Orbit Digital ทีมเทคโนโลยีเบื้องหลังโออาร์ที่อยากพัฒนาระบบซอฟต์แวร์ให้ impact ต่อธุรกิจและผู้คน

ถ้านึกถึงเครือธุรกิจของโออาร์ ซึ่งเป็นบริษัทแฟล็กชิปของกลุ่ม ปตท. หลายคนน่าจะนึกถึง PTT Station หรือคาเฟ่ Amazon ซึ่งทุกวันนี้ธุรกิจในเครือโออาร์ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น แต่ยังมีการขยายและลงทุนในเครือธุรกิจไลฟ์สไตล์อย่างพาร์ตเนอร์ร้านอาหารและเครื่องดื่มอีกมากมาย อีกทั้งยังมุ่งหน้าสร้างธุรกิจและนวัตกรรมใหม่อย่างต่อเนื่อง

ดังเช่นหลายธุรกิจในยุคดิจิทัลที่เมื่อขยายธุรกิจก็เกิดความท้าทายใหม่ คือการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อสนับสนุนให้ธุรกิจเติบโตขึ้นได้ตามวิสัยทัศน์ขององค์กร โออาร์ก็เช่นกัน แต่การจะพัฒนาระบบซอฟต์แวร์ขนาดใหญ่ หรือระบบที่เกี่ยวข้องกับการนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์นั้นเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมากสำหรับองค์กรที่มีลักษณะมุ่งเน้นด้านธุรกิจมาโดยตลอด จึงต้องมีผู้เชี่ยวชาญพิเศษเฉพาะทางเข้ามาเป็นพาร์ตเนอร์ร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลง ด้วยเหตุนี้ บริษัท ออร์บิท ดิจิทัลซึ่งเป็นบริษัทที่เกิดจากการร่วมทุน (joint venture–JV) กันระหว่างโออาร์และบลูบิคจึงถือกำเนิดขึ้นมา

สำหรับบลูบิคนั้น เป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์และการจัดการด้านนวัตกรรม ที่มีความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีอยู่แล้ว ทีมออร์บิทดิจิทัลจึงเป็นเหมือนคู่คิดของโออาร์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถภายใน (internal capability) ด้านเทคโนโลยีให้แข็งแรงขึ้น และกลายเป็นแพลตฟอร์มของคนที่มีศักยภาพในการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาประยุกต์ใช้หรือมาพัฒนาร่วมกับธุรกิจของโออาร์เพื่อสร้าง impact ให้เกิดขึ้นกับลูกค้า ธุรกิจ และกลุ่มพันธมิตรในเครือของโออาร์ต่อไปในอนาคต

ในวันที่แทบทุกบริษัทจำเป็นต้องนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อสร้าง impact ให้เกิดขึ้น แต่การพัฒนาระบบซอฟต์แวร์ขนาดใหญ่ที่ต้องเกี่ยวข้องกับหลายฝ่าย ก็ฟังดูเป็นสิ่งที่ท้าทายและซับซ้อนสำหรับหลายๆ องค์กร ดังนั้นการออกแบบพัฒนาระบบบริหารความสัมพันธ์ลูกค้าที่โออาร์และออร์บิทร่วมกันสร้างขึ้นมาใหม่น่าจะเป็นอีกกรณีตัวอย่างที่น่าสนใจ ว่าทีมที่ออกแบบพัฒนาซอฟต์แวร์มีหลักคิดยังไง มีความท้าทายอะไรบ้าง และเอาชนะสิ่งเหล่านั้นได้ยังไง เพื่อให้ได้ระบบที่ส่งผลให้เกิด impact ต่อธุรกิจและผู้ที่เกี่ยวข้องในทุกมิติอย่างแท้จริง

ความน่าสนใจในการทำงานร่วมกันระหว่างโออาร์และออร์บิทจึงเป็นเบื้องหลังการพัฒนาระบบและวัฒนธรรมการทำงานที่ไม่ได้แค่อยากพัฒนาซอฟต์แวร์ แต่อยากสร้าง impact ต่อผู้คนที่มีความหมาย ซึ่งเป็นเหตุผลให้เราชวน คุณแท็ป–ช้องมาศ ทยากร ผู้จัดการฝ่ายนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อธุรกิจ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือโออาร์ และคุณโป้ง–ปกรณ์ เจียมสกุลทิพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออร์บิท ดิจิทัล จำกัด มาเล่าถึงเบื้องหลังวิธีคิดในวันนี้ 

การมีออร์บิทมาเป็นคู่คิดช่วยส่งเสริมให้โออาร์พัฒนาธุรกิจได้ง่ายขึ้นยังไง 

คุณแท็ป : ทางฝั่งโออาร์จะมีความเชี่ยวชาญในมุมธุรกิจ ฝั่งออร์บิทก็มีจุดแข็งเรื่องเทคโนโลยี ในยุคที่เราต้องทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น การผสานศักยภาพด้านธุรกิจและดิจิทัลเป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันการเปลี่ยนแปลงและเราก็มองว่าจุดแข็งที่ทั้งสองบริษัทมีจะทำให้โออาร์ทรานส์ฟอร์มตัวเองให้เป็นธุรกิจที่ขยายสู่ดิจิทัลได้

คุณโป้ง : เราเชื่อว่าอีกหน่อยเทคโนโลยีเป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินธุรกิจ ออร์บิทจึงเข้ามาเสริมในมุมของการสร้างคนที่สามารถนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ และนำข้อมูลที่จะเกิดขึ้นบนระบบ ในอนาคตมาใช้ประโยชน์เพื่อสร้างผลลัพธ์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการพัฒนาธุรกิจ การสร้างธุรกิจ ผลิตภัณฑ์หรือบริการแนวใหม่ ทั้งในแง่ digital และ physical ให้กับธุรกิจของโออาร์ และตัวอุตสาหกรรมในอนาคต 

ระบบบริหารความสัมพันธ์ลูกค้าที่พัฒนาร่วมกันมีความสำคัญกับธุรกิจยังไง 

คุณแท็ป : ถ้าพูดคำว่าระบบ loyalty management system อย่างเป็นทางการ หลายคนอาจจะไม่คุ้นเคยกัน แต่จริงๆ แล้วมันคือระบบหลังบ้านของ blueplus+ (Blue Card เดิม) ที่เป็น loyalty program ของโออาร์ ตัวระบบ loyalty management system ที่ว่าคือหัวใจของ blueplus+ ที่ช่วยให้การบริหารจัดการความสัมพันธ์ลูกค้า (customer relationship management) ของโออาร์มีประสิทธิภาพมากขึ้น แนวคิดของการมี blueplus+ คือเราอยากมีเครื่องมือที่ทำให้เรารักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า ดึงดูดลูกค้า และสร้างความภักดีของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์ได้ เช่น เวลาลูกค้าเข้ามาซื้อของในร้านค้าในเครือของโออาร์ เติมน้ำมันหรือซื้อเครื่องดื่มในร้าน Café Amazon ก็จะได้รับคะแนน blueplus+  และสามารถนำคะแนนที่สะสมไว้ไปแลกเป็นส่วนลด ซึ่งปัจจุบัน blueplus+ สามารถสะสม/แลกคะแนนได้ทั้งร้านค้าในเครือโออาร์ และร้านค้าชั้นนำที่เข้าร่วมโครงการ เช่น Kamu, Kouen, Neta Grill, Otteri และบริษัทท่องเที่ยวอย่าง WonderfulPackage ทำให้เวลาที่ลูกค้าจะเลือกเข้าใช้บริการร้านค้าต่างๆ จะเลือกเข้าร้านร้านค้าที่ร่วมรายการสะสมคะแนนก่อน เนื่องจากได้บริการที่ตรงความต้องการแล้ว ยังได้รับคะแนนสะสมเพื่อนำมาใช้เป็นส่วนลดครั้งหน้าอีกด้วย ดังนั้นระบบนี้ต้องรองรับรายการซื้อสินค้าเป็นจำนวนมากกว่า 6,000 สาขา ทั่วประเทศ เพื่อคำนวณคะแนนสะสมและส่งข้อมูลกลับไปยังช่องทางขายและการให้บริการต่างๆ แบบเรียลไทม์ ให้ถูกต้องและรวดเร็ว นอกจากนี้ยังต้องสามารถนำข้อมูลพฤติกรรมลูกค้านั้นมาพัฒนาเป็นข้อเสนอสิทธิประโยชน์ที่เหมาะกับลูกค้าแต่ละคน เพื่อให้เกิดประสบการณ์ที่ดีกับลูกค้าในทุกครั้งที่ใช้บริการ

ก่อนพัฒนามาเป็นระบบใหม่ในปัจจุบัน pain point ของระบบบริหารความสัมพันธ์ลูกค้าที่โออาร์มีอยู่แต่เดิมคืออะไร

คุณแท็ป : ระบบเดิมที่เรามีอยู่แล้วมันไม่ค่อยเสถียร มีช้า มีหน่วง หรือบางทีก็ถึงขั้นล่มไปบ้าง เวลาลูกค้ามาซื้อของก็อาจจะไม่ได้คะแนนสะสมแต้มทันที หรือมีข้อมูลผิดพลาดบ้างในบางครั้ง ด้วยความที่ก่อนหน้านี้ ตัวระบบเก่าไม่เอื้อกับการแก้ไขเปลี่ยนแปลง การแก้ไขหรือปรับปรุงแต่ละครั้งนั้นไม่ง่าย รวมถึงด้วยฐานลูกค้าที่โตขึ้น ส่งผลให้การที่เราจะเข้าไปปรับแก้ระบบให้รองรับกับลูกค้าที่มีจำนวนเยอะขึ้น หรือแม้กระทั่งการที่เรามีพาร์ตเนอร์ใหม่ๆ เข้ามาและจะต้องพัฒนาระบบให้ไปเชื่อมต่อกับระบบของพาร์ตเนอร์ มันก็ไม่สามารถทำได้โดยง่าย เรียกว่าถ้าจะทำคือแทบต้องรื้อโครงสร้างใหม่ทั้งหมด ซึ่งที่ผ่านมาเวลาระบบมีปัญหาก็จะมีเสียงคอมเพลนจากลูกค้ามาอยู่เรื่อยๆ แล้วก็ส่งผลมาถึงน้องๆ คนทำงานที่อยู่หน้าร้านด้วย เพราะว่าเวลาที่ลูกค้าเขาไม่ได้รับแต้ม หรือแต้มไม่ขึ้นทันที เขาก็จะคอมเพลนไปทางหน้าร้าน เราก็เห็นใจน้องคนที่อยู่หน้าร้านที่ต้องดีลกับทางลูกค้า

พอหน้าบ้านเจอปัญหา แล้วทีมหลังบ้านได้รับผลกระทบไปด้วยไหม  

คุณโป้ง : เมื่อมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น ทีม Platform Operation ของโออาร์ก็ต้องกลับไปทำงานแบบ manual เพื่อแก้ไขรายการต่างๆ ให้ถูกต้อง จากต้นทางไปถึงการลงบัญชี สมมติว่าในระบบมีจุดที่ผิดไป 1 จุด แต่ว่ามีจำนวนเคสเกิดขึ้น 10,000 รายการต่อวัน ที่ตกไปในจุดเดียวกันนี้ แสดงว่าต่อวันเขาต้องทำงานเพิ่มขึ้นมาเท่ากับ 10,000 เคสเช่นกัน ดังนั้นถ้าหากระบบมีพลาดไป 3 จุด ทีมงานดังกล่าวก็ต้องทำงานเพิ่มคูณ 3 กล่าวคือมันก็เลยเป็นงานที่ค่อนข้างเยอะ ฉะนั้นก่อนหน้าที่ไม่สามารถแก้ไขที่ตัวระบบได้ โออาร์ก็เลยต้องขยายทีมโอเปอเรชั่นขึ้นมาเพื่อช่วยเคลียร์เรื่องพวกนี้มาตลอด 

ถ้าโจทย์คือการทำให้ระบบมีเสถียรภาพมากขึ้น แล้วคำว่า ‘เสถียรภาพ’ สำหรับผู้พัฒนาเทคโนโลยีเป็นยังไง 

คุณโป้ง : ถ้าให้อธิบายคำว่าเสถียรภาพง่ายๆ ก็เหมือนกับการที่เราเปิดไฟแล้วไฟติด เปิดน้ำแล้วน้ำไหล การที่ระบบทำงานได้ตามปกติในเวลาที่ผู้ใช้งานต้องการ สิ่งนี้ผมมองว่ามันคือเสถียรภาพของระบบ เช่นเดียวกัน เมื่อมองกลับมาในมุมของ loyalty management system ทุกครั้งที่มีการใช้จ่ายจะทำให้เราได้แต้ม การมีเสถียรภาพคือ พอรายการเหล่านั้นเกิดขึ้น ต้องมีการแจ้งเตือนมาทันทีว่าได้แต้ม หรืออาจเป็นตอนที่เราใช้แต้มจ่ายเงิน ตัดแต้มไปเพื่อแลกของอะไรบางอย่าง แล้วระบบทำงานได้ถูกต้อง ไม่ได้เป็นระบบที่ให้รอนาน ไม่เกิดข้อผิดพลาดขึ้นบ่อยๆ และช่วยลดเคสคอมเพลนของลูกค้าลง นี่เป็นคำว่าเสถียรภาพที่เรามอง แล้วก็ร่วมมือกับโออาร์เพื่อทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้นในระบบใหม่

ที่ผ่านมาทีมออร์บิทช่วยพัฒนาระบบให้มีเสถียรภาพมากขึ้นยังไงบ้าง 

คุณโป้ง : หลักๆ แล้วเราออกแบบและสร้างระบบขึ้นมาใหม่หมด ทำตั้งแต่วาง ‘สถาปัตยกรรมระบบ’ ขึ้นใหม่จากส่วนที่เป็นพื้นฐานเลย พูดง่ายๆ คือถ้าเป็นบ้านหรือตึก เรามองตั้งแต่เกลี่ยที่ดินใหม่ วางเสาเข็มใหม่ เลือกว่าจะใช้วัสดุอะไร ตัวไหน เพื่อที่จะทำให้โครงสร้างตึกที่เราจะสร้างขึ้นนั้นแข็งแรงและรองรับการต่อเติมในอนาคต ต่อให้วันนี้เราจะสร้าง 10 ชั้นเท่าเดิม แต่เรามองว่าในอนาคตตึกนี้อาจจะต้องขยายเป็น 20-30 ชั้นได้ เราเริ่มตั้งแต่การวางวิสัยทัศน์ร่วมกันไปจนถึงการร่วมกันออกแบบและพัฒนาให้เกิดความมั่นใจว่า ระบบใหม่ที่เราเอาขึ้นจะสามารถทำงานร่วมกับช่องทางและระบบอื่นๆ รอบข้างได้อย่างเสถียร เหมือนการผ่าตัดหัวใจ เพราะมีระบบรอบข้างที่เยอะมาก ซึ่งเราไม่สามารถไปสั่งให้ระบบรอบข้างเปลี่ยนตามเราได้ ในขณะที่ทางทีมทำงานเองก็ไม่สามารถทำความเข้าใจระบบเดิมได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ดังนั้นออร์บิทจึงต้องช่วยหาวิธีในการแกะ business logic และ technical logic ที่อยู่บนระบบเดิมร่วมกับทางโออาร์เพื่อให้สามารถนำแม่แบบนั้นมาพัฒนากับระบบใหม่ให้ไม่เกิดผลกระทบใดเลยบนสถาปัตยกรรมและ tech stack (ชุดเทคโนโลยีที่องค์กรใช้สร้างเว็บหรือแอพพลิเคชั่น) ที่เป็นมาตรฐานในอุตสาหกรรม และนิยมใช้กันกับระบบที่มีขนาดใหญ่ๆ ที่องค์กรระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรมใช้กัน

ทั้งหมดนี้เพราะว่าเราไม่อยากให้ส่วนธุรกิจที่เป็นหัวใจของโออาร์ต้องเกิดการหยุดชะงักเหมือนกับที่ผ่านมา อีกทั้งการที่ ecosystem ของโออาร์ขยายไปเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นพาร์ตเนอร์ที่เข้ามาร่วมกับธุรกิจของโออาร์ บริษัทหรือแบรนด์ที่โออาร์ไปลงทุนเพิ่มหรือแม้กระทั่ง การทรานส์ฟอร์มโออาร์ให้เป็นดิจิทัลมากขึ้น หากย้อนกลับไปเมื่อก่อนสักหลายปีที่แล้ว transaction ที่เคยเกิดขึ้นผ่านระบบอาจจะมีแค่ประมาณ 5 แสนต่อเดือน แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว กลายเป็นหลักล้านต่อเดือน แล้วก็จะเติบโตขึ้นไปอีก เพราะว่าลูกค้าทำรายการได้บ่อยขึ้น และทำได้ทุกเวลามากกว่าแต่ก่อน

ในการออกแบบ ‘สถาปัตยกรรมทางเทคโนโลยี’ ทีมต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง  

คุณโป้ง : เราวางระบบให้ตอบตามหลักการออกแบบ 4 ข้อ เพื่อให้สามารถรองรับความต้องการทางธุรกิจของโออาร์ได้ 

ส่วนแรกคือระบบต้องขยายตัวเองออกไปเพื่อรองรับคนจำนวนมหาศาลได้โดยอัตโนมัติ (เรียกว่า auto-scaling) ลองนึกภาพซูเปอร์มาร์เก็ต เมื่อแถวชำระเงินเริ่มยาว จะมีพนักงานมาเปิดเคาน์เตอร์เพิ่มทำให้แถวเดิมนั้นสั้นลงและกระจายคนออกไปยังแถวใหม่ ด้วยวิธีนี้แสดงว่า ในช่วงเวลาที่เท่ากัน เคาน์เตอร์จะสามารถรองรับคนที่มาเช็กเอาต์หรือมาจ่ายเงินได้จำนวนมากขึ้น และเมื่อพอเวลาที่แถวเริ่มสั้นลงหรือคนเริ่มน้อยลงแล้ว ก็ปิดเคาน์เตอร์ให้เลย นี่คือลักษณะของ auto scaling ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับให้ระบบทำงานได้อัตโนมัติทุกอย่างและรองรับฟังก์ชั่นได้เยอะขึ้น ในสถาปัตยกรรมระบบที่วางเอาไว้

