ธุรกิจที่ขับเคลื่อนวงการต่างๆ ให้เติบโต จนเกิดการสร้างพื้นที่หรือสนับสนุนให้มีการรวมกลุ่มของคนที่มีใจรักในสิ่งเดียวกัน

ย้อนไปเดือนนี้เมื่อ 3 ปีที่แล้ว เราตั้งคำถามกับ 100 ผู้ประกอบการและตัวแทนของธุรกิจต่างๆ ว่า ‘อะไรคือทุนสำคัญที่ทำให้ธุรกิจที่คุณทำเติบโตมาจนถึงวันนี้’ ก่อนจะค้นพบว่าท่ามกลางคำตอบมากมาย แต่ละธุรกิจมีสิ่งที่ให้คุณค่าแตกต่างกันออกไป ไม่แน่ว่าคำตอบเหล่านั้นอาจกลายไปเป็นทุนสำคัญของธุรกิจอื่นๆ อีกต่อไป

จวบจนปัจจุบัน Capital เดินทางมาถึงขวบปีที่ 3 ผ่านการนำพาความตั้งใจที่อยากบอกเล่าเรื่องราวในโลกธุรกิจอย่างเป็นมิตรด้วยวิธีการที่หลากหลายและสร้างสรรค์ ภายใต้ความเชื่อที่ว่า ‘better business for good life’ เราขอเฉลิมฉลองช่วงเวลาสุดแสนพิเศษนี้ ผ่านการเชิดชูธุรกิจที่น่าจับตามองแห่งปีและทำให้ชีวิตของผู้คนดีขึ้นในหลากหลายมิติ

ผ่าน ‘CAPITAL40: 40 Businesses to Watch in 2025’  ที่พวกเราตั้งใจส่องไฟไปยัง 40 ธุรกิจที่ล้วนแล้วแต่มีผลงานอันโดดเด่นและเต็มไปด้วยวิสัยทัศน์ล้ำหน้า พร้อมพาไปดูว่าพวกเขาจะสร้างกระแสใหม่และเปิดขอบเขตความเป็นไปได้ของอนาคตได้ยังไง?

ไม่แน่ว่า 40 ธุรกิจนี้อาจเป็นแบรนด์ที่คุณหลงรัก อยากเปิดใจอยากทำความรู้จัก ไปจนถึงสร้างแรงบันดาลใจ เติมไฟให้คนทำธุรกิจ หรือชวนให้กลับมาขบคิดถึงแนวทางการทำธุรกิจตลอดปี 2025

HOW

HOW : THE KNOW HOW
HOW คลับคลังปัญญาไม่รู้จบของคนทำธุรกิจ

WHAT HAPPENED : 

ความสำเร็จต้องอาศัยทั้ง know-how และ know who นี่คือคำกล่าวของ โจ้–ธนา เธียรอัจฉริยะ นักการตลาดและผู้บริหารที่มีผลงานคุณภาพการันตีมากมาย โดยเขาได้ร่วมกับ กระทิง–เรืองโรจน์ พูนผล สร้างบ้านที่จะมาปรุงความรู้และมิตรภาพในชื่อว่า ‘House of Wisdom’ หรือ ‘HOW’ คลับที่เปิดให้สมัครในรูปแบบสมาชิกรายปีและสมาชิกระยะยาว ซึ่ง 300 คนแรกจะเลือกจากคนที่พวกเขารู้จักเท่านั้น และต้องมาจากหลากเจเนอเรชั่น หลายธุรกิจ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ในวันที่โลกธุรกิจเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน จนความรู้ในตำราอาจไม่พอ แต่ต้องอาศัยทั้งประสบการณ์และมุมมองใหม่ๆ ที่จะนำไปสู่การวิเคราะห์ให้ได้มาซึ่งอินไซต์ ไปปรับใช้ได้จริงจนกลายเป็นทักษะและภูมิปัญญา ทำให้ภายใน HOW อัดแน่นไปด้วยพาร์ตที่เป็นวิชาการ กิจกรรมเวิร์กช็อป กิจกรรม networking และ activity แบบแปลกๆ แบบที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน คล้ายเป็นบุฟเฟต์ความรู้ให้คนในคลับมาตักตวงกันได้อย่างอิสระ ใครชอบมากก็ตักมาก

WHAT’S NEXT :

โจ้และกระทิงอยากให้ HOW เป็นคลับที่ขับเคลื่อนชีวิต ธุรกิจ และสังคมไทยให้ดียิ่งขึ้น เริ่มจากเพิ่มสมาชิกน้ำดีให้มาสร้างการเปลี่ยนแปลงในทุกมิติ นอกจากนั้นพวกเขายังเตรียมเปิดเว็บคอนเทนต์ที่ตั้งใจส่งต่อ wisdom จากเหล่าสมาชิกออกไปในวงกว้าง ไปจนถึงภาพใหญ่อย่างการขยายบ้านของ HOW ให้ไปถึง regional เพื่อเชื่อมคอนเนกต์ทั้งหมดเข้าด้วยกัน เพราะพวกเขาตั้งใจจะทำให้มนุษย์คนหนึ่งเป็นมนุษย์ที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ และถ้าระดับภูมิภาคแต่ละที่ดีขึ้น ก็ทำให้โลกทั้งใบดีขึ้นได้

WHAT’S PRAISEWORTHY :

– Education Ecosystem สร้างระบบนิเวศการเรียนรู้ที่มากกว่าในตำรา แต่คือการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ แชร์อินไซต์ ที่นำไปสู่การใช้จริง และต่อยอดเป็นภูมิปัญญา

– Strong Community บ้านที่แขกแต่ละคนเป็นผู้รู้ในสาขาต่างๆ จากทั่วทุกภูมิภาค จึงมั่นใจได้ว่าบ้านแห่งนี้เป็นคอมมิวนิตี้ที่แข็งแรงจริงๆ

Lifelong Relationship ไม่ใช่คลับที่กระชับความสัมพันธ์แบบผิวเผิน แต่คือการ sharing and learning ไปด้วยกันแบบ long term

Dragonfly

Dragonfly : THE LEAD WELL
Dragonfly งานฮีลใจลีดเดอร์ให้ไปลีดองค์กรด้วยพลังบวก

WHAT HAPPENED : 

ท่ามกลางงานเสวนาพัฒนาผู้นำที่มีมากมาย แต่ Dragonfly H.E.A.L Summit ถือเป็นมิติใหม่ของไทยที่มีงาน wellness เพื่อพัฒนาผู้นำให้แข็งแรงทั้งกายใจและจิตวิญญาณ ซึ่งเกิดจากประสบการณ์ส่วนตัวของ แพม–ประนัปดา พรประภา จิราธิวัฒน์ วู้ดดี้–วุฒิธร มิลินทจินดา และซินดี้–สิรินยา บิชอพ สามผู้ก่อตั้ง Dragonfly แพลตฟอร์มขับเคลื่อนสังคมระดับภูมิภาคเอเชีย ที่ค้นพบว่าการเปลี่ยนแปลงตัวเองทำให้ชีวิตการทำงานและการนำทีมดีขึ้น ทำให้ในปีที่ผ่านมาเราได้เห็นงานนี้รวมตัวสปีกเกอร์ชั้นนำระดับโลก ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้าน leadership และ well-being เช่น Roxie Nafousi ผู้เขียนหนังสือ Manifest: 7 Steps to Living Your Best Life, Steven Bartlett ผู้ก่อตั้ง Social Chain และเจ้าของพ็อดแคสต์ The Diary of a CEO ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในยุโรป นอกจากในส่วนของทอล์กยังมีโซนที่รวมศาสตร์ของการบำบัดและการดูแลตนเองหลายแขนง เช่น เวิร์กช็อป Flower Mandala with Sound Healing จาก Chiva-Som ซึ่งมีกระแสตอบรับที่ดีจากผู้เข้าร่วมกว่า 2,000 คน ที่เดินทางมาจากหลายประเทศทั่วโลก และถือเป็นมิติใหม่ที่มาเติมเต็มการเป็นผู้นำให้เต็มไปด้วยพลังบวก พร้อมพัฒนาองค์กรและสังคมต่อไป

WHAT’S NEXT :

แพม, วู้ดดี้, ซินดี้ ตั้งใจที่จะจัดงาน Dragonfly ต่อเนื่องไปทุกปี รวมถึงมี retreat และ academy ที่จัดกิจกรรมดูแลสุขภาพใจไปจนถึงเทรนนิ่งให้บริษัทต่างๆ ด้านการเป็นผู้นำแบบองค์รวมที่ดี โดยวาดฝันอยากให้แพลตฟอร์มนี้สร้างกิจกรรมและคอมมิวนิตี้ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้คนอย่างแท้จริง และเยียวยาจิตใจผู้คนในหลากหลายมิติ เพราะเชื่อว่าผู้นำที่ดีจะเป็นผู้จุดประกายสังคมที่ดี มีความตระหนักรู้เรื่องความเท่าเทียม และลดการแบ่งแยกทางสังคม

WHAT’S PRAISEWORTHY :

– Empowering Leadership สร้างความเชื่อมั่นให้ผู้นำในมิติของการเยียวยาจิตใจและเสริมสุขภาพใจให้แข็งแกร่ง

– Promoting Equality สร้างความสมดุลให้ตัวเองแล้วส่งพลังสนับสนุนกันและกันเพื่อสร้างความเท่าเทียม

– Global Speaker สร้างพลังด้วยสปีกเกอร์ที่ทรงพลัง และครบคลุมทั้งมิติของ leadership และ well-being

CREATIVE TALK

CREATIVE TALK : THE CREATIVE NEXUS
CREATIVE TALK พื้นที่สังสรรค์ของเหล่าคนทำงานสร้างสรรค์

WHAT HAPPENED : 

ภาพงานเสวนาที่เห็นกันจนชินตาคือมีสปีกเกอร์ขึ้นพูดบนเวทีแล้วก็จบไป แต่ไม่ใช่กับ ‘Creative Talk’ ที่ เก่ง–สิทธิพงศ์ ศิริมาศเกษม เชื่อว่าธุรกิจที่จะประสบความสำเร็จได้ไม่ได้เกิดจากคนเก่งเพียงคนเดียว แต่เกิดจากคนเก่งในเรื่องที่ต่างกันมารวมตัวกัน จึงตั้งใจเปิดพื้นที่ที่เป็นแหล่งพบปะพูดคุยกันของคนทำงานสร้างสรรค์หลากวงการ ทั้งธุรกิจ สตาร์ทอัพ เทคโนโลยี ครีเอทีฟ และการตลาด ผ่านการจัดงาน ‘Creative Talk Conference’ เพื่อมาอัพเดตข้อมูลสดใหม่ตามยุคสมัย สร้างแรงบันดาลใจ และเพิ่มพูนทักษะในการทำงานไปด้วยกัน อย่างในปี 2024 ที่ผ่านมามีถึง 4 เวที 60 เซสชั่น สปีกเกอร์กว่า 100 คน และยังคงคอนเซปต์จัดเต็มกิจกรรมมากกว่ามานั่งฟังเฉยๆ ด้วยการมีเวิร์กช็อปถึง 12 กิจกรรม เช่น การตลาดแบบ fandom, การทำภาพ จาก GenAI ที่ใช้งานได้จริง ทำให้ Creative Talk กลายเป็นคอมมิวนิตี้ที่มีแฟนอย่างเหนียวแน่นจากปีแรกที่มีผู้เข้าร่วมเพียง 70 คน สู่ขวบปีที่ 11 มีการจัดงาน Creative Talk Conference ไปแล้วถึง 13 ครั้ง และประสบความสำเร็จจากการมีผู้ร่วมงานมากถึง 10,000 คน

WHAT’S NEXT :

ในส่วนของการจัดงาน Creative Talk Conference เราจะเห็นสเกลที่ยิ่งใหญ่ขึ้นทุกปี มีข้อมูลที่สดใหม่ กิจกรรมที่ผัดเปลี่ยนตามยุคสมัย และเก่งไม่ได้อยากให้คอมมิวนิตี้นี้จบแค่ในงานเสวนา แล้วมาพบปะกันปีละครั้ง แต่ต้องการสร้าง creative economy ให้คนแต่ละวงการสามารถแลกเปลี่ยนความรู้และการทำงานกันได้ เพื่อขับเคลื่อนวงการสร้างสรรค์ไปยังก้าวต่อไปที่ดีขึ้นเรื่อยๆ

WHAT’S PRAISEWORTHY :

– Networking พื้นที่สังสรรค์ของเหล่าคนทำงานสร้างสรรค์หลากวงการ เพื่อมาแลกเปลี่ยนความรู้คู่ประสบการณ์ นอกเหนือจากเนื้อหาบนเวที

– Being Up-to-date เป็นที่จดจำว่าถ้าอยากหาข้อมูลสดใหม่ อัพเดตเทรนด์ก่อนใครต้องมาที่งาน Creative Talk Conference

– Expert Speaker อัดแน่นด้วยวิทยากรที่หลากหลาย พูดเรื่องยากๆ ให้เข้าใจง่าย ฟังจบเก็ตได้ทันที

Made in Songwat

Made in Songwat : MADE IN COMMUNITY
Made in Songwat พื้นที่ที่ความเก่าและความใหม่มาบรรจบกันผ่านการสร้างเครือข่าย

WHAT HAPPENED : 

ย่านที่เต็มไปด้วยตึกเก่า แต่มีมนตร์เสน่ห์จากร้านอาหาร คาเฟ่ และแกลเลอรีที่มาเติมเต็มหัวใจให้ย่านทรงวาดกลับมาเต้นแรง จนติดหนึ่งใน 40 ย่านที่คูลที่สุดในโลก มีเบื้องหลังมาจาก ‘Made in Song Wat’ เครือข่ายผู้ประกอบการทั้งเก่าและใหม่ในย่านทรงวาด นำทีมโดย อุ๊ย–เกียรติวัฒน์ ศรีจันทร์วันเพ็ญ ที่อยากปลุกปั้นบ้านเกิดและที่ทำกินของพวกเขาให้คนรู้จักในฐานะย่านผสมผสานระหว่างมรดกทางวัฒนธรรมจากอดีต และความโมเดิร์นที่ผสานรวมกับความคิดสร้างสรรค์ ผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น Song Wat Guidebook ที่แนะนำสถานที่ต่างๆ ในย่านทรงวาด นอกจากสร้างเครือข่ายในย่านเดียวกันแล้ว ยังจับมือร่วมกับหน่วยงานภายนอก เช่น คอลแล็บกับภาพยนตร์แมนสรวง จนมีแฟนๆ และนักท่องเที่ยวมาตามรอยให้ย่านนี้คึกคักอีกครั้ง รวมไปถึงงานใหญ่อย่าง Song Wat Week ที่จะมีธีมผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปในแต่ละปีและทำให้ย่านนี้ป๊อปขึ้นในใจคนไทยและนักท่องเที่ยว

WHAT’S NEXT : 

ไม่ว่าในอนาคตจะมีร้านรวงอะไรใหม่ๆ ในย่านทรงวาด อุ๊ยก็ยังอยากให้เกิดการรวมตัวกันในชื่อ Made in Song Wat เพราะเขาเชื่อว่าย่านที่ดีคือย่านที่ผสานระหว่างคนเก่าและคนใหม่ในพื้นที่ให้อยู่กันอย่างเอื้อเฟื้อ และคาดว่างานใหญ่อย่าง Song Wat Week น่าจะจัดไปอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีสินค้าหรืออีเวนต์ใหม่ๆ เกิดขึ้นในย่านนี้ รวมไปถึงการเป็นแรงบันดาลใจให้ย่านอื่นๆ เกิดการรวมตัวของผู้ประกอบการในพื้นที่ เพื่อสร้างสรรค์สิ่งที่น่าสนใจ นำเสนอเสน่ห์สู่สายตาชาวไทยและนักท่องเที่ยว จนเกิดย่านสุดคูลใหม่ๆ ที่น่าไปไม่แพ้ทรงวาด

WHAT’S PRAISEWORTHY :

– Building Relationships ทรงวาดไม่ใช่แค่สถานที่ แต่คือผู้คนที่มารวมตัวกันเพื่อสร้างสังคมที่น่าอยู่ในย่านนี้

– Networking สร้างเครือข่ายข้างในให้แข็งแกร่ง สู่การเชื่อมโยงกับเครือข่ายข้างนอก เพื่อให้เกิดภาพกิจกรรมที่ใหญ่ยิ่งขึ้น

– Old Meets New ผสมผสานความเก่าสุดคลาสสิก เข้ากับความโมเดิร์นอย่างสร้างสรรค์

Empathy Sauce

Empathy Sauce : THE HEALING SPACE
Empathy Sauce พื้นที่ดูแลใจในวันที่อยากให้คนสื่อสารกันแบบมี empathy

WHAT HAPPENED : 

ใครที่ชอบฟังเรื่องราวฮีลใจเชื่อว่าน่าจะเคยได้ยินเสียงหรือเห็นหน้าค่าตา ดาว–ดุจดาว วัฒนปกรณ์ นักบำบัดและนักแสดงละครเวที ที่อีกบทบาทหนึ่งเธอคือผู้ก่อตั้ง Empathy Sauce พื้นที่ปลอดภัยสำหรับจัดเวิร์กช็อปการสื่อสารด้วย empathy และ mental well-being ให้แก่บุคคลที่ต้องการได้รับการเยียวยา และบริษัทที่ต้องการสร้างสัมพันธ์อันดีภายในองค์กร ไปพร้อมๆ กับมีบริการให้คำปรึกษาสุขภาพจิตแบบตัวต่อตัว แต่ด้วยจำนวนผู้ใช้บริการที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เธอจึงแยกออกมาเป็น SOULSMITH ที่มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น และทำให้คนรู้สึกเข้าถึงง่าย เหมือนอยู่ใน co-working space มากกว่ามาคลินิกจิตเวช น่าชื่นชมที่เธออยากเปลี่ยนภาพจำว่าการมาปรึกษานักบำบัดเป็นเรื่องที่น่าอาย แต่อยากให้มองว่าเป็นไลฟ์สไตล์ที่ทำได้ในชีวิตประจำวัน ไม่ต่างจากการปรึกษาใครสักคนที่ไว้ใจ และสร้างพื้นที่ปลอดภัยในใจของทุกคน

WHAT’S NEXT :

ภาพฝันของดุจดาวคือเธอไม่ได้ต้องการแค่สร้าง Empathy Sauce และ SOULSMITH ให้เป็นพื้นที่ปลอดภัยที่ใครๆ เข้าถึงได้เท่านั้น แต่เธออยากขยายพื้นที่พักใจในวงกว้าง ผ่านการสร้างสังคมที่ผู้คนเห็นอกเห็นใจกัน น่าจับตามองต่อว่าในอนาคตอาจจะเห็นดุจดาวจัดเวิร์กช็อปใหม่ๆ หรือสร้างคอมมิวนิตี้เป็นพื้นที่ปลอดภัยที่ทุกคนสามารถมาแชร์เรื่องทุกข์ใจ ได้รับการฮีลใจ และสร้างสังคมที่รุ่มรวยไปด้วยความเข้าใจแบบที่เธอฝันถึงก็เป็นได้

WHAT’S PRAISEWORTHY :

– Empathic Communication ส่งเสริมการสื่อสารกันอย่างเห็นใจ เพื่อสร้างสังคมที่น่าอยู่ต่อไป

– Mental Well-being สร้างสุขภาวะทางจิตใจให้แข็งแกร่งผ่านการจัดเวิร์กช็อปอย่างสร้างสรรค์

– Comfort Zone สร้างพื้นที่ปลอดภัยให้คนรู้สึกว่าอยากไปปรึกษานักบำบัด ไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่เป็นไลฟ์สไตล์ที่ทำได้ทุกครั้งเวลาไม่สบายใจ

Thailand Toy Expo

Thailand Toy Expo : THE TOY CULTURE
Thailand Toy Expo งานที่เปลี่ยนเรื่องเล่นๆ ให้กลายเป็นคอมมิวนิตี้ของนักสะสมของเล่น

WHAT HAPPENED : 

อย่างที่รู้กันว่าปีที่ผ่านมากระแสอาร์ตทอยมาแรงแบบฉุดไม่อยู่ แต่ถ้าย้อนไปเมื่อสิบปีก่อนในไทยมีกลุ่มที่สะสมอาร์ตทอยไม่มาก จนกระทั่งเกิดงาน Thailand Toy Expo ที่จัดขึ้นโดย จี๊ป–พงศธร ธรรมวัฒนะ หรือที่รู้จักกันในชื่อดีไซเนอร์ทอย นักสะสมตัวยงและผู้ก่อตั้ง J.P. TOYS Gallery ร้านนำเข้าและจำหน่ายอาร์ตทอยที่เต็มไปด้วยของแรร์ พร้อมคอลแล็บกับศิลปินและครีเอเตอร์หลายคน จนมีอาร์ตทอยยอดฮิตอย่าง Nong Toy ซึ่งการจัดงานของเขาถือว่ามาก่อนกาล ที่กระแสอาร์ตทอยจะบูมขนาดนี้ซะอีก ด้วยความที่งานนี้จัดให้เข้าฟรีและจัดต่อเนื่องกันทุกปี มีทั้งศิลปินไทยและศิลปินชื่อดังระดับโลก จึงเป็นเหมือนงานที่รวมเหล่าสาวกคนรักของเล่นให้มาพบปะกันไปในตัว ทำให้อุตสาหกรรมของเล่นไทยขยายวงกว้างและเจาะตลาดที่แมสมากขึ้น ซึ่งปีที่ผ่านมางาน Thailand Toy Expo เขาสู่ขวบปีที่ 12 จากพื้นที่จัดงานเล็กๆ แค่ 500 ตารางเมตร จนปัจจุบันขยายมาเป็น 7,600 ตารางเมตร และรวมของเล่นของสะสมกว่า 200 แบรนด์ จาก 14 ประเทศทั่วโลก ด้วยสเกลขนาดนี้และการจัดงานต่อเนื่องมาหลายปี ถ้าจะบอกว่างานนี้เป็นงานแรกๆ ที่ทำให้เกิดคำว่าคอมมิวนิตี้กลุ่มนักสะสมของเล่นก็คงไม่ผิดนัก

WHAT’S NEXT :

