรื่องใหม่ มีเพจเฟซบุ๊กที่ประสบความสำเร็จอยู่ก่อนแล้วหลายเพจ ดังนั้นผมจึงคิดกับตัวเองได้ว่า ในเมื่อเราเริ่มต้นช้ากว่าเขา เก่งไม่เท่าเขา ก็ต้องขยันกว่าเขา

ก่อนหน้านี้ผมอาจทำข้อนี้ไม่ได้ เพราะรู้สึกว่าชีวิตตัวเองสบายๆ แต่พอถึงจุดที่ต้องสู้ในเส้นทางของตัวเอง ผมรู้สึกว่าต้องขยันแล้ว เพราะถ้าไม่ทำผมคงไม่สามารถพิสูจน์อะไรกับใครได้ เพจผมเลยลงภาพทุกวัน พยายามรักษาวินัยให้ได้สม่ำเสมอ คิดแค่ว่าขอลองดูสักตั้ง มันจะยากสักแค่ไหนกัน โดยให้เวลากับตัวเองไว้ 6 เดือน ทำแบบใส่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ถ้าไม่สำเร็จก็จะไม่เสียดายแล้ว

แต่สุดท้ายพอระยะเวลาผ่านไปหนึ่งปีครึ่ง ยอดผู้ติดตามของเพจก็แตะถึงหนึ่งล้านคน รวมถึงสินค้าก็เข้ามาสนับสนุนเพจ จนผมเริ่มมีรายได้อย่างที่ตั้งใจไว้จริงๆ 

แต่อย่างที่เราเห็นกันว่าในปัจจุบันคุณไม่ได้ถูกรู้จักในฐานะเจ้าของเพจ มีอะไรเกิดอะไรขึ้นระหว่างทางหรือเปล่า

เกิดเหตุการณ์ที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญครับ คือเพจผมโดนแฮ็ก

พอเรื่องเกิดขึ้น มันทำให้ผมฉุกคิดนะ ว่าเอาเข้าจริงทุกอย่างที่เป็นของเรา มันผูกติดอยู่กับแค่โปรดักต์ชิ้นเดียว ทำให้เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อยู่ดีๆ โปรดักต์ของเราหายวับไปราวกับถูกดีดนิ้วธานอส จากที่เมื่อวานผมคือเจ้าของเพจที่มีผู้ติดตามกว่าล้านคน กลายเป็นว่าพอมาวันนี้ทุกอย่างเหลือเพียงฝุ่น แผนงานที่ให้ไว้กับลูกค้าหายวับ แผนการในการพาคุณพ่อคุณแม่เที่ยวต่างประเทศก็หายวับ ดังนั้นผมปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้ ผมมีโปรดักต์เดียวไม่ได้ และถึงแม้สุดท้ายผมจะได้เพจคืนกลับมา ก็มาเจอเรื่องที่แพลตฟอร์มเฟซบุ๊กลดการเข้าถึงเพจอีก ผมจึงตกตะกอนได้ว่าเราต้องเริ่มมองหาทางเลือกเพิ่มเติมแล้ว และต้องไปอยู่ในหลายแพลตฟอร์มมากกว่านี้ด้วย ผมจึงตัดสินใจกระโดดเข้าไปทำยูทูบ 

ดูเป็นคนละศาสตร์อยู่เหมือนกัน

(พยักหน้า) ผมใช้เวลาอีกกว่าหนึ่งปีในการเรียนรู้ครับ ว่าช่องยูทูบเขาทำกันยังไง ซึ่งถ้าถามในตอนนี้ผมว่าช้าไป ผมมองนานไปนิดนึง ควรมองไปด้วยและลงมือทำไปด้วยมากกว่า 

แต่เอาเป็นว่าหลังจากเรียนรู้จนรู้สึกพร้อม ผมก็เริ่มเปิดช่องของตัวเองขึ้นมา โดยเป็นช่องที่เน้นคอนเทนต์คู่รัก ต่อยอดจากเพจที่ยังคงทำอยู่ เป็นการพาตัวเองออกหน้ากล้องบ้าง ให้คนรู้จักเรามากขึ้น แต่ทำไปได้แป๊บเดียวภรรยาผมก็ตั้งครรภ์ ทำให้จากที่เขาจะช่วยตัดต่อหรืออยู่หน้ากล้องบ้าง เพื่อสุขภาพครรภ์ของภรรยาเราเลยต้องเปลี่ยนแนวทาง 

จุดนี้เองที่ทำให้ผมได้มานั่งคิด ว่าจากสิ่งที่ทำมาทั้งหมด มีอย่างหนึ่งที่สะสมอยู่ในตัวผมท่ามกลางสิ่งที่ทำมาตลอด นั่นคือประสบการณ์ที่ได้จากการศึกษาอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ อุปกรณ์วาดรูป หรืออุปกรณ์ในการถ่ายทำ ตัดต่อวิดีโอ ผมพอมีความรู้มากกว่าคนทั่วไปอยู่บ้าง เลยตัดสินใจเปิดช่องที่เน้นการให้ความรู้ในเรื่องเหล่านี้ โดยคลิปแรกคือ ‘วิธีการเลือกฟิล์มไอแพดสำหรับการวาดภาพ’ 

และผมตั้งชื่อช่องว่า ‘อาตี๋ รีวิว’

ช่วงแรกเริ่มของอาตี๋ รีวิวเป็นยังไงบ้าง

ตอนนั้นผมไม่ใช่เจ้าแรกที่ทำรีวิวด้านอุปกรณ์ครับ มีหลายเจ้าที่เขาอยู่มาก่อนแล้ว อย่างบางเจ้าสั่งสมประสบการณ์ในวงการนี้มาเป็นสิบปีก็มี พร้อมด้วยยอดซับฯ ระดับ 5 แสน, 1แสน หรือหลายหมื่น ดังนั้นในเมื่อเพิ่งเข้ามา ผมเลยยังคงใช้คอนเซปต์เดิม ในเมื่อเราเริ่มต้นช้ากว่าเขา เก่งไม่เท่าเขา ก็ต้องขยันกว่าเขา

เหมือนกับตอนทำเพจครับ คือผมพยายามทำคลิปลงให้ได้ทุกวัน ค่อนข้างโหดอยู่แต่ก็ต้องบริหารจัดการเวลาให้ได้ ยิ่งภรรยาเริ่มท้องแก่ด้วย ผมยิ่งต้องวางแผนให้ดี เช่นเริ่มจ้างคนตัดต่อมาช่วยบ้าง เพื่อให้ทุกอย่างดำเนินไปได้อย่างที่ใจต้องการ ทำให้พอผ่านไปได้สักระยะเวลาหนึ่งทุกอย่างก็เริ่มลงตัวมากขึ้น

จากขายเคสโทรศัพท์ ทำเพจในเฟซบุ๊ก มาสู่ทำช่องในยูทูบ เคยเหนื่อยกับการเปลี่ยนแพลตฟอร์มในการหารายได้บ้างไหม 

ผมไม่เคยคิดว่านี่คือความเหนื่อยหรือความลำบากนะ ไม่เคยคิดว่าทำไมฉันต้องเปลี่ยนอีกแล้ว กลับกันเสียอีก ผมคิดว่าตัวเอง ‘ต้อง’ เปลี่ยนด้วยซ้ำ เพราะถ้าไม่เปลี่ยน แหล่งรายได้ของเราอาจหายวับไปราวกับดีดนิ้ววันไหนก็ไม่รู้ ดังนั้นเราต้องมีแหล่งรายได้หลายทาง ต้องลงมือทำให้มากขึ้น มันเลยกลายเป็นความตื่นเต้นมากกว่า ว่านี่คือพื้นที่ใหม่ๆ ให้เราได้ลองท้าทายเพื่อพิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง

ไม่เหนื่อยที่จะเปลี่ยน

ด้วยความเป็นตัวผมด้วยมั้ง ผมคงเป็นแนวนักผจญภัย ที่พอเจอเหตุการณ์แบบนี้กลับรู้สึกว่าตัวเองมีไฟ ไม่ได้เหนื่อยใจอะไร อีกทั้งถ้าว่ากันถึงประเด็นเรื่องความเสี่ยงในโลกธุรกิจ ผมว่าความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดไม่ใช่เรื่องอย่าง ‘โลกเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว’ หรือ ‘การปรับตัวตามเทคโนโลยี’ หรอก มันไม่ใช่เรื่องแบบนั้นเลย แต่เป็นการหยุดอยู่เฉยๆ นี่แหละ คือความเสี่ยงที่สุดแล้วในมุมของผม

ผลลัพธ์ของการไม่หยุดอยู่เฉยและลงคลิปทุกวันเป็นยังไงบ้าง

ภายใน 10 เดือน ช่องอาตี๋ รีวิวมีผู้ติดตามทะลุหลักแสนคนครับ โดยในเวลานั้นถือเป็นช่องที่เติบโตเร็วเป็นอันดับ 64 ของโลก สปอนเซอร์เริ่มเข้ามาแล้วด้วย เรียกได้ว่าทุกอย่างกำลังเป็นไปในทิศทางที่ดี

แต่สุดท้ายก็มาเจอจุดเปลี่ยนอีกครั้ง นั่นคือการมาถึงของโควิด-19

จากที่ลูกค้าวางแผนจะสปอนเซอร์เรา วิกฤตโควิด-19 ทำให้แผนการประชาสัมพันธ์ของทุกบริษัทเปลี่ยนแปลงทั้งหมด หลายบริษัทเลือกกันงบส่วนนี้ไว้ก่อน ซึ่งสิ่งนี้กระทบช่องอาตี๋ รีวิวแบบเต็มๆ รายได้เหลือเพียงแค่ทางเดียวคือจากยอดวิว เพียงพอแค่ค่าจ้างทีมงาน แต่ไม่พอต่อค่ากินอยู่ของครอบครัวผม อีกทั้งยังมีข่าวร้ายซ้ำลงไปอีก คือธุรกิจของคุณพ่อที่ถือเป็นงานประจำของผมได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เช่นกัน นำมาสู่การปรับโครงสร้างองค์กรที่ทำให้ผมต้องออกจากบริษัทด้วย

ผมจำได้ดีว่าตอนนั้นลูกผมเพิ่งอายุ 6 เดือนเอง ซึ่งหลังจากเจอเรื่องทั้งหมดผมก็ได้แต่มองดูเขานะ แล้วก็พลันคิดว่าไม่ได้การแล้ว ผมจมอยู่กับวิกฤตไม่ได้ ดังนั้นถึงจะไม่มีงาน แต่ผมมีเวลาเยอะมาก ผมต้องใช้เวลาในการหารายได้ให้ได้มากกว่านี้ รีบมองหาโอกาสหรือช่องทางใหม่ๆ ให้กับแบรนด์มากกว่านี้

และตอนนั้นแหละ ที่ผมนึกถึง TikTok ขึ้นมา

ในแต่ละวันช่วงนั้นผมจึงใช้เวลาประมาณ 4-5 ชั่วโมงในการไถดู TikTok อย่างเดียวเลย แต่เป็นการดูแบบวิเคราะห์ไปด้วยว่าคนใน TikTok เขาทำอะไรกัน เป็นคนยังไง และผมเลือกหยุดดูแต่ละคลิปด้วยปัจจัยอะไร คือใช้เวลากับแพลตฟอร์มเยอะมาก แต่ก็ไม่ได้กินเวลาหลายวันเท่ากับตอนยูทูบ เพราะได้เรียนรู้มาแล้วว่าเราศึกษาไปพร้อมกับลงมือทำได้ ในเวลาไม่นานผมเลยตัดสินใจกระโดดเข้าสู่แพลตฟอร์ม TikTok อย่างเต็มตัว และลงมือทำอย่างจริงจัง

ใช้ความขยันเข้าสู้อีกครั้ง

(หัวเราะ) แน่นอน เพราะในวันที่เริ่มต้น สภาพแวดล้อมยังคงเป็นแบบทุกครั้งที่ผ่านมา คือผมไม่ได้เข้าสู่แพลตฟอร์มนี้เป็นคนแรก มีคนที่เข้ามาก่อนแล้ว ชำนาญมากกว่าแล้ว ดังนั้นในเมื่อเราเริ่มต้นช้ากว่าเขา เก่งไม่เท่าเขา ก็ต้องขยันกว่าเขา

ผมจึงลงคลิปทุกวันเหมือนเดิม พยายามทำทุกวันให้เกิดเป็นวินัยเหมือนเดิม รวมถึงการกลับมาดูคลิปของตัวเองทุกวันด้วย ว่ามีอะไรที่น่าปรับ หรือมีอะไรที่น่ารักษาไว้ แต่อาจเป็นความขยันที่ต่างจากเดิมอยู่บ้างเพราะช่วงนั้นลูกติดผมมาก ร้องตอนกลางคืนประจำ นอนยากมาก เลยเปลี่ยนเวลาถ่ายคลิปเป็นหลังตี 2 แทนเพราะเขาหลับแล้ว ถ่ายเสร็จก็ตัดและอัพโหลดเลย

กลับมาคิดตอนนี้ก็ดูเป็นการเพิ่มขีดจำกัดของตัวเองอยู่เหมือนกันนะ (ยิ้ม) 

จนถึงตอนนี้ คุณยังไม่ได้พูดคำว่า ‘ท้อ’ ออกมาเลยสักครั้ง ถามจริงคุณท้อบ้างไหม เพราะดูแต่ละอย่างที่ทำมาก็มีอุปสรรคอยู่ตลอด สวนทางกับความรับผิดชอบที่มากขึ้นตามวัย

ท้อสิ (ตอบทันที) ท้ออยู่แล้ว อย่าง TikTok นี่เวลาลงคลิปแล้วไม่มีคนดูผมก็ท้อมาก คิดกับตัวเองว่าทำไมวะ ตั้งใจทำมากเลยนะ ทำไมถึงไม่มียอดวิว บวกกับทำไปก็ยังไม่มีรายได้เข้ามาเลย ท่ามกลางเงินเก็บที่ค่อยๆ ลดลงไปทุกที อะไรแบบนี้ทำให้ผมท้อจนเป็นเรื่องปกติเลยแหละ 

แต่

พอผ่านปัญหาชีวิตมาเยอะๆ ผมตกตะกอนได้อย่างหนึ่งครับ ว่าคุณ, ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง คุณท้อได้นะ แต่ถ้าคุณจมอยู่กับการท้อเมื่อไหร่มันจะเสียเวลามากๆ 

ในมุมมองของผม ผมว่าเป็นเรื่องสำคัญมากที่เราต้องรีบลุกขึ้นยืน เพราะยิ่งเรายืนได้เร็วมากเท่าไหร่เรายิ่งแก้ปัญหาได้เร็วมากเท่านั้น ดังนั้นในวันที่จิตใจท้อแท้ผมจะท้อให้เต็มที่เลย อยากร้องไห้เหรอก็ร้องออกมาเลย ผมเป็นมนุษย์ที่มีหัวใจและความรู้สึกเหมือนกัน แต่พอเวลาผ่านไปสักหนึ่งวันผมจะไม่ปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับการท้อแล้ว เพราะผมอยากแก้ปัญหาให้ผ่านไปไวๆ มากกว่า

‘ท้อ’ กับ ‘จมอยู่กับการท้อ’ เป็นคนละเรื่องกัน

ในมุมผมนะ ใช่ คือปัญหาทำให้เราเป๋จนท้อได้จริง แต่ผมจะมีกลไกในตัวเอง ว่าเมื่อไหร่ที่ผมเริ่มมีความคิดกับตัวเองว่า ‘ทำไมเรื่องนี้ถึงเกิดขึ้นกับกูวะ’ ผมจะรีบฉุดตัวเองขึ้นมาทันที เพราะถ้าปล่อยไว้ความคิดนี้จะเกิดขึ้นวนเวียนจนกลายเป็นการจมในที่สุด ทั้งที่หลายปัญหาที่เกิดขึ้นคือเรื่องปกติ เกิดขึ้นได้กับทุกชีวิต และสุดท้ายทุกปัญหาจะเหมือนกัน คือเดี๋ยวมันก็จะผ่านไป ดังนั้นผมรีบลุกขึ้นมาดีกว่า ปัญหาจะได้ผ่านไปไวๆ

แต่ถามว่าทุกวันนี้ผมชิลล์ได้กับทุกปัญหาไหม ก็ไม่ขนาดนั้นนะครับ ผมเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ยังพยายามเรียนรู้และจัดการให้ได้เก่งมากขึ้นอยู่ทุกวัน


เริ่มต้นเข้าสู่การไลฟ์ขายของได้ยังไง

ตอนนั้นผมน่าจะทำ TikTok มาได้ปีกว่าแล้ว ผู้ติดตามก็มีประมาณล้านคนแล้ว สถานการณ์โควิด-19 ก็เริ่มซาลงจนมีรายได้เข้ามาบ้าง แต่จะเห็นได้ว่าตลอดทางที่ทำมาผมหารายได้ผ่านช่องทางสปอนเซอร์มาโดยตลอด ทำให้พอมาถึงจุดหนึ่งผมก็เริ่มเกริ่นๆ เชิงบ่นกับน้องๆ ในทีมว่า “พวกเราเหมือนใช้ชีวิตอยู่บนเส้นด้ายของอินบอกซ์จากเอเจนซีเลยเนอะ” เพราะถ้าสัปดาห์ไหนไม่มีอีเมลจากลูกค้าทักมา ทีมผมจะเริ่มคุยกันว่า “ฉิบหายแล้ว” ทำยังไงดีเนี่ย เหงื่อเริ่มออกแล้วนะ เนื่องจากเรามีรายจ่ายประจำที่ต้องจ่ายทุกเดือนอยู่ 

แต่จากความรู้สึกนั้น ที่ทำให้พอถึงวันที่ TikTok Shop และ TikTok Live เปิดตัว เราเลยคุยกันในทีมว่ามันน่าจะมีศักยภาพพอที่จะแก้ข้อจำกัดตรงนี้ได้นะ เพราะเราไม่จำเป็นต้องรอเอเจนซีอีกแล้ว แต่เราสามารถเป็นตัวกลางระหว่างสินค้าและผู้ซื้อได้เลย ดังนั้นในเมื่อนี่เป็นอีกหนึ่งโอกาสในการสร้างรายได้ ทำไมเราจะไม่ลองทำกันดูล่ะ 

คุณเคยให้สัมภาษณ์ว่าช่วงไลฟ์แรกๆ คือไม่มีคนดูเลย

ใช่ครับ เรื่องปกติมาก ขายของไม่ได้ แต่ก็อย่างที่บอกว่าแบบนี้ผมเคยเจอมาแล้วตอนไปขายเคสมือถือที่โลตัส ดังนั้นผมเลยไม่ได้รู้สึกท้อหรือผิดหวัง ช่วงแรกขายได้ 0 บาทคือสบายๆ เพราะสิ่งที่เราได้คือทักษะที่จะนำมาต่อยอดพัฒนาสู่การไลฟ์ในครั้งต่อๆ ไป เป็นอีกหนึ่งศาสตร์ใหม่ๆ ให้เราได้ลองท้าทายและพิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง


จากคนดู 0 คน ค่อยๆ เพิ่มขึ้นได้ยังไง

สูตรเดิมครับ ชีวิตผมไม่มีอะไรที่จะหลุดจากประโยคนี้เลย ‘ในเมื่อเราเริ่มต้นช้ากว่าเขา เก่งไม่เท่าเขา ก็ต้องขยันกว่าเขา’

