ปลายปี ฟีดแบ็กทีมยังไงไม่ให้เจ็บช้ำ บทเรียนโดย ต้อง กวีวุฒิ แห่งเพจ 8 บรรทัดครึ่ง จากเวที CIS 2013

ช่วงปลายปีเวียนมาอีกครั้งพร้อมเทศกาลประเมินการทำงาน

ไม่ว่าจะเป็นองค์กรใหญ่หรือเล็ก สิ่งหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยคือ การฟีดแบ็กเพื่อให้ผลงานออกมาดีที่สุด แต่ในขณะเดียวกันการฟีดแบ็กก็เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่หากไม่มีวาทศิลป์ที่ดีก็อาจกระทบความรู้สึกกันได้ง่ายๆ

การให้ฟีดแบ็กเป็นวิธีการที่หัวหน้ามักจะใช้ในการกระตุ้นทีม เพื่อให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และเพิ่มศักยภาพการทำงานของตัวเองให้ดีมากยิ่งขึ้น แต่เรื่องการให้ฟีดแบ็กอาจไม่ใช่สิ่งที่เราคุ้นเคยกันเท่าไหร่  เพราะหากให้ฟีดแบ็กอย่างตรงไปตรงมาอาจทำให้เกิดความขัดแย้งและความไม่เข้าใจกันระหว่างหัวหน้าและลูกน้องได้ แต่ทราบไหมว่า จริงๆ แล้วฟีดแบ็กเป็นเครื่องมือการบริหารจัดการที่ไม่มีค่าใช้จ่าย และทรงพลังมากพอที่จะทำให้ทีมมีความแข็งแกร่ง

ดังนั้นการให้ฟีดแบ็กจึงไม่ใช่แค่การพูดหรือคอมเมนต์อย่างเดียว แต่เป็นทักษะการสื่อสารที่ผู้พูดต้องเตรียมตัวมาอย่างดี เพื่อให้ฟีดแบ็กเกิดประโยชน์ต่อผู้ฟังมากที่สุด

จากงาน Corporate Innovation Summit 2023 ที่จัดโดย RISE มีเซสชั่นที่ว่าด้วยเรื่องการให้ฟีดแบ็ก โดย ต้อง–กวีวุฒิ เต็มภูวภัทร CEO Purple Ventures (Robinhood) และเจ้าของเพจ 8 บรรทัดครึ่ง ที่มาแชร์เคล็ดลับการให้ฟีดแบ็กสำหรับคนทำงาน ที่ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น 

ในมุมมองของกวีวุฒิ การให้ฟีดแบ็กคือการพูดความจริง สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม และการแสดงความรู้สึก เพื่อช่วยลดการต่อต้านของทีม ซึ่งการให้ฟีดแบ็กเป็นทักษะที่ผู้บริหารควรมี ไม่ว่าจะเป็นการให้ฟีดแบ็กแบบตัวต่อตัวหรือแบบเป็นกลุ่ม 

The Hamburger Feedback

ส่วนใหญ่แล้วการให้ฟีดแบ็กจะมี 2 ด้านคือ positive feedback  ที่เป็นการกล่าวชื่นชมลูกน้องทั้งแบบส่วนตัวหรือต่อหน้าคนอื่นๆ ซึ่งถือเป็นแรงกระตุ้นชั้นดี และ negative feedback  หัวหน้าจะต้องกล้าบอกข้อผิดพลาดของลูกน้อง โดยไม่กล่าวโทษแต่เป็นการชี้แจงในประเด็นนั้นๆ พร้อมให้คำแนะนำ หรือวิธีแก้ไขต่อไป 

เพื่อรักษาความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้าและลูกน้อง ที่ไม่ว่าจะสนิทกันแค่ไหน เวลาได้รับคอมเมนต์ที่เกี่ยวกับงาน ทั้งผู้ฟังและผู้พูดอาจลำบากใจทั้งคู่ ลองใช้วิธี Hamburger Feedback ทำให้ผู้พูดสบายใจ และผู้ฟังจะไม่เสียใจแน่นอน

เริ่มจากแฮมเบอร์เกอร์ชั้นแรก ผู้พูดต้องเริ่มจากการกล่าวชื่นชม หรือพูดถึงข้อดีของผู้ฟังอย่างจริงใจ ชั้นที่ 2 เป็นชั้นที่ให้ฟีดแบ็กโดยตรง บอกจุดที่ควรปรับปรุง พร้อมให้คำแนะนำเพื่อให้ลูกน้องพัฒนาศักยภาพตัวเองให้ดีขึ้น และสุดท้ายคือการให้กำลังใจ กล่าวถึงผลลัพธ์ในเชิงบวก ว่าหากพวกเขาปรับปรุงตัวแล้วงานจะดีขึ้นยังไง

ฟีดแบ็กที่พฤติกรรม ไม่ใช่ตัวบุคคล

การให้ฟีดแบ็กที่ดีต้องมีความเกี่ยวข้องกับพฤติกรรม และผลกระทบด้านความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับตัวผู้พูด เช่น “ตอนที่คุณทำ…ฉันรู้สึก…เพราะ…”

กวีวุฒิได้ยกตัวอย่างสถานการณ์ระหว่างหัวหน้าและลูกน้องให้เห็นภาพมากขึ้น เช่น เมื่อลูกน้องมาสาย นัด 9 โมง มา 10 โมง ในฐานะหัวหน้า คุณควรบอกว่า “เรานัดกัน 9 โมงเช้า แต่คุณมา 10 โมง ทำให้ผมรู้สึกผิดหวังในตัวคุณ มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมวันนี้คุณถึงมาสาย” ไม่ใช่บอกว่า “เพราะคุณเป็นคนขี้เกียจ คุณจึงมาสาย” เพราะในกรณีนี้การขี้เกียจและมาสายเป็นคนละเรื่องกัน การมาสายเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจริง และการที่ลูกน้องมาสายอาจเป็นเพราะที่บ้านมีปัญหา หรือไม่สบายก็ได้ อย่าเพิ่งตัดสินว่าเขาขี้เกียจ เพราะฉะนั้น ควรคอมเมนต์หรือให้ฟีดแบ็กเฉพาะในสิ่งที่มองเห็น

อีกหนึ่งกรณีที่เกิดขึ้นบ่อยๆ คือ หัวหน้ามักพูดว่า “ทำไมไม่ฟังในสิ่งที่ผมพูด” เมื่อจบประโยคคุณอาจได้ยินเสียงตอบกลับมาทันทีว่า “ฟังอยู่” ซึ่งเมื่อไม่เข้าใจกันมากๆ เรื่องเล็กอาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ เพราะคุณพูดในสิ่งที่มองไม่เห็น และการที่ลูกน้องหรือคู่สนทนาไม่ฟังเป็นเรื่องที่อธิบายยาก แต่ถ้าเปลี่ยนเป็น “ผมรู้สึกว่าคุณเหม่อลอยขณะฟัง ทำให้ผมรู้สึกแย่เพราะเหมือนพูดอยู่คนเดียว ตอนนี้คุณฟังผมอยู่รึเปล่า”

ในขณะเดียวกัน ถ้าคุณเป็นลูกน้องที่ต้องการฟีดแบ็กกับหัวหน้า อาจพูดว่า “ผมทำงานนี้เสร็จก่อนกำหนด ทำไมพี่ถึงไม่ชมผมบ้าง ทำให้ผมรู้สึกแย่นิดหน่อย” ไม่ต้องกลัวว่าพูดแล้วจะจุดประเด็นให้เกิดการทะเลาะ เพราะพูดในสิ่งที่เห็น หัวหน้าไม่ได้กล่าวชื่นชมจริงๆ และก็พูดตามความรู้สึก ไม่ได้กล่าวหาว่าใครดีหรือไม่ดี

อย่างไรก็ตาม ฟีดแบ็กเป็นเครื่องมือการบริหารจัดการที่ไม่มีค่าใช้จ่าย ไม่ว่าคุณจะเป็นหัวหน้าหรือลูกน้อง การให้ฟีดแบ็กต้องทำด้วยพื้นฐานความหวังดีซึ่งกันและกัน ไม่อย่างนั้นไม่ว่าจะพูดเรื่องใดก็ตาม ความเชื่อใจก็จะไม่เกิดขึ้น

ดังนั้น การให้ฟีดแบ็กด้วยวิธีที่เหมาะสมจะช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพ และในท้ายที่สุดคำพูดเหล่านี้อาจเป็นของขวัญที่ดีที่สุดสำหรับผู้ฟังเช่นกัน

จิตวิญญาณของแบรนด์อาหารและเครื่องดื่มหลัก 100-1,000 ปีในเกียวโต

Shinise ในภาษาญี่ปุ่นแปลว่าธุรกิจที่อยู่มายาวนานอย่างน้อย 100 ปีขึ้นไป 

สาเหตุที่มีศัพท์เฉพาะเพราะญี่ปุ่นเป็นประเทศที่รักษาเอกลักษณ์และคุณค่าของธุรกิจเก่าแก่ไว้ได้เยอะที่สุดประเทศหนึ่ง จากข้อมูลของ the Tokyo-based Research Institute of Centennial Management พบว่า ญี่ปุ่นมีธุรกิจหลักร้อยปีกว่า 30,0000 ราย ซึ่งคิดเป็น 40% ของโลก ราว 140 ธุรกิจในนั้นมีอายุกว่า 500 ปี และมีอย่างน้อย 19 รายที่อายุถึงหลักพันปี

เกียวโตเป็นหนึ่งในเมืองที่มีธุรกิจเก่าแก่ที่สุดรวมกันอยู่มากที่สุด เนื่องจากเคยเป็นเมืองหลวงเก่า Shinise เหล่านี้เป็นธุรกิจครอบครัวที่ถือกำเนิดเมื่อหลายร้อยปีที่แล้ว สามารถส่งต่อภูมิปัญญาและความเชื่อในการทำธุรกิจจากรุ่นสู่รุ่นและยังรักษาคุณค่าหลักของธุรกิจดั้งเดิมเอาไว้ได้ 

วันนี้ Capital ขอพาเดินชม Capital of Shinise ย้อนเวลากลับไปเปิดประวัติศาสตร์ของเมืองตั้งแต่หลักร้อยถึงพันปีเพื่อทำความรู้จักเหล่าผู้ประกอบการร้านอาหารและเครื่องดื่มในเมืองโบราณอย่างเกียวโต

ชวนฟังเบื้องหลังโรงสาเก Gekkeikan อายุ 386 ปี, หลังครัวของ Honke Owariya ร้านโซบะและขนม 558 ปี, ความเป็นมาของ Tsuen Tea ชา 863 ปีที่เก่าแก่ที่สุดในโลกและสปิริตของ Ichimonjiya Wasuke โมจิที่อยู่คู่กับศาลเจ้ามา 1,000 ปีว่าอะไรคือจิตวิญญาณสำคัญที่ทำให้ร้านรวงเหล่านี้ยังยืนหยัดอยู่จนถึงทุกวันนี้

Fighting Heart of Gekkeikan
สาเก 386 ปี 14 รุ่น 

สิ่งสำคัญที่ทำให้สาเก Gekkeikan เป็นบริษัทที่แข็งแกร่งคือหัวใจนักสู้ที่ไม่ยอมแพ้ในการคิดค้นนวัตกรรม

ย้อนกลับไปราว 300 ปีที่แล้ว ชายผู้หนึ่งนาม Jiemon Okura ก่อตั้งโรงผลิตสาเกชื่อ Kasagiya ขึ้นใน ค.ศ. 1637 ที่เขตฟุชิมิซึ่งเป็นย่านที่ขึ้นชื่อเรื่องน้ำบาดาลใสสะอาดและรสชาตินุ่มนวลเหมาะแก่การนำมาทำสาเก ทำให้ต้นตระกูล Okura สามารถคิดสูตรสาเกที่มีเอกลักษณ์เฉพาะขึ้นมาได้ โดยช่วงแรกโรงสาเกของเขาเป็นร้านเล็กๆ ที่ขายสาเกให้คนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวในย่าน

ภาพ : Gekkeikan

ในยุคนั้นสภาวะเศรษฐกิจไม่เป็นใจกับธุรกิจสาเกนัก โรงผลิตสาเกจำนวนมากในญี่ปุ่นลดลงอย่างฮวบฮาบ จากที่เคยมีผู้ผลิตสาเก 83 แห่งใน ค.ศ. 1657 ก็เหลือเพียง 28 แห่งใน ค.ศ. 1785 จากปัจจัยภายนอกหลายอย่างทั้งความรู้ทางวิทยาศาสตร์ยังไม่มีการพัฒนาให้สามารถเก็บสาเกได้นาน การขาดแคลนข้าวซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการหมักสาเกซึ่งเป็นผลกระทบจากสภาวะอากาศเปลี่ยนแปลงและศัตรูพืช โรงผลิตสาเกในยุคนั้นยังเกิดไฟไหม้บ่อยครั้งเพราะต้องใช้ไฟในกระบวนการผลิต อีกทั้งเมืองฟุชิมิยังเจอสงครามราคาของตลาดสาเกจากพื้นที่ใกล้เคียงไปจนถึงสงครามโบชิงที่เมืองถูกถล่ม

ครอบครัว Okura พาธุรกิจสาเกฝ่าวิกฤตเหล่านี้รอดมาถึงรุ่นที่ 10 ในฐานะโรงกลั่นสาเกท้องถิ่นซึ่ง
นับเป็นช่วงเวลายาวนานถึง 250 ปี จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่ยุคโมเดิร์นของทายาทรุ่นที่ 11 ชื่อ Tsunekichi Okura ที่ขยายธุรกิจให้โตขึ้นถึง 100 เท่า เขาเริ่มเข้ามาช่วยสานต่อและฝึกทำสาเกตั้งแต่อายุ 13 ปี แต่อุปสรรคสำคัญที่พบคือไม่สามารถเก็บรักษาสาเกได้นานเพราะปัจจัยจากแบคทีเรีย

Tsunekichi ได้พากเพียรทำงานหนักและค้นคว้าการพัฒนาสาเกให้ดีขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้แม้จะล้มเหลวอยู่หลายครั้งก็ตาม จนทำให้สามารถคิดค้นวิธีเก็บสาเกได้นานขึ้นเป็นคนแรกในบรรดาโรงกลั่นผู้ผลิตสาเกในญี่ปุ่น และทำให้สามารถเปลี่ยนมาขายสาเกแบบขวดได้ ส่งผลให้สามารถขายสาเกแบบแมสในจำนวนมากขึ้นจากแต่เดิมที่ผู้คนคุ้นชินกับการซื้อสาเกแก้วเล็กๆ ไม่กี่แก้วมารินดื่มที่บ้าน

ภาพ : Gekkeikan

ดีมานด์ของตลาดที่เพิ่มขึ้นจากการขายแบบแมสนี้เองที่ทำให้ธุรกิจขยายเติบโตตาม ทั้งสามารถขยายโรงผลิตสาเก วางระบบบัญชีและธุรกิจหลังบ้านแบบตะวันตก สร้างแบรนด์ชื่อ Gekkeikan ไปจนถึงก่อตั้งแล็บวิจัย Okura Sake Brewing Institute ซึ่งเป็นรากฐานทางนวัตกรรมสำคัญที่ทำให้เป็นธุรกิจสาเกที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดและแตกต่างจากแบรนด์อื่น

ทุกวันนี้ Gekkeikan อยู่ในความดูแลของทายาทรุ่น 4 และขยายฐานการผลิตไปยังต่างประเทศอย่างอเมริกาเพื่อส่งออกสาเกไปหลายประเทศทั้งแคนาดา อเมริกาใต้ ยุโรป เอเชีย โดยยังคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ อยู่เสมอ สมกับเป็นแบรนด์ผู้นำสุดแข็งแกร่งที่บุกเบิกอุตสาหกรรมสาเกในญี่ปุ่น

หากใครอยากอ่านประวัติการทำธุรกิจของ Gekkeikan อย่างละเอียดเพิ่มเติม ทางแบรนด์ยังทำการ์ตูนมังงะเล่าประวัติธุรกิจครอบครัวและวัฒนธรรมการทำสาเกในเว็บไซต์ที่สามารถเข้าไปอ่านกันสนุกๆ ได้

ภาพ : Gekkeikan


Delicacy of Honke Owariya 

โซบะ 558 ปี 16 รุ่น 

หัวใจของร้านโซบะ Honke Owariya คือความใส่ใจในทุกรายละเอียด

ก่อนทำโซบะขาย ครอบครัว Owariya เริ่มจากเปิดร้านขนม ค.ศ. 1465 ในยุคมูโรมาจิโดยเน้นทำ soba mochi ขนมไส้ถั่วแดงที่ทานง่ายและพบเห็นได้ทั่วไปในญี่ปุ่น จุดเปลี่ยนของร้านเกิดขึ้นในยุคเอโดะ ในสมัยนั้นพระนิกายเซนเป็นผู้ผลิตโซบะด้วยตัวเองที่วัดและใช้การทำโซบะเป็นการฝึกฝนจิตใจ ต่อมาเมื่อโซบะได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นทำให้วัดต้องหาแหล่งสำหรับช่วยทำเส้นโซบะ เมื่อเล็งเห็นว่าร้านทำขนมมีความเชี่ยวชาญในการทำแป้งอยู่แล้ว จึงกระจายงานให้ร้านเหล่านี้ หากใช้ศัพท์ธุรกิจอาจกล่าวได้ว่าวัดเลือกใช้ร้านขนมเป็นแหล่งผลิต OEM เส้นโซบะให้นั่นเอง 

และร้าน Honke Owariya ที่ขึ้นชื่อเรื่องการทำขนมจากแป้งโมจิสุดอร่อยก็ได้รับเลือกเป็นหนึ่งในร้านที่เข้ามาช่วยในการผลิต กลายเป็นจุดเริ่มต้นให้ร้านหันมาทำโซบะส่งให้วัดหลายแห่งในญี่ปุ่นและเมื่อทำแล้วมีความโดดเด่นก็ได้รับคำสั่งให้ทำโซบะส่งให้พระราชวังอิมพีเรียลอีกด้วย

โชคช่างเข้าข้างให้กิจการรุ่งเรือง เพราะหลังจากนั้นวัฒนธรรมการทานโซบะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นอาหารประจำเทศกาลปีใหม่ และโซบะยังถูกมองเป็นอาหารล้ำค่าดั่งทอง เพราะช่างทำทองของญี่ปุ่นในสมัยก่อนจะใช้แป้งโรยที่พื้นเพื่อเก็บทองที่ติดมากับแป้ง

นอกจากตลาดเป็นใจให้สำเร็จแล้ว หัวใจของการทำโซบะที่ Honke Owariya สืบทอดตลอดมาคือความเชื่อว่าอาหารคือ ‘ของขวัญจากทำธรรมชาติ’ สูตรลับคือต้องพิถีพิถันในการเลือกวัตถุดิบที่ดีและทำอาหารโดยไม่ปรุงแต่ง ทั้งใช้น้ำแร่จากภูเขา Hiei สำหรับทำเส้นและซุป เลือกแหล่งแป้งเส้นโซบะจากฮอกไกโดและเลือกวัตถุดิบเครื่องเคียงทุกอย่างที่ดีที่สุดจากธรรมชาติ 

ความพิถีพิถันนี้เห็นได้จากการขยายสาขาที่อยากคงการใช้วัตถุดิบที่ดีที่สุดไว้ เช่น เมื่อขยายสาขาไปอยู่ในห้าง Takashimaya ทางร้านก็ขุดบ่อน้ำมาปรุงอาหารเองเพื่อให้คงคุณภาพและรสชาติกับสาขาดั้งเดิม หากเป็นสาขาอื่นที่ขุดบ่อน้ำเองไม่ได้ ก็ต้องรอให้สาขาหลักส่งน้ำแร่ไปให้เท่านั้น โดยทุกวันนี้ร้านยังขายเส้นโซบะส่งทั่วญี่ปุ่นสำหรับคนที่อยากทานที่บ้านโดยยังยึดหลักเดิมคือส่งอาหารที่เป็นเหมือนของขวัญจากธรรมชาติและปรุงแต่งน้อยที่สุดให้ลูกค้า 

ทายาทรุ่นปัจจุบันของ Honke Owariya คือ Ariko Inaoka ผู้สืบทอดรุ่น 16 ผู้เคยเป็นช่างภาพที่นิวยอร์กเป็นระยะเวลา 10 ปี เมื่อรู้อาชีพก่อนของเธอแล้วก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมภาพในเว็บไซต์ของร้านโซบะแห่งนี้ถึงมีความละมุนที่น่าสะดุดตา นั่นก็เพราะเป็นความตั้งใจของ Ariko ที่อยากถ่ายทอดความสวยงามของอาหารและธรรมชาติในเกียวโตผ่านเรื่องเล่าจากร้านโซบะนั่นเอง

นอกจากโซบะแล้ว ทุกวันนี้ทางร้านยังคงทำขนมควบคู่ไปด้วยเหมือนยุคแรกเริ่มและยังนำเสนอเมนูใหม่พร้อมแพ็กเกจใหม่อยู่เสมอ ขนมส่วนใหญ่จะนำแป้งมาประยุกต์เป็นเมนูใหม่ที่สอดคล้องกับเมนูหลักอย่างโซบะ ไม่ว่าจะเป็น Soba Rice Cake, Soba-ita, Soba-Boru โดยคนในตระกูลแต่ละเจเนอเรชั่นจะหมั่นนำเสนอขนมเมนูใหม่สุดพิเศษในช่วงของตัวเอง เช่น รุ่น 14 นำแป้งโซบะมาทำแคร็กเกอร์ รุ่น 15 ทำโมจิย่าง รุ่น 16 ทำขนมญี่ปุ่นโบราณชื่อ karinto ที่หวานกรอบ

หากเข้าไปที่เว็บไซต์ของ Honke Owariya จะพบเรื่องเล่าเบื้องหลังของผู้ผลิตวัตถุดิบต่างๆ ที่ถ่ายทอดให้เห็นถึงความใส่ใจในอาหารและผู้คน ซึ่งทำให้กลายเป็นร้านโซบะที่อบอุ่นจนคนเกียวโตหลงรักมากว่า 500 ปี

ภาพ : Honke Owariya

Everyday Consistency of Tsuen Tea
ชา 863 ปี 24 รุ่น 

เหตุผลที่ชา Tsuen Tea อยู่มาถึงหลัก 800 ปีคือความสม่ำเสมอในการเรียนรู้และพัฒนา แวะมาที่ย่านอุจิในเมืองเกียวโตที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งปลูกชาเขียวที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่นกันบ้าง ย่านนี้เป็นที่ตั้งของ Tsuen Tea ร้านชาเจ้าแรกๆ ในย่าน และยังนับเป็นร้านชาที่เก่าแก่ที่สุดในโลกอีกด้วย 

ต้นตระกูล Tsuen เป็นซามูไรมาก่อน ผู้ก่อตั้งคือ Masahisa Tsuen ที่หันมาทำร้านชาใน ค.ศ. 1160 หลังเกษียณจากซามูไร เริ่มจากการขายใบชา ชงชาคุณภาพดี และเริ่มขายขนมจากชาตั้งแต่ ค.ศ. 1965 

ด้วยโลเคชั่นที่เป็นทางผ่านระหว่างเกียวโตกับนาระและมีแหล่งวัตถุดิบผลิตชาอุจิรสเลิศ ทำให้ร้านชา Tsuen Tea โด่งดังและมีบรรดาซามูไร ขุนนางชั้นสูง นักบวช แวะมาจิบชามากมายเมื่อหลายร้อยปีก่อน

ภาพ : Tsuen Te

ความพิเศษคือการคัดเลือกใบชาชั้นดีเฉพาะส่วนยอดชาอ่อน ผ่านกระบวนการรีด หมัก และบดใบชาด้วยกรรรมวิธีโบราณในการชงชา โดยในวันนี้ Tsuen Tea ภายใต้ความดูแลของทายาทรุ่นที่ 24 Yusuke Tsuen ได้รักษาเอกลักษณ์ความดั้งเดิมไว้ และปรับเมนูใหม่เพิ่มเข้ามาอย่างเมนูของหวานที่โมเดิร์นขึ้น เช่น พาร์เฟต์ชาเขียว 

แม้หน้าร้านของแบรนด์จะมีเพียงสาขาเดียวที่เกียวโต ปัจจุบัน Tsuen Tea ได้ทำผงชาสำเร็จรูปสำหรับกระจายช่องทางการขายหลายช่องทาง ทั้งซูเปอร์มาร์เก็ต คาเฟ่ ร้านอาหาร แพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ และพี่สาวของทายาทรุ่นปัจจุบันคือ Yuka Tsuen ที่ไปเรียนต่อที่แคนาดาก็ได้โอกาสขยายช่องทางการขายส่งที่แวนคูเวอร์ แคนาดาด้วย

Yuka บอกว่าความท้าทายของเธอคือการนำเสน่ห์ของชาอุจิไปถ่ายทอดที่ต่างประเทศ เพราะยังหาคำพรรณนามาบรรยายรสชาติเอกลักษณ์ของชาในภาษาอังกฤษไม่ได้หมด แม้แต่กับคนญี่ปุ่นเองก็ยังหาคำบรรยายรสชาติของชาในภาษาญี่ปุ่นให้ฟังได้ยาก เธอยกตัวอย่างรสของชา genmaicha ใบชาเขียวผสมข้าวคั่วที่คนแคนาดารู้สึกว่ารสคล้ายป๊อปคอร์น ทั้งที่ความจริงรสไม่เหมือนกันซะทีเดียวแต่ก็ยากจะอธิบายรสออกมาเป็นคำพูดได้ ความท้าทายของ Tsuen Tea จึงเป็นการสื่อสารและเผยแพร่วัฒนธรรมการดื่มชา

Yuka มองว่าการสานต่อธุรกิจหลักร้อยปีของครอบครัวเหมือนกับการเลี้ยงเต่าที่อายุยืนหลักศตวรรษ ตั้งแต่เธอเด็กๆ ครอบครัวของเธอได้เลี้ยงเต่ามายาวนานจากรุ่นสู่รุ่นและเธอคิดว่าการทำธุรกิจครอบครัวเหมือนการเลี้ยงเต่าที่ต้องหมั่นให้อาหารและทำความสะอาดในแต่ละวัน หัวใจสำคัญคือการดูแลอยู่เสมออย่างไม่ละเลย เหมือนที่กิจวัตรประจำวันในครอบครัวตั้งแต่เด็กของเธอคือการตื่นมาชงชา 2 ถ้วยให้ตัวเองและบรรพบุรุษในทุกๆ เช้า ค่อยๆ ฝึกชงชาและสังเกตความชอบของลูกค้าในทุกๆ วัน

ภาพ : Tsuen Tea

การชงชาเป็นศาสตร์ละเอียดอ่อนที่ไม่สามารถขึ้นเป็นกุนซือได้ในวันเดียว แต่ต้องอาศัยการฝึกปรือและสะสมความรู้อย่างสม่ำเสมอ โดยทุกวันนี้ Yusuke ทายาทรุ่นปัจจุบันของ Tsuen tea ยังรับบทบาทเป็น Head of the Kyoto Tea Association Youth Wing ที่ยังเรียนรู้เรื่องชาอยู่เสมอและผลักดันวงการชาให้ก้าวหน้าขึ้นไป

Spirit of Ichimonjiya Wasuke
โมจิ 1,023 ปีที่นับรุ่นไม่ถ้วน 

สปิริตของร้านโมจิที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลกคือ purpose ที่ยิ่งใหญ่กว่าแค่กำไร ย้อนกลับไปเมื่อพันปีที่แล้วช่วงโรคระบาดและสงครามในยุคเฮอัน ศาลเจ้าอิมามิยะได้ถือกำเนิดขึ้นเพื่อเป็นที่พึ่งพิงทางใจให้ผู้คน ท่ามกลางช่วงเวลาแห่งความยากลำบากนี้ ร้าน Ichimonjiya Wasuke หรือชื่อสั้นว่า Ichiwa เริ่มขาย ‘อะบุริโมจิ’ (โมจิย่าง) ในช่วงเทศกาลยาสุไร เทศกาลของศาลเจ้าอิมามิยะที่ผู้คนมาอธิษฐานให้มีสุขภาพดีโดยมีโมจิย่างเป็นขนมที่ศาลเจ้าแจกให้ผู้หิวโหยในช่วงสงคราม