จี๊ปคิดว่าในอนาคตของเล่นจะถูกยกระดับให้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น ด้วยความที่ตลาดโตขึ้นมาก มีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามามาก และไม่แน่ว่าศิลปินอาร์ตทอยไทยอาจไปไกลระดับโลก โดยเขาตั้งใจจะจัดงาน Thailand Toy Expo ต่อไป โดยน่าจับตามองต่อว่างานนี้ไม่ได้เป็นแค่งานรวมตัวคนที่ชอบของเล่นเท่านั้น แต่ยังเหมือนเป็นงานที่สนับสนุนศิลปินทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ กระตุ้นเศรษฐกิจในวงการของเล่นให้ดียิ่งขึ้น จึงเป็นที่น่าจับตามองต่อว่า Thailand Toy Expo ในปีนี้จะมีการเปิดตัวอาร์ตทอยใหม่ๆ อะไรอีกบ้าง โดยเฉพาะอาร์ตทอยสายมูที่มาแรงไม่มีแผ่ว รวมไปถึงว่าจะมีศิลปินชื่อดังระดับโลกคนไหนมางานอีกบ้าง

WHAT’S PRAISEWORTHY :

– Passion จากความหลงใหลในของเล่น สู่ความตั้งใจที่อยากให้วงการของเล่นเป็นที่รู้จักในวงกว้าง

– Toy Community เปลี่ยนเรื่องเล่นๆ ให้จริงจังด้วยการทำให้เกิดคอมมิวนิตี้ของคนรักของเล่นได้มาพบปะกันทุกปี

– Special สร้างความน่าตื่นใจด้วยอาร์ตทอยลิมิเต็ดเอดิชั่น ที่ศิลปินออกแบบพิเศษเพื่องานนี้โดยเฉพาะ

Maho Rasop

Maho Rasop : THE INDIE MUSIC REVIVAL 
Maho Rasop เทศกาลดนตรีที่ปลุกให้คนฟังดนตรีนอกกระแส

WHAT HAPPENED : 

ย้อนไปเมื่อหลายปีก่อนเทศกาลดนตรีในไทย มักจะจัดในทิศทางเดียวกันคือเน้นแสดงวงดนตรีที่อยู่ในกระแสหลัก และมักจัดงานในต่างจังหวัด แต่ยังไม่มีงานไหนที่ชูคอนเซปต์ดนตรีทางเลือก จนกระทั่งเกิดงาน ‘Maho Rasop Festival’ งานที่เกิดความตั้งใจของ ท้อป–ศรัณย์ ภิญญรัตน์ ผู้ร่วมก่อตั้ง Fungjai, แป๋ง–พิมพ์พร เมธชนัน และกิ–กิรตรา พรหมสาขา ณ สกลนคร ผู้ก่อตั้ง HAVE YOU HEARD และปูม–ปิยสุ โกมารทัต ผู้ก่อตั้ง Seen Scene Space ที่อยากเติมเต็มช่องว่างทางดนตรีและสร้างวัฒนธรรมการฟังเพลงใหม่ๆ ให้เปิดใจยอมรับวงที่อาจจะยังไม่แมสในขณะนั้น แต่เป็นวงทางเลือกที่น่าสนใจ และทำเทศกาลดนตรีให้เป็นเหมือนบุฟเฟต์นานาชาติ ที่มีทั้งศิลปินไทยและศิลปินต่างชาติ ทั้งเบอร์ใหญ่ที่อาจจะหาดูที่ไหนไม่ได้ สลับกับการแสดงโชว์ของวงหน้าใหม่ มาเสิร์ฟให้เกิดรสชาติทางดนตรีที่หลากหลาย และสถานที่จัดงานที่ยังคงอยู่ในกรุงเทพฯ ทำให้งานนี้เป็นเหมือนพื้นที่รวมตัวกันของคนรักเสียงเพลงและรักดนตรีเป็นชีวิตจิตใจ ชอบค้นหา ศิลปิน และดนตรีที่ตรงกับรสนิยม และแน่นอนว่าต้องรักการดูคอนเสิร์ต รวมไปถึงกลุ่ม festivalgoer จากทั่วโลกที่เดินทางมาไทย เพื่อมาอยู่ มากิน มาฟังเพลง และสัมผัสกลิ่นอายของเฟสติวัลแบบที่พวกเขารัก

WHAT’S NEXT :

ท้อป, แป๋ง, กิ และปูม พวกเขาทั้ง 4 ตั้งใจที่จะจัดงาน Maho Rasop ต่อไป แต่อยากให้เป็นมิวสิกเฟสติวัลที่ family friendly กว่าเดิม ถึงแม้ในวันนี้จะมีฐานแฟนๆ อย่างเหนียวแน่นและมีกลุ่มเป้าหมายชัดเจน แต่ก้าวต่อไปที่น่าจับตามองคืองานนี้อาจเป็นหมุดหมายที่คนรักเทศกาลดนตรีจากทั่วโลกลิสต์ไว้ว่าจะต้องมาสักครั้งในชีวิต และขับเคลื่อนให้กรุงเทพฯ เป็นที่รู้จักในฐานะเมืองดนตรีมากยิ่งขึ้น ไปจนถึงการผลักดันให้วงดนตรีไทยได้ไปเล่นในเฟสติวัลระดับโลก

WHAT’S PRAISEWORTHY :

– Diverse Lineup เสิร์ฟดนตรีหลากหลายแนวจากศิลปินที่หลากหลายทั้งเบอร์เล็กและเบอร์ใหญ่ สร้างเทศกาลดนตรีนอกกระแสให้เป็นที่รักของคนฟังเพลง

– Specific Audience เจาะเป้าหมายเฉพาะกลุ่ม แต่กลุ่มเป้าหมายต้องชัดเจน และสร้างฐานแฟนคลับให้เหนียวแน่น

– Experience ไม่เพียงแต่จัดคอนเสิร์ต แต่ส่งประสบการณ์ในงานเทศกาล ให้เหมือนมาพบปะสังสรรค์ เจอคนที่ชื่นชอบดนตรีเหมือนกัน

ธุรกิจที่เกิดจากเหล่าผู้มีอิทธิพลบนโลกออนไลน์ ที่อยากสร้างการเปลี่ยนแปลง ผ่านการนำธุรกิจมาขับเคลื่อนสังคมในหลากหลายมิติ

ย้อนไปเดือนนี้เมื่อ 3 ปีที่แล้ว เราตั้งคำถามกับ 100 ผู้ประกอบการและตัวแทนของธุรกิจต่างๆ ว่า ‘อะไรคือทุนสำคัญที่ทำให้ธุรกิจที่คุณทำเติบโตมาจนถึงวันนี้’ ก่อนจะค้นพบว่าท่ามกลางคำตอบมากมาย แต่ละธุรกิจมีสิ่งที่ให้คุณค่าแตกต่างกันออกไป ไม่แน่ว่าคำตอบเหล่านั้นอาจกลายไปเป็นทุนสำคัญของธุรกิจอื่นๆ อีกต่อไป

จวบจนปัจจุบัน Capital เดินทางมาถึงขวบปีที่ 3 ผ่านการนำพาความตั้งใจที่อยากบอกเล่าเรื่องราวในโลกธุรกิจอย่างเป็นมิตรด้วยวิธีการที่หลากหลายและสร้างสรรค์ ภายใต้ความเชื่อที่ว่า ‘better business for good life’ เราขอเฉลิมฉลองช่วงเวลาสุดแสนพิเศษนี้ ผ่านการเชิดชูธุรกิจที่น่าจับตามองแห่งปีและทำให้ชีวิตของผู้คนดีขึ้นในหลากหลายมิติ

ผ่าน ‘CAPITAL40: 40 Businesses to Watch in 2025’  ที่พวกเราตั้งใจส่องไฟไปยัง 40 ธุรกิจที่ล้วนแล้วแต่มีผลงานอันโดดเด่นและเต็มไปด้วยวิสัยทัศน์ล้ำหน้า พร้อมพาไปดูว่าพวกเขาจะสร้างกระแสใหม่และเปิดขอบเขตความเป็นไปได้ของอนาคตได้ยังไง?

ไม่แน่ว่า 40 ธุรกิจนี้อาจเป็นแบรนด์ที่คุณหลงรัก อยากเปิดใจอยากทำความรู้จัก ไปจนถึงสร้างแรงบันดาลใจ เติมไฟให้คนทำธุรกิจ หรือชวนให้กลับมาขบคิดถึงแนวทางการทำธุรกิจตลอดปี 2025

เขื่อน–ภัทรดนัย เสตสุวรรณ

JOODPAKJAI : THE EMOTIONAL HEALER
JOODPAKJAI พื้นที่ชุบชูใจในวันที่ใจต้องการพักผ่อนของ เขื่อน–ภัทรดนัย เสตสุวรรณ

WHAT HAPPENED : 

ร่างกายที่เหน็ดเหนื่อยก็ยังต้องการพัก ไม่ต่างอะไรกับจิตใจที่อ่อนล้าก็ต้องการจุดพักใจ เขื่อน–ภัทรดนัย เสตสุวรรณ หรือที่รู้จักกันเมื่อก่อนในชื่อเขื่อน K-OTIC ปัจจุบันถ้าพูดถึงเขาเรื่องของ mental health ก็จะลอยขึ้นมา เพราะเขื่อนมักจะสื่อสารผ่านโลกโซเชียลเรื่องอารมณ์ ความรู้สึก และจิตใจที่ชวนให้ฉุดคิดเสมอ ก่อนที่เขาจะทำโปรเจกต์ ‘JOODPAKJAI’ ที่จะนำป้ายไปตั้งตามจุดต่างๆ แบบไม่แจ้งสถานที่ล่วงหน้า แล้วให้คนที่ผ่านไปผ่านมาเข้ามาสนทนาอะไรกับเขาก็ได้เป็นเวลา 1 ชั่วโมง โดยเขาจะรับฟังอย่างจริงจัง ทำให้เห็นว่าประเทศไทยยังขาดพื้นที่ปลอดภัยไว้ฮีลใจ จึงได้ต่อยอดเป็นครีเอทีฟสเปซในชื่อเดียวกัน อยู่บริเวณช้างม่อย จังหวัดเชียงใหม่ เมืองที่เต็มไปด้วยความสงบร่มเย็น โดยภายในพื้นที่แห่งนี้จะมีทั้งคาเฟ่ บาร์ นิทรรศการ และพื้นที่ให้คนมาจัดเวิร์กช็อปได้ฟรี เพื่อให้คนที่รู้สึกว่าวันไหนที่ต้องการการชุบชูใจ ก็สามารถมาพักใจที่นี่ได้เสมอ

WHAT’S NEXT : 

เขื่อนไม่อยากแค่ให้คนนึกถึง JOODPAKJAI แล้วนึกถึงเขาเสมอไป แต่อยากให้นึกถึงสเปซที่ใครก็สามารถมาเยียวยาจิตใจได้เสมอ และขยายให้ผู้คนได้มีพื้นที่ตรงนี้ครบทุกภูมิภาค พื้นที่ต่อไปอาจจะเป็นที่ภาคใต้ เพื่อให้รูปแบบของธุรกิจยั่งยืนมากยิ่งขึ้น ไปจนถึงการอยากให้ประเทศไทยมีครีเอทีฟสเปซที่ช่วยฮีลใจผู้คน เพราะเขาเชื่อว่าพื้นที่ปลอดภัยเป็นสิ่งที่ต้องสร้างไปด้วยกัน ไม่ใช่เกิดแค่จากคนใดคนหนึ่ง

WHAT’S PRAISEWORTHY :

– Passion ทำในสิ่งที่เชื่อและเชื่อในสิ่งที่ทำ แล้วจะมีพลังทำมันได้อย่างยั่งยืน

– Comfort Space พื้นที่ปลอดภัยของคนอยากพักฮีลใจ ที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ และเปิดให้คนมีอุดมการณ์เดียวกันมาใช้พื้นที่จัดกิจกรรมได้ฟรี

– Inspiration ไม่ใช่แค่มีแรงบันดาลใจในการทำ แต่ทำเพื่อส่งต่อแรงบันดาลใจให้ประเทศไทยได้มีพื้นที่ปลอดภัยมากขึ้น

TARA กรุณา บัวคำศรี

TARA : THE CHANGEMAKERS
TARA แบรนด์ที่กรุณา บัวคำศรี อยากใช้สื่อสารเรื่องสิ่งแวดล้อมผ่านการใช้ของให้คุ้มค่า

WHAT HAPPENED : 

กรุณา บัวคำศรี เป็นที่รู้จักในฐานะนักข่าวอิสระที่บุกน้ำลุยไฟไปทำข่าวมารอบโลก และในปีที่ผ่านมาเธอกำลังสวมหมวกอีกใบในฐานะผู้ก่อตั้ง ‘TARA’ แบรนด์สินค้าที่คำนึงถึงการใช้ทรัพยากรอย่างรอบคอบและรบกวนสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด โดยเชื่อว่าทรัพยากรที่คุ้มค่าไม่ได้แปลว่าเราต้องรีไซเคิลอย่างเดียว แต่หมายถึงการใช้เฉพาะสิ่งที่จำเป็นกับชีวิต สินค้าของแบรนด์จึงมีทั้งเสื้อผ้าจากผ้าเดดสต็อก ซึ่งเป็นผ้าที่เหลือจากอุตสาหกรรมแฟชั่น และของใช้ในชีวิตประจำวันอย่างแชมพูและสบู่ที่ไม่มีสารทำลายปะการังหรือน้ำ ไปพร้อมๆ กับการสื่อสารให้คนตระหนักรู้เรื่องการใช้ทรัพยากรโลกอย่างรอบคอบและคุ้มค่า ผ่านผลิตภัณฑ์ที่ถูกออกแบบอย่างใส่ใจ และกำไรบางส่วนจะถูกใช้ทำสารคดีตีแผ่เรื่องโลกร้อนต่อไป

WHAT’S NEXT :

ถึงแม้ TARA จะไม่ได้เปลี่ยนโลกในทันที แต่กรุณาคิดว่าสิ่งนี้สามารถสร้างแรงกระเพื่อมบางอย่างได้ เธอจึงอยากเพิ่มสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะ Clean Beauty ซึ่งเป็นสินค้าที่ไม่อันตรายต่อผิวและไม่เป็นภัยต่อโลก เช่น ครีมกันแดดที่ไม่ทำลายประการังและจริงจังเรื่องสาร 10 ตัวที่สหภาพยุโรปห้ามใช้ และน่าจับตามองว่านอกจากสินค้าใหม่ๆ ที่จะออกมาแล้ว จะมีสารคดีเรื่องโลกร้อนและความรู้เรื่องสิ่งแวดล้อมอะไรจากกรุณาและ TARA ออกมาให้ได้ชม

WHAT’S PRAISEWORTHY :

– Believe เชื่อในสิ่งที่ทำและทำในสิ่งที่เชื่อ พอรู้สึกสบายใจจะไม่อิหลักอิเหลื่อที่จะทำมัน

– Business Philosophy ปรัชญาการทำธุรกิจเป็นเข็มทิศที่ทำให้ไม่หลงทางว่าเรากำลังทำอะไรอยู่

– Slow Fashion สินค้าแฟชั่นที่คิดอย่างรอบคอบตั้งแต่กระบวนการผลิต ไปจนถึงใช้ในชีวิตประจำวันได้นาน

give me museum

give.me.museums : THE ARTFUL EVERYDAY
วาดลวดลายงานศิลป์ให้เบลนด์อินไลฟ์สไตล์ในแบบของ give.me.museums

WHAT HAPPENED : 

ภาพจำงานศิลปะสมัยก่อนคงเป็นผลงานที่มีไว้จัดแสดงในแกลเลอรีหรือผลงานสะสมไว้เชยชมของคนเฉพาะกลุ่ม แต่สำหรับ ออย–คนธรัตน์ เตชะไตรศร เธออยากให้ทุกคนเข้าถึงงานศิลปะได้ทุกวัน ผ่านของใช้ในชีวิตประจำวัน ออยจึงสร้างผลงานในชื่อ ‘give.me.museums’ และทรีตสิ่งนี้ว่าเป็นแบรนด์แบรนด์หนึ่ง โดยนำความคิดสร้างสรรค์มาผสมผสานกับการทำการตลาดที่ดี และนำผลงานทั้งหมดที่เป็นลายเส้นของเธอทั้งภาพดอกไม้ ภาพแลนด์สเคป ภาพตัวการ์ตูนโดยเฉพาะคาแร็กเตอร์เด่นอย่างเด็กผู้หญิงผมแดง ให้มาอยู่ในข้าวของเครื่องใช้ พร้อมคอลแล็บกับหลากธุรกิจ อย่าง ปีที่ผ่านมาก็มีโปรเจกต์ใหญ่อย่าง TUBA Random Museum เนรมิตร้าน TUBA ให้กลายเป็นพื้นที่โชว์งานศิลปะขนาดย่อมแบบที่คนสามารถไปจับต้องผลงานได้ และครีเอตออกมาเป็นเมนูพิเศษเสมือนงานศิลปะที่กินได้ ไปจนถึงการคอลแล็บร่วมกับ Papaya Studio ทำเก้าอี้คอลเลกชั่นพิเศษ

WHAT’S NEXT :

ที่ผ่านมาเราจะเห็นผลงานของ give.me.museums กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของของใช้ส่วนตัวในชีวิตประจำวันของใครหลายคน เช่น เสื้อผ้า กระเป๋า เครื่องสำอาง ไปจนถึงของตกแต่งบ้าน ทั้งจากสินค้าที่ออยผลิตและขายในช่องทางของแบรนด์เอง ไปจนถึงการคอลแล็บกับแบรนด์ต่างๆ ในปี 2025 เป็นที่น่าจับตาต่อไปจะมีสินค้าประเภทไหนให้เธอได้ไปวาดลายลายฝากผลงานไว้อีกบ้าง รวมไปถึงการจัดแสดงผลงานที่คงคอนเซปต์เข้าถึงง่าย เป็นงานศิลปะที่จับต้องได้จริง และออยมองอนาคตของแบรนด์ไว้ว่าอยากให้เป็นพื้นที่สำหรับคนที่ชอบหรือสนใจศิลปะมาพูดคุยแลกเปลี่ยนกันมากกว่าการเป็นแบรนด์ขายสินค้า เพื่อสร้างพื้นที่ศิลปะในไทยที่ใครๆ ก็เข้าถึงได้

WHAT’S PRAISEWORTHY :

– Commercial Art ทรีตให้เป็นแบรนด์แบรนด์หนึ่งที่มีกลยุทธ์การตลาด รู้ว่าจะทำสินค้าอะไร และทำเพื่อขายใคร

– Connection with Lifestyle ทำให้ศิลปะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ผ่านสินค้าที่คนหยิบมาใช้ได้ทุกวัน

– Creative Marketing ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้นผ่านการคอลแล็บร่วมกับแบรนด์หลากประเภท ไปจนถึงคาเฟ่และร้านอาหาร

อาหารปันรัก

อาหารปันรัก : THE SEA WARRIOR
พาทัวร์ล่องเลกับนักรบผ้าถุงที่รักษาทะเลจะนะด้วยหัวใจผู้กล้า

WHAT HAPPENED :

‘อาหารปันรัก’ คือธุรกิจเพื่อสังคมของกลุ่ม ‘นักรบผ้าถุง’ แห่งทะเลจะนะ จังหวัดสงขลาที่ทำธุรกิจมาหลักสิบปีด้วยการนำเสนอสินค้าอาหารทะเลพร้อมบริการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและวัฒนธรรมซึ่งทำให้เห็นว่าจะนะเป็นสวรรค์ของอาหารซีฟู้ด ที่ผ่านมาชุมชนจัดทัวร์ในหลายอำเภอของสงขลาโดยปีที่ผ่านมามีการรีแบรนด์และออกแบบประสบการณ์ทัวร์ใหม่ในชื่อ ‘ทัวร์ลาต๊ะ’ ซึ่งแปลว่ากินเล่นจากการจัดทัวร์กินในตำบลสะกอม โปรแกรมทัวร์มีทั้งทานอาหารทะเลสดแบบปิ้งย่างเองริมทะเล ทานอาหารทะเลแบบฟิวชั่น ทานอาหารฝีมือแม่รสชาติท้องถิ่นตามบ้านชุมชน และล่องทะเลกินสำรับเดียวกับชาวประมง นอกจากชูจุดเด่นและเรื่องราวของอาหารแล้ว ยังมีการเล่าเรื่องราวของภาษาสะกอมและวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างเข้าใจง่ายผ่านการออกแบบกราฟิก สื่อวิดิโอสร้างสรรค์ และเวิร์กช็อปทำของที่ระลึก พร้อมยังออกแบบประสบการณ์ที่อำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวเข้าไปจองทัวร์ได้ง่ายขึ้นผ่านสื่อออนไลน์ในเพจของอาหารปันรัก

WHAT’S NEXT :

ทัวร์ท่องเที่ยวของ ‘อาหารปันรัก’ ไม่ใช่แค่แหล่งสร้างรายได้ให้ชุมชนและกิจกรรมทัวร์แต่ยังเป็นการปกป้องทะเลจะนะทั้งในแง่แหล่งอุดมสมบูรณ์ทางอาหารทะเลและวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวเล อนุรักษ์กุ้งเนื้อนุ่มแน่น หวาน และปลา ปู หอยสดๆ ให้อิ่มหนำสำราญกันต่อไป ที่มาของชื่อ ‘นักรบผ้าถุง’ กลุ่มผู้ทำอาหารปันรักยังมาจากการที่แม่บ้านในชุมชนรวมตัวกันผนึกกำลังปกป้องทะเลจากโครงการนิคมอุตสาหกรรม ดังนั้นการทำธุรกิจทัวร์วิถีชุมชนจึงเป็นความกล้าหาญในการปกป้องรักษาวิถีประมงพื้นบ้านเอาไว้ โดยเบื้องหลังการออกแบบทัวร์ลาต๊ะที่ผ่านมาเป็นไอเดียสร้างสรรค์ที่ทำร่วมกันระหว่างคนในชุมชนและครีเอเตอร์คนรุ่นใหม่ที่ประทับใจในเสน่ห์ทางวัฒนธรรมของสะกอมจนอยากเล่าเรื่องสิ่งเล็กๆ น้อยนิดมหาศาลที่ดีต่อใจให้ผู้คนภายนอกรับรู้ว่าจะนะมีเสน่ห์

WHAT’S PRAISEWORTHY :

– Brave Spirit จิตวิญญาณผู้กล้าที่อยากปกป้องรักษาทะเลจะนะไว้ทำให้ทำธุรกิจเพื่อสังคมอย่างอาหารปันรักต่อเนื่องมาเป็นเวลาหลายปี

– Local Life การรักษาวิถีชีวิตดั้งเดิมและรู้จักดึงมูลค่าท้องถิ่นออกมาทำให้เกิดจุดขาย

– Community Bonding ความร่วมมือร่วมใจและสามัคคีของชุมชนทำให้มีบรรยากาศอบอุ่นและเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าต้อนรับ

