‘Blueprint Livehouse’ บ้านของดนตรีที่อยากเห็น ผู้ประกอบการ ศิลปิน และคนดู เติบโตไปพร้อมกัน

หากจะบอกว่าปี 2566 ช่วง Post COVID-19 คือปีทองของ คอนเสิร์ต และการจัดแสดงโชว์คงไม่ผิด

เพราะตลอดระยะเวลาเกือบ 3 ปีผ่านมา คือสุญญากาศทางดนตรี ที่เหล่าศิลปินไม่ได้ทำการแสดงโชว์ใดๆ เลยทั้งสิ้น ทำให้ในวันนี้ความอัดอั้นจึงถูกระเบิดออกมา ผ่านการจัดคอนเสิร์ตที่ผุดขึ้นราวกับดอกเห็ดของศิลปินมากหน้าหลายตา เพื่อชดเชยกับช่วงเวลาที่หายไปก่อนหน้า

แต่หากมานั่งพิจารณากันให้ดี ก็จะพบว่า ในบรรดาศิลปินที่ขึ้นโชว์กันอย่างคึกคักนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นวงดนตรีขนาดใหญ่ หรือศิลปินชื่อดัง มีฐานแฟนคลับแน่น ที่ได้เล่นบนเวทีสเกลขนาดยักษ์ กลับกันศิลปินหน้าใหม่ วงดนตรีเฉพาะทาง เขากลับไม่มีสถานที่รองรับ สำหรับโชว์ขนาดเล็กเท่าไหร่นัก

จึงเป็นเหตุให้ Blueprint Livehouse ถือกำเนิดขึ้น ด้วยความร่วมมือของผู้คนในแวดวงดนตรีอินดี้ไทยทั้ง แดน–แดเนียล อัลวี ดิษยะศริน, นน–ภัทรชนน โดดเสม, แมคคี–พีระพงศ์ แก้วแท้, เต๊ะ–ธนกาญจน์ ต่างใจเย็น, เรือบิน–ธรรศ สุวรรณแสง, นิว–วิทวัส อินทรสังขา, นิต–ธนิต โบกขรพรรษ และ ดิว–ศุภกิชญ์ สุภา ที่แบ่งหน้าที่กันตามถนัด ปลุกปั้นโมเดลธุรกิจที่เรียกว่าไลฟ์เฮาส์ในไทยขึ้นมา ซึ่งในตลอด 6 เดือนนับตั้งแต่เปิดตัวเมื่อช่วงต้นปี ได้มีศิลปินมากมาย ทั้งอินดี้และเมนสตรีม ทั้งเบอร์ใหญ่และเบอร์รอง หมุนเวียนมาแสดงผลงานในพื้นที่ตรงนี้

จนเป็นข้อพิสูจน์ว่าไลฟ์เฮาส์ในประเทศไทยคือพื้นที่ทางดนตรีที่ขาดหาย และกำลังรอใครสักคนเข้ามาเติมเต็มอยู่ตลอด

แม้แก่นของ Blueprint Livehouse คือเรื่อง การผลักดันอุดมการณ์ที่หวังสร้างอุตสาหกรรมดนตรีให้เติบโตอย่างเข้มแข็งในอนาคตข้างหน้า แต่ในมุมของการทำธุรกิจก็น่าสนใจไม่น้อย ยิ่งเมื่อได้ทราบว่า เขาขายบัตรคอนเสิร์ตในราคาหลักร้อยต้นๆ เพียงเท่านั้น อีกทั้งยังมีกฎเหล็กที่สำคัญคือ ศิลปิน คนดู และไลฟ์เฮาส์ต้องอยู่ได้ ไม่ขาดทุน และเติบโตไปพร้อมกัน

ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ ชีวิตคุณเกี่ยวข้องกับแวดวงดนตรียังไงบ้าง

วิทวัส : เรื่องทั้งหมดเริ่มมาจากสามคนก่อน คือเรา แมคคี (พีระพงศ์ แก้วแท้) และเรือบิน (ธรรศ สุวรรณแสง) ที่ก่อนหน้านี้พวกเราทำงานอยู่บริษัทที่ชื่อ ‘ฟังใจ’ มาก่อน พอมาเจอสถานการณ์ช่วงโควิด-19 ทั้งสามคนก็ได้ระเห็จเตร็ดเตร่ มาทำคอนเสิร์ตที่ที่แห่งหนึ่งกัน ซึ่งตอนนั้นก็พยายามจะปั้นสิ่งที่เรียกว่าไลฟ์เฮาส์บ้างแล้ว เพราะเราเห็นว่าด้วยโลเคชั่น ขนาดของสถานที่มันเหมาะสมเอามากๆ แต่พอทำไปได้สักพักหนึ่ง ด้วยข้อจำกัดหลายๆ อย่าง เลยทำให้เราไม่สามารถทำไลฟ์เฮาส์ได้เต็มตัว 

ปัญหาตรงนั้นก็เลยต่อยอดไปสู่ประโยคที่คุยกันเองว่า หรือเราต้องทำไลฟ์เฮาส์ด้วยตัวเอง แล้วพอได้เจอกับแดน (แดเนียล อัลวี ดิษยะศริน) เต๊ะ (ธนกาญจน์ ต่างใจเย็น) นนท์ (ภัทรชนน โดดเสมอ ) ที่มีวงดนตรีของตัวเอง รวมถึงดิว (ศุภกิชญ์ สุภา) และ นิต (ธนิต โบกขรพรรษ) ที่เข้ามาช่วยอีกแรง เลยเกิดเป็น Blueprint Livehouse ขึ้นมา

คือจะเห็นว่าเรามาจากคนทำงานในแวดวงดนตรีมาก่อนทั้งนั้นเลย แล้วเราก็เห็นตรงกันว่าไลฟ์เฮาส์ต้องมีในกรุงเทพฯ ได้แล้ว เพราะตอนที่ทำคอนเสิร์ตมีศิลปินบางส่วนที่เราไม่สามารถร่วมงานกับเขาได้ เพราะด้วยความที่ขนาดของสถานที่มันใหญ่เกินไป เรื่องของทุนทรัพย์ หรืออะไรต่างๆ ก็เลยรู้สึกว่าอยากจะมีพื้นที่ ที่ให้ศิลปินทุกแบบไม่ต้องมีข้อจำกัด ไม่ต้องกังวลว่าคนจะมาฟังเพลงเขาเยอะหรือไม่เยอะ เป็นพื้นที่สำหรับให้เขามาเล่นดนตรีเพื่อตัวเองแค่นั้นพอ 

คุยกันยังไง ถึงตกลงปลงใจได้ว่า ต้องหันมาลุยสิ่งที่ยังมีไม่มากในบ้านเราอย่างไลฟ์เฮาส์บ้างแล้ว 

วิทวัส : คือเราเห็นปัญหา เห็น pain point กันมาตลอด ว่าปัญหาของศิลปินหน้าใหม่ แทบจะทุกวงเลย คือไม่มีพื้นที่ให้เขาได้แสดงออก ไม่มีงานจ้าง ไม่มีสถานที่ให้เขาได้เล่น 

การเป็นศิลปินหน้าใหม่ในเมืองไทยมันยากมากเลยนะ กว่าจะกลายเป็นที่รู้จัก กว่าจะสร้างงาน สร้างรายได้ให้ตัวเองได้ มันใช้เวลานานมาก ดังนั้นหากจะแก้ไขปัญหานี้ได้ตั้งแต่ต้นตอ สามารถสร้างพื้นที่เล็กๆ ให้พวกเขาได้เริ่มต้นได้ก็คงจะดี 

พีระพงศ์ : การที่วงดนตรีจะดีดตัวเองออกมาจากคำว่าศิลปินหน้าใหม่ มันยากมาก เพราะกว่าจะเป็นที่รู้จักได้ต้องเจออะไรมากมาย เดี๋ยวไม่มีที่เล่นบ้างล่ะ หรือมีงานเล่นแต่ก็ไม่ได้ค่าจ้างบ้างล่ะ ซึ่งการทำวงดนตรีมันเต็มไปด้วยค่าจ้าง ทั้งค่าอุปกรณ์ ค่าทีมงาน ค่าห้องซ้อม หรือค่ากระบวนการทำเพลงต่างๆ อีก คือมันมีค่าใช้จ่ายเยอะมาก จนทำให้ศิลปินส่วนใหญ่ตั้งไข่และสามารถเล่นดนตรีเป็นอาชีพได้ยาก 

แดเนียล : อีกอย่างหนึ่งคือรูปแบบของการเป็นไลฟ์เฮาส์ต้องบอกว่าเมื่อก่อนเรามีร้านเหล้าที่มีพื้นที่ให้ศิลปินเล่นดนตรีสดประมาณหนึ่งเลยนะ PLAY YARD by Studio Bar, NOMA BKK หรือ Cosmic Cafe เหล่านี้ก็เป็นร้านที่บันดาลใจเราว่า มันพอจะมีลู่ทางที่พัฒนาต่อจนกลายเป็นไลฟ์เฮาส์ได้  

พีระพงศ์ : ตลกดี เพิ่งพูดเรื่องนี้กันไปเอง คือสมัยตอนที่ทำงานอยู่ฟังใจ ที่เป็นสื่อดนตรีที่ก็มีอยู่ไม่กี่เจ้าในตอนนั้น เราจะมี motto ที่คุยกันตลอดว่า สิ่งที่วงการดนตรียังไม่มี เช่นสื่อ หรือไลฟ์เฮาส์ ถ้าเราไม่ทำ แล้วใครจะทำ ดังนั้นในเมื่อมันมีโอกาสก็ลุยเองเลยดีกว่า

คำว่าไลฟ์เฮาส์จริงๆ แล้วคืออะไร แล้วทำไมที่ผ่านมาประเทศไทยจึงไม่ค่อยมีไลฟ์เฮาส์หรือถึงมีแล้วกลับยืนระยะไม่ค่อยได้ 

พีระพงศ์ : ไลฟ์เฮาส์จริงๆ แล้วหน้าตาเป็นยังไง ผมมองว่าหน้าตามันจะถูกปรับไปตามวัฒนธรรมดนตรีของคนด้วย

 อย่างในไทยเอง วันนี้คงเป็นสถานที่สำหรับศิลปินอินดี้ตัวเล็กๆ ที่มีความฝัน คือวงการดนตรีไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น โอเค เราอาจจะมี Phum Viphurit หรือ Yonlapa แล้วก็ตาม แต่ก็ยังพูดไม่ได้เต็มปากว่ากลุ่มคนฟังดนตรีอินดี้มันกว้างขนาดนั้น 

ดังนั้นคำว่าไลฟ์เฮาส์มันเลยกลายเป็นสถานที่สำหรับเปิดโอกาสให้นักดนตรีอินดี้ทุกคนมีโอกาสได้โชว์ผลงานและเติบโตเป็นศิลปินที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต 

กับอีกอย่างคืออธิบายด้วยลักษณะของการจัดการ คือเราคงไม่ใช่ร้านที่ขายเหล้ามีวงดนตรีโคฟเวอร์เพลงยอดฮิตติดตลาดอะไรแบบนั้น แล้วก็ไม่ใช่รูปแบบของคอนเสิร์ตที่เป็นผู้จัดงานแล้วขายบัตรเพื่อให้คนซื้อตั๋วมาดู แต่เราคือผู้ให้บริการด้านสถานที่สำหรับศิลปินทุกคนมากกว่า

การบุกเบิกทำไลฟ์เฮาส์ซึ่งอยู่กึ่งกลางระหว่างคอนเสิร์ตและร้านเหล้าดนตรีสด ฟังดูเสี่ยงอยู่เหมือนกัน

พีระพงศ์ : เรื่องนี้มันอยู่ในหัวเรากันมาตลอด คือเราเห็นร้านเหล้าที่เขามีฟังก์ชั่นเป็นไลฟ์เฮาส์ขนาดไม่ใหญ่มาก แล้วยังพอไปได้ กับตอนที่ได้ทำคอนเสิร์ต แล้วได้ลองทำงานในรูปแบบที่ใกล้ๆ กับไลฟ์เฮาส์ที่สเกลค่อนข้างใหญ่ แต่ ก็ยังมีคนดูแน่นไปทั่วฮอลล์ ก็เลยเริ่มมั่นใจว่าเราน่าจะพอทำสิ่งนี้ได้ 

วิทวัส : ขยายความเพิ่มเติม คือเราเห็นว่าร้านเหล้า ซึ่งมีขนาดค่อนข้างเล็ก จุคนได้หลักสิบ บางทีเขามีพื้นที่ไม่พอที่จะรองรับแฟนเพลงของศิลปินบางคน ที่จะส่งผลเรื่องความคุ้มค่าของการขายบัตร กลับกันในสเกลที่ใหญ่กว่าอย่างตอนทำคอนเสิร์ต ซึ่งจุคนได้หลัก 400-500 คน ทำให้ศิลปินหน้าใหม่บางคน เขาไม่สามารถเข้ามาเล่นในที่แบบนี้ได้ 

มันเลยมีช่องว่าง คือพื้นที่ขนาด 100-200 คน ที่เหมาะกับศิลปินหน้าใหม่ที่อยากสร้างฐานแฟนคลับ และเหมาะกับศิลปินใหญ่ๆ ที่ก็สามารถทำการแสดงได้เช่นกัน ซึ่งตรงนี้ก็น่าจะเป็นโอกาสของเรา และเป็นโอกาสของนักดนตรีมากยิ่งขึ้นด้วย 

แล้ว Blueprint Livehouse แตกต่างจากไลฟ์เฮาส์หรือสถานที่เล่นดนตรีสดอื่นๆ ยังไง

วิทวัส : สิ่งที่แตกต่างอย่างแรกเลยคือโมเดลธุรกิจ คือต้องเล่าก่อนว่า วิธีหารายได้ของไลฟ์เฮาส์คือการขายสินค้าและเครื่องดื่ม กับอีกอย่างคือค่าตั๋วในงานวันนั้น ซึ่งโดยปกติแล้วการจ้างศิลปินเพื่อมาโชว์จะต้องจ้างผ่านค่าย มีเรตราคาชัดเจนว่าวงขนาดนี้กี่บาท ซึ่งถ้าให้เราทำแบบนั้น บอกเลยว่าเจ๊ง มันเสี่ยงมาก เราไม่ได้มีสายป่านที่ยาว ไม่ได้มีทุนอุ้มอยู่ข้างหลัง 

ดังนั้นสิ่งที่จะทำให้ธุรกิจไลฟ์เฮาส์และนักดนตรียั่งยืนได้คือการ split income ที่เข้ามาในวันนั้น

ยกตัวอย่าง สมมติผมเอาวง A มาเล่น ซึ่งเป็นวงที่ไม่สามารถการันตีว่าจะมีคนมาซื้อบัตร 200 ใบ เต็มไลฟ์เฮาส์ในวันนั้นเพราะอาจมีปัจจัยบางอย่าง เช่นงานดนตรีชนกัน หรืออะไรก็ตามแต่ แล้วขายบัตรได้ 50 ใบ ซึ่งหากเราต้องจ่ายค่าตัวให้เขาตามเรตราคาทั่วไปก็จะทำให้ขาดทุน 

ผมเลยใช้วิธีแบ่งรายได้จากวันนั้นให้ศิลปินตามเรตที่เกิดขึ้นจริง ถ้าวันนั้นขายได้น้อยก็อาจต้องจ่ายให้น้อยกว่าเรตปกติ เพื่อความอยู่รอดของทั้งศิลปินและไลฟ์เฮาส์ด้วย เพราะฝั่งเราก็มีค่าใช้จ่าย fixed cost ทุกครั้ง แต่วันไหนถ้าบัตรมันขายได้มากขึ้น เราก็จะให้ส่วนแบ่งกับศิลปินที่สูงขึ้นด้วยเช่นกัน 

ดังนั้นจำนวนเงินที่จะเกิดขึ้นจากการแสดงไลฟ์เฮาส์ก็จะขึ้นอยู่กับความสามารถในการแสดงสดแต่ละครั้งของคุณ

พีระพงศ์ : ขอเสริมเรื่องนี้ คือก่อนหน้าจะเปิดร้านเราทำการบ้านกันอยู่ 6 เดือนว่าจะทำยังไงให้ไลฟ์เฮาส์อยู่รอด เชื่อไหมว่าจะคิดในมุมไหนก็ตาม สุดท้ายมันเจ๊งหมดเลย (หัวเราะ) 

แดเนียล : เหมือนในหนังเลยที่ Doctor Strange คำนวณทุกความเป็นไปได้ของการเอาชนะภายในหนัง ที่ไม่ว่ายังไงก็ไม่รอด มีเพียงหนทางนี้เท่านั้น

ถ้าเป็นแบบนั้น ศิลปินหน้าใหม่ที่ยังไม่มีแฟนเพลงเลยจะสามารถเข้ามาเล่นที่ Blueprint Livehouse ได้ไหม

วิทวัส : เล่นได้ และนี่คือเป้าหมายของเราเลย คือเราก็อยากจะโตไปพร้อมศิลปินเหมือนกัน หากคุณเป็นศิลปินที่เพิ่งมีเพลง พร้อมจะแสดงโชว์แล้ว แต่คนดูอาจจะยังไม่เยอะมาก มีแค่ครอบครัวหรือเพื่อนสัก 10-20 คน คุณก็มาได้

อะไรแบบนี้เป็นสิ่งที่ศิลปินทุกคนต้องเคยผ่าน ซึ่งเราก็พร้อมจะมอบพื้นที่ให้ศิลปินเหล่านี้มาเริ่มตั้งไข่ ให้เขาได้รู้ว่าการแสดงสดต้องทำอะไร ต้องเตรียมตัวยังไง เพื่อให้เขาเติบโตไปเรื่อยๆ ไปเล่นสถานที่ใหญ่ขึ้น

พีระพงศ์ : ผมอยากให้ศิลปินทุกคนที่กำลังอ่านสิ่งนี้อยู่ มองว่าการมาแสดงที่ไลฟ์เฮาส์ไม่ใช่การจ้างให้มาเล่นงานหนึ่ง แต่มันคือการมาร่วมสร้างการเติบโตทางดนตรีไปพร้อมกัน คือพอมีโอกาสได้มาเล่นดนตรีกับเราก็อยากให้คิดว่าได้เก็บเกี่ยวอะไรไปจากการแสดงครั้งนี้ ในโชว์มีปัญหาเรื่องอะไร แฟนเพลงคุณเป็นยังไง เพลงไหนที่เป็นท่าไม้ตายของคุณ คุณจะได้ประสบการณ์ตรงนี้กลับไปต่อยอดในครั้งต่อๆ ไปได้ 

ดังนั้นกับวงดนตรีขนาดเล็ก เรายินดีมากๆ ที่จะมาเล่นกับเรา นี่คือจุดประสงค์ที่เราสร้าง Blueprint Livehouse ขึ้นมา เราอยากให้ศิลปินได้มีที่ที่คุณแสดง เราอยากให้ศิลปินโตไปกับเรา

อยากให้มองว่า Blueprint Livehouse ไม่ใช่นายจ้างของนักดนตรี แต่เป็นเพื่อนร่วมทำงานกลุ่มด้วยกันมากกว่า 

พีระพงศ์ : มุมหนึ่งเราก็ไม่อยากให้มองเป็นนายทุนขนาดนั้น เพราะเราไม่มีทุน (หัวเราะ) ขอใช้คำว่าอยากจะเป็นพันธมิตรของศิลปินจะดีกว่า ถ้าคุณอยากหาที่เล่นดนตรีสดเราพร้อมซัพพอร์ตคุณ ถ้าคุณพร้อมก็มาเลย ถ้าคุณต้องการสถานที่เราให้ได้เต็มที่

แต่ขณะเดียวกันเอง ฝั่งศิลปินเองก็ต้องทำการบ้านมาด้วยนะ ว่าคุณมาเล่นที่นี่คุณต้องการอะไร เพื่อนำไปพัฒนาต่อ

ถ้าศิลปินตัดสินใจจะมาเล่นที่ Blueprint Livehouse เขาจะได้รับการซัพพอร์ตและช่วยเหลือจากคุณยังไงบ้าง 

แดเนียล : องค์ประกอบในการจัดอีเวนต์สักครั้งหนึ่งและการดีไซน์สิ่งต่างๆ เรื่องเสียง เรื่องแสง ขายบัตรให้ เรามีซัพพอร์ตให้หมดเลย กล้าพูดด้วยว่าเรามีระบบที่ดีตามมาตรฐานเลย คือมาตัวเปล่ากับเพลงของคุณก็เล่นที่ Blueprint Livehouse ได้

แล้วทางฝั่ง Blueprint Livehouse เองอยากได้ศิลปินแบบไหนมาโชว์ในสถานที่ของคุณ 

พีระพงศ์ : ที่ผ่านมาเราก็เปิดรับศิลปินทุกประเภท มีตั้งแต่วงดนตรีแนว Hard Noise ที่ดุเดือดมากๆ ไปยันวงป๊อปมากๆ 

ดังนั้นเราไม่มีวงดนตรี หรือมีแนวเพลงอะไรที่จะมานิยามที่นี่  Blueprint Livehouse เป็นสถานที่ในแบบประเภทที่ว่า ไม่ว่าคุณจะทำดนตรีแนวไหน คุณก็มาเล่นที่นี่ได้ คุณมาแสดงที่นี่ได้ จริงๆ วงไอดอลก็ยังได้ ถ้าเขาอยากจะมาแสดง  

วงไอดอลอย่าง 4EVE ก็สามารถทำการแสดงที่ Blueprint Livehouse ได้ 

พีระพงศ์ : ใช่ เรายินดีมากๆ เลย ถ้าสถานที่ประมาณนี้ สามารถต่อยอดเป็นงานอะไรของเขาได้ อาจเป็นงานประเภทเอกซ์คลูซีฟขายบัตรน้อยๆ อะไรแบบนี้ เราก็พร้อมเหมือนกัน เราเชื่อว่าวงดนตรีไม่ว่าจะเล็กจะใหญ่ เขามีความต้องการด้านพื้นที่แตกต่างออกไป  อยู่ที่ว่าเขาคาดหวังอะไรจากโชว์ครั้งนั้นมากกว่า 

สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือ Blueprint Livehouse ทำราคาบัตรที่ย่อมเยาได้ ซึ่งสวนทางค่าบัตรคอนเสิร์ตที่แพงขึ้นทุกวัน คอนเซปต์ตรงนี้เกิดขึ้นมายังไง 

วิทวัส : ราคาบัตรเราจะอ้างอิงจากกลุ่มเป้าหมายของเราเป็นหลัก ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเยาวชน ดังนั้นราคาบัตรต้องเป็นสิ่งที่เขาจับต้องได้ อาจเท่ากับราคาตั๋วหนังสักเรื่อง หรือบุฟเฟต์สักมื้อหนึ่ง คือเราพยายามตั้งราคาด้วยการทำให้เป็นหนึ่งกิจกรรมที่เขาสามารถเลือกทำได้ในแต่ละวัน พอจะมีกำลังจ่ายกันอยู่แล้ว เราไม่อยากให้ราคาบัตรของเราไปถึงจุดที่ต้องอดข้าว เก็บเงิน เพื่อมาซื้อบัตร ไม่อยากให้เป็นแบบนั้น

ที่ทำแบบนี้ส่วนหนึ่งก็คือเราต้องการปริมาณการกลับมาที่ไลฟ์เฮาส์ของลูกค้าให้ถี่ขึ้นมากกว่า ราคาเลยจับต้องได้มาก ไม่ใช่ว่ามาครั้งหนึ่ง แล้วหายไปเลยอีกสองเดือนหลังจากนี้ 

พีระพงศ์ : แต่ขอย้ำตรงนี้ว่า ราคาทุกโชว์ที่เราตั้งกัน ล้วนผ่านการพูดคุยกับศิลปินทุกคนเรียบร้อยแล้ว เราคำนวณให้ดูเลยว่าด้วยราคาเท่านี้ ทุกคนในอุตสาหกรรมดนตรีจะอยู่ได้

จริงๆ เรื่องทำยังไงให้บัตรดูคอนเสิร์ตราคาถูก แล้วทุกคนยังอยู่ได้ เราเคยปรึกษาจิน (จิน เซนทาโร่) เขาเป็นคนญี่ปุ่นที่อยู่ในแวดวงดนตรีอินดี้ไทยมานานแล้ว เขาก็อธิบายให้ฟังว่าการทำไลฟ์เฮาส์ต้องมององค์ประกอบให้เป็นสามเหลี่ยมคือ ศิลปิน ไลฟ์เฮาส์ คนดู

