นาทีนี้เมื่อพูดถึงวงการอาร์ตทอยคงไม่มีอะไรกระแสแรงไปกว่าแบรนด์อาร์ตทอยกล่องสุ่มจาก POP MART อีกแล้ว นอกจากจะเป็นกล่องสุ่มที่คนลุ้นกันทั่วบ้านทั่วเมือง โดยเฉพาะในประเทศแถบเอเชีย ในบ้านเราก็ยังฮอตฮิตจนทำเอา POP MART สาขาเซ็นทรัลลาดพร้าวทุบสถิติสาขาที่มียอดขายเป็นอันดับ 1 จากกว่า 400 สาขาทั่วโลก
ย้อนกลับไปปี 2010 ในวันแรกที่ POP MART ก่อตั้งขึ้น ‘หวังหนิง (Wang Ning)’ ชายหนุ่มชาวจีนแห่งมณฑลเหอหนานเริ่มต้นแบรนด์มาด้วยการเป็นเพียงร้านขายสินค้าจิปาถะที่รวมของป๊อปๆ ที่อยู่ในเทรนด์ โดยร้านของเขาตั้งอยู่ในย่านซิลิคอนแวลลีย์ของปักกิ่ง เขาขายตั้งแต่เครื่องเขียน เครื่องสำอาง ไปจนถึงของเล่นกระจุ๊กกระจิ๊ก ตอนทำร้านสาขาแรกนั้นหวังหนิงได้ระดมทุนกับเพื่อสมัยเรียนมหาวิทยาลัย โดยที่ทั้งคู่อายุแค่ 22-23 เท่านั้น
แม้ตอนนี้กิจการของเล่นกล่องสุ่มในชื่อ POP MART จะประสบความสำเร็จเป็นพลุแตก แต่หากย้อนอดีตกลับไปดูวันวานของหวังหนิง กว่าจะเดินทางมาถึงวันนี้เขาต้องฝ่าฟันปัญหามานับไม่ถ้วน ยิ่งเมื่อเขาเริ่มกิจการมาด้วยแพสชั่นและความฝัน และไม่มีประสบการณ์ด้านการทำธุรกิจที่มากนัก ทำให้ต้องเจอกับปัญหามากมายที่ยากจะแก้ไข ไม่ว่าเป็นการที่ร้านขายสินค้าหลากหลายประเภทเกินไปจนเกิดปัญหาสินค้าล้นคลัง ตลอดจนการเจอกับปัญหาเรื่องพนักงานและการรักษาคุณภาพการให้บริการลูกค้า
ในวันที่แบรนด์ของเล่นแสนเก๋สัญชาติจีนได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ในตลาดของเล่นทั่วโลก โดยเฉพาะเรื่องของกลยุทธ์การขายแบบกล่องสุ่มที่ผสานทั้งความสนุก ตื่นเต้น และความหายากเข้าไว้ด้วยกัน Capital List ครั้งนี้จึงอยากชวนแฟนๆ ของ POP MART กระทั่งคนที่กำลังอยากเข้ามาในวงการของเล่นกล่องสุ่ม ไปอันบอกซ์ดูเบื้องหลังและวิธีคิดที่ทำให้แบรนด์ของเล่นแบรนด์นี้ประสบความสำเร็จและเติบโตจนสร้างมูลค่าหลายหมื่นล้านบาทได้ในเวลาเพียงไม่กี่ปี
1. คอลแล็บกับศิลปินและบริษัทคาแร็กเตอร์
หลังจากปรับตัวขนานใหญ่ ในปี 2016 POP MART ก็ได้ร่วมมือกับ Kenny Wong ศิลปินเจ้าของคาแร็กเตอร์มอลลี่ (Molly) การจับมือของ POP MART และศิลปินผู้ออกแบบมอลลี่ได้ทำยอดขายให้กับแบรนด์กว่า 22 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2016 และอีกกว่า 73 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2017 ต่อจากนั้นแบรนด์ก็ได้คอลแล็บกับศิลปินเรื่อยมา อย่างที่ไทยก็มีร่วมมือกับ มด–นิสา ศรีคำดี เจ้าของคาแร็กเตอร์ Crybaby ทำอาร์ตทอยคาแร็กเตอร์น้องเด็กน้ำตานองขึ้นมาเพื่อตีตลาดคนไทย ซึ่งก็ขายดิบขายดี ขายได้กว่า 50 ล้านชิ้น และทำรายได้ไม่น้อยให้กับแบรนด์