ผมอาศัยทำบ่อยๆ และเรียนรู้ไประหว่างทางเหมือนเดิม เช่น การวิเคราะห์ว่าประโยคไหนของเราที่ตรึงคนดูไว้ได้ หรือประโยคไหนที่พูดแล้วคนดูมักกดออก วิเคราะห์แบบนี้หลังลงไลฟ์ในทุกวัน ยอดขายจาก 0 บาท เลยเกิดเป็นยอดแรก นั่นคือการขายกระปุกออมสินในช่องของภรรยา ก่อนค่อยๆ พัฒนามาใช้กับช่องอาตี๋ รีวิว ยอดขายเลยเขยิบมากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับการวางเป้าหมายใหม่ให้สูงขึ้นเรื่อยๆ จนไปแตะหลักแสนและหลักล้านต้นๆ ในเวลาไม่นาน นำมาสู่การตั้งเป้าหมายในวันที่ 9 เดือน 9 ว่าอาตี๋ รีวิวจะเป็นคนไทยคนแรกที่ทำยอดขายแตะ 8 หลักผ่านการไลฟ์หนึ่งครั้งให้ได้

เหตุการณ์วันที่ 9 เดือน 9 คุณเล่าหลายครั้งแล้วว่าไลฟ์ติดต่อกัน 17 ชั่วโมงจนสร้างยอดขายได้ถึง 22 ล้านบาท เกินกว่าเป้าที่วางไว้ไปอีก แต่สิ่งที่สงสัยคือความรู้สึกในตอนนั้น เป็นยังไงบ้าง เหมือนเข้าเส้นชัยไหม 

แน่นอนว่าดีใจครับ เหมือนสิ่งที่เราพยายามท้าทายตัวเองมันสำเร็จแล้ว แต่สารภาพว่าในอีกใจหนึ่งก็มีคิดเหมือนกัน ว่าที่ทำไปจนสำเร็จคือเรื่องบังเอิญหรือเปล่า พอฉลองกันเต็มที่ ผมและทีมงานเลยคุยกันต่อว่าเรามาลองทดสอบกันอีกรอบไหม ว่าวิธีการของเรามันได้ผลจริงๆ ชุดความรู้ที่ได้เรียนรู้มาคือสูตรสำเร็จหรือเปล่า ผมเลยวางไว้ว่าวันที่ 11 เดือน 11 เราจะลองไลฟ์กันอีกครั้ง เพื่อทำยอดขายให้ไปแตะ 8 หลักให้ได้ ท่ามกลางบริบทที่ยากกว่าเดิม เพราะความสำเร็จที่เราทำได้ดึงให้คนมาไลฟ์ใน TikTok มากขึ้นแล้ว เจ้าตลาดเริ่มมองเราเป็นคู่แข่งมากขึ้น ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ท้าทายกว่าเดิม ในการทำให้ไปถึงเส้นชัยใหม่ที่ยากกว่าเดิม

สำเร็จไหม

สำเร็จครับ ยอดขายเท่าๆ เดิมเลย อีกทั้งยังเป็นการพิสูจน์ด้วยว่าวิธีการของเราสามารถใช้ได้จริงๆ ที่ผ่านมาไม่ใช่เรื่องฟลุก แค่นี้ผมก็สบายใจ

ตอนนี้พร้อมตั้งเส้นชัยใหม่

(นิ่งคิดนาน) ใช่ มีเส้นชัยใหม่ แต่คงไม่ใช่เส้นชัยในเชิงยอดขายต่อไลฟ์แล้วครับ

คือถ้าถามว่าอยากสร้างยอดขายไปถึงร้อยล้านต่อไลฟ์หรือเปล่า ผมว่าถ้าถึงก็คงดี แต่ถามว่าเป็นเป้าหมายในปีนี้เลยไหม คงไม่ใช่ครับ เพราะในตอนนี้ หลังจากพยายามทำหลายอย่างมาจนเข้าเส้นชัย ผมพบว่าตัวเองในขวบวัยปัจจุบันอยากแบ่งปันสิ่งที่ได้เรียนรู้มากับคนอื่นมากกว่า

อย่างลองนึกภาพใครสักคนหนึ่ง ที่ไม่รู้เลยว่ายุคสมัยนี้สามารถไลฟ์สดขายของผ่านโทรศัพท์ได้ เขาเลยเลือกไปขายเคสมือถืออยู่ที่ตลาดนัดโลตัสคำเที่ยง ผมแค่จินตนาการไปว่ามันจะดีแค่ไหนกันนะ ถ้าผมได้มีโอกาสไปแบ่งปันชุดความรู้ที่ได้เรียนรู้มา จนทำให้คนคนนั้นได้ค้นพบโอกาสใหม่ ที่จะทำให้คุณภาพชีวิตเขาดีขึ้น ผมเลยเปิด VEGA Creator ขึ้นมาครับ ในฐานะเครือข่ายพาร์ตเนอร์ระหว่างครีเอเตอร์และ TikTok Thailand โดยทำคอร์สสอนองค์ความรู้ที่ผมได้เรียนรู้มาอยู่ใน VEGA Creator ด้วย

ดังนั้นต่อให้หลังจากนี้ผมจะทำยอดขายได้ 8 หลักอีกครั้ง หรือพายอดขายไปแตะ 9 หลัก ผมรู้สึกว่านั่นไม่ใช่เส้นชัยของผมอีกแล้ว มันคงดีแหละ แต่สุดท้ายมันก็จะเป็นแค่ความภูมิใจส่วนตัว ต่างกับการแบ่งปันที่ผมได้รับรู้ว่าสิ่งที่แบ่งปันไป ทำให้คุณภาพชีวิตครอบครัวคนที่มาเรียนดีขึ้นได้ยังไง 

นี่คือสิ่งที่ผมอยากโฟกัสในปีนี้ ควบคู่ไปกับช่องที่ยังคงต้องพัฒนาในทุกวันอยู่เหมือนเดิม

ทำมาจนถึงทุกวันนี้ คุณยังคิดว่าความเสี่ยงที่สุดในธุรกิจคือการหยุดพัฒนาอยู่ไหม

แน่นอน เพราะเรากำลังอยู่ในยุคที่เกิดการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ผมเลยรู้สึกว่าถ้าเรายังมีเส้นชัยเราหยุดพัฒนาไม่ได้หรอก ผมยังคงต้องมองหาเครื่องมือใหม่ๆ และไม่จำกัดตัวเองอยู่แค่ในที่เดียว ยกตัวอย่างเช่นในปัจจุบัน โลกของคอนเทนต์รีวิวก็เปลี่ยนไปจากแต่ก่อนมากแล้วครับ และอย่างการมาถึงของ AI อีก ดังนั้นทุกวันนี้ยังมีอะไรให้ผมได้ขยันเรียนรู้อีกเยอะ มีปัญหารอให้ผมแก้อีกเยอะ และยังมีอีกหลายอย่างเลยด้วย ที่ผมอยากแชร์ให้กับทุกคนฟังกัน

ตลอดการเล่าถึงชีวิตที่ผ่านมา คุณพูดคำว่า ‘พิสูจน์ตัวเอง’ หลายครั้งมากโดยเฉพาะกับคุณพ่อ เลยอยากถามคำถามสุดท้าย ว่าตอนนี้คุณพิสูจน์ตัวเองกับคุณพ่อได้หรือยัง

(นิ่งคิดนานมาก) ตอนที่ผมพยายามจะออกมาจากร่มเงาของครอบครัว ผมยอมรับนะว่าความอยากพิสูจน์ตัวเองมันผลักดันผมด้วยพลังเชิงลบที่สูงมาก และด้วยความที่คุณพ่อเป็นคนที่สนใจเรื่องตัวเลข เป้าหมายของผมตั้งแต่วันแรกเลยเป็นการสร้างรายได้ให้กับตัวเองให้แตะหนึ่งร้อยล้านบาท และคิดไว้ด้วยว่าในวันที่ถึงตัวเลขนั้นผมจะเอาหลักฐานไปให้พ่อดู แล้วพูดกับพ่อว่า “ผมทำได้แล้ว ผมพิสูจน์ตัวเองได้แล้ว”

แต่กลายเป็นว่าระหว่างทางนั้นเอง ที่ผมได้พูดคุยกับรุ่นพี่ที่เคารพคนหนึ่ง โดยเล่าให้เขาฟังถึงเป้าหมายนี้เหมือนที่ผมกำลังเล่าอยู่

พี่เขาถามผมกลับมาว่า “อยากให้พ่อภูมิใจเหรอ”

“ใช่ครับ” ผมตอบ ก่อนที่พี่เขาจะถามต่อแล้วทำเอาผมอึ้งไปเลย

“แล้วมึงไม่คิดบ้างเหรอวะ ว่าตอนนี้ที่มึงทำเยอะขนาดนี้พ่อมึงจะไม่ภูมิใจ”

จริงด้วย ผมพบว่าตลอดทางที่ลุยมาในเส้นทางของตัวเองแบบไม่คิดชีวิต ผมไม่เคยถามคำถามนี้กับพ่อเลย ว่าพ่อภูมิใจในตัวผมหรือเปล่า แล้วผมรู้ได้ไงว่าเขาไม่ภูมิใจ ไม่แน่ว่าตอนนี้เขาอาจจะภูมิใจในผมแล้วก็ได้ มันกลายเป็นความสงสัยในใจที่รอไม่นานเลยก็ได้คำตอบ เพราะหลังจากนั้นไม่กี่วันผมกับพ่อนัดไปทานข้าวร่วมกัน ระหว่างที่ขับรถออกจากบ้านนั่นเองพ่อก็พูดขึ้นมาลอยๆ กับผม

“เออ ภูมิใจมากเลยนะ สบายไปเปลาะหนึ่งแล้วเนอะ”

โห แม่งปลดล็อก จำได้ว่าตัวเองรู้สึกเบาโหวง ทั้งที่ตอนนั้นผมยังไม่ได้ร้อยล้าน แต่เหมือนสิ่งที่ผมแบกอยู่ตลอดทางที่ผ่านมามันหายวับไปแล้ว ซึ่งส่งผลดีต่องานด้วย เพราะพอตัวเบา ไม่ได้ต้องคิดถึงเป้าร้อยล้านตลอดเวลา ผมกลับมามองเห็นโอกาสมากมาย เหมือนผมมีอิสระ ไม่ต้องผูกมัดกับเชือกที่มองไม่เห็น ทำให้หลังจากนั้นไม่นาน พอยอดของธุรกิจที่ทำอยู่แตะร้อยล้านจริงๆ ตัวเลขนี้ก็ไม่ได้สำคัญกับผมอีกต่อไป

เพราะผมไม่ต้องพิสูจน์อะไรกับใครอีกแล้วล่ะ

มรดกของดราก้อนบอล ฮีโร่ของเด็กผู้ชาย และสไตล์ต่อการ์ตูนยุคหลัง

การจากไปของอาจารย์อากิระ โทริยามะ ผู้เขียนการ์ตูนเรื่องสำคัญคือ ดราก้อนบอล และ หนูน้อยอาราเล่ ถือเป็นการสูญเสียอย่างสำคัญ มีสื่อที่เกี่ยวข้องรวมถึงนักเขียนการ์ตูนโดยเฉพาะการ์ตูนเด็กผู้ชายยุคปัจจุบัน เช่น เออิจิโร โอดะ เจ้าของผลงาน วันพีซ, มาซาชิ คิชิโมโตะ ผู้เขียน นารูโตะ ต่างก็แสดงความเสียใจและพูดถึงอิทธิพลทั้งจาก ดราก้อนบอล และผลงานอื่นๆ ที่มีต่อพวกเขาตั้งแต่วัยเด็ก ไปจนถึงการได้รู้จักกับตัวตนของนักวาดระดับตำนาน

การแสดงความเสียใจต่อการจากไป ไม่ใช่แค่ระดับนักวาด แต่เราจะเห็นความรู้สึกของคนทั่วไปที่เป็นแฟนการ์ตูน ตรงนี้เองที่เราเริ่มทบทวนได้ว่า การดูการ์ตูนในวัยเด็ก เสียงพากย์ของน้าต๋อย เรื่องราวการต่อสู้และการผจญภัยที่เราดูหรืออ่าน ในที่สุดกลายเป็นตัวตนหนึ่ง กลายเป็นแรงบันดาลใจ จากนักวาดเช่นผู้เขียนนารูโตะเล่าถึงการได้อ่านการ์ตูนตั้งแต่ยังเป็นเด็กคนหนึ่งในชนบท ถึงเหล่าเด็กน้อยในยุค 90s ที่หลายคนกลายเป็นนักวาด หรือกระทั่งบางคนก็ได้แรงบันดาลใจในการดูแลร่างกายให้ล่ำบึ้กและเท่เหมือนกับตัวละครในเรื่องที่เป็นเหมือนไอดอลที่แม้จะอายุแค่ไหนก็ยังชื่นชอบอยู่

ในฐานะเด็ก 90s และเติบโตมากับ ดราก้อนบอล ด้วยเช่นกัน ขอถือโอกาสรำลึกถึงอาจารย์โทริยามะ และชวนย้อนกลับไปว่า ในเรื่อง ดราก้อนบอล ทำไมถึงได้สนุกนัก ดราก้อนบอล ปฏิวัติวงการการ์ตูน ไปจนถึงเรื่องเล่าว่าด้วยฮีโร่อะไรบ้าง ทำไมถึงสนุกและกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของเหล่าเด็กชายที่ไม่มีวันโตและการ์ตูนคือเรื่องราวการต่อสู้ในยุคหลัง จากการอ้างอิงตำนานและการวางโครงเรื่องคล้ายกับมหากาพย์ การสร้างตัวละครที่มีมิติ และอิทธิพลเล็กๆ เช่นการวัดพลังและการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ยาวนาน

ดร.สลัมป์ถึงโงกุน เมื่อความสมจริงถูกเปลี่ยนนิยาม

ผลงานของโทริยามะถือเป็นหมุดหมายสำคัญของสไตล์และวัฒนธรรมในยุค 90s โดยเฉพาะในพื้นที่การ์ตูนเด็กผู้ชายหรือโชเน็น ก่อนที่ ดราก้อนบอล ตอนแรกจะตีพิมพ์ในโชเน็นจัมป์ในปลายปี 1984 ผลงานสำคัญที่โด่งดังก่อนคือ ดร.สลัมป์ ตั้งแต่ช่วงปี 1979 

ถ้าเราดูสไตล์และกระแสของงานภาพและเรื่องในงานการ์ตูนโชเน็นในยุคนั้น ข้อสังเกตหนึ่งคือสไตล์ภาพของการ์ตูนเด็กผู้ชายยอดฮิตจะเน้นความสมจริง มีการถมและลงสี เช่น ซามูไรพ่อลูกอ่อน (1970), อากิระ (1982) หรือคินนิคุแมน (1978) ดังนั้น อาราเล่ ซึ่งนับว่ามาก่อน ดราก้อนบอล เราจะเห็นว่าสไตล์ของโทริยามะคือการวาดตัวละครและงานภาพที่ลดทอนลงจากการวาดสัดส่วนที่เน้นความสมจริง เช่นตัวละครแบบ ดร.สลัมป์ก็มีสัดส่วนที่แปลกตา หัวโต แขนสั้น ตาโต 

ข้อสังเกตเรื่องสไตล์ภาพมีความน่าสนใจเพราะเป็นการหันเหกระแสของการ์ตูนผู้ชายจากการให้ความสำคัญกับความเหมือนจริง (realism) มาสู่การสร้างสไตล์ภาพที่ผสมผสานความสมจริงบางส่วน เช่น กล้ามเนื้อ สัดส่วนใบหน้า และร่างกาย ไปสู่งานภาพที่สัมพันธ์กับจินตนาการ และศิลปะที่ให้ความสำคัญกับความเป็น 2 มิติมากขึ้น

นอกจากภาพแล้ว ความขี้เล่นชวนหัวดูจะเป็นอีกองค์ประกอบสำคัญของงานของอาจารย์โทริยามะ รวมถึงการ์ตูนผู้ชายเรื่องอื่นๆ ในยุคปัจจุบัน ในแง่หนึ่งการ์ตูนผู้ชายมักเล่าเรื่องที่จริงๆ แล้วเครียด รุนแรง จริงจัง คือพูดถึงการเติบโต การต่อสู้ ความตาย การฆ่าฟัน แต่ด้วยทั้งลายเส้นและการใส่อารมณ์ขันเช่นโงกุนที่มีความสบายๆ การหยอดมุกต่างๆ ก็ทำให้ตัวเรื่องอ่านง่ายขึ้น สนุกขึ้น การผสมผสานของความตลก มุกตีหัวเข้าบ้านและการต่อสู้ของวีรบุรุษจึงถูกนำมาผสมกันจนกลายเป็นผลงานที่เข้าใจได้ง่ายขึ้นและอาจเป็นเหตุผลของการก้าวไปสู่ระดับโลกของ ดราก้อนบอล เอง

การเล่าเรื่องแบบมหากาพย์และตัวละครวีรบุรุษ

จาก ดร.สลัมป์มาสู่ ดราก้อนบอล อาจารย์โทริยามะเองให้สัมภาษณ์ไว้ว่า ดราก้อนบอล ถูกคิดขึ้นใหม่จากอาราเล่ คือ ดร.สลัมป์จะเล่าเรื่องเป็นตอนๆ แยกออกจากกัน ส่วน ดราก้อนบอล จะวางให้เป็นเรื่องยาว ประเด็นเรื่องการวางเรื่องโดยมีแกนเรื่องใหญ่แล้วเล่าเป็นตอนย่อยๆ ของ ดราก้อนบอล นับเป็นความเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญของโฉมหน้าการ์ตูนเด็กผู้ชาย ซึ่งถ้าเราดูอิทธิพลของอาจารย์ การเล่าเรื่องใน ดราก้อนบอล ก็ค่อนข้างสัมพันธ์กับการเล่าเรื่องแบบตำนานและมหากาพย์ในวรรณกรรมโบราณ

ก่อนจะเข้าเรื่องตัวเรื่อง ดราก้อนบอล ตามชื่อ ว่าด้วยพลังของการเดินทางเพื่อรวบรวมดราก้อนบอล ลูกแก้ววิเศษที่จะอัญเชิญเทพมังกรซึ่งจะมอบพรอะไรก็ได้ให้กับผู้ร้องขอ ดราก้อนบอล ค่อนข้างอ้างอิงกับตำนานโบราณโดยเฉพาะตำนานไซอิ๋วผนวกกับความชอบเรื่องกังฟูจากความดังของบรูซ ลี ในยุคนั้น ตัวเอกของเรื่องเป็นเด็กมีหาง ได้แบบเรื่องมาจากหงอคง มีกระบองยืดหดได้ ขี่เมฆสีทอง นอกจากนี้ตัว ดราก้อนบอล เองยังใช้เกร็ดหรือแรงบันดาลใจจากตำนานและนิทานพื้นบ้านมากมายมาเป็นส่วนประกอบ เช่นในเรื่องเองก็มีเรื่องการเดินทางไปนรก มีเรื่องผู้เฒ่าผู้ชี้นำทาง กระทั่งยืมตำนานอียิปต์มาใช้ในภาคหลังๆ

