6 กลยุทธ์ที่ LEGO ทำเพื่อพลิกสถานะบริษัทจากเกือบล้มละลายให้กลายเป็นบริษัทมูลค่า 6,000 ล้านดอลลาร์

เมื่อนึกถึงชื่อบริษัทของเล่นที่ยิ่งใหญ่ทั้งในมุมธุรกิจและการเข้าไปนั่งในหัวใจผู้คน ‘เลโก้’ น่าจะติดลิสต์ลำดับต้นๆ อย่างแน่นอน

ปัจจุบันบริษัทที่มีมูลค่ากว่า 6,000 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่แบรนด์ของเล่นเจ้าอื่นๆ อาทิ Matte, Hasbro, Funko จนถึง Jakks Pacific มียอดขายลดลง เลโก้กลับสามารถสร้างรายได้หลักพันล้านดอลลาร์และยังมีแผนขยายโปรดักต์ใหม่เพิ่มขึ้นในอนาคต 

แต่กว่าเลโก้จะงอกงามขึ้นมาอยู่จุดนี้ได้ เบื้องหลังการเดินทางของเจ้าแบรนด์ของเล่นตัวต่อนี้ไม่ง่ายซะทีเดียว เมื่อการทำธุรกิจมีทั้งขาขึ้นและขาลง ในตอนนี้เลโก้อาจอยู่ในช่วงขาขึ้น แต่เมื่อย้อนกลับไปในช่วงปี 2003-2004 ตอนนั้นเลโก้ติดหนี้กว่า 800 ล้านดอลลาร์ ยอดขายลดลงกว่า 30% และในตอนนั้นเองที่เป็นช่วงขาลงขั้นสุดของบริษัท

แล้วสุดท้ายจากที่เคยเกือบล้มละลาย เลโก้พลิกเกมให้บริษัทกลับมามีอายุที่ยืดยาวจนถึงปี 2023 ได้ยังไง อะไรคือกลยุทธ์ที่เลโก้ทำเพื่อพลิกสถานะบริษัทจากเกือบล้มละลายให้กลายเป็นบริษัทมูลค่า 6,000 ล้านดอลลาร์ Capital List ตอนนี้จะสรุป  6 กลยุทธ์ที่เลโก้ใช้ประกอบร่างธุรกิจขึ้นใหม่จนสามารถผงาดขึ้นเป็นบริษัทของเล่นยักษ์ใหญ่ของโลกในปัจจุบัน

1. กลับมาโฟกัสที่ผลิตภัณฑ์ตัวต่อ 

หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เลโก้เคยเข้าสู่ขาลง คือการที่กระแสความบันเทิงเปลี่ยนทิศไป อินเทอร์เน็ตเริ่มกลายเป็นสิ่งที่ทุกคนพูดถึง เกมคอนโซลต่างๆ ทั้งจากฝั่ง PlayStation และ Nintendo ได้รับความนิยมมากขึ้น ซึ่งเป็นเหตุทำให้ยอดขายตัวต่อลดลง 

ทางแบรนด์จึงพยายามปรับตัวหลายอย่างเพื่อดึงดูดลูกค้าให้กลับมา ไม่ว่าจะเป็นการพยามวิ่งตามเทรนด์ของโลกอินเทอร์เน็ตและคอนเทนต์ พยายามสร้างเกมและรายการทีวี เปิดสวนสนุก LEGOLAND ไปจนถึงพยายามเพิ่มความหลากหลายให้กับตัวต่อ ซึ่งกลายเป็นว่าทำมากเกินไป จนทำให้บริษัทขาดทุน จนเข้าสู่ภาวะเกือบเจ๊ง

หลังจากนั้นเมื่อ Jørgen Vig Knudstorp อดีตที่ปรึกษาด้านการจัดการที่ McKinsey & Company เข้ามารับตำแหน่ง CEO ของบริษัทเลโก้ต่อจากลูกชายของโอเล เคิร์ก คริสเตียนเซน เขาจึงปรับทิศทางธุรกิจใหม่ด้วยวิธีง่ายๆ เพียงแค่ให้กลับไปโฟกัสที่ตัวต่อและผลิตภัณฑ์ที่เป็นรากฐานสำคัญของบริษัท และลดจำนวนรูปแบบของตัวต่อจาก 12,900 แบบให้เหลือเพียง 7,000 แบบ หลังจากนั้นเขาก็ขายสวนสนุกรวมถึงยุบแผนกเกมและคอนเทนต์ไป จนกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ตัวเลขขาดทุนลดลงเรื่อยๆ

2. เข้าซื้อลิขสิทธิ์คาแร็กเตอร์จากการ์ตูนและภาพยนตร์ต่างๆ 

กลยุทธ์หนึ่งที่ทำแล้วบริษัทก้าวขึ้นมาอยู่แถวหน้าในการสร้างรายได้อีกครั้งก็คือ การเข้าซื้อลิขสิทธิ์คาแร็กเตอร์จากการ์ตูนและภาพยนตร์ต่างๆ อาทิ  Star Wars, Marvel, Harry Potter, Mari, Jurassic Park และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งการเข้าซื้อลิขสิทธิ์คาแร็กเตอร์ หรือ intellectual property (IP) นั้นก็นับว่าเปลี่ยนสถานการณ์ทางธุรกิจของเลโก้ไปอย่างมาก โดยเฉพาะหลังจากที่เข้าซื้อลิขสิทธิ์คาแร็กเตอร์ Star Wars ในปีนั้นทางแบรนด์ก็ออกตัวต่อคอลเลคชั่น Star Wars แบบเดือนเว้นเดือนและขายดิบขายดี นอกจากนั้นการเข้าซื้อ IP ยังทำให้ฐานลูกค้าของแบรนด์ขยายเพิ่มขึ้น เพราะมันได้ดึงทั้งแฟนๆ Star Wars, Marvel, Harry Potter ฯลฯ ให้มาเป็นลูกค้าของเลโก้ด้วย

3. สร้างการมีส่วนร่วมกับแฟนคลับ 

อีกโปรเจกต์หนึ่งที่ทำแล้วรุ่งก็คือการสร้างการมีร่วมกับแฟนคลับ เช่นโปรเจกต์ Lego Ideas ที่เป็นให้แฟนคลับนำผลงานที่ออกแบบมาแสดง ผลงานไหนได้รับผลโหวตจะถูกสร้างเป็นเซตขายจริง ๆ (ล่าสุดที่ได้รับการพูดถึงล้นหลามก็คือเซต The Starry Night ที่เป็นภาพวาดของแวน โกะห์ ที่ออกแบบโดย Truman Cheng หนุ่มวัย 25 ปี จากฮ่องกง) นอกจากนั้นในปีเดือนพฤจิกายน 2023 นี้ที่ครบรอบ 15 ปีของ Lego Ideas LEGO ก็เฉลิมฉลองการครบรอบ 15 ปีด้วยการให้เหล่าแฟนๆ ได้ร่วมออกแบบ 15 Years of LEGO Ideas! มาชิงรางวัลร่วมกันอีกด้วย ซึ่งวิธีสร้างการมีส่วนร่วมกับแฟนคลับได้ช่วยกระชับความสัมพันธ์ของแบรนด์และแฟนๆ ตลอดจนสร้างฐานลูกค้าที่เหนียวแน่นกับกับแบรนด์อีกด้วย

4. คอลแล็บกับแบรนด์ดังต่างๆ

ยุคนี้การ co-brand หรือ collaboration อาจไม่ใช่เรื่องใหม่ และเป็นวิธีที่หลายๆ แบรนด์เริ่มนำมาใช้ เพราะไม่ว่าจะยุคสมัยไหน การ co-brand ยังคงสร้างมูลค่าทางตลาดให้กับแบรนด์ได้เสมอมา และวิธีนี้เองก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่แบรนด์ของเล่นแบรนด์นี้ประสบความสำเร็จ 

ในปี 2005 ทางแบรนด์ใช้ความนิยมของภาพยนตร์เรื่อง Star Wars ที่มีกลุ่มแฟนคลับที่เหนียวแน่นทั่วโลกมาเป็นแนวทางในการสร้างวิดีโอเกม แต่ครั้งนี้ไม่ได้ทำเองทั้งหมดเหมือนตอนแรก แต่ได้ร่วมมือกับบริษัท Traveller’s Tales พัฒนาเกมนี้ขึ้นมา ปรากฏว่าผลตอบรับดีมาก ขายได้กว่า 50 ล้านแผ่น ต่อมาก็ทำแบบเดียวกันกับ Harry Potter ในปี 2012 จนกระทั่งมาสร้างภาพยนตร์แอนิเมชั่น The Lego Movie ในปี 2014 เล่าถึงเรื่องราวของตัวเลโก้ธรรมดาๆ ตัวหนึ่งที่ต้องปกป้องโลกที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ได้รับรีวิว 96% บนเว็บไซต์อย่าง Rotten Tomatoes และทำกำไรได้กว่า 230 ล้านดอลลาร์จากแอนิเมชั่นเรื่องนี้

5. ตอบคอมเมนต์และรับฟังความคิดเห็นจากแฟนคลับเสมอ

นอกจากกลับมาโฟกัสที่ผลิตภัณฑ์แล้ว อีกสิ่งที่แบรนด์กลับมาโฟกัสก็คือการลูกค้า โดยจะคอยตอบคอมเมนต์และรับฟังความคิดเห็นจากแฟนคลับของตัวเองบนอินสตาแกรมอยู่เสมอ ซึ่งการที่แบรนด์ทำวิธีนี้ไม่เพียงช่วยให้รู้ว่าเหล่าแฟนๆ ชอบหรือไม่ชอบอะไรเท่านั้น แต่ทุกๆ ความคิดเห็นยังสามารถนำมาเป็นส่วนประกอบในการสร้างสรรค์โปรดักต์ที่ตรงใจลูกค้าได้โดยไม่ต้องคาดเดาว่าลูกค้าจะชอบอะไรหรือไม่ชอบอะไรอย่างแต่ก่อน และในส่วนของผลิตภัณฑ์เด็ก ก็ทำการศึกษาอยู่เสมอว่าเด็กในแต่ละพื้นที่ทั่วโลกนั้นเล่นตัวต่อกันยังไงบ้าง ซึ่งทำให้สามารถเข้าถึงความต้องการของลูกค้าในแต่ละพื้นที่ได้จริงๆ และสามารถนำข้อมูลมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้อย่างแม่นยำ

6. ปรับตัวโดยการนำดิจิทัลเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้กับแบรนด์ 

เมื่อกระแสโลกเปลี่ยนไป เทคโนโลยีและดิจิตัลเข้ามามีบทบาทกับธุรกิจมากขึ้น เลโก้จึงไม่เพียงทำผลิตภัณฑ์ของเล่นตัวต่อพลาสติกเท่านั้น แต่ได้มองเห็นโอกาสและขยายแบรนด์ไปสู่ตลาดดิจิตัลด้วยการขยายโปกดักต์ไปอยู่ในรูปแบบของวิดีโอเกมและเกมแอพลิเคชั่นบนมือถืออย่าง LEGO 2K Drive ที่เป็นเกมเลโก้แนวแข่งรถ หรือจะเกม Sonic The Hedgehog ที่มีฉากและภาพเป็นคาแรกเตอร์ตัวต่อเลโก้ 

ถึงตอนนี้จะกลับมาเข้มแข็งและก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทของเล่นที่ใหญ่ที่สุดในโลก แถมยังสร้างมูลค่าทางตลาดได้เหนือกว่าบริษัทของเล่นอื่นๆ แต่ก็ใช่ว่ากลยุทธ์ 6 ที่สรุปมาเป็นวิธีตายตัวที่จะช่วยให้แบรนด์ของเล่นนี้ครองตำแหน่งเจ้าแห่งของเล่นตัวต่อตลอดไปได้ ยุคสมัยที่ทุกอย่างปรับเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว แบรนด์ก็ยังคงต้องปรับตาม แต่ไม่ใช่การปรับไปตามกระแสจนลืมไปว่าตัวเองเป็นใคร ซึ่งเลโก้ก็ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมาแล้วว่าสิ่งสำคัญในการทำธุรกิจก็คือต้องไม่ไขว้เขวตามกระแสจนหลุดโฟกัส  

อ้างอิงข้อมูลจาก 

บริษัททัวร์อยู่ยังไงในวันที่ทุกคนเที่ยวเองได้? คุยกับ ‘หนุ่มสาวทัวร์’ ที่ไม่เน้นยืนหนึ่งแต่เน้นยืนนาน

ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่าน หากถามว่าธุรกิจไหนสู้ชีวิตมากที่สุด คงหนีไม่พ้นธุรกิจท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม ที่พัก ธุรกิจนำเที่ยวหรือทัวร์ ต่างก็เจ็บหนักไม่แพ้กัน เพราะผลกระทบดังกล่าวไม่ได้ส่งผลแค่ในระยะสั้น หากแต่ยังส่งผลระยะยาวผ่านการเปลี่ยนแปลงของ mega trend ก่อให้เกิดพฤติกรรมการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่

เมื่อมองไปในตลาดการท่องเที่ยวมูลค่าล้านล้านบาท เราเห็นการแข่งขันในหลายมิติ มีผู้เล่นหน้าใหม่เกิดขึ้นมากมาย ที่แข่งขันกันด้วยราคา และแก้เกมกันด้วยกลยุทธ์การสร้างความเชื่อใจ เพื่อสร้างความประทับใจและดึงดูดให้ลูกค้าใช้บริการ

แต่ดูเหมือนว่ารูทของธุรกิจท่องเที่ยวจะไม่ราบรื่นเสมอไป

‘หนุ่มสาวทัวร์’ บริษัททัวร์ที่อยู่คู่คนไทยมาแล้วกว่า 44 ปี มีบุคลากรหลักร้อยชีวิต ก็เป็นอีกหนึ่งองค์กรที่ลงเล่นในธุรกิจนี้ ผ่านร้อนผ่านหนาวมาแล้วมากมาย ปรับกระบวนยุทธ์ทางธุรกิจอยู่หลายท่า ยังคงแข่งขันในธุรกิจที่ขึ้นชื่อว่าเป็น red ocean ได้อย่างมั่นคง

ในวันที่บริษัททัวร์เผชิญความท้าทายและคลื่นลม เราจึงชวน ต้น–โชติช่วง ศูรางกูร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท หนุ่มสาวทัวร์ จำกัด และทายาทของ ศุภฤกษ์ ศูรางกูร ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้ง มาร่วมพูดคุยถึงช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์การท่องเที่ยว การปรับตัวในยุคสมัยที่ทุกคนเที่ยวเองได้ และกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงที่ทำให้บริษัทยังคงยืนระยะมาจนถึงทุกวันนี้

เห็นว่า ‘หนุ่มสาวทัวร์’ เกิดมาจากชมรมสมัยมหาวิทยาลัย แล้วตอนนั้นกลายเป็นธุรกิจได้ยังไง

จุดเริ่มต้นของหนุ่มสาวทัวร์ต้องย้อนไปในสมัยที่พ่อ (ศุภฤกษ์ ศูรางกูร) และเพื่อนๆ หนุ่มสาวชาวธรรมศาสตร์อยากจัดกิจกรรมร่วมกัน จึงเกิดเป็นชมรมท่องเที่ยวในชื่อหนุ่มสาวทัวร์ พอเริ่มทำไปสักพักเห็นวี่แววว่าจะดี จึงตัดสินใจตั้งบริษัทตั้งแต่นั้นมา

เมื่อเวลาผ่านไปลูกค้าของเราที่เป็นวัยรุ่นในช่วงเวลานั้นก็ย่างเข้าสู่วัยผู้ใหญ่เต็มตัว จึงเริ่มมีคำถามเข้ามาว่า เป็นคุณลุง คุณป้า หรือผู้สูงอายุสามารถไปเที่ยวกับหนุ่มสาวทัวร์ได้ไหม ต้องอธิบายว่าจริงๆ แล้วหนุ่มสาวทัวร์ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงอายุของวัยหนุ่มสาว แต่หมายถึง ‘ใจ’ เป็นหนุ่มสาวแห่งใจ ใจที่หมายถึง ใจแห่งการท่องเที่ยว ที่ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ ถ้ามีใจหนุ่มสาวก็เที่ยวได้

แล้วอะไรทำให้คุณตัดสินใจรับช่วงต่อธุรกิจทัวร์

ก่อนจะมาจับงานด้านนี้อย่างจริงจัง ผมก็เป็นอีกคนที่ผ่านงานมาหลายธุรกิจ ผ่านมาแทบจะทุกตำแหน่งทั้ง Product Developer หรือ Marketing Communication ไปจนถึงการเขียนเว็บไซต์ แรกๆ เป็นพนักงานธนาคาร ทำงานด้านการเงิน การบริหารหลักทรัพย์กองทุน ทำการตลาดสินค้า FMCG สินค้าแม่และเด็ก ธุรกิจน้ำมัน ซึ่งไม่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว

แม้จะโลดแล่นอยู่ในธุรกิจอื่นๆ แต่ตั้งแต่เด็กจนโต ผมก็คลุกคลีอยู่กับหนุ่มสาวทัวร์มาตลอด จึงเห็นรายละเอียดของบริษัทในมุมมองของคนนอก ซึ่งอาจเป็นจุดที่คนในมองไม่เห็น การที่ผมเริ่มชีวิตการทำงานที่อื่นถือเป็นการเรียนรู้ระบบ ทำให้เรามีประสบการณ์มากกว่าคนอื่นๆ

ตอนที่เข้ามาทำเต็มตัวคุณมองเห็นอะไรในแบรนด์ ‘หนุ่มสาวทัวร์’ ที่สำคัญบ้าง

เมื่อต้องเข้ามาสานต่อธุรกิจแทนพ่อ และต้องการพัฒนาให้ดีขึ้น การมีความสามารถหลากหลาย และมีความรู้รอบด้านเป็นสิ่งจำเป็น เพราะในเวลานั้นธุรกิจทัวร์อยู่ในช่วงขาลง ไม่ใช่แค่เรา แต่ธุรกิจท่องเที่ยวทั้งหมดกำลังอยู่ในช่วงขาลง เนื่องจากตอนนั้นเทรนด์การท่องเที่ยวด้วยตัวเองแบบไม่พึ่งบริษัททัวร์กำลังมาแรง ทำให้คนในวงการต้องปรับตัวครั้งใหญ่

การที่เรายังดำเนินธุรกิจได้ ผมมองเห็นจุดแข็ง 2 จุดคือ brand trust หรือความเชื่อมั่นที่ลูกค้ามีต่อเรา ตลอด 40 ปีเราเป็นองค์กรที่ปรับเปลี่ยนตัวเองอยู่เสมอ ไม่หยุดนิ่งในการพัฒนา ทำให้เรายังเป็นบริษัททัวร์อันดับแรกในใจของลูกค้า อีกจุดคือความเชี่ยวชาญของพนักงาน เรามีพนักงาน 100-120 คน และมีคนที่อยู่กับเรามาเกิน 20 ปีหลายคน เรียกได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญการทำทัวร์ตัวจริง

นอกจากจุดแข็งแล้ว คุณมองเห็นจุดอ่อนในเรื่องใดบ้าง

เมื่อเข้ามาทำธุรกิจนี้อย่างจริงจัง 2 จุดแข็งนี้แหละคือจุดที่สะท้อนว่าควรปรับเป็นอันดับแรกๆ แม้ลูกค้าจะเชื่อมั่นในแบรนด์หรือเป็นที่รู้จักมากแค่ไหน แต่ภาพจำที่ลูกค้ามองเราเป็นเพียงบริษัทที่จัดทัวร์ในประเทศเท่านั้น แต่จริงๆ แล้วเราทำทั้ง outbound และ inbound เราต้องทำให้ทุกคนรู้ว่าเราไม่ได้เก่งแค่ในประเทศ หรือเป็นโลคอลแบรนด์ 

ส่วนของพนักงาน แม้จะมีประสบการณ์มากกว่า 20 ปี แต่รูปแบบทำงานยังมีความดั้งเดิมโบราณ เน้นการใช้เอกสารมากกว่าเทคโนโลยี ช่วงแรกที่เข้ามาบริหารพนักงานยังไม่ใช้อีเมลด้วยซ้ำ ผมต้องคุยกับพนักงานทุกคนว่าต้องปรับตัวยังไง ควรทำงานด้วยวิธีไหน เราเชื่อว่าคนที่จะปรับเรื่องงานได้ดีที่สุดคือตัวเขาเอง

เหมือนว่าพนักงานส่วนใหญ่จะอายุมากกว่าคุณ ปรับตัวยากไหม

ด้วยความที่ก้าวเข้ามาในฐานะทายาทรุ่นที่ 2 ก็ถือเป็นความโชคดีอย่างหนึ่งที่ทำให้พนักงานเชื่อมั่นว่าเราจะทำงานได้ ไม่ใช่เด็กจบใหม่ และมีประสบการณ์ทำงานมาแล้ว ช่วงแรกผมจะคุยกับพนักงานทุกคนอย่างเปิดใจเพื่อให้ทำงานได้ง่ายขึ้น เมื่อเรามีความชัดเจน ความเชื่อมั่นก็จะตามมา

นับตั้งแต่วันที่เข้ามาทำงานที่นี่จนถึงวันนี้ คุณเห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง

การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดคือ การเปลี่ยนแปลงภายในองค์กร โดยเฉพาะระบบงาน ที่ในวันแรกๆ ไม่มีใครใช้อีเมล ตอนนี้ทุกคนใช้เทคโนโลยีในการทำงานมากขึ้น ได้นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้มากขึ้น ตอนนี้เรานำ AI หรือ ChatGPT มาใช้ในการวางโปรแกรมทัวร์ จากเดิมที่ต้องรีเสิร์ชเองร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ใช้ AI เข้ามาช่วย โดยยังต้องใช้คนในการตรวจเช็ก และปรับเปลี่ยนโปรแกรมให้เหมาะสมกับกรุ๊ปนั้นๆ ช่วงแรกพนักงานรุ่นเก่าจะไม่เข้าใจเท่าไหร่ เราจึงพยายามนำคนรุ่นใหม่เข้ามาเพื่อให้เรียนรู้การทำงานซึ่งกันและกัน จึงเกิดการทรานส์ฟอร์มแนวคิดได้ดีขึ้น

แล้วธุรกิจทัวร์ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง เริ่มฟื้นตัวขึ้นบ้างหรือยังหลังโควิด-19 ซาลง

ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เราในฐานะผู้เล่นรายใหญ่ในธุรกิจท่องเที่ยว แน่นอนว่าได้รับผลกระทบเต็มๆ เพราะนอกจากบริษัททัวร์แล้ว ธุรกิจในเครือทั้งหมดก็ยังพึ่งพิงภาคการท่องเที่ยว ทั้งโรงแรม บริการรถเช่า รวมถึงร้านอาหาร ซึ่งเมื่อมองในภาพกว้างแล้ว หนุ่มสาวทัวร์ถือว่าเป็นคนตัวใหญ่ในวงการ เมื่อล้มจึงดังและเจ็บกว่าคนอื่นๆ 

หลังจากโควิดเริ่มซาลง กำลังซื้อของผู้บริโภคเริ่มกลับมา ผู้คนอยากเที่ยว ต้องการพักผ่อนในสถานที่ใหม่ๆ ซึ่งเราผ่านช่วงที่ผู้คนอัดอั้นอยากเที่ยวมาแล้ว ตอนนี้จึงถือว่าใกล้เคียงกับสภาวะปกติก่อนมีโควิด สายการบินทั่วโลกกลับมาให้บริการเพิ่มขึ้น 70% สอดคล้องกับสัดส่วนยอดขายของเราในเวลานี้ แม้จะยังไม่กลับสู่สถานการณ์ปกติ แต่ก็มีทิศทางที่ดีขึ้น

จากเทรนด์การท่องเที่ยวด้วยตัวเอง บริษัททัวร์ยังจำเป็นไหมในยุคนี้

ตอนที่เข้ามาทำงานแรกๆ การทำทัวร์ถือว่าเป็นธุรกิจที่ดี แต่ก็อยู่ในช่วงขาลงเช่นกัน เพราะการท่องเที่ยวแบบ FIT (free independent travelers) กำลังมาแรง ผู้คนเลือกที่จะเดินทางท่องเที่ยวด้วยตัวเอง ไม่ยึดติดกับโปรแกรมทัวร์ ผมเชื่อว่าเทรนด์นี้ไม่ได้มาแย่งตลาด แต่เป็นการขยายตลาดการท่องเที่ยว ทำให้ธุรกิจท่องเที่ยวเป็นตลาดใหญ่ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นด้วย

ปัจจุบันนักท่องเที่ยวอายุน้อยลง อายุ 20 ต้นๆ ก็เที่ยวต่างประเทศเองได้แล้ว เรามองว่าเมื่อคนกลุ่มนี้อายุมากขึ้น ไลฟ์สไตล์การท่องเที่ยวก็จะเปลี่ยนไป คนยอมจ่ายเงินเพื่อแลกกับความสะดวกสบาย และหันมาใช้บริษัททัวร์มากขึ้น ทั้งในรูปแบบการจองตั๋วเครื่องบิน จองที่พัก จองร้านอาหาร ติดต่อไกด์ท้องถิ่น ซื้อตั๋วเข้าสถานที่ วางโปรแกรมเที่ยว หรือจัดทริปเล็กๆ ไม่เกิน 5 คน นี่ก็เป็นอีกหนึ่งการปรับตัวของบริษัททัวร์ที่ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปด้วย แต่อยู่ในฝั่งของการให้คำปรึกษา 

ทุกวันนี้กลุ่มเป้าหมายของหนุ่มสาวทัวร์เป็นใคร

เรายังยึดมั่นกับลูกค้ากลุ่ม B2B โดย 85% เป็นลูกค้าองค์กรหรือบริษัทต่างๆ เพราะได้ทั้งจำนวนและกำไร แต่ก็ยังไม่ทิ้งนักท่องเที่ยว FIT เพียงแต่คิดว่านี่อาจไม่ใช่ทางถนัดของเรา และธุรกิจนี้มีการแข่งขันเรื่องราคาเยอะกว่า หนุ่มสาวทัวร์จึงไม่ลงเล่นในตลาดนี้

พูดถึงการแข่งขันด้วยราคา หนุ่มสาวทัวร์อยู่จุดไหนของตลาดนี้

การแข่งขันด้วยราคามีอยู่ทุกที่ ในวงการมีการตัดราคาอยู่เสมอ มีผู้เล่นหน้าใหม่เกิดขึ้นมากมาย และแต่ละที่ก็มีสินค้าและบริการที่คล้ายกัน คนทำทัวร์สามารถจัดโปรแกรมทัวร์ในเส้นทางเดียวกันได้ จองสถานที่หรือโรงแรมเดียวกัน จึงเกิดการแข่งขันเรื่องราคา แม้ราคาจะต่างกันแค่ 10 บาทหรือ 20 บาทลูกค้าก็จะเลือกที่ถูกกว่าอยู่ดี 

สำหรับหนุ่มสาวทัวร์เราอาจไม่ได้ลงไปเล่นในตลาดนั้นเท่าไหร่ เราเน้นเรื่องคุณค่าที่ลูกค้าจะได้รับ และพยายามส่งมอบประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ดี ลูกค้าที่เดินทางกับเราต้องได้ใช้เวลาในสถานที่นั้นๆ และทุกทริปเราจะออกแบบให้ทั้งหมด เพราะเรารู้ว่าการที่ลูกค้ายอมสละเวลาและเงินให้เรา พวกเขาควรได้รับการบริการที่ดีที่สุด 

ยกตัวอย่างให้ฟังหน่อยว่าออกแบบทัวร์ยังไง

สำหรับผมแล้วการท่องเที่ยวที่ดีต้องไม่ทำให้ผู้เดินทางลำบากหรือไม่สนุก การกำหนดเวลาและสถานที่เที่ยวในแต่ละวัน ไม่ใช่แค่ย้ายจากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่งแบบชะโงกทัวร์ แม้โปรแกรมทัวร์จะไม่แน่น แต่ทุกคนต้องได้ดื่มด่ำกับสถานที่และการเดินทาง โดยจะดูจากผู้ร่วมทริปเป็นหลัก เช่น ทริปของบริษัทรถยนต์ เราจะพาชมโรงงานประกอบ หรือสถานที่ที่มีความเกี่ยวข้อง หรือถ้าเป็นทริปผู้สูงอายุเราก็จะไม่เลือกสถานที่ที่มีบันไดเยอะ และถ้าชอบทำบุญก็อาจพาไปวัดเยอะหน่อย เราพยายามออกแบบทริปให้ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าที่สุด เพราะเราโฟกัสคุณค่าที่ลูกค้าจะได้รับ มากกว่าการทำราคาให้ถูกแล้วลูกค้ามาครั้งเดียวแล้วหายไป

นอกจากการให้ความสำคัญกับลูกค้าแล้ว คุณบริหารคนยังไงให้ทันกับโลกที่เปลี่ยนไป

อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าพนักงานส่วนใหญ่ของหนุ่มสาวทัวร์เป็นคนที่อยู่มาตั้งแต่รุ่นคุณพ่อ เรามีพนักงานที่อายุ 70 ปีด้วย ไม่ใช่ว่าเราห้ามเขาเกษียณนะ ถ้าเขาอยากทำงานและมีศักยภาพเพียงพอ เราก็เปิดโอกาสให้พนักงานเลือกได้ว่าอยากพักตอนไหน 

ขณะเดียวกันหนุ่มสาวทัวร์ก็ไม่ได้ต้องการเป็นบริษัทที่อยู่นานจนไม่กล้าเปลี่ยนแปลง ในแต่ละปีมีพนักงานที่เป็นคนรุ่นใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และพนักงานทุกคนจะได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนตามความสามารถและศักยภาพของตัวเอง เช่น คนที่เป็นสายเอนเตอร์เทน ชอบคิดกิจกรรม ร้องเพลง เต้นรำ เราจะส่งเสริมไปในสายการจัดอีเวนต์

เราพยายามสร้างผู้นำให้ได้มากที่สุด เพราะเชื่อว่าผู้นำที่ดีต้องมีผู้นำตามเยอะๆ ไม่จำเป็นต้องมีแต่ผู้ตามอย่างเดียว และเมื่อเป็นผู้นำแล้ว ทุกคนจะมีความอยากเรียนรู้และพัฒนาตัวเองให้มากกว่าเดิม เราพร้อมที่จะให้อำนาจในการตัดสินใจ ส่งเสริมในทางที่เหมาะสม เพื่อให้พนักงานเติบโตแบบแนวนอน ไม่ใช่แนวตั้งที่ทับซ้อนกัน

หนึ่งในนโยบายที่หนุ่มสาวทัวร์ใช้ในการบริการลูกค้าคือ การฝึกอบรมไกด์ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ และก่อนออกทัวร์ ทีมงานทั้งหมดต้องมาเคลียร์บรีฟ เช็กเส้นทาง เช็ครายละเอียดผู้ร่วมทัวร์ เตรียมอุปกรณ์ต่างๆ ให้ครบพร้อมก่อนออกทริป และเมื่อส่งลูกค้าเข้านอน ทีมงานจะสรุปงานเพื่อทำให้วันพรุ่งนี้ดีกว่าเมื่อวาน

ตอนนี้อะไรคือความเสี่ยงในการทำธุรกิจทัวร์ 

ถ้ามองถึงอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในช่วงที่ผ่านมา การมีโควิด-19 ทำให้การเดินทางทั่วโลกต้องหยุดชะงักไปทันที จริงๆ แล้วในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและทัวร์มีความเสี่ยงเยอะอยู่แล้ว แต่ที่เสี่ยงมากที่สุดคือเรื่องการแข่งขันที่ตัดราคากัน ทำให้กำไรต่อหัวลดลงอย่างมาก หากนับเฉพาะทัวร์ในประเทศกำไรเฉลี่ย 300-400 บาทต่อหัวเท่านั้น ทำให้เราต้องเน้นปริมาณ หรือรับกรุ๊ปทัวร์ต่างประเทศให้มากขึ้น 

ผมเคยจัดทัวร์ไปเวียดนามได้กำไรหัวละ 200 บาท ถ้าเป็นบริษัทอื่นอาจไม่ทำแต่เราทำ เพราะคาดหวังว่าในอนาคตลูกค้าและพาร์ตเนอร์จะช่วยส่งเสริมเราได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง รวมถึงการบอกต่อไปยังกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ เป็นการยืนยันในแนวคิดที่ว่า เราไม่เน้นยืนหนึ่ง แต่เน้นยืนนาน

แล้วอะไรคือแผนบริหารความเสี่ยงของหนุ่มสาวทัวร์ เพื่อรับมือการแข่งขันที่จะเกิดขึ้นในอนาคต 

ในโลกของการทำธุรกิจ คุณไม่มีทางหนีความเสี่ยงพ้น วิธีของเราคือ ต้องบริหารจัดการความคาดหวังของลูกค้าให้ได้ กล้าที่จะเปิดรับฟีดแบ็กจากลูกค้าไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี เราต้องรีบแก้ไขทันที เพราะในธุรกิจทัวร์ การสร้างความประทับใจและได้รับประสบการณ์ที่ดีเป็นสิ่งที่ลูกค้าคาดหวังมากที่สุด

ผมมองว่าธุรกิจท่องเที่ยวเป็นธุรกิจที่สามารถปรับตัวได้ตลอดเวลา เราทุกคนล้วนเผชิญความเสี่ยงมาแล้วมากมาย มีทั้งที่ผ่านไปได้และผ่านไปไม่ได้ ล้มหายตายจากกันไปมาก สิ่งที่ทำให้เรายืนระยะได้ยาวจนถึงทุกวันนี้อยู่ที่การปรับตัวล้วนๆ 

ถอดหลักการพัฒนาท่องเที่ยวชุมชนของบ้านหลอมปืน จังหวัดสตูล ที่โดดเด่นได้ แม้เป็นเมืองรอง

กระแสการท่องเที่ยวชุมชนได้รับความนิยมเป็นระยะ แต่การท่องเที่ยวชุมชนจำนวนหนึ่งเท่านั้นที่เอาชนะใจทั้งนักท่องเที่ยว และสร้างรายได้เสริม บ้างก็รายได้หลักให้คนในชุมชนอย่างยั่งยืนจริงๆ เพราะปัจจัยที่จะทำให้ชุมชนนั้นๆ ยืนหยัดด้วยตนเองได้ ไม่เพียงต้องมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองเท่านั้น แต่ผู้ที่เป็นผู้นำหรือผู้หวังพัฒนาชุมชนก็ต้องพร้อมไปด้วยทักษะรอบด้าน

การพัฒนา ‘นักพัฒนาชุมชน’ จึงเป็นเรื่องจำเป็น และด้วยความเชื่อที่ว่าการพัฒนาคนคือสิ่งสำคัญ ทำให้มูลนิธิเอสซีจีก่อตั้งโครงการขึ้นภายใต้ธีม ‘Learn to Earn’ ที่มุ่งผลิตนักพัฒนารุ่นใหม่หรือที่เรียกว่า ‘ต้นกล้า’ เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรคนในหลายชุมชนขึ้น

ในบรรดาต้นกล้าที่มูลนิธิเอสซีจีร่วมผลักดัน ‘ต้นกล้าเป็ด–จักรกริช ติงหวัง’ ลูกหลานชาวประมงที่ผันตัวจากนักอนุรักษ์มาเป็นนักพัฒนานั้นมีผลงานโดดเด่น เพราะเขาและทีมงานมุ่งพัฒนาการท่องเที่ยวชุมชนบ้านหลอมปืน ตำบลละงู อำเภอละงู จังหวัดสตูลจนเริ่มมีนักท่องเที่ยวให้ความสนใจเมืองรองเล็กๆ แห่งนี้ 

ไม่เพียงเพิ่มพื้นที่ป่าชายเลนได้กว่า 20 ไร่ แต่ยังสร้างเด็กและเยาวชนนักพัฒนากว่า 30 คน ทั้งยังสร้างรายได้เสริมกระจายสู่ชุมชนกว่า 60 คน คนละประมาณ 3,000-5,000 บาทต่อเดือน และสร้างรายได้ให้ตัวเอง ประมาณ 15,000 บาท ต่อเดือน

และต่อไปนี้คือบทเรียนที่ได้รู้จากการที่ต้นกล้าเป็ดร่วมพัฒนาการท่องเที่ยวชุมชนมานานหลายสิบปี ว่าแล้วคนที่อยากกลับบ้านหรืออยากทำงานพัฒนาชุมชนบ้าง ต้องมีทักษะอะไร?

วิเคราะห์ชุมชนให้ได้

  • แต่ละชุมชนย่อมมีความโดดเด่นต่างกัน การมองตัวเองในกระจกเพื่อสะท้อนถึงคนรอบข้างและชุมชนจึงสำคัญมาก เพราะความเป็นเราในวันนี้ล้วนหล่อหลอมขึ้นจากชุมชนที่เราอยู่ทั้งสิ้น
  • อย่างบ้านหลอมปืน จังหวัดสตูลที่แม้จะเป็นเมืองรองที่ไม่มีสนามบินเป็นของตัวเอง และไม่ได้เต็มไปด้วยแสงสีเหมือนจังหวัดรอบข้าง แต่ต้นกล้าเป็ดพบว่าวิถีผู้คน กลิ่นอายมลายู ภูเขา คลอง และทะเลที่สงบ รวมถึงการเป็นแหล่งธรณีที่สำคัญของโลกนั้นคือจุดเด่น โจทย์ต่อไปที่ต้นกล้าเป็ดต้องทำให้ได้คือจะทำยังไงให้นักท่องเที่ยวมองเห็นสิ่งเหล่านี้และคำตอบจากโจทย์นั้นเองที่จะเป็นแผนกำหนดชุมชนต่อไป

บริหารคนให้เป็น

  • การท่องเที่ยวชุมชนจะเกิดขึ้นโดยคนคนเดียวไม่ได้ แต่ต้องเกิดจากการร่วมแรงร่วมใจกันของคนในชุมชน การรวมพลในชุมชนจึงต้องเกิดขึ้นก่อนโดยเน้นการสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีในฐานะลูกหลาน หรือคนที่เห็นคุณค่าต่อกันเพราะการทำงานกับคนนั้นซับซ้อนไม่เบา
  • ขั้นต่อไปคือการทำให้คนในชุมชนจับมือไปพร้อมกัน เน้นทำให้คนในชุมชนเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นผ่านกิจกรรมเล็ก กิจกรรมน้อยที่กำหนดจุดประสงค์ชัดเจนเพื่อตอบโจทย์ใหญ่ที่ต้องการแก้ไข 
  • ต้นกล้าเป็ดแนะว่าไม่มีการสอนไหนที่ทำให้คนเห็นภาพได้เท่าการพาลงมือทำจริง เมื่อต้องการพัฒนาชุมชนผ่านการท่องเที่ยว ก็ต้องหาทริปจริง ทัวร์จริงมาให้คนในชุมชนฝึกฝนวิทยายุทธให้ได้ 
  • อีกเรื่องที่ละเลยไม่ได้ คือการหมั่นสร้างเยาวชนรุ่นใหม่อยู่เสมอ เพราะการทำงานชุมชนจะขาด ‘คน’ ไม่ได้เป็นอันขาด และการพาเยาวชนร่วมทำกิจกรรมด้วยตั้งแต่ยังเด็กนั้นต้องนำด้วยความสนุกเป็นหลัก ส่วนสาระต้องเน้นสอดแทรก เพื่อให้เด็กๆ ค่อยๆ ซึมซับเรื่องการพัฒนาชุมชนไปโดยไม่รู้ตัว เช่นที่ต้นกล้าเป็ดถูกบ่มเพาะมา

ทักษะของผู้นำและนักพัฒนาที่จะอยู่รอดได้

  • สำหรับต้นกล้าเป็ด ความเก่งไม่ใช่คำตอบของการทำงานชุมชน แต่กลับเป็นความทะเยอทะยานและความไม่ย่อท้อ เพราะงานชุมชนเป็นงานที่ซับซ้อนและใช้ระยะเวลานานกว่าจะเห็นผล ชีวิตของนักพัฒนาจึงคือการลากเส้นต่อจุด ที่ในวันนี้อาจไม่เห็นผลลัพธ์ชัดเจน แต่ผลจากความพยายามจะปรากฏขึ้นในอนาคต
  • แพสชั่นสำคัญกับการทำงานชุมชนก็จริง แต่ความรู้นั้นสำคัญกว่า ต้นกล้าเป็ดได้หลักการการพัฒนาชุมชนจากประสบการณ์การทำงานชุมชนมานาน รวมถึงการหมั่นอบรมกับภาครัฐภาคเอกชนอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเรื่องการท่องเที่ยว การทำการตลาด การพัฒนาธุรกิจ 
  • สุดท้าย การจะพัฒนาชุมชนให้อยู่ได้อย่างยั่งยืนจริงๆ ตัวผู้นำหรือนักพัฒนาต้องตั้งเป้าหมายและภาพฝันให้ชัดเจนว่าต้องการผลักดันชุมชนไปทิศทางไหน เพราะการทำงานชุมชนนั้นต้องแลกมาทั้งชีวิต

“ที่ผมมาอยู่ตรงนี้ได้ ผมไม่ได้เพิ่งฝัน หรือฝันระหว่างทาง แต่ผมมีภาพฝันตั้งแต่จุดที่ผมจะเดินว่าชุมชนจะมีรายได้ เห็นว่าบ้านหลอมปืนจะพัฒนาขึ้นตั้งแต่ตอนที่ยังไม่เริ่มทำโครงการเท่าไหร่ ทั้งหมดมันมาจากการที่ผมเห็นภาพอนาคต ผมมีจินตนาการ” ต้นกล้าเป็ดบอกไว้เช่นนั้น

วิธีการดูแลธุรกิจให้อยู่ในกระแสอย่างยั่งยืนฉบับสองพาร์ตเนอร์แห่ง DROP BY DOUGH

คาเฟ่โทนสีน้ำเงิน-สีฟ้าสดใสตัดด้วยเฉดสีครีมและเฟอร์นิเจอร์ไม้แห่งนี้ถูกตกแต่งให้ออกมาในสไตล์สแกนดิเนเวียผสมกลิ่นอายของมิดเซนจูรีโมเดิร์น (mid-century modern) ที่ถึงแม้เราจะยังไม่เอ่ยถึงโปรดักต์ของตัวคาเฟ่เอง แต่เราก็สามารถรับรู้ได้ถึงความใส่ใจในการตกแต่งร้านผ่านการเลือกใช้ดีไซเนอร์เฟอร์นิเจอร์ทั้งหมด เพราะแค่เพียงโคมไฟที่ประดับประดาอยู่ภายในแต่ละมุมของทางร้านก็ถือเป็นเหล่าโคมไฟซิกเนเจอร์ของหลากหลายแบรนด์

เช่น แบรนด์เฟอร์นิเจอร์สัญชาติเดนมาร์กอย่าง Hay ในรุ่น PC Table Lamp โคมไฟรูปทรงเห็ดที่ตั้งอยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์ของร้าน, Louis Poulsen ในรุ่น Pendant กับ Fritz Hansen ในรุ่น Concert Pendant โคมไฟไลน์คลาสสิกชั้นเลเยอร์ที่ต่างก็ห้อยอย่างสง่าอยู่ตรงแต่ละโซนโต๊ะที่นั่ง หรือจะเป็นโคมไฟของแบรนด์สัญชาติสหรัฐอเมริกาอย่าง Herman Miller ในรุ่น Nelson Ball Bubble Pendant โคมไฟรูปทรงคล้ายลูกบอลเองก็ยังมี ซึ่งด้วยสไตล์การตกแต่งที่เด่นชัดเช่นนี้ก็ยังสามารถบ่งบอกถึงความชอบร่วมกันของทั้งสองพาร์ตเนอร์อย่าง โอ๊ต–ณรงค์ฤทธิ์ ศรีตลานนท์ และโอ๊ตซึ–เฉลิมพล อัครภิญโญกุล ได้ตั้งแต่เราเยื้องก้าวเข้าไปในร้าน

และนี่คือคาเฟ่แฮนด์คราฟต์โดนัทที่มีชื่อว่า ‘DROP BY DOUGH’

ย้อนกลับไปเมื่อ 4 ปีที่แล้ว DROP BY DOUGH เกิดจากความตั้งใจของสองพาร์ตเนอร์อย่างโอ๊ตและโอ๊ตซึ เจ้าของเพจท่องเที่ยว OATSxSomewhere ที่คิดอยากจะมีธุรกิจส่วนตัวเป็นหลักเป็นแหล่งร่วมกัน แต่หากจะเป็นแค่ธุรกิจร้านกาแฟทั่วไปก็คงจะไม่ได้ต่างอะไรกับคาเฟ่ที่ตั้งอยู่ทั่วทุกมุมถนนของกรุงเทพมหานคร ซึ่งด้วยประสบการณ์การเดินทางในหลากหลายประเทศของทั้งคู่ โอ๊ตและโอ๊ตซึจึงตัดสินใจนำสิ่งที่ตนเองต่างก็ประทับใจในแต่ละทริปมาสร้างเป็นธุรกิจคราฟต์โดนัทบูทีกเจ้าแรกในประเทศไทยขึ้นมา

