Month: April 2022
แผนการเก็บเงินและใช้เงิน เมื่อคุณฝันจะเดินทางเที่ยวรอบโลก
Wealth Done ตอนนี้มีคำถามจากผู้อ่านว่า ถ้ามีความฝันอยากเดินทางเที่ยวรอบโลกจะต้องวางแผนอย่างไร ซึ่งคำตอบของเรื่องนี้มีอยู่มี 2-3 เรื่องค่ะ หนึ่งคือเงิน สองคือเวลา และสามคือแผน
ตัวเราเองก็เคยมีความฝันเรื่องเที่ยวรอบโลก เมื่อ 4 ปีที่แล้วได้ศึกษาข้อมูลก็พบว่ามีสายการบินดังๆ หลายแบรนด์ที่ขายตั๋ว round the world นั่นคือ บินจากประเทศไทยไปเมืองต่างๆ รอบโลกแบบไม่ย้อนกลับ มีราคาตั้งแต่ 1,500-15,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 51,000-510,000 บาท (ศึกษาเส้นทางและอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ roundtheworld.staralliance.com/staralliance/en/round-the-world และ goworldtravel.com/round-the-world-ticket-airtreks)
ส่วนหนึ่งที่ทำให้เชื่อว่าเรื่องนี้เป็นไปได้ เพราะเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ได้แรงบันดาลใจจากเรื่องราวของเพื่อนชาวสิงคโปร์ที่เลือกเดินทางด้วยตั๋ว round the world แบบ Business Class ของสายการบิน Singapore Airlines (สมัยนั้นราคาประมาณ 250,000 บาท) เราก็ถามเขาว่าทำยังไง เขาบอกว่า โห ง่ายมาก เนื่องจากตั๋วเดินทางในสมัยที่เขาไปมีอายุ 2 ปี (ปัจจุบันตั๋วรอบโลกมีอายุตั้งแต่ 7 วันถึง 12 เดือน) เราไม่จำเป็นต้องลางานเพื่อเที่ยวรอบโลกติดกันทุกวัน แต่วางแผนสำหรับการหยุดยาวเป็นช่วงๆ ได้ สมมติวางแผนเดินทางจากไทยบินไปเที่ยวเวียดนาม แล้วบินจากเวียดนามไปเกาหลี เที่ยวเกาหลีแล้วไปจีน เสร็จแล้ววันหยุดหมดอาจจะซื้อตั๋วของสายการบินโลว์คอสต์จากจีนกลับไทยก่อน แล้ววันหยุดรอบถัดไปฉันก็บินจากไทยกลับไปที่จีน เพื่อตั้งต้นการเดินทางจากจีนไปเมืองอื่นๆ ต่อเพื่อจะให้ได้รอบโลก
มันเป็นอะไรที่ต้องวางแผน วางแผนตั้งแต่วันลา วันที่จะไป จุดหมายปลายทางจะเป็นที่ไหน จะเลือกที่พักแบบไหน ไปจนถึงประกันการเดินทางที่คุณจะเลือกใช้
อันดับแรก เงิน 250,000 บาท ไม่ได้เยอะไปสำหรับการเที่ยวรอบโลก สิ่งที่อยากบอกทุกคนก็คือ คุณทำความฝันนี้ให้เป็นจริงได้นะ อยู่ที่ว่าคุณได้มีการวางแผนหรือเปล่า
เริ่มจาก วางแผนใช้ประโยชน์จากอัตราแลกเปลี่ยน บัตรเดบิตของธนาคารหลายๆ ธนาคารจะมีบัตร travel card ซึ่งเป็นบัตรที่อนุญาตให้เราซื้อ-ขายสกุลเงินต่างประเทศตามเรตที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาต่างๆ เช่น ในวันที่ค่าเงินเยนถูกเราสามารถเปลี่ยนเงินบาทในบัญชีให้เป็นเงินเยนสะสมเก็บไว้ในบัตรก่อน เวลาเดินทางก็ให้ใช้จ่ายผ่านบัตรนี้ซึ่งดีกว่าบัตรเครดิตที่เรียกเก็บในอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ใช้จ่าย ซึ่งมักจะแพงกว่า
เรื่องต่อมาคือการวางแผนเรื่องวัน-เวลา เพราะอุณหภูมิในแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน เช่น ประเทศในย่านยุโรป ถ้าไปช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม ซึ่งจะมีช่วงเวลากลางวันยาวนาน บางที่แม้จะเป็นสามทุ่มแล้วฟ้าก็ยังคงสว่างอยู่ หรือถ้าวางแผนไปเที่ยวในช่วงที่อากาศกำลังดีก็ไม่ต้องกอบเสื้อหนาว ทำให้ประหยัดพื้นที่ในกระเป๋าเดินทาง
ตามด้วยการเลือกรูปแบบการเดินทาง คุณอาจจะเลือกสายการบินท้องถิ่นแทนการเลือกบินตรงเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ซึ่งสมัยนี้ทุกอย่างหาได้ง่ายเพียงกูเกิล ไม่ว่าจะสายการบินหรือที่พัก มีตัวช่วยเปรียบเทียบราคาและความคุ้มค่ามากมาย
เราจึงบอกเสมอว่า วิชาวางแผนทางการเงินเริ่มเรียนรู้ได้จากการวางแผนเที่ยวนี่แหละ เพราะการจองล่วงหน้ามักจะได้ราคาที่ถูกกว่าหรือช่วยประหยัดเวลาเข้าแถวรอได้ไม่น้อย
สมัยก่อนจะไปไหนต้องไปกับบริษัททัวร์ บางทีเราไม่ได้ชอบปราสาท เขาพาไปดูปราสาทอยู่นั่นแหละ ทั้งๆ ที่ฉันอยากเข้ามิวเซียมเพราะชอบงานศิลปะมากกว่า หรือบางคนอยากช้อปปิ้ง ซึ่งถ้าชอบช้อปปิ้ง เราแนะนำให้ไปอิตาลีเพราะ VAT ดีที่สุด จำได้ว่าประมาณ 17 เปอร์เซ็นต์ คุณซื้อของราคาเท่ากันแต่คุณได้ VAT ที่อิตาลีดีกว่า เมื่อทำเรื่องขอคืน VAT ก็เท่ากับซื้อของในราคาที่ถูกกว่า แต่ถ้าสมมติว่าชอบแฟชั่นอยากไปฝรั่งเศส ก็น่าคิดต่อว่าแล้วจะนั่งรถไฟจากฝรั่งเศสไปที่อังกฤษต่อเลยดีไหม สมมติถ้าไปแวะเที่ยวอังกฤษด้วยต้องแลกเงินเท่าไหร่ นอกจากวีซ่าแชงเก้นต้องทำวีซ่าอังกฤษด้วยไหม หรือแม้แต่วีซ่าแชงเก้น แต่ละสถานทูตก็มีเรตราคาไม่เท่ากัน มันเหมือนจะยากแต่มันคือความสนุกนะ จะท่องเที่ยวทั้งทีเราก็ควรได้วางแผนทำในสิ่งที่ชอบตรงกับไลฟ์สไตล์
มีตัวอย่าง ทริปเดินทางรอบโลกของคนวัยเกษียณที่เราเคยเห็น บางคนขายบ้านแล้วไปใช้ชีวิตในเรือสำราญ เดินทางด้วยรถไฟ ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไปกับการเข้าพักที่นั่นที่นี่ทั่วโลก ซึ่งแนวคิดนี้เป็นที่นิยมมากในต่างประเทศ บางคนขายบ้านแล้วใช้รถบ้านขับแวะตามป่า เขา และอุทยานแห่งชาติ เราว่าอนาคตบ้านเราอาจจะนิยมทำแบบนี้ ที่เล่ามาทั้งหมดนี้เพราะอยากชวนทุกคนมาเติมเต็มความฝันของตัวเอง และถ้าการท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในความฝันก็ลองหาเวลาสร้างความทรงจำกับคนพิเศษในสถานที่พิเศษ
สุดท้ายเราจะพบว่าสถานที่ยังไม่สำคัญเท่าคนที่ไปด้วยกัน ซึ่งมันอาจะเป็นสถานที่เดิมก็ได้ แต่เพราะคนไปด้วยทำให้มันพิเศษ
หลายคนบอกว่าการท่องเที่ยวเป็นความฟุ่มเฟือยของชีวิต แต่สำหรับเรานั้นไม่ใช่ การเดินทางทำให้ได้ไปเห็นอะไรที่แตกต่าง เกิดประกายความคิดและเรื่องราว เราเองรู้สึกขอบคุณชีวิตที่ได้ทำงานในสายนี้ ทำให้เราต้องเดินทางค่อนข้างเยอะก็เลยทำให้ได้เห็นอะไรเยอะแยะ บางเรื่องเราคิดกันแทบตาย เช่น สมมติไม่รู้ว่าล้อเป็นวงกลม แล้วเราคิดกันแทบตายว่าล้อควรจะเป็นสี่เหลี่ยมหรือแปดเหลี่ยม วันหนึ่งได้มาเห็นล้อเป็นวงกลมคือจบเลย หรือขนมเค้ก สมัยก่อนจะมีแต่บัตเตอร์เค้กอย่างเดียว สมัยนี้ขนมเค้กมีหลากหลายและช่างน่ามหัศจรรย์ มันก็เป็นเรื่องราวที่เราได้เรียนรู้จากวัฒนธรรมคนอื่น แล้วเราก็ชื่นชมเรื่องราวเหล่านั้น
สำหรับเรา เราคิดว่าการท่องเที่ยวเป็นกำไร โดยเฉพาะถ้าคุณพ่อคุณแม่สามารถพาน้องๆ ไปด้วยได้ แล้วใช้เวลาด้วยกัน คุณอาจจะให้เขาลองจัดทริปหรือว่าพาเขาไปเที่ยวในสวนสนุก พาเขาไปลองใช้ภาษาอื่นที่เขาไม่ได้คุ้นเคย อย่างน้อยที่สุดลองถามว่าราคาเท่าไหร่ ให้เขาตอบโต้บทสนทนาต่างๆ ก็เป็นแบบฝึกหัดที่ดี
ขอยกตัวอย่างทริปที่ประทับใจที่สุด เป็นทริปที่พาคุณพ่ออายุ 90 กว่าปีไปอังกฤษ คุณพ่อชอบอาหารฝรั่งอยู่แล้วจึงไม่มีปัญหา ทริปนั้นเราไปพักที่โรงแรมตรงชานเมืองลอนดอน แล้วพอดีกับที่ลูกชายไปฝึกงานที่นั้น หลังส่งคุณพ่อและน้องกลับไทย เราก็อยู่เที่ยวต่ออีกเกือบเดือน ทุกคนถามว่าอยู่ทำอะไรที่ลอนดอน เราก็บอกว่าดูละครเวที เราชอบละครเวทีมากๆ คืออย่างนี้ค่ะ โรงละครในอังกฤษทุกที่ดีหมด แต่ถ้าเกิดซื้อตั๋วแบบปกติมันจะราคาประมาณ 170-180 ปอนด์ สิ่งที่เราทำคือ เราไปที่โรงละครก่อนละครจะเล่น 2 ชั่วโมง แล้วเข้า booking UK เพื่อหาตั๋วถูกทำให้เราได้ตั๋วในราคา 16 ปอนด์ ผลก็คือเราดูละครเวทีแบบกระหน่ำมาก
ทั้ง The Phantom of the Opera, Cats หรือแม้กระทั่ง Michael Jackson หรือถ้าเรื่องที่ฮิตหน่อย เช่น Harry Potter and the Cursed Child เราก็จะจองตั๋วล่วงหน้า เพราะว่าเรื่องนี้แบ่งรอบการแสดงเป็นสองตอน ถ้าคุณดูต่อกันจะสนุกมาก แล้วเป็นละครที่มีของวิเศษมากมายบนเวที คือเขาเล่นได้เก่งมาก หายตัวไปหายตัวมาได้เลย ปกติจะไม่ค่อยเห็นเพราะละครเวทีจะมีแต่เพลงนะคะ แต่เรื่องนี้จะทำให้ตัวละครหายตัวไปมาอยู่ข้างบนเวทีจริงๆ หายตัววิ่งมาอยู่ข้างล่าง แนะนำสุดๆ เอนจอยมาก ประเทศอังกฤษอยู่ง่ายมาก ภาษาก็ง่าย อาหารก็ง่าย อยู่คนเดียวยิ่งง่ายเพราะอยู่ข้างๆ Tesco ไปสักห้าโมงของก็เซลหมดแล้ว เหลือ 1 ปอนด์ จะกินอะไรก็กิน เชอร์รีและสตรอว์เบอร์รีกระบะใหญ่ในราคา 1 ปอนด์ เพราะฉะนั้นเราถึงบอกว่า ถ้าคุณรู้จักวางแผนยังไงก็สนุก
หลายคนมีคำถามว่า ถ้าเราเป็นเด็กจบใหม่ที่ต้องทำงานไปด้วยเก็บเงินด้วย และก็ยังอยากเที่ยวด้วยจะจัดการเงินยังไง วิธีของเราคือตั้งใจใช้เงินเดือนละ 10,000 บาท โดยทุกต้นสัปดาห์จะกดเงินใส่กระเป๋า 2,500 บาท บริหารให้ได้ทั้งอาทิตย์ แล้วกลับบ้านไปกินข้าวแม่ เชื่อสิว่ามันสนุก แล้วการที่อดออมเพื่ออะไรบางอย่างมันจะยิ่งตื่นเต้นมาก
นอกจากเรื่องที่เล่ามา มีอีกเรื่องที่สำคัญมากๆ คือประกันการเดินทาง ซึ่งหลายคนไม่ทราบว่าประกันการท่องเที่ยวที่เราจ่ายกันพันกว่าบาทนั้น มีวงเงินคุ้มครองถึง 5 ล้านบาท คุ้มครองตั้งแต่ไฟลต์ดีเลย์ก็เคลมเงินได้ คุ้มครองกระเป๋าหายก็เคลมเงินได้ คุ้มครองกระเป๋าล้อหักก็เคลมได้ หรือเกิดคุณไปเจอแท็กซี่พาไปผิดทางหรือโกงเงินก็ยังคุ้มครองได้ เพราะฉะนั้นเราจึงแนะนำให้ให้ทำประกันการเดินทางทุกครั้ง ไม่นับว่าไปประเทศที่คุณคุยภาษาเขาไม่รู้เรื่อง เช่น ไปญี่ปุ่น ถ้าคุณไปต่างจังหวัดแล้วเกิดหกล้มขาแพลงแล้วจะคุยหรือสื่อสารอย่างไร แต่ถ้ามีประกันคุณโทรกลับมาเขาก็จะมีล่ามญี่ปุ่นดูแลคุณ เผลอๆ ถ้าอุบัติเหตุนั้นมีอะไรรุนแรงเขาก็ช่วยจัดการพาคุณกลับมาที่โตเกียวได้เลยเพราะอยู่ภายใต้กรมธรรม์
และจะดีกว่านั้นอีก ถ้าซื้อประกันแล้วไม่เกิดเหตุร้ายใดๆ เราเชื่อเสมอว่ายอมจ่ายเงินหลักพันเพื่อความสบายใจ เหมือนซื้อฮู้แต่ก็ดีกว่าไปซื้อยันต์ใดๆ เพราะยันต์นี้ถ้าเกิดปัญหาก็มีคนดูแล แต่ถ้ามันไม่เกิดก็ถือว่าโชคดีที่สุด เพราะฉะนั้นการซื้อประกันท่องเที่ยวเป็นอะไรที่ขอสั่งเลยว่าต้องทำทุกครั้งก่อนเดินทางนะคะ แล้วมันง่ายมาก เดี๋ยวนี้ซื้อออนไลน์ได้เลยตลอดเวลา มีไฟลต์ มีพาสปอร์ตก็ซื้อได้แล้ว
นอกจากการเลือกคนที่ไป เวลาที่ไป สถานที่ไป การจัดการเงิน จัดการประกัน ดูเรื่องวันลาแล้วเนี่ย เราขอแนะนำสิ่งที่อยากให้ทำหากเป็นไปได้ นั่นคือ ขอให้ลองจดบันทึกเล็กๆ ว่าเราประทับใจอะไร ตอนนั้นเราอาจจะรู้สึกว่าไม่เห็นต้องจดอะไร แต่เชื่อมั้ยทุกวันที่กลับมาที่พักตอนเย็นถ้าลองจดบันทึกเล็กๆ ว่าไปตรงไหนบ้าง กินอะไร เชื่อสิคะ มันจะเป็นบันทึกที่มีค่ามาก เผลอๆ คุณอาจจะเป็นนักเขียนนะ มีน้องคนหนึ่งชอบเที่ยวเมืองแปลกๆ จากที่ไม่คิดว่าจะมีใครไปตามรอย แต่พอเริ่มเขียนหนังสือเธอก็ลงรายละเอียดลึก ทั้งการเดินทาง แนะนำที่พักและร้านอาหาร บางทีเขียนชื่อเมนูไว้ให้คนอ่านสื่อสารกับคนที่ร้านตามเมืองต่างๆ สุดท้ายกลายเป็น blogger ท่องเที่ยวโด่งดัง จนโรงแรมทุกโรงแรมชวนไปเป็นแขก VIP ได้ทำงานที่รักไปด้วย ได้เงินด้วย ได้เที่ยวด้วย
สำหรับเรื่องท่องเที่ยวเราถือว่าเป็นแบบฝึกหัดขั้นต้นของวิชาการวางแผนเลย ถ้าไม่รู้จะวางแผนการเงินยังไง ลองวางแผนเที่ยวดู ใช้ข้อมูลที่มีมาตั้งเป้าหมายและประยุกต์กับสิ่งที่มี วางแผนการเก็บเงินและใช้เงิน แบบนี้ดีมั้ยคะ
WEALTH DONE คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital แล้วรออ่านคำตอบพร้อมกันทุกวันพฤหัสบดี เว้นวันพฤหัสบดี ที่ capitalread.co
เล่าชีวิตการทำงานของ ‘ศุภจี สุธรรมพันธุ์’ ผ่านนามบัตร 3 ใบ จาก IBM ไทยคม จนถึงดุสิตธานี
23 ปีใน IBM กับการสร้างสถิติมากมาย ตั้งแต่เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ของ IBM ประเทศไทยในวัยเพียง 38 ซึ่งถือเป็นซีอีโอที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ขององค์กร จากนั้นก็ขยับไปดูแลงานระดับอาเซียน ไปจนถึงการเป็นคนในอาเซียนคนแรกที่ถูกเลือกไปเป็นผู้ช่วยซีอีโอใหญ่ที่สำนักงานใหญ่ของ IBM ในอเมริกา
4 ปีในไทยคมกับการเข้าไปเทิร์นอะราวนด์ให้บริษัทกลับมามีกำไรตั้งแต่ไตรมาสแรกที่เข้าไปบริหาร หลังจากบริษัทขาดทุนติดต่อกัน 5 ปี
6 ปีในดุสิตธานี ที่ได้รับความไว้วางใจให้มานั่งตำแหน่งซีอีโอซึ่งเธอถือเป็นซีอีโอที่เป็นคนนอกตระกูลและนอกอุตสาหกรรมคนแรกตั้งแต่ดุสิตธานีก่อตั้งองค์กรมากว่า 70 ปี
และที่กล่าวมานี้คือเส้นทางการทำงานของ ศุภจี สุธรรมพันธุ์ นอกจากความสามารถของเธอที่การันตีได้ด้วยประวัติการทำงานอย่างที่เล่ามาในข้างต้น สิ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็คือวิธีคิดว่าเธอทำอย่างไรถึงสามารถบริหารธุรกิจที่มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงตั้งแต่ IBM ไทยคม จนถึงดุสิตธานี ตั้งแต่ธุรกิจเทคโนโลยีจนมาถึงธุรกิจบริการ รวมถึงการตัดสินใจโยกย้ายตำแหน่งและที่ทำงานในแต่ละครั้งที่เป็นส่วนสำคัญในการหล่อหลอมให้เธอกลายเป็นอีกหนึ่งผู้บริหารหญิงแถวหน้าของไทยอย่างทุกวันนี้ได้
นี่เองเป็นเหตุผลที่ทำให้เราเดินทางมายังร้านอาหารบ้านดุสิต–ที่ทำงานในนามบัตรใบปัจจุบันของศุภจีเพื่อฟังเธอเล่าประสบการณ์และชีวิตการทำงานที่ผ่านมา ผ่านนามบัตรทั้ง 3 ใบที่ด้านล่างนี้
01

กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด
ผู้จัดการทั่วไป และรองประธานธุรกิจทั่วไป IBM ASEAN
ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหารสำนักประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สำนักงานใหญ่ IBM, New York, U.S.A.
“เราเรียนจบจากคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แล้วไปต่อโทด้านบัญชีที่อเมริกา ที่เลือกเรียนบัญชีเพราะตอนนั้นพี่เราเรียนอยู่แล้วเขาดูเท่ดีก็เลยอยากจะเรียนตามบ้าง
“พอเรียนจบกลับมาไทยก็ลองหางานสมัครดู ไปสมัครไว้หลายที่ หนึ่งในนั้นคือ IBM กะสมัครไปขำๆ อยากรู้ว่าจะมีคนรับเราเข้าทำงานไหม เพราะความตั้งใจตอนนั้นคือคิดว่าจะกลับไปสอบ CPA เป็นผู้สอบบัญชี สรุปขำยาวไปหน่อย ไปๆ มาๆ ก็ได้อยู่ที่ IBM มานาน 23 ปี (หัวเราะ)

“ตอนอยู่ IBM ก็ได้ทำหลายตำแหน่งหมุนเวียนกันไป เริ่มตั้งแต่เป็นพนักงานตัวเล็กๆ ทำอยู่ฝ่ายการเงิน จากนั้นก็ขยับไปทำเกี่ยวกับกลยุทธ์การลงทุน แล้วก็ไปดูเรื่องนโยบายกำหนดราคาสินค้า มาดูการขายแบบผ่อน เป็นผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการประเทศไทย เป็น MD ของ IBM ประเทศไทย ไปดูแลธุรกิจระดับอาเซียน แล้วก็ไปเป็นผู้ช่วยซีอีโอ IBM ที่สำนักงานใหญ่ในสหรัฐอเมริกา พอทำตำแหน่งไหนโอเคเริ่มอยู่ตัว เขาก็จะจับเราไปอยู่ที่ใหม่ แต่ใน 23 ปีที่ว่ามานี้มีอยู่ 3 ครั้งหลักๆ ด้วยกันที่เป็นการเปลี่ยนตำแหน่งอย่างมีนัยสำคัญกับเรา
“ครั้งแรกคือพอทำงานไปได้ปีครึ่ง เจ้านายก็ให้เราไปเป็นผู้จัดการ ได้ยินแบบนั้นเราก็รีบปฏิเสธทันควัน ตอนนั้นที่ไม่อยากทำเพราะเขาจะให้เราไปเป็นหัวหน้าของคนที่เคยสอนงานเรา ก็คิดในใจจะทำได้ไงให้เป็นหัวหน้าของคนอายุมากกว่าเนี่ยนะ
“คุยกันอยู่เป็นชั่วโมง เราก็ยังไม่ตอบตกลงสักทีเขาเลยบอกว่า “เอางี้ ศุภจีคุณกลับไปคิดดีๆ อีกที ไปถามพ่อแม่ก่อนว่าจะทำดีไหม” พ่อกับแม่ก็บอกเราว่าถ้าเขาอยากให้เป็นแสดงว่าเขาต้องเห็นอะไรบางอย่างในตัวเรา สุดท้ายก็เลยตกปากรับคำไป และนั่นก็คือการเป็นหัวหน้าครั้งแรกในชีวิต
“การเป็นหัวหน้าครั้งแรกมันไม่ง่ายเลย ไม่รู้จะต้องทำตัวยังไงดี อย่างที่บอก คนที่เป็นลูกน้องล้วนแต่เคยเป็นคนสอนงานเรามาทั้งนั้น มันเลยมีความลำบากใจปนความเกรงใจ อีกอย่างเราทำงานหนักมากเพราะเรารู้สึกว่าตัวเองเป็นหัวหน้าที่ไม่เก่งเอาซะเลย ลูกน้องเก่งกว่า ดังนั้นเราจึงพยายามมากกว่าปกติ เวลาเขาติดอะไรตรงไหนก็เข้าไปช่วยแกะช่วยแงะแทบทุกอย่าง จนคนเขาอาจจะสงสารหรือเปล่าไม่แน่ใจ ก็เป็นหัวหน้าในรูปแบบนั้นมาสักพักนึง ซึ่งสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการเป็นหัวหน้าครั้งแรกในชีวิตคือพอมาถึงจุดนึงก็ได้รู้ว่ามันทำอย่างนี้ไม่ได้หรอก หน้าที่ของคนเป็นหัวหน้าคือการต้อง empower คนในทีมมากกว่า

“ครั้งที่สองของการเปลี่ยนงานใน IBM ที่รู้สึกว่ามีนัยสำคัญบางอย่าง คือช่วงที่บริษัทกำลังจะมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างครั้งสำคัญเพื่อให้เดินต่อไปข้างหน้าได้ ซีอีโอ IBM ที่เข้ามาใหม่ในตอนนั้นก็บอกว่าเดี๋ยวจะมีอะไรที่เปลี่ยนไปเยอะมาก นั่นหมายความว่าพนักงานจะต้องทำงานหนักขึ้น อาจจะได้ทำงานที่ไม่เหมือนเดิม เลยให้พนักงานตัดสินใจว่าจะเลือก golden handshake หรือการลาออกพร้อมเงินก้อน ซึ่งเขาก็ให้เยอะมาก เป็นเงินหลายสิบเดือนเลย
“ด้วยความตอนนั้นเป็นเด็ก พอได้ยินแบบนี้เราก็เลยรีบยกมือเลย “ไปค่ะ!” แต่เขาไม่ให้ไป ไม่ให้ลาออก แล้วก็ให้เราทำงานเดิม จากการเงินสักพักเขาก็ให้เราไปทำงานขาย ซึ่งนั่นเป็นครั้งแรกในชีวิตเลยเพราะเราไม่เคยทำงานขายมาก่อน เราก็ไปตั้งทีมใหม่ ก็ล้มลุกคลุกคลานไม่น้อย แต่สุดท้ายก็ทำให้ IBM มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 ในไทย ในตลาด PC ณ เวลานั้นได้
“ส่วนครั้งที่สามของการเปลี่ยนงานใน IBM ที่เป็นนัยสำคัญ คือการได้ไปเป็นผู้ช่วยซีอีโอใหญ่ในสำนักงานใหญ่ที่อเมริกา ตอนนั้นเจ้านายโทรมาพูดกับเราว่า “Suphajee, I have a good News” เราก็ถามว่าข่าวดีอะไร เขาบอกเราได้รับเลือกให้ไปเป็น Executive Assistant เป็นผู้ช่วยของ Samuel J. Palmisano ซีอีโอใหญ่ของ IBM ในตอนนั้น กับ Lou Gerstner ซึ่งเป็นซีอีโอคนก่อนหน้า Sam แต่ยังเป็นที่ปรึกษาให้ IBM อยู่
“ได้ยินคำแรกเราตอบกลับไปทันควัน “No Way!” เจ้านายถามว่าทำไมล่ะ งานนี้มีแต่คนอยากทำนะ พอปฏิเสธจบก็วางสายไป ที่ไม่อยากไปเพราะเราไม่อยากย้ายไปอยู่นิวยอร์ก คิดภาพตอนนั้นมันเป็นเมืองที่มีแต่ตึกสูงๆ เต็มไปหมด ลูกน้องก็มีแต่ชาวอเมริกัน แล้วภาษาอังกฤษเราก็ใช่ว่าจะแข็งแรง แถมไปทำงานกับซีอีโอตั้งสองคนยังไงก็โหดแน่ๆ
“ซึ่งหัวหน้าก็โทรกลับมาอีกทีบอกว่า “It’s not your choice. It’s his choice and he choose you” แต่เขาพูดกับเราดีมากๆ นะ แล้วก็บอกว่าถ้าเราไปก็มีโอกาสที่อาเซียนและไทยจะได้เงินลงทุนจาก IBM มากขึ้น เพราะตำแหน่งที่ให้เราทำยังไม่มีชาวอาเซียนคนไหนเคยทำเลย ได้ยินแบบนั้นสุดท้ายก็เลยตัดสินใจไป
“ไปเป็นผู้ช่วยซีอีโอใหญ่ได้ประมาณ 18 เดือน โอ้โห (ลากเสียง) มันเป็นอะไรที่ยากสุดๆ ด้วยความที่เขาเป็นคนดัง เลยทำให้มีหลายคนอยากพบเจอ อยากพูดคุย ดังนั้นเราต้องช่วยให้เขาพูดในสิ่งที่ควรพูด ตอบได้ในสิ่งที่คนอื่นถาม และด้วยความเป็นซีอีโอที่เดินทางบ่อย ก็เลยทำให้เราต้องเป็นคนอะเลิร์ตตลอดเวลาแบบ 24/7
“ซึ่งการทำงานกับซีอีโอทั้งสองทำให้เราได้มองแบบ bird’s-eye view ทำให้สนใจเรื่อง geopolitical มากขึ้น จากที่เมื่อก่อนเรามองแค่ภาพรวมของอุตสาหกรรมที่ตัวเองทำอยู่ หรือแม้จะมองไปยังอุตสาหกรรมอื่นๆ ด้วยแล้วก็ตาม แต่พวกเขาทำให้เรามองเห็นภาพที่กว้างยิ่งกว่านั้นเพราะมันคือภาพบริบทโดยรวมของโลก ไม่ใช่แค่เรื่องธุรกิจอย่างเดียว

“ตลอด 23 ปีใน IBM ที่ได้ทำหลายตำแหน่ง ทำให้เรามีทักษะในการแก้ปัญหาและปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว เราเลยไม่กลัวการเปลี่ยนแปลงเพราะที่ผ่านมาก็เปลี่ยนอยู่ตลอด อีกอย่างคือพอได้ลองทำหลายๆ อย่างก็ทำให้ได้รู้จักตัวเองมากขึ้นว่าจริงๆ แล้วเราชอบหรือไม่ชอบอะไร เก่งหรือไม่เก่งเรื่องไหน ซึ่งเราว่ามันเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ เพราะถ้ายังไม่รู้จักตัวเองแล้วจะให้ทำอะไรต่อไปมันคงเป็นเรื่องยากไม่น้อย”
02

ประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน)
“ตอนตัดสินใจลาออกจาก IBM แล้วมาอยู่ไทยคมนี่มีความเสี่ยงแทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ ผู้ใหญ่ที่เคารพมากมายทั้งคนไทยและต่างชาติมาบอกว่าศุภจียูจะไปทำไมอยู่ที่ IBM ดีอยู่แล้ว ทั้งเรื่อง career path เงินเดือนก็ดี มี stock option (หุ้นที่บริษัทจะให้ผู้บริหารและพนักงาน เป็นเหมือนสวัสดิการรูปแบบหนึ่ง) อีกอย่างตอนอยู่ IBM แทบไม่เคยใช้เงินเดือน เพราะบ้านที่อยู่ ค่ารักษาพยาบาล ค่าเรียนลูก IBM ก็ออกให้
“แน่นอนว่าพอลาออกมาสวัสดิการอะไรต่างๆ หายหมด ไหนจะเรื่องการเดินทางอีก เพราะตอนอยู่ IBM เราดูงานในส่วนของภูมิภาคอาเซียนก็เลยต้องอยู่ที่สิงคโปร์ ซึ่งลูกๆ ก็เรียนอยู่ที่สิงคโปร์ด้วย แล้วเขาอยู่ในวัยที่ไม่ควรย้ายโรงเรียน แต่การทำงานที่ไทยคมต้องทำที่ไทยเป็นหลัก เราก็เลยบอกลูกว่าแม่อยากทำ เด็กๆ เขาก็บอกว่า “แม่ไปเลย แม่ดูตั้งใจ” แต่มีข้อแม้ว่าทุกศุกร์ต้องกลับไปหาลูกที่สิงคโปร์นะ ได้ยินแบบนี้ ถ้าลูกโอเคงั้นแม่ก็โอเค ก็เลยตัดสินใจย้ายมาไทยคม
“อีกอย่างตอนไปไทยคมต้องบอกว่าบริษัทเต็มไปด้วยปัญหามากมาย ทั้งเรื่องขาดทุน เรื่องการเมือง คน หรือโมเดลธุรกิจว่าจะไปต่อยังไง เพราะบริษัทกำลังอยู่ในช่วงที่ถ้าไปไม่ไหวก็ต้องจบตรงนั้น แต่ที่ตัดสินใจรับคำชวนของเทมาเส็กในตอนนั้น เพราะคิดว่าสถานการณ์ของบริษัทมันไม่น่าจะมีอะไรแย่ไปกว่านี้แล้ว แล้วถ้าเราสามารถทำได้มันก็จะทำให้เกิดประโยชน์หลายๆ อย่าง อย่างแรกคือได้เป็นเวทีในการพัฒนาปัญญาตัวเอง อย่างที่สองคือเป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมและประเทศ เพราะต้องบอกว่าเทมาเส็กไม่ได้เป็นเจ้าของดาวเทียมนะ เจ้าของจริงๆ ก็คือคนไทย เพียงแต่เทมาเส็กเป็นผู้ดำเนินการธุรกิจ เมื่อทำธุรกิจเสร็จก็จะแบ่งรายได้กลับมายังไทยเป็นเหมือนค่าสัมปทาน

“อีกมุมนึงแม้ตอนนั้นบริษัทจะขาดทุน แต่เรามองว่าสินค้าของบริษัทอย่างดาวเทียมนั้นมีพื้นฐานที่ดี มีโอกาสทางธุรกิจ สุดท้ายพออยู่ไทยคมถึงจุดหนึ่งมันก็สามารถเทิร์นอะราวนด์ทำกำไรกลับมาได้
“จนถึงช่วงนึงของการทำงานที่ไทยคม เราก็เดินไปบอกกับบอร์ดว่าอยากทำอย่างโน้นอย่างนี้ หลายอย่างเลย แต่เขาก็บอกว่าถ้าอยากทำงานไทยคมเขาก็แฮปปี้ที่จะให้เราอยู่ต่อนะ มันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เพียงว่าเขาไม่มีนโยบายให้เราได้ทำอะไรแบบที่อยากทำ เมื่อเป็นอย่างนั้นเราก็เลยขอลาออกมาแล้วกัน
“พอลาออกมาระหว่างนั้นเราก็ไปเป็นคณะกรรมการในบริษัทต่างๆ หลากหลายอุตสาหกรรม เช่นธนาคาร เพื่อจะทำให้เราได้เห็นภาพของเศรษฐกิจในทุกสายเพราะการเงินมันเป็นเรื่องที่สำคัญของทุกธุรกิจ เข้าไปเป็นกรรมการให้สภามหาวิทยาลัยเพราะคิดว่าการศึกษาเป็นเรื่องสำคัญ และเข้าไปเป็นกรรมการที่ดุสิตธานีเพราะมองว่าการท่องเที่ยวเป็นเหมือนเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงประเทศ แล้วเป็นแบรนด์ไทยด้วย”
03

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน)
“เป็นบอร์ดบริหารที่ดุสิตธานีไปได้สักพักหนึ่ง คุณชนินทธ์ โทณวณิก (ผู้บริหารและทายาทดุสิตธานี) ก็มาบอกกับเราว่าอยากจะปรับเปลี่ยนดุสิตธานีในหลายๆ เรื่อง ซึ่งคุณชนินทธ์ให้เกียรติเรามาก เพราะกลุ่มดุสิตธานีไม่เคยมีซีอีโอที่เป็นคนนอกเข้าไป แล้วก็ไม่ใช่แค่คนที่อยู่นอกครอบครัวเท่านั้น แต่เป็นคนที่อยู่นอกอุตสาหกรรมด้วย
“ดุสิตธานีต้องการเปลี่ยนแปลงเพราะธุรกิจเจอดิสรัปชั่น และต้องการเติบโตไปในต่างประเทศ ซึ่งพอจะไปต่างประเทศเนี่ยก็ต้องการคนที่รู้เรื่องการวางระบบ เทคโนโลยี มีความรู้เรื่องธุรกิจในต่างประเทศ แล้วด้วยความเป็นแบรนด์ไทย ซีอีโอของดุสิตจึงไม่น่าจะเป็นชาวต่างชาติ นี่ก็เลยอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาเลือกเรามา

“วันแรกที่เข้าไปในดุสิต 1 มกราคม 2016 จำได้ว่าสิ่งที่ทำอย่างแรกคืออีเมลไปหาพนักงานสั้นๆ ไปแนะนำตัว แล้วบอกว่าเรามีความตั้งใจอยากจะมาทำให้ดุสิตเป็นแบรนด์ที่ดี ทำให้พื้นฐานแข็งแรง เพราะเชื่อเสมอว่าการที่จะเดินไปข้างหน้าได้พื้นฐานมันต้องแข็งแรงก่อน
“เกือบ 7 ปีในดุสิตธานีหลายคนชอบคิดว่าช่วงเวลาที่ยากที่สุดคือตอนโควิด แต่สำหรับเราแล้วไม่ใช่ มองอีกมุมโควิดกลับทำให้ดุสิตธานีเอาเทคโนโลยีมาปรับใช้ง่ายขึ้นด้วยซ้ำ ลองคิดภาพว่าถ้าไม่มีโควิดแล้วเราบอกให้ทุกคนประชุมผ่านออนไลน์กัน เดี๋ยวก็จะมีคนพูดขึ้นมาว่าไม่ได้ ธุรกิจบริการ ธุรกิจโรงแรมยังไงก็ต้องเดินทาง แต่กลายเป็นว่าโควิดมากระตุ้นให้ดุสิตธานีเปลี่ยนเรื่องนี้ได้เร็วขึ้น
“ดังนั้นสำหรับเราแล้ว ช่วงที่ยากที่สุดในดุสิตคือช่วงแรกของการมาทำงานที่นี่ อย่างไทยคมตอนเราเข้าไปบริษัทมีปัญหาหลายอย่าง ทั้งเรื่องการเงิน การเมือง คน หรืออะไรก็ตาม แต่ด้วยปัญหาที่มีอยู่ทุกคนก็เลยรู้อยู่แล้วว่ามันต้องเปลี่ยน
“แต่ของดุสิตธานีไม่เหมือนกัน เราเข้ามาในช่วงที่เขาไม่ได้เดือดร้อนหรือจะเจ๊ง แต่เป็นช่วงที่ถ้าไม่เปลี่ยนก็ไปต่อไม่ได้ ธุรกิจจะเริ่มเจือจางลงเรื่อยๆ แต่ความตั้งใจของผู้ก่อตั้งดุสิตธานีคืออยากจะทำแบรนด์ไทยที่ได้รับการยอมรับจากคนทั่วโลก ก็เลยทำให้เกิดโรงแรมดุสิตธานีกรุงเทพฯ ขึ้นมา เป็นตึกที่สูงที่สุดในไทย มีห้องประชุมขนาดใหญ่ มีไนต์คลับ มีห้องอาหารบนดาดฟ้า
“ซึ่งวันนี้สิ่งที่พูดมา เราเป็นตึกที่สูงที่สุดหรือเปล่า ไม่ใช่ เราไม่ใช่โรงแรมที่มีอะไรใหม่ล่าสุดแล้ว สมัยก่อนโรงแรม 5 ดาวห้องพื้นที่ 30 ตารางเมตรก็ถือว่าหรูแล้ว แต่เดี๋ยวนี้ต้อง 40-50 ตารางเมตรขึ้นไป ความสูงของเพดานในห้อง 2 เมตรก็ไม่พอ ต้อง 3 เมตร ซึ่งเรื่องแบบนี้มันต้องทำใหม่ พอจะทำใหม่ก็มีคำถามจากทั้งคนนอกคนในว่ามาถึงก็จะทุบแล้วเหรอ แล้วสิ่งที่เป็นตำนานล่ะ แล้วนู่นนี่นั่นล่ะ คำถามมากมายเต็มไปหมด แล้วเราเป็นซีอีโอใหม่แถมเป็นคนนอกวงการ ดังนั้นช่วงแรกมันก็เลยจะเป็นอะไรที่ค่อนข้างใช้เวลา กว่าจะทำให้คนอื่นเข้าใจได้
“ส่วนงานที่ทำอยู่ตอนนี้ คือเราอยากจะพาดุสิตไปยัง the next chapter ให้เดินต่อไปข้างหน้าได้ก็เลยมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ เปรียบธุรกิจเป็นเหมือนเก้าอี้ถ้ามีแค่สองขา เวลาขาใดขาหนึ่งหักไปมันก็จะมีความสุ่มเสี่ยงในการทรงตัว เดิมทีดุสิตมีเก้าอี้แค่สองขาคือขาที่เป็นโรงแรมและโรงเรียน เราก็เลยจะมาเติมอีกสองขาให้ครบ 4 เป็นขาของอาหารและอสังหาฯ เพื่อทำให้ดุสิตธานีมีความแข็งแรงมากขึ้น ทรงตัวได้ดีกว่าเดิม แม้จะมีวิกฤติอะไรก็ตามทำให้ขานึงชำรุดไป แต่เราก็ไม่ล้มเพราะยังมีขาอื่นๆ ช่วยยันให้ยืนต่อไปได้