ภาพ : Japan Travel

ตั้งแต่นั้นมาคนญี่ปุ่นจึงเชื่อว่าอะบุริโมจิสื่อถึงการมีสุขภาพที่ดีและไม้ไผ่ที่เสียบโมจิก็สื่อถึงความเคารพต่อเทพเจ้าที่ศาลเจ้า โมจิของร้าน Ichimonjiya Wasuke จึงเรียกได้ว่าเป็นขนมทางวัฒนธรรมที่อยู่คู่กับศาลเจ้ามาตลอดและมีความมุ่งมั่นในการทำธุรกิจคืออยากเติมความหวังและความหวานในชีวิตให้คนท้องถิ่นในยามที่ชีวิตมีรสขม  

‘อะบุริโมจิ’ ของคนญี่ปุ่นนั้นเป็นโมจิเสียบไม้ไผ่ที่นำไปย่างเตาถ่าน โรยผงคินาโกะจากถั่วเหลืองบดแล้วราดซอสหวานเหนียวเข้มข้นจากมิโซะขาว ความพิเศษของโมจิพันปีคือการรักษาสูตรดั้งเดิมไว้ ทั้งการต้มข้าวสำหรับทำโมจิด้วยน้ำพุธรรมชาติและย่างโมจิบนเตาฮิบาชิดั้งเดิม ออกมาเป็นโมจิย่างสีน้ำตาลเกรียมที่เสิร์ฟร้อนๆ คู่กับชา โดยมีโมจิเป็นเมนูซิกเนเจอร์เมนูเดียวตลอดพันปีที่ผ่านมา กล่าวได้ว่าการ ‘doing one thing’ ทำสิ่งเดียวให้ดีและทำอย่างเชี่ยวชาญคือหัวใจการทำธุรกิจและทำโมจิของร้านพันปีแห่งนี้

ปัจจุบัน Naomi Hasegawa คือทายาทรุ่นที่ 25 วัย 60 กว่าปีที่สืบทอดความหวานอร่อยของโมจิย่างแม้หน้าร้านจะคงความเก่าแก่ตามแบบฉบับร้านไม้ในเกียวโตแบบดั้งเดิมแต่หลังครัวก็มีการปรับเปลี่ยนตามยุคสมัย ทั้งการใช้น้ำที่ถูกหลักอนามัยและถูกสุขลักษณะมากขึ้น ใช้เครื่องจักรช่วยในการทุบแป้งโมจิ เปลี่ยนจากระบบจ่ายเงินแบบเชื่อใจเป็นการตั้งราคาต่อจาน และมีการออกแบบสวนสไตล์ญี่ปุ่นที่ร้านเพื่อให้ผู้ที่มาทานโมจิได้ค่อยๆ ใช้เวลาละเลียดโมจิ ดื่มชาพร้อมชมสวนอย่างเนิบช้า

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาร้าน Ichimonjiya Wasuke ได้ตัดสินใจว่าจะไม่ขยายร้านตามโลกยุคใหม่ไปทุกอย่าง เช่น การปฏิเสธข้อเสนอการขายโมจิออนไลน์จาก Uber Eats เพราะไม่ได้ต้องการขยายกิจการอย่างใหญ่โตเป็นหลักแต่อยากทำโมจิที่อร่อยอยู่คู่กับศาลเจ้าต่อไป


หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว (One Hundred Years of Solitude) คือวรรณกรรมของกาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซ แนว magical realism ที่เล่าถึงชีวิตของผู้คนเมืองมาก็อนโดหลายรุ่นในช่วงเวลาร้อยปี วรรณกรรมฉายภาพให้เห็นวัฏจักรทั้งเรื่องมหัศจรรย์และหายนะพิลึกพิลั่นสุดขมขื่นที่วนเวียนสลับกันไปในช่วงชีวิตของคนแต่ละรุ่นในตระกูล

ชีวิตจริงของธุรกิจร้อยปีล้วนผ่านหายนะและโชคลาภ ดีและร้ายสลับกันไปในช่วงเวลาหลายร้อยปีเช่นกัน ทั้งโรงสาเกที่เอาตัวรอดจากภัยธรรมชาติในยุคบ้านเมืองลุกเป็นไฟ โชคที่ไม่คาดฝันว่าจะมีโอกาสได้ทำโซบะส่งพระราชวังของร้านขนม ชีวิตที่พลิกผันจากนักรบซามูไรมาทำชาและลูกหลานสืบสานมาตลอด 500 ปี ไออุ่นของร้านโมจิที่เกิดขึ้นข้างศาลเจ้ายามเกิดโรคระบาดและผู้คนอดอยาก

เบื้องหลังวงจรขาขึ้นและลงของธุรกิจในคอลัมน์ ‘100 ปีแห่งความเด็ดเดี่ยว’ คือความเด็ดเดี่ยวที่จะรักษาความเชื่อและจิตวิญญาณของธุรกิจไว้จากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งภาษาญี่ปุ่นมีคำศัพท์เฉพาะเรียกว่า ‘kakun’ คือการยึดมั่นในคุณค่าหลักของธุรกิจมากกว่ากำไรซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ Shinise เหล่านี้อยู่อย่างยืนยาวและยั่งยืนมาได้อย่างยาวนานกว่าศตวรรษ
 

ภาพ : Gekkeikan, Honke Owariya, Tsuen Tea, Japan Travel

อ้างอิง

Ampersand Gelato แบรนด์เจลาโต้ที่ใช้วัตถุดิบธรรมชาติและอยากเชื่อมคอมมิวนิตี้เจลาโต้ในไทยให้กว้างขึ้น

“สวัสดีค่ะ จะรับเจลาโต้รสชาติอะไรดีคะ ลองชิมก่อนได้นะคะ” 

สตาฟที่ร้านถามไถ่เราด้วยน้ำเสียงอันเป็นมิตร หลังจากที่เราย่างก้าวเข้าไปในร้านและกำลังชะโงกดูเจลาโต้กว่า 18 รสชาติสีสันสดใสที่ถูกเรียงรายอยู่ภายในตู้แช่

“รับเป็นรสชาติเอิร์ลเกรย์แล้วกันค่ะ” เราตอบสตาฟกลับแบบไม่ลังเล นี่คือปีที่ 9 นับจากครั้งแรกที่เราได้กินเจลาโต้แบรนด์คนไทยอย่าง Ampersand Gelato ในรสชาติซิกเนเจอร์ รสชาติเดิม

ไม่นานนักเจลาโต้รสชาติเอิร์ลเกรย์ เนื้อสัมผัสเนียนนุ่ม หอมกลิ่นชาก็ถูกเสิร์ฟอยู่ตรงหน้าเรา เมื่อตักเข้าปากแล้ว หวนให้นึกถึงครั้งแรกเมื่อ 9 ปีก่อนในวันที่แบรนด์เจลาโต้แบรนด์นี้มีหน้าร้านเพียงแค่สาขาเดียวที่สุขุมวิท 39 ด้วยขนาดหนึ่งห้องเล็กๆ ก่อนที่วันนี้ Ampersand Gelato จะขยับขยายสาขาออกไปตามโซนต่างๆ ในกรุงเทพมหานคร จนมีหน้าร้านกว่า 5 สาขาอย่างสาขาเซ็นทรัลเวิลด์ สาขาโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ สาขาแฟชั่นไอส์แลนด์ สาขาเมกาบางนา และสาขาทองหล่อ 13 โลเคชั่นที่เราได้มาเยือนในวันนี้ 

สาขาทองหล่อ 13 นั้นนับว่าเป็นโลเคชั่นใหม่ของสาขาสุขุมวิท 39 ในขนาดพื้นที่ร้านที่กว้างขึ้น พร้อมรองรับเหล่าคนรักไอศครีมและเจลาโต้ให้ได้แวะเวียนกันมานั่งพักผ่อนหย่อนใจในวันที่ไม่เร่งรีบ

ช่วงสายวันที่เรามีนัดกับ ยิ้ม–ศศิวิมล เพ็ชรน้ำสิน ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Ampersand Gelato เราสังเกตว่าเธอถือถ้วยเจลาโต้ที่ฮาล์ฟรสชาติซิกเนเจอร์อย่างเอิร์ลเกรย์และฮาล์ฟรสชาติคลาสสิกอย่างดาร์กช็อกโกแลตเอาไว้ในมือด้วย ในระหว่างพูดคุยกัน เธอก็ยังคงเอนจอยไปกับทั้งการกินเจลาโต้ที่อยู่ตรงหน้าและเอนจอยไปกับบทสนทนาของเรา เพียงแค่สิ่งนี้ก็สามารถทำให้เราสัมผัสได้ถึงความรักในเจลาโต้ของยิ้มเสมือนใน day 1 ของการทำธุรกิจ ก่อนที่เราเองจะยังได้ทำความเข้าใจถึงวิธีการบริหารธุรกิจให้ยังคงยืนระยะต่อไปท่ามกลางธุรกิจไอศครีมและเจลาโต้ที่มีจำนวนเยอะขึ้นในปัจจุบันด้วย

จากประโยค ‘ฉันต้องได้ทำธุรกิจ’ ในวัยเด็ก
สู่แบรนด์เจลาโต้ในปี 2014

เราขอให้ยิ้มเล่าย้อนกลับไปในวันแรก ในความรู้สึกแรกที่ตัวเธอมีความคิดอยากจะริเริ่มเปิดธุรกิจเป็นของตัวเอง แต่แทนที่เธอจะเล่าย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีก่อน เธอกลับบอกกับเราว่าตัวเธอมีเป้าหมายอยากจะเป็นนักธุรกิจมาตั้งแต่เด็ก 

“เพราะเราโตมากับการที่คุณพ่อคุณแม่ทำธุรกิจส่วนตัว มันเลยทำให้เราเห็นภาพอนาคตของตัวเองมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วเราก็มีเป้าหมายที่ชัดเจนตั้งแต่ตอนนั้นเลยว่า ‘ถ้าฉันโต ฉันจะต้องทำธุรกิจ’ โดยเป้าหมายนี้เองมันก็ค่อยๆ ชัดเจนเพิ่มมากขึ้นในสมัยที่เราเรียนไฮสคูล เพราะเรารู้จักตัวเองมากขึ้น รู้ว่าตัวเองเป็นคนชอบกิน เอนจอยกับอาหารมากๆ เราเลยมีความฝันของการทำธุรกิจขึ้นมาอีกสเตป นั่นก็คือความฝันที่อยากจะเปิดธุรกิจ F&B เป็นของตัวเอง”

แม้จะเป็นเพียงความฝันในวัยเด็ก แต่ความฝันเหล่านั้นก็เริ่มมีเป้าหมายที่ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ จนในวันหนึ่งที่ยิ้มได้ไปเรียนต่อปริญญาโทที่บอสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา และที่เซี่ยงไฮ้ เมืองหลวงของสหราชอาณาจักรจีนแล้ว สิ่งที่ทำให้เธอได้รู้จักตัวเธอเองมากขึ้นจากการได้ใช้ชีวิตในวัยเรียนอยู่ที่โน่น นั่นก็คือความสามารถในการกินไอศครีมและเจลาโตได้โดยไม่รู้สึกเบื่อหน่าย จุดนี้เองที่ทำให้ยิ้มได้คำตอบของความฝันที่อยากจะเปิดธุรกิจ F&B เป็นของตัวเองเสียที

“ธุรกิจเจลาโต้อย่าง Ampersand เนี่ยมันมีที่มามาจากการที่เราชอบกิน ในตอนที่เราไปเรียนที่บอสตันกับเซี่ยงไฮ้ บอกตรงๆ ว่าเราสามารถกินไอศครีมหรือเจลาโต้ได้ตลอด อย่างเวลาที่เราเดินเข้าร้านไอศครีมหรือเจลาโต้ครั้งนึง เราก็กินมันได้ในจำนวนค่อนข้างเยอะ  เพราะที่โน่นเขาก็จะมีรสชาติประหลาดๆ น่าสนใจ ชวนให้เราได้แวะเข้าไปชิมอยู่เสมอ  ประจวบกับว่าหลังจากที่ตัวยิ้มเองเรียนจบปริญญาโทแล้วต้องกลับมาที่ประเทศไทย การกลับมาในครั้งนั้นยิ้มก็ยังไม่เจอเจลาโต้ในบ้านเราที่ทำให้ยิ้มประทับใจในรสชาติแล้วอยากจะกินมันมากเท่ากับตอนที่เราอยู่ต่างประเทศเลย”

เพียงแค่ความฝันของการอยากทำธุรกิจและความชอบกินเจลาโต้นั้นอาจจะไม่เพียงพอที่จะทำให้ยิ้มสามารถเปิดธุรกิจของเธอจนยืนระยะต่อไปอย่างยั่งยืนได้ในอนาคต แต่ความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ด้านโปรดักต์ต่างหากที่จำเป็นสำหรับการทำธุรกิจด้วย เช่นนั้นแล้ว ยิ้มจึงได้ตัดสินใจไปเรียนต่อทางด้านไอศครีมและเจลาโต้ทั้งในประเทศไทยก็ดี ไปลงคอร์ส ice cream science ที่ประเทศสิงคโปร์ก็แล้ว และยังลงเรียนคอร์ส gelato science ที่ประเทศต้นตำรับอย่างอิตาลีมาด้วย 

“ในวันหนึ่งที่เรามีความรู้สึกว่าเราอยากกินเจลาโต้รสชาติยูซุบ้างจัง แต่ว่ารสชาติชาเองเราก็อยากกิน ซึ่งพอทั้งสองอย่างนี้ มันไม่มีขายในไทยเลย ณ ตอนนั้น เราเลยคิดว่าเราคงต้องทำกินเองแล้ว นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการตัดสินใจทำธุรกิจ Ampersand อย่างจริงจัง เพียงแต่ว่าธุรกิจของเรามันต้องเริ่มจากการเข้าคอร์สเรียนทำไอศครีมและเจลาโต้ก่อน แล้วหลังจากเราเรียนจบมาแล้ว เราก็ยังใช้ระยะเวลาอีกประมาณ 1 ปีสำหรับการทดลองรสชาติต่างๆ การนำความรู้ที่ได้เล่าเรียนมาปรับใช้ให้เข้ากับความชอบของตัวเราเอง หรือแม้กระทั่งการศึกษาวัตถุดิบในท้องตลาดไทย รวมไปถึง recipe ที่ต้องบาลานซ์ให้ถูกปากคนไทยด้วย”

และแล้วแบรนด์เจลาโต้ฝีมือคนไทยเจ้าแรกๆ อย่าง ‘Ampersand Gelato’ ก็ถูกเปิดขึ้นในปี 2014 กับยิ้มในวัย 28 ปี 

“ชื่อ ‘Ampersand’ เนี่ย เอาจริงๆ เราคิดมาเรื่อยๆ เลยกว่าจะได้ชื่อนี้ เราลิสต์ชื่อออกมาเยอะมาก น่าจะร้อยกว่าชื่อได้ เป็นคำๆ แล้วมานั่งคิดว่าคำไหนดี เพราะเรื่องชื่อเนี่ยตัวเราต้องชอบเองก่อน เราเลยมาลงที่ชื่ออย่าง ‘Ampersand’ สาเหตุหนึ่งมันก็เป็นเพราะว่าเมื่อเราลองพูดคำนี้หลายๆ รอบแล้วมันก็ไม่รู้สึกขัดหู (หัวเราะ) ส่วนตัวยิ้มเองก็ชอบเครื่องหมาย & ด้วย แล้วในคอนเซปต์เจลาโต้ของร้านเรา ยิ้มก็ตั้งใจให้มันมีหลากหลายรสชาติที่มาจาก international inspired ซึ่งด้วยความที่ยิ้มจบ international business มา มันเลยทำให้ตอนเรียนเราได้เรียนกับเพื่อนหลากหลายชาติ มีเพื่อนหลากหลายแบบ เวลาเรานั่งกินข้าวด้วยกัน เพื่อนคนจีนก็ทำอาหารจีนมา เพื่อนบราซิลเขาก็จะมีอาหารบ้านเขามา ทุกๆ คนก็จะแลกเปลี่ยนกันตลอดๆ เราจึงมีความรู้สึกว่าอาหารของแต่ละชาติมันก็อร่อยดีเหมือนกันนะ เช่นเดียวกับการคิดค้นรสชาติเจลาโต้ของเรานั่นแหละที่ตัวยิ้มเองก็อยากรวมรสชาติของหลายๆ ประเทศเข้าไว้ด้วยกัน”

เพราะการชิมครั้งละไพน์
วัตถุดิบที่เลือกใช้จึงต้องธรรมชาติ

ระหว่างการสนทนากับยิ้ม เธอก็ยังคงนั่งตักเจลาโต้เข้าปากคำแล้วคำเล่าเคล้าไปกับรอยยิ้มบนใบหน้า ก่อนเธอจะยังเล่าให้เราฟังถึงวัตถุดิบที่เธอตั้งใจเลือกใช้เป็น recipe กลางสำหรับการทำเจลาโต้ซึ่งมีที่มาจากการที่เธอจะต้องทำเอง ชิมเอง กินเองในไซส์ไพน์ เมื่อรู้สึกว่าแต่ละรสชาตินั้นมันลงตัวแล้วเธอจึงจะนำออกมาวางขายที่หน้าร้านอย่างในปัจจุบัน

“พอเราตัดสินใจเริ่มที่จะทำกินเอง มันก็กลายเป็นว่าเราทำรสชาติอะไรออกมาก็ได้ที่เราอยากกิน แล้วพอรสชาติมันเยอะขึ้นเรื่อยๆ เราก็เริ่มมาคิดถึงส่วนผสมแล้วว่า ‘ทำยังไงให้มันดีต่อสุขภาพของเรามากที่สุด’ เพราะเวลาเราชิมแต่ละรสชาติเราชิมเป็นไพน์ (หัวเราะ) ไม่ได้ชิมเป็นถ้วยเล็กๆ แน่นอนว่าตัวเราก็จะรู้แหละเนอะว่าเรากำลังเอาอะไรเข้าไปในร่างกาย แล้วเราก็รู้ตัวว่าเราไม่สามารถบริโภคน้ำตาลได้เยอะๆ มันจึงเป็นที่มาของการเร่ิมพัฒนาให้เจลาโต้ของ Ampersand เนี่ยมันเป็นสูตรน้ำตาลน้อย แล้ว ingredient ทุกๆ อย่างก็ต้องมาจากธรรมชาติทั้งหมด อย่างที่บอกว่าเราทำเองกินเอง จะกินเยอะเท่าไหร่ก็ต้องไม่เป็นอันตรายกับสุขภาพ เพราะฉะนั้นเจลาโต้ของ​ Ampersand ใน day 1 ก็จะคำนึงถึงสุขภาพของทุกๆ คนเอาไว้หมดแล้ว”

จากมุมมองของคนรักเจลาโต้อย่างเราและด้วยความสงสัยในเนื้อสัมผัสของเจลาโต้ที่เราเคยประสบพบเจอมาแล้วหลากหลายแบบ ไม่ว่าจะทั้งเนื้อสัมผัสแบบหนืดๆ ก็ดี หรือจะเป็นเนื้อสัมผัสแบบหนืดน้อยที่ให้เทกซ์เจอร์เนียนนุ่มปุยๆ ก็เคยเจอ แม้แต่เนื้อสัมผัสที่แข็งนิด ต้องรอละลายหน่อยก็ยังมีอีกต่างหาก ในฐานะผู้บริโภคเองเราจึงถามกับยิ้มถึงความแตกต่างในเนื้อสัมผัสเจลาโต้ของ Ampersand ในแบบฉบับของเธอ

“จริงๆ เราว่าแต่ละร้านเขาก็มีเนื้อสัมผัสของเจลาโต้ที่ต่างกันออกไป แล้วลูกค้าหลายๆ คนก็อาจจะมีภาพจำว่าเจลาโต้ต้องมีเนื้อสัมผัสที่หนืดๆ เนอะ ขณะเดียวกันเจลาโต้ของ Ampersand มันไม่หนืด โดยปัจจัยส่วนหนึ่งก็เพราะว่า recipe ของเราที่เน้นใส่น้ำตาลน้อยจึงทำให้จุดเยือกแข็งของเจลาโต้ต่ำลง หมายความว่าเนื้อเจลาโต้ของเราก็จะมีความแข็งตัวมากกว่าปกติ โดยในรสชาติอย่างรสชาหรือรสชาติที่เราห้อยท้ายไว้ว่า no sugar added นั้น ตัวเจลาโต้ก็จะมีความแข็งตัวมากกว่าในไลน์เจลาโต้รสชาติปกติไปหน่อยด้วยนะ เท่ากับว่าเจลาโต้ของเราทุกๆ รสเองก็ไม่ได้ให้เนื้อสัมผัสที่เหมือนกันไปซะหมด โดยที่สิ่งนี้มันก็เกิดมาจากการที่เราอยากกินรสอะไร ทำรสอะไรออกมาแล้วก็อยากให้ผลลัพธ์มันเป็นรสชาตินั้นมากที่สุด เราเลยเน้นใส่ ingredient หลักๆ ลงไปมากกว่าการใส่น้ำตาล ใส่นม หรือให้มันหนักครีมจนเกินไปนั่นเอง”

“และอีกปัจจัยนึงคือการเลือกใช้ไขมันและประเภทสารให้ความหวานของแต่ละแบรนด์ด้วย แต่ในท้ายที่สุดผลลัพธ์มันก็อยู่ที่ความพึงพอใจของเจ้าของแบรนด์นั้นๆ และลูกค้าของแต่ละแบรนด์นะ” ยิ้มตอบกับเราแบบนั้น

แม้ทุกอย่างๆ จะถูกคิดและพัฒนาออกมาอย่างถี่ถ้วนแล้วตั้งแต่ day 1 แต่การที่ Ampersand Gelato จะดำเนินมาจนถึงปีที่ 9 ได้นั้น ยิ้มก็ยังคงไม่หยุดที่จะหาความรู้ใหม่ๆ ingredient ใหม่ๆ รวมไปถึงการมอนิเตอร์เทรนด์และความต้องการของลูกค้าในทุกยุคทุกสมัยอีกด้วย 

“จริงๆ เจลาโต้ของเราก็มีการคำนึงถึงสุขภาพของผู้บริโภคมาโดยตลอด แต่ต้องยอมรับเหมือนกันว่าในช่วงที่เทรนด์นมทางเลือกกำลังมาเราก็มีหยิบจับพวกนมโอ๊ตมิลค์ อัลมอนด์มิลค์เพิ่มเข้ามาในรสชาติเจลาโต้ของเรามากขึ้น ซึ่งด้วยความที่มันเป็นรสวีแกน โจทย์ของเราคือการทำเจลาโต้รสชาติเหล่านี้ให้ออกมาอร่อยไม่แพ้กับรสชาติอื่นๆให้ได้ และสิ่งที่เราทำได้ก็คือการต้องพยายามทดลองทำเรื่อยๆ แล้วก็ชิมเองตลอด ชิมทีละครึ่งแบตช์ เพราะถ้าเรากินไหว นั่นก็แปลว่า recipe นี้ใช้ได้แล้วแหละ ขายได้แล้ว” 

เพราะขายดีจนขยายสาขา
จึงทำให้พ่อแม่ยอมรับในตัวเรา 

กว่าจะมาเป็น Ampersand Gelato ในทุกวันนี้ ยิ้มบอกกับเราว่าในวันแรกที่ธุรกิจจำต้องดำเนินขึ้นมาแล้วจริงๆ เธอมีความกลัวอยู่ภายในจิตใจไม่น้อย สาเหตุก็เพราะว่าคุณพ่อคุณแม่ไม่ได้ให้การสนับสนุนในธุรกิจเจลาโต้ของเธอขนาดนั้น แม้ว่าพวกท่านจะได้ชิมเจลาโต้ฝีมือยิ้มกันมาแล้วก็ตาม 

“ถามว่าพอเปิดธุรกิจจริงๆ ขึ้นมาแล้ว เรามีความกลัวบ้างมั้ย ตอบได้เลยว่ากลัว เพราะว่าในตอนแรกคุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ได้สนับสนุนให้เราทำธุรกิจนะ แม้ว่าเขาจะได้ชิมเจลาโต้ฝีมือเราแล้วบอกว่ามันอร่อยก็เถอะ แต่พวกเขาก็ยังตั้งคำถามกับเราอีกว่าทำไมถึงจะต้องมาเปิดธุรกิจของตัวเองด้วย’ แน่นอนว่าในวันนั้นเราก็รั้น เพราะเราชอบที่จะทำธุรกิจและทุ่มเทกับเจลาโต้มากจริงๆ เราถึงได้ตัดสินใจเปิด แล้วเราก็เลยบอกพวกท่านให้เขาสบายใจกันไปว่าถ้าธุรกิจเราหรือตัวเรารู้สึกไม่โอเคกับการทำธุรกิจนี้จริงๆ เราจะกลับไปช่วยคุณพ่อกับคุณแม่ทำธุรกิจที่บ้านต่อเองนะ แต่ขอให้เราได้ลองสักตั้งเถอะ”

แม้จะต้องเผชิญกับความกลัวตั้งแต่แรก แต่ด้วยคอนเซปต์เจลาโต้ของ Ampersand นั้นคือการเน้นใช้วัตถุดิบธรรมชาติ ใส่น้ำตาลน้อยและยังมีหลากรสชาติที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากหลายประเทศอีก มันจึงทำให้ยิ้มรู้ได้เลยว่ากลุ่มลูกค้าของเธอคือใคร

“ยิ้มว่าตัวยิ้มเองมีโจทย์ของการทำธุรกิจที่ค่อนข้างชัดมาตั้งแต่แรก มันจึงเป็นข้อดีที่ทำให้เราสามารถเลือกโลเคชั่นที่จะเปิดหน้าร้านในสาขาแรกของเราได้เลยทันทีอย่างที่สุขุมวิท 39 ที่โลเคชั่นจะต้องตั้งอยู่ในตัวเมือง ตามทาร์เก็ตลูกค้าของเราที่จะต้องเป็นกลุ่มคนที่มีกำลังจ่ายหน่อยและจะต้องเป็นกลุ่มคนที่ค่อนข้างให้ความสำคัญกับ ingredient ที่ดีต่อสุขภาพด้วย”

เมื่อเข้าสู่ขวบปีที่ 3-4 ของธุรกิจ Ampersand Gelato ยิ้มก็สามารถพิสูจน์ให้คุณพ่อคุณแม่ของเธอได้เห็นว่าธุรกิจของลูกสาวพวกเขาไปได้ด้วยดีและกำลังจะเติบโตจนขยายสาขาเข้าไปขายในห้างใหญ่ใจกลางเมืองกรุงเทพมหานครอย่างสาขาเซ็นทรัลเวิลด์อีกด้วย 

“ตอนแรกที่บ้านเขาไม่ได้อยากให้เราออกมาทำธุรกิจเอง จนในวันหนึ่งที่เขายอมรับ อันนี้มันค่อนข้างใช้เวลาเนอะ เราไม่รู้เหมือนกันว่านานเท่าไหร่ แต่ยิ้มว่ามันค่อยๆ สะสมมาเรื่อยๆ ในช่วงแรก แค่เราขายเจลาโตได้เขาก็โอเคแล้ว พอเริ่มขยายสาขาไปในห้างใหญ่อย่างเซ็นทรัลเวิลด์ ในเมื่อห้างเชื่อในแบรนด์เราว่าเราจะขายได้ ครอบครัวเราเขาก็เลยหันมาเชื่อในตัวเราด้วยเหมือนกัน ก็ปกติของ Asian parent แหละที่อาจจะต้องให้คนอื่นยอมรับในตัวลูกเขาก่อน (หัวเราะ) มาจนถึงตอนนี้เอง คุณพ่อคุณแม่ก็ได้เข้ามาอยู่ในครัวกับเราเป็นที่เรียบร้อย ในวัยที่พวกเขาเกษียณกันแล้ว เขาก็หันมาช่วยเราแทน มาช่วยชิมด้วยกัน แล้วก็อินเจลาโต้ไปด้วยกัน”