“เมื่อเปิด camera roll ในมือถือของเราขึ้นมาเราก็จะเจอว่าโดนัทคือขนมที่เราแวะไปกินตามเมืองต่างๆ กันอยู่บ่อยๆ ซึ่งมันก็อาจจะเป็นเพราะรูปร่างของโดนัทเองที่ก็น่ารักอยู่แล้ว อย่างรูปทรงกลมที่มีรูตรงกลาง ชวนให้เราได้หยิบจับ ดูแล้วค่อนข้างเฟรนด์ลี่ดี ประจวบกับว่าเราก็เคยไปชิมโดนัทของประเทศนึงที่ก็เป็นเหมือนโดนัทธรรมดานี่แหละ เพียงแต่ว่าโดนัทของเขาดันมีไส้อยู่ข้างในด้วย และนี่คือส่ิงที่จุดประกายไอเดียให้เราสองคน เพราะในวันนั้นประเทศไทยก็ยังไม่มีโดนัทที่เป็นแบบบูทีก จะมีก็แต่แบรนด์ต่างประเทศซึ่งเป็นธุรกิจแบบเชนทั้งหมด เราทั้งคู่เลยมองเห็นโอกาสทางธุรกิจจากตรงนี้ และคิดว่าถ้าเราเอามาทำเองเราก็น่าจะครีเอตคอมบิเนชั่นของรสชาติที่หลากหลายได้ในอนาคตด้วย” โอ๊ตเล่าจุดเริ่มต้นของ DROP BY DOUGH ให้เราฟัง

เมื่อโอ๊ตและโอ๊ตซึตัดสินใจได้แล้วว่าพวกเขาจะร่วมเปิดธุรกิจคาเฟ่โดนัทกัน ชื่อ DROP BY DOUGH จึงมีที่มาจากคอนเซปต์ของร้านอย่างการอยากเป็นสเปซที่ให้ผู้คนได้แวะเข้ามาพักผ่อน ดื่มกาแฟและกินโดนัทกันได้ที่นี่ โดยทั้งคู่เลือกใช้คำว่า ‘drop by’ ในภาษาอังกฤษ เพื่อสื่อถึงความหมายของคำว่า ‘แวะ’ เช่นเดียวกับคำว่า ‘dough’ ที่ก็หมายถึงแป้งโดว์หรือจุดเริ่มต้นของทั้งตัวธุรกิจเองและขั้นตอนการทำโดนัทในแต่ละชิ้นอีกด้วย

ปัจจุบัน DROP BY DOUGH มีทั้งหมด 2 สาขาหลัก ได้แก่สาขาอุดมสุขกับสาขาเอ็มควอเทียร์ และเมื่อไม่นานมานี้เอง โอ๊ตและโอ๊ตซึก็เพิ่งเปิดตัวร้านคราฟต์โดนัทในสไตล์อิตาเลียนอย่างบอมโบโลนี (Bomboloni) แบรนด์ใหม่ล่าสุดอย่าง Donut Disturb! ในย่านอารีย์ออกมาให้หลายๆ คนได้ทำความรู้จักกันแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังคงมีเพจท่องเที่ยว OATSxSomewhere ที่จะต้องบริหารไปพร้อมๆ กัน ด้วยแนวคิดของการ ‘มีเป้าหมายเดียวกัน’ ในการทำธุรกิจ

และคอลัมน์ Business Partner ที่ว่าด้วยวิธีการบริหารความสัมพันธ์ไปพร้อมกันกับการทำธุรกิจตอนนี้ จึงอยากชวนทั้งสองคุยถึงวิธีการดูแลธุรกิจแฮนด์คราฟต์โดนัท DROP BY DOUGH ให้ยังคงอยู่ในกระแสและดูแลความสัมพันธ์ได้อย่างยั่งยืน

พวกคุณเริ่มรู้จักกันได้ยังไง

โอ๊ต : พวกเราเป็นเพื่อนร่วมงานกันที่ PAÑPURI ตอนนั้นโอ๊ตซึเขาก็จะทำงานอยู่ในฝ่าย digital marketing ส่วนตัวเราเอง จะทำงานในฝ่ายของ product development โดยทั้งสองทีมนี้ทางบริษัทเขาก็เรียกกันว่าเป็น creative team  

อะไรคือสิ่งที่ทำให้พวกคุณตัดสินใจเริ่มทำธุรกิจด้วยกัน

โอ๊ต : ด้วยความที่เราอายุใกล้เคียงกัน มันก็จะมีความชอบคล้ายๆ กัน เราก็เริ่มจากการออกไปแฮงเอาต์และเริ่มไปเที่ยว ไปเดินทางด้วยกัน สิ่งเหล่านี้เองก็ทำให้เราทั้งคู่ได้แลกเปลี่ยนความชอบร่วมกันไปโดยอัตโนมัติ แล้วเราก็ยังได้เรียนรู้และรู้จักนิสัยกันไปด้วย จนถึงจุดนึงที่เราสองคนก็เริ่มรู้สึกว่าเราเองก็น่าจะสามารถเป็นพาร์ตเนอร์ในการทำธุรกิจที่ดีให้กันได้นะ

โอ๊ตซึ : เพราะการที่เราทั้งทำงานร่วมกันและเราก็ยังไปเที่ยวด้วยกันบ่อยๆ มันเลยทำให้เรียนรู้ว่าเราชอบอะไรเหมือนกันในหลายๆ อย่าง ดังนั้นพอจะเริ่มทำธุรกิจอะไรขึ้นมาสักชิ้นเราเลยไม่คิดลังเลว่าเราจะทะเลาะกันหรืออะไร

โอ๊ต : นอกจากความชอบที่คล้ายกันแล้ว ในวันที่เรายังทำงานอยู่ที่ head office ของ PAÑPURI เอง เราก็ยังได้เห็นโปรเซสของการทำธุรกิจและการออกไลน์โปรดักต์สินค้าต่างๆ มาตั้งแต่ต้นว่าเขาเริ่มกันมาจากจุดไหน เขา brainstorm ไอเดียและคอนเซปต์กันยังไง production หรือกระบวนการระหว่างทางมีอะไรบ้าง ตลอดจนโปรดักต์เนี่ยมันเสร็จของมันแบบไหนและมีวิธีการโปรโมตยังไง จุดนี้มันเลยทำให้เรารู้สึกว่าเราเองก็อยากมีธุรกิจอะไรบางอย่างเป็นของตัวเองแหละ แต่คำถามของเรา ณ วันนั้นคือ ‘จะทำอะไรดี’ 

ก่อนจะมาเป็น DROP BY DOUGH พวกคุณเคยทำธุรกิจอะไรร่วมกันมาบ้าง 

โอ๊ต : จริงๆ ไทม์ไลน์การทำงานของพวกเรามันซ้อนทับกันไปหมดเลย คือเราทำงานประจำกันอยู่ที่ PAÑPURI แล้วเราก็เริ่มฟอร์มทีมกับน้องอีกคนนึงมาเปิดแบรนด์เสื้อผ้าเล็กๆ อยู่ประมาณ 2-3 ปี มีชื่อว่า ‘Moutain Boy’ ซึ่งเราทั้ง 3 คนก็ค่อนข้างใช้เวลานานพอสมควรไปกับการทำธุรกิจเล็กๆ อันนี้ เราเลือกผ้ากันเอง เลือกผ้าที่ดี เพราะเราก็อยากทำให้แบรนด์มันออกมาดี ซึ่งจริงๆ มันก็เป็นไปได้ด้วยดีนั่นแหละ เพียงแต่ว่าเราสามคนไม่มีใครจบสายแฟชั่นหรือด้านดีไซน์กันมาก่อนเลย ในขณะเดียวกันนี้เองเรากับโอ๊ตซึก็ได้ไปท่องเที่ยวต่างประเทศด้วยกันอยู่เรื่อยๆ ลงรูปในอินสตาแกรมกันปกติ ก่อนจะมีหลายๆ คนเห็นแล้วก็ถามคำถามกับเรามาค่อนข้างเยอะ เป็นคำถามเดียวกันอย่าง ‘ไปยังไงนะ?’ แล้วช่วงนั้นเพจท่องเที่ยวก็กำลังเป็นที่นิยมเอามากๆ พี่ๆ ที่ออฟฟิศก็เลยแนะนำว่าให้เราลองทำเพจท่องเที่ยวของพวกเราขึ้นมาเอง จะได้แชร์เรื่องราวและตอบคำถามที่หลายๆ คนสงสัยในคราเดียว นั่นก็เลยเป็นที่มาของการเริ่มทำเพจ OATSxSomewhere ด้วย 

คิดยังไงกับประโยคที่ว่า “เพื่อนกัน ทำธุรกิจด้วยกัน ระวังทะเลาะกัน”

โอ๊ตซึ : เราก็ได้ยินมาบ่อยเหมือนกันนะประโยคนี้ ซึ่งพอเริ่มทำเข้าจริงๆ แล้ว จุดที่เราจะทะเลาะกันเนี่ยมันก็เหมือนจะเป็นเรื่องปกติของทั้งการทำธุรกิจร่วมกันกับเพื่อน กับครอบครัว หรือกับคนรักเองก็ดี แต่แค่ส่วนตัวเราเองก็อาจจะโชคดีที่เราทั้งคู่มีความชอบที่คล้ายกันอยู่แล้ว และถึงแม้ว่าระหว่างทางเรากับโอ๊ตจะมีวิธีการคิดที่ต่างกันจนมีทะเลาะกันไปบ้าง แต่พอเราได้กลับมาคุยกันถึงจุดหมายปลายทางหรือ objective ของการทำธุรกิจนั้นๆ แล้วมันตรงกัน แล้วเราก็ยังอยากให้ผลลัพธ์ที่เราต่างก็คาดหวังไว้นั้นออกมาตรงกัน สุดท้ายแล้วเรากลับมองว่าจุดนี้ต่างหากคือจุดที่สำคัญของการเป็นพาร์ตเนอร์ธุรกิจร่วมกัน

อะไรที่ทำให้พวกคุณตัดสินใจทำธุรกิจใหม่อย่าง DROP BY DOUGH ด้วยกันอีก

โอ๊ตซึ : ถ้ามองย้อนกลับไปตอนนั้น ตอนที่เราต่างก็ทำงานกันอยู่ที่ PAÑPURI แล้วก็ทำเพจท่องเที่ยวของตัวเองไปพร้อมๆ กัน ในช่วงนั้นมันก็จะมีหลากหลายเหตุการณ์ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา อย่างเช่นเวลาที่เราได้ไปเที่ยวต่างประเทศด้วยกันบ่อยๆ พวกเราก็เริ่มคิดกันบ้างแล้วว่า ’หรือเราจะออกจากงานประจำมาทำธุรกิจด้วยกันเลยดีไหม’ ซึ่งจริงๆ แล้วมันก็เหมือนจะเป็นเหตุผลหลักๆ ของพนักงานออฟฟิศทั่วไปเลย อย่างการที่เราอยากมีเวลาส่วนตัวมากขึ้น มีเวลาเป็นของตัวเองและได้ไปเที่ยวด้วยกันมากขึ้น มันก็เลยเหมือนเป็นจุดที่ทำให้เราเริ่มตัดสินใจอย่างจริงจังที่จะทำธุรกิจคาเฟ่ขึ้นมา 

โอ๊ต : สิ่งที่ทำให้เราตัดสินใจหันมาทำ DROP BY DOUGH เลยก็คือการสะสมประสบการณ์และเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมดของเรา ซึ่งถ้าจะให้เราสรุปออกมาภายในประโยคเดียวเลย คือทุกๆ ธุรกิจที่เราทำหรือแม้แต่การทำงานประจำเองก็ดี มันก็คือการที่เราสองคนวิ่งเข้าหาและทำในสิ่งที่ชอบ เราทั้งคู่ทำทุกอย่างด้วยแพสชั่น ไม่ว่าจะเป็นการทำงานประจำเราก็ชอบ เราชอบถ่ายรูป ชอบพูดคุย โซเซียลกับผู้คน และเราสองคนก็ยังรู้สึกสนุกกับการที่ได้ develop อะไรบางอย่างจากโปรเจกต์ต่างๆ ที่เราได้รับมอบหมายหรือทำกันมา จนกระทั่งวันหนึ่งผมก็รู้สึกว่าเราสองคนก็น่าจะมีความรู้ในการผลิตอะไรกันสักอย่างแหละ ไม่แบรนดิ้ง ก็มาร์เก็ตติ้ง จุดนี้มันเลยยิ่งทำให้เราอยากจะลองทำอะไรสักอย่างด้วยตัวเองขึ้นมา

ในการทำร้าน DROP BY DOUGH คุณแบ่งหน้าที่กันยังไง

โอ๊ต : ถ้าให้พูดโดยรวมเลย หน้าที่ของเราในชวบปีแรกกับตอนนี้ก็ค่อนข้างเหมือนเดิม คือเราสองคนจะคิดทุกๆ อย่างด้วยกันแทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ เพียงแต่ว่าเราต่างก็จะให้สิทธิ์ในการตัดสินใจในเรื่องที่แต่ละคนถนัดกันมากกว่า อย่างเช่นพวกอาร์ตไดเรกชั่น-ครีเอทีฟไดเรกชั่นก็จะเป็นหน้าที่ของโอ๊ตซึเขา ส่วนเราก็จะรับหน้าที่ดูแลไดเรกชั่นในร้านทั่วไป จัดการทางด้านการเงิน แล้วก็ดูแลเรื่องพนักงานซะเป็นส่วนใหญ่ ทั้งนี้ทั้งนั้น ในทุกๆ อย่าง เราสองคนก็นำมาคุยด้วยกัน เราก็เลยจะรับรู้ปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมด แต่ว่าจะแก้ปัญหายังไงกันต่อเนี่ยเราก็ต้องมาแบ่งหน้าที่ในการตัดสินใจกันอีกที

โอ๊ตซึ : ง่ายๆ คือโอ๊ตเขาจะดูในพาร์ตธุรกิจ ส่วนเราจะดูในพาร์ตครีเอทีฟ

แล้วตอนที่แต่งร้านพวกคุณคุยกันยังไง

โอ๊ต : ในวันนั้น เราว่าการตกแต่งร้านในสไตล์สแกนดิเนเวียมันเป็นสิ่งที่เราชอบกันจริงๆ เพราะเรามีโอกาสได้ไปท่องเที่ยวในแถบแสกนดิเนเวียกันมาก่อน แล้วเราทั้งคู่ก็ชอบในเฟอร์นิเจอร์คราฟต์ของบ้านเขา จากจุดนี้ เราเลยรู้สึกว่าถ้าเราทำสเปซของเราขึ้นมากันเอง เราก็อยากให้ทุกๆ เฟอร์นิเจอร์ที่เราชอบนั้น มาอยู่รวมกันเหมือนเป็นบ้าน ประจวบกับความที่โอ๊ตซึเขาจะถนัดพาร์ตครีเอทีฟ เขาก็เป็นคนดีไซน์เองสเกตช์ขึ้นมาเอง แล้วในวันนั้นที่เราเริ่มสเกตช์แบบ พวกเราต่างก็รู้สึกว่าการตกแต่งสไตล์สแกนดิเนเวียก็น่าจะใหม่สำหรับวงการคาเฟ่ในไทยเหมือนกัน เพราะว่าเทรนด์ ณ วันนั้นมันคือคาเฟ่สไตล์มินิมอล-ปูนเปลือยซะส่วนใหญ่ เราสองคนในฐานะผู้ประกอบการรายใหม่ก็อยากที่จะสร้างความแตกต่างให้กับธุรกิจคาเฟ่ในกรุงเทพฯ หรือจะเรียกว่าในไทยเลยก็ได้ ดังนั้นเราทั้งคู่จึงตัดสินใจดึงเอาดีไซน์เฟอร์นิเจอร์ที่เราชื่นชอบมาสร้าง experience ในร้านของเราด้วยเหมือนกัน ไม่ว่าจะทั้งโคมไฟ หรือทั้งโต๊ะ ที่นั่งเองก็ดี

โอ๊ตซึ : เราเริ่มชอบการตกแต่งในสไตล์สแกนดิเนเวียก็จากการที่เราไปทริปแถบสแกนดิเนเวียกัน คนที่นู่นเขาใช้ชีวิตกันค่อนข้างสบายๆ และเรียบง่าย แต่ในความสบายนี่แหละที่มันดันทำให้พวกเราต้องกลับมารีเสิร์ชข้อมูลต่อ จนทราบว่าเฟอร์นิเจอร์ที่เขาใช้ตกแต่งบ้านหรือร้านค้าเอง มันเป็นดีไซน์เฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดเลย ขณะเดียวกันเองเราก็มีโอกาสได้ไปเมืองหลวงประเทศเดนมาร์กอย่างโคเปเฮนเกน เมืองที่เขามีการผลิตดีไซน์เฟอร์นิเจอร์กันมาแบบยาวนาน  โดยความดั้งเดิมของทั้งตัวแบรนด์และเฟอร์นิเจอร์เองมันเลยยิ่งทำให้เราเข้าใจขึ้นว่าคนที่นี่เขาใช้เฟอร์นิเจอร์คุณภาพนี้ในชีวิตประจำวันของเขาเลย แล้วทำไมเราถึงจะนำมาใช้ชีวิตประจำวันหรือในธุรกิจของเราไม่ได้บ้าง

โอ๊ต : อีกจุดหนึ่งที่เรารู้สึกประทับใจกับดีไซเนอร์เฟอร์นิเจอร์เหล่านี้ คือตัวเฟอร์นิเจอร์จะทั้งคราฟต์ ทั้งสวยงาม แล้วก็ยัง useful ด้วย โดยปกติผู้คนอาจจะคิดว่าการเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์เข้าบ้านสักชิ้นมันจะต้องสวย เพื่อตกแต่งบ้านของเราได้ แต่ไม่ใช่กับดีไซเนอร์เฟอร์นิเจอร์ เพราะเฟอร์นิเจอร์ทุกๆ ชิ้นของเขามันจะถูกดีไซน์มาให้เข้ากับการใช้งานในชีวิตประจำวันของทุกๆ คนเหมือนกัน

คุณสองคนคิดว่าแบรนดิ้งสำคัญกับ DROP BY DOUGH ยังไงบ้าง

โอ๊ตซึ : เพราะเราอยากให้คนมอง DROP BY DOUGH ตั้งแต่ day 1 เลยว่าเราเป็นแบรนด์หนึ่งที่มีความครีเอทีฟ จากการที่เรามีการครีเอตอะไรใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา สนุกอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้มองแค่ว่าเราเป็นร้านที่ตกแต่งสวยอย่างเดียว แต่ว่าโปรดักต์ของเราก็ต้องกินอร่อยด้วย เช่นเดียวกันกับการเลือกเฟอร์นิเจอร์เลย คือดีไซน์จะต้องมาพร้อมกับฟังก์ชั่น ดังนั้นในเรื่องของขนมเอง นอกจากหน้าตาที่ต้องสวยงามแล้ว ก็ต้องมาพร้อมกับความอร่อยและรสชาติที่ดี

โอ๊ต : จริงๆ โดยแกนกลางของแบรนดิ้งและ experience ของ DROP BY DOUGH ในขวบปีที่ 4 ก็ยังคงเหมือนเดิมตั้งแต่ day 1 ไม่ได้มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปเลย สิ่งนั้นก็คือการที่พวกเราอยากให้ DROP BY DOUGH เป็นดั่งสเปซที่ไม่ว่าใครที่ได้แวะเวียนมาแล้วก็รู้สึกสบายๆ เป็นกันเองเหมือนอยู่ที่บ้าน นี่จึงเป็นเหตุผลอีกด้วยว่าทำไมพวกเราจึงตกแต่งร้านในสไตล์สแกนดิเนเวียกัน เพราะเราก็อยากให้บรรยากาศที่ร้านมีความอบอุ่น โฮมมี่ เราจึงเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์โทนไม้และเบาะนั่งที่สบาย เราใส่ใจในแบรนดิ้งและ experience ไปจนถึงการเลือกมู้ดของเพลงในร้าน การจัดแสง จัดบรรยากาศเพื่อให้ลูกค้ารู้สึกสบายใจจริงๆ 

ในส่วนของอาหารและเครื่องดื่ม เราก็มีสโลแกนอย่าง ‘Donut & Coffee’ หรือโดนัทและกาแฟ สำหรับสาขาอุดมสุข เพื่อบ่งบอกถึงโฟกัสของสิ่งที่เราอยากจะขายในสาขานั้นๆ ก่อนในสาขาเอ็มควอเทียร์ก็จะเป็น ‘Donut & Wine Bar’ ที่จะไม่มีเพียงแค่โดนัทและกาแฟนะ แต่ยังมีเมนูอาหารอย่างแซนด์วิชโดนัท บรันช์ และเนเชอรัลไวน์ เป็นต้น ไม่ใช่แค่ในเรื่องแบรนดิ้ง แต่เราต้องคงคุณภาพของอาหารอยู่เสมอๆ เพื่อให้ลูกค้าเขามีความสุข กินโปรดักต์ของเราแล้วทำให้เข้านึกถึงใครสักคนหนึ่งจนอยากจะซื้อกลับไปฝากเขา นี่คือแบรนดิ้งหลักๆ ของเรา 

ถัดจากแบรนดิ้ง อะไรคือสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันในการทำธุรกิจ

โอ๊ตซึ : ถัดจากเรื่องแบรนดิ้ง เราก็ค่อยๆ มาลงลึกในเรื่องของดีไซน์กันต่อ ในตอนแรกที่เราเวิร์กชื่อ DROP BY DOUGH กันเสร็จสรรพ ได้คอนเซปต์ที่อยากให้ลูกค้าที่มาที่ร้านกับลูกค้าที่สั่งเดลิเวอรีได้ความรู้สึกที่สบายๆ เหมือนกัน ตรงนี้มันเลยทำให้เรารู้สเตปต่อๆ มาอย่างชัดเจนขึ้น อย่างการดีไซน์ตัวกล่องใส่โดนัท โดยเราก็เริ่มทำการวัดไซส์ของโดนัทว่ากว้างเท่าไหร่ แล้วกล่องใส่โดนัทต้องกว้างเท่าไหร่ เวลาแต่งหน้าแล้วโดนัทจะสูงขึ้นอีกเท่าไหร่ เพราะเราอยากให้กล่องหนึ่งมันวางโดนัทได้ประมาณ 4 ชิ้น มันเลยเป็นที่มาของกล่องสวยๆ โทนสีน้ำเงิน-ฟ้าของแบรนด์และโลโก้ OD ที่ตัว ‘O’ จะมาจากรูปทรงของแป้งโดว์ และตัว ‘D’ ที่เรานำแก้วกาแฟแบบมัคมาตะแคงข้างตั้งไว้คู่กันอีกที 