“ถึงวันนี้ที่ทำงานมาหลายอย่าง ตั้งแต่ธุรกิจเทคโนโลยี ดาวเทียม และบริการ แต่ละงานแตกต่างกันไป แต่สิ่งหนึ่งที่ทั้ง 3 งานมีเหมือนกัน คือล้วนแต่เป็นงานที่ขับเคลื่อนด้วย ‘คน’
“ดังนั้นเวลาจะไปเริ่มงานที่ใหม่ แม้จะไปในตำแหน่งหัวหน้า แต่ก็ไม่ใช่ว่าเข้าไปปุ๊บแล้วจะไปวางกลยุทธ์ สั่งให้เขาทำอย่างโน้นอย่างนี้ พูดไปจะมีใครเชื่อล่ะจริงไหม สิ่งที่ควรทำจึงไม่ใช่การพูดแต่คือการฟังคนที่อยู่ในนั้น
“คนแรกที่เราจะเลือกฟังคือ HR ไม่ใช่แค่ฟังว่ารายละเอียดสัญญาการทำงานเป็นยังไง แต่ฟังว่าตอนนี้บริษัทกำลังเจอปัญหาอะไรอยู่ แต่ละทีมเป็นยังไง มีใครเป็นอินฟลูเอนเซอร์ เป็นแชมเปี้ยน เป็นคนที่ต้องดูแลเป็นพิเศษในแต่ละกลุ่ม จากนั้นก็ไปคุยกับแต่ละทีมต่อไป
“ฟังเสร็จก็เอาสิ่งที่ได้ยินมาวิเคราะห์กับข้อมูลของบริษัทที่เราหามา เพราะถ้าเราดุ่มๆ เข้าไปในบริษัทที่เราไม่รู้ข้อมูลมาก่อน เราจะถูกแกว่งไปกับข้อมูลชุดแรกที่ได้มามากๆ ว่า อ๋อ มันเป็นแบบนี้ อย่างโน้นอย่างนี้ แล้วความคิดเราก็จะถูกบีบอัดด้วยข้อมูลชุดแรกที่ได้มา ซึ่งพอมีซีอีโอคนใหม่เข้าไปแน่นอนว่าคงไม่มีใครอยากจะพูดเรื่องที่ไม่ดีของตัวเองหรอก จริงไหม
“พอฟังเสร็จแล้วก็ลงมือทำ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่จำเป็นที่เราจะต้องรู้แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ก่อนที่จะลงมือทำอะไรใหม่ๆ สิ่งสำคัญกว่านั้นคือเราควรจะทำร้อยเปอร์เซ็นต์ในสิ่งที่รู้อยู่แล้ว และเคารพถึงความแตกต่างความหลากหลายของคนที่เราทำงานอยู่ด้วย”

‘World Tour’ แผนการเก็บเงินและใช้เงิน เมื่อคุณฝันจะเดินทางเที่ยวรอบโลก
เมื่อธุรกิจข้าวเหนียวมะม่วงถูกปลุกด้วยพลังของ MILLI จากเวที Coachella 2022
ในนาทีนี้ไม่น่าจะมีของหวานจานไหนท็อปฮิตติดเทรนด์มากไปกว่า ‘ข้าวเหนียวมะม่วง’
จากการหยิบเอาข้าวเหนียวมะม่วงขึ้นมากินปิดโชว์บนเวทีคอนเสิร์ต Coachella 2022 ที่เกิดขึ้นที่แคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ของแรปเปอร์สาวไทย MILLI (มิลลิ–ดนุภา คณาธีรกุล) กลับกลายเป็นว่าการตักข้าวเหนียวมะม่วงเข้าปากของเธอเพียงไม่กี่นาทีกลับสั่นสะเทือนไกลมาถึงประเทศไทย เพราะเธอกำลังปลุกกระแสข้าวเหนียวมะม่วงฟีเวอร์ จนตอนนี้ร้านข้าวเหนียวมะม่วงทั่วประเทศกลับมาคึกคักรับออร์เดอร์กันอย่างไม่หวาดไม่ไหว
ก่อนหน้านี้ข้าวเหนียวมะม่วงถือเป็นเมนูยอดนิยมที่อยู่ในร้านอาหารไทยทั้งในและต่างประเทศ แต่เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ธุรกิจต่างๆ ได้รับผลกระทบในวงกว้าง ทั้งเรื่องการขาดแคลนกำลังซื้อ ความวิตกกังวลเรื่องการออกไปจับจ่ายซื้อของ ฯลฯ และหนึ่งในวงการที่ได้รับผลกระทบคือ วงการข้าวเหนียวมะม่วง

จากกระแสที่เกิดขึ้นทำให้ข้าวเหนียวมะม่วงกลับมาเป็นจุดสนใจอีกครั้ง เราจึงอยากชวนมาตามดูถึงผลที่เกิดจากกระแส ‘ข้าวเหนียวมะม่วงฟีเวอร์’ จากคำบอกเล่าของคนที่คลุกคลีอยู่ในธุรกิจข้าวเหนียวมะม่วงมายาวนาน ว่าจุดเริ่มต้นของธุรกิจมาจากไหน การขึ้น-ลง ของธุรกิจข้าวเหนียวมะม่วงที่ผ่านมาเป็นยังไง และกระแสข้าวเหนียวมะม่วงที่เกิดขึ้นทำให้เกิดผลกระทบยังไงบ้าง
ร้านที่เราไปสำรวจคือ ร้านข้าวเหนียวมะม่วงร้านดังย่านทองหล่อที่แฟนข้าวเหนียวมะม่วงไม่น่าจะมีใครไม่รู้จัก

แม่ค้าหญิงเจ้าของร้านผู้รับออร์เดอร์ทางโทรศัพท์ พลันอีกมือตักกะทิใส่ถุงหมุนมือโดยไวเพื่อรัดหนังยาง พร้อมๆ ไปกับสั่งการลูกน้องให้ปอกมะม่วงตามลูกค้าสั่ง ที่ข้อมือขวาของเธอใส่กำไลทองรูปพญานาครัดข้อมือ พลางบอกกับเราอย่างมีความสุขว่า “วันนี้แม่ (วารี) เอาพญานาคออกมาเล่นน้ำน่ะ”
วารี จีนสุวรรณ์ หรือที่ใครๆ เรียกเธอว่า ‘แม่วารี’ เล่าให้ฟังว่าเธอได้ทั้งวิชาได้ทั้งชื่อร้านมาจากคุณแม่ของเธอที่เคยเป็นแม่ค้าขายข้าวเหนียวมะม่วงอยู่ที่ตลาดพญาไท เมื่อครั้งแต่งงานกับสามีเลยต้องแยกครอบครัวออกมาอยู่ที่ห้องแถวหนึ่งคูหาที่ต้นซอยสุขุมวิท 55 (ซอยทองหล่อ)

จากเดิมที่สามีทำกิจการขายผลไม้สดตามฤดูกาล เธอจึงคิดตามประสาผู้หญิงชอบทำงานว่าไม่อยากจะอยู่เฉยๆ อยากใช้วิชาที่มีจากคุณแม่มาช่วยกิจการสามีบ้าง เลยปรึกษากับสามีว่าขอแบ่งที่ครึ่งคูหากับสามี ครึ่งหนึ่งสามีเปิดร้านขายผลไม้ อีกครึ่งหนึ่งเธอจะเปิดร้านขายข้าวเหนียวมะม่วง
“เปิดมาตั้งแต่ปีไหน แม่จำไม่ได้แล้วนะเนี่ย แต่อยู่มาร่วม 40 ปีแล้วล่ะ เราเป็นคนคลุกคลีอยู่กับแม่ เรียนหนังสือไปด้วย และก็ช่วยแม่ทำงานไปด้วย พอแต่งงานแล้วก็คิดว่าอยากเอาตรงนี้มาต่อยอด ทีนี้มาต่อยอดแล้วก็คิดชื่อแบรนด์ แฟนเราก็บอกว่าใช้ชื่อเธอเลย แต่ใช้คำว่าแม่ข้างหน้า มันจะได้ดูขลัง (หัวเราะ) ตอนแรกก็คิดนะว่าจะเป็นเจ๊วารีดีไหม แต่ก็มาเป็นแม่วารีนี่แหละ”

แม่วารีเล่าไว้ว่า เมื่อแรกเริ่มกิจการเธอไม่ได้เอาสูตรของคุณแม่มาทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ เธอปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงสูตรเรื่อยมา โดยขั้นแรกที่คิดเอาไว้คืออยากให้ถูกปากคนแถวทองหล่อ
“โอ๊ย คนแถวนี้หนึ่งเลยคือไม่กินหวาน สองคือเขาเลือกของนะ”
สูตรข้าวเหนียวมะม่วงแม่วารีจึงไม่เหมือนกับสูตรของคุณแม่เธอเสียทีเดียว เพราะเธอปรับให้หวานน้อย อร่อยมาก คัดสรรวัตถุดิบและที่มาของของทุกอย่างที่เอามาประกอบรวมกันเป็นข้าวเหนียวมะม่วง และนี่อาจเป็นอีกหนึ่งหมัดเด็ดที่ทำให้เธอเอาชนะใจคนย่านสุขุมวิท 55 ได้
หรืออาจจะพูดให้ถูกต้องกว่านั้น ความหวานน้อยอร่อยมากอาจจะเป็นหมัดเด็ดในการมัดใจลูกค้าจากทั่วทุกสารทิศที่มีใจรักข้าวเหนียวมะม่วง
“สุดท้ายลูกค้าไม่ได้มาจากแค่ทองหล่อนะ แต่มาจากทั่วประเทศเลย มาจากอยุธยา มาจากไหนๆ กัน คนนึงมาซื้อกันครึ่งโลฯ 10 กล่อง 20 กล่อง มาแล้วเขาก็ซื้อไปฝากกัน บอกกันปากต่อปาก ต่างประเทศเขาก็พากันมานะ มาแล้วก็ซื้อกลับไปฝากกัน”


ในขณะที่ธุรกิจกำลังราบรื่นและเติบโต แม่วารีก็ได้รับผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เหมือนทุกๆ ธุรกิจในบ้านเรา
ความเสียหายอันใหญ่หลวงที่โควิด-19 ทิ้งไว้แก่มวลมนุษยชาตินอกจากการสูญเสียชีวิตของผู้ติดเชื้อทั่วโลกแล้วยังส่งผลต่อเม็ดเงินที่สะพัดในระบบเศรษฐกิจ และหนึ่งในธุรกิจที่โดนพิษโควิด-19 ไปเต็มๆ คงหนีไม่พ้นธุรกิจอาหาร
ถึงแม้ว่าร้านข้าวเหนียวมะม่วงแม่วารีจะเน้นที่การขายเดลิเวอรีอยู่เป็นทุนเดิมแต่เธอก็เหมือนกับเพื่อนพ้องร่วมวงการข้าวเหนียวมะม่วงคนอื่นๆ ที่ต้องเซ่นพิษโควิด-19 เธอบอกเอาไว้ว่า ยอดขายของเธอหล่นฮวบลงมาอย่างน่าตกใจจากวิกฤตครั้งนี้
“โควิดจากวันละ 500,000 เหลือวันละ 50,000 ตกจนแบบ…” เล่าถึงตรงนี้เธอก็หยุดเล่าแล้วถอนหายใจ “เราก็พยายามคิดว่าเราจะทำยังไง เราก็ดันให้มีของหวาน ข้าวต้มมัด ขนมเทียน อะไรต่ออะไร ก็พยายามเอาวิชาออกมาต่อยอดให้ลูกน้องไม่ตกงานและอยู่รอด วุ้นเราก็ทำเองนะ พยายามทำกันเอง ลูกสาวก็ไปเรียนทำไอศครีม เราคิดว่าถ้าเราสบายก็สบายด้วยกัน ถ้าลำบากก็ลำบากไปด้วยกัน จากซีซั่น 1-2-3 ก็ไม่มีเหลือเก็บนะ แต่ประคองไปได้ในแต่ละเดือน แค่ให้ลูกน้องเราไม่ลดเงินเดือนก็พอแล้ว”


ในช่วงเวลาที่ธุรกิจซบเซา ธุรกิจต่างๆ ต้องประคับประคองให้ผ่านไปในแต่ละเดือน ข้าวเหนียวมะม่วงก็กลายเป็นปรากฏการณ์จนได้รับความนิยมในชั่วข้ามคืนจากโชว์ทรงพลังของ MILLI บนเวที Coachella 2022
ร้านข้าวเหนียวมะม่วงอย่างแม่วารีเองก็พลอยขายดิบขายดีไปด้วย
“รู้นะว่ามาจากนักร้องที่ชื่อมิลลิ ใช่ไหม ที่เอาข้าวเหนียวมะม่วงขึ้นไปกินด้วยบนเวที นี่ว่าเดี๋ยวจะให้ลูกเปิดให้ฟังอยู่” เจ้าของร้านดังย่านทองหล่อตอบเมื่อเราถามว่ารู้ไหมว่าต้นทางของกระแสข้าวเหนียวมะม่วงมาจากที่ใด

ในวันนี้ที่ร้านล้นหลามไปด้วยผู้คนที่มารออุดหนุน เราชวนเธอคุยถึงสิ่งสำคัญที่ทำให้ร้านข้าวเหนียวมะม่วงร้านหนึ่งยืนระยะผ่านช่วงเวลายากลำบากมาจนถึงวันนี้
ท่ามกลางร้านข้าวเหนียวมะม่วงมีอยู่เยอะแยะมากมาย ทำไมร้านข้าวเหนียวมะม่วงแห่งนี้จึงขายดีเป็นเทน้ำเทท่า
มองแบบผิวเผินองค์ประกอบของข้าวเหนียวมะม่วง 1 จาน มีเพียงแค่ไม่กี่อย่าง ที่แน่ๆ ก็มีข้าวเหนียว กะทิ มะม่วง และถั่วทอง องค์ประกอบเพียงไม่กี่อย่าง แต่รูป รส ของข้าวเหนียวมะม่วง แต่ทำไมข้าวเหนียวมะม่วงแต่ละร้านกลับแตกต่างกัน
คำตอบที่ดีที่สุดของคำถามนี้ จากปากคำของแม่วารีเองน่าจะแบ่งออกเป็น 2 ข้อใหญ่ๆ คือ วัตถุดิบที่นำมาใช้ และการพัฒนาตนเองอย่างไม่หยุดนิ่ง

เคล็ดลับข้อแรกเธอขยายความว่า ที่เธอทำออกมาได้แตกต่าง เพราะเธอเลือกของ (ดี) มาทำของกิน
“สมัยก่อนเขาชอบใช้ข้าวเหนียวเขี้ยวงูกันใช่ไหม เราก็ไม่ได้ใช่นะ เราใช้ข้าวเหนียวตราอูฐ ซึ่งมันจะคัดเม็ดกว่า เหนือกว่า และต้องมาจากเชียงรายเท่านั้นนะ หรืออย่างข้าวเหนียว กะทิก็ใช้จากในบาง สุราษฎร์ฯ คือของทุกอย่างมันต้องมีที่มาที่ไป เกลือก็มาจากสมุทรสาคร ถั่วก็ต้องอบ จ้างโรงงานอบ เราไม่มานั่งแช่มาคั่วนะ แบบนั้นมันจะแข็ง กินไม่ได้ มะม่วงเหมือนกัน เราก็เลือกนะ เลือกจากสวนที่เราไว้ใจมาแล้ว”
ข้าวเหนียวมะม่วง 1 ชุดของแม่วารี ประกอบไปด้วย ข้าวเหนียวมูนที่ลูกค้าสามารถเลือกได้ว่า อยากได้ข้าวเหนียวขาว ข้าวเหนียวอัญชัน ข้าวเหนียวใบเตย หรืออยากได้ข้าวเหนียวทั้งสามสีอยู่ในชุดเดียวกัน มะม่วงสุกหั่นฝานพอดีคำ กะทิเข้มข้นรัดถุง และถั่วทองจำนวนพอดีโรยหน้า ทั้งหมดมาในราคา 150 บาท

ท่ามกลางเสียงออร์เดอร์จากโทรศัพท์ที่ดังไม่หยุด และอากาศร้อนระอุในเดือนเมษา กับเหล่าไรเดอร์นับ 20 รายที่ยืนเรียงรายอยู่หน้าร้าน แม่วารีโน้มตัวมากระซิบถามเราว่า
“เคยได้ยินไหม ที่เขาว่ากันว่าแม่ขายของแพง”
หากมองราคาข้าวเหนียวมะม่วง 1 กล่องราคา 150 บาท ด้วยตาเปล่าคุณก็คงจะคิดว่าแพง แต่แม่วารีอธิบายข้อครหาและข้อสงสัยที่ใครๆ อาจตั้งคำถามว่า ทำไมข้าวเหนียวมะม่วงของเธอจึงราคาสูงกว่าเจ้าอื่น
“เราเลือกของทุกขั้นตอนเลย เมื่อก่อนถ้ามาทองหล่อนี่ เรามีขาย 24 ชั่วโมงเลยนะ เราค่อยๆ นึ่งข้าวเหนียวตอนกลางคืนก็นึ่ง ค่อยๆ นึ่ง ค่อยๆ ออกทั้งวันทั้งคืน ให้มันอร่อยที่สุด แต่ตอนนี้ไม่ทำแล้วล่ะตอนกลางคืน ทำไม่ไหว แต่เรายังค่อยๆ ทำ และยังเลือกของเหมือนเดิม”