ประเด็นของความเป็นมหากาพย์ใน ดราก้อนบอล มีรายละเอียดน่าสนใจคือเรื่องเล่าแบบมหากาพย์มักพูดเรื่องการเติบโตของตัวละครหรือครอบครัวหนึ่งๆ ในฐานะวีรบุรุษ ช่วงชีวิตมักจะยาวนานและมักมีการผูกปมไว้ เช่นมีการวางปริศนาหรือการวางเรื่องที่เป็นยุคก่อนหน้าไว้ก่อนที่อดีตจะกลับมามีบทบาทในยุคปัจจุบัน ซึ่งตรงนี้ค่อนข้างคล้ายกับการเล่าชีวิตโงกุนคือไม่รู้ที่มาที่ไป ค่อยๆ เติบโต ฝึกฝน จนสุดท้ายอดีตในฐานะชาวไซย่าก็เข้ามามีบทบาทเป็นปมสำคัญในการเป็นวีรบุรุษของตัวเอกเอง

ถ้าเราดูบริบทยุค 90s ของญี่ปุ่น รวมถึงมังงะที่เป็นต้นธารเช่นเจ้าหนูอะตอม จริงๆ ดราก้อนบอล ก็ได้อิทธิพลของความเป็นไซไฟที่ตัว ดราก้อนบอล เองเอาความเป็นไซไฟมาปรับเป็นสไตล์เรื่องของตัวเอง และเน้นการต่อสู้เติบโตเหมือนการตะลุยด่าน มีบอสโผล่มาให้สู้เป็นภาคๆ มีประเด็นการผจญภัยใหม่ๆ เข้ามา หนึ่งในความสำคัญของความเป็นวีรบุรุษคือให้ความชอบธรรม แกนหนึ่งของ ดราก้อนบอล จึงค่อนข้างลึกซึ้งเพราะพูดเรื่องสงครามและสันติภาพ การต่อสู้กันของเผ่าพันธุ์ต่างๆ ที่รุนแรงไปจนถึงการทำลายดวงดาวของเผ่าพันธุ์อื่นๆ บางประเด็นพูดเรื่องตัวตนที่ติดตัวมา เช่นการเป็นชาวไซย่าที่สัมพันธ์กับการเข่นฆ่าและการทำลายล้าง

ตรงนี้เองที่ ดราก้อนบอล ร่วมยกระดับความซับซ้อนทั้งของโครงเรื่องและของพัฒนาการตัวละคร เราจะเห็นทั้งโงกุนเองที่เรียนรู้อดีต มีการปลดล็อกพลังและต่อสู้กับศัตรูต่างๆ ที่ถือว่าเป็นเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ การมาถึงของตัวละครเช่นเบจีต้าที่เป็นศัตรูที่ถูกวางให้เป็นคู่เทียบของโงกุนที่สุดท้ายจากคู่ปรับกลายเป็นมิตรที่ร่วมต่อสู้ การยืนอยู่คนละฝ่าย การกลายจากศัตรูเป็นมิตรหรือมิตรเป็นศัตรู ไปจนถึงการเป็นฝ่ายร้าย ตัวร้ายที่มีมิติ มีเรื่องราวของตัวเองล้วนเป็นอิทธิพลของการสร้างตัวละครที่ซับซ้อนในยุคปัจจุบัน

นอกจากประเด็นเรื่องสไตล์และการสร้างเรื่องเล่า (narrative) ไปจนถึงตัวละครแล้ว ดราก้อนบอล ยังเป็นแรงบันดาลใจของการ์ตูนและตัวละครฮีโร่ของเด็กหนุ่มในยุคหลังอีกหลายประเด็น เช่น การวัดค่าพลัง การแปลงร่าง การค้นพบพลังภายในตัวเอง การปล่อยพลังลำแสง การรวบรวมพลังจากผู้สนับสนุนแบบบอลเกงกิ การสร้างฉากต่อสู้แบบอลังการและยาวนาน

แน่นอนว่า ดราก้อนบอล เป็นหมุดหมายที่ตัว ดราก้อนบอล เองก็เป็นปรากฏการณ์ในระดับโลก ส่งแรงบันดาลใจถึงสุดยอดการ์ตูนต่อสู้ในยุคหลังซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้วัฒนธรรมมังงะและวัฒนธรรมป๊อปของญี่ปุ่นครองพื้นที่ทางวัฒนธรรมได้แทบจะทั่วโลก ดราก้อนบอล กลายเป็นส่วนหนึ่งของความฝัน เป็นแรงบันดาลใจทั้งกับนักวาด นักดนตรี นักกีฬา ไปจนถึงเหล่าเด็กผู้ชายที่เติบโตขึ้นและมองเห็นตัวเอกของพวกเขาที่เป็นคนสบายๆ รักสันติ แต่ก็มีความมุ่งมั่นและพร้อมต่อสู้เพื่อปกป้องคนที่รัก

ภาพ : akira.toriyama

อ้างอิงข้อมูลจาก

Poor Things กับอาชีพ Intimacy Coordinator ที่ปรึกษาฉาก 18+ ที่อยากให้นักแสดงทุกคนสบายใจ

เวลาดูหนังแล้วเห็นฉากเซ็กซ์ทีไร เคยสงสัยไหมว่าลิมิตการเข้าฉากนี้อยู่ตรงไหน แล้วนักแสดงเขาจะเขินกันหรือเปล่า 

นับตั้งแต่อายุก้าวข้ามหลัก 20 เราก็สามารถก้าวเท้าเข้าโรงหนังที่ฉายหนังเรต 20+ ได้แบบไม่ขัดเขิน แต่ถึงจะเห็นน้องจู/น้องจิมของนักแสดงมาเรื่องแล้วเรื่องเล่า เราก็อดรู้สึก ‘อื้อหือ’ ไม่ได้ตอนดูฉาก(ที่เรามองว่า)ค่อนข้างแรง ตามมาด้วยคำถามว่า เขาถ่ายกันยังไงนะ?

ล่าสุด หนังเรื่องนั้นคือ Poor Things งานกำกับของยอร์กอส ลานธิมอส ที่พาให้เอ็มม่า สโตน คว้าออสการ์สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมเป็นตัวที่ 2 มาหมาดๆ เปรียบเทียบง่ายๆ Poor Things เป็นเรื่องราวของแฟรงเกนสไตน์เวอร์ชั่นผู้หญิง หนังเล่าเรื่องของผู้หญิงท้องคนหนึ่งที่พยายามฆ่าตัวตาย แต่โดนนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องช่วยชีวิตไว้ด้วยการผ่าตัดสมองของเด็กในครรภ์ใส่ในหัวเธอ ‘เบลล่า แบกซ์เตอร์’ จึงถือกำเนิดขึ้นในฐานะเด็กในร่างผู้ใหญ่ผู้ใคร่รู้ สนใจเกี่ยวกับทุกความเป็นไปของชีวิต นั่นนับรวมถึงเรื่องความสุขทางเพศด้วย 

ในหนังเรื่องนี้ นอกจากจะได้เห็นเอ็มม่า สโตน โชว์ทักษะการแสดงเต็มที่ในฐานะเด็กในร่างผู้ใหญ่ เราจึงได้เห็นเธอเข้าฉากที่ต้องโชว์เรือนร่างเปลือยเปล่า และเสพสังวาสกับนักแสดงคนอื่นอย่างถึงพริกถึงขิง เผ็ดร้อนที่สุดเท่าที่เคยเห็น

แน่นอนว่า คำถามว่า ถ่ายกันยังไงนะ? ลิมิตการเข้าฉากนี้อยู่ตรงไหน? แล้วนักแสดงเขาจะเขินกันหรือเปล่า? ผุดขึ้นมาในหัวเรา

Entretainment ตอนนี้อาจไม่ได้เล่าเรื่องธุรกิจเสียทีเดียว แต่เราอยากชวนมารู้จักบุคคลที่เป็นดั่งที่ปรึกษา ผู้ช่วย และจุดเชื่อมระหว่างผู้กำกับและนักแสดงในการถ่ายทำฉากเหล่านี้ให้เป็นไปอย่างราบรื่น ได้ฟุตเทจเซ็กซ์ซีนที่ดี บนพื้นฐานว่านักแสดงทุกคนจะต้องสบายใจ

ใช่ เรากำลังพูดถึงตำแหน่งในกองถ่ายที่เรียกว่า Intimacy Coordinator 

ถ้าต้องแปลเป็นไทยในฉบับของเรา ขอใช้คำว่า ‘ผู้ประสานงานการถ่ายทำฉากลึกซึ้ง’

นั่นเพราะหน้าที่หลักของ Intimacy Coordinator (หรือบางคนก็เรียกว่า Intimacy Director) ไม่ได้มีเพียงการคิดท่าทางฉากเข้าได้เข้าเข็มของตัวละคร หรือหาอุปกรณ์เซฟน้องจู/น้องจิมไม่ให้ล่วงล้ำกันเกินไป แต่พวกเขาคือคนที่สื่อสารระหว่างผู้กำกับ นักเขียนบท และนักแสดงอย่างสม่ำเสมอ เพื่อหาจุดตรงกลางที่นักแสดงจะเข้าฉากอย่างสบายใจ เล่นตามที่ได้ซ้อมไว้ และไม่รู้สึกว่าถูกล่วงละเมิดทางเพศ

Intimacy Coordinator ถือเป็นอาชีพใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่ปีมานี้  ด้วยแรงกระเพื่อมของมูฟเมนต์ #MeToo และคดีเปิดโปงฮาร์วีย์  ไวน์สตีน ที่ทำให้คนทั้งนอกและในวงการฮอลลีวูดให้ความสำคัญกับการถูกล่วงละเมิดทางเพศมากกว่าที่เคย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกองถ่ายที่นักแสดงอายุน้อยมักไม่มีอำนาจมากพอจะต่อรองเรื่องการถ่ายฉากล่อแหลมกับผู้กำกับหรือโปรดิวเซอร์

อีทา โอไบรอัน (Ita O’Brien) นับว่าเป็น Intimacy Coordinator คนแรกของวงการ ก่อนจะสถาปนาตัวเองเป็นผู้ประสานงานด้านการถ่ายทำฉากลึกซึ้ง เธอเคยเป็นทั้งนักเต้น นักแสดง และครูสอนมูฟเมนต์มาก่อน ในงานหลังนี้เองทำให้เธอได้โฟกัสกับเรื่องการทำให้นักแสดงรู้สึกปลอดภัยเมื่อพวกเขาต้องเข้าฉากที่ใกล้ชิดกัน ทำให้อีทามีไอเดียในการทำไกด์ไลน์สำหรับการเข้าฉากลึกซึ้ง (Intimacy on Set Guidelines) ซึ่งภายหลังกลายมาเป็นมาตรฐานที่เหล่าคนบันเทิงหยิบมาใช้

Sex Education คือซีรีส์เรื่องแรกที่อีทาได้ถูกจ้างให้เป็นผู้ประสานงานการถ่ายทำฉากลึกซึ้ง เธอยังทำงานเดียวกันให้กับโปรเจกต์ใหญ่ที่ล้วนมีฉากวาบหวิว ทั้ง Normal People (2020), The Great (2020), Watchmen (2009) ไปจนถึงซีรีส์ช่อง HBO อย่าง I May Destroy You (2020)

บริบทของฉาก คอนเซนต์ การสื่อสาร ท่าทาง และการปกปิดให้มิดชิด คือ 5 องค์ประกอบหลักที่ผู้ประสานงานการถ่ายทำฉากลึกซึ้งจะโฟกัส ทว่าพ้นไปจากนั้น อีทาบอกว่างานของเธอคือการให้เกียรติบทภาพยนตร์และซีรีส์รวมถึงวิสัยทัศน์ของผู้กำกับ ก่อนถ่ายทำ เธอและเหล่านักแสดงต้องเข้าใจฉากนั้นลึกซึ้งไปถึงดีเทล ความสำคัญที่มันมีต่อเรื่อง จากนั้นเธอจะนำไปสู่คำถามว่านักแสดงจะแตะต้องกันตรงไหนได้หรือไม่ได้บ้าง และคำถามคอนเซนต์เหล่านี้จะถูกถามย้ำเสมอตั้งแต่ตอนก่อนถ่ายไปจนถึงถ่ายทำจริง

ใน Poor Things ก็เช่นกัน แอลล์ แม็กอัลไพน์ (Elle McAlpine) ผู้เคยทำงานร่วมกับอีทาและเป็น Intimacy Coordinator ของโปรเจกต์นี้ เธอบอกว่างานของเธอคือการเข้าใจโทนและความลึกซึ้งของเรื่อง และการเข้าใจว่าฉากลึกซึ้งเหล่านั้นจะส่งผลต่อการสร้างคาแร็กเตอร์ยังไง ซึ่งหากมองตามเนื้อเรื่อง เบลล่า แบกซ์เตอร์ นั้นค้นพบว่าเซ็กซ์คือความสุขสมที่เธออยากสำรวจ และส่งผลต่อวิธีมองโลกของเธออย่างมาก ความท้าทายของฉากเซ็กซ์ในเรื่องคือการเข้าใจว่าตัวละครเบลล่านั้นมีความต้องการที่ซับซ้อน เธอเคยให้คอนเซนต์ จนถึงจุดที่เธอไม่คอนเซนต์อีกต่อไป

สิ่งที่ว้าวกว่าก็คือ Intimacy Coordinator ไม่ได้ถูกเรียกใช้สำหรับฉากเซ็กซ์เท่านั้น แต่ยังนับรวมไปถึงฉากลึกซึ้งทุกรูปแบบ แม้กระทั่งการจูบกัน อีทามองว่าการจูบนั้นไม่ใช่แค่จูบเฉยๆ จูบแล้วจบๆ แต่มันยากยิ่งกว่าฉากมีเซ็กซ์กันเสียอีก เพราะในเซ็กซ์ซีนนักแสดงอาจแกล้งร่วมรักกัน แต่จูบคือการนำปากไปประกบปาก บางครั้ง ผู้กำกับก็ต้องการให้ซีนแนบแน่นยิ่งขึ้นด้วยการใช้ลิ้น ซึ่งจำเป็นต้องขอคอนเซนต์จากนักแสดงในฉากนั้นด้วย

ปัจจุบัน สตูดิโอผลิตหนังและซีรีส์ใหญ่ๆ อย่าง Netflix, Amazon Prime, HBO ไปจนถึงละครบรอดเวย์นั้นมีการจ้างตำแหน่ง Intimacy Coordinator เป็นเรื่องปกติ จน Intimacy Coordinator หลายคนสามารถทำอาชีพนี้เป็นงานหลัก มีรายได้งาม และสร้างธุรกิจ Intimacy Coordinator ของตัวเองได้ อย่างแอลล์ แม็กอัลไพน์ ผู้ทำงานให้ Poor Things ก็เป็นหนึ่งในนั้น เธอเปิดแบรนด์ชื่อ EK Intimacy เพื่อดูแลงานด้านนี้โดยเฉพาะเลยทีเดียว

น่าสนใจว่าในอนาคต ธุรกิจเกี่ยวกับ Intimacy Coordinator จะเติบโตยังไงได้อีก และเมื่อไหร่ที่ตำแหน่งนี้จะกลายเป็นมาตรฐานสำหรับกองถ่ายทั่วโลกได้ ยิ่งในบ้านเราที่อาจยังไม่มีกองถ่ายไหนเรียกใช้งานตำแหน่งนี้อย่างจริงจัง 

บางทีการจะได้มาซึ่งฉากลึกซึ้งที่ยอดเยี่ยมสักฉาก นอกจากวิสัยทัศน์ที่ดีของผู้กำกับ ความสบายใจของนักแสดงก็นับเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน เพราะสุดท้ายแล้วนักแสดงก็คือมนุษย์คนหนึ่งที่ควรได้รับความเคารพอย่างเท่าเทียมกัน 

ภาพ : SearchlightPictures, Netflix 

อ้างอิง

Raw Color สตูดิโอออกแบบสีสันที่เปลี่ยนโฉมคอลเลกชั่นแบรนด์ดังด้วยพาเลตต์สีสุดเซอร์ไพรส์

ไม่นานมานี้ IKEA ได้เปิดตัวคอลเลกชั่น TESAMMANS ที่มีพาเลตต์สีสันสดใสอย่างโดดเด่นและมีผู้ให้ความสนใจสินค้ารุ่นนี้อย่างมาก หลายคนน่าจะรู้จัก IKEA กันอยู่แล้ว แต่อาจจะยังไม่รู้จักทีมผู้อยู่เบื้องหลังการออกแบบสีสันในคอลเลกชั่นนี้ซึ่งเป็นสตูดิโอออกแบบชื่อ Raw Color 

Raw Color เป็นสตูดิโอของนักออกแบบชาวดัตช์ที่เมืองไอนด์โฮเวน ประเทศเนเธอร์แลนด์ นอกจากผลงานที่คอลแล็บกับ IKEA แล้ว สินค้าของสตูดิโอและผลงานโปรเจกต์ต่างๆ ยังมีความโดดเด่นด้านการออกแบบสีจนทำให้ได้ร่วมงานกับแบรนด์ระดับโลกมากมาย เช่น Adidas, Samsung, Puig ผู้ผลิตน้ำหอมหลายแบรนด์อย่าง Prada และยังได้ร่วมงานกับแบรนด์ท้องถิ่นและพิพิธภัณฑ์หลายแห่ง

สตูดิโอออกแบบแห่งนี้ ก่อตั้งในปี 2008 โดย Christoph Brach และ Daniera ter Haar ความถนัดของสตูดิโอคือการทำงานแบบรวมศาสตร์หลายแขนง (interdisciplinary) ในสาขาออกแบบกราฟิก ภาพถ่าย และออกแบบผลิตภัณฑ์โดยมีหัวใจสำคัญคือการออกแบบสี ผลงานของพวกเขามีความหลากหลายไม่ว่าจะเป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์เดิมที่มีอยู่ให้สวยงามมากขึ้นด้วยสีแปลกตา สร้างประสบการณ์ใหม่และผลิตภัณฑ์คอนเซปต์ใหม่ด้วยสี ใช้สีและกราฟิกนำเสนอข้อมูล ไปจนถึงสร้างสรรค์นิทรรศการแนวคิดใหม่จากสีในงานออกแบบ

งานของ Raw Color แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ใหม่ๆ และพลังของสีที่สร้างความเซอร์ไพรส์ให้ผู้คน ใครที่ประทับใจคอลเลกชั่น TESAMMANS น่าจะตกหลุมรักผลงานอื่นๆ และวิธีคิดงานของสตูดิโอออกแบบนี้ด้วยเช่นกัน

1.  ชื่อสตูดิโอมาจากชื่อโปรเจกต์แรกที่สร้างระบบสีจากผัก 

ความจริงแล้ว Raw Color เป็นชื่อโปรเจกต์แรกที่คริสตอฟและดาเนียราร่วมงานกัน ทั้งคู่ริเริ่มโครงการของตัวเองด้วยงานวิจัยเกี่ยวกับสีของผักโดยสร้างระบบสีของตัวเองคล้ายๆ กับการสร้างระบบสีของ Pantone เมื่อได้รับผลตอบรับที่ดีทั้งสองคนจึงจัดนิทรรศการเพื่อเล่าเรื่องระบบสีที่คิดขึ้นเอง ผลงานนี้ทำให้ผู้คนส่วนมากจดจำพวกเขาได้จากชื่อโปรเจกต์และเข้าใจว่าเป็นชื่อของสตูดิโอ จนเมื่อมีคนถามหาสตูดิโอด้วยชื่อนี้หลายครั้ง ทั้งคู่จึงตัดสินใจใช้ชื่อนี้เป็นชื่อสตูดิโอจริงๆ ตามที่คนส่วนมากเข้าใจซะเลย ด้วยเหตุนี้คริสตอฟจึงกล่าวว่าชื่อสตูดิโอเป็นฝ่ายเลือกพวกเขา ไม่ใช่พวกเขาเป็นคนเลือกชื่อนั้น