ส่วนที่สอง เป็นเรื่องที่ระบบต้องมีความน่าเชื่อถือและเสถียรภาพให้ได้ เราทำงานร่วมกันตั้งแต่การวางแผนคำนวณว่าระบบต้องรองรับให้ได้เท่าไหร่ มอนิเตอร์ว่าอาจจะมีจุดดาวน์ พีค หรือส่วนผิดพลาดตรงไหนเพิ่มขึ้นมา เพื่อให้เวลาเกิดข้อผิดพลาดแล้วทีมโอเปอเรชั่นจะรู้ทันที ลดเคสไม่ให้พลาดแล้วต้องมานั่งไล่แก้ทีหลัง 

ส่วนที่สาม คือระบบต้องยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงและการต่อยอดในอนาคต ในขณะเดียวกันก็ต้องสามารถดูแลระบบได้โดยง่ายด้วย เหมือนกับเวลาเราจะสร้างบ้านสร้างตึก เราก็ไม่ได้อยากให้สร้างเสร็จปุ๊บแล้วมีความวิลิศมาหรามาก แต่สุดท้ายแล้วค่าใช้จ่ายในการดูแลสูง เราจึงคำนึงถึงประเด็นนี้ด้วย เพื่อให้สามารถพัฒนาต่อยอดไปได้ตามการเติบโตของธุรกิจโออาร์ในอนาคต 

ส่วนสุดท้ายที่เรากับโออาร์ให้ความสำคัญมากๆ คือเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล มีกระบวนการทำงานและทดสอบระบบที่เป็นมาตรฐานอุตสาหกรรม ช่วยเสริมความมั่นใจให้กับลูกค้าเนื่องจากข้อมูลบนระบบจะมีความปลอดภัยสูงสุด 

ระบบที่เปรียบเสมือน ‘บ้านใหม่’ สร้างประสบการณ์ที่ดีขึ้นแก่ลูกค้าผู้มาใช้บริการ คนทำงานทั้งหน้าบ้านและหลังบ้านยังไงบ้าง  

คุณแท็ป : พอระบบเสถียรก็ทำให้เกิดความเชื่อมั่น ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการก็ได้รับประสบการณ์ที่ดี ซื้อของแล้วเห็นได้เลยว่าได้รับพอยต์กี่คะแนน ในส่วนของร้านค้าก็จะสามารถให้บริการได้อย่างมั่นใจ สิ่งที่ออร์บิทช่วยเรานั้นทำให้ pain point ที่เคยมีถูกแก้ปัญหาไปเลยตั้งแต่วันแรกๆ ที่ระบบใหม่ขึ้น เราก็ได้รับจดหมายชื่นชมจากน้องๆ ที่สถานีบริการ เขาขอบคุณที่เราช่วยทำระบบใหม่นี้ขึ้นมา ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามันมี impact กับคนที่อยู่หน้าร้านจริงๆ ว่าพอระบบมันเสถียรขึ้นแล้ว และไม่มีปัญหาเหมือนเดิมแล้ว ก็สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคและผู้ค้าของเรา

คุณโป้ง : ปัญหาที่เจอก็ลดลง เคสคอมเพลนก็ลดลง ความสัมพันธ์ของร้านค้ากับลูกค้าก็ดีขึ้น ในแง่ของทีมโออาร์เองก็สามารถนำคนไปทำงานที่สร้างมูลค่าเยอะกว่าเดิมได้ เพราะว่าไม่จำเป็นต้องมาแก้ปัญหา manual ต่อวันแล้ว ซึ่งบางที่อาจจะมองว่ามันเป็นผลกระทบเล็กๆ แต่ในฝั่งของออร์บิทกับทีมโออาร์ที่ได้ร่วมทำโปรเจกต์นี้ด้วยกัน ผมมองว่าเป็นความภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งที่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นด้วยกัน

ในฝั่งธุรกิจ การใส่ใจพัฒนาระบบบริหารความสัมพันธ์ลูกค้าส่งผลดีต่อการขยายธุรกิจยังไงบ้าง 

คุณแท็ป : นอกจากเทคโนโลยี auto scaling ที่ไม่ได้มีลิมิตว่ารองรับได้แค่กี่ล้านคน ทำให้สามารถสเกลขึ้นไปได้เรื่อยๆ ตามการเติบโตของฐานลูกค้าเราแล้ว การที่เราพัฒนาให้เชื่อมต่อได้กับหลายพาร์ตเนอร์ทำให้ไม่ได้จำกัดว่าระบบต้องเชื่อมต่อได้กับแค่ร้านค้าของทางโออาร์เท่านั้น เรายังสามารถเชื่อมต่อกับบริษัทพาร์ตเนอร์ที่โออาร์ไปลงทุนได้ แต่ก่อนเราอาจจะรู้แค่ว่าเติมน้ำมันหรือซื้อ Café Amazon แล้วได้ Blue Point แต่ว่าตอนนี้เราสามารถดูได้ว่ามีแบรนด์อะไรอีกบ้างที่จะได้สะสมแต้ม อย่างแบรนด์ชา KAMU ก็รับ Blue Point ได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นพาร์ตเนอร์รายไหนก็สามารถที่จะมาเชื่อมต่อกับระบบสะสมแต้มของเราได้

การที่เรามีระบบ loyalty program ที่เข้มแข็ง สิ่งสำคัญอีกอย่างที่จะได้มาคือข้อมูล เรามีข้อมูลสมาชิกปัจจุบัน 8.5 ล้านรายที่เป็นสมาชิก Blue Plus Member ซึ่งเราสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาประมวลผล วิเคราะห์ เพื่อทำแคมเปญการตลาดให้เกิดประโยชน์กับลูกค้าได้ โดยเราสามารถวิเคราะห์ได้จากข้อมูลว่าลูกค้าแต่ละคนมีความชอบอะไร เราควรจะทำแคมเปญอะไรเพื่อส่งเสริมให้ลูกค้าซื้อสินค้ามากขึ้น หรือเพื่อส่งเสริมให้ลูกค้าซื้อสินค้าแบรนด์อื่นๆที่อยู่ใน ecosystem ของโออาร์ 

นอกจากเราจะทำแคมเปญเพื่อส่งเสริมและกระตุ้นลูกค้าแล้ว ก็ยังสามารถส่งเสริมการทำธุรกิจพาร์ตเนอร์ของโออาร์ด้วย เพราะว่าร้านค้าในเครือของโออาร์ก็ไม่ได้มีแค่ร้านที่โออาร์เป็นเจ้าของอย่างเดียว ยังมีดีลเลอร์ที่เป็นสถานีบริการ หรือ Café Amazon ซึ่งเป็นลูกค้าที่เป็นพาร์ตเนอร์ของเรา การมีระบบ loyalty program ที่เสถียรและมีประสิทธิภาพจึงส่งเสริมธุรกิจของพาร์ตเนอร์เราไปด้วย

สิ่งที่โออาร์และออร์บิทได้เรียนรู้จากการพัฒนาระบบร่วมกันคืออะไร  

คุณแท็ป : สิ่งที่ออร์บิทเข้ามาช่วยเติมเต็มโออาร์คือ technology capability ถึงแม้เราจะมีทีมดิจิทัล แต่พอลงรายละเอียดลึกๆ เราจะไม่มีความรู้เชิงลึกด้านเทคโนโลยีมากขนาดนั้น การที่ทีมงานของโออาร์เองไม่ว่าจะฝ่ายธุรกิจหรือทีมดิจิทัลที่ได้ทำงานร่วมกับออร์บิท ทำให้เราเข้าใจในเทคโนโลยีนั้นๆ ได้อย่างลึกซึ้ง การมีออร์บิทเป็นเพื่อนคู่คิดก็ทำให้สามารถทำงานร่วมกัน brainstorm แล้วก็เกิดไอเดียร่วมกัน ว่าเราจะพัฒนา หรือนำเทคโนโลยีมาใช้ยังไงให้เกิดประโยชน์กับโออาร์ในอนาคตได้ 

คุณโป้ง : ในมุมของออร์บิทคิดว่าทีมที่ได้มาทำงานกับโออาร์ก็ได้เรียนรู้หลายๆ เรื่อง เราได้เรียนรู้ว่าบริษัทระดับประเทศขนาดนี้มีกระบวนการกำกับดูแลกิจการที่ดียังไง ที่ทำให้การดำเนินการในเรื่องต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง และทำให้สามารถขับเคลื่อนองค์กรขนาดนี้ได้ซึ่งไม่ใช่ทุกคน ที่จะสามารถมีโอกาสเข้ามาเรียนรู้จากองค์กรขนาดใหญ่ระดับประเทศอย่างโออาร์ได้ นอกจากนี้ทางทีมงานที่มีโอกาสได้ทำงานร่วมกับโออาร์ รวมถึงผู้บริหารทางฝั่งธุรกิจ ก็ได้เรียนรู้ประสบการณ์และแนวคิดของผู้บริหารโออาร์ที่เก่งมากๆ หลายๆ ท่าน ได้เห็นว่ามุมมองในฝั่งธุรกิจขององค์กรระดับประเทศนี้มีวิสัยทัศน์และแนวคิดยังไง สุดท้ายจะได้มีความเข้าใจที่มาเชื่อมกันได้ว่าเทคโนโลยีจะไปตอบโจทย์ธุรกิจได้ยังไง เราจะได้คิดตามผู้บริหารฝั่งธุรกิจได้ทัน และยังมีอีกหลายส่วนที่ออร์บิทสามารถเรียนรู้กับโออาร์ได้ในอนาคต เช่น อีกหน่อยอาจจะมีแนวทางการทำธุรกิจใหม่ๆ หรือว่า การเติบโตในด้านใดด้านหนึ่งที่ทางออร์บิทอาจจะมีส่วนร่วม และจะสามารถกลายเป็นคนที่ช่วยผลักดันในฝั่งเทคโนโลยีให้กับฝ่ายธุรกิจของโออาร์ได้

ที่ผ่านมามีความท้าทายในการทำงานร่วมกันระหว่างสององค์กรบ้างไหม แล้วจูนเข้าหากันยังไง  

คุณแท็ป : ต้องบอกว่าช่วงแรกเราก็มี gap ที่เป็นความท้าทายระหว่างสองบริษัทพอสมควร ทีมหนึ่งก็สายธุรกิจ อีกทีมหนึ่งก็สายเทคโนโลยี คุยกันคนละภาษาเลยในครั้งแรก ฝั่งธุรกิจเองก็มองว่าเราบอกความต้องการของเราชัดแล้วนะ แต่ฝั่งเทคโนโลยีก็บอกว่าไม่ชัด ระหว่างทำกันไปก็มีการปรับจูนกันระหว่างทาง สิ่งที่เราได้เรียนรู้คือมันต้องมีการสื่อสารให้มากขึ้น พูดคุยให้เคลียร์มากขึ้น ด้วยความที่พื้นฐานและแบ็กกราวนด์ต่างกัน มันเลยต้องมีคนตรงกลางที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างธุรกิจกับเทคโนโลยี ซึ่งตรงนี้ทางออร์บิทเองก็เข้ามาช่วยเสริม ในฝั่งโออาร์เองก็อาจจะไม่ได้มีความรู้ในเรื่องทางเทคโนโลยีลึกๆ ขนาดนั้น ก็มีคนของออร์บิทที่เข้ามาช่วยปิด gap ตรงนี้ด้วย

คุณโป้ง : มองว่า synergy คือเรื่องสำคัญในการทำ joint venture หรือร่วมทุนกัน จะทำยังไงให้เกิด synergy ขึ้นได้ ถ้า synergy เกิด ทำให้ 1+1 แล้วมันจะเกิน 2 ได้จะเป็น 10 หรืออะไรก็ได้ แต่ความท้าทายในจุดเริ่มต้นคือการเริ่มจากเข้าใจกันก่อนว่าอะไรคือจุดแข็ง-จุดอ่อนของกันและกัน รวมถึงต้องมีการสื่อสารที่ดีด้วย เมื่อเทียบกับโออาร์แล้วเรายังเป็นน้องคนเล็กในองค์กรนี้ เพราะฉะนั้นเรามีอีกหลายเรื่องที่ต้องเรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายธุรกิจของโออาร์ วิสัยทัศน์ กลยุทธ์ ฯลฯ เพราะตอนนี้เราก็เป็นพาร์ตเนอร์ที่เริ่มช่วยธุรกิจของโออาร์ได้เพียงไม่กี่ส่วน ซึ่งถ้ายิ่งเรามีส่วนร่วมหรือมีความเข้าใจตรงนี้ได้มากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งสามารถที่จะขยายขีดความสามารถของเราไปช่วยโออาร์ได้มากขึ้นเท่านั้น 

อะไรคือ key success factor ที่ทำให้ทั้งสององค์กรฝ่าความท้าทายในการทำงานร่วมกันได้ 

คุณแท็ป : ปัจจัยความสำเร็จที่สำคัญที่สุดก็คือเราต้องมีเป้าหมายเดียวกัน การทำงานร่วมกันกับออร์บิทไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบนายจ้างลูกจ้าง เราเป็นทีมเดียวกัน เป็นยิ่งกว่าพาร์ตเนอร์และเป็นพี่น้องกัน อย่างของโออาร์เราก็มีเป้าหมายที่จะทำให้องค์กรเราเป็นองค์กร digital-driven ให้ได้ และในฝั่งของออร์บิทก็มีเป้าหมายว่าเขาจะมาช่วยโออาร์ให้ไปถึงเป้าหมายนั้น เพราะฉะนั้นเวลาที่เราทำโครงการอะไรร่วมกันเราก็จะมองไปไกลๆ ว่า สุดท้ายแล้วผลลัพธ์ที่ได้ควรจะเป็นอะไร ไม่ใช่มองแค่ว่าในโปรเจกต์นี้เราต้องพัฒนาโปรแกรม หรือส่งมอบระบบนี้ให้สำเร็จแค่นั้น เรามองไปไกลๆ แล้วออร์บิทเขาก็จะช่วยเราคิด ช่วยเราวางรากฐานว่าระบบที่ดีต้องคำนึงถึงเรื่องอะไรบ้างเพื่อที่ในอนาคตเราจะเอาไปต่อยอดได้ 

ในโลกธุรกิจ มายด์เซตสำคัญที่ทำให้ทำธุรกิจสำเร็จคืออะไร 

คุณแท็ป : ไม่ใช่เพียงแค่ดูแลลูกค้าหรือทำให้ระบบเสถียรอย่างเดียว แต่เราได้ดูแลประสบการณ์ของผู้มีส่วนได้เสียทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า ผู้บริโภค ตลอดจนพาร์ตเนอร์ ดีลเลอร์ต่างๆ ที่เราต้องสนับสนุนและส่งเสริมให้ธุรกิจของเขาดีขึ้นและเติบโตได้มากขึ้น และสุดท้ายก็คือ การที่ได้ช่วยแก้ปัญหาให้กับพนักงานของโออาร์เอง ไม่ว่าจะเป็นทีมคอลเซนเตอร์หรือทีม blueplus+ จากการที่ทีมออร์บิทเข้ามาซัพพอร์ตก็ทำให้เขาไม่ต้องอดหลับอดนอน ต้องมาดูแลระบบในยามค่ำคืนอีกต่อไป ก็จะมีระบบงานและเทคโนโลยีต่างๆ มาช่วยให้ชีวิตเขาดีขึ้น ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ในโลกเทคโนโลยี มายด์เซตสำคัญที่ทำให้การพัฒนาซอฟต์แวร์สำเร็จคืออะไร

คุณโป้ง : ระบบที่ดีคือระบบที่ช่วยธุรกิจสร้างผลลัพธ์ที่ต้องการได้ ไม่ใช่แค่ลงทุนทำระบบที่ใหญ่และไฮเทคเท่านั้น แต่ต้องตอบโจทย์ business performance และ business goal ได้ ดังนั้นในการทำงานร่วมกันช่วงแรกจึงให้ความสำคัญกับการสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมและร่วมมือกันระหว่างฝ่ายธุรกิจและ IT ผ่านการนำกระบวนการและแนวความคิดของ agile software development เข้ามาใช้ เพื่อทำระบบออกมาให้ประสบความสำเร็จและตอบโจทย์ฝั่งธุรกิจของโออาร์ เน้นการสร้างคุณค่าทางธุรกิจและ impact ในเชิงของประสบการณ์การใช้งานระบบของผู้ใช้งาน โดยระบบต้องเป็นตัวเชื่อมประสบการณ์การใช้งานบนมือถือหรือเว็บไซต์ กับ ecosystem และสถานที่ที่เป็น physical ของโออาร์ได้ด้วย 

ผมพยายามสอนทีมอยู่เสมอคือ impact ของซอฟต์แวร์ที่ส่งมอบคุณค่าให้ผู้คนได้ มันไม่ใช่ตัวเทคโนโลยีที่เจ๋งหรือทันสมัยที่สุด มันไม่ใช่เรื่องที่ว่าเราต้องทำบล็อกเชน หรือต้องเอา VR มาใช้ในทุกเรื่อง แต่สิ่งสำคัญคือ impact ที่สร้างได้ให้กับทุกคนมากกว่า มันไม่ใช่แค่เรื่องการสร้างระบบที่เสถียรขึ้น แต่มันเป็นเรื่องของการที่ระบบเสถียรขึ้นแล้วทำให้ชีวิตของคนที่เกี่ยวข้องกับระบบนี้ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำมันดีขึ้นได้ยังไง อันนี้ผมถือว่ามันเป็นความสำเร็จของระบบซอฟต์แวร์ที่มีองค์ประกอบของความเป็นคนที่เป็นผู้ใช้งานมันอยู่ในนั้น

ออร์บิทมีคัลเจอร์การทำงานแบบไหนที่ทำให้เรื่องยากอย่างการพัฒนาซอฟต์แวร์เป็นเรื่องสนุกและสร้าง impact ที่มีความหมาย 