นอกจากการร่วมมือกับศิลปินเจ้าของมอลลี่ POP MART ยังได้ทำงานกับนักออกแบบคาแร็กเตอร์ในภูมิภาคเอเชียอีกหลายคน เช่น Kasing Lung เจ้าของน้อง Labubu, Ayan Deng เจ้าของน้อง Dimoo ฯลฯ ทั้งทางแบรนด์ยังได้คอลแล็บกับบริษัทคาแร็กเตอร์มากมายเพื่อเพิ่มความหลากหลายให้กับอาร์ตทอย และเพิ่มโอกาสด้านการขาย ไม่ว่าจะเป็นการร่วมมือกับแฮร์รี่ พอตเตอร์, สพันจ์บ็อบ, DC ไปจนถึงเหล่าคาแร็กเตอร์จากค่ายดิสนีย์ ซึ่งปัจจุบันแบรนด์มีศิลปินในความร่วมมืออยู่มากกว่า 300 คนทั่วโลก
2. ให้อิสระและโอกาสกับศิลปินในการสร้างสรรค์ผลงาน
ที่สำคัญกว่าการร่วมมือกับศิลปินและบริษัทคาแร็กเตอร์ คือการที่ POP MART ให้อิสระในการทำงานกับเหล่าศิลปินนี่แหละ เราเลยจะได้เห็นว่าทุกๆ คอลเลกชั่นของคาแร็กเตอร์ต่างๆ นั้นเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ และตอบสนองรสนิยมที่แตกต่างหลากหลายของเหล่าแฟนแบรนด์และแฟนคาแร็กเตอร์อาร์ตทอย และการให้อิสระกับศิลปินนี่เองที่เป็นอีกส่วนสำคัญที่ทำให้ศิลปินผสมผสานงานศิลป์กับความเป็นสมัยใหม่ให้เข้ากันได้อย่างลงตัว
ปี 2017 ทางแบรนด์ยังได้ตั้ง POP Design Center (PDC) ขึ้นมาเพื่อพัฒนาศิลปินและบริหารจัดการเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อประโยชน์ของศิลปิน นอกจากนั้นก็ได้เปิดเวที Largest Art Toys Show in Asia ตามหานักออกแบบหน้าใหม่ๆ และศิลปินมากฝีมือได้มีโอกาสมาคิดสร้างสรรค์อาร์ตทอยร่วมกันกับแบรนด์
3. เน้นการขายแบบกล่องสุ่มปริศนา (mystery box)
ความสนุกของการซื้อกล่องของเล่นที่มาพร้อมกับความเป็นปริศนา (mystery) คือผู้ซื้อได้สนุกกับการซื้อ ซึ่งกล่องสุ่มของ POP MART ได้เปรียบเหมือนกล่องปริศนา ทุกครั้งก่อน unbox เรามักจะเลือกตัวละครพิเศษที่เราอยากได้ไว้ก่อน และลุ้นไปจนถึงนาทีสุดท้ายที่น้องตัวการ์ตูนน่ารักๆ จะโผล่ออกมาให้ได้ชื่นใจ สร้างทั้งความตื่นเต้น ท้าทาย และกระตุ้นให้คนซื้ออยากซื้อซ้ำเพื่อสะสมคาแร็กเตอร์ให้ครบคอลเลกชั่น ถึงแม้ว่าของเล่นกล่องสุ่มจะมีมานานแล้วในวัฒนธรรมของญี่ปุ่น แต่การนำกลยุทธ์นี้มาใช้ของ POP MART ก็นับเป็นการเอาความเก่ามาทำใหม่ได้โฮ่งมากคุณน้า