ซึ่งถ้าเราสามารถรักษาสามเหลี่ยมนี้ให้สมมาตร ไม่บิดเบี้ยวได้ทุกคนก็จะอยู่รอด  ดังนั้นอยากให้มองว่าราคาที่เราตั้งขึ้นมา มันสมเหตุสมผลกับทุกคนแล้ว มันอาจแพงกว่านี้ได้ แต่จะแพงไปเพื่ออะไร ถ้าเราไม่สามารถรักษากลุ่มคนดูเอาไว้ได้ หรือถ้าถูกเกินไปแล้วศิลปินอยู่ไม่ได้ เราก็ไม่รู้จะทำไปทำไม 

สุดท้ายเรื่องราคาบัตร จริงๆ เราไม่อยากให้มองด้วยคำว่าถูกหรือแพง ถ้าคุณมีกำลังจ่ายกันคุณซื้อไปเถอะ คือคุณไม่ได้แค่ซื้อความสุขให้ตัวเอง แต่คุณกำลังซื้อวัฒนธรรมดนตรีอยู่ เพราะการอุดหนุนคอนเสิร์ตหรือไลฟ์เฮาส์จนประสบความสำเร็จ จะดึงดูดให้ผู้จัดและศิลปินเห็นว่าพื้นที่ตรงนี้มีกำลังซื้อมีความต้องการเสพดนตรีอยู่ประมาณหนึ่ง มันก็จะทำให้สังคมดนตรีงอกงามขึ้นมาได้

แล้วจะทำยังไงดี ให้สามเหลี่ยมของการทำไลฟ์เฮาส์ทั้งสามด้านขยายและเติบโตไปพร้อมกันได้ 

พีระพงศ์ : เราอธิบายแบบนี้แล้วกัน ว่าสามเหลี่ยมแต่ละด้าน เขามีธรรมชาติคนละแบบ มีแนวทางเติบโตต่างกัน

ฝั่งคนดู พอเขาโตขึ้น มีกำลังจ่ายมากขึ้น สิ่งที่ท้าทายคือจะทำยังไงให้เขาใช้เงินไปกับอุตสาหกรรมดนตรีต่อไปได้

ฝั่งศิลปิน ทำยังไงให้ตัวเองเติบโตไปในทิศทางที่ศิลปินควรจะเป็น เช่นการทำเพลง รูปแบบการโชว์ 

ส่วนทางฝั่งไลฟ์เฮาส์ก็เช่นกัน ก็มีโจทย์ที่ต้องแก้ไขต่อว่า จะพัฒนายังไงให้ดึงดูดคนเข้ามาดูดนตรีสดได้มากขึ้น หรือทำยังไงให้คนอื่นเห็นว่าการทำไลฟ์เฮาส์สามารถอยู่รอดได้ เพื่อให้เกิดไลฟ์เฮาส์ที่อื่นๆ ตามมาหลังจากนี้

จะเห็นได้ว่าสามเหลี่ยมแต่ละด้านก็จะมีเส้นทาง มีเป้าหมายที่ต่างกัน ดังนั้นไม่มีสูตรหรือวิธีแบบไหนที่จะทำให้ทุกภาคส่วนโตพร้อมกันอย่างก้าวกระโดด แต่ทุกคนในอุตสาหกรรมต้องช่วยคนละไม้คนละมือกัน ให้สามเหลี่ยมค่อยๆ โตไปตามกัน

ทุกวันนี้ มองว่า Blueprint Livehouse ประสบความสำเร็จหรือยัง

วิทวัส : เราไม่มีวันที่เราจะใช้คำว่าประสบความสำเร็จได้ เพราะเราไม่ได้ทำในระดับของธุรกิจ เราเปิดไลฟ์เฮาส์เพื่อส่งเสริมให้อุตสาหกรรมดนตรีในไทยมีพื้นที่ให้ศิลปินเล่นมากขึ้น มีพื้นที่ให้คนมาเจอศิลปินบ่อยมากขึ้น 

แต่ถ้าถามว่าในแง่ของการเติบโตตลอดเวลา 6 เดือนที่เปิดไลฟ์เฮาส์มา เราจะตอบว่ามีความสุขมากๆ มีความสุขที่เริ่มปักหมุดคำว่าวัฒนธรรมไลฟ์เฮาส์ไปในใจของคนดูและศิลปินได้ 

คิดว่าอะไรที่ Blueprint Livehouse ทำอยู่ที่เริ่มมาถูกทางแล้ว

พีระพงศ์ : คือการได้เห็นศิลปินเล่นดนตรีกับเราแล้วเขามีความสุข ได้เห็นศิลปินยินดีที่จะร่วมทำงานในโมเดลธุรกิจแบบนี้ อะไรแบบนี้ก็ทำให้รู้สึกว่าเราน่าจะมาถูกทางแล้วล่ะ 

วิทวัส : ความสุขในแต่ละวันคือ ศิลปินแฮปปี้ คนดูแฮปปี้ เราก็ถึงจะแฮปปี้ มันต้องไปด้วยกันทั้งหมด จะมาแฮปปี้คนเดียวไม่ได้ 

มีคำแนะนำสำหรับคนที่อยากเปิดไลฟ์เฮาส์บ้างไหม

ทุกคน : อย่าเปิด (หัวเราะ)

วิทวัส : ถ้าจะเปิด อย่าคิดแค่ว่าจะเปิดเพราะอยากรวย คุณต้องตอบตัวเองให้ชัดเจนก่อนว่าจะเปิดไปทำไม ถ้าจะเปิดเพื่อสร้างกำไร ผมแนะนำไปทำอย่างอื่นดีกว่า พูดจริงๆ แต่ถ้าอยากเปิดเพราะว่าอยากให้วงการดนตรีมีพื้นที่มากขึ้น แสดงว่าคุณเริ่มมาถูกทางแล้ว จากนั้นค่อยมาคิดว่าจะทำยังไงต่อให้อยู่รอดและประสบความสำเร็จได้ 

พีระพงศ์ : บอกเลยว่าคนเปิดไลฟ์เฮาส์เบื้องหลังที่ต้องทำทุกวันคือ การต้องมาดูดฝุ่น ถูพื้น แบกของแทบทุกวัน อันนี้แหละ งานของจริงสำหรับคนทำไลฟ์เฮาส์ 

ถ้าหากบทสัมภาษณ์นี้ไปผ่านตาคนจากรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับดนตรีและวัฒนธรรมเข้า มีอะไรอยากบอกเขาบ้าง 

วิทวัส: ถ้ารัฐบาลหรือกระทรวงวัฒนธรรมอยากจะส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ เขาอาจจะต้องลงทุนเกี่ยวกับวงการนี้มากยิ่งขึ้น ไม่ใช่แค่การที่คุณรอใครสักคนที่จะดังเหมือน ลิซ่า วง BLACKPINK แล้วค่อยแห่ไปสนับสนุนเขา เพราะการจะรอให้คนแบบนี้โผล่ขึ้นมา มันใช้เวลาและเดิมพันเยอะเกินไป

สู้คุณมาลงทุนกับทั้งวงการ แล้วค่อยมาเลือกว่าใครมีความสามารถพอจะแบกซอฟต์พาวเวอร์ของเมืองไทยได้ แบบนี้ดีกว่าไหม แทนที่จะเอาเงินไปหนุนซูเปอร์สตาร์สักคน สู้เอาเงินไปอัดฉีดสร้างไลฟ์เฮาส์ให้มากขึ้น มีงบสำหรับส่งศิลปินไปต่างประเทศ หรือมีนโยบายที่ศิลปินสามารถขอทุนสำหรับทำเพลง แบบนี้จะดีกว่าไหม 

วิธีบริหารความเสี่ยงของ ‘แก่ สาธิต’ กับอาชีพใหม่ในวัย 60 และปรัชญาชีวิตว่าด้วยความไม่รู้

เป้าหมายชีวิตของคุณเป็นแบบไหน? กินอิ่มนอนหลับ รวยล้นฟ้า หรือได้ไปเที่ยวรอบโลก เชื่อว่าน้อยคนนักที่เป้าหมายชีวิตคือการทำงาน ทำงาน และทำงาน

“ผมไม่คิดจะเกษียณ”

ครั้งแรกที่ได้ยินคำพูดนี้ออกจากปากของ แก่–สาธิต กาลวันตวานิช คนดังแห่งวงการออกแบบและโฆษณา ปฏิเสธไม่ได้ว่าคำพูดนั้นชวนเข้าใจในสองความหมายด้วยกัน 

หนึ่ง–สาธิต หรือ ‘พี่แก่’ ของน้องๆ ในวงการไม่ยอมเปิดทางให้คนรุ่นใหม่มีพื้นที่ สอง–พี่แก่คนนี้ไม่ยอมแก่และรักการทำงานเป็นชีวิตจิตใจ 

คำตอบของเราได้รับการไขปริศนา เมื่อนั่งสนทนากับเขากว่า 3 ชั่วโมง 

เราพบว่าประโยคที่ว่ามีความหมายตามข้อสอง

ตลอดระยะเวลาการทำงานกว่า 50 ปี ของชายวัย 60 กว่าคนนี้ ไม่เคยมีช่วงเวลาไหนที่เขาไม่อยากทำงาน ทั้งงานที่เขาถือและลงมือทำยังหลากหลายมากเสียจนถ้านำไปทำเป็นเรซูเม่ เชื่อว่าคนจากทุกวงการสร้างสรรค์จะต้องอยากเอาเป็นตัวอย่าง 

สาธิตเริ่มต้นการทำงานด้วยการเป็นกราฟิกดีไซเนอร์ เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัทด้านงานออกแบบกราฟิกอย่าง ‘สามหน่อ’ ก่อนจะขยับไปทำหนังโฆษณาและโปรดักชั่นเฮาส์ที่ ‘Phenomena’ กระโจนลงไปทำโปรดักต์ดีไซน์อย่าง ‘Propaganda’ ที่แต่เดิมคนค้านหัวชนฝาว่าไม่รอด แต่เขากลับทำให้รุ่ง

แม้แต่ละอาชีพจะแตกต่างกันในรายละเอียด แต่จุดร่วมที่เขาสร้างขึ้นคือเขาและทีมคว้ารางวัลระดับโลกมาประดับพอร์ตมากมายจนทำให้บริษัทที่ว่ามาเหล่านั้นกลายเป็นตำนานของวงการ แต่แม้ปลายทางจะประสบความสำเร็จจนแทบไม่มีอะไรต้องพิสูจน์ เขากลับบอกว่ารางวัลที่ได้มานั้นเป็นรางวัลจากการลงมือทำด้วย ‘ความไม่รู้’

ปัจจุบัน สาธิตเป็นที่ปรึกษาและ Brand Narrative ซึ่งเป็นอาชีพใหม่ที่เริ่มต้นขึ้นในวัย 60 ปี และถือเป็นอาชีพที่ยังไม่เคยมีคนบุกเบิกมากนัก 

เขายังคงยืนยันว่าเขาเริ่มอาชีพนี้จากความไม่รู้ น่าสนใจว่าความไม่รู้ที่ว่าหน้าตาเป็นแบบไหนถึงนำไปสู่อาคาร FYI Center ที่โดดเด่นและแตกต่าง อาคาร True Digital Park ที่ดูไซไฟ กระทั่งศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ที่ปรับปรุงใหม่ เขาก็ทำให้พื้นที่บางส่วนในนั้นมีแรงดึงดูดบางอย่าง

ในทางหนึ่ง ความแก่กล้าในวงการนั้นก็เป็นอาวุธลับชั้นดีที่ทำให้ผู้คนเชื่อมั่นในผลงาน แต่อีกทาง ความแก่กล้าตรงนี้ก็พ่วงมากับความเก่าเก็บ คำถามที่เราสงสัยจึงคือ พี่แก่ สาธิต ยืนระยะในวงการนานหลายทศวรรษได้ยังไง หลักปรัชญาว่าด้วย ‘ความไม่รู้’ ของเขาหน้าตาเป็นแบบไหนจึงทำให้เขารับมือและเปลี่ยนทุกความเสี่ยงภัยจากความไม่รู้เป็นผลงานระดับตำนานได้

จากการสัมภาษณ์หลายครั้ง คุณมักบอกว่าสิ่งสำคัญคือการทำอะไรนอกกรอบและทำสิ่งที่คนอื่นไม่ทำ แนวคิดการทำงานแบบนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนไหน

ที่จริงผมเป็นคนทำอะไรนอกกรอบมาตลอด ตอนเรียนมัธยมที่สวนกุหลาบก็ไม่ยอมเรียนเพราะลุ่มหลงการทำหนังสือมาก จำได้ว่าเดินออกจากโรงเรียนเพื่อไปโรงพิมพ์ แล้วเขาก็ประกาศออกไมค์ว่า ‘นายสาธิต นายเป็นสาราณียกร แต่นายไม่มีอภิสิทธิ์ที่จะเดินออกไปนอกโรงเรียนตามใจชอบ’ 

เราก็ไม่สน เดินปู๊ดออกไปดมกลิ่นทินเนอร์ ดมกลิ่นหนังสือทุกวัน (หัวเราะ)

เรียกว่าเป็นเด็กไม่ยอมเรียนคนหนึ่ง

เหมือนเป็นเด็กเลว ไม่ไปเรียนหนังสือแต่ว่าจริงๆ เราชอบเรียนนะ เพียงแค่แอบไปเรียนนอกหลักสูตรมากกว่า จนกระทั่งต้องสอบเข้ามหา’ลัยนี่แหละ มันก็เหมือนต้องเอาตัวให้รอด เลยตั้งใจอ่านหนังสือซึ่งจริงๆ เราก็ชอบอ่านหนังสืออยู่แล้วเพราะแม่เป็นบรรณารักษ์​ เขาก็จะชอบเอาหนังสือมาวางเรียงให้เราเลือกอ่าน บางทีก็ชอบพาไปบ้านคนที่มีห้องสมุดใหญ่ๆ 

เราก็ดันสอบติด แต่คิดว่าน่าจะเพราะเราได้ภาษาอังกฤษมากกว่า 

ไม่มั่นใจในฝีมือตัวเอง

ไม่ใช่ไม่มั่นใจนะ แต่เราโง่ขนาดที่ว่าตอนสอบข้อเขียนวิชาศิลปะ เขาให้ภาพเก้าอี้คลาสสิกตัวหนึ่งแล้วให้เราเติมขาเก้าอี้ลงไป เราก็วาดไปมั่วๆ อีกข้อคือเขาให้วาดหู 3 หู แต่ให้วาดเป็นเส้นสร้างสรรค์ เช่น อาจจะต้องวาดคอมโพซิชั่นใหม่ หรือให้หูมันงอกออกมาจากต้นไม้ แต่เราไม่รู้ก็เอาหูสามหูมาเรียงต่อกันเฉยๆ

พอเข้าไปเรียนมัณฑนศิลป์ ศิลปากร เราก็ไม่เรียนในหลักสูตรอีก เพื่อนหมายมั่นปั้นมือให้ช่วยทำหนัง แต่ตอนนั้นไม่ชอบหนังเอามากๆ ก็ไม่ยอมช่วยเพื่อนแต่ไปทำสมุดขายกับเพื่อนธรรมศาสตร์ ทำการ์ดบ้าง ทำปกหนังสือบ้าง เดี๋ยวก็ลากไปทำกับเพื่อนจุฬาฯ เพื่อนมหาวิทยาลัยนั้นนี้ มันก็เกิดคอนเนกชั่นกับเพื่อนต่างมหาวิทยาลัยโดยที่เราไม่รู้ตัว และคนเหล่านั้นก็กลายเป็นเพื่อนร่วมงานในอนาคต 

แต่ขณะเดียวกัน กลายเป็นว่าเพื่อนในชั้นก็เกลียดเราเพราะเราไม่ช่วยเขา แต่ดันไปทำอย่างอื่น ส่วนคนในมหาวิทยาลัยก็ด่าเรากันทั้งมหาวิทยาลัย เพราะเราไม่เรียนแต่ก็ดันไปเป็นนายกสโมสรที่เขาด่ากันว่าแย่ที่สุด เรียกว่าเป็นคนแปลกๆ ที่เข้ากับใครเขาไม่ค่อยได้ 

ความนอกกรอบเหล่านั้นมีผลทำให้คุณเป็นคนชอบเปลี่ยนงานหรือเปล่า เพราะที่ผ่านมา คุณทำทั้งกราฟิก หนังโฆษณา มิวสิกวิดีโอ โปรดักต์ดีไซน์ จนกระทั่งมาเป็นงานที่ปรึกษาอย่างปัจจุบัน

ไม่เชิงว่าชอบเปลี่ยนงาน แต่ปรัชญาของผมคือมีอะไรก็ทำ เพราะโอกาสเรามีแค่นี้ ผมจะไม่มองงานที่เข้ามาว่ามันต้องเป็นงานใหญ่ หรืองานระดับสูงๆ ถึงจะทำ ผมไม่มีคำว่าไม่ชอบหรือไม่เก่งแล้วจะไม่ทำ แต่จะคิดเสมอว่าถ้าพอทำได้ก็ลองดู เพราะเชื่อเสมอว่าการทำงานเล็กๆ ให้มันยิ่งใหญ่มันจะทำให้เรามีทักษะหลายๆ อย่างโดยที่เราไม่รู้ตัว

แล้วพอเราไม่เก่งหรือทำไปด้วยความไม่รู้ ก็กลายเป็นว่าเราเน้นทำเยอะไว้ก่อน เรียกว่าจ้างร้อยทำล้าน ไม่ก็มักจะทำอะไรที่มันต่างออกมาเพราะเราทำไปด้วยความไม่รู้จริงๆ ที่สำคัญคือทำให้มันสุดแล้วก็ใส่อาร์ตเข้าไป เหมือนกับที่ Joe Duffy คนก่อตั้ง Duffy Design Group บอกไว้ว่า “We are here to inject art into commercial” 

ให้ร้อยทำล้าน แล้วจะคุ้มไหม

คุ้มสิ เพราะเราถือว่าเขาจ่ายเงินมาให้เราได้เรียนหนังสือหรือหาความรู้เพิ่มเติม แล้วเราอาจจะไม่ได้กำไรจากเงินก็จริง แต่เราได้กำไรจากประสบการณ์ เราจะได้รู้ว่าปัญหาแบบนี้กูแก้ได้ เทคนิคแบบนี้กูแก้ได้ ไอ้วิธีแบบนี้เขาบอกว่ามันไม่ควร เรากลับไปทำให้มันกลายเป็นคำตอบใหม่ว่าทำได้นี่หว่า  

ตอนทำบริษัทด้านงานออกแบบกราฟิกดีไซน์อย่างสามหน่อ เอาจริงๆ ตอนนั้นถือเป็นมุมมืดเพราะเป็นบริษัทที่ไม่มีชื่อเสียง ไม่มีตังค์ ไม่มีคนช่วย ไม่มีอะไรเลย เราเลยมักจะได้งานที่คนอื่นเขาไม่อยากทำกัน เช่นรายงานประจำปี แต่เราก็ดันทำให้ไอ้ของที่ไม่มีอะไรเลยตอนนั้นมันทำให้บริษัทมีชื่อเสียง

ลูกค้าบอกว่าไม่ขออะไร ขอแค่มีแบงก์ 500 อยู่หน้าปกนะ เราก็ไม่เอา เราไปเอาปลาทูใส่เข่งมาแปะ  นี่ไง inject art into commercial แล้วก็ค่อยอธิบายลูกค้าให้ได้ว่าไอ้ที่เราใส่ศิลปะเข้าไปมันกลับมาสู่คอนเซปต์ยังไง ก็คือรายงานประจำปีนี้มันเป็นการเล่าถึงเศรษฐกิจ ณ ตอนนั้นที่เราทำประมงกันนั่นเอง หรือถ้าเขาถามว่าทำไมต้องเอาหินมากองตรงนี้ เราก็เล่าว่ามันเป็นเรื่องทรัพยากรประเทศไง กลายเป็นว่าได้รางวัลกลับมา

จริงๆ มันไม่ใช่แค่งานที่สามหน่อ แต่ทุกๆ งานในทุกๆ บริษัทที่ผ่านมาก็ต้องบอกว่าโชคดีที่ไม่ได้เรียนมาสูง โชคดีที่ไม่ได้เรียนเมืองนอก โชคดีที่ไม่ได้ไปเรียน Film School โชคดีที่ไม่ได้ไปเรียนที่ใดๆ แต่เราเรียนรู้แบบ situation-based learning คือเข้าไปเรียนรู้ผ่านการลองผิดลองถูก 

อย่างตอนทำโปรดักชั่นเฮาส์ที่ Phenomena เราก็ทำทั้งที่เราไม่มีความรู้เกี่ยวกับหนัง ไม่มีกราฟอารมณ์ ไม่มีมุมกล้องแบบที่คนอื่นเขาเรียนมา เราแค่ทำตามแบบที่เราชอบ เพราะฉะนั้นงานของเรามันเลยจะผิด แต่ผิดแล้วคนสนใจไหม คนเขาสนใจ

คนรุ่นคุณมักจะมองว่าการเปลี่ยนงานหรืออาชีพบ่อยๆ มันเป็นความเสี่ยง ทำไมคุณถึงชอบ play risk มากกว่า play safe

จริงๆ แล้วเราไม่ใช่คนที่ชอบเสี่ยง เป็นคนที่เพลย์เซฟเหมือนกับทุกคนแต่ถูกล่อลวงโดยความลุ่มหลงมากกว่า สามหน่อก็ถูกล่อลวงด้วยกราฟิกจนได้รางวัลมา แต่พอมีคนชวนไปทำมิวสิกวิดีโอ เรามันก็ดันถูกล่อลวงด้วยความอยากลองจนมันมาสู่การทำ Phenomena 

พอได้รางวัลก็แทนที่จะอยู่เฉยๆ ก็ออกมาทำ Propaganda ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่มหาภัยและฉิบหายที่สุด แต่ความเสี่ยงนั้นมันก็คุ้มค่าเพราะมันทำให้เรามีความรู้อีกมากมาย เนื่องจากตอนนั้นเรากับน้องๆ ที่ทำมาด้วยกันไม่มีความรู้เรื่องอะไรเลย ทั้งสต็อกของ เรื่องรีเทล เรื่องทำร้าน 

พอมันโง่ พอมันไม่รู้มันก็เหมือนเวียดกงสู้กับอเมริกัน คือมีทางเดียวว่าถ้าไม่ชนะก็คือตาย พอมันต้องชนะเท่านั้น เราก็ต้องพยายามเอาตัวให้รอด คือตอนนั้นเราอยากจะทำของที่มันเนี้ยบๆ ดีๆ เหมือนฝรั่ง แต่เราลอกเขาไม่ได้เพราะเราโง่ 

สุดท้ายมันเลยถูไถออกมาเป็นคาร์แร็กเตอร์มิสเตอร์พี (Mr. P) และอีกหลายๆ ตัวที่มันเต็มไปด้วยความทะลึ่ง เช่น นาฬิกาโชว์ไอ้จู๋บ้าง ขวดสบู่ที่สบู่จะไหลออกจากลิ้นบ้าง สะท้อนความเป็นไทยได้ดี แต่โลกการออกแบบเขาไม่ทำกันและไม่เคยมีคนทำมาก่อน พอมันแปลกมันก็กลายเป็นว่า Propaganda เป็นเหมือนเป็นไอคอนิกของวงการดีไซน์ไป 

ไม่รู้สึกว่าการกระโดดลงไปในงานใหม่ๆ ด้วยความไม่รู้คือความเสี่ยงเหรอ

ไม่ได้คิด เพราะโง่ ยืนยันเรื่องโง่ เพราะว่าถ้าฉลาดคุณจะออกมาทำสิ่งที่คนอื่นคิดว่ามันไม่รอดเหรอ

เครียดหรือกังวลเรื่องเงินบ้างไหม

โชคดีที่เรายังพอมีธุรกิจอื่นช่วย แต่สายป่านที่มีอยู่มันก็ไม่ได้ยาวมาก เราก็เลยต้องรีบสำเร็จอยู่เหมือนกัน แต่หลักๆ แล้วด้วยความที่โง่มาก เลยทำไปเรื่อยๆ เพราะถ้าคุณฉลาดคุณจะเครียด

มีข้อเสียของการที่ทำสิ่งต่างๆ โดยที่เราไม่รู้และโง่บ้างไหม 

ข้อเสียมันเต็มไปหมดเลย แต่ทุกข้อเสียมันคือข้อดีเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าเป็นคนคิดบวกนะ เราก็เป็นคนที่พร้อมจะมองทุกอย่างในแง่ลบ กลัวนู่นกลัวนี่ แต่พอมันมึนๆ โง่ๆ มันทำให้เราต้องพยายามหาทางแก้ไข  

