Petniture
Petniture เฟอร์นิเจอร์สำหรับสัตว์เลี้ยงของคู่รักอินทีเรียร์ที่อยากให้มะนุดอยู่กับลูก 4 ขาอย่างแฮปปี้
จากภาพเฟอร์นิเจอร์ด้านล่างนี้ ทุกคนคิดว่าฟังก์ชั่นของมันคืออะไรกันบ้าง?
แรกเริ่ม ทั้งคนที่เลี้ยงและไม่ได้เลี้ยงสัตว์อาจสับสนงุนงงว่าเจ้าเก้าอี้ที่ว่านี้เป็นของเด็กหรือเปล่า หรือมีฟังก์ชั่นเพื่อให้มะนุดทำคอนเทนต์ลงโซเชียลมีเดียเท่านั้น แต่แท้จริงแล้ว KAOI PAW CHAIR เก้าอี้เด็กสำหรับลูกๆ สี่ขา ของ Petniture แบรนด์เฟอร์นิเจอร์เพื่อเจ้าของและสัตว์เลี้ยงนั้นมีฟังก์ชั่นสำคัญมากกว่านั้น
ไม่ว่าจะเรื่องการฝึกพฤติกรรม การบริหารจัดการพื้นที่ ไปจนถึงการป้องกันโรคข้อต่อและทางเดินอาหาร ทั้งหมดนี้ กวาง–ธารวิมล กมลนิธิ และ จั๊ก–วัฒพฤกษ์ ชัยปาริฉัตร์ คู่รักอินทีเรียร์ดีไซน์ผู้ต่อยอดแบรนด์ Petniture จากธุรกิจ CNC ต้องการให้ทั้ง KAOI และเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นของ Petniture ช่วยยกระดับชีวิตของมะนุดและลูกสี่ขา
“หลายคนตั้งคำถามว่ามันต้องขนาดนี้เลยเหรอ แต่เพราะเราเลี้ยงสัตว์มานานกว่า 10 ปี และเราเองก็เป็นอินทีเรียร์ดีไซเนอร์ที่จริงจังเรื่องความสวยงามของบ้าน และความคงทนของเฟอร์นิเจอร์มาก Petniture จึงเกิดขึ้นจากความเข้าใจ pain point ท้ังหมดนั้น” จั๊กอธิบายถึงคอนเซปต์โดยรวมของแบรนด์ให้ฟัง
ความแตกต่างทั้งเรื่องไลน์สินค้าและความพรีเมียมที่ทำให้ราคาขยับขึ้นไปอีกขั้นเมื่อเทียบกับแบรนด์ของใช้สัตว์เลี้ยงในท้องตลาด เราจึงชวนกวางและจั๊กมาเปิดหลัก 5P ไปพร้อมๆ กัน เพื่อไขข้อข้องใจว่าเหตุผลอะไรที่ทำให้ Petniture ต้อง ‘ทำขนาดนี้’
Product
ตอบโจทย์พฤติกรรม คัสตอมได้ทุกสายพันธุ์
ในตำราการออกแบบพื้นฐาน สินค้าที่ดี คือสินค้าที่แก้ pain point ของผู้ใช้งานได้ Petniture จึงสามารถบอกได้อย่างเต็มปากว่าสินค้าที่คิดค้นขึ้นช่วยให้เด็กๆ สี่ขาแฮปปี้กับชีวิตมากขึ้นจริงๆ
ที่กล่าวแบบนั้น เพราะแม้เทรนด์สัตว์เลี้ยงที่มาแรงจะทำให้ของใช้สัตว์เลี้ยงผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด แต่ทั้งคู่มองว่าสินค้าเหล่านั้นก็ยังแก้ pain point ของมะนุด ในเรื่องความสะดวกสบาย ความคงทนถาวรไม่ได้ ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่เมื่อสินค้าเหล่านั้นตอบโจทย์สัตว์เลี้ยงได้ไม่ตรงจุด