คุณโป้ง : เราเน้นคำว่า collaboration หรือการทำงานร่วมกันเป็นคีย์เวิร์ดหลัก เพราะส่วนหนึ่งเราเกิดขึ้นมาด้วยความต้องการที่จะเป็นทีมภายในของโออาร์ จึงมองเสมือนว่าเป็นทีมเดียวกัน มี ownership ในงานที่ทำ ไม่ใช่เราแค่ทำระบบแล้วส่งให้ผู้ใช้เอาไปใช้แค่นั้น แต่ต้องรู้สึกว่าเราเป็นเจ้าของในงานนี้ ข้อที่ 2 เป็นเรื่อง openness หรือ transparency เราพยายามเซตคัลเจอร์ให้เวลามีไอเดียหรือมีสิ่งที่ไม่เห็นด้วย แล้วกล้าที่จะบอก กล้าที่จะเสนอ กล้าพูดออกมา 

ส่วนข้อ 3 ที่คิดว่าเป็นเรื่องสำคัญมากๆ คือการที่เราไม่ได้มองความสำเร็จเป็นแค่งานที่เราทำเสร็จ หรือเป็นแค่ to-do list แต่จะต้องมองไปให้ไกลมากขึ้นตั้งแต่ต้นน้ำไปถึงปลายน้ำ ว่าเรากำลังจะส่งมอบงานนี้ให้กับใคร แล้วเขาจะเอาไปทำอะไรต่อ สมมติเราทำงานให้โออาร์แล้วโออาร์เอาไปทำต่อ สิ่งนี้จะมีประโยชน์กับเขายังไง มีประโยชน์กับลูกค้าหรือผู้ใช้งานระบบนี้ยังไง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พยายามสร้างวัฒนธรรมการทำงานให้ทีมมาตลอดว่าเนื่องจากเราเป็นเหมือน technology partner ของโออาร์ เราอาจจะต้องช่วยโออาร์คิดไปให้ไกลมากกว่าแค่ไปนั่งถามฝ่ายธุรกิจเขาว่าอยากได้อะไร อาจจะต้องลองหาเหตุผลหรือรีเสิร์ชเข้าไปเพื่อให้เขาเห็นภาพ เพราะเราต้องเป็นเพื่อนคู่คิดให้กับโออาร์ให้ได้ จึงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราพยายามเน้นให้วัฒนธรรมองค์กรมีมายด์เซตที่ think beyond คิดไปให้ไกลกว่าที่เราได้รับโจทย์มา

การพัฒนาระบบซอฟต์แวร์เปรียบเสมือนการสร้าง ‘บ้าน’ หลังใหม่ให้ธุรกิจ บ้านที่มีโครงสร้างที่ดีและแข็งแรงไม่เพียงแต่อำนวยความสะดวกให้คนในบ้านใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบาย แต่ยังมี impact ต่อชีวิตของทุกคนที่เกี่ยวข้อง เหนือสิ่งอื่นใดเมื่อคนที่แตกต่างอย่างโออาร์ที่ถนัดในโลกธุรกิจและออร์บิทที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน การมีทีมเทคโนโลยีที่สามารถเล่าเรื่องซับซ้อนให้เข้าใจง่าย พร้อมปรับตัวและเรียนรู้ต่อโลกธุรกิจทำให้สามารถวางรากฐานของระบบหลังบ้านได้อย่างแข็งแรงและยังพร้อมสนับสนุนทีมหลังบ้านให้เติบโตไปพร้อมๆ กัน

สนใจมาเป็นครอบครัวเดียวกันและเป็นหนึ่งในทีม Orbit สามารถติดต่อพูดคุยเพิ่มเติมได้ที่อีเมล [email protected]

กลยุทธ์ที่ทำให้ Nirvana Memorial Park เป็นผู้ให้บริการผู้ล่วงลับที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย 

สำหรับลูกหลานชาวจีน เทศกาลเช็งเม้งถือเป็นอีกวันรวมญาติจากทั่วฟ้าเมืองไทยไม่ต่างจากวันตรุษจีนมากนัก 

นอกจากระยะทางแสนไกล อีกสิ่งที่เชื่อว่าลูกจีนน่าจะจำกันได้แบบฝังหัวคือการเตรียมของไหว้แสนวุ่นวายในบรรยากาศร้อนระอุ ด้วยสภาพแวดล้อมของสุสานจีนแบบดั้งเดิมที่ไม่น่าอภิรมย์ ผสมรวมกับความเชื่อหลังความตายแบบฉบับชาวจีนที่เลือนรางลงทุกรุ่น ไม่แปลกใจหากหลายคนจะมองหาแนวทางชีวิตหลังความตายในรูปแบบอื่น 

วันเช็งเม้งที่คึกคักจะยังคงเป็นแบบเดิมอยู่หรือไม่? สุสานเหล่านี้จะลดน้อยถอยลงหรือเปล่า?

เหล่านี้เป็นคำถามที่เราสงสัยและเก็บมาสนทนากับ Dato’ Jerry Yu Chia Chang ประธานเจ้าหน้าที่บริหารต่างประเทศ (Overseas CEO) แห่งเนอร์วาน่า เอเชีย กรุ๊ป (Nirvana Asia Group) ผู้ให้บริการอสังหาริมทรัพย์หลังความตายแบบครบวงจรสัญชาติมาเลเซียที่เริ่มต้นจากโครงการแรกด้วยพื้นที่เพียง 100 กว่าไร่ ในเซเมนยิห์ สลังงอร์ ประเทศมาเลเซีย ก่อนไปสู่ 5 ประเทศ 26 โครงการ

เนอร์วาน่าประเทศไทยก่อตั้งขึ้นเป็นเวลากว่า 10 ปี จุดหมายปลายทางตั้งอยู่ที่อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี ที่นี่ไม่เพียงให้บริการฮวงซุ้ยและที่เก็บอัฐิ แต่ยังมีสุสานสำหรับชาวคริสต์ และมีบริการด้านความเชื่อเรื่องโชคดวงอย่างแซกี หรือสุสานคนเป็น ที่ตอบโจทย์คนไทยทุกเชื้อชาติได้

เนอร์วาน่ายังมีบริการทำพิธีแด่ผู้วายชนม์แทนลูกหลานที่ติดภารกิจ ความน่าสนใจคือลูกหลานยังไม่ต้องจ่ายเงินรายปีเพื่อบำรุงรักษาสถานที่ ไม่มีการขุดออกเมื่อไร้ลูกหลานดูแล ถือเป็นอีกหนึ่งสวรรค์ที่ลูกหลานจีนหลายคนถูกใจ 

ที่สำคัญ เมื่อก้าวเข้ามายังสถานที่แห่งนี้ หลายคนน่าจะต้องมีคำถามกันบ้างว่าที่นี่ใช่สุสานที่เคยเห็นจริงหรือไม่ เพราะนอกจากจะสวยงามแล้ว ยังมีระเบียบ สะดวกสบาย และสะอาดสะอ้าน

แต่จุดเด่นเหล่านี้จะทำให้เนอร์วาน่า เอเชีย กรุ๊ป ยืนหยัดได้หรือไม่ โอกาสในตลาดเมืองไทยนั้นมีมากแค่ไหนอยู่เท่าใด Dato’ Jerry Yu Chia Chang รอให้คำตอบกับเราแล้ว

ก่อนจะกลายเป็นเบอร์ 1 ของเอเชีย เนอร์วาน่า เอเชีย กรุ๊ปเกิดขึ้นได้ยังไง

เนอร์วาน่า เอเชีย กรุ๊ปก่อตั้งมาแล้วกว่า 33 ปี ในสมัยนั้นท่านผู้ก่อตั้ง Tan Sri Kong Hon Kong ต้องตามหาสุสานให้ญาติผู้ใหญ่ ท่านพบว่าสุสานทั่วไปรกร้างเต็มไปด้วยขยะและวัชพืชต่างๆ บางแห่งมีปัญหายุบตัว น้ำท่วม ไฟไหม้ แตกร้าว หรือปัญหาความปลอดภัยด้านอื่นๆ แต่กลับไม่มีคนดูแล บุตรหลานก็ไม่ทราบ จนเกิดความเสียหายต่อฮวงซุ้ยหรือช่องเก็บอัฐิ

ท่านจึงมีความคิดอยากยกระดับสุสานให้เหมือนอุทยานดอกไม้ที่สวยงาม นั่นแปลว่าฮวงจุ้ยมันต้องดี ซึ่งมันตอบโจทย์และสอดคล้องกับบริการเสริมดวงแซกีที่ต้องฝังข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ของลูกค้าในสถานที่ที่ถูกหลักฮวงจุ้ยด้วย 

ความแตกต่างนี้หรือเปล่าที่ทำให้เนอร์วาน่าเป็นธุรกิจเกี่ยวกับความตายอันดับต้นๆ ของเอเชีย

ท่านผู้ก่อตั้ง Tan Sri Kong มักพูดเสมอว่า “ผู้ชนะคือผู้ที่ยืนหยัดและมุ่งมั่น” ตอนนี้ลองมองย้อนกลับไป เนอร์วาน่า เอเชีย กรุ๊ป เป็นผู้ให้บริการด้านสุสานที่เติบโตและขยายสาขาได้เร็วที่สุดในเอเชีย ก็คงหนีไม่พ้นคำว่า “ยืนหยัดและมุ่งมั่น” จริงๆ

เพราะกว่าเราจะกลายเป็นเบอร์ 1 ได้แบบทุกวันนี้ เส้นทางของเราไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ โดยเฉพาะช่วงเริ่มแรก Tan Sri Kong ต้องเผชิญกับอุปสรรคและคำดูถูกถากถางมากมาย คนส่วนมากมองว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะทุกคนคุ้นชินกับสุสานรูปแบบเดิมๆ แต่ทุกๆ เรื่องย่อมมีผู้บุกเบิกเสมอ 

กลยุทธ์อะไรอีกบ้างที่ทำให้เนอร์วาน่าขยายจาก 1 โครงการเป็น 26 โครงการใน 5 ประเทศได้

อย่างแรก–สินค้าต้องพูดได้ด้วยตัวเอง สุสานโดยทั่วไปจะมีภาพจำแบบสกปรกรกร้าง เนอร์วาน่าจึงตั้งใจทำให้สุสานสวยงามเหมือนอุทยานหรือโรงแรมระดับ 5 ดาว สิ่งเหล่านี้ลบล้างภาพจำสุสานรูปแบบเดิมไปโดยสิ้นเชิงจนทำให้เกิด ‘การบอกต่อ’

อย่างที่สอง–เรามองว่าสุสานเป็นสถานที่ที่ให้บริการสำหรับคนมีชีวิต เนอร์วาน่าเลยจัดสรรพื้นที่ส่วนกลางรวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ให้กับบุตรหลานของผู้วายชนม์ได้ใช้สอย ซึ่งสุสานรูปแบบเดิมไม่มีสิ่งเหล่านี้ 

อย่างที่สาม–ตามธรรมเนียมดั้งเดิม คนจะเริ่มหาสุสานก็ต่อเมื่อมีคนในบ้านเสียชีวิตแล้วเท่านั้น แต่เนอร์วาน่าเป็นผู้ผลักดันแนวคิดการวางแผนล่วงหน้า ลูกค้าสามารถผ่อนกับบริษัทได้โดยไม่มีดอกเบี้ย และซื้อสินค้าและบริการของเนอร์วาน่าในราคาที่ย่อมเยา หมดกังวลเรื่องราคาที่ปรับตามอัตราเงินเฟ้อ 

เมื่อเราเน้นการขายให้ลูกค้าที่ยังมีชีวิต ระบบของเราจึงเป็นระบบการขายผ่านตัวแทน บางทีเราก็จัด one-day trip พามาทัวร์ไซต์ของเรา บางทีอาจมีดินเนอร์ที่เชิญลูกค้าที่สนใจมาฟัง ทำให้เขาเห็นภาพว่า ณ วันเกิดเรื่อง ลูกค้าที่วางแผนไว้ก่อนกับไม่วางแผนจะเห็นภาพต่างกันเลย 

มันไม่ใช่แค่วุ่นวายเรื่องเงินทอง ไหนจะจัดการเรื่องสถานที่ เรื่องพิธีกรรม มันมีรายละเอียดที่ต้องคุยเยอะแยะมากมายเต็มไปหมด แต่ถ้าเราวางแผนไว้แล้วถึงเวลาเราโทรศัพท์กริ๊งเดียวมาที่เนอร์วาน่า หน้าที่ของลูกค้าหลังจากนั้นก็แค่เดินตามสเตปที่เราออกแบบไว้ให้

อย่างที่สี่–มีคำกล่าวหนึ่งกล่าวไว้ได้ดีคือ “เราไม่มีทางชนะศึกได้เลย ถ้ากำลังสนับสนุนไม่พร้อม” เนอร์วาน่าเลยลงทุนกับระบบและทรัพยากรต่างๆ ของบริษัทอย่างมหาศาล ตัวแทนของเนอร์วาน่าจึงเติบโตได้เร็วและทำได้ดีในระยะเวลาอันสั้น  

ความท้าทายของโมเดลธุรกิจแบบมีตัวแทนคืออะไร

ตัวแทนเปรียบเหมือนสะพานเชื่อมระหว่างเนอร์วาน่าและลูกค้า เพราะสินค้าและบริการของเรามีเอกลักษณ์จึงจำเป็นต้องมีเจ้าหน้าที่ที่มีความรู้ในการอธิบายให้ลูกค้าฟังอย่างละเอียด เราจึงต้องให้ความสำคัญกับการดูแลพนักงานและพาร์ตเนอร์มากๆ 

แต่การสรรหาตัวแทนจนกระทั่งออกไปให้คำปรึกษาดูแลลูกค้าอย่างมืออาชีพนั้นไม่ง่ายเลย กว่าพนักงานแต่ละคนจะพร้อมเป็นตัวแทนที่ดีได้ต้องอบรมนาน 1 ปี ความท้าทายในตอนนี้จึงคือการเทรนด์ให้ตัวแทนมีความรู้ความเชี่ยวชาญ ทั้งตัวแทนโดยเฉพาะหน้าใหม่อาจจะปิดการขายไม่สำเร็จ หรือลูกค้าปฏิเสธกลับมา เราต้องให้คำปรึกษาด้านจิตวิทยากับตัวแทน จัดการฝึกอบรมและแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาต่างๆ 

ธุรกิจรูปแบบนี้มีคู่แข่งทางการตลาดบ้างไหม  

ไม่ใช่แค่เฉพาะประเทศไทย แต่ในทุกประเทศ เรามองว่าคู่แข่งของเราคือตัวเอง เพราะไม่มีธุรกิจไหนที่เน้นขายคอนเซปต์การวางแผนล่วงหน้าแบบเรา 

เนอร์วาน่าจึงต้องท้าทายตัวเองอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้สินค้าและบริการตอบโจทย์ลูกค้าได้ ถามว่า 33 ปีมานี้มีสุสานขนาดเล็กก่อตั้งขึ้นมามากมาย แต่ทำไมเรายังเป็นเบอร์ 1 ได้ สิ่งสำคัญไม่ใช่เรื่องราคา แต่เป็นเรื่องของความเชื่อมั่น เชื่อใจ และไว้วางใจจากลูกค้า 

สุสานขนาดเล็กส่วนมากดำเนินการได้ไม่ดีจึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากที่จะได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า ท้ายที่สุดหลายแห่งก็เลือกที่จะร่วมมือกับเนอร์วาน่า 

แล้วเนอร์วาน่าเห็นโอกาสอะไร ทำไมจึงขยายโครงการมาที่ประเทศไทย

เราอยากให้คอนเซปต์การมีสุสานที่สวยงามและมีมาตรฐานส่งต่อไปยังประเทศอื่นๆ ด้วย ถือเป็นอุดมการณ์ของท่านผู้ก่อตั้ง Tan Sri Kong เสมอมา เรายังต้องการเติบโตอย่างยั่งยืน ถ้ามองระยะยาว มาเลเซียมีประชากร 33 ล้านคนก็จริง แต่ลูกค้าที่ Nirvana ทำได้คือมาเลเซียเชื้อสายจีนเท่านั้น ซึ่งคนมาเลเซียเชื้อสายจีนมีแค่ 7 ล้านคน ตลาดเราจะจำกัดขึ้นเรื่อยๆ การขยายสาขาไปต่างประเทศจึงเป็นอีกหนึ่งทางที่ทำให้ธุรกิจเราเติบโตและยั่งยืน 

จากการศึกษาของเนอร์วาน่าพบว่าประเทศไทยยังไม่มีสุสานที่สวยงามและได้รับการบริหารจัดการที่ดีจริงๆ ตลาดเมืองไทยก็มีความต้องการค่อนข้างสูง ชาวไทยส่วนมากนับถือศาสนาพุทธและให้ความสำคัญกับการประกอบพิธีให้กับผู้ล่วงลับ ชาวไทยเชื้อสายจีนก็ยังคงวัฒนธรรมการฝังแบบร่าง (ฮวงซุ้ย)  

ตัวแทนของเนอร์วาน่าหลายคนก็สอบถามว่าเมื่อไหร่จะขยายโครงการไปที่ประเทศไทย ลูกค้าก็มีฟีดแบ็กแบบเดียวกับตัวแทน เพราะเขามีครอบครัวที่ย้ายมาอยู่ต่างประเทศเยอะ จากปัจจัยทั้งหมด ประเทศไทยจึงเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายที่ดีของเนอร์วาน่าที่จะส่งเสริมและสืบทอดวัฒนธรรมแห่งความกตัญญูกตเวที เป็นที่มาว่าเมื่อ 10 ปีที่แล้วเราจึงตามหาที่ดินเพื่อเปิดโครงการที่ประเทศไทย 

ตลอด 10 ปีที่ประเทศไทย เนอร์วาน่าเผชิญกับปัญหาอะไรบ้าง

โครงการแรกที่ประเทศไทยคือโครงการที่อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี ค่อนข้างใช้เวลาเดินทาง เมื่อตัวแทนนัดหมายลูกค้าจากกรุงเทพฯ ทำให้ทั้งตัวแทนและลูกค้าต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3-4 ชั่วโมงในการเดินทาง ถือเป็นอุปสรรคหลักของตัวแทนมาก

