สุนทรียภาพความเป็นเด็ก มาสคอตญี่ปุ่นยุคหลังสงคราม ความแมสในความติงต๊อง

ช่วงนี้เราพูดเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ พูดเรื่องกางเกงช้างที่ด้านหนึ่งเป็นการเอาคาแร็กเตอร์ของเมืองหรือจังหวัดหนึ่งๆ มาเป็นลวดลายและเป็นของดีที่นำเสนอภาพจังหวัดนั้นๆ ในกระแสกางเกงช้างและการเปิดตัวตนของจังหวัดต่างๆ เราก็มีน้องปาป้า-ทูทู่ มาสคอตปลาทูที่เกิดจากศิลปินแม่กลอง เป็นพรีเซนเตอร์งานกินปลาทู และกลายเป็นกระแสน่ารักที่โด่งดัง ซึ่งเจ้าปาป้า-ทูทู่ ก็มีกางเกงลายปลาทูกับเขาด้วย

ความน่ารักของปาป้า-ทูทู่ ในเจ้ามาสคอตของแม่กลองเองก็มีรายละเอียดของตัวเอง ซึ่งจุดเด่นของมาสคอตคือการที่พวกมันกำลังเล่าเรื่องราวของพื้นที่ที่พวกมันกำลังนำเสนอ การเกิดขึ้นของมาสคอตประจำแม่กลองจึงมีความน่าสนใจ และน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของกระแสมาสคอตสุดฮิตประจำเมืองต่างๆ ซึ่งเราเองก็คงรู้จักกันจากการใช้มาสคอตในการโปรโมตเมืองโดยเฉพาะเมืองเล็กๆ และพื้นที่ท่องเที่ยวต่างๆ ของญี่ปุ่น ก่อนหน้านี้เล็กน้อยเราก็มีเจ้ากล้วยกรุงศรี มาสคอตดีเด่นด้านการเต้นมันที่กลายเป็นไวรัลน่ารักๆ

ในแง่ของมาสคอต ญี่ปุ่นถือเป็นดินแดนเจ้าพ่อของมาสคอต โดยเฉพาะการใช้มาสคอตเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวของเมือง มาสคอตที่ดังระดับซูเปอร์สตาร์และทำให้เรารู้จักเมืองคุมาโมโตะคือเจ้าคุมะมง ความน่ารักและการตีความสิ่งที่เป็นนามธรรมให้เป็นรูปธรรม เป็นคาแร็กเตอร์ของญี่ปุ่นที่มีบริบททางวัฒนธรรมเช่นอิทธิพลจากความเชื่อเรื่องภูตผี ไปจนถึงเจ้า Yuru-Chara หรือมาสคอตของญี่ปุ่นเองก็มีกฎในความไร้สาระและดูบ้าบอของมัน ซึ่งความบ้าบออันเป็นพื้นฐานกลับกลายเป็นหัวใจหลักในการสื่อสารและเชื่อมโยงผู้คน ทั้งในระดับประเทศและดึงดูดสร้างความรักได้ในระดับโลก

ในวันที่การท่องเที่ยวเริ่มกลับมาและเราเริ่มพูดถึงเศรษฐกิจสร้างสรรค์ การออกแบบ และการเกิดขึ้นของมาสคอตและไอคอนแบบไทยๆ คอลัมน์ทรัพย์คัลเจอร์ขอพาเดินทางกลับไปยังต้นปี 2000 เพื่อมองหาประวัติศาสตร์ที่ไม่ใกล้ไม่ไกลของมาสคอต ชวนไปดูเงื่อนไขการเกิดขึ้นที่อาจเชื่อมโยงความน่ารักเข้ากับผลกระทบของยุคหลังสงครามของญี่ปุ่น ความสัมพันธ์ของมาสคอต วัฒนธรรมดั้งเดิมและความคิดเรื่องบ้านเกิดเมืองนอน ไปจนถึงการทำงานอย่างเป็นระบบจนมาสคอตมีตัวตนที่เราเชื่อ ตัวตนที่พาเมืองมาหาเราและทำให้เรารักได้แม้ยังไม่ต้องเดินทางไป

คาวาอี้คัลเจอร์ และ Yuru-Chara

มาสคอตด้วยตัวมันเองมีที่มาที่ยาวนานและหลากหลายเช่นมาสคอตของทีมกีฬาไปจนถึงมาสคอตของร้านอาหารและแบรนด์ต่างๆ แต่สิ่งที่เราจะพูดถึงคือการเฟื่องฟูขึ้นของมาสคอตของญี่ปุ่น โดยเฉพาะเหล่ามาสคอตที่มีนัยของความน่ารักและไร้สาระที่เรียกว่า Yuru-Chara

ในองค์ประกอบของมาสคอตแบบญี่ปุ่น หนึ่งในจุดเด่นของพวกมันคือความน่ารัก ซึ่งนิยามที่ลึกลงไปของมาสคอตแบบญี่ปุ่นอยู่ในคำว่า Yuru-Chara คือพวกมันไม่ได้แค่น่ารัก นิยามที่ละเอียดขึ้นของคำว่า Yuru มีนัยที่น่าสนใจคือหมายถึงความหลวมๆ ลำลอง ซึ่งนัยของคำนี้อาจหมายถึงความนุ่มนวล อ่อนแอ สบายๆ ไม่ซับซ้อน

นิยามที่สำคัญที่มักอ้างอิงไปที่จุน มิอุระ (Jun Miura) นักวาดการ์ตูนและผู้สนใจวัฒนธรรมร่วมสมัย ผู้เริ่มใช้คำว่า Yuru-Chara อ้างอิงว่าเริ่มใช้คำและนิยามความหมายไว้ในช่วงทศวรรษของปี 2000 ตัวนิยามของจุนค่อนข้างสะท้อนถึงการสร้างมาสคอตโดยยึดโยงเข้ากับความเป็นพื้นถิ่น กับบริบทเมืองและบ้านเกิด กฎ 3 ข้อของจุนประกอบด้วย

  1. มาสคอตทำหน้าที่ส่งความรู้สึกรักบ้านเกิดหรือภูมิภาคของตนอย่างจริงจัง
  2. การเคลื่อนไหวของตัวละครที่สร้างและพฤติกรรมจะต้องเฉพาะตัว และมีความไม่เสถียรหรือประดักประเดิด
  3. ตัวคาแร็กเตอร์จะต้องไม่มีความซับซ้อน (unsophisticated) และมีความสบายๆ (laid-back หรือ yurui) และเป็นตัวละครที่คนจะรักได้

ก่อนที่จะไปถึงรายละเอียดความประหลาดของเจ้ามาสคอต อยากชวนไปสำรวจความซับซ้อนของวัฒนธรรมความน่ารักซึ่งนับเป็นเงื่อนไขสำคัญของมาสคอต และเป็นองค์ประกอบที่ค่อนข้างสำคัญของญี่ปุ่น คำว่าคาวาอี้ มีงานวิจัยที่สำรวจย้อนไปอย่างยืดยาวและสลับซับซ้อน เช่นงานวิจัยเรื่อง The Pragmatics of Kawaii (Cute) งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนที่สนใจศึกษามาสคอตโดยเฉพาะและเชื่อมโยงเข้ากับวัฒนธรรมความน่ารัก

วิทยานิพนธ์พาเราไปสำรวจคอนเซปต์ความคาวาอี้ ว่าจริงๆ เป็นคำเก่าแก่ตั้งแต่สมัยโบราณ นัยเก่าของคำแตกต่างไปจากปัจจุบันแต่ก็มีบางนัยที่เชื่อมโยงกับคอนเซปต์ของมาสคอตแบบคาวาอี้ได้ นิยามเดิมของคำว่าคาวาอี้ในศิลปะและวรรณกรรมยุคแรกเริ่มหมายถึงสิ่งที่เล็กๆ ไม่สลักสำคัญ และมีความไม่เป็นทางการหรือไม่เป็นมืออาชีพ (small, delicate, and immature) นิยามแรกๆ เช่นตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 ค่อนไปทางความน่าอับอาย น่าสงสาร ไม่สำคัญ บอบบาง

จุดเปลี่ยนสำคัญและการเติบโตของวัฒนธรรมคาวาอี้ นักวิชาการบางคนนิยามว่าเป็นผลพวงและความเฟื่องฟูในยุคสงครามมหาเอเชียบูรพา (Pacific War) คำว่าคาวาอี้เริ่มปรากฏโดยสัมพันธ์กับสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ และของสวยๆ งามๆ ที่มาจากโลกตะวันตกในทศวรรษ 1970 ความคาวาอี้ผูกโยงเข้ากับเด็กผู้หญิง คำว่าคาวาอี้มักหมายถึงข้าวของสวยๆ (fancy goods) หรือตัวละครสวยๆ อันหมายถึงตัวละครน่ารักโดยเฉพาะตัวละครจากดิสนีย์ ของจากตะวันตกเหล่านี้มักมีลักษณะเล็ก สีสันอ่อนนุ่ม กลม นุ่มนวล น่ารัก (loveable) และไม่ใช่ของแบบญี่ปุ่น ความคาวาอี้สัมพันธ์กับความเป็นเด็ก และในงานวิจัยดังกล่าวพูดถึงบริบทที่ความน่ารัก ความไม่เป็นผู้ใหญ่เหล่านั้นที่กลายเป็นพื้นที่ให้ความอบอุ่นสบายใจให้กับผู้คน

ยุคหลังสงครามและมาสคอตที่ร่วมช่วยเหลือชนบท

เวลาที่เราพูดถึงความสำเร็จของมาสคอต เรามักพูดถึงเจ้าคุมะมงที่กลายเป็นกระแสทั่วโลก หรือจุดเริ่มของคำว่ามาสคอตแบบญี่ปุ่นในช่วงปี 2000s เป็นต้นมา บริบทและจุดเริ่มของมาสคอตเมืองเกี่ยวข้องกับภาวะหลังสงครามของญี่ปุ่นที่เป็นรูปธรรมมากกว่าแค่ความนิยมเรื่องความคาวาอี้ในฐานะพื้นที่น่ารักพักใจและการบริโภคของผู้หญิง

ประเด็นเรื่องการสร้างมาสคอตขึ้นเป็นตัวแทนและเป็นจุดขายของเมืองเล็กๆ หรือเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ เป็นผลพวงของการก้าวเข้าสู่ยุคหลังสงครามของญี่ปุ่น ปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้นในทศวรรษ 1970-1990 ญี่ปุ่นเจอกับหลายปัญหาทั้งการที่ชนบทร้างเพราะคนรุ่นหนุ่มสาวย้ายเข้าเมืองหลวงและเมืองใหญ่ ไปจนถึงเศรษฐกิจของญี่ปุ่นที่เข้าสู่ภาวะฟองสบู่และเกิดปัญหาในทศวรรษ 1990

ทิศทางสำคัญของรัฐบาลคือการฟื้นฟูชนบททั้งในแง่ของการพยายามกระจายความเจริญออกไป เพื่อให้พื้นที่อื่นๆ นอกจากเมืองใหญ่มีจำนวนประชากรเพิ่ม ไปจนถึงเริ่มใช้การท่องเที่ยวเป็นกลยุทธ์สำคัญในการฟื้นฟูเมืองเล็กและเมืองรองอื่นๆ ให้กลับมามีชีวิต ทั้งเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวและเปิดให้ผู้คนกลับไปยังบ้านเกิดและภูมิภาคของตัวเอง

กระแสในช่วงนั้นจึงเกิดหลายความเคลื่อนไหว เริ่มเกิดกระแสเรื่องบ้านเกิด (furusato) มีการให้ภาพการหวนหาภาพบ้านเกิด (nostalgia) หลายส่วนเป็นการวาดภาพขนบธรรมเนียมความเป็นพื้นถิ่นขึ้น ตรงนี้เองที่หลายๆ พื้นที่เริ่มค้นหาคาแร็กเตอร์ของภูมิภาค (regional character) คือตัวตนเชื่อมโยงกับประเพณีหรือองค์ประกอบดั้งเดิม ในยุคนั้นมักเป็นภาพของขนบธรรมเนียม เป็นเรื่องของอดีต แต่ความพิเศษของกระแสเรื่องบ้านเกิด การกลับไปพัฒนาบ้านเกิดกลับมีกระแสใหม่ในช่วงปี 1970 คือมองตัวตนและการดึงดูดของการท่องเที่ยวโดยให้ความตลกขบขันและเป็นการล้อเจ้าความเป็นบ้านเกิดเมืองนอนแบบโหยหาอดีต

ตรงนี้เราจะเริ่มเห็นรายละเอียดของการใช้ตัวมาสคอตจากพื้นที่นอกเมืองใหญ่ เช่น โตเกียว โอซาก้า หรือพวกแบรนด์ขนาดใหญ่ แต่เป็นการสร้างตัวตนใหม่ๆ จากบริบทของพื้นที่ ในบางความเห็นจะอธิบายว่า Yuru-Chara หรือมาสคอตแบบญี่ปุ่นในบริบทตัวแทนเมืองสัมพันธ์กับความเชื่อเรื่องโยไคหรือภูต ที่ความเชื่อท้องถิ่นของญี่ปุ่นเชื่อเรื่องการเป็นตัวเป็นตนขึ้นของสรรพสิ่งตั้งแต่ร่มจนถึงเหล่าสัตว์ประจำท้องที่ ตรงนี้เองก็สัมพันธ์กับการหาตัวตนผ่านบริบทหรือเรื่องของท้องที่ด้วย

