ชุดทำงานที่เหมือนสายรุ้งหลังฝน ของยูน–ปัณพัท เตชเมธากุล ผู้ก่อตั้งบริษัทสายรุ้งแห่งความฝัน

ยูน–ปัณพัท เตชเมธากุล คือ ศิลปินและนักออกแบบงานศิลปะร่วมสมัยที่มีผลงานร่วมกับแบรนด์ระดับโลก และห้างร้านชื่อดังต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น Gucci, Instagram, Sulwhasoo, Nescafe 

แม้คุณจะไม่ใช่สายเสพงานศิลป์แต่เชื่อเถอะว่าต้องมีสักครั้งหนึ่งที่เคยเห็นหรือพบงานของยูนตามที่ต่างๆ 

ไม่ต่างจากลายเส้นและการเลือกใช้คู่สีในงานที่เป็นเอกลักษณ์ 

ยูนมักปรากฏตัวพร้อมชุดกระโปรงยาวที่เต็มไปด้วยสีสันสดใส ทั้งจากลวดลายและดีเทลการตัดเย็บที่แสนตั้งใจ ไม่ผิดนักถ้าจะบอกว่าชุดกระโปรงยาวบ้างเป็นกี่เพ้า บ้างเป็นลายของดอกโบตั๋นเล็กใหญ่คละรูปแบบ เป็นชุดยูนิฟอร์มของเธอ 

ความรู้ใหม่ล่าสุดตอนที่ Capital ชวนยูนพูดคุยเรื่องเสื้อผ้าคือ ก่อนจะเป็นศิลปินที่ทำงานร่วมกับแบรนด์ระดับโลกมากมาย เธอเป็นแฟชั่นดีไซเนอร์ที่ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองสักเท่าไหร่ แม้จะออกแบบให้ผู้คนมากมายสวมใส่ชุดสวยๆ แต่ไม่เคยถามตัวเองสักครั้งว่าต้องการชุดแบบไหน 

จนกระทั่งวันที่เลิกแคร์สายตาคนทั้งโลก แล้วมุ่งมั่นไปเป็นศิลปิน ทำงานศิลปะ และก่อตั้งบริษัท สายรุ้งแห่งความฝัน จำกัด ร่วมกับ บุ๊น–วศิน ผูกสมบัติ และ มู่หลาน–อัญญ์มาลี สุภิตรานนท์ ให้บริการทำงานศิลปะและออกแบบสารพัดสินค้าตามโจทย์ ตั้งแต่ลายผ้าไปจนงานอินทีเรียร์

ไม่ต่างจากท้องฟ้าที่มีสายรุ้งปรากฏให้เห็นเมื่อหลังฝนตก เรื่องราวของยูนและชุดกระโปรงของเธอก็เช่นกัน ตามคอลัมน์ youniform ไปรื้อตู้เสื้อชมชุด yooniform ที่คืนความมั่นใจมาสู่ยูน และทำให้เธอค้นพบความรู้สึกที่เป็นอิสระครั้งแรกในรอบ 30 ปี 

ใครจะรู้ ว่าเสื้อผ้าบางชุดในบางเวลานั้นส่งผลและมีอิทธิพลต่อปัจจุบันและอนาคตของเรามากแค่ไหน ไม่แน่ว่า ถ้าเพียงวันนั้นยูนไม่กล้าปลูกดอกโบตั๋นบนชุดเดรสที่ใส่ไปงานสำคัญของเพื่อน ชื่อของศิลปิน ยูน ปัณพัท ก็อาจจะผลิบานไม่ทันกาล อย่างที่วันนี้ยูนและงานของเธอเบ่งบาน ออกช่อ และสวยงาม

“…Somewhere over the rainbow skies are blue

And the dreams that you dare to dream really do come true…”

ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่คุณสนุกกับการแต่งตัวด้วยชุดกระโปรงจนกลายเป็นภาพจำไปแล้ว

มาเริ่มแต่งตัวแบบนี้ตอนตัดสินใจเริ่มทำงานเป็นศิลปินเต็มตัวแล้ว ตอนที่ทำงานประจำเป็นนักออกแบบ เราได้แต่ออกแบบเสื้อผ้าให้คนอื่นใส่ เราทำการบ้านว่าลูกค้า คนที่เรารัก หรือคนอื่นๆ อยากใส่แบบไหน หรือเราจะมอบสิ่งอะไรใหม่ๆ ให้กับเขาได้ยังไง แต่ตัวเราเองไม่เคยหรือไม่มีแม้แต่ไอเดียเลยว่าจะมอบสิ่งไหน หรืออะไรที่ตัวเองต้องการ อย่างเวลาไปร้านเสื้อผ้า เราจะไม่ไปแหวกราวเสื้อผ้าค้นหาชุดเลยเพราะรู้สึกเสมอมาว่ารูปร่างเราไม่ปกติ เรามักจะคิดไปก่อนว่าไม่มีขนาดที่เป็นของเรา หรือเราชอบต่างหู แต่เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่ของของเรา เราไม่เหมาะกับอะไรในนั้นเลย เราไม่เปิดโอกาสให้กับตัวเองซึ่งมันส่งผลไปกับทุกเรื่องในชีวิต เราคิดลามไปถึงเรื่องอื่นๆ ว่าทุกอย่างไม่ใช่ของเรา เราจึงไม่ได้สิ่งที่เราต้องการ เพราะเราจะปฏิเสธไปก่อนไม่ว่าสิ่งนั้นจะมีหรือไม่

แสดงว่าในอดีตคุณเป็นแฟชั่นดีไซเนอร์ที่ไม่ชอบแต่งตัว

สมัยทำงานใหม่ๆ ไม่ค่อยแต่งตัวเยอะ เพราะเราเหนื่อยกับการเดินทาง ไม่สามารถขึ้นรถไฟฟ้าพร้อมกับใส่ชุดใหญ่ขนาดนี้ได้ ชุดที่ใส่บ่อยคือเสื้อยืดโอเวอร์ไซส์กับกางเกงทรงพอง แล้วก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเสื้อทูนิก หรือเสื้อทรงตรงตัวยาว และค่อยๆ ยาวขึ้นๆ เพื่อให้ที่บ้านไม่ตกใจมาก พอเริ่มทำงานเป็นศิลปินถึงจะค่อยๆ ติดระบาย ค่อยๆ มีขนนก ค่อย ๆ รู้สึกว่าอยากใส่แบบนี้ พร้อมๆ กับเริ่มเรียนรู้รูปร่างตัวเอง พอเราเริ่มรู้ตัวเองว่าอยากใส่อะไรเราก็เริ่มไม่สนใจสายตาคนอื่น ตอนเด็กๆ เคยคิดว่าทุกคนมองมาที่เราหมดเลย แต่ความจริงแล้วไม่มีใครเขามาสนใจมองคนอื่นหรอก

เริ่มเปลี่ยนความคิดตั้งแต่ตอนไหน

ตอนที่เริ่มโพสต์งานภาพวาดลงในอินสตาแกรม สมัยก่อนเราจะกลัวมากว่าคนจะมองว่าเราวอนนาบี ทั้งๆ ที่เราก็รู้สึกว่าเราอยากจะมีชีวิตที่ดีขึ้น แล้วฉันผิดตรงไหน เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้รู้ว่าจริงๆ แล้วไม่มีใครมาจ้องมองเรา แต่เรามโนไปเองว่าทุกคนเขาจ้องจับผิดเราอยู่ เราอาจจะดูละครเยอะเกินไป เลยคิดว่ามีทีมกล้องตามไปทุกที่ และมีคนคอยจับตาเราอยู่

ชีวิตของแฟชั่นดีไซเนอร์ประจำแบรนด์ที่มีชื่อดูจะเป็นชีวิตที่ทุกคนอิจฉา อะไรทำให้คิดอยากจะมีชีวิตที่ดีขึ้น

ระหว่างที่ทำงานประจำ มีช่วงหนึ่งที่เราเกิดความรู้สึกเหนื่อยมาก ไม่เคยเหนื่อยอย่างนี้มาก่อนในชีวิต บ้านอยู่พุทธมณฑล ออฟฟิศอยู่เอกมัย ทำงานทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ และทุกคืนวันศุกร์ หลังเลิกงานเราต้องอาบน้ำจากที่ออฟฟิศเพื่อวิ่งไปทำร้านขายเสื้อผ้าที่จตุจักรต่อ เหนื่อยมากๆ ซึ่งตั้งแต่เด็กจนโตเราก็เห็นพ่อแม่ทำงานเปิดร้านขายเสื้อผ้าตลอดเวลา จนไม่มีเวลาไปไหน แม้จะขายดีแต่เราก็ไม่อยากมีชีวิตแบบนั้น วันหนึ่งก็ถามตัวเองว่าชีวิตแบบไหนที่เราต้องการ เราชอบทำเสื้อผ้า ชอบเป็นดีไซเนอร์ ชอบวาดลายผ้า เราอยากเป็นศิลปิน เราก็เลยขึ้นไปคุยกับเจ้านาย ขอเป็นคนนำ ขอเรียนรู้การเป็น Creative Director ซึ่งตอนนั้นตำแหน่งนี้ว่างอยู่ และถ้าเราทำให้แบรนด์ขายดีขึ้นเราขอเงินเดือนเพิ่มเพื่อที่จะได้เลี้ยงตัวเองและดูแลที่บ้านได้

พอตัดสินใจเปลี่ยนบทบาทจากนักออกแบบไปเป็นคนดูภาพรวมของแบรนด์ คุณต้องเรียนรู้อะไรใหม่บ้าง

ก่อนหน้านี้ที่ทำงานสายออกแบบมาตลอด ไม่เคยต้องคิดถึงเรื่องต้นทุนค่าใช้จ่ายของการทำธุรกิจเลย จนกระทั่งเปิดร้านขายส่งเสื้อผ้ากับคุณแม่ที่จตุจักร ได้มาทำร้านของตัวเองและเรียนรู้ว่าการดูแลบริหารต้นทุนเป็นเรื่องสำคัญ ช่วงที่ขอย้ายมาเป็น Creative Director เราตั้งใจทำงานเหมือนเป็นแบรนด์ของเราจริงๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม ศึกษาตลาด ศึกษาแบรนด์ทุกแบรนด์ว่าในหนึ่งคอลเลกชั่นประกอบด้วยอะไรบ้าง เพื่อจะได้รู้ว่าลูกค้าชอบซื้อเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายชิ้นไหนเป็นหลัก ไอเทมแบบไหนหรืออะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้คอลเลกชั่นหนึ่งประสบความสำเร็จ 

ตอนนั้นแบรนด์เราอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ที่ผ่านมาเราออกแบบสินค้าโดยไม่ได้ศึกษาความต้องการของตลาดอย่างถี่ถ้วน จนทำสินค้าออกมาเยอะเกินไป เช่นเราอาจจะทำเสื้อกับกางเกงเยอะ ขณะที่ลูกค้าไม่ต้องการแมตช์ เขาแค่อยากได้เดรสชุดเดียวใส่แล้วสวยเลย จากนั้นก็เปลี่ยนวิธีการสื่อสารกับคนในองค์กรเพื่อให้ทุกคนเห็นภาพร่วมกัน ขณะที่เราดูภาพรวมทุกอย่าง จากเดิมที่ทำแค่เสื้อผ้าและลายผ้าอย่างเดียว ก็เริ่มทำรองเท้า หรือแม้แต่เลือกเพลงที่ใช้ในแฟชั่นโชว์ ด้วยการทำงานกับทีมอย่างเต็มที่ในตอนนั้น แบรนด์ก็ได้เสียงตอบรับที่ดี และกลับขึ้นมามีชีวิตชีวาสวยงาม

และได้เงินเดือนเพิ่มขึ้นตามที่ขอ?

ใช่ค่ะ ได้เพิ่มขึ้นตามที่ขอทุกปี เราเริ่มรู้สึกว่าอะไรที่ไม่แฟร์กับเราเราจะกล้าพูดมากขึ้น ซึ่งยูนไม่ได้คิดว่าปีกกล้าขาแข็งนะ แต่ที่ผ่านมาเราไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมคนที่ทำงานออฟฟิศจะกลัวเจ้านายมาก เวลาเจ้านายอยากได้ความเห็นจากทีม ซึ่งเราไม่คิดว่าเราเป็นลูกน้อง แต่เราคิดว่าเราเป็นทีม เมื่อคุณจ่ายเงินซัพพอร์ตฉัน ฉันก็ทำงานที่ดีที่สุดให้คุณ เพราะฉะนั้นถ้าคุณไม่ฟังความเห็นจากฉัน มันก็เงินและการตัดสินใจของคุณ เราก็เลยไม่ได้มีความรู้สึกกลัวจนตัวสั่น กลัวว่าเขาไม่ชอบ หรือกลัวจะโดนไล่ออก เราก็เสนอความเห็นไป เช่นไม่ชอบก็คือไม่ชอบ หรือเรามีความเห็นใหม่ๆ ไปเสนอว่าแบบนี้น่าจะดีนะ เราคิดว่าความรู้สึกที่ทีมได้เป็นเจ้าของร่วมสำคัญกับการทำงาน และนี่คือความก้าวหน้าขององค์กร

การตัดสินใจเป็น Creative Director ครั้งนั้นให้บทเรียนหรือเปลี่ยนตัวคุณแค่ไหน

พอเราเริ่มเปลี่ยนวิธีการทำงานและวิธีคิด เรากลายเป็นคนที่มั่นใจมากขึ้น เช่น จากที่ไม่เคยจะต้องออกไปพูดหน้าห้องที่มีคนมากๆ เพราะเป็นคนไม่มั่นใจ ที่ผ่านมาเราชอบโดนล้อเรื่องเสียง และเราก็ชอบคิดไปเองด้วยว่าทุกคนต้องคิดแบบนี้แน่เลย ทั้งๆ ที่อาจจะมีแค่ 1-2 คนที่ล้อเรา วันหนึ่งเราก็พบว่าถ้าเราจะทำอาชีพนี้ต่อไป การพูดต่อหน้าคนอื่นเป็นเรื่องสำคัญ จะไม่ลุกขึ้นมาพูดเลยไปตลอดชีวิตไม่ได้ เราก็ต้องเปลี่ยนตัวเอง เริ่มพูดให้ช้าลงเพื่อที่ผู้ฟังจะได้ยินคำที่เราต้องการสื่อสารชัดเจน ก็ทำให้เรามั่นใจมากขึ้น จนแน่ใจว่า โอเค มันแค่นี้ ไม่ได้มีใครมาจ้องจับผิดเราขนาดนั้น เราแค่ทำหน้าที่ของเรา ทำสิ่งที่เราจะต้องทำให้ดีที่สุด

เกิดอะไรขึ้นในวันที่ตัดสินใจลุกขึ้นมาแต่งตัวอย่างที่ตัวคุณต้องการจริงๆ เป็นครั้งแรก

เรื่องนี้แม้จะนานมากแล้วแต่เรายังจำวันแรกที่ลุกขึ้นมาแต่งตัวได้ เพราะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ

ที่ผ่านมาเราออกแบบ เราทำชุดให้คนอื่นใส่ เราอยากให้เขารู้สึกสวยหรือสื่อสารเมสเซจที่ต้องการออกไป แต่เราไม่เคยถามตัวเองเลยว่าต้องการแบบไหน วันนั้นเป็นวันที่เราตัดชุดแต่งงานให้ภรรยาของเพื่อน ซึ่งเพื่อนคนนี้เป็นคนที่เราเคยแอบชอบ และเราจะไม่ยอมไปงานแต่งเขาในสภาพที่ไม่พร้อม เราตัดสินใจว่าในเมื่อไม่มีชุดในท้องตลาดที่ถูกใจ เราจะทำขึ้นมาเอง 

นั่นเป็นครั้งแรกที่เราเริ่มออกแบบชุดให้ตัวเอง โดยที่รู้สึกว่ากำลังมองเห็นตัวเองอยู่ในชุดที่ออกแบบเองจริงๆ ซึ่งก่อนหน้านี้เราก็ออกแบบชุดทำงานให้ตัวเองนะ ซึ่งเป็นชุดที่ไม่ได้มีดีเทลมากไป เป็นแค่ชุดที่ใส่ง่ายๆ ใส่แล้วไม่มีคนทัก เป็นชุดแรกที่เราเห็นตัวเองยืนอยู่ในชุดจริงๆ ชุดที่เป็นของเราแต่เพียงผู้เดียว

ชุดแรกที่ออกแบบให้ตัวเองหน้าตาออกมาเป็นยังไง

เป็นชุดเสื้อเชิ้ตตัวยาวคล้ายๆ เสื้อทูนิกสีน้ำเงินลายทางสีเขียว ปักลายดอกโบตั๋นกับนกฮัมมิงเบิร์ดที่ชุด เป็นชุดที่มีน้ำหนักมาก หลังจากวันนั้นเราก็ค่อยๆ ทำชุดของตัวเองเรื่อยมา

ถึงกับเปลี่ยนเสื้อผ้ายกตู้เลยหรือเปล่า

ค่อยๆ เปลี่ยน เพราะตอนนั้นยังทำงานประจำอยู่ จะมีเวลาทำชุดเฉพาะใช้ในวันสำคัญ ส่วนวันทำงานก็เริ่มทำยูนิฟอร์มของตัวเอง เป็นชุดกระโปรงสั้นใส่กับขาสั้นและรองเท้าผ้าใบ พร้อมๆ กันนั้นก็ได้ทำงานกับแบรนด์ต่างๆ ในฐานะศิลปินมากขึ้น ก็เริ่มออกงานทำให้ได้คิดชุดที่เหมาะสำหรับใส่ไปงานมากขึ้น ส่วนแบบก็ได้แรงบันดาลใจจากภาพชุดคนสมัยก่อน เช่น พวกเสื้อทูนิกตัวยาว หรือชุดนอนวินเทจ เราชอบมองหาซิลูเอตที่อยากใส่จากแพตเทิร์นของเสื้อผ้าสมัยก่อน เลือกหยิบมาปรับให้เป็นแบบเรา

คุณในวันที่เป็นคนมั่นใจในการแต่งตัว แตกต่างจากคุณคนเดิมในอดีตแค่ไหน

ได้รู้สึกถึงความเป็นอิสระครั้งแรกในรอบ 30 ปี และนี่คือตัวเราแบบที่เราอยากจะเป็นมาตลอด เสื้อผ้าที่เมื่อได้ลองแล้วเป็นตัวเรามากๆ มันเพิ่มพลังให้เราสดใสและเปล่งประกายขึ้นมา สมัยก่อนมีการ์ตูนเรื่องหนึ่งชื่อ Tokyo Alice เรื่องราวของสาวนักช้อป คือชีช้อปทุกอย่าง ตัวละครเอกมีความเชื่อว่า รองเท้า เครื่องประดับ เสื้อผ้าที่ดีจะพาพวกเธอไปสู่ชีวิตที่ดี มันไม่ได้เกี่ยวว่าคุณจะต้องใช้ของแพงนะ แต่มันคือการเริ่มให้เกียรติตัวเอง เช่น ดูแลตัวเองไม่ใช่แค่เรื่องของเสื้อผ้านะ แต่คุณจะต้องออกกำลังกาย หันมาดูแลสุขภาพ เป็นต้น หลังจากนั้นคุณก็จะเริ่มให้เกียรติคนอื่น

ขอเล่าย้อนกลับไปในอดีต สมัยก่อนเราไม่ชอบมองกระจกเลย เราไม่ชอบตัวเองที่ต้องตัดผมทรงนักเรียน ทำให้เราไม่ชอบมองกระจก เริ่มมาส่องกระจกจริงๆ แบบเต็มลูกตาหรือมารู้สึกว่าต้องเรียนรู้ทำความรู้เข้าใจตัวเองตอนเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว ซึ่งมันช้ามาก เราไม่รู้ว่าเราจะจัดการกับตัวเองยังไง เราไม่รู้ว่าเราจะมีผมทรงไหน ใส่ชุดสีอะไรแล้วสวย ใส่แว่นทรงไหนดี มันเป็นช่วงเวลาที่ยากเย็นและลำบากมาก ทำได้เพียงทดลองทำอะไรบางอย่างเพื่อเรียนรู้ความต้องการของตัวเอง และเมื่อเรียนรู้เราก็จะให้เกียรติตัวเอง ด้วยการทำให้ตัวเองรู้สึกดีกับตัวเอง เราไม่สนใจว่าคนอื่นรู้สึกยังไงกับเรา แต่จะค้นหาว่าเรารู้สึกกับตัวเองยังไงแล้วก็จัดการตัวเอง

ในฐานะศิลปินเวลาออกงานคุณมักจะมาพร้อมชุดกระโปรงสวยๆ ใหญ่ๆ แล้วในชีวิตประจำวันคุณแต่งตัวแบบไหน

เราชอบใส่ชุดลายๆ อย่างลายผ้าแอฟริกา ซึ่งผ้าก็จะบางหน่อยและไม่ได้มีลูกไม้เยอะ ก็จะใส่สลับกันไปแล้วแต่โอกาส ซึ่งเสื้อผ้าที่ใส่มีทั้งที่ออกแบบเองแล้วให้ เท่–ทศพล เกิดแก้ว น้องที่รู้จักกันมานานตัดเย็บให้ และก็มีแบรนด์ที่ใส่ประจำได้แก่ Wonder cape town ส่วนรองเท้าต้องออกแบบแล้วหาช่างมาตัดเองเพราะว่าไม่มีไซส์

เสื้อผ้าของเราทุกชุด เราซื้อเพราะชอบมันมากจริงๆ เราก็จะใส่บ่อย สำคัญคือเราควรจะลองก่อน เพื่อจะได้รู้ว่าความยาวของแขนเสื้อ ยาวเท่าไหร่จะดูเหมาะและเป็นเรา หรือถ้ายาว-สั้นกว่านี้แล้วจะใส่สวยกว่า เป็นรายละเอียดที่ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ว่าเราสบายใจกับแบบไหน คำว่าสวยกว่าไม่จำเป็นต้องไปสวยเหมือนที่คนอื่นบอกนะ แค่ตัวเองใส่แล้วรู้สึกสบายใจ ซึ่งไม่ได้มีผิดมีถูก คุณแค่ลองให้เหมาะกับตัวคุณเท่านั้นเอง มองให้เป็นเรื่องสนุกดีกว่า เพราะรสนิยมหรือการแต่งตัวของแฟชั่นในไทยสมัยก่อน บางทีก็ชอบมีคนมาเป็นไม้บรรทัดตัดสินว่าสิ่งไหนเป็นเรื่องผิด-ถูกหรือมองหาแบบแผน ซึ่งในความเป็นจริงมันก็แค่เป็นการทดลอง 

กลับมาที่บทบาทการงานในปัจจุบัน จากศิลปินอิสระมาเป็นเจ้าของกิจการ ต้องเรียนรู้อะไรบ้าง

ไม่ต่างจากวันที่ยังเป็นพนักงานคนหนึ่ง เราทำงานโดยคิดถึงอนาคตว่าอยากมีชีวิตแบบไหน จะเลี้ยงดูพ่อแม่อย่างไร การเป็นศิลปินเต็มตัวเราก็เรียนรู้ว่าถ้าทำงานศิลปะโดยที่เราไม่วางแผนอะไรเลย ชีวิตเราจะพังแน่นอน

การเป็นผู้ประกอบการก็เช่นกัน เราเรียนดีไซน์มาก็จริง แต่ดีไซน์มันมีเรื่องของต้นทุนและกำไรอยู่ในนั้น เพราะเงินสำคัญต่อการต่อยอดให้ตัวเรามาไกลขนาดนี้ มันคือการทำธุรกิจ บางคนอาจจะบอกว่าเรียนศิลปะไม่ต้องสนใจเรื่องตัวเลขก็ได้ สำหรับเรามันจำเป็น แล้วก็เป็นสิ่งที่เราต้องฝึก

งานของบริษัทสายรุ้งแห่งความฝันถือเป็นการทำธุรกิจศิลปะหรือเปล่า

สำหรับเรางานศิลปะก็เป็นธุรกิจ แม้วิธีการทำงานอาจจะไม่เหมือนธุรกิจทั่วไป แต่ศิลปะเกิดขึ้นและดำเนินไปได้ด้วยงบประมาณและการจัดการ โดยเงินที่ได้จากการทำงานให้กับ corporate หรืองานที่ทำตามโจทย์ลูกค้าจะถูกจัดสรรอย่างเป็นสัดส่วนไว้สำหรับทำ exhibition หรืองานนิทรรศการส่วนตัว โดยไม่ได้ทุ่มเทเพื่อทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากเกินไป เพราะทั้งงานศิลปะที่ทำตามโจทย์ลูกค้าและนิทรรศการส่วนตัวต่างก็ซัพพอร์ตซึ่งกันและกันอยู่ งาน exhibition ทำให้ยูนได้ทดลองทำและนำเสนอความเป็นไปได้ใหม่ๆ ให้แก่แบรนด์ ทำให้เขาเห็นว่าหากลงทุนเพิ่มหรือยอมใส่อะไรลงไปในงานเพิ่มอีกเพียงนิดเดียวก็ทำให้แบรนด์เกิดคุณค่าใหม่ๆ หรือได้พูดเมสเซจใหม่ๆ ออกมาได้ ซึ่งพอแบรนด์ได้เห็นว่ามันเวิร์กเขาก็อาจจะจ้างทำงานรูปแบบนี้ต่อ

อะไรคือความเป็นบริษัทสายรุ้งแห่งความฝันที่ลูกค้าจดจำได้

ถ้าให้เห็นภาพง่ายๆ พวกเราน่าจะมีความเป็นแดร็กควีนอยู่ข้างใน ทำให้เรากล้าลองทำอะไรที่ท้าทายได้โดยที่ข้ามขีดจำกัดหรือมาตรฐานความสวยงามบางอย่างที่คนคุ้นชิน ลูกค้าสมัยก่อนอาจจะรู้สึกว่าเสือเป็นสัตว์น่ากลัว เราก็พิสูจน์ให้เขาดูว่าเสือมีฟันไม่น่ากลัวนะคะ หรือการใช้สีในงานเยอะๆ ก็ไม่ได้ทำให้ดูน่ากลัว

คุณมีวิธีโน้มน้าวจนลูกค้ายอมเปิดรับไอเดียใหม่ๆ ยังไง

ไม่ต่างจากละครที่เราชอบดู ถ้าเราได้เล่นละครเรื่องหนึ่ง บทบาทที่ได้รับถ้าไม่ได้เป็นนางเอกก็ต้องเป็นตัวร้ายไปเลยเพราะว่าเด่นดี เช่นกันกับการทำงานกับแบรนด์ ถ้าแบรนด์จะลงทุนทำสิ่งที่เซฟมากๆ เราก็จะบอกเขาว่าไม่จำเป็นต้องลงทุนก็ได้ ความเสี่ยงของการทำสิ่งใหม่คือ คนอาจจะไม่ชอบหรือรู้สึกเกลียดคุณ แต่ถ้าทำอะไรเหมือนเดิมใครจะมองเห็น และแน่นอนว่าไม่มีใครอยากทำงานออกมาแล้วมีฟีดแบ็กแบบคนเกลียดอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นมาคุยกัน ทำในสิ่งที่แปลกใหม่และเป็นสิ่งที่ดีกัน

เป็นผู้ประกอบการที่เปิดรับความความเสี่ยง?