ดาเนียราบอกว่าเหตุผลที่เธอชอบคำว่า raw เพราะคำนี้แปลว่าสิ่งบริสุทธิ์หรือสิ่งสำคัญ ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอให้ความสำคัญในทุกโปรเจกต์ที่ทำ กระบวนการคิดงานของทีมมักโฟกัสที่การสื่อสารคอนเซปต์สำคัญออกมาอย่างเรียบง่าย ส่วนคำว่า color ก็แทนความเชี่ยวชาญและความสนใจในการทำงานหลายแขนงของทั้งคู่ที่มีทั้งกราฟิกดีไซน์, รูปภาพ, textile ฯลฯ แต่ไม่ว่าจะทำงานรูปแบบไหน สีก็เป็นองค์ประกอบสำคัญในภาพที่ทำให้คนจดจำเอกลักษณ์ของ Raw Color ได้เสมอ 

ที่ผ่านมาทั้งคู่ยังบอกว่าลูกค้าแบรนด์และองค์กรต่างๆ มักติดต่อเข้ามาหาพวกเขาเองและมีน้อยครั้งมากที่พวกเขาจะออกไปหาลูกค้าด้วยตัวเอง นั่นเป็นเพราะแบรนดิ้งและสไตล์ผลงานของสตูดิโอมีความชัดเจนมาก ทั้งคู่จะริเริ่มไอเดียโปรเจกต์ต่างๆ จากความสนใจและความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองเท่านั้น

ดังเช่นโปรเจกต์แรกที่คิดค้นระบบสีจากผัก พวกเขาชอบตั้งโจทย์ สนุกกับการตั้งคำถามและสร้างสรรค์ผลงานรูปแบบใหม่ที่สนใจจริงๆ โดยไม่เคยริเริ่มโปรเจกต์ด้วยการคำนึงถึงการต่อยอดรับงานจากลูกค้าเป็นหลักเลย ซึ่งทำให้ผลงานของสตูดิโอมักเต็มไปด้วยความหลงใหล แพสชั่น และสดใหม่จนดึงดูดลูกค้าที่สนใจในสไตล์แบบเดียวกันเข้ามาเอง

2. คอลเลกชั่นล่าสุดพา IKEA ออกนอกคอมฟอร์ตโซนด้วยการกล้าเลือกสีป๊อปๆ 

ดาเนียราบอกว่าคนส่วนใหญ่มักกลัวที่จะใช้สีสันและไม่รู้ว่าจะใส่สีเข้าไปในการตกแต่งบ้านยังไงดี ที่มาของคอลเลกชั่นกับ IKEA คืออยากให้ผู้คนเปิดใจใช้สีสันในบ้านมากขึ้น แทนที่จะซื้อของตกแต่งบ้านและเฟอร์นิเจอร์เฉพาะสีขาว-ดำหรือเทาเท่านั้น โดยเหตุผลที่ตั้งชื่อสินค้ารุ่นนี้ว่า TESAMMANS (แปลว่า together หรืออยู่ด้วยกันในภาษาสวีเดน) เพราะสื่อถึงการจับคู่สีสันหลายโทนให้อยู่ด้วยกันทั้งหมดในสินค้าแต่ละชิ้น  

วิธีคิดงานของสตูดิโอสัญชาติเนเธอร์แลนด์แห่งนี้คือการรีเสิร์ชอย่างลงลึกว่าเฉดคู่สีไหนที่เมื่อจับมาอยู่ด้วยกันแล้วจะออกมาน่าสนใจและเป็นคู่สีที่เซอร์ไพรส์คนได้มากที่สุดจนสุดท้ายก็ได้ออกมาทั้งหมด 15 เฉดสีสำหรับสินค้า 18 ชิ้นในคอลเลกชั่นนี้ซึ่งจะเน้นไปที่เฟอร์นิเจอร์ชิ้นเล็ก โคมไฟ และของตกแต่งบ้านต่างๆ ในคอนเซปต์ ‘not the most typical home objects’ ที่เปลี่ยนโฉมของใช้หน้าตาธรรมดาให้ดูพิเศษด้วยสีสันสดใส 

สินค้ามีหลากหลายประเภทตั้งแต่รถเข็นสำหรับวางข้าวของ 3 เฉดสีที่เล่นแสงและเงาแตกต่างกันไปตามตำแหน่งของพระอาทิตย์ในช่วงเวลานั้น พรมและผ้าคลุมลายตาราง โคมไฟที่ไล่สีจากเฉดเข้มไปอ่อนโดยสีที่อ่อนที่สุดอยู่ที่ฐานซึ่งมีแสงสว่างแรงที่สุด โมบายทรงเรขาคณิตสีสันแปลกตา หม้อและแจกันเซรามิกที่เมื่อหมุนต่างมุมจะเห็นแถบสีที่ต่างกันออกไป แก้วและถ้วยแบบสองสี ไปจนถึงถาดโลหะลาย grid ที่สร้างลวดลายต่างๆ เมื่อวางซ้อนกัน 

งานนี้ทั้งทีม IKEA และ RAW color ใช้เวลาทำด้วยกันกว่า 2 ปีและทำให้เห็นว่าเพียงจับคู่สีที่แตกต่างจากเดิมก็สามารถเปลี่ยนมู้ดแอนด์โทนและเปลี่ยนลุคของแบรนด์ได้ 

3. รับโจทย์แทบไม่ซ้ำกันจากแบรนด์หลายอุตสาหกรรมในยุโรป  

ทางสตูดิโอยังเคยออกแบบสินค้าให้แบรนด์ท้องถิ่นแถบยุโรปมากมาย เช่น คอลเลกชั่น Link & Loop ที่ทำร่วมกับ Sancal แบรนด์เฟอร์นิเจอร์เก่าแก่ที่สเปน โจทย์ของคอลเลกชั่นนี้คือการสร้าง ‘joyful way of sitting’ หรือเฟอร์นิเจอร์ที่ทำให้ประสบการณ์นั่งพักผ่อนเกิดความรื่นรมย์มากขึ้นในช่วงโควิด-19 

รุ่นของสินค้าแบ่งออกเป็น 2 รุ่น ได้แก่ Link โซฟาที่มีทรงคล้ายโซ่เพื่อให้หลายคนสามารถนั่งด้วยกันได้ในโซฟาตัวเดียวกันโดยยังสามารถเว้นระยะห่างต่อกันได้ ส่วนรุ่น Loop มีจุดเด่นตรงตามชื่อสินค้าคือรูปทรงคล้ายหลอดซึ่งสามารถแยกชิ้นส่วนระหว่างส่วนเบาะนั่งกับพนักพิงออกจากกันและเอามาประกอบกันได้ เอกลักษณ์คือผ้าทอหุ้มเบาะหลากสีสันที่ออกแบบมาถึง 20 เฉดสี บางชิ้นก็ไล่สีโทนเดียวกัน เช่น สีเหลืองอ่อนและเหลืองเข้ม หรือผสมต่างโทนสีอย่างลงตัว เช่น สีเหลือง, สีเหลือง ochre, สีชมพู และสี aubergine (น้ำตาลม่วง)

หลายครั้งเบื้องหลังการออกแบบสินค้าตกแต่งบ้านเหล่านี้มักมีกระบวนการก่อนหน้านั้นคือการคัดเลือกสีวัสดุก่อนทำเป็นสินค้า เช่น การออกแบบพาเลตต์สีสำหรับผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ (upholstery textile) สำหรับแบรนด์ Kvadrat Febrik แบรนด์ textile ที่เนเธอร์แลนด์ในชื่อโปรเจกต์ว่า Planum กระบวนการคือคัดโทนสีจากสีเพนต์มือ 350 สีให้เหลือเพียง 20 สีสำหรับนำมาเป็นสีผ้า ซึ่งการเลือกจากสีทำมือก่อนจะทำให้เจอโทนสีธรรมชาติที่แตกต่าง

ในบางครั้งแบรนด์ที่ติดต่อทางสตูดิโอเข้ามาก็มีบรีฟให้ออกแบบสินค้าที่คาดไม่ถึงและพบเห็นไม่ได้บ่อยนักอย่างการออกแบบขวดใส่น้ำหอมกระดาษและกระดาษดมน้ำหอมสำหรับแบรนด์น้ำหอม Puig จากสเปนซึ่งเป็นบริษัทที่ออกแบบน้ำหอมให้แบรนด์ดังอย่าง Prada, Dries Van Noten และ Jean Paul Gaultier ในการออกแบบจะคำนึงถึงประสบการณ์ในการดมน้ำหอมให้เกิดความประทับใจและได้สัมผัสกลิ่นอย่างเต็มที่ นอกจากสีสันของกระดาษที่สวยงามแล้วยังคำนึงถึงทรงกระดาษที่ทำให้อากาศหมุนเวียนและอำนวยให้สูดกลิ่นน้ำหอมได้สะดวกอย่างเต็มที่ 

นอกจากนี้ สตูดิโอนี้ยังเคยมีโอกาสได้ร่วมงานกับแบรนด์ดังระดับโลกอย่าง Adidas โดยแผนกเฉพาะของแบรนด์คือ Adidas Colour & Materials Department ได้ชวนทางสตูดิโอมาจัดเวิร์กช็อปให้ทีมดีไซน์ของ Adidas เพื่อพัฒนากระบวนการผลิตและคัดเลือกสีสันสำหรับสินค้า Adidas ให้เกิดความสร้างสรรค์มากยิ่งขึ้น 

4. Index, Solids & Strokes, Grid Objects ฯลฯ เป็นชื่อคอลเลกชั่นที่เล่นกับเทคนิคกราฟิก

หากเป็นคอลเลกชั่นในนามของแบรนด์เองเลย ทางสตูดิโอมักเล่นกิมมิกที่ล้อกับหลักการกราฟิกดีไซน์ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นกับลายเส้น ดัชนีสี เทคนิคการพิมพ์ภาพกราฟิก 

ตัวอย่างเช่น คอลเลกชั่น Index ที่นำดัชนีสีมาทำเป็นผ้าเช็ดมือและผ้าห่ม โดยมีทั้งแบบ monotone (สีเดียวกันทั้งหมด), duotone (สองสี) และ multitone (หลายสีในผืนเดียวกัน) โดยใส่สีในกล่องสี่เหลี่ยมแบบไล่สีตั้งแต่ความเข้ม 10% ถึง 100% ตามระดับดัชนีสี


ส่วน Solids & Strokes เป็นการทำภาพพิมพ์ที่เล่นสีสันกับทรงกราฟิกและเทคนิคการพิมพ์ ใช้รูปทรงพื้นฐานอย่างสี่เหลี่ยมทึบและสี่เหลี่ยมเส้นพิมพ์ทับซ้อนกันด้วยสีสันหลากหลาย โดยใช้ชุดสี 16 เฉดสีในการออกแบบเป็นชุดภาพพิมพ์ขนาดเล็กกว่า 200 ชิ้นและภาพพิมพ์ขนาดใหญ่ 8 ชิ้น

อีกเทคนิคหนึ่งของนักออกแบบกราฟิกดีไซน์คือการใช้ลาย Grid ซึ่งทางสตูดิโอได้ใช้เทคนิคนี้ในการทำ Grid Objects ออกมาเป็นวัตถุที่สามารถเป็นได้ทั้งแจกัน ที่ใส่ของ ศิลปะ หรือสิ่งตั้งประดับ โดยใช้กระบวนการผลิตที่ผสมผสานระหว่างเครื่องจักรและงานฝีมือ แปลงสีและกราฟิกเป็นวัตถุ 3 มิติและเล่นกับคุณลักษณะต่างๆ ของสี เช่น ความหนาแน่น สัดส่วน เฉดสี ความโปร่งแสง และการเบลนด์สี

และตัวอย่างสุดท้ายคือซีรีส์ Hue Boxes กล่องอะคริลิกแบบขุ่นที่เล่นกับเฉดสี Hue ตามหลักการกราฟิกในเฉดที่แตกต่างกันในแต่ละด้าน โดยสินค้าส่วนใหญ่ทั้งหมดนี้ผลิตในเนเธอร์แลนด์ และบางชิ้น เช่น Hue Boxes ยังทำจากการรีไซเคิล 100% ด้วย

5. สร้างนิยามใหม่ให้ของใช้ในชีวิตประจำวันผ่านสินค้าและนิทรรศการ

จะเห็นได้ว่าผลงานของสตูดิโอแห่งนี้ส่วนใหญ่ใช้หลักการเปลี่ยนของใช้ธรรมดาให้มีคอนเซปต์ใหม่จากของที่ใครหลายคนคิดว่าเป็นของใช้ในชีวิตประจำวันทั่วไปก็สร้างคำนิยามให้ของชิ้นนั้นใหม่ ตัวอย่างเช่น คอลเลกชั่น Graphic Time ที่ให้นิยามนาฬิกาว่าเป็น abstract clocks หรือศิลปะเคลื่อนไหว มีที่มาจากการสังเกตว่าในยุคนี้ผู้คนมักใช้นาฬิกาในแง่ฟังก์ชั่นเพื่อดูเข็มชั่วโมง นาที และวินาทีตลอดเวลา ทางทีมจึงอยากออกแบบนาฬิกาที่ทำให้คนได้เห็นความสวยงามในการเคลื่อนไหวของเส้นสายกราฟิกในรูปแบบที่แตกต่างออกไปเพื่อเป็นประติมากรรมที่สวยงามให้ผู้ที่ดูเวลารู้สึกรื่นรมย์ในชีวิตประจำวัน

อีกผลงานที่มีคนให้ความสนใจอย่างมากคือนิทรรศการชื่อ The Fans ในปี 2014 งานนี้นำเสนอการเปิดพัดลมสีสันสดใส ใช้หลักการเคลื่อนไหวคล้ายนาฬิกาที่ทำให้เห็นความสวยงามของสีที่แตกต่างกันขณะพัดลมกำลังหมุน

ทั้งนี้จุดมุ่งหมายของการจัดนิทรรศการในหลายครั้งคือการให้ผู้เข้าชมมีส่วนร่วมในการได้สัมผัสโลกแห่งสี เช่น นิทรรศการ The Chromatology ที่มีเครื่องย่อยกระดาษในงาน ทุกครั้งที่มีคนมาเข้าชมนิทรรศการเพิ่มขึ้นก็จะมีกองกระดาษหลากสีสันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามจำนวนผู้เข้าชม

ทาง Raw Color บอกว่าเคล็ดลับในการริเริ่มไอเดียสร้างสรรค์ทั้งหมดนี้คือการผสมผสานระหว่างการเปิดกว้างในการทดลองสิ่งใหม่อย่างอิสระกับการสร้างกรอบกฎเกณฑ์ในการออกแบบ พยายามหาจุดสมดุลระหว่างความไม่ตายตัวจนเกินไปกับการมีกรอบอย่างเคร่งครัดจนเกินไป

6. ใช้กราฟิกและสีสื่อสารดาต้าในเรื่องที่อยากสร้างการตระหนักรู้ผ่านสินค้า

ใครคิดว่าสีช่วยแค่เรื่องความสวยงามอาจต้องคิดใหม่ เพราะพวกเขาได้ขยายพลังของสีด้วยการสร้างสรรค์งานที่นำเสนอข้อมูลและสร้างการตระหนักรู้ในเรื่องที่พวกเขาอยากรณรงค์ งานเด่นคือ temperature textiles ที่ทำออกมาในรูปแบบผ้าห่ม ผ้าพันคอ และถุงเท้าในลวดลายอินโฟกราฟิกโดยสื่อสารข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศทั้งอุณหภูมิโลกที่เปลี่ยนไป ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น และข้อมูลก๊าซเรือนกระจก

คริสตอฟมองว่าธรรมชาติของงานกราฟิกดีไซน์มีองค์ประกอบในการนำเสนอข้อมูลด้วยเส้น สี และกราฟอยู่แล้ว ดังนั้นการออกแบบให้กลายเป็นลายแพตเทิร์นที่นำเสนอข้อมูลเรื่องสิ่งแวดล้อมจึงไม่ใช่เรื่องยาก ทางสตูดิโอยังมองว่าการนำข้อมูลอย่างอินโฟกราฟิกมาอยู่บนผืนผ้าอย่างถาวรจะทำให้ข้อมูลเป็นสิ่งที่จับต้องได้มากขึ้นอีกด้วยแทนที่จะเห็นข้อมูลชั่วคราวจากแค่ในจอเท่านั้น นอกจากนี้เมื่อผู้คนได้ใช้สอยและมีปฏิสัมพันธ์กับของใช้เหล่านั้นบ่อยๆ จะทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าข้อมูลเหล่านั้นเป็นเรื่องใกล้ตัวมากขึ้น 

ผลงานชิ้นใหญ่ที่สุดในคอลเลกชั่นนี้อย่างผ้าห่มเป็นผ้าทอนิตติ้งซึ่งนำข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมาจาก The United Nations Intergovernmental Panel on Climate Change และใช้เส้นแต่ละเส้นแทนข้อมูลในแต่ละปีตั้งแต่ปี 2000-2010 ส่วนถุงเท้าที่มีขนาดเล็กกว่าก็แสดงข้อมูลของระดับน้ำทะเลและพยากรณ์ข้อมูลที่คาดว่าน่าจะเป็นไปจนถึงปี 2050 งานนี้มีการปรึกษาเรื่องการนำข้อมูลมานำเสนออย่างจริงจังจาก The Royal Netherlands Meteorological Institute และยังทำร่วมกับ TextileLab และ KNITWEAR LAB ที่เนเธอร์แลนด์ โดยคิดค้นกระบวนการผลิตให้เหลือวัสดุเหลือใช้น้อยที่สุดเพื่อให้ตรงคอนเซปต์สินค้าที่อยากสื่อสารเรื่องสิ่งแวดล้อม  

7. มีหลักจริยธรรมในการออกแบบคือนึกถึงคนอื่นและโลกที่ดีขึ้นเสมอ

คริสตอฟและดาเนียรายังเชื่อในการทำดีได้ดี ทั้งคู่เคยให้สัมภาษณ์ในนิตยสาร Metal Magazine ว่า “เราคิดว่าการดูแลทีมงานของเราอย่างดี ให้พวกเขามีอิสระและความยืดหยุ่นเพียงพอในการทำงานของตัวเองนั้นสำคัญมาก การได้คิดตกตะกอนกับตัวเองก่อนที่จะสร้างเกณฑ์การตัดสินในโปรเจกต์ใดๆ รวมถึงมีการสื่อสารที่ดีกับลูกค้าก็เป็นเรื่องดีเช่นกัน ทุกครั้งที่เราเสนอไอเดียอะไรบางอย่าง มันมักจะเกิดบทสนทนาระหว่างเราสองคนที่อาจเสนอไอเดียแตกต่างกันแต่สามารถพูดคุยกันได้และพยายามทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้าไปด้วยเสมอ ดังนั้น empathy กับทีมงานของเราและลูกค้าจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับเรา”