ร่องรอยแรกๆ ของมาสคอตประจำเมืองมีหลักฐานอ้างอิงกลับไปที่ปี 1991 ถึงตัวคาแร็กเตอร์ชื่อ Jagata-kun เป็นน้องมันฝรั่งเด็กอ้วนที่ใช้ชีวิตสบายๆ น้องมันฝรั่งมีหมวกเป็นภูเขาหิมะ ตัวน้องเองเป็นน้องสุดชิลล์ที่กำลังเล่นสกี โดยน้องมันฝรั่งเป็นมาสคอตของเมืองคุตชังในจังหวัดฮอกไกโด เมืองที่ดังจากมันฝรั่ง เทศกาลมันฝรั่งและภูเขาหิมะ จากน้องมันฝรั่งคาดกันว่าน่าจะมีการสร้างมาสคอตขึ้นก่อนหน้านี้

หลักฐานสำคัญเรื่องมาสคอตและความเป็นเมืองเราก็กลับไปที่คุณมิอุระ จุน ผู้นิยามคำว่า Yuru-Chara โดยคุณจุนตีพิมพ์สารานุกรมมาสคอตญี่ปุ่นในปี 2004 ในคำนำหนังสือสารานุกรมผู้เขียนได้ตั้งข้อสังเกตว่า ‘ได้เกิดคาแร็กเตอร์ต่างๆ ขึ้นทั่วประเทศ พวกคาแร็กเตอร์เหล่านี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนรัฐบาลและกิจกรรมของท้องถิ่น เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการฟื้นฟูหมู่บ้าน ซึ่งตรงนี้นำไปสู่นิยามสามข้อ และในพื้นที่สื่อของญี่ปุ่นก็เริ่มแยกความเป็นมาสคอตของการท่องเที่ยวท้องถิ่นออกจากมาสคอตของบริษัทและมาสคอตอื่นๆ

มาสคอต ศิลปะของการทำให้เชื่อ

ความพิเศษของเจ้ามาสคอตที่น่ารักประจำเมือง อย่างแรกคือเจ้ามาสคอตค่อนข้างเกิดขึ้นจากการแก้ปัญหา คือปัญหาจากยุคสงคราม ปัญหาเศรษฐกิจ และปัญหาชนบทที่ถดถอยลง บทบาทของพวกมันจึงค่อนข้างสัมพันธ์ทั้งกับความรู้สึกของยุคหลังสงครามและโลกสมัยใหม่คือการเป็นองค์ประกอบน่ารักๆ ให้ความสบายใจในโลกที่เร่งรีบและวุ่นวาย ทั้งนี้ตัวมาสคอตเองยังมีพลังพิเศษในการเชื่อมโยงชุมชนเข้าหากัน

อย่างไรก็ตาม โมเดลแบบญี่ปุ่นโดยเฉพาะกับเจ้ามาสคอตเมือง มีประเด็นว่าทำไมการใช้ความคาวาอี้ของรัฐและของรัฐบาลท้องถิ่นถึงได้มีพลังนัก ความสำเร็จของคาแร็กเตอร์น่ารักของเมืองในการประชาสัมพันธ์เมืองมีข้อวิเคราะห์ในหลายด้าน เช่นพลังของตัวคาแร็กเตอร์เองที่เข้าใจง่าย มีความเป็นเด็ก จับความสนใจคนได้ทันทีในทุกกลุ่มอายุ นอกจากนี้ยังมีเรื่องการที่รัฐทำงานร่วมกับเจ้าคาแร็กเตอร์ เช่นการสร้างตัวตนของมันอย่างลำลอง การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนผ่านทั้งพื้นที่กายภาพเช่นการใส่ชุดมาสคอตไปทำสิ่งต่างๆ ทำให้ตัวคาแร็กเตอร์ซึ่งเป็นภาพแทนของเมืองมีชีวิต เมืองที่เคยเป็นพื้นที่ที่ไม่มีตัวตนจึงมีตัวตนและเข้าถึงได้

ความพิเศษของการย้อนดูที่มาของมาสคอต การแก้ปัญหาเมืองชนบท และการใช้บริบทวัฒนธรรมเช่นความน่ารักที่มีร่องรอยและการผสมผสานที่ยาวนาน เจ้ามาสคอตที่ดูไร้สาระแต่ทว่ามีกฎเกณฑ์ที่มาของตัวเอง ในความบุ้ยใบ้ไร้สาระของมัน ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เบื้องหลังมีการทำงานในระดับรัฐและของผู้คนในชุมชนในการชุบชีวิตเมือง ความเป็นมาสคอตเมืองมีนัยที่ซับซ้อนเช่นความชื่นชอบของผู้คนที่ไม่ได้จำกัดแค่ชาวญี่ปุ่น 

เรารักคุมะมงเพราะเราเชื่อว่าคุมะมงมีตัวตนจริงๆ เป็นคุมะมงที่กวนประสาท น่ารัก 

เราไม่ได้คิดว่าเบื้องหลังของมันคือคนใส่ชุดที่เหงื่อโชก แอดมินของเอเจนซีที่ตอบทวิตเตอร์เรา

แต่เราเชื่อว่าคุมะมงคือคุมะมง คุมะมงที่เราเชื่อว่าตัวมันเป็นแบบนั้นและเมืองคุมาโมโตะก็เป็นแบบนั้น ซึ่งเรารักมันได้ แม้เราจะยังไม่เคยไปเลยด้วยซ้ำ

ภาพ : くまモン【公式】, shinjokun, Plaplatootoo, ふなっしー💙

อ้างอิงข้อมูล

Calligraphy Businessไอเดียธุรกิจการสร้างมูลค่าเพิ่มจากตัวอักษร

calligraphy หรืออักษรวิจิตร คือศาสตร์การออกแบบตัวอักษรที่มักถูกมองว่าเป็นศิลปะ แต่รู้ไหมว่าศิลปะนี้สามารถสร้างรายได้และทำเป็นธุรกิจได้ไม่ต่างจากธุรกิจศิลปะและการออกแบบประเภทอื่นๆ เลย

ทุกอย่างที่มีตัวอักษรทั้งการ์ด บัตรเชิญ โปสเตอร์ โลโก้ แทตทู ป้าย บิลบอร์ด ฉลากสินค้า แพ็กเกจ ของชำร่วย งานศิลปะ ฯลฯ เหล่านี้ล้วนเป็นโอกาสทองสำหรับผู้ที่สามารถออกแบบตัวอักษรได้สวยงาม เพื่อให้เห็นภา

คุณสามารถแวะเข้าไปดูผลงานในอินสตาแกรมของศิลปิน calligraphy ชาวไทยเหล่านี้ที่หลงใหล calligraphy มาอย่างยาวนาน @sorravis.p, @nari.luna, @rapigraphy แล้วจะพบว่าผลงานจากการครีเอตตัวอักษรนั้นมีหลากหลายรูปแบบที่คาดไม่ถึงจริงๆ

ส่วนใครที่พอมีทักษะในการออกแบบตัวอักษร เหล่านี้คือไอเดียและสเตปในการเริ่มต้นธุรกิจที่สามารถทำตามได้ง่ายๆ

1. Craft Your Font Style & Find Niche Market : เริ่มจากฝึกฝนสไตล์การเขียนตัวอักษรที่ไม่เหมือนใครและหาโอกาสจากตลาด niche

สิ่งสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งที่จะขาดไปไม่ได้เช่นเดียวกับการทำธุรกิจหมวดอื่นๆ คือการสร้างจุดแตกต่าง (unique selling point) ที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ถึงแม้ calligraphy จะเป็นศาสตร์ที่มีการสอนทั่วโลกแต่แน่นอนว่าลายมือของแต่ละคนย่อมออกมาไม่เหมือนกัน การออกแบบสไตล์การเขียนและเทคนิคที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตัวเองจะช่วยสร้างความประทับใจและทำให้ผู้ติดตามจดจำเราได้ง่าย

ตัวอย่างศิลปิน calligraphy ที่โด่งดังมานานคือ CHALKBOY ชาวญี่ปุ่นที่เริ่มเขียนด้วยชอล์กจนคนจดจำได้ และพัฒนาเทคนิคอื่นๆ จนได้ร่วมงานกับแบรนด์ระดับโลกมากมาย หรือตัวอย่างในไทยคือศิลปินชาวเหนือนาม Tusk (@tusk6) ที่ออกแบบตัวอักษรโดยผสมกลิ่นอายความเป็นล้านนาเข้าไปทำให้ผลงานของเขาไม่ซ้ำใครและออกมาเป็นผลิตภัณฑ์อย่างหมวก เสื้อผ้า ป้ายคำ ฯลฯ ที่มีกลุ่มลูกค้าเฉพาะของตัวเอง

สไตล์การเขียนตัวอักษรของศิลปินจะส่งผลต่อโมเดลธุรกิจและการเลือกกลุ่มลูกค้าเฉพาะ เช่น หากถนัดใช้ปากกาหมึกซึมเขียนตัวอักษรแบบดั้งเดิมลงบนกระดาษจริง คุณอาจเหมาะกับการทำการ์ดเชิญแบบหรูหราสำหรับงานเลี้ยง งานแต่ง และมีกลุ่มลูกค้าเป็นแขกที่กำลังจะจัดงานเหล่านี้ หรือหากถนัดใช้โปรแกรมเขียนตัวอักษรแบบออนไลน์ ลูกค้าอาจเป็นคนที่กำลังมีแผนจะทำแบรนดิ้งและทำกราฟิก เป็นต้น

2. Choose Business Model : เลือกรูปแบบการขายที่เหมาะกับทักษะและไลฟ์สไตล์ของตัวเอง

การหารายได้จาก calligraphy สามารถขายทั้งในรูปแบบสินค้าและบริการ จับกลุ่มลูกค้าได้ทั้ง B2C และ B2B อีกทั้งสามารถทำเป็นงานอดิเรกขนาดเล็กด้วยตัวคนเดียวไปจนถึงสเกลการขายให้ใหญ่ขึ้นด้วยการพาร์ตเนอร์เป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ได้คอนเนกชั่นเพิ่มเติม ต่อไปนี้คือตัวอย่างรูปแบบการขายที่น่าสนใจ

  • สินค้าการ์ดแฮนด์เมด

ธุรกิจแฮนด์เมดนั้นสามารถเริ่มได้แบบง่ายแสนง่ายและถ้ามีทักษะศิลปะหรือออกแบบประกอบด้วยแล้วยิ่งดี ถ้าใครอยากทำแบบจริงจัง วิธีสเกลธุรกิจคือการวิเคราะห์ว่ากลุ่มลูกค้ากลุ่มไหนที่มีขนาดตลาดใหญ่และมีโอกาสมากสำหรับสินค้ารูปแบบนี้ ซึ่งหนึ่งในตลาดหลักของการ์ด calligraphy คืองานแต่งงาน ซึ่งมีองค์ประกอบที่ต้องใช้ตัวอักษรในงานมากมาย ทั้งการ์ดเชิญ, การ์ดบนโต๊ะทานข้าว, ป้ายตัวอักษรสำหรับประดับตกแต่งต่างๆ ในงาน, ของชำร่วย คุณสามารถเพิ่มมูลค่าได้ด้วยการหาพาร์ตเนอร์เป็นผู้ผลิตเครื่องเขียนหรือหาพันธมิตรเป็นออร์แกไนเซอร์จัดงานแต่งงานเพื่อให้สามารถหาลูกค้าได้ต่อเนื่อง

  • สินค้าและบริการเขียนคำคม

เหมาะกับคนที่มีไอเดียครีเอทีฟที่นอกจากเขียนสวยแล้วยังสร้างสรรค์คำคมได้ หากย้อนกลับไปหลายปีที่แล้ว นักเขียนอักษรวิจิตรมักฝึกคัดตามศาสตร์ calligraphy แบบดั้งเดิมเท่านั้น แต่ปัจจุบันจะเริ่มเห็นการออกแบบตัวอักษรในรูปแบบโมเดิร์นที่หลากหลายมากขึ้น เช่น คนที่ไม่ได้ฝึกเขียนตามศาสตร์ calligraphy แต่ใช้ลายมือตัวเองเขียนคำคมในโซเชียลมีเดียที่โดนใจคนทำให้เกิดผู้ติดตาม

ในไทยหลายคนน่าจะรู้จัก ‘เตยยี่’ (@teayiiartworks) ที่มีฟอลโลว์เวอร์หลักแสนคน และต่อยอดการเขียนคำคมด้วยลายมือตัวเองจากโลกโซเชียลสู่นิทรรศการร่วมกับแบรนด์ต่างๆ มากมาย สิ่งที่ทำให้คนจดจำเตยยี่ได้คือข้อความให้กำลังใจง่ายๆ เมื่อเขียนจนสม่ำเสมอและมีฐานแฟนคลับทำให้เวลาแบรนด์ต่างๆ อยากจัดอีเวนต์ กิจกรรม นิทรรศการที่ให้กำลังใจคนและเชื่อมโยงกับผู้คนก็จะชวนเตยยี่มาเขียนให้

อีกหนึ่งตัวอย่างคือ Studio Cantalove (@studio_cantalove) ที่เขียนคำคมจากลายมือตัวเองบนสินค้าต่างๆ เช่น การ์ด แก้ว ฯลฯ ข้อความที่เขียนเน้นเรียบง่ายและมินิมอลแต่เมื่อไปอยู่บนสินค้าด้วยลายมือสวยๆ ก็ให้ความรู้สึกพิเศษ เช่น ‘ค่อย ค่อย’ ‘มีแต่ตอนนี้’ ‘เชียร์อยู่นะ’ ‘เรามีเท่านี้’ เอกลักษณ์คือไม่ใช่การเขียนครั้งเดียวแล้วพิมพ์หรือสกรีนลงบนสินค้าจำนวนมากแต่เป็นงานศิลปะสุดประณีตที่ใช้ปากกาเขียนแบบสดๆ ลงบนการ์ดทีละชิ้นและแก้วทีละใบ