ยิ่งไปกว่าการบรรจงคัดวัตถุดิบและใส่ใจในการพัฒนารสชาติของตนเองอย่างไม่หยุดนิ่ง แม่วารียังเล่าถึงมะม่วง–ตัวเอกที่สำคัญในจานข้าวเหนียวมะม่วงไม่แพ้กันกับข้าวเหนียวมูน ที่ถูกนำมาขายในร้านว่า
“เราจะใช้น้ำดอกไม้กับอกร่อง อกร่องเนื้อจะน้อยแต่มันหวานชื่นใจ ส่วนน้ำดอกไม้เนื้อจะเยอะแต่จะหวานเย็น”
มะม่วงสุกรสหวานจากพันธุ์น้ำดอกไม้หรืออกร่องที่แม่วารีเลือกใช้อาจไม่แปลกหูแปลกตา แต่ที่น่าแปลกใจคือ เธอจัดการยังไงให้มีมะม่วงขายได้ตลอดทั้งปี
“เราก็ต้องมีลูกสวนสิ เรามีพ่อค้าคนกลางที่เขาดีลกับสวนให้เรา เพราะเขารู้ว่าเราขายทั้งปี แล้วรู้ไหมบางหน้าที่มะม่วงมันไม่มีเลย คนเขาก็เห็นเราขายแพง เพราะมันหาของไม่ได้เลย มันก็ต้องแพงสิ ดูตอนนี้สิ (เดือนเมษายน) มะม่วงโลฯ นึงไม่เท่าไหร่เอง เราก็ขายถูกนะ เราก็ใส่มะม่วงเพิ่มให้ลูกค้าช่วงที่มะม่วงมันราคาลง” แม่วารีพูดพร้อมรอยยิ้มพลางชี้นิ้วไปที่กองมะม่วงลดราคาที่วางเรียงรายบนชั้น

ส่วนเคล็ดลับข้อที่สองของเธอคือ การพัฒนาอย่างไม่หยุดหย่อน
ว่ากันว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณหยุดนิ่ง อาจหมายความเท่ากับว่า คุณกำลังก้าวถอยหลัง เพราะเมื่อนั้น คู่แข่งของคุณอาจจะกำลังพัฒนาตัวเองอยู่ คำกล่าวดังว่าแม่วารีอาจจะไม่ได้เป็นคนริเริ่ม แต่เธอเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่เอาคำพูดดังกล่าวมาประยุกต์ใช้จริง
จากการเที่ยวชิมข้าวเหนียวมะม่วงเจ้าดังจากทั่วสารทิศ เธอจึงพัฒนาสูตรเรื่อยมา จากเดิมที่เคยใช้มะพร้าว 10 กิโลกรัมต่อการทำกะทิ 1 ชุด ตอนนี้เธอปรับเปลี่ยนให้รสชาติของกะทิเข้มข้นขึ้นด้วยการใช้มะพร้าว 20 กิโลกรัม ซึ่งนั่นหมายความถึงค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น แต่เธอก็ยอมแลก เพื่อให้ข้าวเหนียวมะม่วงที่อร่อยที่สุดในแบบของเธอเอง

“ขายมา 40 ปี ก็คิดเหมือนเดิม คิดอยู่เสมอว่าจะปรับปรุงยังไงให้ดีขึ้นนะ ของอร่อย (แล้ว) มีอร่อยกว่านี้อีกไหม ร้านที่เขาลือกันว่าอร่อยก็พยายามไปซื้อมานะ แล้วมาเทียบกับของตัวเอง ถ้ามีอะไรที่ดีกว่า เราต้องทำให้ดีขึ้น”
ย้อนดูความก้าวหน้าของ ‘Swatch’ แบรนด์นาฬิกาสวิสฯ ที่คิดนอกกรอบ ผ่านนาฬิกา 8 ดีไซน์สำคัญ
หน้าที่สำคัญของนาฬิกาคืออะไร
บอกเวลา จับเวลา เป็นเครื่องประดับ แสดงสถานะ หรือเก็บสะสมเพื่อชื่นชมความงาม นั่นอาจเป็นคำตอบโดยทั่วไปในตลาดนาฬิกาเมื่อสัก 50 ปีก่อน แต่สำหรับแบรนด์นาฬิกาสัญชาติสวิตเซอร์แลนด์อย่าง Swatch นอกจากหน้าที่เหล่านั้น นาฬิกาถือเป็นเครื่องมือสื่อสารเรื่องราว เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมและแฟชั่น รวมทั้งเป็นโอกาสพลิกวิกฤตของประเทศ ตั้งแต่วันแรกที่วางจำหน่ายใน ค.ศ. 1983 หรือเมื่อ 39 ปีก่อน


ปัจจุบัน Swatch เป็นส่วนหนึ่งของเครือ Swatch Group บริษัทแม่ที่ดูแลธุรกิจนาฬิกาและเครื่องประดับ เช่น Omega, Longines, Blancpain, Breguet และอื่นๆ รวมทั้งหมด 17 แบรนด์ แม้สร้างรายได้ไม่เทียบเท่าแบรนด์นาฬิกาหรูที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานในเครือ แต่ Swatch ถือเป็นแบรนด์ที่มีอิทธิพลของกลุ่มต่อผู้คนวงกว้าง ด้วยลูกเล่น สีสัน ความเข้าถึงง่าย ทำให้ใจผู้คนเต้นตึกตักเมื่อปล่อยคอลเลกชั่นใหม่ออกมา (และเสียงดังติ๊กๆ ของเข็มนาฬิกาที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์) ฉีกภาพจำ Swiss Made ที่คนคุ้นเคยด้วยนาฬิกาพลาสติกแบบแอนะล็อก
รวมทั้งยังสะท้อนปรัชญาธุรกิจที่ผู้ก่อตั้งอย่าง Nicolas George Hayek เชื่อว่าการตั้งถิ่นฐานผลิตภายในประเทศ รักษาทักษะช่างฝีมืออันเป็นเลิศที่สืบทอดต่อมา เมื่อผสมกับจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ ย่อมเกิดเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดีและคุ้มค้ากว่าที่ใดในโลก แบบที่ Swatch สร้างปรากฏการณ์มาเรื่อยๆ จนกลายเป็นชื่อของกรุ๊ปมาตั้งแต่ปี 1998

“Swatch ตั้งใจเป็นแบรนด์ที่สนุกตั้งแต่แรกดีเอ็นเอ 4 อย่างของเราคือ Colors, Lightness, Transparency และ Movement” จักรพันธ์ ญาณประสิทธิ์เวทย์ Brand Manager ของ Swatch ประเทศไทย เล่าถึงประวัติและส่วนผสมที่สร้างตัวตนให้ไม่เหมือนแบรนด์อื่นใด ท่ามกลางเรือนนาฬิกาหลายร้อยใน Swatch Flagship Store ที่เซ็นทรัลเวิลด์ ณ เวลา @208 (Swatch เคยออกแคมเปญโปรโมตนาฬิการุ่น Beat ด้วยการสร้าง Swatch Internet Time ของตัวเองขึ้นมา เพื่อปฏิวัติการบอกเวลาจากที่ใดก็ได้บนโลก โดยให้ 24 ชั่วโมงของหนึ่งวันเท่ากับ 1000 beats ซึ่งคุณจะเห็นฟอร์แมตเวลาแบบนี้บนมุมซ้ายของเว็บไซต์ Swatch ตอนนี้ด้วย)
คอลัมน์ Product Champion รอบนี้ ขอพาคุณย้อนเข็มนาฬิกา ไปดูวิวัฒนาการของ Swatch ตั้งแต่วันแรกจนถึงปัจจุบัน ผ่านผลิตภัณฑ์แต่ละรุ่นที่สื่อถึงดีเอ็นเอ และสิ่งที่ Swatch ให้ความสำคัญ เพื่อเข้าใจเบื้องหลังนาฬิกาที่มุ่งหมายเป็น second watch หรือนาฬิกาเรือนรองที่ใช้ใส่ได้สบายๆ ในวันธรรมดา ว่าทำไมจึงครองใจเป็นเบอร์หนึ่งของผู้คนรอบโลก

Swatch – Swiss Made Since 1983
นาฬิการุ่นแรกที่ปลุกวงการที่ซบเซาของสวิสฯ ให้พ้นวิกฤต
Swatch เกิดขึ้นมาท่ามกลางวิกฤตอุตสาหกรรมนาฬิกาที่เคยรุ่งเรืองของดินแดนแห่งนาฬิกา หลังจากบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นคิดค้นและจัดจำหน่ายนาฬิกาควอตซ์ที่ใช้แบตเตอรีแทนการไขลานหรือเก็บสะสมพลังงานในช่วงทศวรรษ 1970 นวัตกรรมนี้ทำให้นาฬิการาคาถูกกว่าที่เคยเป็นมา แม่นยำกว่าเป็นร้อยเท่า แถมง่ายต่อการรักษา จนทำให้นาฬิกาดั้งเดิมแบบสวิตเซอร์แลนด์มีส่วนแบ่งการตลาดลดน้อยไปเรื่อยๆ และสองบริษัทนาฬิกายักษ์ใหญ่ของประเทศอย่าง ASUAG และ SSIH ตกที่นั่งลำบาก
ฮาเยกที่เดิมเป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจ เข้ามาช่วยปรับโครงสร้างองค์กรและต่อมาควบรวมทั้งสองกิจการเข้าด้วยกัน เพื่อปรับทิศทางและเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต กลยุทธ์ของเขาคือการผลิตนาฬิกาที่ถูกไม่แพ้ฝั่งญี่ปุ่น แต่ต้องแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าขึ้นไปอีกระดับ
จากโจทย์นี้ แทนที่จะผลิตนาฬิกาไขลานหรูที่อาศัยงานฝีมือและความคราฟต์ บริษัทเลือกผลิตเป็นนาฬิกาควอตซ์ด้วยเครื่องจักรที่ผลิตได้ปริมาณมหาศาลเหมือนกัน แต่ใช้พลาสติกเป็นส่วนประกอบสำคัญของเรือน และวิจัยจนใช้ชิ้นส่วนกลไกเหลือเพียง 51 ชิ้น ยึดกันด้วยสกรู 1 ตัว จากเดิมที่ต้องใช้ 91 หรือเป็นร้อยชิ้นส่วน เป็นโมเดลชื่อ Gent ที่มีขนาดหน้าปัดเล็ก 34 มิลลิเมตร วางจำหน่าย 12 แบบที่เรียบง่าย ต่างสีสันกัน ครั้งแรกในวันที่ 1 มีนาคม 1983

ดีไซน์นั้นอาจดูเรียบง่ายแต่ทรงพลัง เมื่อราคาไม่แพงและถูกนำเสนอให้เป็นเครื่องประดับแฟชั่น ผู้ใหญ่ใส่ได้ เด็กใส่ก็สวยงามจนชวนให้ซื้อเป็นของฝากเรือนแรก ยอดขายจึงพุ่งทะยานสู่ล้านเรือนภายในปีเดียว และผลิตไปมากกว่า 3,503,000 เรือน ภายในปี 1984 ทำให้เข็มนาฬิกาของสวิตเซอร์แลนด์จึงไม่หยุดเดินและกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง

#SwatchLovesArt
นาฬิการุ่นที่ผสานศิลปะมาสเตอร์พีซเข้ากับชีวิตประจำวันของผู้คน
นอกจากฟังก์ชั่นการใช้งานแล้ว คนรักนาฬิกามักหลงใหลในความคราฟต์ ความงดงามที่ซ่อนอยู่ของแต่ละเรือน
ในปี 1985 Swatch สร้างเสน่ห์แบบฉบับของตัวเองด้วยโปรเจกต์ Swatch Art Special ร่วมมือกับศิลปิน พางานศิลปะที่เคยต้องตระเวนชมตามพิพิธภัณฑ์ มาเป็นส่วนหนึ่งของนาฬิกาที่ถูกสวมใส่บนข้อมือของผู้คนในชีวิตประจำวัน กลายเป็นว่าผลงานของศิลปินเป็นที่รู้จักมากขึ้นในวงกว้าง ส่วน Swatch กลายเป็นผู้ผลิตคอลเลกชั่นสุดพิเศษที่บรรดานักสะสมและสายอาร์ตไม่อยากพลาด
คอลเลกชั่นแรกภายใต้แนวคิดนี้คือ Swatch Kiki Picasso ที่นำภาพกราฟิกรูปภรรยาของศิลปินชาวฝรั่งเศส Christian Chapiron (นามแฝงของเขาคือ Kiki Picasso) มาอยู่บนหน้าปัดนาฬิกา ผลิตเป็นลิมิเต็ดเอดิชั่นเพียง 140 เรือนเท่านั้น ลูกเล่นคือรูปบนหน้าปัดแต่ละเรือนจะมีส่วนผสมของสีสันที่แตกต่าง รวมทั้งหมดมี 120 แบบ พร้อมด้วยลายเซ็นของ Picasso บนสายรัด เป็นหนึ่งในคอลเลกชั่นที่ต้องประมูลด้วยราคาอันสูงลิ่วเพื่อให้ได้ครอบครอง

นับแต่นั้นมา Swatch ร่วมมือกับศิลปินหลากหลายแขนงนับไม่ถ้วน เช่น ศิลปินกราฟฟิตี้ Keith Haring และประติมากร Mimmo Paladino บางคอลเลกชั่นก็แสดงความสนุกที่แหวกแนว เช่น One More Time ที่ออกแบบโดยจิตรกร Alfred Hofkunst เป็นนาฬิการูปทรงคล้ายเบคอนและไข่ แตงกวา และพริก วางจำหน่ายเพียง 9,999 เรือนที่ร้านอาหารเป็นหลัก เมื่อฉีกซองพลาสติกที่บรรจุนาฬิกาออกมา สภาพการใช้งานจะไม่คงทนนัก ไม่ต่างอะไรกับอาหารที่มีวันหมดอายุ
ความหลงรักในศิลปะของ Swatch ยังจริงจังมากจนถึงขั้นร่วมทุนซื้อโรงแรมในเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน เพื่อเปิดให้เป็นที่พำนักและจัดแสดงผลงานของศิลปินในชื่อ The Swatch Art Peace Hotel ซึ่งเปิดมานานกว่า 10 ปีแล้ว

นอกจากนี้ ช่วงปีที่ผ่านมา Swatch ยังจับมือกับพิพิธภัณฑ์มากขึ้นเพื่อนำผลงานศิลปะระดับมาสเตอร์มาอยู่ใกล้ชิดผู้คน เช่น Museum of Modern Art (MoMA) ที่มีภาพวาด The Starry Night ของปิกัสโซ และล่าสุด ร่วมมือกับพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยในปารีสอย่าง Center Pompidou ในปีนี้ จัดแสดง 6 ผลงานของศิลปิน 6 ท่าน ในรูปแบบนาฬิกาที่วางจำหน่าย ยิ่งเด่นชัดว่า #SwatchLovesArt

Swatch & Sports
นาฬิกาที่เชื่อมต่อโลกของนาฬิกาและกีฬา
นอกจากศิลปะแล้ว Swatch ยังเป็นแบรนด์นาฬิกาที่จริงจังเรื่องกีฬา
คนไทยอาจไม่คุ้นเคยกับมิตินี้ของ Swatch มากนัก เพราะพวกเขามักทำการตลาดผ่านการสนับสนุนนักกีฬาหรือการแข่งขันกีฬาที่ไม่อยู่ในกระแสหลักตามวิถีชีวิตเราเสียเท่าไหร่ เช่น เซิร์ฟบอร์ด วอลเลย์บอลชายหาด และสโนว์บอร์ด ที่ Swatch เพิ่งเป็นพาร์ตเนอร์สนับสนุนการแข่งขัน Laax Open ที่สวิตเซอร์แลนด์
ในเชิงแบรนด์ การนำผลิตภัณฑ์ไปเกี่ยวข้องกับนักกีฬาเป็นการสื่อสารเรื่องราวว่า Swatch เป็นนาฬิกาที่สวมใส่ไปโลดโผน ลุยได้ในทุกโอกาสและสภาพอากาศ ไม่จำเป็นต้องทางการหรือสวมใส่ให้เข้ากับยูนิฟอร์มเหมือนนาฬิกาสวิสหลายๆ แบรนด์ และทำให้กีฬาอยู่ในความสนใจของผู้คนมากขึ้น
อีกหนึ่งความเกี่ยวโยงกับโลกกีฬาคือการจับเวลาที่ต้องอาศัยความแม่นยำ ซึ่ง Swatch ได้รับหน้าที่เป็น Official Timekeeper ของการแข่งขันโอลิมปิกในปี 1996, 2000 และ 2004 รวมทั้งมีการวางจำหน่ายรุ่นใหม่ๆ ตามวาระการแข่งขันเหล่านี้ที่บริษัทเข้าไปพาร์ตเนอร์ด้วย เช่น Swatch x Roland Garros สำหรับการแข่งขันเทนนิสแกรนด์สแลมที่ประเทศฝรั่งเศส และ The Olympic Winter Games Beijing 2022 เพื่อเฉลิมฉลองการแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาว ด้วยการนำเสนอทิวทัศน์และกีฬาแต่ละประเภทบนเรือนนาฬิกา


Swatch SISTEM51
นาฬิการุ่นที่ประกาศศักดาด้านนวัตกรรม
Swatch แข็งแกร่งด้าน R&D มาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเครือ Swatch Group มีบริษัทที่ดูแลการผลิตนาฬิกาตั้งแต่ต้นน้ำหรือชิ้นส่วนเล็กๆ ของนาฬิกาด้วย ทำให้มีองค์ความรู้เพียบพร้อมพัฒนานวัตกรรมแปลกใหม่
ในปี 2013 Swatch เปิดตัวนาฬิการุ่น SISTEM51 เป็นการหวนกลับคืนสู่นาฬิกาออโตเมติกของ Swatch ที่ผลิตมาตั้งแต่ปี 1991 แต่ความพิเศษของรุ่นนี้คือกลไกประกอบขึ้นจากเพียง 51 ชิ้นส่วนที่ยึดด้วยน็อตตัวเดียวเท่านั้น ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับแบรนด์อื่นที่ต้องใช้เป็นร้อย โดยด้านหลังของกรอบนาฬิกาถูกออกแบบให้โปร่งใส ทำให้มองเห็นมูฟเมนต์ของกลไกได้อย่างชัดเจนตามดีเอ็นเอของ Swatch และมีคำเปรยเท่ๆ ว่านาฬิการุ่นนี้ ด้านหน้าบอกเวลา ด้านหลังบอกเรื่องราว


อีกหนึ่งนวัตกรรมที่เรียกเสียงฮือฮาเป็นอย่างดีคือ Swatch Flymagic ที่พัฒนาต่อยอดจาก SISTEM51 โดยเสริมนวัตกรรมแฮร์สปริงนิวาครอง (Nivachron) ที่ผลิตจากไทเทเนียมอัลลอย พัฒนาร่วมกับผู้ผลิตนาฬิกาหรู Audemars Piguet ทำให้สนามแม่เหล็กไม่มีผลต่อการทำงานของนาฬิกา แก้ปัญหาความเที่ยงตรงของเวลาที่กวนใจคนรักนาฬิกาออโตเมติก รวมทั้งแตกต่างด้วยหน้าตาที่ไม่มีหน้าปัดเหมือนนาฬิกาทั่วไป แต่นำโรเตอร์ที่ปกติอยู่ด้านหลัง ขึ้นมาแสดงพร้อมกับเข็มนาฬิกาด้านหน้า ดูทั้งเวลาและการทำงานของกลไกได้พร้อมกัน แถมเข็มวินาทียังเดินทวนเข็มด้วย
รุ่นนี้ผลิตเป็นลิมิเต็ดเอดิชั่น มีวางขายเพียง 60 เรือนในไทย และ 500 เรือนทั่วโลกเท่านั้น จุดประสงค์อาจไม่ใช่การสร้างกำไรสูงสุด แต่เป็นการประกาศศักดาของ Swatch ว่าเรื่องเทคโนโลยีเราไม่เป็นสองรองใคร