สำนักพิมพ์ผีเสื้อปีกบาง

สำนักพิมพ์ผีเสื้อปีกบาง : THE HOPEFUL
สำนักพิมพ์ผีเสื้อปีกบางที่พลอย–สโรชา กิตติสิริพันธุ์ อยากจุดประกายความหวังให้โบยบิน

WHAT HAPPENED : 

งานเขียนเป็นหนึ่งในวิธีที่ถ่ายทอดประสบการณ์และความคิดได้ดี นี่คือความเชื่อของ พลอย–สโรชา กิตติสิริพันธุ์ หญิงสาวที่แม้จะสูญเสียโอกาสในการมองเห็นมาตั้งแต่เด็ก แต่เธอก็อยากสร้างโอกาสและความหวังให้ผู้คน ผ่านการก่อตั้ง ‘สำนักพิมพ์ผีเสื้อปีกบาง’ ที่ตีพิมพ์ผลงานของผู้พิการและต้องเป็นเรื่องราวที่จรรโลงใจ เพราะเธอเชื่อว่าผู้พิการแต่ละคนมีเรื่องราว ความรู้สึกนึกคิดที่อยากสื่อสาร และการสื่อสารนี้คือพลังในการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง อย่างน้อยๆ ถ้าคนพิการได้อ่านหนังสือเยอะ เขาก็จะมีพื้นฐานของภาษาไปใช้สื่อสารได้ดี เพิ่มโอกาสในการทำงาน และอีกมิติหนึ่งคือเป็นการเติมเต็มระยะห่างระห่างผู้พิการและไม่พิการให้เข้าใจกันและอยู่ในสังคมได้อย่างเท่าเทียม

WHAT’S NEXT :

พลอยไม่ได้อยากให้ผีเสื้อปีกบางเป็นเพียงสำนักพิมพ์ แต่เธออยากให้เป็นคอมมิวนิตี้ที่ผู้พิการสามารถมาถ่ายทอดความรู้สึกได้อย่างเต็มที่ พร้อมผลักดันศักยภาพของผู้พิการทางสายตาไปไกลมากกว่าหนังสือ นั่นคือการออกแบบสินค้าไม่จำกัดรูปแบบโดยคำนึงถึงผู้พิการทางสายตาเป็นศูนย์กลาง และนำอักษรเบรลล์ที่เป็นรากฐานการฝึกอ่านมาใช้ในการสื่อสารเรื่องของคนพิการให้คนทั่วไปได้เรียนรู้ เช่น ทำที่คั่นหนังสืออักษรเบรลล์ให้แก่คนที่สั่งซื้อหนังสือ จัดเวิร์กช็อปสอนอ่านอักษรเบรลล์ ไปจนถึงในอนาคตอาจมีสินค้าพรีเมียมและของที่ระลึกอื่นๆ ที่ใช้อักษรเบรลล์หลากหลายแบบ ไปจนถึงนำผลงานสร้างสรรค์ของผู้พิการทางสายตามาใช้ตลอดกระบวนการทำหนังสืออย่างภาพประกอบในเล่มก็เป็นได้ หากสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจริงคงเปิดมิติใหม่ในวงการสิ่งพิมพ์ที่น่าสนใจไม่น้อย

WHAT’S PRAISEWORTHY :

– Opportunity เปิดประตูสู่โอกาสให้ผู้พิการได้มีพื้นที่แสดงออกทางความคิดผ่านงานเขียน

– Equality สร้างสังคมที่เท่าเทียม ผ่านเรื่องราวที่ผู้พิการอยากเล่าเพื่อย่นระยะห่างระหว่างผู้พิการและไม่พิการ

– Diversity หนังสือที่เขียนโดยผู้พิการทางสายตาเข้ามาเสริมความหลากหลายในวงการสิ่งพิมพ์ ทั้งในมิติของความคิดและมุมมอง

Gluta Story

Gluta Story : THE PAWSITIVE CHANGE
ชุบชีวิตหมาจรผ่าน Gluta Story ที่ยอร์ช–สรศาสตร์ วิเศษสินธุ์ ใช้ขับเคลื่อนสังคมสัตว์เลี้ยง

WHAT HAPPENED : 

ต่อให้ไม่ว่าจะเป็นทาสหมาหรือไม่ก็ตามเชื่อว่า ‘Gluta Story’ คงเข้าไปยึดพื้นที่ในใจใครหลายคนไม่มากก็น้อย จากการที่ ยอร์ช–สรศาสตร์ วิเศษสินธุ์ ได้บอกเล่าเรื่องราวของกลูต้า หมาจรจัดที่หลงมาหลังน้ำท่วม และทำคอนเทนต์เพื่อเป็นกระบอกเสียงให้คนหันมาเลี้ยงหมาจรจัดและมองว่าหมาพันทางและสัตว์ที่พิการก็สมควรได้รับความรักไม่แพ้พันธุ์ไหนๆ พร้อมสร้างคอมมิวนิตี้ในโลกออนไลน์อย่าง Gluta Story Club ให้แฟนๆ ได้มาอวดความน่ารักของน้องหมา และคอมมิวนิตี้ในโลกออฟไลน์อย่างงานเปิดโกดัง Gluta Story ที่จัดต่อเนื่องมา 3 ปีซ้อน เพื่อให้เป็นพื้นที่พบปะสังสรรค์ของคนรักสัตว์ และเป็นการส่งเสริมให้คนหันมาสนใจและดูแลสัตว์มากยิ่งขึ้น

WHAT’S NEXT :

สิ่งที่ยอร์ชทำได้สร้างแรงกระเพื่อมให้คนตระหนักรู้เรื่องการเลี้ยงหมาจรจัดแล้ว ก้าวต่อไปเขาตั้งใจเปลี่ยนในเชิงพฤติกรรมผ่านการให้ยูทูบเบอร์คนอื่นๆ มาช่วยหาบ้านให้น้องหมาจร ไปจนถึงต่อยอดรายการใหม่พาคนไปทำความรู้จักอาชีพต่างๆ ที่เกี่ยวกับสัตว์ สิ่งที่เขาทำยังสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือเป็นมิติที่ใหญ่ขึ้นและหวังว่าคนอื่นๆ ก็จะสามารถเป็นกระบอกเสียงต่อๆ กันไป เพื่อให้คอมมิวนิตี้นี้ไม่ใช่แค่คนรักหมา ต่อเป็นคนรักสัตว์ทุกประเภท ตามความเชื่อของยอร์ชที่ว่าสัตว์ทุกตัวบนโลกควรค่าแก่การได้รับความรัก

WHAT’S PRAISEWORTHY :

– Inspiration ส่งต่อแรงบัลดาลใจให้คนรักสัตว์หันมาดูแลสัตว์จรจัดกันมากขึ้น

– Pet Club สร้างคลับคนรักสัตว์ทั้งในช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อช่วยกันขับมุมมองที่มีต่อสัตว์ ว่าต่อให้ไม่น่ารักตามพิมพ์นิยมหรือพิการ ก็สมควรได้รับความรัก

– Social Media Impact ใช้โซเชียลมีเดียอย่างสร้างสรรค์ เพื่อสร้างการตระหนักรู้และเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมในการเลี้ยงสัตว์อย่างมีความรับผิดชอบ

ธุรกิจที่หยิบความคิดสร้างสรรค์ มาเป็นหัวใจสำคัญในการสรรค์สร้างแบรนด์ที่ฉีกออกจากกรอบเดิมๆ

ย้อนไปเดือนนี้เมื่อ 3 ปีที่แล้ว เราตั้งคำถามกับ 100 ผู้ประกอบการและตัวแทนของธุรกิจต่างๆ ว่า ‘อะไรคือทุนสำคัญที่ทำให้ธุรกิจที่คุณทำเติบโตมาจนถึงวันนี้’ ก่อนจะค้นพบว่าท่ามกลางคำตอบมากมาย แต่ละธุรกิจมีสิ่งที่ให้คุณค่าแตกต่างกันออกไป ไม่แน่ว่าคำตอบเหล่านั้นอาจกลายไปเป็นทุนสำคัญของธุรกิจอื่นๆ อีกต่อไป

จวบจนปัจจุบัน Capital เดินทางมาถึงขวบปีที่ 3 ผ่านการนำพาความตั้งใจที่อยากบอกเล่าเรื่องราวในโลกธุรกิจอย่างเป็นมิตรด้วยวิธีการที่หลากหลายและสร้างสรรค์ ภายใต้ความเชื่อที่ว่า ‘better business for good life’ เราขอเฉลิมฉลองช่วงเวลาสุดแสนพิเศษนี้ ผ่านการเชิดชูธุรกิจที่น่าจับตามองแห่งปีและทำให้ชีวิตของผู้คนดีขึ้นในหลากหลายมิติ

ผ่าน ‘CAPITAL40: 40 Businesses to Watch in 2025’  ที่พวกเราตั้งใจส่องไฟไปยัง 40 ธุรกิจที่ล้วนแล้วแต่มีผลงานอันโดดเด่นและเต็มไปด้วยวิสัยทัศน์ล้ำหน้า พร้อมพาไปดูว่าพวกเขาจะสร้างกระแสใหม่และเปิดขอบเขตความเป็นไปได้ของอนาคตได้ยังไง?

ไม่แน่ว่า 40 ธุรกิจนี้อาจเป็นแบรนด์ที่คุณหลงรัก อยากเปิดใจอยากทำความรู้จัก ไปจนถึงสร้างแรงบันดาลใจ เติมไฟให้คนทำธุรกิจ หรือชวนให้กลับมาขบคิดถึงแนวทางการทำธุรกิจตลอดปี 2025

สวนสัตว์เปิดเขาเขียว

สวนสัตว์เปิดเขาเขียว : THE DYNAMIC ZOO
สวนสัตว์เปิดเขาเขียวที่ใช้ความน่ารัก และรู้จักต่อยอดมาเปิดใจนักท่องเที่ยว

WHAT’S HAPPENED :

ปีที่ผ่านมา ‘สวนสัตว์เปิดเขาเขียว’ กลับมาเป็นที่รู้จักอีกครั้งจากกระแส ‘หมูเด้งฟีเวอร์’ ที่ไม่ได้อาศัยแค่ความน่ารักเท่านั้น แต่ ณรงวิทย์ ชดช้อย ผู้อำนวยการสวนสัตว์เปิดเขาเขียว ได้วางแผนทำให้หมูเด้งอยู่ในกระแสด้วยกลยุทธ์ต่างๆ ตั้งแต่วันที่ลืมตาดูโลก อย่างการเปิดโหวตชื่อผ่านทาง Facebook สวนสัตว์เปิดเขาเขียว จนมีผู้เข้าร่วมโหวตมากกว่า 20,000 คน นอกจากนั้นยังแชร์คลิปความน่าเอ็นดูของเจ้าหมูเด้งผ่านทางโซเชียลอยู่เสมอจนมีคนมาสัมผัสความน่ารักถึง 12,000 คนต่อวัน และสร้างรายได้มากกว่า 40 ล้านบาท ก่อนจะต่อยอดเป็นสินค้าต่างๆ ในชีวิตประจำวันของผู้คนอย่างสร้างสรรค์ ทั้งโปรโมตที่พักในสวนสัตว์เปิดเขาเขียว ไปจนถึงคอลแล็บกับหลากแบรนด์ เช่น AIS, ADDA, ชาตรามือ จนทำให้ปีที่ผ่านมาคอลแล็บไปแล้วกว่า 70 แบรนด์และสร้างรายได้จากการคอลแล็บ 50 ล้านบาท

WHAT’S NEXT :

คาดว่าจนถึงเดือนมิถุนายน 2568 หมูเด้งจะสร้างรายได้จากการคอลแล็บแตะ 100-150 ล้านบาท ในขณะเดียวกันณรงวิทย์ตั้งใจจะทำตามมิชชั่นหลักคือผลักดันให้สวนสัตว์เปิดเขาเขียวเป็นสวนสัตว์อันดับ 1 ในเอเชีย และติด Top 5 สวนสัตว์ระดับโลก รวมไปถึงปรับตัวให้เข้ากับเทรนด์ของโลกที่เกิดขึ้น เช่น การใส่ใจในสิ่งแวดล้อมและเป็นสวนสัตว์สีเขียว และจัดสรรพื้นที่กิจกรรมรองรับกลุ่มครอบครัวและผู้สูงวัยที่มีเพิ่มมากขึ้น ซึ่งน่าจับตามองว่าสวนสัตว์แห่งนี้ที่มีดาวดวงใหม่แจ้งเกิดเกือบแทบทุกปี และเล่นกับกระแสได้อย่างชาญฉลาด จะมีสัตว์ตัวไหนเป็นกระแสต่อไป เพื่อสร้างความตื่นตาตื่นใจให้คนไทยและชาวต่างชาติอีกบ้าง

WHAT’S PRAISEWORTHY :

– Cute Marketing ใช้ความน่ารักมามัดใจผู้คนให้อยากมาที่สวนสัตว์เพื่อพบปะน้องๆ

– Social Media Engagement ลงความน่ารักบนโซเชียลมีเดีย เพื่อให้เกิดการแชร์ต่อและสร้างปรากฏการณ์หมูเด้งฟีเวอร์เต็มหน้าฟีด

– Value Creation มากกว่าการแค่มาชมสัตว์แล้วก็จบไป แต่ต่อยอดสู่การทำสินค้า โปรโมตที่พัก และคอลแล็บกับหลากแบรนด์ดัง

Butterbear

Butterbear : THE HEART HEALER
น่ารักมั้ยไม่รู้ แต่ Butterbear ตกคนเข้าด้อมด้วยอินเนอร์นักฮีลใจอยู่นะรู้มั้ย 

WHAT HAPPENED : 

ธุรกิจขนมหวานที่หอมหวานที่สุดในปีนี้คงหนีไม่พ้น ‘Butterbear’ แบรนด์ขนมในเครือ Coffee Beans by Dao ที่ บูม–ธนวรรณ วงศ์เจริญรัตน์ และเบลล์–ธนาภา ปางพุฒิพงศ์ ตั้งใจให้หนีเนยดูนุ่มฟู เข้าถึงง่าย และมีเสน่ห์จากอินเนอร์ภายในที่ดูมีความรู้สึกนึกคิดเหมือนมีชีวิตจริงๆ เพื่อช่วยฮีลใจผู้คน ทั้งร้อง เต้น ทำชาเลนจ์กับเหล่าไอดอล พร้อมฉีกกฎที่ว่ามาสคอตต้องเป็นตัวแทนของแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งเท่านั้น ด้วยการไปคอลแล็บร่วมกับแบรนด์ไทย เช่น Pipatchara, GENTLEWOMAN และการคอลแล็บครั้งใหญ่กับเซเว่น อีเลฟเว่น ที่มีสาขาในไทยถึง 15,000 สาขาทั่วประเทศ ทำให้หมีเนยเข้าถึงผู้คนได้มากขึ้น ไปจนถึงแบรนด์จีน เช่น แบรนด์กาแฟ Luckin Coffee, อาร์ตทอยค่าย TOYZEROPLUS ให้แฟนๆ ได้จับจองเป็นเจ้าของกัน ทำให้ปี 2567 ที่ผ่านมามีการสำรวจของ Wisesight  พบว่า Butterbear หรือหมีเนย ครองอันดับ 3 ยอดเอนเกจเมนต์ที่คนพูดถึงบนโซเชียลมีเดียในไทย ด้วยยอดกว่า 137 ล้านเอนเกจเมนต์

WHAT’S NEXT : 

ที่ผ่านมาหมีเนยได้สร้างความผูกพันให้กับผู้คนแบบ emotional collection อย่างต่อเนื่อง จนไม่ใช่มาสคอตที่มีกระแสแล้วหายไป แต่ยืนระยะอยู่ในใจผู้คนได้ต่อผ่านท่าทีใหม่ๆ ที่คาดว่าปีนี้จะไปร่วมคอลแล็บกับสินค้าที่เข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น เพื่อเข้าไปอยู่ในไลฟ์สไตล์และชีวิตประจำวันของผู้คน น่าจับตาต่อว่าหมีเนยจะโกอินเตอร์ไปมัดใจแฟนๆ ในต่างแดนที่ประเทศใดบ้าง นอกเหนือจากประเทศจีนที่เป็นเอฟซีตัวยงอยู่แล้ว รวมถึงการเป็นแรงบันดาลใจแจ้งเกิดมาสคอตตัวอื่นๆ ให้เป็นมาสคอต ที่มีชีวิตชีวาเหมือนกับหมีเนย

WHAT’S PRAISEWORTHY :

– Creative Storytelling สรรค์สร้างสตอรีอย่างสร้างสรรค์ ผ่านการวางคาแร็กเตอร์มาสคอตให้เหมือนมนุษย์

– Creative Activity ทำกิจกรรมเหมือนไอดอลสาวท่านหนึ่ง หาทำคอนเทนต์ตามเทรนด์ทันกระแสอยู่เสมอ

– Creative Collaboration สร้างสีสันในทุกการคอลแล็บออกมาเป็นสินค้าสุดสร้างสรรค์

Guss Damn Good

Guss Damn Good : THE FEEL GOOD BRAND
Guss Damn Good ไอศครีมที่เต็มไปด้วยเรื่องราวและความรู้สึก

WHAT HAPPENED : 

ท่ามกลางความร้อนแรงของอากาศประเทศไทยก็ยังมีไอศกรีมของ ‘Guss Damn Good’ ที่ทำให้ทุกคนที่ได้สัมผัสรู้สึกเย็นทั้งกายและใจ ด้วยเสน่ห์ของเนื้อสัมผัสที่เนียน นุ่ม แต่ไม่หนักเกินไป และถึงแม้จะไม่มีท็อปปิ้งที่ดูหวือหวา แต่ในทุกคำที่ตักชิมต้องอัดแน่นไปด้วยวัตถุดิบและความคิดสร้างสรรค์ที่ใส่ลงไป ทำให้ไม่ว่าจะออกรสชาติใหม่อะไรมา ก็ชวนให้ตบเข่าดังฉาดว่าคิดได้ยังไง อย่างการหยิบบทเพลงของ Scrubb ออกมาทำเป็นรสชาติที่คนรัก ไปจนรสชาติที่คอลแล็บกับ 9 แบรนด์คู่ครัวไทย ซึ่งในแต่ละรสชาติ ระริน ธรรมวัฒนะ และนที จรัสสุริยงค์ จะหยิบเรื่องราวดีๆ ที่เกิดขึ้นกับพวกเขา และเรื่องราวที่น่าสนใจของแบรนด์ที่มาร่วมคอลแล็บด้วย มาเปลี่ยนเป็นความรู้สึก และเอาความรู้สึกมาเปลี่ยนเป็นรสชาติ เพราะพวกเขาเชื่อว่าถึงแม้ไอศครีมจะพูดไม่ได้ แต่ทำให้คนรู้สึกดีได้ จนปัจจุบันมีกว่า 160 รสชาติ และในบรรดารสชาติเหล่านั้นเกิดจากการคอลแล็บร่วมกับอาร์ทิสต์และแบรนด์น้อยใหญ่ถึง 60 รสชาติ

WHAT’S NEXT : 

พูดถึงรสชาติไอศครีมหลายคนอาจนึกถึงรสชาติที่เป็นของหวาน แต่ในอนาคตระรินและนทีอยากฉีกกฎความคิดนี้ ด้วยการทำรสชาติของคาวออกมามากยิ่งขึ้น ไปจนถึงการสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้าได้มาสัมผัสเมนูอื่นๆ ที่ต่อยอดจากไอศครีม และแน่นอนว่าเราจะได้เห็น Guss Damn Good ไปคอลแล็บกับแบรนด์อื่นอีกเช่นเคย แต่อาจจะเป็นประเภทธุรกิจที่แปลกใหม่แบบนึกภาพไม่ออกด้วยซ้ำว่าธุรกิจเหล่านั้นจะออกมาเป็นรสชาติไอศครีมอะไร เพราะพวกเขาเชื่อว่าไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมไหน ทุกคนมีสตอรีที่อยากจะเล่า มีสิ่งดีๆ ที่อยากจะบอกอยู่แล้ว และน่าจับตามองเซอร์ไพรส์ในช่วงเดือนกรกฎาคมซึ่งมีวัน National Ice Cream Day หรือวันไอศครีมแห่งชาติของอเมริกา ที่ระรินและนทีตั้งใจจะมีโปรเจกต์ใหญ่ในเดือนนี้ของทุกปี

WHAT’S PRAISEWORTHY :

THE GOOD FEELING

– Story to Flavor ทุกรสชาติเกิดจากการหยิบเรื่องราวมาเปลี่ยนเป็นความรู้สึก และเอาความรู้สึกมาเปลี่ยนเป็นรสชาติ

– Lift-up Moments เข้าไปอยู่ในไลฟ์สไตล์และโมเมนต์สำคัญของลูกค้า เพื่อเปิดปุ่มความรู้สึกดีๆ แม้ในวันที่มี bad day

– Damn Good Collaborations ทุกการคอลแล็บแบรนดิ้งต้องชัดและรักษาคุณค่าของแบรนด์ไว้ให้ได้

Carnival

Carnival : THE IDENTITY COLLABORATION
คอลแล็บจนได้ดีในสไตล์ของ Carnival ที่ตัวตนชัดจนมีแต่คนรัก

WHAT HAPPENED : 

Carnival เริ่มต้นจากการเป็นที่รู้จักของสายสนีกเกอร์และสตรีทแฟชั่น จนมีคนไปนอนรอต่อแถวกันข้ามวันข้ามคืน และกลายมาเป็นร้านมัลติแบรนด์ที่ ปิ๊น–อนุพงศ์ คุตติกุล ไม่ได้ตั้งใจจะขายแค่สินค้านำเข้าจากต่างประเทศ​เท่านั้น แต่มีการปั้นสินค้าแบรนด์ของ Carnival เองด้วย ซึ่งก็ได้รับการยอมรับและความนิยมจน sold out ในเวลาไม่นานและมีการรีเซลกันยกใหญ่ โดยสิ่งที่เป็นจุดเด่นของ Carnival คือโปรเจกต์คอลแล็บที่ทั้งสร้างสรรค์และสร้างกระแสได้อย่างสม่ำเสมอ โดยที่ผ่านมาพวกเขาคอลแล็บร่วมกับแบรนด์ต่างๆ มามากกว่า 200 แบรนด์ ไล่ตั้งแต่แบรนด์ระดับโลกในวงการแฟชั่นด้วยกัน เช่น Adidas, H&M, Asics, Fila หรือในวงการดนตรีอย่างวง Guns N’ Roses ที่ราคารีเซลพุ่งทะยาน ไปจนถึงคอลแล็บกับแบรนด์เตาแก๊สอย่าง Lucky Flame นอกจากนั้นในปีที่ผ่านมายังได้คอลแล็บกับแบรนด์อาหารอย่าง Burger King โดยนำ identity ของทั้งสองแบรนด์ผสานเข้าด้วยกัน ซึ่งการคอลแล็บถือเป็นกลยุทธ์ที่ทำให้คนรู้จัก Carnival ในวงกว้างมากขึ้น และทำให้ลูกค้ารู้สึกตื่นเต้นเสมอเวลามีการคอลแล็บใหม่ๆ ว่าจะมีสินค้าอะไรที่น่าสนใจอีกบ้าง ทำให้ Carnival มีฐานแฟนคลับอย่างเหนียวแน่นจนมีเมมเบอร์ทั้งหมด 1 ล้านราย และเป็นเมมเบอร์ระดับ Gold ถึง 2 แสนราย