“สินค้าชิ้นแรกอย่างชามยกสูง OMAKASE เกิดจากการที่เราหาชามอาหารยกสูงให้บราวนี่ หมาพันธุ์ชิวาว่าอายุ 14 ปี ไม่ได้สักที คือถ้าไม่เตี้ยไปก็สูงไป แล้วก็องศาของชามไม่เข้ากับสรีระของเขา ซึ่งมันอาจส่งผลต่อข้อต่อ อาจทำให้สำลัก กินเร็ว และส่งผลต่อระบบย่อยอาหารของเขาได้
“เราจึงเริ่มจากนำวัสดุที่เราทำธุรกิจ CNC มาลองทำชามให้เขาใช้ก่อน แล้วค่อยๆ ปรับให้สูงขึ้นอีกนิด เอียงอีกหน่อย เพื่อให้รับกับหน้าของเขา” กวางเล่าถึงจุดเริ่มต้นของสินค้าชิ้นที่ทำให้ทั้งคู่เริ่มเห็นความเป็นไปได้
ธุรกิจที่ต่อยอดจากธุรกิจเดิมนั้นเหมือนจะง่าย แต่เพราะความต้องการของสัตว์เลี้ยงและคนนั้นแตกต่างกัน การศึกษาพฤติกรรมและความแตกต่างของน้องหมาน้องแมวแต่ละสายพันธุ์จึงเป็นสิ่งที่ทั้งคู่บอกว่าจำเป็น
“พอจะเริ่มขายปุ๊บ เราเพิ่งมานึกได้ว่าหมาไม่ได้มีแค่พันธุ์เดียว เลยต้องศึกษาและออกสินค้าที่ตอบโจทย์ทั้งหมาแมวขนาดเล็กและขนาดกลาง จากนั้นเมื่อวางขายจริงๆ ก็เก็บทุกฟีดแบ็กของลูกค้ามาพัฒนา อย่างตอนแรกเราทำเป็นไซส์ S และ M ก่อน แต่ก็พบว่ายังมีน้องหมาน้องแมวที่ความสูงอยู่กึ่งกลางระหว่างนั้น เลยพัฒนาไซส์ S+ ขึ้นมา
“และภายหลังก็พัฒนารุ่น ONIGIRI สำหรับหมาไซส์ใหญ่ ที่ไม่ได้เข้าคู่กับชามเซรามิกแบบรุ่น OMAKASE แต่เป็นชามสเตนเลส เพราะน้องหมาไซส์ใหญ่แรงเยอะ ถ้าเขาเล่นหรือวิ่งชนมันอาจจะแตกได้”
นอกจากจะตอบโจทย์น้องๆ ได้จริงแล้ว การที่ Petniture ทำชามยกสูงนี้ออกมาหลายไซส์จึงถือเป็นการสร้างความแตกต่างให้แบรนด์ และสะท้อนว่าเอกลักษณ์ของ Petniture คือความใส่ใจในรายละเอียด การเข้าใจพฤติกรรมสัตว์เลี้ยง และความต้องการของเจ้าของจริงๆ
นอกจากชามยกสูงแล้ว สินค้าอีกชิ้นที่เป็นที่พูดถึงและยังไม่เคยมีใครวางขายในท้องตลาดคือ KAOI เก้าอี้เด็กสำหรับคุณหนูสี่ขา ที่เราเกริ่นไปและจะมาเฉลยฟังก์ชั่นกันที่ย่อหน้านี้
“เวลาเราทำงาน บราวนี่ก็จะชอบร้องและอยากขึ้นมาอยู่บนตักเราตลอดเวลา ซึ่งบางครั้งมันอันตรายมากเพราะเขาตัวเล็ก และก็อาจถูกเหยียบได้เลย”