โอ๊ต : ฉะนั้นแล้วแบรนดิ้ง ดีไซน์ และ experience สำคัญกับพวกเรามากๆ โดยเฉพาะเมื่อเราอยากให้ลูกค้านึกถึง DROP BY DOUGH คาเฟ่แฮนด์คราฟต์โดนัทของเราเป็นร้านแรกเมื่อพูดถึงโดนัท ไม่ว่าจะแวะเข้ามากินเองก็ดีหรือแค่คิดว่าจะเอากลับไปฝากคนอื่นก็ได้ เพราะเท่านี้ก็ทำให้เราประสบความสำเร็จไปหนึ่งเปลาะจากการที่เราสามารถทำให้ลูกค้าเขามีความสุขได้ แล้วเราสองคนก็ยังคาดหวังว่า DROP BY DOUGH จะเข้าไปอยู่ในชีวิตของผู้คนได้มากขึ้น เป็น everyday donut ของใครหลายๆ คนต่อไป

แล้วทำไมแบรนด์ถึงเลือกใช้สีฟ้าซึ่งเป็นสีที่ว่ากันว่าทำให้ไม่อยากอาหาร

โอ๊ตซึ : สีฟ้ามันอาจจะดูแปลกตาไปบ้างสำหรับธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มเนอะ แต่ทั้งเราและโอ๊ตซึเองชอบสีฟ้า สีฟ้าในเฟอร์นิเจอร์เองมันก็ทำให้เราอยากขลุกตัวอยู่ในนั้นนานๆ ส่วนตัวพวกเรามีความรู้สึกว่าสีฟ้ามันให้ความเย็นสบาย เราก็คิดกันง่ายๆ ว่าเราก็อยากให้ลูกค้าของเรารู้สึกสบาย แม้สีที่ดึงดูดให้ผู้คนอยากอาหารอาจจะไม่ใช่สีโทนนี้ แต่ว่าส่ิงที่เราอยากจะให้ลูกเข้ามาแล้วประทับใจคือการได้เข้ามาเห็นโดนัทหน้าตาสนุกๆ หรือได้กลิ่นหอมของกาแฟแล้วอยากกินมากกว่า เราก็เลยคิดว่าสีเนี่ยมันอาจจะไม่เกี่ยวกัน

พวกคุณทั้งสองเลือกโลเคชั่นกันยังไง

โอ๊ตซึ : ถ้าเอาจริงๆ แล้ว ทำเลที่ตั้งของร้านแต่ละสาขามันเกิดจากความบังเอิญ ความบังเอิญที่ว่าคือการที่เราไปที่นั้น แล้วเราไปเจอสเปซที่เรารู้สึกชอบกัน อย่าสาขาอุดมสุขเองมันก็คือย่านที่เราอยู่ เราใช้ชีวิตละแวกนี้มาค่อนข้างหลายปี แต่เราก็ไม่เคยรู้กันเลยว่าในซอยแถวๆ นี้มันมีความคึกคักในตัวมันเอง จนถึงวันที่เรามาเดินดูพื้นที่สำหรับเปิดร้าน เราก็พบเจอกับสเปซที่นี่ สเปซที่เรารู้สึกว่าเรามองเห็นอนาคตอะไรหลายๆ อย่าง พูดกันง่ายๆ คือเราชอบ แล้วเราก็พร้อมลุยเลย 

ส่วนสาขาเอ็มควอเทียร์ พื้นที่ตรงนี้มันเคยเป็นพื้นที่เช่าของร้านอื่นมาก่อน ซึ่งเราก็ชอบสเปซตรงนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ทุกครั้งที่ได้มาเดินเอ็มควอเทียร์เราก็ค่อนข้างมีความสนใจพื้นที่ตรงนี้เป็นพิเศษ เพราะสิ่งที่เราชอบคือแสงที่มันสวย บรรยากาศที่ดีและไม่ได้ทำให้เรารู้สึกว่าเรากำลังอยู่ในห้าง จนวันหนึ่งที่ทางห้างเขาประกาศให้เช่านี่แหละ พอเรารู้เราก็แบบลุยเลย เพราะว่าชอบอีกแล้วเหมือนกัน

โอ๊ต : แต่ criteria ส่วนหนึ่งที่เราคิดไว้นอกจากความชอบส่วนตัวแล้ว คือโลเคชั่นนั้นๆ จะต้องเดินทางสะดวก ส่วนตัวเราเองก็อยากจะให้ใกล้รถไฟฟ้ามากที่สุด แล้วก็ต้องมีที่จอดรถประมาณนึง เพราะว่าตั้งแต่เปิดร้านมา คำถามที่คนถามเยอะที่สุดเลยคือ ‘ที่จอดรถ’ กับ ‘เดินทางยังไง’ เราเลือกเปิดในโลเคชั่นที่ลูกค้าสามารถเดินทางได้สะดวก ส่วนโอ๊ตซึเขาก็จะชอบที่ที่มีแสง ให้ความรู้สึกอุ่นๆ ในร้าน 

โลเคชั่นต่าง ทำให้ทาร์เก็ตลูกค้าต่างกันไหม

โอ๊ต : พอเราเริ่มมีสาขาหลักเพิ่มขึ้นเราก็เริ่มคิดถึงเรื่องของการกระจายสาขาไปในย่านต่างๆ มากขึ้นด้วย อย่างเมื่อก่อนเราก็จะมีสาขาอารีย์หรือสาขาที่ในตอนนี้เรา turn เป็น ‘Donut Disturb!’ แบรนด์ใหม่ของเรา 

ในย่านนั้นก็จะมีกลุ่มเด็กเดินเยอะ กลุ่มวัยรุ่น นักท่องเที่ยวมาคอยถ่ายรูปและฮอปปิ้งคาเฟ่กันเยอะ ตรงนี้เราก็เริ่มเห็นกลุ่มลูกค้าของเราที่ชัดเจนมากขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราเซอร์ไพรส์กันมากๆ ระหว่างการทำ DROP BY DOUGH คือการที่เราเลือกตั้งร้านอยู่นอกตัวเมืองออกมาหน่อยอย่างสาขาอุดมสุข ย่านที่เป็น residental area จุดที่ทำให้เราได้เรียนรู้ว่าการทำธุรกิจในย่านที่อยู่อาศัยเนี่ยมันเวิร์กมากๆ เหมือนกันนะ แถมมันก็ยังทำให้ธุรกิจของเราในวันที่เจอกับโรคระบาดโควิด-19 ไปด้วยดีอีกด้วย เพราะในวันที่ทุกคนอยู่บ้าน เทรนด์ work from home มันกำลังมา หลายๆ คนก็อาจจะอยากสั่งร้านขนมใกล้บ้านมากขึ้น

แล้วจุดขายของโดนัท DROP BY DOUGH คืออะไร

โอ๊ต : คือรสชาติโดนัททั้งหมดที่พวกเราคิดกันเองครับ DROP BY DOUGH ในวันแรกเนี่ย ผมและโอ๊ตซึตั้งต้นรสชาติกันเอง เราก็เริ่มจากลิสต์รสชาติกันเป็นร้อยๆ ชื่อเลย ในดราฟต์แรกของเราเองก็จะมีโดนัททั้งหมด 9 อัน รวม 10 รสชาติ โดยรสชาติทั้งหมดนี้พวกเราก็เบสออนความน่าจะเป็นในความชอบของลูกค้ากันเลย อย่างเช่นว่าถ้าลูกค้าหนึ่งคนที่เดินเข้ามา เขาน่าจะต้องชอบรสชาติประมาณนี้ อย่างน้อยหนึ่งคนก็ต้องมีรสชาติที่เขาชอบ ก็ต้องแบบมีวานิลลา มีช็อกโกแลตบ้างแหละ ถ้าสมมติว่าชอบช็อกโกแลตถั่วจะเป็นนูเทลล่า ถ้าชอบรสผลไม้ก็จะมีเบอร์รี มีมะพร้าว ชอบหวานมาก-น้อย เปรี้ยวมาก-น้อย ครีมมี่ช็อกโกแลต มีไส้เค็มด้วย หรือถ้าไม่ชอบไส้เลยก็ยังมี อย่างน้อยใน 10 รสที่ว่าลูกค้าก็จะต้องชอบสักหนึ่งรสชาติแหละ 

จาก 9 อัน 10 รสชาติในคราฟต์แรก เราสองคนก็ยังรู้สึกว่าพวกเรายังมีไอเดียในรสชาติอื่นๆ อีกมากมาย เรามีความคิดอยากจะทำรสชาติใหม่ๆ ออกมาเยอะมาก มันจึงทำให้เราเริ่มทำโดนัทรสชาติประจำฤดูกาล หรือ seasonal menu กันออกมา ในรสชาติแบบ seasonal นี้ เราตั้งใจอยากทำให้มันสนุกๆ หน่อยผ่านการถ่ายทอดคอมบิเนชั่นของของหวานที่เราเคยได้ไปลิ้มลองกันมาที่ต่างประเทศ ของหวานที่เรากินแล้วรู้สึกว่ามันน่าจะเป็นคอมบิเนชั่นที่ดีได้ถ้าเราเอามาทำเป็นรสชาติโดนัท 

แล้วเวลามีไอเดียในรสชาติใหม่ๆ คุณสองคนพูดคุยกันยังไง

โอ๊ต : เวลาเรามีไอเดียใหม่ๆ เราก็จะคุยกันตอนที่นึกได้เลยครับ (หัวเราะ) แต่บางทีมันก็จะไม่จบที่การคุยตอนนั้นหรอกครับ ต่างคนต่างก็คงจะต้องไปคิดกันต่อแหละ แล้วก็ค่อยกลับมาคุยกันอีกครั้ง 

งั้นแบ่งเวลาให้ธุรกิจอื่นและเวลาส่วนตัวกันยังไง

โอ๊ตซึ : เราว่าธุรกิจอย่างเพจท่องเที่ยวกับธุรกิจ F&B หรือ DROP BY DOUGH มันส่งเสริมกันนะ คือเหมือนตอนที่เราทำเพจท่องเที่ยว มันก็จะมีคนส่วนหนึ่งที่รู้จักและติดตามเราเนอะ พอเรามาเปิดร้านเขาก็มาตามมาอุดหนุนพวกเรากันต่อที่หน้าร้าน

แต่ว่าการแบ่งเวลาให้ทุกอย่างมันไม่กระทบกันเนี่ย เรารู้สึกว่าเราต้องโฟกัสกับธุรกิจมากที่สุด เพราะว่าร้านโดนัทของเรามันยังต้องรันไปในทุกๆ วัน เราต้องใส่รายละเอียดในทุกวัน ฟีดแบ็กเข้าทุกวัน ปรับกันทุกวันเลย ทำงานกับพนักงาน ดูแลพนักงานในทุกๆ วัน มันก็จะแอ็กทีฟมากที่สุด แต่ว่าส่วนที่เป็นเพจท่องเที่ยวเนี่ย พอมีงานติดต่อมาเราก็ต้องมาจัดคิว ลงคัวกันอีกทีว่าพวกเราไปร่วมงานกันวันไหนได้บ้าง 

โอ๊ต : ผมมองว่า priority หลักของเราก็คือการทำร้าน เพราะว่า F&B มันต้องรันทุกวัน แล้วธุรกิจมันก็มีปัญหาทุกวันจริงๆ ตัวผมเองก็ทำงานทุกวัน ว่างเข้าร้านทุกวัน แต่ก็ต้องเวียนสาขาไปในแต่ละวัน ส่วนงานอื่นๆ อย่างการทำเพจหรืองานท่องเที่ยว เราว่ามันเป็นโบนัสสำหรับพวกเราแหละ แล้วเราก็โชคดีมากๆ ที่เรามีเพจ OATSxSomewhere เพราะว่ามันก็เหมือนการเดินทางที่ช่วยเติมไฟอะไรบางอย่างในการทำงานของเราไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางเพื่อไป explore สิ่งใหม่ๆ ก็ดี หรือจะเป็นการเอาความรู้สึกใหม่ๆ กลับมาทำงานอีกครั้งก็ยังได้ เรามองว่าสองธุรกิจมันช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

ส่วนการทำงานอีกเรื่องนึงที่เราว่าสำคัญคือเราก็ต้องฝึกที่จะตัด หมายถึงการ shut down work ในวันที่เราพักผ่อนอยู่บ้านบ้าง เพราะฉะนั้นถ้าเมื่อไหร่ที่เรากลับบ้านเราก็จะไม่ทำงานกันแล้ว แต่ก็อาจจะมีแค่มอนิเตอร์กันบ้างครับ

โอ๊ตซึ : จริงเหรอ (หัวเราะ)

โอ๊ต : คือจริงๆ แล้วผมว่ามันก็พูดยาก เพียงแต่ว่ามันก็เป็นสิ่งที่เราก็ต้องพยายาม ซึ่งเราเองก็จะพยายามคิดอยู่เสมอว่า “ช่างมันเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยเคลียร์” (หัวเราะ)

โดนัทของ DROP BY DOUGH ในวันแรกต่างจากวันนี้ยังไง

โอ๊ตซึ : โห เราว่ามันพัฒนามาเยอะมาก จริงๆ เราพัฒนาในทุกๆ วัน ในทุกๆ เดือนกันเลยด้วย ถ้ามองย้อนกลับไปดูรูปแรกที่เราถ่าย เซตแรกที่ทอดมันก็จะไม่ได้สวย แล้วก็ไม่ได้คราฟต์เท่าทุกวันนี้ ส่วนในเรื่องของรสชาติเองเราก็มีการพัฒนาและปรับปรุงกันมาอยู่ตลอดๆ จนในทุกวันนี้เราก็คิดว่ามันคือโดนัทที่เพอร์เฟกต์ที่สุดของเราแล้ว

ในวันแรกที่เราทั้งคู่ยังไม่ได้มีความรู้ในการทำธุรกิจ F&B มาก การทำโดนัทออกมาในหลายๆ รสชาติ ในแต่ละชิ้นเอง มันก็เป็นเหมือนการทดลองของพวกเรา ในตอนแรกเราเริ่มทอดจากกระทะละ 5 ชิ้น 10 ชิ้น แต่พอเราเริ่มทำในสเกลที่ใหญ่ขึ้น ต้องทอดเยอะขึ้น เราก็ต้องคอยดูว่าน้ำมันเท่านี้ ทอดได้กี่ชิ้นแล้วทิ้ง แล้วเปลี่ยน จริงๆ ในการทดลองทำตอนแรกๆ แค่ 10 ชิ้นเงี้ย มันง่ายๆ เพราะตัวโดนัทมันฟูสวยไปหมดเลย แต่เมื่อไหร่ที่เริ่มทำ 50 ชิ้น อุณหภูมิความชื้นมันก็แตกต่างกัน เราก็ต้องมา adapt ในทุกๆ วัน

โอ๊ต : ด้วยความที่เราตั้งใจอยากจะบอกทุกคนว่าเราเป็นคาเฟ่แฮนด์คราฟต์โดนัท มันก็ย่อมมาพร้อมกับความชำนาญและประสบการณ์ในการทำ อย่างในวันแรกของ DROP BY DOUGH เราสองคนก็เตรียมตัวกันมาดีมากๆ แล้ว แต่เราว่ากว่าที่เราผ่านมาจนถึงวันนี้ แน่นอนว่าพวกเราก็ต้องมีความชำนาญในการทำ แต่เราก็ไม่หยุดที่จะพัฒนาสูตรใหม่ๆ สำหรับลูกค้า เราก็ตั้งใจพัฒนาสิ่งนั้นอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันแบรนด์ไหนที่ใช้แล้วโดนัทของเรามีกลิ่นน้ำมันน้อยที่สุด คุณภาพแป้งแบบไหนที่จะดีที่สุด รวมไปถึงรสชาติของไส้แต่ละไส้ต่างๆ คอมบิเนชั่นใหม่ๆ ก็เลยคิดว่าโดนัทของ DROP BY DOUGH ในวันนี้ก็จะเป็นโดนัทที่เราคิดค้นและพัฒนามาสำหรับลูกค้าในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด เพียงแต่ว่าในอนาคตเองเราก็จะหาวิธีการให้มันดีขึ้นไปเรื่อยๆ

ในวันที่ธุรกิจโดนัทแบบบูทีกมีมากขึ้น คุณมีวิธีบริหาร DROP BY DOUGH ให้เติบโตอย่างยั่งยืนยังไง

โอ๊ตซึ : ในวันที่กระแสมันเริ่มนิ่ง ในช่วงนั้นเราก็พยายามคิดว่าเราจะทำอะไรใหม่ๆ กันดีเพื่อที่จะให้ลูกค้ายังสั่งโดนัท กาแฟ หรืออาหารจากเราอยู่ หรือว่าให้ลูกค้าเขายังหันมามองแบรนด์เราอยู่ แต่ว่าด้วยวิธีการของเรา มันอาจจะไม่ใช่วิธีการที่ผาดโผนหรือ grab attention จากคนได้มากๆ แต่วิธีที่เราตั้งใจ ที่ทำมากที่สุด คือการรักษาสแตนดาร์ดและคุณภาพของอาหาร-เครื่องดื่มของเราให้ดี เราเชื่อว่าสิ่งนี้นี่แหละที่จะทำให้ลูกค้าเขาก็จะนึกถึงเราเอง แล้วเราก็ต้องทำให้โซเซียลมีเดียของเรามีมูฟเมนต์อยู่ตลอด ให้คนเห็นเราในโซเซียลมีเดียเยอะๆ อาจจะเห็นใน ad เพื่อให้นึกถึงกันบ้าง ในขณะเดียวกันเราก็จะพยายามคิดคอมบิเนชั่นใหม่ๆ เพื่อที่จะได้ grab attention จากคนส่วนหนึ่งได้บ้าง มี collaboration กับแบรนด์อื่นๆ บ้าง อาจจะเป็นรสชาติที่ลูกค้าก็ไม่ได้นึกถึงว่ามันจะสามารถเกิดขึ้นในโดนัทได้ 

โอ๊ต : อีกสิ่งหนึ่งที่เราให้ความสำคัญที่สุดตั้งแต่ day 1 เลยคือการตระหนักรู้อยู่ตลอดเวลาว่าเราขายอะไร และโฟกัสของเราอยู่ตรงไหน โอเค ที่ลูกค้ามาถึงร้านเราปุ๊บ แล้วรู้สึกว่าร้านเรามันถูกตกแต่งให้สวยงาม แต่มากไปกว่านั้นคือ เราสองคนใส่ใจในคุณภาพของโดนัทและรสชาติของโดนัทมากจริงๆ คือตั้งแต่ day 1 ที่เปิด ทุกคอมเเมนต์ที่ได้รับมา พวกเราอยากจะบอกว่าเรานำกลับมาเวิร์กกันหนักมาก เราพยายามแก้ให้วันต่อไปของเรามันดีขึ้นจริงๆ อย่างที่โอ๊ตซึว่า การใส่ใจคุณภาพของโปรดักต์และการคิดค้นโปรดักต์ใหม่ๆ ออกมาก็เป็นอีกจุดนึงที่จะทำให้ลูกค้าจดจำเราในฐานะคาเฟ่ที่ขายโดนัทจริงๆ และด้วยความที่ DROP BY DOUGH มันเป็นตัวตนของเราและโอ๊ตซึมากๆ ดังนั้นเราก็จะไม่หยุดที่จะพัฒนาตัวแบรนด์ของเรา เพราะเราก็ทำให้คนเชื่อจริงๆ ว่าตัวตนเรากับ​ DROP BY DOUGH นั้นมันลิงก์กัน อยากให้คนเจอเราสองคนแล้วนึกถึงภาพโดนัทอยู่ตลอด เราอยากเวิร์กไปกับธุรกิจของเรา อยากให้ชีวิตของเราไปกับมัน นี่แหละคือการบริหารธุรกิจ DROP BY DOUH ให้ยั่งยืนในแบบฉบับพวกเรา

อะไรคือบทเรียนที่สำคัญในการทำธุรกิจของคุณทั้งสอง

โอ๊ตซึ : บทเรียนที่สำคัญในการทำธุรกิจของพวกเรา เราว่าทุกวันเป็นบทเรียน เพราะว่าจากที่เราไม่เคยทำขนมมาก่อนเลย เราก็เรียนรู้ ปรับปรุงมาตลอดเวลา เราเลยคิดว่าทุกๆ อย่าง ในทุกๆ วันเป็นบทเรียนสำหรับโอ๊ต 

โอ๊ต : สำหรับเราเองยืนยันเลยว่าแพสชั่นมันสำคัญ แต่ว่ามันไม่พอสำหรับการทำธุรกิจจริงๆ เพราะในการทำธุรกิจ ธุรกิจนึง เราจะไม่ได้เจอแค่เรื่องที่เราชอบมันอยู่แล้ว เราจะต้องเจอเรื่องที่เราไม่ชอบด้วยซึ่งเราก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงมันได้ เพราะฉะนั้นเราก็แค่รู้สึกว่าเราจะต้องมีความอดทนและมีความรับผิดชอบ สองอย่างนี้จะทำให้เราฝ่าฝันมันไปได้แน่นอน 

มีอีกเรื่องหนึ่งคือ จากที่เราเคยคิดไว้เล่นๆ ว่าเราจะทำคาเฟ่ แล้วเราก็แค่จะมาเซตอัพร้านสัก 3 เดือน ไม่เกิน 6 เดือน แล้วเราก็ค่อยปล่อยให้พนักงานดูเพื่อที่เราจะได้ไปทำอย่างอื่น ธุรกิจอันนี้ผมกับโอ๊ตซึก็ถือว่ามันเป็น passive income กันไป ซึ่งอันนี้มันไม่มีจริงสำหรับเรานะ (หัวเราะ) เพราะพอมาทำแล้วเราก็อยากให้ธุรกิจของเรามันรันไปได้อีกในอนาคต เราเลยหยุดทำกันไม่ได้เลยนั่นเอง จากวันแรกที่เปิดร้านมาจนถึงตอนนี้ที่กำลังจะสู่ปีที่ 4 ยังไม่มีวันไหนที่เราหยุดดูแลธุรกิจ DROP BY DOUGH สักวันเลย เพราะว่าตัวเราเองก็ยังอยากที่จะพัฒนาร้านต่อ ไม่อยากปล่อยทิ้งไว้ให้มันรันไปเอง