ในการทำธุรกิจเราไม่ได้กล้าเสี่ยงกับเงินนะ แต่กล้าเสี่ยงในดีไซน์ กล้าเสี่ยงในสิ่งที่เราพูดในสิ่งที่เราอยากนำเสนอ แต่เราจะไม่เอารายได้มากดดันให้เราคิดงานไม่ออก หรือการที่เราต้องทำเพื่อเงินไปเรื่อยๆ แต่เราอยากเสนอของใหม่ 

เพราะฉะนั้นถ้าเป็นความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดหนี้เราจะหลีกเลี่ยง เพราะเราจะเริ่มรู้สึกกดดันที่จะต้องจบหนี้ก้อนนี้ และความกดดันอาจจะทำให้เราต้องทำงานเหมือนหนูถีบจั่น ซึ่งสิ่งนี้เป็นความเสี่ยงที่เราไม่ถวิลหา 

ศิลปินอย่างคุณมีวิธีการบริหารทีมอย่างมีศิลปะแค่ไหน

วันที่เป็นเจ้าของบริษัทเอง สิ่งแรกๆ ที่เราคิดถึงคือทีมงาน อยากให้เขาได้ใช้ของสวยงาม อยากให้เขามีเวลาให้ตัวเอง ถ้ามีปัญหาก็ขอให้พูดกันตรงๆ ไม่ดราม่าเพราะมันทำให้ทุกคนเหนื่อย พวกเราทำงานศิลปะซับซ้อนในตัวเองอยู่แล้ว อย่าทำให้ชีวิตของเราต้องซับซ้อนไปอีก

สำหรับเราเรื่องคนและทีมจึงสำคัญต่อธุรกิจมากๆ ถ้าไม่มีทีมเราก็จะไม่สามารถทำงานได้เลย งานที่เกิดขึ้นสวยงามได้เพราะทุกคนช่วยกัน ร่วมมือกัน คนเดียวทำทุกอย่างไม่ได้ ถามว่าความฝันของการทำบริษัทที่นอกจากประสบความสำเร็จในการทำงาน ได้ทำงานตอบโจทย์ หรือได้ทำงานต่างประเทศ คืออะไร คำตอบก็คือเรื่องนี้แหละ ศิลปินระดับโลกก็ยังอยากเป็น แต่เราก็ขอค่อยๆ ทำไป ไม่อยากให้ทีมเราเป็นหนูถีบจั่น ที่ถีบเสร็จปุ๊บ จนวันที่เขาหมดแรงบันดาลใจทำงาน แล้วเราไปบอกเขาว่าจะไม่จ้างเขาแล้ว ซึ่งก็จะมีบริษัทที่เป็นแบบนี้มากมาย แล้วเราไม่อยากจะเป็นอย่างนั้น

จากประสบการณ์ทำงานในวงการแฟชั่น ในฐานะเจ้าของบริษัทออกแบบคุณคิดจะทำแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเองบ้างหรือเปล่า

นอกจากทำแบรนด์ของกระจุกกระจิกของตัวเองในชื่อ Phannapast Universe ปีหน้าจะมีผ้าพิมพ์ลายขาย ทำร่วมแบรนด์ Meraki ของญี่ปุ่น ส่วนถ้าเป็นเสื้อผ้า เราเคยคิดนะ แต่คงจะทำเสื้อคลุมง่ายๆ ไม่ได้ทำแบรนด์เสื้อผ้าจริงๆ เพราะเป็นงานที่ใช้พลังเยอะมากๆ

นอกจากดีไซน์และการตลาดแล้ว การทำแบรนด์ที่ดีจะต้องมีระบบหลังบ้านที่ดี ทั้งช่างเย็บ ช่างแพตเทิร์น ซึ่งช่างแค่คนเดียวทำทุกอย่างไม่ได้ ช่างแพตเทิร์นที่ทำกางเกงได้ดี กับช่างแพตเทิร์นที่ทำเสื้อผ้าแบบชุดสูท หรือคนที่ทำเสื้อผ้าแบบที่เป็นเดรสแบบไปงานก็คนละคนกัน ไม่ใช่คนเดียวกัน ช่างเย็บก็เหมือนกัน ฝีเข็มที่แตกต่างกันส่งผลให้เสื้อผ้าออกมาไม่เหมือนกัน เช่น การเก็บรายละเอียดชายผ้า ตะเข็บต่างๆ และไม่ใช่แค่ช่างเย็บที่เข้าใจงาน คนสั่งงานก็ต้องเข้าใจเสื้อผ้า คนออกแบบก็ต้องเข้าใจธุรกิจ ดังนั้นการซื้อเสื้อผ้าสักตัว ไม่ต่างจากการซื้องานศิลปะเพราะใช้พลังของคนทั้งกองทัพในการทำเสื้อผ้า

ในฐานะเจ้าของบริษัท การยอมให้พนักงานสนุกกับการแต่งตัวดีต่อธุรกิจอย่างไร

มันดีมากนะ ทำไมการแต่งตัวสนุกๆ ถึงจะไม่ดีต่อธุรกิจ คุณจะได้เห็นความเป็นสีสัน ความครีเอทีฟของแต่ละคน ซึ่งคุณไม่มีทางรู้ด้วยซ้ำว่าแต่ละคนชอบอะไรหรือมีวิธีคิดแบบไหน แต่มันแสดงออกผ่านการแต่งตัวได้จริงๆ ทำไมหลายหน่วยงานถึงไม่ยอมให้คนทำงานสนุกไปกับการแต่งตัวล่ะ ยิ่งในยุคที่ความครีเอทีฟเป็นสิ่งสำคัญ ความเป็นตัวตนของตัวเองก็สำคัญ นั่นคือสิ่งที่บริษัทควรจะดึงศักยภาพตรงนี้ของแต่ละคนออกมาด้วยซ้ำ แน่นอนว่าอาจจะควบคุมได้ยาก แต่การแต่งตัวเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของเขาที่เราไม่ควรที่จะไปก้าวก่าย

แม้แต่การคอมเมนต์ทีเล่นทีจริงเรื่องเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย?

จริงๆ ในบางที่บางสถานการณ์ มันก็ยากนะที่จะลุกขึ้นมาแต่งตัว อย่างเพื่อนเราเป็น LGBTQ+ แล้วใส่กระโปรง อาจารย์บอกว่าคนใส่กระโปรงต้องเป็นผู้หญิงเท่านั้นเพราะด้วยระเบียบองค์กรในเวลานั้น แต่คนเรามันไม่เหมือนกัน ความมั่นใจที่เกิดจากตัวเรามันไม่เหมือนกัน ฉันใส่กางเกงแล้วฉันไม่มั่นใจ แล้วทำไมถึงยอมให้ฉันใส่กระโปรงไม่ได้ หรืออย่างนักเรียนต้องตัดผมทรงนักเรียน เราไม่เคยชอบตัวเองเลยซึ่งเป็นเวลาตั้ง 12 ปีเลยนะ นี่คือเวลาที่คนคนหนึ่งต้องใช้ชีวิตบนโลกนี้เหมือนอยู่ในหลุมดำ ซึ่งมันไม่ใช่ทุกคนจะน่ารักในทรงผมสั้น เพราะฉะนั้นเมื่อเข้าสู่ชีวิตการทำงานแล้ว ทำไมต้องมาตีกรอบให้มันเหมือนกับที่โรงเรียนอีก 

เราแอบคิดในใจว่านี่เป็นวิธีหนึ่งในการแสดงอำนาจบางอย่าง และวิธีที่ง่ายที่สุดที่ควบคุมคนให้อยู่ในกรอบก็คือสร้างชุดเครื่องแบบขึ้นมา เรารู้สึกว่ามันไม่แฟร์กับการใช้ชีวิตของคนเลย ยูนิฟอร์มทำให้คนแต่งตัวง่ายขึ้นจริงๆ เหรอ และการที่แต่งตัวออกจากบ้านโดยไม่ต้องคิดอะไรมากเพราะคิดมาให้แล้วมันอาจจะดีกับบางคน แต่คุณต้องไม่บังคับทุกคนให้ทำสิ ใครอยากทำก็ทำ ใครไม่อยากทำเขาไม่ต้องทำก็ได้ จริงๆ เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สำหรับเรามันก็กระทบชีวิตเรามหาศาล


YOONIFORM : Somewhere Over The Rainbow

ชื่อ :  ปัณพัท เตชเมธากุล
ตำแหน่ง : ศิลปิน นักออกแบบ และผู้ก่อตั้ง
ที่ทำงาน : บริษัทสายรุ้งแห่งความฝัน (Rainbow of Dream)

ชุดที่ยูนเตรียมมาวันนี้เป็นเสื้อผ้าที่เธอได้มาจากคนสำคัญ 3 คน

ชุดแรก เป็นชุดสีแดงที่เพิ่งตัดเย็บเสร็จสดๆ ร้อนๆ ส่งมาถึงยูนในเช้าวันสัมภาษณ์

“เรารู้จักกับเท่ (ทศพล เกิดแก้ว) มานานแล้วตั้งแต่ทำงานออฟฟิศ เท่เป็นคนที่มีแพสชั่นกับการตัดเย็บชุดมากๆ ชุดที่เท่ทำไม่ใช่ชุดราตรียาวเฟื้อยแต่เราจะดูออกว่าทำยากมากๆ มีแต่เท่เท่านั้นที่ยอมทำชุดแบบนี้ได้ เขาทำออกมาได้สวยที่สุด และเขาก็ดูมีความสุขทุกครั้งที่เราใส่แล้วเราชอบ ชุดนี้ทำจากผ้า Jacquard เป็นผ้าทอ ซึ่งปกติแล้วผ้าลักษณะนี้ต้องรีดกาวก่อนนำไปตัดเย็บ แต่ทำให้ใส่แล้วร้อนมาก เราก็ช่วยกันหาผ้าแบบที่ไม่จำเป็นต้องรีดกาว”

“ความยากของชุดนี้จะเป็นเรื่องการเก็บและสอดพวกลูกไม้ การเย็บตะเข็บคอ หรืออย่างแพตเทิร์นตรงไหล่ที่เราทดลองกันมาหลายรอบ ถ้าเราทำตามเส้นไหล่จริงๆ ของเรา เราจะดูตัวใหญ่เพราะมันต้องออกมาอีก ก็ต้องทำไหล่แคบเข้ามาอีกนิดนึง ตัวเราก็จะดูเล็กลง อีกสิ่งที่สำคัญคือการวางลาย ถ้าวางลายไม่ดีทุกอย่างก็จะจบ”

พูดถึงลายผ้าแล้ว จะสังเกตได้ว่าภาพวาดผลงานยูนที่ทุกคนเห็น บนกระดาษ บนวอลเปเปอร์ และบนผืนผ้าจะไม่เหมือนกัน เพราะการจะนำไปใช้ในแต่ละสื่อ แต่ละรูปแบบต้องผ่านการจัดเรียงหรือทำแพตเทิร์นใหม่อีกรอบ อย่างการทำลายผ้าพิมพ์หรือไอเทมเกี่ยวกับแฟชั่น จะมีเรื่องการเคลื่อนไหว เรื่องขนาดของลายมาเกี่ยวข้องด้วย

เชื่อมโยงกับชุดที่สอง ซึ่งเป็นของแบรนด์ Wonder cape town ชุดทำจากลายผ้าที่ยูนวาดสำหรับทำ collaboration เมื่อปีที่ผ่านมา 

“ชุดนี้เป็นชุดที่พี่ผึ้ง–พัทธา พลาวุธ กับพี่เม้ง–สิทธิชัย กิตยายุคกะ ตัดให้เป็นของขวัญ ซึ่งปกติเราชอบใส่ชุดของ Wonder cape town มากๆ ปีที่แล้วมีโอกาสได้ทำงาน collaboration ด้วยกัน จุดเด่นของแบรนด์นี้ นอกจากจะใช้ผ้าคอตตอนใส่สบายมากแล้ว ยังใช้เทคนิคการพิมพ์แบบ rotary หรือการพิมพ์ด้วยลูกกลิ้งเดียว สีจะซึมลงไปในเนื้อผ้าทำให้ได้ผ้าสีที่สดและติดทนนาน รวมถึงเทกซ์เจอร์ที่ไม่เหมือนกับการพิมพ์ลายด้วยระบบดิจิทัลทั่วไป แต่ตัวที่หยิบมาใส่วันนี้เป็นชุดตัดพิเศษ พิมพ์ลายด้วยเทคนิคดิจิทัลบนผ้าไหมอินเดีย”

“ความยากของชุดนี้คือ ลายผ้ามีขนาดใหญ่แต่เขาสามารถต่อลายผ้าตรงเป๊ะ ทำให้ชุดมันสวยขึ้น ลายนี้มีชื่อว่า Moonlight Dive ต่อยอดมาจากนิทรรศการ เป็นลายเหมือนเราดำน้ำลงไปสู้กับสัตว์ประหลาดที่อยู่ในใจ เป็นเรื่องราวที่มีความเชื่อไทยผสมจีนอยู่ในนั้น ส่วนคู่สีเขียวผสมสีเหลืองได้แรงบันดาลใจจากเครื่องเคลือบกระเบื้องจีน” ยูนเล่าก่อนขอตัวไปเปลี่ยนชุดสุดท้าย

“เราชอบร่องรอยที่อยู่ของเก่าของวินเทจ ชอบสังเกตและศึกษาการซ่อมชิ้นงานที่ผ่านการเวลา ของแตกมันซ่อมได้นะ ผ้าก็เช่นกัน มันปักชุนได้นะไม่จำเป็นต้องทิ้งเพราะกว่าจะปักเย็บได้เรารู้ดีว่ามันยากแค่ไหน”

“ชุดสุดท้ายเป็นชุดเสื้อคลุมที่ทำจากผ้าอินเดียของสะสมของพี่นก–ปิยนุช บางสุขเสริม จาก Absolute Event เย็บต่อกันเป็นแพตช์เวิร์ก ซึ่งพี่นกให้เป็นของขวัญตอนที่เจอกันครั้งแรก” ยูนเล่า ก่อนจะทิ้งท้ายความชอบของวินเทจ 

ความหมายของ empathy อาวุธใหม่ที่นำมาซึ่งความคิดสร้างสรรค์และทางรอด

ในยุค Tech Disruption ตั้งแต่ก่อนโควิดจนถึงช่วงโควิด มีคำคำหนึ่งที่ทุกคนสนใจมากขึ้นมาก เพราะดูเหมือนจะเป็นทางออก เป็นต้นทางของไอเดียและเป็นวิถีใหม่ในการค้นพบอะไรหลายอย่างมากมาย หลายคนคงเคยได้ยิน และจริงๆ แล้วคำนั้นก็เป็นกระบวนการแรกของวิธีการคิดเชิงนวัตกรรมอย่าง design thinking อีกด้วย 

คำคำนั้นคือคำว่า empathy

โดยคำจำกัดความของฝรั่งที่ผมอ่านจากหนังสือชื่อตรงๆ ว่า Empathy เลยนั้น เขาอธิบายว่า empathy คือศิลปะในการจินตนาการถึงความรู้สึกเข้าใจผู้อื่นอย่างลึกซึ้ง (someone else shoes) และใช้ความรู้สึกนั้นมาเป็นแนวทางในการคิดการทำของเรา ในโลกของสตาร์ทอัพที่เริ่มธุรกิจจากความคิดแบบ empathy ก็คือการคิดจาก pain หรือปัญหาความเจ็บปวดของลูกค้า แล้วหาทางแก้ปัญหานั้นๆ เป็นต้นทาง

ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยแนะแนวทางการเขียนหนังสือไว้ให้ลูกศิษย์ว่า ในการเขียนให้ได้ดี ได้ประทับใจนั้น นักเขียนควรต้องเข้าไป ‘นั่ง’ อยู่ในใจคน ผมก็เลยชอบความหมายนี้และแปลอยู่ในใจว่า empathy นั้นน่าจะแปลเป็นไทยได้แบบนั้น ซึ่งเข้าใจแจ่มชัดเทียบได้กับ someone else shoe ในภาษาอังกฤษ เผลอๆ อาจจะตรงกว่าด้วยซ้ำ

เรื่องราวของ empathy หรือวิธีการเข้าไปนั่งอยู่ในใจคนนั้น คงเป็นเรื่องที่คงได้มาเขียนอีกหลายตอน เพราะผมสนใจและอินกับเรื่องนี้มาก และคิดว่าน่าจะเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดในยุคหลังโควิดนี้ด้วยทั้งเรื่องงานและเรื่องชีวิต ถ้าใครสามารถเอาไปประยุกต์ใช้ได้

แต่ในการอธิบายว่า empathy นั้นคืออะไรแล้วเอามาใช้กับหน้าที่การงานอย่างไร เรื่องที่ผู้เชี่ยวชาญด้าน empathy ของฝรั่งชอบยกตัวอย่างมักจะเป็นเรื่องของ แพทริเชีย มัวร์ (Patricia Moore) ที่เป็นคนแรกๆ ที่ทดลองวิชานี้แบบเข้มข้นเมื่อช่วงปลายทศวรรษ 1970

แพทริเชียในตอนนั้นเป็นพนักงานอายุน้อยแค่ 26 ปี อยู่ในบริษัทออกแบบผลิตภัณฑ์ชื่อดังแห่งหนึ่งในนิวยอร์ก เธอเพิ่งจบใหม่ๆ และเป็นผู้หญิงคนเดียวท่ามกลางพนักงานชาย 350 คน ในสมัยที่ผู้ชายเป็นใหญ่และการออกแบบผลิตภัณฑ์ก็ไม่ได้มีอะไรใหม่มานาน ตอนที่เธอเริ่มงานใหม่ๆ และได้เข้าไปในการระดมสมองคิดไอเดียกันในบริษัทครั้งแรกเกี่ยวกับการออกแบบตู้เย็น เธอก็ไปถามคำถามที่ดูโง่ๆ ในสายตารุ่นใหญ่ทั้งหลายในเรื่องของการออกแบบประตูตู้เย็นที่ควรจะคิดถึงการใช้งานของคนที่มีไขข้ออักเสบบ้างจะดีหรือไม่ 

ปรากฏว่าเธอถูกดุจากหัวหน้างาน บอกว่าใครจะไปออกแบบให้คนแบบนั้นเล่า แพทริเชียเจ็บใจมาก เถียงไปก็ไม่มีใครฟังเด็กจบใหม่อายุยี่สิบกว่า เธอก็เลยอยากเข้าใจในมุมนั้นให้ลึกซึ้งขึ้น และคิดไอเดียที่ภายหลังกลายเป็นการทดลองนั่งอยู่ในใจคน (empathy) ที่จริงจังที่สุดเป็นคนแรกๆ

แล้วแพทริเชียไปทำอย่างไร เธอไปลองทำตัว…ไม่ใช่ปลอมตัวนะครับ ไปทำตัวเป็นคนแก่อายุ 85 ปี!

