‘ศึกคนชนธุรกิจ’ ทำไม Super Bowl จึงไปไกลกว่าแค่เรื่องของกีฬา

Match : ซูเปอร์โบวล์ครั้งที่ 58 Kansas City Chiefs VS San Francisco 49ers 
Date : 12 กุมภาพันธ์ 2024 

นี่คือการกลับมาเจอกันอีกครั้งของสองคู่ปรับที่พบกันมาในศึกอเมริกันฟุตบอล Super Bowl ครั้งที่ 55 เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ซึ่งจบลงด้วยชัยชนะของแคนซัส ซิตี้ ชีฟส์

แพทริก มาโฮมส์ ควอเตอร์แบ็กดาวดังหวังจะคว้าแชมป์ซูเปอร์โบวล์ 2 สมัยติดต่อกันให้ชีฟส์ เหมือนที่ทอม เบรดี เคยทำไว้ในการป้องกันแชมป์ให้นิวอิงแลนด์ เพเทรียตส์ ในช่วงปี 2003-2004 เพียงแต่คู่แข่งครั้งนี้อย่างซานฟรานซิสโก โฟร์ตี้ไนเนอร์ส ที่นำมาโดยบร็อก เพอร์ดี ควอเตอร์แบ็กผู้เหมือนยืนอยู่บนคนละด้านของโชคชะตาในฐานะ ‘Mr.Irrelevant’ ที่ถูกดราฟต์เป็นคนสุดท้ายในปี 2022 แต่พิสูจน์คุณค่าของตัวเองพาทีมมาถึงจุดนี้ได้

ที่ข้างสนามทุกคนยังรอจับตาดูว่าจะได้เห็น เทย์เลอร์ สวิฟต์ เข้ามาเชียร์แฟนหนุ่มคนเก่งอย่าง ทราวิส เคลซี สตาร์อีกคนของชีฟส์หรือไม่

แต่ซูเปอร์โบวล์มีอะไรให้ติดตามอีกเยอะ ถ้าในสนามคือศึก ‘คนชนคน’ ที่ดุเดือดเร้าใจ นอกสนามมันคือศึกคนชนธุรกิจที่สนุกไม่น้อยไปกว่ากันเลย

1.

ภาพของตึกโดมทรงกลมดิ๊ก ‘Sphrere’ สัญลักษณ์แห่งใหม่ของลาสเวกัส เมืองเจ้าภาพการแข่งขันประจำปีนี้ ที่ถูกทำให้เป็นหมวกของทีมชีฟส์ และไนเนอร์ส เป็นการส่งสัญญาณถึงทุกคนไม่ใช่เฉพาะชาวเวกัสเท่านั้น แต่รวมถึงชาวอเมริกัน และแฟนๆ NFL ทั่วโลกด้วยว่าเรากำลังนับถอยหลังสู่ศึก ‘ซูเปอร์โบวล์’ อีกครั้ง

ซูเปอร์โบวล์ครั้งนี้เป็นการแข่งขันปีที่ 58 ซึ่งสำหรับชาวอเมริกันแล้วนี่คือ ‘วาระแห่งชาติ’ อย่างแท้จริง

ในสหรัฐอเมริกา อเมริกันฟุตบอลถือเป็นกีฬายอดฮิตอันดับหนึ่งซึ่งเป็นกิจกรรมที่ชาวอเมริกันจะได้ใช้จ่ายวันเวลาไปด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการไปชมเกมสดๆ ที่ขอบสนาม การไปนั่งดูตามผับตามบาร์เพื่อสนทนากับเพื่อนที่รู้ใจ ไปจนถึงการเปิดจอโทรทัศน์นั่งชมเกมสดๆ อยู่ที่บ้านไปกับสมาชิกครอบครัว

เรียกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมอเมริกันเลยทีเดียว

แต่เกมที่เด็ดที่สุดที่แฟนๆ NFL ทุกคนไม่ว่าจะเชียร์ทีมอะไรก็จะเฝ้ารอดูคือซูเปอร์โบวล์ ที่เป็นการตัดสินแชมป์ของฤดูกาลระหว่างทีมคอนเฟอเรนซ์ AFC กับคอนเฟอเรนซ์ NFC ที่จะได้มาชิงชัยความเป็นหนึ่งกัน

ความเร้าใจนั้นอยู่ที่เกมจะตัดสินกันจบแค่นัดเดียว ไม่มีโอกาสให้แก้ตัว ดังนั้นมีเท่าไหร่ต้องใส่ลงไปให้หมดในเกมนี้ 

ด้วยเหตุผลนี้ทำให้ซูเปอร์โบวล์มักจะมีแมตช์ที่ตราตรึงในความทรงจำมากมาย เพราะไม่ว่าจะเป็นผู้เล่นในสนาม โค้ชที่อยู่ข้างสนาม ต่างต้องงัดทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นพละกำลัง ไปจนถึงสติปัญญาในการช่วงชิงเอาชนะคู่แข่งให้ได้ และไม่มีใครยอมแพ้ใครจริงๆ ต่อให้เวลาจะเหลือเพียงแค่ไม่กี่วินาทีก็เถอะ

รางวัลของทีมผู้ชนะคือถ้วย ‘วินซ์ ลอมบาร์ดี’ โทรฟีที่ตั้งชื่อตามผู้จัดการทีมระดับตำนานของทีมกรีนเบย์ แพ็คเกอร์ส ซึ่งออกแบบโดย ออสการ์ รีเดเนอร์ รองประธานบริษัท Tiffany & Co. บริษัทผลิตเครื่องประดับชื่อดังระดับโลก

นอกจากนี้นักกีฬาแต่ละคนจะได้รับแหวนแชมป์ซูเปอร์โบวล์ ซึ่งเป็นของรางวัลที่ NFL มอบให้เป็นที่ระลึก ถือเป็นรางวัลอันทรงเกียรติที่นักอเมริกันฟุตบอลทุกคนใฝ่ฝัน

ซูเปอร์โบวล์มันจึงเป็นเกมกีฬาที่มี ‘คุณค่า’ อย่างมากและมีมูลค่ามากมายมหาศาล จนอาจจะกล่าวได้ว่ามากที่สุดในโลกก็ว่าได้ครับในกลุ่มกีฬาที่จัดขึ้นต่อเนื่องทุกปี

2.

สิ่งที่สามารถนำมาใช้เป็นดัชนีชี้วัดเรื่องนี้ได้ดีที่สุดคือโฆษณาของการแข่งขันซูเปอร์โบวล์ หนึ่งในเวทีโชว์ของระดับโลกของเหล่าครีเอทีฟ และโอกาสทางการตลาดของเหล่าแบรนด์ที่อยากจะกลับมาเพิ่มยอดขายอีกสักครั้ง ซึ่งถือเป็นเวลาโฆษณาที่มีมูลค่าแพงที่สุดในโลก 

ที่ว่าแพงนั้นแพงขนาดไหน?

ราคาของโฆษณาในช่วงพักการแข่งขันมีแต่ขึ้นไม่มีลง ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้วราคาอยู่ที่ 4 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อ 30 วินาที และหากเราย้อนกลับไป 20 ปีก่อนจะอยู่ที่ 2.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อ 30 วินาที 

สปอตโฆษณาของซูเปอร์โบวล์ ครั้งที่ 58 ในปี 2024 ความยาว 30 วินาที มีมูลค่าถึง 7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 250 ล้านบาท หรือเฉลี่ยแล้วตกวินาทีละ 8.3 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นปีที่ 2 ติดต่อกันที่สปอตโฆษณาในการแข่งขันมีราคาสูงถึงขนาดนี้

โดยที่แบรนด์ต่าง ๆ ไม่สามารถใช้คำว่าซูเปอร์โบวล์ในโฆษณาได้ เพราะ NFL ได้จดทะเบียนการค้าคำว่าซูเปอร์โบวล์เอาไว้ ใครก็ตามที่อยากจะใช้คำนี้มีแค่ต้องจ่าย จะเรียกว่าเป็นแบรนด์ที่มีมูลค่าและอิทธิพลก็ว่าได้

แต่ถึงจะแพงและยุ่งยากขนาดไหนโฆษณาของซูเปอร์โบวล์ก็ถูกแย่งกันซื้อจนหมดภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว โดยในปีนี้ CBS สถานีที่ได้ลิขสิทธิ์ในการถ่ายทอดสดการแข่งขันสามารถขายสปอตโฆษณาทั้งหมดตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนเลยทีเดียว โดยผู้ซื้อสปอตโฆษณาเหล่านี้จะได้เป็นพาร์ตเนอร์ของการแข่งขัน (เท่ไปอีก) 

สิ่งที่ทำให้สปอตโฆษณาของซูเปอร์โบวล์เป็นที่ต้องการตลอดกาล แม้ในวันที่โลกแตกต่างจากในอดีตอย่างมาก มีสื่อใหม่เกิดขึ้นมาแย่ง eyeball มากมายเต็มไปหมด แต่แบรนด์ต่างๆ ยังตัดใจจากซูเปอร์โบวล์ไม่ได้ เกิดจากเหตุผลง่ายๆเพียงเรื่องเดียว

นี่คือ ‘โอกาส’ ที่จะได้ขายของต่อหน้าผู้ชมมากกว่า ‘ร้อยล้าน’ ซึ่งตัวเลขผู้ชมซูเปอร์โบวล์ ครั้งที่ 57 เมื่อปี 2023 เฉพาะในสหรัฐอเมริกาสูงถึง 115 ล้านคนเลยทีเดียว ซึ่งคิดเป็น 60% ของจำนวนผู้ชมทั่วโลกที่มีการถ่ายทอดสดไปกว่า 190 ประเทศทั่วโลก รวมถึงในบ้านเราด้วย

ความสนุกสำหรับแบรนด์ต่างๆจึงอยู่ที่พวกเขาจะใช้เวลาสั้นๆ แค่ 30 วินาทียังไงให้คุ้มค่าที่สุด โดยที่โฆษณาของซูเปอร์โบวล์ (Super Bowl commercial) ถือเป็นจุดสูงสุดของวงการโฆษณาของโลก ที่เป็นการท้าดวลกันของเหล่าสุดยอดคนในแวดวงโฆษณา ไม่ว่าจะเป็นครีเอทีฟ ก๊อบปี้ไรเตอร์ ผู้กำกับ ที่จะต้องหาทางเสกให้ 30 วินาทีนี้มีความหมายมากที่สุด

เรียกได้ว่าเป็นเหมือนศึกชิงจ้าวยุทธจักรของนักเล่าเรื่องว่าใครกันที่จะสามารถสร้าง ‘The Greatest Storytelling’ ได้โดนใจกว่ากัน

3.

ในอดีตมีงานโฆษณาระดับตำนานมากมายที่เกิดขึ้นในการแข่งขันซูเปอร์โบวล์ หนึ่งในนั้นคือผลงานขึ้นหิ้งที่ชื่อว่า ‘1984’ ซึ่งเป็นโฆษณาเครื่องคอมพิวเตอร์แมคอินทอช ที่เป็นต้นกำเนิดของสินค้าตระกูลแมคในปัจจุบัน

ที่มาที่ไปนั้นในปีดังกล่าว แอปเปิลได้ขอซื้อสปอตโฆษณาของซูเปอร์โบวล์ด้วยมูลค่ามหาศาลถึง 2 สล็อต หรือ 1 นาทีเต็ม โดยสตีฟ จ็อบส์ ซีอีโอของแอปเปิลที่ยังอยู่ในยุคบุกเบิกช่วงแรกนั้นและเริ่มตกที่นั่งลำบากเพราะการแข่งขันในตลาดคอมพิวเตอร์เริ่มเสียท่าให้แก่ IBM ยักษ์สีฟ้าที่ถือเป็นเจ้าวงการในเวลานั้น

จ็อบส์เชื่อลึกๆ ว่าโฆษณาในซูเปอร์โบวล์คือโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่าง จึงเลือกที่จะเดิมพันในการซื้อทั้งสปอตโฆษณา และทุ่มงบประมาณในการถ่ายทำสูงถึง 900,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 32 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินที่เยอะมากๆในเวลานั้น (เวลานี้ก็เยอะอยู่ดี!)

เขาบรีฟให้กับลี คลาว ครีเอทีฟไดเรกเตอร์จาก Chiat\Day บริษัทที่ได้รับงานชิ้นนี้แบบสั้นๆ ง่ายๆ กระชับๆ ว่า “ผมต้องการหนังโฆษณาที่ทุกคนต้องหยุดดูมัน แล้วมันจะต้องดังถล่มทลาย”

แต่เรื่องมันไม่ได้โรแมนติกเหมือนเดินบนกลีบกุหลาบขนาดนั้น

ในทีแรกบอร์ดบริหารของแอปเปิลคนอื่นๆ ไม่เห็นด้วยกับการที่จ็อบส์จะใช้เงินมากมายขนาดนี้ไปกับการซื้อโฆษณาที่สามารถเอาไปใช้เป็นงบการตลาดทำอย่างอื่นได้อีกมากมาย จ็อบส์ที่กำลังลำบากใจเลยนำตัวอย่างโฆษณาชิ้นนี้ไปเปิดให้กับสตีฟ วอซเนียก เพื่อนที่เป็นผู้ร่วมก่อตั้งด้วยกันดู 

เมื่อดูจบวอซเนียกบอกกับจ็อบส์ทันทีว่า “ถ้าบอร์ดไม่ให้เงิน มาเอาเงินผมไปผมช่วยออกครึ่งนึง!”

สุดท้ายมีการอนุมัติให้สร้างโฆษณาชุดนี้จนได้ และยังได้ผู้กำกับระดับตำนานอย่างริดลีย์ สกอตต์ (Alien, Blade Runner) มากำกับให้ด้วย

โฆษณา ‘1984’ ปรากฏในช่วงควอเตอร์ที่ 3 ของการแข่งขัน (อเมริกันฟุตบอลจะแข่งกัน 4 ควอเตอร์ ควอเตอร์ละ 20 นาที) ซึ่งผู้ชมทางบ้านจำนวนกว่า 96 ล้านคนต้องตกใจเพราะจู่ๆ จอภาพก็ดับมืดไปเป็นเวลา 2 วินาที ก่อนที่ทุกคนจะได้เห็นโฆษณาสุดอลังการที่ไม่เพียงแค่ล้ำสมัยในเวลานั้น แต่ยังสามารถตีความได้ร่วมสมัยจนถึงเวลานี้

60 วินาทีนั้นคือจุดเปลี่ยนของแอปเปิล มีการพูดถึงโฆษณาชุด ‘1984’ ไปไม่น้อยกว่าเกมการแข่งขันระหว่างแอลเอ เรดเดอร์ส กับวอชิงตัน เรดสกินส์ โดยสถานีโทรทัศน์นำโฆษณาชุดนี้มารีรันให้คนทั้งอเมริกาชมอีกครั้ง เป็นการโฆษณาให้แอปเปิลโดยที่ไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มอีกเลยแม้แต่เซนต์เดียว

และเพราะผลงานชิ้นนี้ แอปเปิลและสตีฟ จ็อบส์ จึงมีโอกาสได้เปลี่ยนแปลงโลกของเราอีกหลายครั้ง 

เรียกได้ว่า ‘1984’ คือโฆษณาเปลี่ยนโลกเลยก็ว่าได้

4.

อย่างไรก็ดีในยุคปัจจุบันแบรนด์ต่างๆ ไม่ได้คิดถึงแค่เพียงเรื่องของการใช้เวลา 30 วินาทีให้ดีที่สุด แต่ต้องใช้อย่างเกิดประโยชน์และฉลาดที่สุดด้วย

พวกเขาพยายามที่จะ ‘ยืดเวลา’ ของมันออกไปที่นอกสนาม ผ่านกลยุทธ์การตลาดในรูปแบบต่างๆ โดยสิ่งสำคัญที่สุดคือเรื่องของ ‘ประสบการณ์’ (experience) ที่จะทำให้ทุกคนไม่เพียงแต่เฉพาะแฟนอเมริกันฟุตบอลได้สัมผัสถึงตัวตนและสิ่งที่แบรนด์เป็น 

เรียกได้ว่าเป็นการแข่งขันที่ก้าวล้ำไปอีกขั้น ไม่เหมือนในอดีตที่จะใส่ทุกอย่างลงไปใน 30 วินาทีแล้วจบ เพราะปัจจุบันแบรนด์จะมีระยะเวลา 4-6 สัปดาห์ที่จะเอาชนะใจทุกคนให้ได้ ซึ่งแฟนๆ เองก็รอดูเหมือนกันว่าจะมีโฆษณาซูเปอร์โบวล์อะไรออกมาให้ดูบ้าง (ซึ่งรวมถึงโฆษณาสินค้าของสาวๆ ที่เข้ามาซื้อโฆษณาซูเปอร์โบวล์ด้วย เรียกว่าเป็น ‘Taylor Swift Effect’ จากการที่นักร้องสาวซูเปอร์สตาร์เป็นแฟนของทราวิส เคลซี ปีกตัวเก่งของชีฟส์นั่นเอง)

ดังนั้นในช่วง 1 เดือนก่อนถึงเกมซูเปอร์โบวล์ โดยที่ยังไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าใครจะชิงกับใคร แบรนด์ต่างๆ ได้เริ่มสื่อสารกับกลุ่มลูกค้าด้วยวิธีต่างๆ เช่น การปล่อยทีเซอร์ การหากิจกรรม ไปจนถึงการมอบประสบการณ์ในรูปแบบต่างๆ

เช่นในปีนี้มีตัวอย่างสนุกๆ Doritos ขนมกรุบกรอบยอดฮิตลงทุนขอเปลี่ยน ‘พีระมิด’ (จำลอง) ที่มีความสูงถึง 30 ชั้น (และมีสฟิงซ์จำลองอยู่ด้านหน้าด้วย!) ของโรงแรม Luxor Hotel ที่เป็นแลนด์มาร์กแห่งหนึ่งของลาสเวกัส ให้กลายเป็นรูปขนม Doritos ทรงสามเหลี่ยม

หรือที่ Sphere โดมทรงกลมกลายเป็นจุดโฆษณายอดนิยมที่แบรนด์ต่างๆ ขอซื้อกันไม่ขาดสาย เพราะรู้ว่านี่คือจุดที่ทุกคนสนใจแน่นอน

การจัดกิจกรรมจึงเป็นสิ่งที่แบรนด์ต่างๆ พร้อมจ่ายเพิ่ม โดยในช่วงก่อนการแข่งขันมีการจัดอีเวนต์มากมายทั่วลาสเวกัส ที่ต่อให้เป็นแบรนด์ที่ไม่ได้โด่งดังในวงกว้างอย่าง Extreme Networks นี่ก็เป็นโอกาสที่จะได้เซย์เฮลโหล ทำความรู้จักกับลูกค้า​ซึ่งไม่ได้จำกัดแค่กลุ่มลูกค้าทั่วไปด้วย เพราะเป้าหมายใหญ่คือกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจมากกว่า

ว่าขนาด NFL ยังใช้เทคโนโลยีของ Extreme Networks นั่นแปลว่าใครก็สามารถใช้โซลูชั่นของพวกเขาได้ ซึ่งนอกจากนี้ยังมีอีกหลายเจ้า อาทิ Cisco หรือ Verizon ที่เป็นผู้ให้บริการด้านการสื่อสารที่มองโอกาสทางธุรกิจในลักษณะ B2B เหมือนกัน

ยังมีอีกหลายบริษัทที่ใช้ซูเปอร์โบวล์เป็นโอกาสในการตอบแทนลูกค้าคนสำคัญ บางบริษัทจัดประชุมใหญ่ที่ลาสเวกัส เพื่อพาตัวแทนทั้งมาดูงานและมาสัมผัสกับบรรยากาศที่สุดยอดของซูเปอร์โบวล์ที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ด้านในสนาม และบางบริษัทใจป้ำจ่ายเงินซื้อที่นั่งชมในสนามให้เลย

นอกจากนี้ยังมีการซื้อชื่ออีเวนต์ (title sponsor) เช่น Super Bowl Opening Night Fueled by Gatorade, the Super Bowl Experience Presented by Toyota 

5.