ที่ผ่านมาเราจึงทำโมเดลที่สำนักงานขายที่กรุงเทพฯ เพื่อให้ตัวแทนใช้เป็นสถานที่ประกอบการอธิบายสินค้าและบริการ มีลูกค้าบางกลุ่มที่เชื่อมั่นในตัวแทนแล้วค่อยซื้อสินค้าและบริการก่อนค่อยไปชมโครงการในภายหลัง โดยเฉพาะแซกีเต่ามังกร ลูกค้าส่วนมากทำการซื้อก่อน และจะไปโครงการเมื่อถึงวันทำพิธีแซกีเสริมดวงเท่านั้น

ยิ่งเจอกับการระบาดของโควิด-19 ถึง 2 ปี ทำให้ธุรกิจโตช้าในช่วงแรก ต้นทุนการดำเนินการจึงเพิ่มมากขึ้น เราจำเป็นต้องปรับแผนธุรกิจ โดยตั้งแต่ปี 2565 เรากลับสู่สภาวะการดำเนินการปกติ ผลประกอบการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พนักงานก็มีเสถียรภาพและความกระตือรือร้นดีขึ้นตามลำดับ ซึ่งนี่เป็นสัญญาณที่ดี และเชื่อว่าในอนาคต การดึงดูดพนักงาน หรือเพื่อนร่วมงานที่มีศักยภาพมาร่วมงานกับเราก็จะง่ายขึ้น

แล้วเนอร์วาน่าทำการตลาดที่เมืองไทยแตกต่างจากมาเลเซียไหม 

แน่นอนว่าด้วยความแตกต่างทางวัฒนธรรม เราต้องปรับเปลี่ยนสินค้าและบริการให้เหมาะสมเพื่อตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้าอย่างดีที่สุด ซึ่งไม่กระทบความตั้งใจเดิมของเนอร์วาน่า รวมถึงสอดคล้องกับวัฒนธรรมประเพณีของท้องถิ่นนั้นๆ จะเห็นว่านอกจากสุสาน เรายังมีอาคารเก็บอัฐิที่ตอบโจทย์คนไทย มีสุสานที่ชาวคริสต์มาฝังได้ และมีบริการเสริมดวงแซกีด้วย

ความเชื่อเกี่ยวกับโลกหลังความตายที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ Nirvana หวั่นใจบ้างไหม

ถ้าเปรียบให้เห็นภาพการทำธุรกิจก็เหมือนมือถือ เราเปลี่ยนมือถือได้ไม่นาน เดี๋ยวก็มีรุ่นใหม่ออกมาจนเราวิ่งตามไม่ทัน ดังนั้นเราอย่าไปวิ่งตามเทรนด์ แต่เราต้องเดินตามให้ทัน 

คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญเรื่องความเรียบง่ายและรวดเร็ว แน่นอนว่าอีก 20 ปีข้างหน้าต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน แต่การจะเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมที่ถูกสืบสานมานับพันๆ ปีไม่ง่ายและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในทันทีทันใด  

จากข้อมูลของเรา ประเทศหรือภูมิภาคที่พัฒนาแล้วมีแนวโน้มว่าสัดส่วนการฝังแบบฮวงซุ้ย (ที่ดิน) ลดน้อยลงทุกปี แต่ไม่กระทบกับการดำเนินการของเนอร์วาน่า เพราะสินค้าและบริการของเนอร์วาน่าไม่ได้มีเพียงฮวงซุ้ย (ที่ดิน) แต่ทุกโครงการมีสินค้าและบริการที่หลากหลายเพื่อตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้า 

ประเทศไทยก็เช่นเดียวกัน เราเริ่มมองหาสถานที่สำหรับโครงการที่ 2 เพื่อเปิดบริการช่องเก็บอัฐิจำนวนมากเพื่อรองรับแนวโน้มความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนไปตามแนวคิดของคนรุ่นใหม่ 

แล้วแผนการตลาดต่อไปของเนอร์วาน่าในไทยเป็นแบบไหน  

ชาวมาเลเซียเชื้อสายจีนมีเพียง 7 ล้านคนเท่านั้น เนอร์วาน่าดำเนินการมาแล้ว 33 ปี และยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องและมั่นคง ในทางกลับกัน ประเทศไทยมีประชากรถึง 70 ล้านคน ตามหลักการนี้เราสามารถทำธุรกิจได้ยาวนานถึง 330 ปี

เราจึงคาดหวังว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า เราจะพัฒนาให้โครงการในไทยเติบโตและยั่งยืนเหมือนกับที่ประเทศมาเลเซีย เราจะขยายโครงการไปอีกหลายๆ โครงการ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าชาวไทย ขณะเดียวกัน ผลประกอบของเนอร์วาน่า เอเชีย กรุ๊ป ก็เติบโตขึ้นจากผลพวงของตลาดเมืองไทย เพื่อให้บริการลูกค้าเชื้อสายจีนรวมถึงลูกค้าชาวไทยทุกท่าน 

นี่เป็นเป้าหมายที่เรามุ่งมั่นตลอดมา และจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้อย่างแน่นอน

  • ปัจจัยหนึ่งที่ผู้ก่อตั้งพูดติดปากอยู่ตลอดคือสินค้าต้องขายตัวเองได้ ไม่ต้องพูดเยอะ แต่สินค้าจะดีแค่ไหน สินค้าก็ต้องขายออก โจทย์คือเราจะขายยังไง เราก็ต้องเป็นคนพุ่งเข้าไปหาตลาด ต้องสื่อสารออกไป ไม่ใช่รอให้คนเสียชีวิตแล้วค่อยมาหาเราแบบที่ในอดีตทำกัน 
  • ถ้าเปรียบให้เห็นภาพ การออกแบบโปรเจกต์ให้ดี การมี HR ที่เก่ง มีฝ่ายอบรมพนักงานที่เยี่ยม ฯลฯ เหมือนเป็นตู้รถไฟทั้งหมด ส่วนการตลาดเหมือนหัวรถไฟ ที่เชื่อมทุกส่วนเหล่านี้เข้าด้วยกันและเดินหน้าไปด้วยกันแต่ไม่ได้หมายความว่าการตลาดดีแล้วอย่างอื่นจะทำแย่ๆ ได้ เพราะถ้าคุณจะทำกับข้าวให้อร่อยได้ วัตถุดิบมันก็ต้องดีก่อน  

ชีวิตของ ทัตสึฮิโกะ อาคาชิ ผู้หลงใหลในของเล่นสู่ผู้ก่อตั้ง MEDICOM TOY และ BE@RBRICK

ในวันนี้ อาร์ตทอย (art toy) มีสถานะเป็น สินทรัพย์ประเภทศิลปะแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย หลังตลอดหลายปีที่ผ่านมา มักมีกระแส ‘ของเล่นฟีเวอร์’ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่เฟอร์บี้ (Furby), ครายเบบี้ (Crybaby), ลาบูบู้ (Labubu) ที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในปัจจุบัน

แต่หากจะย้อนไปถึงอาร์ตทอยรุ่นแรกๆ ที่ได้รับความนิยมและผันเปลี่ยนเป็นของเล่นเชิงธุรกิจระดับโลกเช่นนี้ คงต้องพูดถึง BE@RBRICK ฟิกเกอร์หมีหลากลวดลายของทัตสึฮิโกะ อาคาชิ (Tatsuhiko Akashi) ประธานจาก MEDICOM TOY 

น่าสนใจไม่น้อย จากตุ๊กตาโมเดลไร้ลวดลาย เหตุใดจึงถูกแต่งแต้มด้วยศิลปะและเรื่องราว จนวันนี้ในบางคอลเลกชั่นมีมูลค่าหลายล้านบาท 

“ในความเป็นจริง ทุกอย่างมันเริ่มจากความหลงใหลอันสุดแสนธรรมดาอย่าง การชอบเล่นของเล่นของตัวเองก่อนเลยครับ จากนั้นจึงพัฒนาไปสู่เรื่องธุรกิจ” อาคาชิย้อนเล่าถึงจุดเริ่มต้นที่แท้จริง ในวันที่เดินทางมาเปิดตัวนิทรรศการ ‘AKASHIC RECORDS in Bangkok’ แล้วเราได้พบกัน

แม้อาคาชิจะเล่าถึงจุดเริ่มต้นของ BE@RBRICK ว่าทุกอย่างเกิดจากความหลงใหลในการทำตุ๊กตาที่เรียบง่าย ขยับข้อต่อได้เพียง 9 ส่วนซึ่งหากพิจารณาคุณลักษณะเพียงเท่านี้ ก็แทบมองไม่เห็นภาพเลยว่า โมเดลดังกล่าวจะได้รับความนิยม และทำเงินได้ยังไง ในโลกที่ของเล่นและตุ๊กตามีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด 

ทว่าอาคาชิมีแผนการที่ชาญฉลาด ด้วยการชักชวนศิลปิน แบรนด์สินค้า ที่บางเจ้าอาจดูเหมือนจะเป็นคู่แข่งด้วยซ้ำ มาร่วมสร้างผลงานกับ BE@RBRICK ด้วยการแต่งแต้มลวดลายเข้าไป จนทำให้ตุ๊กตาหมีที่เคยจัดอยู่ในหมวดของเล่นที่ผลิตจากโรงงาน กลายเป็นผลงานศิลปะที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว จนผู้คนต่างให้ความสนใจและซื้อสะสมเก็บไว้เป็นจำนวนมาก 

“ในตอนนั้นผมมีไอเดียทางธุรกิจอย่างหนึ่งนะ ว่าจะไม่จะพึ่งพาการตลาดแบบเดิมๆ ผมเลยใช้วิธีชวนคนที่ผมรู้สึกเคารพและอยากทำงานด้วยในวงการศิลปะมาร่วมออกแบบ BE@RBRICK

“ทำให้ตลอดเวลาที่ผ่านมา บริษัทของผมเลยไม่ได้คาดหวังเรื่องผลกำไรเท่าที่ควร แต่กลับเป็นเรื่องการสร้างอะไรบางอย่าง หรือได้ทำอะไรที่มันตอบสนองความต้องการด้านศิลปะของตัวผม ดังนั้นตั้งแต่ศิลปินคนแรกจนถึงคนปัจจุบัน ไม่มีชิ้นไหนดีไปกว่ากัน ทั้งหมดยอดเยี่ยมและสำคัญสำหรับตัวผมมากที่สุดในแต่ละช่วงเวลาของมัน” อาคาชิพูดถึงความเชื่อส่วนตัวอันเป็นแรงผลักดันให้ BE@RBRICK มีความพิเศษไม่เหมือนใคร

และตอนนั้นเองที่ BE@RBRICK ได้เชื่อมศิลปะบนโลกทั้งใบ มาอยู่บนตัวของตุ๊กตาหมีได้สำเร็จ 

สิ่งที่น่าสนใจคือจุดเริ่มต้นของแนวคิดและไอเดียเช่นนี้คืออะไร แล้วเหตุใดปัจจุบัน  BE@RBRICK ยังมีมูลค่าทั้งในเชิงศิลปะและการซื้อ-ขายเก็บสะสมอยู่

หากจะพูดถึงจุดเริ่มต้นคงต้องย้อนกลับไปในปี 1996 ช่วงเวลานั้น ทัตสึฮิโกะ อาคาชิ (Tatsuhiko Akashi) ยังเป็นพนักงานบริษัททั่วไป ผู้ใช้ชีวิตมนุษย์เงินเดือนเป็นกิจวัตร วันหนึ่งขณะเขาเดินเล่นในย่านชิบูย่า และได้เข้าไปดูสินค้าใน ZAAP ร้านขายของเล่นสัญชาติอเมริกันโดยบังเอิญ

ในวันนั้นอาคาชิได้ตัดสินใจซื้อโมเดลของคนเหล็กจากหนังเรื่อง Terminator และ Batman ซูเปอร์ฮีโร่จากค่าย DC Comics ติดมือกลับบ้านมา แม้ว่าราคาของเล่นทั้งสองชิ้นนั้นจะมีมูลค่าเท่ากับเงินเก็บทั้งหมดที่มีอยู่ของเขาก็ตาม

“เดิมทีผมทำงานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และมีรายได้ที่ดีพอควรเลยนะ แต่ก็แลกมากับเวลาว่างที่ไม่มากเท่าที่ควร ซึ่งผมก็ไม่ได้มองเป็นปัญหาอะไร ยังคงอยากทำงานแบบนี้ไปตลอด จนวันหนึ่งที่ได้ไปเดินเล่นย่านชิบูย่า และไปเห็นร้านขายของเล่นเข้า ตอนนั้นเองที่ผมเริ่มคิดกับตัวเองว่า

“จะเป็นยังไงนะถ้าได้มาทำงานกับของเล่นซึ่งเป็นสิ่งที่ตัวเองรักมาตลอด มันคงต้องสนุกแน่ๆ เลย วันนั้นผมมีความคิดแบบนี้เข้ามาในหัว”

ว่าแต่อะไรคือเบื้องหลังการตัดสินใจทุ่มหมดหน้าตักเช่นนี้ 

นอกจากเหตุผลข้างต้น อาคาชิได้ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุการณ์ในวันนั้นว่า การได้เห็นโมเดลทั้งสอง ทำให้เขาตระหนักถึงตัวตนว่าผูกพันกับของเล่นมากเพียงใด โดยเขาได้เคยกล่าวบางประโยคที่สะท้อนถึงความหลงใหลที่มีต่อสิ่งสิ่งนี้

“ชีวิตที่ไร้ซึ่งของเล่นนั้นมันไม่ใช่ชีวิตเลยแม้แต่นิดเดียว”

เรื่องราวทั้งหมดนำพาไปสู่การที่อาคาชิตัดสินใจเปิดบริษัทจำหน่ายของเล่น ภายใต้ชื่อ MEDICOM TOY เขาได้เปลี่ยนพื้นที่บริเวณ 6 ตารางเมตร เป็นร้านจำหน่ายตุ๊กตาประเภท Kubrick โมเดลตุ๊กตาที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากผู้กำกับชื่อดังอย่างสแตนลีย์ คูบริก (Stanley Kubrick) โดยคำว่า Ku ยังออกเสียงคล้ายกับตัวเลข 9 ในภาษาญี่ปุ่น ซึ่งอ้างอิงถึงการที่โมเดลตุ๊กตาสามารถขยับข้อต่อได้ถึง 9 ส่วน

 ในตอนนั้นกิจการของ MEDICOM TOY ในการจำหน่ายตุ๊กตา Kubrick ก็ดำเนินไปได้ด้วยดี จนกระทั่งช่วงเวลาที่ภาพยนตร์เรื่อง Planet of the Apes ของผู้กำกับทิม เบอร์ตัน (Tim Burton) เตรียมเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ช่วงปี 2001 ผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์ ต้องการให้ MEDICOM TOY ผลิตของที่ระลึกสำหรับผู้ซื้อตั๋วภาพยนตร์ล่วงหน้า ซึ่งมีปริมาณออร์เดอร์จำนวนมาก ชนิดที่ล้นกำลังการผลิตของบริษัทในตอนนั้น อาคาชิจึงตัดสินใจเปลี่ยนรูปส่งของตุ๊กตา Kubrick ให้กลายเป็นตุ๊กตาหน้าตาเหมือนหมี ไม่มีลวดลายและสีสันฉูดฉาดแต่อย่างใด เพื่อความสะดวกในการผลิตสินค้า ซึ่งตัวเขาระบุว่า ได้รับอิทธิพลจากกระแสของตุ๊กตา Teddy Bear ในเวลานั้น และเปลี่ยนชื่อเป็น BE@RBRICK เพื่อให้สอดคล้องกับรูปร่างของโมเดลตุ๊กตามากยิ่งขึ้น

“จะบอกว่าผมชอบตุ๊กตาหมีขนาดนั้นไหม ก็ไม่ใช่นะ แต่ผมเห็นรูปทรงประเภทตุ๊กตาหมีมาแทบทั้งชีวิตแล้ว ซึ่งพอได้มาทำงานตรงนี้ ได้มาศึกษาก็เลยได้รู้ว่ามันมีมายาวนานเป็น 100 ปี ดังนั้นในวันที่ต้องตัดสินใจสร้างแพตเทิร์นของตุ๊กตาให้มันง่ายต่อการผลิตในปริมาณที่มาก ผมเลยตัดสินใจใช้รูปทรงหมี เพื่อที่จะสืบทอด ความเป็นของเล่นหมีต่อไป”

ปรากฏว่าของที่ระลึกดังกล่าวได้รับการตอบรับที่ดีเป็นอย่างมาก ตั๋วหนังที่จำหน่ายล่วงหน้าของเรื่อง Planet of the Apes ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ทำให้ชื่อของ Kubrick เป็นที่พูดถึงในแวดวงโมเดลตุ๊กตาญี่ปุ่น ต่อยอดไปสู่การได้ร่วมงานอื่นๆ ตามมา ในงาน World Character Convention และศิลปินและแบรนด์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น KAWS, Nike, Chanel, Bape ในเวลาต่อมา

คำถามคือ อะไรที่ทำให้ BE@RBRICK เป็นที่นิยมขึ้นมา และเหตุใดศิลปินหรือแบรนด์ต่างๆ ให้ความสนใจร่วมงานกับโมเดลตุ๊กตาหมีตัวนี้ เรื่องนี้มีประเด็นที่น่าสนใจอยู่ 3 เรื่องด้วยกัน 

หนึ่ง–ความเรียบง่ายที่เปิดรับทุกโอกาส

หากพูดถึง BE@RBRICK เอง ในความเป็นจริงแล้ว มันคือตุ๊กตาหมีพลาสติกสีธรรมดาเพียงเท่านั้น ทว่าความเรียบง่ายตรงนี้เองก็ถือเป็นโอกาสอันดีในการเชิญชวนศิลปินและแบรนด์ต่างๆ มาถ่ายทอดศิลปะเพื่อสะท้อนตัวตน 

จึงทำให้วันนี้ BE@RBRICK มีสถานะเหมือนผ้าใบผืนหนึ่ง มีผู้คนมากหน้าหลายตาเข้ามาออกแบบ ดีไซน์ และสร้างสรรค์ตุ๊กตาหมีในแบบเฉพาะของตนเองตลอดช่วง 20 ปีที่ผ่านมา