โลเคชั่นร้านที่ต้องตอบโจทย์ลูกค้าแต่ละคาแร็กเตอร์

ในวันที่เรานั่งสนทนากันอยู่นี้ อาจเรียกได้ว่า Ampersand Gelato นั้นเป็นแบรนด์เจลาโต้ของคนไทยที่เติบโตไปอีกขั้น เห็นได้ชัดจากการเปิดสาขาใหม่ สาขาที่ 5 อย่างสาขาเมกาบางนาไปเมื่อช่วงเดือนกันยายน 2023 แต่เชื่อไหมว่าในทุกๆ ครั้งท่ี่ยิ้มตัดสินใจที่จะขยายหน้าร้านเจลาโตของเธอแล้ว เธอก็ยังคงมีความรู้สึกกลัวเสมือนตอนที่เธอเริ่มทำธุรกิจในวันแรกอยู่ดี

“ ในทุกครั้งที่เราคิดจะขยายสาขา เราจะถือว่ามันคือความเสี่ยง เสี่ยงอยู่แล้ว ซึ่งเราก็แอบมีความกลัวลึกๆ ในใจอยู่ตลอดนะ แต่แน่นอนว่าเราก็ต้องลงไปดูโลเคชั่นนั้นก่อนตัดสินใจเสมอ แล้วเราก็จะต้องไปศึกษาผู้คนในโซนนั้นๆ ว่าเขาตรงกับกลุ่มลูกค้าเรามั้ย”

“สิ่งที่ทำให้ยิ้มรู้สึกใจชื้นขึ้นมาอีกหน่อย คือการที่แบรนด์เรามีการเก็บดาต้ากันอยู่เรื่อยๆ ดาต้าที่เราเก็บจากกลุ่มลูกค้าที่เขากดสั่งเดลิเวอรีเป็นส่วนใหญ่ โดยข้อมูลพวกนี้นี่แหละที่ให้ประโยชน์กับเรามาก เพราะเราสามารถรู้ได้ว่ากลุ่มลูกค้าของเราจริงๆ นั้นอยู่โซนไหนของกรุงเทพฯ บ้าง อีกทั้งตัวข้อมูลก็ยังช่วยลดความเสี่ยงในการขยายธุรกิจของเราได้ด้วย”

เมื่อเราถามถึงทาร์เก็ตของลูกค้าที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละสาขา ยิ้มก็ยังคงยืนยันคำเดิมแล้วบอกกับเราว่าทาร์เก็ตของแบรนด์นั้นเหมือนเดิมตั้งแต่ในวันแรกที่เธอเริ่มทำธุรกิจ อย่างกลุ่มคนที่ชอบกิน คนที่มีกำลังจ่าย คนที่ใส่ใจใน ingredient ดีๆ แต่สิ่งที่จะทำให้แต่ละสาขาของเธอนั้นแตกต่าง เห็นจะเป็นคาแร็กเตอร์ของกลุ่มลูกค้าซะมากกว่า

“อย่างสาขาโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กลุ่มลูกค้าของสาขานี้ก็จะมีคาแร็กเตอร์ที่ชัดเจนมาก จะเป็นกลุ่มผู้ป่วย ญาติผู้ป่วย ผู้สูงอายุที่มาโรงพยาบาล ด้วยความที่เจลาโต้ร้านเราสามารถสั่งฮาล์ฟรสชาติได้ มันก็เลยค่อนข้างตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าเหล่านี้ ที่บางคนเขาก็อยากจะตามใจปากสั่ง salted caramel บ้างสักครึ่งถ้วย อีกครึ่งถ้วยก็จะต้องเป็น dark chocolate แบบ no sugar added นะ ต้องเฮลตี้ประมาณหนึ่งด้วย แต่สำหรับสาขาโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์เนี่ย รสที่ขายดีตลอดกาลเลยคือ dark chocolate แบบ no sugar added นั่นแหละ” 

“ส่วนสาขาเซ็นทรัลเวิลด์ก็จะเป็นทาร์เก็ตลูกค้าแบบนักท่องเที่ยวซะส่วนใหญ่ ในสาขาทองหล่อ 13 ก็จะเป็นกลุ่มลูกค้าที่เป็นครอบครัว มีกลุ่มคนญี่ปุ่นที่พักอาศัยอยู่แถวนี้ มีโรงเรียนนานาชาติและที่เรียนพิเศษของเด็กๆ แล้วก็มีกลุ่มลูกค้าที่เที่ยวกลางคืนบ้าง มักจะชอบมาเวลาใกล้ๆ ร้านปิด ส่วนสาขาแฟชั่นไอส์แลนด์ โซนนั้นจะเป็นกลุ่มครอบครัวคนไทยเลย โซนหมู่บ้านจัดสรร และสาขาล่าสุดอย่างเมกาบางนาก็จะเป็นครอบครัวคนไทยเหมือนกัน แต่ย่านนี้จะมีโรงเรียนนานาชาติเยอะมาก มีเด็กๆ มาเดินเล่นที่ห้างกัน ค่อนข้างวัยรุ่นกว่า” 

จากลูกค้าสู่ครอบครัว

ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว อาจมีแค่เพียงตัวเธอที่พยายามจะสื่อสารและอธิบายโปรดักต์ของร้านให้แก่ลูกค้าฟังอยู่เสมอ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในคำถามทั่วไปอย่าง ‘ไอศครีมกับเจลาโต้ต่างกันยังไง’ แต่แทนที่เธอจะรู้สึกเบื่อหน่ายกับมัน เธอกลับชอบพูดคุยและชอบที่จะเล่าเรื่องราวเดิมๆ ซ้ำๆ ให้กับลูกค้ารายใหม่ที่วนเวียนเข้ามาในร้านอย่างไม่ขาดสาย เพียงแต่ว่าสิ่งนี้สำหรับเธอมันคือการสื่อสารแบบ ‘one-way communication’ ก็เท่านั้น

แต่ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ตลาดไอศครีมและเจลาโต้ในประเทศไทยก็ค่อยๆ แมสขึ้นในทุกๆ วัน จากที่ยิ้มจะต้องตอบคำถามเดิมๆ วนไปวนมา ก็กลายเป็นว่าลูกค้าเองก็ถูก educate จากกระแสสังคมยุคใหม่

“ลูกค้าในปัจจุบันเขาก็เริ่มมีความรู้ที่เยอะขึ้น นอกจากจะรู้ว่าเจลาโต้กับไอศครีมต่างกันยังไง ยังไปถึงเนื้อสัมผัสที่แตกต่างกันของเจลาโต้ในแต่ละแบรนด์ แต่ละร้านแล้วด้วย ในบางครั้งตัวยิ้มเองก็ได้คำแนะนำดีๆ มาจากลูกค้าของแบรนด์เราเองนี่แหละ” 

สิ่งนี้สำหรับยิ้มมันจึงกลายเป็นการสื่อสารแบบ ‘two-way communcation’ หรือการสื่อสารด้วยกันทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายแบรนด์เองก็ดี หรือฝ่ายลูกค้าที่จะเป็นคนหันกลับมาพุดคุยถึงดีเทล ingredient และรสชาติของเจลาโต้ที่พวกเขาเคยไปสัมผัสมาจากหลากหลายประเทศ การสื่อสารเช่นนี้นี่แหละ คือส่วนสำคัญที่จะเข้ามาช่วยพัฒนาให้ Ampersand Gelato นั้นยืนระยะต่อไปได้ในอนาคต

“10 ปีที่เราอยู่ในวงการนี้มา แน่นอนว่าเราเองก็เห็นธุรกิจเจลาโต้แบรนด์ต่างๆ เจ้าต่างๆ มากขึ้น แต่จุดแข็งของ Ampersand Gelato ที่ยังทำให้เรายืนระยะได้แล้วลูกค้ายังนึกถึงแบรนด์เราอยู่คือ ‘การคงคุณภาพในรสชาติของเจลาโต้’ หมายถึงว่าการคงทั้งคุณภาพของตัวเจลาโต้เอง รสชาติที่แม่นยำ มากินกี่ครั้ง กินกี่ปีก็ยังคงอร่อยเหมือนเดิม แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเราไม่พัฒนานะ แต่เรายังคีปคุณภาพทุกๆ อย่าง คุณภาพวัตถุดิบเองก็ด้วย ส่วนในเรื่องของรสชาติเราก็พยายามคิดค้นรสชาติใหม่ๆ ออกมาขายตามฤดูกาล เป็นรสชาติ seasonal ให้ลูกค้าได้มาลองชิมกันเรื่อยๆ”

“พอเรามั่นคงและชัดเจนในจุดแข็งของธุรกิจเราเอง มันเลยทำให้ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เราเริ่มมีฐานลูกค้าประจำ เริ่มมีคอมมิวนิตี้ของลูกค้าที่ชื่นชอบใน Ampersand Gelato อีกทั้งฐานลูกค้าของเราก็จะมีทั้งลูกค้าประจำที่มาหน้าร้านหรือลูกค้าที่ติดตามกันในโซเซียลเองด้วย ลูกค้าเหล่านี้เขาก็จะส่งคำถามมาหาอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็น ‘ไม่ทำรสนี้บ้างเหรอ’ ‘ไปเที่ยวต่างประเทศมา เขามีรสนี้ ที่นี่ไม่มีบ้างเหรอ’ โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่สนิทกับเราหน่อย บางครั้งเขาก็จะซื้อวัตถุดิบจากต่างประเทศมาให้เราลองทำเจลาโต้ให้ก็มี”

ในขณะที่เราพูดคุยกันถึงเรื่องคอมมิวนิตี้ของคนรัก Ampersand Gelato นั้น ใบหน้าของยิ้มเองก็เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มเช่นเดียวกับชื่อของเธอ ก่อนเธอจะบอกกับเราอีกด้วยว่าเธอเองก็ไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งเธอจะมีคอมมิวนิตี้ที่เต็มไปด้วยเหล่าคนที่รักแบรนด์ของเธอ คนที่ชอบการกินเจลาโต้เหมือนกัน ตลอดจนลูกค้าบางคนเองก็ได้กลายมาเป็นเพื่อนสนิทที่ชวนกันออกไปแฮงเอาต์และคอยดูแลซึ่งกันและกันด้วย 

“ณ ตอนนี้ ส่ิงที่ยิ้มเชื่อว่าจะทำให้แบรนด์ยืนระยะต่อไปได้คือ คอมมิวนิตี้ของลูกค้าเราที่ปัจจุบันก็ยังคอยซัพพอร์ตแบรนด์เราเหมือนครอบครัวเสมอ ด้วยความที่เขากินและติดตามโปรดักต์เรามาตลอด ลูกค้ากลุ่มนี้จึงเป็นลูกค้าที่จะคอยแนะนำและฟีดแบ็กสิ่งที่เราทำได้ดี การที่ลูกค้ารักแบรนด์เรามากๆ ในบางครั้งเขาก็คอยช่วยเป็นมาร์เก็ตติ้งให้กับเราด้วย คอยโปรโมตหรือคอยแนะนำแบรนด์ของเราให้กับคนอื่นเสมอ” 

อนาคตของ Ampersand Gelato 

“สำหรับอนาคต ยิ้มอยากให้แบรนด์ของเราเป็นที่รู้จักมากขึ้น แม้ว่า Ampersand ที่กำลังเข้าสู่ขวบปีที่ 10 จะมีฐานลูกค้าประมาณหนึ่งแล้วก็ตาม แต่เรายังอยากมีคอมมิวนิตี้ทั้งสำหรับคนรัก Ampersand Gelato ก็ดี หรือคอมมิวนิตี้คนรักไอศครีมและเจลาโต้ที่ใหญ่ขึ้น เพราะการที่เรามีหน้าร้านทั้งหมด 5 สาขา ณ ตอนนี้ มันก็ไม่ได้เป็นการการันตีว่าจะมีคนรู้จักแบรนด์ของเราเยอะขนาดนั้น เพราะฉะนั้นเราก็อยากจะ grow community ของเราไปอีก ซึ่งถ้าถามว่าเราจะทำให้แพลนในอนาคตของเราเป็นจริงได้ยังไง ยิ้มคิดว่าเราก็คงจะต้องขยายสาขากันอีก” ยิ้มพูดถึงแพลนในอนาคตให้เราฟัง

“ณ ตอนนี้ลูกค้าของเราก็ไม่ได้มีแค่กลุ่มคนในเมืองหลวงเนอะ เรามีการส่งเจลาโต้ไปยังลูกค้าที่อยู่ต่างจังหวัดด้วย มันก็อาจจะเป็นแพลนในการขยายสาขาของเราในอนาคตข้างหน้าก็ได้ ซึ่งจริงๆ เราเองก็มีลูกค้าชาวต่างชาติด้วย มันเลยทำให้ยิ้มพยายามที่จะ develop brand ของเราให้ไปถึงจุดนั้นอยู่เรื่อยๆ แต่ ณ ตอนนี้เราก็ยังต้องใช้เวลาในการศึกษาทั้งในตลาดต่างจังหวัดเอง แล้วก็ต่างประเทศมากขึ้นด้วย คงจะต้องใช้เวลาอีกสักพักเลย แต่ก็อยากจะไปให้ถึง” เธอขยาย

“จริงๆ การขยายสาขาไปยังต่างประเทศคือความฝันของเราเลย เพราะอย่างทุกวันนี้เราก็นำรสชาติเจลาโต้ต่างๆ ที่ได้รับแรงบันดาลใจในหลายๆ ประเทศมาวางขาย  ซึ่งเราเองก็อยากนำรสชาติไทยๆ ไปแลกเปลี่ยนในสาขาต่างประเทศกับเขาบ้าง อยากให้เขาได้กินรสอัญชันมะนาว รสชาไทยบ้าง แล้วก็อยากให้เขาได้ทำความรู้จักกับรสชาติที่คนไทยกิน” 

“อยากบอกอะไรกับคนที่กำลังคิดอยากริเริ่มทำธุรกิจเป็นของตัวเองบ้าง” เราถามคำถามสุดท้ายกับยิ้มก่อนแยกย้าย

“สำหรับผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่กำลังมีความคิดอยากจะเปิดธุรกิจเป็นของตัวเอง อาจจะเป็นน้องๆ จบใหม่เหมือนยิ้มเมื่อ 10 ปีที่แล้วก็ได้ สิ่งที่ยิ้มอยากจะแนะนำคืออยากให้ศึกษาธุรกิจนั้นๆ ให้ดี ต้องค่อยๆ คิดว่าเราต้องทำอะไรบ้างเป็นลิสต์ๆ สเตปๆ ไป เพราะ ณ ตอนนี้ ความรู้ในตลาดมันมีให้เราเลือกสะสมเยอะมาก แต่เราต้องเลือกเสพ input ที่ถูกต้องและเหมาะสมด้วย แน่นอนว่าเราก็ไม่สามารถรับข้อมูลที่มีได้ทั้งหมด เพราะฉะนั้นยิ้มเลยอยากให้ศึกษาให้ดีๆ เราจะได้ไม่มา struggle งุนงงกับการตัดสินใจของตัวเองในภายหลัง” 

“ที่สำคัญเลยคืออยากให้มั่นใจว่าสิ่งที่กำลังจะทำคือสิ่งที่ตัวเองชอบจริงๆ เพราะในบางครั้งธุรกิจของเราอาจจะกำลังพบเจอกับอุปสรรค แต่ถ้านั่นมันคือส่ิงที่เราชอบอยู่แล้ว แรงฮึดของเรามันก็จะเยอะขึ้นด้วย มันจะรู้สึกว่าไม่เป็นไร เราชอบที่จะทำ เราชอบที่จะแก้ไขปัญหาให้มันกลับมาดีอย่างเดิมหรือดีขึ้นกว่าเดิม” 

What I’ve Learned

  • เทรนด์และความต้องการของลูกค้าต้องได้รับการมอนิเตอร์อยู่เสมอ
  • แม้ว่าเราจะมีประสบการณ์และเชี่ยวชาญในเรื่องเจลาโต้มากว่า 10 ปี แต่ด้วยความรู้และวัตถุดิบใหม่ๆ ที่เพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน เราจึงยังต้องศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ
  • หมั่นคอยอัพเดตและเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อให้สะดวกต่อการเก็บสถิติและช่วยให้งานหลังบ้านเป็นระบบมากขึ้น
  • ‘Put the right man on the righ job’ แน่นอนว่าเราไม่จำเป็นต้องเชี่ยวชาญในทุกๆ เรื่อง แต่เราสามารถทำให้ธุรกิจของเราดีขึ้นได้จากการมีสตาฟที่ถนัดในหน้าที่นั้นๆ
  • บทเรียนที่สำคัญที่เราได้จากในช่วงโควิด-19 คือ ‘การหักดิบ’ หรือการที่เราต้องตัดสินใจไม่ทำอะไรหากไม่จำเป็น ด้วยคาแร็กเตอร์ของเราที่เวลามีไอเดียอะไร อยากทำอะไร เราก็มักจะลุย จะทำเลยเสมอ แต่เมื่อธุรกิจของเราต้องหยุดชะงักไปในช่วงโควิด-19 เราเลยต้องคิดที่จะเบรกตัวเองให้มากขึ้น เพราะบางอย่างที่เราอยากทำมันก็อาจจะไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นสำหรับลูกค้าก็ได้
  • ลับคมธุรกิจกับ Cutboy แบรนด์มีดสุดคราฟต์ที่เติบโตจากปากต่อปากและตั้งเป้าว่าจะไม่มีวันทื่อ 

    Cutboy คือร้านขายมีดและอุปกรณ์ครัวของ แซม–อัครพงศ์ ชีวะปัญญาโรจน์ อดีตเชฟที่ผันตัวมาเปิดร้านขายมีดเพราะความลุ่มหลงในศิลปะการทำมีด โดยเฉพาะมีดญี่ปุ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตามแต่ฝีมือช่าง 

    แซมเริ่มต้นจากการขายมีดสุดคราฟต์และสุด niche ในโลกออนไลน์ บ้างก็เดินหิ้วกระเป๋ามีดไปขายตามร้านอาหาร ก่อนตัดสินใจลาออกจากงานเชฟแห่งเชนร้านสเต๊กชื่อดังเพื่อเปิดหน้าร้านขนาดกะทัดรัดที่ซอยสุขุมวิท 38 

    มีดที่แซมคัดสรรมาขายมีตั้งแต่ราคาหลักร้อยไปจนถึงหลักแสน ราคาที่สูงกว่ามีดตามท้องตลาดอาจทำให้หลายคนไม่เข้าใจเหตุผลเหล่านั้น แต่สำหรับแซม มีดเหล่านี้ไม่ใช่เพียงอุปกรณ์ทำครัวทั่วไป แต่ยังเป็นเพื่อนคู่ครัวของคนรักการทำอาหาร งานคราฟต์ที่ใส่ทั้งหัวใจและประสบการณ์ของช่างฝีมือ รวมถึงแบรนด์ที่ไม่เพียงเชี่ยวชาญเรื่องมีด แต่ยังช่ำชองเรื่องการลับคม เพราะ Cutboy ไม่ใช่แค่ขายมีด แต่ยังมีบริการหลังการขายอย่างการรับลับมีดซึ่งเป็นศาสตร์เฉพาะทางที่ต้องร่ำเรียนจริงจัง

    ในวันที่ Cutboy เดินทางมาถึงปีที่ 8 

    ในวันที่แซมไม่ใช่แค่คนขายมีดแต่เป็นชายหนุ่มที่มีอิทธิพลในวงการอาหารของไทยไม่น้อย 

    ในวันที่แบรนด์มีดเล็กๆ มีสาขาอยู่ที่มาเลเซียและกลายเป็นแบรนด์มีดที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 

    เรานัดพบกับแซมที่ร้านมีดของเขาในซอยสุขุมวิท 38 เพื่อชวนทบทวนถึงการทำ Cutboy ตั้งแต่ day 1 จนถึงวันที่แซมต้องการเติบโต

    ณ หน้าร้าน Cutboy ที่ฝนกระหน่ำ แต่ลูกค้ายังคงแวะเวียนมาไม่ขาดสาย แซมเอ่ยคำทักทายและส่งรอยยิ้มสุดนุ่มนวลให้เรา ก่อนเริ่มสนทนาถึง ‘คมศาสตร์’ การทำธุรกิจของมีคมที่ไม่เพียงอาศัยความชำนาญ แต่อาศัยความซื่อสัตย์จนทำให้ Cutboy ไม่มีวันทื่อ 

    มีดญี่ปุ่นพิเศษยังไงถึงเอาชนะใจเชฟอาหารตะวันตกอย่างคุณได้

    จริงๆ แล้วเราต้องเอากรอบตรงนี้ออกไปก่อน เพราะสำหรับแซม มีดก็คือมีด ทำจากที่ไหนก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่ทีนี้มีดญี่ปุ่นที่มันบาง คม และประณีตมาก มันถูกจริตเรา ซึ่งอาหารทางฝั่งเอเชียมันเหมาะกับมีดญี่ปุ่นมากๆ 

    คนเอเชียเวลาเสิร์ฟเนื้อเราจะไม่เสิร์ฟชิ้นใหญ่ ผักเราก็จะซอยบางๆ อย่างลาบ น้ำตก ที่ต้องโรยหอมแดง โรยใบมะกรูดเนี่ย มีดญี่ปุ่นตอบโจทย์มาก 

    แล้วมีดที่ดีในมุมของคุณคือมีดแบบไหน  

    มีดที่ดีคือมีดที่เหมาะกับเรา จะถูกจะแพงไม่เกี่ยว 

    หนึ่ง–จับแล้วสบายมือ สอง–รู้สึกผ่อนคลายเวลาหั่น สาม–รู้สึกผ่อนคลายกระเป๋าสตางค์เวลาซื้อ นี่ต่างหากคือมีดที่เหมาะสม

    มีดแพงบางครั้งมันก็มีปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น ช่างคนนี้เป็นปรมาจารย์ได้รับการยอมรับจากหลายคน วัสดุนี้สุดยอดมาก หรือเป็นวัสดุที่เมดอินเจแปนเท่านั้น หาได้จากลำธารแถวเกียวโต 

    ส่วนหลักในการเลือกมีดเข้ามาขายคือ หนึ่ง–แซมชอบ สอง–คุณภาพต้องได้ สาม–ราคาต้องได้ แต่จะได้ทั้ง 3 ข้อนี้มันยาก ถ้าคิดว่าจะเอามีดเล่มนี้มาขายให้กับลูกค้าที่มีฐานเงินเดือนจำกัด เป็นหน้าที่แซมที่ต้องบี้ด้วยจำนวน แต่ไม่บี้ราคากับช่างมีด เพราะถ้าต่อจนน่าเกลียดช่างมีดจะอยู่ยังไง 

    นี่ก็เป็นอีกเรื่องสำคัญในการทำธุรกิจนะ คือเราต้องเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เวลาไปหาช่างญี่ปุ่น แซมหาของติดไม้ติดมือตลอด ครั้งหนึ่งแซมเอาผ้าพันคอของทางเหนือไปฝากภรรยาช่างมีด ภรรยาเขาใส่ไปงานรับปริญญาลูกเราดีใจจะตาย 

    การเอางานที่ประณีตมากๆ ของประเทศที่ให้ความสำคัญเรื่องงานคราฟต์มาขายในไทยยากไหม

    มันคือความเชื่อใจ เราต้องยอมรับว่าสิ่งที่เราขายอยู่มันไม่ใช่สินค้าปกติ มันคืองานฝีมือ แต่ตอนนั้นเราไม่มีความน่าเชื่อถือเพราะเราเพิ่งเริ่ม 

    8 ปีที่แล้ว ตอนที่แซมบินไปญี่ปุ่นเพื่อไปขอซื้อมีด ช่างมีดไม่เชื่อเลยว่าเราจะเอาของเขาไปขายได้ยังไง บางคนไม่เคยมาประเทศไทยด้วยซ้ำ ที่ตลกคือถามว่าประเทศไทยอยู่ไหนเพราะเขาอายุ 80 ปีกันแล้ว 

    บางคนให้เราลับมีดให้ดูก่อนด้วย ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติ เพราะเขาไม่ได้ขายเพื่อเงินแล้วจบ แต่เขาคำนึงถึงผลงานของเราด้วยว่าเราจะดูแลมีดให้ลูกค้าได้ไหม เราก็ต้องหาทางคุยกับเขาให้ได้ แต่ข้อดีของคนไทยคือคนไทยเป็นคนนอบน้อม มันก็มีทางเข้าได้ง่าย

    วิธีการขายของที่ค่อนข้าง niche และคราฟต์ของ Cutboy เป็นแบบไหน ถึงเอาชนะใจลูกค้าได้

    เราต้องเข้าใจลูกค้าว่าเขาต้องการอะไร ทำไมเขาเลือกจ่ายเยอะกว่าชาวบ้าน ทุกคนมีคำถามหมดว่าทำไมต้องขายราคานี้ ก็อย่าให้เขาสงสัยสิ เราต้องบอกรายละเอียดให้หมดทุกอย่างตั้งแต่แรก เช่นช่างคนนี้อายุ 80 มีลูกสาวคนเดียว แน่นอนลูกสาวไม่เอา หมดคนนี้ก็หมดเลย ราคาขึ้นแน่นอน

    ที่สำคัญ ถ้าลูกค้าซื้อราคานี้ได้ เขาไม่แคร์เรื่องเงินหรอก เขาแคร์ความสบายใจ แคร์การบริการ แต่พอเราขยายตลาดมากขึ้น เราจะเจอลูกค้าหลากหลายแบบซึ่งวิธีการรับมือก็ต่างกัน  

    คุณคิดว่าตัวเองกล้าไหมที่เปิดร้านขายมีดที่ค่อนข้าง niche มากๆ

    กล้าไหม กล้า แต่แซมคิดมาดีแล้ว และในทุกๆ การย้ำคิดย้ำทำของแซม มันมีแผนการที่วางไว้อยู่ 

    แซมเริ่มเปิดร้านขายมีดออนไลน์เพราะแซมชอบสะสมมีด แต่ที่ไทยไม่มีมีดแบบที่เราต้องการเหมือนตอนอยู่ต่างประเทศ แซมเลยคิดว่าเดี๋ยวแซมเปิดเองซะเลย พอมีดมันดี คนก็เริ่มบอกกันปากต่อปาก

    สเตปถัดมา แซมตั้งเป้าไว้เลยว่าถ้ายอดขายมีดในแต่ละเดือนมันเกินเงินเดือนหลักของแซม 3 เดือนเมื่อไหร่ แซมจะลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดหน้าร้าน เพราะมีดราคาสูงขนาดนี้มันต้องมีการ maintenance ถ้าลูกค้าซื้อจากเราไปแล้วไม่มีบริการหลังขาย เขาจะเอามีดไปลับที่ไหน

    แต่สุดท้าย ความย้ำคิดย้ำทำของแซมมันก็ทำให้แซมยังลาออกทันทีไม่ได้ เพราะตำแหน่งของแซมมันสำคัญมากกับบริษัท แซมจึงใช้เวลา 6 เดือน ค่อยๆ ทำหน้าร้าน แล้วค่อยลาออกมาเปิดร้าน

    แผนแน่นมาก

    การทำธุรกิจมันต้องมีแผน 2 แผนไม่พอด้วยนะ ต้อง 3 แผนเป็นอย่างน้อย เรียกว่าแซมลาออกจากงานปุ๊บ แซมพร้อมขายของที่หน้าร้านเลย 