เธอบอกว่า เธอไม่ใช่แค่อยากไปแสดงเป็นคนแก่ แต่อยากไปรู้ว่าคนแก่จริงๆ นั้นรู้สึกอย่างไร นอกจากให้มืออาชีพมาช่วยแต่งหน้าให้แก่ตามวัยที่เธอคิดแล้ว เธอก็ยังใส่แว่นมัวๆ ทำให้มองเห็นไม่ชัด เอาสำลีอุดหูจะได้ได้ยินไม่ถนัด เอาเทปมาพันตัวเพื่อให้หลังค่อม ทำให้รู้สึกปวดเนื้อปวดตัว เอาผ้ามาพันแขนและขาเพื่อทำให้งอไม่ค่อยได้ และใส่รองเท้าไม่เท่ากันเพื่อให้เดินไม่ถนัดจนต้องใช้ไม้เท้าช่วย 

ในช่วงปี 1979-1982 เธอใช้ชีวิตแบบนี้และลองแล้วเดินทางไปตามเมืองต่างๆ กว่าร้อยเมือง ให้รู้สึกจริงๆ ว่าคนชรานั้นเจออะไรบ้าง มีอุปสรรคอะไรในการใช้ชีวิตบ้าง และถูกมองอย่างไรจากสังคม เธอขึ้นลงบันได ขึ้นรถบัสที่ยากลำบาก เปิดประตูหนักๆ ของห้างต่างๆ เดินข้ามถนนทันไฟบ้างไม่ทันบ้าง พยายามเปิดกระป๋องจากเครื่องมือที่มีในสมัยนั้น และที่สำคัญที่สุดที่เธอได้ลองก็คือ…เปิดตู้เย็น

แพทริเชียเข้าใจความรู้สึกและความเจ็บปวดของคนแก่อายุแปดสิบกว่าอย่างที่คนแก่เป็นอย่างลึกซึ้งโดยไม่ต้องจินตนาการ ความเข้าใจเหล่านี้ทำให้เธอกลายเป็นนักออกแบบผลิตภัณฑ์สำหรับผู้สูงอายุที่มีชื่อเสียงระดับโลก อุปกรณ์ที่เธอออกแบบช่วยคนที่มีปัญหาไขข้อให้ใช้งานได้ง่าย มีไลน์ผลิตภัณฑ์ปอกมันฝรั่ง และพวกช้อนส้อมที่มีด้ามจับหนาๆ ที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน เธอได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ให้กำเนิดสิ่งที่เรียกว่า universal design ที่ไม่ว่าจะอายุ 5 ขวบหรือ 85 ก็ใช้ได้ง่ายๆ เหมือนกัน

และที่มากกว่าเรื่องการออกแบบผลิตภัณฑ์ เธอกลายเป็นกระบอกเสียงสำคัญให้ผู้สูงอายุและผู้พิการในการผ่านหมายสำคัญหลายฉบับ และทำงานอื่นๆ ด้วยความปรารถนาที่จะทำให้คุณภาพชีวิตของคนดีขึ้น ไม่ใช่แค่เรื่องของเงินอีกด้วย 

‘One size doesn’t fit all’ แพทริเชียตกผลึกจากการทดลอง empathy ไว้แบบนั้น…

แพทรีเชีย มัวร์ เป็นตัวอย่างให้เห็นถึงขุมพลังแห่ง empathy ซึ่งมีทั้งประโยชน์ต่อหน้าที่การงาน แต่ที่สำคัญคือเมื่อมีความสามารถหรือได้ทดลองเข้าไปนั่งอยู่ในใจคนแล้ว นอกจากจะเป็นที่มาของความคิดสร้างสรรค์ในรูปแบบใหม่ๆ ที่โดนใจแล้ว ในความรู้สึกนั้นจะเป็นแรงบันดาลใจที่อยากทำสิ่งที่ดีกว่าเพื่อคนอื่นและมีผลที่ใหญ่กว่าตัวเองได้มากมายนัก 

empathy จึงเป็นเรื่องที่สำคัญ เป็นอาวุธใหม่ที่อาจจะนำมาซึ่งความคิดสร้างสรรค์ ทางรอด รวมถึงเรื่องราวดีๆ อีกมากมาย 

ผมเคยชวนน้องเมษ์ ศรีพัฒนาสกุล เจ้าของบริษัท Lukkid มาช่วยสอนคลาส design thinking สั้นๆ ให้กับทีมงานระดับผู้จัดการที่คอลล์เซนเตอร์ของบริษัท เมษ์เริ่มด้วยการสอนความเข้าใจเรื่อง empathy ให้กับทีมงานด้วยการให้การบ้านน้องๆ ต้องไปช่วยงานพนักงานที่สาขา ใช้ชีวิตให้เหมือนกับพนักงานสาขาอยู่หลายวันแล้วค่อยกลับมาคุยกัน

แต่เดิมนั้น ทีมงานคอลล์เซนเตอร์จะชอบบ่นพนักงานสาขาที่มีอะไรก็โทรมาให้ช่วยอยู่บ่อยๆ ปริมาณงานที่สาขา ‘โยน’ มาให้นั้นเยอะและมีทุกวันจนหลายคนบ่นว่าทำไมไม่รู้จักแก้ปัญหาเองบ้าง ความสัมพันธ์อะไรก็ไม่ดีนัก มีหลบมีเบี้ยวมีทำไปแกนๆ ก็บ่อย นินทาสาขาก็ประจำ

แต่พอทีมงานได้ไปอยู่กับสาขาจริงๆ ตั้งแต่เช้ายันค่ำตามการบ้านที่ได้รับเป็นเวลาหลายวัน ทุกคนก็กลับมาด้วยสภาพโทรมและเหนื่อยแบบสายตัวแทบขาด พอได้พูดคุยโดยให้เล่ากันว่าไปเรียนรู้อะไรมาบ้าง ความรู้สึกที่ทีมงานมีต่อสาขานั้นก็เปลี่ยนไปจากเดิมแบบหน้ามือเป็นหลังมือ น้องๆ ที่ไปอยู่มาจริงๆ บอกว่า พี่รู้ไหม พวกสาขาเขาต้องมาตั้งแต่ 7 โมง ต้องมาฟังข้อมูลและบรีฟทุกเช้า เปิดทำการทีคนก็แน่นตลอดเวลา กว่าจะได้กินข้าวเที่ยงก็บ่าย 2 เวลาจะไปเข้าห้องน้ำยังแทบไม่มี บางทีเจอลูกค้าหงุดหงิดด่าว่าต่อหน้าก็ต้องทน เครื่องไม้เครื่องมือก็ใช้ยาก สงสารเขามากเลยพี่ อยู่ที่นี่สบายกว่าเยอะ

และหลังจากนั้นวิธีการคิดและปฏิบัติต่อสาขาของน้องๆ ก็เปลี่ยนไป มีอะไรช่วยได้ก็ทำอย่างเต็มที่ไม่เกี่ยงงอนเหมือนเดิม

empathy จึงเหมือนพลังวิเศษ ที่ถ้าเราสามารถเข้าใจหัวอกผู้อื่นอย่างลึกซึ้งแล้ว วิธีการที่เราปฏิบัติต่อคนอื่นนั้นจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

มีเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งที่เคยอ่านจากหนังสือ มีเพื่อนเป็นภูเขา ของพี่จิก–ประภาส ชลศรานนท์ เลยขอย่อความมาเล่า เรื่องที่พี่จิกเขียนไว้เป็นเรื่องของช่างตัดเสื้อเล็บมังกร

ในยุคสมัยของราชวงศ์หมิงเกือบห้าร้อยปีก่อน มีคำร่ำลือว่าในเมืองหลวงมีช่างตัดเสื้อผู้หนึ่งชื่อช่างหยู เป็นผู้มีพรสวรรค์ในการตัดเสื้อผ้าได้งดงามดั่งมีเทพยดามาช่วยตัดเย็บ เสื้อผ้าที่ช่างหยูตัดนั้นจะมีความละเอียดลออในทุกๆ จุดจนหาที่ติแทบมิได้ ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ ไม่ว่าจะตัดให้ผู้ใดใส่ความสั้น-ยาวของชายผ้าจะพอดีตัวผู้ใส่ตามธรรมเนียมการแต่งตัวของราชสำนักเสมอ

หลายเสียงพูดกันว่า ช่างหยูมีกรรไกรวิเศษที่ใช้ในการตัดผ้าทำมาจากเล็บของมังกร แต่ท่ามกลางเสียงร่ำลือก็หามีใครเคยเห็นกรรไกรนั้นไม่ ในที่สุดชื่อเสียงของช่างหยูก็ดังมาถึงขุนนางหนุ่ม ซึ่งตามช่างหยูมาวัดตัวพร้อมถามหากรรไกรเล็บมังกร ซึ่งช่างหยูก็บอกว่ามีแต่กรรไกรเหล็กธรรมดาและไม่ได้ใช้ของวิเศษใดๆ เลย เข็มเย็บผ้าก็ซื้อมาจากตลาด ด้ายก็จ้างคนทำขึ้นมาเหมือนคนอื่นๆ พอขุนนางถามว่าช่างหยูตัดเสื้อผ้ามากี่ปีแล้ว ช่างหยูก็ถามกลับว่าขุนนางหนุ่มรับราชการมากี่ปี

ขุนนางหนุ่มเริ่มไม่พอใจคำถาม เริ่มมีอารมณ์ ก่อนที่ช่างหยูจะอธิบายต่อว่า

“ขึ้นชื่อว่าขุนนางนั้นไซร้ เมื่อรับราชการแล้วก็ย่อมมีการเปลี่ยนขั้นเป็นธรรมดา ขุนนางหนุ่มที่เพิ่งเข้ารับราชการเมื่อได้ปูนบำเหน็จตำแหน่งสูงขึ้น ก็ย่อมจะเกิดความพึงใจ เวลาเดินก็จะยืดอกผึ่งผาย เมื่อข้าพเจ้าตัดเสื้อให้ก็จะตัดให้ชายเสื้อด้านหลังสั้นด้านหน้ายาว ครั้นรับราชการไปได้สักกึ่งอายุ จิตใจก็จะค่อยๆ เยือกเย็นวางเฉยมากขึ้น ท่าเดินก็จะลดความผึ่งผายลง เสื้อผ้าที่ข้าพเจ้าจะตัดเย็บก็จะให้ชายเสื้อด้านหน้าและด้านหลังเสมอกัน และเมื่อรับราชการไปจนใกล้อายุเกษียณ นอกจากการวางเฉยแล้วอาจจะมีความรู้สึกไม่สบายใจปะปนอยู่ ซึ่งย่อมที่จะแสดงออกมาในท่าเดินที่ค้อมตัวลง ข้าพเจ้าก็จะตัดเสื้อให้ชายเสื้อด้านหน้าสั้นแต่ด้านหลังยาว “ 

ขุนนางหนุ่มได้ฟังก็นิ่งไป…

มืออาชีพที่เป็นตัวจริงในงานที่เขาทำ นอกจากฝีมือแล้ว รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดจากความใส่ใจและเข้าใจลูกค้า ทำให้ตัวจริงของวงการยืนสูงและเหนือกว่าคนอื่นๆ เสมอ

ในสารคดี Jiro Dreams of Sushi ที่นอกจากจะแสดงให้เห็นถึงฝีมือขั้นเทพที่เกิดจากการพัฒนาทักษะอย่างยาวนานของปู่จิโร่แล้ว เรายังได้เห็นความใส่ใจในรายละเอียดขั้นสุดยอดเวลาปู่จิโร่วางซูชิให้ลูกค้า ตั้งแต่สังเกตความถนัดของมือ ถ้าถนัดซ้าย ปู่จิโร่ก็จะวางซูชิคำต่อไปให้เหมาะกับมือซ้ายหยิบ ถ้าเป็นผู้หญิง ปู่จิโร่ก็จะปั้นข้าวคำเล็กหน่อย แล้วกะเวลาให้ผู้หญิงได้ทานในจังหวะเดียวกับผู้ชายเริ่มและจบได้ในเวลาเท่ากัน มือหนึ่งตัวจริงที่ว่ากันว่ามีเล็บมังกรเป็นอาวุธ ในนั้นมักจะซ่อนกำลังภายในควบคู่ไปด้วย กำลังภายในชนิดนี้สมัยใหม่เรียกว่า empathy นั่นเอง

ช่างภาพทั่วไปมักจะมองเห็นแต่ในมุมตัวเอง พยายามใช้เวลาแต่งรูปให้สวย แต่ลืมนึกไปว่าลูกค้าผู้ถูกถ่ายต้องการอะไรจริงๆ กันแน่ แม้กระทั่งลูกค้าถึงกับยื่นโทรศัพท์ของลูกค้าให้ถ่ายซ้ำก็ยังไม่ค่อยรู้ตัว แต่ในทุกอุตสาหกรรม ตัวจริงของวงการมักจะแตกต่างจากช่างฝีมือทั่วไปเสมอ เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้อ่านสเตตัสในเฟซบุ๊กของคุณอาร์ม–จักร์กวินทร์ ภู่สวาสดิ์ แห่ง BOX WEDDING ช่างภาพมือวางอันดับต้นๆ ของประเทศไทยได้โพสต์ไว้ ซึ่งพออ่านแล้วก็ไม่สงสัยเลยว่าทำไมเขาถึงยืนได้สูงกว่าคนอื่นมานานหลายปี คุณอาร์มเขียนไว้ว่า

“เช้านี้ ผมถ่ายงานแต่งงาน คุณริต้ากับคุณกรณ์ ซึ่งเห็นแขกในงานอัพรูปแสดงความยินดีจากรูปถ่ายของทีมงานผม หลายคนอาจคิดว่าเร็วมาก มีงานเมื่อเช้าแต่ได้รูปครบทุกเหตุการณ์ แต่ในความคิดผมนั้น มันช่างช้าเหลือเกินแทนที่แขกจะได้รูปทันที ไม่เหมือนมือถือ ที่ถ่ายแล้วได้เลย

“เป้าหมายของผม ความเร็วที่แขกในงานจะได้รับรูปจากช่างภาพในทีมผมจะต้องชนะมือถือให้ได้ รอติดตาม disruption ในวงการถ่ายภาพเร็วๆ นี้นะครับ”

นี่คือวิธีคิดของช่างภาพเล็บมังกรที่ผมได้รู้จัก 

ลองฝึกเคล็ดวิชานี้กันนะครับ เราจะได้มีช่างผมเล็บมังกร แม่ครัวเล็บมังกร แท็กซี่เล็บมังกร นักขายเล็บมังกร  ช่างไฟเล็บมังกร นักวิเคราะห์เล็บมังกร ฯลฯ เกิดขึ้นเยอะๆ ในยุทธจักร เป็นความลับของฟ้าอีกข้อที่จอมยุทธ์เท่านั้นจึงจะบรรลุถึงเคล็ดวิชา ยิ่งเข้าใจเขา เรายิ่งได้ครับ

‘เทพคลีนนิ่ง’ ร้านเช่าและตัดชุดรับปริญญาเก่าแก่ที่ยังคงยืนระยะผ่านการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย

‘ชุดครุย’ คือหนึ่งในสัญลักษณ์การเปลี่ยนผ่านของช่วงวัยที่เต็มไปด้วยความหมายและถูกบันทึกไว้ในใจใครหลายๆ คน ถ้าถามว่าโอกาสไหนที่เราจะได้ถ่ายรูปกับเพื่อนเยอะที่สุดในชีวิตก่อนแยกย้ายกันไปเติบโตก็คงเป็นช่วงฤดูกาลรับปริญญา ปัจจุบันมีร้านให้บริการตัดและเช่าชุดครุยยอดนิยมหลายแห่ง หนึ่งในนั้นคือ ‘เทพคลีนนิ่ง’ ร้านเก่าแก่ย่านท่าพระจันทร์ที่ให้บริการด้านชุดครุยมา 40 กว่าปี 

อิ๊งค์–เฉลิมชัย บวรธรรมรัตน์ และ แมว–วราวรรณ สาครตระกูล สามี-ภรรยาซึ่งเป็นทายาทรุ่นที่สองของเทพคลีนนิ่งย้อนความหลังให้ฟังว่า ชื่อเทพคลีนนิ่งเป็นที่รู้จักของลูกค้าในย่านท่าพระจันทร์มาตั้งแต่ปี 2512 เดิมทีเป็นร้านบริการซักแห้งและมักมีร้านให้เช่าชุดครุยในละแวกใกล้เคียงนำชุดครุยมาส่งซักแห้งอยู่บ่อยๆ สุรเทพ และอุไรรัตน์ สาครตระกูล คุณพ่อและคุณแม่ของแมวผู้ก่อตั้งกิจการเทพคลีนนิ่ง จึงมองเห็นช่องทางในการขยับขยายกิจการ และเริ่มหันมาทำธุรกิจชุดครุยช่วงประมาณปี 2522-2523

สานต่อกิจการครอบครัว

“ตอนที่บ้านเริ่มทำชุดครุยเราอายุประมาณ 10 ขวบ ตอนนั้นเราก็ช่วยงานที่ร้านแล้ว คุณพ่อเขาจะดูแลลูกค้าอยู่หน้าร้าน แต่สินค้าบางอย่างอยู่ชั้นบน เราเป็นแผนกคอยวิ่งหยิบของ ป๊าจะเอาอะไรตะโกนมาเลยเดี๋ยวหนูหยิบให้” แมวเล่าถึงความหลังครั้งเยาว์วัยที่เธอเกิดและเติบโตในร้านเทพคลีนนิ่ง ธุรกิจครอบครัวเล็กๆ ที่ทำกันเองพ่อ แม่ ลูก 

แม้จะคลุกคลีกับกิจการที่บ้านมาตั้งแต่เด็ก แต่แมวไม่เคยมีความคิดจะเข้ามาสานต่อธุรกิจนี้เลย สมัยวัยรุ่นเธอเลือกเส้นทางชีวิตของตัวเองด้วยการเรียนคณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทำให้ได้พบกับอิ๊งค์หนุ่มวิศวะสถาบันเดียวกัน ซึ่งกลายมาเป็นคู่ครองและกำลังหลักสำคัญของร้านเทพคลีนนิ่งจนถึงทุกวันนี้

“เราเลือกเรียนคณะเกษตรเพราะสมัยนั้น ม.เกษตรฯ ยังไม่มีคณะสถาปัตย์ ภาควิชาแลนด์สเคปเลยอยู่ในคณะเกษตร เรียนเกี่ยวกับการจัดสวน การออกแบบ จบแล้วก็ไปทำงานบริษัทอยู่ประมาณ 4-5 ปี จนถึงจุดหนึ่งที่ธุรกิจบ้านจัดสรรได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ เจ้านายปิดกิจการ พอดีกับจังหวะนั้นที่บ้านเริ่มยุ่ง ไม่มีลูกน้องคอยช่วย เราเห็นคุณพ่อแก่แล้วก็มีหลงลืมบ้าง ทำงานผิดพลาดไม่เสร็จตามวันนัดบ้าง โดนลูกค้าบ่นว่าทำไมนัดแล้วไม่ได้ของ เราไม่อยากให้พ่อโดนคนอื่นว่าเลยเข้ามาช่วยทำไปก่อน แต่ทำอยู่สักพักหนึ่งเจ้านายโทรมาตามให้กลับไปทำงาน เพราะเขาเปิดบริษัทใหม่อีกครั้ง เราก็บอกเขาว่าคงไม่สะดวกไปทำให้แล้ว เพราะพ่อเริ่มทำธุรกิจต่อไม่ไหวแล้ว เราเลยดูแลร้านเทพคลีนนิ่งต่อมายาวเลย”

อิ๊งค์เล่าเสริมจากภรรยาว่า “ตอนที่แฟนลาออกมาทำร้านผมยังทำงานบริษัทอยู่ ตอนหลังมีลูกคนแรกก็เริ่มมีประเด็นว่าพอมีลูกแล้วไม่มีคนช่วยทำงานที่ร้าน จังหวะนั้นผมรู้สึกอิ่มตัวกับงานบริษัทพอดี งานมันเริ่มวนไปวนมาน่าเบื่อแล้ว พอดีแม่ยายเขาชวนให้มาทำงานที่ร้าน จะได้ช่วยกันดูแลร้านดูแลลูก ผมเลยตัดสินใจว่าเอาก็เอา เพราะวันหยุดเราก็มาช่วยงานทุกเสาร์-อาทิตย์ตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย จนเหมือนเป็นกิจวัตรที่เคยชินแค่ยังไม่ได้มาทำเต็มตัว เรามองถึงอนาคตว่าถ้าลาออกมาใช้ชีวิตแบบนี้ มีรายได้ประมาณนี้น่าจะพออยู่ได้ และมีเวลาว่างดูแลครอบครัว พอคิดแล้วว่าโอเคก็เลยลาออกมา

“เราทำงานบริษัทมาก่อน พอต้องมารับลูกค้าหน้าร้าน ต้องพูดจาไพเราะ ความคิดเราไม่เหมือนพ่อค้าแม่ค้ามืออาชีพ ยอมรับว่าช่วงแรกบางครั้งมีปัญหากับลูกค้าบ้าง พ่อตาแม่ยายเขาก็สอนว่าต้องใจเย็นๆ ลูกค้าเขาเอาเงินมาให้เรา พออายุมากขึ้น ประสบการณ์มากขึ้น เราก็เปลี่ยนไปเยอะ ใจเย็นขึ้น พูดจาสุภาพขึ้น”

งานที่ต้องทำตลอดทั้งปี 

คนส่วนใหญ่มักคิดว่างานรับปริญญามีแค่ปีละครั้ง การทำธุรกิจชุดครุยคงมีเวลาว่างเยอะ แต่อิ๊งค์เฉลยให้ฟังว่าก่อนโควิดระบาด เขามีงานตลอดทั้งปีแทบไม่ได้ว่างเว้นเลยทีเดียว 

“มหาวิทยาลัยหลักๆ ที่เรารับงานมี 6-7 แห่ง ช่วงก่อนโควิดงานรับปริญญามันมีเกือบทั้งปีนั่นแหละ ส่วนใหญ่จะมีช่วงต้นปีกับช่วงปลายปี สมัยนี้จุฬาฯ ธรรมศาสตร์ เกษตรฯ เขารับปริญญาช่วงเดือนตุลาคม พอต้นปีก็มีราชมงคล รามคำแหง สลับวนเวียนไปเรื่อยๆ แต่ปริมาณงานจะไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับว่าเราชำนาญด้านชุดครุยของมหาวิทยาลัยไหน เด็กเขาก็จะบอกต่อกันและมีมหาวิทยาลัยที่ดีลให้เราเข้าไปวัดตัวเป็นประจำทุกปี”

เมื่อถามถึงความแตกต่างระหว่างชุดเช่ากับชุดสั่งตัดว่าแบบไหนได้รับความนิยมมากกว่ากัน อิ๊งค์อธิบายว่าปัจจัยหลักขึ้นอยู่กับประเภทของชุดด้วย

“เด็กจุฬาฯ ตัดชุดครุยใหม่เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะชุดครุยเป็นผ้าโปร่งซักทำความสะอาดไม่ได้ เขาไม่ค่อยอยากเช่ากัน และราคาสั่งตัดไม่สูงมากอยู่ที่ 1,300-1,400 บาท ส่วนมหาวิทยาลัยที่ราคาชุดครุยค่อนข้างสูง เช่น ธรรมศาสตร์ มหิดล เป็นเสื้อคลุมแบบแฮร์รี่ พอตเตอร์ ราคาสั่งตัดประมาณ 3,000 กว่าบาท เด็กจะนิยมเช่ากันมากกว่า ซึ่งชุดเช่าของเทพคลีนนิ่งสะอาดอยู่แล้ว เพราะเรามีโรงงานซักแห้งเป็นของตัวเอง”

ลักษณะการตัดเย็บและชนิดของวัสดุที่ใช้ คือเหตุผลหลักที่ทำให้ชุดครุยของแต่ละมหาวิทยาลัยมีราคาแตกต่างกัน เช่น ชุดครุยของธรรมศาสตร์เป็น ‘งานมือ’ ที่ต้องใช้มือทำ ราคาจึงค่อนข้างสูงเพราะค่าแรงแพง ส่วนของจุฬาฯ เป็นงานจักรค่าแรงและค่าวัสดุถูกกว่า โดยร้านเทพคลีนนิ่งจะมีช่างตัดเย็บหลักอยู่ 5-6 คน ส่วนใหญ่เป็นช่างที่ทำงานด้วยกันมานานจนสนิทสนมเหมือนเป็นเพื่อนกันไปแล้ว

แมวเล่าถึงมุมมองความคิดที่มีต่อธุรกิจว่า “สมัยเด็กเราคิดว่ามันน่าจะเป็นธุรกิจง่ายๆ พอมาทำเอง โอ้โห ทั้งปัญหาลูกน้อง ปัญหาเรื่องเกรดผ้า ต้องสั่งวัสดุนำเข้า บางอย่างได้มาไม่ทันใช้ สั่งของแล้วได้มาไม่ตรงสเป็ก ความนิ่มเนื้อผ้าไม่ถูกใจ ปัญหาจุกจิกเยอะมากค่ะ ช่างที่ทำงานให้เราทุกวันนี้หลายคนเป็นลูกน้องของช่างเก่าสมัยคุณพ่อคุณแม่ มีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปตามอายุขัยของช่าง เพราะปัจจุบันช่างเดิมอายุ 80 กว่า ทำไม่ไหวแล้วค่ะ บางคนถ่ายทอดวิชาให้ลูกแต่ลูกไปทำอาชีพอื่นแล้ว คนที่ยังทำให้เราก็เป็นลูกน้องของลูกเขาอีกที” 

ความต้องการที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย

จากรุ่นแรกเปลี่ยนผ่านสู่รุ่นสอง หัวใจหลักในการทำธุรกิจที่เทพคลีนนิ่งยึดถือเสมอมาคือการเอาใจใส่และให้ความสำคัญกับความต้องการของลูกค้า โดยไม่ว่าจะไปวัดตัวที่มหาวิทยาลัยหรือลูกค้ามาที่ร้าน ทางร้านก็จะพยายามดูแลเต็มที่ทำให้เป็นมาตรฐานเดียวกันอยู่เสมอ 

“เราพยายามคิดว่าถ้าเราตัดชุดรับปริญญาให้ลูกตัวเองใส่แบบนี้ลูกเราจะชอบไหม ถ้าลูกไม่ชอบเราก็ไม่ทำ และเราจะไม่รับงานเยอะเกินจนดูแลลูกค้าได้ไม่ทั่วถึง ถึงจะเป็นชุดเช่าแต่ไซส์ของร้านเทพคลีนนิ่งจะค่อนข้างละเอียด ไม่ได้กำหนดเป็นไซส์ S M L เหมือนงานโรงงาน ที่นี่เราไม่ทำแบบนั้น เราพยายามเลือกขนาดให้ใกล้เคียงกับสรีระของลูกค้ามากที่สุด เพราะแต่ละคนมีความชอบไม่เหมือนกัน” อิ๊งค์กล่าวเน้นย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

ฟังคำตอบแล้วเรามีข้อสงสัยว่าความชอบที่ไม่เหมือนกันคืออะไร เพราะหากมองจากมุมคนที่ไม่ได้มีความรู้ด้านการตัดเย็บมากนัก ชุดรับปริญญาก็ดูจะมีหน้าตาเหมือนๆ กันหมด จึงขอให้เจ้าของร้านทั้งสองคนช่วยขยายความ