เพราะความโง่ที่บอกมันไม่ใช่โง่แบบโง้โง่ มันเป็นความโง่ที่อยู่บนพื้นฐานของการรู้จักคิด 

แล้วสุดท้าย ความโง่ซึ่งมันอาจจะเป็นความเสี่ยงภัยมันจะพาเราก้าวออกไปในดินแดนที่ไม่รู้จัก มันทำให้เราครอสทุกทักษะเข้าหากันหมด พอรวมทักษะเหล่านั้นเข้าด้วยกัน มันก็กลายเป็นอาชีพปัจจุบันอย่าง Culsultancy กับ Brand Narrative ที่เริ่มจับตอนอายุ 60 

แสดงว่าการเริ่มต้นอาชีพใหม่ในวัย 60 บวก ไม่ได้เริ่มต้นจากความไม่รู้อีกต่อไป

ยังคงเริ่มต้นจากความไม่รู้ ใช่ ยังไม่รู้

เพราะเราไม่เคยทำงานที่ปรึกษา และลูกค้าก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับอาชีพนี้ที่เขาจ้างเรามาด้วยซ้ำ เพราะตั้งแต่ที่คุณ วู้ดดี้–ธนพล ศิริธนชัย เขาเจอผมตอนกำลังไปบรรยายที่ ABC เขาก็อยากจะให้เราเข้ามาช่วยเป็นที่ปรึกษาโครงการ FYI 

ตอนนั้นมันก็ยังไม่มีคำว่า Brand Narrative เลยแต่ต้องเริ่ม narrative แล้ว (หัวเราะ) 

Brand Narrative หรือที่ปรึกษาที่คุณทำอยู่นั้นทำยังไง 

ถ้าพูดถึงอาคาร FYI Center ตอนแรกเขาแค่มาโชว์ให้ดูว่าเขาทำอะไรไปแล้วบ้าง เช่นออกแบบตึกแล้วนะ กำลังจะขึ้นฐานรากแล้วนะ แต่ตรง reception มันเหมือนขาดอะไรบางอย่าง เราก็เข้ามาช่วยคอนเฟิร์มสิ่งที่สถาปนิกทำว่าตรงนี้ดีอยู่แล้ว ทำไปเลย ส่วนตรงนี้ดูว่างๆ นะ งั้นเพิ่ม wall art หน่อย หรือตรงหน้าอาคารก็มี Mr & Mrs Spark เป็นเหมือนปลั๊กไฟที่เอียงเข้าหากัน เพื่อสื่อถึงความเชื่อมโยงถึงกันของคนในอาคาร

ความที่เราก็เคยทำงานมาหลายแบบ เราก็เลยเข้าไปทำ wall art แบบกราฟิกนูนต่ำกึ่ง Sculpture หยิบคำที่มันค่อนข้างสร้างแรงบันดาลใจมาทำเป็นครอสเวิร์ด เช่น smart, attitude, creativity แล้วใส่คำว่า Hi แต่เป็นตัวไอกลับหัวให้เป็นเครื่องหมายตกใจ ส่วนในห้องน้ำ ก็เอาคำพูดต่างๆ มาสะท้อนในกระจก 

จากนั้นเราก็ไปออกแบบวิชวลในลิฟต์ ด้วยความที่แต่เดิม ลิฟต์ไม่มีความหมาย เราก็อาศัยประสบการณ์จาก Propaganda โดยเลือกคำที่ provoke thought อย่าง ‘Even a brick wants to be something’ อิฐมันทะเยอทะยานที่วันหนึ่งมันจะกลายเป็นตึก สอดคล้องกับการสื่อถึงการขึ้นไปสู่ความก้าวหน้า พ้องกับหน้าที่ของลิฟต์ที่มันพาเราขึ้นไปข้างบน

เป็นงานเล่าเรื่อง

เรียกว่าเริ่มจากช่วยเขาเล่าเรื่อง แต่หลักๆ แล้วมันคือการที่เราเข้าไปเป็นข้อต่อระหว่างลูกค้าหรือเจ้าของโครงการ สถาปนิก และอินทีเรียร์ เพราะการทำงานส่วนใหญ่ ทางลูกค้าก็จะโยนคำหรูๆ หราๆ ไปให้คนออกแบบ ทั้ง brand archetype, brand persona, brand attribute เราเป็นคนที่ทำให้ไอเดียนั้นมันเป็นรูปเป็นร่าง เล่าเรื่องได้ และย่อยง่าย เพื่อส่งต่อให้สถาปนิกหรืออินทีเรียร์ทำงานได้ง่ายขึ้นด้วย

อย่าง True Digital Park ชัดเจนว่าเขาต้องการให้เราเป็นข้อต่อให้กับทางอินทีเรียร์ คือเขาต้องการเป็นฮับของเทคฯ สตาร์ทอัพ เพื่อเพิ่ม GDP ประเทศ เราก็หยิบคอนเซปต์มาทำเป็น cocoon pot เล่าเรื่องแบบ Metamorphosis โดยเล่าการเปลี่ยนแปลงของหนอนเป็นผีเสื้อ 

จากหนอนซึ่งมันไร้ค่า กลายเป็นดักแด้ และกลายเป็นผีเสื้อมีปีกบินสวย ซึ่งเป็น think pot ให้คนเข้าไปใช้งาน ทำ wall art และทำ co-working space ให้สตาร์ทอัพมาเจอกัน รวมๆ คือทำ visual ambient ให้มันดูว้าวและดูมีความไซไฟขึ้น

คุณรู้ได้ยังไงว่าอาชีพนี้มันต้องทำแบบไหน

ไม่รู้ แต่ว่าใช้คอมมอนเซนส์และประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมา 40-50 ปี อย่างอาคารสำนักงาน KingBridge ของเครือสหพัฒน์ เขามีคอนเซปต์ว่า ‘The Spirit Of Synergy’ คือเขาอยากให้สำนักงานที่เช่าอาคารแห่งนี้เกิดความ synergy หรือการรวมพลังกัน

ลูกค้าอยากให้ความ synergy นี้ถ่ายทอดออกมาผ่านการออกแบบ space, design, content และ experience ในตึก เราก็เข้ามาทำ brand narrative ให้การออกแบบและประสบการณ์สะท้อนออกมาให้ผู้ใช้งานในตึกสัมผัสได้

สุดท้าย เราก็นำเสนอคอนเซ็ปต์ให้พื้นที่ส่วนหนึ่งของอาคารมี amphitheather ลงไปเป็นสเตปเพื่อให้คนมาเจอหน้ากันได้แม้จะอยู่คนละบริษัท มีพื้นที่ common space ให้คนทำงานมานั่งและใช้สอย มีการเติมหนังสือลงไปในพื้นที่เพื่อให้ KingBridge เป็นมากกว่าออฟฟิศ แต่กลายเป็น marketplace of knowledge ที่ทำให้เขาได้มาหาความรู้และทำสิ่งที่มีความหมายต่อการใช้ชีวิต รวมถึงยังเสนอคอนเซ็ปต์พื้นที่อีกหลายจุดที่สะท้อนได้ว่าเจ้าของตึกนี้คิดถึงคนที่จะมาใช้ตึกเป็นหลักสำคัญ จนรู้สึกได้ว่าตึกนี้ใจดีจัง 

จากนั้นก็ส่งต่อไปที่สถาปนิกว่าเขาเห็นด้วยไหม เพราะเราไม่ได้ทำงานคนเดียวแต่เราต้องทำงานร่วมกับคนอื่นเพื่อช่วยให้ความต้องการของลูกค้ามันออกมาตรงกัน สถาปนิกเขาก็บอกว่าเขาอยากได้ Mr. P ของ Propaganda นะ เพราะมันเป็นคาแร็กเตอร์ที่เห็นแล้วยิ้ม แล้วก็อยากให้มี Mr. P หลายๆ ตัวทำท่าดันกำแพงขึ้นไปสูงๆ เหมือนเขาช่วยกัน push the boundaries ทั้งหมดนี้มันก็สื่อถึง ‘synergy’ หรือการร่วมมือกันจริงๆ

KingBridge

อาชีพใหม่ในวัย 60 บวก อาชีพนี้ถือว่ายากไหม

ยาก แต่เราก็มีหน้าที่ทำให้ความซับซ้อนนั้นมันย่อยง่ายและเขย่าออกมาให้เหลือนิดเดียว แล้วคนทำแบรนด์ส่วนใหญ่จะหยุดที่ตัวคอนเซปต์แต่ผมจะขยับไปที่ execution เข้าไปที่ solution แล้วรูปแบบก็จะชัดเจนขึ้น

รวมๆ แล้วนี่คือ Brand Narrative ซึ่งเป็นสิ่งที่เข้าไปตอบปัญหาของเจ้าของโครงการทั้งหลายว่าทำยังไงฉันถึงจะเล่าเรื่องของฉันได้ เราก็จะเป็นข้อต่อที่ช่วยทำให้เขาได้อย่างที่ใจเขาต้องการ เพราะบางครั้งเขาก็ไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เขาคิดมันควรจะออกมาเป็นยังไง

ที่เล่ามา จริงๆ มันก็แอบ inject art into commercial เหมือนกัน เพื่อทำให้ทุกอย่างมันสวย แต่มันไม่ได้สวยที่รูปร่างหรือรูปลักษณ์อย่างเดียว แบบนั้นใครก็ทำได้ แต่มันต้องสวยจากคอนเซปต์ด้วยเพื่อทำให้เกิดโมเมนตั้มที่เหนี่ยวนำให้เกิดอิมแพกต์ที่แรงขึ้นและมีประสิทธิภาพกว่าเดิม 

สมัยนี้เขาก็จะบอกว่าคุณเป็น ‘เป็ด’ คุณมองว่าตัวเองเป็นเป็ดไหม

ใช่ แต่เป็นเป็ดที่เข้าใจในแต่ละสายงานอย่างลงลึกและทำไม่เหมือนคนอื่นเขาทำนะ

คุณทำทุกอย่างที่ว่ามาคนเดียว

ผมทำคนเดียวไม่ได้หรอก ไม่ใช่แค่อาชีพปัจจุบันแต่ทุกๆ อาชีพที่เล่ามา ถ้าไม่มีเพื่อน หุ้นส่วน ลูกน้องที่เก่งกาจสามารถ ดีไซเนอร์เทพๆ ทีมบริหาร ทีมส่งของ ตัวคนเดียวมันทำไม่ได้ สิ่งที่ผมทำคือการเป็นศูนย์กลางที่พร้อมจะเป็น facillitator พร้อมจะลงไปคลุกฝุ่นกับเขา ลงไปแพ็กของกับเขาได้ จนมันเกิดเป็นสัมพันธภาพที่ทำให้เราได้เรียนรู้ซึ่งกันและกันซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก

ผมเชื่อในหลักขงจื๊อ ขงจื๊อให้ความสำคัญกับคำว่า ‘กตัญญู’ แต่มันไม่ใช่ความหมายที่คนทั่วไปเข้าใจนะ สำหรับผมมันคือการเห็นคุณค่าของคนรอบข้าง คนที่ช่วยงานเรา คนที่เป็นแม่บ้าน คนที่เป็น CEO คนที่เป็นอะไรก็ตาม แม้กระทั่งลูกค้าปัจจุบันของผม ผมก็ทำงานกับเขาด้วยสัมพันธภาพที่ดี 

พอเราทำงานออกมาดี สัมพันธภาพกับลูกค้าและคนรอบข้างก็ดี แบบนี้มันจะเกิด word of mouth ที่เกิดจากงานที่มีคุณภาพและความคิด อย่างคุณวู้ดดี้ที่เขาเป็นคนแรกที่จ้างให้เราทำงานนี้ เขาก็ยังแนะนำลูกค้าคนอื่นให้เราอยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นงานที่ True Digital Park งานที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ หรืองานที่ KingBridge 

แล้วจากการทำงาน KingBridge ครั้งนั้น เขาก็ให้เราทำอีกโปรเจกต์หนึ่งต่อเลยซึ่งก็คือ King Square

อายุ 60 ในงานราชการถือว่าถึงวัยเกษียณแล้ว คุณไม่คิดเรื่องเกษียณบ้างหรือ

ผมมีไอดอลเป็น มหาธีร์ โมฮัมหมัด เขาอายุ 90 ปีแล้วแต่เขายังกลับมาเป็นนายกฯ ของประเทศมาเลเซียเมื่อหลายปีก่อน คนสงสัยว่าแล้วทำไมต้องเอาคนนี้ มันไม่มีคนที่ดีกว่านี้แล้วเหรอ แต่เขาเก่งและกล้าสู้กับอเมริกามากทั้งที่ประเทศอื่นกลัว

มหาธีร์บอกว่าเคล็ดลับก็คืออย่ารีไทร์ เพราะเมื่อไหร่ที่คุณรีไทร์ คุณจะแก่ 

ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

ทำยังไงให้คนอื่นๆ เห็นว่าความแก่ไม่ใช่อุปสรรคและคุณยังทำงานได้ดี  

คำตอบมันอยู่ที่งาน งานที่ออกมาทำให้คนไม่รู้ว่าเราแก่หรืออายุเท่าไหร่ งานมันยังทำให้คนแนะนำกันว่างานนั้นให้พี่สาธิตทำแล้วกัน งานนี้ให้พี่สาธิตทำแล้วกัน แล้วแน่นอนว่าลูกค้าเขารู้ไงว่าถ้างานมันออกมาแย่ เราอาย (หัวเราะ) 

แต่ถึงเขารู้ว่าเราอายุเท่าไหร่ เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าเราแก่หง่อม ลุกก็โอย นั่งก็โอย เพราะอะไรรู้ไหม เพราะพอเราคิดว่าจะไม่รีไทร์และจะทำงานจนกว่ามันจะไม่ไหว เราก็ต้องเตรียมร่างกายให้พร้อมทำงานได้ 

อย่างแรกคือเราต้องอ่านหนังสือ การอ่านหนังสือมันทำให้เราไม่แก่เพราะว่าความรู้มันเข้ามาในสมองตลอด 

อย่างที่สองคือ เราต้องศึกษาเรื่องสุขภาพ กินอาหารดีๆ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เราไม่สนหรอกว่าแก่ไม่แก่ไม่รู้ รู้แต่ว่าร่างกายมันต้องพร้อม แล้วถ้าคนเปิดประตูมากวักมือเรียก เราก็พร้อมทำงานให้เขาทันที

ชีวิตกับงานเป็นเรื่องเดียวกัน

ชีวิตกับงานเป็นเรื่องเดียวกัน 

คุณให้ความหมายกับคำว่า ‘ชีวิต’ ในรูปแบบไหน 

ชีวิตคือการทำตัวให้เป็นประโยชน์กับคนอื่น เพราะถ้าเราทำเพื่อเอาเข้าตัวเองอย่างเดียว สุดท้ายแล้วมันก็มอดไหม้เพราะเราต้องไปเบียดเบียน ตัดขากัน ต่อสู้กัน มันก็เครียด แต่ถ้าเราอยู่ในกระแสของชีวิตที่ต้องการช่วยคนอื่น ช่วยน้องๆ ช่วยลูกค้า ช่วย stakeholder คนที่มีส่วนได้ส่วนเสีย หรือชีวิตที่เน้นการร่วมมือกับคนอื่นเพื่อสร้างอะไรให้ประเทศหรือโลกใบนี้ มันก็กลับไปที่เรื่องสัมพันธภาพ

ที่พูดแบบนี้ไม่ใช่ว่าเราเป็นคนดีนะ แต่มันคือการเห็นแก่ตัวผ่านการทำเพื่อคนอื่น ให้กับโลก ให้กับประเทศ  

ถ้าการรีไทร์ไม่ใช่คำตอบ รางวัลชีวิตของคุณคืออะไร 

ศาสนาพุทธบอกว่างานคือการยกระดับชีวิต งานเป็นอย่างเดียวที่ใช้เรียนรู้ชีวิต เรียนรู้คน เพราะฉะนั้นการเกษียณมันโคตรเหงาเลยนะ แต่ถ้าทำงานมันก็มีรายได้ ความภูมิใจก็ตามมา เพราะเราได้เอาสิ่งที่สั่งสมมาทั้งชีวิตไปออกแบบนั่นนี่ เอาไปช่วยคน แล้วลูกค้าก็แฮปปี้ เขากลับมาหาเราอีก มันก็คือรางวัลชีวิตแล้ว 

หรือแค่เราทำ sculpture ชิ้นหนึ่ง แล้วคนอยากจะซื้อไปไว้ที่บ้านก็ถือเป็นรางวัลชีวิตแล้ว แม้แต่การที่เราได้สัมพันธภาพดีๆ กลับมาจากการทำงานมันก็คือรางวัลชีวิตแล้ว

moreloop แพลตฟอร์มส่งต่อผ้าเหลือใช้ที่ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนเทียบเท่าขับรถรอบโลก 165 รอบ

ในแวดวงแฟชั่นยั่งยืนไทย คงไม่มีใครไม่รู้จัก moreloop

ไม่ว่าตอนไหนที่เรามีโอกาสไปนั่งคุยกับคนในวงการนี้ อย่าง SC GRAND แบรนด์สิ่งทอรีไซเคิลที่ส่งต่อแนวคิดรักษ์โลกมาตั้งแต่รุ่นยาย หรือ Loopers แพลตฟอร์มซื้อ-ขายเสื้อผ้ามือสองสุดป๊อปปูลาร์ ชื่อของ moreloop ล้วนถูกกล่าวถึงอย่างน้อยหนึ่งครั้ง

ย้อนกลับไปราวปี 2017 ในยุคที่คำว่าแฟชั่นยั่งยืนและเศรษฐกิจหมุนเวียนยังไม่คุ้นหู ชินปากคนไทย moreloop เกิดขึ้นในฐานะแพลตฟอร์มที่ทำหน้าที่เป็นคนกลางส่งต่อผ้าเหลือใช้ (หรือที่พวกเขาเรียกอย่างน่ารักว่า ‘ผ้าเหงา’) คุณภาพดีจากโรงงานหลายแห่งให้กับลูกค้า 

ความตั้งใจแรกของ ธมลวรรณ วิโรจน์ชัยยันต์ และอมรพล หุวะนันทน์ คืออยากตัดความเสียดายในใจเวลาที่เห็นผ้าเหลือจากการผลิตออกไป ทว่าความตั้งใจที่ใหญ่กว่านั้นคือการช่วยเซฟโลกใบนี้ผ่านการหมุนเวียนทรัพยากร

วันนี้ moreloop กำลังก้าวเข้าสู่ขวบปีที่ 6 เติบโตขึ้นทุกปี และมีผ้าเหงาที่รอเจ้าของในสต็อกกว่า 3,000 รายการ แพลตฟอร์มนี้ยังกลายเป็นขวัญใจของดีไซเนอร์หน้าใหม่หลายคน ที่สำคัญคือพิสูจน์ว่าธุรกิจสีเขียวนั้นไม่ได้ขายยาก ไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่เป็นสิ่งที่จะอยู่กับสังคมต่อไปอย่างยั่งยืน

บ่ายวันแดดดี เราจึงเดินทางมายังโรงงานผลิตเสื้อผ้าเก่าแก่ของธมลวรรณเพื่อคุยกันเรื่องเบื้องลึกเบื้องหลังของการทำแพลตฟอร์มที่คนในแวดวงทุกคนต้องรู้จัก

ผ้าเหลือ

ถ้า moreloop เปรียบได้กับเสื้อสักตัว ด้ายเส้นแรกของธุรกิจก็ถูกถักทอขึ้นเมื่อราว 5 ปีก่อน 

ในตอนนั้น ธมลวรรณคือทายาทรุ่นที่ 2 ของธุรกิจผลิตเสื้อผ้าส่งออกซึ่งมีอายุกว่า 30 ปี ส่วนอมรพลคืออดีตนักการเงินที่ตัดสินใจลาออกมาสร้างอะไรบางอย่างของตัวเอง

ตามประสาคนที่เติบโตมาพร้อมกับการผลิตเสื้อผ้า หญิงสาวมองเห็นความพิเศษของผ้าทุกผืนในโรงงาน ซึ่งส่วนใหญ่ใช้เส้นใยคุณภาพดี มีคุณสมบัติเหนือกว่าเนื้อผ้าที่ขายกันทั่วไป ทุกครั้งที่เธอเห็นว่าผ้าเหล่านั้นมีส่วนเกินหลังผลิตเสร็จจึงอดเสียดายไม่ได้ 

“เพราะเรารู้ว่าเป็นผ้าดี กว่าจะได้มาสักผืนนั้นยาก รอนาน เวลาที่ไม่ได้ถูกใช้แล้วก็จะถูกด้อยค่าไวมาก ขายโละทิ้งบ้าง ชั่งกิโลขายบ้าง โรงงานไม่ได้สนใจว่าผ้าเนื้อดีแค่ไหนแต่นับเป็นของเหลือใช้ ต่อให้เราขายไปได้เป็นร้อยเป็นพันตัว เปอร์เซ็นต์ในการใช้ผ้าเหลือก็ไม่ได้ลดลง” 

หญิงสาวเท้าความถึง pain point สำคัญ แล้วแวะขยายความคำว่าผ้าเหลือหรือที่คนในอุตสาหกรรมสิ่งทอเรียกว่า ‘ผ้าเดดสต็อก’ ให้ฟังว่า ตอนได้ยินคำว่าผ้าเหลือหรือผ้าเดดสต็อก ภาพในหัวของหลายคนคือผ้าชิ้นเล็กๆ คล้ายเศษผ้า แต่จริงๆ มันคือม้วนผ้าธรรมดาที่ใช้ตัดเย็บเสื้อผ้าทั่วไปนี่แหละ

“ในมุมโรงงานเอง โดยปกติเพื่อป้องกันระยะเวลาที่จะเสียจากการสั่งผลิตใหม่ เราจำเป็นต้องสั่งเผื่อ 3-5% เผื่อผ้าเสีย เผื่อตำหนิ เผื่อลูกค้าเปลี่ยนใจ อีกมุมหนึ่งคือบางครั้งเราต้องสั่งผ้าในจำนวนขั้นต่ำ เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ กลายเป็นว่ายังไงมันก็เหลือ 

“หากมองในแง่ธุรกิจ ผ้าเหลือเหล่านี้คือเงิน คือกระแสเงินสดของบริษัท ถ้าเราทำธุรกิจแปลว่ามันต้องมีรายได้เข้ามาหล่อเลี้ยงธุรกิจ ดังนั้นอะไรก็ตามที่สามารถสร้างรายได้ให้องค์กร ในมุมนักธุรกิจเราทิ้งไม่ได้อยู่แล้ว อยู่ที่เราจะใช้ของเหล่านั้นยังไงให้มันสร้างสรรค์และตอบโจทย์ให้กับคนอื่น”

ประกอบกับตอนนั้น อมรพลที่เพิ่งเข้าสู่วงการสตาร์ทอัพอยากทำมาร์เก็ตเพลสออนไลน์ที่รวบรวมของเหลือจากโรงงานพอดี

“ในฐานะนักวิเคราะห์ เราเดินโรงงานมาค่อนข้างเยอะ เห็นว่ามีของเหลือในโรงงานมากมาย จึงตั้งต้นว่าอยากทำแพลตฟอร์มออนไลน์สำหรับจำหน่ายของเหลือในโรงงาน แต่จะเริ่มจากอุตสาหกรรมไหนก่อนดี” เขาครุ่นคิด

วันหนึ่ง ธมลวรรณซึ่งรู้จักอมรพลอยู่แล้วทักหาเขาเพื่อขอความรู้เกี่ยวกับมาร์เก็ตเพลส ชายหนุ่มจึงแชร์สิ่งที่สนใจให้หญิงสาวฟัง แล้วก็โป๊ะเชะ

“เฮ่ย ฉันมีสิ่งนั้น”

ผ้าเยอะ

อย่างไรก็ตาม แพลตฟอร์มของพวกเขาก็ไม่ได้เกิดขึ้นปุบปับ เพราะจะทำธุรกิจทั้งทีก็ต้องคิดให้รอบ

คำว่ารอบในที่นี้ ถ้าแปลว่า ‘รอบข้าง’ น่าจะตรงตัวที่สุด

“เราชวนพี่พลมาดูที่โรงงานเพื่อให้เห็นว่าผ้าเหลือมีหน้าตาเป็นยังไง ซึ่งจริงๆ pain point นี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับโรงงานเราแค่โรงงานเดียว” ธมลวรรณย้อนเล่า

แต่ตามประสานักวิเคราะห์ อมรพลขอไม่เชื่อและไปหาคำตอบด้วยตัวเองก่อนว่า pain point นี้ใหญ่มากพอจะทำธุรกิจหรือไม่ ปรากฏว่าผลลัพธ์เกินความคาดหมายไปมาก