  1. บริการเขียนอวยพรสำหรับของขวัญ Personalized หลายคนอาจคิดว่าตัวอักษรสามารถเขียนได้แค่บนการ์ด โปสเตอร์ หรือกรอบรูปเท่านั้น แต่ตลาดที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือตลาดของขวัญ กลุ่มลูกค้าสำหรับโมเดลนี้คือกลุ่ม B2B ที่เป็นร้านค้า กิฟต์ช็อป ร้านบูทีก และแบรนด์ต่างๆ ที่ทำคอลเลกชั่นพิเศษและอยากทำการ์ดอวยพรสำหรับลูกค้า นั่นแปลว่าคุณอาจไม่จำเป็นต้องผลิตสินค้าเองก็ได้ แค่รับเขียนให้ลูกค้าที่มีสินค้าน่าขายอยู่แล้ว
  2. บริการเขียน calligraphy สำหรับงานอีเวนต์ นอกจากงานแต่งงานแล้ว โอกาสในตลาดกลุ่มงานอีเวนต์ยังมีอีกมากมาย เช่น กาล่าดินเนอร์ อีเวนต์เฉลิมฉลอง งานอีเวนต์ต้องใช้ตัวอักษรมากมายหลายจุด ไม่ว่าจะเป็นป้าย signage ที่นั่ง เมนูอาหาร ใบแสดง agenda ไม่ต่างจากไอเดียในการขายการ์ดสำหรับงานแต่ง หากคุณอยากขยายธุรกิจเพิ่ม การมีพาร์ตเนอร์เป็นออร์แกไนเซอร์จัดงานอีเวนต์จะทำให้มีต้นทุนที่แข็งแกร่งในการขยับขยาย เช่น บริษัทผู้จัดงานปาร์ตี้หรือจัดโต๊ะแบบ fine dining
  3. คอร์สสอนเขียน calligraphy สำหรับผู้เชี่ยวชาญ calligraphy บางคนอาจไม่ถนัดทำสินค้าแต่สนุกในกระบวนการ ก็สามารถเปิดสอนเป็นคลาสเวิร์กช็อปแบบออฟไลน์และสามารถสเกลธุรกิจได้ด้วยการทำคอร์สออนไลน์ หรือทำสินค้าเป็น worksheet สำหรับหัดเขียน calligraphy
  • สินค้าตัวอักษรมงคล

ถ้านึกถึงตัวอักษรจีนและญี่ปุ่นที่สื่อความหมายมงคล อย่างศิลปะการเขียนพู่กันจีนตุ้ยเหลียน จะเห็นว่าโอกาสทางตลาดอีกโอกาสหนึ่งคือตลาดสินค้ามงคลและความเชื่อ ซึ่งไม่ใช่แค่ต้องเขียนสวยเท่านั้นแต่อาจต้องมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง เช่น ตัวอักษรจีนมงคลมักเขียนโดยซินแสผู้เชี่ยวชาญด้านพู่กันจีน โดยสามารถเพิ่มมูลค่าได้ด้วยการใส่กรอบรูปหรือทำเป็นของขวัญ ของตกแต่งบ้านเสริมความเฮง

3. Show Off Your Portfolio : ทำการตลาดและสร้างผู้ติดตาม

การสร้างพอร์ตโฟลิโอเพื่อโชว์ผลงานให้คนรับรู้เป็นสิ่งจำเป็น เช่นเดียวกับบริการออกแบบของนักออกแบบสายอื่นๆ การถ่ายรูปและอัพเดตผลงานเป็นประจำจะช่วยดึงดูดลูกค้าที่มีความชอบในสไตล์ตัวอักษรของเราจริงๆ

วิธีง่ายที่สุดคือการถ่ายผลงานลงโซเชียลมีเดียและสร้างคอมมิวนิตี้ผู้ติดตามที่หลงใหลใน calligraphy เหมือนกัน นอกจากผลงานสุดท้ายที่เขียนเสร็จแล้ว คุณสามารถแชร์กระบวนการทำงาน tips และ tutorials ในการเขียน เรื่องราวเบื้องหลังเพื่อให้คนรับรู้และผูกพันกับแบรนด์

ในต่างประเทศจะเห็นคนทำบล็อกสอน calligraphy ค่อนข้างเยอะ ประโยชน์ของการมีบล็อกจะทำให้ทำการตลาดได้ง่ายขึ้น เช่น ทำ SEO ใช้คีย์เวิร์ดที่คนสนใจเพื่อให้คนเสิร์ชเจอเว็บไซต์ของเรา ทำโฆษณาและการตลาดด้วยการทำคอนเทนต์เล่าวิธีหัดเขียนตัวอักษรวิจิตร วิธีนี้จะเหมาะอย่างมากสำหรับคนที่อยากทำคอร์สสอน

นอกจากช่องทางการขายและโปรโมตของตัวเองแล้ว สำหรับผลงานอย่าง calligraphy ยังสามารถขายได้ในแพลตฟอร์ม marketplace ออนไลน์ เช่น Etsy ที่มีฐานลูกค้าสนใจในงานแฮนด์เมดและมีกลุ่มลูกค้าทั่วโลกอยู่แล้ว

จะเห็นได้ว่ารูปแบบการเขียนและโมเดลการขายนั้นมีหลากหลาย และการเพิ่มมูลค่าตัวอักษรไม่เพียงแค่อาศัยทักษะการเขียนให้เก่งอย่างเดียวแต่ต้องมีทั้งทักษะการเขียน ไอเดียครีเอทีฟ การทำการตลาด การสร้างแบรนด์ ซึ่งเป็นธุรกิจที่สามารถเริ่มได้ตัวคนเดียวและทำเล็กๆ แบบ solopreneur ได้ โดยบางคนอาจทำเป็นโมเดลธุรกิจที่ขายควบหลายรูปแบบ ทั้งสินค้า บริการ และเป็นอินฟลูเอนเซอร์ไปพร้อมกันเลยก็ยังได้

อ้างอิง :

คุยกับ SAFE ผู้นำบริการทางการแพทย์สำหรับคนมีบุตรยาก ที่อยากเป็นจิ๊กซอว์เติมเต็มความสุขของครอบครัว

แม้ยุคสมัยจะเปลี่ยนแปลงไป มีสารพัดปัจจัยที่ทำให้คนหนุ่มสาวเลือกที่จะมีลูกช้า หรือไม่มีลูกเลยก็ตาม สะท้อนจากสถิติ และจำนวนอัตราการเกิดของประชากรในแต่ละปีค่อยๆ ลดน้อยลงทุกทีๆ อย่างปีที่ผ่านมาคนเกิดต่ำกว่า 5 แสนคน

แต่เอาเข้าจริงก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าภาพครอบครัวสุขสันต์ที่มีทั้งพ่อ แม่ ลูก ก็ยังเป็นสิ่งที่หลายๆ ครอบครัวตามหาเฉกเช่นเดียวกัน และก็มีอีกหลายเหตุผลที่คนอยากมีลูกแต่ไม่สามารถมีได้

แต่คงไม่ใช่กับที่นี่แน่ๆ นี่คือ SAFE Fertility Group ศูนย์การแพทย์เพื่อการมีบุตรแบบครบวงจรที่ดำเนินธุรกิจมากว่า 15 ปี เป็นจิ๊กซอว์สำคัญตอบโจทย์ให้กับครอบครัวที่อยากมีลูก และใช้คำว่า ‘อยากมีลูก ไม่ใช่เรื่องยาก’ ได้ไม่เกินจริง 

ในวันเวลาที่ธุรกิจหยัดยืนได้อย่างแข็งแรงและเป็นความหวังให้หลายครอบครัว เราชวน นพ.วิวัฒน์ กว้างคณานุรักษ์ ผู้ก่อตั้ง และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซฟ เฟอร์ทิลิตี้ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) มาพูดคุยถึงเรื่องราว แนวคิด แนวทางในการทำธุรกิจเฉพาะทางที่ทำให้ SAFE Fertility Group ที่เพิ่งโลดแล่นใส่นามสกุลมหาชนเข้าไปอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ได้ไม่นาน เป็นที่รู้จักอย่างทุกวันนี้

อะไรคือสิ่งที่ทำให้คุณหมอสนใจในด้านสูตินรีเวชโดยเฉพาะสาขาผู้มีบุตรยาก เพราะหากย้อนกลับไปในยุคนั้นก็ยังไม่ได้เป็นที่รู้จักเหมือนกับปัจจุบัน

เดิมทีผมเรียนหมอจบแพทยศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และชอบสาขาวิชาโรคหัวใจที่สุด เพราะเป็นอะไรที่ซับซ้อน และก็เป็นเรื่องความเป็นความตาย การได้ช่วยคนไข้ให้รอดจากอาการหัวใจวายนี่รู้สึกว่าเป็นบุญกุศลที่ใหญ่ แต่ด้วยข้อจำกัดตอนที่ใช้ทุนไปอยู่โรงพยาบาลชุมชน ซึ่งโรงพยาบาลชุมชนไม่ได้มีแผนกหัวใจ ประกอบกับช่วงนั้นเองก็มีทุนเกี่ยวกับสูตินรีเวช ก็เหมือนโชคพาไปเลยก็ว่าได้ ผมเลยได้ไปเรียนต่อด้านสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา

หลังจากนั้นผมพบว่ามันมีสาขาย่อยๆ ลงไป หนึ่งในนั้นคือ สาขาภาวะการมีบุตรยาก ที่มันค่อนข้างที่จะเติบโตมาก โดยเฉพาะในตอนนั้นเรื่องของการทำกิฟต์บูมมาก ผมคิดว่าอยากช่วยคนที่อยากมีลูกได้สมหวัง เติมเต็มความสุขของครอบครัว ก็เลยมาเป็นหมอด้านนี้โดยเฉพาะ

แสดงว่าคุณหมอมองเห็นโอกาสในการเติบโต

ถ้าในตอนนั้นก็คงไม่ขนาดนั้นนะ ย้อนไปช่วงปี 1999 ตอนนั้นสาขาสูตินรีเวชที่ทำรายได้จริงๆ คือเรื่องของการทำคลอด เพราะประชากรไทยมีอัตราการเกิดมาก คนที่มีลูกยากไม่ได้มีมากเหมือนในปัจจุบัน แต่ในปัจจุบันผู้คนไม่ได้มีลูกเร็วขนาดนั้น จากสาเหตุปัจจัยหลายๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นการเงิน การงาน ความเครียดต่างๆ 

30 ปีที่แล้ว ผู้หญิงมีอายุเฉลี่ยที่จะแต่งงานคืออายุ 25 แต่ในปัจจุบันกลายเป็นว่าอายุเฉลี่ยถ้าจำไม่ผิดก็ราวๆ 30 หรือมากกว่า หรือแต่งแล้วยังไม่อยากมีลูก พอพร้อมที่จะมีลูกก็กลายเป็นว่าอายุเยอะขึ้น ด้วยอายุที่เยอะขึ้นก็ยิ่งทำให้มีลูกยากขึ้นไปอีก

ก่อนหน้านี้รู้มาว่าคุณหมอเป็นแพทย์ของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง อะไรคือสิ่งที่ทำให้คุณหมอตัดสินใจออกมาก่อตั้งคลินิกศูนย์เฉพาะทาง SAFE เป็นของตัวเอง 

หลังจากผมเรียนจบ ผมกลับไปใช้ทุนรัฐบาลได้ 10 ปี ก็ลาออกจากราชการ ไปอยู่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ขวนขวายการเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการมีบุตรยาก ไปเทคคอร์ส และตั้งศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากในโรงพยาบาลนั้นขึ้น พอทำไปสักพักมีปัญหาหลายอย่าง อย่างเช่น อยากได้เทคโนโลยีใหม่ๆ เฉพาะทาง โรงพยาบาลเองมีหลายแผนก มีข้อจำกัดด้านการจัดสรรเงินไปตามแต่ละแผนก ทำให้กว่าจะมีเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามามันค่อนข้างช้า ผมมองว่าถ้าออกมาเปิดคลินิกเปิดศูนย์ของตัวเอง เป็นศูนย์ที่เฉพาะทาง และน่าจะบริการคนไข้ได้ดีกว่า ด้วยเหตุนี้ทำให้ผมออกมาก่อตั้ง Safe Fertility Group ขึ้นในปี 2007

พอเป็นศูนย์ที่มีความเฉพาะทางย่อมมีความท้าทายมากกว่า

ในสมัยก่อนจริงๆ คนไข้อาจจะไม่ได้มากนัก และอัตราความสำเร็จไม่ค่อยสูง ก็ทำให้คนไม่ค่อยอยากมารักษา เพราะค่าใช้จ่ายก็สูง ความท้าทายคือเราจะเป็นศูนย์เฉพาะทางที่ลูกค้าเชื่อมั่นในการมาใช้บริการได้ยังไง แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนไป มีเทคโนโลยีใหม่ๆ เพิ่มขึ้น ทำให้อัตราความสำเร็จในการรักษาสูงขึ้น ปัจจุบันอัตราความสำเร็จอยู่ที่ 50-80% ก็ทำให้คนที่อยากมีลูกเลือกที่จะมาปรึกษาและใช้บริการ

SAFE ได้รับการรับรองมาตรฐานคลินิกเด็กหลอดแก้วแห่งแรกของประเทศไทย และแห่งที่ 2 ในเอเชีย จากสถาบัน RTAC

อะไรคือสิ่งที่คุณยึดถือและเป็นสิ่งที่สำคัญในการบริหาร SAFE

ผมตั้งใจอยากให้ SAFE เติมเต็มความฝันให้กับทุกครอบครัวที่อยากมีลูก ซึ่งไม่ใช่แค่อยากมีลูกอย่างเดียว แต่การมาใช้บริการที่ SAFE นั้น ลูกค้าผู้มาใช้บริการต้องได้ healthier baby กลับบ้านไปด้วย