“ชุดครุยที่เป็นผ้าโปร่ง รายละเอียดจะค่อนข้างเยอะกว่าชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ พวกนี้ต้องวัดความยาวแขน รอบอก สะโพก ซึ่งบางทีเรากำหนดไซส์ให้เขาจากประสบการณ์ที่เคยทำมาลูกค้าอาจจะไม่ถูกใจก็ได้ ต้องมีการพูดคุยสอบถามกันก่อน เช่น ช่วงนี้ลูกค้ากำลังลดน้ำหนักออกกำลังกายฟิตหุ่นอยู่ไหม อยากให้เผื่อไซส์ไว้เล็กหน่อยไหม แต่ถ้าขนาดที่ต้องการผิดไปจากมาตรฐานเยอะ เราก็ต้องบอกลูกค้าว่าทำไม่ได้นะ เดี๋ยวจะเข้าพิธีรับปริญญาไม่ได้ เช่น ความยาวที่มหาวิทยาลัยกำหนดคือ 1 ฟุตจากพื้น บางคนอยากได้ชุดครุยสั้น เราก็ต้องต่อรองว่าสั้นกว่าปกติได้แค่นิ้วเดียวโอเคไหม เข้ารูปได้นิดหน่อยนะ ถ้าจะเอาสั้นเยอะๆ หรือตัวเล็กมากจนดูไม่สุภาพน้องจะใส่ไปรับปริญญาไม่ได้ ไม่ใช่ว่าไม่อยากทำให้นะครับ เราพยายามตามใจลูกค้าให้มากที่สุดอยู่แล้ว แต่ถ้าทำไปแล้วเอาไปใช้งานไม่ได้เราก็ไม่ทำดีกว่า” 

ส่วนตัวแมวมองว่าในอนาคตคนรุ่นใหม่น่าจะให้ความสำคัญกับการรับปริญญาน้อยลงกว่าเดิม เพราะเขาไม่ยึดติดกับพิธีการว่าต้องเข้าไปรับในหอประชุม แต่ยังมาเช่าหรือสั่งตัดชุดครุยไปถ่ายรูปกับเพื่อนอยู่บ้าง รายละเอียดในการเลือกจึงมีความต้องการที่หลากหลายมากขึ้นกว่าแค่ให้ตรงตามระเบียบพิธีการเพียงอย่างเดียว 

“สมัยก่อนคนจะมาหาชุดครุยมาตรฐานถูกระเบียบไซส์พอดีตัวแค่นั้นจบเลย แต่ปัจจุบันลูกค้ามองหาชุดครุยที่เนื้อผ้าอย่างดี ตัดเย็บด้วยคัตติ้งอย่างดี ไซส์ต้องถูกใจ เราต้องมีตัวเลือกให้ลูกค้ามากขึ้น เมื่อไม่นานมานี้มีลูกค้าเข้ามาขอชุดครุยความยาวแค่เข่า เขาไม่อยากให้ดูรุ่มร่าม เขาบอกไม่เข้าพิธีรับปริญญาค่ะพี่แค่ใส่ถ่ายรูปเฉยๆ เราก็ให้เขาลองชุดสามแบบ แบบมาตรฐาน สั้นกว่ามาตรฐานนิดนึง และสั้นแค่เข่าที่เขาอยากได้ พอลองเปรียบเทียบกันแล้วเขาก็เลือกชุดตรงกลางที่ไม่สั้นเกินไป ใส่แล้วมันดูสวยกว่า ถ้าสั้นเกินไปมันทำให้ชุดครุยดูไม่เป็นชุดครุย บางทีเขาคิดในใจมาจากบ้านแต่ไม่เห็นภาพ ก็เป็นหน้าที่ของทางร้านที่ต้องให้คำแนะนำ”

“ร้านชุดครุยสมัยก่อนจะทำตามมาตรฐานทั่วไป ไม่มีการหาวัสดุพิเศษมานำเสนอให้ลูกค้า ปัจจุบันเราต้องใส่ใจลูกค้ามากขึ้น ต้องดูแลละเอียดขึ้น อย่างเช่นชุดของธรรมศาสตร์ เกษตรฯ ก็จะมีผ้าในประเทศกับผ้านำเข้าจากเมืองนอก บางเนื้อผ้าย้อมมาสีไม่ดำสนิท สีดำมีหลายโทนมีเข้มมีอ่อน เราต้องเลือกผ้าที่เนื้อบางเบา ใส่แล้วดูตัวไม่ใหญ่ ถ่ายรูปออกมาสวย เนื้อผ้าบางตัวถ้าหนาและหนักเกินไปมันก็ไม่เหมาะเพราะเมืองไทยอากาศร้อน ช่วงโควิดลูกน้องหายไป 2-3 คน คุณพ่อมาช่วยงานที่ร้าน เขาเห็นเราลงรายละเอียดหลายอย่างที่แตกต่างจากสมัยก่อน เรามีตัวเลือกให้ลูกค้า เราเลือกวัสดุอย่างดี เขาก็ถามว่าเยอะไปไหม สั่งงานช่างรายละเอียดเยอะแบบนี้เขาจะทำให้เหรอ แต่พอเห็นลูกค้าถูกใจ เขาก็เข้าใจว่าถูกต้องแล้วแหละที่เราทำแบบนี้”

เราชวนคุยว่าแล้วสมัยที่ทั้งคู่รับปริญญามีวิธีการเลือกชุดครุยยังไงให้ถูกใจ แมวตอบก่อนว่า “ตอนที่รับปริญญาพ่อเขาตัดชุดให้ใหม่นะ แต่ไม่ได้ละเอียดเรื่องคัตติ้งมากเหมือนสมัยนี้ เบอร์ไหนใส่ได้เอามาเลยค่ะ ตอนนี้ไม่รู้ว่าชุดนั้นไปอยู่ที่ไหนแล้ว” แมวหัวเราะ

ส่วนคำตอบของอิ๊งค์ก็ใกล้เคียงกัน “ผมหยิบชุดที่มีอยู่ในร้านไปใส่เลย สมัยก่อนเราไม่ได้คิดว่าจะต้องเนี้ยบอะไร ผมเป็นเด็กลูกทุ่งบ้านนอก เอาแค่พอใส่รับปริญญาได้ก็จบแล้วแค่นั้นเอง”

จากท่าพระจันทร์สู่รามคำแหง 

ปัจจุบันร้านเทพคลีนนิ่งมี 2 สาขา ได้แก่ สาขาดั้งเดิมที่ท่าพระจันทร์ และสาขารามคำแหง 51/1 ที่พี่สาวของคุณแมวดูแลอยู่ โดยทั้งสองแห่งให้บริการเช่าและตัดชุดข้าราชการ สูท และชุดครุย จากฝีมือของช่างตัดเย็บทีมเดียวกัน 

“สาขา 2 เริ่มเปิดปี 2546 พอดีมีคนแนะนำมาว่ามีอาคารพาณิชย์แถวรามคำแหงว่างอยู่ ก็เลยเข้าไปดูทำเลซึ่งอยู่ตรงข้ามมหาวิทยาลัยรามคำแหง สมัยก่อนย่านนั้นคึกคักมีคนเดินเยอะ ช่วงเย็นมีตลาดนัดข้างหน้าถนน เราเลยตัดสินใจเปิดสาขา 2 ตรงนั้นแล้วให้พี่สาวไปคุมร้าน” แมวเล่าถึงที่มาของการขยายกิจการ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับที่เธอลาออกจากงานมาบริหารงานร้านเทพคลีนนิ่งเต็มตัว

ช่วงสถานการณ์โควิดที่ผ่านมาร้านเทพคลีนนิ่งได้รับผลกระทบพอสมควร เนื่องจากงานรับปริญญาไม่สามารถจัดได้ “ระยะเวลาที่เราจะมีเงินเข้ามามันเปลี่ยนไปหมดเลย ปริมาณงานน้อยลงพอสมควร เพราะงานรับปริญญาเลื่อนออกไปเรื่อยๆ บัณฑิตไม่รู้ว่าจะได้รับปริญญาเมื่อไร บางทีเลื่อนไป 2-3 ปีก็มี พอกำหนดการไม่มีความแน่นอน เด็กเขาก็ไม่อยากเสียเงินค่าใช้จ่ายตรงนี้ ตัดชุดไว้ล่วงหน้ากว่าจะได้ใส่รูปร่างอาจจะเปลี่ยนไปแล้วก็ได้” อิ๊งค์เล่าสถานการณ์ให้เราเห็นภาพมากขึ้น

ในช่วงที่ต้องรักษาระยะห่างตามมาตรการล็อกดาวน์ ทางร้านจึงมีระบบสั่งชุดครุยออนไลน์ ให้ลูกค้าวัดตัวแล้วแจ้งไซส์เข้ามา แต่การสั่งตัดชุดครุยออนไลน์มีข้อจำกัดคือ ทางร้านไม่เคยเห็นคนใส่มาก่อนและลูกค้าส่วนใหญ่ก็ไม่ได้แม่นยำเรื่องการวัดตัวว่าควรวัดโดยกะระยะมากน้อยแค่ไหนถึงจะตัดออกมาสวย งานสั่งออนไลน์จึงเหมาะกับลูกค้าที่ต้องการชุดไม่ผิดระเบียบ แต่ไม่ซีเรียสเรื่องไซส์และคัตติ้งว่าต้องเนี้ยบเป๊ะมากนัก เมื่อลูกค้าส่งขนาดตัวเข้ามาแล้วทางร้านจะตรวจเช็กก่อนว่าได้มาตรฐานคนปกติทั่วไปหรือไม่ เพื่อให้เกิดการแก้ไขน้อยที่สุด เนื่องจากงานแก้ไขมักทำให้ตะเข็บบิดเบี้ยว ทรงเสื้อไม่สวยเหมือนงานที่ตัดพอดีตัวตั้งแต่ครั้งแรก 

ในฐานะธุรกิจที่ยืนระยะผ่านกาลเวลามาได้อย่างยาวนาน เราอยากรู้ว่าเจ้าของร้านรุ่นสองมองความสำเร็จและก้าวต่อไปของเทพคลีนนิ่งไว้อย่างไรบ้าง 

“ถามว่ากิจการของเราประสบความสำเร็จไหมก็พูดได้ไม่เต็มปากนะ แต่เราอยู่มาได้เรื่อยๆ เพราะสมัยก่อนคู่แข่งมีน้อย พอยุคหลังๆ ร้านรับตัดชุดรับปริญญาเริ่มเยอะขึ้น มีทั้งร้านดี-ไม่ดี แต่ของเราจะเน้นว่าพยายามทำออกมาให้ถูกใจลูกค้าที่สุดเท่าที่จะทำได้ เราจะไม่ทำงานแบบขอไปที ไม่ได้ทำให้เสร็จๆ ไป” อิ๊งค์เน้นย้ำถึงจุดยืนที่เขาเรียนรู้มาจากผู้ก่อตั้งกิจการรุ่นแรก 

“สมัยเด็กๆ เรายังมาช่วยหยิบจับนู่นนี่ในร้านบ้าง แต่ลูกเราไม่มองเลยค่ะ มันเป็นธุรกิจที่ยากเกินไปน่าจะต่อยอดลำบาก” แมวเล่าด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ “ก็เหมือนคนรุ่นเราที่ไม่ค่อยมีใครอยากรับช่วงกิจการต่อจากพ่อแม่หรอก ใจเราอยากทำอย่างอื่นมากกว่า แต่พอเห็นพ่อแม่ทำมาเลี้ยงลูกได้ขนาดนี้ก็น่าจะอยู่ได้ เพื่อนที่รู้จักกันเป็นลูกหลานของหลายๆ ร้านในย่านนี้ บางบ้านก็ทำต่อบางบ้านก็ไม่ทำ คนที่ทำต่อมีน้อย เวลากลับไปเจอเพื่อนฝูง เขาคุยกันว่าตอนนี้ตำแหน่งอะไรแล้ว ทำงานบริษัทได้เลื่อนขั้น แต่อย่างเราทำร้านก็พออยู่ได้เรื่อยๆ ไม่ถึงกับเฟื่องฟูมาก”

WegoVegan ซูเปอร์มาร์เก็ตอาหารเจออนไลน์ ที่ขายดิบขายดีแม้ในวันที่ไม่มีเทศกาลกินเจ

โปรตีนเกษตร หมี่กึง เต้าหู้ เห็ดหอม

แม้แต่แฟนพันธ์ุแท้พะโล้หมี่กึงและโปรตีนเกษตรผัดพริกขิงก็ต้องยอมรับว่าอาหารในช่วงเทศกาลกินเจนั้นจำเจจริงๆ ยังไม่นับหมูปลอม ไก่ปลอม เนื้อสัตว์ปลอมที่สุดท้ายแล้วก็ทำจากแป้งทั้งสิ้น

กระทั่งวันที่เราค้นพบร้าน WegoVegan โลกแห่งอาหารเจก็สว่างไสวทันที

WegoVegan เป็นร้านขายวัตถุดิบอาหารเจออนไลน์ที่เรียกว่า ‘ซูเปอร์มาร์เก็ตเจ’ น่าจะเหมาะกว่า ด้วยปริมาณสินค้ามากกว่า 200 ชนิดจากแบรนด์ไทยและต่างประเทศ และยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในด้านปริมาณและประเภทสินค้าที่วางขาย

wegovegan

แต่ถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว เราจะแทบไม่เห็นร้านที่ขายวัตถุดิบอาหารเจอย่างครบครันแบบนี้ในเมืองไทย ร้านที่พอมีก็กระจุกตัวอยู่แค่ในกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ๆ นักกินเจจึงไม่มีทางเลือกกินมากนัก

ในบรรดานักกินเจเหล่านั้นมี ยีนส์–นนทกา และ นิว–นพรัตน์ ทัศนวิรุฬห์ สองโปรแกรมเมอร์รวมอยู่ด้วย

เพียง 5 ปี จากนักกินเจมือสมัครเล่น พวกเขากลายมาเป็นเจ้าของกิจการร้านขายวัตถุดิบเจเจ้าใหญ่ที่แม้หนึ่งปีจะมีเทศกาลกินเจเพียงหนึ่งครั้ง และแม้ยอดขายช่วงเทศกาลกินเจจะสูงกว่าช่วงเวลาอื่นของปีถึง 4-5 เท่า พวกเขาก็เอาตัวรอดได้ 

และทำได้ดีกระทั่งลูกค้ายอมไม่ไปซื้อสินค้าที่ร้านอื่น แต่ขอให้พวกเขาเอาสินค้าที่อยากได้เข้ามาขายแทน

หากถามว่าทำได้ยังไง ยีนส์และนิวขอตอบด้วยกลยุทธ์ต่อไปนี้ที่พวกเขาได้เรียนรู้จากการทดลองระหว่างทาง

เจแล้วไปไหน?

“เราแอนตี้เจมาตั้งแต่เด็ก อาม่าบังคับกินเจทุกปีก็กินได้ไม่เคยถึง 10 วัน เลิกเรียนก่อนจะกลับบ้านก็ไปกินอาหารข้างโรงเรียนจนมารู้เหตุผลของการกินเจซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนชีวิต” นิวย้อนเล่าให้ฟัง

“ตอนนั้นเราไปปฏิบัติธรรมสองวันแต่มีธรรมะแค่หัวข้อเดียวที่จำได้คือเรื่องการกินเจ ตอนจบเขาให้ดูวิดีโอฆ่าสัตว์แล้วเราน้ำตาไหล รู้สึกว่าเราต้องเปลี่ยน ต้องทำอะไรสักอย่าง”

เมื่อเริ่มกินเจ เริ่มศึกษา ทั้งคู่ก็พบข้อดีอื่นๆ ของการไม่กินเนื้อสัตว์อย่างการลดบริโภคยาปฏิชีวนะ และลดการทำปศุสัตว์ซึ่งมีแนวคิดว่าก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน

และเมื่ออินมาก ก็อยากชวนให้คนจำนวนมากได้มากินเจไปด้วยกัน

wegovegan

“เราอยากส่งเสริมให้คนอื่นได้กิน ได้ลดละเนื้อสัตว์เหมือนเราก็เลยเปิดช่องยูทูบขึ้นมาสอนทำอาหารเจแบบง่ายๆ แล้วก็เปิดเพจเฟซบุ๊กเพราะเราไม่ได้แค่อยากส่งเสริมให้คนทำอาหารเจเป็นเท่านั้น แต่ยังรับปรึกษาเรื่องไลฟ์สไตล์การกินเจด้วย” ยีนส์ช่วยเล่า

“เรื่องที่เขามาปรึกษาก็เช่น จะเริ่มต้นกินเจยังไง ภรรยากินเจแต่สามีไม่กินจะทำยังไง หรือมีครั้งนึงคุณหมอทักมาถามว่า ‘ผมอยากจะออกกำลังกายให้มีกล้าม จะกินเจให้ได้โปรตีนยังไง’ เราก็เลยรู้สึกว่าฉันมีความรู้เรื่องวิธีทำอาหารอย่างเดียวไม่ได้แต่ต้องศึกษาเรื่องโภชนาการด้วยเพื่อตอบคำถามลูกเพจของเรา”

แต่ทั้งหมดที่ว่ามาก็ไม่ใช่คำถามที่เจอบ่อยเท่าคำถามง่ายๆ ว่า “วัตถุดิบเจซื้อที่ไหน”

“เมื่ออาหารเจหาทานยาก แล้วลูกเพจก็มาถาม เราเลยคิดว่าหรือเอามาขายเองดีไหม” ยีนส์เล่า

wegovegan

“ส่วนใหญ่วัตถุดิบเจจะขายในกรุงเทพฯ ไม่ก็ในหัวเมืองใหญ่ๆ ในอำเภอเมือง เช่น โคราช หรืออำเภอเมืองสระบุรี อย่างเราอยู่มวกเหล็ก เอาแค่ให้มีร้านอาหารเจยังยากเลย ฉะนั้นตอนเรากินเจแรกๆ เข้ากรุงเทพฯ ไปแล้วเจอร้านเจนี่ดีใจมาก”

“เท่าที่จำได้ร้านออนไลน์ตอนนั้นมีร้านเดียว เราเห็นโอกาสตรงนี้แหละว่าถ้าจะเปิดร้านเราก็ต้องขายออนไลน์” นิวสรุป

สำหรับพวกเขาการเปิดร้านออนไลน์มีข้อดีหลายอย่าง หนึ่ง คือสามารถทำควบคู่ไปกับงานประจำได้ สอง คือเป็นตลาดที่ยังมีคู่แข่งน้อย และสาม คือสามารถเข้าถึงลูกค้าได้ทุกที่ ตอบโจทย์การสร้างคอมมิวนิตี้คนกินเจให้แข็งแรง

จากที่เริ่มด้วยโปรตีนเกษตรยี่ห้อเดียว ลูกเพจก็เรียกร้องให้นำสินค้าอื่นเข้ามาขายเรื่อยๆ จนพวกเขาสามารถลาออกจากงานประจำมาตั้งใจทำร้านเป็นอาชีพหลักได้ในที่สุด

ซูเปอร์เจ

ยีนส์และนิวเริ่มต้นขายวัตถุดิบจากคำเรียกร้องของลูกเพจ และขยายไลน์สินค้าในร้านด้วยการฟังความเห็นของลูกเพจเช่นกัน

มากคนก็มากความต้องการ เราจึงได้เห็นสินค้าละลานตาแม้แต่สินค้าในหมวดเดียวกัน เช่น เนื้อสัตว์เจ ลูกชิ้น หรือน้ำจิ้มสุกี้ ก็มีให้เลือกหลากหลายยี่ห้อไม่ต่างจากซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป

“เราไม่ได้ตั้งใจตั้งแต่แรก” นิวตอบทันทีที่เราถามว่าตั้งใจทำร้านให้เป็นซูเปอร์มาร์เก็ตหรือเปล่า “ลูกค้าถามมาทีละอย่าง ตอนแรกเราขายโปรตีนเกษตรอยู่แบบเดียว เขาก็ถามว่ามีแบบนี้ไหม เราก็ไปเอามาให้ มีคนมาถามอีก เราก็ไปเอามาเพิ่มอีกจนมี 3-4 แบบ”

“อย่างน้ำจิ้มสุกี้เราก็ขายอยู่ 4-5 แบรนด์” ยีนส์ขยายความ “เมื่อก่อนเราคิดว่าจะขายยี่ห้อที่เราชอบ อันที่เราว่าอร่อย แต่ตอนนี้ไม่ เอามาขายเลย 5 แบรนด์ อย่างปลาร้าเจก็มี 5-6 แบบ ถ้าเป็นสายเฮลตี้ ไม่ใส่ผงชูรสคุณก็ต้องซื้อยี่ห้อนี้ ถ้าอยากได้แรงๆ ต้องยี่ห้อนี้นะ เพราะรสชาติมันเป็นเรื่องส่วนตัวมากๆ ลูกค้าแต่ละคนก็มีความชอบไม่เหมือนกัน

“บางทีถามมารอบนึงเราก็ยังไม่เอามาขายนะ เขาก็ทักมาอีก คุณยีนส์ ขอร้องเถอะ วัตถุดิบเจมันหาซื้อยากจะได้ซื้อร้านคุณยีนส์ที่เดียวแล้วจบ จ่ายค่าส่งทีเดียว (หัวเราะ)”

กับบางธุรกิจ การฟังเสียงลูกค้ามากเกินไปอาจทำให้แบรนด์ไม่มีจุดยืน แต่ยีนส์บอกว่ากับ WegoVegan การฟังลูกค้าคือจุดแข็งเพราะพวกเขาได้เห็นความต้องการจริงของตลาด ไม่ต้องเล่นเกมทายใจว่าลูกค้าจะชอบสิ่งที่พวกเขาเอามาขายหรือเปล่า

“บางทีของที่เขาขอมาก็ขายดีมาก อย่างตอนแรกเราไม่ขายของสดพวกเนื้อสัตว์เจเลยเพราะเราไม่ชอบกิน ลูกค้าเป็นคนขอเข้ามา สุดท้ายเราก็เลยเอาอาหารสดแช่แข็งมาขายซึ่งตอนนี้เป็นของที่ขายดีที่สุด

“ตอนนี้อาหารแช่แข็งเราขายทั้งของเจ้าใหญ่ เช่น โยตา เทียนเซียน สตาร์ฟู้ดส์ ที่เป็นแบรนด์ไทย มีแบรนด์นำเข้ามาจากมาเลเซียและไต้หวันที่เขากินเจกันมานาน เป็นเจที่อร่อยด้วยนะ ยิ่งปัจจุบันที่กระแสวีแกนมาแรงมากก็จะมีผลิตภัณฑ์ plant-based เกิดขึ้นเยอะ เช่น แบรนด์ OmniMeat หรือ Meat Zero เราก็พยายามขายทุกแบรนด์ให้ลูกค้าเลือกเองได้ว่าจะกินอะไร”

ยีนส์เล่าต่อว่าจากที่จะไม่ขาย ตอนนี้อาหารสดได้กินพื้นที่ไปถึง 8 ตู้แช่แล้วจนพวกเขาเริ่มคิดว่าในอนาคตอาจจะต้องทำห้องเย็นเพื่อรองรับความต้องการนี้

wegovegan
wegovegan

นอกจากจำนวนสินค้าที่เยอะขึ้นจะตอบโจทย์ลูกค้าที่หลากหลายขึ้น การวางตัวเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตเจยังมีข้อดีคือช่วยลดเวลาช้อปปิ้งให้ลูกค้าได้ จากที่สมัยก่อนเวลาไปซูเปอร์มาร์เก็ตนักกินเจจะต้องกวาดสายตามองหาสัญลักษณ์ธงเหลือง ไม่ก็อ่านฉลากอย่างเอาเป็นเอาตาย เมื่อเข้ามาที่ WegoVegan พวกเขาก็เลือกลงตะกร้าแล้วเช็กเอาต์ได้เลย

“ทุกอย่างเราการันตีเลยว่าคัดสรรมาแล้วเพราะอาหารเจปลอมก็มี ฉะนั้นอะไรก็ตามที่หาแหล่งผลิตไม่ได้ ไม่มี อ.ย. เราจะไม่เอามาขาย” ยีนส์บอก