“เอาแค่ในประเทศ เรามีผ้าส่วนเกินประมาณ 350,000 ตัน เทียบเท่าการผลิตเสื้อได้ 700 ล้านตัวต่อปี และสามารถทำเสื้อผ้าคนไทยฟรีอย่างน้อย 10 ตัว” ชายหนุ่มเน้นเสียงหนักแน่น 

แต่ pain point ไม่ได้จบเพียงในโรงงานเท่านั้น 

หญิงสาวเล่าว่า “ในทางกลับกัน พอเราไปคุยกับน้องๆ ดีไซเนอร์แบรนด์ต่างๆ หลายคนอยากเป็นเจ้าของแบรนด์แต่เขาไม่ได้มีทุนมากพอที่จะซื้อผ้าขั้นต่ำตลอดเวลา เพราะการทำหนึ่งคอลเลกชั่น ถ้ามีเสื้อสีเดียวแบบเดียวอาจขายยาก บางคนอยากทำเป็นคอมพลีตลุค 

“ดังนั้น การที่เขายอมปรับดีไซน์มาใช้ของเหลือจากอุตสาหกรรม เท่ากับว่าเขาสามารถเริ่มต้นแบรนด์ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า แถมยังมีโอกาสได้ใช้ผ้าที่มีคุณภาพระดับเดียวกับแบรนด์ส่งออก ซึ่งเขาก็ต้องเอาความคิดสร้างสรรค์และการพลิกแพลงมาแลกด้วยเช่นกัน”

ผ้าเหงา

เมื่อตลาดกว้างพอ moreloop จึงเกิดขึ้นในปี 2017 ในฐานะแพลตฟอร์มส่งต่อผ้าส่วนเกินคุณภาพดีที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างโรงงานกับผู้ซื้อ 

กระบวนการไล่เรียงได้เช่นนี้ พวกเขาเปิดรับข้อมูลและตัวอย่างผ้าจากหลายๆ โรงงานมารวมไว้ที่โรงงานของอมรวรรณ จากนั้นจะถ่ายรูปผ้าทุกผืนแล้วอัพโหลดขึ้นเว็บไซต์ ใครสนใจผ้าผืนไหนก็มาดูตัวอย่างได้ที่โรงงาน ก่อนจะตกลงซื้อ-ขายกัน

“ราว 5 ปีก่อน ตอนที่เราเริ่มนั้นไม่ง่าย โดยเฉพาะการสื่อสาร” ธมลวรรณย้อนความ “อย่าง moreloop เองเราจะพยายามไม่เรียกผ้าของเราว่าเศษผ้าหรือเดดสต็อก เพราะ dead แปลว่าตาย stock แปลว่าเก็บ ทั้งเก็บทั้งตาย คือคุณค่ามันไม่เหลือแล้ว เราจึงใช้คำว่าผ้าส่วนเกินหรือ surplus fabric ในยุคนั้น มั่นใจมากว่าเราเป็นแบรนด์แรกๆ ที่เล่นคำพวกนี้

“แต่ตอนนี้เรามีชื่อใหม่ เป็นชื่อเล่นของผ้าเขาว่า ‘ผ้าเหงา’ เพราะน้องแค่เหงา ยังไม่ถูกใช้” หญิงสาวหัวเราะ

และจริงๆ แล้วชื่อ moreloop ไม่ได้มาแต่แรกด้วยซ้ำ พวกเขาเคยใช้ชื่อว่า waste space (พื้นที่ของเหลือ) ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นชื่อปัจจุบัน นั่นเพราะหนึ่ง–การใช้คำว่า waste ทำให้วัตถุดิบถูกด้อยค่าตั้งแต่ยังไม่ซื้อขาย และสอง-ชื่อใหม่นี้สื่อถึงการหมุนเวียน (loop) ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนที่พวกเขาวางไว้เป็นรากฐานของธุรกิจ

ในยุคนั้น คำว่าเศรษฐกิจหมุนเวียนหรือแฟชั่นยั่งยืนยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักนัก moreloop จึงนับว่าเป็นแบรนด์แรกๆ ที่ผลักดันเรื่องเหล่านี้อย่างเป็นรูปธรรม จนกระทั่งการมาถึงของกระแส fashion revolution ที่สร้างแรงกระเพื่อมไปทั่วโลก ทำให้พวกเขาก็ยิ่งโดดเด่นในฐานะตัวละครหลักในแวดวงแฟชั่นยั่งยืนไทย

“อะไรก็ตามที่เริ่มเป็นกระแส คนให้ความสนใจ มันมีโอกาสที่เราจะต่อยอดทางธุรกิจได้มากขึ้นอยู่แล้ว เพียงแต่เราคิดว่าสิ่งแวดล้อมไม่ใช่เทรนด์ ไม่ใช่เป็นแค่กระแส มันคือสิ่งที่มาแล้วไม่หายไปจนกว่าเราจะแก้ สิ่งที่น่าสนใจคือมีธุรกิจของน้องๆ รุ่นใหม่ที่เขาต้องมีเรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจหรือองค์กร แล้วมันจะถูกขับเคลื่อนไปเรื่อยๆ ไม่สิ้นสุด” หญิงสาวย้ำ

ผ้าช่วยโลก

ปัจจุบัน moreloop รับตัวอย่างผ้าจากกว่า 70 โรงงาน และมีผ้าหลากหลายเกรดกว่า 3,000 หน่วยให้เลือกสรร ตั้งแต่ผ้าสำหรับตัดเสื้อเชิ้ต เสื้อยืด กางเกง ไปจนถึงเบาะเรือ

ที่ต้องมีเยอะขนาดนี้ เพราะพวกเขาไม่ได้มีกฎเกณฑ์ตายตัวว่าผ้าแบบไหนที่จะคัดเข้ามาในแพลตฟอร์ม 

“เพราะถ้าเราบอกว่าจะหมุนเวียนทรัพยากรแล้วมันไม่ควรจะมีกฎเกณฑ์” ธมลวรรณให้เหตุผล แล้วกระซิบบอกว่าหากจะมีข้อยกเว้น ก็คงเป็นแค่ผ้าบางผืนที่มีลายพิมพ์โลโก้ผิดลิขสิทธิ์เท่านั้น

หลากหลายไม่แพ้เนื้อผ้าคือลูกค้า ผู้ก่อตั้งทั้งสองบอกเราว่ามีตั้งแต่เจ้าของแบรนด์เสื้อผ้า โรงแรม ลูกค้าที่ซื้อเอาไปประดิษฐ์ของกระจุกกระจิก อาทิ ห่วงรองเท้า หรือแม้กระทั่งคนจัดงานแต่งงานที่อยากได้ผ้าไปตกแต่งงาน 

ที่น่ารักก็คือทีมงาน moreloop ไม่ได้เรียกตัวเองว่าเป็นคู่ค้าแต่คือ Fabric Specialist ผู้เป็นเพื่อนคู่คิด

“เรามีทีมที่จะคอยแนะนำแบรนด์ต่างๆ ถ้าเขาอยากได้คำแนะนำ บางคนดีไซน์สินค้าขึ้นมาสักตัวแต่ไม่รู้ว่าผ้าแบบไหนจะเหมาะกับสินค้าของเขา เราก็ช่วยแนะนำประหนึ่งเป็นแบรนด์ตัวเอง” หญิงสาวบอก

และถึงจะเป็นแพลตฟอร์มซื้อ-ขายผ้าแต่ moreloop ก็ไม่ได้มีรายได้มาจากแหล่งเดียวเท่านั้น พวกเขายังมีบริการอัพไซเคิลที่เปลี่ยนผ้าเหล่านี้เป็นสินค้าให้กับองค์กรต่างๆ มากกว่านั้นคือผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์ moreloop ของตัวเองด้วย 

“5 ปีที่ผ่านมา เราน่าจะใช้ผ้าเหงาไปกว่า 60,000 กิโลกรัม ประหยัดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ไปด้วยจำนวน 870,000 กิโลคาร์บอนหรือเทียบเท่ากับการขับรถรอบโลก 165 รอบ” อมรพลเผยสถิติที่ทำให้เราทึ่ง

ผ้าช่วยเรา

ผู้ก่อตั้งทั้งสองบอกว่า  ในยุคที่คำว่าเศรษฐกิจหมุนเวียนและแฟชั่นยั่งยืนอยู่ในความสนใจของคนทั่วไป สิ่งนี้ไม่ได้เปลี่ยนความตั้งใจแต่ยิ่งตอกย้ำให้พวกเขาเชื่อในสิ่งที่ทำ 

“vision ที่เรายึดถือมาตั้งแต่วันแรกคือการสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนให้เกิดขึ้นจริง คำว่าจริงในที่นี้คือเป็นธุรกิจได้จริง ทำกำไรได้จริง เติบโตได้จริง และสเกลบริษัทได้จริง ซึ่งปัจจุบันเราทำเป็นธุรกิจที่มีกำไรได้จริงแล้ว เติบโตปีละ 20-30% นั่นหมายความว่ากลไกนี้สามารถที่จะเติบโตต่อไปได้อย่างยั่งยืน แต่สิ่งที่เราอยากทำต่อจากนี้คือเราจะสเกลธุรกิจยังไงให้ได้ 5-10 เท่าในอีก 4-5 ปีข้างหน้า นั่นคือโจทย์ในอนาคตอันใกล้” อมรพลบอก

“moreloop ทำให้เราได้เรียนรู้เยอะมากในฐานะผู้ประกอบการที่พยายามจะสร้างอะไรบางอย่าง สร้างสิ่งที่ตัวเองอยากเห็น ผมรู้สึกว่าเราไม่ได้สร้าง moreloop อย่างเดียวแต่ moreloop สร้างเราด้วย แบรนด์นี้ทำให้เราฝึกรับฟัง มีวินัย พัฒนาตัวเองมากขึ้น ที่สำคัญมันช่วยตอบคำถามในชีวิตของเราที่เราสงสัยว่า เราเกิดมาครั้งหนึ่งแล้วเราจะสร้างอะไรให้โลกในเวลาที่เรามีเหลืออยู่ได้ไหม การทำแบรนด์นี้ตอบคำถามนั้น” ชายหนุ่มเน้นเสียง ก่อนหญิงสาวจะเสริมต่อว่า

“moreloop ทำให้เรามองลูกค้าเปลี่ยนไป มันเปลี่ยนจากการที่เราผลิตตามสั่งให้กลายเป็นคนให้คำแนะนำได้ ทำให้เรารู้สึกสนุกกับการทำงานมากขึ้น สุดท้ายคือทำให้โรงงานเล็กๆ ของเราได้รับการมองเห็น แล้วสิ่งนี้ไม่ได้มีแค่เราเท่านั้นที่รู้สึกดีแต่พนักงานของเราที่อยู่กับโรงงานเรามานานเขาก็รู้สึกภูมิใจกับสิ่งที่เขาทำด้วยเช่นกัน”

ยุคแห่งการควบรวมกิจการ เปิดดีลใหญ่ในวงการธุรกิจ ผูกขาดหรือแข่งขัน

ในโลกของการทำธุรกิจ ไม่ว่าอุตสาหกรรมไหนก็ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลง ทั้งเรื่องของพฤติกรรมผู้บริโภค การเข้ามาดิสรัปต์ของเทคโนโลยีต่างๆ หรือแม้แต่การถือกำเนิดของคู่แข่งทางธุรกิจรายใหม่ที่พร้อมจะเข้ามาแทนที่และตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ทำให้ในปัจจุบันธุรกิจที่อยู่รอดได้ต้องปรับตัวเก่ง จับกระแสสถานการณ์ต่างๆ ให้ไว 

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ เราจึงคงได้เห็นการปรับตัวในรูปแบบของ ‘การควบรวมกิจการ’ ที่เกิดขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ สำหรับในประเทศไทยมีธุรกิจค่อนข้างเยอะ ถ้าต้องการควบรวมกิจการเพื่อโค่นล้มเบอร์หนึ่งในตลาด จำเป็นต้องมีเงินทุนจำนวนมหาศาล มีสรรพกำลังครบพร้อม การควบรวมกิจการจะช่วยเสริมเรื่องการแข่งขันแน่นอน

กลยุทธ์การควบรวมกิจการที่ได้รับความนิยมอยู่ 2 วิธีหลักๆ คือ การควบรวมกิจการแนวราบ (Horizontal Integration) และการควบรวมกิจการแนวดิ่ง (Vertical Integration) ซึ่งทั้ง 2 วิธีมีรูปแบบและผลลัพธ์แตกต่างกัน

การควบรวมกิจการแนวราบ (Horizontal Integration) คือการควบรวมกิจการในอุตสาหกรรมเดียวกัน หรือเป็นคู่แข่งกันทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งจุดประสงค์ของการควบรวมกิจการแบบแนวราบ เป็นการซื้อเพื่อเพิ่มขนาดกิจการ เพิ่มตลาดในการขายสินค้า หรือเพื่อทำลายคู่แข่ง ข้อดีของการควบรวมกิจการแนวราบอยู่ที่การขยายตลาดออกไปได้กว้างและเร็วขึ้น อีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าการเปิดกิจการหรือสาขาใหม่ 

ในต่างประเทศการควบรวมลักษณะนี้มักจะไม่เกิดขึ้น เนื่องจากเป็นการผูกขาดตลาด ที่ทำให้มีผู้เล่นแค่หนึ่งหรือสองราย ถ้าเป็นการควบรวมในอุตสาหกรรมเดียวกันที่อาจส่งผลเสียต่อลูกค้า เพราะการแข่งขันลดลง ความกระตือรือร้นในการพัฒนาสินค้าก็ลดลงไปด้วย 

อย่างไรก็ตาม การควบรวมกิจการแนวราบ ก็มีข้อจำกัดในเรื่องการวางแผนดำเนินงาน แม้ว่าลักษณะของกิจการจะมีสินค้า/บริการที่เหมือนกัน แต่โครงสร้างและวัฒนธรรมองค์กรย่อมแตกต่างกัน หากไม่มีการวางแผนที่ดี อาจทำให้การทำงานไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร จนในบางครั้งไม่ก่อให้เกิดผลกำไร หรือกิจการอ่อนแอลงกว่าเดิม

หนึ่งในเคสที่ถูกหยิบยกมาเล่าเมื่อเกิดการควบรวมแบบแนวราบคือ True และ  DTAC ที่ทุกคนต่างทราบดีว่า การแข่งขันของเครือข่ายโทรศัพท์มือถือในไทยมีผู้เล่นเพียงไม่กี่ราย คือ AIS, TRUE และ DTAC ที่ครองส่วนแบ่งการตลาดเกือบ 100% และเมื่อ True ควบรวมกับ Dtac ที่ต่างก็เป็นผู้เล่นรายใหญ่กันทั้งคู่ ทำให้การแข่งขันในไทยเหลือผู้ให้บริการเพียง 2 รายเท่านั้น ถือเป็นการควบรวมกิจการแนวราบที่ผูกขาดตลาด และส่งผลเสียต่อผู้บริโภคทันที

การควบรวมกิจการแนวดิ่ง (Vertical Integration) คือการควบรวมกิจการที่เกี่ยวข้องและอยู่ในห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เช่น ธุรกิจผลิตแป้งสาลีสำหรับทำขนมปัง เข้าซื้อกิจการร้านเบเกอรี หรือธุรกิจขนส่งเพื่อกระจายสินค้า เป็นต้น โดยข้อดีของวิธีการนี้ก็คือ การช่วยลดต้นทุนการผลิต เพราะกิจการที่ซื้อมีความเกี่ยวข้องกันจึงทำให้ได้ราคาต้นทุนถูกกว่า

‘วงการพลังงานขยับ บางจากซื้อเอสโซ่’

ช่วงเดือนที่ผ่านมาหลายคนคงเห็นโพสต์อำลาพี่เสือแห่งปั๊มเอสโซ่ ปิดตำนาน 129 ปี หลังบางจากทุ่มงบกว่า 22,000 ล้านบาท ซื้อหุ้น 65.99% ของเอสโซ่ในประเทศไทยทั้งหมดที่มีกว่า 830 สาขา

ดีลนี้ทำให้บางจากมีส่วนแบ่งการตลาดถึง 75% และกลายเป็นผู้เล่นที่มีโรงกลั่นน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในไทย อยู่ที่ 294,000 บาร์เรลต่อวัน และมีจำนวนปั๊มน้ำมันรวมกันอยู่ที่ 2,200 สาขา ขึ้นแท่นเบอร์ 2 ในตลาดค้าปลีกน้ำมันผ่านสถานีบริการน้ำมันทันที แซงหน้าปั๊มพีที ที่มี 2,181 สาขา ส่วนอันดับ 1 ยังเป็นปตท.อยู่เหมือนเดิม 2,473 สาขา แต่เมื่อดูจำนวนสาขาของบางจากและ ปตท.นั้นต่างกันแค่เพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ ซึ่งในไม่ช้าเราอาจเห็นตัวเลขสาขาของบางจากตีตื้นขึ้นมาเรื่อยๆ 

การควบรวมลักษณะนี้ทำให้บางจากเติบโตขึ้นทั้งในแง่ของกำลังการผลิตและจำนวนปั๊มทั่วประเทศ โดยไม่ต้องใช้เงินลงทุนเพื่อขยายสาขาด้วยตัวเอง และที่สำคัญบางจากยังได้ฐานลูกค้ามากขึ้นโดยที่ไม่ต้องเริ่มต้นจากศูนย์

‘ปิดตำนาน Family Mart ในไทย’

เราเห็นสัญญาณการปลดป้าย Family Mart ในประเทศไทยมาตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ไม่มีการเปิดสาขาเพิ่มขึ้น และลดจำนวนสาขาลงทุกปี โดยในปี 2565 มีเพียง 415 สาขาเท่านั้น ซึ่งสวนทางกับร้านสะดวกซื้ออื่นๆ ที่ตั้งเป้าเพิ่มสาขา ทำให้ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เซ็นทรัล รีเทล ทยอยเปลี่ยนป้ายร้าน FamilyMart เป็น Tops daily

ซึ่งก่อนหน้านี้ FamilyMart เข้ามาดำเนินธุรกิจในไทยโดยเป็นการร่วมทุนระหว่างไทยและญี่ปุ่นภายใต้ชื่อ บริษัท สยามแฟมิลี่มาร์ท จำกัด จนกระทั่งเซ็นทรัล รีเทลได้เข้ามาซื้อหุ้นในสัดส่วน 50.29% พร้อมเปลี่ยนชื่อเป็น Central FamilyMart จากนั้นในปี 2563 บริษัทย่อยของเซ็นทรัล รีเทลได้ทำการเข้าซื้อหุ้นเพิ่มอีก 49% นั่นเท่ากับว่าเกือบ 100% เป็นหุ้นของเซ็นทรัล รีเทล แต่ยังใช้ชื่อ FamilyMart อยู่ แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไป พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน การแข่งขันของธุรกิจร้านสะดวกซื้อเพิ่มขึ้น ทำให้เซ็นทรัล รีเทลต้องตัดสินใจครั้งใหญ่

ส่วนสำคัญที่ทำให้เซ็นทรัล รีเทล ตัดสินใจรีแบรนด์ FamilyMart อยู่ที่พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป ร้านค้าปลีกที่มีขนาดเล็ก 1-2 ห้อง ไม่ตอบโจทย์ลูกค้ายุคนี้ที่ต้องการร้านสะดวกซื้อที่มีขนาดใหญ่ มีสินค้าครบครันทั้งของสดของแห้ง ทำให้บริษัทตัดสินใจปลดป้าย FamilyMart ในไทยเพราะมองไม่เห็นวี่แววการเติบโต บวกกับสัญญาการบริหารของเซ็นทรัล รีเทลก็กำลังจะหมดลงในปีนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่เราจะเห็นการยกเครื่องครั้งใหญ่จาก FamilyMart สู่ Tops daily 

อย่างไรก็ตาม ชื่อของ Tops daily ก็ไม่ใช่แบรนด์ใหม่แต่อย่างใด Tops daily เป็นร้านค้าปลีกในรูปแบบของซูเปอร์มาร์เก็ตที่กระจายอยู่ในไทย มีสาขากว่า 100 แห่ง และคาดว่าในอนาคตจะเพิ่มขึ้น

จากกรณีศึกษาที่เรานำมาเล่านี้ ทำให้เห็นภาพชัดเจนว่าทำไมบริษัทใหญ่ๆ ถึงตัดสินใจขยายธุรกิจด้วยกลยุทธ์การควบรวมกิจการ เพราะในมิติของการลงทุน การตลาด และโอกาสทางการขาย การควบรวมกิจการสามารถเสริมศักยภาพความแข็งแกร่งให้ธุรกิจได้ทั้งหมด

อ้างอิง

  • thewindustry.com/columnist/%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%8D%E0%B9%8C%20%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%20(Pich%20Rodpai)/detail/5444w

ห้างสรรพสินค้าในฐานะดินแดนความฝัน พื้นที่ที่การดูสำคัญเท่าๆ กับการซื้อ

สำหรับคนเมือง ห้างสรรพสินค้าดูจะเป็นสถานที่ที่หลายคนไปจนเรียกขำๆ ว่าเป็นเหมือนบ้านอีกหลัง แม้ว่าบางครั้งคนกรุงเทพฯ อาจจะบอกว่าเบื่อห้างบ้าง แต่สุดท้าย เราก็หนีจากห้างไม่พ้น ห้างสรรพสินค้านอกจากจะเป็นที่ที่เราไปซื้อของ กินข้าว นั่งเล่นฆ่าเวลาแล้ว ห้างยังนับเป็นพื้นที่กึ่งสาธารณะที่สะอาด สะดวกสบาย และค่อนข้างเป็นพื้นที่ปลอดภัย พ้นจากแดดฝนและอันตรายอื่นๆ เป็นที่ที่อยู่ในชีวิตประจำวันสมัยใหม่และในพื้นที่เมืองของเรา

แน่นอนว่าห้างสรรพสินค้านับเป็นพื้นที่สำคัญของโลกสมัยใหม่ และอันที่จริงนับได้ว่าเป็นสุดยอดพื้นที่ที่มานิยามรูปแบบความสัมพันธ์และการจับจ่ายใช้สอยของเราด้วย ห้างเป็นพื้นที่ที่เราเข้าได้ฟรี เป็นที่ที่เราเข้ามาแล้วไม่ซื้ออะไรก็ได้ ไม่ต้องพูดคุยมากมายก็สามารถดูชมและซื้อสินค้าได้ นอกจากการเป็นพื้นที่มีรูปแบบปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ซื้อและสรรพสินค้าแล้ว หน้าตาของห้างนับตั้งแต่อดีต ห้างเป็นพื้นที่ที่เหมือนกับพื้นที่ของความฝัน การที่เราไม่ต้องซื้อ การได้ดูชม จับต้อง และนึกคิดถึงสินค้าที่เราดูหรือจับอยู่นั้น การจับจ่ายด้วยสายตานับเป็นนวัตกรรมและวัฒนธรรมสมัยใหม่สำคัญที่เกิดขึ้นในพื้นที่ห้าง

ในวันที่เราไม่รู้จะไปไหนก็ไปห้าง หรือกระทั่งอาจจะอ่านข้อความเหล่านี้ในพื้นที่ห้างอยู่ เราจึงขอพาย้อนไปยังศตวรรษที่ 19 ในจุดเริ่มต้นของเหล่าห้างสรรพสินค้า จากการประดิษฐ์และลงมือสร้างพระราชวังกระจกในงานแฟร์ที่ลอนดอน ไปจนถึงการเกิดขึ้นของพื้นที่ห้างในฐานะพื้นที่ทางสังคมแบบใหม่ และจบด้วยความสำคัญของกระจกและการจัดแสดงสินค้า (window display) กระจกที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมการชื่นชมด้วยสายตา ไปจนเจ้าของห้างผู้สร้างวลีติดปากว่า ‘ลูกค้าถูกเสมอ’

อาคารกระจกใส และพื้นที่สำหรับการชมสิ่งของ

ถ้าเราพูดถึงวิถีชีวิตสมัยใหม่ ชีวิตของการทำงาน พักผ่อนวันหยุดและการเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการบริโภค ห้างสรรพสินค้านับเป็นทั้งนวัตกรรมและเป็นพื้นที่ทางวัฒนธรรมที่สำคัญมากๆ พื้นที่หนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา ห้างนับเป็นนวัตกรรมที่เกิดขึ้นช่วงศตวรรษที่ 19 เป็นช่วงที่เมืองก่อตัวขึ้น ผู้คนโดยเฉพาะสุภาพสตรีเริ่มมีเวลาว่าง เริ่มมีรายได้ที่มากขึ้น กิจกรรมสำคัญใหม่คือการไปช้อปปิ้งและใช้เวลาในพื้นที่ของการช้อปปิ้งนั้นๆ 