ผมจึงตั้งใจให้ SAFE เป็น first mover ในหลายๆ เรื่องโดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี SAFE ได้รับการรับรองมาตรฐานคลินิกเด็กหลอดแก้วแห่งแรกของประเทศไทย และแห่งที่สองในเอเชีย จากสถาบัน RTAC

 ในปี 2555 ได้นำตู้เลี้ยงตัวอ่อนรุ่นใหม่มาใช้เป็นที่แรกในไทย และในปี 2557 มีการนำเทคโนโลยีคัดกรองโครโมโซมตัวอ่อนทั้ง 24 โครโมโซมมาใช้แห่งแรกในประเทศไทย อีกทั้งยังนำเข้าเทคโนโลยีการตรวจคัดกรองความผิดปกติของโครโมโซมทารกในครรภ์ และในปี 2562 ได้นำเทคโนโลยีฟื้นฟูรังไข่เข้ามาใช้เป็นต้น 

สิ่งสำคัญอีก 3 ส่วนที่ขาดไม่ได้เลยคือพนักงาน คนไข้ และผู้ถือหุ้น พนักงานของที่นี่ต้องทำงานด้วยความสุข ไม่เครียด ถ้าเราดูแลพนักงานดี พนักงานก็จะไปดูแลคนไข้ได้ดีเช่นกัน ขณะเดียวตัวศูนย์ฯ เองต้องพยายามทำให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน อบอุ่น มาแล้วปลอดภัย

ปัจจุบันที่ SAFE มีบริการอะไรบ้าง

ทั้งเครือมีธุรกิจด้วยกัน 3 ประเภทแยกเป็นบริการศูนย์ผู้มีบุตรยาก, บริการการตรวจทางพันธุศาสตร์ด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ รวมถึงการตรวจคัดกรองและตรวจวินิจฉัยโครโมโซมทารกในครรภ์ และบริการด้านผิวหนังและความงามให้บริการลูกค้าอย่างครบวงจรตั้งแต่ก่อนและหลังมีบุตร

หากเฉพาะบริการรักษาผู้มีบุตรยากด้วยวิธีต่างๆ SAFE มีบริการดังต่อไปนี้

หนึ่ง–การรักษาภาวะมีบุตรยากด้วยวิธี IUI เป็นการฉีดน้ำเชื้อที่ผ่านการคัดกรองเข้าไปในโพรงมดลูกโดยตรง 

สอง–การรักษาภาวะมีบุตรยากด้วยวิธี ICSI คือการช่วยปฏิสนธิของไข่และเชื้ออสุจิภายนอกร่างกายและส่งกลับตัวอ่อนเข้าไปยังโพรงมดลูกเพื่อให้เกิดการตั้งครรภ์ 

สาม–การย้ายตัวอ่อนกลับเข้าสู่โพรงมดลูก แบ่งเป็นการย้ายตัวอ่อนแบบรอบสดและรอบแช่แข็ง 

สี่–บริการแช่แข็งเก็บรักษาเซลล์ไข่ อสุจิ และตัวอ่อน  

ห้า–การเก็บอสุจิ ด้วยวิธี TESE หรือการเก็บอสุจิโดยตรงจากอัณฑะ 

หก–เทคโนโลยีคัดอสุจิด้วยวิธี IMSI ด้วยกล้องจุลทรรศน์ที่มีกำลังขยายสูงเพื่อคัดเลือกอสุจิลักษณะดีมาผสมกับเซลล์ไข่ 

เจ็ด–การคัดกรองอสุจิด้วยวิธี MACs Sperm 

คนไข้มาใช้บริการอะไรมากที่สุด

การทำเด็กหลอดแก้ว หรือ ICSI อันดับที่ 2 คือ IUI หรือการฉีดเชื้อเข้าโพรงมดลูก และอันดับที่ 3 คือบริการการแช่แข็งไข่

แล้วราคามีผลต่อจำนวนผู้มาใช้บริการหรือไม่ เพราะรู้มาว่าบริการด้านนี้ไม่ว่าจะคลินิกไหนก็ราคาค่อนข้างสูง 

ลูกค้าที่จะมาใช้บริการค่อนข้างทราบอยู่แล้ว ในมุมของผมราคาไม่ได้มีผลขนาดนั้น แต่สิ่งสำคัญ

คือเงินที่ต้องจ่ายต้องคุ้มค่ากับสิ่งที่ลูกค้าได้กลับไป

ค่ารักษาเฉลี่ยถ้าไม่ได้มีปัญหาอะไรมากเริ่มต้นหลักหมื่นบาท ส่วนการทำเด็กหลอดแก้วเฉลี่ย 4-5 แสนบาท

คุณหมอเคยเจอเคสยากๆ ไหม

 เยอะมาก (ลากเสียง) โพซิชั่นของ SAFE คือ Tertiary คนไข้ที่ล้มเหลว หมดหวัง ไปใช้บริการที่อื่นแล้วไม่ได้ผลให้มาที่นี่ ยกตัวอย่างเคสยากๆ อย่างเช่น ลูกค้าอายุ 45 ปี เป็นคนไข้ที่โพรงมดลูกพิการแต่กำเนิน SAFE ก็ช่วยให้มีลูกได้ คนที่อายุมากสุดที่มาใช้บริการนั้น สำหรับผู้ชายไม่มีข้อกำหนด ส่วนผู้หญิงทางการแพทย์ในไทยแนะนำว่าหลังอายุ 50 ปีแล้วไม่ควรตั้งครรภ์ เคสที่ผมเคยทำโดยใช้ไข่ตัวเองนั้นผู้หญิงอายุ 47 ปี ซึ่งถ้าอายุถึง 45 ปีก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ยากมากๆ แล้ว

จุดแข็งของ SAFE อยู่ที่ตรงไหน

ผมมองว่าเรามีพื้นฐานที่แข็งแกร่งก่อตั้งมาอย่างยาวนาน ตลอดระยะเวลา 15 ปีที่ผ่านมา เราได้ช่วยคู่สมรสที่มีบุตรยากทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติกว่า 15,000 คู่ 

สิ่งสำคัญในวงการนี้คือความน่าเชื่อถือ และการให้บริการที่บรรลุจุดประสงค์ของลูกค้าที่มาใช้บริการ จะเห็นว่า SAFE ไม่ค่อยได้ทำการตลาดอะไรเลย แต่สิ่งที่ทำให้คนรู้จักและมาใช้บริการที่ SAFE คือการบอกกันปากต่อปากของลูกค้ามากกว่า

ความท้าทายของวงการนี้คืออะไร

ผมมองว่าเป็นเรื่องของคน คือความท้าทายของทุกองค์กร เด็กรุ่นใหม่ๆ เปลี่ยนงานเร็ว ขณะเดียวกันหมอที่จบสาขานี้มีไม่มาก มันก็จะมีการซื้อตัวกันค่อนข้างเยอะ

เงินเป็นสิ่งสำคัญก็จริง แต่สิ่งที่ SAFE ทำอยู่ตลอดคือพยายามสร้างวัฒนธรรมของบริษัท สร้างความสุขในการทำงาน การทำงานเป็นทีม การไม่ทำผิดกฎหมาย จะทำให้เราทำธุรกิจได้อย่างยั่งยืน 

เห็นว่า SAFE เข้าไปอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แล้ว คุณมองอนาคตต่อจากนี้ยังไง

จริงๆ แล้ว แผนการพา SAFE เข้าไปอยู่ในตลาดหลักทรัพย์นั้นมีมาตั้งแต่ก่อนโควิด-19 แล้ว หลักจากโควิด-19 เริ่มซาลง และประเทศเริ่มฟื้นฟูกลับมาแม้จะยังไม่เต็มร้อยก็ตาม มันจึงเป็นเวลาที่เหมาะสม

การเข้าตลาดทำให้บริษัทเติบโตอย่างยั่งยืน เป็นการหาโอกาสให้มืออาชีพเข้ามาทำงานกับเรามากขึ้น สิ่งสำคัญคือการเติบโต ขยายทั้งในเรื่องของเทคโนโลยี ยอดขาย และสาขาที่จะมีเพิ่มขึ้นทั้งในและต่างประเทศแบบมั่นคง แต่สิ่งที่ลืมไม่ได้เลยคือเรื่องของคุณภาพในการบริการที่จะทำให้ธุรกิจเติบโตไปอย่างยั่งยืน

ทำธุรกิจด้วยรักไม่ใช่รบ ‘LQ (Love Quotient)’ ทักษะรักตัวเองสำหรับผู้ประกอบการ

แม้วันแห่งความรักจะผ่านพ้นไปแล้วแต่เดือนแห่งความรักยังไม่จบลง นอกจากรักคู่รัก รักครอบครัว รักเพื่อน รักคนรอบตัวแล้ว วันนี้เราอยากเตือนให้ทุกคนนึกถึงอีกหนึ่งทักษะที่สำคัญคือการรักตัวเอง (self-love) ซึ่งเป็นทักษะสำคัญมากโดยเฉพาะกับอาชีพที่มีความเครียดสูงอย่างนักธุรกิจ  

‘แนวความคิดว่า ‘Business is a Battle’ อาจไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพของผู้ประกอบการเท่าไหร่นัก’

ภาพจำของผู้ประกอบการในทุกวันนี้คือต้องอดทนต่อความกดดันได้สูง ล้มแล้วพร้อมที่จะลุกขึ้นใหม่เสมอ กล้าเผชิญความเสี่ยงและฝ่าสารพัดปัญหาของธุรกิจทั้งความกังวลว่าจะขาดทุนไหม จะมีเงินพอจ่ายพนักงานท่ามกลางวิกฤตหรือไม่ ผลประกอบการจะประสบความสำเร็จหรือเปล่า ยังไม่นับการทำงานหนักที่ทำให้เจ้าของกิจการหลายคนมีไลฟ์สไตล์ทำงานแบบอดหลับอดนอน ไม่ออกกำลังกาย ทานอาหารไม่เป็นเวลา ทำให้การทำธุรกิจมักถูกมองเป็นการต่อสู้เอาตัวรอด (Business is a Battle) ทั้งต่อสู้กับโลกภายนอก คู่แข่ง และก้าวข้ามขีดจำกัดตัวเองเพื่อความอยู่รอด

ตามทฤษฎีทางจิตวิทยาแล้ว เมื่อคนเรารู้สึกเหมือนอยู่ในสนามรบหรือต้องต่อสู้อยู่ตลอดเวลาจะทำให้เข้าโหมดตอบสนองที่เรียกว่า Fight or Flight กล่าวคือ หากรู้สึกว่าเกิดการคุกคาม บางคนก็จะต่อสู้ด้วยความก้าวร้าว หรือบางคนก็จะสู้โดยการหนี หากเทียบกับสนามธุรกิจให้เห็นภาพ เช่น ถ้าเจ้าของกิจการรู้สึกเครียดมากๆ ก็อาจต่อว่าตัวเองเวลาล้มเหลวอย่างรุนแรง หรือบางคนเวลาเจอความเสี่ยงทางธุรกิจก็อาจเข้าโหมดหนี ไม่แก้ปัญหาไปเลยแต่กดดันตัวเองอยู่ลึกๆ กรอบความคิดที่มองธุรกิจเป็นการสู้รบแบบนี้จึงถูกขับเคลื่อนด้วยความกลัวและกดดันดั่งต่อสู้อยู่ในสนามรบตลอดเวลา (fight-based business paradigm) 

‘โอบรับแนวคิดใหม่ที่ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยรัก (love-based business paradigm) และไม่ได้มองธุรกิจเป็นสนามรบ’

มีแนวความคิดใหม่ที่ healthy มากขึ้นสำหรับผู้ประกอบการที่รู้สึกว่าเลือดนักสู้ผู้ห้ำหั่นกันไม่ใช่ทางของตัวเอง
นั่นคือการมองว่าเราไม่ได้กำลัง ‘ต่อสู้’ กับคนอื่น แต่กำลังขับเคลื่อนธุรกิจด้วยความรัก เริ่มจากรักตัวเองแล้วแผ่ความรักและการสนับสนุนไปยังพนักงานในองค์กร พันธมิตร คู่ค้า ลูกค้าและอุตสาหกรรมของตัวเอง

แม้แต่ Jack Ma นักธุรกิจชาวจีนชื่อดังยังเคยกล่าวไว้เนิ่นนานแล้วในปี 2015 ว่า “ธุรกิจคือการแข่งขันที่สนุก แต่มันไม่ใช่สนามรบที่คุณจะตายหรือผมชนะ บางทีถึงคุณแพ้แต่ผมก็อาจจะไม่ชนะก็ได้” และวิธีที่จะปฏิบัติตามแนวทางนี้คือการเริ่มจากฝึกรักตัวเอง (self-love) นั่นเอง

ไม่ใช่แค่ EQ (Emotion Quotien) ที่สำคัญ แต่ LQ (Love Quotient) ก็เป็นรากฐานที่ทำให้สุขภาพใจแข็งแรงเช่นกัน’

สำหรับบทบาทที่ต้องสร้างอิมแพ็คและคำนึงถึงผู้อื่นอยู่เสมออย่างเจ้าของกิจการนั้น มีเกร็ดน่ารู้ที่ควรระวังไว้คือในทุกๆ การให้ของคนเราจะไม่สามารถทำได้อย่างยั่งยืน ถ้าไม่คำนึงถึงสุขภาพใจและกายของตัวเองก่อน ความรักที่ดีที่สุดคือรักตัวเองก่อนเสมอโดยมีคำศัพท์ที่เรียกว่า Love Quotient หรือทักษะในการรักและโอบกอดข้อดีข้อเสียของตัวเองซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญในการใจดีต่อคนอื่นต่อไป ยิ่งมีทักษะ LQ สูงเท่าไหร่ ก็จะยิ่งสามารถขยายขอบเขตนิยามการรักตัวเองให้กว้างขึ้นและทำได้หลายรูปแบบมากขึ้นโดยครอบคลุมทั้งการดูแลสุขภาพ ออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอซึ่งจะส่งผลให้มีพลังงานเต็มที่ในการฝ่าอุปสรรคต่อไปและยังทำให้ทักษะการจัดการอารมณ์ (EQ) ง่ายขึ้นตามมาอีกด้วย

แล้วเราจะสามารถสร้างเสริมทักษะ LQ ในการรักตัวเองยังไงได้บ้าง ?  