ทั้งคู่จึงเริ่มจากทำกล่องนอนตั้งบนชั้นวางของอีกทีหนึ่ง และพบว่าบราวนี่สบายใจขึ้นเพราะได้อยู่ใกล้ชิดกับพ่อแม่ จากนั้นกวางและจั๊กจึงเริ่มพัฒนา KAOI อย่างจริงจัง ซึ่งมีทั้งรุ่นธรรมดา และรุ่นที่วางชามอาหารของน้องๆ ได้ ทั้งยังมีล้อเลื่อนที่เคลื่อนที่อย่างอิสระ แก้ pain point ของรถเข็นที่ต่อให้คุณภาพดีแค่ไหนแต่ก็ไม่สะดวกมากนัก เพราะรถเข็นไม่มีที่วางชามอาหาร พ่อแม่จึงยังต้องคอยป้อนเด็กๆ อยู่ดี
“เจ้าของหลายคนบอกว่าตอนแรกก็งงว่ามันคืออะไร ทำไมฉันต้องให้หมามานั่งตรงนี้ ทั้งที่ก็มีรถเข็นอยู่แล้ว แต่พอเขาได้ลองเอาหมาไปนั่งจริงๆ เขาพบว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องมี เพราะมันสะดวกขึ้นเยอะเลย ที่สำคัญ KAOI ยังฝึกพฤติกรรมเด็กๆ ได้ดี ซึ่งเป็นฟังก์ชั่นที่เราไม่คาดคิดเหมือนกัน
“เด็กๆ หลายคนทานอาหารได้เองโดยไม่ต้องให้พ่อแม่ป้อน เพราะที่ผ่านมาเขาอยากให้เราป้อนเพราะเขานั่งอยู่ข้างล่างและต้องการความสนใจ พอเขาขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกัน เขาก็จะรู้ว่าพ่อแม่ทำอะไรอยู่บ้างเด็กๆ ยังรู้ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ได้นั่งบนเก้าอี้ตัวนี้ เขาจะได้กินข้าว หรือเมื่อไหร่ก็ตามที่เขากินเสร็จเขาถึงจะได้ลงจากเก้าอี้ มันตอบโจทย์ทั้งน้องหมาที่กินเก่งและกินน้อย” กวางเล่าถึงฟีดแบ็กจากการนำ KAOI ไปเป็นสปอนเซอร์ส่วนกลางของงาน Pet Expo ที่ทำให้ทั้งคู่ใจฟู
ความแตกต่างตรงนี้ไม่เพียงตอบโจทย์พ่อแม่ได้เท่านั้น แต่ในอนาคตกวางและจั๊กยังตั้งใจให้ KAOI ไปวางตามร้านอาหารหรือโรงแรมที่เป็น pet-friendly เพราะนอกจากจะเป็นการเพิ่มมูลค่าให้ผู้ประกอบการร้านค้าแล้ว ยังถือเป็นการจัดการพื้นที่ได้ดี สะดวกกับทางเจ้าของหมาแมวเอง และสะดวกกับพนักงานด้วย
สะดวกใช้ สวยถูกใจมะนุด
“ชื่อแบรนด์ของเรามาจากคำว่า pet lifestyle and human furniture” จั๊กเริ่มต้นเล่าหัวใจข้อที่สองของการออกแบบสินค้า ก่อนอธิบายต่อว่า
“โลโก้ของแบรนด์เป็นวงกลม 2 วงซ้อนกัน Petniture ก็คืออินเตอร์เซกตรงกลางของทั้ง 2 วงนั้น มันสะท้อนถึงความตั้งใจในการทำแบรนด์ของเราว่าอยากให้ใช้ได้จริงด้วย และวางในบ้านได้อย่างไม่เคอะเขินเหมือนเป็นเฟอร์นิเจอร์ตัวหนึ่ง”
เมื่อต้องการให้เป็นเฟอร์นิเจอร์ ดีไซน์ของสินค้าทุกชิ้นจึงต้องเรียบง่ายและอยู่ได้ทุกยุคทุกสมัย พูดให้เข้าใจ จั๊กบอกว่าคีย์เวิร์ดในการออกแบบคือ ‘classic never die’
“ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา เราได้รับผลตอบรับดีมากๆ พ่อแม่บอกว่าเอาของเราไปวางตรงไหนของบ้านก็สวย ลูกเขาก็ใช้ชีวิตได้ดีขึ้น เพราะพอเราตีความออกมาว่าเดี๋ยวนี้คนเลี้ยงสัตว์เป็นลูก นอกจากเราจะเทียบฟังก์ชั่นของใช้สัตว์เลี้ยงกับของเด็กแล้ว เรายังจริงจังกับเรื่องดีไซน์” กวางอธิบาย
นอกจากความสวยงามที่สะท้อนผ่านรูปทรงและสีสันที่เรียบง่าย สินค้าทุกชิ้นจะต้องทนทานและสะดวกมะนุด เพราะกวางและจั๊กไม่ได้มองว่า Petniture คือของใช้สัตว์เลี้ยงแต่คือเฟอร์นิเจอร์ที่ต้องใช้งานได้ยาวนาน
“pain point ของชามอาหารสัตว์เลี้ยงที่อยู่ในท้องตลาดคือมักจะไม่ทน เราเลยทำชามยกสูงออกมา 2 วัสดุ คือวัสดุไม้ที่เคลือบมาแล้ว และวัสดุพลาสต์วูดซึ่งเป็นวัสดุทดแทนที่กันน้ำได้มากกว่าเพราะเป็นเกรดเฟอร์นิเจอร์ครัว” กวางบอก
อีกสิ่งสำคัญ สินค้านั้นๆ ต้องอำนวยความสะดวกให้มะนุดได้ด้วย อย่างชามเซรามิกในรุ่น OMAKASE ก็คิดมาแล้วว่าจะต้องเข้าไมโครเวฟได้ เผื่อพ่อแม่ต้องการอุ่นอาหารให้ลูกๆ สินค้าต่างๆ ก็ยังต้องขนส่งได้สะดวกสบาย ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายของมะนุดพ่อมะนุดแม่ เช่น เจ้า KAOI ที่มาในรูปแบบ flat pack ซึ่งทั้งสองคนได้รับแรงบันดาลใจจาก IKEA
Price & Promotion
ราคาเหมาะสมและการสื่อสารถึงความตั้งใจ
ชามยกสูง OMAKASE ราคาเริ่มต้นที่ 800-1,300 บาท
ชามยกสูง ONIGIRI ราคาเริ่มต้นที่ 1,600-2,300 บาท
ส่วนเจ้า KOAI สินค้าใหม่ในวงการสัตว์เลี้ยง ขายในสนนราคา 12,000-15,000 บาท
“แบรนด์ของเราใส่ใจเรื่องของคุณภาพการออกแบบมาก กว่าจะออกแบบ กว่าจะทำม็อกอัพ กว่าจะทดลองใช้จริง ทำให้ราคาของเราอาจจะสูงกว่าท้องตลาด แต่ขณะเดียวกันเราก็มีกลุ่มลูกค้าที่เขาเข้าใจและเห็นถึงความแตกต่าง อยากให้ลูกเขาได้ใช้ของดี และอยากให้บ้านเขาสวยงาม
“หลายคนพอมาจับแล้วก็พูดเลยว่า ของเราไม่เหมือนที่ไหนเลย ไม้มันดีมาก อะไรแบบนี้ แต่ในความเป็นจริง ไม้เราอาจจะเหมือนคนอื่นก็ได้นะ เพียงแต่เราใส่ใจในทุกๆ ขั้นตอน โดยเฉพาะเวลาขัดไม้ เราจะขัดถึง 5-6 ขั้นตอน” จั๊กอธิบาย
แม้กลุ่มลูกค้าของแบรนด์จะแข็งแรงก็จริง แต่ด้วยสัดส่วนในตลาดที่ยังน้อย ทั้งลูกค้ายังเลือกซื้อ Petniture ในฐานะของใช้สัตว์เลี้ยง ขณะที่จั๊กและกวางมองว่า Petniture เป็นแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ที่ใช้งานได้ยาวนานมากกว่า งานยากจึงคือการสื่อสารให้ลูกค้าเข้าใจถึงความแตกต่างของแบรนด์
