Pet Parents

ทาสแมวครองเมือง และวัฒนธรรม Pet Parents ใน Pet Expo ตัวชี้วัดเม็ดเงินของ Royal Canin และธุรกิจสัตว์เลี้ยง

ถ้าเหล่าหนอนหนังสือเฝ้ารองานหนังสือวนกลับมา สำหรับพ่อหมาแม่แมว Pet Expo งานรวมสารพัดสินค้าและอาหารสัตว์เลี้ยงที่ใหญ่ที่สุดแห่งปีก็คงเป็นหมุดหมายที่หลายคนตั้งตารอ ซึ่งในปีนี้ งาน Pet Expo ก็กำลังเกิดขึ้นแบบสดๆ ร้อนๆ ตั้งแต่วันที่ 4-7 พฤษภาคมนี้ ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

หากใครไปเดินงาน Pet Expo เกือบทุกปี สิ่งที่หลายคนน่าจะเห็นตรงกันคือ 2-3 ปีมานี้ สัดส่วนร้านค้าสำหรับน้องแมวนั้นเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่คนเลี้ยงสัตว์คิดไปเอง เพราะจากข้อมูลของบริษัทผู้ผลิตอาหารน้องหมาน้องแมวระดับโลกอย่าง Royal Canin ระบุว่าช่วงที่ผ่านมา จำนวนทาสแมวเพิ่มสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด 

ปัจจุบัน สัดส่วนรายได้ของบริษัทจึงมาจากการขายอาหารแมวมากถึง 60% จากที่แต่เดิมมีเพียง 30% เท่านั้น และในตลาด ก็มีแบรนด์อาหารแมวทั้งที่ผลิตในประเทศและนำเข้ารวมกว่า 100 แบรนด์ แบ่งออกเป็นอาหารแมวกลุ่มประหยัด 50% กลุ่มหลัก 30% และกลุ่มซูเปอร์พรีเมียมซึ่งเป็นกลุ่มของ Royal Canin อีก 20% 

นายสัตวแพทย์จดล สุวรรณฤทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท รอยัล คานิน (ประเทศไทย) จำกัด ยังกล่าวว่านอกจากสัดส่วนที่เปลี่ยนไป พฤติกรรมการเลี้ยงสัตว์ของคนก็ต่างออกไปด้วย จากแต่เดิมที่คนเลี้ยงสัตว์เป็นสัตว์เลี้ยงหรือเรียกว่า pet owner ก็กลายเป็น pet parents ที่เลี้ยงสัตว์เป็นลูกและพร้อมจ่ายเสมอ ซึ่งจะไม่ใช่แค่เทรนด์ของทั้งโลกแต่จะกลายเป็นวัฒนธรรมหนึ่งไปเลย 

การเป็น pet parents นี้ทำให้เม็ดเงินของตลาดอาหารซูเปอร์พรีเมียมเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ถ้าเปรียบเทียบกับ GDP ของประเทศ อาหารสัตว์จะโตกว่า GDP 2% และอาหารสัตว์กลุ่มซูเปอร์พรีเมียมจะสูงกว่าอาหารสัตว์ทั่วไป 1.5-2% นั่นหมายความว่าทั้งอาหารน้องแมวและอาหารน้องหมาของ Royal Canin ก็มีโอกาสเติบโตมากกว่าเกรดอื่นๆ เช่นเดียวกัน 

“แม้ผู้เล่นจะเยอะขึ้น แต่เราคิดว่า Royal Canin ยังมีจุดแข็งหลายข้อ ข้อสำคัญที่สุดคือการที่เราตั้งใจจะเป็นผู้นำด้าน Health to Nutrition ที่ไม่ได้แค่ผลิตอาหารคุณภาพจากวัตถุดิบเกรดคนทาน แต่เราจะสร้าง ecosystem ของสัตว์เลี้ยงและส่งต่อความรู้ในการเลี้ยงสัตว์ให้เจ้าของเพื่อสร้างสุขภาพที่ดีให้สัตว์เลี้ยงทุกตัว” 

ecosystem ของ Royal Canin เริ่มจากการผลิตอาหารหมาและแมวเกือบทุกสายพันธุ์เพื่อตอบโจทย์ที่หลากหลาย ในทางอ้อม ยังถือเป็นการเก็บข้อมูลเพื่อคาดการณ์เทรนด์ธุรกิจสัตว์เลี้ยงได้ด้วย นอกจากนั้น

Royal Canin ยังทำแอพพลิเคชั่นเพื่อเก็บข้อมูลสายพันธุ์ รูปแบบอาหาร แหล่งที่ซื้อฯลฯ เพื่อนำข้อมูลไปพัฒนาโมเดลธุรกิจ ที่สำคัญ ยังพัฒนา Ver service หรือ AI ที่ช่วยแนะนำโภชนาการอาหารที่เหมาะสมให้กับน้องหมาน้องแมว รวมถึงในอนาคต ยังจะสามารถช่วยวิเคราะห์โรคได้เบื้องต้นด้วย

“เราไม่ได้ตั้งเป้าเป็นเพียงบริษัทขายอาหารสัตว์ แต่เราอยากสร้างสุขภาพที่ดีแบบครบวงจร ปัจจุบันบริษัทแม่อย่าง Mars ยังเริ่มสร้างโรงพยาบาลสัตว์เพื่อเก็บข้อมูลการรักษา และผลิตสินค้ากลุ่มตรวจโรคเพื่อช่วยให้เจ้าของสังเกตอาการสัตว์เลี้ยงได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะกับน้องแมวที่มักจะไม่แสดงอาการเมื่อตัวเองป่วย

“แม้สิ่งเหล่านี้จะยังไม่เกิดขึ้นในประเทศไทย แต่มันจะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อให้เราเป็นผู้นำด้านสุขภาพสัตว์เลี้ยงแบบครบวงจรจริงๆ เป็นเหตุผลว่าทำไมเราต้องเสียค่าเช่าพื้นที่ในงาน Pet Expo จำนวนมากเพื่อสร้างโซนให้ความรู้และโซนให้คำปรึกษาผ่านระบบ AI และเป็นเหตุผลว่าทำไมเราต้องมีแคมเปญแจกคูปองส่วนลดการฉีดวัคซีนให้เจ้าของ” 

ความแตกต่างตรงนี้เองที่อาจช่วยให้ Royal Canin ยังคงอยู่รอดในสมรภูมินี้ และนั่นอาจทำให้บริษัทโตได้มากถึง 20% ภายในปี 2566 ตามที่ตั้งเป้า ขณะเดียวกันก็น่าสนใจว่าผู้เล่นรายย่อยจะงัดกลยุทธ์ไหนมาทำให้ธุรกิจอยู่รอดในตลาดเรดโอเชียน โดยเฉพาะกับตลาดอาหารแมวที่เม็ดเงินเพิ่มขึ้นมหาศาล

ส่วนใครที่แวะไปงาน Pet Expo ปีนี้ ก็สามารถไปปรึกษาโภชนาเบื้องต้นและการดูแลสุขภาพแมว รวมถึงรับคูปองฉีดวัคซีนได้ที่บูท Royal Canin

Writer

กองบรรณาธิการไลฟ์สไตล์ที่มีแมวเป็นแรงผลักดันในการทำงาน

Illustrator

บรรณาธิการศิลปกรรม ที่ชอบกินกาแฟดำเป็นชีวิตจิตใจ

You Might Also Like