วิธีที่ 1 : คำนึงถึงตัวเองในสมการการตัดสินใจของธุรกิจ

หลายครั้งที่บทบาทผู้ประกอบต้องตัดสินใจภายใต้ความกดดันโดยคำนึงถึงความต้องการของคนอื่นและปัจจัยภายนอก เช่น ลูกค้า พาร์ทเนอร์ สิ่งสำคัญคือย่าลืมนึกถึงตัวเองด้วยในทุกๆ การตัดสินใจ เช่น การตัดสินใจในธุรกิจครั้งนี้จะทำให้เราใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไหม สนับสนุนให้เราเติบโตตามคุณค่าของเราไหม การรักตัวเองจะทำให้เราหันกลับมามองคุณค่า พันธกิจ และอิมแพ็คทางสังคมที่เราอยากสร้างแล้วตัดสินใจด้วยความกล้าและความรักมากกว่าความกลัว

วิธีที่ 2 : ยอมรับจุดอ่อนด้วยการมี self-talk หรือบทสนทนาที่ดีกับตัวเอง

เมื่อรู้สึกท่วมท้นไปด้วยอารมณ์ลบทั้ง เศร้า ผิดหวัง กลัว โกรธ การมีบทสนทนาที่ดีกับตัวเองด้วยคำพูดง่ายๆ อย่างเรารู้สึกยังไงบ้างในวันนี้ รู้จักขอโทษและให้อภัยตัวเองที่ทำผิดพลาดจะทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีกับตัวเอง วิธีนี้ยังทำให้เราได้กลับมาคุยกับตัวตนในวัยเด็กที่มีบาดแผลอยู่ในตัว (inner child) และยอมรับจุดอ่อนตัวเองได้เก่งขึ้น ยิ่งมี LQ สูงเท่าไหร่ มุมมองที่มีต่อจุดอ่อนของตัวเองก็จะยิ่งแข็งแรงขึ้น จากที่เคยมองว่าจุดอ่อนคือความอ่อนแอก็จะสามารถพลิกมุมมองมาหาข้อดีในจุดอ่อนและพร้อมแชร์สิ่งนั้นให้เกิดความเชื่อมโยงที่ดีและได้รับการสนับสนุนจากคนรอบข้างในทีมมากขึ้นได้ 

วิธีที่ 3 : สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่มีทักษะ LQ

เมื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับตัวเองได้แล้วก็จะทำให้ความสัมพันธ์กับผู้อื่นดีตามไปด้วย มีคำกล่าวว่าผู้นำที่มีทักษะ LQ หรือรักตัวเองได้ดีจะยิ่งสามารถ ‘Lead with Love’ หรือสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่พนักงานรักตัวเองและแฮปปี้ได้ตามไปด้วยในระยะยาว จะเห็นตัวอย่างได้จาก CEO ที่นำกิจกรรมใส่ใจดูแลตัวเองในชีวิตประจำวันมาสอดแทรกเป็นกิจกรรมขององค์กรด้วย เช่น Marc Benioff CEO ของ Salesforce ที่นั่งสมาธิเป็นประจำได้สร้างโซนและกิจกรรมฝึกฝนสมาธิให้องค์กรของเขาด้วย

เรื่องที่มักเข้าใจผิดกันคือ self-love หรือการรักตัวเองเท่ากับการเห็นแก่ตัวหรือตัดสินใจตามใจตัวเองโดยไม่คำนึงถึงคนอื่น หรือบางคนก็มองว่าการใช้ไม้อ่อนอย่างการรักตัวเองอาจทำให้ไม่สามารถขับเคลื่อนธุรกิจให้มีกำไรหรือบริหารองค์กรได้อย่างเด็ดขาดเท่าการมองธุรกิจเป็นสนามรบ ความจริงแล้วผู้ประกอบการสามารถรักตัวเองโดยยังคงความเด็ดขาด แน่วแน่ และมุ่งมั่นในการทำธุรกิจได้ แนวคิดการรักตัวเองจะทำให้อยากมอบสิ่งดีๆ ให้คนอื่นมากขึ้นซึ่งเป็นหัวใจในการทำธุรกิจที่จะสามารถสร้างกำไรได้อย่างยั่งยืนก็ต่อเมื่อเมื่อคำนึงถึงผู้อื่นได้อย่างแท้จริงนั่นเอง 

อ้างอิง

FUNDAO แบรนด์กระเป๋าของหญิงสาวผู้คลั่งไคล้เรื่องกระเป๋าจนต้องบินไปเรียนถึงมิลาน

FUNDAO เป็นกระเป๋าในฝันของ หยิน–ฝันดาว แบ้สกุล และผู้หญิงวัยทำงานที่ไม่อยากพกกระเป๋าหลายใบ

อ่านบรรทัดแรกคุณอาจรู้สึกว่าเคลมยิ่งใหญ่เกินไป แต่เราหมายความอย่างนั้นจริงๆ

ในความหมายแรก FUNDAO คือแบรนด์กระเป๋าที่เจ้าของแบรนด์อย่างฝันดาวใฝ่ฝันว่าอยากทำมานาน

ในความหมายที่สอง FUNDAO คือกระเป๋าที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อตอบโจทย์ผู้หญิงวัยทำงานผู้เคยพกกระเป๋าหลายใบ ใบหนึ่งสะพายเพื่อคอมพลีตลุคประจำวัน ส่วนอีกใบก็ใส่ของใช้ คอกเลกชั่น ‘AVA’ ถูกดีไซน์จาก pain point นั้นจนได้เป็นกระเป๋าหนังใบใหญ่ที่ทั้งสวยและจุของได้เยอะ

กระเป๋าของ FUNDAO ยังพิเศษกว่าแบรนด์ในตลาด ด้วยดีไซน์ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากธรรมชาติ (และบางครั้งก็มีการใช้วัสดุจากธรรมชาติมาเป็นองค์ประกอบหนึ่งจริงๆ)  อีกเหตุผลที่ทำให้หลายคนรักคือมันเปี่ยมไปด้วยคุณภาพการตัดเย็บที่อ้างอิงจากศาสตร์การทำกระเป๋าจากมิลาน และมีราคาที่คนทำงานเข้าถึงได้ง่ายสุดๆ

ช่วงปีที่ผ่านมา เราจึงได้เห็นคนวัยทำงานหลายคนที่เคยสะพายกระเป๋าแบรนด์แนมหันมาใช้กระเป๋าแบรนด์ไทยแบรนด์นี้กันมากขึ้น และพูดเลยว่า FUNDAO ไม่ได้ป๊อปปูลาร์แค่ในประเทศ แต่พวกเขายังมีเว็บไซต์ที่ส่งสินค้าไปทั่วโลก แถมมีช็อปตั้งอยู่ในปารีสกับนิวยอร์กอีกต่างหาก

ในวันที่เรานัดเจอกัน แบรนด์กระเป๋าที่เป็นความฝันเล็กๆ ของฝันดาวนั้นไม่ได้เล็กอีกต่อไป แต่กว่าจะถึงจุดนี้ อะไรคือแรงผลักดันทำให้แบรนด์ไทยแบรนด์หนึ่งเดินทางมาขนาดนี้ได้ เราขอใช้บรรทัดนี้ชวนคุณไปทำความรู้จัก FUNDAO และฝันดาวในบรรทัดต่อจากนี้กัน

ฝันของคนรักกระเป๋า

หลังจบจากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝันดาวเดินทางไปเรียนต่อปริญญาโทด้านการจัดการแฟชั่น (Fashion Management) และอนุปริญญาด้าน Bag & Pattern Making ที่มิลานด้วยความอินเรื่องกระเป๋าเต็มกระเป๋า

“หยินชอบกระเป๋าตั้งแต่เด็ก เวลาสอบแล้วทำคะแนนได้ดี หยินก็จะเก็บตังค์ซื้อกระเป๋าเป็นของขวัญให้ตัวเอง” เธอเล่าด้วยตาเป็นประกาย “ทุกครั้งที่ซื้อกระเป๋าใบใหม่เราจะเอามานั่งดู เอามากอด เอามาคุยด้วยอยู่นั่นแหละ ไม่ว่ากระเป๋าใบนั้นจะถูกหรือแพง ถ้าชอบคือชอบเลย”

มิลานคือเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องเครื่องหนังอยู่แล้ว ความอินจึงถูกต่อยอดให้กลายเป็นทักษะ ฝันดาวได้เรียนรู้เรื่องความละเอียดลออในทุกขั้นตอนของการทำกระเป๋าตั้งแต่การคัดเลือกหนังไปถึงการตัดเย็บจนสมบูรณ์

ในช่วงท้ายสุดของหลักสูตร ฝันดาวได้ลองทำกระเป๋าใบแรกในชีวิตของตัวเองขึ้น และท่ามกลางดีไซเนอร์ฝึกหัดนับร้อย กระเป๋าของเธอคือหนึ่งในไม่กี่ใบที่ถูกคัดเลือกให้ไปแสดงในงาน Milan Fashion Week หนึ่งในอีเวนต์ทางแฟชั่นที่ทรงพลังที่สุดของวงการ

“มันทำให้หยินรู้สึกว่า เฮ่ย เราเป็นคนไทยที่ไม่มีอะไรนอกจากความอินเรื่องกระเป๋าแล้วทำได้ขนาดนี้ ตอนนั้นหยินก็มีความมั่นใจมากขึ้น”

ความอินก็มี ความมั่นใจก็ครบ ทักษะก็พร้อม ที่เหลือฝันดาวก็แค่ต้องลงมือทำให้ความฝันในการมีแบรนด์กระเป๋าของตัวเองเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเท่านั้น

ฝันของลูกค้า

ในมุมมองของผู้บริโภคอย่างเรา ตลาดแฟชั่นเป็นตลาดที่มีการแข่งขันสูง ทุกอย่างดูไปเร็วมาเร็วไปหมด 

ในมุมมองของคนทำธุรกิจ ฝันดาวเห็นตรงกัน “เราคิดว่าทุกตลาดมีการแข่งขันสูงอยู่แล้ว แต่นั่นไม่ใช่พอยต์ที่จะทำให้หยินตัดสินใจว่าจะทำแบรนด์หรือไม่ทำ พอยต์คือในเมื่อหยินรักมัน มีแพสชั่นมากๆ กับมัน ทำไมหยินจะไม่ทำล่ะ ต่อให้หยินจะมีคู่แข่งเป็นหมื่นเป็นแสนแต่หยินก็มองว่ากระเป๋าของหยินมีตัวตนที่ชัดเจน กระเป๋าของหยินจะไม่เหมือนใครและคงไม่มีใครเหมือนด้วย”

เปี่ยมไปด้วยคุณภาพและราคาที่เข้าถึงได้ คือคำที่คนรักกระเป๋าหลายคนใช้นิยามกระเป๋าของฝันดาว   ซึ่งหญิงสาวเจ้าของแบรนด์ก็ยืนยันกับเราว่านั่นคือความตั้งใจที่เธอตั้งไว้ตั้งแต่ day 1 

“หยินอยากจริงใจกับผู้บริโภค ในเรื่องคุณภาพ หยินคิดว่าหยินก็มี know-how ระดับนึงเลย แต่หยินก็ขายในราคาที่ไม่สูงมากเพราะอยากให้คนได้ลองใช้แล้วบอกต่อ เมื่อเขารู้สึกว่าเขาได้รับอะไรมากกว่าราคาที่จ่ายไป เขาจะอยากกลับมาใช้เราอีก นี่คือสิ่งที่หยินอยากได้”

ฝันของคนเมือง

ไม่เพียงแค่ใส่แล้วต้องสวยสับ หิ้วไปไหนมาไหนได้ในทุกสถานการณ์ กระเป๋าของฝันดาวยังมีการนำทรัพยากรธรรมชาติในบ้านเรามาประกอบเป็นส่วนหนึ่งเพื่อบอกให้ชาวโลกรู้ว่าเมืองไทยก็มีของดี

อย่างคอลเลกชั่นแรกซึ่งขายดีมากในมิลานและนิวยอร์กคือกระเป๋าสายสะพายมุก ซึ่งก็เป็นมุกจากทะเลอันดามันทางใต้

“หยินเป็นคนภูเก็ต คุณแม่ก็จะรู้จักแหล่งขายมุกที่อาจไม่ได้เป็นรูปทรงกลมสมบูรณ์แบบ (well-rounded) แต่ยังสวย เพราะก่อนหน้านี้หยินรู้สึกว่าคนทั่วไปหาโอกาสใส่มุกได้ยากเลยอยากนำมุกมาเป็นส่วนหนึ่งของกระเป๋า” อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่ต้องใช้เวลาในการดูแลและคัดสรร ฝันดาวจึงไม่ได้ทำกระเป๋าสายสะพายมุกต่อเนื่องจากข้อจำกัดด้านการผลิต

ถึงอย่างนั้น หญิงสาวเจ้าของแบรนด์ก็บอกเราว่า ธรรมชาติเป็นองค์ประกอบที่ฝันดาวให้ความสำคัญมาแต่แรก เพราะ ในกระเป๋าทุกคอลเลกชั่น คุณจะเห็นเครื่องหมายไขว้ซ่อนอยู่ตรงมุมใดมุมหนึ่งเสมอ “นั่นคือการไขว้กันระหว่างอดีตกับอนาคต การไขว้กันของมนุษย์กับธรรมชาติ เพราะหยินเชื่อว่าธรรมชาติกับมนุษย์เป็นสิ่งที่ถูกสร้างมาพร้อมกัน เป็นแรงผลักดันซึ่งกันและกัน”