Swatch Bioreloaded
นาฬิกาที่นำเรื่องเก่ามาเล่าใหม่อย่างเป็นมิตร
เมื่อแบรนด์นาฬิกาที่แตกต่างด้วยความเป็นพลาสติก (จริงๆ ตั้งแต่ปี 1994 Swatch ผลิตนาฬิกาที่เรือนเป็นสเตนเลสด้วย ในชื่อ Irony) ก้าวข้ามสู่ทศวรรษใหม่ พวกเขาก็ต้องปรับตัวเหมือนกัน สิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนของโลกใบนี้เป็นเรื่องสำคัญที่แบรนด์ต้องคำนึงถึง Swatch จึงรวมตัวผู้เชี่ยวชาญจากบริษัทในเครือ เช่น Comadur ที่เชี่ยวชาญด้านเซรามิก และ Ruedin ที่ถนัดการผลิตตัวเรือนนาฬิกา มาร่วมกันพัฒนาวัสดุใหม่ในชื่อ Bioceramic
วัสดุนี้ทำจากส่วนผสมของไบโอพลาสติกที่ทำจากน้ำมันละหุ่งและเซอร์โคเนียมไดออกไซด์ที่ใช้ผลิตเซรามิก ซึ่งเป็นวัสดุที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในการผลิตนาฬิกา เพราะทนทานต่อการขีดข่วนและเบา นำมาผลิตเป็นส่วนประกอบของนาฬิกา เช่น ตัวเรือน ทดแทนการใช้พลาสติก แลกกับสัมผัสที่อาจแตกต่างไปจากสายซิลิโคนที่คนคุ้นเคย

เพื่อนำเสนอวัสดุใหม่นี้อย่างสร้างสรรค์ Swatch ย้อนเวลากลับไปเลือกผลิตภัณฑ์รุ่นเด่นในปี 1983 และ 1984 มาผลิตใหม่ด้วยวัสดุนี้ ภายใต้ชื่อ ‘Bioreloaded’ และ ‘1984 Reloaded’ ผสมความคลาสสิกของดีไซน์ในอดีตที่เน้นสีสันและรูปทรงเรขาคณิต เข้ากับนวัตกรรมของปัจจุบัน เป็นความตั้งใจของ Swatch ที่อยากให้บริษัทสามารถผลิตนาฬิการุ่นเก่าๆ ที่คนคิดถึง ด้วยกระบวนการผลิตที่มีอยู่แล้ว แต่ยั่งยืนขึ้น ในราคาที่คนเอื้อมถึง (รุ่น 1984 Reloaded ราคาอยู่ที่ประมาณ 3,000 บาท)

ปัจจุบันเทคโนโลยีนี้ถูกนำไปใช้ผลิตนาฬิกาบางส่วน ทั้งแบบ Gent (ขนาดหน้าปัด 34 มิลลิเมตร) New Gent (41 มิลลิเมตร) และ Big Bold (47 มิลลิเมตร) ในอนาคต เราคงได้เห็นนาฬิกาสมัยก่อนกลับมาเป็นเทรนด์อีกครั้งจาก Swatch โดยที่เป็นมิตรต่อสรรพสิ่งมากขึ้น

Flik Flak
นาฬิกาที่สอนเรื่องเวลาแห่งการเรียนรู้ของเด็กๆ
Swatch อยากเป็นนาฬิกาสำหรับคนทุกเพศทุกวัย แม้แต่เด็กน้อยสดใส 3 ขวบที่กำลังเริ่มต้นการเรียนรู้ ด้วยเหตุนี้ Swatch Group จึงมีแบรนด์ลูกชื่อ Flik Flak ที่ตั้งใจออกแบบนาฬิกาคุณภาพดีเพื่อเด็กโดยเฉพาะมาตั้งแต่ปี 1987 และวางขายเป็นส่วนหนึ่งของร้าน Swatch รอบโลก

เพื่อให้เด็กรู้สึกตื่นเต้นกับการเรียนรู้เรื่องเวลา ทาง Flik Flak ชวนคุณครูเข้ามาอยู่เป็นส่วนหนึ่งของขั้นตอนพัฒนาผลิตภัณฑ์ สร้างตัวการ์ตูนและสีสันหลากแบบที่จะตอบโจทย์ตัวตนของเด็กแต่ละคน ทำให้หน้าปัดอ่านง่ายที่สุดสมกับวัย และใช้ตัวการ์ตูน Flik หรือพี่ชายสีน้ำเงิน และ Flak น้องสาวสีแดง เป็นเข็มนาฬิกาที่คอยนำทางเรื่องเวลาในหลายๆ รุ่น รวมถึงพัฒนาแอพพลิเคชั่น Flik & Flak ขึ้นเป็นสื่อการเรียนรู้
ส่วนคุณภาพของนาฬิกาก็หายห่วง เพราะทุกเรือนผลิตจากโรงงานผู้เชี่ยวชาญอย่าง ETA โดยผ่านการทดสอบสารพัดอย่างเพื่อให้ทนทาน ปลอดสารเคมีหรือความเสี่ยงใดๆ ที่อาจเป็นภัยต่อผิวหนังของเด็ก และพยายามใช้พลาสติกชีวภาพที่ย่อยสลายได้เป็นองค์ประกอบด้วย ผู้ปกครองซื้อเป็นของขวัญให้ลูกหลานได้อย่างสบายใจ

Swatch x You
นาฬิการุ่นที่เปิดให้ปรับแต่งดีไซน์ที่ใช่คุณ
เพราะเราทุกคนต่างมีความเป็นศิลปินและความชื่นชอบของตัวเอง Swatch จึงเปิดให้คนมีโอกาสมิกซ์แอนด์แมตช์สไตล์ที่ชอบลงบนนาฬิกา ด้วยคอลเลกชั่น Swatch x You ที่เริ่มต้นในปี 2017
คอนเซปต์คือ คุณสามารถเลือกภาพงานศิลปะมาจัดวาง โดยเลือกส่วนของรูปภาพที่ชอบบนนาฬิกาใส เลือกแบบ กลไก และข้อความด้านหลังนาฬิกาเอง หลังจากนั้น Swatch จะใช้เครื่องพิมพ์พิเศษ พิมพ์ลายลงบนนาฬิกาเลย เหมาะที่จะซื้อเป็นของฝากเมื่อเดินทางไปต่างประเทศ เพราะมักมีผลงานของศิลปินท้องถิ่นให้เลือกที่ร้านของ Swatch ด้วย แม้ที่ไทยจะไม่มีเครื่องพิมพ์ดังกล่าว และการเดินทางไปต่างประเทศยังเป็นเรื่องลำบากในช่วงนี้ แต่เราปรับแต่งและสั่งซื้อผ่านทางออนไลน์ที่เว็บไซต์ของ Swatch x You ได้แล้ว



ความน่ารักของคอลเลกชั่นนี้คือ เปิดโอกาสให้ศิลปินจากประเทศรอบโลกที่จัดแสดงในงาน Dubai Expo 2020 ส่งผลงานมาผ่านการคัดเลือกเพื่อเป็นแบบบนเว็บไซต์สำหรับลูกค้าด้วย โดยในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา มีแบบจากศิลปินประเทศกรีซ โครเอเชีย สาธารณรัฐคองโก ปากีสถาน แอฟริกาใต้ และกัวเตมาลา ให้เลือก เป็นการนำเสนอเอกลักษณ์ที่งดงาม โดดเด่นของแต่ละประเทศ

ส่วนประเทศไทยก็มีอาร์ติสท์ที่ได้รับคัดเลือกไปจัดแสดงและจัดทำรุ่นพิเศษนี้เหมือนกัน เป็นผลงานของเฟิร์ส–ปารมิตา ชาติกุล นิสิตคณะศิลปกรรมศาสตร์ กับดีไซน์ชื่อ ‘Sacred Tattoo’ ที่ได้แรงบันดาลใจจากการสักยันต์ตามความเชื่อดั้งเดิมของไทย ออกแบบเป็นลายเสือที่ตรงกับปีขาลในปีนี้ เปิดวางจำหน่ายให้ซื้อมาประดับความโชคดีแล้ววันนี้

Bioceramic Moonswatch
นาฬิกาที่เปิดเส้นการเดินทางข้ามจักรวาลของสองแบรนด์
คอลเลกชั่นใหม่ล่าสุดจาก 2 แบรนด์ในเครือ Swatch Group อย่าง Swatch และ Omega ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อวันที่ 26 มีนาคมนี้และเรียกเสียงฮือฮา สร้างปรากฏการณ์คนรอต่อแถวเพื่อจับจองกันจนเต็มห้างสรรพสินค้า

เพราะรุ่นนี้นำโครงแบบของรุ่นในตำนานอย่าง Omega Speedmaster ที่ออกแบบให้วัดความเร็วได้ ทนทานถึงขั้นผ่านการทดสอบของ NASA และถูกสวมใส่ไปปฏิบัติภารกิจบนดวงจันทร์ มาแต่งแต้มสีสันและเรื่องราวในร่างนาฬิกาแบบฉบับ Swatch ตามธีมดาวเคราะห์ ดาวบริวาร และดาวฤกษ์ในระบบสุริยจักรวาล 11 ดวง 11 แบบ คงเสน่ห์ของนาฬิกาโครโนกราฟที่มีหน้าปัดย่อยเป็นเอกลักษณ์ เสริมด้วยกิมมิก เช่น ฝาหลังครอบแบตเตอรีเป็นรูปตามดาวแต่ละดวง พร้อมคำว่า Mission to ตามด้วยชื่อดาว อิงไปกับการเดินทางออกนอกโลกของ Speedmaster ส่วนตัวเรือนนั้น ทำจากวัสดุ Bioceramic ของ Swatch
จากต้นฉบับที่เรือนหลักแสน เหลือเรือนละไม่ถึงหมื่น ทำให้ผู้คนต่างจับตาการจับคู่ครั้งนี้ ที่น่าสนใจคือช่วงปีที่ผ่านมา เราจะเห็นเทรนด์การร่วมมือกันระหว่างแบรนด์ที่ขายผลิตภัณฑ์หมวดหมู่ใกล้เคียงกันมากขึ้น สร้างลูกเล่นใหม่ๆ ที่บรรดาแฟนๆ ของสองแบรนด์ต้องติดตาม
“จริงๆ โปรเจกต์นี้พิเศษมาก ทางสำนักงานใหญ่เก็บเป็นความลับไว้จนถึงสัปดาห์ก่อน ไม่ค่อยมี collaboration ข้ามรุ่นแบบนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งประวัติศาสตร์ของวงการนาฬิกาเลย” จักรพันธ์กล่าว

แม้วันเวลาเปลี่ยนผันสู่ยุคที่ฟังก์ชั่นการบอกเวลามีบทบาทน้อยลงในโลกยุคดิจิทัล แต่ตลาดนาฬิกายังคงสรรหาความพิเศษ ลูกเล่นใหม่ๆ มานำเสนอลูกค้าอยู่ตลอดเวลา ทุกเดือนทุกปี ซึ่ง Swatch เฉิดฉายในด้านนี้โดยที่ยังคงรักษาเสน่ห์แบบเดิมๆ ที่คนหลงรักไว้ได้ นอกจากที่กล่าวถึงในบทความนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์อีกหลายรุ่น หลายคอลเลกชั่นที่แฟนๆ หลงรักและยกให้ติดอันดับในดวงใจ เช่นแบบ Skin Irony ที่สายรัดหนังบางเฉียบและใช้โลหะเป็นตัวเรือน หรือ Big Bold Jellyfish ที่หน้าปัดโปร่งใสและใช้เข็มนาฬิกา 3 สี และอีกสารพัดรุ่น



และถึงจะผ่านมานานเกือบ 4 ทศวรรษ แต่ Swatch ก็ยังคงครองใจคนและเป็นที่จดจำไม่เลือนหาย
เพราะ Time is what you make of it.

53 ปีของ ‘สมบูรณ์โภชนา’ กับการเปลี่ยนแปลงธุรกิจครอบครัวโดย สมบูรณ์ ศรีเจริญสุขยิ่ง
บนโต๊ะกินข้าวจำนวน 12 ที่นั่ง เรากำลังนั่งคุยอยู่กับ สมบูรณ์ ศรีเจริญสุขยิ่ง ผู้บริหารและทายาทรุ่นที่ 2 ของธุรกิจร้านอาหารทะเลรสชาติจีนผสานไทย สมบูรณ์โภชนา หรือที่เรียกกันว่า ‘ลูกเจ้าของ’ ตามนิยามที่เขาได้ยินได้ฟังมาตั้งแต่วัยเด็ก
สมบูรณ์โภชนา กับ สมบูรณ์ ศรีเจริญสุขยิ่ง เกิดในปีเดียวกัน โดยชื่อ สมบูรณ์ ของเขาถูกเติมท้ายด้วยคำว่าโภชนา และนำมาตั้งเป็นชื่อร้านอาหารในตึกแถวคูหาเดียวบริเวณสามย่าน
สาขาแรกนั้นปิดตัวลงด้วยปัญหาเรื่องเวนคืนพื้นที่ แต่เป็นเพียงการปิดครั้งเดียวที่พาไปสู่การเปิดอีก 8 สาขาตามมา สมบูรณ์โภชนาย้ายที่ตั้งมาปักหลักบนถนนสุรวงศ์ ขยับขยายมาที่ถนนบรรทัดทองจนเป็นที่รู้จักมากกว่าเดิม จากนั้นก็ไปถึงย่านรัชดา อุดมสุข และย้อนกลับมาสู่ย่านที่เป็นจุดเริ่มต้นของร้านคือสามย่าน (ปัจจุบันคือจามจุรีสแควร์) ก่อนถูกจับแต่งเนื้อแต่งตัวใหม่พาเข้าห้างสรรพสินค้าชั้นนำอย่างเซ็นทรัลเอ็มบาสซี สยามสแควร์วัน และเซ็นทรัลเวิลด์

ไม่ใช่แค่การขยาย (สาขา) แต่สมบูรณ์โภชนาในยุคของคุณสมบูรณ์ไม่เคยหยุดขยับ เขาพาธุรกิจร้านอาหารที่เปิดให้บริการนานกว่า 53 ปี เคลื่อนที่ไปในทุกการเปลี่ยนแปลง แต่ละครั้งมีทั้งโจทย์ยากจากภายนอกและโจทย์สำคัญคือความเป็นธุรกิจครอบครัว เขาต้องปรับร้านให้ดีด้วย ปรุงความสัมพันธ์ของคนในบ้านให้ราบรื่นด้วย
ไม่รู้ว่าสิ่งไหนยาก-ง่ายกว่ากัน แต่เขาผ่านมาได้ด้วยดี
ใครๆ ก็รู้ว่าสมบูรณ์โภชนาเป็นเจ้าของต้นตำรับปูผัดผงกะหรี่ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นอันดับหนึ่งของเอเชีย! แต่บ่ายนั้นเราแทบไม่ได้เอ่ยปากถามเรื่องอาหารจานเด่น เราอยากรู้มากกว่าว่า สมบูรณ์คิดและทำอย่างไรให้อยู่ได้ยาวนานและเติบโตแบบสมบูรณ์ขึ้นทุกปี

จุดเริ่มต้นที่คุณเข้ามาสานต่อธุรกิจของครอบครัวคือตอนไหน
ตามธรรมเนียมครอบครัวจีน ลูกชายคนโตต้องรับผิดชอบธุรกิจของครอบครัว ผมเลยได้รับมอบหมายหน้าที่นี้ตั้งแต่เกิด ด้วยความที่ร้านเป็นชื่อผมและผมเป็นลูกชายคนโต (มีพี่สาวสองคน) ไม่ว่าจะเป็นอาม่าหรือญาติๆ เขาจะคอยบอกตลอดว่าโตขึ้นเราต้องรับผิดชอบธุรกิจนี้นะ ทำให้ต้นทางการเรียนรู้ของผมเป็นไปเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับที่ร้านทั้งหมด สามารถพูดได้ว่าผมวางแผนชีวิตของตัวเองเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับที่ร้าน
ความที่สมบูรณ์โภชนาเป็นธุรกิจครอบครัว เราเลยเป็นส่วนหนึ่งในนี้โดยอัตโนมัติ ผมเริ่มทำงานที่ร้านตั้งแต่มัธยมต้นในหลากหลายหน้าที่ ตั้งแต่แคชเชียร์ พนักงานในครัว พนักงานเสิร์ฟ วันหยุดก็ออกไปจ่ายตลาดกับคุณพ่อ การทำร้านอาหารกลายเป็นสิ่งที่เรียนรู้มาตลอด
การเข้ามาทำเลยมีหลายขยับ ช่วงแรกๆ เป็นการทำแบบที่เขาบอกให้ทำตามประสาเด็ก พอโตขึ้นหน่อย เริ่มเข้ามหาวิทยาลัย ผมยืนมองร้านของที่บ้าน ก็เริ่มมีความคิดที่แตกต่างจากเดิม เริ่มมีไอเดียที่อยากจะเข้ามาปรับปรุง
ร้านรูปแบบเดิมเป็นยังไง ทำไมคุณถึงมองว่าต้องเปลี่ยนแปลง
ผมอยากให้นึกภาพร้านข้าวต้มที่ขายอาหารตามสั่งทั่วไป สมัยก่อนสมบูรณ์โภชนาเป็นแบบนั้น ลูกค้าที่เดินเข้ามาเขานึกอยากจะกินอะไรก็ใช้วิธีตะโกนสั่งเอา บรรยากาศเป็นกันเองมากๆ เราเป็นร้านที่ไม่มีเรื่องเซอร์วิสที่ดีหรืออะไรทั้งนั้น ผมยืนมองบรรยากาศที่เกิดขึ้นในร้าน ถามว่ามันดีมั้ย มันก็ไม่ได้แย่อะไร แต่ในความคิดของผมถ้าเป็นรูปแบบนี้ต่อไปมันจะจำกัดกลุ่มลูกค้าอยู่เท่านี้ (ทำมือเป็นวงกลมเล็กๆ) ลูกค้าส่วนใหญ่ก็เป็นคนย่านนี้เท่านั้น (สาขาแรกตั้งอยู่บริเวณสามย่าน) แต่เรามองว่าสามารถทำให้ร้านไปได้ไกลกว่านั้น เพียงแต่ต้องจับมาแต่งตัวใหม่ ทำให้คนที่ไม่เคยกินเขาอยากเข้ามาลองใช้บริการ

ตอนนั้นภาพในหัวชัดเจนเลยไหม
ผมมีความเชื่อ (นิ่งคิด) ต้องเล่าก่อนว่าตอนผมไปใช้ชีวิตที่อเมริกา ส่วนหนึ่งก็เป็นการเถลไถลไปซะครึ่ง (ยิ้ม) แต่การตะลอนเที่ยวทำให้เราเริ่มเห็นอะไรหลายอย่างที่นั่น ถ้าเป็นยุคผมคนที่ไปเรียนที่อเมริกาจะรู้จักร้านอาหารจีน Panda Express เป็นร้านที่ตั้งอยู่ในฟู้ดคอร์ตของห้างสรรพสินค้าตามเมืองต่างๆ และเป็นร้านที่ผมต้องแวะทุกครั้ง เราเริ่มตั้งคำถามว่าทำไมรสชาติมันเหมือนกันทุกที่แบบไม่มีผิดเพี้ยนเลย แสดงว่าอาหารของที่นี่ต้องออกมาจากครัวเดียวกัน ทีนี้เขาทำยังไงให้อาหารออกจากที่เดียวกันได้ อเมริกามันใหญ่มากนะ แสดงว่าเขาต้องมีครัวกลางและระบบการจัดการ ผมเริ่มสงสัยและหาข้อมูลว่าเขาทำกันยังไง ซึ่งสมัยนั้นยังไม่มีอินเทอร์เน็ต ต้องอาศัยการอ่านหนังสือเล่มหนาๆ ใหญ่ๆ หลายเล่ม และเอาหลักการทุกอย่างมาประยุกต์ใช้
ผมมองเห็นว่าถ้าอาหารกลายเป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งหมดแล้วมันจะง่ายต่อการขยายธุรกิจ
คุณเล่าว่าการเข้ามาทำสมบูรณ์โภชนามีหลายขยับ ช่วยเล่าถึงการขยับแต่ละครั้งให้ฟังหน่อย
ขยับแรกเป็นเรื่องโลโก้ ด้วยความที่ผมจบปริญญาตรีนิเทศศาสตร์ เอกโฆษณามาก่อนที่จะไปเรียน MBA ต่อที่อเมริกา ผมเลยเป็นคนที่มีความสนใจทั้งทางศิลปะและบริหารผสมกันอยู่ และมองว่าสิ่งที่เรียนสามารถเอามาต่อยอดให้ที่ร้านได้เลยเลือกที่จะไปทางนั้น
สมัยเรียนนิเทศศาสตร์ผมเริ่มทำโลโก้ร้านแล้ว ก่อนหน้านั้นร้านยังไม่มีโลโก้ มีแต่ชื่อสมบูรณ์โภชนา ซึ่งพอเราขายอาหารทะเลและมีปูผัดผงกะหรี่ที่คนรู้จัก ผมนึกถึงปูกับสีโทนคราม โลโก้แรกเลยกลายเป็นปูที่อยู่บนพื้นสีครามของท้องทะเล