และเพื่อให้ร้านอยู่ได้อย่างมั่นคงยิ่งๆ ขึ้นไป ช่วงหลังพวกเขาจึงเพิ่มสินค้าที่คนกินเจก็กินได้ ไม่กินเจก็กินได้เข้ามาด้วย เช่น สาหร่ายทอดกรอบหรือนมจากธัญพืช เมื่อคนเสิร์ชหาสินค้าเหล่านั้นในแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซจะได้มีโอกาสเจอร้านของยีนส์และนิวไปด้วย แถมยังขายได้ทั้งปี ไม่ต้องอิงเทศกาล

ยังไม่นับว่านอกจากอาหารการกิน ยังมีผลิตภัณฑ์วีแกนอื่นๆ อีกมากที่เป็นที่ต้องการ เช่น สินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่เบียดเบียนสัตว์ ไม่ทดลองกับสัตว์ที่พวกเขาวางแผนว่าจะนำเข้ามาขายเพิ่มในอนาคต

แต่แน่นอนว่าไม่ว่าจะเติบโตไปยังไง หัวใจของซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งนี้ก็ยังเป็นสิ่งเดียวกับที่ทำให้พวกเขาตั้งช่องยูทูบ เพจ และร้านขึ้นมา นั่นคือการส่งเสริมให้คนใช้ชีวิตแบบไม่เบียดเบียนสัตว์ได้ง่ายขึ้นไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนของประเทศก็ตาม

wegovegan

เปิดรับความหลากหลายทางการ (ไม่) กิน

อาจเพราะหนึ่งปีมีเทศกาลกินเจแค่ครั้งเดียว สำหรับ WegoVegan ยอดขายอาหารเจในช่วงเทศกาลจึงพุ่งสูงกว่าช่วงปกติถึง 4-5 เท่า จากฝีมือของนักกินเจมืออาชีพและมือสมัครเล่นที่อยากละเว้นเนื้อสัตว์สัก 10 วัน

แต่พ้นจากช่วงเทศกาลไปแล้ว สองผู้ก่อตั้งร้านวัตถุดิบอาหารเจบอกว่าจำนวนคนที่ไม่กินเนื้อสัตว์ในไทยนั้นมีไม่น้อย เป็นกลุ่มคนที่หลากหลายทั้งอายุและอาชีพ และมีแนวโน้มว่าจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มีลูกค้าประจำแวะเวียนมาซื้อสินค้าไม่ได้ขาด

wegovegan

“เราคิดว่าคนกินเจเยอะขึ้นนะ ยิ่งช่วงหลังๆ นี้มีการกินประเภทใหม่ๆ เยอะมาก เช่น flexitarian คือการกินแบบยืดหยุ่น กินหมูบ้าง ไก่บ้าง กินเจบ้างเป็นบางวัน บางคนบอกว่ากินเจแต่ก็ยังกินไข่บ้าง บางคนกินเจแต่ว่าก็ยังกินกระเทียม

“จำนวนร้านอาหารเจออนไลน์ก็เพิ่มขึ้น ยอดขายของเราเองก็ด้วย ช่วงแรกๆ ที่เปิดร้านเดือนนึงขายได้ออร์เดอร์นึงเราก็ดีใจแล้วนะ (หัวเราะ) หลังๆ สัปดาห์นึงเริ่มได้ 4-5 ออร์เดอร์ จนช่วงนี้คือเราต้องจ้างคนแพ็กแล้ว” นิวชี้ให้เราหันไปดูด้านหลังร้านที่บรรดาพนักงานกำลังแพ็กสินค้าลงกล่องอย่างขันแข็ง

ที่สำคัญ หากมองดูสเปกตรัมของคนที่ไม่กินเนื้อสัตว์เราจะพบว่าคนกินเจคือกลุ่มคนที่เคร่งครัดที่สุด คือไม่กินทั้งเนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ และผักฉุน รองลงมาคือวีแกนที่มีกฎเหมือนเจเพียงแต่กินผักฉุนได้ และที่เคร่งครัดน้อยที่สุดคือชาวมังสวิรัติที่ไม่กินเนื้อสัตว์ แต่ยังกินผลิตภัณฑ์จากสัตว์และผักฉุนได้อยู่

เพราะฉะนั้นการเลือกเปิดร้านวัตถุดิบอาหารเจที่เคร่งครัดเรื่องการกินที่สุดจึงเป็นจุดแข็งที่ทำให้สามารถต้อนรับลูกค้ากลุ่มที่เคร่งครัดทางการกินน้อยกว่าได้อย่างสบายๆ

เจที่มองไม่เห็น

น้ำจิ้มลูกชิ้น น้ำจิ้มสุกี้ น้ำพริกหนุ่ม น้ำปลาหวาน และกิมจิ

อาหารเหล่านี้ที่เจอในร้าน WegoVegan ทำให้เราประหลาดใจ ไม่ใช่เพราะเป็นเมนูพิสดาร แต่เป็นเพราะเราไม่เคยฉุกคิดมาก่อนว่ามัน ‘ไม่เจ’

และนี่คือช่องว่างใหญ่ในตลาดที่พวกเขาบอกว่า “ผลิตยังไงก็ไม่พอ”

“อาหารหลายอย่างที่เราขาย คนจะสงสัยว่ามันไม่เจตรงไหน คือถ้าเป็นวีแกนหรือมังสวิรัติเขาจะกินพวกหอม กระเทียม ผักฉุนได้ แต่เจกินไม่ได้ ดังนั้นก็จะกินน้ำพริกที่ใส่กระเทียม หรืออาหารที่ใส่น้ำปลา น้ำมันหอยไม่ได้เลย” นิวเฉลยถึงส่วนผสมที่มองไม่เห็น

นี่แหละคือส่วนผสมลับที่ทำให้ช่องยูทูบสอนทำอาหารเจของยีนส์และนิวไปได้ดีเพราะเมื่ออาหารเจหาซื้อยากนัก อยากกินอะไรก็ต้องหัดทำเอง

ความหากินยากยังเป็นช่องว่างที่ทำให้ยีนส์ได้ไอเดียแตก house brand ผลิตภัณฑ์เจของตัวเอง เริ่มจากน้ำจิ้มเจที่ลองผลิตแล้วขายดีเป็นเทน้ำเทท่า

wegovegan

“ช่วงโควิด พัสดุต่างๆ มันไปค้างอยู่ตามศูนย์กระจายสินค้าทำให้เราขายของสดที่ต้องแช่แข็งไม่ได้ เราเลยลองเสิร์ชหาสินค้าของกลุ่มการกินประเภทต่างๆ ว่าอะไรขายดี ก็ไปเจอร้านคีโต (การกินที่ลดบริโภคคาร์โบไฮเดรตและเน้นโปรตีนและไขมันดี) เขาขายน้ำจิ้มเป็น 20 แบบเลย เรารู้สึกว่า เฮ่ย แล้วทำไมกลุ่มคนกินเจถึงไม่มีน้ำจิ้มแบบนี้บ้าง เราต้องซัพพอร์ตคนกินเจ อยากกินเจต้องได้กิน เลยสร้างแบรนด์แม่ศรีเรือนขึ้น”

จุดเด่นของแบรนด์แม่ศรีเรือนคือเป็นน้ำจิ้มเจแท้ๆ ที่เหมือนน้ำจิ้มฉบับไม่เจมากที่สุด ยีนส์จึงต้องพัฒนาสูตรอยู่นาน และจริงจังถึงขั้นที่ว่าถ้าไม่เหมือนของจริงทั้งรสชาติ เทกซ์เจอร์ และวิธีการกินก็จะยังไม่วางขายเด็ดขาด

“ตอนทำน้ำจิ้มข้าวมันไก่ เราคิดว่าอร่อยแล้วแต่นิวชิมแล้วก็บอกว่านี่มันราดไก่ไม่ได้” ยีนส์เล่าพร้อมเสียงหัวเราะ “คือมันเค็มเกินไปก็เลยราดไก่ไม่ได้ พอราดไม่ได้ก็ไม่ใช่น้ำจิ้มข้าวมันไก่ เราก็รื้อสูตรทิ้งทำใหม่เลย ไม่อยากให้กินแล้วรู้สึกว่านี่สูตรเจ”

รู้ตัวอีกทีปัจจุบันแบรนด์แม่ศรีเรือนพัฒนาสูตรน้ำจิ้มเจมาแล้ว 6 ชนิดคือน้ำจิ้มสุกี้ น้ำจิ้มข้าวมันไก่ น้ำจิ้มไก่ ซอสกะเพรา น้ำจิ้มลูกชิ้นยืนกิน และน้ำปลาหวาน และมีน้ำพริกอีก 2 ชนิดคือน้ำพริกปลาทูและน้ำพริกหนุ่ม

wegovegan
wegovegan

มากกว่านั้น ยีนส์ยังเปิดแบรนด์กิมจิเจที่ใช้ผักออร์แกนิก และขายตั้งแต่กิมจิเจผักกาดขาว กิมจิหัวไชเท้า ไปจนถึงกิมจิบีตรูต ตอบโจทย์คนกินเจที่ดูซีรีส์เกาหลีแล้วอินแต่หาอาหารเจกินไม่ได้

ทั้งหมดนี้ ยีนส์บอกว่าพวกเขากำลังเตรียมตัวยื่นขอ อ.ย.เพื่อให้ขายได้ในวงกว้างยิ่งขึ้น

กว้างระดับที่ตอบโจทย์ลูกค้าต่างชาติได้เลย “เราคิดว่าน้ำจิ้มเจยังไปได้อีกไกล เช่น ตอนเริ่มทำน้ำปลาหวานเจ เราลงขายปุ๊บวันถัดไปก็มีคนซื้อเลย เราเชื่อว่ายังไงคนขายก็มีน้อยกว่าคนกินอยู่แล้ว ยิ่งคนผลิตยิ่งมีน้อยเข้าไปใหญ่ ถ้าเราเป็นผู้ผลิตได้มันน่าจะเวิร์กในอนาคต” ยีนส์เล่าถึงแผนการที่มองเอาไว้

“เรารีเสิร์ชตลาดน้ำจิ้มมาก็เห็นว่าน้ำจิ้มไทยแบรนด์ต่างๆ มันไปได้ไกล ขายดีถึงต่างประเทศ เช่น ไปปากีสถาน ไปอินเดีย ไปยุโรป แสดงว่าไม่ใช่เฉพาะคนไทยที่ชอบแต่คนทั่วโลกก็ชอบเหมือนกันหมด และทั่วโลกก็มีคนไม่กินเนื้อสัตว์เยอะ น้ำจิ้มของเรามันตอบโจทย์ทั้งคนกินเจ กินมังสวิรัติ วีแกน และฮาลาลจึงน่าจะไปได้ดี”

wegovegan

We Go Online

WegoVegan ไม่เพียงขายออนไลน์อย่างเดียวแต่ยังมีหน้าร้านริมถนนมิตรภาพ อำเภอมวกเหล็ก สระบุรี

ทั้งคู่เล่าว่าที่นี่เปิดโอกาสทางการขายได้มากเพราะแทบไม่มีคู่แข่ง แถมยังตั้งอยู่ริมถนนสายหลักที่คนที่จะเข้าภาคอีสานหรือเดินทางจากอีสานไปกรุงเทพฯ ก็ต้องผ่านทั้งนั้น

ถึงอย่างนั้น ลูกค้าหลักของพวกเขาก็ยังมาจากออนไลน์อยู่ดี พวกเขาจึงต้องพัฒนาการขายออนไลน์ให้ตอบโจทย์ลูกค้าในทุกๆ ด้าน เริ่มต้นด้วยเรื่องพื้นฐานอย่างการแพ็กสินค้าให้ดีและส่งไว ซึ่งลูกค้าชมกันทุกคน

เรื่องที่สอง คือการสื่อสารออนไลน์ให้ครบถ้วนเหมือนลูกค้าได้ไปยืนเลือกในซูเปอร์มาร์เก็ตจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพสินค้าที่ชัดเจน ชี้แจงวัตถุดิบและรายละเอียดสินค้าอย่างละเอียด

เรื่องที่สามที่ตามมาคือการปรับภาพลักษณ์เจให้ร่วมสมัยและเป็นสากลมากขึ้น เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่หลากหลายในอินเทอร์เน็ต รวมถึงคนรุ่นใหม่บางกลุ่มที่เดี๋ยวนี้หันมางดเนื้อสัตว์เป็นบางวัน

“เราไม่อยากให้ร้านของเรามีภาพลักษณ์เดิมของการกินเจแต่อยากให้คนมองมันเป็นสากลมากขึ้นเลยใช้สีเขียวเป็นสีหลักแทนที่จะเป็นสีเหลือง-แดง มองแล้วไม่รู้สึกว่ามันเป็นอาหารเจตามเทศกาลเพราะหลายคนมีภาพจำที่ไม่ค่อยดีเกี่ยวกับเทศกาลกินเจ

“คนมักจะมีภาพจำผิดๆ เกี่ยวกับอาหารเจ เพราะอาหารที่เราเห็นตามเทศกาลกินเจมันมีแต่แป้ง แล้วก็แป้งชุบแป้งทอด (หัวเราะ) แม่ค้าบางคนขายอาหารเจปีละครั้งก็ทำไม่เป็นเลยไม่อร่อย นั่นคืออาหารเจที่ไม่ใช่อาหารเพื่อสุขภาพ แต่ถ้ามาดูในคอมมิวนิตี้คนกินเจที่รักสุขภาพ จริงๆ อาหารมันสุขภาพดีทั้งนั้น” นิวผู้รับผิดชอบเรื่องภาพในเพจเป็นหลักเล่าให้ฟัง

อีกสิ่งสำคัญสำหรับการขายออนไลน์ที่ยีนส์และนิวย้ำอยู่ตลอดบทสนทนาคือเรื่อง ‘การบริการ’ ซึ่งพวกเขาทำด้วยใจ และยังส่งต่อแนวคิดนี้ให้ทุกคนในร้าน

“เราคุยกับพนักงานตลอดว่าเวลาลูกค้าเข้ามาซื้อเราจะต้องบริการเหมือนเขามาซื้อบ้านซื้อรถเลยนะ ซัพพอร์ตเขา ดูแลเขาเพราะว่าคนที่เขากินเจเขากินตลอดชีวิต ถ้าเขาประทับใจแล้วเขาก็จะกลับมาซื้อซ้ำ

“อีกอย่างคือในโลกออนไลน์คนซื้อเขาไม่เห็นสินค้าของจริง การที่เขาจะซื้อของสักอย่างต้องอาศัยความเชื่อใจและรีวิว ฉะนั้นถ้าเราบริการลูกค้าไม่ดี รีวิวที่เราได้รับก็ไม่ดี แต่ถ้าเราบริการด้วยใจ ลูกค้าบางคนเขาได้ของที่แตกแล้วเราเคลมให้เขายังมารีวิวให้เราดี ให้ห้าดาว พอคนอื่นมาอ่านเขาก็กล้าซื้อของเราเหมือนกัน”

ย้อนกลับไปที่คอมมิวนิตี้คนกินเจที่พวกเขาสร้าง ในวันที่ธุรกิจร้านขายวัตถุดิบดำเนินมาหลายปีพวกเขาพบว่าคอมมิวนิตี้นี้แหละที่ช่วยให้ร้านไปได้ดี เพราะมันสร้างความน่าเชื่อถือว่าพวกเขาเป็นผู้รู้จริงเรื่องอาหารเจ แถมลูกเพจหลายคนก็ยังเปลี่ยนสถานะเป็นลูกค้าประจำที่จะไม่เปลี่ยนใจจากแบรนด์ของยีนส์และนิวที่พวกเขาผูกพัน

เป็นการใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ให้คุ้มค่าที่สุด ตอบโจทย์ที่สุดจนลูกค้าไม่อยากหนีไปไหนอีกเลย

“ช่องที่มีมันสร้างความน่าเชื่อถือให้เรา เขาเห็นเราบ่อยเขาก็คุ้นเคย คุ้นหน้าเรา” นิวว่า ก่อนยีนส์จะเสริมเรื่องลูกค้าที่สัมพันธ์กันมานาน

“มีลูกค้าคนนึงเขารักเรามาก เขาก็เอาสูตรเด็ดที่เขาทำขายมาให้เราทำลงในช่องเลย หรือลูกค้าอีกคนนึงเขาเปิดร้านกาแฟเจ ขายขนมเจที่ชลบุรี ก็บอกว่าได้ไอเดียมาจากช่องของเรา ปัจจุบันเขาก็ยังซื้อนมเจ ซื้อวัตถุดิบจากเราอยู่ กลายเป็นเพื่อนกัน อุดหนุนกัน ส่งเสริมธุรกิจซึ่งกันและกัน กลายเป็นว่าร้านของเขาเป็นฐานลูกค้าของเราโดยไม่รู้ตัว

“เราพยายามแก้โจทย์เรื่องอาหารเจหากินยาก ไม่ว่าคุณอยู่ที่ไหนถ้าอยากกินเจเราส่งให้หมด ถ้าคุณทำไม่เป็นเราจะสอน คุณมีปัญหาเรื่องการกินเจเราก็รับให้คำปรึกษา” ยีนส์ทิ้งท้าย ก่อนจะเตรียมตัวลงมือทำผัดกะเพราเจ ลูกชิ้นปิ้งเจ ตบท้ายด้วยมะม่วงน้ำปลาหวานให้เราที่นั่งฟังเรื่องอาหารเจจนหิวได้ชิม

ฟัง (และกิน) มาขนาดนี้แล้ว คราวหน้าที่อยากกินเจขึ้นมา ไม่ว่าจะในหรือนอกเทศกาลเราก็พอได้คำตอบแล้วว่าต้องเริ่มต้นที่ไหนดี

ความเชื่อและการตลาดนอกตำราแสนจริงใจสไตล์หมูทอดเจ๊จง

นอกจากความอร่อยของสารพัดเมนูอาหารที่มาในราคามิตรภาพสุดๆ อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ ‘ร้านหมูทอดเจ๊จง’ ยังคงได้รับความนิยมจนถึงทุกวันนี้คงหนีไม่พ้นความ ‘ใจใหญ่’ ของ ‘เจ๊จง–จงใจ กิจแสวง’

ไม่ว่าจะเป็นบริการเติมข้าวเติมผักฟรี แถมยังมีกล้วยน้ำว้าให้กินตบท้าย หรือในช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ผ่านมาเจ๊จงก็เปิดโอกาสให้คนขับแท็กซี่ วินมอเตอร์ไซค์ หรือผู้ต้องการมีรายได้สามารถมารับข้าวกล่องไปขายก่อน แล้วค่อยนำเงินที่ขายได้มาจ่ายในตอนเย็น รวมไปถึงการปรับราคาอาหารขึ้น-ลงตามราคาวัตถุดิบ ถ้าหมูแพงก็ขอเพิ่มราคา แต่ถ้ากลับมาเป็นปกติ เจ๊จงก็กลับมาขายราคาเดิม

แม้ว่าแต่ละกลยุทธ์ในร้านอาจไม่ตรงกับสูตรจากตำราธุรกิจสักเท่าไหร่ แต่ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นจากความเชื่อของเจ๊จงที่อยากทำธุรกิจแบบซื่อสัตย์และจริงใจ

“คนเรายังอยากได้เพื่อนแบบนี้เลย ลูกค้าก็ต้องการสิ่งนี้จากร้านเหมือนกัน” คือสิ่งที่เจ๊จงบอกกับเราก่อนจะจบการสัมภาษณ์

ขอพาทุกคนไปสำรวจการตลาดสไตล์หมูทอดเจ๊จง อดีตร้านเล็กๆ ในย่านคลองเตย ก่อนจะขยายสาขาไป 13 แห่งทั่วกรุงเทพฯ และเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศไทย

บทที่ 1
จงเรียนรู้จากอดีต

เจ๊จงเติบโตมาในครอบครัวย่านชุมชนคลองเตยแท้ๆ พ่อเป็นคนขับแท็กซี่ แม่ทำงานโรงงาน เธอเป็นพี่คนโต และมีน้องชายอีก 3 คน

เจ๊จงเล่าด้วยน้ำเสียงสดใสว่าสมัยเรียนตนเองเรียนเก่งเป็นอันดับต้นๆ ของห้อง และชอบเรียนหนังสือมาก แต่ด้วยฐานะทางบ้านที่ยากจน ทำให้เธอต้องออกจากระบบการศึกษาหลังจบ ป.6 เพื่อมาทำงานส่งน้องๆ เรียนต่อ แต่เจ๊จงก็ไม่ยอมแพ้ เพราะยังรักที่จะเรียนรู้อยู่ จึงหาโอกาสเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยจนจบ ม.ปลายมาได้ด้วยตนเอง จากนั้นก็เข้าศึกษาต่อด้านพาณิชย์ ทว่าเรียนได้แค่เทอมเดียวก็ต้องออก เพราะไม่มีเงินมาจ่ายค่าเรียนต่อ

หลังจากนั้นเจ๊จงก็ทำงานสารพัด ก่อนจะแต่งงาน และทางด้านครอบครัวของสามีก็ยกกิจการร้านชำเล็กๆ ในแฟลตคลองเตยให้เจ๊จงดูแลต่อ 

อาจจะเพราะการเป็นคนจริงใจและมักจะเห็นอกเห็นใจคนอื่นมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เมื่อเห็นว่าหลายคนในแฟลตลำบากเรื่องเงิน ไปกู้แต่ละทีต้องเสียดอกเบี้ยแพงๆ เจ๊จงจึงชวนกันมาเปิดวงแชร์โดยเธออาสาเป็นเท้าแชร์เอง

ซึ่งนี่คือต้นเหตุของความผิดพลาดที่กลายเป็นปัญหาชีวิตที่ใหญ่ที่สุดของเจ๊จง

“เจ๊ชวนแต่คนแย่ๆ มาอยู่กับเจ๊ พอได้เงินก็หนีกันไปหมด” 

จากคนพอมีพอกินอยู่ได้ไม่ลำบากกลับต้องมาแบกหนี้สินหลักล้าน เจ๊จงยอมรับว่าช่วงนั้นมองไปทางไหนก็มืดแปดด้าน เพราะเธอสูญเสียทั้งเงินทอง บ้านก็ต้องเอาไปจำนอง ครอบครัวก็แตกไปคนละทิศละทาง สิ่งเดียวที่เหลืออยู่คือความคิดที่ว่าไม่ว่ายังไงก็ต้องใช้หนี้ให้หมด

เจ๊จงตัดสินใจเปิดร้านอาหารตามสั่งโดยยืมของใช้เครื่องครัวจากคนในแฟลต ใช้เวลาไม่นานก็มีลูกค้าประจำมากมายเพราะฝีมือการทำอาหารของเจ๊จงไม่เป็นสองรองใคร

แต่ก็ด้วยความเป็นเจ๊จงอีกเช่นกันที่ทำให้เธอตั้งราคาไม่สูงมาก นานวันเข้าพอลูกค้าเยอะก็ยิ่งเหนื่อย ยิ่งทำไม่ทัน เจ๊จงเล่าว่ามีคนมาบอกกับเธอว่า “ถ้าทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ เจ๊ได้ตายสักวันแน่ๆ” พร้อมทั้งแนะนำให้เจ๊จงลองขายข้าวแกงบุฟเฟต์ดู 

ตอนแรกเจ๊จงก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร จึงเริ่มไปสำรวจร้านข้าวแกงอื่นๆ พอเห็นว่าการทำอาหารปริมาณมากดูจะไม่ยาก ประกอบกับการได้ไปศึกษาผ่านหนังสือ วันต่อมาเจ๊จงก็เลยเลิกขายอาหารตามสั่ง แล้วเปิดร้านแกงบุฟเฟต์โดยตั้งราคาหัวละ 20 บาทแทน

หลังจากเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจ เจ๊จงก็เริ่มมีรายได้มากขึ้น แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะใช้ปลดหนี้ วันหนึ่งเธอไปซื้อข้าวหมูทอดให้ลูกสาว พอเปิดมาเจอหมูสี่ชิ้น ไฟในตัวเจ๊จงก็ลุกโชนขึ้นมาพึ่บพั่บ หันไปบอกลูกสาวว่า “คอยดูนะ เดี๋ยวแม่จะขายบ้าง แล้วจะให้หมูเยอะกว่านี้ด้วย”

วันต่อมาเจ๊จงไปซื้อหมูมา 8 กิโลกรัม เตรียมทอดขายตอนบ่ายหลังขายข้าวแกงเสร็จ แม้ครั้งแรกรสชาติจะยังไม่เข้าที่ แต่เมื่อรู้ว่าพลาดตรงไหนครั้งต่อไปก็มีแต่อร่อยขึ้น เจ๊จงทดลองไปเรื่อยๆ จนกลายมาเป็นหมูทอดเจ๊จงที่ติดอกติดใจทุกคนในวันนี้ได้สำเร็จ