องค์ประกอบอื่นๆ ของกระเป๋าก็มีการผสมผสานธรรมชาติมารวมไว้ด้วยเช่นกัน   อย่างสีของกระเป๋าซึ่งเป็นสีเอิร์ธโทน ไปจนถึงกระบวนการฟอกหนัง ที่ได้รับรองจาก LWG (Leather Working Group) องค์กรไม่แสวงหากำไรที่อุทิศตนเพื่อผลิตเครื่องหนังที่ยั่งยืน เพื่อยืนยันว่ากระเป๋าใบนั้นถูกผลิตขึ้นในโรงงานที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อโลก ไม่ปล่อยสารเคมีที่ทำลายสิ่งแวดล้อม

“จริงๆ การไปสัมผัสธรรมชาติเป็นการชาร์จแบตของมนุษย์นะ มันทำให้เรามีชีวิตชีวา เราจึงอยากนำธรรมชาติเข้ามาให้คนเมืองสัมผัสผ่านกระเป๋าด้วย” 

ฝันของผู้หญิงวัยทำงาน

ถ้าถามว่าคอลเลกชั่นที่ทำให้ฝันดาวบูมสุดๆ คือคอลเลกชั่นไหน อาจตอบได้ว่า AVA คอลเลกชั่นที่โดดเด่นทั้งเรื่องสไตล์และความจุ 

“ด้วยกลุ่มลูกค้าหลักของเราเป็นผู้หญิงวัยทำงานที่มีหลายบทบาท กลางวันไปทำงาน ตอนเย็นช้อปปิ้งหรือปาร์ตี้ต่อ ก่อนหน้านี้พวกเขามี pain point คือต้องพกกระเป๋า 2 ใบ ใบแรกเป็นกระเป๋าจิ๋วที่เขาใช้บ่งบอกสถานะ หรือเป็นกระเป๋าที่ใช้เพื่อคอมพลีตลุคแต่ใส่ของได้ไม่เยอะมาก กับอีกใบเป็นถุงผ้าหรือถุงกระดาษที่ใช้ใส่โน้ตบุ๊กและสิ่งของอื่นๆ หยินเลยทำ AVA ขึ้นมาเพื่อเป็นกระเป๋าที่ทั้งคอมพลีตลุคและใช้ใส่ของได้เพียงพอ”

ฝันดาวย้ำว่า ในการผลิตกระเป๋า  เธอให้ความสำคัญกับทั้งดีไซน์และฟังก์ชั่นไปพร้อมกัน “เลือกไม่ได้หรอกว่าให้ความสำคัญกับอะไรมากกว่ากัน ก่อนหน้านี้มีกระเป๋าที่ดีไซน์สวย และมีกระเป๋าที่เน้นการใช้งาน เราอยากสร้างสิ่งใหม่ด้วยการนำสองสิ่งนี้มารวมกันเพื่อปิด pain point ลูกค้า” 

นั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้กระเป๋าของฝันดาวเป็นที่รัก จนสามารถขยับขยายจากช็อปบนเว็บไซต์มาเปิดหน้าร้านของตัวเองได้ทั้งในไทย ปารีส และนิวยอร์ก

ฝันของฝันดาว

“ไม่มีจุดนั้นหรอกค่ะ” ฝันดาวตอบ เมื่อเราถามว่าหลังจากเปิดแบรนด์มาแล้ว 3 ปี ตอนนี้เดินทางถึงจุดที่แบรนด์ประสบความสำเร็จหรือยัง

“หยินอาจเป็นคนใช้ชีวิตแบบชาเลนจ์ตัวเองไปเรื่อยๆ ก็ได้ ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้กดดันตัวเองนะ หยินแค่อยากทำสิ่งที่ตัวเองมีความสุข ทำไปเรื่อยๆ จนแก่ สำหรับหยินมันเลยไม่มีจุดที่คิดว่าฉันสำเร็จแล้ว พอแล้ว  

“แต่แน่นอนว่าการได้รับฟีดแบ็กจากลูกค้าที่ใช้แล้วชอบ การกลับมาซื้อซ้ำ การได้รับคัดเลือกไปร่วมแฟชั่นโชว์ที่นั่นที่นี่ นั่นคือรางวัลที่ได้รับแล้วดีใจมาก เป็นแรงขับเคลื่อนให้เราอยากทำงานต่อไป จริงๆ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ หยินดีใจหมดเลย” หญิงสาวยิ้ม

Office Romance รักเกิดในที่ทำงานนั้นผิดไหม เพราะถ้าไม่หาตอนนี้ จะให้หาตอนไหน?

ไหนแม่บอกว่าจีบผู้ชายก่อนแล้วมันน่าเกลียดไง? ใครจำประโยคเด็ดจากหนังเรื่องรถไฟฟ้ามาหานะเธอ (2552) ได้บ้าง? ที่จริงแล้ว เหมยลี่ยังโชคดีที่ได้คนรักต่างสายงานโดยบังเอิญ แต่ถ้าเป็นคนทั่วไปที่ไม่ได้อยู่ในโลกของนิยาย รักแท้ดีๆ จะหาได้จริงไหม ถ้าไม่ใช่จากแอพฯ หาคู่ มันก็ต้องเป็นที่ทำงานหรือเปล่า? 

ไม่แปลกใจถ้าจากสถิติของ Forbes Advisor จะพบว่าคนวัยทำงานกว่า 60% ได้หวานใจจากสถานที่ทำงาน หรือที่เรียกกันว่า office romance เพราะขนาดอดีตประธานาธิบดี Barack Obama ยังพบรักกับสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งอย่าง Michelle Obama ที่สำนักงานกฎหมายในชิคาโกเลย!

แต่จากการสำรวจชาวอเมริกันที่มีงานทำ 2,000 คนโดยบริษัทวิจัยตลาด OnePoll พบข้อมูลน่าสนใจว่าแม้ความรักจะเกิดในที่ทำงานได้จริงๆ แต่ office romance ก็ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานไม่น้อย

เพราะรักในที่ทำงานมันง่ายกว่า

61% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าแค่ทำงานเวลาก็หมดไปแล้ว จะให้ไปหาความรักจากที่ไหนอีกล่ะ

ซึ่งไม่แปลกใจเลยเพราะ Amie Gordon ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน ผู้ศึกษาจิตวิทยาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ ยังบอกว่านี่คือผลจาก mere-exposure effect หรือการที่เรารู้สึกดึงดูดใจใครสักคนที่เราได้เจอซ้ำๆ ทุกวันๆ จนเกิดความใกล้ชิดและความคุ้นเคย ถ้ายิ่งได้ร่วมฝ่าฟันปัญหาต่างๆ มาด้วยกันก็ยิ่งทำให้คนสองคนรู้สึกเชื่อมโยงกัน  

งานแต่งของเราอาจเป็นฝันร้ายของแฟนเก่า

แม้ 43% ของพนักงานแต่งงานกับเพื่อนร่วมงาน แต่เชื่อไหมว่ากว่า 40% ของพนักงานที่กิ๊กกับคนในที่ทำงานนั้นมีคู่รักของตัวเองอยู่แล้ว แปลว่าเขาหรือเธอนั้นนอกใจหวานใจของตัวเองมากิ๊กกับเพื่อนร่วมงาน  

แอบแซบแบบไม่บอกเป็นเรื่องปกติหรอกน่า

46% บอกว่าพวกเขารู้สึกชอบเพื่อนร่วมงาน กว่า 17% มีความสัมพันธ์แบบ one-night stand ไปแล้ว! แต่กว่า 35% ของพนักงานไม่แจ้งกับหัวหน้าหรือนายจ้างว่าตัวเองกำลังมีหวานใจในที่ทำงาน 

เมื่อรักในที่ทำงานส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน

57% ของพนักงานรายงานว่าความสัมพันธ์ในที่ทำงานส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน มากกว่าครึ่งยังรู้สึกว่ามีผลต่อความรู้สึกเป็นมืออาชีพ 

54% กล่าวว่าความสัมพันธ์ในที่ทำงานส่งผลต่อสมดุลชีวิตและการทำงาน กว่า 17% ยังบอกว่าความรักในที่ทำงานทำให้รู้สึกกลัวการเลิกราเพิ่มขึ้น เพราะถ้ารักมีปัญหาก็เกรงว่าจะส่งผลกระทบต่องานด้วยนั่นเอง

เมื่อรักของเราไม่ใช่เรื่องของคน 2 คน

นอกจากจะมีผลต่อการทำงานของคู่รักในที่ทำงานแล้ว office romance ยังทำให้คนกว่า 50% ระบุว่าการมีความรักในที่ทำงานมีผลต่อวิธีที่เพื่อนร่วมงานปฏิบัติต่อพวกเขา เกือบ 50% กล่าวว่าเรื่องรักๆ ใคร่ๆ นั้นช่างมีผลต่อการเล่นพรรคเล่นพวกในที่ทำงาน ทั้ง 41% ของผู้ตอบแบบสอบถามยังบอกว่าการที่เพื่อนร่วมงานจู๋จี๋กันในที่ทำงานทำให้พวกเขารู้สึกกระอักกระอ่วน  

ความน่าสนใจคือจากการสำรวจของ Society for Human Resource Management (SHRM) พบว่า กว่า 72% โอเคที่จะมีรักในที่ทำงานอีกครั้ง เพราะรักในที่ทำงานครั้งก่อนๆ นั้นมีผลต่อหน้าที่การงานน้อยมาก ดังนั้นถ้า office romance เป็นเรื่องปกติและรักสมัยนี้ย่อมห้ามไม่ได้ แล้ว HR หรือเหล่าผู้บริหารต้องทำยังไง?

รับมือรักในที่ทำงานยังไงให้ไม่เจ็บใจไปทั้งองค์กร

Johnny C Taylor Jr ซีอีโอของ SHRM บอกว่า “การจัดการให้เป็นขั้นเป็นตอนเป็นแนวทางที่ดีกว่าการแสร้งทำเป็นว่ารักในที่ทำงานนั้นไม่มีจริงและไม่ควรมี” แทนที่จะห้ามไม่ให้เพื่อนร่วมงานกิ๊กกันก็ควรอนุญาตและแจ้งพนักงานว่าต้องเปิดเผยความสัมพันธ์ต่อ HR เพื่อให้บริษัทบริหารจัดการสิ่งต่างๆ ได้เหมาะสม

การวางกฎระเบียบไว้เป็นสิ่งแรกๆ ที่ทั้ง HR และเจ้าของบริษัทต้องทำ อาจแบ่งกฎเป็นหลายๆ ช่วง ตั้งแต่ช่วงเริ่มพูดคุย คบหาดูใจ ไปจนถึงเลิกรา รวมถึงกฎสำหรับคู่รักที่คบกับคนต่างระดับงาน เช่น ห้ามแสดงความรักต่อกันในที่ทำงาน ห้ามเอื้อผลประโยชน์ให้คนรัก ห้ามใช้เวลางานออกไปทำธุระหรือออกเดตกัน

ไม่ใช่ทุกความสัมพันธ์ในที่ทำงานที่จะลงเอยด้วยการถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร แน่นอนว่าย่อมมีผลต่อการทำงานร่วมกันไม่มากก็น้อย และบางคนก็เลือกลาออกหรือขอย้ายแผนกด้วยตนเอง 

แต่ในฐานะผู้บริหารก็ไม่ควรสั่งย้ายตำแหน่งด้วยตัวเอง เพราะอาจทำให้อีกหลายคู่ไม่กล้าเปิดเผยความสัมพันธ์ของตนเอง สิ่งที่ควรทำคือการวางแผนสำรองเอาไว้ว่าจะทำยังไงกับทั้งคู่เพื่อรักษาพนักงานเอาไว้

เชื่อไหมว่าจากการสำรวจของ SHRM พบว่าเกือบ 40% ของคนที่มีรักในที่ทำงานเป็นผู้บริหารระดับสูง และนั่นย่อมส่งผลให้ผู้บริหารหรือหัวหน้าควรปฏิบัติตามกฎบริษัทอย่างเคร่งครัดเพื่อเป็นแบบอย่างให้กับพนักงานคนอื่น ครั้งหนึ่ง ประธาน CNN นาม Jeff Zucker ลาออกไปเพราะคบกับผู้ร่วมงานอย่าง Allison Gollust แต่ไม่แจ้งให้ฝ่าย HR รู้ซึ่งเป็นกฎของ CNN ที่ระบุไว้ชัดเจน 

เพราะความรักเกิดได้ทุกที่ทุกเวลา และไม่แน่ว่าในตอนนี้เพื่อนร่วมงานของคุณ (หรืออาจจะเป็นคุณเอง) อาจกำลังมีความรู้สึกดีๆ ต่อกันอยู่ก็ได้ คำถามคือคุณรู้สึกยังไงกับความรักในที่ทำงาน และถ้าคุณเป็น HR หรือผู้บริหารคุณจะจัดการเรื่องนี้ยังไง

Happy Valentine’s Day!