มีอะไรอยากจะบอกกับคนที่กำลังอยากทำธุรกิจร่วมกับพาร์ตเนอร์ไหม

โอ๊ต : สิ่งหนึ่งที่คุณจะต้องมีคือการมองเห็นจุดหมายเดียวกัน เพราะว่าไม่ว่าเรากับพาร์ตเนอร์จะมีปัญหาระหว่างการทำงานยังไง แต่สุดท้ายมันก็วนกลับมาที่จุดหมายเดียวกัน อีกส่วนหนึ่งก็คือต้องอดทนและรับฟังกันด้วย

โอ๊ตซึ : อยากบอกว่าให้คิดดีๆ ก่อนที่จะเริ่ม เพราะเราก็รู้สึกว่าเขาก็คงอาจจะเหมือนเราใน day 1 ที่เราสองคนแค่อยากทำธุรกิจ แล้วก็ไม่ได้คิดอะไร คิดว่ามันง่าย เพราะเราก็ยังไม่ได้ทำร่วมกันเนอะ ถ้าหากว่าคิดกันดีแล้ว มีพาร์ตเนอร์แล้ว ก็อยากจะให้ศึกษากันให้ดีๆ ก่อน ไม่ใช่ว่าจะแค่เป็นเพื่อนที่สนิทกันมากแล้วตัดสินใจร่วมลงทุนและทำธุรกิจร่วมกันเลย คือก็อยากให้ศึกษาความชอบ ความต้องการ แล้วก็ objective แบบ 5 ปี 10 ปีเลยว่าเราจะยังมองตรงกันอยู่มั้ย ให้ make sure กันก่อน

สุดท้ายสิ่งสำคัญของการเป็นพาร์ตเนอร์ที่ดีคืออะไร

โอ๊ต : เราว่าจุดสำคัญของการเป็นพาร์ตเนอร์ธุรกิจ คือเราทั้งคู่จะต้องโฟกัสในจุดที่จะต้องทำงานร่วมกัน แม้ในช่วงแรกที่เราเริ่มทำงานด้วยกันเอง เราอาจจะโฟกัสว่าเราพูดอะไรแล้วเขาจะโอเคมั้ย เหมือนเราแคร์กัน แต่พอทุกวันนี้ที่ความสัมพันธ์ของเราเริ่มเปลี่ยนไป ต่างคนต่างเข้าใจกันมากพอ เดาใจกันได้แล้วว่าแต่ละคนคิดอะไรกันอยู่ เพราะฉะนั้นจุดสำคัญของเราทุกวันนี้ก็จะเปลี่ยนเป็น ‘ทำยังไงให้เราไปด้วยกันได้ไกลกว่านี้’ เหมือนเราก็อยากจะทำให้ธุรกิจของเรามันดีขึ้นกว่าทุกวันนี้อีก มันเลยถึงจุดของการมองความสัมพันธ์ในการทำงานที่เปลี่ยนไป

โอ๊ตซึ : เราว่าคือความเชื่อใจและมั่นใจในตัวพาร์ตเนอร์อีกคน เหมือนเรารู้ว่าเขาเก่งในเรื่องของธุรกิจหรือว่าการจัดการคน เราก็จะปล่อยให้เขาคิดเองได้เลย ส่วนเขาก็น่าจะรู้ว่าเราชอบคิด ครีเอตอะไร เขาก็จะปล่อยให้เราคิดแล้วก็ดีไซน์ออกมา แต่บางเรื่องมันก็จะมีบางอันที่มันก็จะต้องมาประสานกันเนอะ อย่างเช่นเรื่องดีไซน์ บางครั้งเราก็อาจจะฟุ้ง อยากจะสร้างอะไรออกมาเยอะมาก แต่เขาก็จะคอยเบรก คอยเตือนว่าดูบัดเจ็ตด้วยนะ มันก็จะเวิร์กร่วมกันได้ดี

โอ๊ต : สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งในการบริหารงานร่วมกันก็คือการทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี สมมติว่าผมมีหน้าที่ของผม ผมก็ทำให้ดีและก็ซื่อสัตย์กับตัวเองในการทำงาน แล้วก็ต้องซื่อสัตย์กับโอ๊ตซึด้วย เราก็ไม่คิดที่จะโกงกัน แล้วเขาก็จะรู้สึกเองว่าเราก็ทำหน้าที่ของเราได้ดี เขาก็ตั้งใจทำในส่วนของเขาให้ดีด้วยเหมือนกัน ก็ต้องเริ่มจากตัวเองก่อน

‘Sustainable Nation’ ภารกิจเพื่อความยั่งยืนของประเทศโดย AIS จากงาน The Next Evolution

หากย้อนไปเมื่อ 5-6 ปีที่แล้ว อุตสาหกรรมโทรคมนาคมในบ้านเราอยู่ในช่วงขาขึ้น ทั้งการเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยีจาก 3G สู่ 4G และมาถึง 5G ในทุกวันนี้ ส่งผลให้อุตสาหกรรมนี้มีมูลค่ามหาศาล และมีผู้ใช้งานมากกว่า 100 ล้านเลขหมาย ซึ่งมากกว่าจำนวนประชากรในประเทศด้วยซ้ำ 

ท่ามกลางความท้าทายในการดำเนินธุรกิจตลอดปี 2566 การแข่งขันของตลาดมีหลายปัจจัยที่เข้ามาสุมไฟให้มีความดุเดือดมากขึ้น ทั้งเรื่องสงคราม เงินเฟ้อ การปิดกั้นการค้าระหว่างประเทศ ปัญหาพลังงาน ปัญหาสิ่งแวดล้อม ทุกอย่างล้วนส่งผลต่อต้นทุนและกำลังซื้อของผู้บริโภค 

AIS ในฐานะของผู้ให้บริการเครือข่ายโทรคมนาคมอันดับต้นๆ ของประเทศก็เผชิญกับความท้าทายเหล่านี้เช่นกัน 

ภายในงาน ‘The Next Evolution’ งานแถลงยุทธศาสตร์การเติบโตครั้งใหม่ของ AIS ทีมผู้บริหารได้ประกาศยุทธศาสตร์เพื่อก้าวสู่ความท้าทาย และสร้างประสบการณ์ดิจิทัลที่ดีขึ้น โดย คุณสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AIS กล่าวว่า “สิ่งที่ AIS เชื่อมั่นเสมอมาก็คือ โครงข่ายโทรคมนาคมไม่ได้ทำหน้าที่เป็นเพียง dumb pipe หรือท่อส่งเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่สามารถยกระดับเพิ่มความอัจฉริยะและสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ใช้งานได้อย่างไม่มีขีดจำกัด และ AIS ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นองค์กรชั้นนำของประเทศจะทำอะไรได้บ้าง”

ตลอดระยะเวลา 44 ปีที่ AIS ดำเนินธุรกิจในประเทศไทย บทบาทหลักไม่ใช่แค่การมอบบริการ สินค้า นวัตกรรม และดูแลลูกค้า แต่ยังมีภารกิจในการสนับสนุนการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็น Sustainable Nation ที่มุ่งสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้ประเทศบน Ecosystem Economy ทั้งผู้คน สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม

แม้ว่าสงครามราคาอาจไม่หายไปและอาจดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ แต่ AIS ยังเป็นหนึ่งในองค์กรที่มีแนวคิดการทำธุรกิจควบคู่กับการทำเพื่อสังคม ผู้คน และสิ่งแวดล้อม นำไปสู่ภารกิจ Sustainable Nation ที่สร้างความยั่งยืนของประเทศไทย ที่ประกอบไปด้วย 3 แกนหลัก

‘Intelligence Infrastructure พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล’

เมื่อพูดถึงคำว่า ‘ความยั่งยืน’ อีกคำที่ลืมไม่ได้คือ ‘โครงสร้างพื้นฐาน’ ซึ่งถือเป็นรากสำคัญของการเติบโตอย่างยั่งยืน AIS จึงเลือกที่จะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเพื่อสร้างความยั่งยืนในระยะยาว และตอบสนองความต้องการของประชาชนและภาคธุรกิจในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและข้อมูลต่างๆ 

โดย AIS ได้ลงทุนเรื่องโครงข่ายเน็ตเวิร์กและนวัตกรรม ตั้งแต่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเครือข่าย 5G โดยร่วมมือกับเครือข่าย NT (Nation Telecom) บนคลื่นสัญญาณ 700 MHz เพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศ 

สำหรับอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงสำหรับที่อยู่อาศัยโครงข่ายไฟเบอร์ AIS ได้ร่วมมือกับ 3BB เพื่อให้เข้าถึงและครอบคลุมผู้ใช้งานกว่า 13 ล้านครัวเรือน และเปิดตัวเทคโนโลยี WiFi 7 เป็นรายแรกในไทย ร่วมกับ TP-Line เราเตอร์มาตรฐานที่รองรับการใช้งานหลายดีไวซ์ ลดปัญหาช่องสัญญาณที่แออัด จึงตอบโจทย์การใช้งานในบ้านได้ดี

‘Cross Industry Collaboration การร่วมมือข้ามแพลตฟอร์ม’

หนึ่งในกลยุทธ์ที่ AIS ใช้เพื่อสร้างความแตกต่างส่วนใหญ่มักเกิดจากการร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ที่มีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อนำเทคโนโลยีดิจิทัลให้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการทำงาน อาทิ แพลตฟอร์ม CPaaS (Communication Platform as a Service) เครื่องมือที่ช่วยให้องค์กรสื่อสารแบบเรียลไทม์ได้ ทั้งการส่งข้อความ เสียง และวิดีโอ และ AIS Paragon ที่เชื่อมต่อเครือข่าย 5G, Fibre, Edge Computing, Cloud, และ Software Application Cross Industry Collaboration

นอกจากนี้ยังมีการร่วมมือกับธนาคารกรุงไทย เพื่อเพิ่มการบริการในส่วนของร้านธงฟ้า ร้านถุงเงิน ร้านโชห่วย และห้างสรรพสินค้าชั้นนำมากมายผ่านโปรแกรม Point Platform กว่า 30,000 แห่งทั่วประเทศ

ในส่วนของเทคโนโลยีการสื่อสาร AIS ได้ร่วมมือกับ Microsoft เพื่อให้บริการ Microsoft Teams Phone เป็นครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อให้ผู้ใช้งานติดต่อสื่อสารกันได้สะดวกขึ้น สามารถโทรออกและรับสายผ่านโปรแกรมได้

Sustainable สร้างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม

ที่ผ่านมา AIS ได้ลงทุนในโครงข่ายเน็ตเวิร์กมูลค่ารวมกว่า 1 ล้านล้านบาทเพื่อพัฒนาเทคโนโลยี AI ให้ช่วยบริหารจัดการการใช้พลังงานให้คุ้มค่าที่สุด เปลี่ยนมาใช้อุปกรณ์ที่ทันสมัย ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ปีละ 1,300,000 ตัน ใช้พลังงานทดแทนจึงประหยัดพลังงานไปได้ 16,159 ตันต่อปี

และในส่วนของการให้บริการ AIS ได้มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ เช่น การพัฒนาแอพฯ เพื่อลดการเดินทางเข้าสาขา ใช้ใบแจ้งหนี้แบบอิเล็กทรอนิกส์  ก็ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ 14,994 ตันต่อปี

ด้านสิ่งแวดล้อม AIS มี Green Partnership กว่า 190 องค์กรเพื่อสร้างความตระหนักรู้ และเห็นความสำคัญเรื่องขยะอิเล็กทรอนิกส์ หรือ E-Waste โดยพร้อมเป็นแกนกลางสำคัญทำหน้าที่รวมทุกภาคส่วน เพื่อแก้ไขปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างยั่งยืน

เมื่อมองจากภาพรวมทั้งหมด เห็นได้ว่าในภารกิจ Sustainable Nation ของ AIS ไม่ใช่แค่การทำธุรกิจเพื่อหวังผลกำไร แต่ยังเป็นการสร้าง Brand Differentiation หรือกลยุทธ์การสร้างความแตกต่างให้แบรนด์ที่มีสินค้าหรือบริการเหมือนคู่แข่งในตลาด ทำให้แบรนด์เป็น top-of-mind ที่อยู่ในใจลูกค้า และภายใต้ภารกิจนี้ถือว่าเป็นกรอบที่ค่อนข้างใหญ่ ต้องอาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วน เพราะโลกธุรกิจยุคใหม่ไม่สามารถนำผลกำไรมาเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จได้อีกต่อไป แต่องค์กรต้องมีส่วนร่วมในการดูแลผู้คน สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมตามหลัก SDGs ด้วย

คุยกับ Soho House Bangkok คลับเฮาส์สุดเอกซ์คลูซีฟที่หวังสร้างระบบนิเวศวงการสร้างสรรค์

ถ้าพูดถึง Soho House มิตรรักแฟนคลับหลายคนอาจจะคุ้นเคยว่าเป็นชื่อของ private members club ที่นิค โจนส์ (Nick Jones) นักธุรกิจร้านอาหารและคลับชาวอังกฤษ ก่อตั้งขึ้นในย่านสุดฮิปอย่างโซโห ในลอนดอน โดยเริ่มต้นจากคลับเล็กๆ ชั้นบนของ Café Boheme ในปี 1995 ก่อนที่จะขยับขยายมาเป็นคลับสุดเอกซ์คลูซีฟที่มีสาขาไปทั่วโลก

เอกลักษณ์ของ Soho House คือการเป็นพื้นที่ที่คัดสรรสมาชิกจากกลุ่มคนในวงการสร้างสรรค์ในสาขาต่างๆ อย่างวงการศิลปะ วงการดีไซน์ วงการแฟชั่น และแวดวงสื่อต่างๆ ฯลฯ ราวกับจะเป็นการสร้างระบบนิเวศเล็กๆ ของวงการสร้างสรรค์ขึ้นมา จุดเด่นอีกประการของ Soho House นอกจากการเป็นคลับสุดเอกซ์คลูซีฟที่พรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและอาหารเครื่องดื่มเลิศรสแล้ว Soho House ทุกสาขายังมีผลงานศิลปะของศิลปินร่วมสมัยชั้นนำเป็นส่วนหนึ่งของสภาพแวดล้อมภายในคลับอีกด้วย 

เมื่อต้นปี 2023 ที่ผ่านมา Soho House ได้มาเปิดบ้านสาขาใหม่เป็นแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่กรุงเทพฯ ภายใต้ชื่อ Soho House Bangkok ที่นอกจากจะถอดแบบการตกแต่ง สิ่งอำนวยความสะดวก และการบริการเปี่ยมคุณภาพ ที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลกแล้ว ภายในคลับสาขานี้ยังมีผลงานศิลปะของศิลปินร่วมสมัยชั้นนำของเมืองไทยกว่า 30 คน อยู่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสภาพแวดล้อมภายใน Soho House Bangkok แห่งนี้อีกด้วย

ในครานี้เรามีโอกาสได้สนทนากับ ลินน์ วิสุทธารมณ์ Head of Membership and Communication ของ Soho House Bangkok ผู้จะมาเปิดเผยถึงตัวตนและแนวคิดเบื้องลึกเบื้องหลังคลับเฮาส์สุดเอกซ์คลูซีฟแห่งนี้ให้เราได้รับรู้กัน

หลายคนอาจมองภาพของ Soho House ต่างกันไป แล้วจริงๆ นิยามความเป็น Soho House Bangkok เป็นยังไง

เราคิดว่า Soho House Bangkok มาเมืองไทยก็เป็นคอนเซปต์ใหม่เกี่ยวกับ private members club, social club แน่นอนว่าตอนนี้ในบ้านเราก็เริ่มมี social space ที่จัดกิจกรรมค่อนข้างเยอะทั่วกรุงเทพฯ แต่บ้านของเราเป็นอะไรที่ค่อนข้างจะเอกซ์คลูซีฟแต่แน่นอนนี่คือสิ่งที่ท้าทาย เพราะว่าคนไทยยังมีความคิดว่าความเอกซ์คลูซีฟนั้นเป็นอะไรที่…

ไฮโซ?

ใช่ เป็นอะไรที่ไฮโซ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่อยากให้เป็น เพราะว่าทุกอย่างที่มาจากเมืองนอก พอมาเมืองไทย ก็กลายเป็นอะไรที่เหมือน luxury product 

เหมือนร้านกาแฟแฟรนไชส์ปกติทั่วไป พอมาเมืองไทยก็กลายเป็นร้านกาแฟไฮโซ

ใช่ แน่นอนว่าที่ Soho ก็มีค่าสมาชิกเพื่อที่จะเข้ามาใช้งานได้ แต่จริงๆ แล้วราคาเราก็ไม่ได้แพงเบอร์นั้น

ไม่แพงที่ว่าคือเท่าไหร่

ตอนนี้ค่าสมาชิก ถ้าอายุเกิน 27 ปี  ค่าสมาชิกทั่วไปของเราอยู่ที่เดือนละ 5,000 บาท ปีละ 60,000 บาท หมายความว่าจ่ายเดือนละ 5,000 บาท คุณสามารถที่จะเข้ามาใช้สิ่งอำนวยความสะดวกที่นี่ได้ หรือสามารถที่จะเข้ามาทำเวิร์กช็อปหรือกิจกรรมต่างๆ ในบ้านได้ ซึ่งถ้าเข้าร่วมกิจกรรมเดือนละ 3 ครั้งก็คุ้มแล้ว ทั้งกิจกรรม ice bath (การบำบัดด้วยความเย็น), wellness swimming (ว่ายน้ำเพื่อสุขภาพ) เรามีสระว่ายน้ำให้ใช้ตอนเช้า สมาชิกใช้งานฟรี มีเวิร์กช็อปสอนทำลาเต้อาร์ต ทำม็อกเทล

เราเป็นพื้นที่สำหรับการสร้างบทสนทนา และรวบรวมนักคิดและคนทำงานสร้างสรรค์ มี inspiring talk มี artist talk ที่สมาชิกเข้าร่วมได้ฟรี บางครั้งก็อาจจะมีจ่ายเพิ่มนิดหน่อย อย่างเช่นเราทำดินเนอร์พิเศษ One Night only ร่วมกับร้านอาหาร ‘สำรับสำหรับไทย’ โดยทำคอนเซปต์ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากหนังสือของคุณ’รงค์ วงษ์สวรรค์ ซึ่งคนภายนอกจะจองผ่านร้านสำรับสำหรับไทยได้ แต่สมาชิกจะได้ราคาพิเศษ

ด้วยความที่ตอนนี้เราอยู่ในช่วงประชาสัมพันธ์ เราก็จะพอมีพื้นที่ที่เปิดให้คนที่ไม่ได้เป็นสมาชิกเข้ามาลองได้สัมผัสพื้นที่ดู เพราะเราเชื่อว่าจริงๆ แล้วจากสิ่งที่เรามีในบ้าน ถ้าทุกคนได้มาสัมผัสจะเข้าใจว่าเป็นยังไง ถ้าเปิดใจแล้วจะเห็นถึงคุณค่าของที่นี่

คุณค่าที่ว่านี้คืออะไร

คือการเป็นพื้นที่เหมือนเป็นส่วนขยายของห้องนั่งเล่นนอกบ้าน ที่คนสามารถเข้ามาใช้งานในชีวิตประจำวัน สามารถมานั่งทำงาน นั่งพักผ่อน พบปะผู้คน เข้าร่วมกิจกรรม เป็นเหมือนพื้นที่ไลฟ์สไตล์ ที่คนสามารถเชื่อมต่อกันได้ ทางทีมงานที่ดูแลสมาชิกของบ้านก็สามารถที่จะอำนวยความสะดวก ให้คุณพบปะ มีปฏิสัมพันธ์กับสมาชิกคนอื่นๆ 

อย่างเช่นทุกวันพฤหัสเราก็จะมีการจัดให้สมาชิกมาเจอกัน เพื่อเล่นเกมร่วมกัน ซึ่งแน่นอนว่าตอนนี้ในเมืองไทยอะไรแบบนี้ก็มีที่อื่นๆ ทำอยู่ แต่สิ่งหนึ่งที่เราคิดว่าที่อื่นไม่มีแน่นอน คือด้วยธรรมชาติของสมาชิกของเรานั้นมีความหลากหลายจริงๆ อย่างน้อยที่สุด เราว่าที่นี่มีการผสมผสานของคนไทยและคนต่างชาติแบบที่เราไม่ค่อยเห็นที่อื่น

ด้วยความที่คนไทยค่อนข้างเป็นคนสันโดษ เราว่าไม่มีที่ไหนที่จะเปิดพื้นที่ให้คนไทยได้ใช้เวลาร่วมกับคนต่างชาติได้เหมือนที่นี่ เพราะตามปกติคนต่างชาติก็จะใช้เวลาร่วมกับคนต่างชาติ คนไทยก็จะใช้เวลาร่วมกับคนไทยด้วยกัน แต่ที่นี่ค่อนข้างผสมผสานกันได้ดี เห็นได้จากกิจกรรมต่างๆ ที่คนไทยเข้าร่วมกับคนต่างชาติ ได้พบปะกันเป็นเหมือนชุมชนข้างในที่เกิดขึ้นเอง ซึ่งทางเราก็อำนวยความสะดวกด้านพื้นที่ให้พวกเขาได้ โดยสมาชิกทุกคนสามารถที่จะจองกิจกรรมผ่านแอพพลิเคชั่นของทาง Soho House (เข้าได้เฉพาะสมาชิก) พอเรามีกิจกรรม เราก็จะโหลดขึ้นแอพฯ ว่าสัปดาห์นี้มีกิจกรรมอะไรบ้าง