ยุคแรกสมัยที่ยังไม่มีคอมพิวเตอร์ผมวาดรูปปูด้วยมือ และให้คนที่ทำงานสิ่งพิมพ์เขาเอาไปร่างเส้นขึ้นมาเป็นปูจากลายมือผม แล้วผมก็ไปเรียนต่อ ถัดไปจากนั้นคือช่วงที่ผมกลับมาจากเมืองนอก ผมเอาโลโก้ปูเดิมของตัวเองมาปรับให้เป็นปูที่ดูสมัยใหม่มากขึ้น เริ่มใช้สีแดงเข้ามาเป็นตัวกำหนดหลายๆ อย่างในร้าน อาหารจานที่สร้างชื่อเสียงให้เราคือปูผัดผงกะหรี่ เราเลยคงโลโก้ปูเอาไว้
รอบนั้นผมเริ่มเข้ามาเปลี่ยนแปลงอะไรหลายอย่างในร้าน ความจริงจังเกิดขึ้นตอนนั้น
การเปลี่ยนแปลงที่จริงจังมากขึ้นในยุคของคุณคืออะไรบ้าง
ย้อนกลับไปยี่สิบกว่าปีที่แล้ว ผมเริ่มจากการเข้ามารื้อระบบการจัดการหลังบ้านก่อนเป็นอย่างแรก เพราะหน้าร้านเขาก็ทำงานของเขาอยู่ เราก็ปล่อยให้ร้านรันไป ขณะนั้นผมก็เริ่มสร้างออฟฟิศในแบบของเราขึ้นมา ทยอยรับคนใหม่ๆ เข้ามาประจำแต่ละตำแหน่ง เพราะเดิมทีที่ร้านใช้พนักงานในร้านทำบัญชี แต่ผมมองว่าบางคนทำได้ บางคนก็ทำได้ไม่ดี ซึ่งไม่ใช่ความผิดของพนักงาน แต่เขาไม่ได้ถนัดและไม่ได้มีความรู้ในเรื่องนั้น ผมเลยขอเลือกคนที่มีความถนัดในสายงานนั้นๆ มาทำงาน
เริ่มต้นจากการแกะเส้นทางการจับจ่ายใช้สอยทั้งหมดของที่ร้าน ทำให้เส้นทางการซื้อของ รายรับ รายจ่าย เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ทั้งหมด ตอนนั้นมี Windows 95 เข้ามาแล้ว (หัวเราะ) เราก็เอาเข้ามาใช้
การที่ร้านอาหารในยุคนั้นจะมีคอมพิวเตอร์สักเครื่องคงไม่ใช่เรื่องง่าย
เรื่องใหญ่ คุณพ่อนี่ไม่ยอมเลย ตอนนั้นคอมพิวเตอร์เครื่องละเป็นแสน เขาไม่เข้าใจว่าจะเอาเครื่องพวกนี้เข้ามาทำไม ธุรกิจร้านอาหารไม่จำเป็นต้องใช้คอมพ์ตรงไหนเลย แต่เราเองก็ไม่ยอม เลยเสนอให้คุณพ่อหักเงินเดือนเราไปเลย เพราะผมเชื่อว่ามันจะทำให้งานที่ทำอยู่เป็นระบบมากขึ้น สามารถเห็นทุกอย่างได้ง่ายขึ้น

แล้วคุณถูกหักเงินเดือนจริงๆ ไหม
คุณพ่อเขาก็หักอยู่สักพัก พอเห็นว่าเราตั้งใจจริงๆ เขาถึงยอม แต่ต่อมาก็มีสแกนเนอร์เข้ามาอีก (หัวเราะ) ด้วยความที่ผมชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับธุรกิจ สังเกตว่าบริษัทใหญ่ๆ เขามีแผนกหนึ่งที่จัดการเรื่องเอกสารอย่างเดียว และการจะรักษาไม่ให้เอกสารหายก็คือจับสแกนซะ เวลาจะรื้อค้นก็ทำได้เร็ว การทำแบบนี้ในยุคสมัยนั้นเป็นเรื่องใหม่มาก ราคาของสแกนเนอร์ก็สูงมาก แต่เราก็ดื้อจะเอามาใช้ให้ได้ พอได้มาเราให้พนักงานสแกนเอกสารทุกอย่างเก็บแยกไว้เป็นโฟลเดอร์ ซึ่งถ้าเทียบกับสมัยนี้มันคือเรื่องปกติ แต่สมัยนู้นเป็นเรื่องใหญ่
ผมทำทุกอย่างจนเข้าที่เข้าทาง รู้ว่ารายรับ-รายจ่ายของร้านเป็นยังไง พอเห็นตัวเลขพวกนี้แล้วเราก็จะเห็นต่อไปอีกว่าร้านมีความสามารถที่จะเพิ่มรายรับได้ ธุรกิจนี้จะเติบโตขึ้นได้
พอคุณเอาทฤษฎีหรือระบบต่างๆ เข้ามาใช้กับธุรกิจ ขณะที่คนรุ่นก่อนที่เน้นการปฏิบัติและเขาทำมาแบบนี้ตั้งนานแล้ว น่าจะเจอแรงต้านไม่น้อย
ผมจำได้ว่าครั้งแรกที่มีการประชุมกับคนในครอบครัว คือผมขอให้คนในบ้านมาเข้าร่วมประชุม ทุกคนเดินเข้ามาพร้อมเสียงหัวเราะคิกคัก พวกเขาคงคิดในใจว่าแกจะทำอะไรของแก แต่เราเองตั้งใจมาก เตรียมเอกสารมาพร้อม จัดแจงให้ทุกคนนั่งล้อมโต๊ะกลม แล้วก็เริ่มอธิบายสิ่งที่เตรียมมา ถึงจุดหนึ่งก็มีคนถามขึ้นมาว่าจะเสร็จหรือยัง (ทำท่าดูเวลาประกอบ) พอจบการประชุมวันนั้นทุกคนทยอยเดินออกจากห้อง ทิ้งเอกสารที่ผมเตรียมไว้ทั้งหมดกองอยู่บนโต๊ะอย่างเดิม โอ้โห มันจี๊ดแบบสุดๆ เลยนะ
แต่หลังจากนั้นผมก็จัดประชุมต่อเนื่องเป็นประจำ ทำไปทำมาจนตอนหลังผมว่าพวกเขาน่าจะเริ่มติดแล้ว หลายเดือนถัดมาพวกเขาเป็นคนมาถามผมเองว่าเดือนนี้ไม่มีประชุมเหรอ แต่เราก็ไม่รู้ว่าเขาประชดหรือเปล่านะ (หัวเราะ) นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่มีการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของการทำงานกับคนในครอบครัว จากรูทีนเดิมๆ ที่พวกเขาเคยทำกันมา เราเข้ามาทำให้มันต่างออกไป
คุณมีวิธีการพูดคุยหรือนำเสนอโปรเจกต์ใหม่ๆ กับที่ประชุมซึ่งเป็นคนในครอบครัวยังไงบ้าง
ผมทดลองอยู่หลายวิธี เมื่อก่อนจะใช้วิธีขอแล้วค่อยทำ ผมเคยมีวาระใหม่มาเปิดโต๊ะประชุมแล้วถูกยิงตกจนร่วง ตอนหลังผมเลยใช้วิธีลงแรงเข้าไปทำให้เขาเห็นก่อน พอเขาเริ่มมองเห็นภาพตามแล้วโปรเจกต์มันถึงจะไปต่อง่าย การพูดคุยเป็นการเรียนรู้และลองผิดลองถูกพอสมควร
วิธีการนำเสนอกับครอบครัวสำหรับผมคือต้องคุยแยกเป็นคนๆ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับใครให้คุยกับคนนั้น ตัวอย่างเช่น แม่เป็นคนดูแลเรื่องครัว พ่อกับพี่สาวดูแลเรื่องเงิน เราก็ต้องเลือกคุยให้ถูกเรื่องถูกคน และคอยสังเกตว่าเขามีความเห็นยังไง เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับเรื่องที่เราเสนอ ถ้าไม่เห็นด้วยก็เปลี่ยนแผนไปคุยกับคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบลำดับถัดมา จนกว่าจะได้กองกำลังที่มาสนับสนุนเราพอสมควรถึงจะเปิดโต๊ะประชุม
สิ่งสำคัญคือการอธิบายให้เกิดภาพ เราเองมีภาพในหัวที่ต่างจากคนรุ่นพ่อแม่ สิ่งที่ผมต้องทำคืออธิบายภาพในหัวของเราออกมาให้เขาเห็น ซึ่งไม่ใช่ทุกภาพที่เขาจะเห็น ส่วนใหญ่แล้วนะ (เว้นช่วง) จะไม่เห็น (หัวเราะ)

ไอเดียไหนบ้างที่ถูกปัดตกทันที
ผมเคยเสนอให้สมบูรณ์โภชนาทำครัวกลางเกือบยี่สิบปีที่แล้ว พ่อกับแม่ปฏิเสธแบบหัวชนฝาเลย เขาบอกว่าไม่จำเป็น
สมบูรณ์โภชนาในเวลานั้นมีอยู่กี่สาขา
ตอนนั้นมี 4 สาขา ซึ่งผมมองว่าถ้าจะขยายต่อยังไงก็ต้องมีครัวกลาง ไม่อย่างนั้นเราจะควบคุมมาตรฐานอาหารไม่ได้ เพราะพ่อครัวแต่ละสาขาเขาจะเริ่มทำอาหารในแบบของเขาทีละนิดละหน่อย และรสชาติมันจะเริ่มเพี้ยน ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่คุณแม่กังวลที่สุด แต่เขาก็ยังไม่เห็นภาพว่าทำไมต้องมีครัวกลาง
ภาพครัวกลางของพ่อกับแม่คือโรงงานที่มีสายพานผลิตอาหารขนาดใหญ่โตมโหฬาร เข้าใจว่าต้องมีการสั่งซื้อเครื่องจักร เราบอกว่าเฮ้ย ไม่ใช่แบบนั้น ภาพครัวกลางของเราคือตึกแถวประมาณสี่ห้าห้องที่มีอุปกรณ์เครื่องครัวครบ สามารถทำอาหารที่เป็นกึ่งสำเร็จรูปได้ เช่น ทำฮ่อยจ๊อขึ้นมาให้สาขาอื่นเอาไปทอด
แต่พอครอบครัวไม่ยอม ผมก็ต้องปล่อยไปตามนั้นแล้วรอดูต่อไป จนเราเริ่มมีสาขาเพิ่มขึ้น ทีนี้สาขาที่แบกหลังแอ่นคือสาขาบรรทัดทอง เพราะเขาต้องเตรียมวัตถุดิบบางอย่างให้สาขาอื่น และสาขาบรรทัดทองก็เป็นหัวใจของคุณแม่ เพราะเขาเติบโตมากับที่นี่ จนคุณแม่มาบอกผมว่าทีมงานของเขาเริ่มทำไม่ไหวแล้ว งานมันล้นมือมากแล้ว ผมเลยถามว่าถึงเวลาหรือยังล่ะ
ตอนนั้นเราเลยเอาตึกแถวฝั่งตรงข้ามสาขาบรรทัดทองมาทำครัวกลาง
ผมมีความเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่าเมื่อไหร่ที่เราพยายามจะโน้มน้าวใครหรือแก้ปัญหาอะไรก็ตาม แต่ทำไม่ได้สักที วิธีที่ผมใช้อยู่เสมอคือการปล่อยให้เรื่องดำเนินไปจนถึงที่สุด ว่าง่ายๆ คือปล่อยให้เละก่อน แล้วเขาจะเข้าใจเอง ถึงตอนนั้นเราค่อยเข้าไปแก้ไข

เป็นวิธีที่โหดอยู่เหมือนกัน
ใช่ มันโหดนะ (ตอบทันที) ถ้าถามว่าทำแบบนี้เหนื่อยไหม ก็ต้องยอมรับว่าเหนื่อย แต่เป็นความเหนื่อยแบบทีเดียวจบ ไม่ต้องเหนื่อยระหว่างทางที่พยายามจะโน้มน้าวไปเรื่อยๆ
คุณมองว่าธุรกิจครอบครัวมีข้อดีข้อเสียยังไง
ธุรกิจครอบครัวคือสิ่งที่เห็นมาตั้งแต่เด็ก เรารู้ว่าควรจะพามันไปในทิศทางไหน และเป็นการพาไปด้วยความปรารถนาดี นั่นคือข้อดี
ส่วนข้อที่ไม่ดี ถ้าจะพูดให้เห็นภาพคือเรามีพี่น้องทั้งผู้หญิงผู้ชายที่เติบโตมาในบ้านเดียวกันก็จริง แต่เข้าเรียนคนละโรงเรียน คบเพื่อนคนละกลุ่ม แต่ละคนมีความคิดที่แตกต่างกัน ซึ่งเป็นเรื่องปกติ แต่พอทุกคนต้องมาทำงานที่เดียวกันและต้องกลายมาเป็นผู้บริหารโดยสถานภาพ คือความเป็นลูกเจ้าของ แต่ละคนมีความรู้มีประสบการณ์มาไม่เหมือนกัน แต่ต้องมาทำงานในเรื่องเดียวกัน นี่แหละเป็นสิ่งที่จะเกิดความขัดแย้ง
เวลาทำงาน คุณสามารถวางความสัมพันธ์แบบครอบครัวลงได้มากน้อยแค่ไหน
สำหรับผมมันแยกไม่ได้ นี่คือปัญหาหนึ่งของธุรกิจครอบครัว คือเมื่อมีความขัดแย้งอะไรก็ตามเกิดขึ้น ถูกหรือผิดไม่รู้ แต่ท้ายที่สุดมันจะลงเอยด้วยลำดับอาวุโส เพราะพอคนที่อยู่ในเลเวลเดียวกันมีความคิดเห็นไม่ตรงกันก็ต้องมีคนตัดสิน นั่นคือคนที่อาวุโสกว่า
ปัญหาที่เกิดขึ้นมันมีเรื่องของลำดับชั้นเข้ามาเกี่ยวเสมอ ไม่ว่าคุณจะเป็นพ่อแม่ เป็นพี่น้อง เป็นลูก กระทั่งเป็นลูกน้องก็ตาม

ระหว่างทางมีไอเดียที่ถูกปัดตกตลอดทาง พอจะมีไอเดียที่ผ่านในทันทีบ้างไหม
นึกไม่ออก (ตอบทันที) ส่วนมากจะโดนกระโดดถีบร่วงก่อน (หัวเราะ) ช่วงหลังๆ อาจพอมีบ้าง แต่ช่วงก่อนนี้ไม่มีเลย สมัยที่ผมเริ่มทำงานเขายังไม่เชื่อในตัวเรา แต่ก็เป็นอะไรที่เข้าใจได้
ถ้ามีแบบเห็นชัดๆ ก็ตอนโควิดนี่แหละ ส่วนเหตุผลที่ไม่ถูกปัดตก ผมว่าเป็นเพราะช่วงนั้นทุกคนคิดไม่ทันว่าจะแก้ปัญหายังไง
ก่อนจะเกิดสถานการณ์โควิด ผมเริ่มสังเกตเห็นว่านักท่องเที่ยวจีนที่ร้านลดจำนวนลง ตอนนั้นเริ่มคิดแล้วว่าต้องทำยังไง และระหว่างที่เราสังเกตการณ์อยู่ก็เกิดโควิดขึ้น ผมจำได้เลยวันที่มีประกาศทางโทรทัศน์ว่าปิดประเทศ สิ่งที่ผมอุทานคำแรกคือ ฉิบหายแล้ว จากนั้นเราก็ฉิบหายจริงๆ จากเดิมที่ร้านเราเป็น destination ของนักท่องเที่ยว หน้าที่ของเราคือรอรับนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาในแต่ละวัน และพยายามบริการให้ทัน แต่พอสถานการณ์มันกลับข้าง ทีนี้เราจะทำยังไง เมื่อแขนงอื่นเราก็ไม่เคยทำเลย
ปกติลูกค้าของสมบูรณ์มีสัดส่วนเป็นคนไทยและต่างชาติอย่างละครึ่ง เมื่อไม่มีต่างชาติเราก็ต้องพึ่งคนไทย แต่ตอนนั้นขนาดเราเองก็ยังไม่ใช้เงินเลย ผมถามตัวเองว่าถ้าเราไม่ใช้ คนอื่นก็ต้องไม่ใช้สิ แล้วเราจะทำยังไงล่ะ ก็เลยเป็นที่มาของการทำเดลิเวอรี ผมก็เดินไปบอกคุณพ่อว่าผมจะทำเดลิเวอรีนะ เขาก็บอกว่ามันคงไม่มีทางอื่นแล้ว เขาปล่อยให้เราทำเลย ตอนนั้นคุณติ๊ก (สันติ ลอรัชวี นักออกแบบจาก PRACTICAL Design Studio ที่ทำงานร่วมกับสมบูรณ์โภชนามาตั้งแต่ปี 2004 จนปัจจุบัน) และคุณเบล (กนกนุช ศิลปวิศวกุล) ได้เข้ามาช่วยอีกครั้ง
อ่านบทสัมภาษณ์ที่ สันติ ลอรัชวี เล่าบรรยากาศการทำงานกับสมบูรณ์โภชนาให้ Capital ฟัง และใช้คำว่าร่วมหัวจมท้าย ร่วมงานกันจนกลายเป็นครอบครัว ย้อนกลับไป 18 ปีที่แล้ว ทำไมสมบูรณ์ถึงได้มาร่วมงานกับ PRACTICAL Design Studio
ต้องย้อนกลับไปช่วงที่ผมจะรีโนเวตสมบูรณ์โภชนาสาขาบรรทัดทอง ตอนนั้นผมมองหาอินทีเรียร์หลายที่มาก จนไปเจอหนังสือเกี่ยวกับ 100 Interior Designers เราก็เลือกดูจากผลงานที่เห็นในนั้น จนได้คุณเอ (ชวนะ ช่างสุพรรณ) มาช่วยเรื่องรีโนเวต ขณะนั้นผมก็ปรึกษาคุณเอว่าอยากได้คนออกแบบเมนู พอจะแนะนำใครได้บ้าง แกก็แนะนำคุณติ๊ก (สันติ ลอรัชวี) ให้รู้จัก