4. กล่องสุ่มของเล่นที่มาพร้อมกับคุณภาพ
อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ทำให้สินค้าของ POP MART มัดใจแฟนๆ อาร์ตทอยได้ก็คือการเป็นของเล่นที่มีคุณภาพ แม้จะเป็นของเล่นที่มีสถานะเป็นกล่องสุ่ม แต่โปรดักต์ทุกชิ้นของแบรนด์ล้วนละเอียด สวยงาม และได้รับการควบคุมคุณภาพ ของเล่นทุกชิ้น สำคัญขนาดที่ทางแบรนด์เปลี่ยนจากจากโรงงาน OEM มาเป็นการมีโรงงานเป็นของตัวเองกันเลย ซึ่งการมีโรงงานนั้น นอกจากจะช่วยให้ควบคุมการผลิตและคุณภาพสินค้าได้ดีขึ้น อีกด้านก็ช่วยให้แบรนด์ได้เปรียบทางการแข่งขันและสามารถควบคุมต้นทุนและผลิตสินค้าออกมาได้ตามความต้องการของตลาดด้วยเช่นกัน
อีทา โอไบรอัน (Ita O’Brien) นับว่าเป็น Intimacy Coordinator คนแรกของวงการ ก่อนจะสถาปนาตัวเองเป็นผู้ประสานงานด้านการถ่ายทำฉากลึกซึ้ง เธอเคยเป็นทั้งนักเต้น นักแสดง และครูสอนมูฟเมนต์มาก่อน ในงานหลังนี้เองทำให้เธอได้โฟกัสกับเรื่องการทำให้นักแสดงรู้สึกปลอดภัยเมื่อพวกเขาต้องเข้าฉากที่ใกล้ชิดกัน ทำให้อีทามีไอเดียในการทำไกด์ไลน์สำหรับการเข้าฉากลึกซึ้ง (Intimacy on Set Guidelines) ซึ่งภายหลังกลายมาเป็นมาตรฐานที่เหล่าคนบันเทิงหยิบมาใช้
Sex Education คือซีรีส์เรื่องแรกที่อีทาได้ถูกจ้างให้เป็นผู้ประสานงานการถ่ายทำฉากลึกซึ้ง เธอยังทำงานเดียวกันให้กับโปรเจกต์ใหญ่ที่ล้วนมีฉากวาบหวิว ทั้ง Normal People (2020), The Great (2020), Watchmen (2009) ไปจนถึงซีรีส์ช่อง HBO อย่าง I May Destroy You (2020)
Eric Morley ผู้ร่วมก่อตั้ง Blue C ครีเอทีฟเอเจนซีสัญชาติอเมริกันที่เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาแบรนด์และการตลาดดิจิทัลเล่าว่าโควิด-19 ส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้คน ค่านิยมของสังคม หลังวิกฤตโรคระบาดคลายลง สภาพเศรษฐกิจของหลายประเทศก็ดีขึ้นตามลำดับ หลายๆ แบรนด์จึงเริ่มกลับมาตั้งตัวได้ในช่วงปีนี้และตั้งเป้าขยายบริษัทไปยังต่างประเทศ นอกจากนั้น เทคโนโลยีต่างๆ โดยเฉพาะ AI ยังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ไม่นานมานี้ IKEA ได้เปิดตัวคอลเลกชั่น TESAMMANS ที่มีพาเลตต์สีสันสดใสอย่างโดดเด่นและมีผู้ให้ความสนใจสินค้ารุ่นนี้อย่างมาก หลายคนน่าจะรู้จัก IKEA กันอยู่แล้ว แต่อาจจะยังไม่รู้จักทีมผู้อยู่เบื้องหลังการออกแบบสีสันในคอลเลกชั่นนี้ซึ่งเป็นสตูดิโอออกแบบชื่อ Raw Color