ความสุดยอดของซูเปอร์โบวล์ไม่ได้อยู่แค่นี้ แม้กระทั่งเรื่องของการแสดงในช่วงพักครึ่งหรือ ‘halftime show’ ก็ต้องเป็นโชว์ที่ดีที่สุดของปี 

เดิมโชว์ช่วงพักครึ่งนั้นเป็นแค่การโชว์ของวงโยธวาทิตจากมหาวิทยาลัยต่างๆ แต่เริ่มมีการเชิญศิลปินในช่วงยุค 90s มาเริ่มแสดงโชว์ โดยศิลปินที่สร้างปรากฏการณ์และเปลี่ยนให้การแสดงพักครึ่งกลายเป็นเรื่องจริงจังขึ้นมาคือไมเคิล แจ็กสัน ที่ได้ขึ้นโชว์ในปี 1993 ในช่วงที่เขาเป็น ‘King of Pop’ ที่คนทั้งโลกคลั่งไคล้

หลังจากนั้นการแสดงช่วงพักครึ่งคือเรื่องใหญ่ที่จะต้องคัดแล้วคัดอีก โดยจะมีเฉพาะศิลปินในระดับท็อปคลาสเท่านั้นที่จะได้รับเกียรติให้ขึ้นแสดง อาทิ U2, Prince, Red Hot Chili Peppers, Beyoncé, Lady Gaga โดยที่การแสดงนั้นยิ่งใหญ่และจริงจังขึ้นเรื่อยๆ 

จนสุดท้ายการแสดงที่เคยจืดชืดกลับกลายเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือหารายได้ที่สำคัญเพราะมีสปอนเซอร์สนใจที่จะซื้อโชว์ ซึ่งก่อนหน้านี้คือ Pepsi ก่อนที่แอปเปิลจะเซ็นสัญญาเป็นสปอนเซอร์ halftime show เป็นเวลาถึง 10 ปีเต็มๆ ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปีที่แล้ว

ศิลปินที่ขึ้นเวที (ปีนี้คือ Usher) จะไม่ได้รับค่าตัวสักแดงเดียว แถมบางปีต้องจ่ายเพิ่มเองด้วยเพื่อเติมงบในงานโปรดักชั่นให้ตระการตาที่สุด 

แต่เรื่องนี้ถือว่าคุ้มเกินคุ้มเพราะศิลปินเหล่านี้จะได้โชว์เต็มๆ ถึงประมาณ 13 นาที ต่อหน้าผู้ชมมากกว่า 200 ล้านคนทั่วโลก

ซูเปอร์โบวล์จึงไปไกลกว่าแค่เรื่องของกีฬามากมายนัก เพราะเป็นส่วนผสมของทั้งกีฬา, ความบันเทิง, ความสร้างสรรค์ และการรวมตัวของเหล่าเซเล็บคนดัง ที่ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ผู้ชมต้องการจะดูทั้งสิ้น

ซูเปอร์โบวล์ยังสำคัญไปถึงเรื่องของเศรษฐกิจ ที่ช่วยชีวิตทั้งคนและเมือง เพราะสามารถสร้างงานสร้างรายได้ให้กับผู้คนและเมืองได้อย่างมากมายมหาศาล 

เหมือนในการแข่งขันเมื่อปี 2023 ที่สร้างรายได้ในเมืองแอริโซนาถึงกว่า 1.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 4.6 หมื่นล้านบาท คิดเป็น GDP ของเมืองถึง 726.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท และสร้างงานอีกกว่า 10,459 ตำแหน่ง

พลังของศึกคนชนคนนี้ยังส่งไปจนถึงเรื่องของสิ่งแวดล้อมด้วย ซึ่งในการแข่งปี 2023 มีการรณรงค์ช่วยกันเก็บขยะจากแม่น้ำ Salt River ได้ถึง 7,849 ปอนด์ 

แต่ถึงจะประสบความสำเร็จและยิ่งใหญ่มากเพียงไหน ความท้าทายของ NFL ในฐานะผู้ให้กำเนิดซูเปอร์โบวล์คือ จะทำยังไงให้ศึกสุดยอดคนชนคนนี้ยังคงเดินหน้าต่อไป เพื่อให้ยังคงเป็นแบรนด์ที่แฟนกีฬาทั่วโลกเฝ้ารอคอยเหมือนเดิม

เรื่องนี้สนุกพอๆ กับการได้เลือกแผนจาก Playbook ในเพลย์สุดท้ายของเกม

จะขว้างหรือจะวิ่ง

เลือกเล่นแบบไหนให้ทัชดาวน์ในหัวใจแฟนๆ ทุกคน

อ้างอิง

Match Facts

  • ชื่อ ‘ซูเปอร์โบวล์’ มาจากแนวคิดของตระกูลฮันต์ที่เป็นเจ้าของทีมแคนซัส ซิตี้ ชีฟส์ 
  • ซูเปอร์โบวล์เริ่มมีครั้งแรกในปี 1967 แต่ใช้ชื่อว่า ‘AFL-NFL World Championship Game’ ก่อนจะมาใช้ชื่อว่าซูเปอร์โบวล์ครั้งแรกจริงๆในปี 1969 ก่อนจะเริ่มมีการใช้เลขโรมันต่อท้ายชื่อซูเปอร์โบวล์ในปีต่อมา (1970) โดยเรียกว่า ‘Super Bowl V’ และเป็นธรรมเนียมที่จะใช้ชื่อโรมันต่อท้ายรายการ

9 Fun Fact เปิดจักรวาลตรุษจีน 67

“ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ เป็นที่รู้กันว่า เทศกาลตรุษจีนกลับมาอีกครั้ง นี่เป็นวาระแห่งการเฉลิมฉลองปีใหม่ของชาวจีนและผู้มีเชื้อสายทั่วโลก ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 10 กุมภาพันธ์

สิ่งที่น่าสนใจคือความเคลื่อนไหวของธุรกิจต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเทศกาล ซึ่งราคาสินค้าและทิศทางการใช้จ่ายของผู้คนในปีนี้แตกต่างจากปีก่อน ทั้งกลุ่มเครื่องเซ่นไหว้หลักอย่างเนื้อสัตว์ ผัก และผลไม้ รวมถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภค

วันนี้ Capital จะพาทุกคนไปสำรวจข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับตรุษจีนปีนี้ 

1. ตรุษจีนปีนี้คาดเงินสะพัด 49,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 10% 

หอการค้าไทยได้สำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายผู้บริโภคในช่วงเทศกาลตรุษจีนในปี 2567 พบว่าปีนี้ตรุษจีนมีเงินสะพัดกว่า 49,000 ล้านบาท สูงขึ้น 10% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ถือว่าเป็นการเพิ่มสูงสุดในรอบ 11 ปีนับตั้งแต่ปี 2556

และหากถามว่าฟื้นตัวเท่ากับช่วงก่อนโควิดหรือยัง คำตอบคือ ยังไม่เท่า และยังห่างไกลอยู่พอสมควร เนื่องจากก่อนมีโควิดเม็ดเงินการใช้จ่ายตรุษจีนอยู่ที่ 60,000 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจหลายสำนักมองว่า เศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัวเท่าที่ควร รวมถึงราคาสินค้าต่างๆ ที่แพงขึ้น ก็มีผลต่อการจับจ่ายใช้สอย และผู้คนยังต้องใช้เงินอย่างระมัดระวัง ซึ่งอาจต้องรอดูในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ของปีนี้ว่าจะสดใสเหมือนที่คาดไว้หรือไม่

จากข้อมูลดังกล่าว สอดคล้องกับข้อมูลของศูนย์วิจัยกสิกรไทยที่มองว่า บรรยากาศการใช้จ่ายของคนกรุงเทพฯ ช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้จะดีขึ้นกว่าปีก่อน แต่ก็เป็นการดีขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งอาจเติบโตได้ราว 1.5% นอกจากปีนี้จะเป็นปีมังกรไม้ที่เกิดขึ้นไม่บ่อย อีกหนึ่งแรงกระตุ้นที่ทำให้ผู้คนยอมควักเงินในกระเป๋ามาจากมาตรการลดหย่อนภาษี (Easy E-Receipt) โดยเฉพาะการจับจ่ายสินค้าในกลุ่มของใช้ภายในบ้าน เครื่องเซ่นไหว้และอาหารสำเร็จรูป

2. คนส่วนใหญ่ 57.2% ยังคงไหว้บรรพบุรุษ

เดิมทีเทศกาลตรุษจีนถูกขับเคลื่อนโดยคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ที่ได้รับความเชื่อมาจากบรรพบุรุษ ที่มักเคร่งเครียดกับการปฏิบัติตามธรรมเนียม ให้ความสำคัญกับการซื้อของไหว้ ทำทุกขั้นตอนอย่างเป็นแบบแผน 

แต่ปัจจุบันธรรมเนียมเหล่านี้ได้ถูกส่งต่อไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่ ซึ่งบางบ้านอาจจัดแบบเล็กๆ ตามความสะดวก หรือบางบ้านอาจไม่ไหว้เลยก็มี สำหรับปีนี้มีผลสำรวจบอกว่า คนรุ่นใหม่ทั่วประเทศกว่า 57.2% ยังคงไหว้บรรพบุรุษ และที่เหลือ 42.8% ไม่ไหว้แล้ว ซึ่งช่องว่างของฝั่งไหว้และไม่ไหว้ห่างกันนิดเดียว คงต้องรอดูว่าในปีต่อๆ ไปฝั่งไหนจะแซงหน้า

3. งบซื้อของเซ่นไหว้ประมาณ 5,000 บาท

สำหรับการวางแผนใช้จ่ายช่วงตรุษจีน 1 ครั้ง ราคาเริ่มต้นจะอยู่ที่ราวๆ 5,000 บาท ที่ประกอบด้วยหมู ไก่ เป็ด ปลา ผลไม้ ขนม กระดาษไหว้เจ้า เครื่องแต่งกาย รวมถึงของแก้ชงต่างๆ ถือเป็นยอดค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นกว่าปีที่แล้วถึง 40.4%

โดยจริงๆ แล้วปีนี้ผู้คนยังซื้อของเหมือนเดิม ได้ของเท่าเดิม เพียงแต่ราคาสินค้าแพงขึ้น ทำให้ต้องจ่ายมากขึ้นกว่าเดิม

4. สินค้าที่ปรับราคาเพิ่มขึ้นสูงสุดคือ ขึ้นฉ่าย 

ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา เกิดภาวะที่กระทบค่าใช้จ่ายครัวเรือนในวงกว้างคือ ผักแพง ที่ราคาดีดตัวสูงขึ้นหลายรายการ หนึ่งในนั้นคือ ขึ้นฉ่าย ที่เกษตรกรผู้ปลูกต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อ ทั้งอากาศที่ร้อนเกินไป หรือขาดแคลนน้ำในการเพาะปลูก ทำให้ราคาสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ใครที่สงสัยว่า ทำไมตรุษจีนถึงต้องมีขึ้นฉ่าย เพราะตามความหมายของผักมงคล ขึ้นฉ่ายเป็นตัวแทนของการอดทน มุมานะต่อความยากลำบาก ความพากเพียร ขยันขันแข็ง และความอุตสาหะ

สำหรับอันดับอื่นๆ มีดังนี้

  1. ผักขึ้นฉ่าย เพิ่มขึ้น 37% (ประมาณ 82 บาท / 1 กก.)
  2. ผักกวางตุ้ง เพิ่มขึ้น 19% (ประมาณ 23 บาท / 1 กก.)
  3. กล้วยหอมทอง (หวี 14 ผล) เพิ่มขึ้น 19% (ประมาณ 120 บาท / 1 กก.)
  4. ทองคำแท่ง เพิ่มขึ้น 16% (ประมาณ 34,500-35,000 บาท)
  5. เป็ดสด (ไซส์ M) เพิ่มขึ้น 13% (ตัวละ 265 บาท)

5. สินค้าที่ปรับราคาลงมากที่สุดคือ ผักกาดขาว

เมื่อมีสินค้าที่ราคาสูงขึ้น ก็ต้องมีสินค้าที่ราคาถูกลง เพราะมีผลผลิตออกสู่ตลาดมากขึ้น จากข้อมูลของศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผยว่า 5 สินค้าที่ปรับราคาลงในตรุษจีนปีนี้ ประกอบด้วย

  1. ผักกาดขาว ราคาลดลง 20% (ประมาณ 27 บาท / 1 กก.)
  2. เนื้อหมู เนื้อแดงสะโพก ลดลง 19% (ประมาณ 153 บาท / 1 กก.)
  3. ส้มเขียวหวานเบอร์ 5 ลดลง 17% (ประมาณ 46 บาท / กก.)
  4. ผักคะน้า ลดลง 16% (ประมาณ 24 บาท / กก.)
  5. เนื้อไก่ ราคาเท่าเดิม

6. คนส่วนใหญ่ซื้อสินค้าจากตลาดสด 

สำหรับพฤติกรรมและการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงตรุษจีน เฉพาะกลุ่มที่มีการไหว้เจ้าส่วนใหญ่จะมีการเลือกซื้อสินค้าในตลาดสด 37.6% เนื่องจากสินค้าจะมีราคาถูกกว่าการซื้อในห้าง 

หากสำรวจภาพรวมการจับจ่ายสินค้าย่านตลาดเก่าเยาวราช พบว่าปีนี้ผู้คนออกมาใช้จ่ายกันมากขึ้น ที่น่าสนใจคือปีนี้อาหารสดหรือของเซ่นไหว้ต่างๆ ที่เป็นของสดมียอดขายน้อยลง แต่อาหารสำเร็จรูปเพิ่มขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายที่เปลี่ยนไป จากเดิมที่เคยทำเองทุกอย่าง ก็หันมาซื้อของสำเร็จรูปไหว้เจ้าซึ่งอาจประหยัดกว่าการทำเองทั้งหมด

อย่างไรก็ตามการซื้อของในห้างหรือศูนย์การค้าขนาดใหญ่ก็ยังไม่หายไป ยังมีผู้บริโภคกว่า 29% เลือกซื้อของจากที่นี่ เพราะรู้สึกสะดวกสบายมากกว่า

7. สิ่งที่คนกรุงเทพฯ ทำมากที่สุดในตรุษจีนคือ จัดเครื่องเซ่นไหว้ และ แจกอั่งเปา

จากข้อมูลของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ที่เก็บข้อมูลจาก 1,300 คนทั่วประเทศ พบว่า เมื่อถึงเทศกาลตรุษจีนสิ่งที่ชาวไทยเชื้อสายจีนส่วนใหญ่ทำ (ประมาณ 25%) คือ การไหว้เจ้าหรือไหว้บรรพบุรุษ ที่ต้องมีการจัดเครื่องเซ่นไหว้ โดยมักจะทำในช่วงเช้าไปจนถึงเที่ยง เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต และบรรพบุรุษผู้ล่วงลับ

ต่อมาคือ การแจกอั่งเปาหรือซองแดง (ประมาณ 25%) เพื่อเป็นการอวยพรให้ผู้รับได้พบโชคลาภตลอดปี ขณะเดียวกันเด็กๆ หรือลูกหลานที่ยังไม่ได้ทำงานต่างก็ตั้งตารอวันนี้มาตลอด เพราะเป็นวันที่ได้รับซองแดงจากผู้ใหญ่ สำหรับใครที่เป็นผู้รับอั่งเปา ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดใช้ เพื่ออวยพรผู้ใหญ่ด้วยเช่นกัน 

เนื่องด้วยตรุษจีนปีนี้ช่วงเทศกาลตรุษจีนอยู่ในช่วงติดวันหยุด หลังจากไหว้เจ้าแล้วผู้คนก็วางแผนทำบุญ ท่องเที่ยว หรือทานข้าวนอกบ้านเพื่อใช้เวลากับครอบครัว (ประมาณ 21%) 

8. คนกรุงเทพฯ อยากเห็นตรุษจีนที่ลดการเผากระดาษและจุดธูป 

ตรุษจีนนับเป็นเทศกาลที่มีการไหว้เจ้ามากที่สุด ซึ่งต้องมีการจุดธูป เทียน เผากระดาษ และจุดประทัดทำให้เกิดฝุ่นละอองขนาดเล็กและฝุ่นควันที่มากกว่าปกติ ปีนี้คนกรุงเทพฯ จึงอยากเห็นตรุษจีนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยส่วนใหญ่ตั้งเป้าว่าจะลดการเผากระดาษและจุดธูป (23%) ใช้ธูปที่มีควันน้อย (19%) รวมถึงการปรับลดขนาดเครื่องเซ่นไหว้ (15%)

หากในกรณีที่ต้องจุดธูปหรือไหว้เจ้า ควรใช้ธูปขนาดสั้นเพื่อให้เกิดควันน้อยกว่า ส่วนการเผากระดาษเงินกระดาษทองก็สามารถลดจำนวนที่ต้องเผาลง หรือลดการเผาด้วยการนำกระดาษเงินกระดาษทองมาใช้ตกแต่งแทนได้

ส่วนในฝั่งของผู้ผลิตและจำหน่ายก็ต้องพยายามปรับรูปแบบผลิตภัณฑ์ให้สอดรับพฤติกรรมผู้คน เช่น เพิ่มสัดส่วนของสินค้าเซ่นไหว้ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ปรับรูปแบบสินค้าให้มีขนาดเล็กลงเพื่อให้เหมาะกับครอบครัวเดี่ยวที่มีจำนวนคนน้อยกว่าเดิม เป็นต้น 

9. คำขอสุดฮิตคือ ขอให้ตนเองและครอบครัวร่ำรวยเงินทอง

มาถึงข้อสุดท้าย เกี่ยวกับคำอวยพร ไม่ว่าจะเป็นการอวยพรให้ตัวเอง ให้ผู้ใหญ่หรือลูกหลาน ทุกประโยคต้องมีความหมายมงคล ซึ่งคำอวยพรที่ถูกขอมากที่สุดในตรุษจีนปีนี้คือ ขอให้ตนเองและครอบครัวร่ำรวยเงินทอง ตามด้วยขอให้สุขภาพแข็งแรง ครอบครัวมีความสุขรักใคร่ปรองดอง ขอให้มีโชคลาภตลอดปี และขอให้กิจการรุ่งเรืองขายดี

สำหรับผู้อ่าน Capital ที่อ่านถึงตรงนี้ เราขออวยพรให้ร่ำรวยเงินทอง สุขภาพแข็งแรง และเหลือกินเหลือใช้ทุกปี

ข้อมูลจาก

  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เดือนมกราคม 2567 
  • ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

คำว่า Let go ที่ไม่ได้แปลว่าปล่อยวาง

The art of letting go

คำว่า let go ที่เห็นอยู่นี้ ไม่ได้แปลว่าปล่อยวาง 

มันไม่ได้เป็น let go ความหมายเดียวกับ let it go ของเอลซ่าในภาพยนตร์ Frozen–ไม่มีการร้องเพลง ไม่มีเอฟเฟกต์หิมะอลังการ ไม่มีเด็กเต้นไปรอบๆ ร้องเพลงตามเป็นร้อยรอบจนพ่อแม่ต้องอุดหู 

ความหมายของมันคือผม–อันที่จริง–เราแทบทุกคน กำลังถูกปรับออกจากงาน

คอร์เปอเรตเป็นสิ่งไร้ชีวิตแปลกประหลาด บางครั้งเมื่อสะดวก มันจะทำตัวราวกับมีชีวิต ‘เราแคร์ลูกจ้างของเรา เรามีวัฒนธรรมที่ดี ที่คูล ที่มีเสน่ห์’ เมื่อมันทำตัวมีชีวิตเช่นนี้ คุณก็มักไม่เห็นหรอกว่าตอนจะแยกทาง คำอย่าง fire (ไล่ออก) จะถูกหยิบขึ้นมาใช้ เขาจะหลีกไปใช้คำอื่นๆ ที่ดู ‘มีมนุษยธรรมกว่า’ แทน

ตัวอย่างเช่น let go ที่ให้ภาพราวกับว่าเรากำลังจำใจปล่อยมือ ปล่อยให้เธอไปเป็นอิสระ ไม่ใช่การผลักใส ไปจนถึงคำอย่าง mutually parted ways ที่แปลตรงตัวว่า จากลากันโดยเป็นการตัดสินใจของทั้งคู่ ทั้งที่ความจริงอาจไม่เป็นอย่างนั้นก็ได้ เป็นแค่การขอรักษาศักดิ์ศรีครั้งสุดท้ายของพนักงาน คำอย่าง retrench (ทอนออก) ก็มีให้เห็นบ่อย หรือกระทั่งคำอย่าง exit ก็เช่นกัน–คือการโชว์ประตูทางออกให้กับลูกจ้าง

คำที่โหดร้ายกว่านั้นอาจเป็นคำว่า made redundant ซึ่งแปลตรงตัวว่า เรากำลังถูกทำให้ซ้ำซ้อน พูดง่ายๆ ลองจินตนาการภาพว่าเราเป็นชิ้นส่วนเครื่องจักร เป็นกลไก เป็นเกียร์ เดือย ตัวน็อตของบริษัท เมื่อมีกลไกอื่นที่ทำงานได้เหมือนกันแล้ว เขาจะเก็บเกียร์เก่าไว้ทำไม

ไม่ว่าจะใช้คำยังไง ไม่ว่าจะพยายามซอฟต์สักแค่ไหน การถูกเลิกจ้างก็ให้ความรู้สึกคล้ายเดิม ไม่ต่างจากการถูกบอกเลิกด้วยคำว่าเธอดีเกินไป 