ถ้าเรานิยามความเป็นห้าง ห้างคือพื้นที่ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อจัดแสดงสินค้า ห้างนั้นแตกต่างกับร้านค้าและย่านการค้าในสมัยก่อน แน่นอนว่าสมกับคำว่าสรรพสินค้า ห้างเป็นที่ที่รวมสินค้าต่างๆ จัดแสดงไว้ จุดเด่นของห้างคือการมีของมากมาย ถูกจัดระเบียบและจัดแสดงไว้ให้ผู้ซื้อได้จับและชมโดยห้างจะมีป้ายราคาติดไว้ เป็นหนึ่งในรูปแบบการสื่อสารสำคัญของผู้ซื้อที่มีต่อสินค้านั้นๆ 

ฟังดูธรรมดา แต่การรวมสินค้าและการสื่อสารผ่านป้ายราคานับเป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่เปลี่ยนรูปแบบการบริโภคสินค้าของเรา ในยุคก่อนห้างสรรพสินค้า การจับจ่ายสินค้าใดๆ ผู้ซื้อซึ่งส่วนใหญ่เป็นสุภาพสตรีต้องเดินทางไปยังร้านค้าเฉพาะที่เชี่ยวชาญสินค้านั้นๆ อยากได้ร่มก็ต้องไปร้านร่ม อยากได้ผ้าก็ต้องไปร้านผ้า ที่สำคัญคือร้านค้าเหล่านั้นจะให้บริการโดยเสมียนซึ่งผู้ซื้อต้องรู้ว่าตัวเองอยากได้อะไรและบอกคนขายไป หรือคนขายจะแนะนำกลับมา เบื้องต้นที่สุดการซื้อ-ขายสิ่งของใดๆ นั้นผู้ซื้อแทบจะไม่ได้มองเห็นของนั้นๆ ก่อนเลย อยากได้ผ้าสีชมพูก็ต้องบอกและรอดูว่าจะมีไหม จะชมพูแบบไหน มีหน้าตาเป็นยังไง คนซื้อจะไม่ได้ทราบหรือเห็นก่อน

การช้อปปิ้งในยุคก่อนห้าง แม้แต่สุภาพสตรีชั้นสูงที่มีเวลาว่าง มีผู้ช่วยจับจ่ายในการซื้อสินค้าก็ยังนับว่าเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความพยายามโดยเฉพาะในการซื้อเครื่องแต่งกายและสินค้าแฟชั่น ในขณะเดียวกันการซื้อสินค้าหลายครั้งจึงเป็นพื้นที่เฉพาะ ข้าวของบางจำพวกเป็นสิ่งเฉพาะที่คนบางกลุ่มจะเข้าถึงได้ทั้งจากเวลา จากเงิน และจากความรู้ การขายสินค้าบางประเภท ราคาและการขายสินค้านั้นๆ เกือบทั้งหมดเป็นดุลพินิจของเสมียนผู้ขาย หลายครั้งที่ของชิ้นหนึ่งถูกขายให้ลูกค้าสองรายด้วยราคาที่ไม่เท่ากัน

หมุดหมายสำคัญคือในปี 1851 ที่มีการจัดเอ็กซิบิชั่นที่เรียกว่า Great Exhibition ในลอนดอน ตัวนิทรรศการที่ว่าเป็นการจัดแสดงนวัตกรรมความก้าวหน้าของยุคสมัยใหม่ คำว่ายุคสมัยในที่นี้คือการจัดแสดงความก้าวหน้าที่รวบรวมมาจากทั่วโลก ข้าวของและสิ่งปลูกสร้างที่นับได้ว่าเป็นผลผลิตของเทคโนโลยี ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ และที่สำคัญคือความก้าวหน้าของโลกอุตสาหกรรม อันที่จริงนับได้ว่าเป็นความภูมิใจของมนุษยชาติในโลกยุคใหม่ก็ว่าได้

สิ่งสำคัญที่ถูกสร้างขึ้นในการจัดแสดง Great Exhibition คืออาคารที่ชื่อว่า The Crystal Palace พระราชวังแก้วเป็นอาคารขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นด้วยโครงสร้างเหล็กหล่อและกรุด้วยกระจกใส ทั้งนวัตกรรมเหล็กที่มีความแบน บาง และนำมาสร้างเป็นโครงสร้างอาคารขนาดใหญ่ที่โปร่งโล่งแทบไม่ต้องมีเสารับน้ำหนัก รวมถึงการกรุด้วยกระจกใสที่รีดบางกว่า 300,000 แผ่น นับเป็นหนึ่งในการเถลิงความก้าวหน้าทางอุตสาหกรรมที่น่าตื่นตาตื่นใจของมนุษย์เรา ซึ่งเจ้าโครงเหล็ก นวัตกรรมเหล็กกล้าและกระจกใสนี้นับเป็นพื้นฐานของนวัตกรรมและโลกสมัยอื่นๆ กระจกใสเองก็นับเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะไปปฏิวัติความเป็นห้างสรรพสินค้าทั้งในยุคต้นคือกลางศตวรรษที่ 19 ถึงยุคปฏิวัติคือการเป็นห้างในสมัยศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา 

ในพระราชวังกระจกใสซึ่งสร้างขึ้นเป็นอาคารจัดแสดงในสวนไฮด์ปาร์ก สิ่งที่ถูกจัดแสดงในเอ็กซิบิชั่นก็คือสินค้าจากโลกอุตสาหกรรมจากทั่วโลกของผู้จัดแสดงกว่า 10,000 ราย ในการจัดแสดงราว 15 วัน มีรายงานตัวเลขว่ามีผู้เยี่ยมชมนิทรรศการหลักล้านคน ประชาชนที่เข้าชมงานต่างรู้สึกตะลึงและตระการตาไปกับพลังที่โลกอุตสาหกรรมสามารถผลิตได้ผ่านข้าวของที่น่าทึ่ง นึกภาพว่าเราเป็นคนศตวรรษที่ 19 แค่เกิดอาคารใหม่เอี่ยมที่กรุกระจกใส เป็นโถงยักษ์สวยงาม และจัดแสดงสินค้าและนวัตกรรมจากทั่วโลกมาให้เราเดินชม การชมสรรพสินค้าในครั้งนั้นจึงนับได้ว่าเป็นจุดเริ่มของห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ และกิจกรรมการดูของหรือ window shopping หนึ่งในตัวอย่างสำคัญคือการเกิดขึ้นของห้าง Harrods ที่อยู่ไม่ไกลจากสวนไฮด์ปาร์กและกลายเป็นหมุดหมายของห้างในต้นศตวรรษที่ 20

พื้นที่สาธารณะใหม่ และวัฒนธรรมของการดูของ

สำหรับคอนเซปต์เรื่องห้าง การเปิดพื้นที่จับจ่ายใหม่ๆ รวมถึงการเกิดห้างสมัยใหม่เป็นประวัติศาสตร์ขนาดยาวที่ก่อตัวขึ้นอย่างหลากหลายในหลายพื้นที่ นอกจากหมุดหมายของการเปิดพื้นที่ขนาดใหญ่และสินค้าจำนวนมากที่อังกฤษแล้ว หนึ่งในพื้นที่ที่เรามักพูดถึงในฐานะอาณาจักรห้างสรรพสินค้าก็คือกรุงปารีส สำหรับหน้าตาของห้างอันหมายถึงร้านค้าที่มีความสมัยใหม่ที่ยังเป็นร้านรวงเล็กๆ ค่อนข้างสัมพันธ์กับการก่อตัวขึ้นของเมือง คนเยอะขึ้น การจับจ่ายเยอะขึ้น ร้านก็เริ่มปรับตัว ตัวอย่างเช่นในนวนิยายของบัลซัคพูดถึงร้านค้าในปารีสยุค 1840 ช่วงที่เริ่มมีรถไฟ เมืองก่อตัวขึ้น คนหนาแน่นขึ้น ในงานบัลซัคก็เริ่มบรรยายภาพร้านค้าที่จัดแสดงสินค้าผ่านกระจกหน้าร้าน มีการวางราคาและติดป้ายราคาอย่างชัดเจน รวมถึงเริ่มมีการโฆษณาสินค้าในหนังสือพิมพ์

ฝรั่งเศสเป็นอาณาจักรและจุดเริ่มการจับจ่ายที่สำคัญ ห้างในตำนานก็เริ่มเกิดขึ้นในช่วงทศวรรษ 1840 คือห้างที่ชื่อว่า  Le Bon Marché ห้างที่ตลาดที่ประชานิเวศน์นำชื่อมาตั้งเป็นชื่อตลาด ห้างบงมาร์เช่ เริ่มต้นในปี 1838 เป็นห้างขายของสุภาพสตรีเช่น ผ้าลูกไม้ ริบบิ้น ผ้าปูที่นอน กระดุมและร่ม แรกสุดยังเป็นห้างในทำนองร้านทั่วไป (แบบที่เราเรียกห้างขายผ้าหรือห้างขายยา) เมื่อแรกบงมาร์เช่มีขนาดร้านเพียง 300 ตารางเมตร จากห้างขายผ้าและอุปกรณ์เย็บปัก ในปี 1879 บงมาร์เช่ก็กลายเป็นห้างเต็มรูปแบบ มีพื้นที่ขยายใหญ่มหึมาถึง 50,000 ตารางเมตร

บงมาร์เช่นับเป็นหนึ่งในหมุดหมายของความเป็นห้างยุคใหม่ ในช่วงหลัง 1850 บงมาร์เช่กลายเป็นพื้นที่แบบที่เราเรียกว่าอาร์เคด (arcade) บงมาร์เช่เป็นห้างแรกๆ ที่ต้องการรวมผลิตภัณฑ์ทุกประเภทที่ผู้คนต้องการไว้ในพื้นที่ ในใต้หลังคาเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้นห้างบงมาร์เช่ยังมีพื้นที่เพื่อความสะดวกสบายอื่นๆ มีห้องอ่านหนังสือสำหรับคุณผู้ชาย มีที่เล่นสำหรับเด็กๆ และมีการจัดทำแค็ตตาล็อกสินค้าส่งตรงไปยังบ้านนับล้านฉบับ ความน่าสนใจอีกอย่างของบงมาร์เช่คือในช่วงทศวรรษ 1880 ห้างแห่งนี้กลายเป็นพื้นที่จ้างงานของผู้หญิง กว่าครึ่งของพนักงานเป็นพนักงานหญิง มีการสร้างหอพักให้พนักงานอยู่ที่ชั้นบนสำหรับผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงาน

ในจุดนี้เอง พื้นที่เมืองที่เคยเป็นพื้นที่ของผู้ชายมาโดยตลอด พื้นที่ห้างสรรพสินค้าจึงเริ่มกลายเป็นพื้นที่สำหรับผู้หญิง ในด้านหนึ่งนับได้ว่าเป็นพื้นที่ปลอดภัย นึกภาพว่าสมัยก่อนผู้หญิงไม่มีที่ให้ไปใช้เวลาข้างนอก ห้างกลายเป็นพื้นที่ปิด ที่สะอาด เป็นระบบ และปลอดภัยที่ผู้หญิงจะไปใช้เวลาทั้งซื้อหรือไม่ซื้อก็ได้ และจากกรณีบงมาร์เช่ กลายเป็นพื้นที่จ้างงานสำคัญของสุภาพสตรี ความปลอดภัย และการจ้างงานเป็นทางหนึ่งในการส่งเสริมอิสรภาพให้กับผู้หญิง

อาณาจักรของความฝัน เจ้าของวลีลูกค้าถูกเสมอ

การก่อตัวของห้างสรรพสินค้าสัมพันธ์กับหลายมิติ ทั้งการก่อตัวขึ้นของเมือง รวมถึงหน้าตาของห้างเองที่แต่เดิมมักสร้างให้มีความยิ่งใหญ่อลังการ เป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างคิดเพื่อการจับจ่ายของชนชั้นสูง ห้างมักจะมีสถาปัตยกรรมหรูหรา หลายห้างมักจะมีโดมใหญ่ มีน้ำพุ ประดับด้วยกระจกใสและกระจกเงา แม้ว่าบางห้างที่เปิดจะเป็นห้างหรู แต่นวัตกรรมหนึ่งของความเป็นห้างคือการเป็นพื้นที่เปิด คือเปิดต้อนรับทุกคน เข้าชมได้ฟรี

จากกลุ่มห้างหรูไม่ว่าจะเป็นตัว Le Bon Marché หรือคู่แข่งในยุคหลังเช่น La Samaritaine หรือ Galeries Lafayette ไปจนถึงห้าง Harrods ในลอนดอน ในช่วงทศวรรษต่อมา ผู้ประกอบการคือเจ้าของห้างก็เริ่มมองเห็นว่ามีคนกลุ่มใหม่ๆ ซึ่งก็คือกลุ่มคนที่เราเรียกว่าชนชั้นกลางที่กำลังเติบโตขึ้นและเป็นผู้ซื้อสำคัญรายใหม่ ทีนี้จากห้างที่แสนหรู ตัวห้างเองก็เริ่มปรับตัวและเปิดพื้นที่ห้างและออกแบบรูปแบบการขายที่รองรับคนกลุ่มใหม่ที่อาจไม่ได้มีรายได้สูง แต่มีมากและรสนิยมหลากหลายมากขึ้นซึ่งก็สอดคล้องกับการผลิตสินค้าในโลกอุตสาหกรรมที่ต้องการผู้ซื้อมากขึ้น

ดังกล่าวว่าห้างอาจจะเข้าได้ฟรี แต่การจัดแสดงสินค้าและตัวสินค้าในห้างหรูของเมืองใหญ่ในยุโรปช่วงแรกๆ คือหลังก่อนศตวรรษที่ 20 ยังค่อนข้างเฉพาะอยู่ การแสดงของส่วนใหญ่จัดแสดงไว้ในตู้กระจก มีราคาแปะไว้ก็จริงแต่ก็ยังห่างไกลสำหรับคนทั่วไป จนมาถึงปี 1888 ปีที่ชายหนุ่มอเมริกันชื่อ Harry Gordon Selfridge เดินทางเยี่ยมชมห้างหรูจากเวียนนา เบอร์ลิน ถึงแมนเชสเตอร์ โดยนายเซลฟริดจ์เป็นเศรษฐีหนุ่มที่เป็นต้นกำเนิดวลีว่าลูกค้าถูกเสมอหรือ The customer is always right.

ในการทัวร์ครั้งนั้นเซลฟริดจ์ไปได้ยินผู้ซื้อที่บอกว่ามาดูเฉยๆ แต่ยังไม่ซื้อ ซึ่งถูกพนักงานขายวีนเบาๆ ว่าไม่ซื้อก็เลิกถามซะที หลังจากนั้นในปี 1909 สองทศวรรษต่อมาเซลฟริดจ์ลงมือเปิดห้างใหม่ที่ลอนดอน เป็นห้างที่มีพื้นที่ 24,000 ตารางเมตร ซึ่งหัวใจของห้างนี้มาจากแรงบันดาลใจที่แกไปได้ยินเสมียนห้างโวยวายใส่การดูแต่ไม่ซื้อ ห้างใหม่ที่ถนนออกซ์ฟอร์ดของแก หน้าตาห้างเป็นห้างหรูตามสมัยนิยม เป็นห้างที่ยิ่งใหญ่เหมือนพระราชวัง ใช้ทีมสร้างต่อเนื่องจาก World Fair และทีมที่ทำหน้าที่ขยายพิพิธภัณฑ์บริติชมิวเซียม 

ในความหรูหรานี้ ห้างใหม่ที่แม้จะแสนหรู แต่ก็นับเป็นห้างแรกๆ ที่มีหลักคิดที่จะเปิดประตูต้อนรับคนกลุ่มอื่น คือผู้ซื้อที่ยังไม่ซื้อก็ได้ หนึ่งในจุดเด่นที่สุดด้วยว่าทางเซลฟริดจ์ใช้ทีมสร้างต่อเนื่องที่เกี่ยวข้องกับการสร้างคริสตัลพาเลซและชิคาโกเวิลด์แฟร์ เป็นทีมสร้างที่คุ้นเคยกับนวัตกรรมสมัยใหม่ สิ่งสำคัญของห้างใหม่ Selfridges London คือการติดตั้งกระจกใสบานใหญ่ที่สุดเท่าที่นวัตกรรมกระจกในยุคนั้นจะทำได้ และนั่นคือจุดเริ่มของการเปิดพื้นที่และสินค้าของห้างสู่สายตาของผู้คน เป็นจุดเริ่มของวัฒนธรรมการจัดวินโดว์ดิสเพลย์ของห้างสรรพสินค้า

การเปิดกระจกใสบานใหญ่และการจัดแสดงสินค้าผ่านบานกระจกยักษ์เป็นธงนำสำคัญของวัฒนธรรมการช้อปปิ้งแบบใหม่ ห้าง Selfridges เป็นห้างที่ค่อนข้างเปิดให้กับการดูชม คือเน้นให้ผู้คนมาชมสินค้า ไม่ซื้อก็ไม่เป็นไร แน่นอนว่าตัวตู้กระจกยักษ์นำไปสู่การจัดแสดงข้าวของในลักษณะของการพื้นที่โฆษณา การจัดแสดงสัมพันธ์กับการเป็นพื้นที่ความฝัน ทำให้เราจินตนาการออกว่าหน้าตาการใช้งานหรือภาพฝันแบบไหนที่เราสามารถฝันได้ เป็นฝันที่เต็มไปด้วยสินค้าที่เราซื้อหาและครอบครองได้นอกจากหน้าต่างกระจกใสบานใหญ่แล้ว พื้นที่ภายในห้างเองก็มีการปรับเปลี่ยนเช่นเดียวกัน ห้าง Selfridges เป็นห้างที่ปรับการจัดแสดงสินค้า นอกจากจะเปิดหน้าตาสินค้าให้กับคนเดินถนนดูแล้ว ในห้างเองก็เปลี่ยนจากการจัดแสดงสินค้าในตู้หรือบนชั้นสูงๆ ที่ต้องให้พนักงานหยิบให้ไปสู่การเปิดชั้นกว้างๆ และการวางสินค้าให้ผู้คนได้หยิบจับ ทดลองและส่องดูในกระจกได้ตามอำเภอใจ ในส่วนจับจ่ายน้ีทางห้างจะเปิดเป็นพื้นที่เฉพาะสำหรับลูกค้าและสินค้า ไม่มีการจัดพนักงานให้บริการมากวนใจ

สิ่งที่พิเศษของห้างใหม่ที่เปิดรับศตวรรษที่ 20 นี้ เจ้าของห้างเองก็ได้โฆษณาและนิยามความหมายของการไปห้างขึ้นใหม่ โดยเทียบการไปห้างเหมือนกับการไปเที่ยวชม (sightseeing) คำโฆษณาของห้างใหม่โจมตีวัฒนธรรมห้างหรูเดิมอย่างโจ่งแจ้ง มีการใช้คำโฆษณาขนาดว่า เป็นห้างที่ต้อนรับสาธารณชนทั้งหมด (whole British public) และมาได้โดยไม่ต้องมีการ์ดเชิญ (No cards of admission are required.) 

ตัวห้าง Selfridges จึงกลายเป็นห้างใหม่ที่มีความยิ่งใหญ่ ในขณะเดียวกันก็เปิดรับการจับจ่ายของกลุ่มคนที่กว้างขึ้น ห้างเองกลายเป็นปลายทางใหม่ของผู้คน ตัวห้างมีสวนดาดฟ้า มีร้านอาหารที่ตกแต่งสวยงามแต่ราคาจับต้องได้ มีพื้นที่ปฐมพยาบาล มีพื้นที่ที่จับข้าวของได้โดยไม่ต้องซื้อ ในขณะเดียวกันห้างก็มีพนักงานบริการที่ทำหน้าที่เข้าช่วยเหลือผู้ซื้อโดยที่ทางห้างเองได้ฝึกฝนศิลปะการขายไว้ให้ไม่ขายหนักจนเกินไปและไม่เร่งรัดลูกค้า ความสะดวกสบายของห้าง ร้านอาหาร ห้องสมุด ห้องน้ำ พื้นที่หย่อนใจ ทั้งหมดทำไปเพื่อให้ลูกค้าอยู่ในพื้นที่ห้างให้ยาวนานที่สุด ต่อมาคุณแฮร์รี่ เซลฟริดจ์ เป็นต้นตำรับที่ขยายการซื้อไปสู่คนชั้นแรงงาน เช่นการออกแบบพื้นที่ใต้ดินของห้างและเปิดเป็นพื้นที่ลดกระหน่ำหรือ clearance sale โดยเครือห้างต้นตำรับล่าสุดเครือเซ็นทรัลบ้านเราก็เพิ่งปิดดีลซื้อไป ทำให้มีคอนเทนต์ขำๆ ว่าหลังจากนี้เราก็ไปใช้ The 1 Card ในห้างประวัติศาสตร์นี้ได้แล้ว

สุดท้าย ห้างสรรพสินค้าเป็นพื้นที่สำคัญของคนเมืองแบบเราๆ หลายส่วนเราจะเห็นว่าบางครั้งการเดินในห้างคล้ายกับการอยู่ในพื้นที่ที่เป็นอุดมคติ เป็นพื้นที่แห่งความฝัน หลายครั้งเราเดินหลงอยู่ในพื้นที่ห้าง ใช้เวลาทั้งวันอยู่ในห้าง ในพื้นที่ที่สะอาด สวยงาม และแสนสบาย ในหลายองค์ประกอบของห้างเช่นภาพโฆษณา การจัดแสดงสินค้า ไปจนถึงนวัตกรรมที่ทำให้เราได้ลองหยิบจับหรือลองใช้สินค้านั้นๆ ที่หลายครั้งเราอาจจะยังซื้อไม่ได้ เป็นข้าวของในฝันที่ทำให้เราได้ทดลองฝันอย่างเป็นรูปธรรมก่อน 

การที่เราได้สวมใส่ ได้มองตัวเองในกระจก ในแสงสีอบอุ่นและพื้นผิวที่ระยิบระยับ ตัวห้างเองก็กำลังมอบความฝันบางอย่างให้กับเราด้วย เป็นความฝันที่ได้มาด้วยการบริโภคและการครอบครองสินค้าที่เราซื้อหาได้ต่อไปในอนาคต

อ้างอิง

POP MART ราชาแห่งอาณาจักรปริศนา และของเล่นที่กลายเป็นโลกของคนเจนฯ วาย

ต้อนรับเดือนกันยายนด้วยข่าวดี ด้วยว่าเดือนกันยายนเป็นเดือนที่ POP MART เจ้าพ่ออาร์ตทอยและกล่องสุ่มจากประเทศจีน กำลังจะเปิดสาขาอย่างเป็นทางการที่เซ็นทรัลเวิลด์เป็นสาขาแรกในประเทศไทยหลังจากไปเปิดสาขาตู้สุ่มมาทั่วโลก

การมาถึงของ Pop Mart ในช่วงนี้ถือว่ามาถูกจังหวะ สำหรับประเทศไทย วัฒนธรรมอาร์ตทอย โดยเฉพาะการเล่นกล่องสุ่มเป็นการบริโภคที่น่าจะเรียกว่าการบริโภคกระแสหลักได้แล้ว เป็นช่วงเวลาที่เรารู้จักกับกล่องสุ่ม เคยสุ่มกล่องสุ่มจากร้านหรือจากตู้อัตโนมัติที่กระจายตัวอยู่ทั่วกรุงเทพฯ บ้างก็คงนับตัวเองเป็นแฟนเจ้าคาแร็กเตอร์ดังๆ ไม่ว่าจะเป็นมอลลี่ ลาบูบู้ หรือครายเบบี้ ที่เชื่อได้ว่าถ้าคุณเป็นแฟนอาร์ตทอย ยังไงก็ต้องดีใจกับการมาถึงของหัวหน้าแก๊งกล่องสุ่มในครั้งนี้อย่างแน่นอน

ในความตื่นเต้นนี้ ถ้าเราย้อนดู Pop Mart ที่ถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่เกิดพร้อมกับกระแสที่ค่อนข้างเฉพาะกลุ่มคืออาร์ตทอย มีตลาดเป็นกลุ่มวัยรุ่นจีน แต่ด้วยจังหวะ ด้วยวิธีคิดและวิธีการบริหารจัดการ ทำให้แบรนด์ Pop Mart ร่วมสร้างปรากฏการณ์การบริโภคกล่องสุ่มและเหล่าของเล่นในฐานะศิลปะ ทำให้เราๆ ท่านๆ เปลี่ยนสถานะจากผู้ซื้อกลายเป็นนักสะสม (collector) ในกลยุทธ์ของการร่วมมือในระดับแบรนด์และที่สำคัญคือการร่วมมือกับศิลปินท้องถิ่นที่ด้านหนึ่งนับว่า Pop Mart เป็นแบรนด์ที่พาความน่ารักจุ๊กจิ๊กของศิลปินเอเชียไปสู่ความคลั่งไคล้ในระดับโลกได้