จากการหาคนออกแบบเมนู ทำไมถึงเลยเถิดมาสู่การรีแบรนด์ และเปลี่ยนแปลงอะไรหลายอย่าง
ผมว่าด้วยวัยที่ใกล้เคียงกันของทั้งผม คุณติ๊ก และคุณเอ เราเลยสามารถคุยแบบต่อกันติดได้ในวันเดียว และผมชอบลักษณะการทำงานของทั้งสองคนนี้ด้วย เขาจะชอบนำเสนอ ส่วนเราจะเอาไม่เอา ก็เป็นเรื่องของเรา
ผมได้วิธีคิดมาจากการทำงานกับคุณติ๊กและคุณเอเยอะมาก ไม่ใช่แค่เรื่องงาน แต่รวมไปถึงการใช้ชีวิตเลย ด้วยความที่เราเป็นลูกพ่อค้าเติบโตมาอีกแบบ พวกเขาก็โตมาอีกแบบ มันเลยเกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ความคิดกันตลอดเวลา ทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ
ผมเคยทำงานกับคนกลุ่มอื่นมาบ้าง บางทีเขาจะมาพร้อมอีโก้ที่มากหน่อย เช่น มาเสนองานด้วยแบบเพียงแบบเดียว ประมาณว่าจะทำหรือไม่ทำก็มีเท่านี้แหละ เหมือนกับเราโดนตีกรอบไว้ ทั้งที่เราก็ไม่ได้ให้เขาทำฟรี แต่ทำไมเราถึงพูดไม่ได้ ผมเคยขอเปลี่ยนแบบงานหนึ่งแล้วโดนพูดว่าคุณไม่เชื่อใจผม เอาจริงๆ เราสงสัยนะว่าทำไมถึงคุยกันไม่ได้ล่ะ
ส่วนคุณเอกับคุณติ๊กสองคนนี้จะเป็นอีกแบบหนึ่ง เขาจะบอกเลยว่าทำไมถึงเสนออันนี้ และมีแบบอื่นให้เลือกอีกนะ ซึ่งบางทีเราเองก็เลือกแบบที่ไม่เหมาะกับเรา เขาก็สามารถอธิบายหรือแนะนำได้ว่าอันไหนเหมาะหรือไม่เหมาะกับเรา พร้อมเหตุผลที่เข้าท่า
ผมว่าทุกคนมีชุดความคิดของตัวเองและเชื่อมั่นในชุดความคิดนั้นเสมอ แต่ถ้ามีใครสักคนที่มีความคิดดีกว่าของเรา เรามีทางเลือกอยู่สองแบบ คือยอมรับกับปฏิเสธ แต่ไม่ว่าจะเลือกแบบไหน อย่างแรกเราควรเปิดรับก่อน อาจจะยังไม่ต้องรีบเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย แต่ต้องฟังก่อน
การฟังมันดียังไง
การฟังต้องมีการฝึก ผมเคยนั่งคิดว่าจะทำอย่างไรเพื่อฝึกตัวเองให้ทำหรือฟังในสิ่งที่ไม่ชอบ หลายครั้งเวลาทำงานเยอะๆ ต้องเจอกับคนและสถานการณ์หลากหลายทั้งที่ชอบและไม่ชอบ
วิธีฝึกข้ามสถานการณ์ที่ไม่ชอบของผมได้มาจากการฝึกฟังเพลงให้จบแผ่น
ผมชอบฟังเพลงแจ๊ส และมีแผ่นที่ซื้อเก็บไว้เยอะมาก แต่แผ่นหนึ่งเราจะฟังอยู่แค่เพลงสองเพลงในนั้น ผมเลยหันกลับไปมองแผ่นที่มีอยู่ ลองเอามาเปิดฟังทุกเพลงในอัลบั้ม เป็นการเปิดเพลงแล้วนั่งฟังไล่เรียงไปเรื่อยๆ จนจบอัลบั้ม เพื่อฝึกความอดทนของตัวเอง ช่วงแรกมันสร้างความอึดอัดมากเลย แต่ช่วงหลัง เฮ้ย ทำไมเพลงนี้เพราะจังเลย ทั้งที่แผ่นนี้ก็วางอยู่ในบ้านตั้งแต่แรก แต่เราไม่เคยฟัง วิธีนี้ทำให้ผมเจอเพลงใหม่ๆ จากการที่ตัวเองเริ่มเปิดรับมากขึ้น แต่ที่เล่ามาทั้งหมดใช้เวลาเป็นปีๆ ในการเปลี่ยนตัวเอง

รู้มาว่ามีการชักชวนให้สมบูรณ์โภชนาเข้าไปเปิดในห้างสรรพสินค้ามาตั้งแต่รุ่นคุณพ่อ แต่ทำไมเพิ่งมาสำเร็จในรุ่นของคุณ
ความคิดเรื่องทำเลที่ตั้งของคุณพ่อคือสมบูรณ์โภชนาต้องเป็นสแตนด์อโลนเท่านั้น เขาชอบซื้อที่ดินเพื่อสร้างร้าน ซึ่งในยุคปัจจุบันมันเป็นไปได้ยากมาก ราคาที่ดินก็สูง ผมเลยเสนอว่าทำไมไม่เปิดสาขาในห้าง แล้วเอารายได้จากตรงนั้นไปซื้อที่ดิน
แน่นอนว่าคุณพ่อปฏิเสธ เขามองว่าต้องซื้อที่ดินเพื่อเป็นทรัพย์สิน แต่ผมมองว่าแบบนั้นมัน over-invest สำหรับร้านอาหารที่รายได้ต่อวันไม่ได้สูงถึงเงินลงทุนระดับนั้น เราต้องใช้เวลาหลายสิบปีกว่าจะได้ทุนคืน
ตอนนั้นผมมองเห็นว่าร้านเริ่มเติบโต เป็นที่รู้จักของกลุ่มนักท่องเที่ยว ถ้าขยายช้าก็จะเป็นการเสียโอกาสของตัวเอง ซึ่งผมใช้เวลาเสนอกับคุณพ่อเรื่องเข้าห้างไปร่วมยี่สิบปีกว่าเขาจะยอม แต่ที่ยอมไม่ใช่เพราะตัวผมด้วยนะ เขายอมเพราะตัวเขาเอง
เดิมทีร้านแรกของเราตั้งอยู่บริเวณสามย่าน ซึ่งมีปัญหาเรื่องเวนคืนที่ดินมาสร้างจามจุรีสแควร์ คุณพ่อเขาอยากกลับมาตั้งอยู่บนที่ดินผืนเดิมที่เป็นจุดเริ่มต้นของร้าน นั่นคือเหตุผลของการเปิดในห้างครั้งแรกของเรา ซึ่งตำแหน่งที่ตั้งอยู่ห่างจากพิกัดร้านสมบูรณ์โภชนาเดิมแค่นิดเดียว คุณพ่อรู้สึกผูกพันกับตรงนี้ เขาเกิดที่นี่ เราเองก็อยู่ตรงนี้ตั้งแต่เด็กจนโต สาขานี้เลยเป็นร้านที่เขาบอกว่าจะขายได้หรือไม่ได้ไม่เป็นไร เขาแค่อยากกลับมา
แต่พอมาจริงๆ แล้วมันขายได้ เขาเลยเริ่มเข้าใจว่าการเข้ามาอยู่ในห้างมันก็สร้างโอกาสได้เหมือนกัน พอสบโอกาสนั้นผมก็เริ่มขยายสาขาในห้างทันที

คุณตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกันของแต่ละสาขายังไง
ต้องเล่าก่อนว่าเหตุผลของคุณพ่อที่ไม่ยอมเข้าห้างคือเขามองว่าหนึ่งค่าเช่าสูง และสอง ร้านเรามาจากร้านข้าวต้ม ถึงจะพัฒนาขึ้นมาแล้วก็ยังมีความเป็นกันเอง มีความเข้าถึงง่ายอยู่ แต่การเข้าไปอยู่ในห้างมักมาพร้อมเงื่อนไขที่ต้องปฏิบัติตามมากพอสมควร พูดให้เห็นภาพ การอยู่ในห้างเราต้องแต่งตัวเข้าไป จากกางเกงขาสั้นเสื้อยืด ก็ต้องสวมเสื้อเชิ้ตกับกางเกงขายาว
ผมมีบทเรียนจากสาขาอุดมสุข ตอนนั้นปี 2000 เป็นวัยที่เรากำลังใช้ชีวิตกลางคืนสนุกๆ อยู่เลย ยอมรับว่าผมติดภาพมาจากย่านเอกมัย-ทองหล่อ อยากทำร้านของเราให้เป็นสีขาวโพลนดูมิลเลนเนียล พอทำปุ๊บ โอ้ว (ลากเสียง) เละเลยทีนี้
ลูกค้าสาขาอุดมสุขเป็นคนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านจัดสรร มีวิถีชีวิตแบบหนึ่งคือเช้าไปส่งลูก เย็นก็กลับบ้าน วันหยุดถึงจะออกมากินข้าวนอกบ้าน ด้วยจังหวะของคนย่านนั้นเขาจะมาแบบเนิบช้าหน่อย พอเข้ามาเจอการตกแต่งร้านขาวโพลนของผมเข้าไปแล้วน่าจะมึนเลยล่ะ (หัวเราะ)
ผมก็ตั้งคำถามว่าทำไมสาขานี้มันถึงไม่ค่อยประสบความสำเร็จในช่วงแรก ผมเลยเข้าไปนั่งในร้านทุกวันเพื่อสังเกตพฤติกรรมของลูกค้า เราจะเห็นว่าคนเดินเข้ามา เขาจะมองตรงนั้นตรงนี้สามสี่จุดในร้าน แล้วหันมาถามพนักงานคำแรกเลยว่าราคาเท่ากับสาขาอื่นหรือเปล่า เราเลยรู้สึกว่าสภาพแวดล้อมในร้านมันทำให้เขารู้สึกว่าร้านนี้แพง

ต่อมาบทเรียนจากสาขาอุดมสุขถูกเอามาใช้กับสาขาอื่นในห้างด้วย ลูกค้าที่เดินเข้ามาพร้อมคำถามว่าราคาเท่ากับสาขาอื่นไหม ถ้าคำตอบคือเท่ากัน เก้าสิบเปอร์เซ็นต์คือเดินเข้าร้าน อีกสิบเปอร์เซ็นต์บอกว่าเดี๋ยวไว้มาทีหลัง มันพิสูจน์ว่าสภาพแวดล้อมที่เขาเห็นกับราคามันแมตช์กัน ลูกค้าจะไว้ใจเรา เขาจะรู้สึกว่าสมบูรณ์ดูดีขึ้นนะ แต่ราคายังเท่าเดิม เมนูทุกที่เหมือนกัน การตกแต่งร้านเพียงแต่มาเอื้อให้ความรู้สึกเขาเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
แต่ละสาขามีคาแร็กเตอร์ของลูกค้าที่ต่างกัน จำได้ว่าตอนผมไปเซอร์เวย์ที่สยาม สิ่งที่เจอคือนักท่องเที่ยวจำนวนมากสะพายกระเป๋าพะรุงพะรัง ในมือหิ้วถุงช้อปปิ้ง สวมเสื้อยืด กางเกงขาสั้น โจทย์คือจะทำยังไงที่จะดึงลูกค้ากลุ่มนี้มาเป็นลูกค้าสมบูรณ์
อีกอย่างเกิดปัญหาที่ว่าลูกค้าต่างชาติส่วนใหญ่เดินทางด้วยรถไฟฟ้ามาลงที่สถานีสยาม การมาบรรทัดทองค่อนข้างลำบาก บางทีเรียกแท็กซี่ก็ถูกพาไปไหนต่อไหนไม่รู้ เพราะตอนนั้นมีร้านปลอมที่ตั้งชื่อคล้ายๆ กัน ตั้งอยู่ในย่านใกล้ๆ กันเอาไว้หลอกนักท่องเที่ยวด้วย เขาแบ่งให้คนขับแท็กซี่สามสิบเปอร์เซ็นต์แลกกับการพาลูกค้ามาลงที่ร้านเขา
สาขาสยามสแควร์วันเกิดขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ ให้ลูกค้าออกจากรถไฟฟ้าแล้วเดินตรงดิ่งเข้าสมบูรณ์โภชนาได้เลย ตอนที่ออกแบบสาขานี้ก็คุยกันชัดเจนว่าจะทำยังไงให้ลูกค้าที่สวมกางเกงขาสั้นไม่รู้สึกว่าตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทาง เลยเลือกดึงเส้นสายของงานออกแบบจากโรงหนังสยามและสกาลามาใช้กับที่ร้าน ไม่ต้องหวือหวา ไม่หรูหราเกินไป ให้ความรู้สึกสบายๆ
หรือตอนผมไปเซอร์เวย์ที่แยกราชประสงค์ เราก็ไปยืนสังเกตว่ากลุ่มนี้มากันเป็นครอบครัวใหญ่ เราเลยออกแบบสาขาเซ็นทรัลเวิลด์ให้เป็นโต๊ะกลมใหญ่ ลูกค้าจะเข้ามาทีละ 20-30 คนก็นั่งได้

สมบูรณ์โภชนามีชุดตัวอักษรสมบูรณ์ด้วย ทำไมร้านอาหารถึงต้องมีฟอนต์เป็นของตัวเอง
อันนี้เป็นความชอบส่วนตัว ตั้งแต่สมัยเรียนเวลาผมทำงานพรีเซนต์ ตอนนั้นไม่มีคอมพิวเตอร์ ต้องใช้เทคนิค Letter Press ผมเป็นคนหนึ่งที่ละเลียดกับการทำหน้าปกมาก ผมว่าตรงนั้นมันมีผลต่อความเชื่อของเราว่าฟอนต์แต่ละแบบสร้างอิทธิพลต่อผู้เห็นไม่เหมือนกัน ฟอนต์มันบอกอะไรได้หลายอย่าง ด้วยความที่ผมชอบสังเกตพฤติกรรมคน ชอบเข้าไปอยู่ในกระบวนการคิดของคนว่าเขาคิดอะไรตอนที่ทำ การที่เรามองงานชิ้นหนึ่งหรือเห็นกระดาษใบหนึ่ง เราจะรู้เลยว่าคนที่พิมพ์ชิ้นงานนี้รู้สึกยังไง รวมถึงว่าเขาเป็นคนยังไงด้วย
พอคุณติ๊กพูดขึ้นมาว่าอยากทำฟอนต์ ผมตอบตกลงเลย เราอยากได้ฟอนต์ที่มีคาแร็กเตอร์ของสมบูรณ์ เชื่อว่าฟอนต์เป็นส่วนหนึ่งของโลโก้ เหมือนน้ำอัดลมแต่ละแบรนด์เรามองตูมเดียวก็รู้เลยว่าเป็นแบรนด์ไหน ดังนั้นตัวอักษรพวกนี้คนต้องมองแล้วรู้เลยว่านี่คือสมบูรณ์โภชนา แทนที่จะมาจำหน้าตาอาหารบนโต๊ะอย่างเดียว เราอยากสร้างภาพจำให้คนจำได้ว่าโลโก้บวกกับตัวหนังสือแบบนี้คือสมบูรณ์ เห็นปุ๊บต้องรู้เลย ทุกอย่างต้องทำให้มันเชื่อมกัน
อย่างปูผัดผงกะหรี่มีขายทั่วประเทศ ทำไมต้องกินที่สมบูรณ์ล่ะ เพราะปูผัดผงกะหรี่รสชาติแบบนี้ มีโลโก้ปูแบบนี้ ชุดอักษรแบบนี้มันถึงทำให้คนจำได้ว่าเป็นของสมบูรณ์จริงๆ
ชุดตัวอักษรสมบูรณ์ใช้เวลาทำค่อนข้างนาน แก้กันไปแก้กันมาร่วมสองปีได้ จากกระบวนการคิดที่ว่าสมบูรณ์เป็นร้านอาหารจีน มีลายเส้นรอยหยักที่คล้ายตัวอักษรจีน ความหนานูนหนักแน่นก็เพราะเป็นร้านที่มีอายุยืนยาวพอสมควร แต่ขณะเดียวกันก็มีความสมัยใหม่มากขึ้น

เรื่องทำฟอนต์ คุณพูดให้เจเนอเรชั่นก่อนเห็นภาพตามได้ยังไง
เรื่องฟอนต์นี้เอาจริงๆ เลยนะ (เว้นช่วง) ผมไม่บอกกับใครเลย (หัวเราะ) คือเลือกที่จะไม่เล่าเลย แต่เริ่มลุยกับพี่เขยที่เรียนนิเทศศาสตร์มาเหมือนกัน เวลาทำงานด้วยกันมันจะเข้าใจและเป็นไปในทางเดียวกัน ส่วนคุณพ่อคุณแม่นี่ไม่รู้เลย แต่ผมมองว่ามันไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย เรากำลังทำทุกอย่างเพื่อปูทางให้สมบูรณ์โภชนาไปสู่ความเป็นสากล
ตอนนั้นภาพของสมบูรณ์มีความเป็นสากลมากขึ้น เพราะเรามีลูกค้าต่างชาติจำนวนหนึ่ง อะไรเหล่านี้เป็นการวางแผนล่วงหน้าว่าเราจะไปต่อยังไงมากกว่า
จากประสบการณ์ของคุณ คำว่า ‘สมบูรณ์’ มีอยู่จริงไหมในการทำธุรกิจ
ผมเอาคำนี้มาล้อในงานของตัวเองคือ ‘อร่อยแบบสมบูรณ์’ ซึ่งจริงๆ แล้วมันมาจากคำว่าอร่อยสมบูรณ์แบบ ผมอยากให้ลูกค้ารู้สึกว่าเราสมบูรณ์แบบนะ แต่คำนี้มันมีความหมายในเชิงลบอยู่ด้วย คล้ายกันกับอะไรก็ตามที่คุณเคลมว่าดีที่สุด สมบูรณ์แบบที่สุด ถ้าคุณไม่สมบูรณ์แบบจริงๆ การใช้คำนี้จะทำให้คุณโดนเล่นงานทันที อย่างนั้นเราเล่นคำดีกว่า ‘อร่อยแบบสมบูรณ์’ หมายความว่าร้านอื่นจะเป็นยังไง อร่อยแบบไหน เราไม่รู้นะ แต่อร่อยแบบเราเป็นแบบนี้
ย้อนกลับมาที่คำถามว่าผมเชื่อเรื่องความสมบูรณ์มั้ย สมัยเรียนผมเป็นคนที่ทำลายงานตัวเองทิ้งตลอด งานไม่เป๊ะผมไม่ยอม จนเพื่อนชอบล้อผมว่ามิสเตอร์เพอร์เฟกต์ ผมถึงได้มานั่งคิดว่าตัวเองเป็นแบบนั้นจริงหรือเปล่า และพบว่าเราเป็นแบบนั้นจริงว่ะ เป็นจนเริ่มไม่มีความสุข แต่ไม่รู้ตัว
ผมเลยเริ่มสังเกตว่างานที่สมบูรณ์แบบมันมีอยู่จริงในโลกหรือเปล่า ผมก็เจอคำตอบว่ามีว่ะ (นิ่งคิด) แต่มีแค่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น พอพ้นเลยจากนั้นไปมันก็จะหายไป ผมยกตัวอย่างง่ายๆ ทำไมรถยนต์ต้องออกทุกปี และแต่ละปีจะมีรถที่ดีกว่าออกมาอยู่เรื่อยๆ ถ้าคุณบอกว่ารถแบรนด์นี้ดีที่สุด ทำไมแบรนด์นี้ต้องออกโปรดักต์ใหม่เพิ่มนั่นเพิ่มนี่ แสดงว่าปัจจุบันมันมีรุ่นที่ดีกว่านั้นแล้ว
ดังนั้นสมบูรณ์โภชนาในปี 2022 คือแบบนี้ ปี 2023 ก็จะมีอะไรมาเพิ่ม ขึ้นอยู่กับบริบทประกอบว่าช่วงเวลานั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง เช่น สมบูรณ์ในช่วงโควิด เราทำได้เท่านี้ พ้นจากตรงนี้ไป มันก็จะไปสู่อย่างอื่นอีก
ผมเลยตอบได้ว่าคำว่าสมบูรณ์มีจริงๆ ในช่วงเวลานั้นๆ และจะต้องสมบูรณ์ขึ้นไปทุกปี