“เราเน้นการทำคอนเทนต์ที่ทำให้ลูกค้ารับรู้ถึงเบื้องหลังการออกแบบ การทำสินค้าให้ได้คุณภาพ และการใช้งานที่ยาวนาน เพื่อให้ลูกค้าเห็นว่าราคาของเราสมเหตุสมผลและลูกค้าจับต้องได้ในคุณภาพที่แตกต่าง” กวางเสริม
แต่นอกจากคอนเทนต์สื่อสารความตั้งใจ หลายครั้ง Petniture ก็มีราคาโปรโมชั่นเมื่อวางขายตามงานสัตว์เลี้ยงต่างๆ เพื่อเชิญชวนให้ลูกค้าได้เปิดใจทดลองใช้สินค้าสัตว์เลี้ยงคุณภาพดี เพราะแม้กวางจะมองว่าการลดแลกแจกแถมไม่สำคัญสำหรับแบรนด์มากนัก แต่ก็มีผลในการขยายตลาดเช่นกัน
“สิ่งสำคัญคือการพัฒนาคุณภาพมาตรฐานให้มีความแตกต่าง แปลกใหม่ และเหมาะสมกับราคามากที่สุด” กวางอธิบายถึงแนวคิดเบื้องหลัง
Place
พื้นที่ที่เหมาะสมกับ position ของแบรนด์
ปัจจุบัน Petniture วางขายในช่องทางออนไลน์เป็นหลัก และวางขายในช่องทางออฟไลน์ตามพรีเมียมเพ็ตช็อป เกร็ดน่ารักๆ ที่ทั้งคู่เล่าให้ฟังคือก่อนจะตกลงวางขายที่ไหน ทั้งจั๊กและกวางจะแอบไปส่องร้านนั้นๆ ก่อนว่าขายสินค้าแบบไหนบ้าง สินค้าที่มีเหมาะกับแบรนด์แค่ไหน และลูกค้าของร้านคือใคร
“ที่ต้องดูละเอียดและเลือกพรีเมียมเพ็ตช็อป เพราะถ้าเราไปวางขายตามเพ็ตช็อปทั่วไปที่มีสินค้าหลากหลาย ตั้งแต่ราคาหลักสิบถึงหลักร้อย แต่ของเรามันหลักร้อยถึงหลักพัน แบรนด์ของเรามันอาจจะไม่เหมาะกับพื้นที่ตรงนั้น” กวางอธิบาย
นอกจากเพ็ตช็อปต่างๆ แล้ว ทั้งคู่ยังพา Petniture ไปออกงานเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง เช่น ตลาดสัตว์เลี้ยงตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ อย่างเซ็นทรัลอีสต์วิลล์ที่เป็นห้าง pet-friendly หรือเอ็มควอเทียร์ที่มีกลุ่มลูกค้าตรงกับแบรนด์ หรือจะเป็นงาน Pet Expo ที่จั๊กเอ่ยว่าเป็นงานที่ให้บทเรียนกับการทำแบรนด์หลายข้อ โดยเฉพาะการจัดบูทที่ต้องสวยงามน่าทำความรู้จัก
“เราบอกกับน้องที่ทำการตลาดว่าทุกๆ เรื่องเราต้องดึงดูดลูกค้าเหมือนการจีบคนคนหนึ่ง ก่อนที่เราจะคบหาหรือคุยกับใคร ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรามองจากรูปลักษณ์ภายนอกก่อน ดังนั้นเราต้องจัดบูทให้สวย น่าเดินเข้า มันเหมือนเป็น first impression ที่จะทำให้ลูกค้าอยากรู้จักเรา