Raw Color เป็นสตูดิโอของนักออกแบบชาวดัตช์ที่เมืองไอนด์โฮเวน ประเทศเนเธอร์แลนด์ นอกจากผลงานที่คอลแล็บกับ IKEA แล้ว สินค้าของสตูดิโอและผลงานโปรเจกต์ต่างๆ ยังมีความโดดเด่นด้านการออกแบบสีจนทำให้ได้ร่วมงานกับแบรนด์ระดับโลกมากมาย เช่น Adidas, Samsung, Puig ผู้ผลิตน้ำหอมหลายแบรนด์อย่าง Prada และยังได้ร่วมงานกับแบรนด์ท้องถิ่นและพิพิธภัณฑ์หลายแห่ง
สตูดิโอออกแบบแห่งนี้ ก่อตั้งในปี 2008 โดย Christoph Brach และ Daniera ter Haar ความถนัดของสตูดิโอคือการทำงานแบบรวมศาสตร์หลายแขนง (interdisciplinary) ในสาขาออกแบบกราฟิก ภาพถ่าย และออกแบบผลิตภัณฑ์โดยมีหัวใจสำคัญคือการออกแบบสี ผลงานของพวกเขามีความหลากหลายไม่ว่าจะเป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์เดิมที่มีอยู่ให้สวยงามมากขึ้นด้วยสีแปลกตา สร้างประสบการณ์ใหม่และผลิตภัณฑ์คอนเซปต์ใหม่ด้วยสี ใช้สีและกราฟิกนำเสนอข้อมูล ไปจนถึงสร้างสรรค์นิทรรศการแนวคิดใหม่จากสีในงานออกแบบ
งานของ Raw Color แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ใหม่ๆ และพลังของสีที่สร้างความเซอร์ไพรส์ให้ผู้คน ใครที่ประทับใจคอลเลกชั่น TESAMMANS น่าจะตกหลุมรักผลงานอื่นๆ และวิธีคิดงานของสตูดิโอออกแบบนี้ด้วยเช่นกัน
ความจริงแล้ว Raw Color เป็นชื่อโปรเจกต์แรกที่คริสตอฟและดาเนียราร่วมงานกัน ทั้งคู่ริเริ่มโครงการของตัวเองด้วยงานวิจัยเกี่ยวกับสีของผักโดยสร้างระบบสีของตัวเองคล้ายๆ กับการสร้างระบบสีของ Pantone เมื่อได้รับผลตอบรับที่ดีทั้งสองคนจึงจัดนิทรรศการเพื่อเล่าเรื่องระบบสีที่คิดขึ้นเอง ผลงานนี้ทำให้ผู้คนส่วนมากจดจำพวกเขาได้จากชื่อโปรเจกต์และเข้าใจว่าเป็นชื่อของสตูดิโอ จนเมื่อมีคนถามหาสตูดิโอด้วยชื่อนี้หลายครั้ง ทั้งคู่จึงตัดสินใจใช้ชื่อนี้เป็นชื่อสตูดิโอจริงๆ ตามที่คนส่วนมากเข้าใจซะเลย ด้วยเหตุนี้คริสตอฟจึงกล่าวว่าชื่อสตูดิโอเป็นฝ่ายเลือกพวกเขา ไม่ใช่พวกเขาเป็นคนเลือกชื่อนั้น