    ความยากในช่วงที่ Cutboy ยังไม่เป็นที่รู้จักคืออะไร  

    ยากแรกตอนที่เริ่มขายออนไลน์ มันเป็นช่วงที่โซเชียลมีเดียยังไม่ได้เป็นช่องทางหลักแบบสมัยนี้ แล้วแซมเป็นเชฟ แซมไม่ได้เรียนหรือทำงานด้านเซลล์มาก่อน สิ่งเดียวที่มีติดตัวคือแซมมีแต่ความจริงใจ มีปัญหาอะไรติดต่อแซมได้เลยนะ

    เรื่องหนึ่งที่ตลกมากคือมีลูกค้าท่านหนึ่งอยากซื้อมีดกับแซมมาก มีดเล่มนั้นราคาเกือบ 10,000 บาท ตอนนั้นเขากลัวโดนหลอก เพราะการซื้อของออนไลน์มันไม่ได้ง่ายเหมือนตอนนี้ แซมเลยต้องขายมีดพร้อมกับรูปถ่ายบัตรประชาชน นี่คือช่วงแรกที่แซมจะต้องดีลกับลูกค้าโดยอาศัยความซื่อสัตย์

    อีกยากหนึ่งคือเรื่องราคาที่แซมพยายามทำราคาให้เท่ากับญี่ปุ่นมากๆ ทั้งที่แซมต้องเสียค่าเดินทาง ค่านำเข้า และอะไรมากมาย มีครั้งหนึ่ง แซมกับภรรยาซึ่งตอนนั้นยังเป็นแฟนกันอยู่หิ้วกระเป๋ามีดออกไปเสนอตามร้านอาหาร เชฟให้เราเอามีดทุกเล่มไปเสนอบนตึกสูง เราแผ่เต็มโต๊ะยาว 3 โต๊ะ เชฟถามว่าลดได้ไหม แซมบอกว่าลดไม่ได้ เพราะแซมพยายามทำราคาให้ใกล้ญี่ปุ่นที่สุด เชฟบอกงั้นเก็บ 

    เล่าตอนนี้อาจดูตลก แต่ตอนนั้นโกรธและเสียใจ เสียใจที่พาภรรยาที่เขาไม่ควรจะได้รับอะไรแบบนี้ไปด้วย เพราะเขาทำงานเป็นผู้บริหาร เขาไม่จำเป็นต้องมาเดินขายของกับเราก็ได้แต่เขาก็มา แต่มีเชฟสเปนคนหนึ่งเขาแอบคุยกับแซมว่ามีเซตไหนแนะนำเขาบ้าง เขาจะซื้อ 

    แซมบอกว่าคุณเป็นเชฟขนมหวาน คุณจะซื้อทำไม เขาบอกว่าเขาไม่อยากให้แซมจำว่าวันนี้ขายไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว จนวันนี้ เชฟย้ายไปอยู่เซี่ยงไฮ้แล้ว เรายังซัพพอร์ตกันอยู่ อีกคนที่ซัพพอร์ตกันอยู่จนถึงวันนี้คือคุณดีแลน โจนส์ เจ้าของร้าน Bo.lan เพราะเขาถูกใจมีดแซมแล้วบอกต่อ แซมจำนะว่าเขาเคยช่วย ตอนที่ดีแลนทำอีเวนต์แล้วไม่มีมีดสเต๊ก เขาต้องการ 30-40 เล่ม แซมส่งไปให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย 

    ทั้งเศร้า ทั้งเสียใจ อะไรทำให้รู้สึกว่าต้องไปต่อ

    แซมมีเป้าหมาย และเป้าหมายแซมใหญ่มาก มันใหญ่เกินกว่าที่ใครจะมาทำให้แซมหยุดทำได้  

    มันเหมือนเราสร้างบ้านเลย หลังคาบ้านคือเป้าหมาย ซึ่งหลังคานั้นมันคือเราอยากให้ Cutboy ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 

    การที่เราจะไปถึงหลังคาบ้านนั้นได้ แซมต้องมีระบบขนส่งที่ดี ต้องมีบริการหลังการขายที่ดี ต้องมีสินค้าที่หลากหลาย ต้องมีการบริการออนไลน์ ถ้าแซมทำ 4 เสาได้ หลังคามันไม่หนีไปไหน

    ซึ่งตอนนี้พูดได้ว่า Cutboy เป็น the best ไหมไม่รู้ แต่เราเป็น the biggest 

    ปัจจุบันลูกค้าส่วนใหญ่ของ Cutboy คือใคร  

    3 ปีแรก 80% คือเชฟมืออาชีพ 10% คือคนทั่วไปที่ซื้อไว้ทำครัวที่บ้าน อีก 10% คือน้องนักเรียน ตอนนี้เชฟมืออาชีพเหลือ 50% คนทั่วไป 30% และอีก 20% เป็นน้องนักเรียน เพราะแซมคิดว่าเชฟต่างชาติเขาไม่ได้อยู่ไทยตลอดไป พอเขาได้งานที่ใหม่ เขาก็ย้ายไปแล้ว ถ้าแซมอยากอยู่ได้ แซมต้องมีลูกค้าประจำซึ่งต้องเป็นคนท้องถิ่น หรือคนในประเทศไทยเรานี่แหละ 

    โดยเฉพาะน้องนักเรียนที่เรียนทำอาหาร แซมอยากให้เขาเริ่มจากมีดคุณภาพดีไปเลย เพราะลองคิดภาพว่าวันๆ น้องจะต้องจับมีดวันละ 6 ชั่วโมง ถ้ามีดหนักไป ด้ามมีดไม่เหมาะกับส่วนโค้งเว้าของมือ เอ็นนี่ไปหมดแล้วนะ ตื่นเช้ามานิ้วล็อกแน่นอน

    อีกอย่าง มีดที่ดีมันจะอยู่กับเราไปเป็น 10-12 ปี ถ้าไม่ถูกขโมยไปซะก่อน (หัวเราะ)

    แล้ววงการมีดมีเทรนด์แบบวงการอื่นๆ บ้างไหม

    มีเทรนด์แน่นอน และคนที่จะได้ตลาดไปคือคนที่มองเห็น ตอนนี้คนจะกลับมาเล่นมีดทรงเก่าๆ และช่างมีดหน้าใหม่ไฟแรงก็กำลังมา

    แต่ถ้ามองในภาพรวมในฐานะเครื่องครัว มีดจะถูกใช้น้อยลง อุปกรณ์ครัวจะถูกใช้มากขึ้น เช่น ในกองทัพสหรัฐฯ เขาไม่ได้ใช้มีดหั่นของบนเขียงแล้วนะ มันเสี่ยงเกิดการปนเปื้อน หรืออย่างร้านสเต๊ก เดี๋ยวนี้ชิ้นเนื้อก็ตัดสำเร็จมาจากโรงงานเลย คนทำมีหน้าที่แค่ตัดถุง เทใส่ถาด เข้าอบ ออกมาแบบพร้อมทาน 

    เราต้องขยายตามเทรนด์

    เราต้องขยายก่อน เช่น เรารู้ว่าคนเริ่มใช้มีดน้อยลง ก็ต้องคิดว่าแล้วอะไรล่ะที่จะตัดสิ่งของได้ กรรไกรไง แล้วกรรไกรใครๆ ก็ใช้ได้โดยไม่ต้องมีสกิล แต่การใช้มีดมันอาศัยสกิลการทำอาหารมากนะ

    ดังนั้นสิ่งที่เราควรจะโฟกัสต่อไปคือการบริการที่ต้องมากขึ้น จากแต่เดิมที่เรามีบริการลับมีดที่ร้านอยู่แล้ว นอกจากนั้น สินค้าเราก็ต้องหลากหลายซึ่งตอนนี้ที่ร้านก็เริ่มมีอุปกรณ์ที่เราออกแบบเองแล้ว เช่น ช้อนตักไอติมที่เป็นรูปไข่ไก่  

    เอาความรู้เรื่องธุรกิจมาจากไหนทั้งที่คุณทำงานเป็นเชฟ

    อย่างแรก เรื่องเทคนิคการขาย มาร์เก็ตติ้ง แซมเคยทำซิสเลอร์มาก่อนและแซมอยู่ในกลุ่มผูบ้บิหารของไมเนอร์กรุ๊ป ทุกครั้งที่เข้าประชุมแซมก็ต้องเข้าไปฟังด้วย

    ทุกครั้งแซมจะเห็นผู้บริหารรุ่นใหญ่ๆ เขาดุด่าพนักงาน แต่ถ้าเรามองอีกมุม การดุด่าตรงนั้นมันคือการสอน แม้มันอาจจะฮาร์ดคอร์ไปหน่อย แต่แซมก็ค่อยๆ เก็บความรู้ตรงนั้นมาใช้ แซมจบเชฟมาก็จริง แต่แซมคิดว่าแซมมีปริญญาอีกใบจากที่นี่

    ส่วนอีกอย่างที่สำคัญ แซมว่าความซื่อสัตย์เป็นสิ่งที่ทุกธุรกิจต้องมี และแซมโชคดีที่แซมมีเรื่องนี้เพราะแซมอยากให้ลูกค้ารู้สึกปลอดภัยเวลามาซื้อของเรา ตอนเปิดสาขาที่ศรีนครินทร์จะมีเด็กๆ มาซื้อกันเยอะและเด็กๆ ก็จะมากับพ่อแม่ แซมบอกพ่อแม่เลยว่าไม่ต้องห่วง มาที่นี่ปลอดภัย 

    เด็กคนไหนจะซื้อของแพงแซมบอกตามตรงว่าอยากซื้อก็ขาย แต่จริงๆ แล้วอันนี้ไม่จำเป็นนะ ใช้อันนี้พอ เพราะถ้าซื้อแพงแล้วเราต้องไปฝึกลับ เขาจะกล้าลับไหม หรือถ้าอยากเปลี่ยนไปฝึกอาหารประเภทอื่นก็ต้องมาซื้อใหม่ มันจะคุ้มกันเหรอ

    แซมถึงบอกว่าแซมขายไม่เก่ง แต่แซมซื่อสัตย์ แซมจริงใจ เพราะเราก็เคยเป็นเชฟมาก่อน ตอนแซมซื้อแซมก็อยากมีคนแบบนี้มาคอยแนะนำ นี่คือพื้นฐานของการทำธุรกิจ

    คุณทำ Cutboy ด้วยความเชื่อว่าอะไร  

    แซมต้องการให้คนไทยมีอุปกรณ์ที่ทัดเทียมกับทั่วโลกใช้ แซมเชื่อเสมอว่าคนไทยไม่แพ้ใครในโลกเพราะเบื้องหลังร้านอาหารดังๆ มีคนไทยเสมอ เพียงแค่เรายังไม่มีโอกาสโชว์ศักยภาพตัวเองและบางครั้งก็ขาดอุปกรณ์ที่เหมาะสมกับสกิล

    ในอดีตไทยเรามีมีดของตัวเองก็จริง แต่ตัวเลือกมันน้อยมาก และลูกค้าอาจจะไม่ได้ใกล้ชิดกับร้านขนาดนี้ เวลาจะซื้อก็ไม่มีโอกาสได้ลอง เพราะส่วนใหญ่เขาก็ขายกันในร้านอุปกรณ์ครัวที่ไม่ได้มีสเตชั่นให้จับ หรือคนขายก็ไม่ได้เช่ียวชาญเรื่องนี้โดยเฉพาะ แต่กับ Cutboy แซมเอามีดตัวท็อปท็อปของโลกมานำเสนอด้วยราคาที่เหมาะสม เอามาให้ลองจับ ลองใช้จริง ซื้อไม่ซื้อไม่เป็นไร 

    มีลูกค้าคนหนึ่งซื้อมีดแซมตั้งแต่มหา’ลัยปี 1 แล้วก็เอาไปใช้ทำงานกับร้านอาหารระดับโลกที่ต่างประเทศ กลับมาเขามาเปิดร้านตัวเองจนตอนนี้ร้านของเขาเป็นร้านดังในประเทศไทยแล้ว มีดเล่มแรกนั้นก็ยังอยู่กับเขาเลย แล้วเขาใช้ทุกวันด้วย และนอกจากเคสนี้แล้วก็ยังมีลูกค้าอีกหลายคนที่เป็นแบบนี้ 

    ความสุขของการทำ Cutboy มากว่า 8 ปีหน้าตาเป็นแบบไหน

    กำไรที่ได้มาทั้งในเชิงความรู้สึกและตัวเงิน

    แซมทำธุรกิจแซมต้องการกำไรใช่ไหม แต่ว่าเหนือสิ่งอื่นใดคนรอบข้างแซมต้องมีชีวิตที่ดีขึ้น ลูกค้าแซมแฮปปี้ ประทับใจ และประสบความสำเร็จโดยมีมีดของ Cutboy เป็นฟันเฟืองเล็กๆ ในนั้น ส่วนพนักงานทุกคนก็ต้องมีหน้าที่การงานที่ดีขึ้น มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นี่ต่างหากล่ะคือความสุขของแซม 

    ย้อนกลับไป อยากบอกแซมในวันที่โดนปฏิเสธมีดกว่าร้อยเล่มว่าอะไร

    ถ้าในเชิงธุรกิจ แซมทำถูกแล้ว และให้มั่นใจกับสิ่งที่คิด แต่ถ้าส่วนตัว ก็อยากบอกว่าต้องลดน้ำหนักได้แล้วนะ (หัวเราะ)

    มายด์เซตแบบนักลงทุนที่ทำให้โตก้าวกระโดด โดย Kamren ผู้ปั้นสตาร์ทอัพยูนิคอร์น จากเวที CIS 2023

    เซสชั่นหนึ่งที่น่าสนใจในงาน Corporate Innovation Summit 2023 ซึ่งมีผู้บริหาร สตาร์ทอัพ และนักลงทุนมารวมตัวกัน คือเซสชั่นของสปีกเกอร์ผู้เป็นนักลงทุนหรือ VC (venture capital) อย่าง Kamran Elahian Co-founder & Chairman of the Board, Global Innovation Catalyst ที่มาแชร์ประสบการณ์ในหัวข้อ ‘Unicorn Playbook : Building the Unicorn Companies from My Experiences”

    คามรันเป็นนักลงทุนที่มีประสบการณ์เคยเป็นผู้ประกอบการด้วยตัวเองมาก่อน โดยเขานิยามตัวเองว่าเป็น high-tech entrepreneur ที่เคยร่วมก่อตั้งมาแล้วถึง 10 บริษัท และ 3 ใน 10 ของบริษัทเหล่านั้น ได้แก่ Cirrus Logic, NeoMagic และ Centillium ซึ่งเป็นบริษัทระดับยูนิคอร์นที่เข้า IPO (ตลาดหลักทรัพย์) ได้ โดยคามรันแชร์ประสบการณ์ว่าใน 3 บริษัทนั้น เขาเคยถูกไล่ออกจากบริษัทตัวเองถึง 2 บริษัท และที่กล่าวถึงความล้มเหลวของตัวเอง นั่นก็เพราะมองว่าคนเราควรจะพูดถึงความล้มเหลวได้

    ในมุมของนักลงทุน เขามีประสบการณ์เป็นนักลงทุนใน global venture capital ถึง 15 ปี และองค์กรในปัจจุบันคือ Global Innovation Catalyst นั้นก็ทำให้เขามีบทบาทในการเป็น advisor ให้หลายองค์กรและหลายประเทศ ประสบการณ์ที่พิเศษของคามรันทำให้เขาบอกว่าตัวเขาเองได้มีโอกาสเรียนรู้โลกธุรกิจจาก 2 มุมมอง คือมุมผู้ประกอบการและในมุมของผู้ให้คำปรึกษา โดยที่เขายังผ่านประสบการณ์การเรียนรู้ ecosystem ของธุรกิจที่แตกต่างกันจากหลายประเทศมาแล้วอีกด้วยทั้งสิงคโปร์ อิสราเอล ฯลฯ

    คามรันเล่าอินไซต์ที่เขาพบคือ หากมอง global innovation ecosystem ทั้งหมด ที่ประกอบด้วย research ecosystem, entrepreneurial ecosystem และ corporate ecosystem เขาพบว่า 80% ของบริษัทเหล่านี้ให้ความสำคัญกับนวัตกรรมเป็น Top 3 สิ่งที่สำคัญที่สุดในองค์กร

    อย่างไรก็ตาม แม้องค์กรส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับนวัตกรรมและมีงบประมาณในการลงทุน แต่เขามองว่าสิ่งที่เป็นอุปสรรคในการผลักดันและนำนวัตกรรมมาใช้เพื่อให้ธุรกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดดคือมายด์เซต ตัวอย่างเช่น หลายคนรู้ว่าเทคโนโลยีอย่าง AI กำลังมา แต่ในขณะเดียวกันก็ยังไม่กล้าเอามาใช้จริง คามรันมองว่าในอนาคตพนักงานอาจไม่ได้ถูกแทนที่ด้วย AI แต่จะถูกแทนที่ด้วยคนที่รู้ว่าใช้ AI ยังไงให้ทำงานเร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพขึ้นมากกว่า

    คำแนะนำคือ องค์กรควรตระหนักว่า ‘Serendipity is not a strategy’ คำว่า serendipity แปลว่า การมีโชคในการค้นพบสิ่งที่ต้องการโดยบังเอิญ หมายถึงการที่องค์กรหรือผู้นำมองเห็นความสำคัญของนวัตกรรมและมีความคาดหวังให้องค์กรสามารถนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ได้ แต่มีอุปสรรคคือไม่สามารถทำให้เกิดได้จริงเพราะยังไม่มีมายด์เซตในการลงมือทำ ตัวอย่างเช่น ทีมผู้บริหารหรือ top management ให้ความสำคัญกับการสร้างคุณค่ากับสินค้าและการขายในปัจจุบันเป็นอันดับหนึ่ง ทำให้แผนการผลักดันคุณค่าและเตรียมพร้อมกับการพัฒนาสิ่งใหม่สำหรับอนาคตระยะยาวถูกทิ้งไว้

    คามรันแนะนำว่าการคิดแบบนักลงทุนหรือ venture capital นั้นจะมาช่วยแก้ปัญหาดังกล่าว ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มักทำธุรกิจแบบใส่ใข่ในตะกร้าใบเดียว เช่น ทุ่มเททำหนึ่งบริษัทและมองการขายในปัจจุบัน แต่ venture capital จะลงทุนในหลายบริษัทและมองภาพไกลในอนาคต เริ่มจากลงทุนด้วยเงินน้อยๆ ในบริษัทหนึ่งก่อนแล้วลงเงินเยอะขึ้นเรื่อยๆ เมื่อบริษัทนั้นประสบความสำเร็จมากขึ้น ซึ่งองค์กรสามารถนำมายด์เซตที่มองไกลนี้มาประยุกต์ใช้ได้

    เมื่อมองไกลแล้ว The Building Blocks of Innovation หรือองค์ประกอบที่ทำให้เกิดนวัตกรรมที่ควรมีคือการมี 6P เหล่านี้อย่างถูกต้อง ได้แก่ people คนทำงานที่มีความรู้และทักษะเหมาะกับตำแหน่ง, projects and portfolio เลือกทำโปรเจกต์และมีกลยุทธ์ที่สร้างโอกาส, process กระบวนการทำงานที่ใช้ต้นทุนและวิธีที่ถูกต้อง, platform การไปอยู่ในที่ที่ถูกต้อง และ purpose การมีเป้าหมายที่อยากผลักดันให้ไปถึง

    ดังนั้นแม้คุณอาจไม่ใช่นักลงทุนหรือนักธุรกิจสตาร์ทอัพก็ตาม แต่หากอยากมองไกลและสามารถคิดค้นสิ่งใหม่ก็สามารถนำมายด์เซตของนักลงทุน venture capital มาประยุกต์ใช้ได้เช่นกัน

    บทสนทนาระหว่างมื้ออาหารว่าด้วยรสชาติ ชีวิต และสิ่งสำคัญของ โตมร ศุขปรีชา

    หลักฐานที่พิสูจน์ว่าสิ่งที่แน่นอนในโลกนี้คือความไม่แน่นอน คือความเคลื่อนไหวของความคิดคนที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา คนมักนิยามคำว่า ‘สิ่งที่สำคัญ’ ที่มีความหมายต่อชีวิตต่างกันไปในแต่ละช่วงแต่ละวัย ตอนเด็กเราเห็นของเล่น ลูกอม ขนมเป็นของมีค่า พอโตมาเราเห็นเพื่อนและคนรักเป็นสิ่งสำคัญ ย่างเข้าวัยทำงานเราอยากมีชื่อเสียงเงินทองที่มากพอจะบันดาลให้ชีวิตเราได้อยู่สบาย พอบั้นปลายเรามักโหยหาความสงบเย็นในชีวิต

    วันนี้เรานัดกินข้าวกับ โตมร ศุขปรีชา หรือพี่หนุ่มของน้องๆ ในวงการหนังสือ สื่อ และเหล่านักคิดนักเขียน ก่อนมาพบเขาในวันนี้เราติดตามเขาอยู่เสมอทั้งผ่านตัวอักษรในหนังสือและจากตัวหนังสือบนโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นบทความ บทกวี และความเรียงละเอียดอ่อนแต่คมคายของเขาทั้งเรื่องการใช้ภาษาและเรื่องมุมมองความคิด

    จากคุณสมบัติที่ว่ามาทำให้ตัดสินใจได้ไม่ยากว่าหากจะคุยกับใครสักคนถึงรสชาติของชีวิตผ่านมื้ออาหาร ให้เข้ากับชื่อคอลัมน์ ‘รสชาติชีวิต’ โตมร ศุขปรีชา คือคนแรกๆ ที่เรานึกถึงและอยากค้นหาว่ารสชาติชีวิตของเขาที่ผ่านมาและเป็นอยู่ในตอนนี้มีรสยังไง และอะไรคือสิ่งสำคัญในชีวิตของเขายามนี้

    เวลาบ่าย 3 โมงในวันศุกร์เดือนตุลาคม เรานัดพบเขาที่ร้าน Lay Low ย่านประชาชื่น ร้านแห่งนี้ตั้งอยู่ในสวนเล็กๆ ที่มีทั้งต้นไม้ใบสีเขียวกับต้นดอกพุดสีขาวอยู่รายรอบร้าน โดยมีผีเสื้อตัวน้อยโบยบินไปมาตามต้นไม้

    ภายในร้านแบ่งเป็น 2 ชั้น ชั้นล่างมีบาร์กาแฟและตู้ไอศครีมแคลอรีต่ำ บรรยากาศในร้านไม่จอแจนักเหมาะกับการนั่งคุยและเอนจอยกับอาหาร มีเพียงเสียงเพลงในร้านเปิดเพลงแจ๊สเบาๆ พอให้ได้เงี่ยหูฟัง โตมรในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำเรียบง่ายกับเบลเซอร์สีเทาอ่อนพอเป็นทางการเดินเข้ามาในร้านโดยมีเรานั่งรอเขาอยู่ที่ข้างบน

    ก่อนจะมาพบกันในวันนี้ สเตตัสในเฟซบุ๊กของเขาทำให้เราทราบว่าเขาเพิ่งผ่านมรสุมด้านสุขภาพจากอาการบ้านหมุนอย่างรุนแรง หรือ Vertigo ซึ่งสันนิษฐานเอาว่าน่าจะเกิดจากการอักเสบของประสาทหูชั้นใน และยังไม่แน่ใจว่าอาการนี้จะหายไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อไหร่ 

    การรู้ว่าเขากำลังเผชิญกับอาการป่วย ใจนึงเราก็ยิ่งรู้สึกเกรงใจและขอบคุณที่ยังเดินทางมาพบกันในวันนี้ แต่อีกใจก็อยากรู้ว่าสิ่งที่สำคัญในชีวิตในวัย 54 ในวันที่กำลังป่วยคืออะไร

    อะไรคือความหมายของชีวิต

    รสชาติ

    Beef Ragu, อาหารอิตาเลียน และภูเขาไฟวิซูเวียส

    เนื่องด้วยนี่คือครั้งแรกของเราที่มาเยือนร้าน Lay Low จึงต้องใช้เวลาในการเลือกเมนูอาหาร แต่โตมรเหมือนจะรู้ในทันทีที่ก้าวเข้ามาในร้านว่าจะสั่งอะไร

    “เอา Beef Ragu ครับ” โตมรเอ่ยเมนูในใจกับพนักงาน ส่วนเราเลือกชอยส์ปลอดภัยอย่างแซลมอนรมควันบนขนมปังบาแก็ตราดด้วยซอสครีมผักชีฝรั่ง

    “ทำไมถึงชอบ Beef Ragu ของร้านนี้” เราเริ่มบทสนทนาด้วยความอยากรู้ว่ามันพิเศษยังไง ทำไมหนุ่ม โตมร เลือกกิน Beef Ragu ในคาเฟ่ที่ดูเหมือนจะขายไอศครีมและขนมเป็นหลัก

    “เราเป็นคนชอบอาหารอิตาเลียน จริงๆ Beef Ragu มันเป็นอาหารที่เราเองก็ทำได้นะ เราเคยทำตอนไปปาร์ตี้กับเพื่อน เพื่อนก็ชมว่าอร่อย เวลาทำ Beef Ragu เบสของซอสจะคล้ายกับซอสมะเขือเทศ แต่ว่ามันจะหลากหลายมาก เราสามารถทำได้หลายแบบ ทำที่มันเป็นเนื้อแล้วก็เอาส้อมขูดออกมาก็ได้ แต่แบบที่เราทำ เราชอบทำเป็นแบบ Italian sausage เคล็ดลับของเราก็คือให้โยนพาเมซานชีสใส่ลงไปทั้งก้อน ก้อนใหญ่ๆ เลยนะ

    “เพราะไอ้ Beef Ragu มันจะต้องอบนานเพื่อให้ทุกอย่างมันนิ่ม นวลเนียน หลอมละลายเข้าด้วยกัน ปกติพอเราใส่พาเมซานชีส เรามักจะขูดมันซะก่อน แต่ว่าการใส่ไปทั้งก้อนเหมือนเป็นก้อนสบู่ให้มันอบอยู่ในเตา 4-5 ชั่วโมง ไอ้ชีสก้อนนั้นมันจะค่อยๆ หลอมละลายและเข้าไปมิกซ์กับทุกสิ่งทุกอย่างจนกระทั่งกลายเป็นรสชาติที่มันนัวมากๆ เลย แต่ว่ามันอาจจะละลายไม่หมดก็ได้นะ ไม่เป็นไร เราก็อาจจะตักชีสที่ละลายไม่หมดเนี่ยออกมา แต่ว่าไอ้ความชีสเป็นก้อนนี่เป็นเคล็ดลับที่ทำให้ Ragu มันอร่อยมากๆ แต่คนไม่ค่อยทำ อาจจะเพราะแพงมั้ง” สิ้นคำอธิบายถึง Beef Ragu เราแทบอยากจะเปลี่ยนเมนูเป็น Beef Ragu แทน แต่คงจะไม่ทันการ

    ในบรรดาอาหารหลากหลายชาติ เมื่อโตมรผู้เคยเขียนหนังสือเกี่ยวกับอาหารมาหลายต่อหลายเล่มเอ่ยปากว่าชอบอาหารอิตาเลียน เราจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาหลงใหลอะไรในรส ‘ชาติ’ นี้

    “ไม่รู้เหมือนกัน มันง่ายมั้ง ทำก็ง่าย เพราะมันมีแค่เส้นพาสต้ากับอะไรบางอย่างที่มาประกอบกับมัน จะเป็นเนื้อ เป็น fruitti di mare (อาหารทะเล) เป็นมะเขือเทศ เป็นอะไรก็ได้

