แล้วสุดท้ายจากที่เคยเกือบล้มละลาย เลโก้พลิกเกมให้บริษัทกลับมามีอายุที่ยืดยาวจนถึงปี 2023 ได้ยังไง อะไรคือกลยุทธ์ที่เลโก้ทำเพื่อพลิกสถานะบริษัทจากเกือบล้มละลายให้กลายเป็นบริษัทมูลค่า 6,000 ล้านดอลลาร์ Capital List ตอนนี้จะสรุป 6 กลยุทธ์ที่เลโก้ใช้ประกอบร่างธุรกิจขึ้นใหม่จนสามารถผงาดขึ้นเป็นบริษัทของเล่นยักษ์ใหญ่ของโลกในปัจจุบัน
1. กลับมาโฟกัสที่ผลิตภัณฑ์ตัวต่อ
หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เลโก้เคยเข้าสู่ขาลง คือการที่กระแสความบันเทิงเปลี่ยนทิศไป อินเทอร์เน็ตเริ่มกลายเป็นสิ่งที่ทุกคนพูดถึง เกมคอนโซลต่างๆ ทั้งจากฝั่ง PlayStation และ Nintendo ได้รับความนิยมมากขึ้น ซึ่งเป็นเหตุทำให้ยอดขายตัวต่อลดลง
กลยุทธ์หนึ่งที่ทำแล้วบริษัทก้าวขึ้นมาอยู่แถวหน้าในการสร้างรายได้อีกครั้งก็คือ การเข้าซื้อลิขสิทธิ์คาแร็กเตอร์จากการ์ตูนและภาพยนตร์ต่างๆ อาทิ Star Wars, Marvel, Harry Potter, Mari, Jurassic Park และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งการเข้าซื้อลิขสิทธิ์คาแร็กเตอร์ หรือ intellectual property (IP) นั้นก็นับว่าเปลี่ยนสถานการณ์ทางธุรกิจของเลโก้ไปอย่างมาก โดยเฉพาะหลังจากที่เข้าซื้อลิขสิทธิ์คาแร็กเตอร์ Star Wars ในปีนั้นทางแบรนด์ก็ออกตัวต่อคอลเลคชั่น Star Wars แบบเดือนเว้นเดือนและขายดิบขายดี นอกจากนั้นการเข้าซื้อ IP ยังทำให้ฐานลูกค้าของแบรนด์ขยายเพิ่มขึ้น เพราะมันได้ดึงทั้งแฟนๆ Star Wars, Marvel, Harry Potter ฯลฯ ให้มาเป็นลูกค้าของเลโก้ด้วย
3. สร้างการมีส่วนร่วมกับแฟนคลับ
อีกโปรเจกต์หนึ่งที่ทำแล้วรุ่งก็คือการสร้างการมีร่วมกับแฟนคลับ เช่นโปรเจกต์ Lego Ideas ที่เป็นให้แฟนคลับนำผลงานที่ออกแบบมาแสดง ผลงานไหนได้รับผลโหวตจะถูกสร้างเป็นเซตขายจริง ๆ (ล่าสุดที่ได้รับการพูดถึงล้นหลามก็คือเซต The Starry Night ที่เป็นภาพวาดของแวน โกะห์ ที่ออกแบบโดย Truman Cheng หนุ่มวัย 25 ปี จากฮ่องกง) นอกจากนั้นในปีเดือนพฤจิกายน 2023 นี้ที่ครบรอบ 15 ปีของ Lego Ideas LEGO ก็เฉลิมฉลองการครบรอบ 15 ปีด้วยการให้เหล่าแฟนๆ ได้ร่วมออกแบบ 15 Years of LEGO Ideas! มาชิงรางวัลร่วมกันอีกด้วย ซึ่งวิธีสร้างการมีส่วนร่วมกับแฟนคลับได้ช่วยกระชับความสัมพันธ์ของแบรนด์และแฟนๆ ตลอดจนสร้างฐานลูกค้าที่เหนียวแน่นกับกับแบรนด์อีกด้วย