ดาเนียราบอกว่าเหตุผลที่เธอชอบคำว่า raw เพราะคำนี้แปลว่าสิ่งบริสุทธิ์หรือสิ่งสำคัญ ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอให้ความสำคัญในทุกโปรเจกต์ที่ทำ กระบวนการคิดงานของทีมมักโฟกัสที่การสื่อสารคอนเซปต์สำคัญออกมาอย่างเรียบง่าย ส่วนคำว่า color ก็แทนความเชี่ยวชาญและความสนใจในการทำงานหลายแขนงของทั้งคู่ที่มีทั้งกราฟิกดีไซน์, รูปภาพ, textile ฯลฯ แต่ไม่ว่าจะทำงานรูปแบบไหน สีก็เป็นองค์ประกอบสำคัญในภาพที่ทำให้คนจดจำเอกลักษณ์ของ Raw Color ได้เสมอ
วิธีคิดงานของสตูดิโอสัญชาติเนเธอร์แลนด์แห่งนี้คือการรีเสิร์ชอย่างลงลึกว่าเฉดคู่สีไหนที่เมื่อจับมาอยู่ด้วยกันแล้วจะออกมาน่าสนใจและเป็นคู่สีที่เซอร์ไพรส์คนได้มากที่สุดจนสุดท้ายก็ได้ออกมาทั้งหมด 15 เฉดสีสำหรับสินค้า 18 ชิ้นในคอลเลกชั่นนี้ซึ่งจะเน้นไปที่เฟอร์นิเจอร์ชิ้นเล็ก โคมไฟ และของตกแต่งบ้านต่างๆ ในคอนเซปต์ ‘not the most typical home objects’ ที่เปลี่ยนโฉมของใช้หน้าตาธรรมดาให้ดูพิเศษด้วยสีสันสดใส
งานนี้ทั้งทีม IKEA และ RAW color ใช้เวลาทำด้วยกันกว่า 2 ปีและทำให้เห็นว่าเพียงจับคู่สีที่แตกต่างจากเดิมก็สามารถเปลี่ยนมู้ดแอนด์โทนและเปลี่ยนลุคของแบรนด์ได้
ทางสตูดิโอยังเคยออกแบบสินค้าให้แบรนด์ท้องถิ่นแถบยุโรปมากมาย เช่น คอลเลกชั่น Link & Loop ที่ทำร่วมกับ Sancal แบรนด์เฟอร์นิเจอร์เก่าแก่ที่สเปน โจทย์ของคอลเลกชั่นนี้คือการสร้าง ‘joyful way of sitting’ หรือเฟอร์นิเจอร์ที่ทำให้ประสบการณ์นั่งพักผ่อนเกิดความรื่นรมย์มากขึ้นในช่วงโควิด-19
ในบางครั้งแบรนด์ที่ติดต่อทางสตูดิโอเข้ามาก็มีบรีฟให้ออกแบบสินค้าที่คาดไม่ถึงและพบเห็นไม่ได้บ่อยนักอย่างการออกแบบขวดใส่น้ำหอมกระดาษและกระดาษดมน้ำหอมสำหรับแบรนด์น้ำหอม Puig จากสเปนซึ่งเป็นบริษัทที่ออกแบบน้ำหอมให้แบรนด์ดังอย่าง Prada, Dries Van Noten และ Jean Paul Gaultier ในการออกแบบจะคำนึงถึงประสบการณ์ในการดมน้ำหอมให้เกิดความประทับใจและได้สัมผัสกลิ่นอย่างเต็มที่ นอกจากสีสันของกระดาษที่สวยงามแล้วยังคำนึงถึงทรงกระดาษที่ทำให้อากาศหมุนเวียนและอำนวยให้สูดกลิ่นน้ำหอมได้สะดวกอย่างเต็มที่
อีกผลงานที่มีคนให้ความสนใจอย่างมากคือนิทรรศการชื่อ The Fans ในปี 2014 งานนี้นำเสนอการเปิดพัดลมสีสันสดใส ใช้หลักการเคลื่อนไหวคล้ายนาฬิกาที่ทำให้เห็นความสวยงามของสีที่แตกต่างกันขณะพัดลมกำลังหมุน
