อ่านความทรงจำของ Diptyque แบรนด์น้ำหอมที่ลึกล้ำตั้งแต่ฟอนต์ จนถึงเรื่องเล่าของแต่ละกลิ่น

L’Ombre dans l’Eau มีความหมายว่าเงาที่ทาบทับลงบนสายน้ำ เป็นกลิ่นที่หวนกลับไปยังความทรงจำของสวน ใบไม้ และลูกแบล็กเบอร์รีที่อบอวลโดยมีภาพของเงาไม้ชายน้ำและหงส์ที่ว่ายน้ำอย่างสุขสบาย 

Philosykos แปลว่า มิตรสหายของต้นมะเดื่อ เป็นกลิ่นที่ใช้ทุกส่วนของต้นมะเดื่อมาสร้างเป็นกลิ่นเพื่อเก็บความทรงจำของการเดินไปยังกรีซ ดินแดนที่แบรนด์นิยามว่าเป็น ‘ประเทศของแสงเจิดจ้า และดินแดนปริศนาที่ปวงเทพยังคงมีลมหายใจ’

นั่นคือตัวอย่างและเรื่องเล่าเล็กๆ จากกลิ่นน้ำหอมของแบรนด์ดิปทีค (Diptyque) หนึ่งในแบรนด์น้ำหอมยอดนิยมที่พูดตามตรงว่าเป็นแบรนด์ที่มีความยาก ชื่อก็อ่านยาก ฉลากที่เหมือนจะอ่านได้ไม่ยากแต่ก็ต้องเพ่งอ่านหลายๆ ครั้ง

ดิปทีคเป็นแบรนด์น้ำหอมที่เต็มไปด้วยความสลับซับซ้อนที่ไม่ใช่แค่ตัวกลิ่น แต่ยังประกอบด้วยเรื่องเล่าและความทรงจำที่ถูกบรรจุไว้ในขวดน้ำหอมที่สวยงาม กลิ่นต่างๆ ของดิปทีคนั้นหอมแน่นอน แต่ถ้าเราได้ลองอ่านหรือฟังเรื่องราวของกลิ่นนั้นๆ ถ้อยคำและการเล่าเรื่องจะยิ่งทำให้เราหลับตาและถูกนำพาไปยังดินแดนอื่น ในดินแดนแห่งความทรงจำ

นี่คือเรื่องราวของดิปทีค น้ำหอมที่เริ่มต้นจากกลุ่มเพื่อนผู้เป็นศิลปินและไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการทำน้ำหอม แต่เปิดร้านขายของทางศิลปะที่ถนนแซ็ง-แฌร์แม็ง 

นอกจากตัวน้ำหอมและผลิตภัณฑ์อื่นๆ แล้ว ดิปทีคยังมีขุมทรัพย์สำคัญที่เรา ไม่ว่าจะเป็นคนรักน้ำหอมของดิปทีคหรือเป็นผู้ชื่นชอบศิลปะร่วมสมัย ดิปทีคมีนิตยสารออนไลน์ชื่อว่า memento แค่ชื่อก็รู้สึกมองเห็นภาพความทรงจำที่กระจัดกระจาย ตัวนิตยสารมีเนื้อหาหลายส่วน นอกจากการเล่าเรื่องราวของแบรนด์แล้ว บางส่วนยังเป็นเหมือนการจดบันทึกหรือข้อจดจำที่กระจัดจายซึ่งเป็นเสมือนเบื้องหลังและประสบการณ์ที่นำไปสู่ตัวตนของแบรนด์หรือของผลิตภัณฑ์เช่นกลิ่นต่างๆ ไปจนถึงที่มาของตัวอักษรที่เกี่ยวข้องกับการเข้ารหัสในยุคสงคราม

1.
ศิลปิน ศิลปะสมัยใหม่ และร้านความฝันที่ถนนแซ็ง-แฌร์แม็ง

ดิปทีคเป็นแบรนด์ที่เกิดขึ้นช่วงกลางศตวรรษที่ 20 บนถนนสายสำคัญของโลกความคิดและวงการศิลปะสมัยใหม่คือถนนแซ็ง-แฌร์แม็ง (Boulevard Saint-Germain)

ถ้านิยามง่ายๆ ถนนสายนี้ของปารีสเป็นถนนสายคนดัง คือไม่ใช่แค่แสนเก๋แต่เป็นที่ที่คนรุ่นใหม่ผู้มีความคิดใหม่ๆ ในขณะนั้นมาพบปะกัน ถนนสายนี้เป็นพื้นที่ของคนสำคัญๆ ในโลกความคิด ปรัชญาสมัยใหม่ นักเขียน ไปจนถึงศิลปิน เช่น ซีโมน เดอ โบวัวร์ และฌ็อง-ปอล ซาร์ตร์ สองนักปรัชญาคนสำคัญ ไปจนถึงปิกัสโซ่ จิตรกรเอกของโลก กระทั่งเฮมิงเวย์เองก็เป็นประชากรสำคัญของถนนสายนี้