เช่น แบรนด์เฟอร์นิเจอร์สัญชาติเดนมาร์กอย่าง Hay ในรุ่น PC Table Lamp โคมไฟรูปทรงเห็ดที่ตั้งอยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์ของร้าน, Louis Poulsen ในรุ่น Pendant กับ Fritz Hansen ในรุ่น Concert Pendant โคมไฟไลน์คลาสสิกชั้นเลเยอร์ที่ต่างก็ห้อยอย่างสง่าอยู่ตรงแต่ละโซนโต๊ะที่นั่ง หรือจะเป็นโคมไฟของแบรนด์สัญชาติสหรัฐอเมริกาอย่าง Herman Miller ในรุ่น Nelson Ball Bubble Pendant โคมไฟรูปทรงคล้ายลูกบอลเองก็ยังมี ซึ่งด้วยสไตล์การตกแต่งที่เด่นชัดเช่นนี้ก็ยังสามารถบ่งบอกถึงความชอบร่วมกันของทั้งสองพาร์ตเนอร์อย่าง โอ๊ต–ณรงค์ฤทธิ์ ศรีตลานนท์ และโอ๊ตซึ–เฉลิมพล อัครภิญโญกุล ได้ตั้งแต่เราเยื้องก้าวเข้าไปในร้าน
และนี่คือคาเฟ่แฮนด์คราฟต์โดนัทที่มีชื่อว่า ‘DROP BY DOUGH’
ย้อนกลับไปเมื่อ 4 ปีที่แล้ว DROP BY DOUGH เกิดจากความตั้งใจของสองพาร์ตเนอร์อย่างโอ๊ตและโอ๊ตซึ เจ้าของเพจท่องเที่ยว OATSxSomewhere ที่คิดอยากจะมีธุรกิจส่วนตัวเป็นหลักเป็นแหล่งร่วมกัน แต่หากจะเป็นแค่ธุรกิจร้านกาแฟทั่วไปก็คงจะไม่ได้ต่างอะไรกับคาเฟ่ที่ตั้งอยู่ทั่วทุกมุมถนนของกรุงเทพมหานคร ซึ่งด้วยประสบการณ์การเดินทางในหลากหลายประเทศของทั้งคู่ โอ๊ตและโอ๊ตซึจึงตัดสินใจนำสิ่งที่ตนเองต่างก็ประทับใจในแต่ละทริปมาสร้างเป็นธุรกิจคราฟต์โดนัทบูทีกเจ้าแรกในประเทศไทยขึ้นมา
“เมื่อเปิด camera roll ในมือถือของเราขึ้นมาเราก็จะเจอว่าโดนัทคือขนมที่เราแวะไปกินตามเมืองต่างๆ กันอยู่บ่อยๆ ซึ่งมันก็อาจจะเป็นเพราะรูปร่างของโดนัทเองที่ก็น่ารักอยู่แล้ว อย่างรูปทรงกลมที่มีรูตรงกลาง ชวนให้เราได้หยิบจับ ดูแล้วค่อนข้างเฟรนด์ลี่ดี ประจวบกับว่าเราก็เคยไปชิมโดนัทของประเทศนึงที่ก็เป็นเหมือนโดนัทธรรมดานี่แหละ เพียงแต่ว่าโดนัทของเขาดันมีไส้อยู่ข้างในด้วย และนี่คือส่ิงที่จุดประกายไอเดียให้เราสองคน เพราะในวันนั้นประเทศไทยก็ยังไม่มีโดนัทที่เป็นแบบบูทีก จะมีก็แต่แบรนด์ต่างประเทศซึ่งเป็นธุรกิจแบบเชนทั้งหมด เราทั้งคู่เลยมองเห็นโอกาสทางธุรกิจจากตรงนี้ และคิดว่าถ้าเราเอามาทำเองเราก็น่าจะครีเอตคอมบิเนชั่นของรสชาติที่หลากหลายได้ในอนาคตด้วย” โอ๊ตเล่าจุดเริ่มต้นของ DROP BY DOUGH ให้เราฟัง
เมื่อโอ๊ตและโอ๊ตซึตัดสินใจได้แล้วว่าพวกเขาจะร่วมเปิดธุรกิจคาเฟ่โดนัทกัน ชื่อ DROP BY DOUGH จึงมีที่มาจากคอนเซปต์ของร้านอย่างการอยากเป็นสเปซที่ให้ผู้คนได้แวะเข้ามาพักผ่อน ดื่มกาแฟและกินโดนัทกันได้ที่นี่ โดยทั้งคู่เลือกใช้คำว่า ‘drop by’ ในภาษาอังกฤษ เพื่อสื่อถึงความหมายของคำว่า ‘แวะ’ เช่นเดียวกับคำว่า ‘dough’ ที่ก็หมายถึงแป้งโดว์หรือจุดเริ่มต้นของทั้งตัวธุรกิจเองและขั้นตอนการทำโดนัทในแต่ละชิ้นอีกด้วย