McDonald’s แก้เกมยังไงในอินเดีย ประเทศที่คนฮินดูไม่กินเนื้อและคนมุสลิมไม่กินหมู
ทำไมมีตบอลจากสวีเดนจึงทำให้ตู้หนังสือ BILLY ขายดีขึ้นใน IKEA
อาจจะเป็นแค็ตตาล็อกเฟอร์นิเจอร์เล่มหนา หรืออาจจะเป็นโพสต์โฆษณาออนไลน์ที่เพื่อนคุณแชร์ไว้ในหน้าฟีด ทำให้คุณคิดว่าน่าจะไปลองเดินดูเฟอร์นิเจอร์ที่ IKEA ดูสักที
จากแรกเริ่มที่คิดว่าจะมาซื้อตู้หนังสือดีไซน์เรียบเก๋ราคาเบาๆ รุ่นที่ขายดีที่สุดอย่างรุ่น BILLY แต่ด้วยพื้นที่ที่กว้างใหญ่ไพศาลของโชว์รูม คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าคุณจะเกิดหิวขึ้นมาก่อนจะเดินไปถึงแคชเชียร์เพื่อจ่ายเงิน
ว่าแล้วแวะร้านอาหารของอิเกียที่ผนวกรวมเป็นส่วนหนึ่งในร้านเฟอร์นิเจอร์แห่งนี้สักหน่อยก็น่าจะเป็นไอเดียที่ดี
มีตบอลสไตล์สวีเดนราดเกรวี กับมันบดเสิร์ฟพร้อมบล็อกโคลี ราคาเบาๆ 120 บาทดูเป็นไอเดียที่ไม่เลว
ข้างต้นอาจจะเป็นประสบการณ์ของหลาย ๆ คนที่ไปอิเกีย
และแล้ว ครั้งที่สองที่คุณกลับมาที่นี่ คุณอาจจะกลับมาเพื่อซื้อหมอนอิง KÄRLEKSGRÄS หรือที่กั้นหนังสือ SVASP แต่เหมือนจะเป็นความเคยชินไปเสียแล้วว่าคุณต้องแวะกินอาหารสักจานที่ร้านอาหารอิเกีย ก่อนจะเดินไปถึงแคชเชียร์ วันนี้คุณเหลือบไปเห็นสเต๊กเนื้อทีโบนราคา 320 บาท สายเนื้อเห็นทีโบนราคานี้คงต้องจัดสักหน่อยแล้ว
ครั้งที่สามที่ไปอิเกียคุณมารู้ตัวอีกทีคือคุณมาเพื่อกินอาหารแล้วค่อยไปเดินช้อปปิ้งต่อซะอย่างนั้น
ฟังดูย้อนแย้งในเหตุผล อะไรกันนี่ ฉันขับรถมาร้านเฟอร์นิเจอร์เพื่อกินข้าวหรือ อันที่จริงคุณไม่ต้องรู้สึกแปลกอะไร เพราะคุณไม่ใช่คนเดียวที่เป็นแบบนั้น ในปีหนึ่งทั่วโลก มีคนจำนวนกว่า 200 ล้านคนกำลังทำแบบเดียวกันกับคุณ ที่ไปอิเกียเพียงเพื่อมานั่งกินข้าวที่นั่น
แล้วร้านอาหารในอิเกียมีวิธีคิดยังไง ถึงชวนให้ลูกค้าที่เดิมตั้งใจจะไปซื้อเฟอร์นิเจอร์แล้วไปกินอาหาร แต่ไปๆ มาๆ กลับกลายเป็นว่าหลายคนตั้งใจเพื่อไปกินอาหารเป็นหลักแถมพ่วงซื้อเฟอร์นิเจอร์เป็นของแถม
สารตั้งต้นของร้านอาหารทั่วไปมักเริ่มจากความลุ่มหลงในรสชาติ หรือบางทีอาจจะเป็นความปรารถนาดีที่อยากส่งต่ออาหารจานโปรดให้คนอื่นได้ลิ้มลองบ้าง หรือในโลกทุนนิยม เหตุผลในการเริ่มต้นธุรกิจอะไรสักอย่าง อาจจะหนีไม่พ้น โอกาสในการทำกำไรที่ลอยมาอยู่ตรงหน้าก็เป็นได้ แต่นั่นไม่ใช่จุดเริ่มต้นของหนึ่งในร้านอาหารที่มีลูกค้าเยอะที่สุดในโลกอย่างร้าน IKEA Restaurant & Café เลย
นอกจากจะเป็นร้านขายเฟอร์นิเจอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกแล้ว อิเกีย ร้านขายเฟอร์นิเจอร์สัญชาติสวีเดนที่เชิญชวนให้คนทั้งโลกพยายามฝึกอ่านภาษาสวีดิชผ่านชื่อรุ่นเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ที่ตั้งชื่อตามสถานที่ในแถบสแกนดิเนเวียน ชื่อผลไม้ หรือชื่อสัตว์ ในร้านอิเกีย หนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ถูกพูดถึงไม่แพ้เฟอร์นิเจอร์คืออาหาร ที่ถูกวางขายแบบบริการตนเองใน IKEA Restaurant & Café–ร้านที่ขายทั้งอาหาร ขนม เครื่องดื่ม ให้กับลูกค้าที่เดินทางมาเลือกซื้อของแต่งบ้าน
มีตบอลสไตล์สวีเดน, แซลมอนและมันบด, ซี่โครงหมูราดซอสบาร์บีคิว, บัฟฟาโลวิงส์, ฟิชแอนด์ชิปส์ หรือจะเป็นไอศครีมถั่วเหลือง และไอศครีมโยเกิร์ต ต่างเป็นเมนูที่คุ้นเคยสำหรับลูกค้าร้านอิเกีย ร้านขายเฟอร์นิเจอร์ที่ไม่ได้มีดีแค่เฟอร์นิเจอร์เพียงอย่างเดียว เพราะกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ของลูกค้าที่มาอิเกียนั้นไม่ได้มาเพื่อช้อปปิ้งซื้อของแต่งบ้าน แต่มาเพื่อกินอาหารในอิเกียต่างหาก สถิติจากปี 2021 อิเกียมีลูกค้าถึง 775 ล้านคนทั่วโลก และสถิติบอกไว้ว่า 30 เปอร์เซ็นต์ของลูกค้าที่มาที่นี่มาเพื่อตั้งใจจะกินอาหารเพียงอย่างเดียว หมายความว่า ปีๆ หนึ่งอิเกียมีลูกค้าที่มาอุดหนุนร้านอาหารถึงกว่า 232 ล้านคนต่อปี
ย้ำอีกครั้งหนึ่งเผื่อคุณจะลืมว่าอิเกียคือร้านขายเฟอร์นิเจอร์ ไม่ใช่ร้านขายอาหาร
กิจการร้านอาหารของอิเกียนั้นไปได้ดีมาก ขนาดของร้านอาหารอิเกียที่ใหญ่ที่สุดสามารถรองรับคนได้ถึง 700 คน และร้านที่เล็กที่สุดรองรับคนได้ 450 คน (นี่คือเล็กที่สุดแล้ว) แต่ถึงแม้ว่าจะขายดิบขายดีแค่ไหน เราก็จะยังคงเห็นอิเกียคงคอนเซปต์อาหารสวีเดนที่คุณเข้าถึงได้ บวกกับราคาที่เป็นมิตรสุดๆ ยกตัวอย่างในประเทศไทย เบเกิล เสิร์ฟพร้อมไข่คน ไส้กรอก บรอกโคลี และแยมลินกอนเบอร์รี ราคา 75 บาท, ในอเมริกา ฮอตด็อก 2 อัน และน้ำอัดลม ขายอยู่ในอิเกียที่ 2.50 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 81 บาท) ราคาแบบนี้ขายเหมือนจะไม่ต้องการกำไรยังไงยังงั้น ซึ่งนั่นก็เป็นเป้าประสงค์ของ Ingvar Kamprad ผู้ก่อตั้งอิเกียจริงๆ
อิงวาร์ตั้งปณิธาณไว้ว่า สัดส่วนกำไรของร้านอาหารในอิเกียควรจะอยู่ที่ 5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น และไม่ควรเกิน 10 เปอร์เซ็นต์ และเขาต้องการให้กำไร 5 เปอร์เซ็นต์ของกิจการร้านอาหารในอิเกียกลับคืนไปสู่การพัฒนาคุณภาพอาหารในอิเกีย ทั้งกำหนดสัดส่วนกำไรไว้ไม่ให้สูงเกินไป ซึ่งแปลว่าไม่สามารถตั้งราคาอาหารให้แพงๆ แล้วฟันเอากำไรเยอะๆ แถมเมื่อมีกำไรแล้วยังต้องแบ่ง 5 เปอร์เซ็นต์ของกำไรกลับไปพัฒนาคุณภาพอาหารอีก อ่านมาถึงตรงนี้คุณอาจจะงุนงงว่า นี่มันช่างผิดปกติวิสัยของนักธุรกิจโดยแท้ ทำไมขายของแบบกลัวตัวเองได้กำไรแบบนี้ล่ะ
สาเหตุนั้นเป็นเพราะว่าอิงวาร์ไม่ได้ตั้งใจจะขายอาหารเพื่อทำกำไร แต่เขาตั้งใจจะขายอาหารในอิเกียเพื่อให้คนอิ่มท้อง อารมณ์ดี และอยู่ในร้านให้นานขึ้นต่างหาก เผื่อว่าที่ลังเลอยู่ว่าจะซื้อดีไม่ซื้อดี เมื่ออิ่มท้องแล้วอาจจะตัดสินใจซื้อเฟอร์นิเจอร์สักชิ้นระหว่างมื้ออาหารก็เป็นได้
จุดเริ่มต้นของไอเดียนี้ย้อนกลับไปตั้งแต่วันแรกที่มีการเปิดร้านอิเกียขึ้นที่เมืองแอล์มฮุลต์ (Älmhult) ปี 1953 สมัยนั้นยังไม่มีการใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อประชาสัมพันธ์ร้านแบบทุกวันนี้ ทางเดียวที่เป็นที่นิยมในการโฆษณาร้านค้าคือ ผ่านคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์ หลังจากลงประกาศในหนังสือพิมพ์หลายๆ ฉบับแล้ว ก่อนวันเปิดร้านจะมาถึง นอกจากความเรียบร้อยของเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นภายในร้านแล้ว อิงวาร์ได้ตระเตรียมบิสกิต 200 ชิ้น กับกาแฟไว้ต้อนรับลูกค้าที่อุตส่าห์เดินทางมาชมร้านเฟอร์นิเจอร์ของเขาอีกด้วย
วันนั้นอิงวาร์ไม่รู้หรอกว่าจะมีคนมามากน้อยแค่ไหนแต่เขาก็ไปติดต่อร้านเบเกอรีในแอล์มฮุลต์นั่นแหละว่าให้เตรียมบิสกิตให้เขาหน่อย 200 ชิ้น “แต่ต้องเป็นบิสกิตที่กินแล้วไม่กระจายเลอะเทอะบนเฟอร์นิเจอร์นะ” อิงวาร์พูดทิ้งท้ายกับเจ้าของร้านเบเกอรี
ปรากฏว่าผู้คนแห่แหนมาจากทั้งในเมืองแอล์มฮุลต์เองและจากต่างเมือง เมื่อคนเดินทางมาจากเมืองไกลๆ ก็คงจะเป็นธรรมดาที่จะต้องหิว บิสกิตที่เตรียมไว้ 200 ชิ้นจึงหมดเกลี้ยง เมื่อบิสกิตที่เตรียมไว้หมดอิงวาร์จึงต้องให้คนออกไปกว้านซื้อบิสกิตมาเพิ่มเพื่อเสิร์ฟให้ลูกค้าที่อุตส่าห์เดินทางมาเยี่ยมชมร้านเฟอร์นิเจอร์ของเขาในวันแรก เรียกได้ว่าวันนั้นบิสกิตทั้งเมืองของแอล์มฮุลต์ได้มารวมอยู่ที่ร้านของอิงวาร์เพื่อเสิร์ฟให้กับลูกค้าที่อิเกีย
เมื่อการเปิดร้านวันแรกผ่านไป อิงวาร์และทีมงานลองมาคำนวณดู วันนี้เขาเสิร์ฟบิสกิตให้ลูกค้าไปถึง 1,000 ชิ้น! วันนั้นเองเป็นวันที่อิงวาร์คิดกลยุทธ์การขายเฟอร์นิเจอร์ของเขาได้
“ลูกค้าที่อิ่มท้องจะอยู่ในร้านนานขึ้นและซื้อของเยอะขึ้น”
แล้วจะรออะไรล่ะ มาทำให้ลูกค้าอิ่มท้องกันดีกว่า
หลังจากช่วง grand opening ของร้าน อิงวาร์เปลี่ยนจากการเสิร์ฟบิสกิตและกาแฟเป็นการเสิร์ฟน้ำส้มแทน ถือเป็นการต้อนรับขับสู้ลูกค้าทุกคนที่มาเยี่ยมชมร้านแบบที่ไม่มีใครทำในสมัยนั้น และนั่นเป็นที่มาของกิจการร้านกาแฟเล็กๆ ที่อิงวาร์เปิดขึ้นในร้านอิเกียสาขาแรกที่ Älmhult ในปี 1958 ก่อนจะเริ่มเปิดร้านอาหารที่มีการขายอาหารอย่างจริงจังในเวลาต่อมา
แต่กว่าจะมาเป็นเมนูมีตบอลสไตล์สวีเดนที่เราเห็นกันทุกวันนี้ทั่วโลก รวมทั้งที่สาขาบางใหญ่และบางนาด้วยนั้น อิงวาร์ก็เกือบจะเลี้ยวไปขายเมนูแบบ Viking Nosh หรืออาหารว่างแบบชาวไวกิ้งที่เขาเคยได้แรงบันดาลใจจากที่เคยไปกินร้านอาหารแบบนี้ที่ออสโลมาก่อน แต่มี Hans Ax ผู้จัดการร้านในตอนนั้นยั้งเขาไว้พร้อมคำถามสำคัญ “อะไรคืออาหารว่างแบบไวกิ้งอะครับ”
เมื่อคำตอบจากอิงวาร์ดูไม่เคลียร์ ฮานส์และอิงวาร์จึงเอาเรื่องนี้ไปปรึกษา Mats Rehnberg เซเลบริตี้กูรูเรื่องชาติพันธุ์วรรณาและวัฒนธรรมอาหารในตอนนั้น แมตส์ให้ความเห็นสั้นๆ เรื่องการเปิดร้านอาหารแบบไวกิ้งว่า “เป็นไอเดียที่แย่มากเลยครับ” แต่แมตส์ก็ใช่ว่าจะติเพื่อให้เสียกำลังใจเพียงอย่างเดียว เขามีทิ้งท้ายให้คำแนะนำกับอิงวาร์ว่า คุณลองทำเมนูอาหารโฮมเมดแบบสโมลันด์ (Småland) ขายดูสิ (สโมลันด์–คือแคว้นแถบตะวันออกเฉียงใต้ของสวีเดน) เพราะไหนๆ อิเกียก็เป็นแบรนด์ที่มาจากแคว้นนี้อยู่แล้วนี่
นั่นจึงเป็นที่มาของสไตล์อาหารที่ทำขายในร้านอิเกียแบบที่คนทั้งโลกรู้จักในทุกวันนี้อย่างสไตล์โฮมเมดสโมลันด์ และหนึ่งในเมนูสุดฮิตที่เป็นที่นิยมไปทั่วโลกคือมีตบอลแบบสวีเดนที่ขายอยู่ในร้านอาหารของอิเกียนี่แหละ
จนถึงตอนนี้ IKEA Restaurant & Café แพร่กระจายไปที่ร้านเฟอร์นิเจอร์อิเกียทั้ง 38 ประเทศทั่วโลก เมนูที่เสิร์ฟในร้านนี้มีการดัดแปลงเพิ่มเติมเมนูให้เข้ากับรสนิยมอาหารของคนในประเทศนั้นๆ แต่ยังคงต้องมีบางเมนูจากสโมลันด์ เพื่อคงความเป็นสวีเดนไว้ (เช่นมีตบอลไงล่ะ)
ร้านอาหารของอิเกียเป็นร้านอาหารที่คุณต้องเดินไปสั่งอาหาร จ่ายเงิน ยกถาดอาหารไปหาที่นั่งกินเองภายใต้แสงไฟโทนอบอุ่น กับเฟอร์นิเจอร์โทนสีสว่างของอิเกียที่หลายต่อหลายคนหลังจากที่กินอาหารเสร็จก็เกิดอยากจะเปลี่ยนใจไปถอยโต๊ะเก้าอี้แบบที่คุณเพิ่งใช้นั่งกินข้าวในอิเกียกลับบ้านด้วยซะเลย ถือเป็นกลยุทธ์ให้ลูกค้าทดลองใช้ของจริง นั่งจริง พิงจริง กินข้าวจริง ก่อนตัดสินใจไปด้วยอีกหนึ่งกลยุทธ์
ตัวเลขคร่าวๆ ของเงินที่อิเกียได้จากกิจการร้านอาหารก็ราวๆ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (หรือ 65,000 ล้านบาท) ต่อปี แถมอิเกียยังเรียกตัวเองว่าเป็นหนึ่งในร้านอาหารที่มีทั้งสาขาและลูกค้ามากที่สุดในโลก ทั้งๆ ที่กิจการหลักของตัวเองคือขายเฟอร์นิเจอร์
อิงวาร์เองเคยเปรยเอาไว้ว่าการขายอาหารคุณภาพดีราคาถูกให้ลูกค้าเป็นเหมือนการคืนกำไรกลับไปให้ลูกค้า แถมเรายังขายโซฟาเบดได้ดีกับลูกค้าที่อิ่มท้องและมีความสุขอีกต่างหาก และที่ขาดไม่ได้ เฟอร์นิเจอร์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของอิเกีย–ตู้หนังสือ BILLY ก็ขายดีเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
เลยกลายเป็นว่าเดิมทีจากที่ตั้งใจจะเปิดร้านขายเฟอร์นิเจอร์เลยได้เปิดร้านขายอาหารที่มีลูกค้าเป็นร้อยล้านรายในทุกๆ ปีไปด้วย แถมคนทั้งโลกยังได้รู้จักและคุ้นเคยกับอาหารสวีเดน ถือเป็นการส่งออกวัฒนธรรมสแกนดิเนเวียแบบสวีเดนโดยการใช้ทั้งอาหารและเฟอร์นิเจอร์ ที่ชักจูงคนให้มีใจโน้มเอียงมารักชอบวัฒนธรรมแบบสวีเดนและสแกนดิเนเวียแบบละมุนละม่อม ไม่จำเป็นต้องออกรบทำสงครามให้เสียเลือดเนื้อแบบชาวไวกิ้งในยุคโบราณเลย
ฟังในรูปแบบพอดแคสต์ได้ที่
Spotify : spoti.fi/3LMuSiG
Apple Podcasts : apple.co/3ue6DUC
อ้างอิง
ikeamuseum.com/en/digital/the-story-of-ikea/the-worlds-biggest-restaurant
businessinsider.com/heres-how-ikea-manipulates-your-spending-2015-6
mashed.com/125562/the-untold-truth-of-the-ikea-food-court
businessinsider.com/ikea-food-court-menus-around-the-world-pictures-2019-6
about.ikea.com/en/newsroom/2021/10/14/ikea-facts-and-figures-fy21