ทั้งนี้จุดมุ่งหมายของการจัดนิทรรศการในหลายครั้งคือการให้ผู้เข้าชมมีส่วนร่วมในการได้สัมผัสโลกแห่งสี เช่น นิทรรศการ The Chromatology ที่มีเครื่องย่อยกระดาษในงาน ทุกครั้งที่มีคนมาเข้าชมนิทรรศการเพิ่มขึ้นก็จะมีกองกระดาษหลากสีสันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามจำนวนผู้เข้าชม
ทาง Raw Color บอกว่าเคล็ดลับในการริเริ่มไอเดียสร้างสรรค์ทั้งหมดนี้คือการผสมผสานระหว่างการเปิดกว้างในการทดลองสิ่งใหม่อย่างอิสระกับการสร้างกรอบกฎเกณฑ์ในการออกแบบ พยายามหาจุดสมดุลระหว่างความไม่ตายตัวจนเกินไปกับการมีกรอบอย่างเคร่งครัดจนเกินไป
ผลงานชิ้นใหญ่ที่สุดในคอลเลกชั่นนี้อย่างผ้าห่มเป็นผ้าทอนิตติ้งซึ่งนำข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมาจาก The United Nations Intergovernmental Panel on Climate Change และใช้เส้นแต่ละเส้นแทนข้อมูลในแต่ละปีตั้งแต่ปี 2000-2010 ส่วนถุงเท้าที่มีขนาดเล็กกว่าก็แสดงข้อมูลของระดับน้ำทะเลและพยากรณ์ข้อมูลที่คาดว่าน่าจะเป็นไปจนถึงปี 2050 งานนี้มีการปรึกษาเรื่องการนำข้อมูลมานำเสนออย่างจริงจังจาก The Royal Netherlands Meteorological Institute และยังทำร่วมกับ TextileLab และ KNITWEAR LAB ที่เนเธอร์แลนด์ โดยคิดค้นกระบวนการผลิตให้เหลือวัสดุเหลือใช้น้อยที่สุดเพื่อให้ตรงคอนเซปต์สินค้าที่อยากสื่อสารเรื่องสิ่งแวดล้อม
ส่วนกลิ่น One Fine Day มันเป็นกลิ่นที่ค่อนข้างฮีลใจผม เพราะตอนที่ผมเริ่มทำธุรกิจเป็นครั้งแรก มันยากอะเนอะ ยากมาก ยากถึงขนาดที่ว่า ผมกลับบ้านแบบท้อๆ เหนื่อยๆ ในทุกๆ วันเลย เพราะด้วยความไม่มีประสบการณ์ ไม่มีความรู้อะไรมากมายในการทำธุรกิจ มันจึงทำให้ผมอยากทำน้ำหอมกลิ่นนึงขึ้นมา เป็นน้ำหอมกลิ่นที่ทำให้ผมรู้สึกมีความหวังในพรุ่งนี้ต่อในทุกๆ ครั้งที่ได้กลับบ้านมาดมมาฉีด ถือเป็นกลิ่นที่ทำให้ทุกวันของผมเป็นวันที่ดีและเป็นกลิ่นที่คอยย้ำเตือนถึงจุดกำเนิดแบรนด์ MITH อีกด้วย
เพราะฉะนั้น กลิ่นของน้ำหอม One Fine Day จะเป็นกลิ่นที่ค่อนข้างสะอาด ปลอดโปร่ง และสามารถทำให้ผมสงบจากวันที่ผมรู้สึกว้าวุ่นใจจากอะไรหลายๆ อย่างได้ เจ้าตัวน้ำหอมนี้มันก็เลยยังอยู่ได้มาจนถึงทุกวันนี้ ไม่ว่าใครที่ได้ดม หรือใช้ยังไงก็ต้องเก็ตแน่นอน แล้วมันก็เป็นกลิ่นที่ขายดีมาตลอดจริงๆ