บทที่ 2
จงหาของที่ดีที่สุดมาให้ลูกค้า

สิ่งสำคัญในการทำร้านอาหาร นอกจากฝีมือดีแล้ว วัตถุดิบก็ต้องดีเช่นเดียวกัน

“เจ๊เป็นคนซื้อของดีแต่ไม่กล้าขายแพง” เจ๊จงหัวเราะหลังพูดถึงนิสัยของตัวเองที่อาจย้อนแย้งกับหลักการทำธุรกิจที่เน้นกำไรเป็นตัวตั้ง

เจ๊จงเล่าว่าเวลาไปตลาด เธอจะขอให้แม่ค้าเลือกของที่ดีที่สุด ไข่ต้องใบใหญ่ หมูต้องคุณภาพดี ตลอดหลายสิบปีที่ทำธุรกิจมาเจ๊จงไม่เคยต่อราคาหรือไปจุ้นจ้านกับการคัดเลือกเลย แต่ถ้าร้านไหนส่งของไม่ดีมาเจ๊จงจะเลิกซื้อทันที

เมื่อเราถามถึงการให้บริการเติมข้าวและผักฟรี เจ๊จงก็อธิบายว่าเวลาไปร้านอาหารแล้วขอลดข้าว ทางร้านก็ไม่ได้ลดราคาให้ ดังนั้นถ้าจะขอเพิ่มข้าว เธอก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องคิดเงินเพิ่ม 

ส่วนเรื่องการเติมผักฟรีนั้นเริ่มจากหลายปีก่อนสามีของเจ๊จงเข้าโรงพยาบาล และแม้จะเป็นวันอาทิตย์แต่เจ๊จงก็สังเกตว่ามีคนไข้มารอเต็มไปหมด 

“เจ๊เลยคิดขึ้นมาว่าถ้าลูกค้ากินแต่หมูทอด สักวันต้องตายแน่ เลยไปหาผักมาให้กินคู่กันด้วย” เจ๊จงเล่าอย่างอารมณ์ดี 

แต่ถ้าคุณคิดว่าทั้งผักและข้าวก็มากพอแล้ว ขอบอกว่ายังไม่หมด! เพราะร้านหมูทอดเจ๊จงมีกล้วยน้ำว้าให้กินหลังจบมื้ออาหารอีกด้วย ซึ่งบริการนี้เกิดจากตอนนั้นเจ๊จงไปตลาดแล้วเจอแม่ค้าขายกล้วย ด้วยความสงสารจึงไปเหมามาหมด พอเอากลับมาร้านก็พบว่ามันเยอะมากจนกินไม่ไหว เลยไปชวนลูกค้ามากินด้วย หลังจากนั้นกล้วยน้ำว้าจึงกลายเป็นอีกหนึ่งบริการของทางร้านไปโดยปริยาย

(เนื่องด้วยการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตอนนี้ร้านหมูทอดเจ๊จงจึงงดให้บริการทานที่ร้าน รวมถึงการเติมผัก ข้าว และกล้วยน้ำว้า)

บทที่ 3
จงบริหารคนให้เป็น

เมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น การขยายสาขาก็เป็นอีกโจทย์ของการบริหาร

สำหรับร้านหมูทอดเจ๊จง ไอเดียเรื่องการขยายธุรกิจเริ่มมาจากเหล่าลูกๆ ของเธอ

“เจ๊มีลูก 4 คนก็แบ่งกันไปดูแลคนละ 2-3 สาขา สิ่งที่ปรับไม่ได้คือราคา ต้องเหมือนกับที่สาขาหลัก ยกเว้นสาขาในห้างเพราะมันมีเรื่องค่าที่ด้วย แต่พวกเมนูข้าวแกงต่างๆ อันนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละสาขาเลย ใครถนัดอันไหนก็ทำอันนั้น”

เมื่อบริหารร้านได้ดีแล้ว ก็ต้องบริหารคนเป็นด้วย เจ๊จงเชื่อในเรื่องใจเขาใจเรามาก พนักงานในร้านของเจ๊จงได้รับค่าแรงตามความหนักของเนื้องาน และได้ขึ้นค่าแรงเมื่อเจ๊จงเห็นว่ามีความตั้งใจ ขยัน อดทน และไม่ออกนอกลู่นอกทาง

“เจ๊ให้ใจเต็มที่นะ แต่ใครไม่ดีก็ไม่เลี้ยงไว้ เวลาเจ๊จะขึ้นบ้าน เจ๊จะไปตรวจดูรอบๆ ก่อน มีอยู่วันนึงไปเจออุปกรณ์เสพยา วันต่อมาเจ๊ไล่ออกเลย ถึงจะรักมากก็ไม่เลี้ยงไว้” 

บทที่ 4
จงไม่หยุดเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ

ด้วยความที่เจ๊จงทำธุรกิจมา 18 ปี เราจึงทึกทักเอาเองว่าความยาวนานนี้อาจทำให้เจ๊จงคุ้นชินกับโลกแบบเดิมๆ แต่เมื่อได้คุยกันเลยรู้ว่าเจ๊จงปรับตัวอยู่เสมอ 

แม้กระทั่งกับโลกออนไลน์ที่ทุกอย่างอาจดูใหม่สำหรับคนรุ่นเธอ

เจ๊จงเริ่มจากการถามลูกว่าถ้าอยากทำแบบนี้ต้องทำยังไง ถ้าเรื่องไหนที่ลูกช่วยจัดการได้เธอก็จะปล่อยให้พวกเขารับผิดชอบ แต่ถ้าเรื่องไหนที่เจ๊จงเรียนรู้เองได้ เช่น อยากทำน้ำพริกขาย ก็จะเปิดยูทูบแล้วลองทำตามเลย

“เจ๊เป็นคนชอบเรียนรู้มาก และไม่อายที่จะถาม สมัยก่อนจะเล่นทองแล้วมันมีภาษาอังกฤษ เราอ่านไม่ออกก็อาศัยถามลูกค้าที่มาซื้อของว่าคำนี้อ่านว่าอะไร พอได้คำตอบก็จดไว้ กับเรื่องอื่นๆ ก็เหมือนกัน”

ถ้าเราเข้าเพจร้านหมูทอดเจ๊จงตอนนี้ก็จะได้เจอคลิปวิดีโอไลฟ์ย้อนหลังมากมาย เจ๊จงบอกว่าส่วนนี้ก็เริ่มจากการไปหาตัวอย่างดูว่าคนอื่นพูดขายกันยังไง แล้วค่อยๆ นำมาปรับให้เป็นสไตล์ของเรา 

พอเรานึกย้อนกลับไป พฤติกรรมของเจ๊จงเหมือนกับตอนเริ่มเข้าวงการธุรกิจร้านอาหารไม่มีผิด ไม่ว่าจะเป็นร้านข้าวแกงหรือหมูทอด ก็เริ่มจากการเรียนรู้และลงมือทดลองทำทั้งนั้น

บทที่ 5
จงทำธุรกิจที่ดีโดยการให้และแบ่งปัน

เจ๊จงคือหนึ่งในเชฟผู้เข้าร่วมโครงการ Chefs for Chance โครงการที่รวบรวมเชฟผู้มีชื่อเสียงมาเข้าร่วมโครงการจิตอาสา ก่อตั้งโดย ดร.ศิริกุล เลากัยกุล ผู้อำนวยการ Sustainable Brands ประจำประเทศไทย โดยงานแรกของโครงการคือการไปสอนทำอาหารให้นักโทษในเรือนจำ เพื่อที่เมื่อพ้นโทษออกมาแล้ว พวกเขาจะสามารถนำความรู้ไปประกอบอาชีพได้

เมื่อวิกฤตโควิด-19 รุกคืบเข้ามา โครงการ Chefs for Chance ก็ยังคงให้ความช่วยเหลือผู้คนอย่างต่อเนื่อง 

“ตอนนั้นพี่หนุ่ย (ดร.ศิริกุล) มาชวนทำอาหารส่งให้โรงพยาบาล แต่บอกว่าต้องออกเงินเองนะ เจ๊ก็โอเค ไม่เป็นไร เพราะเราอยากช่วยอยู่แล้ว” แรกเริ่มเจ๊จงควักเงินตัวเองเป็นทุนในการทำอาหารส่งให้บุคลากรทางการแพทย์จริงๆ แต่เมื่อมีข่าวออกไปก็มีคนทักมาขอร่วมสมทบทุน หลังปรึกษากับ ดร.ศิริกุลแล้ว เธอก็ตัดสินใจเปิดบัญชีรับบริจาค จนได้เงินมาหลักล้าน อีกทั้งยังมีเชฟในโครงการ Chefs for Chance อีกหลายคนลงมาช่วยทำด้วย

นอกจากนี้เจ๊จงยังมีโปรเจกต์ที่ทำร่วมกับ ดร.ศิริกุลอีกอย่างคือให้วินมอเตอร์ไซด์และคนขับแท็กซี่มารับข้าวกล่องหมูทอดเจ๊จงไปขาย โดยได้กำไรกล่องละ 7 บาท ขายได้เท่าไหร่ ตอนเย็นค่อยเอาเงินมาจ่ายค่าต้นทุนคืน เรียกได้ว่าเป็นระบบที่ใช้ใจแลกใจจริงๆ

เราเลยอดสงสัยไม่ได้ว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เจ๊จงต้องเผชิญปัญหาชีวิตครั้งใหญ่ในตอนนั้นก็เกิดจากความเชื่อใจในเรื่องเงิน ทำไมคราวนี้เจ๊จงถึงยังมั่นใจและกล้าที่จะทำแบบเดิมอีก

“ในบรรดาคนที่มาก็มีทั้งคนที่ดีและไม่ดี ถ้าเราปฏิเสธหมดคนดีก็จะโดนไปด้วย” เจ๊จงอธิบายเหตุผล

จริงอยู่ที่ในโปรเจกต์ดังกล่าวก็มีคนคิดไม่ดีเข้ามาจริงๆ ซึ่งเจ๊จงมองว่าคนเหล่านั้นตัดโอกาสตัวเองที่จะได้ค้าขายโดยไม่ต้องออกทุนเอง ขณะเดียวกันก็มีคนดีๆ อยู่มากเช่นกัน

“เจ๊เป็นพวกชอบรู้เรื่องคนอื่น เวลาใครลำบากก็อดเข้าไปช่วยไม่ได้ ช่วงนั้นมีลุงคนนึงมารับข้าวไปขายทุกวัน เขาบอกว่าเงินที่ขายได้เอาไปจ่ายเงินกู้ 50,000 บาท ซึ่งแค่ดอกเบี้ยก็วันละพันแล้ว เท่ากับว่าเงินต้นไม่ลดเลย เนี่ยพอเรารู้เรื่องเขาแล้วก็เครียด มาคิดว่าจะช่วยยังไงได้บ้าง

“เจ๊เลยเอาเงิน 50,000 บาทให้ลุงไปใช้หนี้ แล้วค่อยมาผ่อนกับเจ๊โดยที่เจ๊ไม่คิดดอกเบี้ยเลย เขาก็รับไป ถามว่าถ้าโดนโกงเจ๊จะทำอะไรได้ สัญญากู้ยืมก็ไม่มี แต่โชคดีที่เขาเป็นคนซื่อสัตย์และขยันมาก 

“ตอนแรกเจ๊ให้ลุงผ่อนวันละพัน แต่คิดไปคิดมาลดเหลือวันละ 800 ก็ได้ จะได้มีเงินเก็บไว้ใช้จ่าย แต่เขาไม่ยอม เพราะอยากใช้หนี้ให้หมด” 

ทั้งนี้เจ๊จงยังเสริมอีกว่าทุกวันนี้ลูกต้องเปลี่ยนประตูห้องทำงานให้เป็นแบบเซนเซอร์เพื่อให้เข้าถึงตัวเจ๊จงยากขึ้น ไม่เช่นนั้นคนที่ลำบากจะอาศัยจังหวะตอนร้านยุ่งๆ เข้ามาหาเธอตลอด เพราะรู้ว่าเจ๊จงใจอ่อนและชอบช่วยเหลือ

ก่อนจะจากกันไป เราถามส่งท้ายว่าอะไรคือหัวใจสำคัญในการบริหารร้านหมูทอดเจ๊จง

“ซื่อสัตย์และจริงใจ แค่สองคำนี้ก็พอ ช่วงที่ผ่านมาหมูขึ้นราคา เจ๊ก็ขอขึ้นราคาที่ร้าน แต่พอมันลดเจ๊ก็ลดกลับมาเป็นราคาเดิม จริงๆ มีคนบอกว่ามันกำลังจะขึ้นอีกรอบ จะปรับลงไปทำไม ก็ในเมื่อตอนนี้มันลง เจ๊ก็ต้องปรับสิ

“คนเรายังอยากได้เพื่อนแบบนี้เลย ลูกค้าก็ต้องการสิ่งนี้จากร้านเหมือนกัน”

เบื้องหลังการทำไลฟ์คอนเสิร์ต BTS ในโรงหนัง และการสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ของ SF

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาหากใครได้แวะเวียนไปแถวโรงภาพยนตร์ในเครือ SF ก็จะเห็นว่าในวันนั้นมีคนมายืนรอต่อคิวด้านหน้าเยอะกว่าวันทั่วไป ไม่ใช่เพื่อมาดูหนังที่กำลังเข้าฉาย แต่เพื่อมาดู BTS PTD ON STAGE – SEOUL: LIVE VIEWING คอนเสิร์ตของ BTS โดยเป็นการถ่ายทอดสดส่งสัญญาณต้นทางจากเกาหลีไปยังโรงหนังอีก 75 ประเทศทั่วโลก เพื่อให้เหล่า ‘Army’ แฟนคลับของ BTS ได้ดูไปพร้อมๆ กับที่โซล 

คอนเสิร์ตนี้จัดขึ้น 3 วันคือ 10, 12, 13 มีนาคม แม้รอบวันที่ 10 และ 13 จะเปิดให้คนได้ดูไลฟ์คอนเสิร์ตจากที่บ้านได้ แต่สิ่งที่ทำให้วันที่ 12 ซึ่งเป็นรอบไลฟ์ ผ่านโรงหนังเกือบทุกโรงของ SF เต็มอย่างรวดเร็วบัตร sold out ภายในเวลาไม่กี่นาที ก็คือการที่เหล่า Army ได้นัดมารวมตัวกันกรี๊ดถือบงหรือแท่งไฟที่เป็นสัญลักษณ์ของวงเข้าโรงหนัง ทำของที่มีหน้าตาศิลปินมาแลกเปลี่ยนกัน และได้ฟังเสียงคอนเสิร์ตแบบกระหึ่มรอบทิศทาง เป็นบรรยากาศที่หากใครเคยไปดูคอนเสิร์ตศิลปินเกาหลีที่สนามราชมังฯ หรืออิมแพ็คอารีน่าก็จะเข้าใจความรู้สึกนี้เป็นอย่างดี ซึ่งแน่นอนว่าเป็นมวลความรู้สึกที่หาจากการดูไลฟ์คนเดียวที่บ้านไม่ได้ 

หลังคอนเสิร์ตจบลงคนที่ฟินไม่แพ้กับเหล่า Army เห็นทีจะเป็น SF เพราะสิ่งที่พวกเขาได้ตอบแทนจากการลงแรงและลงทุนเพิ่มเป็นหลักสิบล้านเพื่อทำให้โปรเจกต์นี้ออกมา Smooth Like Butter ไม่ได้มีแค่ค่าตั๋วเข้าชม แต่คือคำชื่นชมจากเหล่า Army ที่เดินทางมาดูไลฟ์คอนเสิร์ตในวันนั้น

พิมสิริ ทองร่มโพธิ์ – Marketing Director ของ SF เล่าให้ฟังว่าอันที่จริงแล้วนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ SF ได้ลิขสิทธิ์คอนเทนต์ BTS มาฉาย และก็ไม่ใช่ครั้งแรกในการถ่ายทอดสัญญาณสดมายังจอในโรงหนัง แต่สิ่งที่ทำให้ครั้งนี้ต้องลงแรงและลงทุนเพิ่ม เพราะที่ผ่านมา SF ยังไม่เคยถ่ายทอดสดคอนเทนต์ระดับโลกไปยังโรงหนังหลายๆ สาขาที่อยู่ทั่วประเทศมากขนาดนี้มาก่อน และเป็นโปรเจกต์ที่มีความท้าทายถึงขนาดต้นสังกัดของ BTS เองยังประกาศเตือนไว้ว่าการไลฟ์ครั้งนี้มีความเสี่ยงที่อาจเกิดความผิดพลาดจากสภาพดินฟ้าอากาศ จนอาจทำให้เกิดปัญหาระหว่างถ่ายทอดสดได้

เธอบอกว่ากว่างานนี้จะออกมาได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะด้วยระยะเวลาที่มีเพียงแค่เดือนกว่าๆ กับการเตรียมงานระดับ world condition ที่ทุกอย่างจะต้องเหมือนกันทั่วโลก ไม่ใช่ว่าอยากจะเปิดกี่โรงก็ทำได้ จึงต้องมีการเชตระบบใหม่ ต้องไปเรียนรู้ศัพท์เชิงเทคนิคยากๆ ที่ใช้ในการส่งสัญญาณมากมาย

จนเมื่อมาถึงไทยก็ต้องกระจายสัญญาณไปยังโรงหนังในอีกหลายสาขาทั่วประเทศ ซึ่งระหว่างทางการเดินทางของสัญญาณก็ล้วนแต่มีความเสี่ยงทั้งสิ้น เพราะแม้คอนเสิร์ตจะจัดขึ้นที่โซล แต่สัญญาณจะถูกส่งไปยังลอนดอนเพื่อให้ลอนดอนนำสัญญาณไปกระจายต่อให้กับทั่วโลกอีกทอดหนึ่ง  

ดังนั้นก่อนจะประกาศออกไปว่า SF เปิดฉายคอนเสิร์ตของ BTS ในครั้งนี้ จึงต้องมีการทดสอบระบบก่อน 2-3 รอบ เพื่อดูว่ามีอะไรติดขัดตรงไหน ดูว่า worst case ที่จะเกิดได้นั้นมีอะไรบ้าง คิดถึงเผื่อไปถึงขนาดว่าถ้ารถชนเสาไฟฟ้าถ้ามีหนูกัดสายไฟจะต้องทำยังไง มีการทำวอร์รูมในวันที่ฉาย มีแผน A แผน B สำรองเอาไว้เผื่อในวันงานมีปัญหา 

จัดการเรื่องระบบเสร็จ ก็ต้องมาดูเรื่องมาร์เก็ตติ้งและการสื่อสารต่อ โดยประกาศทุกชิ้นของโปรเจกต์นี้ล้วนแต่ต้องผ่านสายตาของพิมสิริก่อนปล่อยออกไปทั้งสิ้น 

“ที่ต้องดูให้ละเอียดมากๆ เพราะนี่เป็นคอนเสิร์ต World Tour ครั้งแรกในรอบสองปีของ BTS ตั้งแต่มีโควิด ดังนั้นเหล่า Army เขาจะตั้งตารอกันมาก เราก็เลยต้องเตรียมพร้อมกันมากๆ เพราะหากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา เดี๋ยวดราม่าในทวิตเตอร์จะตามมาทันที เราทำอะไรแบบที่เล่นกับความรู้สึกคนไม่ได้

“แอบสารภาพว่ามีทำระบบคืนเงินเผื่อเอาไว้ด้วย จริงๆ ก็ไม่ได้อยากใช้หรอก แต่เราก็ต้องคิดเผื่อเอาไว้ให้มันครอบคลุมมากที่สุด”

นับว่านี่เป็นโปรเจกต์ที่มีการลงทุนเยอะพอๆ กับความเสี่ยง แต่พิมสิริก็บอกถึงเหตุผลที่ทำให้ SF ตัดสินใจทำงานนี้ขึ้นมาว่าอันที่จริงแล้ว live viewing เป็นสิ่งที่ SF ศึกษามาโดยตลอด เพียงแต่ยังไม่มีคอนเทนต์ไหนที่จะตอบโจทย์ได้เท่าที่ควร 

กระทั่งมีคอนเสิร์ตของ BTS ในครั้งนี้ ซึ่งเป็นอะไรที่ลงตัวกับสิ่งที่ SF คิดไว้อยู่พอดิบพอดี จึงเป็นการเปิดตัวที่ทำให้ค่ายอื่นได้เห็นว่า SF นั้นสามารถที่จะทำ live viewing ฉายไปทั่วประเทศได้ และอาจนำไปสู่โอกาสทางธุรกิจอื่นๆ ได้อีกมากมาย เพราะไม่ใช่แค่ BTS แต่ที่ผ่านมา SF เองก็เคยฉายสารคดีของวงดังๆ อย่าง BLACKPINK, BNK48 หรือ Monsta X มาแล้วเช่นกัน 

และหากว่ากันในเชิงธุรกิจเพลงแล้ว คอนเสิร์ตถือเป็นอีกหนึ่งขาสำคัญในการสร้างรายได้ให้กับค่ายและศิลปิน แต่เมื่อโควิดยังทำให้มีข้อจำกัดในการจัดคอนเสิร์ตอยู่มากมาย การทำ live viewing ในโรงภาพยนตร์ที่ทำให้ผู้ชมได้สัมผัสกับบรรยากาศความเป็นคอนเสิร์ตได้มากที่สุด ก็อาจเป็นอีกทางเลือกในการสร้างรายได้ให้กับค่ายเพลงที่สนใจไม่น้อย 

นอกจาก live viewing อันที่จริงแล้วเราเห็นโปรเจกต์หลายๆ อย่างจาก SF มาโดยตลอด ทั้งป๊อปคอร์นเดลิเวอรี่, ทำไดร์ฟอินซีนีม่าที่ให้คนได้นั่งดูหนังใหม่กันในรถ, เอาเตียงที่มีมูลค่าหลักแสนจากแบรนด์ Omazz มาให้คนได้นอนดูหนัง, เปิดให้เหมาโรงหนังในราคาเริ่มต้น 5,000 บาท, เปิดให้ดูซีรีส์ในโรงหนังที่แต่ละตอนจะมีนักแสดงในเรื่องมานั่งดูด้วย และอีกหลายต่อหลายโปรเจกต์ที่แม้จะไม่ได้ตอบโจทย์เรื่องตัวเลขไปเสียทั้งหมด แต่ก็นับเป็นการหาโอกาสใหม่ๆ ให้กับธุรกิจ ไม่หยุดอยู่กับที่ และที่สำคัญก็คือทำให้ชื่อของ SF ยังอยู่ในการรับรู้ของผู้คน

เพราะในวันที่สตรีมมิงเข้ามา สิ่งที่ทำให้ธุรกิจโรงหนังยังอยู่ได้ก็คือ Cinematic Experience หรือการได้ดูหนังบนหน้าจอใหญ่ เสียงกระหึ่มรอบทิศทาง ตามองจอ มือซ้ายหยิบป๊อปคอร์น มือขวาจับมือคนข้างๆ

หรือถึงจะไม่มีมือใครให้จับ มันก็ยังเป็นประสบการณ์ที่การดูในจอทีวีที่บ้าน ยังไม่สามารถมาทดแทนความรู้สึกนี้ได้อยู่ดี

S.C.S. เจ้าของรองเท้านักเรียนเห็นแล้วปิ๊งใส่แล้วป๊อป และวิธีทำธุรกิจที่ขายดีเฉพาะช่วงเปิดเทอม

ตอนเป็นนักเรียน ช่วงเดือนที่นักเรียนหลายคนเกลียดหรือกลัวที่สุดคือ เดือนพฤษภาคมและพฤศจิกายน เพราะนั่นหมายถึงช่วงเวลาพักผ่อนอันหอมหวานกำลังจะสิ้นสุดลง

แทบนึกไม่ออกว่าจะมีใครที่รัก 2 เดือนนั้นด้วยเหตุผลที่ว่า โรงเรียนจะเปิดเทอม

จนกระทั่งวันนี้คิดได้ว่ามีธุรกิจที่ทำเงินได้เพียงเฉพาะช่วงอยู่นี่นะ โดยเฉพาะธุรกิจรองเท้านักเรียน อย่าง S.C.S. ที่ วิษณุ วงศ์วีระนนท์ชัย ทายาทผู้ควบตำแหน่งเป็นรองกรรมการผู้จัดการบริษัท เอส.ซี.เอส กรุ๊ป บอกกับเราว่าช่วงเปิดเทอมนี่แหละคือช่วงเวลาที่แบรนด์สร้างยอดขายกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ให้บริษัท