แล้ววันนี้ก็เป็นวันที่ผมถูกบอกเลิก

หลังเหตุโควิด มีกระแสการเลย์ออฟพนักงานของบริษัทเทคโนโลยีให้เห็นบ่อยครั้ง ส่วนหนึ่งเพราะในช่วงโควิด หลายบริษัทมีเงินเก็บสะสมไว้มากเกินไปเพราะลงทุนกับสิ่งที่จับต้องได้ได้ยากขึ้น เลยไปเน้นหนักในการเพิ่มการลงทุนกับจำนวนพนักงาน หรือการเตรียมทัพเพื่อขยายกิจการใหม่ 

ครั้งโควิดผ่านพ้น นอกจากมีกระแสการทำงานรูปแบบใหม่จากฝั่งพนักงานอย่างความยืดหยุ่นให้ทำงานที่บ้าน ที่ออฟฟิศ หรือที่ไหนก็ได้ และกระแสแนว quiet quitting (การถอดใจเงียบๆ) หรือ The Great Resignation (การทบทวนชีวิตครั้งใหญ่จนทำให้คนลาออกกันมาก) แล้ว ในฟากฝั่งบริษัทก็มีการกลับมาทบทวนถึงเดิมพันที่ตนลงไปในช่วงโควิดเช่นกัน จึงเกิดการคิดใหม่ ทำใหม่ เหมือนคลื่นที่ซัดสาดทุกสิ่งเพื่อรีเซตสถานการณ์

อีกเหตุคือในช่วงหลังบริษัทเทคทั้งหลายเริ่มตระหนักว่า หนึ่งในหนทางเพิ่มราคาหุ้นระยะสั้น ก่อนการประกาศผลประกอบการในแต่ละไตรมาส คือการปรับพนักงานออกเพื่อส่งสัญญาณว่ามีการลดทอนค่าใช้จ่าย ในปัจจุบัน การปรับพนักงานออกไม่ได้เป็นการยอมรับความพ่ายแพ้เชิงกลยุทธอีกแล้ว แต่เป็นคล้ายการทำให้นักลงทุนมั่นใจว่าผู้บริหารของบริษัทมีวิสัยทัศน์ รู้จักเฉือนเนื้อ เพื่อผลกำไรที่มากขึ้น แทบทุกครั้งที่มีการปรับพนักงานออก เราจะเห็นราคาหุ้นที่พุ่งสูงขึ้นทันที จนนี่กลายเป็นเทรนด์ ราวกับว่าผู้บริหารของแต่ละบริษัทจ้องไปยังบริษัทคู่แข่งอื่น–ใครปรับออกก่อน คนที่เหลือรอบวงก็จะ ‘ตาม’ เพราะไม่ต้องเป็นคนเปิดคลื่นการเลย์ออฟครั้งใหม่

“ในวงการเทค มีการทำเป็นกระแสตามๆ กันอยู่” เจฟ ชูลแมน (Jeff Shulman) ศาสตราจารย์ที่ภาควิชาธุรกิจมหาวิทยาลัยวอชิงตันผู้ติดตามอุตสาหกรรมเทคโนโลยีบอกว่า “การเลย์ออฟดูจะช่วยราคาหุ้น บริษัทพวกนี้เลยไม่มีเหตุผลที่จะต้องหยุด” เขาว่า “พวกเขาทำแบบนี้ได้เพราะทุกคนทำ และทุกคนทำเพราะมันกลายเป็นปกติใหม่ไปแล้ว… ผมคิดว่าเราจะเห็นเทรนด์นี้ดำเนินไปอีกสักพัก”

สิ่งหนึ่งที่ผมเรียนรู้จากชีวิตการทำงานยี่สิบปีเป็นความจริงขั้นพื้นฐาน (ที่ก็นั่นเอง–ผมต้องอาศัยเวลาตั้งยี่สิบปีกว่าสารจะซึมเข้าไปในใจ)–ความจริงที่ว่า บนโลกนี้มีสิ่งที่เราควบคุมได้ และสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ 

สองอย่างนี้ไม่ได้แยกขาดกันชัด หากมองให้ดีมันคงเป็นสเปกตรัม ปลายด้านหนึ่งควบคุมได้สมบูรณ์ เช่นความรู้สึกของเราเองต่อเหตุการณ์รอบด้าน ตรงกลางอาจเป็นเรื่องที่ขึ้นกับตัวแปรหลายอย่างด้วยสัดส่วนที่แตกต่างกันไป เช่น คุณภาพของชิ้นงานที่อาจขึ้นกับความสามารถของทีม รวมถึงความสามารถของเราในการสื่อสารกับทีม ในขณะที่สุดปลายอีกด้านเป็นเรื่องที่เราควบคุมไม่ได้เลย เช่นการตัดสินใจแนวทางของบริษัทที่คนห่างไกล ไม่เคยเห็นหน้า ที่อาจนั่งอยู่ในออฟฟิศในอเมริกาคิดฝันขึ้นมา 

การถูกปรับออกครั้งนี้เป็นหนึ่งในสิ่งที่ผมจัดว่าค่อนไปทางควบคุมไม่ได้ มันเป็นการปรับภาพใหญ่ของธุรกิจ โดยคนที่คิดปรับไม่เคยรู้จักเราด้วยซ้ำ

ชีวิตผมไม่เคยประสบกับการถูกปรับออกมาก่อน นี่เป็นครั้งแรก และเป็นครั้งใหญ่ ไม่ใช่เพียงผม แต่ยังมีเพื่อนร่วมงานอีกหลายสิบชีวิตที่ถูกปรับออกพร้อมกันด้วยเหตุผลทางธุรกิจ 

เราได้รับอีเมลคร่าวๆ ว่าจะมีบางตำแหน่งงานที่ได้รับผลกระทบในคืนวันพุธ พอถึงเช้าวันพฤหัสเราก็รู้ตัวว่าเป็นตำแหน่งของตนนั่นเองที่ถูกกระทบอย่างที่ว่า, ทั้งภูมิภาค, ด้วยนัดประชุมที่โผล่ขึ้นมาในปฏิทิน–การประชุมที่มีฝ่ายบุคคลเข้าร่วม–คล้ายกับยมทูตที่เป็นสัญญาณว่าความตายใกล้มาถึง 

เราโทรเช็กซึ่งกันและกัน นายโดนหรือไม่ ใช่ ฉันก็โดน สายโทรศัพท์เช้านั้นน่าจะพันกันยุ่งเหยิงด้วยการโทรเช็กของพวกเรา ใครโดนเข้าไปก่อน ช่วยบอกคนที่เหลือด้วยนะว่าเขาว่ายังไงบ้าง

ทุกครั้งที่ผ่านมาเมื่ออ่านข่าวการเลย์ออฟ จะมีความรู้สึกคล้ายการอ่านข่าวโศกนาฏกรรม หลายครั้งเมื่อเกิดขึ้นในบริษัทบ้านใกล้เรือนเคียง ก็ทำให้เกิดมรณานุสติในเชิงการงานขึ้นมา นึกไปว่าถ้าเป็นเราโดน เราจะเป็นยังไง เรามีความพร้อมทางด้านการเงินพอไหม แล้วเราจะไปทำอะไรต่อ มีค่าใช้จ่ายอะไรที่คงค้างบ้าง บ่อยครั้งเข้าก็เกิดบรรลุขึ้นมาว่าชีวิตไม่แน่นอน เราควบคุมได้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ แต่ชีวิตก็มีสิทธิ์โยนลูกเคิร์ฟบอลมาแสกหน้าได้แบบไม่คาดคิดเหมือนกัน

เช้านั้นการเปิดเว็บไซต์อ่านข่าวคล้ายกับการได้เป็นสักขีพยานในงานศพของตัวเอง เรารู้จักการเลย์ออฟในเชิงทฤษฎีมามาก แต่วันนั้นโลกเลือกให้เราสอบปฏิบัติ ยังดีอยู่บ้างที่ได้ฝึกมรณานุสติมาพอสมควรแล้ว และรู้จักการเงินของตัวเองดีพอจนไม่ตระหนกมาก

ออฟฟิศกลายเป็นละครชีวิตฉากใหญ่ มีครบทุกอารมณ์ บางคนตอบรับสถานการณ์ด้วยความโกรธ บางคนหยิบขวดเหล้าจากลิ้นชักขึ้นมาเปิดกินตรงนั้น บางคนหัวเราะ เล่นมุกตลกกลบเกลื่อน บางคนดีใจ เพราะตั้งใจจะลาออกอยู่แล้วในเร็ววัน และก็มีทางน้ำตาให้เห็นบนใบหน้าของอีกหลายคน แน่นอน ไม่มีใครมีแก่ใจจะทำงานในโมงยามของวันที่เหลือ

คุณอาจเคยอ่านผ่านข้อความเตือนใจของใครสักคน ที่บอกว่าอย่าทุ่มเทถวายชีวิตให้การงานนักเลย เพราะต่อให้ไม่มีเรา บริษัทก็อยู่รอดได้ เราถูกทดแทนได้เสมอ สัญญาใจก็เรื่องหนึ่ง แต่พอเข้าตาจนสัญญาที่เป็นเอกสารเท่านั้นคือของจริง นั่นเองคือภาพที่เห็นจากการตัดฉับ–ตัดเลยอย่างรวดเร็วในครั้งนี้–ณ ที่แห่งนี้ เราเป็นเกียร์ เราเป็นตัวน็อต

บนโลกนี้ มีสิ่งที่เราควบคุมได้ และสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ 

กระทั่งกับสิ่งที่ควบคุมได้ ก็ใช่จะยังผลดีพร้อมสมบูรณ์ให้เราเสมอไป ในช่วงว่างโหวงและหน้าต่างเวลาที่ได้คืนมาโดยไม่ตั้งตัวนี้ ผมพบว่าหนึ่งในคาถาที่พอทำให้วางใจลงได้แบบแปลกๆ คือคำพูดที่ดูคล้ายสิ้นหวัง (แต่ก็ไม่!) ของเคียร์เคอการ์ด นักปรัชญาอัตถิภาวนิยม เขาบอกว่า

“เลือกแต่งงานคุณก็เสียใจ เลือกไม่แต่งคุณก็ยังเสียใจ แต่งหรือไม่แต่งคุณก็เสียใจหมด หัวเราะกับความโง่เง่าของโลกใบนี้ คุณก็จะเสียใจ จะร่ำไห้ คุณก็เสียใจอยู่ดี จะหัวเราะกับความโง่เง่าของโลกใบนี้ หรือจะร่ำไห้ ไม่ว่าทางไหนคุณก็เสียใจทั้งนั้น เชื่อใจหญิงสาว คุณจะเสียใจ ไม่เชื่อใจ คุณก็เสียใจเหมือนกัน แขวนคอตาย คุณจะเสียใจ ไม่แขวน คุณก็เสียใจทั้งนั้น จะแขวนหรือไม่แขวนก็เสียใจ นี่แหละ ท่านสุภาพบุรุษ คือแก่นหลักของปรัชญาทั้งมวล”

กระทั่งหากเลือกได้เรายังเสียใจ แล้วนับประสาอะไรกับสิ่งที่เลือกไม่ได้อย่างการถูกปรับออกเล่า เราเสียใจ (regret) ได้ แค่เราต้องรู้ตัวกับมัน อย่างน้อยรู้ว่ากระทั่งทุ่มเทเวลาให้งานมากกว่านี้อีกสิบเท่า ทำงานจนไม่มีเวลาหลับนอน ผลลัพธ์ของเรื่องนี้ก็ยังคงเดิม ต่อให้ถวายชีวิต เรื่องนี้ก็จบอย่างเดิม เมื่อรู้อย่างนั้น ผมก็เกิดความสงบในใจขึ้นมา และมองมันอย่างที่เป็น

การถูกปรับออกโดยไม่ทันตั้งตัวสมบูรณ์ครั้งนี้ทำให้ผมคิดถึงการงานที่ผ่านมา กับทุกงาน เราเหมือนมีป้ายแขวนคอว่าเราเป็นพนักงาน (หรือเป็นเจ้าของ) บริษัทแห่งนั้นแห่งนี้ และในอดีต เป็นผมเองที่เป็นคนเลือกช่วงเวลาในการถอดป้ายนั้นออกและพับเก็บไว้ เพื่อไปหาป้ายใหม่ๆ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ป้ายโดนกระชากออกโดยยังไม่ยินยอมพร้อมใจ

แต่เมื่อไม่มีป้ายหนักๆ มาแขวนคอไว้ ความเป็นไปได้ก็เปิดกว้าง–โชคดีอยู่บ้าง ที่ตัวผมไม่มีความเร่งรีบจะต้องหางานใหม่ให้ได้ทันที โชคดีอยู่บ้าง ที่ไร้หนี้สิน โชคดีอยู่บ้าง ที่มีเวลาให้ค่อยครุ่นคิด มีเวลาให้สำรวจตัวเองอีกครั้ง 

ผมอายุ 39 ปี ทำงานมาแล้ว 20 ปี ถ้ามองว่าหนึ่งปีก่อน 40 นี้เป็นเหมือนสัญญาณให้หยุดพักทบทวน มองตัวเองอย่างที่เป็น ลองสำรวจคุณค่าของตัวเองดูใหม่ สิ่งที่เราเคยคิดว่าชอบ อาจชอบมากขึ้นหรือไม่ชอบแล้ว สิ่งที่เราเคยปฏิเสธ อาจพร้อมที่จะกลับมามองด้วยสายตาที่ไร้อคติแล้ว สิ่งใดที่ควรเก็บไว้ สิ่งใดควรปล่อยไป นี่คือหนึ่งปีก่อน 40 ที่อาจทำให้ยืนในชีวิตครึ่งหลังได้อย่างมั่นคงขึ้น

ผมคิดกับตัวเอง นี่เป็นช่วงเวลาที่ต้องเรียนรู้เรื่องใหม่ ศิลปะแห่งการ let go

ไม่ใช่ let go ที่แปลว่าปรับออก แต่ใช่ เป็น Let go คำนี้เอง ที่แปลว่าปล่อยวาง

Resources

บริหารคนด้วยความไว้วางใจแบบ Novartis องค์กรที่เน้นการทำงานแบบไฮบริดจนเกิดผลลัพธ์แบบใจแลกใจ

งานเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเพราะใน 24 ชั่วโมงตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนตกนั้น เราใช้เวลาทำงานไป 8 ชั่วโมง หรือกว่า 1 ใน 3 ของวัน นั่นหมายความว่างานที่ดี มีความหมายต่อชีวิต มีระบบการทำงานที่เป็นมิตร และมีเพื่อนรวมถึงหัวหน้างานที่เข้าอกเข้าใจกันถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญของการใช้ชีวิตที่ดีไม่น้อย 

องค์ประกอบนี้เหมือนเป็นที่ทำงานในอุดมคติ ที่คนทำงานก็อยากจะทำงานให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป ส่วนบริษัทก็ได้รักษาพนักงานเก่งๆ และเห็นคุณค่าของงานเอาไว้ในเวลาเดียวกัน แต่ในชีวิตจริง การหาองค์กรแบบนั้นอาจไม่ง่ายเหมือนที่คิด กระทั่งเราได้ย่างเท้าเข้ามาที่บริษัทยาและเวชภัณฑ์ชั้นนำ ระดับโลกอย่าง โนวาร์ตีส (ประเทศไทย) เราก็พบว่าบริษัทที่ให้ความสำคัญกับคนทำงานนั้นมีอยู่จริง

เพราะโนวาร์ตีสเพิ่งคว้ารางวัล HR Asia Best Companies to Work for ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 ในฐานะหนึ่งในบริษัทที่น่าทำงานด้วยมากที่สุดในเอเชีย ประจำปี 2566 ทั้งยังได้รับรางวัลพิเศษในหมวด HR Asia Most Caring Company Awards สำหรับองค์กรที่ดูแลใส่ใจพนักงานอย่างดีเยี่ยม 

ความน่าสนใจคือรางวัลพิเศษที่ว่านี้ผ่านการประเมินโดยพนักงานในบริษัทจริงๆ ยิ่งตอกย้ำว่า องค์กรที่มอบความเชื่อใจและไว้วางใจให้พนักงานมากเท่าไหร่ พนักงานก็พร้อมมอบความเชื่อใจและไว้วางใจกลับคืน ถือเป็นวัฒนธรรมการทำงานที่หลายคนใฝ่ฝัน สิ่งนี้เองที่ทำให้เราอยากค้นหากุญแจสำคัญของการสร้างองค์กรที่เป็นมิตรกับพนักงาน จนพนักงานเต็มใจ ภูมิใจ และกล้าพูดได้อย่างเต็มปากว่าทำงานที่องค์กรนี้

เพราะการบริหารคนนั้นท้าทายไม่แพ้การบริหารงาน และการสร้างองค์กรที่เต็มไปด้วยคนเก่งๆ นั้นไม่ง่าย ประธานบริหารอย่าง เภสัชกรหญิงสุมาลี คริสธานินทร์, Country Communications & Engagement Head ดร.ริต้า ยูเนยา และ Senior People & Organization Manager ลลิดา เตชภานุวัฒน์ หรือที่บริษัทอื่นๆ เรียกกันว่า HR จะมาไข 10 กุญแจสำคัญของโนวาร์ตีส ในฐานะองค์กร ที่พนักงานภาคภูมิใจ

กุญแจสำคัญทั้ง 10 ดอกจะมีอะไรกันบ้าง ทั้งสามท่านพร้อมพาเราไปไขคำตอบ

1. เพิ่มอิสรภาพในชีวิต ปล่อยพลังความคิดสร้างสรรค์ ด้วยระบบการทำงานแบบไฮบริดที่เข้าออฟฟิศแค่ 12 วันต่อเดือน  

ครั้งแรกที่ก้าวเข้าไปยัง บริษัท โนวาร์ตีส (ประเทศไทย) จำกัด บรรยากาศที่เราสัมผัสได้แตกต่างไปจากบริษัทอื่นๆ ผู้คนบางตา เสียงพูดคุยแทรกมาบ้างประปราย ชวนให้คิดไปว่าวันนี้เป็นวันหยุดหรือไม่

แต่ที่จริงแล้ว วันนัดพบวันนั้นเป็นวันทำงานธรรมดาๆ วันหนึ่ง เพียงแต่ระบบการทำงานของที่นี่คือ
การเปิดกว้าง และให้ความยืดหยุ่นกับพนักงานได้มีทางเลือกทำงานที่ไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศตลอดเวลา เพราะที่นี่เชื่อมั่น และเชื่อใจทีมงานว่าทุกคน ทุกตำแหน่งล้วนมีเป้าหมายเดียวกัน 

“ระบบการทำงานแต่เดิมโดยเฉพาะกับบริษัทยาและเวชภัณฑ์ส่วนใหญ่มักต้องทำงานร่วมกันในออฟฟิศ แต่ตั้งแต่โควิด-19 มันทำให้เราเห็นว่าที่จริงแล้วเราสามารถทำงานที่ไหนก็ได้ ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2563 เราจึงมีนโยบาย Choice with Responsibility (CwR) ที่พนักงานสามารถปรับเปลี่ยนเวลาและสถานที่ทำงานได้ตามความเหมาะสม เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัวได้มากขึ้น” คุณสุมาลีอธิบาย 

เมื่อสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย โนวาร์ตีสจึงปรับระบบการทำงานเป็นแบบไฮบริด (hybrid) โดยที่พนักงานกลุ่มภาคสนาม เช่น พนักงานที่เป็นผู้แทนยาฯ ยังคงใช้เวลาส่วนใหญ่ติดต่อกับบุคลากรทางการแพทย์และเข้าพบปะประชุมร่วมกันกับทีมอย่างน้อยหนึ่งครั้งต่อเดือน ส่วนพนักงานประจำสำนักงานเข้าทำงาน ที่สำนักงานเฉลี่ย 12 วันต่อเดือนหรือ 3 วันต่อสัปดาห์

คุณสุมาลียกตัวอย่างผู้ร่วมงานคนหนึ่งให้ฟังว่า ทั้งที่เป็นพนักงานใหม่แต่ด้วยเป็นพนักงานหญิงที่มีลูก และมีบ้านอยู่ต่างจังหวัด โนวาร์ตีสก็เปิดโอกาสให้พนักงานทำงานอยู่ที่บ้านและดูแลลูกไปพร้อมกันได้ ซึ่งอาจต่างกับบริษัทอื่นๆ ที่ยิ่งเป็นพนักงานใหม่ก็ยิ่งถูกจับตามองเรื่องการเข้างานเป็นพิเศษ หรือพนักงานบางคนตัดสินใจลาออกเพื่อกลับไปดูแลพ่อที่ป่วยไข้ โนวาร์ตีสก็เปิดโอกาสให้พนักงานได้ทำงานอยู่ที่บ้าน พร้อมกับดูแลพ่อไปด้วย