WHAT’S NEXT : 

Carnival เคยคอลแล็บกับธุรกิจมาแทบจะทุกประเภท น่าสนใจว่าในปีนี้พวกเขาจะขยายความเป็นไปได้ใหม่ๆ ออกไปยังไงได้บ้าง ที่แน่ๆ ตอนนี้ Carnival ได้ก้าวสู่วงการสตรีทระดับสากลเต็มตัวจากผลงานที่ฝากไว้มากมาย แบรนด์ที่พวกเขามีโอกาสร่วมงานจึงเป็นแบรนด์ที่ชวนร้องว้าวมากขึ้นทุกครั้งที่เปิดตัว รวมถึงอีกเป้าหมายที่ปิ๊นตั้งใจจะสร้างคัลเจอร์ของสนีกเกอร์ในไทยให้ไปไกลกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค จนแบรนด์ระดับโลกมองเห็นและไว้ใจส่งโปรดักต์ exclusive มาให้คนไทยได้ซื้อโดยไม่ต้องไปลำบากรับหิ้วหรือซื้อในราคารีเซลกันอีกต่อไป ในขณะเดียวกันก็อยากพาแบรนด์ไทยอย่าง Carnival ไปเจาะตลาดในต่างประเทศอีกด้วย

WHAT’S PRAISEWORTHY :

– Creative Collaboration การคอลแล็บไม่ใช่แค่ใส่โลโก้ลงไป แต่คือการดึงตัวตนและกลิ่นอายของแบรนด์ไปนำเสนอในสินค้าแต่ละชิ้น

– Limited Edition จำหน่ายสินค้าลิมิเต็ด ที่ต่อให้ได้รับความนิยมแค่ไหนก็จะไม่ผลิตเพิ่มหรือไม่สามารถนำเข้ามาได้แล้ว เพื่อให้ลูกค้ารีบจับจองเป็นเจ้าของและตัดสินใจซื้อได้ไวขึ้น

– Building a Fanbase สร้างฐานแฟนคลับที่เหนียวแน่น จากการทำสินค้าออกมาเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด และทำให้ลูกค้ารู้สึกตื่นเต้น รวมถึงมีความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่แบรนด์สร้างสรรค์

ศรีจันทร์

ศรีจันทร์ : THE CREATIVE ADAPTATION
ศรีจันทร์แบรนด์ที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์มาผลักดันให้ทันสมัยอยู่เสมอ

WHAT HAPPENED : 

ท่ามกลางเชลฟ์เครื่องสำอางที่มีแต่ชื่อแบรนด์เป็นภาษาต่างประเทศ ‘ศรีจันทร์’ ถือเป็นเครื่องสำอางแบรนด์ไทยที่โดดเด่นจากการรีแบรนด์ให้ทันสมัยแต่ยังคงเสน่ห์ความเป็นไทย จนทำให้แบรนด์กลับมาเป็นที่รู้จักในตลาดอีกครั้งและขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่ อย่างปีที่ผ่านมา แท็ป–รวิศ หาญอุตสาหะ พาศรีจันทร์ก้าวเข้าสู่โลกแห่งความงามอย่างเต็มรูปแบบ ผ่านการพัฒนาสินค้าสกินแคร์มากขึ้น ซึ่งเป็นตลาดที่มีส่วนแบ่งในตลาดความสวยความงามถึง 44% โดยเน้นสกินแคร์ที่เหมาะกับคนไทยอย่างตรงจุดในทุกสภาพผิว ด้วยการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและส่วนผสมจากธรรมชาติ ส่งให้มอยส์เจอไรเซอร์ของศรีจันทร์มีมาร์เก็ตแชร์เป็นอันดับ 1 ในตลาดสกินแคร์ ถือเป็นแบรนด์ไทยที่ยังยืนหยัดบนความเป็นไทย และเติบโตในตลาดความสวยความงามอย่างเต็มรูปแบบ

WHAT’S NEXT : 

นอกจากเครื่องสำอางและสกินแคร์แล้ว เป็นที่น่าจับตาต่อว่าแท็ปจะพาศรีจันทร์ขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ไปสู่กลุ่มสินค้าอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับความงามและสุขภาพอะไรอีกบ้าง จากการที่แท็ปตั้งเป้าหมายว่าอยากให้ปี 2025 มีอัตราการเติบโตขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา 50% และไม่แน่ว่าในอนาคตเราอาจเห็นแบรนด์ศรีจันทร์ไปวางขายในต่างประเทศและมีชื่อเสียงโด่งดังในระดับสากลก็เป็นได้

WHAT’S PRAISEWORTHY :

– Strong Brand Identity จุดยืนในความเป็นแบรนด์ไทย ที่นำเสนอความเป็นไทยอย่างทันยุคทันสมัย

– Continuously Improving พัฒนาไม่หยุดยั้ง เพื่อผลักดันแบรนด์ไทยสู่สากล

– Compatible with Thai Skin ความใส่ใจในการศึกษาและวิจัยผิวพรรณของคนไทย ทำให้ผลิตภัณฑ์ตอบโจทย์ปัญหาผิวได้อย่างตรงจุด

ละมุนละไม

ละมุนละไม. : THE UPCYCLE ART
ศาสตร์และศิลป์การปั้นธุรกิจศิลปะให้เป็นมิตรต่อโลกของละมุนละไม.

WHAT HAPPENED : 

ถึงแม้เซรามิกจะเป็นผลงานที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์เป็นหลัก แต่ ‘ละมุนละไม.’ กลับเป็นคราฟต์สตูดิโอที่ ไหม–ณพกมล อัครพงศ์ไพศาล และหนาม–นล เนตรพรหม ใช้ความละเอียดลออในการนำความคิดสร้างสรรค์มาปั้นเซรามิกและปั้นธุรกิจให้แตกต่างบนพื้นฐานการงานได้จริง  ทั้งเป็นผู้มาก่อนกาลในเรื่องสิ่งแวดล้อม ด้วยการนำขยะอาหารมาเปลี่ยนเป็นจานชามเซรามิก และต่อยอดจากการทำสินค้ากุ๊กกิ๊กอย่างจานชาม เครื่องประดับ และป้ายชื่อเซรามิกขายตามงานออกร้าน สู่การทำเซรามิกแบบคัสตอมโดยเฉพาะการทำ tableware หรือเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารให้คาเฟ่และร้านอาหารมากมาย พร้อมฉายภาพความสำเร็จให้ใหญ่ขึ้นผ่าน You! Project ที่รวมตัว 9 ศิลปินมาสร้างสรรค์ลวดลายบนดิน แล้วผสมผสานกับเทคนิคการทำเครื่องปั้นดินเผาหลากหลายรูปแบบ รวมถึงฉลองครบรอบปีที่ 10 ผ่านนิทรรศการ Pots of Purpose: ภาชนะต้องประสงค์ที่รวบรวมเซรามิกกว่า 300 ชิ้น เพื่อเป็นตัวแทน 300 ความสำเร็จที่ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ เพราะความคิดสร้างสรรค์นั้นไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว

WHAT’S NEXT : 

ขึ้นชื่อว่าเป็นคราฟต์สตูดิโอ ไหมและหนามก็ปลุกปั้นให้เป็นสตูดิโอที่ครบวงจรมากยิ่งขึ้น ตั้งแต่การออกแบบไปจนถึงส่งงานให้ผู้ใช้จริง ซึ่งนอกจากดินและขยะอาหารที่ใช้เป็นส่วนประกอบหลักของผลงานแล้ว ในอนาคตเราอาจจะได้เห็นการหยิบวัสดุใหม่ๆ ขึ้นมาสร้างสีสันให้วงการเซรามิก เช่น งานไม้ งานผ้า งานกระดาษ และนอกจากทุกวันนี้ที่ละมุนละไม.จะใช้ร้านอาหารที่ไปร่วมออกแบบ tableware หรือเครื่องใช้บนโต๊ะให้เป็นเหมือนดั่งโชว์รูมของเขา ไม่แน่ว่าเราอาจจะได้ไปเยี่ยนเยือนบ้านที่พวกเขาอยากทำเป็นสตูดิโอและหน้าร้านของละมุมละไม.ก็เป็นได้

WHAT’S PRAISEWORTHY :

– Design Thinking ถอดรหัสผู้ใช้ให้ถึงแก่นแท้ เพื่อปั้นงานศิลปะที่ใช้งานได้จริง

– Custom-made ดีไซน์เซอร์วิสครีเอทเซรามิกชิ้นต่อชิ้น ให้ได้งานศิลที่มีชิ้นเดียวในโลก

– Circular Design คิดครบลูปในทุกกระบวนการ เพื่อให้เกิดของเสียน้อยที่สุดและเป็นมิตรต่อโลกมากที่สุด

Gadhouse

Gadhouse : THE HOUSE OF GADGET
Gadhouse แบรนด์ที่ถูกปลุกปั้นให้เป็นบ้านของคนรักเสียงดนตรี

WHAT HAPPENED : 

ดั่งคำกล่าวที่ว่าดนตรีเป็นภาษาสากลที่เข้าถึงคนทุกเชื้อชาติ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ธุรกิจดนตรีในไทยจะไปเจาะตลาดโลก แต่ ‘Gadhouse’ แบรนด์สินค้าไลฟ์สไตล์เกี่ยวกับดนตรีและเทคโนโลยีของ เพชร–วัชรพล เตียวสุวรรณ์ ก็สามารถเป็นที่ยอมรับในหมู่นักฟังชาวต่างชาติ จนสร้างยอดขายได้ถล่มทลาย ด้วยเสน่ห์ของเครื่องเล่นแผ่นเสียงดีไซน์สวยในคอนเซปต์ retro modern ทำสินค้ายุคเก่ามาเติมเต็มด้วยสิ่งที่เป็นปัจจุบัน และยังใส่ใจโลกผ่านการ upcycle ขยะเหลือทิ้ง เช่น กล่องนม UHT, ฝาขวดน้ำพลาสติก และขยะทางการเกษตร มาแปลงร่างให้เป็นเครื่องเล่นแผ่นเสียงที่ทั้งรักษ์โลก ดีไซน์สวย และคุณภาพเสียงดีขึ้นด้วย ผ่านโปรเจกต์ REVERB by Gadhouse ที่จัดแสดงในงาน BKKDW2024 ถือเป็นการเปิดมิติใหม่ของวงการเครื่องเล่นแผ่นเสียง และผลักดันให้แบรนด์เกี่ยวกับดนตรีของไทยเป็นที่รู้จักมากขึ้นในตลาดโลก

WHAT’S NEXT : 

ในอนาคตวงการแผ่นเสียงของไทยถือเป็นช่วงขาขึ้นเลยก็ว่าได้ จากผู้เล่นในตลาดเดิมที่คงอยู่อย่างเหนียวแน่น พร้อมด้วยผู้เล่นรุ่นใหม่ผู้โหยหาอะไรที่เก่าแต่ยังเก๋ามากยิ่งขึ้น Gadhouse เองก็จะมีการพัฒนาเครื่องเล่นแผ่นเสียง ไปพร้อมๆ กับการเติมหมวดหมู่สินค้าใหม่ๆ เข้ามาทั้งเฟอร์นิเจอร์และแก็ดเจ็ต ที่ทำให้ไลฟ์สไตล์ของผู้คนดียิ่งขึ้น ไปจนถึงการเป็นคอมมิวนิตี้ขนาดย่อมๆ ของคนรักเสียงเพลงและการฟังเพลงจากแผ่นเสียง ที่เพชรยังตั้งใจจัดอีเวนต์เพื่อรวมคอมมิวนิตี้นี้ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

WHAT’S PRAISEWORTHY :

– Creative Design หยิบดีไซน์เก่ามาเล่าให้ทันสมัย ตอบโจทย์ทั้งฟังก์ชันและแฟชั่นอย่างลงตัว

– Community Space การเป็นมากกว่าแบรนด์สินค้า แต่คือการสร้างคอมมิวนิตี้ให้คนที่ชอบดนตรีไทยแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ไปจนถึงเป็นที่รู้จักในตลาดโลก

– Upcycle เป็นเสียงสะท้อนของโลก ผ่านการหยิบขยะเหลือทิ้งมาทำเป็นสินค้าที่จับต้องได้จริง

CIRCULAR แบรนด์ที่รีไซเคิลยูนิฟอร์มเก่าและขยะอุตสาหกรรมเป็นแฟชั่นสุดเท่ที่รักษ์จริง

จะดีแค่ไหนหากเสื้อยืด เสื้อโปโล เสื้อเชิ้ต หรือแม้แต่กระเป๋าผ้าและรองเท้ามีดีไซน์ที่เท่ เรียบง่าย ใส่ง่ายในชีวิตประจำวันและยังผสานแนวคิดรักษ์โลกได้อย่างลงตัว

CIRCULAR เป็นหนึ่งตัวอย่างที่ทำให้เห็นว่าแบรนด์แฟชั่นที่ดีต่อโลกและดีต่อใจอาจไม่จำเป็นต้องมองด้วยสายตาแวบแรกแล้วรู้ทันทีว่าผลิตจากเศษด้าย เศษผ้า และเสื้อผ้าเก่าเหลือใช้ แต่เป็นแฟชั่นสไตล์ minimal classy ที่ทันสมัยไม่ต่างจากแบรนด์แฟชั่นทั่วไป 

คอนเซปต์ของแบรนด์คืออยากให้คนตกหลุมรักเสื้อผ้าจากดีไซน์ควบคู่กับตกหลุมรักษ์สิ่งทอยั่งยืนจากเบื้องหลังการผลิตที่เต็มไปด้วยความรักษ์และใส่ใจในสิ่งแวดล้อมอย่างครบลูปด้วยกระบวนการผลิตจากการรีไซเคิล 100% สมกับชื่อแบรนด์ว่า CIRCULAR

วัธ–จิรโรจน์ พจนาวราพันธุ์ เจ้าของแบรนด์ CIRCULAR

ก่อนหน้านี้ Capital เคยมีโอกาสสนทนากับ วัธ–จิรโรจน์ พจนาวราพันธุ์ เจ้าของแบรนด์ CIRCULAR ถึงบทบาทของทายาทรุ่นที่ 3 ที่พลิกโฉมธุรกิจรับซื้อของเหลือใช้ ‘แสงเจริญการฝ้าย’ เป็น SC GRAND โรงงานที่ผลิตและจำหน่ายสิ่งทอรีไซเคิลเป็นแบรนด์แรกๆ ในไทย ซึ่งวัธก็เคยได้เกริ่นไว้ว่าการต่อยอดจาก SC GRAND มาทำ CIRCULAR แบรนด์แฟชั่นของตัวเองมาจากความตั้งใจที่อยากให้ลูกค้าองค์กรและคนทั่วไปเห็นภาพมากขึ้นว่าศักยภาพของธุรกิจสิ่งทอรีไซเคิลไม่ได้ทำได้แค่ผ้าหรือการตัดเย็บเท่านั้น แต่สามารถสร้างสรรค์แฟชั่นจากสิ่งทอยั่งยืนได้มากกว่านั้น

ผ่านไปหลักปีจากการคุยกันครั้งแรก วันนี้เทรนด์ขับเคลื่อนองค์กรด้วยความยั่งยืนกลายเป็นกระแสที่องค์กรใหญ่ต่างหันมาให้ความสำคัญทำให้หลายองค์กรหันมาทำคอลเลกชั่นจากผ้ารีไซเคิล ปีที่ผ่านมาผลงานโดดเด่นของ CIRCULAR จึงเป็นการนำยูนิฟอร์มเก่าและเศษผ้าเหลือทิ้งจากองค์กรใหญ่ไปจนถึงแบรนด์แฟชั่นขนาดเล็กในอุตสาหกรรมต่างๆ มารีไซเคิลทำเป็นคอลเลกชั่นสุดเท่ในคอนเซปต์ไม่ซ้ำกัน

“สำคัญที่สุดคือเราอยากสร้างแรงบันดาลใจให้อุตสาหกรรมแฟชั่นและคนทั่วไป ให้ทุกคนเห็นว่ามีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงอนาคตที่เผชิญร่วมกันได้ โดยที่มีแบรนด์เราเป็นธุรกิจเล็กๆ ที่ลงมือทำจริงและเริ่มสร้างการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่สเกลเล็ก”

จากความตั้งใจดังกล่าวในการผลักดันด้านสิ่งทอยั่งยืนของวัธ ขอชวนฟังเรื่องราวการทำธุรกิจว่า CIRCULAR จริงจังกับการรักษ์โลกยังไงจนกลายเป็นแบรนด์แฟชั่นที่รักษ์ (โลก) จริง  

CIRCULAR

เปลี่ยนยูนิฟอร์มสุดที่รักเป็นชุดรักษ์โลกสุดเท่ 

หนึ่งในตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าความรับผิดชอบต่อโลกใบนี้สามารถเดินคู่กับโลกแห่งแฟชั่นได้อย่างสร้างสรรค์คือการร่วมมือระหว่าง CIRCULAR และการบินไทยในโครงการ Waste to Wardrobe ที่ชวน 10 แบรนด์แฟชั่นขวัญใจคนรุ่นใหม่มาร่วมสร้างคอลเลกชั่นพิเศษร่วมกันโดยนำยูนิฟอร์มเก่าของการบินไทยมาต่อยอดผ่านดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์และความถนัดเฉพาะตัวของแต่ละแบรนด์

ตั้งแต่แฟชั่นฤดูหนาวอันได้แก่ knitwear จาก SHE KNOWS และ sweater สุดเก๋จาก ROUGH CUT, เสื้อทอมือที่ใส่ได้กับทุกลุคจาก JUN, กระเป๋าผ้าแคนวาสและรองเท้าจากเศษผ้ากับเศษหนังโดย Youngfolks, เสื้อครอปจาก Hangles, เสื้อทรง Loose Fit จาก Khaki Bros, เสื้อที่มีลูกเล่นปลี่ยนเป็นกระเป๋าได้จาก Hamburger Studio, หมอนรองคอเพื่อสุขภาพจาก Mr. Big, ชุด Travel Case และผ้าปิดตาสุดชิคจาก EV Girls ไปจนถึงกางเกง Cargo Pants ดีไซน์ลำลองจาก CIRCULAR

แน่นอนว่าโทนสีเด่นของเสื้อผ้าคอลเลกชั่นนี้คือสีเทาอมม่วงซึ่งเป็นสี CI อันเป็นเอกลักษณ์ของการบินไทย ช่วยเพิ่มความรู้สึกพิเศษให้กับทุกไอเทม ขณะเดียวกันก็สื่อถึงต้นกำเนิดของวัตถุดิบในโครงการนี้ ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมาก็ตรงกับความตั้งใจที่อยากสร้างภาพลักษณ์ที่เข้าถึงง่ายให้สิ่งทอยั่งยืน 

สิ่งที่ CIRCULAR อยากสื่อสารคือ ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์อะไร ถ้ามีขยะเหลือใช้ ทางโรงงานก็พร้อมเปลี่ยนขยะเหล่านั้นให้เข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลและกลายเป็นสินค้าน่าใช้ในแบบของแบรนด์นั้นได้ ดั่งเช่นอีกหนึ่งตัวอย่างไอเดียสร้างสรรค์คือ THE GLOWING SNEAKERS รองเท้าผ้าใบเรืองแสงจากโครงการเพื่อสังคมของไอ.พี. วัน (I.P. ONE) ผู้ผลิตแบรนด์ FMCG ที่เกิดไอเดียอยากนำซองน้ำยาซักผ้ามาทำรองเท้าสะท้อนแสงเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้เด็กๆ เวลาข้ามถนน

รองเท้าคู่นี้จึงมีจุดเด่นคือพื้นรองเท้าทำจากซองน้ำยาปรับผ้านุ่มผสมกับยางพารา ตัวรองเท้าทำจากเศษผ้าเก่า และมีเชือกรองเท้าที่ทำจากขวดพลาสติกเหลือใช้ โดยงานนี้ CIRCULAR จัดการรีไซเคิลวัสดุเหลือใช้ทั้งหมด ส่วนดีไซน์เรียบเท่ได้แบรนด์ Maddy Hopper มาช่วยออกแบบ

ความสำคัญของแต่ละคอลเลกชั่นรักษ์โลกภายใต้แบรนด์ CIRCULAR จึงเป็นการผลักดันให้ธุรกิจและองค์กรต่างๆ เห็นความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในการสร้างสรรค์แฟชั่นที่เป็นมิตรต่อโลก

“เราทำเพื่อต้องการให้องค์กรต่างๆ เห็นว่า ถ้าคุณมาร่วมงานกับ CIRCULAR ไม่ได้หมายถึงการได้แค่เสื้อยืด เสื้อโปโลกลับไปนะ แต่ยังสามารถทำออกมาในเชิงแฟชั่น ดูมีสไตล์ แล้วยังเหมาะกับองค์กรของคุณได้”’

แฟชั่นที่มีพยานรักษ์การันตี 

การวนกลับมาใช้ใหม่อีกครั้ง สร้างคุณค่าใหม่อีกคราด้วยการผลิตจากวัตถุดิบรีไซเคิล 100% แบบนี้เรียกว่า closed loop หรือระบบการผลิตแบบปิดซึ่งช่วยสร้างผลกระทบที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม

“closed loop คือการเอายูนิฟอร์มเก่ามารีไซเคิลเป็นเสื้อผ้าใหม่ แทนที่จะเอายูนิฟอร์มหรือเสื้อผ้าไปเผาทิ้ง ฝังกลบ หรือผลิตเสื้อจากวัตถุดิบใหม่ 100% ก็เอา waste มาผสมแทน”