สอง–จำนวนที่จำกัด เพื่อเพิ่มมูลค่าการถือครองให้กับผู้ซื้อ

ปัจจุบัน BE@RBRICK มีการผลิตในจำนวนจำกัดแบบลิมิเต็ดเอดิชั่น ซึ่งเมื่อจำหน่ายหมดในแต่ละซีรีส์แล้วจะไม่มีการผลิตเพิ่มอีก อีกทั้งในบางซีรีส์มีวางจำหน่ายแค่บางประเทศหรือเป็นการจำหน่ายแบบพรีออร์เดอร์ในเวลาที่จำกัดเท่านั้น

จึงทำให้เหล่าคนที่ชื่นชอบ BE@RBRICK หรือนักสะสมผลงานศิลปะต่างมีความต้องการที่จะได้ครอบครองตุ๊กตาหมีอันจำกัดเช่นนี้เป็นอย่างมาก อีกทั้งยังส่งผลให้มูลค่าของตุ๊กตาพุ่งสูงขึ้นหลายเท่าตัวในบางคอลเลกชั่น

สาม–ความลิมิเต็ด ที่ทำให้รู้สึกว่าตุ๊กตาหนึ่งชิ้นช่างสำคัญเหลือเกิน

นอกจากจำนวนที่จำกัดแล้ว BE@RBRICK ยังมีลูกเล่นทางการตลาดเพิ่มเติมอย่างการผลิตกล่องแบบสุ่ม (blind box)  ที่ผู้ซื้อจะไม่รู้ว่าตุ๊กตาที่อยู่ข้างในเป็นสีอะไรและมีลวดลายแบบไหน รวมไปถึงตุ๊กตาประเภท Secret Types ซึ่งเป็นลายที่จะมีแค่ 0.52% จากจำนวนที่ผลิตทั้งหมดในแต่ละคอลเลกชั่น ซึ่งวิธีแบบนี้ก็ถือเป็นการชักชวนนักสะสมให้มาซื้อตุ๊กตา BE@RBRICK ได้มากยิ่งขึ้น 

โดยในปัจจุบันตุ๊กตา BE@RBRICK จะวางแผนออกคอลเลกชั่นใหม่เพียงแค่ 2 ครั้งต่อปี โดยจะแบ่งออกเป็น 4 รูปแบบในซีรีส์นั้นๆ คือ

1. Basic ตุ๊กตาหมีจำนวน 9 ตัว ไม่มีลวดลายใดๆ แต่จะมีการปั๊มตัวอักษร B / E / @ / R / B / R / I / C / K ในตุ๊กตาแต่ละตัว 

2. Standard ตุ๊กตาที่จะมีธีมในแต่ละคอลเลกชั่น ยกตัวอย่างเช่นรูปแบบ jellybean ที่โปร่ง มีสีสดใส สามารถมองทะลุได้, Flag ที่มีลวดลายเป็นธงชาติประเทศต่างๆ เป็นต้น

3. Artists ตุ๊กตาที่ BE@RBRICK เชิญเหล่าศิลปินหรือแบรนด์สินค้ามาร่วมงาน เช่น Kaws, Stüssy หรือ  COMME des GARÇONS เป็นต้น

4. Secrets ตุ๊กตา BE@RBRICK ที่ไม่มีการเปิดเผยรูปร่างก่อน ซึ่งได้รับความนิยมจากเหล่านักสะสม

นอกจากนี้ BE@RBRICK ยังถูกผลิตออกมาหลายขนาด ตั้งแต่ 50% ที่มีขนาดเท่าพวงกุญแจ  ไปจนถึง 1,000% ที่สูงถึง 70 เซนติเมตร ซึ่งใช้สำหรับเป็นเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้านได้

ขนาดที่หลากหลาย พื้นผิวที่เป็นเหมือนผ้าใบของงานศิลปะ และจำนวนที่จำกัดเหมาะสำหรับการสะสม เหล่านี้คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้  BE@RBRICK ได้รับความนิยมในหมู่นักสะสมจนถึงปัจจุบัน อีกทั้งยังทำให้ราคาของตุ๊กตารูปร่างหมีเช่นนี้มีราคาที่พุ่งกระโดดในหลากหลายคอลเลกชั่น 

ยกตัวอย่าง ในคอลเลกชั่น Bearbrick x Yue Minjun (Qiu Tu) ที่ได้รับการออกแบบลวดลายโดย เยี่ยหมิ่นจวิน (Yue Minjun) ศิลปินชาวจีนสไตล์ป๊อปอาร์ตและเซอร์เรียลริสม์ ซึ่งเปิดตัวในปี 2008 แต่ในปัจจุบันโมเดลที่มีสัดส่วน 1,000% ของคอลเลกชั่นดังกล่าวกลับมีมูลค่าสูงถึงเกือบ 7 ล้านบาท  หรือในคอลเลกชั่นที่ร่วมงานกับศิลปินชื่อดังอย่าง KAWS เอง ก็มีราคาขายส่วนใหญ่สูงกว่าราคาเดิมเฉลี่ย 7-1,800%

แต่ถึงแม้มูลค่าของ BE@RBRICK จะพุ่งสูงขึ้นจนหลายคนมองว่าเป็นอีกหนึ่งสินทรัพย์ที่น่าลงทุน แต่สำหรับอาคาชิเองเขาไม่เคยมองเรื่องตัวเลขหรือผลกำไร เป็นเป้าหมายหลักของการผลิตตุ๊กตาแต่ละชิ้นเลยแม้แต่น้อย

“ถ้าคุณไม่ตั้งความหวังไว้ที่เรื่องตัวเลขกำไรหรือยอดทางการตลาด ความหวังก็จะไม่ทำให้คุณรู้สึกแย่ ผมยึดถือเรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญในการทำงานนะ” อาคาชิเล่า “สำหรับผมแล้วมองว่าการทำงานหนึ่งชิ้นมันจะต้องตอบโจทย์กับตัวเองและศิลปินที่ร่วมงานกัน ว่าสุดท้ายแล้ว BE@RBRICK ที่ออกมามันเป็นไปตามไอเดีย ความต้องการที่เคยคุยไว้ได้หรือไม่ ถ้ามันทำได้ งานชิ้นนั้นก็สำเร็จแล้วสำหรับผม”

นอกจากนี้ อาคาชิ และ MEDICOM TOY เอง ยังมีแผนการตลาดที่ทำมาอย่างต่อเนื่องทุกปี ด้วยการเดินสายโปรโมตรอบโลก เพื่อจัดแสดง BE@RBRICK  ที่ได้รับการคัดเลือกมาแล้วว่าเป็นคอลเลกชั่นที่หายาก ลิมิเต็ด และมีมูลค่าทางการตลาด อีกทั้งยังได้จัดแสดงเป็นงานในแกลเลอรีแสดงนิทรรศการเป็นครั้งคราว เพื่อถ่ายทอดมุมมองเชิงศิลปะที่อยู่เบื้องหลังตุ๊กตาหมี และเปิดโอกาสให้นักสะสมได้ซื้อตุ๊กตาคอลเลกชั่นที่หายากอีกด้วย

ซึ่งประเทศไทยเองก็เป็นอีกหนึ่งหมุดหมายที่อาคาชิได้นำ BE@RBRICK คอลเลกชั่นต่างๆ มาจัดแสดงให้แฟนคลับชาวไทยได้รับชม โดยล่าสุด MEDICOM TOY ก็เพิ่งจับมือร่วมกับคิง เพาเวอร์ มหานคร นิทรรศการ ‘AKASHIC RECORDS in Bangkok’  เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา

ภายในงานวันนั้น ทัตสึฮิโกะ อาคาชิ ได้คัดเลือกตุ๊กตามาจัดแสดงภายใต้คอนเซปต์ ‘การสำรวจทางศิลปะ ที่ครอบคลุมทั้งในแง่โลกวิทยา ฟิสิกส์ และแนวคิดเจตนาวิญญาณ’ โดยมีไฮต์ไลต์สำคัญคือการจัดแสดงคอลเลกชั่น BE@RBRICK ที่ออกแบบโดยศิลปินประเทศไทย ได้แก่ ‘BE@RBRICK เบญจรงค์’ และ ‘BE@RMUG แก้วมัคเบญจรงค์’ ผลงานของ ปิ่นสุวรรณ เวนเจอร์ กรุ๊ป ที่นำลวดลายของเบญจรงค์ อันบ่งบอกถึงความเป็นไทยในช่วงศตวรรษที่ 18 มาสร้างสรรค์เป็นผลงานใหม่บนตัว BE@RBRICK อีกทั้งยังมีแก้ว BE@RMUG ที่มีลวดลายเบญจรงค์ให้เลือกถึง 7 สีด้วยกัน

ส่วนอีกชิ้นคือ BE@RBRICK King Power Mahanakhon ผลงานจากความร่วมมือของ MEDICOM TOY และ คิง เพาเวอร์ มหานคร ในการสร้างสรรค์ผลงานที่ได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบจากรูปทรงของตึกคิง เพาเวอร์ มหานคร จุดชมวิวที่สูงที่สุดในประเทศไทย ซึ่งมีลักษณะเป็น Pixel Skyscraper หรือตึกรูปทรงพิกเซล ตั้งสูงระฟ้าสะท้อนความสวยงามของวิวเมืองกรุงเทพฯ จนกลายมาเป็น ตุ๊กตาหมีสีน้ำเงิน ประดับประกายดาวสีเงิน โดยมีรูปตึกคิง เพาเวอร์ มหานคร ถูกวาดอยู่บนพื้นผิว BE@RBRICK เป็นลวดลายอยู่รอบลำตัว

ก่อนที่เราจะแยกย้าย อาคาชิเองได้เล่าถึงบทเรียนที่ได้รับมาตลอดในเส้นทางการทำธุรกิจกับสิ่งที่รักอย่างของเล่นและศิลปะ ว่าจะไม่เกิดขึ้นเลยหากเขาไม่เริ่มตัดสินใจและลงมือทำ

“ย้อนกลับไปก่อนหน้า แม้ผมจะรู้ตัวว่าตัวเองเป็นคนชื่นชอบของเล่นมาตลอด แต่ผมก็ไม่เคยคิดตัดสินใจสักครั้งว่าจะผลิตตุ๊กตาเป็นของตัวเอง จนวันนั้นแหละ วันที่ผมไปเดินที่ชิบูย่า ผมเชื่อว่าวันนั้นถ้าผมไม่ตัดสินใจ ไม่เริ่มเรียนรู้ ไม่เริ่มลงมือทำ ในวันนี้ก็อาจไม่มี BE@RBRICK เกิดขึ้นมา และผมจะยังคงทำงานเป็นพนักงานบริษัทอยู่เช่นเดิม 

“ดังนั้นหากมีเป้าหมายและความฝันอะไร จงอย่าลืมตัดสินใจและเริ่มลงมือทำให้มันเป็นจริงขึ้นมา”

5P ของ Doglicious แบรนด์ขนมสัตว์เลี้ยงของสามเพื่อนซี้ที่หมาแมวกินดี พ่อแม่ก็ทำคอนเทนต์ได้ 

พิซซ่าหน้า Salmon Lover คิมบับที่ห่อจากไข่เนื้อแน่น ชุดเบอร์เกอร์และเฟรนช์ฟรายส์ทอดหอมๆ

นึกภาพไม่ออกเลยว่าเมนูที่ได้ยินชื่อก็น้ำลายสอเหล่านี้จะกลายมาเป็นอาหารน้องหมา จนกระทั่งวันที่เราได้รู้จัก Doglicious

แบรนด์อาหารและขนมของสัตว์เลี้ยง (pet treats) แบรนด์นี้ก่อตั้งโดย เพิท–ภาณิชา ศุภหัตถานุกุล, เยลลี่–ณัฐวรรณ วุฒินภาวัฒน์ และบอม–ชนิภา ศรีสมบุญกุล สามหุ้นส่วนที่ต่างเลี้ยงและรักสัตว์เหมือนกัน 

เมนูของพวกเขานั้นไม่ใช่อาหารคนที่หมากินได้ จะบอกว่าเป็นอาหารหมาที่คนกินได้ก็ไม่เชิง แต่ทุกเมนูของ Doglicious รังสรรค์ขึ้นมาโดยให้ความสำคัญกับผู้เลี้ยงและสัตว์เลี้ยงเท่าๆ กัน ในแง่ที่ว่า เป็นเมนูที่น้องหมาได้อิ่มอร่อย ได้โภชนาการที่เหมาะสม ในขณะที่คนเลี้ยงก็ไม่ได้ทำแค่ป้อนแล้วจบ แต่ได้ใช้เวลาคุณภาพกับน้องหมา เพื่อนฝูง แถมยังถ่ายรูปสวยๆ ทำคอนเทนต์ได้อีก 

ความแตกต่างเหล่านี้เองนำมาสู่การสนทนากับหนึ่งในผู้ก่อตั้งอย่างเพิทซึ่งพร้อมมาเปิดคู่มือ 4P+1 ของ Doglicious แล้ว

PRODUCT

ย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้น เพิท เยลลี่ และบอมซึ่งปวารณาตนเป็นพ่อแม่หมาแมวอยู่แล้วคิดว่างานออกแบบน่าจะเอามาสร้างมูลค่าเพิ่มให้ธุรกิจขนมของน้องๆ ได้ Doglicious จึงก่อร่างสร้างตัวจากจุดนั้น

“ก่อนหน้านี้ขนมหรืออาหารของน้องๆ ในท้องตลาดส่วนใหญ่จะมีหน้าตาเดิมๆ เราก็คิดว่าทำไมไม่เคยมีอาหารสุนัขที่หน้าตาเหมือนอาหารของคนเลย” เพิทเล่า pain point แรก 

อีกหนึ่งปัญหาที่พวกเขามองเห็นคือพ่อแม่หลายคนใช้อาหารคนป้อนสัตว์เลี้ยงของตัวเอง Doglicious จึงพลิกแพลงออกมาเป็นเมนูที่ใช้วัตถุดิบเกรดเดียวกับอาหารคน แต่ทำรสชาติที่น้องๆ หมาแมวกินได้อย่างเอร็ดอร่อย อุดมไปด้วยสารอาหารที่ต้องการ 

ในกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ พวกเขายังไปลงคอร์สเรียนด้านโภชนาการขนมกินเล่นของสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะ เพื่อสร้างสรรค์เมนูที่ปลอดภัย ย่อยง่าย และตอบโจทย์กับสัตว์เลี้ยงมากที่สุด

“เราจะทำเมนูกลูเตนฟรี ไม่ใส่ยีสต์ สีที่ได้ก็มาจากผักหรือผลไม้” เพิทบอก แล้วยกตัวอย่างผลิตภัณฑ์แรกของ Doglicious ให้ฟัง Doglicious ดัดแปลงพิซซ่าขอบชีสที่คนชอบกินให้กลายเป็นขอบมันม่วงแสนอร่อย 

ทำไมต้องเป็นพิซซ่า? เหตุผลไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการเป็นเมนูที่มีหลายชิ้น แบ่งน้องหมาได้หลายตัว เหมาะกับผู้เลี้ยงที่มีสมาชิกมากกว่าหนึ่งตัวในบ้าน มากกว่านั้น Doglicious ยังมีการคำนวณโภชนาการตามน้ำหนักของน้องให้ด้วยว่าควรกินเท่าไหร่

“เราคำนึงเรื่องโภชนาการเป็นหลัก หมาบางตัวอาจจะแพ้ปลาบางชนิด หมาบางตัวอาจจะแก่แล้ว ระบบย่อยไม่ค่อยดี น้องหมาแต่ละตัว แต่ละสายพันธุ์ ก็กินไม่เหมือนกันเลย ก่อนที่จะทำแต่ละเมนูเราจึงต้องคุยกับเจ้าของหมาให้เยอะๆ ก่อนเพื่อจะได้แนะนำเขาได้”

ไลน์สินค้าของ Doglicious มีทั้งเค้ก พิซซ่า คิมบับ ไปจนถึงคุกกี้และซีเรียล ซึ่งมีทั้งแบบ made-to-order เพื่อรองรับเงื่อนไขการกินของน้องๆ และแบบสต็อก ให้พ่อแม่น้องหมาจับจ่ายได้ง่ายๆ และอันที่จริง เห็นชื่อแบรนด์อาจคิดว่าเป็นสินค้าของน้องหมาแค่อย่างเดียว แต่แท้จริงแล้ว Doglicious เป็นโปรดักต์ที่ทำขึ้นมาทั้งเพื่อน้องหมาและน้องแมว (ลูกค้าสามารถตรวจสอบได้จากรูปหมา/แมวหน้าแพ็กเกจจิ้งล่ะ)  

ที่พิเศษกว่านั้นคือพวกเขาเชื่อว่าการให้อาหารน้องๆ คือกิจกรรมที่เจ้าของกับสัตว์เลี้ยงจะได้ใช้เวลาร่วมกัน ผลิตภัณฑ์ของ Doglicious จึงตั้งใจบรรจุในแพ็กเกจจิ้งสวยงาม เปิดกล่องมาเจอหน้าตาอาหารที่สีสันสดใส ทำให้นอกจากหมาแมวจะอิ่มอร่อยแล้ว คนเลี้ยงก็ถ่ายรูปทำคอนเทนต์ได้อย่างสนุกสนาน

ช่วงเทศกาล Doglicious ยังขยันออกสินค้าพิเศษให้พ่อแม่น้องหมาแมวได้ช้อปมาเฉลิมฉลองร่วมกัน อาทิ คุกกี้วันคริสต์มาสที่ทำแพ็กเกจจิ้งล้อไปกับคุกกี้ของขวัญแสนคุ้นตา พวกเขายังมีบริการจัดแคตเทอริ่งให้กับองค์กรที่อยากจัดงานแบบ pet-friendly และมีอาหารเสิร์ฟน้องหมาน้องแมวในงานอีกด้วย