และคอลัมน์ Business Partner ที่ว่าด้วยวิธีการบริหารความสัมพันธ์ไปพร้อมกันกับการทำธุรกิจตอนนี้ จึงอยากชวนทั้งสองคุยถึงวิธีการดูแลธุรกิจแฮนด์คราฟต์โดนัท DROP BY DOUGH ให้ยังคงอยู่ในกระแสและดูแลความสัมพันธ์ได้อย่างยั่งยืน
พวกคุณเริ่มรู้จักกันได้ยังไง
โอ๊ต : พวกเราเป็นเพื่อนร่วมงานกันที่ PAÑPURI ตอนนั้นโอ๊ตซึเขาก็จะทำงานอยู่ในฝ่าย digital marketing ส่วนตัวเราเอง จะทำงานในฝ่ายของ product development โดยทั้งสองทีมนี้ทางบริษัทเขาก็เรียกกันว่าเป็น creative team
ในย่านนั้นก็จะมีกลุ่มเด็กเดินเยอะ กลุ่มวัยรุ่น นักท่องเที่ยวมาคอยถ่ายรูปและฮอปปิ้งคาเฟ่กันเยอะ ตรงนี้เราก็เริ่มเห็นกลุ่มลูกค้าของเราที่ชัดเจนมากขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราเซอร์ไพรส์กันมากๆ ระหว่างการทำ DROP BY DOUGH คือการที่เราเลือกตั้งร้านอยู่นอกตัวเมืองออกมาหน่อยอย่างสาขาอุดมสุข ย่านที่เป็น residental area จุดที่ทำให้เราได้เรียนรู้ว่าการทำธุรกิจในย่านที่อยู่อาศัยเนี่ยมันเวิร์กมากๆ เหมือนกันนะ แถมมันก็ยังทำให้ธุรกิจของเราในวันที่เจอกับโรคระบาดโควิด-19 ไปด้วยดีอีกด้วย เพราะในวันที่ทุกคนอยู่บ้าน เทรนด์ work from home มันกำลังมา หลายๆ คนก็อาจจะอยากสั่งร้านขนมใกล้บ้านมากขึ้น
ส่วนการทำงานอีกเรื่องนึงที่เราว่าสำคัญคือเราก็ต้องฝึกที่จะตัด หมายถึงการ shut down work ในวันที่เราพักผ่อนอยู่บ้านบ้าง เพราะฉะนั้นถ้าเมื่อไหร่ที่เรากลับบ้านเราก็จะไม่ทำงานกันแล้ว แต่ก็อาจจะมีแค่มอนิเตอร์กันบ้างครับ
โอ๊ต :อีกสิ่งหนึ่งที่เราให้ความสำคัญที่สุดตั้งแต่ day 1 เลยคือการตระหนักรู้อยู่ตลอดเวลาว่าเราขายอะไร และโฟกัสของเราอยู่ตรงไหน โอเค ที่ลูกค้ามาถึงร้านเราปุ๊บ แล้วรู้สึกว่าร้านเรามันถูกตกแต่งให้สวยงาม แต่มากไปกว่านั้นคือ เราสองคนใส่ใจในคุณภาพของโดนัทและรสชาติของโดนัทมากจริงๆคือตั้งแต่ day 1 ที่เปิด ทุกคอมเเมนต์ที่ได้รับมา พวกเราอยากจะบอกว่าเรานำกลับมาเวิร์กกันหนักมาก เราพยายามแก้ให้วันต่อไปของเรามันดีขึ้นจริงๆ อย่างที่โอ๊ตซึว่า การใส่ใจคุณภาพของโปรดักต์และการคิดค้นโปรดักต์ใหม่ๆ ออกมาก็เป็นอีกจุดนึงที่จะทำให้ลูกค้าจดจำเราในฐานะคาเฟ่ที่ขายโดนัทจริงๆ และด้วยความที่ DROP BY DOUGH มันเป็นตัวตนของเราและโอ๊ตซึมากๆ ดังนั้นเราก็จะไม่หยุดที่จะพัฒนาตัวแบรนด์ของเรา เพราะเราก็ทำให้คนเชื่อจริงๆ ว่าตัวตนเรากับ DROP BY DOUGH นั้นมันลิงก์กัน อยากให้คนเจอเราสองคนแล้วนึกถึงภาพโดนัทอยู่ตลอด เราอยากเวิร์กไปกับธุรกิจของเรา อยากให้ชีวิตของเราไปกับมัน นี่แหละคือการบริหารธุรกิจ DROP BY DOUH ให้ยั่งยืนในแบบฉบับพวกเรา
นอกจากนี้ยังมีการร่วมมือกับธนาคารกรุงไทย เพื่อเพิ่มการบริการในส่วนของร้านธงฟ้า ร้านถุงเงิน ร้านโชห่วย และห้างสรรพสินค้าชั้นนำมากมายผ่านโปรแกรม Point Platform กว่า 30,000 แห่งทั่วประเทศ
ในส่วนของเทคโนโลยีการสื่อสาร AIS ได้ร่วมมือกับ Microsoft เพื่อให้บริการ Microsoft Teams Phone เป็นครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อให้ผู้ใช้งานติดต่อสื่อสารกันได้สะดวกขึ้น สามารถโทรออกและรับสายผ่านโปรแกรมได้
ถ้าพูดถึง Soho House มิตรรักแฟนคลับหลายคนอาจจะคุ้นเคยว่าเป็นชื่อของ private members club ที่นิค โจนส์ (Nick Jones) นักธุรกิจร้านอาหารและคลับชาวอังกฤษ ก่อตั้งขึ้นในย่านสุดฮิปอย่างโซโห ในลอนดอน โดยเริ่มต้นจากคลับเล็กๆ ชั้นบนของ Café Boheme ในปี 1995 ก่อนที่จะขยับขยายมาเป็นคลับสุดเอกซ์คลูซีฟที่มีสาขาไปทั่วโลก
เอกลักษณ์ของ Soho House คือการเป็นพื้นที่ที่คัดสรรสมาชิกจากกลุ่มคนในวงการสร้างสรรค์ในสาขาต่างๆ อย่างวงการศิลปะ วงการดีไซน์ วงการแฟชั่น และแวดวงสื่อต่างๆ ฯลฯ ราวกับจะเป็นการสร้างระบบนิเวศเล็กๆ ของวงการสร้างสรรค์ขึ้นมา จุดเด่นอีกประการของ Soho House นอกจากการเป็นคลับสุดเอกซ์คลูซีฟที่พรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและอาหารเครื่องดื่มเลิศรสแล้ว Soho House ทุกสาขายังมีผลงานศิลปะของศิลปินร่วมสมัยชั้นนำเป็นส่วนหนึ่งของสภาพแวดล้อมภายในคลับอีกด้วย
เมื่อต้นปี 2023 ที่ผ่านมา Soho House ได้มาเปิดบ้านสาขาใหม่เป็นแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่กรุงเทพฯ ภายใต้ชื่อ Soho House Bangkok ที่นอกจากจะถอดแบบการตกแต่ง สิ่งอำนวยความสะดวก และการบริการเปี่ยมคุณภาพ ที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลกแล้ว ภายในคลับสาขานี้ยังมีผลงานศิลปะของศิลปินร่วมสมัยชั้นนำของเมืองไทยกว่า 30 คน อยู่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสภาพแวดล้อมภายใน Soho House Bangkok แห่งนี้อีกด้วย