วัธยกตัวอย่างการร่วมงานกับแบรนด์เสื้อยืด YUEDPAO (ยืดเปล่า) ที่แม้จะขายดิบขายดีจากสินค้าฮีโร่อย่างเสื้อยืดแต่ก็ทำให้เกิดผ้าเหลือเยอะ นึกภาพเวลาตัดเย็บผ้าที่มักต้องใช้ผ้าทรงสี่เหลี่ยม แต่เนื่องจากเสื้อผ้าที่เราทุกคนใส่มักจะมีทรงโค้งเว้าจึงย่อมมีเศษผ้าเหลือ ทำให้ฝั่งแบรนด์แฟชั่นเองก็มีความต้องการอยากเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเช่นกัน 

โดยในการทำงานร่วมกัน แบรนด์ CIRCULAR จะรับหน้าที่รีไซเคิลผ้าเหล่านั้น แล้วส่งต่อให้ YUEDPAO ออกแบบเสื้อผ้าต่อในเอกลักษณ์ของตัวเอง โดยในบางโปรเจกต์ยังเปิดรับบริจาคเสื้อผ้าเพิ่มเติมเช่น โครงการที่เปิดรับบริจาคเสื้อผ้าที่ปั๊มน้ำมัน PT ซึ่งเพิ่มความสะดวกและลดการทิ้งเสื้อผ้าเก่าอีกต่อ

เศษผ้ากระจิริดที่เหลือทิ้งในแต่ละครั้งของการตัดเย็บจึงมีความหมาย แถมเมื่อเสื้อผ้ารีไซเคิลเหล่านี้ไม่ได้ผ่านกระบวนการฟอกย้อมในการผลิตจึงทำให้สีสันของเสื้อผ้ามีความเป็นเอกลักษณ์จากขยะสิ่งทอที่นำมารีไซเคิลในแต่ละครั้ง

วัธขยายความว่า “สิ่งที่เราทำคือการ customize การผลิตจากขยะเหลือทิ้งของลูกค้า เอามาทำเป็นผ้าสำหรับเสื้อเชิ้ตก็ได้ ผ้ายืดทั่วไปก็ได้ แค่ใช้เทคนิคการทอต่างกัน เมื่อก่อนธุรกิจเราเหมือนขายหมูขายผัก อาจจะหั่นหมูอย่างเดียว หั่นผักอย่างเดียวเลย แต่ตอนนี้พอลูกค้าโยนผักมาให้ เราก็ทำเมนูตามที่ลูกค้าต้องการได้”

ความเท่คือแฟชั่นรักษ์โลกของ CIRCULAR มีการการันตีว่ารักษ์จริงด้วยพยานรักษ์ที่มีมาตรฐาน ตั้งแต่การรับรองจาก B Corporation มาตรฐานที่เหล่าแบรนด์แฟชั่นนิยมนำมาการันตีว่าองค์กรมีความน่าเชื่อถือในมุมสังคมและสิ่งแวดล้อม, GRS (Global Recycle Standard) มาตรฐานการส่งออกต่างประเทศที่มีการตรวจสอบเช็กสินค้าตั้งแต่ต้นว่าเอาผ้าเหลือทิ้งมาจากไหน ปั่นด้ายรีไซเคิลที่ไหน ทอผ้าที่ไหน ฯลฯ และมีการตรวจสอบ LCA (Life Cycle Assessment) ซึ่งคำนวณวงจรชีวิตว่าธุรกิจช่วยลดทรัพยากรธรรมชาติยังไงบ้าง โรงงานหลังบ้านมีการใช้ไฟและน้ำในเดือนหนึ่งเท่าไหร่ เป็นต้น

“เราทำมาตรฐานเหล่านี้เพื่อต้องการพิสูจน์ให้ลูกค้ารู้ว่าเราทำจริงนะ และถูกรับรองโดย Third-Party ซึ่งเป็นมาตรวัดในมุมของโลกแฟชั่นที่คล้ายมิชลินในวงการอาหาร” 

นอกจากนี้ 1% ของรายได้จาก CIRCULAR ยังมอบให้กับองค์กร 1% for the Planet ที่นำรายได้ไปช่วยสังคมและสิ่งแวดล้อมทั่วโลกอีกต่อด้วย โดย CIRCULAR ได้เลือกบริจาครายได้ส่วนนี้ให้องค์กรเพื่อสังคมของอังกฤษชื่อ Just a Drop ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการอนุรักษ์น้ำ 

สเกลความรักษ์แบบ Circular and Friends

หนึ่งในคอลเลกชั่นใหม่ของ CIRCULAR ที่จะเปิดตัวในปีหน้าคือโปรเจกต์รีไซเคิลชุดกีฬาในแนวคิด ‘เสื้อวิ่งครั้งนี้มาจากเสื้อวิ่งคราวที่แล้ว’ โดยนำเทคโนโลยีใหม่มารีไซเคิลเนื้อผ้าเสื้อกีฬาซึ่งมักเป็นผ้าโพลีเอสเตอร์ที่เน้นความลื่น เบาสบายเป็นพิเศษ

วัธอธิบายถึงแนวทางการทำงานในปัจจุบันโดยเน้นไปที่สองประเด็นหลักที่เป็นหัวใจสำคัญของบริษัท

“ตอนนี้เราเน้นโฟกัสที่ 2 อย่าง หนึ่งคือการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ ตลอดเวลา เช่น เซนเซอร์ในการแยกโพลีเอสเตอร์และคอตตอน ไปจนถึงเทคโนโลยีที่สามารถผลิตแบบ customize ตั้งแต่ต้นจนจบโดยลดการทำงานด้วยคน ซึ่งมองว่าเรายังทำได้อีกหลายอย่าง แต่การลงทุนแต่ละพาร์ตก็ต้องดูความคุ้มค่าด้วย” 

เขาเน้นย้ำว่ากระบวนการผลิตในอนาคตจำเป็นต้องพัฒนาเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์การใช้งานในเชิงพาณิชย์ “ความจริงเทคโนโลยีทุกวันนี้ทำได้ครบวงจรแล้ว หลายแบรนด์แฟชั่นที่อยู่ในห้างหรือเป็นแบรนด์ระดับโลกก็ได้ลงทุนในเทคโนโลยีเหล่านี้ แต่ยังต้องใช้เวลาและความต้องการของตลาดที่มากพอเพื่อให้การลงทุนนี้เกิดความคุ้มค่าได้จริง”

อีกด้านที่วัธให้ความสำคัญไม่แพ้กันคือการสร้างแบรนด์และการสื่อสารที่เข้าถึงลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ “เรื่องที่สองที่เราให้ความสำคัญคือแบรนดิ้งและการสื่อสารให้ลูกค้าเข้าถึงและจับต้องเราได้ง่าย เราต้องการให้ทุกคนที่ร่วมงานกับเราได้คอนเทนต์และการสื่อสารที่แตกต่างกันออกไป ทุกครั้งที่เราคอลแล็บกับแบรนด์ต่างๆ เราอยากพยายามดึงตัวตนของแบรนด์นั้นออกมา สร้างมูฟเมนต์ให้ลูกค้ามีส่วนร่วมในกระบวนรีไซเคิลและสนุกกับมันด้วย” 

เพื่อตอบโจทย์ทั้งในด้านคอมมิวนิตี้และความยั่งยืน พื้นที่ชั้น 2 ของตึก CIRCULAR จึงถูกพัฒนาให้กลายเป็นคอมมิวนิตี้ที่ชื่อ Circular and Friends พื้นที่นี้เปิดโอกาสให้แบรนด์รักษ์โลกได้นำสินค้ามาฝากขาย เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับคอมมิวนิตี้และหลีกเลี่ยงความจำเจจากการมีแค่เพียงเสื้อผ้า ตัวอย่างเช่น แบรนด์แว่นตา Wastic ที่นำขวดพลาสติกมาอัพไซเคิล, แบรนด์ MYW accessories ซึ่งผลิตเครื่องประดับจากพลาสติกรีไซเคิล, และถุงเท้าใยไผ่จาก Maddy Hopper เป็นต้น

นอกจากสินค้าที่น่าสนใจแล้ว อีกหนึ่งไฮไลต์ของที่นี่คือกิจกรรมที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกเดือน โดยมีแผนการจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง เช่น เชิญแบรนด์แฟชั่นผู้ชายแนว classic menswear มาจัดตลาดสินค้าแบบยั่งยืนด้วยกันที่ชั้นสาม หรือเชิญแบรนด์ลูกค้าที่เคยร่วมโปรเจกต์กับเรามาจัดโชว์เคส รวมถึงอีเวนต์ด้านความยั่งยืนอื่นๆ เพื่อสร้างทราฟฟิกและความเคลื่อนไหวให้กับพื้นที่

อนาคตรักษ์จริงที่มองเห็นขยะเป็นทองคำ

วัธมองว่าอนาคตของ CIRCULAR ยังเติบโตได้อีกไกลเพราะกองขยะจากอุตสาหกรรมสิ่งทอนั้นมีมากมายและยังมีโอกาสสำคัญนอกเหนือจากการทำธุรกิจในไทย

“อีกหน่อย waste จะกลายเป็นทองนะ หมายความว่า waste ของทุกอุตสาหกรรมจะกลายเป็นวัตถุดิบหมด”
สิ่งที่วัธสังเกตเห็นคือนักธุรกิจจากยุโรปที่ใส่ใจด้านความยั่งยืนเริ่มมีการขยับขยายการลงทุนข้ามภูมิภาคด้วยการสร้างทีมจัดการขยะรีไซเคิลในประเทศเวียดนามและกัมพูชา ซึ่งชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มที่ชัดเจนว่า circular economy กำลังกลายเป็นหัวใจสำคัญในภูมิภาคอาเซียน 

สิ่งที่ตามมาในอนาคตของ SC GRAND และ CIRCULAR คือการตั้งเป้าหมายเป็น recycle hub หรือศูนย์กลางด้านการรีไซเคิลในอาเซียน “waste ในเมืองไทยปีหนึ่งอาจจะมีไม่ถึง 1 แสนตัน แต่ถ้าเป็นในกัมพูชา เวียดนาม เขาจะมีประมาณ 3-5 แสนตันต่อปี ด้วยจำนวน waste ค่อนข้างเยอะใน Southeast Asia เราก็เลยมองว่าอนาคตเราอยากเป็นหนึ่งในพาร์ตเนอร์ในการรีไซเคิลเป็นผ้าใหม่ เสื้อผ้าใหม่”

เป้าหมายของธุรกิจไม่ได้หยุดอยู่แค่การเป็นศูนย์รีไซเคิลแต่ยังมองไปไกลถึงการสร้าง sustainable textile ecosystem ในระยะยาว “เราอยากโฟกัสด้านสิ่งทอยั่งยืนเพราะผ้ามีหลากหลายประเภทมาก มีโครงสร้างผ้าหลายแบบ แล้วเทกซ์เจอร์ของผ้าแต่ละประเภทก็แตกต่างกัน เราจึงอยากเป็นเหมือนใยแมงมุมที่เชื่อมต่อกับพาร์ตเนอร์เหล่านั้น”

ในอนาคตวัธบอกว่า SC GRAND และ CIRCULAR อยากเติบโตเป็นเหมือน universal plug หรือปลั๊กอเนกประสงค์ที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับทุกความต้องการของธุรกิจสิ่งทอในภูมิภาค

“การที่เราอยากเป็นเหมือน universal plug หมายความว่าเวลาประเทศที่มีเฉพาะเทคโนโลยีสิ่งทอแวะมาอาเซียน ก็สามารถเอาเทคโนโลยีของเขามาปลั๊กอินกับโรงงานของเราได้ง่าย หรือสมมติคุณเป็นโรงงานตัดเย็บที่มี waste เยอะ เป็นแบรนด์แฟชั่น เป็นแบรนด์ระดับโลกที่มีฐานการผลิตใน Southeast Asia คุณก็มาปลั๊กอินกับเราแล้วได้ผ้าใหม่ได้เลย” 

โดยตอนนี้ธุรกิจอยู่ในช่วงของการเก็บสะสมจิ๊กซอว์เพื่อสร้างเครือข่ายกับแบรนด์แฟชั่น โรงงานตัดเย็บ แบรนด์ SME ต่างประเทศ และบริษัทเอกชนซึ่งการสร้างความร่วมมือเหล่านี้เพื่อหวังเป็นก้าวสำคัญสู่การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมสิ่งทอยั่งยืนในระยะยาว

ทั้งนี้วัธยังกล่าวถึงความมุ่งมั่นในการทำธุรกิจสิ่งทอว่าเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (carbon neutral) 100% ในทุกส่วนของซัพพลายเชนและผลิตภัณฑ์ภายในปี 2033 และปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (net-zero) ภายในปี 2043 ซึ่งเป็นเป้าหมายใหญ่ที่ขับเคลื่อนด้วยการตั้งใจก้าวเดินเล็กๆ ไปทีละก้าว

“เราตั้งเป้าหมายนี้ไว้เพราะมองว่ามันเป็นวิสัยทัศน์ที่เราต้องทำถ้าอยากเดินเกมด้านความยั่งยืน
เพราะเราอยากเป็นตัวจริงด้านนี้ คือหายใจเข้า-หายใจออกก็เป็น sustainable textile”   

Let’s Relax สปาสัญชาติไทยที่ยืนหยัดกว่า 26 ปี และเป็นต้นแบบ SME ที่เข้าสู่มหาชน 

นอกจากอาหาร หนึ่งในซอฟต์พาวเวอร์ของไทยที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลคือ ‘การนวด’ ยิ่งเมื่อกระแส health & wellness มาแรง การนวดผ่อนคลาย สปาบำบัด หรือแม้แต่การแช่ออนเซน จึงกลายเป็นกิจกรรมยอดนิยมที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคนี้ 

ท่ามกลางผู้ให้บริการสปาและนวดที่เกิดขึ้นมากมายในประเทศไทย ชื่อของ Let’s Relax ยังคงยืนหนึ่งในฐานะแบรนด์สปาสัญชาติไทยที่สร้างความไว้วางใจมายาวนานกว่า 26 ปี นอกจากการมอบความสบายกายแล้ว มาตรฐานระดับสากลของแบรนด์ยังช่วยเติมเต็มความสบายใจให้กับผู้ใช้บริการอีกด้วย

จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ ที่เชียงใหม่ พร้อมฐานลูกค้าส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ Let’s Relax ได้เติบโตและขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีสาขากว่า 80 สาขา พร้อมกับพัฒนาบริการใหม่ๆ ที่หลากหลายยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัวแบรนด์สินค้าไลฟ์สไตล์ของตัวเอง การให้บริการคลินิกกายภาพบำบัด หรือการสร้างออนเซนแบบครบวงจร เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไป

ความโดดเด่นของ Let’s Relax ไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้น แต่ยังเป็นแบรนด์สปาไทยเจ้าแรกที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ นับเป็นหนึ่งในตัวอย่างของ SME ไทยที่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทมหาชนได้สำเร็จ ด้วยโมเดลธุรกิจที่ทำครบลูป ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทั้งการสร้างโรงเรียนสอนนวดเพื่อพัฒนาบุคลากรมืออาชีพ การพัฒนาและผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์ของตัวเอง รวมถึงการสร้างประสบการณ์ที่ครอบคลุมทุกมิติของการให้บริการ wellness

เบื้องหลังความสำเร็จของ Let’s Relax ไม่ใช่แค่การสร้างสปาระดับโลก แต่ยังรวมถึงการบริหารจัดการแบบองค์รวมที่มุ่งเน้นมาตรฐานและประสบการณ์ของลูกค้าอย่างแท้จริง Brand Belief ตอนนี้ขอพาทุกคนไปผ่อนคลายกายและใจกันที่ Let’s Relax Onsen and Spa สาขาทองหล่อ พร้อมไขกลยุทธ์ 8 ข้อกับ เอ็ม–ณรัล วิวรรธนไกร กรรมการบริหารของบริษัท สยามเวลเนสกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ที่ทำให้ Let’s Relax ส่งต่อความสบายระดับสากล 

1. มองหากลุ่มลูกค้าที่ไม่มีใครครอง

“ย้อนกลับไปเมื่อปี 2541 ที่ Let’s Relax ก่อตั้งขึ้น ตอนนั้นสปาจะมี 2 เลเวล คือสปาที่อยู่ในโรงแรม 5 ดาวที่สะอาด คุณภาพดี แต่ฝีมือการนวดอาจไม่สุดเท่าไหร่ เพราะเขาคัดคนได้ภาษา หรือเน้นเรื่องมารยาท กับอีกแบบหนึ่งคือร้านนวดตามห้องแถวนะครับที่หมอนวดคือคุณป้าที่นวดมา 10-20 ปี คุณภาพการนวดเนี่ยยกนิ้วให้เลย แต่ว่าการบริการ ความสะอาด หรือมาตรฐานอาจลดหลั่นกันไป

“คุณอาวิบูลย์ อุตสาหจิต ที่ปัจจุบันเป็น CEO เขามีแพสชั่นเรื่องการนวดไทยมาก เขาเห็นว่าจริงๆ มันมีโอกาสทางการตลาดในกลุ่มตรงกลางอยู่นะ เราสามารถทำสปาที่มีทั้งมาตรฐาน สะอาดสะอ้าน มารวมกับความนวดถึง นวดดีได้ เป็นที่มาของ Let’s Relax สาขาแรกที่เชียงใหม่ ตรงไนท์บาร์ซ่าเลยเพราะเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่เราจะเผยแพร่วัฒนธรรมไทยได้

“ความแตกต่างตรงนั้นที่มันยังไม่มีใครจับกลุ่มตลาดนี้เท่าไหร่ ทำให้เราขยายอีกสาขาที่เชียงใหม่ แล้วก็ลงมาที่พัทยา แล้วค่อยเข้ากรุงเทพฯ”

2. เลือกให้ได้ว่าอยากเติบโตแบบไหน ตัดสินใจให้ได้ว่าตอนไหนที่ต้องสเกล

“แบรนด์เติบโตและเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังเป็นธุรกิจครอบครัว เป็น SME ที่มีพาร์ตเนอร์หลายๆ ส่วนช่วยกันดูในแต่ละแผนก จุดพลิกผันคือปี 2551 ที่มีประเด็น ACE เข้ามาในประเทศ เริ่มมีแนวโน้มว่าจะมีธุรกิจจากสิงคโปร์ จากมาเลเซียมาดึงเสน่ห์ของนวดไทยไป 

“ตอนนั้น Let’s Relax ก็มองว่าถ้าเราจะเล็กก็เล็กไปเลย อย่าอยู่กลางๆ แต่ถ้าอยากขยายธุรกิจเราก็ต้องคิดใหญ่ ไปใหญ่เลยนะ เป็นที่มาของการเข้าตลาดหลักทรัพย์เมื่อปี 2557 ถือเป็นสปาเจ้าแรกและเจ้าเดียวที่เป็นบริษัทมหาชน

“การเข้าตลาดหลักทรัพย์มันตอบโจทย์เรา 3 เรื่อง เรื่องแรกคือการยกระดับมาตรฐานนวดไทยหรือสปาไทยให้ไปสู่ระดับสากลมากขึ้น เพราะถ้าเราทำกันเองในฐานะ SME ก็อาจมีข้อจำกัดหลายอย่าง เรื่องที่สองคือเรื่องแบรนด์ ผมเชื่อว่าการเข้าตลาดหลักทรัพย์มันเปิดลู่ทางให้เราขยายได้ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงยังทำให้เราสร้างความหลากหลายให้แบรนด์ได้มากขึ้นด้วย 

“และส่วนที่สาม เรื่องของเงินทุน มันทำให้เราขยายสาขาได้เร็ว จากวันที่เราเข้า IPO เรามีอยู่เพียง 12 สาขา แต่ปัจจุบันเรามีอยู่กว่า 80 สาขา ครอบคลุมกรุงเทพฯ และหัวเมืองท่องเที่ยวต่างๆ” 

3. เมื่อความเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งจีรัง การสร้างความหลากหลายและปรับตัวให้เท่าทันจึงจำเป็น

“เดิมทีคนอาจจะมองว่า Let’s Relax เป็นแบรนด์สปาที่เน้นนักท่องเที่ยวจีน ปัจจุบันจีนก็ยังเป็นเบอร์หนึ่ง รองลงมามีกลุ่มลูกค้าชาวอินเดีย เกาหลีใต้ มาเลเซีย แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาประเทศไทยเราเจอหลายวิกฤต ทั้งการเมืองบ้าง ภัยธรรมชาติบ้าง หรืออย่างโควิด-19 ที่หนักที่สุด 

“เราไม่อยากจะ put all eggs in one basket เพราะเรามองว่าเราจะเติบโตได้อย่างยั่งยืนก็ต้องมีบาลานซ์ที่ดีระหว่างพอร์ตนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติและคนไทย หลังๆ เราเริ่มทำการตลาดแตกต่างกัน กับกลุ่มลูกค้าเดิมๆ อย่างจีน ไต้หวัน ฮ่องกง เกาหลีก็รักษาไว้ กลุ่มลูกค้าต่างชาติใหม่ๆ อย่างตะวันออกกลางก็ต้องดู ทำให้ฐานข้อมูลกลุ่มลูกค้านักท่องเที่ยวต่างชาติของเรามีความหลากหลายมากขึ้น 

“ส่วนคนไทยเองเราไม่ได้ทิ้งนะครับ เรามองว่ากลุ่มลูกค้าคนไทยยังเป็นกลุ่มผู้สนับสนุนที่ดี เพราะการขยายสาขาของเรากลับมารวดเร็วมากขึ้น เราเริ่มมีลูกค้าคนไทยทั้งขาประจำและขาจร แล้วจริงๆ ไม่ใช่แค่ไทยหรือต่างชาติ แต่เทรนด์ health & wellness ในปัจจุบันที่มาแรง เรายิ่งต้องสร้างความหลากหลายให้กับแบรนด์เพื่อตอบสนองคนทุกรุ่น 

“รุ่นเบบี้บูมเมอร์ รุ่นเจนฯ X อาจจะยังชอบนวดอยู่ เพราะเขามองว่านี่เป็นการผ่อนคลาย เป็นกิจกรรมหลังทำงาน หรือวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ แต่คนรุ่นใหม่ คนเจนฯ Z อาจจะชอบการทำกิจกรรมที่หลากหลาย เป็นกลุ่มที่ใช้แก็ดเจ็ต ใช้ดิจิทัลค่อนข้างเยอะซึ่งอาจทำให้รู้สึกอ่อนล้าได้ สำหรับกลุ่มนี้ เขาอาจมองว่าการยืดเหยียดตอบโจทย์และเห็นผลเร็วกว่า  