“เพราะเราเห็นว่า คุณภาพการทำงานไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณของพนักงานที่เข้ามาทำงานที่บริษัท เราจึงสร้างบรรยากาศในการทำงานที่คล่องตัวมากขึ้น มีระบบการอัพเดตความคืบหน้าและติดตามรายละเอียดของงานจาก dashboard เพื่อให้ทุกคนในทีมมีกระบวนการทำงานที่รวดเร็ว ทั้งยังเข้าถึงข้อมูลได้จากทุกที่ทุกเวลา 

“นับว่าเป็นการทำงานแบบ New Chapter of Flexible Working ทำให้บริษัทสามารถขับเคลื่อน
ทำงานต่อไปได้ และมั่นใจได้ว่าระยะทางไม่ใช่อุปสรรคในการทำงานร่วมกันเป็นทีมเพื่อพัฒนายาที่ดีและเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย” 

คุณสุมาลีอธิบายรูปแบบการทำงานที่ทุกฟันเฟืองสำคัญของบริษัทยังคงเดินหน้าทำงานอย่างตั้งใจ
โดยไม่จำเป็นต้องอยู่กันพร้อมหน้าในสถานที่เดียวกัน ก็สามารถบรรลุเป้าหมายสำคัญของบริษัทได้

2. ผลลัพธ์จากการเชื่อใจมาพร้อมกับผลงานที่เกินคาด

หากเรียกว่าระบบการทำงานแบบไฮบริดเป็นระบบการทำงานที่อาศัยความเชื่อใจสูงสุดก็คงไม่ผิดอะไร เพราะบริษัทไม่มีทางรู้เลยว่าความอิสระที่มอบให้นั้นจะคุ้มค่ากับผลงานมากน้อยเพียงใด แต่ก็เพราะความเชื่อใจ ความไว้วางใจที่โนวาร์ตีสมอบให้พนักงานนี้เองที่ทำให้พนักงานก็พร้อมมอบความเชื่อใจให้บริษัทกลับคืน 

เกิดเป็นสายสัมพันธ์แห่ง trust หรือความเชื่อใจที่แน่นแฟ้น และเพราะใจแลกใจใช้ได้จริงที่โนวาร์ตีส นอกจากผลงานที่ออกมาจะดีตามมาตรฐาน กลายเป็นว่าในบางราย ในบางกลุ่ม ผลงานยังดีเกินคาดด้วยซ้ำ

“ช่วงแรกๆ เราไม่แน่ใจว่าการบริหารรูปแบบนี้ผลลัพธ์จะออกมาเป็นยังไง แต่เราก็ได้เรียนรู้ไป
พร้อมกับพนักงานทุกคนว่าเราต้องเริ่มจาก trust หรือเชื่อใจก่อน ถ้าเราไม่ตอกบัตร ไม่ไป micro manage แล้วผลงานจะออกมาเป็นยังไง 

“กลายเป็นว่าพอเราเปิดโอกาสให้เขาได้แสดงผลงาน คิดนอกกรอบ ไม่เข้าไปควบคุมทุกอย่างทุกขั้นตอน เขาก็จะมีทัศนคติที่ดีต่อการทำงาน และมีแรงจูงใจที่จะทำงานให้ดีขึ้น เมื่อแนวทางการทำงานมีความยืดหยุ่นมากขึ้น พนักงานก็รู้สึกมีความสุขในการทำงาน ทุกคนพร้อมทำงานเป็นทีม แม้ไม่ได้พบหน้ากันเหมือนเมื่อก่อน แต่ทุกคนสามารถปรับตัวเพื่อการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพได้ ถ้าจะประเมินในเชิง productivity ก็ถือว่าเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

“พูดแบบนี้มันดูอุดมคติมาก เราก็ยอมรับว่ามีบางคนที่การทำงานแบบนี้มันไม่เวิร์กแต่ถือเป็นส่วนน้อยมาก ดังนั้นคนที่เขารู้สึกไม่ fit กับที่นี่ สุดท้ายแล้วมันเหมือนเป็น natural selection ของโนวาร์ตีสเองที่จะรวมแต่คนที่มีความคิดเดียวกันเข้ามาอยู่ด้วยกัน” คุณสุมาลีอธิบาย ก่อนที่คุณริต้าจะเสริมว่า

“เมื่อกี้ได้ยินเสียงคนคุยกันดังๆ ไหม นี่คือเสียงของพวกเราเวลาที่ไม่ได้เจอกันในออฟฟิศทุกวัน พอมาเจอกันอีกครั้งหนึ่งก็จะคิดถึงกัน มีความคิดใหม่ๆ มาแชร์เล่าสู่กันฟัง”

3. ไม่มีระบบอาวุโส มีแต่เพื่อนร่วมงานที่พร้อมท้าทายทุกโจทย์ไปด้วยกัน

สารภาพตามตรงว่าแรกได้ยินชื่อบริษัท เราเผลอคิดไปว่า โนวาร์ตีสอาจเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด
และการทำงานในระบบอาวุโส อย่างที่เคยได้ยินว่าองค์กรใหญ่ๆ จะเป็นแต่ผิดคาด!! 

เสียงแรกๆ ที่ได้ยินจากคุณสุมาลีกลับเป็นเสียงหัวเราะเคล้าไปกับคำแก้เขินว่า ปกติแต่งตัวสบายๆ กว่านี้ ทั้งระหว่างการสนทนา คุณสุมาลียังเปิดโอกาสให้คุณริต้าและคุณลลิดาได้แชร์ความเห็นของตัวเอง
อย่างเต็มที่ ทั้งที่ทั้งสองคนเป็น ‘รุ่นน้อง’ และเป็น ‘เพื่อนร่วมงาน’

“หลักสำคัญคือ เราต้องเคารพเพื่อนร่วมงานในทุกบทบาท โดยไม่ได้มองว่าเขาอายุเท่าไร ไม่ว่า

คุณจะเป็นใคร คุณจะได้รับความเท่าเทียมในการทำงาน โดยเฉพาะในห้องประชุม เราให้ความสำคัญกับการมองต่างมุม เพราะเราต้องการ best solution ถ้าทุกคนเห็นด้วยกันไปหมดมันก็ไม่สนุก เราว่าความหลากหลายของความคิดเห็นจากคนต่างวัย ต่างที่มามันจะช่วยให้เราคิดนอกกรอบได้ เพราะเราเชื่อว่าถ้าฟังแต่คนเดิมๆ บริหารแบบเดิมๆ มันก็จะได้ผลลัพธ์แบบเดิมๆ” คุณสุมาลีเล่า

คุณริต้ายังกล่าวเสริมว่าทุกคนมีศักยภาพความสามารถความเก่งเฉพาะตัวของแต่ละคน และด้วยสภาพแวดล้อมของโนวาร์ตีสที่ให้พื้นที่ปลอดภัยในการแสดงความเห็น พวกเขาจึงสามารถแสดงออกได้อย่างเต็มที่ และทำให้เกิดผลงานที่ดีเยี่ยมยิ่งขึ้น

4. ระบบรับฟังฟีดแบ็กพนักงานที่ extrovert หรือ introvert ก็รู้สึกปลอดภัย

นอกจากในห้องประชุมที่เปิดรับฟังทุกความเห็นแล้ว ระบบการทำงานของที่นี่ยังพร้อมรับฟังทุกฟีดแบ็กจากพนักงานด้วย ความน่าสนใจคือช่องทางในการรับฟังเสียงพนักงานยังออกแบบให้หลากหลาย ตอบโจทย์ทั้งคนช่างพูด คนชอบพิมพ์ และคนที่ไม่อยากเปิดเผยตัวตน

“เรามีทั้งช่องทางที่เป็นทางการและไม่ทางการ ช่องทางทางการคือการทำ survey ทุกควอเตอร์ว่าพนักงานรู้สึกยังไงเรื่องของโอกาสในการเติบโต การทำงานร่วมกัน หรือเป้าหมายและทัศนคติในการทำงาน และทุกครั้งที่มีการจัดกิจกรรม เราจะมีคิวอาร์โค้ด Speak Your Mind ให้เขาได้ฟีดแบ็ก  

“อีกสิ่งหนึ่งที่เราชอบทำคือการชวนน้องๆ ไปกินข้าว เพื่อให้น้องๆ ในทีมกล้าพูดความในใจ จากนั้นเราก็เอาฟีดแบ็กเหล่านี้มาคุยกันว่าเราจะปรับยังไง พอเขาเห็นว่าสิ่งที่ฟีดแบ็กมามันเกิดการเปลี่ยนแปลง และเราไม่ได้ทำเพื่อเบลมใคร มันจะทำให้ทุกคนกล้าแสดงความคิดเห็นมากขึ้น ยิ่งกับ young generation จริงๆ เขากล้าพูดนะ แต่เขารอโอกาส เพราะฉะนั้นถ้าเราเข้าหาเขาเอง และขอให้เขาฟีดแบ็กกับเรา มันจะเกิดการสื่อสารที่ดี” คุณสุมาลีอธิบาย

สิ่งเหล่านี้ทำให้คนทำงานรู้สึกว่า ไม่ว่างานจะยากแค่ไหน ท้าทายหลุดโลกเพียงใด ถ้าทีมงานทุกคนรู้ว่าพวกเขายังมีทีมบริหารพร้อมหนุนหลังและให้คำปรึกษา พวกเขาก็จะกล้าเสี่ยงไปด้วยกันเพื่อหา best solution ให้ผู้ป่วย 

“มันคือคอนเซปต์ high support, high challenge ทุกคนจะได้รับการสนับสนุน เพื่อให้ทีมสามารถแสดงศักยภาพออกมาได้อย่างเต็มที่ และความท้าทายที่สูง จะนำทีมออกมาจากพื้นที่ที่เคยชิน ให้ทีมได้ลองทำสิ่งใหม่ๆ นำไปสู่การเรียนรู้และปรับปรุงพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งมันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราสร้าง trust ซึ่งกันและกัน” คุณริต้ากล่าว

5. บริษัทที่ผู้ชายก็ลาเลี้ยงดูลูกได้ แถมยังได้รับเงินเดือนและสิทธิพนักงานเต็มจำนวน

ปัจจุบัน ทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญต่อการสร้างความตระหนักรู้เรื่องความหลากหลาย ไม่ว่าจะเรื่องความหลากหลายทางเพศ เชื้อชาติ ศาสนา สีผิว ฯลฯ 

กับโนวาร์ตีสก็เช่นกัน หนึ่งในกุญแจสำคัญที่ทำให้พนักงานมีความสุขและสามารถระดมไอเดียได้อย่างสร้างสรรค์ คือการให้ความสำคัญกับเรื่องความหลากหลายเป็นอันดับหนึ่งและการสร้างความเชื่อมั่นว่าทุกคนจะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม 

“โนวาร์ตีสในประเทศอื่นๆ มักจะมีผู้ชายมากกว่าผู้หญิงในที่ทำงาน แต่ในประเทศไทยเราตรงข้าม เรามีผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย” คุณสุมาลีเล่า แต่ไม่ใช่ว่าที่นี่จะลดความสำคัญของเพศใดเพศหนึ่ง หรือให้ความสำคัญกับบางเพศเกินไป เพราะไม่ว่าจะเพศไหน ศักดิ์และสิทธิของความเป็นมนุษย์ย่อมเท่าเทียมกัน 

สิ่งหนึ่งที่ทีมงานโนวาร์ตีสทุกคนภาคภูมิใจคือสิทธิพนักงานที่เปิดโอกาสให้คนทุกเพศจริงๆ เช่น สิทธิการลาเพื่อเลี้ยงดูบุตรสำหรับพนักงานหญิงและชายได้นานถึง 98 วัน ความน่ารักคือพ่อแม่มือใหม่ยังได้รับค่าจ้างและสวัสดิการต่างๆ เต็มจำนวนเพื่อให้พนักงานมีโอกาสทำหน้าที่ดูแลสมาชิกใหม่ของครอบครัว
สิทธิที่ว่านี้ยังครอบคลุมไปถึงการรับเลี้ยงลูกบุญธรรมหรือการตั้งครรภ์แทนด้วย 

“อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นหัวใจในการทำงานที่โนวาร์ตีส คือความโปร่งใส โดยเฉพาะเรื่อง gender-pay gap เพราะเราเชื่อว่า equal work, equal pay พนักงานของเราจึงสามารถขอเอกสาร compensation statement ซึ่งแสดงให้เห็นเป็นเปอร์เซ็นต์เลยว่าเงินที่เขาได้อยู่ rank ไหนทั้งในและนอกบริษัท 

  “เรายังหาค่าเฉลี่ยรายได้ของพนักงานชายและหญิง เพื่อดูในเชิงสถิติว่ามีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญมาก-น้อยแค่ไหน ถ้าแตกต่าง เพราะอะไร มันมีความเอนเอียงทางเพศเกิดขึ้นหรือเปล่า หรือเพราะตำแหน่งสูงซึ่งมีเพียงตำแหน่งเดียว แล้วเขาเผอิญเป็นเพศชาย ถ้าเป็นแบบนี้ก็อาจจะปัดตกไป” Senior People & Organization Manager อย่างคุณลลิดาอธิบายให้เห็นความเท่าเทียมในที่ทำงาน

อีกเรื่องที่เราแทบไม่เคยได้ยินที่ไหนคือตามปกติแล้ว ชายไทยส่วนใหญ่จะต้องลาบวช แต่เพราะโนวาร์ตีสจริงจังกับการสร้างความหลากหลายและใส่ใจกับความสุขในชีวิตของพนักงาน ที่นี่จึงเปิดให้คนทุกศาสนา ทุกความเชื่อที่อยากเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาสามารถลาได้ 15 วัน โดยที่ยังคงได้รับเงินเดือนและสิทธิพนักงานอย่างเต็มที่ 

ถ้าจะพูดให้เห็นภาพ โนวาร์ตีสไม่ได้แค่ยึดเอาความหลากหลายเป็นส่วนประกอบในการทำงาน แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆ เป็นองค์ประกอบด้วย ซึ่งรวมถึงความสุขและคุณภาพชีวิตของทีมงานทุกคน 

6. ปรับสิทธิพนักงานจาก ‘คู่สมรส’ เป็น ‘คู่ชีวิต’ ก่อนรัฐบาลเสียอีก

นอกจากเรื่องราวที่เล่าไปแล้ว ยังมีสิ่งที่โนวาร์ตีสล้ำหน้ากฎหมายไทย คือการปรับสิทธิสำหรับ ‘คู่สมรส’ ของพนักงานให้เป็นสิทธิสำหรับ ‘คู่ชีวิต’ เพื่อความเท่าเทียมทางเพศ นอกจากนั้น ยังเป็นสิทธิที่ใช้ได้ทั้งกับคู่ที่จดทะเบียนสมรสหรือไม่ก็ได้ ทั้งสิทธิ์ในการฉีดวัคซีน สิทธิ์ในการซื้อประกันกลุ่ม

“เรายังไม่เห็นแนวโน้มที่ชัดเจนว่ากฎหมายจะออกมาเมื่อไร เราเลยจัดการสิ่งที่เราทำได้” คุณลลิดาเล่าความตั้งใจ และนอกจากการเปิดรับให้กับความหลากหลายทางเพศผ่านการสร้างสิทธิพนักงานอย่างเท่าเทียมแล้ว ที่นี่ยังขยันจัดกิจกรรมเพื่อสนับสนุนความหลากหลายทางเพศด้วย 

ความน่าสนใจคือกิจกรรมเหล่านี้จัดขึ้นโดยกลุ่มทีมงาน Diversity and Inclusion ที่พนักงานมาจากหลายแผนก ช่วยกันจัดงานกิจกรรมต่างๆ ที่ส่งเสริมความหลากหลาย ทั้งการเดินพาเหรด การประกวดการแต่งกาย และการเชิญวิทยากรมาแชร์ประสบการณ์ในเทศกาล Pride Month เป็นต้น

“เมื่อก่อนมีพนักงาน LGBTQ+ บางคนใส่กระโปรงมาทำงานด้วย เรารู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่ดีมาก และสะท้อนว่าโนวาร์ตีสเปิดกว้างจริงๆ ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่เราคุยกับทางฝ่าย  People & Organization  ตลอดว่า เราอยากมีนโยบายที่ช่วยให้บุคลากรมีคุณภาพชีวิตที่ดี และสามารถออกไปทำงานเพื่อสร้าง ผลกระทบที่ดีกับคนไข้ได้” คุณสุมาลีเสริม

7. บริการปรึกษาสุขภาพจิตฟรีทั้งพนักงานและครอบครัว เพราะสุขภาพกายและใจที่ดีเป็นพื้นฐานของงานที่ดี

นอกจากการให้ความสำคัญเรื่องการรับฟังทุกความเห็นและความหลากหลายแล้ว โนวาร์ตีสยังมีโปรแกรมส่งเสริมสุขภาพกายและใจแบบจัดเต็ม

ทั้งสิทธิที่ให้พนักงานโทรคุยกับนักจิตวิทยาได้ 24 ชั่วโมง โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ทุกข้อความและเรื่องราวที่อยากเล่ายังมั่นใจได้ว่าจะถูกเก็บเป็นความลับและเรื่องส่วนตัว ทั้งคนในครอบครัวอย่างคู่ชีวิตหรือลูกยังใช้บริการที่ว่านี้ได้อีกด้วย เพราะโนวาร์ตีสเชื่อเหลือเกินว่างานที่ดีย่อมถูกสร้างสรรค์ขึ้นได้ด้วยทีมงานที่แฮปปี้ทั้งกายและใจ

“แต่ละวัน เราต้องเจอกับหลายเหตุการณ์ที่ทั้งดี เครียด กลัว ลุ้น ถ้าเราเจอทุกวันและไม่สามาถปล่อยความรู้สึกเหล่านั้นได้ เราจะมีภาวะที่ไม่คงที่ ส่งผลต่อทั้งสุขภาพกายและใจ เราจึงเห็นความสำคัญของ self-care มาก เพื่อให้พนักงานมีความสุขในการทำงาน พร้อมที่จะลุกขึ้นทำอะไรใหม่ๆ ที่ดีต่อตัวเขาเอง บริษัท หรือสังคม และแน่นอนว่าเมื่อเขามี well-being ที่ดี เรายังสามารถรักษาพนักงานของเราไว้ได้อีกด้วย” คุณสุมาลีอธิบายถึงเหตุผลที่ให้ความสำคัญต่อสุขภาพจิตของคนทำงาน

นอกจากสุขภาพใจแล้ว ที่นี่ยังสนับสนุนให้พนักงานใส่ใจสุขภาพกาย ทั้งเรื่องการนอน การกิน และการออกกำลังกาย ถึงขนาดที่ว่ามีกิจกรรมแข่งขันออกกำลังกายระหว่างประเทศ กิจกรรมนี้ทำให้
คนที่ไม่เคยและไม่ค่อยออกกำลังกาย เอาจริงเอาจังกับการขยับร่างกายมากขึ้นจนการออกกำลังกาย
คือส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน

“เมื่อเรามีกายและใจที่แข็งแรง เราจะมี productivity มากขึ้น เมื่อเรามี productivity มากขึ้น มันก็จะทำให้เรารู้สึกภูมิใจในสิ่งที่เราทำกับทั้งตัวเอง กับครอบครัว กับสังคม กับผู้ป่วย

“กิจกรรม Unblocked Challenge ไม่เพียงแต่สร้างความแข็งแรงทางร่างกายเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมความแข็งแกร่งของการทำงานร่วมกันเป็นทีม เพราะการได้พบปะพูดคุยปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานหลายคน ที่เราไม่เคยมีโอกาสได้รู้จักพูดคุยกัน ทำให้ช่องว่างระหว่างกันแคบลง และสนิทสนมกันมากยิ่งขึ้น” คุณริต้าผู้ดูแลกิจกรรมการแข่งขันของประเทศไทยเล่าพร้อมรอยยิ้ม

8. บรรยากาศในการทำงานที่มี sense of purpose ร่วมกัน

ในปี 2561 โนวาร์ตีส ได้จัดทำแบบสำรวจกับพนักงานโนวาร์ตีสทั่วโลกเพื่อให้พนักงานเสนอไอเดียการเสริมสร้างวัฒนธรรมการทำงาน ผลการสำรวจพบว่าพนักงานเสนอให้ยกเลิกระบบการให้คะแนนประเมินผลการปฏิบัติงาน ต่อมาในปี 2562 บริษัทโนวาร์ตีสได้ทำการทดลองแนวคิดนี้กับพนักงาน 16,000 คน ใน 8 ประเทศ และ 7 หน่วยธุรกิจ ผลลัพธ์ที่ได้นำมาสู่นโยบายการบริหารผลการปฏิบัติงานที่สร้างแรงบันดาลใจ (Reimagined Performance Management)