PRICE

หากมองจากสายตาของคนทั่วไป อาหารสัตว์เลี้ยงแบรนด์ Doglicious อาจดูราคาแพงกว่าในท้องตลาด เรนจ์ราคาของพวกเขาเริ่มต้นตั้งแต่ 320 บาท (พิซซ่า) ไปจนถึงหลักพัน (เค้กแบบอลังการงานสร้าง)

ต้นทุนของวัตถุดิบคือเหตุผล อาหารของ Doglicious ใช้วัตถุดิบเกรดเดียวกับอาหารคน 

“อย่างแซลมอนก็ใช้เกรดเดียวกับในร้านอาหารญี่ปุ่น หรืออาหารที่มีส่วนผสมของปลา เราไม่ได้ใช้เศษปลาแต่ใช้ปลากะพงขาว นมเราก็ใช้นมแพะจากฟาร์มโดยตรง” เพิทบอก

“เพิทคิดว่าอาหารของเราไม่ใช่อาหารสัตว์ มันคือศิลปะอย่างหนึ่งด้วย” ความครีเอทีฟคืออีกหนึ่งเหตุผล อย่างเบอร์เกอร์ การจะรังสรรค์ให้มันฟูขึ้นมาจนได้รูป เราไม่ได้ใส่ยีสต์หรือผงฟู แต่เราคิดค้นวิธีที่จะทำให้มันฟูขึ้นมาได้เอง ใช้ระยะเวลายาวนานมากกว่าจะสำเร็จ พอเราอธิบายตรงนี้กับลูกค้า เขาก็จะเข้าใจ 

“ตั้งแต่ก่อตั้งแบรนด์มา เราไม่ประนีประนอมกับคุณภาพ เราต้องการให้ลูกค้าและน้องๆ ประทับใจจริงๆ พอลูกค้าซื้อไปแล้วเขาจะเห็นเองว่าเป็นสินค้าที่มีคุณภาพ และสุดท้ายเขาก็จะกลับมาหาเราเอง”

PLACE & PROMOTION

Doglicious ปล่อยเมนูแรกออกมาตอนช่วงโควิด-19 พวกเขาจึงต้องขายออนไลน์เป็นหลัก ก่อนจะขยับขยายไปฝากขายในร้านอาหารสัตว์เลี้ยงต่างๆ ที่รู้จัก

แต่ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาก็พบว่าออนไลน์เป็นช่องทางที่เหมาะสมที่สุด เพราะนอกจากจะเป็นช่องทางที่ทำให้ลูกค้าได้มีเวลาตัดสินใจ สินค้าของ Doglicious ยังเป็นสินค้าที่เรียกร้องการพูดคุยกับลูกค้าอย่างละเอียด

“สินค้าของ Doglicious ถือว่าเป็นสิ่งใหม่ ไม่เหมือนการขายขนมทั่วไปที่ลูกค้ารู้จักอยู่แล้ว เราเป็นแบรนด์เล็กๆ ที่เพิ่งเริ่มด้วย จึงเน้นการสื่อสารให้มาก” 

การพูดคุยกับลูกค้ายังไม่ได้มีประโยชน์ในแง่การขายหรือรับฟีดแบ็กอย่างเดียว แต่มันทำให้ทีม Doglicious รู้สึกเหมือนได้เจอคอมมิวนิตี้ของพ่อแม่น้องๆ เหมือนกัน ทำให้ยิ่งได้คุยก็ยิ่งสนุกถูกคอ

ส่วนด้านโปรโมชั่น Doglicious บอกเราว่าไม่ได้จัดโปรฯ หนักเท่าไหร่  มีการจัดโปรฯ ส่งฟรีในวันพิเศษเช่น  2.2 หรือ 3.3 บางครั้งก็มีการจัดเซตเมนูที่กิน (และถ่ายรูป) ได้เข้ากัน หรือวันดีคืนดีก็จะมีการคอลแล็บกับแบรนด์สัตว์เลี้ยงแบรนด์อื่นๆ แล้วจัดส่วนลดร่วมกันเพื่อกระตุ้นยอด

“ความท้าทายของการทำการตลาดกับลูกค้าของเราคือ เขาจะเป็นประเภทที่เห็นสินค้าแล้วจะไม่ได้ตัดสินใจซื้อทันที มันต้องมีการให้ข้อมูล ด้วยสินค้าของเราค่อนข้างใหม่ หลายคนอาจจะกังวลก่อนจะซื้อ 

“เราเข้าใจนะ เพราะบางคนเขารักหมาเหมือนลูกจริงๆ เราก็รักน้องของเราแบบนั้น จะตัดสินใจซื้ออะไรสักอย่างให้ลูกเราก็ต้องคิดเยอะ เราจึงเน้นพูดคุยกัน ไม่ได้ยิงแอดฯ เยอะ และอาศัยปากต่อปากมากกว่า” เพิทบอก

Passion and Participation

P ที่ 5 ของ Doglicious คือ Passion

“ธุรกิจของเราเกิดขึ้นได้เพราะเรากับพาร์ตเนอร์มีแพสชั่นร่วมกัน ในการทำธุรกิจเราต้องอยู่กับมัน 24 ชั่วโมง ถ้าเราไม่มีแพสชั่นเราทำไม่ได้หรอก ถ้าเราไม่ได้รักมันจริงๆ แค่อยู่กับมันแค่ไม่กี่ชั่วโมงเราก็เบื่อ เพราะฉะนั้นแพสชั่นคือตัวขับเคลื่อนธุรกิจของเรา”

Doglicious ใจดี แถม P มาให้เราอีกตัว นั่นคือคำว่า Participation หรือการมีส่วนร่วมระหว่างเจ้าของกับสัตว์เลี้ยง

“การให้ขนมหมามันมีอะไรมากกว่าการป้อน อาหารของ Doglicious ทำให้เจ้าของสามารถฝึกน้องได้ ถ่ายรูปทำคอนเทนต์ได้ หรือชวนเพื่อนคนอื่นๆ ที่รักหมาเหมือนกันมีส่วนร่วมกับกิจกรรมนี้ได้”

ส่องโอกาสตลาดสเต๊กอันหอมหวาน จากมุมมองผู้นำตลาดอย่าง ‘Sizzler’

‘วันนี้กินอะไรดี’ คำถามโลกแตกที่ทำให้คิดไม่ตกอยู่บ่อยครั้ง ในฐานะผู้บริโภคที่จำเป็นต้องจับจ่ายใช้สอยไปกับค่าอาหารเป็นเรื่องปกติ รวมถึงในช่วงนี้ที่นักท่องเที่ยวกลับเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น ยิ่งทำให้หลายธุรกิจเริ่มฟื้นตัวได้ โดยเฉพาะ ‘ธุรกิจอาหาร’ ที่คาดว่าในปี 2567 มูลค่าตลาดจะเติบโตถึง 11%

แต่ใช่ว่าธุรกิจอาหารทุกกลุ่มจะเติบโตได้ อย่างในปีนี้กลุ่มอาหารที่น่าจับตามองอย่างมากคือ ‘ตลาดร้านอาหารประเภทสเต๊ก’ ด้วยแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2566 จากมูลค่าตลาดร้านอาหาร 1.5 แสนล้านบาท แบ่งเป็นมูลค่าตลาดสเต๊กถึง 9,000 ล้านบาท

เทรนด์สเต๊กในไทยที่โตสวนตลาดอเมริกา

ผู้นำตลาดสเต๊กอย่าง ‘Sizzler’ ในเครือ เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ได้เล่าให้ฟังว่าภาพรวมทั้งในภูมิภาคเอเชียเติบโตขึ้นกว่า 5% สวนทางกับตลาดสเต๊กในอเมริกาที่โดนผลกระทบจากการรุกตลาดของเชนธุรกิจร้านอาหารบริการด่วน 

จากที่ Sizzler ในอเมริกามี 300 สาขา กลับเหลือแค่ 80 สาขา ในขณะที่ไทยมี 64 สาขา และยังมีแผนการขยายสาขาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างในปีที่แล้วมีการขยายสาขาไป 5 สาขา ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยเน้นไปที่หัวเมืองรอง เพราะมองเห็นช่องว่างทางการตลาดที่เปิดกว้างอีกมาก

เทรนด์สเต๊กพรีเมียมโอกาสทองของร้านอาหาร 

Sizzler ยังเล่าว่าผู้บริโภคในไทยมองหาสเต๊กที่มีคุณภาพในระดับพรีเมียมมากขึ้น และยอมจ่ายแพงมากขึ้น หากได้กินอาหารคุณภาพในราคาที่สมเหตุสมผล ส่วนหนึ่งมาจากการได้เดินทางไปท่องเที่ยวและลิ้มลองรสชาติสเต๊กในต่างประเทศที่มีความพรีเมียมมากกว่า สังเกตได้จากยอดการจ่ายค่าอาหารในร้าน Sizzler ที่เมื่อก่อนจะอยู่ที่ประมาณ 700 บาทต่อบิล แต่ในปัจจุบันเพิ่มขึ้นมาประมาณ 800 บาทต่อบิล

การเติบโตของตลาดพรีเมียมไม่ได้เป็นแค่โอกาสทองของร้านที่อยู่ในเชนธุรกิจนี้อยู่แล้วเท่านั้น แต่ยังทำให้เกิดการแข่งขันที่เข้มข้นมากขึ้น ผู้เล่นอย่าง SANTA FE’ และโอ้กะจู๋ ก็เข้าสู้ด้วยการออกเมนูสเต๊กพรีเมียม

ทาง Sizzler เองก็ได้ปรับกลยุทธ์ เปิดเกมรุกจากตอนแรกที่เป็นร้านอาหารประเภทสเต๊กและสลัดบาร์ ก็ได้เน้นไปที่ตลาดสเต๊กพรีเมียมมากขึ้น ด้วยการใช้ 5 กลยุทธ์หลัก ได้แก่

1. หัวใจหลักคือความสดใหม่ ความพรีเมียม และคุณภาพ

ตั้งแต่การคัดสรรเมนูในสลัดบาร์ ที่มีการนำผลไม้ตามฤดูกาลมาเพิ่มในเมนู และเพิ่มเมนูที่มีความพรีเมียมมากขึ้น จัดจานให้ดูโมเดิร์นยิ่งขึ้น

2. เมนูหลากหลายและพัฒนาเมนูใหม่อยู่เสมอ

นอกจากเมนูหลักที่คิดถึง Sizzler ต้องนึกถึงสลัดบาร์และชีสโทสต์แล้ว ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาเมนูใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคอยู่เสมอ โดยมักจะออกเมนูใหม่ๆ ในวันสำคัญ เช่น วันปีใหม่ วันเด็ก และล่าสุดช่วงก่อนสงกรานต์มีการเพิ่มเมนูที่บอกเล่าถึงสตอรีจุดกำเนิดของ Sizzler ในอเมริกาและยังคงมีกลิ่นไอของอาหารตะวันตกแท้ๆ อย่างเมนูสเต๊กพรีเมียมในรูปแบบบาร์บีคิว 

3. ดึงดูดใจลูกค้าด้วยความคุ้มค่า

Sizzler มักใช้กลยุทธ์การตั้งราคาแบบ Value for Money คือการตั้งราคาให้ลูกค้ารู้สึกว่าเข้าถึงสินค้าคุณภาพดีได้ในราคาที่คุ้มค่า รวมถึงดึงดูดลูกค้าที่เป็นนักเรียน นักศึกษามากยิ่งขึ้น จึงนำเมนูสุดคุ้มกลับมาให้บริการเพื่อเพิ่มยอดผู้บริโภคแบบไดน์อิน เช่น เมนูซี่โครงหมูบาร์บีคิว และเมนูสเต๊กเนื้อนิวยอร์กที่มีการเพิ่มปริมาณ แต่ยังขายในราคาเท่าเดิม

4. จัดโปรโดนใจกระตุ้นยอดขาย

แม้ Sizzler จะพยายามตั้งราคาให้ดูสมเหตุสมผล แต่ก็มีการจัดโปรโมชั่นกระตุ้นยอดขายในช่วงวันสำคัญ อย่างกรณีที่เห็นภาพชัดที่สุดจะเป็นโปรวันที่ 29 กุมภาพันธ์ที่ 4 ปีมีครั้ง ก็ได้จัดโปรเมนูสเต๊กสุดฮิต 1 แถม 1 ในราคา 299 บาท รวมสลัดบาร์ไม่อั้น ทำให้วันนั้นมีคนมาเข้าแถวรอตั้งแต่ก่อนร้านเปิดจนมีคิวทะลุถึง 700 คิวเลยทีเดียว นอกจากจะช่วยกระตุ้นยอดขายแล้ว ยังดึงดูดให้ลูกค้าเก่าที่หายไปนาน กลับมาใช้บริการซ้ำๆ แม้จะหมดโปรโมชั่นไปแล้วก็ตาม

5. สร้างความผูกพันด้วยระบบสมาชิก

ในช่วงต้นปี 2566 Sizzler มีสมาชิกกว่า 250,000 คน แต่ในช่วงปลายปี 2566 กลับมีสมาชิกเพิ่มขึ้นเกินเท่าตัวถึง 550,000 คน เพราะใช้กลยุทธ์การแจกคูปองและให้สมาชิกสะสมคะแนนเพื่อรับส่วนลด นอกจากจะมีสมาชิกเพิ่มขึ้นแล้ว ยอดขายกว่า 25% ยังมาจากผู้ที่เป็นสมาชิกอีกด้วย

ด้วยตลาดสเต๊กที่โตวันโตคืน ในฐานะผู้ประกอบการก็ถือเป็นทั้งโอกาสทองในการบุกตลาดและพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องงัดกลยุทธ์เด็ดมาแข่งกับแบรนด์อื่นๆ ที่ตั้งใจปาดหน้าสเต๊กแบ่งมูลค่าตลาดชิ้นโตนี้ ส่วนในฐานะผู้บริโภคเองก็ได้มีตัวเลือกเพิ่มมากขึ้น จากหลายร้านที่ปรับตัวมาสู้กันด้วยเมนูที่น่าสนใจและราคาที่ดูคุ้มค่ามากกว่านั่นเอง

จากตำรับซุปไก่ในครัวเรือน อาหารแก้ไข้ของมนุษยชาติสู่ของขวัญทุกเทศกาลและของฝากเยี่ยมไข้ 

ถ้าย้อนกลับไปสมัยเด็กๆ อีกเมนูแก้ไข้ง่ายๆ ที่กลายเป็นหนึ่งในกลิ่นรสของบ้านและความอบอุ่นคือ ‘ซุปไก่’ ซุปใสสีทองที่ต้มจากไก่ในหม้อร้อนๆ แต่ถ้านึกถึง ‘ซุปไก่’ ยามเป็นผู้ใหญ่วัยทำงานที่ต้องหาของขวัญไปฝากผู้ใหญ่แล้ว ‘ซุปไก่สกัด’ บรรจุสวยงามในกระเช้าคือหนึ่งในของขวัญแทนความห่วงใยที่นึกถึง 

เมื่อย้อนกลับไปส่องเส้นทางของซุปเข้มข้นชนิดนี้ เรากลับพบว่าการกิน ‘ซุปไก่’ เพื่อสุขภาพถือเป็นวัฒนธรรมอาหารอันเก่าแก่ และ ‘ซุปไก่สกัด’ บรรจุขวดก็นับเป็นอีกวัฒนธรรมอาหารที่ค่อนข้างสากล จนกลายเป็นคำถามว่าซุปไก่ (ในที่นี้หมายถึงซุปไก่เป็นหม้อๆ) สามารถช่วยรักษาเยียวยาเวลาเราป่วยไข้ได้จริงหรือ

คอลัมน์ ‘ทรัพย์คัลเจอร์’ ขอชวนผู้อ่านท่องไปในหม้อของซุปไก่ ซุปที่แสนจะพื้นฐานที่อยู่คู่กับอารยธรรมการเลี้ยงสัตว์ปีกและการประกอบอาหารอย่างง่าย ไปจนถึงซุปพิเศษที่ปรุงขึ้นเพื่อเป็นพระกระยาหารในราชสำนักอังกฤษ พัฒนาเป็นสินค้าแทนใจที่ได้รับความนิยมในแถบเอเชีย  

‘ไก่และการต้ม’ พื้นฐานอารยธรรม

จากหลักฐานล่าสุด มนุษย์เราเริ่มเลี้ยงไก่ในครัวเรือนราวยุคสำริด คือประมาณ 3,600 ปีที่แล้ว ไทยเองเป็นแหล่งหลักฐานกำเนิดไก่บ้านคือเริ่มเลี้ยงไก่เป็นที่แรกๆ การทำซุปจากไก่จึงเป็นหนึ่งในกิจกรรมในครัวเรือนที่เกิดมาพร้อมๆ กับอารยธรรมมนุษย์ 

อาจด้วยเงื่อนไขพื้นฐานของการมีซุปจากไก่ทำให้หลายวัฒนธรรมมีซุปไก่เป็นอาหารสามัญเวลาป่วยไข้ โดยทั่วไปถ้าเราพูดถึงซุปไก่หรือ Chicken Soup ในฐานะอาหารแก้ไข้ ตำรับสำคัญมักเกี่ยวข้องกับซุปไก่แบบจีน

ในคัมภีร์หวงตี้เน่ย์จิง (Huangdi Neijing) คัมภีร์การแพทย์ที่เก่าแก่ที่สุดเล่มหนึ่งของโลกได้นิยามว่าซุปไก่เป็นอาหารประเภทหยาง มีฤทธิ์เย็น เหมาะกับการส่งต่อพลังงานเข้าสู่อวัยวะต่างๆ ของร่ายกาย ดังนั้นอาหารธาตุหยางจึงเหมาะกับคนป่วย ผู้หญิงตั้งครรภ์ และผู้สูงอายุ

อีกกระแสของซุปไก่ในฐานะยาคือความเชื่อของวัฒนธรรมชาวยิวที่ถึงขนาดเรียกซุปไก่ว่าเป็นยาแก้ปวดของชาวยิว (Jewish penicillin) วัฒนธรรมซุปไก่ของชาวยิวค่อนข้างสัมพันธ์กับวัฒนธรรมอาหารของยุโรป ในช่วงปลายยุคกลาง นักปรัชญาชาวยิวและแพทย์ชื่อ Moses Maimonides ได้เสนอให้ผู้ป่วยหรือคนขี้โรคอ่อนแอบริโภคซุปไก่ 