“จากเดิมที่เรามีแค่ Let’s Relax นะครับ เราก็มีแบรนด์พรีเมียมมากขึ้นชื่อลลินจินดานะครับ เราเข้าไป aquire บ้านสวนมาสสาจ ซึ่งเป็นร้านนวดตามชานเมืองกรุงเทพฯ เราต่อยอดเรื่อง wellness มากขึ้น ไม่ว่าจะออนเซ็น, คลินิกกายภาพ Stretch me, ซาลอนนวดหน้า รวมไปถึงการทำรีสอร์ตและร้านอาหาร 

“เพราะจริงๆ วิชชั่นของเราคือเราต้องการเป็น wellness for all หรือต้องการส่งเสริมให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดีขึ้น เพราะเราเชื่อว่าการมีชีวิตที่ดี การมีสุขภาพที่ดีก็จะทำให้ชีวิตดีขึ้น”

4. สอดส่องหาที่ยืนในทุก journey ของลูกค้า  

“ผมเชื่อว่าสปาเนี่ยเปิดไม่ยาก มีเงิน มีที่ ก็เปิดได้ แต่การจะทำให้ธุรกิจสปาเติบโตได้อย่างยั่งยืน เราต้องใส่ brand essence เข้าไป เราต้องเข้าใจ journey ของลูกค้า 

“อย่างเวลาลูกค้ามาใช้บริการหนึ่งชั่วโมง สองชั่วโมง เราก็อยากให้เขาผ่อนคลายในทุกมิติ ทั้งรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส หลายๆ ท่านจะบอกว่า เอ๊ะ เวลาเรามาใช้บริการก็มีแค่ therapist มานวดให้อย่างเดียวนี่ แต่จริงๆ เรามองว่ามันมีอีกหลายศาสตร์ที่เราใส่เข้าไปเพื่อเพิ่มประสบการณ์ดีๆ ให้ลูกค้าได้ เช่น เพลงที่ลูกค้าได้ยินตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามา หรือกำลังใช้บริการก็เป็นเพลงที่เราแต่งขึ้นเองซึ่งถูกออกแบบให้บรรเลงตามจังหวะของหัวใจ 

“คอนเซปต์ของ Let’s Relax เราแต่งไม่เหมือนกันเลย สำหรับ Let’s Relax Onsen and Spa ทองหล่อจะเป็น urban onsen ที่ครบสมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทย เป็นการผสมผสานศาสตร์จากญี่ปุ่นคือการแช่น้ำร้อนกับศาสตร์นวดไทย การตกแต่งก็จะเน้นความเป็น modern japanese onsen มีการผสมผสานเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมใหม่ๆ เช่น บ่อแช่แบบพิเศษ เข้ากับนวดไทย

“หรือเมื่อลูกค้าใช้บริการเสร็จแล้ว เรายังมองว่าจริงๆ Let’s Relax สามารถส่งมอบประสบการณ์สปาให้ลูกค้าที่บ้านต่อได้ เราจึงมีแบรนด์ผลิตภัณฑ์สปาของตัวเองที่ใช้ในสาขาด้วย ขายให้คนซื้อไปใช้ที่บ้านด้วย เช่น คอลเลกชั่นใหม่ที่ชื่อ Let’s Relax Lifestyle หรือ LRL

“ทั้งหมดนี้มาจากคอนเซปต์ของเราที่ต้องการเป็น wellness for everyone นะครับ ไม่ว่าจะเป็นบริการสปาที่อยู่ในทำเลที่ตั้งที่เข้าถึงคนได้หลากหลายกลุ่ม มีสินค้าที่อยู่ในชีวิตลูกค้าได้ ตั้งแต่เช้า ไปทำงาน กลับมาพักผ่อนที่บ้าน หรือเข้านอน”

5. ช่องทางการเข้าถึงที่หลากหลาย ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์

“ก่อนหน้านี้เราเป็นธุรกิจที่ค่อนข้างเน้นหนักที่ออฟไลน์ คือลูกค้ามารับประสบการณ์ที่สปา แต่ในช่วงโควิด-19 ที่ลูกค้าต้องอยู่บ้าน เราทำการตลาดรูปแบบใหม่ มีการพาร์ตเนอร์กับพาร์ตเนอร์ใหม่ๆ เพื่อส่งประสบการณ์จากสปาเข้าสู่บ้าน ทั้งผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในสปา ไปจนถึงทองม้วน หนึ่งในสินค้าที่ได้รับความนิยมของ Let’s Relax 

“จากประสบการณ์ตรงนี้ ทำให้ปัจจุบันเราเป็น omnichannel ไม่ว่าจะเป็นทางหน้าร้านก็ทดลองผลิตภัณฑ์ ทดลองกลิ่น ทดลองเทกซ์เจอร์ได้ ส่วนลูกค้าที่ไม่สะดวกมาที่หน้าร้านก็ยังมีซื้อสินค้าของเราได้ทั้งทางช่องทางของเราเองและพาร์ตเนอร์ต่างๆ ในทางออนไลน์ 

“ที่เรามุ่งเน้นในเรื่องการทำ collaboration กับพาร์ตเนอร์หลายส่วน เพราะเราเชื่อว่าหนึ่งบวกหนึ่งมากกว่าสอง การที่เรามีพาร์ตเนอร์ที่แข็งแรงในแต่ละด้านจะช่วยสั่งสมให้ลูกค้าสามารถทดลองแล้วมาใช้บริการ หรือรู้จัก Let’s Relax ได้ในมุมที่ลึกซึ้งมากขึ้น

“ขณะเดียวกันเราก็ต้องสร้างฐานข้อมูลของเราเอง คือ customer loyalty ซึ่งเราใช้โปรแกรม wellness me เป็น moblie application ที่ลูกค้าสะสมการใช้จ่าย เก็บประวัติการใช้บริการได้ ทั้งหมดนี้คือการสร้าง unique customer experience ที่ Let’s Relax”  

6. ‘คน’ สิ่งสำคัญของธุรกิจที่มองข้ามไม่ได้

“ผมเชื่อว่าการรักษาคนเป็นสิ่งสำคัญในธุรกิจ ยิ่งเราเป็นธุรกิจที่เน้นการบริการด้วย อย่างหลายคนพูดว่าตอนนี้ Siam Wellness Group เป็นบริษัทมหาชนแล้ว แต่ถ้าถามผมนะ การบริหารจัดการคน ผมมองว่าเรายังมีเสน่ห์ของความเป็น family business อยู่ ทุกคนยังดูแลเป็นพี่เป็นน้อง เป็นเหมือนครอบครัว

“ผู้บริหารที่นี่ตั้งแต่ระดับบนลงไปถึงล่างพยายามไปพบปะ พูดคุยกับพนักงานอย่างสม่ำเสมอ ผมคิดว่าเป็นวัฒนธรรมที่สั่งสมมาตั้งแต่รุ่นหนึ่งถึงรุ่นสองเลย เชื่อไหมว่ายังมีพี่พนักงาน 2 ท่าน ที่อยู่กับเราตั้งแต่วันแรกที่เราเปิดธุรกิจเมื่อ 26 ปีที่แล้ว ถามว่าทำไมเขายังอยู่กับเราได้จนถึงทุกวันนี้ เพราะเรามี career path ในการเติบโตของพนักงาน 

“เรามุ่งมั่นให้ทุกคนเป็น continuous learner นะ จาก therapist เขาขึ้นมาเป็น senior ขึ้นมาเป็น instructor ได้ หลายคนพออายุถึงเลข 6 เลข 7 ที่เริ่มลงแรงนวดไม่ได้ เราก็พยายามหางานใหม่ๆ ให้เขา ทั้งการเป็นอาจารย์ มาช่วยดูสาขา ดูมาตรฐาน เหมือนส่งมอบวัฒนธรรมกลายๆ ให้กับทีมรุ่นใหม่ๆ  

“หลายช่วงที่เรามี 3 เจเนอเรชั่นในครอบครัวที่ทำงานกับเรา เช่น คุณยาย คุณแม่เป็น therapist พอลูกจบปริญญาตรีก็มาเป็น reception หรือโตขึ้นมาเป็น spa manager ผมว่ามันเป็นความภูมิใจของพนักงานนะ เขาสามารถพูดออกมาได้เลยว่าอาชีพ therapist มันสร้างงาน สร้างเงิน เลี้ยงครอบครัวได้”

7. มาตรฐานคือรากไม้ ความยืดหยุ่นคือกิ่งก้านสาขา 

ปัจจุบันการทำธุรกิจมันท้าทายมากๆ ทั้งจากเทคโนโลยี พฤติกรรมของผู้บริโภค อีกสิ่งสำคัญที่ต้องยึดมั่นในการบริหารคือ resilience หรือความยืดหยุ่น หมายความว่าแบรนด์ต้องรวดเร็ว และตรงไปตรงมา แต่สิ่งที่ต้องรักษาไว้คือประสบการณ์ของลูกค้า

“อย่างช่วงโควิดที่ผ่านมา เราพยายามอย่างมากที่จะรักษาบุคลากรที่มีประสบการณ์ของเรา เพราะเชื่อว่าเมื่อสถานการณ์ปกติแล้ว แต่ถ้าเราขาดบริการที่ดี ขาดบุคลากรที่เก่ง มันจะทำให้มาตรฐานที่เราเคยสร้างมา 20 กว่าปีพังลงไป 

“brand believe ของ Let’s Relax คือการส่งมอบมาตรฐานสปาไทยในระดับสากล เราถือเป็นบริษัทสปาเจ้าแรกที่ทำธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เรามีโรงเรียนสอนนวดเพื่อให้พนักงานเป็นมาตรฐานเดียวกัน ไม่ว่าแต่ละคนจะผ่านประสบการณ์มาจากไหนบ้าง เขาก็ต้องเข้าคอร์สกับเรา แล้วเราก็มีผลิตภัณฑ์ของตนเอง 

“เพราะฉะนั้นผมคิดว่าในฐานะผู้ประกอบการสิ่งที่ต้องทำให้ได้คือการคงมาตรฐาน ส่วนสิ่งที่ไม่ควรทำ ผมคิดว่าคือพวก quick win ต่างๆ อย่างการเอาเปรียบผู้บริโภค สอดไส้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐานลงไปในทรีตเมนต์ เชื่อว่าตอนนี้ลูกค้าสัมผัสได้”

8. ล็อกเป้าหมายให้แม่น แล้วใช้ทุกกระบวนท่าเพื่อพุ่งชน  

“ปัจจุบัน Let’s Relax เป็นเบอร์หนึ่งในตลาดสปา แต่ประเทศไทยมี 77 จังหวัด ตลาดสปาก็ยังใหญ่มากด้วยจำนวนร้านสปาในประเทศไทยมากกว่า 10,000 Let’s Relax มีสาขาอยู่เกือบๆ 80 สาขา ถือว่ายังเป็นสัดส่วนเล็กๆ โอกาสในการโตแค่เฉพาะในธุรกิจสปาก็ยังมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นในกรุงเทพฯ หรือว่าหัวเมืองท่องเที่ยวต่างจังหวัด 

“แต่ด้วยปัจจุบัน คนดูแลสุขภาพมากขึ้น ผมเชื่อว่าเทรนด์ของ wellness มาแน่ๆ สปาเป็นเพียง segment หนึ่งของ wellness เท่านั้น ที่ผ่านมาเราเริ่มไปแตะเรื่องออนเซ็น คลินิกกายภาพบ้างแล้ว แต่ก็คงจะมีอีกหลายๆ องค์ประกอบของการเป็นผู้นำด้าน wellness ที่เราต้องรวมให้ครบเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคในปัจจุบัน 

“สำหรับธุรกิจ wellness ผมว่ามันก็จะยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีก แต่ถ้าเราฝันให้ใหญ่ ผมว่าเป้าหมายก็มีไว้พุ่งชน” 

การมาถึงของชาวต๊อกๆ และยุคที่ TikTok Shop ฟีเวอร์ คนทำธุรกิจคว้าโอกาสนี้สร้างยอดขายยังไง?

เชื่อว่าหลายคนน่าจะเลือกเปิด TikTok เป็นแอพฯ แรกๆ หลังลืมตาตื่น และไถฟีด TikTok เป็นแอพฯ สุดท้ายก่อนข่มตานอน ด้วยเนื้อหาในแพลตฟอร์มที่แทบจะมีครอบทั้งจักรวาล ไม่ว่าจะดูข่าวสาร หาวิธีทำอาหาร ดูคลิปตลก มีม คลิปน้องหมาน้องแมว ไปจนถึงรีวิวร้านอาหาร สถานที่เที่ยว และรีวิวสิ่งของต่างๆ จึงไม่แปลกใจที่ปัจจุบันมีผู้ใช้งานมากถึง 732 ล้านคนทั่วโลก และขึ้นแท่นเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่มีคนใช้มากเป็นอันดับ 7 ของโลก

การมาถึงของ TikTok เมื่อหลายปีก่อนไม่เพียงแต่เปลี่ยนพฤติกรรมของผู้คนให้หันไปสนใจวิดีโอสั้นเท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนพฤติกรรมการช้อปปิ้งออนไลน์อีกด้วย เพราะนับตั้งแต่ปี 2022 ที่ได้เปิดตัวฟีเจอร์ TikTok Shop ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็สร้างยอดขายสินค้าในแพลตฟอร์มได้ถึง 4.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และใช้เวลาเพียง 1 ปี สร้างยอดเพิ่มขึ้นเป็น 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเปรียบเทียบให้เห็นภาพคือมียอดขายโตถึง 4 เท่า ซึ่งนับว่าเป็นยอดขายที่โตเร็วที่สุดเมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเจ้าอื่นๆ

TikTok จึงไม่ใช่แค่ช่องทางโซเชียลมีเดียที่น่าจับตามองเท่านั้น แต่นี่อาจเป็น ‘ม้ามืด’ ที่เข้ามาเขย่าวงการอีคอมเมิร์ซทั่วโลก จนดึงดูดผู้บริโภคให้มาซื้อ-ขายบนแพลตฟอร์มนี้มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ แล้วอะไรที่ทำให้ TikTok รุกหนักเรื่องการขายขนาดนี้ คนทำธุรกิจจะหาโอกาสจากการเติบโตของ TikTok Shop ได้ยังไงบ้าง Keynote ตอนนี้จะพาไปหาคำตอบ

จากโซเชียลมีเดียที่โดนแบนสู่โลกแห่งอีคอมเมิร์ซ

แม้ TikTok จะดูไปได้สวยบนเส้นทางแห่งแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย แต่ในอีกมุมหนึ่งก็มีการวิจารณ์ เรื่องการละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน จากการเก็บข้อมูลเรื่อง IP Address ข้อมูลระบุพิกัด ประวัติการเข้าอินเทอร์เน็ตและการค้นหา รวมถึงการที่เป็นแอพพลิเคชั่นสัญชาติจีนจากบริษัท ByteDance ทำให้อินเดียประกาศแบน TikTok ในเดือนมิถุนายนปี 2020 พร้อมกับแบนแอพฯ จากประเทศจีนรวมกว่า 59 แอพฯ

การแบนของอินเดียถือเป็นปัญหาแรกที่ TikTok ต้องเผชิญ เพราะอินเดียมีผู้ใช้งาน TikTok ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลก ด้วยยอดดาวน์โหลดถึง 466 ล้านครั้ง นับว่าเกิน 30% ของยอดดาวน์โหลดทั้งหมด และยังเป็นตลาดผู้บริโภคนอกประเทศจีนที่มีการเติบโตมากที่สุด

ปัญหาเดิมยังไม่ทันคลี่คลาย ในเดือนกันยายน ปี 2020 โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประกาศจะแบน TikTok ด้วยความกังวลว่ารัฐบาลจีนอาจบังคับให้ TikTok หรือบริษัท ByteDance ส่งมอบข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ชาวอเมริกัน แม้ว่ายังไม่มีหลักฐานว่ามีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น แต่เมื่อช่วงเย็นวันเสาร์ที่ 18 มกราคม ได้เริ่มมีการแบน TikTok ในอเมริกาเป็นเวลา 12 ชั่วโมง ก่อนจะกลับมาให้บริการเป็นปกติ ทำให้ TikTok ยังไม่สูญเสียจำนวนผู้ใช้งานในอเมริกาที่มีกว่า 170 ล้านคน และมีบัญชีธุรกิจถึง 7 ล้านบัญชี

ถึงอย่างนั้นหลังจากมีประกาศแบนจาก 2 ประเทศมหาอำนาจ TikTok ก็หาทางตั้งรับทันที ด้วยการเปิดตัวฟีเจอร์ TikTok Shop ตั้งแต่ปี 2020 โดยเริ่มต้นที่ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น อินโดนีเซีย ไทย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์  ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีการดาวน์โหลดแอพฯ มากที่สุด และตั้งใจจะรุกธุรกิจออนไลน์อย่างจริงจัง ด้วยการเข้าถือหุ้น Tokopedia แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเจ้าใหญ่ที่สุดของอินโดนีเซีย

ทำไม TikTok Shop บูมทันทีที่เปิดตัว

เดิมที TikTok มีฐานแฟนที่เหนียวแน่นเป็นทุนเดิม และมีครีเอเตอร์ที่เข้ามาสร้างตัวตนบนแพลตฟอร์มเป็นจำนวนมาก พอมีฟีเจอร์ TikTok Shop ก็เหมือนเปิดโอกาสสร้างรายได้ให้กับเหล่าครีเอเตอร์หน้าเก่าและดึงดูดครีเอเตอร์หน้าใหม่ให้มาโปรโมตสินค้า

ขณะเดียวกันช่วงแรกที่เปิดตัว แบรนด์ยังไม่เรียกเก็บค่าคอมมิชชั่นจากร้านค้า เพื่อดึงดูดให้คนมาขายของบน TikTok Shop และเมื่อผู้ขายโดนหักส่วนแบ่งน้อยก็สามารถขายสินค้าในราคาที่ถูกกว่าอีคอมเมิร์ซเจ้าอื่น

ในฐานะผู้บริโภคเอง เมื่อมีการเปิดตัวช่องทางการขายใหม่ๆ ก็เป็นอันรู้กันว่าจะมาพร้อมกับคูปองลดกระหน่ำซัมเมอร์เซล และโค้ดส่งฟรี สวนทางกับอีคอมเมิร์ซเจ้าอื่นๆ ที่ในระยะหลังเริ่มให้ส่วนลดบนแพลตฟอร์มน้อยลง

TikTok Shop เปลี่ยนโลกการช้อปปิ้งไปในทิศทางไหน

ปกติเวลาช้อปปิ้งบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซส่วนใหญ่ผู้บริโภคมักเริ่มจากการอยากได้สินค้าสักชิ้นแล้วเข้าไปค้นหา แต่ด้วยความที่ TikTok เริ่มต้นจากการนำเสนอเนื้อหาเพื่อความบันเทิง ต่อให้ไม่ได้ตั้งใจจะซื้อสินค้า แต่พอไถฟีดไปเรื่อยๆ อัลกอรึทึมจะนำเสนอคอนเทนต์และสินค้าที่เหมาะสมกับความสนใจของแต่ละบุคคล เรื่องนี้ไม่ใช่ความบังเอิญ แต่เกิดจากความตั้งใจที่ TikTok ใช้ระบบ Interest Graph ในการแสดงผลให้ตรงกับความต้องการ

จากผลการศึกษาและสำรวจบทบาทของ TikTok ที่มีต่อการช้อปปิ้งของผู้บริโภคจากผู้ใช้งานในสหรัฐอเมริกาจำนวน 3,876 คน เมื่อต้นเดือนมกราคม 2025 ที่ผ่านมา จากการที่ TikTok ได้ร่วมกับ Ipsos พบข้อมูลที่น่าสนใจ ดังนี้

  • 2 ใน 3 ของผู้ใช้งาน เริ่มค้นหาสินค้าใน 30 วินาทีหลังเปิดใช้แพลตฟอร์ม
  • 68% ของผู้ใช้งานพบเห็นสินค้าที่ต้องการอยู่ในขณะนั้นจากหน้าฟีด For You
  • 3 ใน 4 ของผู้ใช้งานมองว่า TikTok เป็นแพลตฟอร์มที่ทำให้พบเจอสินค้าใหม่ๆ
  • 37% ตัดสินใจซื้อสินค้าหลังจากได้ดูคอนเทนต์บน TikTok
  • 84% ของผู้ใช้รู้สึกว่าใช้งานง่าย จากการซื้อสินค้าโดยตรงผ่านตระกร้าสินค้าได้เลย

นอกจากนี้ผลสำรวจจากบริษัท Cube Asia ยังพบว่าผู้ที่ซื้อสินค้าบน TikTok Shop ใช้จ่ายน้อยลงบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอื่นๆ เช่น Shopee ลดลง 51% และบน Lazada ลดลง 45% TikTok มีแนวโน้มที่จะซื้อของหลังจากเห็นสินค้าบน TikTok สูงกว่าแพลตฟอร์มอื่นมากกว่าถึง 1.7 เท่า

คนทำธุรกิจปั้น TikTok ยังไงให้ยอดขายปัง

จากตัวเลขด้านบนจะเห็นว่าการเติบโตของ TikTok Shop ถือเป็นโอกาสทองของคนทำธุรกิจเลยก็ว่าได้ ทั้งในมิติของการสร้างตัวตนให้เกิด awareness ไปจนถึงการสร้างยอดขาย โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าเจนฯ Y และเจนฯ Z ผ่านเทคนิคเหล่านี้ที่ผู้ประกอบการสามารถนำไปปรับใช้ได้

1. ขายของแบบไม่ขาย

Sofia Hernandez หัวหน้าฝ่ายการตลาดธุรกิจระดับโลกของ TikTok แนะนำกลยุทธ์ที่เรียกว่า Brand Chem คือการที่แบรนด์ไม่ได้มาขายของแบบโต้งๆ แต่ต้องเข้ามาอยู่ในชีวิตคนดูแบบเป็นธรรมชาติ ผ่านการทำคอนเทนต์อย่างสร้างสรรค์ ทั้งในช่องทางของแบรนด์เองและในช่องทางของคอนเทนต์ครีเอเตอร์ 

โดยเฉพาะการทำคลิปที่ดูสนุกและตลกจะถูกใจชาวต๊อกๆ เป็นพิเศษ เช่น คลิปตามกระแส เล่นกับเพลงยอดฮิตในตอนนั้น ซึ่งการขายของแบบแนบเนียนก็เพิ่มโอกาสให้คนดูจนจบ พอรู้ตัวอีกทีอาจโดนตกให้รู้สึกว่าของมันต้องมี โดยธุรกิจถึง 94% บอกว่าการทำคอนเทนต์ลง TikTok ช่วยเพิ่มยอดขายให้กับพวกเขามากกว่าแพลตฟอร์มอื่นๆ