หมายความว่าบริษัทฯ จะไม่มีการวัดผลในรูปแบบคะแนนหรือเกรดอีกต่อไป แต่เน้นการมีส่วนร่วมของพนักงานในการสร้างเป้าหมายการทำงานของตนเองและทีม การสร้างวัฒนธรรมในการให้ข้อมูลป้อนกลับ (Feedback) การโค้ช (Coaching) การยอมรับ (Recognition) และการให้รางวัล (Reward) เพื่อดึงประสิทธิภาพ และพัฒนาศักยภาพของพนักงานให้สูงยิ่งขึ้นโดยไม่ต้องรอการประเมินปลายปี ด้วยนโยบายที่ว่านี้เองทำให้โนวาร์ตีสนิยามความหมายของพนักงานว่าเป็นพาร์ตเนอร์ร่วมทางมากกว่าคนผลิตผลงาน ซึ่งมีผลต่อการมองหาคนร่วมทางในองค์กรนี้ไม่น้อย  

“เราอยากได้คนที่มี sense of purpose” คุณสุมาลีตอบทันที เมื่อเราถามถึงคุณสมบัติพนักงานที่มองหา ก่อนอธิบายคำว่า ‘sense of purpose’ ต่อไปว่า

“เรื่องของผลงานหรือความเก่ง สัมภาษณ์ 5 นาทีก็จบแล้ว แต่สิ่งที่เราอยากฟังและเห็นจากตัวเขา คือเขาพร้อมทำงานเป็นทีมหรือเปล่า เขาเปิดกว้างเรื่องความหลากหลายแค่ไหน และที่สำคัญคือเขาเล็งเห็นหรือเปล่าว่าเรามีเป้าหมายเพื่อผู้ป่วยเหมือนกัน เพราะเขาเองก็ไม่อยากจะเสียเวลามาอยู่กับองค์กรที่ไม่ใช่ เราเองก็อยากให้ทุกคนมาแล้วมีความสุขในการทำงาน มีทีมเวิร์กที่ดี 

“เวลาเราไปทำงานที่ไหน เราคงต้องถามว่าคนที่นี่เป็นยังไง มี culture แบบไหน ซึ่งสิ่งที่เราได้ยินมามันคล้ายๆ เดิมคือโนวาร์ตีสเป็นที่ที่เน้นการมีส่วนร่วมที่ดี เขารู้สึกว่าเขามาทำงานที่นี่แล้วจะมีคนช่วยเสมอ มันทำให้เขารู้สึกมั่นใจว่าเขาจะไปรอด และเขาสามารถสร้างงานคุณภาพดีได้ 

“มีบางคนที่ลาออกไปแต่เลือกที่จะกลับมา เราถามว่าทำไมถึงกลับมา เขาบอกว่าการทำงานเป็นทีม ไม่แข่งกันสร้างผลงานทำให้เขามีความสุขมากกว่า เราฟังแล้วก็รู้สึกว่ามันยิ่งตอกย้ำว่าวัฒนธรรมการทำงานมันสำคัญต่อคนทำงานมากแค่ไหน  

“อีกสิ่งที่ได้ยินคือเรามี reputation ของการพัฒนาคน เรามักจะดันให้เขาได้ไปทำงานที่ต่างประเทศเพื่อให้เขาเก่งขึ้น ดันให้เขาพรีเซนต์โดยให้เขามั่นใจว่าจะมีเราอยู่ข้างๆ ตรงนี้ สุดท้ายเขาจะมีความมั่นใจและสร้างผลงานของตัวเองได้ เขาจะรู้สึกเก่งขึ้น มีความสุข และเกิดความยั่งยืนกับองค์กร” 

คุณริต้ายยังอธิบายคำว่า sense of purpose ให้เห็นภาพเพิ่มเติมว่ามันคือ “การที่เรามี Shared Goal ทำให้เราพร้อมเดินไปด้วยกัน เพื่อจุดมุ่งหมายเดียวกัน ถึงแม้ว่าบางครั้งเราอาจมีความคิดเห็นไม่ตรงกันบ้าง แต่เราสร้างการประชุมให้เป็นพื้นที่สำหรับ Healthy Conflicts เพราะมันคือการสร้างไอเดียใหม่ๆ และทุกไอเดียเกิดจากความคิดของคนที่แตกต่างกันไป ทุกคนมีศักยภาพในตนเอง ทั้ง soft skill และ hard skill ซึ่งต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ไม่มีใครเก่งสมบูรณ์ในทุกๆ เรื่อง

“การที่เราจะเป็นเพชรเม็ดงามได้นั้น เราต้องผ่านการเจียระไนจากคนรอบข้าง เช่น ผู้บริหาร หัวหน้างาน และเพื่อนร่วมงาน เราอยากให้พนักงานทุกคนที่แตกต่างกันสามารถทำงานร่วมกันอย่างมีความสุข สร้างเอกลักษณ์ของทีมขึ้นมาใหม่ เหมือนรูปภาพที่สวยงามและมีเพียงหนึ่งเดียว ทำให้เกิดเป็น Magical Team นั่นเอง”  

9. องค์กรแรกในแวดวงยาและเวชภัณฑ์ที่ได้ HR Asia Best Companies to Work for 4 ปีซ้อน และได้รางวัล HR Asia Most Caring Company Awards จากการ survey พนักงาน

จาก 8 ข้อที่ว่ามานี้เราก็อยากจะมอบมงให้ในฐานะบริษัทที่ใส่ใจคนทำงาน จึงไม่แปลกใจเลย
ถ้าโนวาร์ตีสจะได้รับรางวัล HR Asia Best Companies To Work For หรือรางวัลหนึ่งในบริษัทที่น่าทำงานด้วยมากที่สุดในเอเชีย ติดต่อกันถึง 4 ปีซ้อน ทั้งยังได้รางวัลพิเศษในหมวด HR Asia Most Caring Company Awards หรือองค์กรที่ดูแลใส่ใจพนักงานอย่างดีเยี่ยม  

“วิธีการคัดเลือกมี 2 แบบ คือมีการตรวจสอบในเชิงนโยบาย และการทำ survey กับพนักงาน จากนั้นก็เอาคะแนนทั้ง 2 ส่วนมารวมกัน ซึ่งคะแนนของเราเกินค่าเฉลี่ยหมดเลย” คุณลลิดาผู้เชี่ยวชาญ
ด้านการดูแลพนักงานแจกแจงให้เห็นภาพอย่างภาคภูมิ

“เรารู้สึกภูมิใจและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับรางวัลอันทรงคุณค่านี้ถึง 4 ปีซ้อน เพราะสะท้อนให้เห็นถึงรากฐานอันแข็งแกร่งของเราที่สนับสนุนการยอมรับและการมองเห็นคุณค่าในความหลากหลาย ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญสู่ความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจ

“ส่วนรางวัล Most Caring Companies ที่ได้มาก็เพราะบริษัทโนวาร์ตีสดูแลพนักงานอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นในช่วงโควิด-19 หรือในเหตุการณ์ต่างๆ เราจะมีแอพพลิเคชั่นแจ้งเตือน และพร้อมช่วยเหลือพนักงานในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เรายังส่งเสริม soft skill ให้กับพนักงาน สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการใส่ใจกันและกัน” คุณสุมาลีเล่าด้วยรอยยิ้ม

“จากรางวัลที่ได้รับนี้ มีเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้เราทราบว่า พนักงานภูมิใจกับโนวาร์ตีสมากแค่ไหน คือ พนักงานเปลี่ยนภาพโปรไฟล์ของตนเองพร้อมใส่เฟรมรางวัลที่บริษัทได้รับในโซเชียลมีเดีย บางคนใส่นานหลายเดือน และบางคนก็ยังใช้เฟรมนั้นอยู่ ทำให้รับรู้ได้ว่าพนักงานภูมิใจและมีความสุขในการทำงานที่
โนวาร์ตีส” คุณริต้าเล่าให้เห็นภาพ

10. องค์กรที่ไม่เพียงตั้งใจพัฒนาบุคลากร แต่ยังใส่ใจกับการพัฒนาสังคม

อย่างที่เล่าว่าหลักสำคัญของพนักงานโนวาร์ตีสทุกคนคือการมี sense of purpose ในการช่วยเหลือผู้ป่วยอย่างเต็มความสามารถ นอกจากการสร้างคนให้ทำงานเพื่อผู้ป่วยได้อย่างเต็มประสิทธิภาพแล้ว โนวาร์ตีสยังมุ่งมั่นทำงานเพื่อสังคมเช่นกัน

อย่างครั้งที่โควิด-19 ระบาดใหม่ๆ และไทยเองก็ยังไม่มีวัคซีนให้กับคนไทยทุกคน สิ่งแรกที่โนวาร์ตีส (ประเทศไทย) ทำคือการติดต่อขอเงินจำนวน 7.75 ล้านบาท จากโนวาร์ตีสสำนักงานใหญ่เพื่อมอบให้กับมูลนิธิกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข

หลายครั้งบริษัทยังจัดกิจกรรมอาสาให้ผู้เชี่ยวชาญเข้าไปสอนนักโทษหญิงเรื่องการตรวจเช็กเต้านมขั้นพื้นฐาน เพื่อให้พนักงานได้ดึงตัวเองออกจากงานตรงหน้ามาอยู่กับผู้คน เพราะหลายครั้งหลายครา พนักงานอาจทำงาน กันจนลืมไปว่าเป้าหมายสำคัญของการทำงานตรงหน้าคืออะไร 

“สิ่งหนึ่งที่โนวาร์ตีสเน้นคือ  people and patient หมายความว่าการที่เราจะช่วยเหลือผู้ป่วยได้ คนของเราต้องมีความสุข คนของเราต้องมี productivity คนของเราต้องพร้อมที่จะมี journey ในการทำงานให้ผู้ป่วยได้ในสิ่งที่เขาต้องได้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพราะฉะนั้นมันเป็นจิ๊กซอว์ที่ต่อกัน” คุณริต้าอธิบาย

“บางครั้งเราจะเชิญวิทยากร (key speaker) หรือผู้ที่สร้างแรงบันดาลใจในแง่มุมต่างๆ (motivator) มาคุยให้พนักงานฟังถึงสิ่งที่เขาเจอและชีวิตที่เปลี่ยนไปจากการทำงานอย่างตั้งใจของทีมทุกคน 

“เพราะเราไม่อยากให้ทีมของเราตื่นมาทำงานด้วยความรู้สึกว่ามันก็เป็นอีกวันของการทำงานเท่านั้น แต่เราอยากให้เขารู้สึกว่าสิ่งที่เขาทำอยู่มีประโยชน์เพื่อเขาจะได้มีความสุขและมีแรงบันดาลใจที่จะทำมัน
ในทุกๆ วัน” คุณสุมาลีทิ้งท้าย

จากดราม่า D&G ในปี 2019 สู่บทเรียนแห่งความสำเร็จของ LOEWE กับคอลเลกชั่นตรุษจีนปี 2024 

ท่ามกลางกระแสการบริโภคสินค้าลักชูรี่ที่น้อยลงกว่าแต่ก่อน แน่นอนว่าทิศทางของแบรนด์ลักชูรี่ต่างๆ ก็คงจะต้องปรับตัวและมองเห็นถึงคุณค่าใหม่ของกลุ่มลูกค้ากันต่อไป แต่ถึงแม้ความสนใจและความต้องการในการซื้อจะลดน้อยลง หนึ่งในตลาดลักชูรี่ที่ใหญ่ที่สุดของโลกอย่างประเทศจีน ก็ยังคงมีการจับจ่ายและใช้สอยสินค้าในหมวดหมู่ลักชูรี่เพิ่มมากขึ้นสวนกับกระแสของ ‘The resilience of luxury’ อยู่เนืองๆ

อ้างอิงจากรายงานของบริษัทที่ปรึกษา (consulting firm) ชื่อดังสัญชาติอเมริกาอย่าง Bain & Company ที่ระบุไว้ว่าผลประกอบการของธุรกิจลักชูรี่ในปี 2023 ของประเทศจีนยังคงเพิ่มขึ้นกว่า 12% จากผลประกอบการของปี 2022 โดยเปอร์เซ็นต์ที่เพิ่มขึ้น ถือเป็นมูลค่ากว่า 400 พันล้านหยวน หรือราวๆ 56.43 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อีกทั้งบริษัท LVMH ที่ดูแลธุรกิจแบรนด์หรูที่ใหญ่ที่สุดโลก หรือบริษัทแม่ของแบรนด์ลักชูรี่อย่าง Celine, Christian Dior, Louis Vuitton, Bulgari และอีกกว่า 70 แบรนด์ ก็ยังระบุด้วยว่าพฤติกรรมการซื้อสินค้าแบรนด์เนมของคนจีนในปีเดียวกันนั้นมีการเปลี่ยนแปลงจากการท่องเที่ยวออกนอกประเทศไปซื้อสินค้า มาเป็นการซื้อสินค้าจำพวกลักชูรี่ภายในประเทศของตนเอง โดยเฉพาะสินค้าในหมวดหมู่แฟชั่นและสินค้าทำจากหนัง (leather goods) ที่มีแนวโน้มกระตุ้นยอดขายพุ่งขึ้นถึง 30% ในช่วงเดือนธันวาคมที่ผ่านมาอีกด้วย นับเป็นช่วงเวลาแห่งการฟื้นฟูหลังโควิด-19 ของทั้งประชากรชาวจีนและธุรกิจลักชูรี่ที่น่าจับตามองต่อไปเลยทีเดียว 

แม้ว่าผลประกอบการของธุรกิจลักชูรี่ในประเทศจีนจะยังไม่ได้กลับไปสูงเทียบเท่าปี 2021 และปีก่อนหน้า แต่ก็สามารถแสดงให้เห็นถึงหนึ่งในเหตุผลว่าทำไมการออกแคปซูลคอลเลกชั่น (Capsule Collection) ตรุษจีนของหลากแบรนด์ luxury จึงจำเป็นที่จะต้องสืบต่อเนื่องไปในทุกๆ ปี แล้วต้องอย่าลืมว่าไม่ใช่แค่ประชากรจีนเท่านั้นที่ให้ความสำคัญกับเทศกาลปีใหม่จีน หรือ Lunar New Year นี้ แต่ผู้คนเชื้อสายจีนทั่วโลกเอง ก็ต่างรออุดหนุนสินค้าลักชูรี่ประจำเทศกาลนี้อยู่ด้วยเช่นกัน

เมื่อเทศกาลตรุษจีนวนมาอีกปี ความคิดที่อยากจะออกแคปซูลคอลเลกชั่นของเหล่าแบรนด์ลักชูรี่จึงเกิดขึ้นอีกครั้ง พร้อมๆ ไปกับทาร์เก็ตของลูกค้าในคอลเลกชั่นที่ก็ดูจะแคบลงและโฟกัสเฉพาะกลุ่มมากขึ้นกว่าคอลเลกชั่นทั่วไป ถือว่าเป็นอีกหนึ่งโจทย์ที่ท้าทายของธุรกิจลักชูรี่ ที่นอกจากสินค้าที่จะต้องชูเอกลักษณ์ของตัวแบรนด์เองแล้ว ยังต้องโดดเด่นกว่าแบรนด์ลักชูรี่อื่นๆ ในท้องตลาด มิหนำซ้ำตัวแบรนด์เองก็จะต้องมีความตระหนักรู้ในเรื่องวัฒนธรรมและประเพณี ตลอดจนสิ่งต้องห้ามในเทศกาลนั้นๆ ก็จำจะต้องศึกษาอย่างถี่ถ้วนเพื่อให้พร้อมสำหรับการผลิตสินค้าและการปล่อยภาพโปรโมตคอลเลกชั่นออกมาได้อย่างราบรื่น

แต่ใครจะไปคิดล่ะว่าแคปซูลคอลเลกชั่นตรุษจีนสุดเพอร์เฟกต์ของเหล่าแบรนด์ลักชูรี่ที่ว่า ในบางครั้งบางคราก็อาจจะไม่ได้เพอร์เฟกต์สำหรับลูกค้ากลุ่มใหญ่กลุ่มนี้ จนอาจเกิดเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์-ติติงเล็กน้อยของชาวเน็ตอย่างในกรณีศึกษาของ ‘Burberry’ ลักชูรี่แฟชั่นเฮาส์สัญชาติอังกฤษ หรือแบรนด์น้องใหม่ที่เพิ่งก้าวเข้ามาทำแคปซูลคอลเลกชั่นตรุษจีนในปี 2019 เป็นปีแรก กับคอนเซปต์ครอบครัวที่ได้นักแสดงสาวชาวจีนอย่าง Zhao Wei และ Zhou Dongyu มาร่วมถ่ายภาพโปรโมตของแคมเปญนี้ด้วย

เรื่องราวมันก็ดูเหมือนจะไปได้สวย เพราะคอนเซปต์ของครอบครัวที่ว่าคือการนำพาทุกๆ คนในทุกๆ เจเนอเรชั่นมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาในวันตรุษจีน ทว่าตัวมู้ดแอนด์โทนของภาพโปรโมตนั้น ดันดูหม่นๆ ไม่ว่าจะทั้งจากสีหน้าอันเรียบนิ่งของนายแบบและนางแบบ รวมไปถึงฉากหลังของภาพที่ถูกออกแบบมาในโทนสีเทา-ดำ ให้ความรู้สึกแสนเศร้า แม้จะตัดกับโทนสีแดง-น้ำตาลของคอลเลกชั่นเสื้อผ้าแล้วก็ตาม นี่จึงทำให้ชาวเน็ตจีนต่างก็ยกให้เป็นแคมเปญสุดครีปปี้ อย่างกับจะมีการฆาตกรรมในครอบครัว หรือถ้าจะบอกว่าเป็นการถ่ายทำหนังผีก็ยังดูเหมาะกว่าการถ่ายโปรโมตแคมเปญฉลองเทศกาลตรุษจีนที่ควรจะรื่นเริงและอบอุ่น โดยจากกรณีศึกษานี้ ก็ทำให้เราได้รู้ว่าสีสันและมู้ดแอนด์โทนนั้นมีความหมายมากเพียงใด

จากการวิพากษ์วิจารณ์เล็กๆ ก็สามารถนำไปสู่ดราม่าอันใหญ่หลวงและการบอยคอตตัวแบรนด์อย่างกรณีศึกษาของแบรนด์ ‘Dolce & Gabbana’ ในปี 2018 ที่สร้างปรากฏการณ์ #boycottdolcegabbana หรือกระแสเลิกใช้ Dolce & Gabbana ถาวรในหมู่ชาวจีน ซึ่งด้วยกระแสในด้านลบที่เกิดขึ้นอย่างท่วมท้น จึงส่งผลให้แฟชั่นโชว์ของ Dolce & Gabbana ในเซี่ยงไฮ้จำเป็นที่จะต้องถูกยกเลิกอย่างกะทันหัน หรือในระยะเวลาเพียงแค่ 2 ชั่วโมงก่อนเริ่มงาน ตลอดจนสโตร์ในประเทศจีนของ Dolce & Gabbana กว่า 11 สาขาในหัวเมืองใหญ่อย่างปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และเฉิงตูก็ได้ปิดตัวลงภายในระยะเวลา 3 ปีหลังจากการปล่อยวิดีโอโปรโมตแคปซูคอลเลกชั่นตรุษจีนในปี 2018 อีกด้วย

ซึ่งถ้าหากคอลเลกชั่นนึงมันสามารถสร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ได้ขนาดนั้น เราก็ต้องหวนกลับมานึกคิดแล้วว่า จะดีกว่าไหมถ้าเหล่าลักชูรี่แบรนด์เลือกที่จะเพลย์เซฟหรืออยู่เฉยๆ ไม่ออกแคปซูลคอลเลกชั่นนี้กันไปเลย?