ลองเท้านักเรียน

ได้ยินชื่อรองเท้านักเรียน S.C.S. คนอาจจะงงว่าแบรนด์อะไร แต่ถ้าบอกว่า S.C.S. Group คือผู้ผลิตรองเท้านักเรียนยี่ห้อ POPTEEN, CATCHA, BREAKER เราว่าคนคงพากันร้องอ๋อ

ธุรกิจของ S.C.S. เริ่มต้นจากรุ่นที่หนึ่งอย่างพ่อ ลุง และป้าของวิษณุ ที่ตอนนั้นทำธุรกิจลักษณะซื้อรองเท้ามาขายรองเท้าไปแถวกล้วยน้ำไท กระทั่งปี 2523 ความฝันในการมีโรงงานรองเท้าของครอบครัวก็เป็นจริง โดยรับผลิตรองเท้าให้คนอื่น ก่อนเริ่มหันมาผลิตสินค้าของตัวเอง

และแน่นอนว่ารองเท้านักเรียนคือหนึ่งในนั้น

“ตอนนั้นทุกคนยังไม่รู้หรอกว่าผลิตรองเท้าอะไรแล้วจะขายได้ ก็ลองถูก ลองผิดมาเยอะ

“เป็นความโชคดีของรุ่นผมที่รุ่นผู้ใหญ่มีมุมมอง และลงมือทำจนมาถึงจุดนี้ได้” วิษณุผู้มีวัยเด็กผูกพันกับโรงงาน ติดตามพ่อมาวิ่งเล่น ดูพ่อซ่อมเครื่องจักร ดูกระบวนการทำรองเท้ามาตั้งแต่เล็กแต่น้อยย้อนเล่า

ดูจากอายุอานามของบริษัท และจากจำนวนประชากรผู้ใส่รองเท้านักเรียนของ S.C.S. ที่มีมากล้น กระจายตัวอยู่แทบทุกโรงเรียน เลยชวนให้เราคิดว่า S.C.S. คงเป็นแบรนด์รองเท้าเจ้าแรกๆ ในตลาดแน่ๆ ถึงได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าวัยเรียนมากมายขนาดนั้น 

แต่วิษณุแย้งว่าเราคิดผิด ความจริง S.C.S. เข้าไปในตลาดรองเท้านักเรียนเป็นเจ้าหลังๆ เสียด้วยซ้ำ

“เมื่อก่อนรองเท้านักเรียนมีหลายยี่ห้อมาก การตลาดสมัยนั้นจะเน้นแถมกระติกน้ำ แถมนาฬิกา เหมือนไม่ได้ขายรองเท้าเลย ขายของแถมมากกว่า สู้กันตรงนั้น จนเรามองว่าเราไม่แข่งด้วยวิธีนี้แล้วดีกว่า เอาผลประโยชน์ให้ลูกค้าเป็นที่ตั้ง ทำคุณภาพให้ดี”

คุณสมบัติที่ดีของรองเท้านักเรียน ซึ่งเป็นรองเท้าที่คนใส่ต้องใช้งานกันตลอดเทอม อันดับแรกไม่ใช่ความคงทนหรืออะไร แต่คือความสบายต่างหากที่วิษณุมองว่าสำคัญ

“ถ้าใส่แล้วรองเท้ากัด ลูกค้าก็คงเขวี้ยงทิ้งตั้งแต่วันแรก” เขาหัวเราะก่อนอธิบายต่อว่ารองเท้าเป็นสินค้าที่มีความละเอียดอ่อนมาก หากเสื้อแบ่งเป็น 4 ไซส์คือ S, M, L และ XL รองเท้าจะละเอียดอ่อนถึงขั้นวัดไซส์ต่างกันเป็นมิลลิเมตร ฉะนั้นการจะพัฒนาแบบรองเท้าขึ้นมาสักคู่ บริษัทจึงต้องทำการทดลองและวิจัยว่ารองเท้าที่ออกแบบมาจะครอบคลุมความต้องการ และเกิดปัญหาหลังใส่น้อยที่สุด

“เราต้องดูว่ารูปทรงแบบไหนถึงจะทำร้ายเท้าน้อยที่สุด ความสูงแบบไหนที่เด็กเดินแล้วจะไม่ล้ม ทดลองและวิจัยก่อนว่าเด็กนักเรียนชอบแบบไหน ชอบเพราะอะไร แล้วก็เอาสิ่งที่วิจัยได้มาทำงาน”

ในด้านนวัตกรรมการทำรองเท้า บริษัทก็คอยอัพเดตและพัฒนาเสมอมา

“เมื่อก่อนพอเข้าหน้าฝน ใครหลายคนอาจเคยเจอปัญหารองเท้าพะงาบ เพราะน้ำฝนซึมเข้าไปในรองเท้า แต่เดี๋ยวนี้บริษัทก็พัฒนาเทคนิคการผลิตฉีดพื้นกับหน้าผ้าเชื่อมเป็นเนื้อเดียวกัน เด็กจึงไม่มีปัญหาเรื่องของรองเท้าปากอ้าอีกต่อไป” 

นี่เป็นเรื่องที่ S.C.S. พัฒนาอยู่ตลอด เขาว่าอย่างนั้น 

เจ้าตลาดแม้ไม่ใช่เจ้าแรกในตลาด

เพื่อเป็นการยืนยันระหว่างพูดคุยวิษณุหยิบรองเท้าคู่จิ๋วตีตรา S.C.S. ซึ่งมีอายุเทียบเท่าคนวัยกลางคนมาให้เราดูพัฒนาการของบริษัทเทียบกันกับรองเท้ารุ่นปัจจุบัน ก่อนเล่าว่า

“สมัยก่อนเราผลิตรองเท้าหลายแบบ หลายสไตล์มากแต่ใช้ชื่อ S.C.S. เหมือนกันหมด ทำให้คาแร็กเตอร์ไม่ชัดเจน ต่อมาเราจึงพยายามหาโพซิชันนิ่งที่ชัดเจนในตลาด แตกเป็นแบรนด์ย่อย เพื่อให้เราทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แยกให้ออกก่อนว่าลูกค้าของเราเป็นใคร คาแร็กเตอร์ยังไง จะได้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ชัดเจนมากขึ้นและตรงขึ้น” 

นั่นเองอาจเป็นจุดที่ทำให้ S.C.S. ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในเจ้าตลาด

บริษัทอื่นๆ อาจมีไลน์สินค้าเดียว แต่ S.C.S. ที่ให้ความสำคัญกับการวิจัย มีไลน์สินค้ารองเท้าทั้งนักเรียนหญิงและนักเรียนชาย และสินค้ารองเท้านักเรียนหญิงก็มีด้วยกันถึงสองแบรนด์

หากอยากซ่าก็ต้องใส่ ‘แคทช่า’

อยากสวยใส สไตล์หวานๆ ก็ต้อง ‘ป๊อปทีน’

“เราทำวิจัยมาว่าเด็กผู้หญิงเองก็มีบุคคลิกที่แตกต่างกัน มีทั้งที่เป็นเด็กสวยใสหวานๆ และเด็กที่มีความแสบซ่า เราเลยคิดว่าเราควรทำรองเท้าเพื่อตอบสนองลูกค้าทั้ง 2 กลุ่ม ไม่ว่าจะเรียบร้อย เก่ง ฉลาด เด็กหน้าห้องหรือเด็กหลังห้อง”

แต่เพราะรองเท้านักเรียนใส่ความเป็นแฟชั่นไม่ได้มากเพราะต้องอยู่ในกฎระเบียบของโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นรองเท้านักเรียนแบรนด์ไหน ดูภายนอกก็คล้ายคลึงกันหมด

ด้วยโจทย์นี้ บวกกับอินไซต์ที่ว่าเด็กนักเรียนหญิงส่วนใหญ่รักความสวยงาม ที่นี่จึงเป็นเจ้าแรกที่ใส่แฟชั่นลงไปในรองเท้านักเรียนด้วยการออกแบบ buckle ให้ดึงดูดใจกลุ่มลูกค้าสาวๆ

“เราสร้างความแตกต่างด้วยวิธีนี้ สร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้เห็นตัวตนของผู้สวมใส่ ส่วนเรื่องคุณภาพเดี๋ยวเขาก็จะได้รับรู้ว่ามันใส่สบาย จากการลองใส่ในช่วงที่ห้างต่างๆ จัดรายการ Back to School อยู่แล้ว” วิษณุอธิบาย

ทำเงินได้แค่ช่วงเปิดเทอมใหญ่ แต่ไม่เป็นไรหัวใจไม่ว้าวุ่น

แม้แบรนด์จะขายดีจนครองตลาด แต่สุดท้ายก็ไม่อาจหนีความจริงที่ว่าสินค้าประเภทนี้มีโอกาสทำเงินเพียงช่วงเปิดภาคเรียนใหม่ ซึ่งมีเพียง 2 ครั้งต่อปี คือช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม และตุลาคม-พฤศจิกายน อยู่ดี 

ด้วยเหตุนี้ S.C.S. จึงเพิ่มรองเท้ากีฬาเข้ามาสู่ไลน์ผลิตเพื่อเพิ่มความหลากหลายของสินค้า

“มันเป็นความท้าทายมาก ที่หนึ่งปีมีรายรับอยู่แค่สองช่วงใหญ่ เราเลยต้องมีลู่ทางอื่นด้วย หลังจากฤดูกาลรองเท้านักเรียน เราจะหันมาดูในส่วนของรองเท้ากีฬา ฟุตซอล ฟุตบอล แล้วก็พวกรองเท้ายูนิฟอร์ม ครู พยาบาล ข้าราชการ ตำรวจ ทหาร

“อะไรจะมาเป็นรายได้ให้เราได้ เราทำหมดเลย” ผู้บริหารอย่างวิษณุหัวเราะร่วน บอกว่าเพื่อจะทำให้บริษัทยังอยู่รอด พวกเขาจึงต้องคอยสังเกตตลาดอยู่เสมอ ต้องดูว่าช่วงนี้คนกำลังฮิต และกำลังต้องการอะไร

อย่างรองเท้าสเก็ต ซึ่งเป็นไลน์สินค้าหนึ่งของเบรกเกอร์ เอ็กซ์ตรีม ก็เกิดมาจากการสังเกตเทรนด์ในช่วงที่ผ่านมาแล้วเห็นว่ามีคนหันมาสนใจเล่นเซิร์ฟสเก็ตกันเยอะขึ้นนั่นเอง แถมการทำเป็นรองเท้า 3 ข้าง มีข้างสำรองไว้ให้นักสเก็ตที่ต้องเผชิญปัญหารองเท้าข้างที่ถนัดสึกหรอก่อนอีกข้างนึง ก็สะท้อนให้เห็นว่าถึงจะแตกไลน์ไปทำ category ใหม่ยังไง สิ่งที่ S.C.S. ไม่ลืมใส่ก็คือความใส่ใจผู้บริโภคอยู่ดี

“เรื่องของ know-how ในการผลิตรองเท้า และความที่เราคิดจะพัฒนารองเท้าให้ดีขึ้นตลอดเวลานี่แหละที่ทำให้แบรนด์เราอยู่มาได้ถึงวันนี้” 

เขาบอกว่าคนรุ่นพ่อส่งต่อปรัชญาในการทำงานมาให้คนรุ่นเขาเยอะมากๆ ทุกวันนี้คนเหล่านั้นก็ยังลงไปตรวจเช็กความเรียบร้อยของงานอยู่บ่อยครั้ง ทุกๆ วันของคนใน S.C.S ดำเนินไปด้วยความคิดที่ว่าจะทำยังไงให้ S.C.S. ก้าวไปอย่างไม่หยุดยั้งจริงๆ 

“เราเลยเก็บรองเท้าคู่จิ๋วนี้ไว้ตลอดเพื่อจะเตือนตัวเองว่าห้ามให้มันพัง” 

เสริมพิเศษ สำหรับใครที่ข้องใจว่าในสถานการณ์โควิด-19 ที่โรงเรียนส่วนใหญ่ต่างปิดภาคเรียนแบบนี้ S.C.S. เป็นยังไง วิษณุแถลงไขว่าหากเทียบกับโปรดักต์สินค้าอุปโภคอื่นๆ เช่น ทัวร์ กิจการโรงแรม หรือที่พัก สินค้ารองเท้านักเรียนอย่างเขาไม่ได้รับผลกระทบขนาดนั้น ถึงอย่างนั้นก็นับว่าเกือบเสียศูนย์เหมือนกันเพราะตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมาที่เด็กนักเรียนเริ่มเรียนออนไลน์ก็ทำให้ยอดซื้อรองเท้านักเรียนลดลงไปอย่างมาก แต่บริษัทก็พยายามแก้ไขสถานการณ์ด้วยการปรับลดกำลังการผลิต ลดค่าใช้จ่าย แต่ยังดูแลพนักงานทุกภาคส่วนเหมือนเดิม ไม่มีการปลดคนงานออก เพราะเข้าใจดีว่าทุกคนต่างก็ลำบากเช่นเดียวกัน

เจ้าของร้านอาหาร แฟน Leica และ CEO เกียรตินาคินภัทร หมวก 3 ใบของ อภินันท์ เกลียวปฏินนท์

อภินันท์ เกลียวปฏินนท์

อภินันท์ เกลียวปฏินนท์ เพราะผู้บริหารและผู้ประกอบการก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ตัวตนของพวกเขาจึงไม่ได้มีแค่ด้านการบริหารธุรกิจ แต่ยังมีแง่มุมน่าสนใจอีกมากมายที่ประกอบขึ้นเป็นผู้บริหารที่ทุกคนเห็น

เชิญพบกับรายการที่จะพาไปรู้จักผู้บริหารและผู้ประกอบการผ่านหมวกหลากหลายใบที่พวกเขาสวม ไม่ว่าจะเป็นหมวกของนักธุรกิจ หมวกงานอดิเรก หรือแม้แต่หมวกสมาชิกครอบครัว

หมวกแต่ละใบมีที่มาที่ไปยังไง พวกเขาเรียนรู้สิ่งใดที่สำคัญจากหมวกเหล่านั้น และหมวกใบต่างๆ ส่งเสริมชีวิต การงานอย่างไร และเชื่อมต่อกันเป็นภาพใหญ่ในชีวิตยังไง ไปดูได้ในรายการนี้

เพราะผู้บริหารและผู้ประกอบการก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ตัวตนของพวกเขาจึงไม่ได้มีแค่ด้านการบริหารธุรกิจ แต่ยังมีแง่มุมน่าสนใจอีกมากมายที่ประกอบขึ้นเป็นผู้บริหารที่ทุกคนเห็น

เชิญพบกับรายการที่จะพาไปรู้จักผู้บริหารและผู้ประกอบการผ่านหมวกหลากหลายใบที่พวกเขาสวม ไม่ว่าจะเป็นหมวกของนักธุรกิจ หมวกงานอดิเรก หรือแม้แต่หมวกสมาชิกครอบครัว

หมวกแต่ละใบมีที่มาที่ไปยังไง พวกเขาเรียนรู้สิ่งใดที่สำคัญจากหมวกเหล่านั้น และหมวกใบต่างๆ ส่งเสริมชีวิต การงานอย่างไร และเชื่อมต่อกันเป็นภาพใหญ่ในชีวิตยังไง ไปดูได้ในรายการนี้

เพราะผู้บริหารและผู้ประกอบการก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ตัวตนของพวกเขาจึงไม่ได้มีแค่ด้านการบริหารธุรกิจ แต่ยังมีแง่มุมน่าสนใจอีกมากมายที่ประกอบขึ้นเป็นผู้บริหารที่ทุกคนเห็น

เชิญพบกับรายการที่จะพาไปรู้จักผู้บริหารและผู้ประกอบการผ่านหมวกหลากหลายใบที่พวกเขาสวม ไม่ว่าจะเป็นหมวกของนักธุรกิจ หมวกงานอดิเรก หรือแม้แต่หมวกสมาชิกครอบครัว

หมวกแต่ละใบมีที่มาที่ไปยังไง พวกเขาเรียนรู้สิ่งใดที่สำคัญจากหมวกเหล่านั้น และหมวกใบต่างๆ ส่งเสริมชีวิต การงานอย่างไร และเชื่อมต่อกันเป็นภาพใหญ่ในชีวิตยังไง ไปดูได้ในรายการนี้

เพราะผู้บริหารและผู้ประกอบการก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ตัวตนของพวกเขาจึงไม่ได้มีแค่ด้านการบริหารธุรกิจ แต่ยังมีแง่มุมน่าสนใจอีกมากมายที่ประกอบขึ้นเป็นผู้บริหารที่ทุกคนเห็น

เชิญพบกับรายการที่จะพาไปรู้จักผู้บริหารและผู้ประกอบการผ่านหมวกหลากหลายใบที่พวกเขาสวม ไม่ว่าจะเป็นหมวกของนักธุรกิจ หมวกงานอดิเรก หรือแม้แต่หมวกสมาชิกครอบครัว

หมวกแต่ละใบมีที่มาที่ไปยังไง พวกเขาเรียนรู้สิ่งใดที่สำคัญจากหมวกเหล่านั้น และหมวกใบต่างๆ ส่งเสริมชีวิต การงานอย่างไร และเชื่อมต่อกันเป็นภาพใหญ่ในชีวิตยังไง ไปดูได้ในรายการนี้

เพราะผู้บริหารและผู้ประกอบการก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ตัวตนของพวกเขาจึงไม่ได้มีแค่ด้านการบริหารธุรกิจ แต่ยังมีแง่มุมน่าสนใจอีกมากมายที่ประกอบขึ้นเป็นผู้บริหารที่ทุกคนเห็น

เชิญพบกับรายการที่จะพาไปรู้จักผู้บริหารและผู้ประกอบการผ่านหมวกหลากหลายใบที่พวกเขาสวม ไม่ว่าจะเป็นหมวกของนักธุรกิจ หมวกงานอดิเรก หรือแม้แต่หมวกสมาชิกครอบครัว

หมวกแต่ละใบมีที่มาที่ไปยังไง พวกเขาเรียนรู้สิ่งใดที่สำคัญจากหมวกเหล่านั้น และหมวกใบต่างๆ ส่งเสริมชีวิต การงานอย่างไร และเชื่อมต่อกันเป็นภาพใหญ่ในชีวิตยังไง ไปดูได้ในรายการนี้

อภินันท์ เกลียวปฏินนท์

เพราะผู้บริหารและผู้ประกอบการก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ตัวตนของพวกเขาจึงไม่ได้มีแค่ด้านการบริหารธุรกิจ แต่ยังมีแง่มุมน่าสนใจอีกมากมายที่ประกอบขึ้นเป็นผู้บริหารที่ทุกคนเห็น

เชิญพบกับรายการที่จะพาไปรู้จักผู้บริหารและผู้ประกอบการผ่านหมวกหลากหลายใบที่พวกเขาสวม ไม่ว่าจะเป็นหมวกของนักธุรกิจ หมวกงานอดิเรก หรือแม้แต่หมวกสมาชิกครอบครัว

หมวกแต่ละใบมีที่มาที่ไปยังไง พวกเขาเรียนรู้สิ่งใดที่สำคัญจากหมวกเหล่านั้น และหมวกใบต่างๆ ส่งเสริมชีวิต การงานอย่างไร และเชื่อมต่อกันเป็นภาพใหญ่ในชีวิตยังไง ไปดูได้ในรายการนี้

เพราะผู้บริหารและผู้ประกอบการก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ตัวตนของพวกเขาจึงไม่ได้มีแค่ด้านการบริหารธุรกิจ แต่ยังมีแง่มุมน่าสนใจอีกมากมายที่ประกอบขึ้นเป็นผู้บริหารที่ทุกคนเห็น

เชิญพบกับรายการที่จะพาไปรู้จักผู้บริหารและผู้ประกอบการผ่านหมวกหลากหลายใบที่พวกเขาสวม ไม่ว่าจะเป็นหมวกของนักธุรกิจ หมวกงานอดิเรก หรือแม้แต่หมวกสมาชิกครอบครัว

หมวกแต่ละใบมีที่มาที่ไปยังไง พวกเขาเรียนรู้สิ่งใดที่สำคัญจากหมวกเหล่านั้น และหมวกใบต่างๆ ส่งเสริมชีวิต การงานอย่างไร และเชื่อมต่อกันเป็นภาพใหญ่ในชีวิตยังไง ไปดูได้ในรายการนี้

เพราะผู้บริหารและผู้ประกอบการก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ตัวตนของพวกเขาจึงไม่ได้มีแค่ด้านการบริหารธุรกิจ แต่ยังมีแง่มุมน่าสนใจอีกมากมายที่ประกอบขึ้นเป็นผู้บริหารที่ทุกคนเห็น

เชิญพบกับรายการที่จะพาไปรู้จักผู้บริหารและผู้ประกอบการผ่านหมวกหลากหลายใบที่พวกเขาสวม ไม่ว่าจะเป็นหมวกของนักธุรกิจ หมวกงานอดิเรก หรือแม้แต่หมวกสมาชิกครอบครัว

หมวกแต่ละใบมีที่มาที่ไปยังไง พวกเขาเรียนรู้สิ่งใดที่สำคัญจากหมวกเหล่านั้น และหมวกใบต่างๆ ส่งเสริมชีวิต การงานอย่างไร และเชื่อมต่อกันเป็นภาพใหญ่ในชีวิตยังไง ไปดูได้ในรายการนี้

เพราะผู้บริหารและผู้ประกอบการก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ตัวตนของพวกเขาจึงไม่ได้มีแค่ด้านการบริหารธุรกิจ แต่ยังมีแง่มุมน่าสนใจอีกมากมายที่ประกอบขึ้นเป็นผู้บริหารที่ทุกคนเห็น

เชิญพบกับรายการที่จะพาไปรู้จักผู้บริหารและผู้ประกอบการผ่านหมวกหลากหลายใบที่พวกเขาสวม ไม่ว่าจะเป็นหมวกของนักธุรกิจ หมวกงานอดิเรก หรือแม้แต่หมวกสมาชิกครอบครัว

หมวกแต่ละใบมีที่มาที่ไปยังไง พวกเขาเรียนรู้สิ่งใดที่สำคัญจากหมวกเหล่านั้น และหมวกใบต่างๆ ส่งเสริมชีวิต การงานอย่างไร และเชื่อมต่อกันเป็นภาพใหญ่ในชีวิตยังไง ไปดูได้ในรายการนี้

เพราะผู้บริหารและผู้ประกอบการก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ตัวตนของพวกเขาจึงไม่ได้มีแค่ด้านการบริหารธุรกิจ แต่ยังมีแง่มุมน่าสนใจอีกมากมายที่ประกอบขึ้นเป็นผู้บริหารที่ทุกคนเห็น

เชิญพบกับรายการที่จะพาไปรู้จักผู้บริหารและผู้ประกอบการผ่านหมวกหลากหลายใบที่พวกเขาสวม ไม่ว่าจะเป็นหมวกของนักธุรกิจ หมวกงานอดิเรก หรือแม้แต่หมวกสมาชิกครอบครัว

หมวกแต่ละใบมีที่มาที่ไปยังไง พวกเขาเรียนรู้สิ่งใดที่สำคัญจากหมวกเหล่านั้น และหมวกใบต่างๆ ส่งเสริมชีวิต การงานอย่างไร และเชื่อมต่อกันเป็นภาพใหญ่ในชีวิตยังไง ไปดูได้ในรายการนี้

เพราะผู้บริหารและผู้ประกอบการก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ตัวตนของพวกเขาจึงไม่ได้มีแค่ด้านการบริหารธุรกิจ แต่ยังมีแง่มุมน่าสนใจอีกมากมายที่ประกอบขึ้นเป็นผู้บริหารที่ทุกคนเห็น

เชิญพบกับรายการที่จะพาไปรู้จักผู้บริหารและผู้ประกอบการผ่านหมวกหลากหลายใบที่พวกเขาสวม ไม่ว่าจะเป็นหมวกของนักธุรกิจ หมวกงานอดิเรก หรือแม้แต่หมวกสมาชิกครอบครัว

หมวกแต่ละใบมีที่มาที่ไปยังไง พวกเขาเรียนรู้สิ่งใดที่สำคัญจากหมวกเหล่านั้น และหมวกใบต่างๆ ส่งเสริมชีวิต การงานอย่างไร และเชื่อมต่อกันเป็นภาพใหญ่ในชีวิตยังไง ไปดูได้ในรายการนี้