2. ใช้รีวิวที่จริงใจเข้าสู้

แค่เห็นว่าเป็นโฆษณาคนดู TikTok ก็พร้อมจะปัดฟีดหนี แต่พอเป็นรีวิวหรือการเล่าเรื่องผ่านคอนเทนต์ครีเอเตอร์ก็เพิ่มโอกาสให้คนหยุดเพื่อดูคลิปต่อได้ การที่แบรนด์ใช้ TikTok Influencer Marketing ก็ทำให้คนรู้สึกว่าดูจริงใจกว่าโฆษณาแบบเดิมๆ โดย 55% ของผู้ใช้งานรู้สึกเชื่อถือเมื่อเห็นรีวิวจากครีเอเตอร์ นอกจากนี้ยังปิดการขายได้ทันทีผ่านฟีเจอร์ติดตระกร้าในคลิป ซึ่งวิธีนี้สามารถทำได้ทั้งการจ้างอินฟลูเอนเซอร์โดยตรง หรือจูงใจผ่านค่าคอมมิชชั่นให้ครีเอเตอร์มาทำ affiliate ได้อีกด้วย

3. รับบทเจ้าแม่นักไลฟ์

แม้การไลฟ์ขายสินค้าจะทำในแพลตฟอร์มไหนก็ได้ แต่ TikTok Live Shopping ทำให้การไลฟ์ดูเฟรนด์ลี่และสนุกขึ้น แม้จะไม่ได้เป็นผู้ติดตามแต่ไลฟ์นั้นๆ ก็อาจขึ้นบนหน้าฟีด For You และแนะนำให้ตรงกับความสนใจของผู้ชม TikTok ยังมีลูกเล่นอย่างการส่งของขวัญ ทั้งลูกค้าก็ซื้อสินค้าได้ง่ายแบบครบจบในแอพฯ เดียว เพียงกดตระกร้าที่ติดไว้ในไลฟ์ ยิ่งในตอนนี้ TikTok มีส่วนลดพิเศษให้ลูกค้า ซึ่งมักจะลดเยอะกว่าโปรโมชั่นทั่วไป เพื่อดึงดูดให้ร้านค้ามาไลฟ์และลูกค้าก็ตัดสินใจซื้อในไลฟ์ได้ทันที ซึ่งมีผู้ใช้งานถึง 67% บอกว่าการดูไลฟ์ช่วยให้พวกเขาอยากซื้อสินค้ามากขึ้น

4. ขยันพูดคุยกับผู้คน

พฤติกรรมของคนเสพ TikTok ชอบดูอะไรที่เรียลๆ และเป็นเรื่องที่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนหรือสร้างปฏิสัมพันธ์ ผ่านคอนเทนต์ในรูปแบบ creative exchange เช่น คอนเทนต์สัมภาษณ์ผู้คนในประเด็นต่างๆ คอนเทนต์เชิงตั้งคำถามให้ผู้ชมมาแสดงความคิดเห็น หรือแม้แต่การนำความคิดเห็นมาทำคลิปตอบกลับในสิ่งที่คนอยากรู้ ก็ช่วยสร้างการมีส่วนร่วมให้คนมาไลก์ คอมเมนต์ แชร์ และเข้าถึงแบรนด์ได้มากขึ้น

แม้ปัจจุบัน Shopee และ Lazada จะยังครองตลาดแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ TikTok Shop ก็ถือเป็นอีกช่องทางที่คนทำธุรกิจไม่ควรมองข้าม หากสามารถจับอินไซต์ พร้อมปรับใช้เทคนิคทำการตลาดในช่องทางนี้ได้ก็อาจสร้างการรับรู้และอาจนำไปสู่ยอดขายที่เพิ่มมากขึ้น ในยุคที่ชาวต๊อกๆ กำลังจะครองเมือง

อ้างอิง

เบื้องหลังความฟินของ TENGA ที่โดดเด่นเรื่อง ‘ดีไซน์’ จนกลายเป็นอันดับ 1 เรื่องของเล่นผู้ใหญ่

ในบ้านเราเรื่องของ ‘เซ็กซ์ทอย’ ยังคงถูกตีตราเป็นสิ่งผิดกฎหมาย และบ่อยครั้งมักเป็นประเด็นขัดแย้งด้านศีลธรรมอย่างสม่ำเสมอ 

ทว่าการใช้อุปกรณ์โลกสวยด้วยมือเราไม่ใช่เรื่องผิดไปเสียทุกที่ เพราะในประเทศญี่ปุ่น ‘เซ็กซ์ทอย’ หรือที่เรียกว่า ‘โอนะโฮล’ (Onahole) กลับเป็นสินค้าเชิดหน้าชูตา ถึงขั้นที่สินค้าชนิดนี้สามารถวางขายโดยไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ มีให้เลือกหาตั้งแต่ specialty store ไปจนถึงร้านค้าปลีกชื่อดังใจกลางเมือง

ซึ่งแบรนด์เซ็กซ์ทอยที่เปรียบเสมือนไอคอนิกของวงการเห็นทีจะหนีไม่พ้น ‘TENGA’ (เท็งก้า) ผู้ผลิตอุปกรณ์ช่วยสำเร็จความใคร่ รูปทรงกระบอกสีแดงสด หน้าตาเรียบๆ สไตล์มินิมอล ที่มองผิวเผินแทบจะนึกว่าเป็นอุปกรณ์ตกแต่งบ้านด้วยซ้ำ

ถึงจะบอกอย่างงั้น TENGA กลับเข้าไปนั่งอยู่ในบรรดาท่านชายหัวใจเปลี่ยวเหงาได้อย่างไม่เคอะเขิน ด้วยคุณภาพที่มากกว่าแค่สัมผัสนุ่มนวล แต่ยังมีปัจจัยชวนว้าวอีกมากมายที่มากกว่าแค่เรื่องความสุขช่วงล่าง และบางปัจจัยแทบไม่เกี่ยวกับเซ็กซ์เสียด้วยซ้ำ

ยิ่งพูดก็ยิ่งอยากรู้ ฉะนั้นคอลัมน์ Biztory ตอนนี้ ขอชวนคุณผู้อ่านมาเปิดประวัติ TENGA ว่าเป็นมายังไง ทำไมจึงก้าวมาเป็นแบรนด์เซ็กซ์ทอยอันดับ 1 จากแดนอาทิตย์อุทัย 

ไม่ต้องเขินอาย พร้อมแล้วไปไขคำตอบพร้อมกันเลย!

เมื่อชายหนุ่มหัวดีคิดปฏิวัติวงการเซ็กซ์ทอย

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2005 ชายหนุ่มนาม มัตซึโมโตะ โคอิจิ (Matsumoto Koichi) ได้เริ่มต้นชีวิตผู้ใหญ่หลังเรียนจบระดับอาชีวศึกษาในฐานะช่างซ่อมรถยนต์ฝีมือเยี่ยม ซูเปอร์คาร์ไปจนถึงคลาสสิกคาร์หลากหลายยี่ห้อล้วนผ่านการซ่อมบำรุงจากเขา 

แต่ชีวิตคนเรามักมีจุดพลิกผันเสมอ เมื่ออยู่ๆ ประเทศญี่ปุ่นเกิดภาวะเศรษฐกิจฝืดเคืองอย่างหนัก ส่งผลให้มัตซึโมโตะถูกจ้างออกจากงานประจำ ก่อนจะกลับไปตั้งหลักที่บ้านเกิด ณ เมืองชิซึโอกะ พร้อมผันตัวเป็นเซลส์ขายรถยนต์ แน่นอนว่าความหัวดีกอปรกับประสบการณ์ด้านเทคนิคยานยนต์ ทำให้เขาใช้เวลาไม่นานในการไต่เต้าเป็น 1 ใน 3 เซลส์ที่ทำยอดขายได้สูงสุด ถึงจะไม่สบายเท่าเดิมแต่เขาก็มีเงินเก็บพอใช้จ่ายค่าเช่าห้องและประทังชีวิต

ด้วยความที่มีเวลาว่างในช่วงสุดสัปดาห์ มัตซึโมโตะมักจะออกเที่ยวเตร็ดเตร่ตามห้างสรรพสินค้า เดินสำรวจตั้งแต่มุมขายเครื่องใช้ไฟฟ้า มุมขายสินค้า DIY มุมขายเครื่องมือช่าง ไปจนถึงมุมด้านในสุดที่จำหน่ายสินค้าเซ็กซ์ทอยและวิดีโอผู้ใหญ่ (Adult Video : AV) 

และนั่นเองเกิดคำถามในใจเขาเล็กๆ ว่า ทำไมสินค้าสร้างความสุขทางเพศถึงต้องซ่อนอยู่ในมุมลึกสุดของทุกๆ ห้างสรรพสินค้า มิหนำซ้ำยังไม่มีชื่อผู้ผลิต ไม่มีรายละเอียดใดๆ ของสินค้า มีเพียงตัวเลขราคา ขณะที่กล่องบรรจุภัณฑ์แทนที่จะสื่อถึงสรรพคุณแต่กลับเต็มไปด้วยภาพ 18+ จนมัตซึโมโตะรู้สึกหมือนผลิตภัณฑ์พวกนี้ตะโกนเสียงดังลั่นว่า ฉันเป็นคนลามกนะ และฉันจะลามกให้พวกแกดู! 

นึกตามแล้วอดคิดไม่ได้ว่าทำไมหมอนี่เบียวจัง แต่อีกมุมก็พอเข้าใจได้ว่าด้วยภาพลักษณ์ที่ดูลามกจนเกินงาม ส่งผลให้สินค้าเสริมสุขทางเพศถูกเซนเซอร์จากสังคม ทั้งที่สรรพคุณของมันไม่ต่างจากผลิตภัณฑ์ทั่วไปที่ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น 

เมื่อรู้ซึ้งถึง paint point ที่กล่าวมา มัตซึโมโตะจึงเกิดปณิธานที่อยากจะพาเซ็กซ์ทอยออกจากมุมมืด ไม่เพียงเท่านั้น เพราะเซ็กซ์ทอยที่ว่าต้องมีดีไซน์สวยงามและไม่ลามกโฉงฉ่าง เป็นของขึ้นห้างที่วางขายตรงไหนก็ได้ และที่สำคัญคือยังคงความเป็นโปรดักต์ที่สามารถเสริมสุขทางเพศ

“จากข้อมูลที่ผมรู้คือเซ็กซ์ทอยมีมูลค่าทางการตลาดแค่ 1% นั่นหมายความว่าผมมีพื้นที่อีก 99%ให้ลองทำอะไรก็ได้ ผมจะทำให้เซ็กซ์ทอยกลายเป็นสินค้ากระแสหลัก” มัตซึโมโตะลั่นความตั้งใจอันเป็นจุดเริ่มต้นของแบรนด์ที่ตั้งใจพลิกมุมมองของผู้คนที่มีต่อเซ็กซ์ทอย

เรียบหรู โดดเด่น ไม่ลามก นามนั้นคือ Tenga

หลังตัดสินใจลาออกจากงานประจำด้วยเงินเก็บ 10 ล้านเยน มัตซึโมโตะขลุกตัวอยู่ในห้องทำงานตั้งแต่เวลา 6 โมงเช้าจรดตี 2 ในทุกๆ วัน เพื่อคิดค้นผลิตภัณฑ์ที่สามารถพลิกโฉมหน้าวงการเซ็กซ์ทอย 

วิธีการของมัตซึโมโตะคือ กว้านซื้อบรรดาเซ็กซ์ทอยสำหรับท่านชายที่วางขายในตลาดมาผ่าสังเกตพร้อมกับทดลองใช้ เพื่อจดบันทึกข้อเด่นข้อด้อย ก่อนจะนำข้อมูลที่ได้มาปรับปรุงสร้างเซ็กซ์ทอยที่ได้ฟีลลิ่งดีที่สุด และปลอดภัยที่สุด 

มัตซึโมโตะทำการทดลองนับครั้งไม่ถ้วน ตัวอย่างไหนที่รู้สึกไม่ใช่เขาจะโยนทิ้งและทำใหม่ทั้งหมดทันที เป็นอย่างนั้นซ้ำไปซ้ำมาถึงหนึ่งปีกว่า ขณะที่เงินเก็บร่อยหรอ ลึกๆ ในใจเขาอยากรู้สึกยอมแพ้ แต่อีกใจก็ไม่อยากล้มเลิกสิ่งที่ทำมาทั้งหมด “ความล้มเหลวจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อยอมแพ้ ดังนั้นผมจะพยายามต่อไปจนกว่าจะประสบความสำเร็จ” 

กระทั่งวันที่ 5 กรกฎาคม 2005 ชายหนุ่มจากชิซึโอกะสามารถตั้งบริษัทของตัวเองสำเร็จในชื่อ TENGA ซึ่งมีความหมายว่า ‘สง่างาม’ ดังเช่นผลงานชิ้นโบแดงซีรีส์แรกของแบรนด์ นั่นคือ Standard Series CUP เซ็กซ์ทอยสำหรับท่านชายรูปทรงคล้ายถ้วย มีขนาด 16 ซม. ความกว้าง 6.50 ซม. วัสดุด้านในเป็นซิลิโคนที่มีความยืดหยุ่นสูง และที่สำคัญคือตัวดีไซน์ที่ทำออกมาต่างจากเซ็กซ์ทอยในตลาด ตัวถ้วยใช้สีแดงเป็นหลัก มีแถบสีขาวพาดผ่านด้านบน 5 เส้น คาแร็กเตอร์โดยรวมเรียบหรู ไม่มีภาพลามกอนาจาร หรือคำเชิญชวนสองแง่สองง่าม มีประทับตราแค่ชื่อโลโก้แบรนด์

เมื่อไม่สื่อถึงความลามกอนาจาร สินค้าของ TENGA จึงสามารถวางขายที่ไหนก็ได้ ยิ่งกว่านั้นคือสามารถออกสื่อได้โดยไม่ต้องเซนเซอร์ หรือผู้ปกครองต้องปิดตาเด็กๆ ระหว่างเดินผ่าน นี่จึงเป็นก้าวแรกและก้าวสำคัญในการปฏิวัติเซ็กซ์ทอยระดับโลก!

ส่งต่อความสุขทางเพศไปทั่วทุกระดับ

เพียงเปิดตัวไปได้แค่ปีเดียว TENGA มียอดจำหน่ายมากถึง 1 ล้านชิ้น อย่างที่โบราณกล่าวไว้ว่า น้ำขึ้นให้รีบตัก มัตซึโมโตะจึงคิดค้นโปรดักต์ซีรีส์ใหม่ๆ ออกมาเสิร์ฟตลาด เช่น รุ่น Rolling Cup Head ที่ตัวถ้วยเป็นลักษณะเกลียวยืดหดได้ถึง 19 ซม., รุ่น Egg Series ตัวถ้วยรูปทรงไข่เหมาะสำหรับใช้แล้วทิ้ง, รุ่น Flip Hole, Flip Lite ที่หน้าตาเหมือนโทรศัพท์มือถือรุ่นฝาพับ มีระบบกระตุ้นไฟฟ้าเพิ่มความตื่นเต้น ไปจนถึงรุ่น 3D ที่มองผิวเผินนึกว่างานศิลปะตั้งโชว์

นับจากวันที่เปิดตัวจนถึงปี 2012 TENGA มียอดขายสะสมถึง 19 ล้านชิ้นทั่วโลก ยอดขาย 80% อยู่ในประเทศญี่ปุ่นที่สามารถขายได้ 13,000 เครื่องต่อวัน ส่วนมูลค่ายอดขายอีก 20% อยู่ที่ประเทศสหรัฐฯ สเปน และจีน โดยเฉพาะประเทศหลังสุด ที่ฮิตจนมีการทำสินค้าลอกเลียนแบบออกมาขายหน้าตาเฉย

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยคือ พนักงานยุคเริ่มต้นของ TENGA จำนวน 28 คน หนึ่งในนั้นมีมาซาโนบุ ซาโตะ (Masanobu Sato) แชมป์รายการ Masturbate-a-thon ผู้สร้างสถิติช่วยตัวเองนานที่สุดในโลกด้วยเวลา 9 ชั่วโมง 33 นาที เมื่อปี 2008 มาร่วมงาน ในฐานะฝ่ายวิจัยผลิตภัณฑ์

อย่างไรก็ดี ปณิธานของมัตซึโมโตะยังไม่จบแต่เพียงเท่านี้ เพราะเขาตัดสินใจขยายหน้าตาของแบรนด์ด้วยการเปิดช็อป TENGA ณ ใจกลางย่านแฟชั่นอย่างอากิฮาบาระในชื่อ M’s ที่ด้านในไม่ได้มีจำหน่ายแค่ TENGA Cup แต่ยังมีสินค้าอื่นๆ เช่น เสื้อผ้า หมวก สติ๊กเกอร์ ไปจนถึงฟิกเกอร์ที่ออกแบบร่วมกับศิลปินชื่อดัง 

ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นคือการเปิดแบรนด์น้องอย่าง ‘Iroha’ (อิโรฮะ) ซึ่งเป็นแบรนด์เซ็กซ์ทอยสำหรับสุภาพสตรี โดยตัวดีไซน์เองก็ทำออกมาในลักษณะเรียบง่าย ไม่อนาจาร บางชิ้นผิวเผินเหมือนพกที่ห้อยกุญแจหรือเครื่องสำอางทั่วไป รวมไปถึงสินค้าประเภทเครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น โดยสโลแกนของแบรนด์ Iroha คือ ไม่ว่าจะหญิงหรือชายก็สามารถมีความสุขเรื่องเพศได้อย่างเปิดเผย

โดยปัจจุบันหน้าร้านของ TENGA ตั้งอยู่ใน 5 ทวีป แบ่งเป็นทวีปยุโรป 29 ประเทศ, ทวีปเอเชีย 6 ประเทศ, ทวีปอเมริกาเหนือ 3 ประเทศ, ทวีปอเมริกาใต้ 3 ประเทศ, ทวีปแอฟริกา 1 ประเทศ และทวีปโอเชียเนีย 2 ประเทศ 

ไอคอนิกจนเป็นมากกว่าแค่เซ็กซ์ทอยธรรมดา

อย่างที่บอกว่าปณิธานของมัตซึโมโตะคือการทำให้ TENGA เป็นมากกว่าแค่เซ็กซ์ทอย และดูเหมือนว่าเขาจะทำได้ตามที่คิดไว้

ไล่ตั้งแต่การออกแบบมาสคอต ‘TENGA Robot’ หุ่นยนต์ที่อิงหน้าตาและสรีระมาจาก TENGA Cup รุ่น Standard Series เพื่อเจาะกลุ่มฐานแฟนบอยที่หลงใหลในการ์ตูนแนวโชเน็น ซึ่งภายหลังมาสคอตตัวนี้ได้มีการคอลแล็บกับการ์ตูนซูเปอร์โรบอตระดับตำนานอย่าง Getter Robo และ Mazinger Z

ความบ้าพลังของมัตซึโมโตะยังไม่หยุดแต่เพียงเท่านี้ เพราะในปี 2021 TENGA ได้ร่วมมือกับ Interstellar Technologies บริษัทด้านเทคโนโลยีอวกาศสัญชาติญี่ปุ่น ในโปรเจกต์ Love, Freedom, TENGA, and Space! เพื่อส่งจรวดที่มีชื่อว่า TENGA Rocket (MOMO F6) โดยมีวัตถุประสงค์เป็นการขอบคุณผู้บริโภค และประกาศให้ทั่วทั้งอวกาศรับรู้ถึงความสุขทางเพศ

นอกจากนี้ TENGA ยังปรากฏตัวในโลกของแฟชั่น เช่น การคอลแล็บร่วมกับ คีธ แฮริ่ง (Keith Haring) ศิลปินป๊อปอาร์ตชาวอเมริกัน เพื่อสร้างซีรีส์ผลงานศิลปะที่สื่อถึงการมีความสุขทางเพศได้อย่างอิสระและปลอดภัย ซึ่งรายได้ส่วนหนึ่งจากการจำหน่ายซีรีส์นี้ได้ถูกบริจาคให้กับมูลนิธิ Japan Foundation for AIDS Prevention เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโรคเอดส์

หรือคอลเลกชั่นที่คอลแล็บกับแบรนด์ RIPNDIP ในรูปแบบ TENGA Cup ลวดลายเจ้าเหมียวสีขาวหน้าตาชวนยียวน ก็ยกระดับภาพลักษณ์ของแบรนด์ของเล่นผู้ใหญ่จากแดนอาทิตย์อุทัยได้อีกเป็นเท่าตัว 

ไม่ใช่แค่ในเรื่องภาพลักษณ์ เพราะ TENGA ยังมีนโยบายช่วยเหลือสังคม ด้วยการเปิดมูลนิธิเฮลท์แคร์ที่ให้ความร่วมมือกับโรงพยาบาลในการหาแนวทางรักษาผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศ และให้ความรู้เรื่องเพศศึกษาตามโรงเรียนต่างๆ

ทั้งหมดนี้จึงเป็นการตอบคำถามว่า ทำไม TENGA จึงกลายเป็นแบรนด์ของเล่นผู้ใหญ่อันดับหนึ่งของโลก โดยไม่ต้องอวดอ้าง หรือแสดงภาพลักษณ์ลามก เพียงแต่จับจุดหา ‘ความต้องการ’ ที่แท้จริงของผู้บริโภค และต่อยอดจุดเด่นของตัวเองเพื่อยกระดับแบรนด์ไปให้ไกลกว่าเดิม

อีกนัยหนึ่งยังเป็นการ ‘ปลดล็อก’ ให้สังคมและผู้คนทั่วโลกเห็นว่า เซ็กซ์ทอยก็ไม่ต่างจากเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้านชิ้นหนึ่ง เพียงแต่วัตถุประสงค์ก็เพื่อเติมเต็มความสุขทางเพศ ขึ้นอยู่กับว่าจะเปิดใจยอมรับมันได้ไหมเท่านั้นเอง

อ้างอิง: 

ตู้คีบตุ๊กตาเกมแห่งความหวัง จากยุคขุดปานามา ถึงตู้ UFO ญี่ปุ่น 

ทุกวันนี้บ้านเราเองก็เริ่มมีร้านตู้คีบตุ๊กตามากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจริงๆ ไม่เพียงจำกัดแค่ตู้คีบตุ๊กตาเท่านั้นแต่ยังคีบได้สารพัดอย่าง 

คำว่าร้านตู้คีบในปัจจุบันค่อนข้างหมายถึงร้านเครื่องเล่นเกมหรือตู้ขนาดใหญ่ (arcade) ของเล่นในร้านมักเป็นตู้อัตโนมัติ กระทั่งเครื่องแลกเหรียญก็อัตโนมัติด้วย ร้านตู้คีบเป็นพื้นที่เล่นสนุกที่ใช้พื้นที่ไม่มาก มีเงินไม่มากก็เล่นได้ หรือไปยืนดูคนอื่นเล่นก็สนุกพอๆ กัน