อ้างอิง

‘Condomerie’ ร้านถุงยางแห่งแรกของโลกที่มีถุงยางรส Tutti Fruiti ถึงถุงยางสายกรีน

รู้หรือเปล่าว่าวันที่ 13 กุมภาพันธ์ของทุกปีคือวันถุงยางโลก! และรู้มั้ยว่าเมื่อ 37 ปีก่อน ได้ถือกำเนิดร้านถุงยางแห่งแรกของโลกนาม Condemerie ขึ้น เพื่อคัดสรรถุงยางหลากสไตล์มาให้คนพร้อมยืดอกพกถุง

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2530 ณ ร้านอาหารแห่งหนึ่งในเมืองอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ กลุ่มผู้ก่อตั้ง Condomerie ได้พูดคุยถึงโรคเอดส์ที่เกิดจากการติดเชื้อ HIV รวมถึงวิธีการหยุดการแพร่ระบาดอย่างเคร่งเครียด เพราะถือเป็นโรคติดต่อที่คร่าชีวิตผู้คนมหาศาลในช่วงทศวรรษ 1980

แม้ในตอนนั้น ถุงยางอนามัยจะมีขายตามร้านขายยา ร้านขายอุปกรณ์ทางเพศ และตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติแล้ว แต่ทางเลือกที่มีก็ช่างน้อยนิด แถมข้อมูลความรู้ต่างๆ ก็ไม่แพร่หลาย และหาอ่านเองไม่ได้ตามอินเทอร์เน็ตอย่างปัจจุบัน ผู้ก่อตั้งจึงตั้งคำถามว่าถึงเวลาแล้วหรือยังที่โลกของเราจะมีร้านขายถุงยางอนามัยที่มีผู้เชี่ยวชาญซึ่งพร้อมให้ข้อมูลที่ถูกต้องเรื่องโรคติดต่อ

ไม่นาน ร้านขายถุงยางอนามัยนาม Condomerie จึงเกิดขึ้น หน้าร้านปัจจุบันยังตั้งอยู่ใจกลางกรุงอัมสเตอร์ดัมอย่างถนน Warmoesstraat 141 เพื่อให้เข้าถึงง่ายสำหรับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ความน่าสนใจคือกลุ่มผู้ก่อตั้งร้านนั้นมีมากกว่า 2 คน แต่กลุ่มเพื่อนกลุ่มนี้ตั้งใจประชาสัมพันธ์ออกไปว่าเจ้าของร้านนั้นเป็นผู้หญิง 2 คน เพราะในขณะนั้น ผู้คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าไวรัส HIV นี้ติดต่อเฉพาะกลุ่มชายรักชายเท่านั้น ทั้งที่จริงแล้วหากมีเซ็กซ์แบบไม่ป้องกัน ไม่ว่าจะเพศไหนก็ติดได้ทั้งนั้น

ปัจจุบัน Condomerie เน้นขายถุงยางอนามัยที่ผ่านการทดสอบโดยเฉพาะ พร้อมทั้งมีผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำลูกค้าเพื่อหาถุงยางอนามัยที่เหมาะสม ถูกใจ น่าใช้สำหรับทุกคน เพราะนอกจากจะมีถุงยางอนามัยทั่วไปแล้ว ยังมีถุงยางอนามัยสุดแฟนตาซีให้หลายคนเลือกสรร

ตั้งแต่ถุงยางสีทองแววาว ถุงยางสีฟ้ากลิ่น Tutti Frutti สารหล่อลื่นกลิ่นกล้วย สารหล่อลื่นสำหรับทวารหนัก ไปจนถึงสารหล่อลื่นสำหรับคู่รักที่ต้องการมีเบบี๋ และจำเป็นต้องมีเซ็กซ์ในช่วงไข่ตก ซึ่งเจ้าสารหล่อลื่นประเภทนี้ออกแบบมาว่าจะไม่ทำลายสมดุลของการปฏิสนธิระหว่างเซลล์ไข่และอสุจิ

ร้านยังขยันจัดเวิร์กช็อปให้ทุกคนได้มาร่วมสนุกและร่วมเรียนรู้ไปด้วยกัน รับสอนคอร์สถุงยางอนามัย 101 ขนาดย่อมเพื่อให้เด็กๆ มีความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับถุงยางอนามัยและสารหล่อลื่น ทั้งยังรับออกแบบเวิร์กช็อปหลากหลายแบบสำหรับบุคลากรทางการแพทย์

นอกจากนั้น Condomerie ยังก่อตั้งมูลนิธิเพื่อให้ความช่วยเหลือแก้ผู้คนที่กำลังต่อสู้กับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กลุ่มอาการภูมิคุ้มกันบกพร่องและยังส่งเสริมเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย เช่น มูลนิธิเริ่มวิจัยและพัฒนาถุงยางอนามัยสตรี ซึ่งเป็นประเภทของถุงยางอนามัยที่หลายคนมองข้ามไป

หนึ่งในสิ่งที่น่าสนใจคือ ร้านและมูลนิธิไม่ได้เปิดเพื่อสังคมเท่านั้น แต่ยังคำนึงไปถึงสิ่งแวดล้อม เพราะตั้งแต่ปี 2554 ซึ่งประเทศไทยยังแทบไม่พูดถึงเรื่องโลกร้อนด้วยซ้ำ Condomerie ก็ดำเนินการเรื่องเศรษฐกิจหมุนเวียนไปแล้ว เช่น ออกแบบขั้นตอนการขนส่งให้ลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่สุด ลดขนาดฟอยล์บรรจุถุงยางให้เล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้ พัฒนาแผนธุรกิจให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นในทุกๆ ปี

แม้ปัจจุบันการติดเชื้อ HIV จะเป็นที่รู้จักมากขึ้น ทั้งมีองค์กรต่างๆ ที่ออกมาให้ความรู้เรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มากกว่าเมื่อ 37 ปีที่แล้ว แต่กลุ่มผู้ต่อตั้ง Condomerie ยังคงมุ่งมั่นขยายความรับรู้เรื่องเซ็กซ์ที่ปลอดภัยต่อไป ทั้งยังเปิดขายสารพัดของเกี่ยวกับเพศสัมพันธ์ในช่องทางออนไลน์เพื่อตอบโจทย์ยุคสมัย และจริงจังกับการออกแบบโมเดลธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

หากเทียบกับร้านรวงในไทย อายุ 37 ปีอาจได้รับการยอมรับว่ามากพอแล้ว แต่กับการเป็นธุรกิจในต่างประเทศที่มีธุรกิจอายุนับร้อยนับพันปีมากมาย การเดินทางของ Condomerie ยังถือเป็นช่วงวัยแห่งการเรียนรู้ Condomerie จึงเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของธุรกิจเพื่อสังคมที่เข้าใจจุดแข็งของตนเองอย่างดี มีเป้าหมายที่ชัดเจน และรู้จักใช้จุดแข็งนั้นต่อยอดเป็นเม็ดเงินที่หล่อเลี้ยงร้านต่อไปได้

ถ้าใครแวะเวียนไปอัมสเตอร์ดัมก็อย่าลืมไปทักทายเหล่า Condomerie กัน หรือติดตามพวกเขากันได้ที่ www.instagram.com/condomerie

อ้างอิง

‘Coffee Meets Bagel’ แอพฯ หาคู่ที่ปฏิเสธดีลพันล้านจาก Shark Tank เพื่อสร้างรายได้ 5,000 ล้านบาทด้วยตัวเอง

อยากเจอคนจริงใจมีมั้ยแถวนี้ อยากเจอคนดีๆ แถวนี้มีมั้ยเอ่ย?

ไม่ใช่แค่เดือนแห่งความรัก หรือเทศกาลแห่งความรักเท่านั้นที่คนโสดหลายๆ คนต่างกำลังตามหาความสัมพันธ์ในแบบที่ตรงใจกันอยู่ แต่ลำพังการตามหาคนที่ถูกใจและมองถึงจุดหมายปลายทางเดียวกันกับเรา มันก็อาจจะดูยากแท้หยั่งถึง

ด้วยความสัมพันธ์ที่ก็มีหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์แบบแอบแซ่บ ความสัมพันธ์แบบหาเพื่อนคุย ความสัมพันธ์แบบไม่รีบเร่ง หรือจะความสัมพันธ์แบบชั่วข้ามคืน (one-night stand) ทั้งยังมีความสัมพันธ์แบบที่ต่างฝ่ายต่างยินยอมที่จะมีคนรักได้หลายๆ คน (polyamory) และความสัมพันธ์ที่อาจยังไม่มีชื่อเรียกในหลายๆ สถานการณ์อีก จึงทำให้ทางเลือกหนึ่งในการหาคู่รักที่ตรงใจของผู้คนในสมัยนี้ คือการใช้แอพพลิเคชั่นเดตออนไลน์ที่สามารถเลือกระบุความสัมพันธ์ในแบบที่เราต้องการได้ตั้งแต่ในขั้นตอนของการสมัคร รวมไปถึงฟีเจอร์ของแอพพลิเคชั่นที่ก็ถูกพัฒนามาให้เข้ากับสไตล์ของผู้ใช้งานแต่ละกลุ่มอีกด้วย 

หากใครที่เป็นคนช่างสังเกต ก็อาจจะเห็นได้ว่าในทุกๆ แอพพลิเคชั่นนั้น มักมีคำบรรยายคอยระบุให้ด้วยว่าเป็นแอพฯ สำหรับใครและเพื่ออะไร ตัวอย่างเช่น แอพพลิเคชั่นยอดฮิตทั่วโลก Tinder: Dating, Make Friends & Meet New People หรือแอพพลิเคชั่นหาคู่ที่ผลักดันให้ผู้หญิงเป็นฝ่ายทักหาก่อนอย่าง Bumble | Date, Chat, Meet New People & Network Better ก็ต่างระบุว่าสามารถแชต แมตช์คู่ ทำความรู้จัก หรือออกเดตได้ นอกจากนี้ยังมี  TanTan: Asian Dating App แอพพลิเคชั่นที่ตั้งใจเจาะทาร์เก็ตเฉพาะกลุ่มสำหรับคนเอเชีย และ Grindr: Gay Dating & Chat เพื่อ LGBTQ+ เป็นต้น

แล้วแอพพลิเคชั่นไหนที่เหมาะกับคนที่กำลังมองหาความสัมพันธ์แบบผูกมัด ความสัมพันธ์แบบระยะยาว และจริงจัง?

วันแห่งความรักทั้งทีเราจึงอยากชวนทุกคนไปทำความรู้จักกับแอพพลิเคชั่นเดตออนไลน์ที่เน้นหาความสัมพันธ์แบบจริงจัง (Dating app for serious daters) อย่าง ‘Coffee Meets Bagel’ (CMB) แอพฯ หาคู่ที่มีจุดเริ่มต้นจากการเป็นเพียงแค่ธุรกิจสตาร์ทอัพของสามสาวพี่น้องชาวเกาหลีใต้ที่อาศัยอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาอย่าง ดาอุน (Dawoon), อารัม (Arum) และซู คัง (Soo Kang) สู่แอพฯ หาคู่ที่เคยปฏิเสธดีลมูลค่า 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ 1,000 ล้านบาทไทยจากมาร์ก คิวบาน (Mark Cuban) นักธุรกิจ นักลงทุนชาวอเมริกัน ดีกรีเจ้าของทีมบาสเก็ตบอล NBA Dallas ได้รับการขนานนามว่าเป็นเศรษฐีพันล้านในรายการ Shark Tank และพวกเธอจะยังสามารถพัฒนาแอพฯ ให้มีมูลค่าบริษัทได้ถึง 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 5,000 ล้านบาทไปในปี 2023 อีกด้วย

แต่ดาอุน อารัม และซู คัง ทำได้ยังไง เราจะเล่าให้ฟัง

ย้อนกลับไปยังเดือนเมษายนปี 2012 ณ เมืองนิวยอร์ก ไอเดียของ CMB ได้ริเริ่มขึ้นจากบทสนทนาธรรมดาๆ ของสามสาวพี่น้องในช่วงพักกินอาหารกลางวัน 

บทสนทนาของดาอุน, อารัม และซู คัง ในวันนั้น คือการพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาเรื่องการเดตและการแชร์ประสบการณ์การใช้งานแอพพลิเคชั่นหาคู่ออนไลน์ในท้องตลาดที่พวกเธอมักจะเจอปัญหาสุดจำเจและคล้ายๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นการไม่พบกับคนที่ตรงตามความต้องการของตัวเอง หรือเมื่อเจอแล้ว ก็ไม่ประสบความสำเร็จในการพูดคุย เพราะมองหารูปแบบความสัมพันธ์ที่ไม่เหมือนกัน และเมื่อพวกเธอพยายามที่จะดาวน์โหลดแอพฯ ใหม่ๆ เพื่อตัวเลือกใหม่ๆ มากเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนว่ายังไม่มีแอพฯ ไหนที่จะสามารถตอบโจทย์การมองหาความสัมพันธ์แบบจริงจังนี้ได้เลย

แล้วจะดีกว่าไหม ถ้าพวกเธอจะเริ่มทำเว็บไซต์หรือแอพพลิเคชั่นหาคู่กันขึ้นมาเอง?