“พวกเรายังสอนที่ Design Academy ในไอนด์โฮเวนด้วย และผมอยากจะบอกว่าหลักการเดียวกันนี้ใช้ได้กับนักเรียนของเราด้วย ผมปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความเคารพไม่ต่างจากที่ผมอยากให้คนอื่นปฏิบัติต่อตัวเอง แน่นอนว่าเราควรสามารถวิจารณ์กันและกันอย่างซื่อสัตย์ได้ แต่ผมคิดว่าการเคารพและเห็นอกเห็นใจผู้อื่นก็สำคัญเสมอเช่นกัน”

ในฐานะนักออกแบบที่สร้างสรรค์และผลิตสิ่งของใหม่มากมายอยู่เสมอ ทั้งคู่บอกว่าพวกเขาตั้งคำถามว่าการผลิตสินค้าใหม่ในทุกวันนี้ส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมแค่ไหน มุมมองความยั่งยืนสำหรับทีมสตูดิโอที่พวกเขาตกตะกอนได้คือ หากมีความทุ่มเทในการพัฒนาบางสิ่งอย่างจริงจัง ทำออกมาอย่างดีที่สุดและมั่นใจว่าสิ่งที่สร้างสรรค์ออกมาจะอยู่ต่อไปได้นาน หากใช้กระบวนการคิดแบบนี้ก็สามารถนำไปสู่ความยั่งยืนได้แล้ว เพราะความยั่งยืนไม่ได้หมายความว่าไม่ควรซื้อหรือไม่ควรผลิตอะไรอีกต่อไป แต่เป็นการออกแบบได้ดีจนผู้คนเห็นคุณค่าและทิ้งข้าวของเครื่องใช้ที่มีสีสันสวยงามเหล่านี้ไม่ลงนั่นเอง  

อ้างอิง

เบื้องหลังจักรวาลน้ำหอมของ MITH แบรนด์น้ำหอมคนไทยที่ได้ร่วมงานกับ Perfumers ระดับโลก

“ย้อนกลับไปเมื่อ 8 ปีที่แล้ว วงการน้ำหอมไทยยังคงเงียบอยู่ แล้วก็มีแบรนด์ไทยเจ้าใหญ่อยู่ในตลาดแค่ไม่กี่เจ้า ซึ่งสิ่งที่ผมมองและคิดจะทำก็คือการเปิดธุรกิจน้ำหอมที่แตกต่าง”

จากความคิดนั้นคือจุดเริ่มต้นของ ‘MITH’ (มิตร) แบรนด์น้ำหอมคนไทยที่ก่อตั้งโดย พอ–จุติณัฏฐ์ ปิยวีรวงศ์ นักออกแบบ ผู้ซึ่งมีความหลงใหลในกลิ่นหอมอย่างเข้าเส้นจนลุกขึ้นมาสร้างแบรนด์ของตัวเอง

พอ–จุติณัฏฐ์ ปิยวีรวงศ์ นักออกแบบ

ในช่วงแรกธุรกิจน้ำหอมของพอไม่ได้ชื่อ MITH และไม่ได้เป็นแบรนด์น้ำหอมที่มีช็อปอยู่ในห้างสรรพสินค้าอย่างที่เราเห็นทุกวันนี้ แต่เป็นเพียงร้านเล็กๆ ขายผลิตภัณฑ์เครื่องหอมที่เปิดตามล็อก ณ ตลาดนัดจตุจักรชื่อแบรนด์ว่าBan-Ama (บ้านอาม่า) โดยพอตั้งใจใช้สกิลนักออกแบบและความชื่นชอบในกลิ่นหอม ของบรรยากาศ รวมไปถึงความทรงจำในวัยเด็กที่ตนเองเคยอาศัยอยู่ในบ้านสไตล์จีนเก่าๆ ของอาม่ามารังสรรค์ให้กลายเป็นหน้าร้านแรกของเขา

จนวันหนึ่งที่แบรนด์ Ban-Ama เริ่มอยู่ตัวระดับหนึ่ง ความคิดที่อยากจะขยับขยายธุรกิจเครื่องหอมสู่ธุรกิจแบรนด์น้ำหอมจึงได้ผุดขึ้นมาในหัวของเขาบ้างเป็นครั้งเป็นคราว 

พอบอกว่าการตัดสินใจอันแน่วแน่ของเขาเกิดขึ้นจากประโยคคำถามเพียงแค่ประโยคเดียวเท่านั้น

“ซัพพลายเออร์ของผม เขาพูดประโยคนึงที่จุดประกายผมขึ้นมาว่า ‘รสนิยมการเลือกน้ำหอมของคุณมันดีมากนะ แล้วทำไมคุณไม่ทำให้แบรนด์ของคุณมันมุ่งไปทางน้ำหอมไปเลย’ คำตอบในหัวของผม ณ ตอนนั้นมีแค่คำว่า ‘เหรอ’ แต่คำว่า ‘เหรอ’ ของผมมันคือการที่ผมนำคำแนะนำนี้กลับมาคิด แล้วก็มาเริ่มศึกษา ลงลึกเกี่ยวกับน้ำหอมต่อเลย”

MITH

จากเชื้อความสนใจในธุรกิจน้ำหอมอยู่แล้ว แค่เพียงประโยคเดียวจากคนใกล้ตัวก็สามารถผลักดันให้พอมุ่งไปสู่การศึกษาเรื่องน้ำหอมอย่างลงลึก ไม่ว่าจะเป็นการลงเรียนคอร์สระยะสั้นในประเทศไทย หรือการบินไปยังประเทศอังกฤษเพื่อลงคอร์ส ณ บ้านปรุงน้ำหอมแห่งหนึ่ง

 แม้จะศึกษาอย่างจริงจังแต่พอกลับบอกกับเราด้วยความสัตย์จริงว่าเขายังไม่สามารถเรียกตัวเองว่านักปรุงน้ำหอม หรือไม่แม้แต่จะปรุงน้ำหอมเองได้ด้วยซ้ำ

“จริงๆ ตรงนั้นมันไม่ได้เรียกกว่าการเรียนหรอกนะ เดี๋ยวจะทำให้คนเข้าใจผิดว่าผมไปลงคอร์สระยะสั้นๆ แล้วบอกว่าตัวเองเป็นนักปรุงน้ำหอม (perfumer) แล้วผมเองก็จะไม่เคลมตัวเองด้วย สิ่งที่ผมไปเรียนเดือนนึงมันยังห่างไกล เหมือนคุณเรียนหมอมันต้องใช้เวลาเรียนตั้ง 6 ปี คล้ายๆ กับการปรุงน้ำหอมเหมือนกัน เพราะ perfumer ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 6 ปีในบ้านปรุงน้ำหอม (fragrance house) และต้องใช้เวลาอีก 5 ปีกับการประจำสำนักงานใหญ่ในประเทศต่างๆ

“ในคอร์สระยะสั้นผมได้เรียนรู้แค่เรื่องเบสิกๆ อาจจะแตะถึงเรื่องของโครงสร้างบ้าง แต่แน่นอนว่ายังไม่ได้ลงลึกถึงแก่นหลักของน้ำหอมเลย เอาจริงๆ ผมก็แค่เรียนในส่วนของวัตถุดิบเบื้องต้น ซึ่งระยะเวลาเท่านี้ก็ยังไม่พอที่จะเรียนรู้อะไรเลยด้วยซ้ำ”

หลังกระบวนการศึกษาหาความรู้ แบรนด์ MITH ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น โดยชื่อมาจากคำย่อของประโยคอย่าง ‘Made In Thailand’ ที่แปลว่าผลิตในประเทศไทย ซึ่งเมื่อรวบตัวย่อเข้าด้วยกันแล้ว ยังสามารถออกเสียง ชวนเรียกกันง่ายๆ ว่า ‘มิตร’ ที่มีความหมายดีๆ อย่าง ‘เพื่อน’ ได้อีกด้วย 

ปัจจุบัน MITH มีทั้งหมด 4 สาขาใน 3 โลเคชั่นหลัก ได้แก่ ชั้น 2 โซน B กับชั้น 3 โซน E ณ เซ็นทรัลเวิลด์, ชั้น G ของเซ็นทรัลลาดพร้าว และสาขานิมมานซอย 1 ที่จังหวัดเชียงใหม่ ในขณะเดียวกันนั้น จักรวาลน้ำหอมของพอก็ยังประกอบไปด้วยอีก 2 แบรนด์น้ำหอมในโพซิชั่นที่แตกต่างกันอย่าง ‘PROAD’ (โปรด) แบรนด์น้ำหอม niche กับคอนเซปต์ของกลิ่นหอมที่มาจากความคิดและความทรงจำของพอเอง และ ‘PRANN’ (ปราณ) แบรนด์น้ำหอมลักชูรี่น้องใหม่ที่จะต้องบริหารไปพร้อมๆ กันอีกด้วย 

ในวันที่เรานัดเจอกับพอที่บ้านของเขา แบรนด์ MITH ไม่ได้นับว่าเป็นแบรนด์น้ำหอมโลคอลอีกต่อไป แต่ถือเป็นหนึ่งในจักรวาลน้ำหอมไทยที่ใครๆ ต่างก็เลือกใช้และรู้จักในระดับสากลไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว MITH เป็นแบรนด์น้ำหอมไทยที่ได้ร่วมงานกับบรรดา perfumer ระดับโลก

อะไรคือสิ่งที่ทำให้ MITH ยังสามารถเป็นหนึ่งในแบรนด์น้ำหอมที่ครองใจใครหลายๆ คนมาจนถึงขวบปีที่ 8 นับจากบรรทัดนี้เป็นต้นไป เราขอชวนคุณไปสำรวจวิธีคิดของจักรวาลน้ำหอม MITH  สู่เส้นทางของการเป็นแบรนด์น้ำหอมไทยที่ได้ร่วมงานกับบรรดา perfumer ระดับโลกกัน

น้ำหอม MITH

อะไรทำให้คุณเริ่มเข้าสู่วงการน้ำหอมอย่างเต็มตัว

ผมเริ่มเข้าสู่น้ำหอมที่ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์เครื่องน้ำหอมจากการฉีดน้ำหอมในชีวิตประจำวัน จริงๆ ผมมีความเชื่อว่าการที่ใครสักคนจะมีความชอบอะไรบางอย่าง มันก็ต้องมาจากการใช้งานจริงก่อน แล้วพอผมใช้งานจริงแล้ว มันก็ยังทำให้ผมมีความรู้สึกว่าน้ำหอมสามารถเข้าถึงผู้คนได้ง่ายกว่าเครื่องหอม เพราะผมมองว่ามนุษย์ทุกคน ตัวอย่างเช่นจาก 100 คน ผมคิดว่ามีเครื่องหอมอยู่ที่บ้านเป็นเปอร์เซ็นต์ที่น้อยกว่าคนที่มีน้ำหอม เพราะคนส่วนใหญ่ในโลกเขาเลือกใช้น้ำหอมกันเป็นเฟอร์นิเจอร์ เป็นแอ็กเซสเซอรีในการแต่งกายอยู่แล้ว ฉะนั้นผมก็เลยมองว่ากลุ่มตลาดมันใหญ่กว่า

น้ำหอมแบรนด์ไหนที่มีอิทธิพลต่อการเริ่มทำธุรกิจของคุณ

น้ำหอมที่สร้างแรงบันดาลใจในการสร้างธุรกิจของผมเนี่ย ในทีแรกก็ต้องมองเป็นพวกดีไซเนอร์แบรนด์ก่อน เพราะหนึ่ง ราคาถูก ซื้อได้ง่ายมีตามห้าง ตามเคาน์เตอร์แบรนด์ทั่วไป ใช้ง่าย ใช้ทุกวันก็ย่อมได้

ในตอนนั้นผมก็จะชอบกลิ่น London ของ Burberry และกลิ่นหอมง่ายๆ จากแบรนด์ดังๆ อย่าง CK, DKNY แล้วก็น้ำหอมแบรนด์ GIVENCHY ผมเองเริ่มต้นจากตรงนี้ และผมก็เชื่อว่าหลายๆ คนก็น่าจะเริ่มต้นใช้จากดีไซเนอร์แบรนด์ก่อน เหมือนเก็บเกี่ยวประสบการณ์การใช้งานและกลิ่นกันไปก่อนจากการใช้งานจริง

ถึงจุดไหนที่รู้สึกว่าควรทำแบรนด์น้ำหอม MITH

ตอนนั้นผมเปิดแบรนด์ชื่อ Ban-Ama ได้ประมาณ 6 เดือน หรืออาจจะไม่ถึงด้วย แล้วผมก็มีความรู้สึกที่เปลี่ยนไป จากที่ผมอยากจะเปิดเล่นๆ กลายมาเป็นความจริงจังได้ ซึ่งพอผมเริ่มจริงจังกับมัน ผมก็มีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนชื่อ เพราะ ‘Ban-Ama’ ผมตั้งเพื่อสนองความต้องการในการเปิดช็อปเครื่องหอมของตัวเอง ซึ่งชื่อและการตกแต่งร้านมันก็จะมาจากบ้านอาม่าที่ผมเคยอยู่สมัยเด็กๆ ทีนี้ ผมก็แอบคิดว่าคอนเซปต์หรือชื่อร้าน ‘Ban-Ama’ กลุ่มลูกค้าบางกลุ่มก็อาจจะไม่เก็ต แล้วก็อาจจะต้องมีการแปลความหมาย หรือใช้เวลาในการทำความเข้าใจอีก ที่สำคัญในช่วงนั้น ผมเองก็เริ่มมองว่าน้ำหอมมันสามารถเข้าถึงผู้คนได้ง่ายกว่าเครื่องหอมด้วย เพราะฉะนั้นความคิดในการรีแบรนด์และการเปลี่ยนโปรดักต์ที่เน้นไปทางน้ำหอมมันถึงได้เกิดขึ้นมา

พอ–จุติณัฏฐ์ ปิยวีรวงศ์ นักออกแบบ

ย้อนกลับไปในวันแรก คอนเซปต์ของ MITH คืออะไร

คอนเซปต์ของ MITH ตั้งแต่เริ่มแรกเรียกได้ว่าไม่มี เพราะมันยังไม่มีอะไรที่ตายตัวสำหรับผมเลย อย่างความชอบของผมมันก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามประสบการณ์และความรู้ของผมในช่วงเวลานั้นๆ แม้แต่ brand identity ของผมใน day 1 ก็ยังไม่มี แต่สิ่งที่ผมทำเพื่อแก้ปัญหา ณ ตอนนั้น ก็คือการศึกษา ศึกษาว่าผมควรจะเดินหน้าต่อไปในทิศทางไหน ผมจะนำพาแบรนด์ของผมไปทางไหนต่อ สร้างตัวตนแบรนด์ยังไง

ด้วยคอนเซปต์ที่ไม่มั่นคง คุณวางแผนการทำงานยังไง

MITH ณ ตอนแรกเริ่มต้นจากผมคนเดียวเลย  แล้วผมก็เริ่มต้นด้วยเงินทุนอันน้อยนิดของผม ไม่ได้มีการกู้เงินมาทำธุรกิจ เพราะฉะนั้นใน day 1 รวมไปถึงในช่วงแรกของการก่อตั้งแบรนด์​ ผมทำเองคนเดียวหมดทุกอย่าง ตั้งแต่กรอกน้ำหอมเอง บรรจุเอง  เดินไปเลือกผ้าที่จะเอามาผลิตเป็นถุงของแบรนด์เอง ไปดีลซัพพลายเออร์เอง ทั้งยังออกไปขายน้ำหอมเองด้วย เพราะฉะนั้น ข้อดีของการทำงานคนเดียวคือผมได้รู้จักจิ๊กซอว์ทุกตัวในองค์กรเล็กๆ ของผมหรือองค์กรที่ค่อยๆ เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ด้วย 

ในช่วงแรกของ MITH คุณปรุงน้ำหอมเองใช่ไหม

ใช่ ในคอลเลกชั่นน้ำหอมไลน์แรกเนี่ยผมเป็นคนทำเอง ก็มีผสมเองบ้าง ซึ่งผมเองก็ยังถือว่ามีความรู้ในเรื่องของการปรุงน้ำหอมน้อย กลิ่นมันก็เลยออกมาตามความสามารถของคนปรุง (หัวเราะ)

ไลน์น้ำหอม MITH ในวันแรก มันเริ่มต้นมาจากกลิ่นน้ำหอมที่ชื่อว่า ‘One Fine Day’ เป็นน้ำหอมกลิ่นง่ายๆ กลิ่นหนึ่งที่มันผสม ‘accord’ ไม่ซับซ้อน หรือถ้าพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือการผสมผสานของโน้ตกลิ่นต่างๆ ไม่ค่อยเยอะ 

ซึ่งถ้าให้พูดย้อนกลับไปในไลน์แรกของ MITH เนี่ย จริงๆ ผมเปิดตัวคอลเลกชั่นน้ำหอมไปทั้งหมด 8 ตัวเลยนะ แต่ 7 ตัวเนี่ย ผมเลิกผลิตมันไปหมดแล้ว (หัวเราะ) เหลือก็เพียงกลิ่น One Fine Day กลิ่นเดียวที่ผมยังผลิตและวางขายอยู่ในทุกวันนี้ 

ทำไมถึงเลือกที่จะเลิกผลิตตัวอื่นๆ แล้วเก็บกลิ่น One Fine Day เอาไว้

สำหรับผมเอง ผมก็ยังรู้สึกว่ากลิ่นมันก็ยังไม่ดีพอ มันก็เลยเป็นสาเหตุหลักๆ ที่ผมจำเป็นจะต้อง discontinued 7 ใน 8 กลิ่นที่ว่า

ส่วนกลิ่น One Fine Day มันเป็นกลิ่นที่ค่อนข้างฮีลใจผม เพราะตอนที่ผมเริ่มทำธุรกิจเป็นครั้งแรก มันยากอะเนอะ ยากมาก ยากถึงขนาดที่ว่า ผมกลับบ้านแบบท้อๆ เหนื่อยๆ ในทุกๆ วันเลย เพราะด้วยความไม่มีประสบการณ์ ไม่มีความรู้อะไรมากมายในการทำธุรกิจ มันจึงทำให้ผมอยากทำน้ำหอมกลิ่นนึงขึ้นมา เป็นน้ำหอมกลิ่นที่ทำให้ผมรู้สึกมีความหวังในพรุ่งนี้ต่อในทุกๆ ครั้งที่ได้กลับบ้านมาดมมาฉีด ถือเป็นกลิ่นที่ทำให้ทุกวันของผมเป็นวันที่ดีและเป็นกลิ่นที่คอยย้ำเตือนถึงจุดกำเนิดแบรนด์ MITH อีกด้วย

เพราะฉะนั้น กลิ่นของน้ำหอม One Fine Day จะเป็นกลิ่นที่ค่อนข้างสะอาด ปลอดโปร่ง และสามารถทำให้ผมสงบจากวันที่ผมรู้สึกว้าวุ่นใจจากอะไรหลายๆ อย่างได้ เจ้าตัวน้ำหอมนี้มันก็เลยยังอยู่ได้มาจนถึงทุกวันนี้ ไม่ว่าใครที่ได้ดม หรือใช้ยังไงก็ต้องเก็ตแน่นอน แล้วมันก็เป็นกลิ่นที่ขายดีมาตลอดจริงๆ 