ที่ผ่านมาผลตอบรับจากสมาชิกที่เข้ามาใช้งานเป็นแบบที่คุณคิดไว้ไหม

ตอนนี้ถ้าดูจากมุมมองของคนที่มาสมัครเป็นสมาชิกแล้วเข้ามาใช้งานนั้นผลตอบรับค่อนข้างดี แต่คนภายนอกอาจจะยังไม่รู้ว่า Soho House คืออะไรอยู่ดี เพราะว่าคนที่ยังไม่เคยเข้ามาใช้งานก็ยังไม่เข้าใจ แต่จริงๆ คนที่เข้ามาใช้งานก็จะเข้าใจเลยว่าที่นี่ก็ไม่ได้ไฮโซอย่างที่คิด พื้นที่ก็ค่อนข้างสบายๆ แล้วก็ไม่ได้แพงอย่างที่คิด ถ้าคนที่มาสมัครสมาชิกอายุต่ำกว่า 27 ปี ค่าสมาชิกก็เหลือครึ่งหนึ่ง คือปีละ 30,000 บาท ตกเดือนละ 2,000 นิดๆ แล้วทุกวันจันทร์ หรือทุกวันอังคารกับวันพุธหลังสี่ทุ่ม และทุกวันอาทิตย์หลังสี่โมงเย็นอาหาร เครื่องดื่มก็คือลด 50% ราคาก็ค่อนข้างสบายๆ

เรามองว่าที่นี่เป็นเหมือน night playground สำหรับคนที่กำลังจะเข้าสู่สังคมที่มีความเป็นสากล เป็นเหมือนสถานที่ที่จะช่วยให้เขาพร้อมที่จะเข้าไปในพื้นที่นานาชาติ แต่ก็ยังให้ความรู้สึกสบายๆ เหมือนอยู่ที่บ้าน และก็เป็นพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้เขามีปฏิสัมพันธ์กับคนหลากหลายเชื้อชาติ หลากหลายอาชีพได้

ที่สำคัญคนที่มาที่นี่เป็นคนที่เราคัดมาแล้ว ทำให้ที่นี่เป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยในระดับหนึ่ง สมาชิกส่วนใหญ่เราจะคัดจาก สาขาวิชาชีพที่ทำ เพราะว่าเวลาสมัครเข้ามามันจะต้องเขียนแบบฟอร์มค่อนข้างละเอียด ถึงแม้จะเป็นสมาชิกผ่านการแนะนำก็ยังต้องเขียนใบสมัครเข้ามาด้วย ถ้าผ่านการพิจารณาแล้ว ทางทีมงานเราก็ต้องนัดสัมภาษณ์ด้วย

ไม่ใช่แค่มีเงินแล้วจะสมัครได้

ใช่ เพราะมีคนที่มีเงินเยอะสมัครมาแล้วไม่ผ่านก็มี เพราะดูแล้วเขาอาจจะไม่ได้เหมาะกับพื้นที่ของเรา

อะไรคือความเหมาะที่ว่า

อย่างแรกที่เราพิจารณาคือวิชาชีพที่ทำ ส่วนใหญ่เราจะสนใจคนที่ทำงานในสายความคิดสร้างสรรค์ อย่างคนทำงานศิลปะ แฟชั่น ดีไซน์ หรือไม่ก็คนทำธุรกิจที่อยู่ในสายงานประเภทนี้ ตอนนี้สมาชิกค่อนข้างมีคนในสายแฟชั่นเยอะสุด แต่ในสายศิลปะก็ค่อนข้างเยอะ จากการที่เรามีคอลเลกชั่นศิลปะจัดแสดงในบ้าน ซึ่งคัดสรรโดยทีมคิวเรเตอร์ระดับโลกที่คัดสรรคอลเลกชั่นศิลปะให้ Soho House ทั่วโลก นำทีมโดย Art Collections Manager ของ Soho House ซารา เทอร์ซี (Sara Terzi)

เวลาเราไปเปิดบ้านในประเทศไหน ทางทีมคิวเรเตอร์ก็จะทำการรีเสิร์ชเบื้องต้นเกี่ยวกับวงการศิลปะที่นั่น แล้วเขาก็จะบินมาเยี่ยมชมแกลเลอรี เยี่ยมชมสตูดิโอศิลปะ พบปะศิลปินต่างๆ ซึ่งศิลปินก็ค่อนข้างมีแนวทางหลากหลาย และส่วนใหญ่เป็นศิลปินที่เกิดหรือทำงานอยู่ในประเทศไทย

พื้นที่ที่แสดงงานศิลปะก็เป็นพื้นที่ในบ้าน ไม่ได้มีหอศิลป์แสดงงานโดยเฉพาะใช่ไหม

ใช่ค่ะ เราไม่มีหอศิลป์ที่นี่ แต่งานศิลปะทั้งหมดจะอยู่กับสภาพแวดล้อมในบ้าน ซึ่งเป็นธรรมเนียมของ ผู้ก่อตั้งของเราอยู่แล้ว เหมือนตอนที่นิค โจนส์ เขาทำ Soho House สาขาแรกในย่านโซโห ลอนดอน เขาต้องการเปิด private club แล้วเขามีเพื่อนเป็นศิลปินเยอะ เขาก็ชวนศิลปินเหล่านั้นให้เอางานมาแลกกับการเป็นสมาชิก ซึ่งตอนนั้นส่วนใหญ่ก็เป็นศิลปินกลุ่ม YBAs (Young British Artists) อย่าง เดเมียน เฮิร์สต์ (Damien Hirst), เทรซี เอมิน (Tracey Emin) ซึ่งสมัยแรกๆ นิคเขาเป็นคนคุยเอง จนพอเปิดบ้านไปเยอะทั่วโลก เขาก็คิดว่าคอลเลกชั่นที่เขามีจริงๆ มูลค่าสูงมาก เขาก็เลยหาทีมงานมาช่วยเจรจา ช่วยคิวเรต และทำรายการคอลเลกชั่นงานศิลปะของ Soho House ที่มีอยู่หลายพันชิ้น 

งานของศิลปินที่จัดแสดงในบ้านถ้าคนที่มาเยี่ยมชมสนใจคุณขายให้เขาไหม

ไม่ขาย มีสมาชิกหลายคนติดต่อกับทางพนักงานของเราว่า งานนี้ขายไหม เขาชอบ เราก็บอกไปว่าเราไม่ได้ขายงาน งานพวกนี้เป็นงานที่เราสะสมและจัดแสดงในบ้าน ถ้าใครสนใจงานชิ้นไหน เราก็ให้เขาติดต่อไปที่ศิลปินหรือหอศิลป์ที่เป็นตัวแทนของเขา 

เรามองว่า Soho House คือพื้นที่ที่เปิดให้คนเข้าถึงงานศิลปะเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น เพราะไม่ใช่ว่าคนทั่วๆ ไป หรือแม้แต่สมาชิกหรือนักท่องเที่ยวจะเข้าหอศิลป์กันทุกคน แล้วการที่เขาได้มาเห็นการจัดแสดงงานศิลปะในบ้านแบบนี้ เขาก็อาจจะเกิดไอเดียว่า เวลาที่เราแต่งบ้าน เราก็จัดแสดงแบบนี้ได้ แขวนแบบนี้ได้เหมือนกันนะ ที่นี่งานศิลปะวางใกล้ชิดกับพื้นที่ใช้งานมากกว่าหอศิลป์ เพราะส่วนใหญ่หอศิลป์ก็ไม่ได้จัดแสดงงานในพื้นที่ living area แบบนี้

เวลาศิลปินขายงานที่ลูกค้าเห็นจากในบ้านได้มีการหักเปอร์เซ็นต์ค่านายหน้าไหม

ไม่เลย เราไม่ได้เป็นนายหน้าขายงานศิลปะ เวลาเราคิวเรตผลงานของศิลปินเหล่านั้นเข้ามา เราแลกกับการให้เขาเป็นสมาชิกและเครดิตที่ใช้กับการซื้อเครื่องดื่ม หรือพาเพื่อน แกลเลอริสต์ หรือนักสะสมมารับประทานอาหารใน Soho House หรือจองโรงแรมในประเทศอื่นเวลาที่เขาเดินทาง ที่ผ่านมาก็มีศิลปินมาใช้กันหลายคนแล้ว ศิลปินที่ทำงานในระดับสากลเขาจะมองเห็นคุณค่าส่วนนี้ของที่นี่

เหมือนเป็นระบบนิเวศของวงการศิลปะหรือวงการสร้างสรรค์เหมือนกันนะ

เรามองว่าระบบนิเวศของวงการศิลปะไม่ได้ประกอบไปด้วยแค่ศิลปิน หอศิลป์ หรือนักสะสม แต่มีหลายองค์ประกอบที่ช่วยในเรื่องของการเชื่อมต่อหรือทำให้ศิลปะสามารถเข้าถึงได้ เราคิดว่า Soho House เป็นเครื่องมือบางอย่างที่ช่วยในการสร้างระบบนิเวศตรงนี้ขึ้นมาได้ จากความหลากหลายของสมาชิกของเรา

อย่างคนทำงานแฟชั่นอาจจะอยากได้งานศิลปะมาอยู่บนเสื้อผ้า 

ใช่ ซึ่งที่นี่เป็นที่ที่เราอำนวยความสะดวกให้เกิดโอกาสเหล่านี้ขึ้นได้ อาจจะเริ่มต้นด้วยการคุยกับคนที่นั่งโต๊ะข้างๆ หรืออาจเป็นการจัดกิจกรรมที่สร้างความคุ้นเคยระหว่างสมาชิก ทำให้เกิดการพูดคุยแลกเปลี่ยนที่ทำให้เกิดความเป็นไปได้ในการสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆ ขึ้นมาก็ได้ เพราะทางทีมผู้ดูแลสมาชิกเราก็มีฐานข้อมูลของสมาชิกแต่ละคนอยู่ ถ้าศิลปินหรือคนทำงานสร้างสรรค์ในสายไหนมีความต้องการที่จะแบ่งปันหรือเผยแพร่ข้อมูล หรืออยากนำเสนอแบรนด์ของเขาให้กับสมาชิกคนอื่นๆ รู้จักเราก็สามารถช่วยสร้างกิจกรรมหรืออีเวนต์ให้เกิดปฏิสัมพันธ์ตรงนี้ได้ 

เรามองว่าแค่เราเปิดโอกาสให้คนทำงานในสายความคิดสร้างสรรค์ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมและบรรยากาศที่ดีร่วมกัน ก็อาจจะสร้างแรงบันดาลใจบางอย่างให้เกิดขึ้นได้

NEIGHBORS บูทีกเอเจนซีที่ใช้ความเข้าใจโฟกัสปัญหาอย่างตรงจุดเพื่อการสร้างแบรนด์ระยะยาว

ในปัจจุบันเราอาจจะเห็นแนวทางการทำงานของเอเจนซีในการปลุกปั้นให้แบรนด์ของลูกค้าเป็นผู้นำทางการตลาด ด้วยการสร้างตัวเลขชี้วัดทางการตลาดให้ดีที่สุด แต่แนวทางในการทำงานของ NEIGHBORS นั้นแตกต่างออกไป คือการอยากเป็นเอเจนซีที่มีความเข้าใจในตัวแบรนด์ เพื่อที่จะสามารถตอบโจทย์และแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้อย่างแท้จริง

Capital เคยคุยกับ NEIGHBORS ถึงความเชี่ยวชาญในการเป็นบูทีกเอเจนซีที่ทำงานตอบโจทย์สินค้าที่ต้องใช้การตัดสินใจซื้อสูง โดยเฉพาะ เกี่ยวกับการคิดกลยุทธ์สำหรับสินค้าที่ต้องอาศัยการตัดสินใจซื้อเป็นเวลานานอย่างบ้าน รถ ประกัน หรือผลิตภัณฑ์ทางการเงิน รวมถึงความเชื่อของ NEIGHBORS ที่ใช้ความเชื่อที่มีคนเป็นพลังงานสำคัญขับเคลื่อนธุรกิจ

ในโลกที่มีความท้าทายใหม่และเกิดคุณค่าใหม่ให้เรียนรู้พฤติกรรมของลูกค้าได้ไม่สิ้นสุด เราชวนคุยกับ วรสิทธิ์ พาณิชสุสวัสดิ์ COO หรือ Chief Operating Officer แห่ง NEIGHBORS อีกครั้งถึงมุมมองการคิดกลยุทธ์เพื่อการเติบโตในระยะยาวจากประสบการณ์ การทำงานแนวลึกในฝั่งธุรกิจ การเอาชนะความท้าทายในโลกยุคใหม่ด้วยการโฟกัสปัญหาให้ตรงจุดในกลยุทธ์ ไปจนถึงการเป็นเพื่อนบ้านที่ดี ด้วยการทำความเข้าใจและร่วมมือในการทำงานกับลูกค้า

Agency with Business Goal in Mind

โดยปกติแล้วภาพที่คุ้นชินของเอเจนซีโฆษณามักเชี่ยวชาญเฉพาะด้านในการทำการตลาด เช่น ถนัดดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง ทำเฉพาะครีเอทีฟแคมเปญ หรือเน้นทำการตลาดที่เน้นยอดขายเท่านั้น แต่จากการพูดคุยทำให้เราพบว่า NEIGHBORS เป็นเอเจนซีที่สามารถแก้โจทย์ได้หลากรูปแบบโดยใช้ความเข้าใจในพื้นฐานของธุรกิจและความเชี่ยวชาญในสินค้ากลุ่ม high involvement product เป็นตัวนำ

“ในมุมมองของ NEIGHBORS เราจะต้องเข้าใจพื้นฐานธุรกิจทั้งหมดของลูกค้าก่อน ตั้งแต่ business goal จนไปถึงปลายทาง พื้นฐานของธุรกิจเริ่มต้นตั้งแต่สินค้าของคุณเป็นอะไร คุณกำลังจะขายใคร ทีมเราเกือบทุกตำแหน่งจะมีความรู้และเห็นภาพรวมของธุรกิจ เพื่อรู้ว่าลูกค้าต้องการอะไร และนำกลยุทธ์มาแก้โจทย์ของลูกค้าได้”

จุดแข็งด้านความเข้าใจในภาพรวมของธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำจนปลายน้ำทำให้ NEIGHBORS มองเห็นถึงความต้องการสำคัญของทุกธุรกิจคือสุดท้ายแล้วกลยุทธ์ทุกส่วนที่คิดขึ้นมาจะมีภาพปลายทางเดียวกันคือยอดขาย 

“ในมุมมองที่บอกว่าเราเข้าใจ business goal คือเรารู้ว่าลูกค้าทุกเจ้าที่มาคุยกับเรา มีปลายทางคือเขาต้องขายได้หรือมีรายได้ เราเลยไม่ได้มองแค่มุมโฆษณาหรือการตลาด ไม่ได้อยากทำแค่ให้บรรลุ KPI (key performance indicator) นอกจากการพาคนเข้ามาชมแคมเปญได้แล้ว เราสนใจว่าเขาปิดการขายได้ไหม ไม่ใช่แค่ทำ KPI ในการโฆษณาให้ถึงเป้า

“เรายังอยากให้แผนงานการตลาดทุกส่วนเชื่อมโยงกันทั้งหมดโดยที่เราเข้าใจแบรนด์จริงๆ แต่เราก็ไม่ได้บอกว่าทุกอย่างต้องทำกับเราเท่านั้นจึงจะเชื่อมโยงกัน ถ้าแผนงานบางอย่างลูกค้าเคยใช้บริการเจ้าอื่นแล้วโอเคก็ไม่ต้องเปลี่ยนในส่วนนั้นเลย ในมุมมองเรา การแก้โจทย์คือการมาคุยกันบนเนื้อหาแต่ละส่วนว่าอยากได้อะไรจากเรามากกว่าและเราก็ส่งมอบการแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้จริง”

Understand Clients’ Pain Points 

โดยทั่วไปในการให้คำปรึกษาของเอเจนซี มักพบอุปสรรคคือช่องว่างระหว่างเอเจนซีกับลูกค้าที่มองภาพไม่ตรงกัน ความถนัดของ NEIGHBORS คือการเป็น ‘เพื่อนบ้านที่ดี’ และลดช่องว่างนั้นด้วยการชวนลูกค้ามาจับเข่าคุยกัน

“เราไม่ใช่เอเจนซีที่รับโจทย์มาแล้วรีบไปต่อเลยทันที ทั้งเราและลูกค้าต้องมองเห็นโจทย์ในจุดที่ตรงกันหรือมีวิธีคิดไปทางเดียวกันก่อน มันต้องผ่านการวิเคราะห์ ผ่านการแชร์กันว่า pain point ที่เจอคือเรื่องนี้จริงหรือเปล่า กลับมามองพื้นฐานก่อนว่าสิ่งที่แบรนด์มองว่าเป็น competitive advantage (ความได้เปรียบในการแข่งขัน) ที่มีในตลาดนั้นดีพอหรือเปล่า สิ่งที่คนน่าจะต้องการจริงๆ คืออะไร และในการทำการตลาดกับกลุ่มเป้าหมายที่มีจะสามารถเปลี่ยนมาเป็นยอดขายได้จริงหรือเปล่า”

หน้าที่ในการเป็น ‘เพื่อนบ้านที่ดี’ สำหรับวรสิทธิ์คือมีความเป็น professional ในการให้คำปรึกษาอย่างเข้าใจและแนะนำข้อเท็จจริง สำหรับเป็นข้อมูลประกอบให้แบรนด์ตัดสินใจ หากโจทย์หรือโมเดลธุรกิจที่มียังไม่สามารถแก้ปัญหาได้จริง ก็จะชวนลูกค้ามาระดมไอเดียร่วมกัน อย่างจริงใจ

หรือหากธุรกิจของลูกค้ากำลังหลงทางหรือโฟกัสผิดจุดก็จะชวนมารื้อโจทย์ร่วมกันใหม่ไม่ว่าจะเป็นการปรับกลุ่มเป้าหมายให้ตรงกับความต้องการที่แท้จริงของตลาด, การตั้งเป้าหมายทางกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับความเป็นจริงและทำได้จริง, การวางแผนงบการตลาดให้เหมาะกับดีมานด์ของตลาดในขณะนั้น

วรสิทธิ์สรุปว่าด้วยเหตุนี้โจทย์ที่ NEIGHBORS ได้รับจากลูกค้าจึงมีหลากหลายมาก เมื่อเอเจนซีเข้าใจธุรกิจลูกค้าอย่างถ่องแท้ จะทำให้สามารถให้คำแนะนำด้านกลยุทธ์ทางการตลาดที่สอดคล้องกับธุรกิจในภาพใหญ่ได้

“ลูกค้าแต่ละเจ้าที่เข้ามาหาเราก็มีโจทย์ไม่เหมือนกัน บางเจ้าต้องการให้เราทำเฉพาะการตลาด บางเจ้าต้องการให้เราทำเฉพาะ เรื่องแบรนดิ้งหรือโฆษณา บางเจ้าต้องการให้เราแนะนำไปถึงสินค้าของเขาด้วย”

การวางกลยุทธ์ที่เน้นการสื่อสารร่วมกันยังทำให้ทั้งฝั่งลูกค้าและเอเจนซีรู้จักแบรนด์ดีเท่ากัน เมื่อเกิดความสบายใจร่วมกันแล้ว ก็จะยิ่งทำให้ทั้งสองฝั่งพร้อมแชร์ข้อมูล แชร์อินไซต์ ปรึกษากันได้ มองภาพไปในทิศทางเดียวกัน เหมือนเพื่อนบ้านที่พอสบายใจ ในกันและกันก็เปิดใจและจับมือเดินไปด้วยกันได้ยาว 

Data Collaboration with Client 

หากลูกค้าเปรียบเสมือน ‘เจ้าของบ้านของแบรนด์’ ที่รู้ลึกรู้จริงในแบรนด์ของตัวเอง รู้จักทุกรั้วรอบขอบชิดในบ้านอยู่แล้ว NEIGHBORS ก็เป็นเหมือนเพื่อนบ้านที่มองแบรนด์มาจากอีกฝั่งคือนอกรั้วบ้านทำให้ได้รับข้อมูลของแบรนด์จากคนละมุมมอง

ดังนั้นในการคิดกลยุทธ์ร่วมกัน สิ่งที่ลูกค้าผู้เป็นเจ้าของบ้านและเอเจนซีผู้เป็นเพื่อนบ้านร่วมแชร์ให้กันและกันได้แล้ว มีประโยชน์คือการแชร์ดาต้า “เราใช้คำว่าทำความเข้าใจร่วมกันเพราะว่าเราไม่สามารถหยิบข้อมูลของแบรนด์มาวิเคราะห์โดยไม่รู้เนื้อหาสำคัญ บางทีถ้าหยิบข้อมูลที่เห็นตามข่าวมาเลย มันก็อาจจะไม่ได้เป็นสิ่งที่สำคัญจริง”

เนื้อหาสำคัญที่วรสิทธิ์พูดถึงคือข้อมูลหลังบ้านของเจ้าของแบรนด์ที่มีประโยชน์ เช่น ปัญหาหลังบ้านที่ถ้าหยิบยกมาคุยร่วมกัน ตั้งแต่วันแรกจะช่วยให้ตีโจทย์ให้แตกได้เร็วขึ้นอย่างตรงจุด “หรือถ้าเกิดแยกกันทำงาน คนที่มีหน้าที่ไปหาลูกค้าเป้าหมายก็ไปหา คนยิงโฆษณาก็แยกไปทำแค่โฆษณา แบบนี้ก็จะแก้โจทย์ยากมาก”  

ตัวอย่างการทำงานโดยแชร์ดาต้าร่วมกันกับลูกค้าแล้วประสบความสำเร็จอย่างมากคือแคมเปญหนึ่งของโรงพยาบาลที่ทำแบรนดิ้งอย่างต่อเนื่องทำให้เจอกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนจนสามารถสร้างยอดขายได้เหนือความคาดหมาย

“แคมเปญจะต้องสื่อสารไปยัง 2 กลุ่มใหญ่ คือกลุ่มที่ซื้อแพ็กเกจเล็กราคาหลักหลายพันบาท และอีกกลุ่มหนึ่งคือหลักหมื่นกว่าบาท ในโจทย์ตั้งต้นเราและลูกค้าเน้นแพ็คเกจถูกเป็นหลักเพราะราคาถูกน่าจะขายง่ายกว่า ทีนี้พอเราทำแคมเปญไปสักพักหนึ่ง ก็พบว่าแพ็กเกจใหญ่เริ่มขายได้ในจำนวนที่ใกล้เคียงกับแพ็กเกจเล็ก ผลสุดท้ายเราเห็นว่าลูกค้าที่เข้ามาเป็นคนที่มีกำลังซื้อมากกว่า เราก็เลยเปลี่ยนโฟกัสจากแพ็กเกจเล็กมาเป็นแพ็กเกจใหญ่ สุดท้ายในแคมเปญนั้นได้รายได้เยอะกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างชัดเจน