เพื่อเป็นการต้อนรับสาขาใหม่ของ Pop Mart คอลัมน์ Biztory ชวนย้อนดูที่มาของอาณาจักรของชายหนุ่มวัย 30 กว่าๆ ผู้ทำให้การซื้ออาร์ตทอยเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ทั้งในแง่ราคาและการสั่งซื้อสินค้า จากร้านเล็กๆ ในซิลิคอนแวลลีย์ของปักกิ่งสู่กระแสแรกๆ เมื่อน้องมอลลี่ปากคว่ำเข้าร่วม จนในที่สุดกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าในตลาดหลักทรัพย์หลักพันล้านในระยะเวลาเพียงสิบปี

1. 
Pop Mart ความหวังของเด็กจบใหม่ไฟแรง

เจ้าของ Pop Mart คือหนุ่มแว่นที่ชื่อว่าหวังหนิง (Wang Ning) ในแวดวงธุรกิจ หวังหนิงถือเป็นสุดยอดดาวรุ่งพุ่งแรงที่ก้าวขึ้นเป็นมหาเศรษฐีหลักพันล้านในขณะอายุได้เพียง 33 ปี จากมูลค่าประเมินของบริษัท Pop Mart หลังจากนำเข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี 2020 มูลค่าตามตลาด (market cap)ในขณะนั้นอยู่ที่ราว 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

จุดเริ่มของ Pop Mart ดูจะคล้ายกับเรื่องเล่าการเป็นเจ้าของธุรกิจที่เราคุ้นเคยกันดี ร้าน Pop Mart ใช้เวลาเพียง 10 ปี นับจากวันที่ร้าน Pop Mart สาขาแรกเปิดตัวในย่าน Zhongguancun ย่านที่ได้ฉายาว่าเป็นซิลิคอนแวลลีย์ของกรุงปักกิ่ง 

เรื่องราวของพ่อหนุ่มหวังหนิงนั้นก็ดูจะคล้ายกับการเริ่มธุรกิจของคนเจนฯ วายหลายๆ คน หวังหนิงเกิดที่มณฑลเหอหนาน หลังจากจบการศึกษาด้านโฆษณาในปี 2009 ก็เข้าทำงานให้กับบริษัทด้านสื่อออนไลน์ที่ค่อนข้างใหญ่คือเป็นเจ้าของเว่ยป๋อ แพลตฟอร์มที่คล้ายกับทวิตเตอร์แต่เป็นเวอร์ชั่นของประเทศจีน หลังจากทำงานได้หนึ่งปีก็รู้สึกว่าอยากจะเริ่มกิจการของตัวเอง

แรงบันดาลใจแรกของ Pop Mart ยังไม่ได้เป็นร้านของเล่นหรือทำเกี่ยวกับของเล่นเป็นหลัก คอนเซปต์ของ Pop Mart สาขาแรกเฮียหวังได้แรงบันดาลใจจากการเดินทางไปเที่ยวฮ่องกงและได้ไปเจอร้านที่มีชื่อว่า LOG-ON ซึ่งเป็นร้านของจิปาถะที่รวมของชิคๆ อินเทรนด์ไว้ในร้านเดียว ของที่เป็นกระแสก็มีทั้งของเล่นจุกจิก เครื่องสำอาง เครื่องเขียน ชื่อของ Pop Mart เองถ้าดูในแง่นี้ก็ค่อนข้างสะท้อนภาพของความเป็นร้านจิปาถะที่รวมของป๊อปๆ ไว้ในร้านเดียว

ร้านสาขาแรกในนาม Pop Mart เป็นการระดมทุนของหวังหนิง ที่ร่วมทุนกับเพื่อนๆ สมัยมหาวิทยาลัย ถ้านับย้อนไปตอนนั้นเฮียหวังและเพื่อนๆ ก็นับว่าเป็นกลุ่ม first jobber ที่อยากจะเริ่มธุรกิจเป็นของตัวเอง อายุของหวังหนิงในตอนนั้นอยู่ที่ราวๆ 22-23 ปีเท่านั้น

2. 
จุดเจ็บของความจิปาถะ จุดเริ่มของร้านของเล่น 

ร้าน Pop Mart สาขาแรกเรียกได้ว่าสร้างความปวดหัวให้กับหวังหนิงอย่างมากมาย ปัญหาหลักๆ ที่ร้านเผชิญค่อนข้างมาจากความจิปาถะของสินค้าที่มีมากมายหลายประเภท ปัญหาที่ร้านเจอแทบจะในทันทีคือการจัดการสต็อก นอกนั้นก็เป็นปัญหาพื้นฐานที่ร้านเผชิญคือจำนวนพนักงานและการรักษาคุณภาพการให้บริการลูกค้า

4 ปีหลังจากเปิดและร้านเผชิญกับปัญหามาเรื่อยๆ ในปี 2014 ร้าน Pop Mart ก็เริ่มได้ทางออกใหม่ๆ จากหลายจังหวะและแรงบันดาลใจ อย่างแรกคือในปีนั้นหวังหนิงได้เข้าเรียนต่อในวิทยาลัยบริหารธุรกิจที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง ในคลาสเรียนหนึ่งก็ได้พบกับเพื่อนๆ ที่ต่อมากลายเป็นทีมบริหาร ซึ่งในตอนนั้นร้านมีปัญหาค่อนข้างหนักและต้องรักษาผลการดำเนินงานเพื่อให้อยู่ได้ 

ประกายสำคัญที่ถูกจุดขึ้นคือการลดประเภทสินค้าลง ในตอนนั้นทางร้านทำการศึกษายอดขายและผลการดำเนินการและพบว่าสินค้ากลุ่มของเล่นเป็นสินค้าที่ขายดีที่สุดของร้าน ในช่วงปีนี้เองที่ร้านตัดสินใจลดประเภทของสินค้าลงให้เหลือประเภทเดียวคือสินค้ากลุ่มของเล่น

3. 
แรงบันดาลใจที่ 2 และรากฐานอาณาจักรปริศนา

ในช่วงที่ Pop Mart ปรับไปสู่ร้านของเล่นเพียงอย่างเดียว แรงบันดาลใจใหม่ของบริษัทจริงๆ เป็นสิ่งที่เราเห็นอยู่เป็นประจำคือเจ้ากาชาปอง วัฒนธรรมสำคัญในการขายของเล่นของจุกจิกจากญี่ปุ่น หัวใจสำคัญของกาชาปองตอบโจทย์ร้าน Pop Mart ในหลายด้าน อย่างแรกที่สุด เสน่ห์ของกาชาปองคือการสุ่ม ผู้ซื้อไม่รู้ว่าตัวเองจะได้ของเล่นหรือของสะสมชิ้นไหนในการซื้อนั้นๆ

นอกจากการสุ่มแล้ว รูปแบบของกาชาปองยังมีจุดเด่นที่น่าสนใจคือความเป็นมาตรฐานของตัวกาชาปอง ตู้กาชาปองมักมีขนาดที่เท่าๆ กัน มีราคาไม่แพง ซื้อง่ายและกระตุ้นให้ซื้อต่อเนื่องได้ในกรณีที่ไม่ได้ของแบบที่ต้องการ รวมถึงตัวกาชาปองเองมักมีลักษณะเป็นคอลเลกชั่น สามารถเก็บสะสมได้ บางครั้งก็มีความจำกัด กาชาปองนี้นับเป็นวัฒนธรรมการบริโภคที่ขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ เราชินกับกาชาปองทั้งในการหมุนจากตู้ที่เป็นกายภาพ ไปจนถึงการเล่นสุ่มของในโลกออนไลน์เช่นในเกมออนไลน์

จุดนี้เองที่ Pop Mart ได้รากฐานสำคัญสองอย่างมารวมกันคือการเลือกขายของเล่นเพียงอย่างเดียว และมุ่งมั่นจะผลิตสินค้าในรูปแบบกล่องปริศนาหรือกล่องสุ่ม เจ้ากล่องสุ่มนี้เองกลายเป็นสุดยอดสินค้าของ Pop Mart เป็นกล่องที่มีราคาประมาณ 300 บาท คือประมาณ 60-70 หยวน หรือ 9 ดอลลาร์สหรัฐ

4. 
เมื่อน้องมอลลี่ขึ้นยาน และศิลปะของการร่วมมือ

หลังจากได้ทิศทางว่า Pop Mart จะมุ่งไปสู่การเป็นร้านขายของเล่น สิ่งที่แบรนด์ทำคือการเริ่มติดต่อกับศิลปินต่างๆ เพื่อตกลงความร่วมมือกัน จุดนี้เองที่ถือเป็นอีกหนึ่งความก้าวหน้า คือการที่แบรนด์เดินหน้าด้วยการร่วมมือกับศิลปินและตกลงเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าจากศิลปินให้

จุดพลิกผันที่สำคัญที่สุดคือปี 2016 เมื่อ Pop Mart ร่วมมือกับศิลปินฮ่องกงคือ Kenny Wong และผลิตคาแร็กเตอร์สำคัญของหว่องคือน้องมอลลี่ เด็กผู้หญิงที่ทำปากคว่ำเหมือนปากเป็ด น้องมอลลี่กลายเป็นสุดยอดสินค้าที่มียอดขายถล่มทลาย หลังร่วมมือกันยอดขายพุ่งทะยานขึ้นเป็นหลายเท่า ในปี 2017 คือหนึ่งปีหลังจากน้องมอลลี่ขึ้นยาน ยอดขายของ Pop Mart โตไปที่ 22 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และกระโดดไปเกือบ 3 เท่าในปีถัดไปคือ 73 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2018

การทำงานร่วมกันหรือการคอลแล็บจึงเป็นจุดเด่นสำคัญของทาง Pop Mart จุดเด่นมากๆ ของแบรนด์คือการทำงานร่วมกับศิลปินที่ส่วนใหญ่เป็นศิลปินเอเชีย โดยในฐานะผู้ซื้อและผู้สะสม จุดเด่นสำคัญของของเล่นของ Pop Mart คือการที่กล่องสุ่มผลิตของเล่นออกมาพร้อมกับคุณภาพ งานของ Pop Mart มักมีความละเอียดสวยงาม มีการเล่นกับวัสดุและมีลูกเล่นที่สนุกสนานน่าสนใจ 

จุดสำคัญในการทำงานกับศิลปินคืออิสระ Pop Mart ยังขึ้นชื่อในการให้อิสระกับศิลปินในการสร้างสรรค์ผลงาน สำหรับตัวหวังเองก็ให้ความสนใจถึงขั้นหมกมุ่นในการร่วมแก้ไขรายละเอียดต่างๆ โดยเฉพาะพื้นที่ร้านของแก เช่นความสูงของโต๊ะที่จะจัดแสงน้องๆ ความเหมาะสมของแสงที่ไม่จ้าหรือบางเบาจนเกินไป

5.
ของเล่น ที่ไม่ใช่เรื่องของเด็กอีกต่อไป

ประเด็นสำคัญของการเฟื่องฟูของ Pop Mart สัมพันธ์กับมิติทางวัฒนธรรมคือรูปแบบการบริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป หนึ่งในทัศนวิสัยที่สำคัญคือการเปลี่ยนความหมายของของเล่นและเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายที่คราวนี้ไม่ใช่เด็ก แต่เป็นคนกลุ่มเจนวาย ซึ่งจริงๆ ก็คือคนรุ่นเฮียหวังและเหล่าชาววัย 30 แบบเราๆ 

ถ้าเรามองไปที่การร่วมมือของทาง Pop Mart นอกจากการร่วมมือกับศิลปินหน้าใหม่หรือนักออกแบบในภูมิภาคเอเชียแล้ว สิ่งที่ Pop Mart ทำคือการร่วมมือกับแฟรนไชส์หรือคาแร็กเตอร์ต่างๆ และผลิตกล่องสุ่มให้กับแฟรนไชส์เหล่านั้นเช่น แฮร์รี่ พ็อตเตอร์ สปันจ์บ๊อบ ซึ่งคาแร็กเตอร์เหล่านี้ กลุ่มแฟนมักจะเป็นคนวัย 30 ขึ้นไป

จุดสำคัญของการปรับเป้าหมายลูกค้านี้ คนเจนฯ วายมีความสัมพันธ์และพฤติกรรมบริโภคแบบใหม่ในการซื้อของเล่นและของสะสม มีข้อสังเกตจากมุมมองของการตลาดและวัฒนธรรมของประเทศจีนคือ จีนเผชิญปัญหาการทำงาน คนทำงานทำงานด้วยเวลาที่ยาวนาน รายได้น้อย พร้อมราคาบ้านที่สูงจ่ายไม่ได้ สินค้าเล็กๆ เหล่านี้จึงเป็นตัวแทนของความฝันและสิ่งบันเทิงเล็กๆ ที่ผู้คนสามารถหาซื้อได้

นอกจากการสะสมแล้ว เราจะเห็นว่าเจ้าโมเดลจากกล่องสุ่มจำนวนหนึ่งถูกนำไปตั้งไว้หน้าโต๊ะทำงาน ทำให้บรรยากาศของการทำงานที่คนส่วนใหญ่ใช้เวลาจำนวนมากต่อหนึ่งสัปดาห์ ของเล่นเล็กๆ นี้ช่วยแต่งแต้มพื้นที่ทำงานที่อาจจะปวดหัวหรือแห้งแล้งให้มีความอบอุ่น เป็นการสร้างพื้นที่ที่แสดงตัวตนของตัวเอง ทางหวังเองเคยให้สัมภาษณ์ว่าของเล่นกลายเป็นสื่อกลางใหม่ของคนรุ่นใหม่ เป็นพื้นที่ที่เราใช้แสดงตัวตน สะท้อนความชอบ และที่สำคัญคือเป็นช่องทางที่คนรุ่นใหม่ใช้เชื่อมต่อกับศิลปะ

6.
สถิติและศิลปะของการสุ่ม

ความสำเร็จที่สำคัญของ Pop Mart มาจากทั้งความเป็นกล่องสุ่ม ความสนุกของการซื้อสิ่งที่เป็นปริศนา (mystery box) ที่ทำให้ผู้ซื้อสนุกกับการซื้อ ด้วยเงื่อนไขหลายอย่างทั้งการทำงานกับศิลปินที่ผลงานของ Pop Mart มักออกมาดี มีความน่ารักหลากหลาย มีราคาเหมาะสม Pop Mart นับเป็นแบรนด์ที่ผู้ซื้อมีความภักดีต่อแบรนด์สูง ผู้ซื้อส่วนใหญ่มักกลับมาซื้อสินค้าของ Pop Mart ซ้ำ

ในความปริศนาของกล่องสุ่ม ตัวกล่องสุ่มมักประกอบด้วยชิ้นงานที่เป็นตัวลับหรือ Secret การซื้อซ้ำหรือซื้อเหมากล่อง ส่วนหนึ่งผู้ซื้อมักจะคาดหวังจะได้ตัวพิเศษมาครอบครอง ตัวพิเศษในแต่ละคอลเลกชั่นนี้ทำให้การซื้อและสะสมของเล่นมีความพิเศษยิ่งขึ้นคือเจ้าของเล่นแต่ละตัวในแต่ละคอลเลกชั่นจะมีราคาที่แตกต่างกันออกไป ตัวซีเครตอาจมีราคาพุ่งสูงกว่าราคาหน้ากล่อง เช่น หากราคาหน้ากล่อง 300 บาท อาจพุ่งสูงไปได้ถึงหลัก 5,000-6,000 บาท

คอลเลกชั่นของของเล่นหรืออาร์ตทอยในแง่นี้จึงมีบางองค์ประกอบของความเป็นศิลปะ คือการมีชิ้นงานบางชิ้นที่มีจำกัด เป็นสิ่งที่เราสามารถเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่สามารถครอบครองตัวลับหรือตัวหายากเหล่านั้นได้ ยิ่งไปกว่านั้นด้วยความนิยม สินค้าของ Pop Mart มักผลิตในจำนวนจำกัดและผลิตจำหน่ายเฉพาะช่วงเวลาหนึ่งๆ เมื่อหมดช่วงเวลาแล้วก็จะไม่ผลิตอีกต่อไป ตรงนี้ที่ทำให้ผู้ซื้อกลายเป็นนักสะสม และสินค้าในคอลเลกชั่นต่างๆ มีแนวโน้มที่จะมีราคาสูงขึ้น มีการขายซ้ำในตลาดมือสองหรือการ resell ในราคาที่น่าตกใจ

จริงๆ ความฮิตของการสุ่มและกล่องสุ่มนี้มีความกังวลในระดับรัฐด้วย เช่นในจีนเองก็กังวลในแง่ความเสพติดของกล่องสุ่ม เริ่มมีการออกกฎหมายควบคุมเช่นไม่ให้จำหน่ายให้เด็กอายุต่ำกว่า 8 ขวบ หรือต้องอยู่ในการดูแลของผู้ปกครองเป็นต้น

7.
การกลับมาของพื้นที่บ้านในช่วงโควิด

ถ้าเราสังเกต กระแสอาร์ตทอยที่กลับมา ค่อนข้างมีกระแสในช่วงสองสามปีที่ผ่านมาซึ่งก็คือช่วงที่เราเผชิญกับภาวะโรคระบาด ในช่วงการระบาด พื้นที่บ้านเป็นพื้นที่ที่กลับมามีความสำคัญอีกครั้ง ดังนั้นอาร์ตทอยเองจึงเป็นหนึ่งในสินค้าที่มีความหมายทางใจ เป็นสิ่งที่ผู้คนไขว่คว้าและเลือกจะนำมาประดับตกแต่งบรรยากาศของพื้นที่บ้านให้มีสีสัน เพิ่มความสบายใจในช่วงเวลาตึงเครียด

ถ้าเราดูจุดแข็งหนึ่งของ Pop Mart คือการใช้นวัตกรรมในการกระจายสินค้า Pop Mart มีการทำตลาดออนไลน์ที่แข็งแกร่ง มีระบบการจัดส่งที่ครอบคลุมและค่อนข้างปลอดภัยไม่แตกหักแม้จะส่งจากประเทศจีน ในช่วงเวลานี้เองที่เราสามารถสั่งกล่องสุ่มหรือคอลเลกชั่นต่างๆ ให้ส่งมาถึงหน้าบ้านได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

ประกอบกับช่วงปี 2020 นี้เองที่ทาง Pop Mart ประสบความสำเร็จในการเจรจาซื้อลิขสิทธิ์ของแบรนด์สำคัญ 2 เจ้าคือดิสนีย์และยูนิเวอร์แซลสตูดิโอ ทั้งความนิยมในคาแร็กเตอร์เฉพาะของศิลปินท้องถิ่น รวมถึงการร่วมมือกับแบรนด์ใหญ่สองเจ้าทำให้สินค้าของ Pop Mart ได้รับความนิยมในระดับโลกได้

8.
ขยายรสนิยมแบบเอเชียสู่ระดับโลก

ก่อนจะพูดถึงการขยายสาขาไปทั่วโลก Pop Mart เป็นแบรนด์ที่กระจายสินค้าด้วยหลายวิธีและหลายแพลตฟอร์ม มีการขายออนไลน์และขนส่งถึงบ้านทั้งในประเทศจีนรวมถึงส่งไปยังพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลก ในพื้นที่ของประเทศจีนเองมีสาขากว่า 200 สาขาและมีการออกแบบตู้ขายสินค้าอัตโนมัติ ตู้ขายที่กระจายตัวอยู่กว่าพันตู้ทั่วประเทศจีน

ทุกวันนี้เราน่าจะเรียกว่า Pop Mart เป็นแบรนด์อาร์ตทอยระดับโลกได้แล้ว ความน่าภูมิใจหนึ่งคือการตีตลาดโลก ตัวสินค้าของ Pop Mart แต่เดิมเริ่มจากกระแสคนรุ่นใหม่ของชาวจีน ลูกค้าหลักมีอายุ 18-35 ปี 75% เป็นลูกค้าผู้หญิง จุดเด่นของอาร์ตทอยของ Pop Mart คือความกระจุกกระจิกและความน่ารักอันเป็นรสนิยมของลูกค้าผู้หญิงชาวจีน

ในช่วงปี 2022–สองปีหลังจากระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ Pop Mart เริ่มผุดสาขาไปยังพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลก พื้นที่การบริโภคและดินแดนของสินค้าวัยรุ่นหรือสินค้าสร้างสรรค์ล้วนเกิดสาขาหลักของ Pop Mart ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน ไปจนถึงการเปิดสาขาที่ปารีสและมาเลเซียในปี 2023 เรียกได้ว่าปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นลูกค้าพื้นที่ไหนในโลกก็ค่อนข้างรู้จักตัวละครหรือกล่องสุ่มของ Pop Mart 

และแน่นอนว่าสาขาล่าสุดที่กำลังจะเปิดตัวก็คือ Pop Mart สาขาหลักของประเทศไทย ที่เตรียมรอได้เลยว่าต้องเกิดปรากฏการณ์คนต่อคิว และหลังจากนี้เมื่อมีคอลเลกชั่นใหม่ๆ ก็จะได้เห็นภาพแถวยาวเหยียดที่เซ็นทรัลเวิลด์อย่างแน่นอน

อ้างอิง

คุยกับ Bill Burnett จากนักออกแบบของเล่นสู่ผู้เขียน Designing Your Life คู่มือออกแบบชีวิต

บิลล์ เบอร์เนตต์ (Bill Burnett) คือนักออกแบบผลิตภัณฑ์ของบริษัทชั้นนำระดับโลกที่นำกระบวนการคิดเชิงออกแบบ (design thinking) ของดีไซเนอร์มาประยุกต์เป็นกระบวนการการออกแบบชีวิต เขาเป็นหนึ่งในผู้เขียนหนังสือ Designing Your Life : คู่มือออกแบบชีวิตด้วย Design Thinking ที่ขายดีทั่วโลกและยังเป็นผู้บุกเบิกวิชานี้ที่ Stanford Life Design Lab อีกด้วย 

นอกจากประสบการณ์ที่เคยออกแบบผลิตภัณฑ์ให้แบรนด์ดังอย่าง Apple และ Star Wars แล้ว นักเรียนจากคลาสดีไซน์ของบิลล์ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดยังเป็นผู้ออกแบบนวัตกรรมและงานดีไซน์ที่ประสบความสำเร็จอยู่แทบทุกวงการของบริษัทใหญ่ๆ

บิลล์บอกว่า ทุกคนล้วนเคยมีโมเมนต์ที่เจอทางตันในชีวิตกันทั้งนั้น และดีไซเนอร์ก็มักรู้สึกตันตลอดเวลาเพราะงานหลักคือการแก้ปัญหาในการออกแบบ แต่เขามองว่ากระบวนการแก้ปัญหาของดีไซเนอร์เป็นสิ่งที่สนุกและสามารถนำทุกขั้นตอนมาใช้ในการแก้ปัญหาชีวิตได้เช่นกัน

หลายคนอาจเคยอ่านหนังสือเล่มนี้หรือรู้จัก design thinking มาบ้างแล้ว ในโอกาสที่บิลล์ เบอร์เนตต์ กำลังจะมาจัดเวิร์กช็อป Designing Your Life ที่ไทยในเดือนกันยายน เราเลยถือโอกาสชวน ดร.เพิ่มสิทธิ์ นำประสิทธิผล Certified Coach ด้าน Designing Your Life และนักจิตวิทยาที่ปรึกษาที่มีประสบการณ์การทำงานในองค์กรที่หลากหลาย รวมถึงเป็นตัวแทนลิขสิทธิ์ของศาสตร์วิชานี้ในไทย มาเป็นผู้ส่งต่อคำถามและชวนบิลล์สนทนาถึงเบื้องหลังการออกแบบชีวิตและวิธีคิดเบื้องหลังความสำเร็จ เพราะในการทำความเข้าใจศาสตร์หนึ่ง ไม่มีอะไรจะทำให้เข้าใจเบื้องลึกได้ดีกว่าการฟังเรื่องเล่าชีวิตจริงจากเจ้าของหนังสืออย่าง บิลล์ เบอร์เนตต์ อีกแล้ว 

ส่วนบทสนทนาระหว่างทั้งสองจะเป็นยังไง ขอชวนร่วมรับฟัง

คุณเคยมีช่วงเวลาที่รู้สึกหลงทางในชีวิตบ้างไหม 

ผมคิดว่า wicked problem (ปัญหาที่ไม่มีวิธีแก้สูตรสำเร็จ) ที่เจอในช่วงวัยรุ่นคือโลกนี้ดูเหมือนจะไม่มีที่สำหรับผมมาตลอดและผมต้องหาทางที่จะฟิตกับโลกให้ได้ เพื่อให้ตัวเองได้ทำสิ่งที่สนใจอย่างแท้จริง เหตุผลที่เป็นแบบนี้เพราะผมมีความชอบทั้งวิทยาศาสตร์และศิลปะแต่โลกกลับบอกผมว่า Don’t mix. อย่าเอาสองศาสตร์นี้มาผสมกัน

ผมชอบฟิสิกส์เพราะฟิสิกส์ตอบปัญหาใหญ่ๆ ได้ อย่างจักรวาลคืออะไร ทำไมสสารถึงดำรงอยู่และผมก็ชอบศิลปะเพราะศิลปะสามารถตอบปัญหาใหญ่ๆ ได้เหมือนกัน เช่น ความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์คืออะไร เราจะประยุกต์ใช้ศิลปะให้สร้างสรรค์ผลงานที่สวยงามออกมาได้ยังไงและศิลปะก็ทำให้เรารู้สึก ผมสามารถมองภาพเหมือนของแวน โกะห์ที่มีขนาดเล็กแค่ 14×13 นิ้วแล้วมีน้ำตาได้เพราะผมเห็นว่าในตาของเขามีความรู้สึกทรมานบางอย่างอยู่ ผมเลยมองว่าทั้งวิทยาศาสตร์และศิลปะเหมือนกันตรงที่สอนวิธีการในการตั้งคำถามใหญ่ๆ ไม่ว่าจะเป็นอะไรคือความสวยงาม อะไรคือความจริง โลกนี้ประกอบสร้างมาจากอะไร แต่คนส่วนใหญ่จะบอกว่ามันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงและคุณไม่ควรจะชอบทั้งสองอย่างนี้พร้อมกัน

โลกนี้บอกคุณว่าวิทยาศาสตร์และศิลปะเป็นคนละเรื่องกัน ดังนั้นตอนวัยรุ่นมันเลยรู้สึกเหมือนกับว่าโลกนี้ไม่มีที่สำหรับคนแบบผม ไม่มีใครที่ต้องการอาชีพ Artistic Physicist หรือ Physicist ที่ไม่คิดเลขแต่ทำงานศิลปะ ผมเลยรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนซับซ้อนมาตลอด

แล้วตอนนั้นคุณปรับมุมมองให้เจอทางเลือกที่แฮปปี้กับชีวิตได้ยังไง 

ผมเจอส่วนผสมตรงกลางที่ลงตัวระหว่างศิลปะกับวิศวกรรมคือนักออกแบบผลิตภัณฑ์ (product designer) ผมสนุกกับวิชาศิลปะมากและเคยคิดที่จะเรียนคณะสายอาร์ตแต่ครอบครัวผมไม่ได้สนับสนุนให้เรียนด้านนี้เท่าไหร่ สุดท้ายก็เจอคณะที่รวมทั้งศิลปะ วิศวกรรม มานุษยวิทยา และจิตวิทยาเข้าด้วยกัน ศาสตร์นี้คือ product design 

ผมเข้าเรียนปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ตอนนั้นเป็นช่วงแรกที่ผู้คนเริ่มพูดถึง design thinking ซึ่งเริ่มสอนจากที่สแตนฟอร์ด ตอนผมเรียน product design โปรแกรมนี้เปิดมา 10-15 ปีแล้วโดยเริ่มสอนตั้งแต่ปี 1963 หน้าที่ของดีไซเนอร์คือสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีฟังก์ชั่นใช้งานได้จริงดังคำที่ Ludwig Mies van der Rohe ดีไซเนอร์ชื่อดังของโลกกล่าวไว้ว่า form follows function แต่หนึ่งในฟังก์ชั่นที่เราต้องดีไซน์ออกมาด้วยคือความสวยงามเพื่อให้คนใช้เอนจอยกับการใช้ข้าวของที่ช่วยให้การใช้ชีวิตของเราดีขึ้น มันเลยเป็นการผสมของหลายศาสตร์ ผมค้นพบศาสตร์นี้ด้วยตัวเอง ตอนเข้ามหาวิทยาลัย ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีตำแหน่งงานที่เรียกว่าดีไซเนอร์

เล่าชีวิตการทำงานที่ผ่านมาของคุณให้ฟังหน่อย คุณใช้ชีวิตมากี่แบบ

ผมเริ่มงานแรกด้วยการเป็นนักออกแบบของเล่น ทั้งทำของเล่น Star Wars และได้มีส่วนร่วมทำหนัง Star Wars ตอน 2 และ 3 รวมถึงหนัง Raiders of the Lost Ark จากนั้นก็เป็นนักธุรกิจอยู่พักหนึ่ง ก่อตั้งธุรกิจแรกโดยใช้เวลา 4 ปีก่อนขายบริษัทไปแล้วย้ายมาทำบริษัทที่สอง มันเป็นธุรกิจแนวสตาร์ทอัพในซิลิคอนแวลลีย์ ทั้งต้องทำสินค้าออกมาให้สำเร็จ ระดมทุน คุยกับนักลงทุนและลูกค้า ต้องเป็นทั้งดีไซเนอร์ นักธุรกิจและนักเล่าเรื่อง ตอนที่ทำบริษัทที่สองนี้เองที่ผมแต่งงานและมีลูกคนแรกแล้วผมก็ตระหนักว่าผมไม่สามารถทำงาน 60-80 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ได้อีกต่อไป ผมรู้สึกว่ามันไม่ยั่งยืนเลยตัดสินใจย้ายไปทำงานที่บริษัทใหญ่ 

ผมได้โอกาสไปทำงานที่ Apple เพราะผมชอบสินค้าของเขา มันเหมือนงานในฝันเลย แล้วพอมาทำงานในองค์กรใหญ่ก็ต้องเปลี่ยนมาทำงานอย่างมีระบบมากขึ้น ผมต้องดูงบ เขียนรีพอร์ต มีเป้าหมาย KPI ที่ต้องทำให้ได้และสิ่งต่างๆ ที่ต้องทำอีกมากมาย การเป็นนักออกแบบที่ Apple นั้นมีหน้าที่ต้องดูแลทีมไปจนถึงคิดค้นแล็ปท็อปรุ่นที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นซึ่งเป็นประสบการณ์ที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงจากการทำงานที่ผ่านมา มันแตกต่างกับตอนเป็นนักธุรกิจมากๆ

ผมทำงานที่ Apple มา 7 ปีและรู้สึกสนุกกับงานมากๆ ผมรักการออกแบบแล็ปท็อปและทีมเพื่อนร่วมงานก็ยอดเยี่ยมแต่หลังจาก 7 ปีนั้นผมบอกตัวเองว่าผมไม่อยากออกแบบคอมพิวเตอร์ มันไม่น่าสนใจอีกต่อไปแล้ว ผมเลยไปถามเจ้านายว่าผมสามารถออกแบบตู้เย็น ห้องน้ำ หรือของเล่นได้ไหม แล้วเขาก็บอกว่า ไม่ ที่นี่เราออกแบบแค่คอมพิวเตอร์ ผมเลยตอบว่า ผมรู้ครับ แค่ล้อเล่น

แล้วจากนั้นผมก็เลยมาก่อตั้งบริษัทที่ปรึกษาด้านดีไซน์ที่ออกแบบของหลากหลายมากขึ้น ผมทำกับเพื่อนโดยมีออฟฟิศที่ซิลิคอนแวลลีย์และที่ฮ่องกง เราคิดค้นและออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่โดยผลิตที่จีน ตอนนั้นเป็นช่วงปีท้ายๆ ของ 90s และต้น 20s การทำบริษัทที่ปรึกษาทำให้เข้าใจว่าเราไม่ได้ทำงานให้ตัวเอง เราเป็นคนขายงาน ต้องออกไปหาลูกค้า สร้างสัมพันธ์กับลูกค้าในจีน เอเชียและฮ่องกง มันเป็นอีกอาชีพหนึ่งที่แตกต่างออกไปจากบทบาทอื่นๆ เลย ผมทำบริษัทที่ปรึกษานี้ก่อนจะมาเป็นอาจารย์ที่ Stanford Life Design Lab ซึ่งเป็นเส้นทางอาชีพที่แตกต่างกัน 5 แบบ 

แล้วการคิดค้นคอนเซปต์ Designing Your Life มีที่มายังไง  

ตอนแรกผมเป็นอาจารย์พาร์ตไทม์ที่สแตนฟอร์ดตั้งแต่ปี 1984 ซึ่งก็ทำมาหลายปีอยู่ ในปี 2006 ตอนที่ David Kelly เริ่ม Stanford d.school โรงเรียนสอนดีไซน์ที่ดังมากในเวลาต่อมา ตอนนั้นเขาเพิ่งเริ่มต้นและชวนผมว่าอยากมาเป็น professor ฟูลไทม์ที่นี่ไหม เพราะพวกเขาอยากได้คนมาช่วย d.school ที่เพิ่งก่อตั้งและต้องการคนดูแลโปรแกรม ถือเป็นเส้นทางการเลือกที่น่าสนใจของผมเพราะการเป็นอาจารย์มีรายได้ลดลงเมื่อเทียบกับตอนทำบริษัทที่ปรึกษาแต่ผมตัดสินใจเลือกทางนี้เพราะอยากทำงานเพื่อสิ่งตอบแทนที่มากกว่าเงิน ผมอยากสร้างดีไซเนอร์ที่ดีหลายพันคนให้พวกเขาออกแบบเพื่อแก้ปัญหาที่ยากให้กับโลกไม่ว่าจะเป็นปัญหา climate change สิ่งแวดล้อม พลังงาน และอื่นๆ อีกมากมาย นั่นคือมิชชั่นของผมตอนที่เริ่ม  

ในปี 2006 จึงเป็นครั้งแรกที่ผมมีงานประจำในสายวิชาการ ในตำแหน่ง Executive Director ทั้งสำหรับปริญญาตรีและปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด แล้วในปี 2007 เพียงปีเดียวหลังจากก่อตั้ง Dave Evans ก็กลายเป็น Co-founder ของ Stanford Life Design Lab และเป็น Co-author ของหนังสือ Designing Your Life ร่วมกับผม ด้วยความที่เขาสอนที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์อยู่ด้วย เขาเลยถามว่า นักเรียนของคุณที่สแตนฟอร์ดสับสนในชีวิตบ้างหรือเปล่าเพราะนักเรียนที่เบิร์กลีย์สับสนมากว่าจะเลือกงานยังไงดีและจะชอบเส้นทางที่เลือกนั้นไหม ผมบอกเขาว่านักเรียนที่นี่ก็สับสนเหมือนกันและผมพูดเรื่องนี้อย่างเข้าใจด้วยเพราะนักเรียนของเราฉลาดมากแต่พวกเขาไม่รู้ว่าจะทำยังไงดีกับชีวิต 

เดฟถามว่าแล้วคุณคิดยังไง ผมเลยบอกว่างั้นมาทำคลาสที่สอนเรื่องนี้กันไหม แล้วพวกเราก็เริ่มออกแบบคลาสจากมุมมองของดีไซเนอร์เพราะผมคิดว่าการออกแบบชีวิตก็เป็นปัญหาหนึ่งด้านการออกแบบเหมือนกัน  

แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าวิธีคิดและกระบวนการออกแบบของดีไซเนอร์จะสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการออกแบบชีวิตแล้วได้ผล    

เพราะผมรู้ว่าในโปรเจกต์งานดีไซน์ต่างๆ ที่คิดค้นสิ่งใหม่ของผมได้ผล ผมกับเดฟก็เลยโปรโตไทป์ (ทดลองทำต้นแบบ) คลาสเรียนอย่างรวดเร็วและค้นพบว่านักเรียนของเราสนุกกับกระบวนการการออกแบบชีวิตนี้มากและพวกเขาก็เก็ตว่าสามารถเอาวิธีคิดแบบดีไซเนอร์มาใช้ในการออกแบบชีวิตได้ คุณสามารถทดลองทำโปรโตไทป์, มี empathy แชร์ไอเดียและประยุกต์ใช้ทุกขั้นตอนของกระบวนการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้เวิร์กกับการออกแบบชีวิตได้ อาจจะมีส่วนที่แตกต่างกันบ้างนิดหน่อยแต่มันเป็นกระบวนการที่งดงามเวลาเอามาประยุกต์ใช้ในการออกแบบชีวิต

นักเรียนของคุณที่ Stanford Life Design Lab มักมีความเชื่อผิดๆ และติดกับดักอะไรในชีวิตบ้าง

นักเรียนของผมมักรู้สึกว่าพอเขาเลือกคณะที่ใช่ไปแล้ว เขาก็ต้องยึดติดอยู่กับสิ่งที่เลือกตลอดชีวิตที่เหลือ หลายคนคิดว่าถ้าเลือกคณะไปแล้วก็ต้องเป็นนักบัญชี นักธุรกิจ หรือโปรแกรมเมอร์ตลอดชีวิต ด้วยความที่ผมสอนที่สแตนฟอร์ด ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่มีงานวิจัยสนับสนุน จากดาต้าตลอด 10 ปีที่ผ่านมาของนักเรียนที่ผมเจอซึ่งผมไม่สามารถเมคตัวเลขขึ้นมาลอยๆ ได้ คือมีนักเรียนน้อยกว่า 20% ที่ทำงานตามสายที่เรียนมาในช่วงมหาวิทยาลัย ความจริงแล้วคณะที่เรียนเป็นเพียงทางเลือกตอนคุณทำกิจกรรมหรือเรียนรู้สิ่งต่างๆ ในมหาวิทยาลัยเท่านั้นแต่ยังไม่ใช่ทางเลือกที่เหลือทั้งหมดของชีวิต ผู้คนมักจะกังวลว่าเลือกคณะถูกไหมทั้งๆ ที่หลายครั้งความจริงแล้วพวกเขาไม่ได้เป็นคนเลือกมันด้วยซ้ำ หลายคนแค่กำลังพยายามทำให้ครอบครัวหรือสังคมพอใจ 

ผมบอกนักเรียนของผมที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาในอายุ 21-22 ว่า มีการคาดการณ์ว่าในรุ่นของพวกคุณจะเป็นรุ่นแรกที่มนุษย์สามารถใช้ชีวิตอย่างสุขภาพดีถึงอายุ 100 ปี ไม่ใช่แค่อายุยืนขึ้นเท่านั้นแต่รวมถึงช่วงอายุที่มีสุขภาพดีก็ยาวนานมากขึ้นด้วย นั่นหมายความว่าถ้าคุณสำเร็จการศึกษาตอนอายุ 20 เป็นไปได้ว่าคุณอาจจะมีเวลาเหลืออีกราว 70 ปีในการทำงาน คุณจะให้ตัวคุณตอนอายุ 20 เป็นคนตัดสินใจชีวิตที่เหลือทั้งหมดอีก 70 ปีถัดไปของคุณเหรอ มันจะน่าเบื่อมากถ้าคุณทำอย่างนั้นและมันเป็นไปไม่ได้ด้วยเพราะงานต่างๆ ก็จะเปลี่ยนไปหมดตามโลกที่เปลี่ยนไป ดังนั้นคุณต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวอย่างว่องไวและมายด์เซตของดีไซเนอร์ก็จะช่วยให้ทำแบบนั้นได้ 

แล้วสำหรับวัยทำงานล่ะ คนมักติดกับดักอะไรที่ทำให้ชีวิตไม่มีความสุข  

จากสถิติพบว่า 70% ของชาวอเมริกันไม่ชอบงานของตัวเอง พวกเขาแค่ทำมันไปเรื่อยๆ ทุกคนจะพูดว่าคุณจะได้ทำงานที่มีคุณค่าแต่ไม่สามารถหาเงินจากมันได้ หรือถ้าไม่เป็นแบบนั้นคุณก็จะหาเงินได้มากๆ โดยทำงานแบบขายวิญญาณ แต่ผมไม่เชื่อในคำกล่าวเหล่านี้เลย ผมคิดว่าพอเราเริ่มทำกระบวนการ Designing Your Life มันก็ช่วยฮีลใจในการหลงทางตรงนี้ได้มาก

แล้วสำหรับตัวคุณเอง หลังจากค้นพบตัวตนว่าชอบงานดีไซเนอร์แล้ว มีช่วงไหนในชีวิตการทำงานที่รู้สึกหลงทางอีกไหม

ผมพบ wicked problem อีกอันในชีวิตเมื่อถึงวัยเกษียณ ผู้คนมักจะบอกว่าคุณควรเกษียนตอนอายุ 65 ปี พอจบการทำงานแล้วก็ควรออกไปทำอย่างอื่น ผมเคยพยายามคิดว่าผมจะทำอะไรต่อหลังเกษียณดี แม้จะมีคนบอกว่าควรเกษียณแต่ผมไม่อยากเกษียณและมันใช้เวลาพอสมควรในการตกตะกอนกว่าจะรีเฟรมมุมมองใหม่ได้

พอผมเข้าอายุ 66 ผมก็รู้สึกว่า เดี๋ยวนะ การต้องเกษียณตอนอายุเท่านี้เป็นความเชื่อผิดๆ อย่างหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ผู้คนอายุยืนยาวขึ้น เราเลยออกแบบกระบวนการที่โฟกัสว่า what’s next เปลี่ยนคำถามจากควรทำอะไรหลังเกษียณ เป็นคุณอยากทำอะไรต่อในชีวิตถ้าคุณไม่ต้องกังวลกับเรื่องเงินทองมากมาย หรือถ้าคุณไม่ต้องกังวลว่าต้องเอาใจคนอื่นอีกต่อไปแล้วและคิดถึงสิ่งที่คุณพอใจ คำถามเหล่านี้เป็นคำถามที่น่ากลัวสำหรับหลายคน 

พอรีเฟรมมุมมองแล้ว ชีวิตคุณในวัยเกษียณเปลี่ยนไปจากเดิมมากน้อยแค่ไหน  

ตอนแรกผมบอกเดวิดว่าจะทำอาชีพนี้ 10 ปีแต่ก็ทำมา 15 ปีแล้ว ปีที่แล้วผมเลิกทำงานประสานงานเล็กๆ น้อยๆ ทั้งหลายและตอนนี้ก็ทำเฉพาะส่วนที่สนุกเท่านั้น ผมมีตารางสอน 2 เทอมสลับกับหยุดพักอีก 2 เทอม และผมก็สร้างมูฟเมนต์ของ Designing Your Life ทั่วโลกในขณะนี้ ทั้งสถาบันที่สิงคโปร์และงานสอนที่ไทย ผมกำลังฝึกผลงานศิลปะของตัวเองอยู่ด้วย มีสตูดิโอศิลปะที่ทำอยู่ในตอนนี้เพราะผมไม่เชื่อว่าจะมีการเกษียณ ชีวิตที่สอนและทำงานศิลปะไปด้วยคือชีวิตของผมตอนนี้ 

สเตปแรกในการเปลี่ยนมายด์เซตเพื่อออกจากกับดักความเชื่อผิดๆ ในชีวิตคืออะไร 

เดฟเคยพูดไว้ว่า “You can’t solve a problem you’re not willing to have.” หมายความว่าคุณต้องพร้อมที่จะลองสิ่งใหม่เพราะมันต้องใช้ความกล้านิดหน่อย มันน่ากลัวที่จะลองสิ่งใหม่แต่ถ้าคุณรู้สึกว่าไม่พร้อมที่จะผูกมัดกับการลองทำสิ่งใหม่ ก็จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง 

เราเลยออกแบบให้สเตปแรกในการออกแบบชีวิตคือการยอมรับ คุณต้องยอมรับก่อนว่าคุณพร้อมแล้วที่จะลงมือทำและเราก็จะแนะนำเสมอว่าเริ่มตั้งเป้าหมายเล็กๆ ก่อน เริ่มจากการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ยังไม่ต้องลองสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ทดลองใช้ชีวิตหลายเวอร์ชั่นก่อนที่คุณจะปักหลักกับมัน ผมไม่เชียร์ให้คิดว่าเราต้องสามารถเปลี่ยนทั้งชีวิตได้ภายในวันเดียวเพราะมันจะ crazy และเสี่ยงเกินไปเหมือนกับที่เราจะไม่ปล่อยผลิตภัณฑ์ใหม่ภายในวันเดียวแล้วคาดหวังว่าทุกคนจะชอบ

มีผู้คนมากมายที่พอเข้ามาในคลาส Designing Your Life แล้วรู้สึกตัน พวกเขาไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นตรงไหน ไม่แน่ใจว่าตัวเองต้องการอะไร ผมคิดว่าการไม่รู้เป็นสิ่งที่โอเค ทุกคนต้องเคยตันกันทั้งนั้น คุณแค่เริ่มต้นจากจุดที่คุณอยู่เพราะ design starts in reality แค่ต้องแน่ใจว่าคุณพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงก่อนและนั่นจะเป็นการเริ่มต้นของกระบวนการทั้งหมด

ถ้ายังไม่รู้คำตอบของชีวิตว่าชอบอะไรหรืออยากไปทางไหนต่อแล้วจะออกแบบในสิ่งที่ไม่รู้ได้ยังไง

ตอนทำงานที่ Apple ทีมออกแบบก็ยังไม่รู้จักแล็ปท็อปว่ามันควรมีหน้าตายังไงแต่เราต้องคิดค้นมันขึ้นมา ผมรู้จักทีมที่คิดค้นไอโฟน ตอนแรกพวกเขาก็ไม่รู้ว่าไอโฟนควรมีหน้าตายังไงเหมือนกัน ไม่มีใครรู้จักสมาร์ตโฟนจนกระทั่งพวกเขาคิดค้นมันขึ้นมา ถ้าคุณไปอ่านประวัติของสตีฟ จอบส์ จะพบว่าทีมได้โชว์โปรโตไทป์ของไอโฟนถึง 3 ครั้งด้วยกัน และเขาก็ตอบว่า ผมคิดว่ายังไม่ผ่าน ลองทำมาใหม่อีกครั้งและอีกครั้ง พวกเขาออกแบบมาหลายแบบและทดลองทำโปรโตไทป์หลายแบบอย่างต่อเนื่อง 

พวกเราที่เป็นนักออกแบบจะรู้จากประสบการณ์ของเราว่าถ้าคุณอยากคิดค้นบางอย่าง สินค้าใหม่หรือสิ่งใหม่ในโลกนี้ที่ไม่เคยทำมาก่อน ทางเดียวที่จะคิดค้นมันออกมาได้คือการมี deep empathy (ความเข้าใจลึกซึ้ง) ในผู้คนที่คุณออกแบบสิ่งนั้นให้เขาและทดลองทำโปรโตไทป์จริงเพื่อทดสอบว่ามันเวิร์กไหม  

คุณจะเห็นว่ามันคล้ายกันเวลาออกแบบชีวิต ตอนที่คุณกำลังคิดค้นตัวตนใหม่ของคุณในช่วงสำเร็จการศึกษา กำลังจะหางานใหม่หรือย้ายสายงาน ในตอนนั้นคุณก็ยังไม่มีดาต้าเกี่ยวกับตัวคุณเองในเวอร์ชั่นอนาคตเหมือนกัน คุณไม่รู้ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง ดังนั้นคุณก็เลยต้องการกระบวนการที่ปลอดภัย มีประสิทธิภาพในการสำรวจชีวิตและมีหลักฐานที่เชื่อถือได้ว่าทำออกมาแล้วมันจะเวิร์ก

หลายครั้งที่ผมถามผู้คนว่าถ้าคุณสามารถทำได้ทุกอย่างที่ต้องการ คุณจะออกแบบชีวิตของคุณให้เป็นยังไง คุณอยากได้อะไร แล้วพวกเขาก็ตอบว่า ไม่รู้ ผมตอบว่า That’s okay. คนส่วนใหญ่ก็ไม่รู้เหมือนกัน เราจะออกเดินทางเพื่อค้นพบมันด้วยกันเพราะเราต่างก็ไม่รู้ว่าผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เราออกแบบจะมีหน้าตาเป็นยังไงเหมือนกัน เราแค่ยังไม่รู้ แต่ถ้าคุณเริ่มใช้ empathy เพื่อทำความเข้าใจตัวเอง นั่นแหละคือจุดเริ่มต้น 

การมี empathy ช่วยให้คุณเป็นนักออกแบบที่ดีได้ยังไง 

เวลาคุณคุยกับคน มันไม่ใช่แค่การสังเกตหรือทำรีเสิร์ชทางการตลาดแต่มันคือการสังเกตพฤติกรรมและชีวิตของผู้คนที่เรียกว่า deep ethnography ต้องบอกว่าคนที่มี empathy ที่ดีและชอบรู้จักผู้คนจะสามารถทำความรู้จักผู้คนได้อย่างรวดเร็วและสอบถามว่าผู้คนอยากได้อะไรได้ง่ายกว่า แต่สมมติว่าเราอยากออกแบบมือถือประเภทใหม่ ความเข้าใจผิดคือเราไม่ได้ออกไปถามคนอื่นว่าเขาต้องการอะไรแล้วออกแบบมันออกมาตรงๆ เพราะความจริงแล้วคนไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร อาจจะมีคนตอบว่าอยากได้แบตเตอรีที่อยู่ได้นานกว่านี้ อยากได้หน้าจอที่สว่างกว่านี้ แต่พวกเขาจะจินตนาการอะไรก็ตามที่แตกต่างจากเดิมไม่ออก 

มันเลยมีงานที่เราเรียกว่าดีไซเนอร์ซึ่งเป็นคนตั้งคำถามว่า “what would be the perfect next thing?” ในการหาคำตอบ เราต้องคิดค้นและทำโปรโตไทป์ร่วมกันกับผู้ใช้ (user) เรียกว่ากระบวนการ co-create มันคือมายด์เซตที่เรียกว่า radical collaboration คุณไม่รู้ว่าคุณต้องการอะไรแต่มันก็โอเคที่จะไม่รู้ แค่ลองพูดคุยกับคนอื่นและลงมือทำแล้วเราก็จะรู้ว่าอะไรเวิร์กหรือไม่เวิร์กบ้าง 

การใช้ empathy เพื่อทำความเข้าใจตัวเองในการออกแบบชีวิตมีเทคนิคแตกต่างกับการออกไปทำความเข้าใจคนอื่นยังไงบ้าง

มันเป็นกระบวนการเดียวกัน แตกต่างกันแค่เวลาที่ออกแบบชีวิตคุณใช้ empathy เพื่อทำความเข้าใจตัวเองว่าคุณต้องการอะไร คุณรีวิว life view และ workview ของคุณแล้วหาเข็มทิศ (compass) ในเส้นทางของตัวเอง แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องมี empathy กับโลกใบนี้ด้วยเหมือนกันเพราะในบรรดาสิ่งที่คุณชอบอาจไม่ใช่สิ่งที่โลกพร้อมจ่ายเงินให้คุณก็ได้ คุณอาจจะชอบสะสมแสตมป์ สะสมผีเสื้อสตัฟ ชอบเขียนกลอนซึ่งเป็นสิ่งที่ดี แต่คนบนโลกอาจไม่พร้อมจ่ายเงินให้แพสชั่นเหล่านี้ของคุณก็ได้ ดังนั้นเมื่อพูดถึงทั้งชีวิต ไม่ใช่แค่งาน คุณเลยต้องออกแบบชีวิตโดยคำนึงถึงสิ่งที่โลกต้องการด้วย คุณต้องตั้งคำถามใหม่จนกว่าจะเจอสิ่งที่เวิร์กกับคุณและสร้างโปรโตไทป์ให้ได้มากที่สุดเหมือนกับตอนสร้างผลิตภัณฑ์

แล้วคนเราจะทดลองสร้างโปรโตไทป์เส้นทางชีวิตเพื่อก้าวข้ามความไม่รู้ยังไงได้บ้าง 

เริ่มจาก “Stop thinking. Go out in the world. Try something.” วิธีได้อินไซต์ในชีวิตของคุณเริ่มจากอ่านบทความหรือพบผู้คนและฟังคนเหล่านั้นเล่าว่าเขาทำอะไร พอเราเกิดความอยากรู้ อยากค้นหาเพิ่ม เราก็จะก้าวข้ามความกลัว ความอายหรืออะไรก็ตามในการถามคำถามคนอื่น และคนอื่นก็จะให้คำแนะนำคุณต่อว่า ไปคุยกับคนนี้สิ หรือไปที่แล็บนี้สิแล้วไปดูว่าคนอื่นทำสิ่งที่คุณอยากทำกันยังไง ทันทีที่คุณเริ่มลองทำโปรโตไทป์ด้วยการออกไปมีบทสนทนากับผู้คนหรือลองประสบการณ์ใหม่ๆ คุณจะรู้สึกว่ามันมีอะไรมากกว่าที่คุณคิดในตอนแรก หรือบางอย่างที่คุณคิดในหัวว่าน่าสนใจ พอลงมือทำจริงๆ อาจไม่ได้น่าสนใจอย่างที่คิด ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นอินไซต์ที่น่าสนใจเวลาออกแบบชีวิต เพราะผมเป็น curious kid ที่อยากรู้และไม่เคยโตทำให้พลังแห่งความกระตือรือร้นในการอยากรู้สิ่งใหม่สามารถเอาชนะทุกอย่างได้

ความจริงแล้วเวลาที่คนรู้สึกว่าหลงทางหรือกำลังถึงทางตันมันเป็นเพราะความกลัวที่จะลงมือทำ กลัวที่จะลองสิ่งใหม่ สิ่งที่ผู้คนเข้าใจผิดคือพวกเขาคิดว่าจะสามารถอ่านหนังสือหรือแค่ได้ยินบางอย่างแล้วเกิดไอเดียออกมาเป็นดีไซน์ใหม่ได้เลยแต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่ ชื่อหนังสือคือ Designing Your Life ที่พูดเกี่ยวกับกระบวนการว่าคุณจะสร้างชีวิตคุณและทดลองใช้ชีวิตได้ยังไง มันไม่ใช่แค่เรื่องความคิด มันคือการลงมือสร้างและลงมือทำและผมเชื่อว่าทุกคนสามารถเป็น maker ได้ 

ถ้าคุณเรียนวิธีคิดและ tool เหล่านี้ ปัจจัยภายนอกจะกระทบคุณยาก เพราะคุณเช็กกับตัวเองตลอดอยู่แล้ว คุณสังเกตโลกนี้อยู่แล้วว่าอะไรกำลังจะมาและกำลังจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง คุณปรับตัวกับโลกที่เปลี่ยนไปก่อนที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ด้วยวิธีคิดแบบนี้คุณจะไม่กลัวถ้า AI เข้ามา เพราะคุณต้อนรับมัน คุณจะไม่กลัวการเปลี่ยนแปลงแต่สงสัยใครรู้เกี่ยวกับมัน คุณออกแบบชีวิตคุณก่อนที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลง นี่เป็นวิธีคิดที่ทำให้พร้อมปรับเปลี่ยน คุณอาจจะไม่สามารถคาดการณ์เรื่องในอนาคตได้ทุกอย่างก็จริงแต่คุณก็จะสามารถคาดคะเนได้หลายอย่าง ผมหมายถึงว่าถ้าคุณนั่งอยู่เฉยๆ แล้วคิดว่า AI จะมาแย่งงานคุณไป คุณก็อาจจะถูก คำถามคือคุณจะทำยังไงเพื่อออกแบบชีวิตคุณ จะรอให้มันมาเปลี่ยนคุณเหรอ ถ้าคุณยอมรับให้ทุกสิ่งมาเปลี่ยนคุณได้ ผมเรียกมันว่า default life แต่ถ้าคุณมีมายด์เซตของดีไซเนอร์ มันจะไม่ใช่ fixed mindset แต่เป็น growth mindset และ creative mindset 

คุณคิดว่าการออกแบบผลิตภัณฑ์กับการออกแบบชีวิตมีความแตกต่างกันยังไง 

ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ ผลลัพธ์สุดท้ายคือผลิตภัณฑ์ในช่วงเวลาหนึ่ง เช่น ช่วงเวลานี้มีไอโฟน 15 ออกมา ตอนนี้มีนวัตกรรมทางการแพทย์ในแวดวงศัลยกรรมออกมาและผลิตภัณฑ์นั้นจะมีช่วงชีวิตอยู่ในช่วงเวลาหนึ่งก่อนที่จะมีนวัตกรรมใหม่ออกมา ดังนั้นในการออกแบบสิ่งของ มันจะมีปัญหาและวิธีแก้ปัญหาแต่ในการออกแบบชีวิต มันค่อนข้างเป็นกระบวนการมากกว่า ผลิตภัณฑ์เป็น a fix thing in time แต่คุณไม่ได้ถูก fix in time คุณเป็นมนุษย์ที่เติบโตและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา คุณมีความชอบในบางสิ่งและวันหนึ่งคุณก็ไม่ได้ชอบมันอีกต่อไปแล้ว เมื่อผ่านระยะเวลาไปพักหนึ่ง คุณก็จะอยากได้ความหลากหลาย บางคนก็ชอบทำสิ่งเดิมซ้ำๆ และอยากทำให้มันดีขึ้นเรื่อยๆ และผมก็เคารพคนที่ทำแบบนั้น นั่นก็เป็นสิ่งที่สำคัญเหมือนกัน โลกต้องการ master craftsman ที่ทำสิ่งเดิมที่ทำให้ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ถึงอย่างนั้น คุณก็ยังต้องเรียนรู้การทำสิ่งเดิมให้ดีขึ้น 

เมื่อพูดถึงการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ผมได้ออกแบบมาหลายอย่างแล้ว ก็มีทั้งสิ่งที่สำเร็จและไม่สำเร็จมากมายนัก เวลาที่ผลิตภัณฑ์ไม่ประสบความสำเร็จ ก็แค่เสียเงินไปในตลาด มันอาจจะเป็นเรื่องซีเรียสแต่ไม่ได้ส่งผลวิกฤตกับชีวิต แต่เวลาเราออกแบบชีวิต เรากำลังพูดถึงสิ่งที่จริงจังว่าเราจะใช้ชีวิตยังไง ใครจะเป็นพาร์ตเนอร์ในชีวิตเรา เราจะมีลูกกี่คน ถ้าผลิตภัณฑ์ไม่เวิร์กก็แค่เสียเงิน แต่ถ้าคุณลองบางอย่างแล้วมันไม่เวิร์ก อาจจะสูญเสียความมั่นใจในตัวเองไป ดังนั้นเราเลยต้องระมัดระวังในการออกแบบชีวิต  ผมเลยคิดว่าการออกแบบชีวิตนั้นมีความเซนซิทีฟกว่าการออกแบบผลิตภัณฑ์และเราต้องออกแบบมันอย่างระมัดระวัง เพราะคุณคงไม่อยากพลาดให้เกิดการออกแบบที่ผิดทำให้ชีวิตคุณตกอยู่ในภาวะน่ากังวลต่อครอบครัวและเพื่อนของคุณ

ถ้าชีวิตต้องเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาแล้วคุณคิดว่าคนเราควรบาลานซ์ระหว่างการทดลองทำหลายอย่างในชีวิตกับการโฟกัสในสิ่งเดียวยังไง 

ผมคิดว่ามันขึ้นอยู่กับว่าคุณกำลังอยู่ในฤดูกาลไหนของชีวิต มันจะมีช่วงเวลาในชีวิตที่คุณคิดค้นตัวตนใหม่ของคุณและก็จะมีช่วงเวลาที่คุณลงลึก โฟกัสทำสิ่งนั้นสิ่งเดียวออกมาให้ดีที่สุดและทำมันซ้ำๆ ให้ดีขึ้น ตอนที่ผมตัดสินใจเข้าสู่สายวิชาการเต็มเวลา ผมไม่ได้คิดถึงเส้นทางสายอาชีพอื่นเลย เป็นเวลาสิบปีที่ผมพยายามทำโปรแกรมการเรียนที่ดีที่สุดในประเทศกับสแตนฟอร์ด ตอนแรกผมมีนักเรียนที่เรียนจบ 50 คนต่อปี แล้วผมก็ขยายเป็น 100 คนต่อปี แล้วผมก็มีนักเรียนหลักพันคนภายใน 10 ปี ช่วงเวลานั้นผมไม่ได้คิดถึงเส้นทางอื่นเลยเพราะกำลังตื่นเต้นกับสิ่งที่กำลังทำอยู่อย่างมาก ในช่วง 2-3 ปีล่าสุด ผมถึงค่อยเริ่มมีความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ และเริ่มออกแบบชีวิตใหม่ให้บาลานซ์ขึ้นกับสิ่งอื่นๆ ที่อยากจะทำ  

ผมเคยเห็นนักเรียนของผมที่ทำงานหนึ่งในช่วงเวลาไม่กี่ปีแล้วก็ลาออก จากนั้นก็เปลี่ยนงานโดยใช้เวลาอีกไม่กี่ปีแล้วก็ลาออกอีก ผมถามพวกเขาว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่ เขาบอกว่า ผมทำสิ่งนี้และทำมันได้ดีแล้วแต่ถูกบอกให้ทำซ้ำๆ ผมบอกพวกเขาว่าการทำซ้ำนี่แหละที่ทำให้เกิด mastery คุณจะทำได้ดีขึ้นและดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อคุณทำซ้ำ ถ้าคุณทำสิ่งใหม่ตลอดเวลา มันจะไม่ยั่งยืน 

เฟรมเวิร์กหนึ่งในหนังสือคือ Odyssey Plan มันคือการให้คุณคิดไอเดียทางเลือกในการใช้ชีวิต 3 แบบแทนที่จะแพลนแผนการชีวิตมาแบบเดียว วิธีนี้มีเป้าหมายเพื่อทำให้คุณเกิดความคิดสร้างสรรค์ ลองนึกถึงเวลาผู้คนวางแผนการชีวิตที่บ้าบิ่น มันไม่ใช่ว่าเราอยากให้เขาออกจากงานและทำสิ่งนั้นแต่เพื่อให้ลองคิดถึงไอเดียในการใช้ชีวิตที่ไม่มีกรอบและข้อจำกัด เวลาที่เราคิดอยู่ในกรอบและข้อแม้ เราจะออกแบบชีวิตอย่างธรรมดา แต่ถ้าเราอยากได้คำตอบที่แตกต่างและพิเศษ เราก็ต้องคิดให้แตกต่าง ดังนั้นเป้าหมายของ Odyssey ไม่ใช่ให้คนออกแบบแผนการทั้งสามแบบใหม่ตลอดเวลาและทดลองอะไรใหม่เสมอ แต่เพื่อให้นึกถึงเส้นทางที่กว้างขึ้นก่อนที่พวกเขาจะลงมือทำหรือโฟกัสกับมัน

แล้วเมื่อไหร่คือจังหวะเวลาที่เหมาะในการออกแบบชีวิตใหม่ 

ทางจิตวิทยา มันมีสิ่งที่เรียกว่า life stage theory ที่บอกว่า ณ จุดหนึ่งของชีวิต จะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นตามโครงสร้างของสังคมและวัฒนธรรม การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่รอบหนึ่งคือตอนจบไฮสคูลแล้วไปมหาวิทยาลัย แล้วก็ตอนเรียนจบแล้วเริ่มทำงาน มันคือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เฟสหนึ่งของชีวิต เพราะคุณกำลังเติบโตเป็นคนที่พึ่งพิงตัวเองโดยไม่ได้อยู่กับครอบครัวอีกต่อไป และก็มีแนวโน้มจะมีอีกครั้งตอนที่คุณอยู่ในช่วงอายุ 30 และ 40 ที่ทำงานมา 10-20 ปีแล้ว และเริ่มตั้งคำถามว่าชีวิตมีแค่นี้เหรอ เราอยากได้อะไรมากกว่านี้ไหมหรืออยากเปลี่ยนอะไรไหม นั่นคือสิ่งที่ผู้คนเรียกมันว่า midlife crisis แต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่วิกฤต มันแค่เป็นช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตที่คุณตั้งคำถามที่ลึกขึ้นกับตัวเองว่าอะไรคืองานที่มีความหมายจริงๆ สำหรับคุณ อะไรคือความหมายของชีวิตคุณ แล้วมันก็จะมีช่วงที่คุณมีครอบครัว มีลูก คิดเกี่ยวกับการเกษียนหรือเลิกทำงานซึ่งเข้าสู่อีกเฟสหนึ่งของชีวิต เราเลยมีเวิร์กช็อปชื่อ career 1.0 สำหรับเริ่มต้นชีวิตการทำงาน มีเวิร์กช็อปชื่อ The Mid-Career Tune-Up สำหรับคนที่อยากทำให้ชีวิตดีขึ้น เรากำลังจะมีเวิร์กช็อปที่สิงคโปร์ชื่อ Designing Your Longevity เพื่อค้นหาว่าคุณอยากทำอะไรเมื่อคุณรีไทร์ นี่คือ 4 milestone  big แห่งการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในช่วงชีวิตของทุกคน ไม่ว่าคุณจะอยู่ในวัฒนธรรมแบบไหน  

แต่ผมคิดว่ามันยังมี micro moment เล็กๆ ที่คุณอาจจะแค่รู้สึกเบื่อ คุณลงเอยกับการทำงานในสายที่เรียนมาเพราะคุณรู้สึกว่ามันใช้ความรู้จากที่เรียนมาได้จริง หรือคุณทำงานมา 5-6 ปีแล้วโดยไม่เห็นผลอะไรและคุณทนกับมันไม่ได้อีกต่อไป ช่วงเวลาเหล่านี้คุณก็กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลงและตั้งคำถามว่าจะออกแบบให้การทำงานฟิตกับชีวิตคุณได้ยังไงเช่นกัน เพราะที่ผ่านมาคุณอาจเลือกบางอย่างโดยที่มันไม่เวิร์กกับคุณ หรือบางทีคุณไม่ได้เป็นคนเลือกมันแต่ครอบครัวเลือกให้คุณหรือคุณเลือกเพราะสังคมบอกว่าคุณควรเป็นทนายหรือหมอ  

ยกตัวอย่างคนรู้จักที่ออกแบบชีวิตได้อย่างประสบความสำเร็จให้ฟังหน่อยได้ไหม  

เพื่อนผมชื่อทิม ผมเล่าถึงเขาอยู่ในหนังสือ Designing Your Life เล่มแรกและไม่ได้บอกชื่อเต็มจริงๆ ของเขาให้ใครรู้เพื่อเก็บตัวตนของเขาเป็นความลับ เขาเป็น natural life designer เป็นวิศวกรที่เก่งมากและมีความสามารถ ในช่วงแรกของการทำงาน เขาทำสตาร์ทอัพและทำงานหนักมาก แม้ธุรกิจจะประสบความสำเร็จแต่เขากลับรู้สึกเหมือนชีวิต 3 ปีของเขาขาดหายไปกับการทำงานร้อยชั่วโมงต่อสัปดาห์เพื่อหาเงินในบริษัทที่ห้าปีต่อจากนี้อาจไม่มีใครรู้ว่ามีตัวตนอยู่ ดังนั้นทิมเลยรีเซตชีวิตทั้งหมดของเขา เขาปฏิเสธการเลื่อนตำแหน่ง ไม่ต้องการรับเงินเดือนและหน้าที่เพิ่ม ผู้คนคิดว่าเขาฉลาดมากแต่เขาไม่มีความทะเยอทะยานจะได้ตำแหน่งสูงขึ้นอีกแล้ว พอเขาเริ่มสร้างครอบครัว เขาก็บอกว่าต่อไปนี้สิ่งที่ผมจะให้ความสำคัญอันดับแรกคือครอบครัวและลูก งานมาอันดับสอง ถ้างานมากระทบ ผมจะเปลี่ยนงาน ด้วยวิธีคิดนี้ทำให้เขามีความสุขมาก หลังจากหนังสือที่เล่าเรื่องเขาเผยแพร่ออกไป บริษัทของทิมก็อยู่ในช่วงขาลงและเขาถูกปลด เขาถามผมว่าเขาจะทำยังไงดี ผมบอกว่าคุณก็แค่หางานใหม่และวิธีที่คุณจะตามหามันคือการเน็ตเวิร์กกับผู้คน ทิมเลยพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานที่เขาเคยทำงานด้วยอย่าง Senior Manager และ Vice President ที่เชื่อว่าทิมเป็นคนที่ดี คนเหล่านั้นแนะนำงานใหม่ให้ทิมและทิมก็ได้ทำงานที่บริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ เขากลายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จที่สุดที่ผมเคยเจอในสายงานของเขา ทุกวันนี้ทิมมีความสุขมากและมีสมดุลในชีวิต ทำงาน 39.5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์และไม่เคยเอางานกลับมาทำที่บ้านเลย ไม่เคยตอบอีเมลวันหยุดสุดสัปดาห์และสนับสนุนครอบครัวได้เต็มที่โดยไม่มีความทะเยอทะยานในการวิ่งไล่ตามในสิ่งที่ผู้คนส่วนมากวิ่งไล่ตามค่านิยมสังคมแล้วทรมาน 

อีกตัวอย่างของคนที่ผมรู้จักคือ Mark Wee เขาเป็น Head of DesignSingapore Council ซึ่งเป็นครีเอทีฟเอเจนซีของรัฐบาลสิงคโปร์ เขาทำงานสนับสนุนและโปรโมตงานดีไซน์ในสิงคโปร์เพื่อผลักดันเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เขายังทำโรงเรียนสอน design thinking ให้บริษัทต่างๆ ซึ่งประสบความสำเร็จมาก และทำ Designing Your Life Institute กับผมที่สิงคโปร์ด้วย เขามีช่วงที่ลังเลว่าจะทำงานให้องค์กรรัฐต่อไปดีไหม ผมแนะนำเขาว่าลองเขียนสิ่งที่คุณอยากทำทั้งหมดแล้วส่งมาให้ผม เขาอยากเป็นทั้งศิลปิน สถาปนิก และยังมีเป้าหมายในการสร้างสิ่งที่สร้างสรรค์ ผมวงสิบสิ่งที่คิดว่าตำแหน่ง Executive Director ควรทำให้เขา แล้วบอกเขาว่าคุณสามารถทำสิ่งที่คุณอยากทำได้ทุกอย่างไปพร้อมๆ กันเพราะ all design is yours คุณทั้งสามารถดูแลสถาบันให้ผมและคุณก็สามารถผลักดันเศรษฐกิจสร้างสรรค์โดยที่ไม่มีโครงสร้างแบบราชการไปด้วยได้ ตอนนี้มาร์กเลยเป็นทั้ง Executive Director ของ Designing Your Life Institute ให้โปรแกรมผมและเพิ่งเปิดตัวคอลเลกชั่นแรกของเสื้อผ้าเด็กของแบรนด์เขาเอง ผมคิดว่าคนที่มีความสามารถในอายุเท่าเขา การทำอย่างเดียวจะเป็นการลดความสามารถมากมายที่มีอยู่ในตัวเขาเกินไป

การคิดค้นศาสตร์ Designing Your Life สร้างอิมแพกต์ต่อชีวิตตัวคุณเองยังไงบ้าง 

ทันทีที่เราเริ่มออกแบบกระบวนการ ผมก็พบว่าผมออกแบบชีวิตใหม่และรีเฟรมมันตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมพยายามหาทางที่จะเป็นคนที่มีความสุข โปรดักทีฟ และมีเหตุผลมาตลอดเพราะผมไม่อยากเป็นคนทำงานที่โกรธขึ้งกับชีวิต ผมเคยรู้สึกว่าผมอยากทำงานที่ไม่มีอยู่บนโลกนี้แล้วผมก็แก้ปัญหานั้นซ้ำๆ อย่างต่อเนื่องด้วยการทดลองใช้ชีวิตในหลายเวอร์ชั่น มันทำให้ทุกวันนี้ผมมีครอบครัวและเลี้ยงลูกหลานได้อย่างมีความสุข และผมก็พบภรรยา Cynthia ที่เป็นผู้หญิงแสนวิเศษ ทุกวันนี้เธอเป็นนักธุรกิจที่คิดแบบดีไซเนอร์ และเราสองคนต่างก็หาทางของเราเองที่จะใช้ชีวิตแบบที่เราอยากได้ไปด้วยกัน มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์ 

ตอนนี้ผมเพิ่งเป็น grandfather ด้วย ขอแนะนำให้รู้จักกับหลานสาวของผมชื่อคลาร่า คุณก็รู้ว่าในการออกแบบชีวิตมีหลักที่สำคัญคือควรโฟกัสในสิ่งสำคัญ และผมคิดว่า Nothing is more important than a new life. (ไม่มีอะไรจะสำคัญไปกว่าการออกแบบชีวิตใหม่อีกแล้ว)  

ขอบคุณภาพจาก Stanford Life Design Lab และ Designing Your Life 

ติดตามกิจกรรมเวิร์กช็อป Designing Your Life ในไทยที่จัดร่วมกับบิลล์ เบอร์เนตต์ ได้ที่
Facebook :
Mind Memo – เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการออกแบบชีวิตและจิตใจโดยนักจิตวิทยา