ส่วนยุโรปเองก็มีร่องรอยของซุปไก่เพื่อคนป่วยด้วย ในสมัยกรีกมีแพทย์ที่ให้คนไข้กินน้ำซุปต้มจากไก่เพื่อช่วยรักษาบางโรค เช่น ไมเกรน ลมชัก ท้องผูก แต่ก่อนที่จะก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 15 ที่สังคมมนุษย์เริ่มเกิดการเลี้ยงไก่กันอย่างจริงจังเพื่อทดแทนเนื้อสัตว์อื่นๆ ซุปไก่ก็ยังไม่ได้เป็นเมนูอาหารที่เป็นที่นิยมมากนัก 

กระทั่งช่วงศตวรรษที่ 15 ที่ประเทศแถบยุโรปเริ่มเลี้ยงไก่มากขึ้นรวมถึงการมาถึงของความรู้และวัฒนธรรมตะวันออก บางพื้นที่เช่นโปรตุเกสซึ่งส่งอิทธิพลต่อไปยังวัฒนธรรมอาหารของบราซิลเริ่มพูดถึงซุปไก่ เริ่มปรากฏในคำบอกเล่าและตำราอาหาร ตรงนี้เองที่ซุปไก่มีความหลากหลายมากขึ้น ในบันทึกของโปรตุเกสพูดถึงซุปไก่ที่ใส่ในข้าวที่ต้มจนเปื่อย ซุปไก่ใส่มันฝรั่ง หรือในสูตรอื่นๆ พูดถึงซุปไก่ที่เราอาจคุ้นเคยเช่น ซุปไก่ใส่ผักหัวแบบฝรั่ง ใส่มันฝรั่ง แคร์รอต เซเลอรี และอื่นๆ 

ในปัจจุบันถ้าเราพูดถึง Chicken Soup ในบางพื้นที่ เช่น อเมริกาที่ได้รับอิทธิพลจากชาวยิวสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ชาวยิวอพยพไปยังอเมริกา และได้รับวัฒนธรรมชาวจีน ซุปไก่กินตอนป่วยอาจหมายถึงซุปไก่ใสๆ ที่มาพร้อมเส้นบะหมี่ ซึ่งเป็นตำรับเก่าแก่ที่มีมาตั้งแต่ยุคราชวงศ์ซ่ง หรือราวศตวรรษที่ 10-13 ที่เส้นหมี่ยังเป็นแป้งที่ให้พลังงาน บะหมี่ยังเป็นตัวแทนของการมีอายุมั่นขวัญยืนด้วย

หลังจากเนื้อไก่กลายเป็นเนื้อสัตว์หลักอย่างหนึ่ง ซุปไก่ก็ค่อยๆ กลายเป็นอาหารจานธรรมดาและอาจกลายเป็นอาหารที่ปรุงตามวาระโอกาสต่างๆ รวมเวลาป่วยไข้ด้วย 

‘ซุปบะหมี่ไก่’ ซุปกระป๋องชุดแรกของเคมป์เบลส์

การผสมผสานของซุปไก่ทั้งของชาวยิว และซุปบะหมี่ของชาวจีนค่อนข้างสะท้อนในอุตสาหกรรมอาหาร หนึ่งในนวัตกรรมคือซุปกระป๋อง ยี่ห้อเคมป์เบลส์ที่เริ่มต้นในปี 1860 ในฐานะโรงงานอาหารกระป๋องและเริ่มบรรจุซุปเข้มข้นลงกระป๋องในช่วงปลายทศวรรษ 1800 จนในปี 1900 ซุปกระป๋องเข้มข้นของเคมป์เบลส์ก็เริ่มเป็นที่นิยมและอยู่ในทุกครัวเรือนอเมริกัน

ในปี 1922 บริษัทเคมป์เบลส์ก่อตั้งบริษัทซุปกระป๋องเคมป์เบลส์ขึ้นและในปี 1934 จึงได้ออกผลิตภัณฑ์หลักซึ่งเป็นซุประดับตำนานและยังคงขายถึงทุกวันนี้ 2 ประเภท อย่างแรกคือซุปเห็ดและอีกซุปคือซุปบะหมี่ไก่ (Chicken Noodle soup) แนวคิดหลักของซุปกระป๋องเคมป์เบลส์คือการเพิ่มทางเลือกอาหารที่ทั้งอร่อยและราคาถูก  

เจ้าซุปบะหมี่ไก่ของเคมป์เบลส์นี้ขึ้นอันดับ 10 สินค้าขายดีมานับตั้งแต่ที่เริ่มวางขายบนชั้น ในปี 2013 ในอเมริกา ซุปบะหมี่ไก่ของเคมป์เบลส์มียอดขายสูงถึง 200 ล้านกระป๋อง ยิ่งตอกย้ำว่าซุปบะหมี่ไก่เป็นนวัตกรรมของวงการอาหารกระป๋องและเป็นตัวแทนของวัฒนธรรมอาหาร เป็นรสชาติอาหารที่เชื่อมโยงความอิ่มท้องเข้ากับความอิ่มใจ

‘ปริศนาซุปไก่’ กับงานศึกษาจริงจัง

พลังซุปไก่เป็นที่สนใจถึงขนาดมีงานศึกษาตามมาหลายชิ้น เช่นงานศึกษาในปี 1987 ทดลองให้กลุ่มตัวอย่างดื่มซุปจากไก่เทียบกับกลุ่มตัวอย่างที่ดื่มน้ำ พบว่ากลุ่มที่ดื่มซุปไก่หายป่วยเร็วกว่า ในปี 1980 มีงานศึกษาว่าซุปไก่ช่วยลดความหนืดของเสมหะในปอด ในบางงานทดลองพบว่าซุปไก่ที่ต้มนานเข้า แคลเซียมในน้ำซุปที่เพิ่มขึ้นอาจมีฤทธิ์ช่วยต้านการอักเสบ

นอกจากงานศึกษาที่อาจจะชัดเจนในตัวเองเช่นว่ากินอาหารดีกว่ากินน้ำเฉยๆ แล้ว คำอธิบายเรื่องซุปไก่ที่เชื่อมโยงเข้ากับการรักษาโรคหวัดหรือโรคที่เกี่ยวกับทางเดินหายใจส่วนบน อาจมาจากลักษณะของเจ้าซุปไก่คือเวลาที่เราป่วย ความอยากอาหารของเราอาจลดลง ตรงนี้เองที่รสอูมามิจากการเคี่ยวเป็นเวลานานเข้ามามีบทบาท  

ผลที่เรียบง่ายของซุปไก่จึงคือการกระตุ้นความอยากอาหารผ่านเจ้ารสอูมามินั่นเอง การเพิ่มความอยากอาหารนำไปสู่การบริโภคอาหารและได้รับสารอาหารต่างๆ ที่ร่างกายขาดไป ทั้งนี้รสอูมามิยังมีงานวิจัยว่าช่วยกระตุ้นการดูดซึมโปรตีนในลำไส้ด้วย

‘ซุปไก่สกัด’ ตำรับราชสำนักอังกฤษและความนิยมในเอเชีย

จากรากฐานประวัติศาสตร์อันยาวนานซึ่งหนึ่งในต้นธารการกินซุปไก่เป็นยาคือประเทศจีนซึ่งกระจายตัวในแถบเอเชีย ปัจจุบันถ้าเราพูดถึงซุปไก่ อาหารของความห่วงใย เราย่อมนึกถึงกระเช้าซุปไก่สกัดซึ่งส่วนหนึ่งก็น่าจะมีรากฐานในวัฒนธรรมอาหาร

ซุปไก่สกัดแบบขวดก็มีที่มาคล้ายกันคือมาจากการปรุงอาหารเพื่อรักษาอาการเจ็บป่วย แต่ซุปไก่สกัดสำคัญคือ ‘แบรนด์ซุปไก่’ มีที่มาจากตำรับซุปไก่หลวง ย้อนไปในทศวรรษ 1820 วันหนึ่งพระเจ้าจอร์จ (King George) รู้สึกไม่กระฉับกระเฉงและมีอาการเบื่อพระกระยาหาร ในตอนนั้นพ่อครัวแห่งบัคกิ้งแฮมชื่อ H.W. Brand ลงมือปรุงซุปจากไก่เข้มข้น (chicken consommé) ซึ่งเป็นซุปไก่อย่างใส ไม่มีมันและรับประทานง่าย 

พระเจ้าจอร์จมันยอดมาก! ผลคือพระเจ้าจอร์จทรงกลับมาเสวยอาหารได้มากและได้รับกำลังวังชากลับมาอย่างรวดเร็ว ข่าวเรื่องซุปไก่ที่แก้ไขพระอาการได้อย่างรวดเร็วจึงแพร่ไปทั่วเมือง ทำให้คนอังกฤษอยากได้สูตรปรุงซุปไก่แบบเดียวกัน และเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ซุปไก่กลายเป็นที่รู้จัก 

เวลาผ่านพ้นไปจนถึงปี 1835 คุณแบรนด์เกษียณจากการเป็นพ่อครัวหลวงซึ่งเกษียณปุ๊บก็ออกมาเปิดร้านเป็นซุปไก่สกัดตำรับหลวง ในช่วงแรกซุปตุ๋นไก่ของคุณแบรนด์เป็นซุปไก่เข้มข้นบรรจุในกระป๋องดีบุก เป็นอาหารที่เน้นเรื่องการฟื้นฟูจากความเจ็บป่วย และในปี 1897 ได้รับตราการันตีหลวง (Royal Warrant) หรือการที่ราชสำนักยกย่องและร่วมประกันคุณภาพว่าเป็นสินค้ายอดเยี่ยม 

สิ่งที่น่าสนใจคือความนิยมของแบรนด์กระจายกลับมายังประเทศแถบเอเชียในพื้นที่อาณานิคมของอังกฤษเช่นสิงคโปร์และมาเลเซีย เป็นพื้นที่ที่ชาวจีนอพยพตั้งรกรากและขยายตัวขึ้น ตรงนี้เองที่ทำให้ซุปไก่กลับมาบรรจบกับพลังของซุปไก่ในวัฒนธรรมของชาวจีนอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้มาในรูปแบบสินค้าที่ได้รับการพัฒนาแล้ว เคี่ยวสารออกมาอย่างเข้มข้น เก็บง่าย ดื่มสะดวกไม่ต้องต้ม 

ภายหลังบริษัทเจ้าของแบรนด์ซุปไก่สกัดตั้งสำนักงานใหญ่ที่สิงคโปร์ แน่นอนว่าชาวเอเชียเป็นหนึ่งในผู้บริโภคสำคัญของซุปไก่สกัด ภายหลังเจ้าซุปไก่ได้รับการโปรโมตในฐานะอาหารที่ช่วยฟื้นฟูจากอาการเหนื่อยล้าทั้งทางร่างกายและจิตใจ ไปจนถึงช่วยฟื้นฟูจากความเครียด

จากซุปไก่ในครัวเรือน อารยธรรมอาหารที่แสนจะเรียบง่าย ค่อยๆ วิวัฒนาการและมีความหลากหลายขึ้น จากโจ๊กไก่ ถึงบะหมี่ในซุปใสๆ ต้มซุปไก่ใส่สารพัดผัก จนเจ้าซุปไก่ถูกนำมาใส่กระป๋อง กลายเป็นของแมสๆ กระทั่งกลายเป็นส่วนหนึ่งของศิลปะป๊อปของแอนดี้ วอร์ฮอล 

ย้อนไปก่อนหน้านั้นคือการเคี่ยวซุปที่กลายเป็นซุปไก่สกัดเข้มข้นจากราชสำนักอังกฤษ ขยายตัวตามเส้นทางอาณานิคมและกลับสู่การบริโภคของชาวจีนโพ้นทะเล กลายเป็นกระเช้าที่เรานึกถึงเสมอเวลากลับไปเยี่ยมผู้ใหญ่หรือเป็นอาหารพิเศษที่หวังว่าจะช่วยพาเราผ่านความเหนื่อยยากและความเจ็บป่วยได้ในปัจจุบัน

อ้างอิง

การออกจากคอมฟอร์ตโซนสุดท้าทายของ ‘แป้งเย็นตรางู’ coming of age ของผลิตภัณฑ์ดับความร้อน

หากพูดถึงผลิตภัณฑ์ทำความเย็นที่อยู่คู่คนไทยมาอย่างยาวนาน ‘แป้งเย็นตรางู’ คงเป็นชื่อแรกๆ ที่นึกถึง เพราะนับตั้งแต่ปี 2490 ที่แป้งเย็นตรางูวางจำหน่าย นวัตกรรมแป้งเย็นแห่งแรกของโลกของห้างขายยาอังกฤษตรางูนี้ก็เป็นที่นิยมของคนไทยมาโดยตลอด

ทว่าในปัจจุบันที่มีเครื่องปรับอากาศ พัดลมขนาดพกพา แป้งทำความเย็นจึงไม่ใช่สินค้าที่ล้ำยุคหรือตอบโจทย์ทุกกลุ่มเป้าหมายในวงกว้างอีกต่อไป เรื่องนี้จึงถือเป็นโจทย์ใหญ่ของ ‘วิสาขา ว่องวานิช’ Project Manager และทายาทของแป้งเย็นตรางูให้ไม่ ‘เก่า’ แต่ต้อง ‘เก๋า’ ทันทุกยุคทุกสมัย

ต่อจากนี้คือเรื่องราว 132 ปี จากห้างขายยาสู่บริษัทอังกฤษตรางู เรื่องราวของการเติบโต ปรับตัว และเปลี่ยนแปลง ในการออกแบบสินค้าที่ก้าวผ่านคำว่า ‘แป้งทาแล้วเย็น’ จนกลายเป็นสินค้าที่เหมาะกับทุกเพศ ทุกวัย ทุกความต้องการมากยิ่งขึ้น

ความเย็นระดับ 1

หากย้อนกลับไปวันแรกของแป้ง ความเย็น และตรางูนั้น คงต้องพูดถึงปี 2435 ที่ในวันนั้น นายแพทย์โธมัส เฮย์วาร์ด เฮส์ (Thomas Heyward Hays) และ ดร.ปีเตอร์ กาแวน (Peter Gowan) ร่วมกันลงขัน เปิดห้างขายยาชื่อ ‘อังกฤษตรางู (British Dispensary)’ ที่ปากตรอกโรงภาษีข้าม หัวมุมถนนสุรวงศ์ สถานที่ซึ่งมีชาวต่างชาติอาศัยอยู่จำนวนมากในเวลานั้น เพื่อจำหน่ายยาแผนปัจจุบันและสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ 

‘งูที่เป็นตัวแทนของโรคภัยไข้เจ็บ และลูกศรที่ปักลงบนตัวงูสื่อถึงการรักษา ขจัดพิษภัยให้หายปลิดทิ้ง’ คือโลโก้อันเป็นภาพจำของห้างขายยาอังกฤษตรางูที่จำหน่ายยารักษาโรคต่างๆ แต่ขณะเดียวกัน ห้างยาแห่งนี้ยังมีผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ

ทั้งสบู่เซนลุกซ์, ยาแก้ปวดเพอร์รี่เดวิส (Perry Davis’ Painkiller), น้ำมันตับปลา (Scott’s Emulsion) รวมถึงสินค้าจากแบรนด์ดังอย่างบูธส์ (Boots) และอลิซาเบธ อาร์เดน (ELIZABETH ARDEN) สิ่งที่น่าสนใจคือ ‘แป้งเย็น’ ผลิตภัณฑ์อันเป็นสัญลักษณ์ของบริษัทอังกฤษตรางูในปัจจุบัน กลับไม่ได้ถือกำเนิดในช่วงแรกของการก่อตั้งบริษัท แต่กลับเป็น 72 ปีหลังจากนั้น 

ในปี 2471 แมคเบธ (Macbeth) เจ้าของกิจการรุ่นที่ 2 จำเป็นต้องเดินทางกลับต่างประเทศ จึงประกาศขายกิจการห้างขายยาอังกฤษตรางู ‘ล้วน ว่องวานิช’ พนักงานร้านขายยาซึ่งร่ำเรียนศาสตร์ทางการแพทย์จนชำนาญ จนชาวบ้านในละแวกนั้นเรียกว่า ‘หมอล้วน’ จึงเข้าซื้อกิจการ และบริหารห้างขายยาอังกฤษตรางูต่อจากทายาทผู้ก่อตั้ง

หมอล้วนยังคงปฏิบัติตามที่เจ้าของกิจการคนก่อนทำมาอย่างเคร่งครัด มีเพียงแต่เรื่อง ‘แป้งเย็น’ ที่หมอล้วนตัดสินใจปรับสูตรให้แตกต่าง โดยในปี 2475 หมอล้วนปรับสูตรแป้งยี่ห้อมะโนลา ด้วยการเพิ่มสารที่ให้ความเย็นและความหอมเพิ่มขึ้น แล้วเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น ‘แป้งน้ำควินนา’ อันเป็นสารตั้งต้นของผลิตภัณฑ์ที่จะเปลี่ยนทิศทางของห้างขายยาอังกฤษตรางูไปตลอดกาล

ความเย็นระดับ 2

เรื่องเริ่มต้นขึ้นในปี 2490 ชาวต่างชาติจำนวนหนึ่งมาหาหมอโอคเลย์ (Oakley) หมอประจำห้างขายยาอังกฤษตรางู ด้วยอาการผื่นคันตามตัว เนื่องจากสภาพอากาศร้อนชื้นของประเทศไทย และถึงแม้หมอโอคเลย์ จะจำหน่ายยาคาลาไมน์ (Calamine) เพื่อรักษาผดผื่นคันแล้ว ก็ไม่มีทีท่าว่าอาการจะดีขึ้น

หมอล้วนจึงคิดค้นสูตรแป้งเย็น ที่รักษาผดผื่นคันขึ้นมา โดยในตอนนั้นใช้ชื่อว่า ‘แป้งเย็นปริกลี่ฮีทตรางู (Prickly Heat)’ ปรากฏว่าสามารถรักษาอาการผดผื่นได้ดี ผลิตภัณฑ์นี้จึงได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก และทำให้ห้างขายยาอังกฤษตรางู เป็นที่รู้จักในฐานะร้านขายแป้งเย็นที่รักษาผดผื่นคันได้