    “แล้วมันมีหนังสือเล่มนึงชื่อ In the Shadow of Vesuvius ที่เล่าถึงการที่แถบทางใต้ของอิตาลีมันรุ่มรวยในเรื่องของอาหารมากๆ เพราะว่าอยู่ใต้ภูเขาไฟวิซูเวียส ซึ่งภูเขาไฟลูกนี้มันใหญ่มาก เวลาปะทุเมืองปอมเปอีนี่พังเลยใช่ไหม แต่ว่ามันทำให้เนื้อดินตรงนั้นเต็มไปด้วยแร่ธาตุสารอาหาร แล้วพอคนอิตาเลียนเลี้ยงวัว วัวก็จะได้กินหญ้าที่ขึ้นมาจากดินภูเขาไฟซึ่งมัน rich ไม่มีที่ไหนเสมอเหมือน เพราะฉะนั้นมะเขือเทศที่โตขึ้นมา วัวที่กินหญ้าบริเวณนั้นแล้วให้นม นมก็จะ rich มาก 

    “เราเคยไปกินมอสซาเรลลาหรือบูราตาที่เชฟเขาเอามาจากนาโปลี เชื่อไหมว่าอาหารหนึ่งจานที่มีแค่ชีสกับมะเขือเทศมันอร่อยมาก อร่อยฉิบหายเลย (เน้นเสียง) ทั้งที่มันมีแค่สองอย่างแค่นั้นโดยที่เชฟไม่ได้ทำอะไร คือมันอร่อยมากๆ ก็เลยประทับใจอิตาลี

    “เราคิดว่าอิตาลีมันครบ มีไวน์ที่อร่อยมาก ทางเหนือก็อาจจะมี chianti ทางใต้ก็มีของตัวเอง หรือแม้กระทั่งซิซิลีก็มีไวน์เฉพาะของตัวเอง ซึ่งเวลากินกับอาหารมันก็โคตรจะเข้ากัน อีกสาเหตุนึงที่เราชอบอิตาลีก็อาจจะด้วยความที่ว่า สมัยก่อนอิตาลีแต่ละส่วนมันต่างกันมาก มันแบ่งเป็นรัฐเล็กๆ เต็มไปหมดเลย เพราะฉะนั้นแต่ละที่ก็เลยมีเอกลักษณ์ทั้งอาหาร ผู้คน แม้กระทั่งภาษาก็ไม่เหมือนกัน จนกระทั่งเกอเธ่พยายามที่จะรวบรวมภาษาให้เป็นภาษาเดียวกันขึ้นมา เพื่อที่ว่าพ่อค้าจะได้ค้าขายกันได้และคุยกันได้รู้เรื่อง ไม่ใช่เหตุผลทางรัฐศาสตร์ ภาษาศาสตร์ หรือจะรวมชาติอะไรทั้งนั้น เป็นเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์ต่างหาก อิตาลีก็เลยมีความต่างที่ยังรักษาได้ ไม่ว่าจะไปเมืองทางเหนือหรือเมืองทางใต้ โดยเฉพาะทางใต้นี่สนุกมาก แค่ต่างเกาะกันอาหารก็ไม่เหมือนกันแล้ว”

    อาหารคือเนื้อตัว

    ในห้วงเวลาที่ตกหลุมรักอิตาลีด้วยเรื่องเล่าของโตมร อาหารอิตาลีอย่าง Beef Ragu ก็มาเสิร์ฟพอดี

    เราทั้งสองเริ่มลิ้มรสอาหารตรงหน้า ระหว่างนั้นเราได้แต่สงสัยว่าคนที่ดูรู้จักเรื่องราวของอาหารมากมาย แท้จริงแล้วเขามีความคิดยังไงต่ออาหาร

    “อาหารมันก็ทำให้เราไม่ตายใช่มั้ย” โตมรหัวเราะก่อนขยายความ “แต่ถ้ามองในอีกแง่นึง อาหารมันคือตัวแทนของเรา ในฐานะที่เราเป็นมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นมา คือเราอาจจะรู้สึกว่าตอนที่เราอยู่ในท้องแม่ แม่ก็คอยดูแลเรา แต่จริงๆ แม่มีอิทธิพลกับเราในหลายๆ เรื่องตั้งแต่ตอนที่เราอยู่ในท้อง เช่น ถ้าแม่ฟังเพลง เสียงมันทะลุเข้ามาในท้อง เราก็อาจจะมี preference ในการชอบหรืออาจจะเกลียดดนตรีบางอย่างที่แม่ฟังก็ได้นะ 

    “แต่ว่าอันนึงที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ แม่ชอบกินอะไร อาหารนั้นก็จะส่งผ่านสายสะดือไปให้เราที่ท้อง ถ้าแม่ชอบกินหวาน ก็มีแนวโน้มที่เราจะชอบกินหวานถูกไหม เพราะว่าเราถูกป้อนอาหารรสนั้นมาตั้งแต่ยังไม่เกิด แล้วพอเราเกิดมาแล้ว ถ้าแม่ชอบรสเผ็ดหรือหวานหรือเปรี้ยวหรืออะไรก็แล้วแต่ แม่ก็มักจะทำอาหารรสนั้นให้เรากิน แล้วเราแทบทุกคนเลยในโลกนี้ก็มักคิดว่าอาหารที่แม่ทำมันอร่อยที่สุดในโลก มันแทบจะไม่มีใครบอกว่า แม่ฉันทำอาหารห่วยเลย ทุกคนจะบอกว่าแม่ฉันทำอาหารอร่อยที่สุดในโลก เพราะเราคุ้นกับรสมือแม่แบบนั้น

    “เราจึงชอบพูดกันว่าอาหารของแม่ฉันอร่อยที่สุดในโลก ห้ามใครเถียง การพูดแบบนี้เป็นการบอกว่าเราถูกจับโยนมาในโลกที่เราไม่รู้จักและมีใครบางคนเซตสแตนดาร์ดของชีวิตให้เรา ในระดับพื้นฐานที่สุดก็คือผ่านอาหาร ผ่าน preference ในเรื่องรสชาติของอาหาร และทำให้เราคิดว่านั่นแหละคือโลกที่ควรจะเป็น เพราะเราเกิดมาในโลกที่ควรจะเป็น แต่แม่เราไม่เคยเห็นได้มิชลินเลย แล้วเวลาเราดูเขาบอกว่ามิชลินคือโลกที่ควรจะเป็น มาชิมอาหารแม่อีกทีแล้วไปเทียบกับมิชลิน เอ๊ะ ทำไมเขาบอกมิชลินอร่อยวะ แม่เราก็อร่อยอยู่นะ 

    “แต่พอเราโตมาเรื่อยๆ มันก็จะมีอย่างอื่นมาให้เราลอง เราก็จะพบว่ามันมีบางอย่างที่ เอ๊ะ เริ่มอร่อยกว่าแม่เรา เอ๊ะ หรือว่าแม่เราอายุมากขึ้นแล้ว อาจจะทำไม่เหมือนเดิมแล้ว เราก็จะเริ่มรู้สึกว่า เอ๊ะ แม่เราอาจจะไม่ได้อร่อยที่สุดในโลก ซึ่งอันนี้เป็นการยอมรับที่อาจจะยากเย็นพอสมควร เพราะตัวเราก็ต้องเปิดกว้างมากขึ้น ได้เห็นรสชาติอาหารที่ต่างออกไป และในเวลาเดียวกันเราก็จะต้องมา re-learn อาหารของแม่เราอีกทีว่ามันเป็นยังไง ต่างกันยังไง

    “ซึ่งไอ้เรื่องแบบนี้ บางทีมันก็ขยายออกไป เช่น คนไทยที่ไปต่างประเทศ อาจจะบอกว่าอาหารประเทศนั้นไม่เห็นอร่อยเลย สู้อาหารไทยไม่ได้ หรือว่าภูมิใจในอาหารไทยมากจนอาจจะล้นเกิน แล้วก็ไม่ยอมเปิดรับหรือว่าลองอาหารอื่น ซึ่งไม่ต้องไปไกลถึงขนาดซุปตุ๊กแก หัวแพะเน่า หรือชีสที่เหม็นเหมือนผ้าขี้ริ้ว แค่กับอาหารทั่วไปของคนอื่น ถ้าเราเปิดใจมันอาจจะอร่อยในแบบนั้นของเขาก็ได้ ความจำเป็นบางอย่าง ภูมิประเทศบางอย่างมันหล่อหลอมเขาและหล่อหลอมรสชาติอาหารเขาให้มันเป็นอีกแบบหนึ่ง 

    “เพราะฉะนั้นอาหารมันเลยมีความหมาย ไม่ได้หมายถึงแค่สิ่งที่ทำให้เรากินกันตายเฉยๆ แต่มันคือเนื้อตัว มันคือตัวตน คืออัตลักษณ์บางอย่างของเราที่เราอาจจะมองไม่เห็นมัน และเราก็คิดว่านี่แหละอร่อย ไอ้นั่นไม่อร่อย”

    ชีวิต

    ชีวิตที่เป็นอยู่นี่มันยังไง

    “ในชีวิตคุณเป็นคนที่อยู่เพื่อกินหรือกินเพื่ออยู่”

    “กลางๆ ระหว่างนั้น ไม่ได้รู้สึกว่าต้องอยู่เพื่อจะกินโน่นกินนี่ โดยเฉพาะเมื่อแก่แล้วก็รู้สึกว่าความอร่อยมันลดลง”

    “อร่อยลดลงหมายถึงยังไง” เราถามด้วยความสงสัย

    “เพราะว่าเราเคยกินของที่มันอร่อยมาเยอะแล้วไง บางทีเราก็จะแอบผิดหวังนิดนึงว่า อุ๊ย อันนี้เหรอที่เขาแนะนำกันว่าอร่อย แล้วเราก็ตามไปกินแต่มันก็ไม่ได้อร่อยมากนัก แต่เราก็กินเพื่ออยู่ในบางที อย่างเช่นที่เพิ่งป่วยเป็น Vertigo รุนแรง เราอาเจียนอยู่ 3 วัน ก็พยายามกินบ้างเพื่อให้มีสารอาหาร ปัญหาของเราตอนที่ป่วยคือว่าใส่น้ำเกลือเข้าไปแล้วมันเป็นอะไรก็ไม่รู้ มันแสบมาก ทำให้เราให้น้ำเกลือไม่ได้ด้วย ก็เลยต้องทนฝืนกินบ้าง แต่กินแล้วมันก็อาเจียนออกมาอีก 3 วันน้ำหนักลดไป 3 กิโลฯ”

    เมื่อโตมรเปิดประเด็นเรื่องความป่วยไข้ขึ้นมา เราจึงอดไม่ได้ที่จะชวนคุยถึงเรื่องสุขภาพอย่างที่เรารับรู้มาแล้วก่อนวันที่พบกัน

    “นับถึงวันนี้ก็เดือนนึงแล้ว ยังไม่หายเลย” โตมรตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบเมื่อเราถามถึงจำนวนวันเวลาที่เขาจมอยู่กับความไม่ปกติ

    ว่ากันว่าคนที่ป่วยไข้มักจะไม่มีความปรารถนาอื่นใดนอกจากอยากให้ชีวิตกลับคืนสู่สถานะก่อนป่วย เราจึงอยากรู้ว่าเขาในวัย 54 มีความคิดยังไงต่อสถานะของชีวิตยามนี้

    “จากการป่วยครั้งนี้มันทำให้คุณได้ทบทวนถึงสิ่งสำคัญในชีวิตไหม” 

    “ ไม่ค่อย (หัวเราะ) นอนอ้วกอย่างเดียว คือรู้สึกว่าตัวเองแก่ลง แก่ทางกายภาพ ด้วยความที่มันมึน หลังจากที่เป็น Vertigo รุนแรง 3 วัน 5 วัน พอออกจากโรงพยาบาลการเดินเหินอะไรมันก็จะช้ามาก 

    “แต่โชคดีที่สมองและหัวใจไม่ได้เป็นอะไร แต่มันต้องช้าลงเพราะว่าการทำงานของเส้นประสาทหูกับตามันยังไม่ประสานกันดี เพราะฉะนั้นถ้าทำอะไรเร็วเกินอย่างไปวิ่ง ล้มแน่นอน ก็ต้องทำอะไรช้าลง ทีนี้ช่วงที่ทำอะไรช้าลงมันเลยทำให้ได้ทบทวนว่า แล้วชีวิตเราจะไปยังไงต่อ เราจะเอายังไงกับชีวิตดีนะ ถ้าเราตายไปจะเป็นยังไง เพราะเรามีโอกาสตายได้ มีโอกาสว่าอยู่ๆ เราอาจจะตายขึ้นมา แล้วก็สงสัยว่าอย่างอื่นมันจะมีโอกาสอีกไหม อาจจะเป็นมะเร็งหรือเปล่า หรืออาจจะมีเส้นเลือดในสมองตีบแตก แล้วเราจะเอายังไงกับชีวิตเราดีนะ ชีวิตที่มันเป็นอยู่นี่มันยังไง มันควรจะยังไง ก็เป็นการทบทวนคำถามแบบนี้ในหัวของตัวเอง 

    “แล้วเวลาในชีวิตมันก็คงจะเหลืออีกไม่เยอะมาก ถ้าเราจะตายตอนอายุ 60 เราก็จะเหลืออีกแค่ 6 ปี ถ้าเราจะตายตอน 70 เราก็จะเหลือแค่ 16 ปี ถ้าเราตายตอน 80 เราก็จะเหลือ 26 ปี ซึ่งมันน้อยกว่าครึ่งนึงของชีวิตที่ผ่านมาแล้ว”

    ฉันควรจะมีเสรีภาพ มีอิสรภาพ
    ที่จะเดินไปบนเส้นไหนก็ได้

    “พูดถึงอายุ อายุส่งผลต่อหน้าที่การงานที่คุณทำไหม”

    “คิดว่าไม่นะ เพราะคนจะชอบคิดว่าเราหน้าเด็ก (ยิ้ม) ซึ่งอายุ 54 มันจะมีคนในออฟฟิศหลายๆ คนที่อายุเท่ากัน มี ผอ. มีรองฯ มีเรา และมีคนที่อยู่ใน ranking ที่เป็นลูกน้อง ก็จะมีหลายๆ คนที่อายุเท่ากัน และคนที่ตำแหน่งสูงก็มีหลายคนที่เขาดูเป็นที่น่าเคารพนับถือ ในขณะที่เราก็จะดูเด็กๆ ซึ่งข้อดีก็คือมันทำให้เราเข้ากับคนที่อายุน้อยๆ ได้ หมายถึงว่าเขาก็ยังอยากที่จะมาคุยกับเราอยู่”

    ตำแหน่งงานประจำปัจจุบันของโตมรคือผู้อำนวยการสำนักยุทธศาสตร์และนวัตกรรมการเรียนรู้ (Chief Creative Director) ของสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) หรือ OKMD ซึ่งถือเป็นอีกบทบาทที่สำคัญในชีวิตช่วงนี้

    “คนอาจจะยังไม่ค่อยรู้จักหรอก” โตมรเกริ่นเมื่อเราชวนคุยถึงงานประจำล่าสุด “OKMD ก็จะเป็นหน่วยงานที่ดูแลมิวเซียมสยามกับ TK Park ซึ่งจะเห็นว่ามิวเซียมสยามกับ TK Park คือแหล่งเรียนรู้ 

    “อันนึงเป็นพิพิธภัณฑ์ อีกอันเป็นห้องสมุด งานของ OKMD ก็คือทำงานจัดการแหล่งเรียนรู้ทั้งหลายอย่างมิวเซียมสยาม กับ TK Park ก็คือต้นแบบ เพราะฉะนั้นงานของ OKMD คือการสร้างต้นแบบของแหล่งเรียนรู้ในรูปแบบใหม่ๆ ขึ้นมา เพื่อให้เห็นว่า ห้องสมุดสามารถเป็นแบบนี้ได้นะ พิพิธภัณฑ์สามารถเป็นแบบนี้ได้นะ แต่ตัว OKMD เองก็ยังสำรวจความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในเรื่องของการเรียนรู้ใหม่ๆ ทั้งหลายด้วย 

    “เช่น เราทำเรื่อง brain-based learning การเรียนรู้ฐานสมอง ซึ่งแค่ชื่อก็ฟังดูเครียดเนอะ คือสมองเราเวลาทำงานมันจะทำงานไปโดยที่เราไม่รู้ตัว แล้วถ้าเราทำให้สมองมันเกิดอยากเรียนรู้ขึ้นมาล่ะ มันก็จะเรียนรู้โดยที่เราสนุก โดยที่เราไม่รู้ตัว เช่น ตอนนี้มีงานนึงที่พวกเรากำลังผลักดันอยู่ ก็คือเรื่องของ knowledge-based tourism คือการไปเที่ยวไปด้วย เรียนรู้ไปด้วย ปกติเวลาเราไปเที่ยวเราก็จะสนุก ถ่ายเซลฟี่สวยงาม ตัวเองอยู่ในภาพแล้วก็จบ เราจะไม่ได้สนใจว่าทำไมน้ำตกข้างหลังมันไหลลงมาแบบนั้น แต่ว่าถ้าเราไปดูเวลาฝรั่งเขาเที่ยว อย่างใน Downton Abbey มันจะมีอยู่ตอนนึงที่บ้าน Downton Abbey ต้องหาเงินแล้วก็ให้คนมาทัวร์ที่บ้าน ปรากฏว่าคนก็มาถามโน่นถามนี่ แม้กระทั่งเจ้าของบ้านอย่างท่านลอร์ด ท่านเลดี้ ยังตอบไม่ได้เลย ตัวเองต้องไปหาความรู้เพิ่มเพื่อมาตอบ ทั้งหมดนี้เป็นการเที่ยวแบบที่เราเรียกว่า knowledge-based tourism แล้วในเมืองไทยมีแหล่งท่องเที่ยวที่มันมีลักษณะที่มันเป็น knowledge-based เยอะมาก”

    ระหว่างที่ฟังเขาอธิบายถึงความรู้ เราก็สงสัยว่าแล้วคนที่ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการในหน่วยงานบริหารความรู้มีความเชื่อหรือไม่เชื่อในสิ่งใดบ้างไหม

    “ทุกวันนี้คุณมีความเชื่อในสิ่งใดบ้างไหม” เราถามคำถามท้ายๆ สอดคล้องกับปริมาณอาหารบนโต๊ะที่พร่องลงจนใกล้หมด

    “เราคิดว่าการเชื่อในสิ่งใด และการไม่เชื่อในสิ่งใดอย่างสุดลิ่มทิ่มประตูมากๆ มันคลายลง มันลดลง เมื่อก่อนเราอาจจะมีความเชื่อ เช่น สมมติเราเชื่อพระเจ้า เราเชื่อในพรรคการเมืองนี้มาก เราเชื่อในอุดมการณ์นี้มาก หรือเราไม่เชื่อในอันนี้เลย พอเราอายุมากขึ้นเรื่อยๆ ไอ้สิ่งที่มันอยู่ตรงนั้นมันค่อยๆ เลื่อนเข้ามาหาเรา แล้วเราก็เห็นว่าโลกไม่ได้มีแค่สองเส้นแต่ว่ามันยังมีเส้นแฉกอื่นๆ อีกเต็มไปหมดเลย แล้วเราก็ไม่จำเป็นต้องไปเลือกว่าฉันจะต้องอยู่ฝั่งไหนหรืออยู่บนเส้นไหน แต่ฉันควรจะมีเสรีภาพ มีอิสรภาพที่จะเดินไปบนเส้นไหนก็ได้ ตรงไหนก็ได้ ฉันจะไปสุดก็ได้ ไม่สุดก็ได้ แต่ฉันอยู่ตรงไหนก็ได้

    “และก็ไม่ควรมีใครหน้าไหนจะมามีสิทธิ์บอกว่า แกต้องเลือกแบบนั้น แกต้องเลือกแบบนี้ แล้วถึงจะยอมรับเป็นพวกด้วย หรือแกต้องทำแบบนั้นแล้วแกถึงจะมีความสุข มันไม่จริง”

    อาจจะขัดแย้ง แต่ไม่ต้องไปกลัวมัน 

    “แล้วมีสิ่งใดไหมที่คุณไม่เปลี่ยนไปจากในอดีต”

    “เมื่อก่อนนี้หรือแม้กระทั่งตอนนี้ สิ่งที่ไม่ต่างกันเลยคือการตั้งคำถามกับสิ่งต่างๆ สมมติว่าการมาที่ร้านนี้ เราก็จะคิดแล้วว่า ทำไมต้องมีเก้าอี้แบบนี้ Modern Eames อยู่กับอันนี้ ส่วนเฟอร์นิเจอร์นั้นก็ดูโมเดิร์นแบบ Bauhaus ที่นี่มีหนังสือ Bauhaus อยู่ด้วย แต่เฟอร์นิเจอร์ชิ้นนี้ก็ดูเป็นยุค mid-century เพราะฉะนั้นทำไมเขาถึงทำห้องออกมาแบบนี้ ไอ้ฉากนั้นไม่ใช่ (ชี้ไปที่ฉากกั้นห้อง) ฉากนั้นผิด 

    “คือการตั้งคำถามแบบนี้มันได้มาจากวิชาสัญศาสตร์ เช่น อาจารย์นพพร ประชากุล เคยสอนว่า ไปบ้านทูตฝรั่งเศสแล้วมีภาพที่เป็นรูปสามเหลี่ยม คือปกติภาพที่เห็นๆ กันจะเป็นรูปสี่เหลี่ยมใช่ไหม เขาก็ตั้งคำถามกันว่า ทำไมมันเป็นรูปสามเหลี่ยมนะ ประชาธิปไตยฝรั่งเศสมันมีหลัก 3 เรื่องใช่ไหม เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ ฝรั่งเศสเขาอยากจะสื่ออะไรอย่างนั้นหรือเปล่า 

    “คือสัญศาสตร์มันเป็นการตีความยังไงก็ได้แล้วแต่เรา มันจะมีหลักของมันแต่ว่าบางทีคนที่ทำก็อาจจะไม่ได้คิดว่ามันมีความหมายนัยอะไรที่มันซ่อนอยู่ จนกว่าจะมีนักสัญศาตร์มาตีความ ซึ่งเราคิดว่าเรื่องสัญศาสตร์มันน่าสนใจดี เพราะเราสามารถมองอะไรแล้วเราก็ตั้งคำถามกับมันได้ แต่ในแง่ปรัชญา อาจารย์อีกท่านอย่างอาจารย์สุวรรณณาก็บอกว่า คุณก็ไม่ต้องไปตั้งคำถามทุกสิ่งทุกอย่างหรอก เลือกเอาที่สำคัญๆ ก็พอ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวคุณจะเป็นบ้า 

    “มันก็ช่วยกระตุกเรากลับมาเหมือนกันว่า ก็ไม่ต้องไปตั้งคำถามกับทุกอย่าง อย่างหมอนตรงนั้นที่กำลังจะหล่นลงมาทำไมมันเหมือนพระธาตุเจดีย์อิงแขวนเลย เรื่องอย่างนี้จะตั้งคำถามไปทำไม ก็อาจจะไม่ต้องตั้งก็ได้นะ ก็คือให้เลือกตั้งคำถาม เพราะฉะนั้นสิ่งที่ไม่ต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นตอนเด็กหรือตอนนี้ก็คือการตั้งคำถาม และเมื่อตั้งคำถามแล้ว มันก็จะช่วยดึงเราให้ไปพยายามหาคำตอบ ทีนี้พอเราพยายามหาคำตอบเราก็จะดึงลิ้นชักความทรงจำบางอย่างออกมาเทียบเคียงกัน ลองเอามาทาบกันดูสิ ไอ้นี่มันสนิทไหม ไอ้นี่มันเหมือนหรือต่างกันยังไง มันเชื่อมโยงกันยังไง การตั้งคำถามนำไปสู่การเชื่อมโยง เชื่อมโยงแล้วอาจจะเปรียบเทียบ อาจจะขัดแย้ง อาจจะอะไรก็แล้วแต่ แต่ไม่ต้องไปกลัวมัน คนจะกลัวการเปรียบเทียบ 

    “สมมติเราจะเปรียบเทียบสิ่งนี้กับสิ่งนี้ อะไรที่มันยิ่งใหญ่หรือโดยเฉพาะอะไรที่มันศักดิ์สิทธิ์ คนก็มักจะบอกว่า อย่าไปเทียบกันเลย (เสียงสูง) หรืออย่างเช่นนักร้องคนไหนร้องดีกว่ากัน คนก็จะบอกแล้วว่าอย่าไปเทียบกันเลย แต่เราเทียบได้นี่ เราเทียบอยู่ข้างใน เราไม่ได้เทียบเพื่อสร้างความขัดแย้ง แต่เราเทียบเพื่อให้มันเกิดความแตกฉานอะไรบางอย่างที่ใหม่ๆ ขึ้นมาในตัวเรา”

    “ที่มาของการกล้าตั้งคำถามของคุณนี่มาจากไหน” เราถามพลางดื่มชากุหลาบดำเพื่อปิดท้ายมื้ออาหาร

    “ไม่รู้นะ แต่เราเป็นคริสต์ใช่ไหม เราก็ตั้งคำถามตั้งแต่เด็กๆ เลยว่า ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ เช่น เขาสอนกันเรื่องที่ให้ออกจากเมืองโสโดมและโกโมราห์แล้วห้ามหันกลับไปมอง ถ้าหันไปมองแล้วจะตาย เราก็ตั้งคำถามว่าทำไมล่ะ ทำไมจะต้องตายด้วย ก็แค่หันไปมอง แล้วถ้าให้ลึกไปกว่านั้น คือเมืองโสโดมและโกโมราห์มันมีลักษณะของ homosexual มีการร่วมเพศกันทางเวจมรรค แบบผู้ชายกับผู้ชาย แล้วพระเจ้าก็เลยลงโทษ แต่ว่าในเมืองนั้นก็มีผู้หญิงที่ไม่มีผู้ชายที่จะมาแต่งงานด้วย ก็เลยไม่มีเผ่าพันธุ์ที่จะสืบต่อ ก็เลยต้องไปร่วมเพศกับพ่อ ไปหลอกพ่อ แล้วอะไรมันผิดร้ายกว่ากันล่ะ ระหว่าง incest กับ homosexuality มันก็มีคำถามแบบนี้ที่มันเกิดขึ้น

    “พอโตขึ้นมาหน่อยก็อ่านหนังสือมากขึ้น ก็พบว่าไบเบิลนี่จริงๆ แล้วมันเป็นคัมภีร์ที่มาจากหนังสือหลายๆ เล่มที่เอามาเขียน เอามาเรียงต่อกันใหม่โดยที่มีใครบางคนที่มีอำนาจในประมาณศตวรรษที่ 5 ในการที่จะเลือกว่า นี่คือฉบับที่ถูกต้อง อันนี้คัดทิ้งไป เช่น พระวารสารของฉบับนักบุญมารีอา มักดาเลนา เอาทิ้งไป ไม่เอามาใส่ เอาเฉพาะ 4 คน ไอ้ตรงข้างหน้าก็เหมือนกัน บทปฐมกาลช่วงต้นที่เขียนก็มีคนวิเคราะห์ว่ามันเขียนในลักษณะที่ว่าพระเจ้าเป็นเอกเทวนิยม แต่ว่าพอเลยมาอีกสักบทนึง มันมีลักษณะพหุเทวนิยม เช่น ตอนอดัมกับอีฟพระเจ้ายิ่งใหญ่ที่สุด แต่พอถูกไล่ออกมาจากสวนก็ต้องไปสู้กับพระเจ้าองค์อื่นๆ อีก ซึ่งจริงๆ แล้วด้วยหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ด้วยวิวัฒนาการแล้วมันควรจะเริ่มจากพหุเทวนิยมก่อน แล้วถึงจะวิวัฒนาการมาเป็นเอกเทวนิยม เพราะฉะนั้นไอ้บทแรกของปฐมกาลจริงๆ เขียนทีหลัง แต่มันถูกจับมาไว้ข้างหน้า มันก็สนุกดี 

    “แล้วเราก็ได้สะท้านเยือกไปถึงว่า เมื่อก่อนเราเชื่อแบบที่เขาเขียนมาจริงๆ เพราะเราถูกสอนมาแบบนั้น”