เราเชื่อว่าไม่ใช่ทุกๆ คนจะจดจำรายละเอียดของเหตุการณ์ดราม่าอันใหญ่หลวงครั้งนั้นได้ และ Recap ในวันนี้ Capital จะพาทุกคนย้อนกลับไปยังแคปซูลคอลเลกชั่นของแบรนด์ Dolce & Gabbana (D&G) กับบทเรียนของลักชูรี่แบรนด์ที่ไม่ควรทำซ้ำ แต่ควรน้อมนำไปปรับปรุง สู่แคปซูลคอลเลกชั่นของ LOEWE ในปี 2024 ที่ได้รับการชื่นชมจากผู้คนชาวจีนอย่างล้นหลาม

ย้อนกลับไปในปี 2018 D&G ลักชูรี่แฟชั่นเฮาส์สัญชาติอิตาลีที่ก่อตั้งโดยสองดีไซเนอร์อย่าง Domenico Dolce และ Stefano Gabbana ได้ปล่อยวิดีโอโปรโมตแคปซูลคอลเลกชั่นตรุษจีนของแบรนด์ในช่วงเดือนมกราคมตามปกติ  โดยจุดเริ่มต้นของดราม่าในครั้งนี้ก็เห็นจะปะทุขึ้นตั้งแต่ชื่อของคลิปวิดีโอที่ถูกจั่วหัวเอาไว้ว่า ‘กินด้วยตะเกียบ’ (Eating with Chopsticks) ไปซะแล้ว แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้น ก็คงจะเป็นเนื้อหาและเสียงพากษ์ในวิดีโอความยาวกว่า 2 นาที 20 วินาทีที่นำพาให้สถานการณ์ดราม่านั้นตึงเครียดไปกันใหญ่

ตัววิดีโอเองถูกเปิดมาด้วยเสียงพากย์ภาษาจีนกลาง มีเนื้อความกว่า “ยินดีต้อนรับเข้าสู่อีพีแรกของ ‘กินด้วยตะเกียบ’ โดย Dolce & Gabbana” แม้ภาษาจีนกลางจะทำให้ดูเหมือนว่า D&G นั้นใส่ใจในกลุ่มลูกค้าหลักของพวกเขาอย่างชัดเจน แต่ไม่น่าเชื่อว่า D&G จะตกม้าตายอันดับแรกด้วยการให้ผู้พากษ์เสียงอ่านชื่อแบรนด์อย่าง Dolce & Gabbana ออกมาแบบผิดๆ เสมือนเป็นการล้อเลียนเหล่าลูกค้าคนจีนที่ไม่เคยจะอ่านชื่อแบรนด์ได้ถูกต้องเอาซะเลย มิหนำซ้ำเสียงพากย์ในช่วงเวลาถัดๆ มา คือการสอนผู้คนใช้ตะเกียบคีบอาหารอย่างถูกต้อง ผนวกกับเนื้อหาในคลิปวิดีโอที่ทางแบรนด์ได้นำนางแบบสาวชาวเอเชียมาสวมกี่เผ้าและถือตะเกียบอยู่ในมือ พร้อมด้วยการทำสีหน้าท่าทางที่งกๆ เงิ่นๆ ไม่รู้จักวิธีการคีบอาหารประเภทต่างๆ กับตะเกียบด้วยแล้ว แค่เพียงสิ่งนี้ก็ถือเป็นการเหยียดวัฒนธรรมการกินของประชากรจีนมากเกินพอ แต่ที่น่าโกรธไปมากกว่านั้น เห็นจะเป็นประเภทของอาหารที่ก็ไม่ใช่อาหารจีนแต่อย่างใด แต่ดันเป็นอาหารอิตาลีอย่างพิซซ่ามาร์การิต้า สปาเกตตี้ซอสมะเขือเทศ และขนมคันโนลี่นี่ล่ะสิ โดยนางแบบสาว เธอก็คีบเข้าปากอย่างเลอะเทอะ มูมมามไปเลยด้วย

แม้ในตอนแรก D&G จะตั้งใจนำเสนอคลิปวิดีโอในสไตล์ ‘ฟิวชั่น’ ที่นำเอาสองวัฒนธรรมอย่างจีนและอิตาลีมาไว้ด้วยกัน แต่ด้วยการสื่อสารที่ล้มเหลวเช่นนี้ เราก็คงจะคาดหวังว่า D&G หนึ่งในแบรนด์ลักชูรี่ชื่อดังก็คงจะออกมาเทคแอ็กชั่นได้ดีและรวดเร็ว แต่ถ้าคุณคิดว่าดราม่าครั้งนี้พีคแล้ว แชตหลุดของ Stefano Gabbana กลับพีคกว่า ไม่ว่าจะเป็นข้อความอย่าง ‘ถ้าเป็นฉัน ฉันจะไม่มีทางลบคลิปนี้ออกไปแน่นอน’, ‘ประเทศจีนเป็นประเทศที่ห่วยแตกที่สุด และฉันจะยังคงมีความสุขดี ถ้าไม่มีลูกค้าอย่างชาวจีน’ และ ‘พวกคนจีน คือพวกอิกนอร์แรนซ์ ตัวเหม็น และมาเฟีย’ เป็นต้น ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมกระแสดราม่าของแบรนด์ D&G จะรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนก่อให้เกิดแฮชแท็ก #boycottdolcegabbana หรือยกเลิกการสนับสนุนและใช้สินค้าของแบรนด์นั่นเอง 

แม้สุดท้าย Dolce & Gabbana จะสามารถกลับมามีที่ยืนในประเทศจีนได้อีกครั้ง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า D&G ใช้ระยะเวลาอยู่ร่วมหลายปีในการกอบกู้ชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของแบรนด์ เพราะถึง Domenico Dolce และ Stefano Gabbana จะได้ออกมาขอโทษและยอมรับผิดในปี 2018 พร้อมๆ ไปกับความพยายามในการจุดกระแสใหม่ด้วยการสร้างแฮชแท็ก #DGLOVESCHINA ขึ้นมาในภายหลัง ก็ไม่มีอะไรที่จะสู้กับไฟแค้นอันร้อนแรงของสังคม ณ ช่วงเวลานั้นได้อยู่ดี

แต่ไม่ว่าจะทั้งกรณีศึกษาในสเกลเล็กอย่างในเคสของ Burberry หรือในสเกลที่ใหญ่สุดๆ อย่าง Dolce & Gabbana จากสองเคสที่กล่าวมา ก็ล้วนนับเป็นบทเรียนตัวอย่างที่จะช่วยให้เหล่าแบรนด์ลักชูรี่ตระหนักได้ถึงการออกแคปซูลคอลเลกชั่นสำหรับช่วงตรุษจีนในปีถัดๆ ไปได้อย่างละเอียดและรอบคอบขึ้นอีกด้วย โดยเฉพาะแคปซูลคอลเลกชั่นตรุษจีนของลักชูรี่แฟชั่นเฮาส์สัญชาติสเปน LOEWE ในปี 2024 นี้ หรือ ‘Lunar New Year 2024 Jade Collection’ คอลเลกชั่นที่ประสบความสำเร็จทั้งในเชิงของดีไซน์ ตัวสินค้า การโปรโมตแคมเปญ ตลอดจนยังเป็นที่ชื่นชมของผู้คนชาวจีนอีกด้วย 

หากจะตอบคำถามว่าทำไม ‘Lunar New Year 2024 Jade Collection’ ของ LOEWE ถึงโดดเด่นกว่าแคมเปญของแบรนด์อื่นๆ แล้วล่ะก็ เหตุผลก็เพราะว่า LOEWE สามารถนำสินค้ารุ่นยอดฮิตของตัวแบรนด์อย่างกระเป๋ารุ่น ‘Flamenco Clutch’ กระเป๋าที่ได้รับแรงบันดาลใจในการดีไซน์มาจาก Flamenco Dance ระบำท้องถิ่นสุดพริ้วไหวของประเทศสเปน มาผสมผสานให้เข้ากับวัฒนธรรมจีนด้วยการออกโปรดักต์ในไลน์แอ็กเซสเซอรีถึง 2 รายการใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นจิวเวลรีหรือจี้สร้อยคอหยกรุ่นลิมิเต็ด ‘The Jade Collection’ ที่ LOEWE ได้ดึงตัว 3 ศิลปินช่างงานหยกชื่อดังจากประเทศจีน ได้แก่ Xiaojin Yin (เสี่ยวจิน หยิน) Qijing Qiu (ฉีจิง ชิว) และ Lei Cheng (เหล่ย เฉิง) มาร่วมออกแบบและรังสรรค์จิวเวลรีหยกร่วม 5 ดีไซน์เหล่านี้กันด้วยความประณีต ก่อนอีกหนึ่งรายการที่ว่าคือจี้ชาร์มหยกขนาดเล็กในรูปทรงสัตว์นำโชคกว่า 6 ดีไซน์ (animal charms) ชาร์มห้อยกระเป๋าที่นอกจากจะสามารถเลือกซื้อ เลือกแมตช์สีให้เข้ากับสีของกระเป๋าได้แล้ว ก็ยังมอบความน่ารักและความหมายที่เป็นมงคลให้กับผู้ใช้งานด้วยเช่นกัน

ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ แต่ LOEWE ยังตั้งใจที่จะเปิดตัวกระเป๋า Flamenco Clutch ไซส์มินิ ไซส์ใหม่ และสีกระเป๋าสีใหม่ที่ล้วนได้รับแรงบันดาลใจมาจากสีของงานหยกอายุราวๆ 2,000 ปีที่ถูกจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ The Palace Museum ณ กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน อาทิ สีเหลืองจากหยก Yellow Jade Bird, สีน้ำตาลจากหยก Jade Crouching Camel หรือสีเขียวเข้มจากหยก Green Jade Mantis เป็นต้น

เมื่อเอ่ยถึงโปรดักต์ต่างๆ ของคอลเลกชั่นนี้กันไปแล้ว ก็ถึงคราของภาพถ่ายและคลิปวิดีโอโปรโมตแคมเปญที่ LOEWE ก็ยังคงไม่ทำให้เราผิดหวัง ไม่ว่าจะทั้งภาพถ่ายโปรโมตที่ทาง LOEWE ตั้งใจนำเสนอเหล่าโปรดักต์นี้ผ่าน Global Ambassador คนล่าสุดอย่าง Yang Mi (หยางมี่) นักแสดงหญิงชื่อดังชาวจีน และคลิปวิดีโอในรูปแบบภาพยนตร์สั้น ‘For The Love of Jade’ ที่บอกเล่าเรื่องราวและขั้นตอนการรังสรรค์งานฝีมือของเหล่าช่างงานหยกทั้ง 3 ท่านไว้ในคลิปความยาวกว่า 3 นาทีครึ่งนี้อีกด้วย 

เมื่อภาพถ่ายและคลิปโปรโมตได้ถูกเผยแพร่ออกสู่สาธารณะชนในเดือนมกราคมด้วยแฮชแท็ก #LOEWEJadeCollection แล้ว แคมเปญนี้ก็ดูจะได้รับความสนใจจากบรรดาชาวเน็ตจีนเป็นอย่างมาก การันตีด้วยยอดชมกว่า 840,000 วิวใน Weibo หนึ่งในแพลตฟอร์มโซเซียลมีเดียที่นิยมของชาวจีน ตลอดจนจำนวนผู้ติดตามออฟฟิเชียลแอ็กเคานต์ LOEWE ใน Weibo เอง ก็ได้เพิ่มขึ้นเป็น 60,600 รายแล้วในปัจจุบัน นับเป็นก้าวสำคัญของ LOEWE กับการตีตลาดลักชูรี่ในประเทศจีนได้สำเร็จ

แล้วคุณล่ะ คิดว่าโปรดักต์หรือคอลเลกชั่นตรุษจีนในปี 2024 ของแบรนด์ไหนที่โดดเด่น? ลองมาแชร์กัน

อ้างอิง

มองกระแสชาวจีนอพยพครั้งใหญ่ช่วงตรุษจีน สูงเป็นประวัติศาสตร์กว่า 9,000 ล้านทริป

ภาพของชาวจีนที่เนืองแน่นในสนามบิน สถานีรถไฟ หรือแหล่งท่องเที่ยวในประเทศหรือนอกประเทศจำนวนมาก เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สะท้อนถึงการฟื้นตัวของวิกฤตเศรษฐกิจที่จีนกำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ 

เป็นเรื่องปกติที่พบเห็นได้ในช่วงตรุษจีนของทุกปี นักวิเคราะห์หลายสำนักคาดการณ์ว่าในเดือนกุมภาพันธ์เศรษฐกิจจีนจะกลับมาฟื้นตัวต้อนรับปีมังกรได้อีกครั้ง สำหรับคนไทยเราอาจหยุดแค่ 3-5 วัน แต่สำหรับคนจีนที่เฉลิมฉลองเทศกาลชุนหยุนหรือตรุษจีนที่ยาวต่อเนื่องถึง 40 วัน สำหรับปีนี้เริ่มตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม – 5 มีนาคม ซึ่งคาดว่าจะมีผู้เดินทางกว่า 189 ล้านคนเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 19.7% ถือเป็นการอพยพผู้คนครั้งใหญ่ที่สุดในโลก 

และหากถามว่าใครขับเคลื่อนการเดินทางครั้งนี้ แน่นอนว่าเป็นกลุ่มคนวัยรุ่น และคนทำงานที่ต้องการใช้วันหยุดเพื่อพักผ่อน กลับถิ่นฐานบ้านเกิด ซึ่งนับเป็น 2 ใน 3 ของนักเดินทางทั้งหมดในช่วงตรุษจีนปีนี้

โดยเมืองที่เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมในปีนี้คือ เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง เซินเจิ้น และกวางโจว นอกจากนี้เมืองฮาร์บินซึ่งเป็นสถานที่จัดงานเทศกาลน้ำแข็งและหิมะนานาชาติก็เป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์กที่ได้รับความนิยมในปีนี้ 

ส่วนการเดินทางระหว่างประเทศ แม้ตัวเลขนักท่องเที่ยวจะยังต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด แต่ท่ามกลางแนวโน้มเศรษฐกิจที่อ่อนแอและความต้องการผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป การเดินทางครั้งนี้ก็ถือเป็นสัญญาณที่ดี โดยเฉพาะหลังจากจีนบรรลุข้อตกลงฟรีวีซ่ากับหลายประเทศ ทำให้การท่องเที่ยวของจีนร้อนแรงที่สุดในรอบ 5 ปี

‘เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยืนหนึ่งพร้อมรับนักท่องเที่ยวจีน’

เมื่อเร็วๆ นี้จีนได้บรรลุข้อตกลงการยกเว้นวีซ่ากว่า 23 ประเทศ ทั้งมาเลเซีย สิงคโปร์ ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี เนเธอร์แลนด์ สเปน รวมถึงไทย และจากการสำรวจของ Global Times พบว่า สิงคโปร์และไทยเป็นประเทศแรกๆ ที่ชาวจีนอยากมาเพื่อสัมผัสธรรมชาติและประเพณีที่สวยงาม โดยเฉพาะหลังวันที่ 1 มีนาคมซึ่งเป็นวันแรกของการฟรีวีซ่าในไทย ทางศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงประเมินไว้ว่า ปีนี้นักท่องเที่ยวจีนจะมาไทยมากเป็นอันดับ 1 อาจมีจำนวนราว 5,200,000 คน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่มี 3,500,000 คน สำหรับมูลค่าการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวจีนอาจยังไม่สามารถทดแทนช่วงก่อนโควิดได้ เพราะค่าใช้จ่ายในการเดินทางยังสูง 

ในขณะเดียวกันทางฝั่งสิงคโปร์ที่ฟรีวีซ่าให้ชาวจีนอย่างเป็นทางการในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2567 ที่กำลังจะมาถึง ทำให้จำนวนโรงแรมในสิงคโปร์ที่ถูกค้นหาและจองโดยชาวจีนเพิ่มขึ้นทันทีกว่า 340% ภายใน 1 ชั่วโมงหลังจากการประกาศนโยบายฟรีวีซ่า 

‘การเดินทางกระตุ้นเศรษฐกิจโลก’

โดยรวมแล้วตรุษจีนปีนี้จะมีการเดินทางสูงเป็นประวัติศาสตร์ถึง 9,000 ล้านทริป ซึ่งสูงกว่าปี 2566 เกือบ 2 เท่าที่มี 4,700 ล้านทริป เนื่องจากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาการเดินทางยังถูกจำกัดด้วยโรคระบาด สภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้ปีนี้ภาครัฐยื่นมือเข้ามาช่วยสนับสนุนการท่องเที่ยว เพื่อสร้างแรงผลักดันในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งการสนับสนุนให้ประชาชนใช้จ่ายในท้องถิ่น หรือการเพิ่มจำนวนรถโดยสาร เที่ยวบิน และรถไฟเพื่อรองรับความต้องการที่มากขึ้น 

จากข้อมูลที่กล่าวไปข้างต้นทั้งหมด สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนในไตรมาสแรก Cao Heping ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง คาดการณ์ว่าการใช้จ่ายในช่วงตรุษจีนจะช่วยกระตุ้นการเติบโตของ GDP ให้ประเทศได้มหาศาลในไตรมาสแรกซึ่งอาจเกิน 5.2%

นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยวยังมองว่า นักท่องเที่ยวจีนจะเป็นกุญแจสำคัญในการผลักดันการเติบโตธุรกิจท่องเที่ยวในปีนี้ จากข้อมูลข้างต้นเห็นได้ชัดว่าการเดินทางระหว่างประเทศจะเพิ่มขึ้น ซึ่งไม่ใช่แค่ช่วงตรุษจีน แต่ยังรวมไปถึงการจัดโอลิมปิก 2024 ณ ประเทศฝรั่งเศสที่จะเกิดขึ้นในเดือนกรกฎาคมนี้

สุดท้ายแล้ว ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แม้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนยังไม่กลับมาเต็มที่ แต่ชาวจีนส่วนใหญ่ยังมีความมั่นใจว่าเทศกาลตรุษจีนปีนี้จะเป็นการเริ่มต้นที่ดี ซึ่งจะส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกด้วย

ข้อมูลจาก

จาก ‘คาปิบาร่าแช่ออนเซน’ สู่งานประจำปีที่ส่งผลกับธุรกิจสวนสัตว์และเศรษฐกิจระดับเมือง

ทุกวันนี้หลายคนอุทิศตนเป็นคนรักคาปิบาร่า นั่งดูมีมทุกวัน มีโอกาสก็อยากจะไปเจอมันสักครั้ง ไปสวนสัตว์แน่นอนว่าโซนเจ้าคาปิบาร่ากลายเป็นหนึ่งในโซนซูเปอร์สตาร์ประจำสวนสัตว์หรือพื้นที่ชมสัตว์ต่างๆ 

ถ้าเรามองย้อนไป อันที่จริงคาปิบาร่าเป็นสัตว์ที่เข้ามาในพื้นที่สวนสัตว์บ้านเรานานแล้ว ยุคหนึ่งเข้ามาในฐานะหนูที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ถ้ามองย้อนไปแม้แต่ผู้เขียนเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าเจ้าหนูยักษ์มันจะน่ารักเป็นพิเศษตรงไหน รู้สึกมันใหญ่เกิน ขนก็ดูสากๆ แต่ทว่าประมาณสี่ห้าปีที่ผ่านมา โลกออนไลน์ได้เริ่มเห็นภาพเจ้าหนูยักษ์ในความหมายใหม่ๆ เป็นเจ้าหนูยักษ์ตัวแทนของความชิลล์ซึ่งค่อนข้างสอดคล้องกับความอยากที่จะหยุดพักของโลกการทำงาน เห็นภาพพวกมันใช้ชีวิตอย่างสันติกับอีกสัตว์แทบทุกสายพันธุ์ไปจนถึงจระเข้ ทว่าจุดเปลี่ยนสำคัญของการเป็นขวัญใจคนรุ่นใหม่น่าจะเป็นภาพเจ้าคาปิบาร่าที่แช่น้ำอย่างสบายใจในบ่อน้ำร้อน ตรงนี้เองที่เป็นภาพจำที่กลายเป็นภาพไวรัล และพวกมันเองก็ค่อยๆ กลายเป็นตัวแทนของความสบายๆ ให้กับพวกเราชาวเร่งรีบ

จุดเริ่มหนึ่งของมีม และการที่คาปิบาร่ากลายเป็นสุดยอดสัตว์แสนรักของคนทั้งโลกเริ่มจากสวนสัตว์แห่งหนึ่งในญี่ปุ่นที่เอาเจ้าคาปิลงไปแช่น้ำในช่วงฤดูหนาว การผสานความชิลล์สัมพันธ์กับหลายมิติทั้งเจ้าตัวคาปิในฐานะสัตว์ต่างถิ่นและการใช้พวกมันเป็นจุดขาย ความไวรัลของการเอาคาปิแช่น้ำร้อนกลายเป็นเรื่องจริงจังอย่างยิ่ง มีกระทั่งสนธิสัญญาร่วมของพันธมิตรสวนสัตว์ การแข่งขันแช่น้ำร้อน และส่งผลต่อจำนวนประชากรกะปิปลาร้า ไปจนถึงเกิดสวนที่ได้ชื่อว่าสวรรค์ของคาปิบาร่าขึ้น

คาปิบาร่ากับความเป็นสัตว์เมือง

เรารู้จักเจ้าคาปิบาร่าในฐานะตัวแทนของความสบายๆ จุดเด่นของคาปิบาร่ามาจากความเป็นสัตว์ฟันแทะ คือเป็นสัตว์ประเภทหนูที่ดันเป็นสัตว์ที่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่รวมถึงการผสมพันธุ์อยู่ในน้ำ ด้วยการที่ว่ายน้ำเก่งและเป็นสัตว์จำพวกหนู พวกมันจึงไม่ค่อยมีศัตรูตามธรรมชาติและไม่ค่อยอะไรกับใคร