“ไม่รู้จะขอบคุณได้ไหม แต่คงต้องขอบคุณสภาพอากาศในบ้านเราที่มันร้อน จนทำให้แป้งเย็นตรางูโด่งดังขึ้นมา แป้งเย็นตรางูในตอนนั้น ไม่ได้ใช้สำหรับรักษาผดผื่นอย่างเดียว บางคนที่เขาไม่ได้เป็นผดผื่นคัน แต่เขาก็ทาเพื่อเอาความเย็น เหมือนเป็นเครื่องปรับอากาศ เป็นพัดลมในยุคนั้น” วิสาขาเสริมความเห็นส่วนตัว ตอบคำถามที่ว่าทำไมแป้งเย็นตรางูถึงได้รับความนิยมจากคนทุกเพศ ทุกวัย ทุกสัญชาติ  

ด้วยคุณสมบัติที่ไม่มีเทคโนโลยีใดเทียบได้ในสมัยนั้น โลโก้ ‘ลูกศรปักหัวงู’ ชื่อแซ่ และกระป๋องเหล็กที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้กักเก็บความเย็นได้นานมากยิ่งขึ้นจึงกลายเป็นที่จดจำ

ส่วนเหตุผลที่ปัจจุบัน ‘แป้งเย็นอังกฤษตรางู’ เหลือเพียงแค่คำว่า ‘แป้งเย็นตรางู’ นั้น วิสาขาหยิบยกคำบอกเล่าของ ดร.บุญยง ว่องวานิช บุตรชายของหมอล้วนผู้ดำเนินกิจการรุ่นต่อมาว่า ในช่วงสงครามระหว่างญี่ปุ่นกับจีน หมอล้วนจัดส่งยาจากห้างขายยาอังกฤษตรางูไปช่วยเหลือประเทศจีนในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 

รัฐบาลไทยที่ขณะนั้นอยู่ฝ่ายเดียวกับญี่ปุ่น จึงไม่พอใจจนหมอล้วนและครอบครัวต้องลี้ภัยไปอยู่ที่ฮ่องกง 

เวลาต่อมา ดร.บุญยง จึงกลับมาดูแลกิจการต่อ และตัดสินใจตัดคำว่า ‘อังกฤษ’ เป็นการชั่วคราว เพื่อป้องกันปัญหาในเชิงการเมืองและสงคราม ณ ตอนนั้น และนั่นก็เป็นที่มาให้แป้งเย็นที่ถูกคิดค้นในช่วงนั้นถูกเรียกว่า ‘แป้งเย็นตรางู’ แทน

ความเย็นระดับ 3

วันนี้ห้างขายยาอังกฤษตรางูที่จดทะเบียนเป็นบริษัทอังกฤษตรางูดำเนินกิจการมาแล้ว 132 ปี และจำหน่ายผลิตภัณฑ์แป้งเย็นตรางูต่อเนื่องมา 77 ปี ทั้งหมดนี้ยังคงอยู่ภายใต้การบริหารของ ‘อนุรุธ ว่องวานิช’ และวิสาขาก็กำลังเริ่มเข้าสู่การเรียนรู้งานในฐานะ Project Manager  

“การที่มีฮีโร่โปรดักต์ (สินค้าเด่น) ข้อดีคือใครก็รู้จักเรา เวลาพูดว่าเราเป็นเจ้าของแป้งเย็นตรางู ใครๆ ก็ร้องอ๋อ แต่ข้อที่ต้องระวังคือสินค้าอื่นๆ ในบริษัทของเรา แทบจะไม่เป็นที่รู้จักของลูกค้าเลย” วิสาขา เล่าถึงความท้าทายของการเริ่มเข้ามาบริหารบริษัทอังกฤษตรางู 

โจทย์ใหญ่ของเธอจึงคือจะทำยังไงให้ลูกค้ารู้จักสินค้าอื่นๆ ในเครืออังกฤษตรางู?

“ในวันนี้สิ่งที่เราให้ความสำคัญมากคือการตลาด หากเป็นยุคสมัยก่อนเราจะมองไปที่แพลตฟอร์มเป็นสำคัญ ว่าการได้โปรโมตผ่านโทรทัศน์ ผ่านวิทยุ มันสำคัญมากนะ แต่ในวันนี้เรามองเรื่องกระแส  มองเรื่องการใช้อินฟลูเอนเซอร์เข้ามาช่วยมากกว่า” วิสาขาเล่า

ปัจจุบัน บริษัทอังกฤษตรางูยังมีผลิตภัณฑ์ออกมาหลากหลายรูปแบบ และที่สำคัญคือ ไม่ได้ยึดติดว่าต้องเป็นสินค้าให้ความเย็นเท่านั้น แต่ยังเจาะตลาดในกลุ่มของความหอมหรือสรรพคุณในการบำรุงผิวอีกด้วย โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มหลักคือ

1. แป้งเย็น

“พูดง่ายๆ คือแป้งเย็นทุกคนรู้จักกันมานาน แต่นอกจากแป้งเย็นแบบผงและแป้งน้ำตรางูที่ช่วยลดผดผื่นคันแล้ว ปัจจุบันแป้งเย็นตรางูยังมีสูตรที่มีส่วนผสมของกลิ่นอื่นๆ เช่น กลิ่นลาเวนเดอร์ ซากุระ

“สิ่งสำคัญที่ยังทำให้สินค้ากลุ่มนี้ยังได้รับความนิยม เป็นเพราะเรายังทำสินค้าที่ดีและรักษาคุณภาพที่ดีแบบดั้งเดิมเอาไว้ตลอด ดังนั้นแป้งเย็นตรางูวันนี้ กับเมื่อ 72 ปีที่แล้วก็ยังเหมือนเดิม ผสมโดยใช้สูตรเดิม บรรจุในกระป๋องเหล็กเช่นเดิม”

“รวมถึงกลุ่มผู้ใช้งานยังเป็นกลุ่มเดิมด้วย ถึงแม้ในปัจจุบันเราจะมีอุปกรณ์ดับความร้อนมากมายแล้ว แต่จากการเก็บข้อมูลก็ยังมีกลุ่มคนที่ใช้แป้งเย็นสำหรับคลายร้อนอยู่นะ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มผู้ใหญ่และผู้สูงอายุในต่างจังหวัด”

2. สินค้ากลุ่ม Body Care 

“สินค้ากลุ่มนี้ถูกออกแบบโดยคำนึงถึงการใช้งานที่แตกต่างออกไปแต่ละสถานการณ์ซึ่งจะมีสินค้าทั้งเจลอาบน้ำและสบู่ บอดี้สเปรย์ ทิชชู่เปียก รวมถึง หน้ากากอนามัย สเปรย์พ่นปาก ที่ยังคงคอนเซปต์ให้ความสดชื่นอยู่เช่นเดิม 

“สินค้าพวกนี้เกิดขึ้นเพราะเราเห็นว่าบางทีการพกแป้งเย็นกระป๋องเหล็กมันไม่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนทุกวันนี้ การมีทิชชู่เปียกสำหรับคนที่ไปคอนเสิร์ต การใช้เจลอาบน้ำก่อนนอน บางทีมันตอบโจทย์ผู้คนในวงกว้างมากกว่า”

3. สินค้ากลุ่ม HerbaCeutic

“สินค้ากลุ่มนี้เป็นสินค้าที่คิดขึ้นเพื่อตอบโจทย์เทรนด์ปัจจุบัน นั่นคือการเจาะกลุ่มวัยรุ่นและคนทำงานที่สนใจเรื่องสุขภาพผิว เป้าหมายของสินค้ากลุ่มนี้คือการสร้างภาพจำใหม่ๆ ให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์ตรางูไม่ได้ทำเพื่อคนรุ่นก่อนเท่านั้น แต่ทำเพื่อทุกคน ทุกช่วงวัย และทุกความต้องการ

“ในไลน์นี้จึงเป็นสินค้าประเภทแป้งเย็น โลชั่น เซรั่มบำรุงผิวที่ผสมสารสกัดจากกัญชง สินค้าในกลุ่มนี้จะมีทั้งหมด 3 กลิ่นคือ กลิ่นเปปเปอร์มินต์ กลิ่นยูคาลิปตัส และกลิ่นลาเวนเดอร์ ที่นอกจากจะทำให้ผู้ใช้รู้สึกผ่อนคลายแล้ว ยังมีส่วนผสมที่ช่วยในการบำรุงผิว 

“เรียกว่าสินค้าประเภทนี้เป็นความตั้งใจของเราที่พยายามก้าวออกจากคอมฟอร์ตโซน จากสินค้าให้ความเย็นซึ่งถือเป็นเรื่องที่ท้าทายแบรนด์ของเรามาโดยตลอดก็ว่าได้ ซึ่งแม้วันนี้เราจะมีสินค้าใหม่ออกมาได้เรื่อยๆ แต่ความจริงมันไม่ง่ายขนาดนั้น

“โดยเฉพาะการทำสินค้าที่ไม่ได้มองเรื่องความเย็นหรือลดผดผื่นคัน ลูกค้ายิ่งตั้งคำถาม ไหนจะเรื่องภาพจำในฐานะผลิตภัณฑ์ของผู้ใหญ่รุ่นก่อนๆ ดังนั้นโจทย์ของเราในทุกวันนี้คือต้องทำยังไงก็ได้ให้ลูกค้าเห็นว่าบริษัทอังกฤษตรางูมีผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการ ตอบโจทย์คนทุกวัย ไม่ใช่เพียงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งอีกต่อไปแล้ว”

ความเย็นระดับอินฟินิตี้

อะไรคือเหตุผลที่บริษัทอังกฤษตรางูบริหารงานมาได้ถึง 132 ปี? 

เรื่องนี้วิสาขาแบ่งออกเป็น 3 เรื่อง โดยอันดับแรกคือ คุณภาพของสินค้า ที่ต้องรักษาเอาไว้ให้ได้มาตรฐานอยู่ตลอด  ต่อมาคือเรื่องคุณธรรมในการทำธุรกิจ ทำด้วยความสุจริต ไม่เอาเปรียบทั้งเรื่องคุณภาพและราคา สุดท้ายคือเรื่องโอกาสและการเปิดรับทุกความเป็นไปได้ใหม่ๆ

ในปี 2567 นี้ ความท้าทายของบริษัทอังกฤษตรางูคือ การขยายฐานลูกค้าทั้งในกลุ่มวัยรุ่น รวมถึงในต่างประเทศด้วย วิสาขามีแผนจะเจาะตลาดกลุ่มลูกค้าผ่านแพลตฟอร์ม TikTok รวมถึงเจาะตลาดต่างประเทศมากยิ่งขึ้น เพื่อพัฒนาไปสู่การเป็น global brand ในอนาคต 

ทั้งหมดนี้คือเรื่องราว และก้าวที่กำลังดำเนินอยู่ของบริษัทอังกฤษตรางู กับการบริหารความเก่าแก่ขององค์กรและสินค้าให้ดูเก๋า ทันทุกยุคทุกสมัย และที่สำคัญคือความกล้าที่จะทดลองและมองหาโอกาสใหม่ๆ ไม่จำกัดตัวเองอยู่แค่บริษัทที่ผลิตสินค้าลดผื่นคันและให้ความเย็นเพียงเท่านั้น 

จึงน่าจับตาต่อว่าเราจะได้เห็นอะไรจากผลิตภัณฑ์ตรางูบ้างหลังจากนี้ 

ทำไมคนทำธุรกิจอยากเข้าตลาดหลักทรัพย์? จากเคส ‘ชายสี่บะหมี่เกี๊ยว’ ที่ไม่อยากให้ลูกทะเลาะกัน

ถ้าถามถึงความใฝ่ฝันของคนทำธุรกิจ คำตอบแรกๆ คงเป็นเรื่องการสร้างผลประกอบการที่ดี มีลูกค้าเข้าไม่ขาดสาย แต่ก็มีอีกเป้าหมายที่เห็นหลายธุรกิจออกมาประกาศ นั่นคือการนำบริษัทมาจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ เพื่อขายหุ้น IPO ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันไป

กรณีที่เห็นเมื่อไม่นานมานี้คือ ‘ชายสี่ คอร์ปอเรชั่น’ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘ชายสี่บะหมี่เกี๊ยว‘ ได้ประกาศว่าภายในปี 2569-2570 จะเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผ่านการขายหุ้น IPO ‘พันธ์รบ กำลา’ ผู้ก่อตั้งบริษัท ชายสี่ คอร์ปอเรชั่น ได้ให้เหตุผลว่า “เพราะไม่อยากให้ลูกๆ ทะเลาะกัน” การเข้า IPO จะทำให้แบ่งสัดส่วนหุ้นให้ลูกแต่ละคนได้อย่างชัดเจนมากขึ้น 

ปัจจุบันชายสี่ฯ ไม่ได้มีแค่ร้านบะหมี่เกี๊ยวเท่านั้น แต่ยังมีแบรนด์ในเครือถึง 7 แบรนด์ ได้แก่ ชายสี่บะหมี่เกี๊ยว, ชายสี่พลัส, ชายใหญ่ข้าวมันไก่, พันปี บะหมี่เป็ดย่าง, อาลีหมี่ฮาลาล, ไก่หมุนคุณพัน และลูกชิ้นทอดโอ้มายก๊อด ทั้งยังมีกิจการที่ซื้อมาอีก 2 แบรนด์คือ ก๋วยเตี๋ยวเรือเสือร้องไห้ และแบรนด์เบเกอรี BRIX ที่นิยมในหมู่ชาวต่างชาติ และใช้การขยายสาขาผ่านโมเดลแฟรนไชส์  

รวมทุกแบรนด์แล้วปัจจุบันจึงมีกว่า 4,500 สาขาทั่วประเทศ ในปี 2565 สร้างยอดขายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ อยู่ที่ 1,085 ล้านบาท ส่วนในปี 2566 ก็มีกำไรเติบโตกว่า 121% ที่สำคัญ ตอนนี้มูลค่าของตลาดสตรีทฟู้ดในไทยอยู่ที่ประมาณ 2 แสนล้านบาท ไม่นับร้านคุณพี่ คุณลุง คุณป้า ที่เปิดขายกันเอง ก็น่าจับตามองว่าธุรกิจชายสี่ฯ จะเติบโตขึ้นแค่ไหน เมื่อเข้าตลาดหลักทรัพย์แล้วจะมีมูลค่าบริษัทเท่าไหร่

การเข้าตลาดหลักทรัพย์คืออะไร

  • ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่าการเข้าตลาดหลักทรัพย์เป็นครั้งแรกเรียกว่า IPO หรือที่ย่อมาจาก Initial Public Offering เป็นการที่บริษัทจะจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ เพื่อระดมทุนผ่านการเสนอขายหุ้นใหม่ให้ประชาชนทั่วไปสามารถซื้อได้ แต่นอกจากเหตุผลด้านการจัดการเรื่องเงินทองแล้ว น่าสนใจว่าทำไมเจ้าของธุรกิจจึงอยากนำธุรกิจตนเองเข้าตลาดหลักทรัพย์? 

เหตุผลที่คนทำธุรกิจอยากพาธุรกิจเข้าตลาดกับเขาบ้าง

  • เพิ่มทางเลือกการเข้าถึงแหล่งเงินทุน การขายหุ้น IPO ยังไม่ต้องจ่ายเงินต้นและดอกเบื้ยคืนผู้ปล่อยกู้ แต่จะจ่ายเป็นเงินปันผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นแทน
  • มีความยืดหยุ่นในการปรับโครงสร้างเงินทุนและต้นทุนการเงินให้เข้ากับสภาวะเศรษฐกิจ ฐานะทางการเงิน และการลงทุนของบรษัท
  • เพิ่มแต้มต่อให้บริษัทและสินค้าเป็นที่รู้จักในวงกว้าง เพราะเมื่อเข้าตลาดหลักทรัพย์จะต้องเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณชน ว่าทำธุรกิจเกี่ยวกับอะไร มีมูลค่าบริษัทเท่าไหร่ 
  • เสริมสร้างความน่าเชื่อถือ เพราะบริษัทที่จดทะเบียนจะต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และมาตรฐานต่างๆ มีการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ จึงทำให้ผู้ลงทุนหรือผู้ที่เข้ามาซื้อหุ้นเกิดความมั่นใจ
  • การเข้าตลาดหลักทรัพย์ทำให้มีเครดิตที่ดี ได้รับการอนุมัติจากสินเชื่อต่างๆ ได้ง่ายมากขึ้น
  • เพิ่มโอกาสการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ โดยการเข้าตลาดหลักทรัพย์จะทำให้กลุ่มธุรกิจอื่นๆ ทั้งในและต่างประเทศได้รู้จักธุรกิจของเรามากยิ่งขึ้น

ข้อพึงระวังเมื่อต้องการเข้า IPO

การเข้า IPO ไม่ได้มีแค่ข้อดีเท่านั้น ยังมีเงื่อนไขที่ผู้ประกอบการควรรู้ประกอบการตัดสินใจ ทั้งการที่ต้องเสียความเป็นส่วนตัว โดยต้องเปิดเผยข้อมูลให้สาธารณชนได้รับรู้ การที่จะต้องแบ่งผลประกอบการหรือกำไรให้แก่ผู้ถือหุ้น ต้องมีกฎระเบียบที่มากขึ้น ทำให้มีค่าใช้จ่ายที่เยอะขึ้นนั่นเอง

ก่อนจะเข้า IPO คนทำธุรกิจจึงควรต้องตอบตัวเองให้ได้ว่าจะเข้าเพื่ออะไร เช่น ต้องการหาเงินทุนมาขยายกิจการ นำมาพัฒนาสินค้าและบริการ ต้องการให้บริษัทมีผลตอบแทนที่ดียิ่งขึ้น หรือผลักดันให้บริษัทเติบโตขึ้น เพื่อให้บริษัทมีเข็มทิศในการวางแผนธุรกิจได้อย่างไม่หลงทาง