    เพราะเป็นเช่นนี้จึงเป็นเช่นนั้น
    เพราะเป็นเช่นนั้นจึงเป็นเช่นนี้

    เข้าสู่ช่วงท้ายของมื้ออาหาร เราถามโตมรในวัย 54 ที่เพิ่งผ่านพ้นความเจ็บป่วยครั้งใหญ่ถึงสิ่งสำคัญในชีวิต ซึ่งเราคาดเดาเอาว่าเขาน่าจะเอ่ยถึงบางสิ่ง

    แต่ความจริงกลับตรงกันข้าม

    “ไม่มี ไม่มีอะไรสำคัญในชีวิตมนุษย์เลย มีแต่สิ่งที่เราสมมติว่ามันสำคัญทั้งนั้นเลย แต่จริงๆ แล้วไม่มี สุดท้ายเราก็จะตาย เราสมมติเอาทั้งนั้นเลยว่าพ่อแม่เราสำคัญ เราสมมติว่าบ้านของเราสำคัญ เราสมมติว่าเราต้องแต่งตัวแบบนี้เพราะมันสำคัญ อย่างระเบียบราชการเราก็สมมติว่ามันสำคัญ หมดปีราชการแล้วต้องรีบเซ็น หรือคะแนนสอบเราก็สมมติเอาเองทั้งนั้นว่ามันสำคัญ แม้แต่ความรักเราก็สมมติว่ามันสำคัญ แต่พอเรารู้ว่ามันสมมติ เราก็จะพบว่าจริงๆ แล้วมันไม่ได้สำคัญขนาดนั้น แล้วในที่สุดมนุษย์ก็จะสูญพันธุ์ไปด้วยเพราะว่าเป็นสัตว์ นอกเสียจากว่าเราจะเป็นแมลงสาบหรือว่าแมงกะพรุนที่มันอยู่ได้หลายร้อยล้านปี มันก็มีอยู่ไม่กี่ชนิดที่มันอยู่ได้นานขนาดนั้น ยิ่งสัตว์ที่มันซับซ้อน มันจะมีอายุขัยของสปีชีส์ของมัน เดี๋ยวมันก็หมด เราอาจจะกลายไปเป็นอย่างอื่น”

    “แล้วอะไรหรือเมื่อไหร่ที่ทำให้คุณตระหนักว่าจริงๆ แล้วชีวิตเราไม่มีอะไรที่สำคัญเลย”

    “คำว่า absurd นี่มันมาจากไหน มันมาจากคำว่า existentialism ใช่ไหม สมัยอ่านซาร์ตร์ (Jean-Paul Sartre) สมัยอ่านกามูส์ (Albert Camus) มันมีคำว่าสารัตถนิยม เราก็คิดเรื่องนี้ แล้วตอนที่มาอ่านพุทธทาส เราก็จะเห็นว่า ปฏิจจสมุปบาท อิทัปปัจจยตา ก็เพราะสิ่งนี้มันเป็น มันก็เลยส่งผลให้ไอ้สิ่งนั้นมันเป็น สิ่งนั้นมันเป็นอย่างนี้ก็เลยส่งผลให้มันเป็นอย่างนั้น

    “แล้วพอสืบย้อนกลับไปมันก็ไม่ได้มีอะไรเลย ความ ‘เป็น’ พวกนั้นมันคือสภาวะ อย่างเช่นโต๊ะ มันเป็นโต๊ะอย่างงี้ เมื่อไหร่มันจะเลิกเป็นโต๊ะอย่างนี้ สมมติว่าเราถอดหมุดออกไป 1 ตัว มันยังเป็นโต๊ะอยู่ไหม มันก็ยังเหมือนจะเป็นอยู่ใช่ไหม แต่ถ้าเกิดว่าเราเอาขาออกไป 1 ขา มันยังเป็นโต๊ะอยู่ไหม บางคนก็บอกว่ามันก็ยังดูเป็นโต๊ะอยู่ ถึงแม้ว่าฟังก์ชั่นมันอาจจะไม่ได้ มันก็ยังมีตั้ง 3 ขา แต่ถ้าถอดไป 2 ขา ถอดไปหมด 4 ขา หรือทุบไอ้กระจกที่เป็นท็อปของโต๊ะนี้ทิ้งเหลือแต่โครง 4 ขา มันยังเป็นโต๊ะไหม

    “หลายคนอาจจะตอบไม่เหมือนกัน แล้วแต่คน แต่คำถามคือ ตรงไหนกันแน่ที่มันประกอบสร้างขึ้นมาเป็นสภาวะของโต๊ะนี้ แต่ละคนมีคำตอบที่ไม่เหมือนกัน แล้วถ้าตัวเราย้อนกลับไป ตรงไหนที่เป็นตัวเรา ตรงไหนที่ไม่ใช่ มีคนบอกว่าใน 7 ปี เราไม่มีเซลล์เดิมของเราเหลืออยู่เลย เราเปลี่ยนมันทั้งหมด แล้วตัวเรายังเป็นตัวเราไหม แล้วอะไรคือตัวเรา แล้วอะไรคือสิ่งที่เราคิดว่ามันสำคัญในเนื้อตัวของเรา เราก็คิดเรื่องเหล่านี้ มันมีแต่ของที่เราสมมติว่ามันสำคัญไง

    “แล้วสมมติเราสมมติว่า ชาติสำคัญมาก แล้วเราก็ต้องยอมตายเพื่อชาติ แต่พอเราตายไปแล้ว ทั้งหมดมันก็ตายไปพร้อมเราทั้งนั้น เพราะว่าเราเป็นตัวรู้ ตัวรับ เป็นตัวที่รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเราทั้งนั้นเลย แต่เมื่อเราตายไปแล้ว ทั้งหมดมันก็ตายไปพร้อมเรา”

    ก่อนไม่สำคัญต้องเคยสำคัญมาก่อน

    หากไม่มีสิ่งใดสำคัญอย่างที่เขาว่า แล้วเราจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร คนหนุ่มคนสาวต้องปลงสังขารและความไม่เที่ยงตั้งแต่ยังเยาว์วัยหรือไม่–เราสงสัย

    “คือที่พูดไปเมื่อครู่ว่า มันไม่มีอะไรสำคัญเลยในชีวิต ทุกคนก็อาจจะรู้สึกและมีคำถามว่า ถ้าอย่างนั้นเราก็ไปฆ่าตัวตายกันสิ แต่คำถามที่ถามเรา และสิ่งที่เรากำลังจะตอบนี้ มันอาจจะขัดแย้งกับสิ่งที่เราเพิ่งพูดไปเมื่อกี้ 

    “คือยิ่งเรารู้ว่าทุกอย่างมันถูกสมมติว่าสำคัญ เพราะฉะนั้น ในวัย 20-30 หรือ 30 ต้นๆ เป็นช่วงวัยที่มีพละกำลังมากที่สุด ช่วยเอาพละกำลังของตัวเองที่มี เอาความสดใหม่ อะไรต่างๆ ที่มีอยู่ไป explore เรื่องสมมติเหล่านั้นให้ได้มากที่สุด ว่ามนุษย์มันสมมติอะไรกันบ้าง 

    “บางอย่างเพื่อจะเก็บเอามาหัวเราะเยาะมันทีหลังก็ได้ บางอย่างเก็บเอามาบอกว่า โอ๊ย เรื่องสมมตินี้มันช่วยให้ฉันมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นก็ได้ หรือเรื่องสมมติบางเรื่องมันช่วยชุบชูใจฉันก็ได้ ใช่ไหม เช่น อาหารอร่อย จริงๆ แล้วมันอร่อยเพราะมันถูกปากเรา คนอื่นอาจจะไม่อร่อยก็ได้ แต่ว่ามันก็เป็นความสมมติว่าเราอร่อยที่เราสมมติขึ้นเอง ทำให้เราชื่นใจที่ได้กินมัน 

    “หรือถ้าเราชอบเทคโนโลยี เราก็ต้องใช้เงินไปเรียน ไปซื้อหามาตอนที่เราอายุยังน้อยอยู่ หนึ่งก็คือ เราทำผิดได้เรื่อยๆ เลยนะ เพราะเรามีเวลา และมีกำลังที่จะแก้ไขมัน ตอนที่อายุ 54 เราทำผิดพลาดได้น้อยลงมาก เพราะว่าหากผิดพลาดสักครั้งที่มันเป็นครั้งใหญ่ๆ เราอาจจะไม่มีทางแก้ตัวได้อีกแล้ว เราจะไม่มีวันลุกขึ้นมาทำอะไรได้อีกแล้ว เราจะรู้สึกว่าเราเหนื่อยมาก และเราก็จะกลายเป็นขมขื่นกับสิ่งสมมติเหล่านั้นที่เราคิดว่ามันไม่สำคัญหรอก

    “แต่จริงๆ แล้วเราสามารถเห็นว่ามันเป็นของสมมติและก็อยู่กับมันอย่างแฮปปี้ได้ไง แต่ว่าตอนเด็กๆ หลายคนอยากจะไขว่คว้าแต่ความสำเร็จ แต่ไม่ได้ไขว่คว้าความผิดพลาดด้วย แต่ความผิดพลาดต่างหากที่เป็นตัวทำให้เรารู้ว่ามีสิ่งที่ผิดมันผิดยังไง คืออาจจะมีบางคนที่ทำอะไรก็ถูกตลอดเวลา แล้วก็ไต่บันไดขึ้นไปจนอายุ 50 60 70 แล้วพอถึงตอนที่เขาเป็นคนแก่ แล้วเขาทำอะไรที่ผิดพลาด แล้วพอเด็กรุ่นใหม่ที่อยู่บนโลกนี้ซึ่งเป็นโลกที่เปลี่ยนไปแล้ว ไปบอกเขาว่าสิ่งที่เขาทำมันผิดนะ เขาก็จะเถียง เขาก็จะบอกว่าไปดูประวัติศาสตร์ชีวิตฉันสิ ฉันไม่เคยทำอะไรผิดเลย ความที่เขาไม่เคยทำอะไรผิดนั้นของเขามันทำให้เขามองอะไรไม่เห็น 

    “แต่ถ้าเราโตมาด้วยความผิดพลาดบ้าง ประสบกับความสำเร็จบ้าง แล้วเราเก็บได้ทุกอย่าง พอเราโตขึ้นไปเราก็จะเห็นว่า อ๋อ นั่น ตรงนั้น มันเป็นความผิดที่แก้ได้นะ มันก็จะมีความเข้าใจในโลกที่มันกว้างขึ้น กว้างกว่าคนที่ถูกต้องมาทั้งหมดทั้งชีวิต ก็เลยอยากให้คนรุ่นใหม่สะสมความผิดพลาดด้วย เก็บมันไว้ ไม่ต้องไปรังเกียจ ไม่ต้องไปพยายามปิดบังมัน

    “เวลาที่เราโต เวลาที่เราอายุมากแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่ในชีวิตเรามันคือเรื่องเล่าของชีวิต ทีนี้ไอ้เรื่องเล่านี่เรากำหนดได้นะ แต่ว่ามันต้องกำหนดตั้งแต่ตอนที่อายุน้อยๆ ว่ามันจะเป็นยังไง เราสะสมความผิดพลาดเอาไว้ เราจะได้เอามาเล่าให้คนอื่นฟัง เป็นเรื่องเล่าใหญ่ในชีวิตเราว่ามันเป็นแบบไหน ยังไง แต่ถ้าเกิดว่าเราเต็มไปด้วยการหลอกลวง แล้วเราจะไปเล่ายังไง เหมือนอยู่แต่ในอินสตาแกรม มีแต่ภาพสวยๆ อย่างเดียว ชีวิตแบบนั้นมันจะเป็นยังไง บางคนก็จะบอกว่าก็ชีวิตมันเป็นเรื่องสมมติไง

    “แต่เราจะสมมติแม้กระทั่งตัวตนของเราเลยใช่ไหม”

    สิ้นคำตอบ เรา โตมร และ Beef Ragu กับขนมปังแซลมอนรมควัน ของร้านไอศครีมแคลอรีต่ำย่านประชาชื่นก็ลาจากกันแบบเรียบง่ายหลังบทสนทนาที่พูดคุยถึงรสชาติ ชีวิต และสิ่งสำคัญที่อาจจะเพียงแค่สมมติมันขึ้นมา

    ไม่ได้สลักสำคัญอะไรเลย


    รสชาติชีวิต

    รสหวาน

    “น่าจะเป็นช่วงที่ทำงานใหม่ๆ นี่แหละ ซึ่งรสหวานของเรามันอาจจะไม่ใช่หวานแบบหวานแหวว ซาบซึ้ง แต่มันคือความสนุก รสชาติหวานที่ว่ามันเหมือนเราได้เด็ดดอกไม้แล้วมาดูดน้ำหวานจากมัน แล้วตอนทำงานใหม่ๆ ทุกอย่างมันคือดอกไม้เต็มไปหมดเลย นี่ก็ดอกใหม่ นั่นก็ดอกใหม่ โน่นก็ดอกใหม่ แล้วฉันก็ได้ทั้งดมทั้งดูดน้ำหวานจากมัน มีรุ่นพี่คนนั้นคนนี้ที่ชั้นจะต้องนั่งไปคุยด้วย ขอความรู้ ตามเขาไปสัมภาษณ์ หรือบางเรื่องเราต้องกระโดดลงไปทำเอง โดยที่เราไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะทำได้ เช่นการทำสารคดีอะไรอย่างนี้ เพราะไม่ได้เรียนมาโดยตรง เราเรียนวิทยาศาสตร์มา เพราะฉะนั้นช่วงนั้นแหละ ช่วงทำงานใหม่ๆ มันสนุกมากเลย แล้วก็สมัยนั้นนิตยสารมีสัก 30 คอลัมน์ เราทำไปแล้ว 15 คอลัมน์ ใน 1 เล่ม”

    รสขม

    “ขมที่สุดก็เป็นเรื่องทำงานเหมือนกัน หลังจากที่เราทำงานไปเรื่อยเราก็ไม่ได้คิดอะไร คือเคยมีคนสัมภาษณ์ว่า ทำยังไงถึงได้เป็น บ.ก. วางแผนยังไงถึงจะได้เป็นบรรณาธิการบริหาร สมัยก่อนเราเป็นบรรณาธิการนิตยสารผู้ชายอันดับ 1 ของประเทศ ซึ่งก็คือ GM มันก็เป็นอะไรที่คนเขาจะมองว่ามันใหญ่ แต่ว่าเราไม่รู้สึกอะไรอย่างนั้นเลย เราแค่รู้สึกว่าเราทำงานเพราะเราอยากทำ เราก็ทำไปเรื่อยๆ แต่พอเราไปถึงตรงนั้นแล้ว มันถือว่าเป็นที่สุดของงานแล้วมั้งของการทำนิตยสาร แล้วเราตอนอายุ 30 กลางๆ ก็จะมีคำถามนึงที่ผุดขึ้นมาว่า ‘แล้วไงต่อวะ’ 

    “นึกออกไหม เวลาเราทำนิตยสารไปเรื่อยๆ มันจะซ้ำ ประเทศนี้ โลกนี้ มันไม่ได้มีเนื้อหาใหม่เอี่ยมอะไรให้เราทำตลอดเวลาหรอก มันจะซ้ำ และมันจะถึงวันที่ไม่ว่าใครเสนออะไรมา เราก็เคยทำแล้วทั้งนั้น นับตอนทำนิตยสารก็ 10 ปี แล้วถ้าจะย้อนกลับไปอีก 10 ปีที่นิตยสารนี้ก่อตั้งขึ้นมา มันก็ต้องเคยทำมาแล้วเหมือนกัน 

    “พอถึงตรงนั้นเราคิดว่า แล้วยังไงวะ ตรงนั้นคือช่วงชีวิตที่มันขมมากเลยว่า แล้วยังไงต่อ ทำยังไงต่อ แต่ก็ไม่มีทางเลือก เราไม่รู้จะทำยังไง มันก็ต้องทำต่อ แต่ว่ามันก็โชคดีที่ก็มีงานใหม่ๆ เข้ามา เช่นไปเป็นคอลัมนิสต์ให้ที่ต่างๆ เขียนรายสัปดาห์บ้าง เขียนโน่นนั่นนี่ ไปทำบทรายการโทรทัศน์บ้าง ก็เลยทำอย่างอื่นไปด้วย ก็หาทางไป พอผ่านไปได้ระยะหนึ่งมันก็เริ่มคลี่คลาย เหมือนกับว่ามันอยู่มือแล้วก็ทำๆ ไปเถอะ”

    รสเปรี้ยว

    “ถ้าเปรี้ยวตีนก็น่าจะเป็นช่วงที่เขียนคอลัมน์ Genderism ใน a day weekly เพราะว่ามีแต่อะไรเปรี้ยวๆ ตีนทั้งนั้นเลย เขียนด่าคนอะไรอย่างนี้ หรือว่าใน เนชั่นสุดสัปดาห์ ก็เหมือนกัน ก็วิพากษ์การเมือง วิพากษ์สถานการณ์บ้านเมือง วิพากษ์คนที่ปากว่าตาขยิบ เช่น มีดาราโป๊ถ่ายคลิปโป๊ แล้วทุกคนก็บอกว่า อี๋ อีนี่มันชั่วมันไม่ดี แต่ก็ถามกันว่าดูคลิปมันหรือยัง

    “หรือบางทีก็เขียนด่าสาดเสียเทเสียว่า หน้าไหว้หลังหลอก ปากว่าตาขยิบ นี่คือสันดานแบบไหนของสังคมไทยที่มันสร้างคนแบบนี้ขึ้นมา แล้วมันก็เต็มสังคมไปหมดเลย ซึ่งอันนั้นลงไปแล้ว คุณ ‘รงค์ วงษ์สวรรค์ ก็เขียนจดหมายมาหาเลยบอกว่าเขียนตรงกับที่อาคิดทุกคำ แต่ว่าบทความที่เราเขียนด่า ต้องมี disclaimer ไว้ข้างหน้าเลยนะว่า บทความต่อไปนี้จะเต็มไปด้วยคำหยาบ เพราะจำเป็นจะต้องด่าจริงๆ แล้วก็เขียนด่า

    “เราไม่กลัว ไม่สนใจ จะกลัวอะไรล่ะ กลัวคนที่เขาจะมาเขียนตอบด่าเราน่ะเหรอ มันเคยมีใน Trendy Man นะ เราก็เคยเขียนบทความเรื่อง ‘เกลียดเมืองไทย’ ซึ่งเกลียดเมืองไทยในที่นี้ก็คือว่าเราเอามาจากบทความของหลานเสรีไทย คือเธอเขียนคอลัมน์ข้างหลังโปสการ์ด แล้วเธอก็เขียนว่า เกลียดเมืองไทยมันคืออาการข้างเคียงของความรักเมืองไทย และอยากให้เมืองไทยมันดีขึ้น แต่มันไม่ดี มันเหี้ยลงเรื่อยๆ เราก็เลยเกลียดมัน แต่มันเป็นการเกลียดที่เป็นอาการข้างเคียงจากความรัก แต่พอเขียนแบบนี้ลงไป ก็มีคนเขียนมาบอกว่า คุณจะใช้คำว่าเกลียดเมืองไทยไม่ได้

    “ได้ (ลากเสียงยาว) เราก็เลยเขียนจดหมายตอบกลับไป เขาเขียนเป็นโปสต์การ์ดมา เราก็เขียนเป็นจดหมายตอบกลับไป 3 หน้ากระดาษ เพราะสมัยนั้นมันไม่มีโซเชียลฯ เราก็เขียนตอบกลับไปอธิบายให้เขาเข้าใจว่าทั้งหมดนี้มันคืออะไร เราไม่กลัว 

    “แต่ทุกวันนี้ไม่ชอบเรื่องทัวร์ลง เพราะว่าถ้าอยากรู้ ถ้าอยากเถียง ถกเถียงให้ได้ปัญญาจริงๆ อะ คุณมาหาเรา มานั่งคุยกัน ไม่ใช่เขียนลงไปในนั้นทั้งที่ยังอ่านไม่แตก แล้วพอเวลาอ่านไม่แตกแล้วเขียนไปในประเด็นอีกทางนึง มันมีคนที่มาจากไหนไม่รู้มาอ่านคอมเมนต์ของคุณ แล้วเอาไปเถียงอีกทางนึง แล้วมีอีกคนมาใหม่ก็ไปอีกทางนึง ซึ่งไม่ใช่หน้าที่เราแล้วที่จะมาช่วยช้อนพวกเขา สิ่งที่ทำได้ก็คือ ถ้าแซะก็แค่ hide ถ้าหยาบคายก็แค่ block จบ”

    รสกลมกล่อม

    “คิดว่าเป็นตอนนี้ เพราะว่าแก่ (หัวเราะ) คือปกติถ้าเรารู้สึกว่าตัวเราไม่กลมกล่อม เราต้องไปหารสนั้นรสนี้มาเติมใช่ไหม แต่ตอนนี้เรารู้สึกว่าไม่เห็นต้องมีอะไรมาเติมเลย มันก็อยู่ของมันได้เรื่อยๆ แม้กระทั่งป่วยอยู่ก็ยังไม่ได้รู้สึกว่ามันทุกข์มาก ก็ปกติ พยายามอยู่กับมันให้ได้ และก็เดินหน้าไปเรื่อยๆ 

    “เรารู้สึกว่าความกลมกล่อมมันคือความปกติสุข คือมีความสุขเป็นปกติ หรือว่ามีความปกติเป็นความสุขก็ได้”

    แนวคิด DEI ที่โอบรับความแตกต่างในองค์กร โดยวู้ดดี้ Woody World และแพม Dragonfly 360 จากงาน CIS 2023

    งาน Corporate Innovation Summit 2023 ในปีนี้ได้เชิญเหล่าสปีกเกอร์ที่มีชื่อเสียงมากมายจากหลากหลายอุตสาหกรรม นอกจากประเด็นเรื่องการขับเคลื่อนธุรกิจจากหลายองค์กรชั้นนำแล้ว หนึ่งในเซสชั่นที่น่าสนใจในวันที่ 14 ธันวาคมที่ผ่านมา คือการพูดถึงความเท่าเทียมและความหลากหลายขององค์กรในสเตจ ‘Unity in diversity : Cultivating a thriving corporate culture through diversity, equity and inclusion (DEI)’ โดย แพม–ประนัปดา จิราธิวัฒน์ Founder and Chairwoman ของ Dragonfly 360 และ วู้ดดี้ มิลินทจินดา Founder ของ Woody World

    สำหรับ Dragonfly 360 คือแพลตฟอร์มที่สนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศในเอเชียที่นอกจากจะมีแพมเป็น Founder แล้วยังมีคนในวงการบันเทิงอย่างวู้ดดี้เป็น Co-founder ร่วมกันด้วยความตั้งใจอยากสร้างสังคมที่มีความเท่าเทียมกันมากขึ้น 

    คำศัพท์ DEI ที่แพมและวู้ดดี้พูดถึง ย่อมาจากคำว่า diversity, equity และ inclusion ซึ่งเน้นการโอบรับคนทุกกลุ่มที่แตกต่างและหลากหลายในองค์กร  โดย diversity หมายถึงความหลากหลายอย่างความหลากหลายทางเชื้อชาติ เพศ อายุ ร่างกาย ทักษะความสามารถ, equity หมายถึงการทรีตคนอย่างเท่าเทียมกันโดยคำนึงถึงผลลัพธ์ในการทำงานที่ออกมาอย่างเท่ากัน และ inclusion หมายถึงการทำให้ทุกคนเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร

    แพมกล่าวถึง types of diversity dimensions หรือลักษณะของความหลากหลายว่าสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ อย่างแรกคือแบบที่เรามองเห็น อย่างเพศ อายุ ร่างกาย กับแบบที่เรามองไม่เห็น อย่างทักษะ คุณค่าที่ยึดถือ นิสัย ประสบการณ์ โดยเราทุกคนล้วนมีอคติหรือ unconscious bias บางอย่างโดยไม่รู้ตัวจากปัจจัยทางครอบครัว การศึกษา วัฒนธรรมต่างๆ

    วู้ดดี้ยกตัวอย่างเรื่องราวเรื่องหนึ่งที่สะท้อนอคติที่เราไม่รู้ตัวว่า มีพ่อและลูกคู่หนึ่งประสบอุบัติเหตุรถชน พ่อเสียชีวิต ส่วนเด็กถูกรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที เมื่อเด็กไปถึงโรงพยาบาล หมอกล่าวว่าผมรักษาเด็กคนนี้ไม่ได้ วู้ดดี้ถามว่าคุณฟังเรื่องนี้แล้วรู้สึกแปลกใจไหม ถ้ารู้สึกแปลกแปลว่าอาจมีอคติโดยไม่รู้ตัวก็ได้ เหตุผลที่หมอรักษาเด็กไม่ได้เพราะเขาเป็นแม่ของเด็ก ซึ่งในทางการแพทย์ การรักษาเคสฉุกเฉินให้คนในครอบครัวของแพทย์อาจทำให้มีอารมณ์ส่วนตัวปะปนจนส่งผลให้เกิดความเสี่ยงในการรักษาคนไข้ได้ แต่คนทั่วไปที่ฟังเรื่องนี้อาจมีอคติ เช่น ภาพจำว่าอาชีพแพทย์ควรเป็นผู้ชายเท่านั้นหรือแม่ของเด็กควรเป็นผู้หญิงเท่านั้น ทำให้แปลกใจที่หมอบอกว่ารักษาเด็กไม่ได้เป็นต้น

    วู้ดดี้บอกว่าหากเราทุกคนตระหนักรู้ใน unconscious bias ของตัวเอง จะทำให้เรามีตัดสินใจแบบมีอคติน้อยลง ตัวอย่างสิ่งที่เขาทำจริงกับบริษัทตัวเองคือการสังเกตเห็นว่าที่ Woody World ไม่ค่อยมีผู้ชายสเตรท (straight) พนักงานส่วนใหญ่เป็น LGBTQI+ ทำให้ผู้ชายสเตรทที่บริษัทนี้รู้สึกเป็นคนส่วนน้อยโดยไม่ได้ตั้งใจ สิ่งที่ทำได้เมื่อสังเกตเห็นความไม่เท่ากันคือ walk the talk ลงมือแก้จริงโดยเข้าไปหาฝ่าย HR และปรับสัดส่วนการรับพนักงานให้มีผู้ชายสเตรทมากขึ้น เพื่อให้มีกลุ่มคนหลากหลายเท่ากันทุกกลุ่มมากขึ้น 

    แพมยังกล่าวถึง 6 C’s inclusive leader wheel เฟรมเวิร์กที่ช่วยให้ผู้นำทำให้องค์กรมีความเท่าเทียมมากขึ้นคือ

    1. commitment การลงมือทำหรือ walk the talk นั่นเอง
    2. courage ความกล้าที่จะโอบรับความแตกต่างหรือสิ่งที่ไม่คุ้นเคย
    3. curiosity ความอยากรู้อยากเห็นในการทำความเข้าใจผู้อื่น
    4. collaboration การสร้างความร่วมมือในการ ‘invite conflict’ คือไม่กลัวความขัดแย้งแต่มุ่งสร้างการร่วมมือในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น 5. cognizance การหมั่นเช็กอคติของตัวเองท่ีส่งผลต่อการดูแลองค์กร และ 6. cultural intelligence การคอนเนกต์กับความแตกต่างทางวัฒนธรรรม

    แพมและวู้ดดี้สรุปว่าการโอบรับความแตกต่างและหลากหลายเป็นสิ่งที่ปูพื้นฐานสู่ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมในองค์กร แม้คนเรามักมีสัญชาตญาณมองหาคนที่เหมือนเราและไม่อยากอยู่ร่วมกับคนที่แตกต่างจากเรา แต่การคิดแบบเดิมจะไม่ทำให้เกิดความแตกต่างหรือสิ่งใหม่เกิดขึ้น และหนึ่งในหนทางของการปูพื้นฐานให้เป็นองค์กรที่พร้อมเปิดรับความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมคือการ celebrate differences ที่พร้อมชื่นชมและโอบรับความแตกต่างของทุกคนไว้นั่นเอง