ภายหลังการผลิตน้ำหอมไลน์แรก MITH มีการพัฒนาน้ำหอมไลน์ต่อไปยังไง

ผมก็ต้องเริ่มหานักปรุงน้ำหอมที่เก่งพอที่จะมาปรุงน้ำหอมให้กับ MITH ผมก็เลยได้ fragrance house ที่มีชื่อเสียงระดับนึงจากประเทศอังกฤษมาปรุงกลิ่นให้กับแบรนด์ ระหว่างนั้นเอง ผมก็ได้รู้จักกับ perfumer หน้าใหม่อีกสองท่าน สองท่านนี้เขาก็มาช่วยปรับปรุงโครงสร้างน้ำหอมของ MITH ให้ใหม่เลย ส่วนหน้าที่ของผมในคราวนี้ ก็จะเน้นไปที่การกำหนดทิศทางกลิ่นที่ผมอยากได้ ส่งไปให้กับพวกเขา หรือก็คือการบรีฟงานนั่นเอง 

เพราะฉะนั้นหลังจากคอลเลกชั่นแรกถูก discontinued ไปแล้ว น้ำหอมคอลเลกชั่นต่อๆ มาก็ได้ถูกยกระดับขึ้นจากการร่วมงานกับ professional ทางด้านน้ำหอม ช่วยทำให้น้ำหอมของ MITH มีความเป็นน้ำหอมมากขึ้นกว่าเดิมด้วย (หัวเราะ)

เมื่อกลิ่นของน้ำหอมถูกปรุงโดยนักปรุงน้ำหอม คอนเซปต์ของ MITH นิ่งขึ้นไหม

ณ ตอนนั้นมันก็อาจจะนิ่งขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้นิ่งขนาดนั้น (หัวเราะ) แต่เอาเป็นว่าผมเองก็ใช้ระยะเวลาอยู่หลายปีกว่าคอนเซปต์ของ MITH จะนิ่ง จริงๆ แล้วในวันที่คอนเซปต์ของแบรนด์นิ่ง มันก็ทำให้ตัวผมคิดได้ว่า มันก็เป็นเรื่องของการวางโพซิชั่นแบรนด์มากกว่าด้วย

อย่าง MITH เนี่ยผมก็ต้องการให้แบรนด์ของผมกลายเป็นเพื่อนที่เฟรนด์ลี่ เข้าถึงง่ายกับทุกๆ คน ในกรอบหลักอันนี้ มันก็นำพาให้ผมคิดคอนเซปต์ในแง่ต่างๆ ได้ง่ายขึ้น อย่างแนวคิดในการบริหารหน้าร้าน การริเริ่มเปิดรับพนักงานและทีมงานมากขึ้นตามการเติบโตขององค์กร ที่สำคัญภายใต้กรอบที่เป็นมิตร ผมใส่ใจกับการบริการของพนักงานหน้าช็อปมากๆ เพราะจะต้องทำให้ลูกค้าทุกคนประทับใจ แม้จะกลับออกจากหน้าร้านแล้วก็ตาม 

แต่ทุกๆ อย่าง ผมไม่อยากให้แบรนด์ MITH มันดูหรูหรา จนทำให้ลูกค้าไม่กล้าที่จะเข้ามา เหมือนกับตัวโปรดักต์ของ MITH เอง ก็ต้องเป็นกลิ่นที่เข้าถึงง่าย กลิ่นที่เป็นมิตรกับทุกคน ไม่ว่าจะลูกค้าซื้อไปใช้เอง หรือคนรอบข้างที่จะต้องได้กลิ่น อันนี้ก็ต้องเป็นมิตรด้วย ตลอดจนราคาเองก็ต้องเป็นมิตร ลูกค้ารับได้ น้ำหอมขวดนึงจะต้องราคาไม่เกิน 2,000 บาท 

หลังจากกำหนดคอนเซปต์ได้แล้ว คุณมีการจัดการระบบหลังบ้านยังไง

ถ้าพูดถึงในระยะเวลาไม่กี่ปีนี้ โปรดักต์น้ำหอมของผมเองก็เริ่มอยู่ตัวแล้ว แบรนดิ้งของผมก็นิ่งแล้ว น้ำหอมของผมมันขายตัวมันเองได้ เพราะฉะนั้นการรับสมัครพนักงานของผม ผมบอกเสมอว่าผมรับพวกคุณมา ไม่ใช่เพื่อจะมาขายของอย่างเดียว แต่ผมรับสมัครคุณมาช่วยเซอร์วิสลูกค้าผม คุณจะเป็นฝ่ายบริการลูกค้า ไม่ใช่พนักงงานขายของ สินค้าจะขายได้ไม่ได้ให้ลูกค้าเป็นตัดสินใจ ส่วนหน้าที่ของคุณคือการมอบข้อมูลเกี่ยวกับน้ำหอมแต่ละตัวให้กับลูกค้าแค่นั้นเองส่วนเรื่องซื้อไม่ซื้อเป็นเรื่องของลูกค้า คนที่เขาชอบเขาก็จะซื้อ ถ้าสินค้าของ MITH ดีพอสำหรับเขา เขาก็จะซื้อ ถ้าวันนี้เขายังไม่ชอบก็จะยังไม่ซื้อ 

แต่สิ่งที่ผมยืนยันได้จากการเทรนพนักงานของผมเลยคือ เมื่อไหร่ที่คุณเลือกมาหา MITH เนี่ย คุณจะได้รับประสบการณ์ที่มากกว่าการได้เพียงแค่น้ำหอม เพราะได้แลกเปลี่ยนความรู้กับสตาฟของแบรนด์ด้วย 

จากการทำงานคนเดียวสู่การทำงานเป็นทีม ยากขึ้นมั้ย

จากที่วันนึงมีผมแค่คนเดียว กลายมาเป็นมีทีมงานกว่า 10 คน 60 คน แล้วก็โตขึ้นเรื่อยๆ ความยากในการบริหารคนหรือระบบหลังบ้านเองก็ยากขึ้นเรื่อยๆ แต่ส่วนตัวผมก็คิดว่าผมเองก็เป็นเจ้านายที่ดุและมีความเฉียบขาดคนหนึ่ง สิ่งนี้มันเลยทำให้ MITH เป็น MITH ทำให้ MITH เหมือนกับตัวตนของผมไปด้วย และในทุกๆ โปรดักต์ของแบรนด์ก็มีความเฉียบขาดที่แฝงอยู่ด้วย ผมขายความจริงใจ ผมไม่เคยและจะไม่โกหกผู้บริโภค โดยความจริงใจนี้แหละก็อยู่ในแนวทางการบริหาร MITH ของผมด้วย

จุดไหนที่ทำให้คุณตัดสินใจริเริ่มร่วมงานกับนักปรุงน้ำหอมระดับโลก

การได้ร่วมงานกับนักปรุงน้ำหอมระดับโลกถือเป็นความใฝ่ฝันของผมที่มีมานานแล้ว เพราะว่าในช่วงที่ผมเป็นแค่คนที่ชื่นชอบการใช้น้ำหอมในชีวิตประจำวันเนี่ย ผมเองก็มีแบรนด์โปรดของผมแบรนด์นึงชื่อแบรนด์ ‘Frederic Malle’ เป็นแบรนด์น้ำหอม niche ซึ่ง Frederic Malle เนี่ย เขาเป็นมหาเศรษฐีคนหนึ่งในโลก แล้วก็เป็นบุคคลที่อยู่ในวงการน้ำหอม เพราะฉะนั้นในแบรนด์น้ำหอมแบรนด์นี้ Frederic Malle เขาก็นั่งดำรงตำแหน่งเป็นไดเรกเตอร์​ ก่อนท่ีเขาจะไปเชิญ perfumer ที่เก่งที่สุดในโลกมาทำงานให้กับแบรนด์และรังสรรค์น้ำหอมให้กับเขา 

ผมก็มองมาตลอด จนเมื่อ 2 ปีที่แล้วหรือในปี 2022 ที่ผมมีความรู้สึกว่าไหนๆ MITH ครบรอบ 6 ปีแล้ว ผมเองก็อยากทำอะไรพิเศษๆ ขึ้นมา ประจวบกับในช่วงเวลาเดียวกันตัวผมก็มีความชื่นชอบน้ำหอมตัวนึงของแบรนด์นึงอยู่ด้วย เป็นน้ำหอมที่ปรุงโดยนักปรุงน้ำหอมระดับมาสเตอร์ (master perfumer) อย่าง ‘Nathalie Lorson’ ที่เขาทำงานให้กับหนึ่งในบริษัทบิ๊กโฟร์ของวงการน้ำหอมหรือบริษัท Firmenich 

ณ ตอนนั้น ผมก็คิดว่ายากแล้ว (หัวเราะ) เพราะบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้เวลาเขาจะผลิตหรือปรุงอะไร ทุกอย่างก็จะถูกนับว่าเป็นธุรกิจหมด ซึ่งมันก็ต่างจากการที่ MITH เคยไปดีลเหล่า perfumer หน้าใหม่จากบ้านน้ำหอมในสมัยก่อนเลย แต่ผมเองก็ตัดสินใจที่จะลองติดต่อไป จนในท้ายที่สุดก็ได้รับการตอบรับ

กระบวนการทำงานกับ perfumer คนแรกเป็นยังไงบ้าง

ในบรีฟตัวน้ำหอมฉลองครบรอบของแบรนด์ MITH เนี่ย ผมก็บอกทาง Firmenich ไปว่าผมต้องการกลิ่นที่เรียบง่ายตามสไตล์ ตามตัวตนของ Nathalie Lorson แล้วก็อยากให้กลิ่นมันสื่อถึงการเฉลิมฉลอง ความสว่างไสว

เมื่อทางบริษัทได้รับบรีฟแล้ว เขาก็จะใช้ระยะเวลาประมาณนึงก่อนจะเริ่มทำการส่งกลิ่นน้ำหอมที่ถูกปรุงโดยนาตาลี ลอร์สัน กลับมาให้ผมเลือกทั้งหมด 8 กลิ่นด้วยกัน แต่เชื่อไหมว่า 8 กลิ่นนี้เนี่ยเป็นกลิ่นที่ตัวผมเองตีตกหมดเลย (หัวเราะ) 

แล้วความผิดพลาดมันอยู่ตรงไหน

เมื่อเริ่มฟีดแบ็กกลับไป ทางบริษัทกับผมก็เริ่มที่จะมานั่งพูดคุยเพื่อถกหาถึงปัจจัยที่ทำให้กลิ่นออกมาไม่ตรงบรีฟ ก็คุยกันยาวเลย ยาวจนไปถึงในเรื่องของราคาต้นทุน จุดนี้แหละที่ทำให้ผมอ๋อ เพราะทางบริษัทเขาก็เลือกที่ปรุงน้ำหอมแบบประหยัดต้นทุนกลับมาให้ผม อาจจะเพราะด้วยความหวังดี MITH ไม่ใช่แบรนด์ใหญ่อะไร แล้วมันก็อาจจะเป็นเพราะพวกผมไม่เคยพูดถึงเรื่องต้นทุนกันมาก่อนด้วย 

แต่ ณ วันนั้น วันที่ผมเปิดแบรนด์มา 6 ปีแล้ว ในเรื่องของวัตถุดิบเนี่ยผมก็ดีลกับซัพพลายเออร์เอง เลือกเองมาตลอด ต้นทุนวัตถุดิบที่ผมดีลมันก็สูงมาเสมอ เพราะฉะนั้นผมก็เลยเลือกที่จะบอกกับทาง Firmenich ไปตรงๆ ว่า ‘MITH มีต้นทุนในวัตถุดิบและการปรุงน้ำหอมไม่อั้น พวกคุณไปทำมาใหม่ ใส่มาได้เลย ไม่ต้องห่วงว่ามันจะแพง MITH มีปัญญาซื้อ แล้วไม่ต้องกลัวว่าผมจะไปขายต่อได้ยังไง เดี๋ยวผมจัดการเอง’ (หัวเราะ)

ในเมื่อคีย์เวิร์ดของผมคือ ‘ใส่ไม่ยั้ง’ คราวนี้ล็อตใหม่ ดมแล้วมันก็ใส่ไม่ยั้งจริงๆ (หัวเราะ) เพราะ ณ ตอนที่ผมได้กลับมาพร้อมราคามันก็แพงมาก แต่คุณภาพของกลิ่นน้ำหอมมันก็ดีมากเช่นกัน ซึ่งผมก็โอเคแล้วล่ะที่นำมาวางขาย จึงเกิดเป็นเจ้าน้ำหอมอย่าง ‘Sliver Sparkle’ กลิ่นครบรอบ 6 ปีของแบรนด์ MITH กลิ่นที่ยังคงขายดีมาจนถึงทุกวันนี้

เมื่อการร่วมงานกันครั้งแรกแรกผ่านไป perfumer คนต่อๆ ไปดีลง่ายขึ้นมั้ย

พอผมได้ร่วมงานกับนาตาลี ลอร์สัน ไปแล้วปุ๊บ ก็จะมีนักปรุงน้ำหอมอีกหลายท่านจากทาง Firmenich ที่ทางบริษัทเขาเริ่มส่งมาให้ร่วมงานกับ MITH ทีนี้มันก็กลายเป็นเรื่องธุรกิจที่ผมจะต้องไปดีลนักปรุงน้ำหอมจากหลากหลายบริษัทอื่นๆ อย่างอีก 3 บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Givaudan, IFF (International Flavors & Fragrances) และ Symrise

แต่การที่ผมร่วมงานกับ Firmenich มาแล้วเนี่ย มันถือเป็นประตูสำคัญสำหรับ MITH เพราะชื่อของแบรนด์ผม น้ำหอมของ MITH ถือเป็นที่รู้จักของบริษัทน้ำหอมเหล่านี้แล้ว มันจึงกลายเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นเวลาที่ผมอยากจะร่วมงานกับนักปรุงน้ำหอมบริษัทอื่นๆ บ้าง เพราะบริษัทเหล่านี้เขาก็ยอมกันไม่ได้ (หัวเราะ) 

แล้วการร่วมงานกับ perfumer คนไหนที่คุณประทับใจมากที่สุด

ผมเองก็ประทับใจในการร่วมงานกับทุกๆ ท่านเลยนะ แต่ถ้าต้องพูดถึงนักปรุงน้ำหอมที่ MITH เคยร่วมงานแล้วผมชอบจริงๆ หรือเรียกว่าประทับใจในการร่วมงานกับเขา คือ ‘Quentin Bisch’ 

เควนติน บิสช์ เนี่ย เขาอาจจะยังไม่ถึงขั้นว่าเป็น master perfumer หรอกนะ แต่ถือว่าเป็นหนึ่งในนักปรุงน้ำหอมดาวรุ่งในวงการน้ำหอมระดับโลกเลย แล้วก็งานยุ่งสุดๆ เลยเหมือนกัน เพราะว่าหลายๆ แบรนด์น้ำหอมต้องการตัวเขาให้ไปร่วมงานด้วยมากๆ ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์น้ำหอมอย่าง Kenzo, Narciso หรือแม้กระทั่ง Jean Paul Gaultier เองก็ดี 

ส่วน MITH  ก็มีโอกาสได้ร่วมงานกับเควนติน บิสช์ ตั้งแต่ในช่วงปี 2022 กับน้ำหอมกลิ่น ‘Woody Musk’ และ ‘Rose of Male Planet’ ก่อนในปี 2023 จะเป็นกลิ่นที่ชื่อ ‘Florida Orange’ แล้วสำหรับในปีนี้เอง ผมก็รีเควสต์ไปว่าอยากร่วมงานกับเขาอีก พร้อมกับบรีฟคอนเซปต์ไปเช่นเคย 

ทำไมคุณถึงประทับใจในการร่วมงานกับ perfumer คนนี้

ถ้าถามถึงเหตุผลว่าทำไม เชื่อไหมว่าในทุกครั้งที่ผมรีเควสต์อะไรไป งานที่คุณเควนติน บิสช์ ส่งกลับมาให้ผมเสมอเนี่ย ไม่เคยมีครั้งไหนที่เป็นงานแบบลวกๆ เลย และเมื่อเทียบกันกับนักปรุงนำ้หอมท่านอื่นๆ ที่เขาจะส่งกลิ่นมาให้ผมแค่เพียง 3-4 กลิ่นเป็นอย่างมาก คุณเควนตินเนี่ยส่งกลับมาให้ผมเลือกเป็น 10 กลิ่นเลยด้วยซ้ำ (หัวเราะ) จนผมต้องกลับไปถามทางบริษัทใหญ่เลยว่า ‘นี่เขาว่างเหรอ’ (หัวเราะ)

แล้วทางบริษัทเขาก็ตอบกลับมาประมาณว่าเวลาคุณเควนตินเขาทำงานให้ใครเนี่ยเขาเต็มที่เสมอ และเขารับผิดชอบผลงานของเขาแบบโปรเจกต์ต่อโปรเจกต์เลย 

จุดนี้แหละที่ทำให้ผมประทับใจในตัวเขา เพราะไม่ว่า MITH จะเป็นแบรนด์เล็กแค่ไหนในสายตาของใคร นักปรุงน้ำหอมท่านนี้เขาก็ยังทำงานให้ผมอย่างจริงจัง

อะไรคือบทเรียนสำคัญที่คุณได้รับจากการร่วมงานกับบริษัทระดับโลก

บทเรียนที่สำคัญที่ผมได้รับจากการร่วมงานกับนักปรุงน้ำหอมหลายๆ ท่านที่เขาต่างก็อยู่ในสังกัดระดับโลก คือการที่ผมจะต้องสร้างแบรนด์เล็กๆ อย่าง MITH ให้มีความน่าเชื่อถือ นี่คือจุดแรกก่อนการไปติดต่อหรือดีลธุรกิจร่วมกับคนอื่นๆ 

จุดที่สองคือหลังจากผมนำความน่าเชื่อถือและจริงจังของแบรนด์ไปถึงฝันแล้ว การบรีฟงานอย่างโปรเฟสชันนอลก็ถือว่าสำคัญ เพราะผมต้องการนักปรุงน้ำหอมที่มีความเชี่ยวชาญด้านน้ำหอมระดับโลกมาร่วมงานถูกต้องไหม ฉะนั้นการคุยงานกันผมก็ต้องคิดและคุยอย่างเชี่ยวชาญด้วยเหมือนกัน 

และในจุดที่สามคือการเรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกัน ที่รวมไปถึงการสื่อสารและแนวทางการปรับเข้าหากับสไตล์การทำงานที่ไม่เหมือนกันของทั้ง MITH และบริษัทภายใต้สังกัดของนักปรุงน้ำหอมคนที่ผมต้องการจะดีล

คุณคิดว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้ MITH ยังยืนระยะมาได้ถึงขวบปีที่ 8 

มันก็เป็นเพราะว่า MITH ไม่ตามตลาด ถ้าตลาดช่วงนี้อะไรกำลังมา อะไรกำลังเป็นเทรนด์ MITH ไม่ทำ แต่ MITH จะเป็นผู้นำตลาด จะเป็นผู้นำเทรนด์ หรือจะต้องเป็นแบรนด์น้ำหอมที่สร้างเทรนด์ขึ้นมาเอง

อย่างตัวผม กำหนดเลยว่าปีนี้ MITH ต้องการปล่อยน้ำหอมออกมาในเทรนด์แบบไหน แล้วผมเองก็แทบจะไม่ได้สนใจเลยว่าในปีนี้ลูกค้าโดยส่วนใหญ่เขาใช้น้ำหอมเทรนด์ไหน กลิ่นไหนกันยังไง แต่ผมกลับมองว่าผมต้องการให้ผู้บริโภคเข้าใจในสิ่งที่ MITH สร้างออกมาและติดตามกันต่อไป