“เวลาทำงานกับโรงพยาบาล เราได้ข้อมูล research จากโรงพยาบาลที่มีข้อมูลเชิงคุณภาพและปริมาณทั้ง 2 แบบอยู่แล้ว เราก็เอาข้อมูลพวกนี้มาวางเป็นทิศทางของกลยุทธ์ต่อได้ว่าภายใน 3 ปีเขาต้องไปแบบไหน

“เคสนี้น่าจะเป็นโจทย์ที่ทั้งท้าทาย สนุก และสร้างสรรค์ คำว่าสร้างสรรค์ของเราไม่ได้แปลว่าต้องเป็นไอเดียที่ตื่นเต้น ทั้ง owner (กันตลักษณ์ หงส์ลดารมภ์–CEO & Owner ของ NEIGHBORS) และทีมเราจะเชื่อว่าความคิดสร้างสรรค์ไม่ได้ มาแค่บนภาพไอเดียสุดท้าย แต่มันมาบนทุกๆ อย่าง ความสร้างสรรค์คือการครีเอตสิ่งใหม่ที่สร้างสรรค์กว่าเดิม อย่างตอนแรกที่เราได้โจทย์นี้มาเราก็ไม่คิดว่ามันจะง่ายในการปิดการขาย สุดท้ายเราปิดการขายได้เกินกว่าโจทย์ที่ได้รับไปมาก ทั้งเพราะส่วนหนึ่งได้ข้อมูลจากลูกค้าและทีมเรากระตุ้นที่จะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดี” 

การแชร์ดาต้าร่วมกันยังช่วยลดการติดขัดในการสื่อสารการตลาดตลอด journey ของลูกค้า หากมีส่วนที่ติดขัดตรงไหนก็สามารถระบุและแก้ปัญหาได้อย่างทันท่วงที เช่น การประเมินวัดผลจากแคมเปญ performance marketing หรือ digital marketing ว่าสาเหตุที่ลูกค้ายังไม่กดซื้อสินค้าเพราะอะไร เป็นต้น 

วรสิทธิ์ขยายความว่าดาต้าเหล่านี้ไม่ได้เป็นสิ่งที่มากำหนดทิศทางการตลาดทั้งหมดแต่เป็นหนึ่งในตัวช่วยที่ทำให้ได้อินไซต์สำหรับนำไปวิเคราะห์ “ข้อมูลเหล่านี้เป็นเหมือน second thought หรือคุณหมอคนที่ 2 ที่ใช้ในการช่วยวางทิศทางของแบรนด์ได้ต่อไป” 

Overcome Challenge with Basic Business Foundation

ท่ามกลางเทรนด์การตลาดและเทคโนโลยีต่างๆ ที่มีกระแสใหม่แทบจะรายวันและรายเดือน เกิดเป็นความท้าทายที่นักการตลาด หลายคนกังวลว่าแบรนด์จะปรับตัวกับเทรนด์เหล่านี้ได้หรือไม่ NEIGHBORS เป็นเอเจนซีที่ยึดหลักพื้นฐานในการทำธุรกิจ และไม่วิ่งตามกระแสนิยมทันทีโดยไม่รู้ทิศทาง

“สิ่งที่เราเจอบ่อยคือหลายคนอยากเอาเทรนด์มาใช้เยอะมาก เช่น ตามสิ่งที่กำลังเป็นเทรนด์ใน TikTok  อยากไปตลาดจีนและเปลี่ยนเว็บเป็นภาษาจีน แต่ไม่มีคนพูดจีนได้ ตอนที่เริ่มมีกระแสแพลตฟอร์ม Threads มาช่วงนึงและซาไปแล้ว คนก็พูดกันว่า Twitter เริ่มเน้นขายโฆษณา อยู่ดีๆ เราก็คงไม่รีบพุ่งไปเอา Twitter กับ Threads มาขายลูกค้าเลยตามเทรนด์ มันต้องกลับมาดูว่ากลยุทธ์ใหญ่ที่จะส่งมอบให้ลูกค้า คือเรื่องอะไรก่อน” 

ไม่ว่าจะเป็นการเลือกอินฟลูเอนเซอร์เพื่อมาเป็นพรีเซนเตอร์ของแบรนด์หรือนำเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่าง data-driven และ AI มาใช้ในการตลาด NEIGHBORS จะไม่เคยเลือกจากแค่ว่าอะไรฮิตติดกระแสในตอนนั้นเพราะไม่ได้อยากแค่สร้างการตระหนักรู้ แต่อยากเลือกสิ่งที่เหมาะกับตัวตนของแบรนด์จริงๆ เพื่อให้สามารถสร้างคุณค่าของแบรนด์ไปจนถึงสร้างยอดขายได้จริง

กระบวนการทำงานแบบนี้เป็นผลดีอย่างยิ่งเมื่อเน้นกลุ่มลูกค้า high involvement product เพราะการหาอินไซต์จากลูกค้ากลุ่มนี้ เป็นงานละเอียดที่ต้องวิเคราะห์ลงลึกใน human value ซึ่งลูกค้าแต่ละกลุ่มก็มีความสนใจ พฤติกรรม และความต้องการแตกต่างกันออกไป จึงเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถนำ AI มาจับวางแล้วได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นอินไซต์สำเร็จรูปได้ 

อย่างไรก็ตามแม้พฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าจะมีความแตกต่างกันมากแต่ด้วยความเชี่ยวชาญของ NEIGHBORS ที่เชี่ยวชาญการทำการตลาด high involvement product เฉพาะกลุ่มก็ทำให้มีฐานข้อมูลและเห็นวงจรธุรกิจของลูกค้า ในอุตสาหกรรมบางอย่าง เช่น คนกำลังซื้อสูงชอบส่วนลด แต่มักไม่ชอบทำให้รู้สึกว่าถูกบีบให้ตัดสินใจด้วยเวลาที่จำกัด เป็นต้น ไม่ว่าในอนาคตจะมีกระแสเทคโนโลยีหรือเทรนด์การตลาดใหม่มากมายแค่ไหน วรสิทธิ์ก็ยังย้ำว่าหนทางในการปรับตัวคือเรื่องพื้นฐานของธุรกิจ เพราะหากอยากพัฒนาสิ่งใหม่หรือทำแคมเปญการตลาดที่ปลายทาง แต่ยังไม่แม่นในหัวใจพื้นฐานของธุรกิจ การคิดกลยุทธ์ก็จะวนกลับไปหาเรื่องพื้นฐานให้แม่นยำอยู่ดี 

“ส่วนกลยุทธ์เป็นพื้นฐานที่เราพยายามเดินหน้าให้ทุกคนในองค์กรเข้าใจว่าสำคัญ หน้าที่เราก็คือต้องหากลุ่มเป้าหมาย ที่น่าจะยอมรับในสินค้าของแบรนด์ให้ได้แต่สุดท้ายถ้าสินค้ายังไม่ตอบโจทย์ การทำการตลาดก็จะยังมีความยากอยู่ เคสแบบนี้เราต้องทำให้ลูกค้า เห็นตรงกันจริงๆ ว่า pain point น่าจะเป็นเรื่องสินค้าแล้วหาทางแก้ต่อไปร่วมกัน”

Build Branding with Long-Term Trust 

วรสิทธิ์มองว่าหากธุรกิจสามารถส่งมอบคุณค่าที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างต่อเนื่องก็จะเป็นการสะสมการสร้างความเชื่อใจและความน่าเชื่อถือจนเป็นการสร้างแบรนด์ที่แข็งแรงในอนาคต 

“เวลาลูกค้าให้โจทย์ทิศทางธุรกิจ (business direction) มาแล้วอยากให้วางกลยุทธ์การตลาดในระยะ 3 ปี สิ่งแรกคือเราต้องกลับมามองโจทย์ในระยะสั้นก่อนเพื่อสามารถมองภาพว่าใน 3 ปีนี้จะทำกลยุทธ์อะไรบ้างให้ต่อเนื่องและสอดคล้องกัน

“พอกำหนดกลยุทธ์ร่วมกันตั้งแต่แรกมันก็จะเห็นภาพในระยะยาวว่าการทำการตลาดเฟส 1-3 ที่กำลังจะทำต่อไปเป็นยังไง เวลาเราทำไปเรื่อยๆ แล้วได้รับฟีดแบ็ก จากลูกค้า เราจะเห็นว่าสิ่งที่เราได้มาคืออะไร อินไซต์เหล่านี้ก็จะถูกนำมาประเมินแล้ว ไปปรับกลยุทธ์ต่อไปถ้ามีสิ่งที่ควรเปลี่ยนแปลง ถ้าเราได้ดูแลแบรนด์ในระยะยาวก็จะทำให้กลยุทธ์เหล่านี้สอดคล้องกัน”   

สำหรับลูกค้ากลุ่ม high involvement product การสร้างความเชื่อในใจแบรนด์ (brand trust) มีความสำคัญอย่างมาก สำหรับการสร้างแบรนด์ในระยะยาวเพราะลูกค้ากลุ่มนี้ต้องการข้อมูลในการตัดสินใจเยอะเป็นพิเศษ วรสิทธิ์ยกตัวอย่างให้เห็นภาพว่า คนเราไม่ได้ตัดสินใจเลือกบ้านที่จะอยู่ไปหลายสิบปีแบบเดียวกับเลือกขนมเพื่อทานในยามว่าง (แต่บางคนที่เลือกขนมที่ใส่ใจสุขภาพเป็นพิเศษก็มี)

“สิ่งที่เราพยายามจะบอกกับลูกค้าคือในการทำการตลาดหรือการทำแบรนด์ดิ้งมันใช้ระยะเวลา มันไม่สามารถบอกได้ว่าวันนี้ คุณเข้ามาใช้เงินลงทุนในการทำแบรนด์ 100 ล้านแล้วพรุ่งนี้คุณจะขายได้เพิ่มขึ้นเป็นกี่เปอร์เซ็นต์  วันนี้คุณทุ่มเงินหรือเอาโปรโมชั่นมากระตุ้นยอดขายให้คนอยากซื้อได้ แต่สุดท้ายสิ่งที่อยู่ในระยะยาวคือแบรนดิ้ง มันคือสิ่งที่เราใส่ไว้ในสินค้าหรือในตัวตนของแบรนด์ 

“การสร้างแบรนด์เป็นการสะสมมูลค่าแบรนด์อย่างต่อเนื่องเพื่อเห็นผลในระยะยาว ซึ่งการส่งต่อผลลัพธ์ไม่ได้ทำแค่ 3-6 เดือน หรือปีนึงแค่นั้นแล้วจบ เคยเห็นคนที่ทำแบรนด์มาปีนึงแล้วพังก็มีเพราะว่าเขาไม่ทำสิ่งที่ควรจะต้องทำต่อเนื่องไป หรือคนที่เพิ่งเริ่มต้น แล้วทำได้สำเร็จต่อเนื่องไปเลย เราก็เห็นมาแล้วเหมือนกัน

จากประสบการณ์ที่วรสิทธิ์เคยสร้างคาแร็กเตอร์และตัวตนแบรนด์ให้คอนโดทำให้เห็นชัดเจนว่าสามารถเปลี่ยนภาพลักษณ์ที่ลูกค้า
มองเข้ามาได้จนสามารถขายห้องได้อย่างราบรื่นจากที่ไม่เคยสร้างตัวตนให้แบรนด์อย่างชัดเจน

“และพอเราทำ high involvement product ที่มีพฤติกรรมซื้อ-ขายซับซ้อนได้แล้ว เราก็จะสามารถมองภาพใหญ่ธุรกิจออก เพราะว่าวันนี้เราสามารถทำให้คนตัดสินใจซื้อของบางอย่างด้วยความเป็นเขาจริงๆ และพฤติกรรมผู้บริโภคของกลุ่มนี้น่าสนใจและน่าศึกษามากๆ พอเราทำธุรกิจกลุ่มนี้ได้ การที่เราจะขยายผลลงไปทำสินค้าชนิดอื่น ก็สามารถที่จะนำไปต่อยอดได้เลย” 

Limitless Learning 

พฤติกรรมลูกค้าเป็นสิ่งที่เรียนรู้ได้ไม่สิ้นสุดและการทำเอเจนซี NEIGHBORS ก็มีความท้าทายใหม่ที่วรสิทธิ์ได้เรียนรู้ในทุกวัน พื้นฐานของการคิดโจทย์ที่ท้าทายให้ลูกค้าได้คือการมีสปิริตที่อยากเรียนรู้จากความท้าทายของคนในทีม

“ตั้งแต่ที่เปิดมาเรามีจำนวนคนในทีมที่เยอะขึ้นเรื่อยๆ เหมือนได้เรียนรู้ใหม่หมดในทุกๆ วัน ในทุกๆ สเตป บางทีก็เรียนรู้จากน้องในทีม จากเนื้อหาที่ลูกค้าส่งมาหรือเราศึกษาเรียนรู้จากตลาดเอง มองการเติบโตของ NEIGHBORS ว่าอยากให้แต่ละคนมี personal growth เพราะในมุมมองของทีมผู้บริหารหรือ owner เองจะมองว่าศักยภาพของคนไม่มีที่สิ้นสุด”

สำหรับ NEIGHBORS นั้น personal growth ของพนักงานสามารถเป็นได้ทั้งเป้าหมายในการพัฒนาในชีวิตส่วนตัว เป้าหมายชีวิตที่ไม่เกี่ยวข้องกับบริษัทโดยตรง ไปจนถึงเป้าหมายการพัฒนาทักษะที่อยู่นอกเหนือขอบเขตงานในปัจจุบัน และการมีคนหลากหลายแบบในองค์กรยังเป็นคุณค่าอีกอย่างที่เอเจนซีแห่งนี้ให้ความสำคัญเพราะเชื่อใน ‘believe in balance’ หรือความสมดุลของทุกคนที่มารวมกันแล้วเป็น NEIGHBORS

“มันก็จะเป็น learning curve ที่โตขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งเราเรียนรู้ทุกวัน แล้วอยากส่งต่อสิ่งนี้ลงไปในทีมให้ได้” ความเข้าใจในพนักงานและลูกค้านี้เอง ที่เป็นหัวใจสำคัญซึ่งทำให้ NEGIHBORS เป็นเอเจนซีที่เป็นมิตร พร้อมพาองค์กรและลูกค้าเติบโตผ่านความท้าทายในสนามธุรกิจ ที่เข้มข้นไปด้วยกันอย่างมั่นคงในระยะยาว

ข้อมูลติดต่อ :
Website : neighbors.co.th

ขอขอบคุณสถานที่ : Park Silom

Petniture เฟอร์นิเจอร์สำหรับสัตว์เลี้ยงของคู่รักอินทีเรียร์ที่อยากให้มะนุดอยู่กับลูก 4 ขาอย่างแฮปปี้

จากภาพเฟอร์นิเจอร์ด้านล่างนี้ ทุกคนคิดว่าฟังก์ชั่นของมันคืออะไรกันบ้าง?

แรกเริ่ม ทั้งคนที่เลี้ยงและไม่ได้เลี้ยงสัตว์​อาจสับสนงุนงงว่าเจ้าเก้าอี้ที่ว่านี้เป็นของเด็กหรือเปล่า หรือมีฟังก์ชั่นเพื่อให้มะนุดทำคอนเทนต์ลงโซเชียลมีเดียเท่านั้น แต่แท้จริงแล้ว KAOI PAW CHAIR เก้าอี้เด็กสำหรับลูกๆ สี่ขา ของ Petniture แบรนด์เฟอร์นิเจอร์เพื่อเจ้าของและสัตว์เลี้ยงนั้นมีฟังก์ชั่นสำคัญมากกว่านั้น

ไม่ว่าจะเรื่องการฝึกพฤติกรรม การบริหารจัดการพื้นที่ ไปจนถึงการป้องกันโรคข้อต่อและทางเดินอาหาร ทั้งหมดนี้ กวาง–ธารวิมล กมลนิธิ และ จั๊ก–วัฒพฤกษ์ ชัยปาริฉัตร์ คู่รักอินทีเรียร์ดีไซน์ผู้ต่อยอดแบรนด์ Petniture จากธุรกิจ CNC ต้องการให้ทั้ง KAOI และเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นของ Petniture ช่วยยกระดับชีวิตของมะนุดและลูกสี่ขา

“หลายคนตั้งคำถามว่ามันต้องขนาดนี้เลยเหรอ แต่เพราะเราเลี้ยงสัตว์มานานกว่า 10 ปี และเราเองก็เป็นอินทีเรียร์ดีไซเนอร์ที่จริงจังเรื่องความสวยงามของบ้าน และความคงทนของเฟอร์นิเจอร์มาก Petniture จึงเกิดขึ้นจากความเข้าใจ pain point ท้ังหมดนั้น” จั๊กอธิบายถึงคอนเซปต์โดยรวมของแบรนด์ให้ฟัง

ความแตกต่างทั้งเรื่องไลน์สินค้าและความพรีเมียมที่ทำให้ราคาขยับขึ้นไปอีกขั้นเมื่อเทียบกับแบรนด์ของใช้สัตว์เลี้ยงในท้องตลาด เราจึงชวนกวางและจั๊กมาเปิดหลัก 5P ไปพร้อมๆ กัน เพื่อไขข้อข้องใจว่าเหตุผลอะไรที่ทำให้ Petniture ต้อง ‘ทำขนาดนี้’

Product
ตอบโจทย์พฤติกรรม คัสตอมได้ทุกสายพันธุ์

ในตำราการออกแบบพื้นฐาน สินค้าที่ดี คือสินค้าที่แก้ pain point ของผู้ใช้งานได้ Petniture จึงสามารถบอกได้อย่างเต็มปากว่าสินค้าที่คิดค้นขึ้นช่วยให้เด็กๆ สี่ขาแฮปปี้กับชีวิตมากขึ้นจริงๆ 

ที่กล่าวแบบนั้น เพราะแม้เทรนด์สัตว์เลี้ยงที่มาแรงจะทำให้ของใช้สัตว์เลี้ยงผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด แต่ทั้งคู่มองว่าสินค้าเหล่านั้นก็ยังแก้ pain point ของมะนุด ในเรื่องความสะดวกสบาย ความคงทนถาวรไม่ได้ ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่เมื่อสินค้าเหล่านั้นตอบโจทย์สัตว์เลี้ยงได้ไม่ตรงจุด 

“สินค้าชิ้นแรกอย่างชามยกสูง OMAKASE เกิดจากการที่เราหาชามอาหารยกสูงให้บราวนี่ หมาพันธุ์ชิวาว่าอายุ 14 ปี ไม่ได้สักที คือถ้าไม่เตี้ยไปก็สูงไป แล้วก็องศาของชามไม่เข้ากับสรีระของเขา ซึ่งมันอาจส่งผลต่อข้อต่อ อาจทำให้สำลัก กินเร็ว และส่งผลต่อระบบย่อยอาหารของเขาได้

“เราจึงเริ่มจากนำวัสดุที่เราทำธุรกิจ CNC มาลองทำชามให้เขาใช้ก่อน แล้วค่อยๆ ปรับให้สูงขึ้นอีกนิด เอียงอีกหน่อย เพื่อให้รับกับหน้าของเขา” กวางเล่าถึงจุดเริ่มต้นของสินค้าชิ้นที่ทำให้ทั้งคู่เริ่มเห็นความเป็นไปได้ 

ธุรกิจที่ต่อยอดจากธุรกิจเดิมนั้นเหมือนจะง่าย แต่เพราะความต้องการของสัตว์เลี้ยงและคนนั้นแตกต่างกัน การศึกษาพฤติกรรมและความแตกต่างของน้องหมาน้องแมวแต่ละสายพันธุ์จึงเป็นสิ่งที่ทั้งคู่บอกว่าจำเป็น

“พอจะเริ่มขายปุ๊บ เราเพิ่งมานึกได้ว่าหมาไม่ได้มีแค่พันธุ์เดียว เลยต้องศึกษาและออกสินค้าที่ตอบโจทย์ทั้งหมาแมวขนาดเล็กและขนาดกลาง จากนั้นเมื่อวางขายจริงๆ ก็เก็บทุกฟีดแบ็กของลูกค้ามาพัฒนา อย่างตอนแรกเราทำเป็นไซส์ S และ M ก่อน แต่ก็พบว่ายังมีน้องหมาน้องแมวที่ความสูงอยู่กึ่งกลางระหว่างนั้น เลยพัฒนาไซส์ S+ ขึ้นมา 

“และภายหลังก็พัฒนารุ่น ONIGIRI สำหรับหมาไซส์ใหญ่ ที่ไม่ได้เข้าคู่กับชามเซรามิกแบบรุ่น OMAKASE แต่เป็นชามสเตนเลส เพราะน้องหมาไซส์ใหญ่แรงเยอะ ถ้าเขาเล่นหรือวิ่งชนมันอาจจะแตกได้” 

นอกจากจะตอบโจทย์น้องๆ ได้จริงแล้ว การที่ Petniture ทำชามยกสูงนี้ออกมาหลายไซส์จึงถือเป็นการสร้างความแตกต่างให้แบรนด์ และสะท้อนว่าเอกลักษณ์ของ Petniture คือความใส่ใจในรายละเอียด การเข้าใจพฤติกรรมสัตว์เลี้ยง และความต้องการของเจ้าของจริงๆ  

นอกจากชามยกสูงแล้ว สินค้าอีกชิ้นที่เป็นที่พูดถึงและยังไม่เคยมีใครวางขายในท้องตลาดคือ KAOI เก้าอี้เด็กสำหรับคุณหนูสี่ขา ที่เราเกริ่นไปและจะมาเฉลยฟังก์ชั่นกันที่ย่อหน้านี้

“เวลาเราทำงาน บราวนี่ก็จะชอบร้องและอยากขึ้นมาอยู่บนตักเราตลอดเวลา ซึ่งบางครั้งมันอันตรายมากเพราะเขาตัวเล็ก และก็อาจถูกเหยียบได้เลย”

ทั้งคู่จึงเริ่มจากทำกล่องนอนตั้งบนชั้นวางของอีกทีหนึ่ง และพบว่าบราวนี่สบายใจขึ้นเพราะได้อยู่ใกล้ชิดกับพ่อแม่ จากนั้นกวางและจั๊กจึงเริ่มพัฒนา KAOI อย่างจริงจัง ซึ่งมีทั้งรุ่นธรรมดา และรุ่นที่วางชามอาหารของน้องๆ ได้ ทั้งยังมีล้อเลื่อนที่เคลื่อนที่อย่างอิสระ แก้ pain point ของรถเข็นที่ต่อให้คุณภาพดีแค่ไหนแต่ก็ไม่สะดวกมากนัก เพราะรถเข็นไม่มีที่วางชามอาหาร พ่อแม่จึงยังต้องคอยป้อนเด็กๆ อยู่ดี