    เราไม่กินชาบูกับคนที่ไม่ชอบ ความอบอุ่นและวัฒนธรรมพันปีของหม้อไฟ

    ในวงชาบูหนึ่ง มีคำกล่าวน่าสนใจลอยขึ้นมาว่า ‘เราไม่กินชาบูกับคนที่เราไม่ชอบหน้า’ 

    ฟังได้ดังนั้นก็รู้สึกเห็นด้วยขึ้นมาทันที ในวันที่เราชวนกินชาบูกันแทบทุกวัน คนที่เราจะชวนมากินชาบูด้วยกันนั้น โดยทั่วไปแล้วเรามักจะชวนคนที่เราชอบพอกัน อันที่จริงชาบูนับเป็นอาหารที่ชวนกันง่าย คือถ้าเป็นเพื่อนฝูง ครอบครัว หรือคนที่เราชอบพอกันแล้ว การกินชาบูด้วยกันเป็นเรื่องธรรมดาและเป็นความสนุกของชีวิตอย่างหนึ่ง ซึ่งการชวนกินหรือลงมือนั่งกินชาบูด้วยกันนั้นนับเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่มีความซับซ้อนน่าสนใจ อะไรคือสิ่งที่อยู่เบื้องหลังความรักในชาบูของเรา

    ถ้าเรามองว่าการกินชาบู หรือคืออาหารประเภทหม้อร้อน (hot pot) เป็นวัฒนธรรมอาหารรูปแบบหนึ่ง ชาบูหรือหม้อไฟ อันเป็นกิจกรรมของการกินอาหารแบบปรุงไปกินไป เป็นวัฒนธรรมการรับประทานอาหารแบบพร้อมหน้าที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานและมีนัยสำคัญทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะความเป็นเอเชียแบบเราๆ ที่การกินอาหารไม่ใช่แค่การกินให้อิ่ม แต่เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมทางสังคม เป็นพื้นที่และกิจกรรมที่ช่วยเชื่อมโยงผู้คนเข้าหากัน

    และนี่คือเรื่องราวหลักพันปีของหม้อไฟ จากการสืบหาร่องรอยจากตำนานการต้มเนื้อสัตว์ในค่ายทหารจากดินแดนอันหนาวเหน็บและการสู้รบของชาวมองโกล สู่ร่องรอยของต้มหมาล่าเผ็ดชาที่ค่อยๆ กลายเป็นอาหารของคนทุกชั้น สู่บริบททางวัฒนธรรมและความน่าสนใจในอาหารประเภทหม้อไฟ ที่หลังจากอ่านทรัพย์คัลเจอร์แล้ว การชวนกันไปกินหมาล่าชาบูจะไม่ใช่แค่เรื่องของคนหิว แต่เป็นกิจกรรมทางวัฒนธรรมและร่วมฉลองให้กับประวัติศาสตร์อันยาวนานของวัฒนธรรมการกินหม้อไฟ

    ตำนานหม้อไฟ จากหม้อหมวกเหล็กสู่อาหารราชสำนัก

    หม้อไฟเป็นอาหารที่จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่าซับซ้อนในตัวเองก็มีความซับซ้อน หม้อไฟคือการกินอาหารโดยมีซุปที่ตั้งอยู่บนถ่านไฟ เป็นการปรุงอาหารไปรับประทานไป ตำนานสำคัญของหม้อไฟจึงมักอ้างอิงกลับไปที่อาณาจักรมองโกลเมื่อพันกว่าปีก่อน (ศตวรรษที่ 13) ตำนานหม้อไฟอ้างอิงว่าการกินอาหารหม้อไฟมาจากวัฒนธรรมการปรุงอาหารของมองโกล กลุ่มนักรบชนเผ่าที่ร่อนเร่และใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ยากลำบากและหนาวเย็น ตำนานหม้อไฟของมองโกลเป็นการปรุงอาหารที่เรียบง่ายของทหารมองโกลที่ใช้หมวกเหล็กเป็นหม้อแล้วนำไปตั้งไป เป็นการปรุงเนื้อสัตว์ง่ายๆ ซึ่งสอดคล้องกับวิถีชีวิตชนเผ่าและนักรบของมองโกล

    หลังจากมองโกลพิชิตจีนได้ กุบไลข่านตั้งราชวงศ์หยวน ตามตำนานเชื่อว่ากุบไลข่านเป็นผู้สืบทอดวัฒนธรรมอาหารของมองโกล เป็นผู้ทำให้อาหารหม้อไฟกลายเป็นวัฒนธรรมอาหารสำคัญของจีน ในราชสำนักเมื่อกุบไลข่านตั้งราชวงศ์หยวนแล้วมีหลักฐานการใช้หม้อทองแดงเป็นหม้อกลาง มีการปรุงน้ำซุปที่ค่อนข้างเรียบง่ายด้วยขิงและกุยช่าย วัตถุดิบหลักของหม้อไฟแบบมองโกลคือเนื้อแกะที่ถูกหั่นบางๆ เหมือนกับกระดาษ

    ทว่าประวัติศาสตร์อาหารหม้อไฟอาจสืบย้อนขึ้นไปได้ก่อนสมัยราชวงศ์หยวน ลักษณะการปรุงซุปหม้อไฟรวมถึงการใช้เนื้อแกะอาจสัมพันธ์กับกิจกรรมที่มาก่อนหน้านั้นคือการเซ่นไหว้บรรพชน การปรุงอาหารด้วยหม้อไฟชนิดที่นำมาปรุงร่วมกันอาจมีที่มาสัมพันธ์กับวัฒนธรรมที่เก่าแก่กว่านั้น เช่นการขุดค้นพบหม้อโลหะสามขาในสมัยราชวงศ์ฮั่น (200 ปีก่อนคริสตกาล) และมีบันทึกในสมัยที่เก่าแก่กว่านั้นคือตั้งแต่ยุคสงครามคือ 400 ปีก่อนคริสตกาล พูดถึงการเซ่นสรวงบรรพชนด้วยการตั้งหม้อสามขาแล้วนำอาหารมาปรุงในหม้อแล้วจึงแยกแบ่งส่วนออกไปบูชาบรรพชนในสัดส่วนต่างๆ กัน ตรงนี้เองอาจเป็นร่องรอยหนึ่งของการปรุงอาหารแบบหม้อเดียวกันซึ่งมาจากการประกอบพิธีกรรม

    ประเด็นเรื่องเนื้อสัตว์ในที่นี้คือเนื้อแกะ อาจเป็นอีกหนึ่งร่องรอยหม้อไฟหรือวัฒนธรรมการปรุงเนื้อแกะที่กลายมาเป็นเมนูหม้อไฟที่ได้รับความนิยมในสมัยราชวงศ์หยวน คือในตำรับอาหารจีนเท่าที่มีบันทึกการต้มแกะและใช้ดอกกุยช่าย (Chinese chive flower) ทั้งในการต้มในพิธีกรรมสังเวยแก่บรรพบุรษ และใช้เพื่อดับกลิ่นคาว นอกจากนี้ยังมีบางบันทึกที่พูดถึงร้านอาหารที่เปิดขายหม้อไฟที่ใช้แกะเป็นวัตถุดิบโดยมีบันทึกเก่าแก่ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซ่ง ซึ่งเป็นราชวงศ์ก่อนที่มองโกลจะเรืองอำนาจ ในสมัยนั้นก็เริ่มมีตำรับอาหารที่พูดถึงหม้อไฟที่ใช้เนื้อกระต่าย และร้านอาหารในเมืองหลวงที่มีเมนูหม้อไฟเนื้อแกะ แต่ด้วยความนิยมของเนื้อสัตว์ และการที่เนื้อแกะเป็นอาหารสำหรับชนชั้นสูง จึงคาดว่าหม้อไฟน่าจะยังไม่ได้แพร่หลายนักจนมาถึงการรับอิทธิพลของมองโกล

    กลับมาที่สมัยราชวงศ์หยวน ยุคสมัยที่มีหลักฐานแน่ชัดเรื่องวัฒนธรรมอาหารหม้อไฟที่เริ่มเป็นที่รู้จักและกระจายตัวเข้าสู่วัฒนธรรมอาหารจีนและเริ่มเกิดร้านอาหารหม้อไฟอย่างเป็นทางการ อันที่จริงถ้าเรามองว่ามองโกลเองขึ้นสู่อำนาจ แต่มองโกลก็ยังนับว่าไม่ได้รับการยอมรับในทางวัฒนธรรม หม้อไฟนับเป็นหนึ่งในไม่กี่วัฒนธรรมอาหารที่สืบสานต่อเนื่องมาจากวัฒนธรรมการกินบนทุ่งหญ้าน้ำแข็งที่กลายเป็นวัฒนธรรมกระแสหลัก

    หลักฐานสำคัญว่าหม้อไฟกลายเป็นอาหารในราชสำนักจีน คือบันทึกการเลี้ยงฉลองที่ได้ฉายาว่าเป็น ‘งานเลี้ยงของผู้อาวุโสทั้งหนึ่งพันคน’ในสมัยจักรพรรดิเฉียนหลงแห่งราชวงศ์ชิง งานเลี้ยงดังกล่าวจัดขึ้นในปี 1796 หลายร้อยปีหลังรัชสมัยของกุบไลข่าน งานเลี้ยงพระราชทานนั้นเป็นการเชิฐผู้สูงอายุที่อายุเกิน 70 ปี เข้ามารับประทานอาหารภายในวังต้องห้าม ในงานนั้นเองที่มีบันทึกว่าจักรพรรดิทรงเลี้ยงคน 5,000 คน ด้วยหม้อจำนวน 1,650 หม้อ ตรงนี้เองเราจะเห็นถึงความนิยมของหม้อไฟ และศักยภาพของรูปแบบการปรุงอาหารด้วยหม้อไฟที่ใช้ในงานเลี้ยงขนาดใหญ่ได้ ทั้งผู้อาวุโสทั้งห้าพันรายก็อาจนำความประทับใจในหม้อไฟพระราชทานนี้กลับไปยังพื้นที่ชุมชนของตนเองต่อไป

    นับจากหลักฐานความนิยมและการใช้หม้อไฟในงานเลี้ยงของราชสำนัก ในปี 1854 มีหลักฐานอย่างเป็นทางการในการเปิดร้านอาหารหม้อไฟที่เป็นร้านหม้อไฟเฉพาะทางขึ้น ความพิเศษของวัฒนธรรมหม้อไฟนั้นจึงค่อนข้างสัมพันธ์กับวัฒนธรรมการกินอาหารนอกบ้าน ซึ่งก็ไปสัมพันธ์กับการก่อตัวขึ้นของชนชั้นที่มีรายได้ดีขึ้น หม้อไฟแบบมองโกลคือหม้อไฟที่มีน้ำซุปสีขาว ใช้วัตถุดิบหลักเป็นเนื้อแกะ มีน้ำจิ้มเป็นงาบด ในด้านหนึ่งนับเป็นวัฒนธรรมอาหารจากชนชั้นสูงคือราชสำนักแล้วค่อยๆ ขยายตัวมาสู่ชนชั้นกลางในช่วงทศวรรษ 1980

    ซุปสีแดงและหม้อเก้าช่อง หม้อไฟรสเผ็ดจากชนชั้นล่าง

    วัฒนธรรมหม้อไฟเต็มไปด้วยความหลากหลาย และสัมพันธ์เปลี่ยนแปลงไปตามบริบท หม้อไฟจีนเองก็มีรายละเอียดแตกต่างกัน โดยเฉพาะลักษณะซุปที่มีลักษณะเด่นตามแต่ละเมือง แต่ทว่าหม้อไฟที่ชาวจีนนิยมสั่งมากที่สุดคือน้ำซุปสองสีคือน้ำซุปสีขาวแดง ซุปสีขาวแดงนี้อาจสัมพันธ์กับหม้อที่มีปัจจุบันก็ยังคงเรียกว่าว่าหม้อหยวนหยาง (yuanyangguo) คำว่าหยวนหยางนี้ตั้งตามชื่อเป็ดแมนดารินที่มักมีสีสันสดใส บางตัวมีสีขาวสลับแดง สีขาวและแดงนี้ก็อาจจะมาจากซุปยอดนิยมของหม้อสองซุปที่มาตั้งแต่โบราณ ซุปสีขาวคือซุปแบบมองโกล ในขณะที่ซุปสีแดงคือซุปหมาล่าแบบฉงชิ่งเสฉวน 

    การอยู่ร่วมกันของน้ำซุปสองสี น้ำซุปมองโกลดูจะเป็นวัฒนธรรมที่เริ่มจากราชสำนัก แต่ทว่าความนิยมของน้ำซุปหรือหม้อไฟแบบฉงชิ่งนั้นกลับมีจุดเริ่มต้นและความนิยมที่แตกต่างกัน คือเริ่มมาจากการเป็นอาหารของคนชั้นแรงงาน เป็นหม้อไฟที่ใช้เพื่อจัดการกับวัตถุดิบราคาถูก เป็นอาหารการครัวของคนชั้นที่อยู่ด้านล่างสุดของสังคม

    การย้อนดูประวัติศาสตร์หมาล่าหม้อไฟ หม้อไฟสีแดงที่ลอยด้วยน้ำมัน พริกและเครื่องเทศสำคัญเช่นใบกระวาน รวมถึงวัฒนธรรมหม้อไฟที่เต็มไปด้วยวัตถุดิบแปลกประหลาดที่ถูกปรุงในน้ำซุปมันย่องรสจัดนั้นก็ย้อนกลับไปได้ถึงวัฒนธรรมอาหารบริบทเมืองฉงชิ่งที่เชื่อมโยงกันได้อย่างน่าสนใจ หม้อไฟแบบฉงชิ่งเป็นอาหารที่ตัวที่มายังถกเถียงกันอยู่ว่ามาจากพื้นที่ไหน หนึ่งในข้อสันนิษฐานที่ได้รับการยอมรับคือการที่ฉงชิ่งกลายเป็นศูนย์กลางการค้าทางน้ำและเป็นพื้นที่สำคัญทางเศรษฐกิจ หม้อไฟสีแดงที่เราคุ้นเคยเป็นอาหารที่เกิดจากชนชั้นแรงงานที่ทำงานยากลำบากที่สุดของเมือง

    ความเป็นศูนย์กลางหรือเป็นเมืองการค้าของฉงชิ่งเริ่มต้นอย่างน้อยที่สุดคือในปี 1981 เมื่ออังกฤษตั้งศุลกากรที่เมืองฉงชิ่ง ในระบบเศรษฐกิจของฉงชิ่งที่เชื่อมต่อและสัญจรในพื้นที่ด้วยแม่น้ำ และเป็นที่ที่สินค้าต่างๆ จะหลั่งไหลเข้ามาเพื่อส่งออกไปยังโลกตะวันตก ในช่วงนี้เอง ฉงชิ่งจึงเต็มไปด้วยกรรมกร อย่างแรกคือคนพายเรือที่จะทำหน้าที่ทั้งพายทั้งขนสินค้า และอีกกลุ่มเป็นอาชีพที่น่าจะเรียกได้ว่าเป็นลูกหาบ คือฉงชิ่งเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยเนินและภูเขา กรรมกรเหล่านี้จะทำหน้าที่หาบสินค้าที่คล้องไปกับไม้ไผ่ยาวๆ บนไหล่ ไต่ไปตามภูเขาที่สูงชันเพื่อขนของ

    ในขณะเดียวกัน เมืองฉงชิ่งเองก็เป็นเมืองที่ขึ้นชื่อและมีพื้นที่อุตสาหกรรมสำคัญคือโรงเชือดที่เฟื่องฟูมาตั้งแต่ราชวงศ์หมิง แน่นอนว่าเนื้อสัตว์จากโรงเชือดเป็นวัตถุดิบที่แพงเกินไป ชิ้นส่วนที่เหลือจากอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ของเมือง เช่น มันเนื้อ ไส้เป็ด เลือดเป็ด สมองหมู เครื่องในจึงเป็นเนื้อสัตว์ที่มีราคาถูก ด้วยชิ้นส่วนเนื้อสัตว์ที่มีราคาถูกนี้ น้ำซุปที่ถูกปรุงขึ้นจึงมีความจำเป็นที่ต้องมีรสจัด มีการดับกลิ่นคาวด้วยเครื่องเทศ 

    นอกจากการดับกลิ่นคาวแล้ว ซุปหม้อไฟแบบเสฉวน รสชาติที่จัดจ้านและน้ำซุปที่มันเข้มข้นนับเป็นอาหารที่ให้พลังงานสูง เหมาะกับผู้ใช้แรงงานที่ต้องการพลังงานมาก ด้วยการผสมผสานกันของความต้องการในฐานะอาหารของชนชั้นล่างนี้กลับทำให้หม้อไฟเสฉวนกลายเป็นอีกหนึ่งอาหารพิเศษที่เป็นที่นิยมมาจนถึงปัจจุบัน เป็นหม้อไฟที่ทำให้วัตถุดิบต่างๆ นุ่มและมีรสชาติอร่อยขึ้นได้

    ทีนี้ อีกคำถามที่อาจสงสัย หม้อไฟที่ว่าหน้าตาเป็นยังไง ตรงนี้ก็อาจจะตอบกับภาพจำหม้อไฟแบบแบ่งช่องอย่างที่เราเคยเห็นกัน ร้านหม้อไฟโบราณของจีนคือการมีหม้อรวม แบบหม้อรวมจริงๆ คนแปลกหน้าจะมาจุ่มต้มร่วมกัน ตรงนี้เองยิ่งตอบโจทย์การกินอาหารของคนชั้นแรงงาน คือเป็นการรับประทานร่วมกัน เรียบง่าย รวดเร็ว และมีราคาถูก 

    อย่างไรก็ตามมรดกอย่างหนึ่งมาจากการที่หม้อไฟเสฉวนเริ่มไม่ใช่แค่อาหารของคนชั้นล่างหรือแรงงานเพียงอย่างเดียว นวัตกรรมสำคัญคือหม้อไฟที่มีหน้าตาเป็นช่องสี่เหลี่ยมเก้าช่องนั้น ไม่ได้ใช้แบ่งน้ำซุป เพราะตัวช่องจะแบ่งแค่ด้านบนเท่านั้น แท้จริงแล้วถูกออกแบบเพื่อแบ่งพื้นที่ทางชนชั้น คือเมื่อชนชั้นแรงงานและกุลีลงนั่งกินก็จะใช้น้ำซุปในช่องสี่เหลี่ยมหนึ่ง และเมื่อชนชั้นอื่นๆ เข้าร่วมโต๊ะก็จะใช้พื้นที่ช่องอื่นๆ 

    หม้อไฟฉงชิ่งเลื่อนลำดับชั้นจากหม้อไฟของคนยากจนสัมพันธ์กับสงคราม คือเฟื่องฟูและเป็นที่นิยมขึ้นในหมู่คนทุกชั้นในช่วงสมัยสงครามกลางเมือง (1927-1949) ในช่วงสงครามกลางเมืองนี้เองที่ฉงชิ่งกลายเป็นเมืองศูนย์กลางทางการทหาร ทำให้หม้อไฟของฉงชิ่งกลายเป็นอาหารสำคัญประจำเมือง กล่าวคือในช่วงสงครามนั้นเอง จีนได้ย้ายผู้คนจากชายฝั่งทะเลไปอยู่ที่ฉงชิ่ง นึกภาพคนนับหมื่นย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองเดียวกัน หม้อไฟกลายเป็นอาหารสำคัญที่ถูกเปิดขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการอาหารที่พุ่งสูงขึ้น ทั้งหม้อไฟเองยังเป็นอาหารที่เป็นค่ากลาง คือคนทุกชั้นและคนจากพื้นที่ต่างๆ ที่แม้มีความชอบต่างกัน ก็สามารถเลือกรับประทานและจัดการรสชาติของตัวเองเช่นการปรุงน้ำจิ้มของตัวเองได้

    ในช่วงนั้นหม้อไฟสีแดงรสจัดแบบฉงชิ่งได้รับความนิยมทั้งในพื้นที่ทางการทหาร มีการจัดเลี้ยงที่ใช้หม้อไฟมากถึง 500 หม้อในการเลี้ยงกำลังพล ในช่วงนั้นหม้อไฟฉงชิ่งเลยกลายเป็นความนิยมที่สัมพันธ์กับชาตินิยม ความรักชาติ

    จากเสฉวน ถึงไหตี่เลา วัฒนธรรมหม้อไฟและการกินอาหารร่วมกัน

    ในแง่วัฒนธรรม ความแพร่หลายของหม้อไฟที่ขยายตัวและปรับเปลี่ยนไปตามบริบทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสุกี้ยากี้ เฝอ หรือสุกี้ชาบูแบบไทยๆ ก็อาจจะสัมพันธ์กับการอพยพของวัฒนธรรมจีนไปยังพื้นที่ต่างๆ ถ้าเรามองภาพรวมของวัฒนธรรมอาหาร บริบทของการกินอาหารในเอเชียนั้นก็ดูจะสอดคล้องกับการกินอาหารหม้อไฟ ตัวหม้อไฟเองนอกจากจะเป็นอาหารที่เรียบง่าย ปรับเปลี่ยนง่าย เช่น ปรับเปลี่ยนซุป เปลี่ยนวัตถุดิบ และเปลี่ยนน้ำจิ้ม 

    การปรับไปตามรสนิยมนี้ถูกปรับเปลี่ยนได้ตั้งแต่ในระดับพื้นที่ เช่นไทยเองก็มีวัตถุดิบ มีความชอบของประจำพื้นที่ ในขณะเดียวกันหม้อไฟก็เป็นอาหารที่ยืดหยุ่นมาก คือในกลุ่มคนเพื่อนพ้องที่ไปกินชาบูด้วยกัน แต่ละคนสามารถเลือกอาหารของตัวเองได้ ลวกและปรุงน้ำจิ้มที่ถูกปากของตัวเอง 

    นอกจากนี้เงื่อนไขสำคัญของชาบูคือความเป็นอาหารที่เชื่อมต่อเราเข้าหากัน การกินชาบูต้องเริ่มจากการเลือกซุป หาเงื่อนไขตรงกลางที่ทุกคนพอใจ ในระดับความหมายของการรับประทาน ชาบูเป็นกิจกรรมร่วมกันเท่าๆ กับการกินให้อิ่มส่วนบุคคล การกินหม้อไฟเป็นการปรุงไป กินไป คุยไป เป็นกิจกรรมที่สลับสับเปลี่ยนตำแหน่งอยู่เสมอ ผู้กินเป็นผู้ปรุง การหยิบ ตัก ลวก ค้นหาสิ่งของในหม้อ ไปจนถึงการช่วยกันดูแลการปรุงด้วยกันจึงนับเป็นกิจกรรมที่ทั้งสนุก สานสัมพันธ์และอิ่มอร่อยไปพร้อมๆ กัน ในบางครั้งความสนุกหนึ่งของการกินชาบูคือการที่เราในฐานะผู้รับประทานจะได้เป็นผู้ปรุง ได้โชว์ฝีมือการปรุงน้ำจิ้ม ช่วยดูแลอาหารให้ทั้งตัวเองและผู้ร่วมโต๊ะด้วย

    สำหรับการขยายตัวของร้านอาหารหม้อไฟ ถ้าเป็นบ้านเรา เราเองก็คุ้นเคยกับอาหารประเภทชาบูรวมถึงแจ่วฮ้อนมาอย่างยาวนาน สำหรับจีนเอง รายงานด้านธุรกิจอาหารในปี 2019 (Chinese Catering Industry White Paper) ชี้ให้เห็นว่าร้านอาหารหม้อไฟเป็นกิจการอาหารหลักของธุรกิจร้านอาหารของจีน คิดเป็น 60% ของสัดส่วนกิจการร้านอาหารทั้งหมด ตัวเลขร้านอาหารหม้อไฟมีมากถึง 400,000 ร้านทั่วประเทศ ซึ่งหนึ่งในแบรนด์สำคัญที่มาจากจีนคือไหตี่เลา

    ไหตี่เลาเป็นอีกร้านยอดนิยมที่ทุกวันนี้ก็ยังต้องนั่งรอคิว ไหตี่เลาเองเป็นอีกหนึ่งเครือธุรกิจยักษ์ที่ใช้ประโยชน์จากจุดเด่นและช่องว่างทางธุรกิจร้านอาหารและบริการของจีนได้อย่างน่าสนใจ ไหตี่เลาเป็นร้านที่เริ่มต้นในปี 1994 จากเถ้าแก่ที่ชื่อจางหยง ซึ่งปัจจุบันนี้ร่ำรวยติดอันดับสามของสิงคโปร์

    ไหตี่เลาเริ่มต้นด้วยร้านชาบูที่เถ้าแก่ ภรรยา และเพื่อนร่วมหุ้นกันเปิด คำว่าไหตี่เลาล้อมาจากการเล่นไพ่นกกระจอก เกมไพ่ยอดฮิตของเสฉวน คำว่าไหตี่เลามาจากการชนะเกมซึ่งหมายถึงความเป็นมงคลและโชคลาภ ในขณะเดียวกันความหมายของคำทั้งสามก็ยังมีความหมายว่า ‘การตกสมบัติขึ้นจากท้องทะเล’ อันหมายถึงการหยิบของอร่อยที่สดใหม่ขึ้นจากหม้อตรงหน้า เถ้าแก่ของไหตี่เลาแต่เดิมมาจากครอบครัวยากจนในชนบทของเสฉวน จึงเข้าใจความเจ็บปวดของความไม่คุ้มค่า และความรู้สึกเมื่อถูกปฏิบัติอย่างย่ำแย่จากร้านอาหารและบริการต่างๆ

    ความน่าสนใจของไหตี่เลาคือผู้ก่อตั้งทั้งหมดไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องอาหารการครัวแต่อย่างใด เถ้าแก่หยงใช้วิธีอ่านตำราทำอาหารและเปิดเป็นร้านหม้อไฟขึ้นด้วยตัวเอง จากจุดเด่นของร้านอาหารที่มักเริ่มจากอาหารอร่อย ตรงนี้เถ้าแก่เลือกสร้างจุดเด่นคือการบริการที่ยอดเยี่ยม จุดเด่นของไหตี่เลาที่ยืนหยัดมาจนถึงทุกวันนี้ ตรงนี้เองที่เป็นจุดขายสำคัญมากที่ทำให้ไหตี่เลาตอบโจทย์เพราะร้านอาหารจีนมักไม่มีการบริการที่ดีหรือ hospitality เป็นจุดเด่นที่ทั้งตอบความเจ็บปวดของร้านอาหารจีนทั้งในประเทศจีนและนำไปสู่ความประทับใจระดับโลก

    ถ้ามองย้อนไป ไหตี่เหลาถือเป็นนวัตกรรมของร้านอาหารจีน การบริการอย่างเต็มที่ไม่ใช่แค่การต้อนรับเป็นอย่างดี แต่รวมถึงบริการพิเศษที่แปลกประหลาดอื่นๆ เช่นนวด ทำเล็บ มีบริการขนมจุกจิกเช่นป๊อปคอร์น โดยบริการจิปาถะเหล่านี้แบรนด์อื่นอาจมองว่าเป็นรายจ่าย แต่ไหตี่เลามองว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่คุ้มค่า 

    ความพิเศษของไหตี่เลาคือการที่ร้านหม้อไฟกลายเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยสีสัน เต็มไปด้วยเรื่องแปลกประหลาดเหมือนไปเที่ยวดิสนีย์แลนด์ มีของเล่น ขนม บริการ ไปจนถึงโชว์ต่างๆ ในฐานะส่วนหนึ่งของการต้อนรับขับสู้

    ไหตี่เลาเป็นหนึ่งในไม่กี่แบรนด์ร้านอาหารหม้อไฟที่ขยายตัวและกลายเป็นกิจการระดับนานาชาติ ปัจจุบันมีมูลค่ากิจการสูงถึง 7 แสนล้านบาทไทย มีสาขากว่า 500 แห่งทั่วโลก 