แล้วคิดว่าอะไรคือสิ่งที่ MITH ควรพัฒนาอีก

ก็ทั้งในเรื่องของคุณภาพและจุดอ่อนของแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแพ็กเกจจิ้งที่ส่วนตัวผมเองไม่ได้เพิ่มต้นทุนในการผลิตเพียงเพราะการอัพเปลือกนอกของน้ำหอมให้มันสวย เพราะท้ายที่สุดราคาที่เพิ่มมากขึ้นมันก็จะไปตกเป็นภาระของผู้บริโภค หรือในเรื่องของการพัฒนากลิ่น ที่แม้ว่า MITH จะเคยร่วมงานกับใครมาแล้วก็ตาม แต่ถ้ามันเป็นกลิ่นที่ไม่ตรงกับความต้องการของตลาด ถึงจุดนี้ผมก็คงต้อง discontinued บางกลิ่นกันไปบ้าง แล้วเสาะหากลิ่นใหม่ๆ เข้ามาแทน ถือเป็นความท้าทายที่ต้องเรียนรู้และพัฒนากันต่อไป 

คุณคิดว่าวงการน้ำหอมในปัจจุบันคึกคักขึ้นบ้างไหม

ผมเชื่อว่า MITH ก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของการกระเตื้องให้วงการน้ำหอมในไทยคึกคักขึ้น เพราะในช่วงก่อนที่ผมจะทำแบรนด์ MITH เนี่ยก็ยังไม่ค่อยมีใครภูมิใจกับการบอกว่าตัวเองใช้น้ำหอมไทยสักเท่าไหร่นะ หรือถ้ามีก็คงจะน้อยมาก เพราะกลุ่มคนส่วนใหญ่ก็จะคิดว่าการใช้น้ำหอมไทยเท่ากับการไม่มีรสนิยมและมีเงินไม่ถึง เทียบกับการที่เมื่อมีคนมาถามคุณว่าใช้น้ำหอมอะไร แล้วคุณตอบไปว่า Tom Ford หรือ Diptyque มันก็จะดูมีรสนิยมกับมีสตางค์เนอะ

แต่เอาเข้าจริงๆ MITH แทบจะไม่ทำการตลาดแบบฮาร์ดเซลล์กันเลย ทุกสิ่งทุกอย่างที่แบรนด์สามารถเติบโตมาได้ถึงขนาดนี้ หลักๆ เป็นเพราะการบอกต่อแบบปากต่อปากของลูกค้า แล้วผมก็เชื่อว่า ณ ปัจจุบัน ลูกค้าทุกคนของ MITH ก็กล้าพูดเลยว่าเขาใช้น้ำหอมของ MITH 

นี่เลยเป็นหนึ่งในเหตุผลว่าทำไม MITH ไม่เคยหยุดที่จะพัฒนาน้ำหอมเลยสักวัน เพราะผมไม่อยากให้ผู้บริโภคกลับไปรู้สึกว่าน้ำหอมไทยสู้น้ำหอมต่างประเทศไม่ได้เหมือนในช่วง 8 ปีก่อนอีกต่อไปแล้ว อยากให้ผู้บริโภครู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นน้ำหอมใหม่ๆ กับความรู้สึกสงสัยว่า ‘MITH ยังไปต่อได้อีกเหรอ’ หรือ ‘เล่นใหญ่แล้ว ก็ยังใหญ่ได้อีกเหรอ’ มากกว่า ผมเองก็อยากให้แบรนด์น้ำหอมไทยทุกๆ แบรนด์ผลักดันโปรดักต์ไปในทิศทางเดียวกันด้วยนะ แล้วสุดท้ายตลาดน้ำหอมไทยก็จะโตขึ้นเอง 

ประสบการณ์และความรู้ของผู้บริโภคแตกต่างจาก 8 ปีที่แล้วยังไงบ้าง 

โห ผู้บริโภคมีความรู้เยอะขึ้นกันมาก ผมกล้าบอกเลยว่าผู้บริโภคเก่งขึ้น เผลอๆ เขาเก่งกว่าคนทำแบรนด์น้ำหอมบางคนซะด้วยซ้ำ ลูกค้าบางคนเองก็เก่งกว่าผมนะ นักรีวิวน้ำหอมบางคนก็เก่งมากด้วย (หัวเราะ) 

ส่วนตัวผม ผมคิดว่าความโชคดีของผู้บริโภคสมัยนี้คือการที่พวกเขามีสื่อที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย ทำให้ไม่ว่าใครที่สนใจก็สามารถค้นหาข้อมูลได้ง่ายขึ้น ฉะนั้นสิ่งที่แบรนด์จะต้องให้ความสำคัญด้วยเลยคือเรื่องของข้อมูล ถ้าแบรนด์ให้ข้อมูลอย่างไม่ตรงไปตรงมา ผมบอกเลยว่าผู้บริโภคเขาก็ไม่ได้โง่นะ (หัวเราะ)

มีอะไรอยากแนะนำให้กับเหล่าผู้บริโภคหน้าใหม่ที่สนใจอยากเข้าสู่วงการน้ำหอมมั้ย

จริงๆ ผมไม่มีอะไรอยากแนะนำเลย (หัวเราะ) ขอแค่ให้คุณเริ่มจากการไปลองดมกลิ่นดูก่อน เพราะการเลือกซื้อน้ำหอมเนี่ยมันเป็นอะไรที่ไม่ได้ยากเย็นเลยด้วยซ้ำ และเมื่อไหร่ที่คุณรู้สึกว่าอยากลองดมกลิ่นน้ำหอมของแบรนด์ไหนคุณก็แค่หาโอกาสไปลอง เหมือนการเดินเข้าร้านอาหารหรือการไปลองเครื่องสำอางที่เคาน์เตอร์ หากรู้สึกชอบก็ซื้อ ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องซื้อ แล้วก็เปลี่ยนไปลองแบรนด์อื่นๆ ต่อ

เพราะแน่นอนว่าแต่ละแบรนด์ก็มีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไปแค่คุณเปิดใจ เอาตัวเองไปอยู่ตรงนั้น ไปทดลองดมกลิ่นดู แค่นั้นก็พอ แล้วถ้าคุณได้การบริหารที่ไม่ดีกลับมา ก็ขอแค่อย่าเพิ่งเอาความรู้สึกไม่ดีเหล่านั้นไปตัดสินใจว่าแบรนด์น้ำหอมอื่นๆ จะเป็นเช่นเดียวกัน ก็ต้องเปิดใจให้แบรนด์อื่นๆ ให้เขาได้ให้บริการที่ดีให้กับคุณด้วย

สุดท้าย วิธีการฉีดน้ำหอมที่ถูกต้องคือแบบไหน

วิธีฉีดน้ำหอมที่ถูกต้องคือ ‘ไม่มีเลย’ มันไม่สามารถบอกได้เลย เพราะมันเป็นเรื่องปัจเจกบุคคล

อย่างผมเอง เวลาผมเทรนพนักงาน ผมจะไม่ให้พนักงานของผมบอกลูกค้าว่าต้องฉีดน้ำหอมบริเวณไหน บริเวณนี้หรือเปล่า ไม่มี ไม่มีการบอกว่าฉีดน้ำหอมที่เสื้อผ้าแล้วจะติดทนนาน ‘ไม่จริง’ เพราะมันยังมีปัจจัยอีกหลายอย่างที่สามารถกำหนดความคงทนของน้ำหอม อย่างการฉีดน้ำหอมบนเสื้อผ้าเนี่ยก็ต้องขึ้นอยู่กับชนิดของผ้าที่จะสามารถดูดซับกลิ่นน้ำหอมได้อีก การกระจายตัวของน้ำหอมในเนื้อผ้าแต่ละชนิดก็แตกต่างกันอีก ผ้าบางชนิดก็สามารถขับอุณหภูมิร่างกาย ทั้งยังสามารถทำให้น้ำหอมมันระเหยเร็ว มันมีปัจจัยเยอะมาก 

เพราะฉะนั้นอย่าคิดว่าฉีดที่ผิว ฉีดที่ผ้าแล้วจะสามารถดึงประสิทธิภาพของน้ำหอมได้ดีที่สุด อันนี้เป็นเรื่องส่วนตัวนะสำหรับผม เพราะคนที่ใช้น้ำหอมไม่ทน ต่อให้ฉีดที่ไหนก็ไม่ทนแหละ

D&DEPARTMENT PROJECT บริษัทที่คิดดีทำดีเพื่อท้องถิ่นของญี่ปุ่น

ถ้าไม่รู้จักมาก่อน พอได้ยินคำว่า D&DEPARTMENT คุณจะคิดถึงอะไร?

Development? Double? Design? 

D&DEPARTMENT PROJECT บริษัทญี่ปุ่นสุดเท่ที่เราอยากแนะนำให้รู้จักวันนี้เชี่ยวชาญด้านการใช้ดีไซน์ที่เหมาะสมกับท้องถิ่นและนำเอกลักษณ์ของแต่ละท้องที่มาพัฒนาเสน่ห์ให้เข้ากับวิถีชีวิตคนปัจจุบัน

ใน 1 จังหวัดเขาแนะนำหลายผลิตภัณฑ์โดยไม่ได้จำกัดแค่วัตถุที่จับต้องได้ แต่รวมไปถึงอาหาร ผู้คน วัฒนธรรม การท่องเที่ยว การเรียนรู้ โดยใช้ดีไซน์ที่ถูกใจคนยุคใหม่เป็นเครื่องมือสื่อสารผ่านสื่อหลายประเภท คนที่ชอบไปเที่ยวญี่ปุ่นน่าจะคุ้นตางานของพวกเขากันบ้าง เช่น D&DEPARTMENT ร้านรวมสินค้าในท้องถิ่นญี่ปุ่นที่ดีไซน์ดีมีคุณภาพและเรื่องราวสนุกๆ, d design travel นิตยสารแนะนำที่ท่องเที่ยวที่เน้นเรื่องไม่เน้นรูป, d47 SHOKUDO ร้านอาหารที่คัดวัตถุดิบคุณภาพดีจากทั่วญี่ปุ่น และ d47 MUSEUM พิพิธภัณฑ์เล่าเรื่องราวของ 47 จังหวัดผ่านแง่มุมต่างๆ ที่แวะไปทีไรก็อดใจไม่ไหวอุดหนุนสินค้าเขาไปเสียทุกที

D&DEPARTMENT PROJECT ทำงานหลากหลาย แต่ไม่ว่าจะเป็นร้านค้า ร้านอาหาร สิ่งพิมพ์ นิทรรศการ อีเวนต์ สัมมนา งานอบรมและงานอื่นๆ ทุกอย่างล้วนอยู่ภายใต้คอนเซปต์เดียวกันคือ Long-life Design และเราก็แสนโชคดีที่ได้ Mitsuko Matsuzoe (มิตสึโกะ มัตสึโซเอะ) ประธานบริษัทคนปัจจุบันมาเล่าเรื่องราวภารกิจเหล่านี้ให้ฟัง

เริ่ม D

D&DEPARTMENT PROJECT ก่อตั้งขึ้นในปี 1997 โดย Kenmei Nagaoka (เคนเม นากาโอกะ ) กราฟิกดีไซเนอร์ผู้มีงานอดิเรกคือการเดินเล่นตามร้านขายของมือสองซึ่งมีทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าและเฟอร์นิเจอร์ เขาได้พบกับของดีที่ไม่มีใครรักมากมายเลยค่อยๆ สะสมจนคิดว่าสักวันอยากจะเปิดร้านขายของมือสองที่รวมสินค้าดีไซน์ดี มีความอมตะ อยู่ได้ทุกยุคทุกสมัย

และแล้ววันนั้นก็มาถึง D&DEPARTMENT สาขาแรกในโตเกียวเปิดตัวเมื่อปี 2000

“จริงๆ แล้ว ตอนแรกเราไม่ได้ตั้งใจจะเปิดร้าน ตอนตั้งบริษัทนี้ เราเป็นบริษัทดีไซน์ ทำงานออกแบบ วิดีโอต่างๆ แต่ระหว่างที่ทำงานมาเรื่อยๆ จังหวะและโอกาสลงตัวพอดี ร้านค้าสาขาแรกเลยถือกำเนิดขึ้น” มิตสึโกะผู้ร่วมหัวจมท้ายมากับเคนเมตั้งแต่แรกเริ่มเล่าที่มา

ระยะแรกร้าน D&DEPARTMENT เน้นเรื่องของมือสองและการรีไซเคิลสินค้ามากกว่า 95% รับมาจากร้านมือสอง ซึ่งหลายชิ้นเห็นแล้วชวนสงสัยว่าทำไมคนไม่ใช้ทั้งที่ดีไซน์ดี ทีมงานเลยเอาของเก่ามาปรับปรุงใหม่แล้วลองขาย

“ด้วยความที่เขาทำงานออกแบบมาเยอะมาก เขารู้ดีว่าต่อให้ตั้งใจออกแบบแค่ไหน ถ้าผู้ใช้คิดว่าไม่ดี ต่อให้เป็นของดี คนก็ไม่สนใจ เคนเมเลยให้ความสำคัญกับการสื่อสารให้ผู้บริโภคเข้าใจด้วยว่าอันนี้ดีไซน์ดีนะ”

พอรับของมาเรื่อยๆ เริ่มเจอของแบบเดิมบ่อยครั้ง บางทีของยังดี แต่น็อตหายไป 1 ตัว ทีมงานเลยติดต่อผู้ผลิตขอซื้อพาร์ตมาซ่อมแซม ถึงได้รู้ว่าจริงๆ แล้วสินค้านั้นก็ยังวางจำหน่ายอยู่ เลยได้ไอเดียอยากเอามาลองขายด้วย หรือสินค้าที่เลิกผลิตแล้ว แต่มีแม่พิมพ์อยู่ สามารถผลิตใหม่ได้ พอมีเคสแบบนี้มากขึ้น D&DEPARTMENT เลยเริ่มมีของมือหนึ่งวางขายด้วย

และนั่นคือจุดเริ่มต้นของโปรเจกต์ 60 VISION ที่ช่วยพลิกชีวิตให้กับร้านท้องถิ่นมากมายและสร้างชื่อให้ D&DEPARTMENT ในวงกว้างในฐานะผู้ใช้ดีไซน์คืนเสน่ห์ให้ของดีที่ถูกมองข้าม

D มาก 

โปรเจกต์ 60 VISION คือการสร้างแบรนด์ให้กับเหล่าของดีในยุค 1960 ที่เคยถูกทิ้งขว้าง โดย D&DEPARTMENT จะร่วมมือกับแบรนด์ต่างๆ เหล่านั้นเพื่อเจาะกลุ่มตลาดวัยรุ่นอายุ 20-39 ปี นำของเก่าหรือดีไซน์เก่ากลับมาปรับโฉมใหม่ให้เข้ากับความชอบและการใช้งานในยุคปัจจุบันมากขึ้นและต้องเป็นของที่อยู่ได้นาน ไม่ล้มหายตายจากไปพร้อมกระแสที่เปลี่ยนไปทุกปี ตัวอย่างบริษัทดังที่เข้าร่วมโปรเจกต์นี้ได้แก่ Karimoku แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ไม้, MoonStar รองเท้าผ้าใบ และ Noritake ผู้ผลิตเครื่องปั้นดินเผาชื่อดัง

เคนเมสนใจงานดีไซน์ในยุค 60s เป็นพิเศษเพราะเขามองว่าเป็นยุคที่คนตั้งใจออกแบบเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตชาวญี่ปุ่น หลังจากผ่านช่วงสงครามซึ่งทุกอย่างขาดแคลน ยุคนี้เป็นช่วงที่สถานการณ์เริ่มดีขึ้น ดีไซเนอร์ทุ่มเทสร้างผลงานเพื่อคนญี่ปุ่นโดยรวมมากกว่าสร้างชื่อให้ตนเองเหมือนในปัจจุบัน อีกทั้งงานในยุคนี้ยังสร้างมาตรฐานและกลายเป็นพื้นฐานให้งานดีไซน์ญี่ปุ่นในยุคถัดมา

“ยุคนั้นถือเป็นช่วงที่มีของดีๆ ผลิตออกมามากมายเพื่อทำให้การใช้ชีวิตดีขึ้น โดยเรียนรู้จากผลงานต่างประเทศด้วย แต่พอเข้ายุค 80s เริ่มมีของเลียนแบบมากขึ้นเลยทำให้งานคราฟต์เหล่านั้นเริ่มหายไป แต่ของบางอย่างยังเหมาะกับการใช้งานในปัจจุบัน เราเลยนำกลับมาขายใหม่”

K Chair เก้าอี้ยอดฮิตของแบรนด์ Karimoku60 (สินค้าที่ได้รับการพัฒนาภายใต้โปรเจกต์นี้จะใช้ชื่อบริษัท+60) คือตัวอย่างความสำเร็จของโปรเจกต์นี้ที่น่าสนใจ Karimoku เป็นบริษัทผลิตเฟอร์นิเจอร์ไม้เก่าแก่ในจังหวัดไอจิที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ยุคเอโดะ (1603-1868) แบรนด์เล็กๆ ในท้องถิ่นที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียงมากนัก แต่เคนเมไปเจอ K Chair ในร้านมือสองและถูกใจจนติดต่อขอเอาไปขายที่ร้าน เขามีไอเดียมากมายที่ทำให้ K Chair เป็นที่รักของคนยุคนี้ เช่น เปลี่ยนผ้าหุ้มเบาะ เปลี่ยนสีไม้ และเพิ่มช่องทางขายใหม่ๆ อย่างเว็บไซต์ 

แน่นอนว่าบริษัทเก่าแก่ที่คุ้นชินกับวิธีดั้งเดิมค้านสุดใจ แต่สุดท้ายก็ใจอ่อนเพราะความมุ่งมั่นของเคนเมที่เทียวไล้เทียวขื่ออย่างไม่ลดละ จนได้สินค้าล็อตแรกไปลองวางขายที่ D&DEPARTMENT ในปี 2001 ซึ่งปรากฏว่าขายได้ถึงหลายสิบล้านเยน โปรเจกต์ Karimoku60 จึงได้ถือกำเนิดอย่างเป็นทางการและยังคงทำต่อเนื่องถึงปัจจุบันโดยมี K Chair และลูกหลานเป็นพระเอก

“ตอนแรกพาร์ตเนอร์ส่วนมากเป็นบริษัทใหญ่ แต่ทั้งบริษัทเล็กๆ และช่างในท้องถิ่นเริ่มติดต่อเข้ามาเอง หลังจากเห็นผลงานของเรา พอทำไปเรื่อยๆ เราพบว่าสินค้างานคราฟต์ระดับท้องถิ่นก็ตกอยู่ในสภาพเดียวกัน คือมีของดีที่ขายไม่ได้ ตัวช่างฝีมือก็ลำบาก พวกเขาบอกว่าชอบสิ่งที่พวกเราทำ อยากฝากผลิตภัณฑ์ของเขาให้ดูแลด้วย”

ไม่แปลกใจเลยที่จะมีคนติดต่อเข้าไปหามากมาย เพราะใครเห็นความสำเร็จของโปรเจกต์นำร่องในการรีแบรนดิ้ง Karimoku ก็ต้องปรบมือให้ทั้งนั้น เพราะยอดขายของบริษัทเพิ่มขึ้นกว่า 100 เท่าเลยทีเดียว 