จากจุดเด่นตรงนี้ทำให้คาปิบาร่าเป็นหนึ่งในสัตว์ที่ปรับตัวเก่ง และเป็นหนึ่งในสัตว์ที่สามารถปรับตัวเข้ากับเมือง คาปิบาร่าเป็นสัตว์ที่พบได้ทั่วไปในพื้นที่ธรรมชาติของเมืองในแถบอเมริกาใต้ มีงานศึกษากระทั่งว่าพวกมันมีพฤติกรรมปรับตัวเข้ากับสภาวะเมืองยังไง เช่นงานศึกษาคาปิบาร่า ณ สวนของเมืองกังปูกรังจี (Campo Grande) ในบราซิลก็พบว่าพวกมันเรียนรู้ที่จะสลับเวลาการใช้ชีวิต พื้นที่ และเวลาคนใช้งานน้อย เช่นในเวลากลางคืนพวกมันก็จะออกมาใช้ชีวิตตามปกติ

ความเป็นสัตว์ประเภทหนู ใช้ชีวิตในพื้นที่ที่หลากหลายทั้งในป่า ทุ่งหญ้า สระน้ำ ไปจนถึงแม่น้ำ ทำให้พวกมันปรับตัวและขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว สัตว์ประเภทฟันแทะเป็นหนึ่งในประเภทสิ่งมีชีวิตที่ปรับตัวเข้ากับเมืองได้ดี ความชิลล์และความไม่อีนังขังขอบของพวกมันเคยก่อเรื่องขึ้นเมื่อพวกมันปรากฏตัวในย่านบ้านคนรวยที่ชานเมืองกรุงบัวโนสไอเรส (Buenos Aires) ย่านที่จริงๆ ไปรุกล้ำที่อยู่อาศัยของสัตว์ ผนวกกับปัญหาไฟป่าและพื้นที่ป่าที่ลดลงของอาร์เจนตินาเอง สุดท้ายทางหมู่บ้านหรูหาทางลงด้วยการปรับพื้นที่และอยู่ร่วมกับเจ้าหนูหน้าตายแบบพยายามเวิร์กออนกันไป

กะปิรสยูซุ ซุปตาร์ของสวนสัตว์จากความบังเอิญ

ความเท่ของการขึ้นมาเป็นซุปตาร์ระดับโลกของคาปิมีหลายบริบท จุดสำคัญหนึ่งคือวัฒนธรรมคาปิบาร่าแช่ออนเซน ประวัติศาสตร์เริ่มต้นของการเอาเจ้าหนูยักษ์ไปแช่น้ำร้อนเริ่มต้นในปี 1982 จากสวนสัตว์ Izu Shaboten Park ในเมืองอิโตะ จังหวัดชิซูโอกะ เมืองตากอากาศริมทะเลที่มีชื่อเสียงจากออนเซนธรรมชาติ

จุดเริ่มต้นของอารยธรรมคาปิแช่น้ำก็แสนจะเรียบง่ายคือวันหนึ่งในฤดูหนาว ผู้ดูแลสวนสัตว์กำลังล้างกรงคาปิบาร่าด้วยน้ำร้อน ล้างๆ อยู่ก็พบว่าพวกหนูยักษ์ที่มาจากเขตที่ไม่หนาวเท่าญี่ปุ่นนั้นไปกองรวมกันอยู่ในแอ่งน้ำร้อน ผู้ดูแลก็เลยคิดได้ว่า การแช่น้ำร้อนอาจเป็นวิธีนึงที่ทำให้เจ้าสิ่งมีชีวิตจากป่าเขตร้อนผ่านฤดูหนาวของญี่ปุ่นไปได้

จากความบังเอิญเบื้องต้น ถ้าเรามองดูประวัติศาสตร์ของคาปิบาร่าในญี่ปุ่น จริงๆ คาปิบาร่าเองเข้าไปในพื้นที่สวนสัตว์ของญี่ปุ่นตั้งแต่ทศวรรษ 1960 แล้ว แต่พวกมันยังไม่มีภาพจำในฐานะตัวแทนสิ่งมีชีวิตสุดชิลล์ แต่เมื่อสวนสัตว์ที่จริงๆ อยู่ไกลจากตัวเมืองประมาณสองชั่วโมงพบว่าการแช่ออนเซนดูจะตอบโจทย์พวกมัน หลังจากปี 1982 ทุกปีทางสวนสัตว์ที่เมืองอิโตะก็จะเปิดออนเซนกลางแจ้ง เจ้าคาปิบาร่าแช่ออนเซนเลยกลายเป็นจุดขายและค่อนข้างกลายเป็นธรรมเนียมที่ขยายไปในสวนสัตว์อื่นๆ ด้วย

ความเท่ของออนเซนที่เป็นจุดเริ่มคาปิบาร่าแช่น้ำ อย่างแรกคือวัฒนธรรมออนเซนที่คาปิร่วมแช่จะเป็นออนเซนแบบเปิดโล่ง สำหรับสวนสัตว์ Izu Shaboten โฆษณาอย่างภูมิใจว่าบ่อของที่สวนจะเป็นบ่อหินซึ่งส่งผลในเชิงผ่อนคลายและความประณีตรุ่มรวยไม่เหมือนออนเซนคาปิบาร่าที่ไหน และที่เก๋หนักเข้าไปอีกคือทางสวนสัตว์ได้เอาธรรมเนียมการแช่น้ำของญี่ปุ่นคือการแช่น้ำร้อนลอยผลไม้ตระกูลส้มซึ่งคนญี่ปุ่นจะแช่น้ำร้อนพิเศษที่มีความหอมสดชื่นในวันเหมายัน (winter solstice) ซึ่งเป็นวันที่กลางวันสั้นที่สุดและกลางคืนยาวนานที่สุด

การแช่น้ำลอยไม้ตระกูลส้มนอกจากจะเพื่อความสดชื่นแล้วยังเชื่อว่าจะนำโชคดีมาให้ในทั้งปีที่กำลังจะมาถึงนี้ ด้วยธรรมเนียมนี้ทางผู้ดูแลจึงนำผลไม้ตระกูลส้มทั้งยูซุ เลมอน ทำให้ภาพเจ้าคาปิบาร่าลอยอยู่กลางส้มสีสดใส บางตัวก็เอาไปวางเล่นไว้บนหัวจนกลายเป็นอีกสุดยอดมีมสำคัญ

คาปิบาร่ากับความเฟื่องฟูและความไปกันใหญ่

เรื่องเล่นใหญ่และวัฒนธรรมความน่ารักต้องไว้ใจญี่ปุ่น จากจุดเริ่มในทศวรรษ 1890 ความฮิตของคาปิบาร่าก็สัมพันธ์กับหลายมิติ ในปี 2020 ปีที่ญี่ปุ่นจัดโอลิมปิก บรรยากาศค่อนข้างซบเซาจากโรคระบาด ปีนั้นเองที่ทางสวนสัตว์ต้นเรื่องของคาปิบาร่าแช่น้ำชูเอาเจ้าหนูยักษ์มาเป็นจุดขายและดึงดูดผู้คนมายังสวนสัตว์

ความนิยมของคาปิบาร่าด้านหนึ่งเราอาจมองได้จากจำนวนของพวกมัน รายงานจากองค์กรสวนสัตว์และพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำรายงานว่าจำนวนคาปิบาร่าในญี่ปุ่นจากปี 2006-2016 กระโดดขึ้นเกือบ 4 เท่า คือจาก 125 ตัว เป็น 422 ตัว

ความเว่อร์ที่สุดอย่างหนึ่งคือในปี 2015 ที่สวนสัตว์ 5 แห่งในญี่ปุ่นจับมือลงนามความตกลงคาปิบาร่าแช่น้ำร้อน (Capybara Outdoor Bath Agreement) เป็นการตกลงจะจัดอีเวนต์คาปิบาร่าแบบร่วมกันในสวนสัตว์ 5 แห่งเช่นที่ Izu Shaboten และ Ishikawa Zoo สำหรับความน่ารักเกินของกิจกรรมนี้ก็เช่นที่สวนสัตว์ Izu Shaboten จะมีตารางอีเวนต์มาเลยว่าวันไหนจะมีกิจกรรมแช่ออนเซนอะไร มีกิจกรรมกินอาหาร มีตารางเวลาโชว์เวลาไหนบ้าง

การลงนามความตกลงในเรื่องคาปิบาร่าอาจฟังดูตลก แต่ความตกลงนี้ทำให้ภาพและกิจกรรมการแช่น้ำของคาปิบาร่ากลายเป็นวาระ ทำให้ยิ่งได้รับความนิยมและได้รับความสนใจมากขึ้น มีการจัดเป็นประจำอย่างเป็นทางการในทุกปี ในทางกลับกันทางสวนสัตว์ต่างๆ ก็ได้รับความนิยม ได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยว มีการสร้างสินค้าและบริการต่างๆ เช่น ร้านอาหารที่เสิร์ฟอาหารธีมคาปิบาร่า ตุ๊กตาที่ระลึก ไปจนถึงจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปเยือนสวนสัตว์ในช่วงหน้าหนาวซึ่งเป็นฤดูที่การท่องเที่ยวซบเซา

ความร่วมมือจากความนิยมและวัฒนธรรมคาปิแช่น้ำร้อนเป็นภาคีกิจกรรมและการท่องเที่ยวที่น่าสนใจ จากการจัดแช่น้ำร้อนที่หลากหลาย เป็นระบบ เป็นงานประจำปี ทางกลุ่มสวนสัตว์ยังเปิดพื้นที่สนุกๆ ต่างๆ เช่นในปี 2016 จัดแข่งขันแตงโมเร็ว ผลการแข่งขันคือคาปิบาร่าจากสวน Nagasaki Bio Park เป็นผู้ได้รับชัยชนะไป ซึ่งสวนที่นางาซากิเป็นสวนที่โด่งดังขึ้นและเป็นที่รู้จักในนามดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของคาปิบาร่า

จากภาพคาปิบาร่าแช่น้ำกับลูกส้ม ไปจนถึงภาพพวกมันแช่ในบ่อหินกลางแจ้ง จากความน่ารักที่เป็นมีมซึ่งบังเอิญตอบสนองความอยากพักและอยากชิลล์ของเรา ประเพณีพาคาปิบาร่าลงน้ำร้อนกลายเป็นความร่วมมือในหลายพื้นที่ ในบริบทเมืองเอง บางเมืองอย่างเช่นเมืองอิโตะกลายเป็นเมืองแห่งคาปิบาร่าออนเซน มีความร่วมมือกับเรียวกัง ทั้งเมืองเต็มไปด้วยเจ้าคาปิบาร่าสุดน่ารัก จากร้านอาหาร รถเมล์ ไปจนถึงสินค้าสารพัดตั้งแต่กล่องคุกกี้ ผงอาบน้ำ 

สำหรับบ้านเราเอง จริงๆ ก็มีกระแสคาปิบาร่าจากภาพพื้นที่สื่อคือขาหมูแอนด์เดอะแก๊ง เพจสวนสัตว์เขาเขียวที่ผู้ดูแลสื่อสารกับโลกออนไลน์ด้วยภาพน่ารักๆ มีมๆ จากทั้งเจ้าคาปิบาร่าและฮิปโปที่น่ารัก ทำให้สวนสัตว์เองรวมถึงโซนคาปิบาร่ากลายเป็นดาราดังและเป็นพื้นที่สำคัญที่นักท่องเที่ยวต้องการไปพบหน้าแก๊งหน้านิ่งด้วยเช่นกัน

ในฐานะคนรักคาปิบาร่า จากเรื่องราวของเจ้าคาปิแช่น้ำที่เป็นตำนานเรื่องราวและความร่วมมือมาหลายทศวรรษ ตอนนี้ภาพของเมืองอิโตะที่เป็นเมืองริมทะเล เต็มไปด้วยบ่อน้ำร้อนสุดชิลล์และเจ้าคาปิบาร่าที่กลายเป็นทูตประจำเมือง เป็นผู้นำด้านความสบายๆ ในระดับโลก จุดเริ่มต้นของพวกมันนับเป็นอีกหนึ่งปรากฏการณ์ความเท่และการผสมผสานของวัฒนธรรม และลักษณะที่พอดีกันคือเจ้าหนูสุดชิลล์ที่จริงๆ เป็นสิ่งมีชีวิตต่างถิ่น และการผสมผสานเข้ากับบริบทเมืองออนเซนและพื้นที่สุดชิลล์ จนกลายเป็นหนึ่งในกลยุทธ์และส่งผลกับเศรษฐกิจทั้งของสวนสัตว์และส่งผลกับภาพใหญ่ในระดับเมือง

อ้างอิงข้อมูลจาก

เมื่อบริษัทเพื่อนบ้านไล่คนออกมหาศาล หรือเราต้องทำตามบ้าง (แต่มันคุ้มค่าจริงไหม? ใครบอกได้บ้าง?)

พอมีบริษัทยักษ์ใหญ่เลย์ออฟคนมหาศาล ทำไมอีกหลายบริษัทถึงแห่ไล่คนออกอีกจำนวนมาก? จริงไหมที่เศรษฐกิจส่งผลให้ผู้บริหารอยากประหยัดงบ?

หรือที่จริงแล้วมันคือปรากฏการณ์​ copycat layoffs ที่ Jeffrey Pfeffer ศาสตราจารย์ด้านพฤติกรรมองค์กรของ Thomas D. Dee II แห่ง Stanford Graduate School of Business อธิบายว่าเป็นการลอกเลียนแบบมากกว่า คำพูดเหล่านี้สรุปจากการศึกษาเรื่องการจ้างและเลิกจ้างมานานกว่า 40 ปี

ความหมายของ copycat layoffs

copycat layoffs หรือการเลิกจ้างพนักงานจากการเลียนแบบ คือการเลิกจ้างคนจำนวนมากเพียงเพราะเห็นบริษัทในแวดวงเดียวกันเลิกจ้างคนโดยที่ไม่ได้ดูคุณหรือโทษของการเลิกจ้างจริงๆ ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นกับแวดวงอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและสื่อในช่วงปี 2022-2023 หลังจากที่บริษัทเหล่านี้จ้างคนจำนวนมหาศาลในช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา

สาเหตุที่ต้องเลิกจ้างตามคนอื่นเขา

  1. บางบริษัทต้องการลดสเกลองค์กร เลยเลือกเลิกจ้างคนเพื่อเป็นฉากบังหน้า ซึ่ง Annie Lowrey ระบุใน The Atlantic ว่าถ้ารีบเลิกจ้างคนในช่วงที่คนอื่นเลิกจ้างติดต่อกัน ผู้คนก็อาจจะไม่ได้สังเกตหรือมองว่าข่าวการเลิกจ้างของตัวเองเป็นเรื่องใหญ่อะไร
  2. การเลิกจ้างในช่วงที่บริษัทอื่นๆ ก็ทำกัน ยังทำให้ผู้บริหารเลือกตัดพนักงานบางคนที่ไม่ถูกใจได้โดยไม่ถูกผู้ถือหุ้นหรือคนทั่วไปมองว่าเลือกปฏิบัติ เพราะใครๆ ก็เลิกจ้างคนในช่วงเวลานี้

เศรษฐกิจตกต่ำเกี่ยวข้องมากแค่ไหน?

ปฏิเสธไม่ได้ว่าสภาพเศรษฐกิจมีผลต่อการเลิกจ้างพนักงาน แต่ Pfeffer เชื่อว่าการจ้างงานจำนวนมากในช่วงขาขึ้นของวงการ และการเลิกจ้างงานในข่วงขาลงถือเป็นการลอกเลียนแบบที่เกิดขึ้นจากอารมณ์ เขายังบอกกับ Stanford News ว่า Meta มีเงินมหาศาล เพราะบริษัทเหล่านี้ล้วนทำเงิน ดังนั้นการที่บริษัทเหล่านี้แห่กันเลิกจ้างคนนั้นอาจมาจากการที่เห็นว่าบริษัทอื่นทำ

copycat layoffs ดีหรือโทษ?

Jeffrey Pfeffer มองว่าการเลย์ออฟไม่ส่งผลดีกับใครทั้งสิ้น แม้บริษัทจะได้ประหยัดต้นทุนในระยะสั้น แต่การเลิกจ้างเมื่อเศรษฐกิจผันผวน และกลับมาจ้างงานใหม่เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวนั้นเป็นการเพิ่มต้นทุนโดยไม่จำเป็น

เพราะบริษัทต้องจ่ายเงินชดเชยให้กับพนักงานจำนวนมหาศาล ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายแฝงอื่นๆ จากการเทรนพนักงานใหม่อยู่เสมอด้วย และหลายๆ ครั้งบริษัทเหล่านี้ก็ยังหันกลับมาจ้างพนักงานที่เคยถูกเลิกจ้างด้วยซ้ำ นอกจากนั้นประสิทธิภาพของพนักงานที่ยังอยู่ก็จะถดถอย เพราะเงินชดเชยจำนวนหนึ่งอาจทำให้คนที่ยังอยู่รู้สึกว่าทำไมฉันไม่ถูกเลือก

Stephen McMurtry วิศวกรซอฟต์แวร์และประธานฝ่ายสื่อสารของสหภาพพนักงาน Google ที่ชื่อ Alphabet

  1. บอกว่า “การเลิกจ้างทำให้เกิดความวุ่นวายในที่ทำงาน คนที่เหลือยังมีภาระงานเพิ่มขึ้น และทีมที่เหลือยังรู้สึกวิตกกังวลว่าทีมไหนจะเป็นรายต่อไป”
  2. การเลิกจ้างยังอาจทำให้หุ้นบริษัทตกลงด้วยซ้ำ เพราะนั่นคือสัญญาณบางอย่างว่าบริษัทกำลังเผชิญปัญหา
  3. การเลิกจ้างยังทำให้ประชากรจำนวนมากไม่มีงานแบบกะทันหัน แน่นอนว่าเงินชดเชยที่ได้ก็อาจไม่สามารถนำมาใช้จ่ายได้เพียงพอในชีวิตประจำวันหรือหนี้ที่มีอยู่ หมายความว่ากำลังซื้อในตลาดก็จะลดลง และนั่นคือหนทางสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำยิ่งกว่าเดิม
  4. The Week ยังอ้างอิงว่า Sandra Sucher และ Marilyn Morgan Westner กล่าวใน Harvard Business Review ว่าคนที่ถูกเลย์ออฟเหล่านี้ต้องใช้เวลาโดยเฉลี่ย 2 ปีจึงจะฟื้นตัวจากบาดแผลทางจิตใจ ทำให้ความเสี่ยงในการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้น 1.3-3 เท่า ความเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้าเพิ่มขึ้น 2 เท่า และความเสี่ยงต่อการใช้สารเสพติดเพิ่มขึ้น 4 เท่าทีเดียว

ถ้าไม่เลย์ออฟ มีทางเลือกอื่นสำหรับบริษัทบ้างไหม

  1. แทนที่จะจ้างและเลิกจ้างวนไปเหมือนกับวงโคจรของหนอนผีเสื้อ บริษัทควรวางแผนอย่างรอบคอบเพื่อดูว่าในตลาดของตนเองนั้น ต้องการพนักงานแต่ละฝ่ายจำนวนเท่าไหร่เพื่อประหยัดต้นทุนในระยะยาว
  2. แทนที่จะเลิกจ้างคน ให้เลือกรับพนักงานที่จะสามารถพลิกเกมบริษัทได้ นอกจากจะไม่ทำร้ายใจใคร ก็ยังอาจได้กลยุทธ์ใหม่สำหรับองค์กร
  3. Pfeffer ยังยกตัวอย่างกับ Stanford ว่าหลังเหตุโจมตีของผู้ก่อการร้ายเมื่อวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2544 สายการบินต่างๆ ได้เลิกจ้างพนักงานจำนวนมาก ยกเว้นสายการบิน Southwest Airlines และนั่นทำให้ Southwest Airlines ได้รับส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้น
  4. Pfeffer ยังบอกความลับของอดีต CEO ของ Procter & Gamble (P&G) อย่าง A.G. Lafley ว่าเวลาที่ดีที่สุดในการเอาชนะคู่แข่งคือตอนที่พวกเขากำลังถอย ส่วน James Goodnight ซีอีโอของ SAS Institute บริษัทซอฟต์แวร์ก็ไม่เคยเลิกจ้างใครเลยเพราะเขาบอกว่าช่วงที่ยากลำบากนี้ถือเป็นเวลาที่ดีที่สุดในการคัดเลือกคนเก่งและคนที่มีความสามารถ
  5. แต่ถ้าต้องการลดต้นทุนจริงๆ Lincoln Electric ผู้ผลิตอุปกรณ์เชื่อมโลหะแนะนำว่าแทนที่จะเลิกจ้างพนักงาน 10% ให้เลือกลดค่าจ้าง 10% พูดให้เห็นภาพคือแทนที่จะมอบความเจ็บปวด 100% ให้กับคนเพียง 10% พวกเขามอบความเจ็บปวด 10% ให้กับคนกว่า 100%