ในครานี้เรามีโอกาสได้สนทนากับ ลินน์ วิสุทธารมณ์ Head of Membership and Communication ของ Soho House Bangkok ผู้จะมาเปิดเผยถึงตัวตนและแนวคิดเบื้องลึกเบื้องหลังคลับเฮาส์สุดเอกซ์คลูซีฟแห่งนี้ให้เราได้รับรู้กัน
หลายคนอาจมองภาพของ Soho House ต่างกันไป แล้วจริงๆ นิยามความเป็น Soho House Bangkok เป็นยังไง
เราคิดว่า Soho House Bangkok มาเมืองไทยก็เป็นคอนเซปต์ใหม่เกี่ยวกับ private members club, social club แน่นอนว่าตอนนี้ในบ้านเราก็เริ่มมี social space ที่จัดกิจกรรมค่อนข้างเยอะทั่วกรุงเทพฯ แต่บ้านของเราเป็นอะไรที่ค่อนข้างจะเอกซ์คลูซีฟแต่แน่นอนนี่คือสิ่งที่ท้าทาย เพราะว่าคนไทยยังมีความคิดว่าความเอกซ์คลูซีฟนั้นเป็นอะไรที่…
เราเป็นพื้นที่สำหรับการสร้างบทสนทนา และรวบรวมนักคิดและคนทำงานสร้างสรรค์ มี inspiring talk มี artist talk ที่สมาชิกเข้าร่วมได้ฟรี บางครั้งก็อาจจะมีจ่ายเพิ่มนิดหน่อย อย่างเช่นเราทำดินเนอร์พิเศษ One Night only ร่วมกับร้านอาหาร ‘สำรับสำหรับไทย’ โดยทำคอนเซปต์ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากหนังสือของคุณ’รงค์ วงษ์สวรรค์ ซึ่งคนภายนอกจะจองผ่านร้านสำรับสำหรับไทยได้ แต่สมาชิกจะได้ราคาพิเศษ
วรสิทธิ์ขยายความว่าดาต้าเหล่านี้ไม่ได้เป็นสิ่งที่มากำหนดทิศทางการตลาดทั้งหมดแต่เป็นหนึ่งในตัวช่วยที่ทำให้ได้อินไซต์สำหรับนำไปวิเคราะห์ “ข้อมูลเหล่านี้เป็นเหมือน second thought หรือคุณหมอคนที่ 2 ที่ใช้ในการช่วยวางทิศทางของแบรนด์ได้ต่อไป”
ไม่ว่าจะเป็นการเลือกอินฟลูเอนเซอร์เพื่อมาเป็นพรีเซนเตอร์ของแบรนด์หรือนำเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่าง data-driven และ AI มาใช้ในการตลาด NEIGHBORS จะไม่เคยเลือกจากแค่ว่าอะไรฮิตติดกระแสในตอนนั้นเพราะไม่ได้อยากแค่สร้างการตระหนักรู้ แต่อยากเลือกสิ่งที่เหมาะกับตัวตนของแบรนด์จริงๆ เพื่อให้สามารถสร้างคุณค่าของแบรนด์ไปจนถึงสร้างยอดขายได้จริง
กระบวนการทำงานแบบนี้เป็นผลดีอย่างยิ่งเมื่อเน้นกลุ่มลูกค้า high involvement product เพราะการหาอินไซต์จากลูกค้ากลุ่มนี้ เป็นงานละเอียดที่ต้องวิเคราะห์ลงลึกใน human value ซึ่งลูกค้าแต่ละกลุ่มก็มีความสนใจ พฤติกรรม และความต้องการแตกต่างกันออกไป จึงเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถนำ AI มาจับวางแล้วได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นอินไซต์สำเร็จรูปได้