กิน D อยู่ D เที่ยว D 

อีกหนึ่งผลงานโดดเด่นของ D&DEPARTMENT คือไกด์บุ๊ก d design travel 

design travel คือการต่อยอดจากร้านค้า D&DEPARTMENT หลังจากที่พวกเขาไปเปิดร้านที่ฮอกไกโดก็อยากให้คนแวะไป แต่จะให้คนตั้งใจเดินทางไปฮอกไกโดเพื่อร้านนี้อย่างเดียวอาจจะยาก เลยเกิดไอเดียทำหนังสือนำเที่ยวแถวนั้นด้วยเป็นการจูงใจ ซึ่งเนื้อหาเน้นสิ่งที่คนที่ชอบ D&DEPARTMENT น่าจะอยากไป 

ญี่ปุ่นมี 47 จังหวัด ตอนนี้ทำไปแล้ว 33 เล่ม 

“ตอนนี้ยิ่งมีหลายที่ติดต่อเข้ามาอยากให้ไปช่วยทำคอนเทนต์เล่าเรื่องราวท้องถิ่นของพวกเขาแบบดีไซน์สวยและเนื้อหาเหมาะสม ช่วง 3 ปีที่ผ่านมาทำงานสิ่งพิมพ์เยอะมากเลย

“ถ้าเน้นข้อมูลอย่างเดียว เราสามารถหาในอินเทอร์เน็ตได้เยอะมาก แต่มักจะไม่ค่อยมีข้อมูลเล่าไปถึงความเป็นมา ความเป็นอยู่เชิงวัฒนธรมอย่างครบถ้วน ฉันคิดว่าจะใช้สื่อเว็บไซต์หรือหนังสือก็ได้ เพราะทำหน้าที่ต่างกัน คนดูข้อมูลในเว็บต้องการข้อมูลอีกอย่าง คนซื้อหนังสือสนใจอีกอย่าง เราทำหนังสือโดยคำนึงถึงสิ่งนี้”

หนังสือของ d design travel ดีไซน์สวย รูปถ่ายก็สวย แต่ถ้าเทียบกับไกด์บุ๊กที่เราคุ้นชิน สัดส่วนรูปกับเนื้อหาต่างกันเยอะ คอนเทนต์แน่นและลึกสุดใจสมกับที่ส่ง บ.ก.ไปอยู่ที่นั่น 2 เดือนเพื่อเก็บข้อมูล พูดตามตรงว่า niche จนกลัวเขาขาดทุน แต่พอจะเข้าไปสั่งซื้อก็พบว่า sold out เกือบหมด 

“หนังสือใช้รูปสวยๆ เยอะๆ เล่าเรื่องอย่างละนิดละหน่อยก็ดีนะคะ คนชอบ แต่หลายคนพอได้ลองอ่านหนังสือที่เราทำแล้วชอบก็เยอะ ผู้อ่านของเราคือคนที่ชอบเนื้อหา ดีไซน์ คอนเซปต์แบบนี้ บางคนก็เลือกที่เที่ยวจากหนังสือที่เราทำ เช่นเล่มหน้าที่นี่ งั้นไปที่นี่ละกัน”

แต่ถึงจะทำหนังสือครบเกือบทั่วประเทศแล้ว ร้าน D&DEPARTMENT ยังมีแค่ 8 จังหวัดเท่านั้น

“เดิมทีคิดว่าอยากสร้างร้านให้ครบ 47 จังหวัด ตอนแรกทำที่โอซาก้ากับฟุกุโอกะ แต่การที่เราไปเปิดเอง มันเหมือนแค่ไปเปิดร้านเฉยๆ ไม่มีความหมาย ถ้าคนในท้องถิ่นที่อาศัยในย่านนั้นๆ ไม่ได้เป็นคนลงมือทำเองหรือมีส่วนเกี่ยวข้อง เราเลยตัดสินใจว่าไม่ไปเปิดเองแล้ว แต่ถ้ามีคนในท้องถิ่นติดต่อมาว่าอยากเปิด เราค่อยเป็นพาร์ตเนอร์ทำด้วยกัน”

มิตสึโกะบอกว่าขั้นตอนการเลือกพาร์ตเนอร์แทบไม่ต่างกับการดูตัวหาคู่ ต้องคุยกันหลายครั้งเพื่อดูว่าวิสัยทัศน์ตรงกันมั้ย คนที่ติดต่อเข้ามาอยากทำอะไร มีเป้าหมายอะไร คุยในระดับนึงแล้วก็ต้องไปดูที่หน้างาน ที่ต้องคุยและเช็กหลายรอบเพราะสิ่งสำคัญคือความคิดของพาร์ตเนอร์ ทำไมเขาอยากทำ ถ้าคุยแล้วดูไม่ตรงกันก็แยกย้าย

ในบรรดา 8 จังหวัดที่มีร้าน D&DEPARTMENT มีทั้งสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังอย่างโตเกียว, เกียวโต, ฮอกไกโด, โอกินาว่า และเมืองรองอย่างโทยามะ, มิเอะ, ไซตามะ, คาโกชิม่า และใน 8 ร้านนี้มีทั้งที่บริหารเองและเป็นแฟรนไชส์ แต่ละร้านแตกต่างกันไปตามวัตถุประสงค์ในการเปิดและลักษณะเด่นของท้องถิ่น

ตัวอย่างเช่น ร้านที่โทยามะ พื้นที่ประมาณ 6.6 ตารางเมตรเองเพราะไม่ได้เน้นขายของ แต่ทำเป็นโรงเรียน ให้คนที่มาได้ออกไปเรียนรู้ในทุ่งนามากกว่า แต่เกียวโตซึ่งเป็นที่ท่องเที่ยวชื่อดัง และมีช่างฝีมือ คนทำของต่างๆ มากมาย จึงทำร้านให้เหมาะกับนักท่องเที่ยวด้วย ส่วนคาโกชิม่า ร้านอยู่ในห้างสรรพสินค้า ทางห้างเป็นคนติดต่อมาว่าอยากทำ เขาบอกว่าคนที่มาเดินห้างของเขากว่า 40% เป็นนักท่องเที่ยว เลยอยากเน้นของที่เหมาะกับชีวิตประจำวันและของแต่งบ้าน ซึ่งเจ้าของไม่ได้เปิดเน้นขายเอากำไร แต่อยากส่งเสริมของดีในท้องถิ่นให้เป็นที่รู้จักจะได้อยู่ได้นานๆ

“แม้แต่ละร้านจะมีเป้าหมายต่างกัน แต่หลักๆ คือพวกเรากำลังทำเรื่อง long-life design แล้วแต่ว่าเขาอยากทำอะไร ยังไง เช่น ทำผ่านอาหารเครื่องดื่ม ทำแบบเน้นกิจกรรม ทำเน้นสินค้า”

แต่ไม่ว่าจะทำหนังสือ ร้านค้าหรืองานนิทรรศการ สิ่งสำคัญที่ D&DEPARTMENT ใส่ใจคือ สิ่งที่จะสื่อสารกับผู้ผลิตและผู้บริโภค

การบริหารธุรกิจที่ D

“มีมั้ยนะ (หัวเราะ)” ท่านประธานหญิงแกร่งแห่ง D&DEPARTMENT หัวเราะเมื่อถูกถามถึงแผนธุรกิจ

“ฉันคิดว่าไม่มีนะ พวกเราไม่เคยคิดว่าปีนี้จะขยายสาขาไปต่างประเทศ หรือปีนี้จะทำธุรกิจใหม่อะไรบ้าง มันไม่ใช่แนวทางของเรา ส่วนมากมันเกิดขึ้นเอง เช่น พอทำอันนี้แล้ว มันต้องทำอันนี้ต่อ หรือจะทำอะไรแล้วพบปัญหา ก็เลยต้องทำอีกอย่างเพื่อแก้ไข

“จริงๆ แล้วส่วนมากมาจากคนนอกติดต่อเข้ามาด้วย เช่น มีคนอยากเปิดร้าน เราก็จะดูว่าน่าจะทำงานร่วมกันได้ไหม แค่ทำงานที่คนติดต่อเข้ามาก็เยอะมากแล้ว (หัวเราะ) พอมีคนติดต่อเข้ามาเพราะคิดว่าเราจำเป็นต่อเขา เราก็อยากจะร่วมโปรเจกต์ด้วย”

เธอยังเล่าต่ออีกว่าบทบาทในฐานะประธานแทบไม่ต่างจากก่อนรับตำแหน่งสักเท่าไหร่ ด้วยความที่มิตสึโกะเข้าทำงานมาตั้งแต่ก่อนเปิดร้านแรกในโตเกียวเสียอีก ถึงจะทำตำแหน่งพีอาร์ แต่ก็ทำแทบทุกอย่างมาตั้งแต่สมัยนั้น ไม่ว่าจะเป็นงานที่ร้าน งานขายของ ขายอาหาร และการพัฒนาสิ่งใหม่ๆ เพื่อแก้ปัญหาที่เจอ 

ไม่ต่างจากพนักงานในยุคปัจจุบัน พนักงานแต่ละคนมีทักษะหลากหลายและรับหน้าที่หลายอย่าง ในบริษัทมีพนักงานทั้งหมด 80 คน แบ่งเป็นหลายแผนก เช่น แผนกสินค้า แผนกดีไซน์ แผนกมาร์เก็ตติ้ง แผนกพิพิธภัณฑ์ แต่จริงๆ แล้วทุกคนต้องทำได้หลายอย่าง เช่น ทีมนิตยสาร d design travel จริงๆ แล้วมีคนทำคนเดียวคือบรรณาธิการ ลงพื้นที่ เก็บข้อมูลเอง ถ่ายรูปเอง ปั้นจนหนังสือเสร็จ แล้วบางครั้งยังรับบทหัวหน้าทีมจัดนิทรรศการและอีเวนต์ต่างๆ ด้วยเพราะรู้ลึกที่สุดและมีความสัมพันธ์อันดีกับคนในท้องถิ่น เวลามีโปรเจกต์หรืออีเวนต์ก็จะดึงคนจากแต่ละแผนกมาช่วยกัน 

“อย่างร้านอาหาร d47 Shokudo จะทำเมนูใหม่ ทีมก็ต้องไปหาผู้ผลิตถึงแหล่งวัตถุดิบ ต้องไปดูว่าเขาทำยังไง มีความทรงจำแบบไหน เอาไปทำอะไรอร่อยที่สุด ไปเรียนมาก่อนถึงค่อยเพิ่มเมนู ต่อให้คิดเมนูเสร็จแล้วก็ยังต้องไปเรียนรู้อีกเป็นระยะ จะเล่าให้ลูกค้าฟังได้ถูกต้องพนักงานที่นี่ต้องมีหลายทักษะ (หัวเราะ)”

แม้จะได้รับการยอมรับว่าเชี่ยวชาญในการใช้ดีไซน์ดึงเสน่ห์ของท้องถิ่นปรับให้เข้ากับปัจจุบันผ่านธุรกิจหลายประเภททั้งสินค้า สิ่งพิมพ์ อีเวนต์และอื่นๆ แต่ใช่ว่าทุกธุรกิจจะสร้างกำไรเสมอไป

“จริงๆ แล้วเหนื่อยมากทุกงาน คิดตลอดว่าทำไมพวกเราถึงทำกันขนาดนี้นะ (หัวเราะ) กำไรบ้าง ขาดทุนบ้างแต่ก็ผ่านมาได้ถึงตอนนี้ การทำต่อไปเรื่อยๆ เลยน่าจะเป็นเรื่องที่ท้าทายที่สุด ถ้าสิ่งที่เราทำไม่ได้การตอบรับจากสังคมก็ทำต่อไม่ได้ หมายความว่าเราไม่จำเป็นแล้ว เราเริ่มมาตั้งแต่ปี 2000 จนถึงตอนนี้ก็รู้สึกได้ว่ามีคนรับรู้ถึงความสำคัญของสิ่งที่เราทำอยู่ ตอนนี้เลยคิดว่ายังพอทำต่อไปได้เรื่อยๆ (หัวเราะ)”

ตอนนี้ D&DEPARTMENT เปิดที่ต่างประเทศแล้ว 2 ประเทศ คือเกาหลีกับจีน ทีมงานถึงได้รู้ว่าต่างประเทศก็อาจจะมีปัญหาคล้ายๆ ญี่ปุ่น ถึงจะเหนื่อยแต่ท่านประธานคนเก่งก็ยังบอกว่า ถ้าประเทศไหนเจอปัญหาคล้ายๆ กัน ก็พร้อมไปลุย ขอแค่ได้เจอพาร์ตเนอร์ที่แนวคิดตรงกัน

D ต่อชุมชน

คำว่า Long-life Design อันเป็นแก่นสำคัญของ D&DEPARTMENT ไม่ได้หมายถึงแค่ชิ้นงานและการออกแบบเท่านั้น แต่ครอบคลุมไปถึงเรื่องอื่นที่เกี่ยวข้องกับงานดีไซน์นั้นๆ ด้วย เช่น กระบวนการผลิตและวิธีขาย เพราะพวกเขาเชื่อว่าทุกองค์ประกอบมีอิทธิพลต่อการสร้างสินค้าที่จะอยู่ในหัวใจคนได้นาน ซึ่งจะช่วยสร้างงานสร้างรายได้ให้กับชุมชนนั้นๆ ด้วย

“เราพยายามเลือกคนทำงานฝีมือที่อยากช่วยให้เขาสามารถสืบทอดวิชาต่อไป อยากทำให้คนอื่นคิดเหมือนกันด้วยว่านี่เป็นสิ่งที่ควรรักษาเอาไว้ เจ้าตัวเองก็คงคิดเหมือนกัน ถึงได้ติดต่อเรามาให้ทำสินค้าให้ ซึ่งเราไม่ได้แค่ทำขายเฉยๆ แต่พยายามหาว่าควรให้คนนี้ทำอะไรถึงจะเหมาะ รวมไปถึงต้องเป็นของที่ขายได้เรื่อยๆ ด้วย พอเริ่มต้นด้วยไอเดียว่า ของที่ขายได้นานคือของที่ดี เราก็ไปเลือกต่อว่างั้นท้องถิ่นนี้จะทำอะไรดี”

ในการพัฒนาสินค้า long-life design product พอคุยกันจบว่าจะทำร่วมกัน ทาง D&DEPARTMENT ก็จะขอไปหน้างานว่าทำอะไร แบบไหน คนแบบไหนเป็นคนทำ สภาพแวดล้อมเป็นยังไง รวมไปถึงศึกษาว่าเคยทำอะไรมาบ้าง เคยเลิกขายอะไรเพราะขายไม่ดีหรือไม่ เพราะมักเจอของดีที่เขาเลิกผลิตแล้ว รวมเวลาทำสินค้าต้นแบบ ลองใช้ ฟังฟีดแบ็ก เช็กข้อเสียต่างๆ จะใช้เวลาประมาณ 1 ปีกว่าจะเริ่มวางขาย

“ทั้งคนว่าจ้างและทีมงานช่วยกันออกไอเดียว่าต้องทำของใช้ในชีวิตประจำวันแบบไหนถึงจะเหมาะสมและทำให้ชีวิตดีขึ้น เราอยากให้มีคนทำของดีๆ ในท้องถิ่นและมีคนที่รับรู้ถึงความดีงามของสิ่งนั้นๆ เพิ่มขึ้นในพื้นที่ นี่เป็นเรื่องที่เราอยากทำมาโดยตลอด

“การหาข้อมูลส่วนนี้ใช้เวลานานเพราะเราอยากรู้จริงและอยากทำให้คนท้องถิ่นเห็นความตั้งใจจริงๆ ว่าเราไม่ได้จะทำฉาบฉวย ซึ่งกว่าจะได้การยอมรับก็นาน”

ในเชิงเศรษฐกิจต่อท้องถิ่น งานของ D&DEPARTMENT อาจจะไม่ได้สร้างอิมแพกต์เป็นตัวเลขที่ชัดเจน ส่วนมากจะส่งผลต่อแบรนด์ที่ทำงานร่วมกันโดยตรงมากกว่า เช่น สร้างการรับรู้ให้แบรนด์เล็กๆ ในท้องถิ่นและปรับภาพลักษณ์ให้แบรนด์เก่าแก่ที่ปรับตัวไม่ทันยุคสมัย 

“บายเออร์ของห้างใหญ่ๆ มักจะแวะมาดูสินค้าที่เราเลือกมาวางที่ร้านและพิพิธภัณฑ์ ซึ่งช่วยสร้างโอกาสให้ช่างหรือเจ้าของแบรนด์ได้งานเพิ่มขึ้น เคสแบบนี้มีเยอะเลย นอกจากนี้บางครั้งเหมือนเราเป็นสื่อกลางให้ 2 ฝ่ายได้คอลแล็บหรือทำโปรเจกต์ต่างๆ ร่วมกัน และช่วยให้หลายเจ้าที่กำลังคิดจะเลิกทำสามารถเดินไปต่อได้”

นอกจากเรื่อง long-life design ที่ทำมาตลอด ตอนนี้ D&DEPARTMENT กำลังเน้นเรื่อง LIFESTOCK เพื่อช่วยอุตสาหกรรมสิ่งทอญี่ปุ่นที่กำลังหดตัวลงอย่างมาก

LIFESTOCK คือโปรเจกต์นำผ้าและสิ่งทอค้างสต็อกในแต่ละท้องถิ่นซึ่งเป็นแหล่งผลิตผ้าในญี่ปุ่นมาใช้ โรงทอผ้าเก่าแก่หลายเจ้าต้องเลิกกิจการไปเพราะหลายเหตุผล เช่น ไม่มีคนสืบทอดเทคนิค ไม่มีกำลังโปรโมตและคนไม่พร้อมซื้อผ้าคุณภาพดีมีราคาเพราะต้นทุนสูงแข่งกับฟาสต์แฟชั่นไม่ไหว D&DEPARTMENT เลยนำผ้าเหล่านั้นมาทำเป็นสินค้าแฟชั่นสวยๆ เพื่อช่วยบอกเล่าคุณค่าของ ‘เทคนิค’ และ ‘เอกลักษณ์’ ของผ้าเหล่านั้น

“พวกเราพยายามนำผ้าค้างสต็อกตามท้องถิ่นต่างๆ มาใช้ตลอด 10 ปี จนปริมาณเริ่มน้อยลงแล้ว แต่ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาผลิตน้อยลงด้วย เลยไม่มีของเหลือ ปัจจุบันนี้แบรนด์เสื้อผ้าญี่ปุ่นไม่ค่อยมีใครมีกำลังสั่งผ้าเยอะๆ เพราะคนซื้อของฟาสต์แฟชั่นกันหมด แบรนด์เลยไม่ค่อยซื้อผ้าที่ราคาต่อเมตรแพง หันไปใช้ผ้านำเข้าราคาถูกเพื่อแข่งขันเลยทำให้อุตสาหกรรมทำผ้าญี่ปุ่นถดถอยลงเรื่อยๆ พวกเราเลยคิดว่าเราต้องหาทางทำให้เรามีกำลังสั่งผ้าของพวกเขา แต่จะทำอะไร ยังไง ก็ต้องคิดต่อ ตอนนี้เพิ่งเริ่ม

“สุดท้ายแล้วภารกิจของพวกเราก็คือ อยากให้คนได้ใช้ชีวิตที่ดี ผ่านของที่ดีไซน์และตั้งใจทำมาอย่างดี”