น่าสนใจว่าสถานการณ์การเลย์ออฟคนอย่างต่อเนื่องที่น่าจะเกิดขึ้นในปีนี้มีสาเหตุมาจากเศรษฐกิจตกต่ำมากแค่ไหน และพนักงานอีกกี่เปอร์เซ็นต์ที่ถูกไล่ออกไปจะเป็นเหยื่อของปรากฏการณ์ copycat layoffs กัน

คุยกับ พอลล์ กาญจนพาสน์ แห่งบางกอกแลนด์ ผู้ตั้งเป้าหมายสร้างอิมแพ็คให้เป็น smart city

นับตั้งแต่ปลายปีที่แล้วจนถึงปีนี้คือช่วงเวลาทองของเหล่าแฟนเพลงที่ชอบไปคอนเสิร์ตอย่างไม่ต้องสงสัย มีคอนเสิร์ตสเกลเล็ก กลาง ใหญ่ กระจายให้เลือกชมแทบทุกสัปดาห์ จนใครหลายคนอาจนึกภาพช่วงเวลาอันซบเซาก่อนหน้านี้ไม่ออก

จากการระบาดของโควิดตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมาถือเป็นวิกฤตครั้งใหญ่ของผู้ประกอบการในหลายอุตสาหกรรม หนึ่งในธุรกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักคือ ธุรกิจไมซ์ (MICE: Meetings, Incentive Travel, Conventions, Exhibitions) อันได้แก่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการจัดงานอีเวนต์ งานแสดงสินค้า เอกซ์ซิบิชั่น และคอนเสิร์ต ซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากการที่ต้องงดกิจกรรมการรวมตัวของผู้คนจำนวนมาก จนจำต้องปรับรูปแบบการจัดงานเพื่อให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้

ซึ่งประเทศไทยเองก็มีศักยภาพด้านการจัดงานระดับโลกมากมาย จากการวิจัยของ TCEB ที่เก็บข้อมูลจากผู้ประกอบการไมซ์ 650 รายทั่วโลก ยกให้ประเทศไทยเป็นอันดับ 1 ของการจัดงาน ที่โดดเด่นในเรื่องความคุ้มค่าในการลงทุน ความมีเอกลักษณ์ และภาพลักษณ์ที่เป็นที่ยอมรับในเรื่องไมซ์

แต่จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ธุรกิจไมซ์ซบเซาลงไปโดยปริยาย และทั้งจำนวนและรายได้ของธุรกิจไมซ์ลดลงกว่า 90% เมื่อเทียบกับรายได้ในช่วงเวลาเดียวกันของช่วงก่อนเกิดโควิด ทว่า วันนี้เมื่อธุรกิจไมซ์เริ่มพลิกฟื้น ผู้ประกอบการไมซ์ไม่ได้โฟกัสแค่ธุรกิจในประเทศ แต่ต้องสร้างศักยภาพให้พร้อมแข่งขันในระดับโลก

นั่นเป็นเหตุผลสำคัญที่พัดพาให้เรามาพบกับ พอลล์ กาญจนพาสน์ แม่ทัพใหญ่แห่งบริษัท บางกอกแลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือผู้พัฒนาพื้นที่ว่างเปล่าย่านปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ให้กลายเป็นอิมแพ็ค เมืองทองธานี ศูนย์นิทรรศการและการประชุมอันดับต้นๆ ของประเทศ ที่ให้บริการมามากกว่า 25 ปี เพื่อคุยกันเรื่องวิธีคิด วิธีบริหารที่ทำให้บางกอก แลนด์ยังยืนหยัดได้จนถึงทุกวันนี้ไม่ว่าจะผ่านวิกฤตมาแค่ไหนก็ตาม

ทุกคนเป็นครอบครัวที่มีเป้าหมายเดียวกัน

บทบาทผู้บริหารของพอลล์เริ่มต้นในปี 1998 ในฐานะผู้บริหารรุ่นใหม่ที่เข้ามารับช่วงต่อจากอนันต์ กาญจนพาสน์ ผู้เป็นพ่อ และพี่ชาย ปีเตอร์ กาญจนพาสน์ ที่ดูแลธุรกิจในเครือบางกอกแลนด์เป็นหลัก ช่วงแรกพอลล์รับหน้าที่บริหารฝั่งพร็อพเพอร์ตี้ และ city management ส่วนพี่ชายดูแลด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นหลัก โดยแต่ละคนมีหน้าที่ต่างกัน แต่มีเป้าหมายเดียวกันคือ พัฒนาเมืองทองธานี

“วันแรกที่ได้เข้ามาจับธุรกิจครอบครัวเต็มตัว โจทย์แรกที่เจอก็ไม่ง่าย พอลล์เล่าว่า ตอนนั้นเรามองว่าบางกอกแลนด์เป็นบริษัทที่มีศักยภาพ และเห็นโอกาสในการพัฒนาอีกมาก ทว่าหลังจากนั้นไม่นานประเทศไทยก็เจอวิกฤตต้มยำกุ้ง ทำให้หลายอย่างไม่เป็นไปตามแผน เราเจอปัญหาต่างๆ มากมาย ท่ามกลางความยากลำบากเหล่านี้เราก็ฝ่าฟันจนสามารถใช้พื้นที่เมืองทองธานีจัดเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 13 ปี 1998 ได้สำเร็จ” 

โจทย์ต่อมาเป็นเรื่องกำแพงภาษา ในเวลานั้นพอลล์เป็นผู้บริหารรุ่นใหม่อายุเพียง 24 ปีที่เพิ่งกลับจากต่างประเทศ เมื่อต้องเข้ามาบริษัทที่เต็มไปด้วยคนไทย ยังไม่มีใครสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษมากนัก และส่วนใหญ่เป็นคนที่อายุมากกว่า ที่เห็นกันมาตั้งแต่เด็ก จึงถูกมองว่าเป็นจูเนียร์ตลอดเวลา ทำให้ช่วงแรกชีวิตการทำงานไม่ราบรื่นเท่าที่ควร

ทว่าปัจจุบันเครือบางกอกแลนด์มีพนักงานกว่า 2,500 คน ครอบคลุมตั้งแต่ธุรกิจร้านอาหาร ร้านกาแฟ สนามโกคาร์ต โรงเรียนสอนทำอาหาร โรงเรียนสอนเทนนิส ค้าปลีก และโรงแรม 

“การที่พนักงานทั้งหมดมีพื้นฐานแตกต่างกัน ทั้งเชื้อชาติ ศาสนา นิสัยใจคอ และอายุ ประสบการณ์สอนให้เราต้องทำความเข้าใจความแตกต่างของพนักงานแต่ละกลุ่ม มีบ้างที่เกิดความไม่เข้าใจ เราก็พยายามสื่อสารถึงเป้าหมายองค์กรว่าแม้จะอยู่ในต่างธุรกิจ แต่ทุกคนเป็นครอบครัวที่มีเป้าหมายเดียวกัน”

พอลล์เล่าว่า หลังสิ้นสุดเอเชียนเกมส์ พื้นที่รอบข้างเมืองทองธานียังไม่ได้รับการพัฒนา ยังเป็นพื้นดินแห้งๆ เรียกได้ว่าความเจริญยังเข้าไม่ถึงด้วยซ้ำ ซึ่งในตอนนั้นบริษัทยังไม่มีแผนหรือโปรเจกต์ต่อ ทำให้ทีมงานทุกคนรู้สึกเคว้งคว้างพอสมควร 

สำหรับตนเองแล้ว หลายคนมองว่าโควิดเป็นช่วงที่ตกต่ำที่สุดของธุรกิจ แต่ที่บางกอกแลนด์จุดตกต่ำที่สุดคือ หลังเอเชียนเกมส์ เพราะบริษัทขาดเป้าหมายและทิศทางธุรกิจ ไม่มีเงินสำรอง ทำให้บริษัทต้องหากระแสเงินสดเพื่อมาดำเนินธุรกิจต่อไปให้ได้

และในปี 1999 จากเดิมที่อิมแพ็คยังไม่มีชื่อเป็นทางการ ทีมผู้บริหารจึงเปลี่ยนเป็นใช้ชื่อ IMPACT เพื่อสื่อถึงการสร้างอิมแพ็กกับพื้นที่โดยรอบ โดยย่อมาจากคำว่า International Multi Purpose Arena Convention Trade

กว่า 25 ปีที่อิมแพ็คเดินหน้าจัดงานเล็ก หรืองานใหญ่ระดับประเทศ 

มีหนึ่งงานที่สร้างชื่อให้อิมแพ็คอย่างมาก นั่นคือ BOI Fair ปี 2000 งานแสดงสินค้าอุตสาหกรรม และสัมมนาวิชาการ ซึ่งเป็นงานที่ประสบความสำเร็จด้วยยอดผู้เข้าชมงานกว่า 4.5 ล้านคน 

จริงๆ แล้วไม่ใช่แค่พื้นที่อินดอร์ที่จัดงานได้ ในปี 1996 ศิลปินระดับโลกอย่างไมเคิล แจ็กสัน ก็เลือกจัดคอนเสิร์ตที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี ซึ่งงานนี้แหละทำให้ผู้คนรู้จักอิมแพ็คมากขึ้น และในฝั่งผู้จัดก็เห็นศักยภาพการจัดงานที่ใช้พื้นที่ได้หลากหลาย ทั้งงานแสดงสินค้า คอนเสิร์ต หรือแม้แต่การแข่งขันเทนนิสไทยแลนด์โอเพ่น, ดิสนีย์ออนไอซ์ หรือการประกวดนางงามก็เลือกจัดที่นี่

ปัจจุบันพื้นที่จัดงานของอิมแพ็คทั้งหมดรวมประมาณ 3 แสนตารางเมตร 

เมื่อถามว่างานไหนที่อยู่ในความทรงจำมากที่สุด พอลล์เล่าว่า เป็นงาน ASEAN Summit ครั้งที่ 35 ที่จัดขึ้นในปี 2019 เป็นการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ที่รวบรวมผู้นำภายในกลุ่มประเทศสมาชิกกว่า 10 ประเทศ 

“ความยากของงานนี้อยู่ที่การเตรียมความพร้อมเรื่องความปลอดภัย เพราะเมื่อผู้นำทุกประเทศมารวมตัวกัน ความปลอดภัยจึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เราใช้เวลาเตรียมตัวค่อนข้างนาน 6-9 เดือน เพราะต้องได้รับความร่วมมือจากทุกส่วน ทั้งตำรวจ ทหาร รวมถึงพนักงานของเราที่ต้องเป็นอาสาสมัครช่วยงานในทุกแผนก ต้องประชาสัมพันธ์กับลูกบ้านที่อาศัยในพื้นที่โดยรอบในเรื่องความปลอดภัย ต้องเข้า-ออกพื้นที่เป็นเวลา 

แต่ความเสียดายคือ เราทำงานกันหนักมาก จนวันงานผมเข้าโรงพยาบาล แต่ถือเป็นงานที่ภูมิใจที่สุด เพราะทุกคนตั้งใจมาก และฟีดแบ็กงานนี้ก็ดีมากเช่นกัน”

หลังจากผ่านร้อนผ่านหนาวมากว่า 25 ปี อีกหนึ่งอุปสรรคที่พอลล์และทีมก้าวผ่านไปได้อย่างสวยงามคือโควิด ด้วยการมีเงินสำรองและแผนการบริหารที่ดี 

พอลล์เล่าถึงภาพรวมธุรกิจไมซ์ในปีที่ผ่านมาว่า “การจัดงานกลับมาคึกคักเหมือนเดิม ทั้งจำนวนคนและจำนวนงาน นักท่องเที่ยวหลายประเทศเดินทางเข้ามาเพื่อร่วมอีเวนต์หรือคอนเสิร์ตมากขึ้น มีเพียงแค่นักท่องเที่ยวจีนที่ยังไม่ถึงเป้า ผมมองว่าจะให้ทุกอย่างเพอร์เฟกต์ก็คงไม่ได้ แต่ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพึงพอใจ แต่ก็ยังมีปัจจัยที่น่ากังวลคือ ปัญหาการเมือง สงครามระหว่างประเทศ หรือแม้แต่ GPD ก็ยังคงเป็นความท้าทายในเศรษฐกิจของประเทศเราอยู่ ปีนี้คาดว่าช่วง 6 เดือนหลังน่าจะดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยค่อนข้างยืดหยุ่นในการปรับตัว แม้กลุ่มลูกค้าจีนจะไม่ถึงเป้า แต่เราก็ยังเข้าถึงลูกค้าประเทศอื่นๆ ได้ คาดว่าแนวโน้มจะดีขึ้นเรื่อยๆ”

ตอนนี้การจัดอีเวนต์ยังต้องมีออนไลน์ไหม

“ช่วงที่ผ่านมาพิสูจน์ได้แล้วว่าการจัดงานแบบไฮบริดไม่เวิร์ก เพราะมนุษย์ชื่นชอบการพบเจอ พูดคุย สัมผัส เทคโนโลยีทำให้ชีวิตเราดีขึ้น แต่ทดแทนกันไม่ได้”

ไม่หยุดเรียนรู้และพัฒนาต่อไป

ไม่ว่าจะอยู่ในธุรกิจใดก็ตาม ไม่มีใครหนีการแข่งขันได้ ในธุรกิจไมซ์เองก็เช่นกัน 

“ผมมองว่าการแข่งขันไม่เคยหยุดนิ่ง ไม่ว่าจะอีเวนต์ เอกซ์ซิบิชั่น หรือคอนเสิร์ต ซึ่งเราไม่เคยหยุดพัฒนา และเตรียมพร้อมอยู่เสมอ เรามองที่ความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก การที่เราอยู่มาได้ 25 ปีไม่ได้หมายความว่าเราจะใช้วิธีคิดหรือแนวคิดแบบเดิมๆ ตลอดไป ดังนั้นเราต้องพัฒนาตัวเองและสรรหาสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ

อย่าคิดว่าอะไรที่สำเร็จในปีก่อนๆ ปีนี้หรือปีหน้าจะสำเร็จต่อไป ช่วงกลางปีที่แล้วเราได้ไปดูงานในหลายประเทศ ทำให้รู้ว่าบางอย่างที่เขาทำก็ดีกว่าเรา ทั้งเรื่องเทคโนโลยีหรือวัฒนธรรม เราก็นำสิ่งเหล่านั้นมาปรับใช้ได้”

ตั้งเป้าสู่การเป็น smart city

“เราพยายามพัฒนาให้เมืองทองธานีกลายเป็นสมาร์ตซิตี้ หรือเมืองอัจฉริยะ ซึ่งเป็นโปรเจกต์ที่เราเริ่มตั้งแต่กลางปีที่แล้ว มีการศึกษาข้อมูลและพูดคุยกับ สวทช.และภาคเอกชนๆ อื่นด้วย เพราะการเป็นสมาร์ตซิตี้ไม่ใช่แค่เราทำฝ่ายเดียว ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายๆ ฝ่าย เพื่อให้เราออกตัวเดินได้อย่างถูกต้อง

ทั้งนี้เพื่อให้การเป็นสมาร์ตซิตี้มีความชัดเจนขึ้น จึงต้องมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งเรื่องระบบไอซีที การบริหารสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน การบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมและที่พักอาศัย หรือแม้แต่การศึกษา โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย

“การทำสมาร์ตซิตี้ไม่ใช่แค่เรื่องของบริษัทอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องที่ทุกคนจะได้ประโยชน์ ทั้งเรื่องความปลอดภัย สิ่งแวดล้อม ช่วยยกระดับรายได้ของผู้อยู่อาศัย ภายใต้แนวคิดการพัฒนาเมืองน่าอยู่ ให้ชุมชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความสุขอย่างยั่งยืน

การจัดอีเวนต์ กับแนวทางการลดคาร์บอนฟุตปรินต์

ที่ผ่านมาคุณอาจเคยได้ยินข่าวว่า อุตสาหกรรมไมซ์เป็นผู้ร้ายในการสร้างปัญหาเรื่องสภาพภูมิอากาศ เพราะในการจัดงานมีการใช้ทรัพยากรและพลังงานที่เป็นตัวการก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก ดังนั้นการจัดอีเวนต์ยุคนี้จึงต้องคำนึงถึงความยั่งยืน ให้ความสำคัญกับการลดคาร์บอนฟุตปรินต์ 

วันที่เราคุยกัน พอลล์เล่าว่า ในปี 2026 รถไฟฟ้าจะมาจอดรับ-ส่งผู้โดยสารที่หน้าอิมแพ็คแล้ว สามารถลงรถไฟฟ้าแล้วเดินไปฮอลล์ต่างๆ ได้ง่ายขึ้น แต่สำหรับตอนนี้ใครที่มาอิมแพ็คก็ใช้รถไฟฟ้าสายสีชมพู ลงสถานีศรีรัช แล้วต่อรถเข้ามาอีกนิดหน่อย เมื่อเทียบกับสมัยก่อน การเดินทางในเวลานี้สะดวกและเร็วกว่าเมื่อก่อนมากๆ ซึ่งการเดินทางด้วยรถสาธารณะนี่แหละที่ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนฟุตปรินต์ได้ 

นอกจากนี้อิมแพ็คยังให้ความสำคัญกับการเลือกใช้วัสดุสำหรับจัดงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เลือกวัสดุที่รีไซเคิลได้ มีการจัดการขยะและเศษอาหาร เพื่อเปลี่ยนเป็นปุ๋ยบำรุงต้นไม้ต่อไป 

“เราไม่ได้มองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเทรนด์ แต่มองว่าเป็นแนวทางที่เราต้องปรับตัวไปตามการเปลี่ยนแปลงของโลก”

จากรุ่นพี่ สู่รุ่นน้อง

เชื่อว่าเวลานี้ไม่มีใครไม่เห็นด้วยกับประโยคที่ว่า ‘ไทยแลนด์แดนคอนเสิร์ต’ เพราะทุกสัปดาห์บ้านเรามีการจัดคอนเสิร์ต อีเวนต์ หรืองานแสดงสินค้ากันอยู่ตลอด และปีนี้อิมแพ็คก็เป็นหนึ่งในพื้นที่จัดงานที่ถูกจับจองอย่างรวดเร็วทั้งคอนเสิร์ตไทยและต่างชาติ ทำให้ใครๆ ก็อยากมาจับธุรกิจจัดอีเวนต์

สำหรับคนรุ่นใหม่ที่อยากเข้ามาลุยในธุรกิจนี้ พอลล์แนะนำว่า “ต้องมีวิชั่น เช่น อยากจัดงานแนวไหน อีเวนต์ คอนเสิร์ต สัมมนา หรืองานแสดงสินค้า ฯลฯ หาข้อมูลว่าเวลานี้มีผู้จัดงานลักษณะนี้กี่คน แล้วถ้าจัดจะมีผู้ร่วมงานมากน้อยแค่ไหน ในงานแรกๆ ไม่จำเป็นต้องลุยเดี่ยวหรือจัดใหญ่ คุณอาจหาพาร์ตเนอร์แล้วคอลแล็บกันก่อน 

ต่อมาเป็นเรื่องของการวางแผน ที่หมายถึงการวางแผนทุกอย่าง ตั้งแต่วางแผนด้านการเงิน แผนฉุกเฉิน วางแผนประชาสัมพันธ์ หรือวางแผนเพื่อหาข้อมูลของท็อปปิกนั้นๆ เนื่องจากการจัดงานไม่ควรเกิดความผิดพลาด เพราะหากผิดแล้วไม่สามารถถอยหลังหรือเริ่มต้นใหม่ได้ 

พอลล์ขยายความเรื่องการวางแผนให้ฟังว่า ตัวอย่างเช่น เรื่องการเงิน ที่ต้องจ่ายมัดจำค่าเช่าสถานที่ ผู้จัดงานต้องเตรียมเงินสำรองจ่ายล่วงหน้า มีการอัพเดตงบแต่ละส่วนอย่างใกล้ชิด เช่น ค่าสถานที่ 30% ค่าโปรโมตงาน 30% ค่าอาหาร 20% หรือเงินสำรองฉุกเฉิน 20% ซึ่งเรื่อง cash flow เป็นปัญหาที่ผู้ประกอบการรายย่อยมักเจอ ดังนั้นการวางแผนด้านการเงินจึงเป็นสิ่งสำคัญที่มองข้ามไม่ได้

ในส่วนของความครีเอทีฟที่หลายคนมองว่ามีผลต่อการจัดงาน พอลล์ย้ำว่า คิดได้ ก็ต้องลงมือทำได้ 

“ผมอยากเห็นอิมแพ็คที่มีตึกเยอะๆ แต่รถไม่ติด เราพยายามทำให้พื้นที่ตรงนี้เติบโตตามแนวทางสมาร์ตซิตี้ ก็คงต้องจับตาดูกันต่อไปว่าเมืองอัจฉริยะของเราจะเสร็จสมบูรณ์เมื่อไหร่ และจะสร้างอิมแพกต์ให้ชุมชนในพื้นที่ยังไง”