“พอเขาสนใจ เราถึงจะแนะนำต่อได้ว่าเป็นแบรนด์เฟอร์นิเจอร์สัตว์เลี้ยง สินค้าเรามีอะไรบ้าง ฟังก์ชั่นของมันคืออะไร เราต่างจากคนอื่นยังไง ตรงนี้มันเป็นสเตปการจีบแล้ว สุดท้ายถ้าจีบติดลูกค้าก็ยินดีจะซื้อ”
ทุกครั้งที่มีงานเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง กวางและจั๊กยังลงสนามด้วยตนเอง เพื่อทำความรู้จักลูกค้า รับฟีดแบ็ก รวมถึงเติมไฟในการพัฒนาสินค้าใหม่ๆ เพราะเทรนด์สัตว์เลี้ยงที่กำลังมาแรงนี้ก็เปลี่ยนแปลงไวเช่นกัน
Professional
ความมืออาชีพที่สำคัญกับการสร้างความไว้วางใจ
“เราเน้นความเป็นมืออาชีพ” จั๊กตอบทันทีเมื่อเราถามถึง P ที่ 5 ที่ทั้งคู่คิดว่าสำคัญ
“ความเป็นมืออาชีพหรือ professional คือเราต้องทำยังไงก็ได้ให้ลูกค้าเชื่อในแบรนด์ของเรา ตั้งแต่ขั้นตอนการศึกษาพฤติกรรมของน้องๆ แต่ละสายพันธุ์ ไปจนถึงการออกแบบ การทดลองใช้ เพราะเราจะไม่ปล่อยสินค้าที่ยังไม่ผ่านการทดลองออกขายเด็ดขาด เราคิดว่ามันคือความรับผิดชอบและความมืออาชีพที่เราต้องมี”
แม้ปัจจุบัน Petniture จะยังไม่ได้กลายเป็นธุรกิจหลักได้ แต่จั๊กและกวางก็ภูมิใจกับการสร้างแบรนด์นี้ขึ้นมา ทั้งที่วันแรกที่ผลิตคนรอบข้างไม่เข้าใจ
“ถามว่าขายดีมากๆ ถึงขนาดเป็นธุรกิจหลักได้ไหม เราเพิ่งเริ่มได้หนึ่งปีมันเลยอาจจะยังเป็นธุรกิจที่ตอบสนองความชอบของเรามากกว่า แต่มันเป็นธุรกิจที่ทำให้เราแฮปปี้ เพราะทุกครั้งที่เราไปออกร้าน ได้เจอน้องหมาน้องแมว ได้เห็นว่าเขาใช้แล้วมันดียังไง หรือลูกค้าแฮปปี้แค่ไหน เราก็มีความสุขตาม” จั๊กบอก
“เราเริ่มต้นจากชามยกสูง เราไม่ได้คิดว่าเราจะขยายมาได้ขนาดนี้ ไม่ได้คิดว่ามันจะมีทางไปด้วยซ้ำ แต่พอได้ไปอยู่ในคอมมิวนิตี้สัตว์เลี้ยง เข้าไปคลุกคลีกับน้องๆ หลายประเภทมากขึ้น ทำให้เราอยากพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ที่จะยกระดับชีวิตสัตว์เลี้ยง และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ที่เลี้ยงสัตว์เป็นลูก” กวางเสริม
ในอนาคต กวางและจั๊กยังตั้งใจพา Petniture ไปสร้างความสุขให้ลูกๆ สี่ขาของมะนุดทั่วโลก การสร้างแบรนด์ให้แข็งแรง ขนส่งสะดวกจึงเป็นพื้นฐานสำคัญที่ทั้งคู่หวังว่าภาพฝันนั้นจะกลายเป็นจริง