เพราะผู้บริหารและผู้ประกอบการก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ตัวตนของพวกเขาจึงไม่ได้มีแค่ด้านการบริหารธุรกิจ แต่ยังมีแง่มุมน่าสนใจอีกมากมายที่ประกอบขึ้นเป็นผู้บริหารที่ทุกคนเห็น

เชิญพบกับรายการที่จะพาไปรู้จักผู้บริหารและผู้ประกอบการผ่านหมวกหลากหลายใบที่พวกเขาสวม ไม่ว่าจะเป็นหมวกของนักธุรกิจ หมวกงานอดิเรก หรือแม้แต่หมวกสมาชิกครอบครัว

หมวกแต่ละใบมีที่มาที่ไปยังไง พวกเขาเรียนรู้สิ่งใดที่สำคัญจากหมวกเหล่านั้น และหมวกใบต่างๆ ส่งเสริมชีวิต การงานอย่างไร และเชื่อมต่อกันเป็นภาพใหญ่ในชีวิตยังไง ไปดูได้ในรายการนี้

เพราะผู้บริหารและผู้ประกอบการก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ตัวตนของพวกเขาจึงไม่ได้มีแค่ด้านการบริหารธุรกิจ แต่ยังมีแง่มุมน่าสนใจอีกมากมายที่ประกอบขึ้นเป็นผู้บริหารที่ทุกคนเห็น

เชิญพบกับรายการที่จะพาไปรู้จักผู้บริหารและผู้ประกอบการผ่านหมวกหลากหลายใบที่พวกเขาสวม ไม่ว่าจะเป็นหมวกของนักธุรกิจ หมวกงานอดิเรก หรือแม้แต่หมวกสมาชิกครอบครัว

หมวกแต่ละใบมีที่มาที่ไปยังไง พวกเขาเรียนรู้สิ่งใดที่สำคัญจากหมวกเหล่านั้น และหมวกใบต่างๆ ส่งเสริมชีวิต การงานอย่างไร และเชื่อมต่อกันเป็นภาพใหญ่ในชีวิตยังไง ไปดูได้ในรายการนี้

เพราะผู้บริหารและผู้ประกอบการก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ตัวตนของพวกเขาจึงไม่ได้มีแค่ด้านการบริหารธุรกิจ แต่ยังมีแง่มุมน่าสนใจอีกมากมายที่ประกอบขึ้นเป็นผู้บริหารที่ทุกคนเห็น

เชิญพบกับรายการที่จะพาไปรู้จักผู้บริหารและผู้ประกอบการผ่านหมวกหลากหลายใบที่พวกเขาสวม ไม่ว่าจะเป็นหมวกของนักธุรกิจ หมวกงานอดิเรก หรือแม้แต่หมวกสมาชิกครอบครัว

หมวกแต่ละใบมีที่มาที่ไปยังไง พวกเขาเรียนรู้สิ่งใดที่สำคัญจากหมวกเหล่านั้น และหมวกใบต่างๆ ส่งเสริมชีวิต การงานอย่างไร และเชื่อมต่อกันเป็นภาพใหญ่ในชีวิตยังไง ไปดูได้ในรายการนี้

เพราะผู้บริหารและผู้ประกอบการก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ตัวตนของพวกเขาจึงไม่ได้มีแค่ด้านการบริหารธุรกิจ แต่ยังมีแง่มุมน่าสนใจอีกมากมายที่ประกอบขึ้นเป็นผู้บริหารที่ทุกคนเห็น

เชิญพบกับรายการที่จะพาไปรู้จักผู้บริหารและผู้ประกอบการผ่านหมวกหลากหลายใบที่พวกเขาสวม ไม่ว่าจะเป็นหมวกของนักธุรกิจ หมวกงานอดิเรก หรือแม้แต่หมวกสมาชิกครอบครัว

หมวกแต่ละใบมีที่มาที่ไปยังไง พวกเขาเรียนรู้สิ่งใดที่สำคัญจากหมวกเหล่านั้น และหมวกใบต่างๆ ส่งเสริมชีวิต การงานอย่างไร และเชื่อมต่อกันเป็นภาพใหญ่ในชีวิตยังไง ไปดูได้ในรายการนี้

เพราะผู้บริหารและผู้ประกอบการก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ตัวตนของพวกเขาจึงไม่ได้มีแค่ด้านการบริหารธุรกิจ แต่ยังมีแง่มุมน่าสนใจอีกมากมายที่ประกอบขึ้นเป็นผู้บริหารที่ทุกคนเห็น

เชิญพบกับรายการที่จะพาไปรู้จักผู้บริหารและผู้ประกอบการผ่านหมวกหลากหลายใบที่พวกเขาสวม ไม่ว่าจะเป็นหมวกของนักธุรกิจ หมวกงานอดิเรก หรือแม้แต่หมวกสมาชิกครอบครัว

หมวกแต่ละใบมีที่มาที่ไปยังไง พวกเขาเรียนรู้สิ่งใดที่สำคัญจากหมวกเหล่านั้น และหมวกใบต่างๆ ส่งเสริมชีวิต การงานอย่างไร และเชื่อมต่อกันเป็นภาพใหญ่ในชีวิตยังไง ไปดูได้ในรายการนี้

เพราะผู้บริหารและผู้ประกอบการก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ตัวตนของพวกเขาจึงไม่ได้มีแค่ด้านการบริหารธุรกิจ แต่ยังมีแง่มุมน่าสนใจอีกมากมายที่ประกอบขึ้นเป็นผู้บริหารที่ทุกคนเห็น

เชิญพบกับรายการที่จะพาไปรู้จักผู้บริหารและผู้ประกอบการผ่านหมวกหลากหลายใบที่พวกเขาสวม ไม่ว่าจะเป็นหมวกของนักธุรกิจ หมวกงานอดิเรก หรือแม้แต่หมวกสมาชิกครอบครัว

หมวกแต่ละใบมีที่มาที่ไปยังไง พวกเขาเรียนรู้สิ่งใดที่สำคัญจากหมวกเหล่านั้น และหมวกใบต่างๆ ส่งเสริมชีวิต การงานอย่างไร และเชื่อมต่อกันเป็นภาพใหญ่ในชีวิตยังไง ไปดูได้ในรายการนี้

เพราะผู้บริหารและผู้ประกอบการก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ตัวตนของพวกเขาจึงไม่ได้มีแค่ด้านการบริหารธุรกิจ แต่ยังมีแง่มุมน่าสนใจอีกมากมายที่ประกอบขึ้นเป็นผู้บริหารที่ทุกคนเห็น

เชิญพบกับรายการที่จะพาไปรู้จักผู้บริหารและผู้ประกอบการผ่านหมวกหลากหลายใบที่พวกเขาสวม ไม่ว่าจะเป็นหมวกของนักธุรกิจ หมวกงานอดิเรก หรือแม้แต่หมวกสมาชิกครอบครัว

หมวกแต่ละใบมีที่มาที่ไปยังไง พวกเขาเรียนรู้สิ่งใดที่สำคัญจากหมวกเหล่านั้น และหมวกใบต่างๆ ส่งเสริมชีวิต การงานอย่างไร และเชื่อมต่อกันเป็นภาพใหญ่ในชีวิตยังไง ไปดูได้ในรายการนี้

เพราะผู้บริหารและผู้ประกอบการก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ตัวตนของพวกเขาจึงไม่ได้มีแค่ด้านการบริหารธุรกิจ แต่ยังมีแง่มุมน่าสนใจอีกมากมายที่ประกอบขึ้นเป็นผู้บริหารที่ทุกคนเห็น

เชิญพบกับรายการที่จะพาไปรู้จักผู้บริหารและผู้ประกอบการผ่านหมวกหลากหลายใบที่พวกเขาสวม ไม่ว่าจะเป็นหมวกของนักธุรกิจ หมวกงานอดิเรก หรือแม้แต่หมวกสมาชิกครอบครัว

หมวกแต่ละใบมีที่มาที่ไปยังไง พวกเขาเรียนรู้สิ่งใดที่สำคัญจากหมวกเหล่านั้น และหมวกใบต่างๆ ส่งเสริมชีวิต การงานอย่างไร และเชื่อมต่อกันเป็นภาพใหญ่ในชีวิตยังไง ไปดูได้ในรายการนี้

เพราะผู้บริหารและผู้ประกอบการก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ตัวตนของพวกเขาจึงไม่ได้มีแค่ด้านการบริหารธุรกิจ แต่ยังมีแง่มุมน่าสนใจอีกมากมายที่ประกอบขึ้นเป็นผู้บริหารที่ทุกคนเห็น

เชิญพบกับรายการที่จะพาไปรู้จักผู้บริหารและผู้ประกอบการผ่านหมวกหลากหลายใบที่พวกเขาสวม ไม่ว่าจะเป็นหมวกของนักธุรกิจ หมวกงานอดิเรก หรือแม้แต่หมวกสมาชิกครอบครัว

หมวกแต่ละใบมีที่มาที่ไปยังไง พวกเขาเรียนรู้สิ่งใดที่สำคัญจากหมวกเหล่านั้น และหมวกใบต่างๆ ส่งเสริมชีวิต การงานอย่างไร และเชื่อมต่อกันเป็นภาพใหญ่ในชีวิตยังไง ไปดูได้ในรายการนี้

เพราะผู้บริหารและผู้ประกอบการก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ตัวตนของพวกเขาจึงไม่ได้มีแค่ด้านการบริหารธุรกิจ แต่ยังมีแง่มุมน่าสนใจอีกมากมายที่ประกอบขึ้นเป็นผู้บริหารที่ทุกคนเห็น

เชิญพบกับรายการที่จะพาไปรู้จักผู้บริหารและผู้ประกอบการผ่านหมวกหลากหลายใบที่พวกเขาสวม ไม่ว่าจะเป็นหมวกของนักธุรกิจ หมวกงานอดิเรก หรือแม้แต่หมวกสมาชิกครอบครัว

หมวกแต่ละใบมีที่มาที่ไปยังไง พวกเขาเรียนรู้สิ่งใดที่สำคัญจากหมวกเหล่านั้น และหมวกใบต่างๆ ส่งเสริมชีวิต การงานอย่างไร และเชื่อมต่อกันเป็นภาพใหญ่ในชีวิตยังไง ไปดูได้ในรายการนี้

เพราะผู้บริหารและผู้ประกอบการก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ตัวตนของพวกเขาจึงไม่ได้มีแค่ด้านการบริหารธุรกิจ แต่ยังมีแง่มุมน่าสนใจอีกมากมายที่ประกอบขึ้นเป็นผู้บริหารที่ทุกคนเห็น

เชิญพบกับรายการที่จะพาไปรู้จักผู้บริหารและผู้ประกอบการผ่านหมวกหลากหลายใบที่พวกเขาสวม ไม่ว่าจะเป็นหมวกของนักธุรกิจ หมวกงานอดิเรก หรือแม้แต่หมวกสมาชิกครอบครัว

หมวกแต่ละใบมีที่มาที่ไปยังไง พวกเขาเรียนรู้สิ่งใดที่สำคัญจากหมวกเหล่านั้น และหมวกใบต่างๆ ส่งเสริมชีวิต การงานอย่างไร และเชื่อมต่อกันเป็นภาพใหญ่ในชีวิตยังไง ไปดูได้ในรายการนี้

ความลับของฟ้าที่เตือนใจว่าในวิกฤตมีความน่ารักและโอกาสซ่อนอยู่

ผมเป็นคนที่ควรจะเข้าใจกฎข้อนี้มากที่สุดแต่ก็ใช้เวลานานหลายปีกว่าจะมองเห็น เพราะผมที่ไม่ได้มีความสามารถอะไรโดดเด่น เป็นพนักงานบริษัทระดับกลาง แต่เติบโตขึ้นมาได้จากการได้งานที่ไม่มีใครอยากทำ  

ดีแทคมีวิกฤตตอนนั้นหาคนมาทำ Investor Relations ซึ่งทำให้ผมได้งานที่เงินเดือนดีและส่งผลให้ผมได้พบกับผู้บริหารระดับสูงจนกลายเป็นดาวรุ่งของดีแทค วิกฤตของบริษัทต่อมาที่ทรุดหนักจากการลดค่าเงินบาทก็ทำให้ผมได้มีโอกาสโชว์ผลงานเรื่องปรับโครงสร้างหนี้ ต่อด้วยวิกฤตเรื่องความพ่ายแพ้ต่อสงครามการตลาด ก็ทำให้ผมได้โอกาสในการทำแบรนด์แฮปปี้ที่ทำให้ได้ทั้งเงินทั้งกล่องในเวลาต่อมา

ในแง่การทำงาน วิกฤตขององค์กร เป็นโอกาสของคนตัวเล็กๆ หรือดาวรุ่งที่จะได้โชว์ฝีมือเสมอ ในเวลาที่บริษัทดีๆ โอกาสแบบนี้แทบจะไม่มีเลยด้วยซ้ำ

ในทางส่วนตัว วิกฤตที่ดูน่าจะเป็นเรื่องที่โชคร้ายที่สุดในชีวิตของผมก็คือการที่อ้วน อ่อนแอ เจ็บป่วยจนต้องเข้า CCU  กลับกลายเป็นเรื่องที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิต เพราะทำให้ผมต้องกลับตัวกลับใจด้วยความกลัวตาย เริ่มกินผัก ออกกำลังจนกลายเป็นนิสัย ทำให้ผมแทบไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ไม่มีโรคอะไรเลยมาจนอายุห้าสิบกว่า

คิดย้อนกลับไปได้ว่าถ้าผมไม่ได้ป่วยหนักในวันนั้น ป่านนี้สุขภาพผมก็คงจะย่ำแย่เอามากๆ วันที่ดูจะเป็นวันที่โชคร้ายที่สุด เป็นวิกฤตชีวิตที่รุนแรงที่สุด กลับกลายเป็นวันที่ผมรู้สึกโชคดีที่สุดที่เปิดโอกาสให้ผมเปลี่ยนแปลงตัวเองจนมีผลดีต่อสุขภาพจนวันนี้

วิกฤตมีความน่ารักแบบนี้เสมอ

หลังจากได้เจอและเริ่มเข้าใจว่าเมื่อมีวิกฤตทีไร โอกาสก็มักจะมาพร้อมกันเสมอ ทำให้ผมมีสติ ตั้งรับ และพยายามมองหาโอกาสนั้นอยู่ทุกครั้งที่มีวิกฤต

และเมื่อไม่นานมานี้ ความลับของฟ้าข้อนี้ก็ได้ถูกทดสอบอีกครั้ง

เมื่อสองปีก่อน ทีมงานของผมได้จัดกิจกรรมภายใน มีการขายสินค้า เดินแฟชั่นกันตรงกลางโถงของธนาคารที่ผมทำงานอยู่ งานนั้นเป็นงานเล็กๆ ผมเองก็แทบไม่รู้รายละเอียดด้วยซ้ำเพราะเป็นทีมน้องในส่วนงานหนึ่งที่ผมดูแลเป็นคนจัดด้วยการจ้างออร์แกไนซ์ แล้วออร์แกไนซ์ก็ไปจ้างใครอะไรกันต่อหลายๆ ทอดตามปกติ

เหตุการณ์เกิดจากมีน้องนักเต้นสองคนที่ถูกว่าจ้างมาเต้นเปิดให้บรรยากาศคึกคักตัดสินใจด้วยความไม่ได้เข้าใจบริบทของงานแต่คงอยากจะเอาใจเจ้าภาพในแนวจ้างร้อยเล่นล้าน ตอนซ้อมก็ไม่มีอะไรแต่พอเล่นจริงน้องเขาก็ถลกเสื้อขึ้นสูงแล้วเต้นแบบยั่วยวนเต็มที่อยู่กลางโถงธนาคาร บางคนก็ตะลึง บางคนก็ถ่ายคลิปกันสนุกสนาน หลังจากนั้นกิจกรรมก็ดำเนินต่อไปจนจบ

ผมกลับมาที่ธนาคารหลังจากงานจบ ช่วงบ่ายวันนั้นยังไม่มีอะไร แต่พออีกวันเป็นวันเสาร์ ตั้งแต่เช้าก็เริ่มได้รับข้อความ มีคนส่งคลิปมาให้ดู และเริ่มมีเสียงในทางลบว่าไม่เหมาะสมแล้วก็เริ่มบานปลายไปเรื่อยๆ เริ่มเป็นไวรัล มีคนติติง จนถึงเริ่มด่าว่าทำแบบนี้ได้อย่างไรต่อหน้าสถานที่แบบนั้น จนเรื่องไปถึงผู้ใหญ่มากๆ หลายท่านที่รับไม่ได้กับคลิปที่เห็น และในที่สุดก็ถึงสื่อมวลชน กลายเป็นภาพลบที่กระทบต่อแบรนด์และเป็นวิกฤตขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ภายในก็มีเสียงเรียกร้องให้ลากคนทำมาลงโทษ เสียงก่นด่าตามน้ำก็มากขึ้น แรงกดดันก็ถาโถมมาอย่างมหาศาล

ในฐานะหัวหน้าก็คงต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อทำให้เรื่องจบ การเอาน้องๆ สองสามคนที่เป็นคนทำงานมาประหารเป็นแพะไป แล้วแบนออร์แกไนซ์ก็ดูจะเป็นทางออกที่ง่ายดี แต่เราควรจะตัดช่องน้อยแต่พอตัวแบบนั้นหรือไม่

จากประสบการณ์ล้มลุกคลุกคลานผ่านวิกฤตมาหลายครั้ง เคยถูกเจ้านายเฮงซวยโบ้ยความผิดให้มาก่อน ความคิดเบื้องต้นของผมในตอนนั้นก็ชัดเจนว่าเราทอดทิ้งแล้วตัดหางปล่อยวัดลูกน้องไปไม่ได้ เขาเป็นแค่พนักงานตัวเล็กๆ ตกงานไปลำบากมากแน่ๆ แล้วเราเองจะมองหน้าลูกน้องคนอื่นอย่างสนิทใจได้อย่างไรถ้าเราไม่พยายามทำอะไรสักอย่าง ในวิกฤตต้องมีโอกาสเสมอ

หลังจากนั้นผมก็คิดถึงความเสี่ยงที่คำนวณได้ (calculated risk) เอาจริงๆ แล้วความเสี่ยงดูแทบจะน้อยมาก อย่างมากผมก็โดนด่า เสียชื่อบ้าง สักพักก็จาง ถ้าจะโดนทำโทษจริงๆ ยังไงผมก็มั่นใจว่าผมก็คงไม่ถึงกับโดนไล่ออกเพราะไม่ได้เกิดจากเจตนาและการสั่งการของผมด้วยซ้ำ ผู้ใหญ่ที่ธนาคารที่ผมรู้จักก็เป็นผู้ที่มีเหตุมีผลกันทั้งนั้น

อย่างที่พี่เตา บรรยง พงษ์พานิช เคยเล่าไว้ เมื่อรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นได้แล้ว ถึงเวลาเป็นหมาก็ต้องเป็นหมา อย่าไปยื้อไปคิดอะไรมาก เอาลูกน้องให้รอด เอาเรื่องให้จบอย่าให้บานปลายมากกว่านี้นั้นดีที่สุด

ผมเลยเสนอแผนให้ซีอีโอแบบเบ็ดเสร็จ โดยผมจะออกจดหมายขอโทษ ยอมรับผิดทุกประการในฐานะหัวหน้าสูงสุดของกลุ่มงาน แล้วซีอีโอก็ออกแถลงการณ์ขอโทษสาธารณชน พร้อมตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัยกับผม แล้วเพื่อให้เรื่องไม่ถึงลูกน้องตัวเล็กๆ ผมก็เลยชวนคุณสุธีรพันธุ์ สักรวัตร หรือคุณตูน ที่เป็นมือขวามาร่วมโดนวินัยกันด้วย ทางคุณตูนก็รับปากด้วยสปิริตในทันที ซีอีโอก็เห็นด้วยแต่ยังเป็นห่วงผมว่าผมจะรับได้เหรอถ้าโดนลงโทษทางวินัย ซึ่งจะเป็นตราบาปติดตัว ผมเองคำนวณความเสี่ยงไว้แล้วก็บอกว่ารับได้สบายมาก และขอให้รีบทำเพื่อเรื่องจะได้จบและชื่อเสียงของธนาคารไม่เสียหายไปมากกว่านี้ถ้าทอดเวลาเนิ่นนานเกินไป

หลังจากนั้นเราก็ออกทั้งจดหมายขอโทษในนามผม และซีอีโอเองก็ขอจดหมายขอโทษพร้อมแถลงการณ์ตั้งกรรมการวินัย ผลจากการพิจารณาผมและคุณตูนก็ถูกตัดสินว่ามีความผิดทางวินัยและถูกหักเงินเดือนส่วนหนึ่งเป็นเวลาสามเดือน พอมีคนผิด มีคนขอโทษแบบไม่มีข้อแก้ตัว มีคนรับโทษ ไม่ได้แถต่อ วิกฤตครั้งนั้นก็จบลง

วิกฤตครั้งนั้นทำให้ผมเรียนรู้อะไรหลายอย่าง ถ้าเรามีสติพอที่จะแยกแยะความเสี่ยง ใจกว้างพอที่จะคิดถึงน้องตัวเล็กๆ และยอมลดอีโก้และศักดิ์ศรีอะไรลงบ้าง เป็นหมาบ้างเมื่อจำเป็น เหตุการณ์ก็จะผ่านไปได้ แถมสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างที่ไม่คาดคิดก็คือ การตัดสินใจครั้งนั้นทำให้ผมคิดว่าน้องๆ คนอื่นๆ ก็เชื่อใจผมมากขึ้นว่าถึงเวลาลำบากก็จะไม่ทิ้งกัน authority to lead ก็ดูจะมีมากขึ้นในการทำงานหลังจากนั้น แถมน้องๆ หลายคนเอาเคสนี้ไปเล่าไปอวดฝ่ายอื่นด้วยว่า เวลามีเรื่องแบบนี้แล้วหัวหน้าไม่ทิ้งลูกน้อง เพราะเหตุการณ์แบบนี้ก็ไม่ต่างกับเวลาลูกน้องตัวเล็กๆ ในธนาคารปล่อยหนี้แล้วกลายเป็นหนี้เสีย หัวหน้าก็ไม่เคยต้องรับผิดชอบอะไร พอมีหัวหน้าที่มารับผิดชอบแทนลูกน้องก็เป็นแรงกระเพื่อมทางความคิดเบาๆ อยู่ช่วงหนึ่งเช่นกัน

แน่นอนว่าเวลาเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ข้อดีอีกอย่างหนึ่งก็คือเราก็จะเห็นธาตุแท้ของคนรอบตัวอีกด้วย ความเข้าอกเข้าใจของหัวหน้าเรา การเสียสละร่วมกันของมือขวาเรา ก็เป็นเรื่องดีๆ ที่ซ่อนอยู่ เพื่อนร่วมงานที่เข้าใจเหตุการณ์สุดวิสัยก็เข้ามาให้กำลังใจ คนที่ไม่ประสงค์ดีก็จะใช้คำพูดบาดใจเขียนว่าแรงๆ ก็มีบ้าง….

หลังจากนั้น ห้องทำงานผมซึ่งปกติไม่ได้มีกรอบรูปหรืออะไรประดับประดาเลย ก็จะมีกรอบรูปใส่กระดาษแผ่นหนึ่งไว้ที่ผมตั้งด้วยความภูมิใจเล็กๆ เป็นกรอบรูปที่เวลาคนมาประชุมก็จะมาอ่านด้วยความแปลกใจและก็กลายเป็นบทสนทนาของเรื่องราวที่เขียนในวันนี้ เพราะหลายห้องก็คงมีถ้วยรางวัลเกียรติยศ ความสำเร็จส่วนตัว ใบปริญญาบัตรกันเป็นเรื่องปกติ แต่คงไม่มีใครเอากรอบรูปใส่จดหมายลงโทษทางวินัยติดโชว์ไว้แน่ๆ ซึ่งผมก็น่าจะเป็นผู้บริหารระดับสูงคนแรกในรอบหลายสิบปีที่โดนลงโทษทางวินัยแบบนี้

ในจดหมายที่อยากอวดอยากตั้งโชว์นั้นเป็นเรื่องราวแทนเรื่อง calculated risk สภาวะผู้นำที่ต้องดูแลลูกน้อง และยอมเป็นหมาเมื่อต้องเป็นหมา และเตือนใจถึงความลับของฟ้าข้อนี้…

ในวิกฤตนั้นมีโอกาสเสมอ