หลังจากมื้ออาหารเที่ยงมื้อนั้น ดาอุนจึงตัดสินใจที่จะลาออกจากงานประจำในบริษัทเดิม ก่อนทั้งสามจะตัดสินใจย้ายไปอาศัยอยู่ในเมืองซานฟรานซิสโกเพื่อเริ่มต้นพัฒนาเว็บไซต์หาคู่ออนไลน์ในภายหลัง 

แต่ส่ิงที่ทำให้พวกเธอทั้ง 3 คนตัดสินใจเริ่มต้นทำเว็บไซต์หาคู่ออนไลน์ได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้ สาเหตุหลักก็เป็นเพราะพวกเธอคือพี่น้องที่สนิทสนมและรู้ใจกันมากที่สุด ส่วนเหตุผลอีกสองประการที่สำคัญไม่แพ้กันคือการที่พี่สาวคนโตของบ้าน ดาอุน มีความฝันที่อยากจะมีธุรกิจส่วนตัวเหมือนกับพ่อแม่ของพวกเธออยู่แล้ว และอารัม ผู้ซึ่งเป็นน้องสาว ก็กลับมองเห็นถึงช่องว่างในตลาดแอพพลิเคชั่นเดตออนไลน์อย่างอัตราส่วนของผู้ใช้งานผู้ชายที่มากกว่าผู้หญิงถึง 2 เท่า โดยอัตราส่วนที่สูงขนาดนี้ทำให้พวกเธอได้คำตอบของคำถามที่ว่า ‘ทำไมผู้ใช้งานแอพฯ หาคู่ถึงไม่ประสบความสำเร็จในการพูดคุย’ เพราะในบางครั้งบางครา ผู้ชายบางกลุ่มก็อาจจะหลงคิดไปว่าตัวเองนั้น มีทางเลือกมากกว่าฝ่ายหญิง จึงก่อให้เกิดการทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม หรือการพูดคุยแบบทีเล่นทีจริง สุ่มๆ ไม่ได้จริงจังอะไร ซึ่งด้วยอัตราส่วนที่ไม่เท่ากันนี้เอง ยังทำให้โอกาสในการพบคนที่ถูกใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย และตกลงคบกันในระยะยาวเกิดขึ้นได้ยากนั่นเอง

จากข้อสังเกตที่มี เทคสตาร์ทอัพของสามสาวพี่น้องจึงเริ่มก่อตั้งขึ้นด้วยการพัฒนาเว็บไซต์หาคู่ออนไลน์อย่าง CMB ที่มีจุดประสงค์หลักเพื่อสร้างประสบการณ์ในการเดตออนไลน์ที่ดีขึ้น ตอบโจทย์ผู้ใช้งานผู้หญิงมากขึ้น และแพลตฟอร์มที่จะมอบบริการให้กับผู้ใช้งานทุกๆ เพศได้อย่างเท่าเทียมกันได้อีกด้วย

โดยชื่อ Coffee Meets Bagel มีที่มาจากความตั้งใจเริ่มแรกของสามสาวที่ต้องการเจาะตลาดผู้ใช้งานกลุ่มมิลเลนเนียล หรือเจนฯ วาย กลุ่มคนที่เกิดระหว่างระหว่างปี 1981-1996 (อายุ 28-43 ปี) และเมื่ออ้างอิงจากพฤติกรรมของผู้คนกลุ่มนี้ในนิวยอร์กแล้ว พวกเขาก็มักจะตั้งหน้าตั้งรอช่วงเวลากลางวัน หรือช่วงเวลาสำหรับการพักดื่มกาแฟ พร้อมๆ ไปกับการกินเบเกิลอุ่นร้อนสักชิ้นกันมากที่สุด

ไม่ใช่แค่ชื่อของเว็บไซต์ที่เธอทั้งสามคนได้ตัดสินใจตั้งมันขึ้นมา แต่เมื่อ Coffee ได้ Meets กับ Bagel แล้ว  ฟีเจอร์ของตัวเว็บไซต์ ก็ยังจะต้องเกี่ยวข้องกับช่วงเวลาพักดื่มกาแฟด้วย โดยฟีเจอร์ที่ว่า นั่นก็คือการอัพเดตรายชื่อผู้ใช้งานใหม่ๆ ที่มีคาแร็กเตอร์ ความชอบ และมองหาความสัมพันธ์ในรูปแบบเดียวกันในช่วงตอนกลางวันของทุกๆ วันให้กับเหล่าผู้ใช้งานนั่นเอง

แล้ว CMB แตกต่างจากเว็บไซต์และแอพพลิเคชั่นหาคู่อื่นๆ ในท้องตลาดยังไง?

  1. CMB จะอนุญาตให้ผู้ใช้งานจะสามารถปัดเลือกผู้ใช้งานคนอื่นๆ ตามโควตาบีน (beans) ที่จำกัด โดยการปัดหนึ่งครั้ง ผู้ใช้งานจะเสียจำนวน 385 บีน ซึ่งด้วยจำนวนปัดที่จำกัด จึงทำให้เหล่าผู้ใช้งานต่างก็ต้องคิดอย่างถี่ถ้วนก่อนจะเริ่มแมตช์และพูดคุยกับอีกฝ่ายอย่างจริงจัง
  2. CMB ถูกดีไซน์มาเพื่อกลุ่มคนที่ต้องการมองหาความสัมพันธ์แบบจริงจังหรือความสัมพันธ์แบบระยะยาว ผิดกับเว็บไซต์หรือแอพฯ อื่นๆ ที่มักจะเจาะกลุ่มผู้ใช้งานแบบ causal dating หรือการมองหาความสัมพันธ์ในระยะสั้นและความสัมพันธ์ที่ไม่ผูกมัด
  3. เพราะใส่ใจในคุณภาพมากกว่าปริมาณ ตัวเว็บไซต์จึงถูกพัฒนามาให้ผู้ใช้งานตอบคำถามเกี่ยวกับความชอบ งานอดิเรก และคาแร็กเตอร์ของตนเอง ตั้งแต่ในขั้นตอนของการสมัครโปรไฟล์ เพื่อให้ง่ายต่อการแมตช์กับผู้ใช้งานที่ต่างฝ่ายต่างก็มีสิ่งที่ชอบร่วมกัน

ด้วยความแตกต่างทั้งหมดนี้ จึงทำให้มันโดดเด่นและยูนีกกว่าแอพพลิเคชั่นในท้องตลาดทันที และถึงแม้ว่าผู้ใช้งานอาจจะไม่ประสบความสำเร็จในการคุยกับคู่แมตช์ตั้งแต่คู่แรกๆ แต่เชื่อเถอะว่า CMB นั้น กำลังมอบคอนเนกชั่นที่มีคุณภาพให้แก่คุณอยู่

แล้วพวกเธอเอาเงินลงทุนมาจากไหน?

หลังจากเปิดตัวในรูปแบบของเว็บไซต์ไปได้สำเร็จ ดาอุน, อารัม และซู คัง ก็ได้รับเสียงตอบรับอย่างดีจากเหล่าผู้ใช้งาน จนสามารถพัฒนาเว็บไซต์เดตให้กลายมาเป็นแอพพลิเคชั่นหาคู่ที่เปิดให้ใช้งานฟรีได้ภายในระยะเวลาหนึ่งปี โดยแอพพลิเคชั่นฟรีที่ว่า จะเริ่มเก็บค่าบริการก็ต่อเมื่อผู้ใช้งานต้องการอัพเกรดเป็นยูเซอร์ระดับพรีเมียมในราคาเริ่มต้นที่ 65 บาทไทย หรือราวๆ 100 เมล็ดกาแฟ (ค่าเงิน beans ของแอพฯ) มาพร้อมกับฟีเจอร์ค้นหาคู่แมตช์เพิ่มเติมจากโควตาต่อวัน การกดไลก์แบบพิเศษ และการดูว่าผู้ใช้งานรายใดมากดไลก์ให้กับเราบ้าง

ทุกอย่างเหมือนจะไปได้สวย แต่เมื่อแอพพลิเคชั่นได้รับผลตอบรับที่ดีเกินคาด นำไปสู่การเติบโตของบริษัทที่จะต้องเร่งขยายและพัฒนาต่อไปอย่างรวดเร็วแล้ว เงินทุนกว่า 84 ล้านบาทที่ทั้งสามเคยได้รับมาจากบริษัทเงินทุนหลายๆ แห่งไม่เพียงพอต่อการใช้งาน ส่งผลให้ในปี 2015 หรือ 3 ปีให้หลังจากการก่อตั้งเทคสตาร์ทอัพนี้ขึ้นมาดาอุน, อารัม และซู คัง กลับมองเห็นช่องทางในการขอเงินลงทุนใหม่ๆ ด้วยการไปพิตชิ่งในรายการ Shark Tank หรือรายการเรียลลิตี้สัญชาติอเมริกาที่เปิดโอกาสให้สตาร์ทอัพหรือธุรกิจหน้าใหม่ได้เข้ามาแข่งขันเพื่อพิชิตเงินลงทุนจากเหล่านักลงทุนตัวเป้งๆ กว่า 7 รายในแวดวงธุรกิจทั่วโลกที่จะหมุนเวียนมาเป็นผู้ตัดสินในการแข่งขันแต่ละครั้ง

โดยพวกเธอหวังที่จะระดมเงินลงทุนจากรายการ Shark Tank ให้ได้ราวๆ 500,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา (18 ล้านบาท) เพื่อแลกกับการถือหุ้นจำนวน 5% ในบริษัทนี้ ซึ่งถ้าหากดีลนี้ประสบความสำเร็จ พวกเธอก็ยังคาดการณ์ต่อไปว่า แอพพลิเคชั่นที่ตั้งใจทำขึ้นมาจะสามารถสร้างมูลค่าบริษัทไปได้ถึง 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (360 ล้านบาท)ในอนาคต

เป็นที่น่าเสียดายยิ่งนักที่แอพพลิเคชั่นเดตออนไลน์ของพวกเธอไม่ได้รับข้อเสนอจาก Shark หรือนักลงทุนท่านใดในตอนแรก เพราะถึงแม้ตัวธุรกิจจะน่าสนใจเพียงใด แต่ระหว่างการพิตชิ่ง เหล่าสาวๆ กลับตอบคำถามทางธุรกิจที่สำคัญไม่ได้ในบางข้อ โดยเฉพาะคำถามหลักที่เกี่ยวกับจำนวนตัวเลขของผู้ใช้งาน ซึ่งพวกเธอก็ได้แค่เพียงตอบจำนวนคร่าวๆ อย่าง 100,000-500,000 รายออกไป นับเป็นจำนวนตัวเลขที่กว้างเกินไปสำหรับการพิตชิ่งธุรกิจของพวกเธอเอง

เรื่องราวยังไม่จบลงเท่านี้ เพราะเมื่อพวกเธอหันหลังพร้อมที่จะเดินออกจากรายการ จู่ๆ มาร์ก คิวบาน ก็กลับเปลี่ยนใจ เห็นโอกาสในการเติบโตของแอพพลิเคชั่นนี้ขึ้นมาซะงั้น โดยเขาได้ยื่นข้อเสนอเป็นจำนวนเงิน 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (1,000 ล้านบาท) แลกกับหุ้นทั้งบริษัทให้กับพวกเธออีกด้วย

แต่ข้อเสนอที่ต้องแลกกับหุ้นทั้งบริษัท ดันไม่ใช่ส่ิงที่พวกเธอทั้งสามคนนั้นคาดหวังไว้ตั้งแต่แรก ทำให้ในท้ายที่สุด ดาอุน, อารัม และซู คัง จึงตัดสินใจที่จะปฏิเสธดีลในครั้งนี้ เพราะพวกเธอเชื่อว่าแอพพลิเคชั่นของพวกเธอจะสามารถสร้างรายได้ที่มากกว่าดีลของมาร์ก คิวบาน

เมื่อปฏิเสธดีลจากรายการ Shark Tank แล้วพวกเธอหาเงินลงทุนต่อจากไหน?

ต้องอย่าลืมว่า Coffee Meets Bagel มีจุดเริ่มต้นมาจากการเป็นเทคสตาร์ทอัพ และการระดมทุนนั้นก็เป็นเรื่องปกติที่พวกเธอเคยทำมาก่อน หลังจากรายการ Shark Tank ได้จบลง สามสาวพี่น้องตระกูลคังก็ได้กลับมาประกาศระดมทุนรอบ Series A โดยระดมทุนได้เป็นเงินจำนวน 7.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (270 ล้านบาท) นำทีมโดย DCM Ventures ธุรกิจเงินร่วมลงทุนเจ้าใหญ่ ก่อนจะประกาศการระดมทุนรอบ Series B อีกครั้ง ด้วยจำนวนเงิน 12 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (400 ล้านบาท) นำโดย Atami Capital บริษัทธุรกิจแบบกองทุนร่วมในปี 2018 นั่นเอง

บทสรุปของ Coffee Meets Bagel

ในปี 2019 หรือหนึ่งปีให้หลังกับการเปิดระดมทุนรอบ Series B ของแอพพลิเคชั่น Coffee Meets Bagel ดาอุนให้สัมภาษณ์กับสื่อ Ladders ถึงเหตุผลว่าทำไมพวกเธอถึงได้ตัดสินใจไปพิตชิ่งในรายการ Shark Tank ทั้งๆ ที่พวกเธอก็สามารถเปิดระดมทุนกันได้ด้วยตัวเองอย่างที่เคยทำก่อน

“ในช่วงเวลานั้น พวกเรากำลังมองหาข้อเสนอสุดพิเศษพร้อมๆ ไปกับโอกาสในการสร้างชื่อเสียงของแอพพลิเคชั่น โดยรายการ Shark Tank ถือเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่สามารถมอบโอกาสทั้งคู่ให้กับเราได้ในระยะเวลาเดียว” ดาอุนเล่า พร้อมทั้งเสริมด้วยประโยคเด็ดว่า ถ้าให้ย้อนเวลากลับไป พวกเธอก็คงเซย์โนกับดีลของมาร์ก คิวบาน เพื่อเติบโตด้วยตัวเองอยู่ดีนั่นแหละ

ด้วยเงินระดมทุนทั้งหมด จึงส่งผลให้สามารถพัฒนาแอพพลิเคชั่นและเติบโตได้อย่างยั่งยืนด้วยมูลค่าบริษัทที่สูงถึง 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 5,000 ล้านบาทไทยในปี 2023 อีกด้วย

จริงอยู่ที่ว่าเรื่องของความรักและความสัมพันธ์ถือเป็นเรื่องปัจเจกบุคคล ใครใคร่ชอบความสัมพันธ์แบบไหน ตราบใดที่ทุกฝ่ายต่างรับรู้ ยินยอม และไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนก็ไม่ผิด 

ส่วนใครที่กำลังเล่นแอพพลิเคชั่นนี้อยู่ หรือได้หวานใจ ควงไปฉลองวาเลนไทน์จาก Coffee Meets Bagel แล้วมาแชร์ประสบการณ์กันได้นะ

อ้างอิง