    จากไหตี่เลาและการมาถึงของกิจการร้านหมาล่าที่กำลังเป็นกระแส รวมถึงวัฒนธรรมหม้อไฟที่อยู่คู่กับบ้านเราและวัฒนธรรมเอเชียมาอย่างช้านาน ร้านอาหารและการกินหม้อไฟนั้นนับเป็นอีกหนึ่งวัฒนธรรมการรับประทานที่มีทั้งความเรียบง่ายและซับซ้อน จากการปรุงที่เราปรุงไปกินไป ไปจนถึงการเป็นอาหารของเพื่อนฝูงและคนที่เราชอบพอซึ่งกันและกัน

    อ้างอิง

    สร้างสรรค์ และสร้าง !MPACT โฆษณาไทยในสายตา รติ พันธ์ุทวี  นายกสมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย

    ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า งานรวมพลคนสร้างสรรค์แห่งปี Adman Awards & Symposium หรือที่ใครๆ เรียกว่า Adman กำลังจะกลับมาอีกครั้ง

    ปีนี้ Adman Awards & Symposium 2023 มีหัวข้อการบรรยายที่หลากหลายกว่า 33 หัวข้อจาก 75 สปีกเกอร์ชั้นนำทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นจากคนในวงการโฆษณา เจาะเบื้องลึกเบื้องหลังของโฆษณาที่ได้รับรางวัลในต่างประเทศ รวมถึงภาพรวมอุตสาหกรรมโฆษณาจากมุมมองของผู้บริหารเอเจนซีต่างๆ นอกจากนี้ยังมีการจัดเวิร์กช็อปที่เปิดให้ผู้มาร่วมงานได้ลงมือทำและเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญตัวจริง 

    ธีมงานของปีนี้คือ ‘DON’T MAKE ADS, MAKE !MPACT’ ซึ่งตั้งใจสื่อสารถึงความเชื่อของ ADMAN ด้วยการยกย่องคุณค่าของผลงานที่สร้างอิมแพกต์และถูกสร้างสรรค์ขึ้นด้วยความครีเอทีฟในทุกรูปแบบ

    เราจึงชวน รติ พันธ์ุทวี นายกสมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย ผู้อยู่เบื้องหลังงานมาเล่าถึงทิศทางของอุตสาหกรรมโฆษณาในบ้านเรา สิ่งที่สมาคมฯ ทำเพื่อสนับสนุนคนในวงการโฆษณาและคนรุ่นใหม่ที่กำลังจะเข้าสู่เส้นทางโฆษณา รวมถึงความน่าสนใจของงาน ADMAN ในปีนี้ 

    “ภารกิจของสมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย คือ สร้างความแข็งแรงให้อุตสาหกรรมโฆษณา”

    ปัจจุบันสมาคมฯ เป็นรูปแบบของสมาคมวิชาชีพที่เป็นการรวมตัวกันของคนและองค์กรที่อยู่ในวิชาชีพโฆษณา ในเชิงของสมาคมฯ ที่ไม่แสวงหากำไร ตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา บทบาทที่ชัดเจนของสมาคมฯ คือ การสร้างความแข็งแรงของอุตสาหกรรมโฆษณาไทย ทั้งในรูปแบบของการพัฒนาคน และ knowledge sharing แชร์องค์ความรู้ต่างๆ เพราะคนโฆษณารุ่นใหม่ต้องมีคุณภาพ เท่าทันกับเทคโนโลยีที่พัฒนาไปในปัจจุบัน

    หากคุณเป็นอีกคนที่อยู่ในแวดวงโฆษณา คงทราบดีว่าในปีที่ผ่านมา สมาคมฯ ได้ประกาศ pitch fee ที่ช่วยป้องกันไม่ให้เอเจนซีคิดงานฟรี ในช่วงแรกก็มีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่ก่อนเวลาที่แบรนด์ต้องการทำแคมเปญหรือโฆษณาใดๆ ต้องเรียกเอเจนซีหลายที่มาเพื่อรับบรีฟ และเตรียมแผนสำหรับการพิตช์งาน ซึ่งในทุกขั้นตอนล้วนเป็นต้นทุนของเอเจนซีที่ต้องเสียไป

    ที่ผ่านมาสมาคมฯ จึงได้กำหนดกติกาใหม่ในรอบ 20 ปีเพื่อป้องกันไม่ให้แบรนด์เรียกเอเจนซีเข้าไปนำเสนองานมากเกินไป หลังจากสมาคมฯ ได้กำหนดเรตราคาค่าธรรมเนียมที่ไม่ต่างจากเดิมมากนัก (ประมาณ 50,000-100,000 บาท) ก็ได้รับความร่วมมือจากทั้งสองฝ่ายอย่างดี ปัจจุบันแบรนด์จะเรียกเอเจนซีไปพิตช์งานไม่เกิน 3 ราย ถือว่าเป็นตัวเลขที่กำลังดี ตอนนี้สมาคมฯ มีสมาชิกหรือเอเจนซีที่อยู่ในระบบเกือบ 100 ราย จาก 40 ราย ซึ่งก็ถือว่าครอบคลุมเอเจนซีส่วนใหญ่ในประเทศไทย ต้องบอกว่าการปรับกติกาครั้งนี้นั้นทำเพื่อเอเจนซีอย่างแท้จริง

    “การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล ผลักดันให้โฆษณาไทยต้องมีคุณภาพและความคิดสร้างสรรค์”

    การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอยู่เสมอ อุตสาหกรรมธุรกิจโฆษณามักจะเป็นอุตสาหกรรมแรกๆ ที่ได้รับผลกระทบเสมอมาไม่ว่าจะยุคไหนก็ตาม โดยเฉพาะในยุค digital platfrom และเทคโนโลยี AI ที่มีบทบาทสำคัญในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ทั้งในเรื่องของการหาอินไซต์และวิเคราะห์ข้อมูล ทำให้วงการโฆษณาถึงจุดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง ทุกคนต้องปรับตัวให้ทัน เพราะโลกโฆษณาเป็นโลกของการปรับตัวอยู่แล้ว ซึ่งที่ผ่านมามองว่าวงการโฆษณาไทยสามารถปรับตัวได้ดีทั้งในเรื่องของคุณภาพผลงานและความคิดสร้างสรรค์ 

    ความคิดสร้างสรรค์ที่ว่า ต้องมีอิมแพกต์ ต้องดึงดูด จูงความสนใจ สร้างความรับรู้ สร้างความนิยม สิ่งเหล่านี้เป็นสูตรที่คนทำโฆษณาทุกคนเข้าใจ เพียงแต่ว่าวันนี้บริบทของช่องทางเปลี่ยนไป มีช่องทางให้ใช้หลากหลาย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะมีช่องในการสร้างเอนเกจเมนต์หรือคาแร็กเตอร์ของแบรนด์ สร้างความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์และผู้บริโภคมากขึ้น

    นอกจากนี้ ในฝั่งของผู้บริโภคก็มีเรื่องให้ต้องปรับตัวเช่นกัน แน่นอนว่าผู้บริโภคฉลาดขึ้น สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูล และช่องทางในการแสวงหาความคิดเห็น การที่แบรนด์หรือเอเจนซีจะนำเสนออะไรสักอย่าง นอกจากเรื่องของการสร้างอิมแพกต์แล้ว ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องข้อมูลที่ถูกต้อง นำเสนอในช่องทางที่หลากหลาย เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงไปตามพฤติกรรมของผู้บริโภคในเวลานั้น 

    “โฆษณาที่ดี ต้องมีจรรยาบรรณ”

    ในโลกของโฆษณาที่ถูกมองว่าใครๆ ก็ทำโฆษณาเองได้ คอนเทนต์ไม่จำเป็นต้องมาจากเอเจนซีอย่างเดียว แต่อาจมาจาก TikToker หรืออินฟลูเอนเซอร์ในรูปแบบต่างๆ ทั้งที่อยู่ในประเทศหรือนอกประเทศ คำถามคือ โฆษณาเหล่านั้นมีพลังในการสร้างอิมแพกต์และมีจรรยาบรรณหรือไม่ นี่เป็นอีกเรื่องที่สมาคมฯ ให้ความสำคัญ 

    ซึ่งจรรยาบรรณเป็นหนึ่งในเกณฑ์การตัดสินงานโฆษณาของแอดแมนอยู่แล้ว โดยในแต่ละปีมีหลายชิ้นงานที่มีความคิดสร้างสรรค์ แต่ดันสะดุดขาตัวเองล้มในเรื่องจรรยาบรรณ ด้านภาคปฏิบัติ ทุกคนต้องรณรงค์ถ่ายทอดองค์ความรู้ พยายามสร้างสรรค์คุณค่าของจรรยาบรรณให้เป็นที่รู้จัก โดยรติย้ำถึงประเด็นนี้ว่า สมาชิกของสมาคมฯ ทั้งหมดจะมีความรับผิดชอบต่อสังคมโดยเฉพาะเรื่องจรรยาบรรณ

    “มากกว่าการสร้างโฆษณา คือการสร้างโฆษณาที่อิมแพกต์”

    อีกหนึ่งประเด็นที่สมาคมฯ ให้ความสนใจคือการสร้างอิมแพกต์ที่ดีต่อสังคม จากเดิมที่ทำโฆษณาเพื่อขายของ ปัจจุบันคนทำโฆษณาต้องมองให้ไกลกว่านั้น เพราะโฆษณาต้องสร้างแรงกระเพื่อมในเรื่องเกี่ยวข้องกับทัศนคติ ความรู้สึก สังคม และสิ่งแวดล้อม เช่น ในประเด็นเรื่องความยั่งยืน บริบทเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องที่ผู้บริโภคให้ความสนใจ และลงมือทำอย่างจริงจัง ดังนั้นโฆษณาจะเร่งรัดเรื่องการขายของอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีบริบทอื่นๆ ที่ส่งไปยังผู้บริโภคด้วย

    งานแอดแมนปีนี้จึงมาในธีมที่เกี่ยวข้องกับการสร้างอิมแพกต์ ซึ่งฟังดูแล้วอาจไม่แปลกใหม่หรือสร้างความตื่นเต้นเท่าไหร่ ทว่าบริบทของคำว่าอิมแพกต์ยุคนี้ไม่เหมือนสมัยก่อน ที่ทำโฆษณาเพื่อสร้างความสนใจและกระตุ้นยอดขาย และคำว่าอิมแพกต์ในที่นี้ก็ไม่ได้หมายถึงชิ้นงานโฆษณาอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของการสื่อสาร ทั้งในแง่ของการสร้างคาแร็กเตอร์และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภค

    “Adman ไม่ใช่แค่งานมอบรางวัล แต่สร้างอิมแพกต์ผ่านองค์ความรู้”

    ใครที่เคยไปงานแอดแมนปีก่อนๆ อาจรู้สึกว่าไฮไลต์ของงานอยู่ที่การมอบรางวัลโฆษณา ทว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาสมาคมฯ ได้ขยายส่วนของซิมโพเซียมให้มากขึ้น รวมถึงขยายเวลาการจัดงานเป็น 2 วัน เพื่อให้ผู้มาร่วมงานได้ความรู้และประสบการณ์ดีๆ 

    ดังนั้นภารกิจของสมาคมฯ จึงอยู่ที่การสื่อสารให้ทุกคนรู้ว่างานแอดแมนไม่ใช่แค่งานมอบรางวัล แต่เป็นงานที่มีหัวข้อสัมมนาหลากหลายจากผู้เชี่ยวชาญกว่า 57 คน ทั้งจากสายโฆษณา สายการตลาด อีเวนต์ และ PR อาทิ ต้องเต ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องสัปเหร่อ, คิง อลังการ จากเพจเนื้อแท้, ธนสรณ์ เจนการกิจ จาก FLASH BOMBER, อายุ จือปา จาก Akha Ama Coffee ฯลฯ

    อีกหนึ่งความพิเศษคือปีนี้เป็นปีแรกที่สมาคมฯ จัดเวิร์กช็อปในหัวข้อที่เหมาะกับคนโฆษณา การตลาด หรือแนะแนวนักศึกษาจบใหม่ที่ต้องการเข้ามาอยู่ในวงการนี้ อาทิ รู้ไว้ให้หนังดี Post-Production Process โดย ณพวัฒน์ ลิขิตวงศ์, ปั้นเคสเป็นตัว โดย ธมกร รุจกิจยานนท์ Sour Bangkok เป็นต้น

    “รางวัลที่สะท้อนว่า ความคิดสร้างสรรค์แฝงตัวอยู่ในทุกวงการ”

    แม้จำนวนชิ้นงานที่เข้าชิงในปีนี้ไม่แตกต่างจากปีก่อนๆ แต่ในเรื่องความหลากหลายนั้นมีมากขึ้นแน่นอน โดยเฉพาะในแง่ของ category ที่แต่ก่อนอาจมีแค่สิ่งพิมพ์ โทรทัศน์ และวิทยุ เดี๋ยวนี้มี social digital, โฆษณา outdoor, งาน activation, งาน experience, งาน PR หรือ IMC (integrated marketing communication) ซึ่งเป็นความหลากหลายในเชิงของหมวดหมู่ มีลูกเล่น ใส่ความคิดสร้างสรรค์เยอะขึ้น 

    ปีนี้แอดแมนได้ขยายรางวัลออกไปในส่วนของธุรกิจและ category อื่นๆ อาทิ รางวัล Entertainment ที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์ เทรเลอร์ หรือมิวสิกวิดีโอ จะเห็นว่าความคิดสร้างสรรค์ไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นโฆษณาอย่างเดียว แต่เปิดกว้างให้ทุกชิ้นงานที่ทำเต็มที่

    นอกจากนี้ยังมีรางวัล Creativity for Sharing เป็นรางวัลในหมวดเดียวกับงานโฆษณา แต่จะเป็นรางวัลที่มอบให้ประชาชนที่มีความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งผู้ที่เคยได้รับรางวัลปีก่อนๆ มีทั้งแพทย์ พระ พ่อค้า หรือนักศึกษา เป็นรางวัลสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคน ไม่ว่าจะอยู่จังหวัดไหน ทำธุรกิจอะไร หรือจะเป็นรัฐวิสาหกิจชุมชน ถ้าทำสิ่งที่สร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ต่อสังคมก็มีโอกาสได้รับรางวัลนี้

    อย่างไรก็ตาม เป้าหมายของการจัดงานปีนี้คงไม่มีอะไรมากไปกว่าการที่มีคนมาร่วมงานเยอะๆ จากข้อมูลทั้งหมดจะเห็นได้ว่า งานแอดแมนปีนี้เป็นงานที่เปิดกว้างให้ทุกคนที่สนใจการทำโฆษณาและการตลาด ได้นำความรู้และความคิดสร้างสรรค์ไปต่อยอดทางความคิดต่อไป 

    สำหรับงาน Adman Awards & Symposium 2023 มี 3 เวทีที่จัดในเวลาเดียวกัน อัดแน่นไปด้วยข้อมูลความรู้จากเหล่าตัวท็อปของวงการ รวมกว่า 33 หัวข้อจาก 75+ Speakers ชั้นนำทั่วโลก โดยจัด 2 วัน ในวันที่ 15-16 พฤศจิกายนนี้ ที่สามย่านมิตรทาวน์ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ admanawards.com/symposium/speakers

    ซื้อบัตรได้ที่ bit.ly/44lLiYr

    งานเปิดตัว Fifty Fathoms 70th Anniversary Act 3 ย้อนประวัติศาสตร์นาฬิกาดำน้ำเรือนแรกของโลก 

    หากคุณเป็นนักสะสมนาฬิกา หรืออยู่ในวงการนาฬิกา ย่อมต้องคุ้นเคยกับชื่อและรับรู้ถึงความพิเศษของ Blancpain (บลองแปง) แบรนด์นาฬิกาสัญชาติสวิสฯ ที่ก่อตั้งในปี 1735 มีอายุกว่า 288 ปี ทำให้ Blancpain ได้รับการขนานนามว่าเป็นแบรนด์นาฬิกาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก โดย Blancpain สร้างชื่อเสียงจากนาฬิกาดำน้ำรุ่นแรกของโลกอย่าง Fifty Fathoms (ฟิฟตี้ ฟาธอมส์) ที่ได้รับความไว้วางใจจากหน่วยรบประดาน้ำจากทั่วโลก และเป็นความภูมิใจของแบรนด์มาตลอด 70 ปี

    เรื่องราวของ Fifty Fathoms นาฬิกาดำน้ำรุ่นแรกของโลก เกิดขึ้นในปี 1950  Jean-Jacques Fiechter ผู้บริหารของแบรนด์ขณะไปดำน้ำในแถบทะเลตอนใต้ของเมืองคานส์ ประเทศฝรั่งเศส ที่ในเวลานั้นเขาเกิดลืมเวลาทำให้ออกซิเจนค่อยๆ ลดลง จนทำให้เขาต้องขึ้นสู่ผิวน้ำทันที เหตุการณ์ที่ทำให้เขาเข้าใกล้ความตายที่สุดในชีวิต ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการคิดค้น Fifty Fathoms ที่ตั้งใจออกแบบให้มีฟังก์ชั่นช่วยให้นักดำน้ำทราบเวลาดำน้ำตั้งแต่เริ่มจนจบ 

    Jean-Jacques Fiechter ผู้สร้างนาฬิกาดำน้ำอย่างแท้จริงเรือนแรกของโลกอย่าง Fifty Fathoms

    Fifty Fathoms ถูกนำไปใช้อย่างเป็นทางการครั้งแรกในปี 1953 พร้อมนวัตกรรมที่จดสิทธิบัตรคุ้มครอง คือเม็ดมะยมมีการซีลสองชั้นป้องกันน้ำเข้า มีระบบซีลฝาด้านหลังตัวเรือนเพื่อป้องกันยาง O-ring ไม่ให้เกิดการบิดงอตอนประกบตัวเรือน สามารถทนแรงดันกันน้ำลึกได้ระดับ 50 ฟาธอมส์ (ตามชื่อของรุ่นนาฬิกา) หรือประมาณ 91.44 เมตร รวมไปถึงขอบหน้าปัดหมุนสำหรับจับเวลาที่สามารถล็อกได้ ซึ่งเป็นฟังก์ชันที่ทำให้กองทัพในยุคสมัยนั้นสวมใส่ และกลายเป็นนาฬิกาดำน้ำที่ทรงคุณค่าแห่งวงการนาฬิกาจวบจนวันนี้

    ทริปเปิดตัว Fifty Fathoms ฉลอง 70 ปี
    ที่ย้ำเตือนถึงพันธะสัญญา BOC (Blancpain Ocean Commitment) 

    ในวาระที่ Fifty Fathoms ได้ผ่านการเดินทางมากว่า 70 ปี และในโอกาสเปิดตัว Fifty Fathoms 70th Anniversary Act 3 Blancpain จึงจัดงานที่มุ่งหวังให้ผู้เข้าร่วมได้สัมผัสประสบการณ์แสนพิเศษ โดยการจัดทริปพาผู้ที่เกี่ยวข้องของแบรนด์รวมไปถึงสื่อ และลูกค้ากว่า 200 คน สัมผัสประสบการณ์สุดเอกซ์คลูซีฟ ณ จุดกำเนิดของนาฬิการุ่นนี้ที่เมืองคานส์ ประเทศฝรั่งเศส

    ความสำคัญประการหนึ่งของทริปนี้คือการย้ำเตือนถึงพันธะสัญญา BOC (Blancpain Ocean Commitment) ที่ Blancpain มีต่อมหาสมุทร โดยได้ร่วมมือกับองค์กรชั้นนำใน 3 ด้านหลักๆ อันได้แก่ การสร้างความตระหนักรู้ (Awareness), การสำรวจ (Exploration) และการปกป้อง (Preservation) มหาสมุทร

    อีกหนึ่งความพิเศษของทริปนี้อยู่ที่ ‘BOC Panel Discussion’ ซึ่งเป็นเวทีเสวนาระหว่างผู้บริหารของ Blancpain และพาร์ทเนอร์จากองค์กรต่างๆ เพื่อพูดคุยและแชร์ความคิดเห็นเกี่ยวกับการอนุรักษ์มหาสมุทร อาทิ Marc A. Hayek ประธานและ CEO ของ Blancpain, Laurent Ballesta ผู้ร่วมก่อตั้งโครงการ Gombessa Expeditions,  Andrew Sharpless ผู้บริหารของ Oceana, Charles Goddard ผู้บริหารโครงการ World Ocean Initiative และ Drew Richardson ประธานและ CEO ของ PADI (Professional Association of Diving Instructors), Jason Heaton นักข่าวและนักจัดรายการพอดแคสต์

    ผู้ร่วมเสวนาใน BOC Panel discussion (จากซ้ายไปขวา) Jason Heaton, Charles Goddard, Marc A. Hayek,  Laurent Ballesta, Andrew Sharpless และ Drew Richardson

    นอกจากกิจกรรวมเสวนา ในโซนบริเวณชายหาดได้มีการจัด Downtown Exhibition แสดงภาพถ่ายเกี่ยวกับ Fifty Fathoms และการเฉลิมฉลองครบ 70 ปี เชิญชวนให้ผู้คนที่หลงใหลใน Blancpain และนักท่องเที่ยวที่สัญจรไปมาได้สัมผัสเรื่องราว และระลึกถึงจุดกำเนิดของ Fifty Fathoms

    Downtown Exhibition แสดงภาพถ่ายเกี่ยวกับ Fifty Fathoms และการเฉลิมฉลองครบ 70 ปี

    หนึ่งในกิจกรรมที่เป็นไฮไลท์สำคัญคือ Diving experience ซึ่งจัดขึ้นเพื่อให้แขกผู้ได้รับเชิญได้สัมผัสประสบการณ์การดำน้ำในจุดที่ถือเป็นต้นกำเนิดของนาฬิการุ่นในตำนานอย่าง Fifty Fathoms โดยถือเป็นการเติมเต็มประสบการณ์สุดพิเศษทำให้ได้ซึมซับถึงประวัติศาสตร์ของนาฬิกาดำน้ำอย่างแท้จริงเรือนแรกของโลก

    Diving Experiential ที่จัดขึ้นในแถบทะเลตอนใต้ของเมืองคานส์ ซึ่งถือเป็นจุดกำเนิดของนาฬิกา Fifty Fathoms

    ไตรภาคแห่งการฉลอง Fifty Fathoms 70th Anniversary Act 3

    ในการเปิดตัวนาฬิกาอันเป็นไฮไลต์ของทริปนี้ บลองแปงได้เฉลิมฉลอง 70 ปีแห่งความยิ่งใหญ่ของคอลเลกชั่น Fifty Fathoms โดยการปิดเกาะแซงต์มาเกอริต เกาะนอกชายฝั่งของคานส์ ที่ซึ่งเป็นสถานที่ในการเปิดตัว Fifty Fathoms 70th Anniversary Act 3 ที่มีเพียง 555 เรือนทั่วโลก โดยได้รับแรงบันดาลใจจากรุ่น MIL-SPEC รุ่นดั้งเดิมที่ผลิตขึ้นในปี 1964

    Fifty Fathoms 70th Anniversary Act 3

    โดยก่อนหน้านี้ Blancpain ได้ทยอยเปิดตัวนาฬิกา Fifty Fathoms แบบไตรภาคไปแล้ว 2 รุ่น และเวลาก็ดำเนินมาสู่รุ่นปิดท้ายของไตรภาคอย่าง Fifty Fathoms 70th Anniversary Act 3 ที่คงความคลาสสิกไว้อย่างครบถ้วน โดยได้อัปเกรดเทคโนโลยีให้เหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวันยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้วัสดุทองบรอนซ์ 9K ที่พัฒนาขึ้นเพื่อการสวมใส่ที่สะดวกสบายยิ่งขึ้น สามารถสัมผัสกับผิวได้โดยไม่เป็นคราบหรือเกิดสนิมเขียว ซึ่งเข้ากับสาย nato แบบทูโทนในเฉดเดียวกับเรือนดั้งเดิม สำหรับการออกแบบแทบจะถอดแบบมาจากนาฬิกาเรือนต้นแบบทั้งหมด 

    ขณะที่ตัวเรือนยังมีคุณสมบัติในการป้องกันผลกระทบจากสนามแม่เหล็ก หน้าปัดเป็นเซรามิกสีดำด้าน มีการเคลือบสารเรืองแสง และมี moisture indicator (มาตรวัดความชื้น) ในตำแหน่ง 6 นาฬิกา ที่จะเปลี่ยนสีเมื่อตัวเรือนมีความชื้น นับเป็นคุณสมบัติเด่นที่มาจากรุ่น MIL-SPEC 

    อย่างไรก็ตาม Fifty Fathoms 70th Anniversary Act 3 ยังได้นำกลไกประสิทธิภาพสูงอย่างคาร์ลิเบอร์ 1154.P2 มาใช้ ทำให้ตัวเรือนมีความแข็งแกร่งและทนทาน สามารถกันน้ำได้ระดับ 30 บาร์ (300 เมตร) พร้อมด้วยสนามแม่เหล็กในเวอร์ชัน 1,000 เกาส์ และสำรองพลังงานได้นาน 100 ชั่วโมง

    ทั้งหมดนี้เป็นบทพิสูจน์อย่างชัดเจนว่า ตลอดระยะมากกว่าครึ่งศตวรรษของคอลเลกชัน Fifty Fathoms Blancpain ยังคงเดินหน้าพัฒนานาฬิกาคอลเลคชันนี้อย่างสมบูรณ์แบบ นับเป็นการสานต่อประวัติศาสตร์เรื่องราวความสำเร็จของ Fifty Fathoms ให้คงอยู่ต่อไป

    บรรยากาศการพูดคุยภายในงานเปิดตัว Fifty Fathoms 70th Anniversary Act 3

    รังสรรค์อีเวนต์ที่ส่งมอบประสบการณ์

    การจัดอีเวนต์ของ Blancpain ในครั้งนี้ไม่ใช่แค่การสร้าง brand loyalty ต่อแบรนด์เท่านั้น แต่เป็นการสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้าและคนทั่วไปได้มีส่วนร่วมกับแบรนด์ (experiential marketing) โดยเชื่อมโยงอารมณ์และความรู้สึกระหว่างแบรนด์กับลูกค้า ผ่านการมอบประสบการณ์ที่น่าจดจำ

    ในโลกที่เต็มไปด้วยข้อมูลข่าวสารเช่นนี้ การดึงดูดผู้คนให้มาสนใจอะไรบางอย่างไม่ใช่เรื่องง่าย การที่ Blancpain จัดกิจกรรมในลักษณะ storytelling ผ่านประสบการณ์สุดเอกซ์คลูซีฟได้ทำให้ประวัติศาสตร์ของแบรนด์เป็นที่รับรู้มากขึ้น ทั้งกับคนที่หลงใหลในแบรนด์อยู่แล้วและบางคนที่อาจจะรู้จักครั้งแรกจากงานนี้

    ที่สำคัญกิจกรรมครั้งนี้ได้แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในทุกรายละเอียด ตั้งแต่รูปแบบการจัดงาน เนื้อหาของงาน กิจกรรม แม้กระทั่งการเปิดตัวนาฬิการุ่นใหม่ ด้วยวิธีที่แตกต่างจากคนอื่นทำให้ผู้คนจดจำตัวตนของแบรนด์ได้ เพราะในพื้นที่แห่งนี้ ผู้คนจะได้สัมผัส ได้ยิน และรู้สึกถึงตัวตนของ Blancpain ด้วยตัวเอง 

    ความรู้สึกหรือประสบการณ์ที่ผู้คนกว่า 200 ชีวิตได้สัมผัสผ่านการจัดงานครั้งนี้คือประสบการณ์ที่หาไม่ได้จากที่ไหน เป็นประสบการณ์ที่สะท้อนเอกลักษณ์เฉพาะของแบรนด์และจุดมุ่งหมายที่แบรนด์ต้องการสื่อไปถึงลูกค้าผ่านประสบการณ์โดยไม่ลืม value proposition หรือคุณค่าของแบรนด์

    ผู้เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 200 ชีวิตพร้อมใจกันบันทึกภาพประสบการณ์แสนพิเศษ