“เจ้าของหลายคนบอกว่าตอนแรกก็งงว่ามันคืออะไร ทำไมฉันต้องให้หมามานั่งตรงนี้ ทั้งที่ก็มีรถเข็นอยู่แล้ว แต่พอเขาได้ลองเอาหมาไปนั่งจริงๆ เขาพบว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องมี เพราะมันสะดวกขึ้นเยอะเลย ที่สำคัญ KAOI ยังฝึกพฤติกรรมเด็กๆ ได้ดี ซึ่งเป็นฟังก์ชั่นที่เราไม่คาดคิดเหมือนกัน 

“เด็กๆ หลายคนทานอาหารได้เองโดยไม่ต้องให้พ่อแม่ป้อน เพราะที่ผ่านมาเขาอยากให้เราป้อนเพราะเขานั่งอยู่ข้างล่างและต้องการความสนใจ พอเขาขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกัน เขาก็จะรู้ว่าพ่อแม่ทำอะไรอยู่บ้างเด็กๆ ยังรู้ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ได้นั่งบนเก้าอี้ตัวนี้ เขาจะได้กินข้าว หรือเมื่อไหร่ก็ตามที่เขากินเสร็จเขาถึงจะได้ลงจากเก้าอี้ มันตอบโจทย์ทั้งน้องหมาที่กินเก่งและกินน้อย” กวางเล่าถึงฟีดแบ็กจากการนำ KAOI ไปเป็นสปอนเซอร์ส่วนกลางของงาน Pet Expo ที่ทำให้ทั้งคู่ใจฟู

ความแตกต่างตรงนี้ไม่เพียงตอบโจทย์พ่อแม่ได้เท่านั้น แต่ในอนาคตกวางและจั๊กยังตั้งใจให้ KAOI ไปวางตามร้านอาหารหรือโรงแรมที่เป็น pet-friendly เพราะนอกจากจะเป็นการเพิ่มมูลค่าให้ผู้ประกอบการร้านค้าแล้ว ยังถือเป็นการจัดการพื้นที่ได้ดี สะดวกกับทางเจ้าของหมาแมวเอง และสะดวกกับพนักงานด้วย

 สะดวกใช้ สวยถูกใจมะนุด 

“ชื่อแบรนด์ของเรามาจากคำว่า pet lifestyle and human furniture” จั๊กเริ่มต้นเล่าหัวใจข้อที่สองของการออกแบบสินค้า ก่อนอธิบายต่อว่า

“โลโก้ของแบรนด์เป็นวงกลม 2 วงซ้อนกัน Petniture ก็คืออินเตอร์เซกตรงกลางของทั้ง 2 วงนั้น มันสะท้อนถึงความตั้งใจในการทำแบรนด์ของเราว่าอยากให้ใช้ได้จริงด้วย และวางในบ้านได้อย่างไม่เคอะเขินเหมือนเป็นเฟอร์นิเจอร์ตัวหนึ่ง”

เมื่อต้องการให้เป็นเฟอร์นิเจอร์ ดีไซน์ของสินค้าทุกชิ้นจึงต้องเรียบง่ายและอยู่ได้ทุกยุคทุกสมัย พูดให้เข้าใจ จั๊กบอกว่าคีย์เวิร์ดในการออกแบบคือ ‘classic never die’  

“ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา เราได้รับผลตอบรับดีมากๆ พ่อแม่บอกว่าเอาของเราไปวางตรงไหนของบ้านก็สวย ลูกเขาก็ใช้ชีวิตได้ดีขึ้น เพราะพอเราตีความออกมาว่าเดี๋ยวนี้คนเลี้ยงสัตว์เป็นลูก นอกจากเราจะเทียบฟังก์ชั่นของใช้สัตว์เลี้ยงกับของเด็กแล้ว เรายังจริงจังกับเรื่องดีไซน์” กวางอธิบาย

นอกจากความสวยงามที่สะท้อนผ่านรูปทรงและสีสันที่เรียบง่าย สินค้าทุกชิ้นจะต้องทนทานและสะดวกมะนุด เพราะกวางและจั๊กไม่ได้มองว่า Petniture คือของใช้สัตว์เลี้ยงแต่คือเฟอร์นิเจอร์ที่ต้องใช้งานได้ยาวนาน 

“pain point ของชามอาหารสัตว์เลี้ยงที่อยู่ในท้องตลาดคือมักจะไม่ทน เราเลยทำชามยกสูงออกมา 2 วัสดุ คือวัสดุไม้ที่เคลือบมาแล้ว และวัสดุพลาสต์วูดซึ่งเป็นวัสดุทดแทนที่กันน้ำได้มากกว่าเพราะเป็นเกรดเฟอร์นิเจอร์ครัว” กวางบอก

อีกสิ่งสำคัญ สินค้านั้นๆ ต้องอำนวยความสะดวกให้มะนุดได้ด้วย อย่างชามเซรามิกในรุ่น OMAKASE ก็คิดมาแล้วว่าจะต้องเข้าไมโครเวฟได้ เผื่อพ่อแม่ต้องการอุ่นอาหารให้ลูกๆ สินค้าต่างๆ ก็ยังต้องขนส่งได้สะดวกสบาย ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายของมะนุดพ่อมะนุดแม่ เช่น เจ้า KAOI ที่มาในรูปแบบ flat pack ซึ่งทั้งสองคนได้รับแรงบันดาลใจจาก IKEA

Price & Promotion
ราคาเหมาะสมและการสื่อสารถึงความตั้งใจ

ชามยกสูง OMAKASE ราคาเริ่มต้นที่ 800-1,300 บาท

ชามยกสูง ONIGIRI ราคาเริ่มต้นที่ 1,600-2,300 บาท

ส่วนเจ้า KOAI สินค้าใหม่ในวงการสัตว์เลี้ยง ขายในสนนราคา 12,000-15,000 บาท

“แบรนด์ของเราใส่ใจเรื่องของคุณภาพการออกแบบมาก กว่าจะออกแบบ กว่าจะทำม็อกอัพ กว่าจะทดลองใช้จริง ทำให้ราคาของเราอาจจะสูงกว่าท้องตลาด แต่ขณะเดียวกันเราก็มีกลุ่มลูกค้าที่เขาเข้าใจและเห็นถึงความแตกต่าง อยากให้ลูกเขาได้ใช้ของดี และอยากให้บ้านเขาสวยงาม

“หลายคนพอมาจับแล้วก็พูดเลยว่า ของเราไม่เหมือนที่ไหนเลย ไม้มันดีมาก อะไรแบบนี้ แต่ในความเป็นจริง ไม้เราอาจจะเหมือนคนอื่นก็ได้นะ เพียงแต่เราใส่ใจในทุกๆ ขั้นตอน โดยเฉพาะเวลาขัดไม้ เราจะขัดถึง 5-6 ขั้นตอน” จั๊กอธิบาย 

แม้กลุ่มลูกค้าของแบรนด์จะแข็งแรงก็จริง แต่ด้วยสัดส่วนในตลาดที่ยังน้อย ทั้งลูกค้ายังเลือกซื้อ Petniture ในฐานะของใช้สัตว์เลี้ยง ขณะที่จั๊กและกวางมองว่า Petniture เป็นแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ที่ใช้งานได้ยาวนานมากกว่า งานยากจึงคือการสื่อสารให้ลูกค้าเข้าใจถึงความแตกต่างของแบรนด์

“เราเน้นการทำคอนเทนต์ที่ทำให้ลูกค้ารับรู้ถึงเบื้องหลังการออกแบบ การทำสินค้าให้ได้คุณภาพ และการใช้งานที่ยาวนาน เพื่อให้ลูกค้าเห็นว่าราคาของเราสมเหตุสมผลและลูกค้าจับต้องได้ในคุณภาพที่แตกต่าง” กวางเสริม

แต่นอกจากคอนเทนต์สื่อสารความตั้งใจ หลายครั้ง Petniture ก็มีราคาโปรโมชั่นเมื่อวางขายตามงานสัตว์เลี้ยงต่างๆ เพื่อเชิญชวนให้ลูกค้าได้เปิดใจทดลองใช้สินค้าสัตว์เลี้ยงคุณภาพดี เพราะแม้กวางจะมองว่าการลดแลกแจกแถมไม่สำคัญสำหรับแบรนด์มากนัก แต่ก็มีผลในการขยายตลาดเช่นกัน 

“สิ่งสำคัญคือการพัฒนาคุณภาพมาตรฐานให้มีความแตกต่าง แปลกใหม่ และเหมาะสมกับราคามากที่สุด” กวางอธิบายถึงแนวคิดเบื้องหลัง

Place
พื้นที่ที่เหมาะสมกับ position ของแบรนด์

ปัจจุบัน Petniture วางขายในช่องทางออนไลน์เป็นหลัก และวางขายในช่องทางออฟไลน์ตามพรีเมียมเพ็ตช็อป เกร็ดน่ารักๆ ที่ทั้งคู่เล่าให้ฟังคือก่อนจะตกลงวางขายที่ไหน ทั้งจั๊กและกวางจะแอบไปส่องร้านนั้นๆ ก่อนว่าขายสินค้าแบบไหนบ้าง สินค้าที่มีเหมาะกับแบรนด์แค่ไหน และลูกค้าของร้านคือใคร 

“ที่ต้องดูละเอียดและเลือกพรีเมียมเพ็ตช็อป เพราะถ้าเราไปวางขายตามเพ็ตช็อปทั่วไปที่มีสินค้าหลากหลาย ตั้งแต่ราคาหลักสิบถึงหลักร้อย แต่ของเรามันหลักร้อยถึงหลักพัน แบรนด์ของเรามันอาจจะไม่เหมาะกับพื้นที่ตรงนั้น” กวางอธิบาย 

นอกจากเพ็ตช็อปต่างๆ แล้ว ทั้งคู่ยังพา Petniture ไปออกงานเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง เช่น ตลาดสัตว์เลี้ยงตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ อย่างเซ็นทรัลอีสต์วิลล์ที่เป็นห้าง pet-friendly หรือเอ็มควอเทียร์ที่มีกลุ่มลูกค้าตรงกับแบรนด์ หรือจะเป็นงาน Pet Expo ที่จั๊กเอ่ยว่าเป็นงานที่ให้บทเรียนกับการทำแบรนด์หลายข้อ โดยเฉพาะการจัดบูทที่ต้องสวยงามน่าทำความรู้จัก

“เราบอกกับน้องที่ทำการตลาดว่าทุกๆ เรื่องเราต้องดึงดูดลูกค้าเหมือนการจีบคนคนหนึ่ง ก่อนที่เราจะคบหาหรือคุยกับใคร ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรามองจากรูปลักษณ์ภายนอกก่อน ดังนั้นเราต้องจัดบูทให้สวย น่าเดินเข้า มันเหมือนเป็น first impression ที่จะทำให้ลูกค้าอยากรู้จักเรา

“พอเขาสนใจ เราถึงจะแนะนำต่อได้ว่าเป็นแบรนด์เฟอร์นิเจอร์สัตว์เลี้ยง สินค้าเรามีอะไรบ้าง ฟังก์ชั่นของมันคืออะไร เราต่างจากคนอื่นยังไง ตรงนี้มันเป็นสเตปการจีบแล้ว สุดท้ายถ้าจีบติดลูกค้าก็ยินดีจะซื้อ”

ทุกครั้งที่มีงานเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง กวางและจั๊กยังลงสนามด้วยตนเอง เพื่อทำความรู้จักลูกค้า รับฟีดแบ็ก รวมถึงเติมไฟในการพัฒนาสินค้าใหม่ๆ เพราะเทรนด์สัตว์เลี้ยงที่กำลังมาแรงนี้ก็เปลี่ยนแปลงไวเช่นกัน

Professional
ความมืออาชีพที่สำคัญกับการสร้างความไว้วางใจ

“เราเน้นความเป็นมืออาชีพ” จั๊กตอบทันทีเมื่อเราถามถึง P ที่ 5 ที่ทั้งคู่คิดว่าสำคัญ  

“ความเป็นมืออาชีพหรือ professional คือเราต้องทำยังไงก็ได้ให้ลูกค้าเชื่อในแบรนด์ของเรา ตั้งแต่ขั้นตอนการศึกษาพฤติกรรมของน้องๆ แต่ละสายพันธุ์ ไปจนถึงการออกแบบ การทดลองใช้ เพราะเราจะไม่ปล่อยสินค้าที่ยังไม่ผ่านการทดลองออกขายเด็ดขาด เราคิดว่ามันคือความรับผิดชอบและความมืออาชีพที่เราต้องมี”

แม้ปัจจุบัน Petniture จะยังไม่ได้กลายเป็นธุรกิจหลักได้ แต่จั๊กและกวางก็ภูมิใจกับการสร้างแบรนด์นี้ขึ้นมา ทั้งที่วันแรกที่ผลิตคนรอบข้างไม่เข้าใจ

“ถามว่าขายดีมากๆ ถึงขนาดเป็นธุรกิจหลักได้ไหม เราเพิ่งเริ่มได้หนึ่งปีมันเลยอาจจะยังเป็นธุรกิจที่ตอบสนองความชอบของเรามากกว่า แต่มันเป็นธุรกิจที่ทำให้เราแฮปปี้ เพราะทุกครั้งที่เราไปออกร้าน ได้เจอน้องหมาน้องแมว ได้เห็นว่าเขาใช้แล้วมันดียังไง หรือลูกค้าแฮปปี้แค่ไหน เราก็มีความสุขตาม” จั๊กบอก

“เราเริ่มต้นจากชามยกสูง เราไม่ได้คิดว่าเราจะขยายมาได้ขนาดนี้ ไม่ได้คิดว่ามันจะมีทางไปด้วยซ้ำ แต่พอได้ไปอยู่ในคอมมิวนิตี้สัตว์เลี้ยง เข้าไปคลุกคลีกับน้องๆ หลายประเภทมากขึ้น ทำให้เราอยากพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ที่จะยกระดับชีวิตสัตว์เลี้ยง และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ที่เลี้ยงสัตว์เป็นลูก” กวางเสริม

ในอนาคต กวางและจั๊กยังตั้งใจพา Petniture ไปสร้างความสุขให้ลูกๆ สี่ขาของมะนุดทั่วโลก การสร้างแบรนด์ให้แข็งแรง ขนส่งสะดวกจึงเป็นพื้นฐานสำคัญที่ทั้งคู่หวังว่าภาพฝันนั้นจะกลายเป็นจริง

แกะ ‘ทฤษฎีมินิสเกิร์ต’ เล่าเรื่องยากให้เข้าใจง่าย โดย ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน จากเวที iCreator Conference 2023

เพิ่งจบไปหมาดๆ สำหรับงาน iCreator Conference 2023 Presented by SUPALAI ภายในงานคับคั่งไปด้วยเหล่าครีเอเตอร์ชั้นนำระดับประเทศ และผู้เข้าร่วมงานกว่า 3,000 คน ถือเป็นการรวมตัวของครีเอเตอร์ครั้งใหญ่ที่พร้อมเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการผลักดันอาชีพครีเอเตอร์ไทยให้ก้าวสู่ระดับโลก

โดยหนึ่งในเซสชั่นที่ได้รับความสนใจอย่างมากคือเซสชั่นของ ‘เฮียวิทย์’ หรือ ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน ผู้ดำเนินรายการ ‘8 Minute History’ ที่หยิบเรื่องราวประวัติศาสตร์มาเล่าได้อย่างสนุกน่าติดตาม งานนี้ ดร.วิทย์ขึ้นเวทีมาแชร์เทคนิคการเล่าเรื่องยากให้เข้าใจง่ายภายใน 8 นาที

โดย ดร.วิทย์เริ่มด้วยการย้อนเล่าว่า ช่วงแรกที่ทำรายการก็ตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำไมคนถึงไม่สนใจเรื่องประวัติศาสตร์ ซึ่งในอดีตการจะเล่าประวัติศาสตร์ผ่านสื่อใหญ่อย่างโทรทัศน์คงทำได้ยาก เพราะมีต้นทุนสูง แต่เมื่อมาถึงยุคของอินเทอร์เน็ตซึ่งเป็นยุคทองของการสื่อสาร ก็เปิดโอกาสให้เราทำคอนเทนต์ได้ง่ายขึ้น

คำถามคือทำยังไงให้น่าสนใจและดึงดูดคนจำนวนมากได้

‘ทฤษฎีมินิสเกิร์ต’

ในคลิปแรกๆ ที่ทำยังเป็นช่วงทดลอง ดร.วิทย์เล่าว่าตนเองทำคลิป 20 นาที เมื่อได้รับฟีดแบ็กจากทีมงานจึงพบว่า มีความน่าสนใจแค่ 10 นาทีแรกเท่านั้น เพราะข้อมูลเยอะเกินไป ผู้ฟังย่อยไม่ทัน ทีมงานจึงลงความเห็นกันว่าควรตัดให้เหลือ 8 นาทีเพราะผู้ฟังยุคนี้ใจร้อน รายการจึงต้องปรับเปลี่ยนไปตามพฤติกรรมผู้ฟัง แม้จะเป็นเรื่องประวัติศาสตร์ที่หลายคนมองว่าน่าเบื่อ แต่ถ้าเวลาในการเล่าเหมาะสมมีการเรียบเรียงที่ดีก็สร้างความสนุกได้เหมือนกัน

และนั่นกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ เมื่อเวลาถูกกำหนดให้อยู่ใน 8 นาที เนื้อหาจึงจำเป็นต้องกระชับ ก่อเกิดให้เป็น ‘ทฤษฎีมินิสเกิร์ต’ หรือ ‘กระโปรงตัวจิ๋วที่ขนาดพอดีตัว’ ไม่ปกปิดหรือเปิดเผยเกินไป เป็นชุดที่มีความกะทัดรัด เหมือนกับการเล่าเรื่อง ที่ควรยาวพอที่จะเล่าครอบคลุมในเรื่องราวนั้นๆ และสั้นพอที่เรื่องราวจะยังน่าสนใจ เรียกได้ว่าเป็น 8 นาทีที่ให้ความสำคัญกับแก่นของเรื่องอย่างแท้จริง

ปัญหาต่อมาที่พบคือ เมื่อเรื่องสั้นเกินไป ผู้ฟังอาจฟังไม่รู้เรื่องและไม่สามารถลงลึกไปในรายละเอียดของเรื่องนั้นๆ ได้ เทคนิคของ ดร.วิทย์คือ เลือกที่จะให้ข้อมูลเฉพาะหัวข้อสำคัญ มีการลำดับเหตุการณ์ที่ดี เพื่อให้คนเข้าใจไทม์ไลน์ที่เกิดขึ้น เพราะหากผู้ฟังสนใจ พวกเขาจะหาข้อมูลเพิ่มเติมด้วยตัวเอง

‘สิ่งใดที่มีคำถาม สิ่งนั้นย่อมทำให้เกิดการเรียนรู้’

สำหรับช่วงแรก ถ้าไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง ดร.วิทย์แนะนำให้ตั้งคำถามก่อน เช่น การเล่าเรื่องสงครามอ่าวเปอร์เซียที่เกิดขึ้นในปี 1990 โดยเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีแฟนรายการแนะนำมา จริงๆ แล้วเรื่องนี้ถือว่ายังเป็นเรื่องใหม่ที่หลายคนมองว่ายังไม่มีข้อมูลมากพอที่จะเรียงร้อยเป็นประวัติศาสตร์ได้ แต่เมื่อลองตั้งคำถามกับประเด็นนี้ก็พบว่าสามารถนำมาเล่าได้ เช่น อ่าวเปอร์เซียอยู่ที่ประเทศใด คู่สงครามคือใคร ปมขัดแย้งคืออะไร เป็นต้น ซึ่งเมื่อได้คำถามแล้ว การเล่าเรื่องก็ทำได้ไม่ยาก

สำหรับหลักในการตั้งคำถามให้เริ่มจากคำถามง่ายๆ หรือคำถามที่คิดว่าผู้ฟังควรรู้ เพราะในการทำคอนเทนต์ ถ้ากำหนดเป้าหมายไว้ชัด เช่น ต้องการให้ความรู้ ความเข้าใจ การตั้งคำถามที่ดีจะนำไปสู่การถ่ายทอดเรื่องราวที่พาผู้ฟังลงลึกไปในระดับที่สร้างความเข้าใจได้จริง และถ้าต้องการศึกษามากขึ้น พวกเขาจะลงมือสืบค้นด้วยตัวเองต่อไป

หาจุดเชื่อมโยงของเนื้อหา

อีกหนึ่งเทคนิคในการเล่าเรื่องยากให้กลายเป็นเรื่องง่ายคือ หาจุดเชื่อมโยงระหว่างคนดูและเนื้อหา ไม่ว่าจะเป็นการเล่าเรื่องประวัติศาสตร์โดยอิงกับภาพยนตร์ เพลง ละคร ฯลฯ เพื่อให้เกิดการหลอมรวมเป็นเรื่องเดียวกัน และเมื่อฟังจบผู้ฟังเข้าใจและจดจำเรื่องราวได้ดีขึ้น สามารถนำเทคนิคนี้ไปปรับใช้กับการเรียนได้ด้วย

เช่น การเล่าเรื่องสงครามครูเสด ความยากคือ ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน และรายละเอียดเป็นยังไง สิ่งที่ ดร.วิทย์ทำคือ ลำดับและเรียบเรียงเนื้อหาให้ผู้ฟังเข้าใจ อาจไม่ใช่การเรียงลำดับแบบ 1 2 3 4 แต่อาจเล่าถึงไคลแมกซ์ก่อน และค่อยๆ ลงรายละเอียดก็ได้ พร้อมเชื่อมโยงกับผู้ฟังด้วยภาพยนตร์เรื่อง Kingdom of Heaven ยิ่งทำให้ผู้ฟังเห็นภาพและเข้าใจได้มากขึ้น

ดร.วิทย์ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า อย่าทิ้งคนดู อย่ารู้ทุกอย่าง ต้องสวมหมวกเป็นนักเรียนบ้าง เพราะ ง งู มาก่อน ฉ ฉิ่ง การโง่ก่อนฉลาดจึงไม่ใช่เรื่องแปลก คนทำคอนเทนต์ก็เช่นกัน อย่าหยุดที่จะเรียนรู้และพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา