วิชาแก่กล้า
วิธีบริหารความเสี่ยงของ ‘แก่ สาธิต’ กับอาชีพใหม่ในวัย 60 และปรัชญาชีวิตว่าด้วยความไม่รู้
เป้าหมายชีวิตของคุณเป็นแบบไหน? กินอิ่มนอนหลับ รวยล้นฟ้า หรือได้ไปเที่ยวรอบโลก เชื่อว่าน้อยคนนักที่เป้าหมายชีวิตคือการทำงาน ทำงาน และทำงาน
“ผมไม่คิดจะเกษียณ”
ครั้งแรกที่ได้ยินคำพูดนี้ออกจากปากของ แก่–สาธิต กาลวันตวานิช คนดังแห่งวงการออกแบบและโฆษณา ปฏิเสธไม่ได้ว่าคำพูดนั้นชวนเข้าใจในสองความหมายด้วยกัน
หนึ่ง–สาธิต หรือ ‘พี่แก่’ ของน้องๆ ในวงการไม่ยอมเปิดทางให้คนรุ่นใหม่มีพื้นที่ สอง–พี่แก่คนนี้ไม่ยอมแก่และรักการทำงานเป็นชีวิตจิตใจ
คำตอบของเราได้รับการไขปริศนา เมื่อนั่งสนทนากับเขากว่า 3 ชั่วโมง
เราพบว่าประโยคที่ว่ามีความหมายตามข้อสอง
![](https://capitalread.co/wp-content/uploads/2023/09/BODY-WEB-W-Playrisk10-1024x683.jpg)
ตลอดระยะเวลาการทำงานกว่า 50 ปี ของชายวัย 60 กว่าคนนี้ ไม่เคยมีช่วงเวลาไหนที่เขาไม่อยากทำงาน ทั้งงานที่เขาถือและลงมือทำยังหลากหลายมากเสียจนถ้านำไปทำเป็นเรซูเม่ เชื่อว่าคนจากทุกวงการสร้างสรรค์จะต้องอยากเอาเป็นตัวอย่าง
สาธิตเริ่มต้นการทำงานด้วยการเป็นกราฟิกดีไซเนอร์ เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัทด้านงานออกแบบกราฟิกอย่าง ‘สามหน่อ’ ก่อนจะขยับไปทำหนังโฆษณาและโปรดักชั่นเฮาส์ที่ ‘Phenomena’ กระโจนลงไปทำโปรดักต์ดีไซน์อย่าง ‘Propaganda’ ที่แต่เดิมคนค้านหัวชนฝาว่าไม่รอด แต่เขากลับทำให้รุ่ง
แม้แต่ละอาชีพจะแตกต่างกันในรายละเอียด แต่จุดร่วมที่เขาสร้างขึ้นคือเขาและทีมคว้ารางวัลระดับโลกมาประดับพอร์ตมากมายจนทำให้บริษัทที่ว่ามาเหล่านั้นกลายเป็นตำนานของวงการ แต่แม้ปลายทางจะประสบความสำเร็จจนแทบไม่มีอะไรต้องพิสูจน์ เขากลับบอกว่ารางวัลที่ได้มานั้นเป็นรางวัลจากการลงมือทำด้วย ‘ความไม่รู้’
ปัจจุบัน สาธิตเป็นที่ปรึกษาและ Brand Narrative ซึ่งเป็นอาชีพใหม่ที่เริ่มต้นขึ้นในวัย 60 ปี และถือเป็นอาชีพที่ยังไม่เคยมีคนบุกเบิกมากนัก
เขายังคงยืนยันว่าเขาเริ่มอาชีพนี้จากความไม่รู้ น่าสนใจว่าความไม่รู้ที่ว่าหน้าตาเป็นแบบไหนถึงนำไปสู่อาคาร FYI Center ที่โดดเด่นและแตกต่าง อาคาร True Digital Park ที่ดูไซไฟ กระทั่งศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ที่ปรับปรุงใหม่ เขาก็ทำให้พื้นที่บางส่วนในนั้นมีแรงดึงดูดบางอย่าง
ในทางหนึ่ง ความแก่กล้าในวงการนั้นก็เป็นอาวุธลับชั้นดีที่ทำให้ผู้คนเชื่อมั่นในผลงาน แต่อีกทาง ความแก่กล้าตรงนี้ก็พ่วงมากับความเก่าเก็บ คำถามที่เราสงสัยจึงคือ พี่แก่ สาธิต ยืนระยะในวงการนานหลายทศวรรษได้ยังไง หลักปรัชญาว่าด้วย ‘ความไม่รู้’ ของเขาหน้าตาเป็นแบบไหนจึงทำให้เขารับมือและเปลี่ยนทุกความเสี่ยงภัยจากความไม่รู้เป็นผลงานระดับตำนานได้
![](https://capitalread.co/wp-content/uploads/2023/09/BODY-WEB-W-Playrisk9-1024x683.jpg)
จากการสัมภาษณ์หลายครั้ง คุณมักบอกว่าสิ่งสำคัญคือการทำอะไรนอกกรอบและทำสิ่งที่คนอื่นไม่ทำ แนวคิดการทำงานแบบนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนไหน
ที่จริงผมเป็นคนทำอะไรนอกกรอบมาตลอด ตอนเรียนมัธยมที่สวนกุหลาบก็ไม่ยอมเรียนเพราะลุ่มหลงการทำหนังสือมาก จำได้ว่าเดินออกจากโรงเรียนเพื่อไปโรงพิมพ์ แล้วเขาก็ประกาศออกไมค์ว่า ‘นายสาธิต นายเป็นสาราณียกร แต่นายไม่มีอภิสิทธิ์ที่จะเดินออกไปนอกโรงเรียนตามใจชอบ’
เราก็ไม่สน เดินปู๊ดออกไปดมกลิ่นทินเนอร์ ดมกลิ่นหนังสือทุกวัน (หัวเราะ)
เรียกว่าเป็นเด็กไม่ยอมเรียนคนหนึ่ง
เหมือนเป็นเด็กเลว ไม่ไปเรียนหนังสือแต่ว่าจริงๆ เราชอบเรียนนะ เพียงแค่แอบไปเรียนนอกหลักสูตรมากกว่า จนกระทั่งต้องสอบเข้ามหา’ลัยนี่แหละ มันก็เหมือนต้องเอาตัวให้รอด เลยตั้งใจอ่านหนังสือซึ่งจริงๆ เราก็ชอบอ่านหนังสืออยู่แล้วเพราะแม่เป็นบรรณารักษ์ เขาก็จะชอบเอาหนังสือมาวางเรียงให้เราเลือกอ่าน บางทีก็ชอบพาไปบ้านคนที่มีห้องสมุดใหญ่ๆ
เราก็ดันสอบติด แต่คิดว่าน่าจะเพราะเราได้ภาษาอังกฤษมากกว่า
ไม่มั่นใจในฝีมือตัวเอง
ไม่ใช่ไม่มั่นใจนะ แต่เราโง่ขนาดที่ว่าตอนสอบข้อเขียนวิชาศิลปะ เขาให้ภาพเก้าอี้คลาสสิกตัวหนึ่งแล้วให้เราเติมขาเก้าอี้ลงไป เราก็วาดไปมั่วๆ อีกข้อคือเขาให้วาดหู 3 หู แต่ให้วาดเป็นเส้นสร้างสรรค์ เช่น อาจจะต้องวาดคอมโพซิชั่นใหม่ หรือให้หูมันงอกออกมาจากต้นไม้ แต่เราไม่รู้ก็เอาหูสามหูมาเรียงต่อกันเฉยๆ
พอเข้าไปเรียนมัณฑนศิลป์ ศิลปากร เราก็ไม่เรียนในหลักสูตรอีก เพื่อนหมายมั่นปั้นมือให้ช่วยทำหนัง แต่ตอนนั้นไม่ชอบหนังเอามากๆ ก็ไม่ยอมช่วยเพื่อนแต่ไปทำสมุดขายกับเพื่อนธรรมศาสตร์ ทำการ์ดบ้าง ทำปกหนังสือบ้าง เดี๋ยวก็ลากไปทำกับเพื่อนจุฬาฯ เพื่อนมหาวิทยาลัยนั้นนี้ มันก็เกิดคอนเนกชั่นกับเพื่อนต่างมหาวิทยาลัยโดยที่เราไม่รู้ตัว และคนเหล่านั้นก็กลายเป็นเพื่อนร่วมงานในอนาคต
แต่ขณะเดียวกัน กลายเป็นว่าเพื่อนในชั้นก็เกลียดเราเพราะเราไม่ช่วยเขา แต่ดันไปทำอย่างอื่น ส่วนคนในมหาวิทยาลัยก็ด่าเรากันทั้งมหาวิทยาลัย เพราะเราไม่เรียนแต่ก็ดันไปเป็นนายกสโมสรที่เขาด่ากันว่าแย่ที่สุด เรียกว่าเป็นคนแปลกๆ ที่เข้ากับใครเขาไม่ค่อยได้
![](https://capitalread.co/wp-content/uploads/2023/09/BODY-WEB-H-Playrisk3-683x1024.jpg)
ความนอกกรอบเหล่านั้นมีผลทำให้คุณเป็นคนชอบเปลี่ยนงานหรือเปล่า เพราะที่ผ่านมา คุณทำทั้งกราฟิก หนังโฆษณา มิวสิกวิดีโอ โปรดักต์ดีไซน์ จนกระทั่งมาเป็นงานที่ปรึกษาอย่างปัจจุบัน
ไม่เชิงว่าชอบเปลี่ยนงาน แต่ปรัชญาของผมคือมีอะไรก็ทำ เพราะโอกาสเรามีแค่นี้ ผมจะไม่มองงานที่เข้ามาว่ามันต้องเป็นงานใหญ่ หรืองานระดับสูงๆ ถึงจะทำ ผมไม่มีคำว่าไม่ชอบหรือไม่เก่งแล้วจะไม่ทำ แต่จะคิดเสมอว่าถ้าพอทำได้ก็ลองดู เพราะเชื่อเสมอว่าการทำงานเล็กๆ ให้มันยิ่งใหญ่มันจะทำให้เรามีทักษะหลายๆ อย่างโดยที่เราไม่รู้ตัว
แล้วพอเราไม่เก่งหรือทำไปด้วยความไม่รู้ ก็กลายเป็นว่าเราเน้นทำเยอะไว้ก่อน เรียกว่าจ้างร้อยทำล้าน ไม่ก็มักจะทำอะไรที่มันต่างออกมาเพราะเราทำไปด้วยความไม่รู้จริงๆ ที่สำคัญคือทำให้มันสุดแล้วก็ใส่อาร์ตเข้าไป เหมือนกับที่ Joe Duffy คนก่อตั้ง Duffy Design Group บอกไว้ว่า “We are here to inject art into commercial”
ให้ร้อยทำล้าน แล้วจะคุ้มไหม
คุ้มสิ เพราะเราถือว่าเขาจ่ายเงินมาให้เราได้เรียนหนังสือหรือหาความรู้เพิ่มเติม แล้วเราอาจจะไม่ได้กำไรจากเงินก็จริง แต่เราได้กำไรจากประสบการณ์ เราจะได้รู้ว่าปัญหาแบบนี้กูแก้ได้ เทคนิคแบบนี้กูแก้ได้ ไอ้วิธีแบบนี้เขาบอกว่ามันไม่ควร เรากลับไปทำให้มันกลายเป็นคำตอบใหม่ว่าทำได้นี่หว่า
ตอนทำบริษัทด้านงานออกแบบกราฟิกดีไซน์อย่างสามหน่อ เอาจริงๆ ตอนนั้นถือเป็นมุมมืดเพราะเป็นบริษัทที่ไม่มีชื่อเสียง ไม่มีตังค์ ไม่มีคนช่วย ไม่มีอะไรเลย เราเลยมักจะได้งานที่คนอื่นเขาไม่อยากทำกัน เช่นรายงานประจำปี แต่เราก็ดันทำให้ไอ้ของที่ไม่มีอะไรเลยตอนนั้นมันทำให้บริษัทมีชื่อเสียง
![](https://capitalread.co/wp-content/uploads/2023/09/BODY-WEB-W-Playrisk5-1024x683.jpg)
ลูกค้าบอกว่าไม่ขออะไร ขอแค่มีแบงก์ 500 อยู่หน้าปกนะ เราก็ไม่เอา เราไปเอาปลาทูใส่เข่งมาแปะ นี่ไง inject art into commercial แล้วก็ค่อยอธิบายลูกค้าให้ได้ว่าไอ้ที่เราใส่ศิลปะเข้าไปมันกลับมาสู่คอนเซปต์ยังไง ก็คือรายงานประจำปีนี้มันเป็นการเล่าถึงเศรษฐกิจ ณ ตอนนั้นที่เราทำประมงกันนั่นเอง หรือถ้าเขาถามว่าทำไมต้องเอาหินมากองตรงนี้ เราก็เล่าว่ามันเป็นเรื่องทรัพยากรประเทศไง กลายเป็นว่าได้รางวัลกลับมา
จริงๆ มันไม่ใช่แค่งานที่สามหน่อ แต่ทุกๆ งานในทุกๆ บริษัทที่ผ่านมาก็ต้องบอกว่าโชคดีที่ไม่ได้เรียนมาสูง โชคดีที่ไม่ได้เรียนเมืองนอก โชคดีที่ไม่ได้ไปเรียน Film School โชคดีที่ไม่ได้ไปเรียนที่ใดๆ แต่เราเรียนรู้แบบ situation-based learning คือเข้าไปเรียนรู้ผ่านการลองผิดลองถูก
อย่างตอนทำโปรดักชั่นเฮาส์ที่ Phenomena เราก็ทำทั้งที่เราไม่มีความรู้เกี่ยวกับหนัง ไม่มีกราฟอารมณ์ ไม่มีมุมกล้องแบบที่คนอื่นเขาเรียนมา เราแค่ทำตามแบบที่เราชอบ เพราะฉะนั้นงานของเรามันเลยจะผิด แต่ผิดแล้วคนสนใจไหม คนเขาสนใจ
![](https://capitalread.co/wp-content/uploads/2023/09/BODY-WEB-H-Playrisk5-683x1024.jpg)
คนรุ่นคุณมักจะมองว่าการเปลี่ยนงานหรืออาชีพบ่อยๆ มันเป็นความเสี่ยง ทำไมคุณถึงชอบ play risk มากกว่า play safe
จริงๆ แล้วเราไม่ใช่คนที่ชอบเสี่ยง เป็นคนที่เพลย์เซฟเหมือนกับทุกคนแต่ถูกล่อลวงโดยความลุ่มหลงมากกว่า สามหน่อก็ถูกล่อลวงด้วยกราฟิกจนได้รางวัลมา แต่พอมีคนชวนไปทำมิวสิกวิดีโอ เรามันก็ดันถูกล่อลวงด้วยความอยากลองจนมันมาสู่การทำ Phenomena
พอได้รางวัลก็แทนที่จะอยู่เฉยๆ ก็ออกมาทำ Propaganda ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่มหาภัยและฉิบหายที่สุด แต่ความเสี่ยงนั้นมันก็คุ้มค่าเพราะมันทำให้เรามีความรู้อีกมากมาย เนื่องจากตอนนั้นเรากับน้องๆ ที่ทำมาด้วยกันไม่มีความรู้เรื่องอะไรเลย ทั้งสต็อกของ เรื่องรีเทล เรื่องทำร้าน
พอมันโง่ พอมันไม่รู้มันก็เหมือนเวียดกงสู้กับอเมริกัน คือมีทางเดียวว่าถ้าไม่ชนะก็คือตาย พอมันต้องชนะเท่านั้น เราก็ต้องพยายามเอาตัวให้รอด คือตอนนั้นเราอยากจะทำของที่มันเนี้ยบๆ ดีๆ เหมือนฝรั่ง แต่เราลอกเขาไม่ได้เพราะเราโง่
สุดท้ายมันเลยถูไถออกมาเป็นคาร์แร็กเตอร์มิสเตอร์พี (Mr. P) และอีกหลายๆ ตัวที่มันเต็มไปด้วยความทะลึ่ง เช่น นาฬิกาโชว์ไอ้จู๋บ้าง ขวดสบู่ที่สบู่จะไหลออกจากลิ้นบ้าง สะท้อนความเป็นไทยได้ดี แต่โลกการออกแบบเขาไม่ทำกันและไม่เคยมีคนทำมาก่อน พอมันแปลกมันก็กลายเป็นว่า Propaganda เป็นเหมือนเป็นไอคอนิกของวงการดีไซน์ไป
![](https://capitalread.co/wp-content/uploads/2023/09/129559606_10159180282929047_5334686889279156168_n-738x1024.jpg)
![](https://capitalread.co/wp-content/uploads/2023/09/31369082_10156445224654047_4215199840528760832_n-738x1024.jpg)
![](https://capitalread.co/wp-content/uploads/2023/09/35146394_10156557295774047_6675501714931449856_n-768x1024.jpg)
ไม่รู้สึกว่าการกระโดดลงไปในงานใหม่ๆ ด้วยความไม่รู้คือความเสี่ยงเหรอ
ไม่ได้คิด เพราะโง่ ยืนยันเรื่องโง่ เพราะว่าถ้าฉลาดคุณจะออกมาทำสิ่งที่คนอื่นคิดว่ามันไม่รอดเหรอ
เครียดหรือกังวลเรื่องเงินบ้างไหม
โชคดีที่เรายังพอมีธุรกิจอื่นช่วย แต่สายป่านที่มีอยู่มันก็ไม่ได้ยาวมาก เราก็เลยต้องรีบสำเร็จอยู่เหมือนกัน แต่หลักๆ แล้วด้วยความที่โง่มาก เลยทำไปเรื่อยๆ เพราะถ้าคุณฉลาดคุณจะเครียด
มีข้อเสียของการที่ทำสิ่งต่างๆ โดยที่เราไม่รู้และโง่บ้างไหม
ข้อเสียมันเต็มไปหมดเลย แต่ทุกข้อเสียมันคือข้อดีเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าเป็นคนคิดบวกนะ เราก็เป็นคนที่พร้อมจะมองทุกอย่างในแง่ลบ กลัวนู่นกลัวนี่ แต่พอมันมึนๆ โง่ๆ มันทำให้เราต้องพยายามหาทางแก้ไข
เพราะความโง่ที่บอกมันไม่ใช่โง่แบบโง้โง่ มันเป็นความโง่ที่อยู่บนพื้นฐานของการรู้จักคิด
แล้วสุดท้าย ความโง่ซึ่งมันอาจจะเป็นความเสี่ยงภัยมันจะพาเราก้าวออกไปในดินแดนที่ไม่รู้จัก มันทำให้เราครอสทุกทักษะเข้าหากันหมด พอรวมทักษะเหล่านั้นเข้าด้วยกัน มันก็กลายเป็นอาชีพปัจจุบันอย่าง Culsultancy กับ Brand Narrative ที่เริ่มจับตอนอายุ 60
แสดงว่าการเริ่มต้นอาชีพใหม่ในวัย 60 บวก ไม่ได้เริ่มต้นจากความไม่รู้อีกต่อไป
ยังคงเริ่มต้นจากความไม่รู้ ใช่ ยังไม่รู้
เพราะเราไม่เคยทำงานที่ปรึกษา และลูกค้าก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับอาชีพนี้ที่เขาจ้างเรามาด้วยซ้ำ เพราะตั้งแต่ที่คุณ วู้ดดี้–ธนพล ศิริธนชัย เขาเจอผมตอนกำลังไปบรรยายที่ ABC เขาก็อยากจะให้เราเข้ามาช่วยเป็นที่ปรึกษาโครงการ FYI
ตอนนั้นมันก็ยังไม่มีคำว่า Brand Narrative เลยแต่ต้องเริ่ม narrative แล้ว (หัวเราะ)
![](https://capitalread.co/wp-content/uploads/2023/09/102845025_120666973007486_8138011607480016137_n-1024x682.jpg)
Brand Narrative หรือที่ปรึกษาที่คุณทำอยู่นั้นทำยังไง
ถ้าพูดถึงอาคาร FYI Center ตอนแรกเขาแค่มาโชว์ให้ดูว่าเขาทำอะไรไปแล้วบ้าง เช่นออกแบบตึกแล้วนะ กำลังจะขึ้นฐานรากแล้วนะ แต่ตรง reception มันเหมือนขาดอะไรบางอย่าง เราก็เข้ามาช่วยคอนเฟิร์มสิ่งที่สถาปนิกทำว่าตรงนี้ดีอยู่แล้ว ทำไปเลย ส่วนตรงนี้ดูว่างๆ นะ งั้นเพิ่ม wall art หน่อย หรือตรงหน้าอาคารก็มี Mr & Mrs Spark เป็นเหมือนปลั๊กไฟที่เอียงเข้าหากัน เพื่อสื่อถึงความเชื่อมโยงถึงกันของคนในอาคาร
ความที่เราก็เคยทำงานมาหลายแบบ เราก็เลยเข้าไปทำ wall art แบบกราฟิกนูนต่ำกึ่ง Sculpture หยิบคำที่มันค่อนข้างสร้างแรงบันดาลใจมาทำเป็นครอสเวิร์ด เช่น smart, attitude, creativity แล้วใส่คำว่า Hi แต่เป็นตัวไอกลับหัวให้เป็นเครื่องหมายตกใจ ส่วนในห้องน้ำ ก็เอาคำพูดต่างๆ มาสะท้อนในกระจก
จากนั้นเราก็ไปออกแบบวิชวลในลิฟต์ ด้วยความที่แต่เดิม ลิฟต์ไม่มีความหมาย เราก็อาศัยประสบการณ์จาก Propaganda โดยเลือกคำที่ provoke thought อย่าง ‘Even a brick wants to be something’ อิฐมันทะเยอทะยานที่วันหนึ่งมันจะกลายเป็นตึก สอดคล้องกับการสื่อถึงการขึ้นไปสู่ความก้าวหน้า พ้องกับหน้าที่ของลิฟต์ที่มันพาเราขึ้นไปข้างบน
![](https://capitalread.co/wp-content/uploads/2023/09/102888669_120666659674184_3844294897497924722_n-1016x1024.jpg)
![](https://capitalread.co/wp-content/uploads/2023/09/83045047_120666849674165_3926470550300200496_n-888x1024.jpg)
เป็นงานเล่าเรื่อง
เรียกว่าเริ่มจากช่วยเขาเล่าเรื่อง แต่หลักๆ แล้วมันคือการที่เราเข้าไปเป็นข้อต่อระหว่างลูกค้าหรือเจ้าของโครงการ สถาปนิก และอินทีเรียร์ เพราะการทำงานส่วนใหญ่ ทางลูกค้าก็จะโยนคำหรูๆ หราๆ ไปให้คนออกแบบ ทั้ง brand archetype, brand persona, brand attribute เราเป็นคนที่ทำให้ไอเดียนั้นมันเป็นรูปเป็นร่าง เล่าเรื่องได้ และย่อยง่าย เพื่อส่งต่อให้สถาปนิกหรืออินทีเรียร์ทำงานได้ง่ายขึ้นด้วย
อย่าง True Digital Park ชัดเจนว่าเขาต้องการให้เราเป็นข้อต่อให้กับทางอินทีเรียร์ คือเขาต้องการเป็นฮับของเทคฯ สตาร์ทอัพ เพื่อเพิ่ม GDP ประเทศ เราก็หยิบคอนเซปต์มาทำเป็น cocoon pot เล่าเรื่องแบบ Metamorphosis โดยเล่าการเปลี่ยนแปลงของหนอนเป็นผีเสื้อ
จากหนอนซึ่งมันไร้ค่า กลายเป็นดักแด้ และกลายเป็นผีเสื้อมีปีกบินสวย ซึ่งเป็น think pot ให้คนเข้าไปใช้งาน ทำ wall art และทำ co-working space ให้สตาร์ทอัพมาเจอกัน รวมๆ คือทำ visual ambient ให้มันดูว้าวและดูมีความไซไฟขึ้น
![](https://capitalread.co/wp-content/uploads/2023/09/Avocado-update-2_Page_12-1024x768.jpg)
คุณรู้ได้ยังไงว่าอาชีพนี้มันต้องทำแบบไหน
ไม่รู้ แต่ว่าใช้คอมมอนเซนส์และประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมา 40-50 ปี อย่างอาคารสำนักงาน KingBridge ของเครือสหพัฒน์ เขามีคอนเซปต์ว่า ‘The Spirit Of Synergy’ คือเขาอยากให้สำนักงานที่เช่าอาคารแห่งนี้เกิดความ synergy หรือการรวมพลังกัน
ลูกค้าอยากให้ความ synergy นี้ถ่ายทอดออกมาผ่านการออกแบบ space, design, content และ experience ในตึก เราก็เข้ามาทำ brand narrative ให้การออกแบบและประสบการณ์สะท้อนออกมาให้ผู้ใช้งานในตึกสัมผัสได้
สุดท้าย เราก็นำเสนอคอนเซ็ปต์ให้พื้นที่ส่วนหนึ่งของอาคารมี amphitheather ลงไปเป็นสเตปเพื่อให้คนมาเจอหน้ากันได้แม้จะอยู่คนละบริษัท มีพื้นที่ common space ให้คนทำงานมานั่งและใช้สอย มีการเติมหนังสือลงไปในพื้นที่เพื่อให้ KingBridge เป็นมากกว่าออฟฟิศ แต่กลายเป็น marketplace of knowledge ที่ทำให้เขาได้มาหาความรู้และทำสิ่งที่มีความหมายต่อการใช้ชีวิต รวมถึงยังเสนอคอนเซ็ปต์พื้นที่อีกหลายจุดที่สะท้อนได้ว่าเจ้าของตึกนี้คิดถึงคนที่จะมาใช้ตึกเป็นหลักสำคัญ จนรู้สึกได้ว่าตึกนี้ใจดีจัง
จากนั้นก็ส่งต่อไปที่สถาปนิกว่าเขาเห็นด้วยไหม เพราะเราไม่ได้ทำงานคนเดียวแต่เราต้องทำงานร่วมกับคนอื่นเพื่อช่วยให้ความต้องการของลูกค้ามันออกมาตรงกัน สถาปนิกเขาก็บอกว่าเขาอยากได้ Mr. P ของ Propaganda นะ เพราะมันเป็นคาแร็กเตอร์ที่เห็นแล้วยิ้ม แล้วก็อยากให้มี Mr. P หลายๆ ตัวทำท่าดันกำแพงขึ้นไปสูงๆ เหมือนเขาช่วยกัน push the boundaries ทั้งหมดนี้มันก็สื่อถึง ‘synergy’ หรือการร่วมมือกันจริงๆ
![](https://capitalread.co/wp-content/uploads/2023/09/BODY-WEB-W-Playrisk11-1024x683.jpg)
![](https://capitalread.co/wp-content/uploads/2023/09/345935076_1593168787854902_5780931897687470903_n-1024x512.jpg)
อาชีพใหม่ในวัย 60 บวก อาชีพนี้ถือว่ายากไหม
ยาก แต่เราก็มีหน้าที่ทำให้ความซับซ้อนนั้นมันย่อยง่ายและเขย่าออกมาให้เหลือนิดเดียว แล้วคนทำแบรนด์ส่วนใหญ่จะหยุดที่ตัวคอนเซปต์แต่ผมจะขยับไปที่ execution เข้าไปที่ solution แล้วรูปแบบก็จะชัดเจนขึ้น
รวมๆ แล้วนี่คือ Brand Narrative ซึ่งเป็นสิ่งที่เข้าไปตอบปัญหาของเจ้าของโครงการทั้งหลายว่าทำยังไงฉันถึงจะเล่าเรื่องของฉันได้ เราก็จะเป็นข้อต่อที่ช่วยทำให้เขาได้อย่างที่ใจเขาต้องการ เพราะบางครั้งเขาก็ไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เขาคิดมันควรจะออกมาเป็นยังไง
ที่เล่ามา จริงๆ มันก็แอบ inject art into commercial เหมือนกัน เพื่อทำให้ทุกอย่างมันสวย แต่มันไม่ได้สวยที่รูปร่างหรือรูปลักษณ์อย่างเดียว แบบนั้นใครก็ทำได้ แต่มันต้องสวยจากคอนเซปต์ด้วยเพื่อทำให้เกิดโมเมนตั้มที่เหนี่ยวนำให้เกิดอิมแพกต์ที่แรงขึ้นและมีประสิทธิภาพกว่าเดิม
สมัยนี้เขาก็จะบอกว่าคุณเป็น ‘เป็ด’ คุณมองว่าตัวเองเป็นเป็ดไหม
ใช่ แต่เป็นเป็ดที่เข้าใจในแต่ละสายงานอย่างลงลึกและทำไม่เหมือนคนอื่นเขาทำนะ
![](https://capitalread.co/wp-content/uploads/2023/09/BODY-WEB-W-Playrisk4-1024x683.jpg)
คุณทำทุกอย่างที่ว่ามาคนเดียว
ผมทำคนเดียวไม่ได้หรอก ไม่ใช่แค่อาชีพปัจจุบันแต่ทุกๆ อาชีพที่เล่ามา ถ้าไม่มีเพื่อน หุ้นส่วน ลูกน้องที่เก่งกาจสามารถ ดีไซเนอร์เทพๆ ทีมบริหาร ทีมส่งของ ตัวคนเดียวมันทำไม่ได้ สิ่งที่ผมทำคือการเป็นศูนย์กลางที่พร้อมจะเป็น facillitator พร้อมจะลงไปคลุกฝุ่นกับเขา ลงไปแพ็กของกับเขาได้ จนมันเกิดเป็นสัมพันธภาพที่ทำให้เราได้เรียนรู้ซึ่งกันและกันซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
ผมเชื่อในหลักขงจื๊อ ขงจื๊อให้ความสำคัญกับคำว่า ‘กตัญญู’ แต่มันไม่ใช่ความหมายที่คนทั่วไปเข้าใจนะ สำหรับผมมันคือการเห็นคุณค่าของคนรอบข้าง คนที่ช่วยงานเรา คนที่เป็นแม่บ้าน คนที่เป็น CEO คนที่เป็นอะไรก็ตาม แม้กระทั่งลูกค้าปัจจุบันของผม ผมก็ทำงานกับเขาด้วยสัมพันธภาพที่ดี
พอเราทำงานออกมาดี สัมพันธภาพกับลูกค้าและคนรอบข้างก็ดี แบบนี้มันจะเกิด word of mouth ที่เกิดจากงานที่มีคุณภาพและความคิด อย่างคุณวู้ดดี้ที่เขาเป็นคนแรกที่จ้างให้เราทำงานนี้ เขาก็ยังแนะนำลูกค้าคนอื่นให้เราอยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นงานที่ True Digital Park งานที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ หรืองานที่ KingBridge
แล้วจากการทำงาน KingBridge ครั้งนั้น เขาก็ให้เราทำอีกโปรเจกต์หนึ่งต่อเลยซึ่งก็คือ King Square
![](https://capitalread.co/wp-content/uploads/2023/09/S__10444895_0-1024x768.jpg)
![](https://capitalread.co/wp-content/uploads/2023/09/S__10444896_0-1024x768.jpg)
อายุ 60 ในงานราชการถือว่าถึงวัยเกษียณแล้ว คุณไม่คิดเรื่องเกษียณบ้างหรือ
ผมมีไอดอลเป็น มหาธีร์ โมฮัมหมัด เขาอายุ 90 ปีแล้วแต่เขายังกลับมาเป็นนายกฯ ของประเทศมาเลเซียเมื่อหลายปีก่อน คนสงสัยว่าแล้วทำไมต้องเอาคนนี้ มันไม่มีคนที่ดีกว่านี้แล้วเหรอ แต่เขาเก่งและกล้าสู้กับอเมริกามากทั้งที่ประเทศอื่นกลัว
มหาธีร์บอกว่าเคล็ดลับก็คืออย่ารีไทร์ เพราะเมื่อไหร่ที่คุณรีไทร์ คุณจะแก่
![](https://capitalread.co/wp-content/uploads/2023/09/S__10444899_0-1024x622.jpg)
ทำยังไงให้คนอื่นๆ เห็นว่าความแก่ไม่ใช่อุปสรรคและคุณยังทำงานได้ดี
คำตอบมันอยู่ที่งาน งานที่ออกมาทำให้คนไม่รู้ว่าเราแก่หรืออายุเท่าไหร่ งานมันยังทำให้คนแนะนำกันว่างานนั้นให้พี่สาธิตทำแล้วกัน งานนี้ให้พี่สาธิตทำแล้วกัน แล้วแน่นอนว่าลูกค้าเขารู้ไงว่าถ้างานมันออกมาแย่ เราอาย (หัวเราะ)
แต่ถึงเขารู้ว่าเราอายุเท่าไหร่ เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าเราแก่หง่อม ลุกก็โอย นั่งก็โอย เพราะอะไรรู้ไหม เพราะพอเราคิดว่าจะไม่รีไทร์และจะทำงานจนกว่ามันจะไม่ไหว เราก็ต้องเตรียมร่างกายให้พร้อมทำงานได้
อย่างแรกคือเราต้องอ่านหนังสือ การอ่านหนังสือมันทำให้เราไม่แก่เพราะว่าความรู้มันเข้ามาในสมองตลอด
อย่างที่สองคือ เราต้องศึกษาเรื่องสุขภาพ กินอาหารดีๆ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เราไม่สนหรอกว่าแก่ไม่แก่ไม่รู้ รู้แต่ว่าร่างกายมันต้องพร้อม แล้วถ้าคนเปิดประตูมากวักมือเรียก เราก็พร้อมทำงานให้เขาทันที
ชีวิตกับงานเป็นเรื่องเดียวกัน
ชีวิตกับงานเป็นเรื่องเดียวกัน
![](https://capitalread.co/wp-content/uploads/2023/09/BODY-WEB-W-Playrisk12-1024x683.jpg)
คุณให้ความหมายกับคำว่า ‘ชีวิต’ ในรูปแบบไหน
ชีวิตคือการทำตัวให้เป็นประโยชน์กับคนอื่น เพราะถ้าเราทำเพื่อเอาเข้าตัวเองอย่างเดียว สุดท้ายแล้วมันก็มอดไหม้เพราะเราต้องไปเบียดเบียน ตัดขากัน ต่อสู้กัน มันก็เครียด แต่ถ้าเราอยู่ในกระแสของชีวิตที่ต้องการช่วยคนอื่น ช่วยน้องๆ ช่วยลูกค้า ช่วย stakeholder คนที่มีส่วนได้ส่วนเสีย หรือชีวิตที่เน้นการร่วมมือกับคนอื่นเพื่อสร้างอะไรให้ประเทศหรือโลกใบนี้ มันก็กลับไปที่เรื่องสัมพันธภาพ
ที่พูดแบบนี้ไม่ใช่ว่าเราเป็นคนดีนะ แต่มันคือการเห็นแก่ตัวผ่านการทำเพื่อคนอื่น ให้กับโลก ให้กับประเทศ
ถ้าการรีไทร์ไม่ใช่คำตอบ รางวัลชีวิตของคุณคืออะไร
ศาสนาพุทธบอกว่างานคือการยกระดับชีวิต งานเป็นอย่างเดียวที่ใช้เรียนรู้ชีวิต เรียนรู้คน เพราะฉะนั้นการเกษียณมันโคตรเหงาเลยนะ แต่ถ้าทำงานมันก็มีรายได้ ความภูมิใจก็ตามมา เพราะเราได้เอาสิ่งที่สั่งสมมาทั้งชีวิตไปออกแบบนั่นนี่ เอาไปช่วยคน แล้วลูกค้าก็แฮปปี้ เขากลับมาหาเราอีก มันก็คือรางวัลชีวิตแล้ว
หรือแค่เราทำ sculpture ชิ้นหนึ่ง แล้วคนอยากจะซื้อไปไว้ที่บ้านก็ถือเป็นรางวัลชีวิตแล้ว แม้แต่การที่เราได้สัมพันธภาพดีๆ กลับมาจากการทำงานมันก็คือรางวัลชีวิตแล้ว
![](https://capitalread.co/wp-content/uploads/2023/09/BODY-WEB-W-Playrisk7-1024x683.jpg)