อันที่จริง ตู้คีบตุ๊กตาดูจะมีวิวัฒนาการ มีประวัติศาสตร์ของมัน มองไปในยุค 10-20 ปีที่แล้ว วัยรุ่นตอนปลายอาจเคยเห็นตู้คีบตุ๊กตาแบบธรรมดาๆ เป็นตู้หยอดเหรียญสิบบาทที่มีแขนคีบ มีระบบหมุนคนและตุ๊กตาแบบง่ายๆ แต่ทุกวันนี้ ตู้คีบตุ๊กตาเริ่มเป็นอาณาจักร เป็นความบันเทิงยักษ์ใหญ่หนึ่งที่สอดแทรกอยู่ในแทบทุกพื้นที่ เราคีบได้ตั้งแต่ไอโฟน ไปจนถึงของแปลกๆ เช่นผักผลไม้ เรื่อยไปจนถึงทิชชู่ น้ำยาปรับผ้านุ่ม

ถ้าเรามองย้อนไป ตู้คีบเป็นอีกหนึ่งผลผลิตที่แตกขยายจากความก้าวหน้าทางวิศวกรรม แรกเริ่มมาจากการจำลองรถตักในการขุดคลองปานามาอันโด่งดัง ซึ่งเจ้าตู้คีบจากสิ่งประดิษฐ์แรกเริ่มค่อยๆ ได้รับการพัฒนาให้กลายเป็นกิจการที่ทำเงินได้ จากตู้คีบที่ทำด้วยไม้ สู่ตู้คีบหยอดเหรียญที่เริ่มมีรางวัลเป็นของมีค่าที่เป็นความหวังให้ผู้คน 

จากจุดเริ่มในอเมริกาซึ่งชะงักเพราะมุมมองเรื่องการพนัน ตู้คีบกลับวิวัฒนาการก้าวกระโดดในนามตู้ UFO ผลงานพัฒนาโดยยักษ์ใหญ่วงการเกมคือ SEGA ต้นแบบตู้คีบที่ล้ำสมัยด้วยมุมมองเทคโนโลยีแบบญี่ปุ่น รวมถึงบางมุมมองที่ร้านตู้คีบที่ขยายตัวขึ้น สัมพันธ์กับเศรษฐกิจที่ถดถอยลง 

วิวัฒนาการตู้คีบจึงอาจพอให้เราเห็นภาพความบูมในแถบเอเชียและยุโรป การกลายเป็นวัฒนธรรมร่วมสมัย และบริบทมุมมองที่มองการเล่นกระทั่งการออกแบบการเล่นที่แตกต่างกัน

รถขุดไอน้ำขุดคลอง เครื่องของเล่นสามัญ

จุดกำเนิดของตู้คีบ มาจากกิจการการขุดคลอง 

เชื่อกันว่าตู้คีบ (หรือจริงๆ น่าจะเรียกว่าตู้ตัก) ตู้แรกมาจากการจำลองรถจักรขุดคลองที่ใช้ในการขุดคลองปานามา (steam shovel) ของอเมริกา ในขณะนั้นรถพลั่วเป็นนวัตกรรมที่ใช้ไอน้ำ ออกแบบเพื่อการขุดและตักเพื่อการยกหินและดินในปริมาณมากๆ ตัวพลั่วมีหน้าตาเหมือนอุ้งมือขนาดใหญ่ 

การขุดคลองปานามาซึ่งมีแผนตั้งแต่ทศวรรษ 1880 เป็นโครงการที่ล่าช้า มาเริ่มเอาในต้นทศวรรษ 1900 และใช้เวลาสิบปีถึงแล้วเสร็จ ผลคือการขุดคลองที่ล่าช้ายาวนานทำให้สาธารณชนได้เห็นเจ้ารถขุดพลั่วไอน้ำจนชินตาจนเป็นแรงบันดาลใจในการประดิษฐ์รถตักจำลองขึ้นเป็นเกมตู้คีบ 

คาดว่าตู้คีบแรกถูกออกแบบขึ้นในทศวรรษ 1890 โดยทั่วไปตู้คีบมักจะเป็นการสร้างที่ตักขนาดจิ๋วหน้าตาคล้ายๆ เครนยกที่มีอุ้งมือสำหรับตัก แรกเริ่มในตู้จะเป็นการตักลูกอมหรือขนมจำนวนมาก ผู้เล่นจะต้องบังคับเครนอันน้อยเพื่อตักลูกอมให้ได้มากที่สุดในการหยิบหนึ่งครั้ง ตรงนี้เองที่ตู้คีบเป็นจุดเริ่มความสนุกของการเล่นเกม คนเล่นต้องมีทักษะในการควบคุม เข้าใจจังหวะ 

ความน่าสนใจคือการประดิษฐ์ตู้คีบสัมพันธ์กับเครนขุดซึ่งสอดคล้องกับพื้นที่ขุดคลองต่างๆ เช่น ตู้คีบ Erie Digger ที่ประกอบขึ้นด้วยไม้และกระจกใส เป็นตู้ที่ทำงานได้โดยยังไม่ใช้กระแสไฟฟ้าซึ่งคิดค้นขึ้นในปี 1926 ตั้งชื่อตามการขุดคลอง Erie Canal ในนิวยอร์ก ตู้คีบ Erie Digger ยังเป็นตู้คีบแรกที่ได้รับการขึ้นทะเบียนสิทธิบัตรและเป็นตู้คีบที่มีการผลิตจำหน่ายเป็นจำนวนมาก 

จากนั้น ตู้คีบเริ่มเป็นที่นิยมและพบเห็นได้ในเทศกาลคาร์นิวัล ถูกนำไปตั้งในพื้นที่อื่นๆ ในทศวรรษ 1930 เราจะพบตู้คีบใหม่ในหลายพื้นที่ เช่น สถานีรถไฟ ป้ายรถเมล์ ร้านขายยา เป็นอุปกรณ์ใหม่ที่เจ้าของร้านนำมาสร้างความบันเทิงให้กับลูกค้า แต่ด้วยตู้คีบยุคแรกเริ่มประดิษฐ์จากไม้ และขึ้นทรงสวยงาม จึงกลายเป็นเครื่องเล่นที่มีราคาแพง ทำให้ตู้ยุคแรกสุดทำกำไรได้ไม่งาม

ยุคทอง (จริงๆ) ของตู้คีบและการหยุดฮิตที่อเมริกา

จุดเปลี่ยนสำคัญจากตู้ฉบับ Erie Digger คือการพัฒนาและจดสิทธิบัตรจากเจ้าของกิจการงานคาร์นิวัล คือ William Bartlett ในไมอามี่ สิทธิบัตรหรือตู้คีบใหม่ในปี 1932 เป็นการอัพเกรดให้กลายเป็นตู้ที่ใช้ระบบไฟฟ้า มีมอเตอร์เพื่อขยับควบคุมการเคลื่อนไหวและทำให้เครนเคลื่อนไปทั่วตู้ได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังมีระบบหยอดเหรียญ ตัวตู้จึงกำหนดเวลาเล่นในแต่ละรอบให้สั้นลง มีเวลาจำกัดขึ้น ตื่นเต้นขึ้น ทดสอบฝีมือขึ้น และทำรอบได้มากขึ้น

ความสำเร็จของตู้คีบรุ่นไมอามี่ ไม่ได้อยู่ที่นวัตกรรมการออกแบบเครื่องอย่างเดียว แต่คุณวิลเลียมร้ายกาจกว่านั้น ตู้คีบใหม่เปลี่ยนของรางวัลที่คีบจากขนมลูกอม เป็นการใส่เหรียญลงไปทั้งเหรียญนิกเกิลและเหรียญดอลลาร์ เจ้าเครื่องนี้จึงได้ฉายาใหม่ว่า Nickel Digger หรือเครื่องตักเหรียญ ทีนี้ นอกจากตู้ตักเงินแล้ว ยังมีตู้เวอร์ชั่นพิเศษสำหรับผู้ใหญ่เล่นอีก ของที่ตักหรือหนีบเป็นของหรูหรา เช่น ไฟแช็ก นาฬิกา ไปจนถึงเครื่องประดับและโลหะมีค่าต่างๆ 

ความพิเศษของการสร้างกำไรงามของตู้คีบ นอกจากจะเอารางวัลมาล่อใจแล้ว ยังนับเป็นอีกหนึ่งโมเดลธุรกิจที่เจ้าของตู้ไม่ได้ขายตู้ขาด แต่ใช้เป็นระบบเช่าตู้ ผลสำเร็จของกิจการตู้คีบรางวัลทำให้เจ้าของกิจการรวยเละจนกระทั่งแกเสียชีวิตลงในปี 1948

ในทศวรรษ 1950 ด้วยสิ่งล่อใจ และการที่ผู้คนจำนวนมากเริ่มมองเห็นตู้คีบเหล่านี้เป็นช่องทางรวยจากการเล่น อเมริกาจึงเริ่มออกกฎหมาย Johnson Act ซึ่งกำหนดให้ตู้คีบเป็นการพนันประเภทหนึ่งทำให้การพัฒนารูปแบบและความก้าวหน้าของตู้คีบในอเมริกาหยุดลง 

แม้ว่าสองปีให้หลังจะมีการล็อบบี้จนตู้คีบหลุดออกจากสถานะการพนัน แต่ด้วยเงื่อนไขคือการห้ามหยอดเหรียญโดยตรงและห้ามใช้ระบบไฟฟ้า ก็ทำให้ตู้คีบในสหรัฐฯ ที่แม้จะกระจายตัวและกลับมามีชีวิตชีวาบ้างถือว่าไม่หวือหวา  

ทว่าในอีกซีกโลกคือทวีปเอเชีย นำโดยญี่ปุ่น เจ้าพ่อตู้เกม เครื่องเกมและพื้นที่การเล่นใหม่ ได้นำเอาแนวคิดตู้คีบไปพัฒนาให้ล้ำสมัยและทำให้การเล่นเป็นเรื่องจริงจัง และกลายเป็นวัฒนธรรมร่วมสมัย

หยุดพัฒนาที่อเมริกา ถึงมือญี่ปุ่น

ในทศวรรษ 1970-1980 เป็นช่วงเวลาที่ตู้คีบเริ่มส่งออกไปยังยุโรปและประเทศญี่ปุ่น ณ เวลานั้น ญี่ปุ่นในฐานะประเทศที่กำลังเฟื่องฟู มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและงานช่างฝีมือ ทั้งยังเริ่มเป็นดินแดนแห่งอุตสาหกรรมเกมซึ่งรวมพื้นที่ศูนย์เล่นเกมอย่าง Game Center หรือ Arcade Center ซึ่งเริ่มเฟื่องฟูในทศวรรษ 1970 ไว้

หนึ่งในเกมมาตรฐานที่เริ่มเกิดขึ้นพร้อมกับพื้นที่บันเทิงใหม่ของเมืองก็คือเจ้าตู้คีบนี่แหละที่โตขึ้นมาพร้อมๆ กับตู้เกมเช่นเกมต่อสู้ เกมยิงหรือเกมขับรถ ตู้คีบที่โดดเด่นและกลายเป็นคำเรียกตู้คีบรวมๆ ในญี่ปุ่นคือตู้คีบแบบ UFO พัฒนาโดยบริษัท SEGA ทางเซก้ามองเห็นตู้คีบและเริ่มพัฒนาจนเป็นตัวต้นแบบชื่อ Skill Diga ผลิตออกในปี 1965 

ระบบตู้คีบต้นแบบของเซก้าค่อนข้างคล้ายกับตู้คีบบางตู้ในปัจจุบันของญี่ปุ่น คือบังคับทิศทางด้วยปุ่มสองปุ่มคือแนวตั้งและแนวนอน กดได้ด้านละครั้ง พอกดครบ แขนคีบก็จะตกลงคีบทันที ประเด็นคือตู้ในตอนนั้นไม่เหมือนปัจจุบัน เป็นมุมที่มองลงไปด้านล่าง ทำให้ผู้เล่นพบว่ามันเล่นยากเกินจนมองไม่เห็นของรางวัล หลังจากนั้นเซก้าพัฒนาออกมาเรื่อยๆ เช่นมีปุ่มคนรางวัลให้หมุนไปมา เริ่มมีตุ๊กตาเป็นรางวัล และเริ่มทำให้ขาคีบมีสี่ขาเพื่อให้ดูเล่นง่าย เข้าถึงง่าย

จนกระทั่งทศวรรษ 1980 ที่ตู้คีบของเซก้า เริ่มเดินไปกับธุรกิจของเซก้าที่เติบโตในอเมริกาคือร้านเกมตู้ เซก้าหวังจะให้ตู้คีบในญี่ปุ่นบูมเหมือนกับกิจการร้านตู้เกมในอเมริกาเหนือในทศวรรษ 80s ในยุคนี้เองที่ญี่ปุ่นกำลังหลงใหล UFO ตู้คีบที่แต่เดิมชื่อว่า the Eagle Catcher เลยเปลี่ยนหน้าตาให้คล้ายกับยานบิน และเปลี่ยนชื่อ

ญี่ปุ่นถือเป็นพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ที่จริงๆ ได้อิทธิพลจากสหรัฐฯ ญี่ปุ่นจึงต้องการออกแบบตู้ต่างๆ ให้พ้นจากอคติของอเมริกา สิ่งที่บริษัทญี่ปุ่นทำคือการเอาความน่ารัก หรือ Kawaii culture เข้ามาเป็นหัวใจของการออกแบบ ตัวตู้และตัวร้านถูกออกแบบให้น่ารักเพื่อเป็นพื้นที่สำหรับครอบครัว ไม่ใช่พื้นที่มืดมน ซ่องสุม หรือเป็นพื้นที่สำหรับการพนัน 

ในทางวัฒนธรรม วัฒนธรรมความน่ารักของญี่ปุ่นเป็นส่วนหนึ่งที่ญี่ปุ่นใช้หลีกหนีออกจากความจริงที่โหดร้าย จากภาวะหลังสงคราม การทำงานหนัก ร้านตู้เกมของญี่ปุ่นจึงกลายสภาพเป็นพื้นที่การเล่น กลายเป็นพื้นที่ที่ออกแบบสำหรับลูกค้าผู้หญิงและผู้ใหญ่เป็นหลัก ซึ่งแตกต่างจากกลยุทธ์พื้นที่เกมเซนเตอร์ในอเมริกา เจ้าตู้ UFO รุ่นแรกๆ จึงออกแบบให้เป็นตู้คีบตุ๊กตาสีชมพูสดใส เป็นที่ที่หญิงสาวและแฟนหนุ่มจะเข้ามาท้าทายเพื่อเอาชนะและมอบตุ๊กตาให้กับคู่เดตได้

เจ้าตู้ UFO เป็นอีกหนึ่งสุดยอดการพัฒนาระบบกลไกและเทคโนโลยีแบบญี่ปุ่นที่ถูกคิดตั้งแต่ระบบ การออกแบบ จนถึงจิตวิญญาณ ตัวตู้ UFO ผลิตออกมาครั้งแรกในปี 1985 จากเวอร์ชั่นแรกมีการพัฒนาตู้อย่างสลับซับซ้อน ทั้งเปลี่ยนขนาดของรางวัล ไปจนถึงการคิดว่าคู่รักจะมาเล่นด้วยกัน จึงออกแบบให้เป็นเกมที่เล่นได้สองคน ด้วยการกดได้สองปุ่ม 

ตู้ UFO คิดไปถึงขนาดการออกแบบให้ตู้คีบมีความคล้ายคลึงมนุษย์ ดูมีชีวิตจิตใจ มีตัวตน เช่นการออกแบบให้ขาคีบมีรูปทรงเหมือนใบหน้า ใช้ไฟ LED ช่วยแสดงอารมณ์ การขยายตู้ให้ใหญ่ขึ้นเพื่อให้ใส่รางวัลที่ใหญ่ขึ้น มองได้รอบด้าน จุดเล็กๆ เช่นความปลอดภัยก็ถูกปรับ เช่น ขอบของตู้ หรือพื้นที่ที่เป็นเหลี่ยมมุมก็ลับให้โค้งมนเพื่อความปลอดภัย

ในขณะที่ตู้คีบของทางอเมริกาเองอาจมีระบบที่ทำให้มีโอกาสคีบได้ง่ายขึ้นตามสัดส่วน เช่น 1 ต่อ 16 หรือ 1 ต่อ 18  ตู้คีบในญี่ปุ่นถูกมองในฐานะพื้นที่ของการฝึกฝน การใช้ทักษะในการบังคับ ควบคุมและการเล่นเกม สะท้อนถึงผู้พัฒนาอย่างญี่ปุ่นที่เป็นเจ้าพ่อวงการออกแบบ เป็นดินแดนที่เชื่อเรื่องการฝึกฝน เป็นประเทศที่ชื่นชอบเรื่องกลไกแต่ครั้งโบราณ ตู้คีบจึงเป็นอีกหนึ่งสุดยอดทักษะที่ผู้คนจะได้แสดงฝีมือให้ผู้คนชื่นชม

วัฒนธรรมตู้คีบและบริบททางเศรษฐกิจ

อนึ่ง ตู้คีบตุ๊กตายังสัมพันธ์กับบริบทวัฒนธรรมซึ่งสอดคล้องไปกับการออกแบบอย่างสลับซับซ้อน เช่นการออกแบบเพื่อผู้หญิง การคิดเกมที่คิดถึงคู่รักซึ่งสัมพันธ์กับเงื่อนไขในยุคสงครามและอิทธิพลอคติต่อตู้คีบที่ติดมากับอิทธิพลอเมริกา ตรงนี้ทำให้เราเห็นภาพการออกเดตหรือกลุ่มผู้หญิง ไปจนถึงการเข้าเล่นของครอบครัวในเกมเซนเตอร์ ทำให้เกมเซนเตอร์ของญี่ปุ่นไม่เป็นที่ของวัยรุ่นและผู้ชายซึ่งกลายเป็นพื้นที่เสี่ยงได้เช่นในสหรัฐอเมริกา

บริบทวัฒนธรรมที่ร่วมส่งเสริมตู้คีบของญี่ปุ่นคือการเฟื่องฟูของอุตสาหกรรมเกมและอนิเมะ ตู้คีบกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมวัยรุ่น เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตที่ถ่ายทอดไปในสื่อต่างๆ ในทางกลับกัน สินค้าจากอนิเมะจำนวนมากเริ่มกลายเป็นเนื้อเดียวกันกับเกมเซนเตอร์ ตุ๊กตาของอนิเมะเรื่องต่างๆ เริ่มเข้ามาเป็นรางวัลที่ผู้คนต้องการ หลายครั้งของเล่นของสะสมที่เป็นรางวัลในตู้เป็นสินค้าหายาก หรืออาจได้จากการเล่นตู้คีบเท่านั้น

ในมิติทางเศรษฐกิจ ตู้คีบและร้านคีบตุ๊กตาเป็นกิจการที่ต้นทุนค่อนข้างต่ำ ใช้พื้นที่น้อย ใช้แรงงานในการดูแลน้อย การบำรุงรักษาก็ไม่มากทั้งยังเปิดได้ 24 ชั่วโมง สำหรับประชาชน ตู้คีบเหล่านี้ก็เป็นสิ่งบันเทิงราคาประหยัดเมื่อเทียบกับความบันเทิงอื่นๆ ที่เข้าไปด้วยเงินไม่เท่าไหร่ก็เล่นได้ ยืนดูคนอื่นเล่นก็ยังได้

ในช่วงทศวรรษ 2010 ตู้คีบตุ๊กตาเริ่มกลายเป็นกระแสสำคัญในเกาหลีใต้และไต้หวัน ความเฟื่องฟูของความบันเทิงที่ราคาประหยัด ลงทุนน้อยนี้สัมพันธ์กับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวของทั้งสองประเทศ

ในทำนองเดียวกัน ฮ่องกงก็เริ่มมีรายงานความนิยมของตู้คีบที่สื่อรายงานว่าผู้คนคลั่งตู้คีบจนเสียเงินเป็นจำนวนมากในวันเดียว รวมถึงมีการรายงานว่าฮ่องกงซึ่งเผชิญปัญหาด้านอสังหาริมทรัพย์ ที่พื้นที่เช่าทั้งหลายซึ่งเคยเป็นของแบรนด์หรือห้างร้านขนาดใหญ่ถดถอยลง เจ้าของพื้นที่จึงตัดสินใจเปลี่ยนพื้นที่ให้กลายเป็นพื้นที่ทำกิจการตู้คีบตุ๊กตา ดังนั้งยิ่งตู้คีบมีมากขึ้นเท่าไหร่ สื่อฮ่องกงยิ่งมองว่าเป็นการสะท้อนปัญหามูลค่าหรือปัญหาผู้เช่าของภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ตกต่ำลง

การย้อนกลับไปดูว่าเจ้าตู้คีบที่กำลังเติบโตขึ้นรอบๆ เราทั้งในประเทศไทยและพื้นที่อื่นๆ ของเอเชีย ทำให้เรามองเห็นอีกหนึ่งกิจการที่สัมพันธ์กับนวัตกรรม จากรากฐานความก้าวหน้าและการจัดการของรัฐในระดับการขุดคลอง จากเครื่องจักรทางวิศวกรรมถึงเครื่องเล่นที่ค่อยๆ ได้รับการพัฒนา จากไม้ ไปสู่เครื่องไฟฟ้า และการรับช่วงของญี่ปุ่น เจ้าของอาณาจักรของเกมและเครื่องจักรในกิจการความบันเทิง

ความเฟื่องฟูและวัฒนธรรมของตู้คีบจึงมีความสลับซับซ้อน สัมพันธ์กับเทคโนโลยีอื่นๆ เกี่ยวโยงกับกฎหมาย กับบริบทประวัติศาสตร์ กับวัฒนธรรมความน่ารักที่เป็นเงื่อนไขในการพัฒนาตู้คีบและเกมเซนเตอร์ ไปจนถึงบริบทวัฒนธรรมเช่นมุมมองต่อการเล่นเกมที่แตกต่างกัน การเป็นพื้นที่รวมตัวในการชมฝีมือที่ได้รับการฝึกปรือ หรือการเป็นพื้นที่บันเทิงใจของคนเมือง คนรุ่นใหม่ หรือกระทั่งคนทุกวัยที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเมืองที่เต็มไปด้วยแสงสี การทดลองเสี่ยง การฝึกฝีมือ 

และความหวังที่บรรจุอยู่ในเหรียญทุกเหรียญที่หยอดลงไป