นั่นคือบรรยากาศหลักของการเป็นพื้นที่ทางศิลปะและความคิดร่วมสมัยของปารีส และเป็นถนนสายนี้เองที่แบรนด์ดิปทีคถือกำเนิดขึ้นในปี 1961 ดิปทีคในจุดแรกสุดถูกออกแบบให้เป็นตำนานคู่กับถนนสายสำคัญโดยมีเจ้าของเป็นเพื่อนศิลปินสามคนจับมือกันเปิดร้านเป็นของตัวเอง 

ศิลปินทั้งสามนับเป็นศิลปินศิลปะสมัยใหม่ซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องกับการทำน้ำหอมเลย โดย Christiane Montadre-Gautrot เป็นนักออกแบบภายใน Yves Coueslant เป็นนักออกแบบฉากโรงละคร และ Desmond Knox-Leet เป็นจิตรกร

ร้านดิปทีคในช่วงแรกเป็นร้านที่เปิดให้ทั้งสามคนทำตามความชอบหรือความสุขของตัวเอง ช่วงแรกดิปทีคจึงขายผ้าลวดลายแปลกๆ ที่ทั้งสามเป็นผู้ออกแบบลวดลาย ขายของเกี่ยวกับศิลปะ บ้างก็จะเป็นของที่มาจากการเดินทางของทั้งสามไม่ว่าจะกลับมายุโรป อเมริกา หรือเอเชีย บรรยากาศของดิปทีคในยุคนั้นถือว่ามีความเฉพาะและมีชื่อเสียงจากความแปลกใหม่และแสนเก๋เหมาะกับถนนและผู้คน รวมถึงตัวเจ้าของร้านที่เป็นศิลปินเอง

2.
Diptyque-Diptych ศิลปะกรีกกับหน้าต่างบานคู่

ชื่อของดิปทีคมาจากศัพท์ศิลปะเฉพาะ คำว่า Diptyque เป็นคำเวอร์ชั่นฝรั่งเศสของคำว่า Diptych ที่เป็นภาษากรีก หมายถึงภาพหรืองานศิลปะที่เป็นคู่และมักจะเชื่อมติดกันอาจจะด้วยบานพับ งานศิลปะที่เป็นคู่นี้อาจเป็นภาพเขียนหรือภาพสลักที่เป็นภาพเหมือนกัน หรือเป็นคนละภาพที่อาจเกี่ยวเนื่องกันก็ได้ บานพับนี้อาจทำให้เราสามารถประกอบปิดภาพทั้งสองเข้าหากัน

ในบันทึกของแบรนด์เองก็พูดถึงการเลือกชื่อและอธิบายองค์ประกอบของศิลปะแบบคู่ที่เชื่อมติดกันนี้ว่า ลักษณะของงานดังกล่าวมีความยอกย้อนในตัวเอง คือบางครั้งภาพเขียนด้านในอาจเป็นภาพทางศาสนา การปิดภาพเข้าหากันอาจเป็นการรักษาความสงบหรือความเคร่งขรึมไว้ภายในภาพเขียนนั้น หรือในทางกลับกันอาจเป็นการซ่อนเรื่องราวต้องห้ามเช่นความลุ่มหลงในทางโลกย์เอาไว้ภายในงานศิลปะที่ประกบเข้าหากัน การปิดและเปิดได้รวมถึงปฏิสัมพันธ์ของเนื้อหาในงานจากเงื่อนไขของศิลปะกรีกที่ต่อมาได้รับความนิยมในยุคกลางนั้นจึงเต็มไปด้วยความหมายในการเลือกมาเป็นชื่อร้าน

ทีนี้ แม้ว่าแบรนด์จะอธิบายที่มาของชื่อที่มีความซับซ้อน แต่สาเหตุสำคัญจริงๆ คือคำคำนี้เป็นศัพท์เทคนิคในวงการศิลปะซึ่งเกี่ยวเนื่องกับเจ้าของทั้งสามที่เป็นศิลปิน คือเป็นคำแปลกที่ไม่แปลกสำหรับทั้งสามคน แต่เหตุผลหลักๆ อย่างหนึ่งคือตัวร้านในตอนที่เซ้งมาคือร้านที่บ้านเลขที่ 34 ถนนแซ็ง-แฌร์แม็ง หน้าร้านที่เป็นเหมือนมุมประกอบด้วยกระจกสองฝั่ง ทำให้หน้าร้านและป้ายชื่อร้านเป็นเหมือนกับหน้าต่างสองบานที่เหมือนกัน แต่แยกออกจากกัน พูดง่ายๆ คือมุมหน้าร้านในตอนนั้นเหมือนกับศิลปะแบบ diptych ที่ถูกแง้มออก

ตรงนี้เองค่อนข้างตอบกับนิยามและอุปมาของร้านเอง ที่เป็นเหมือนงานศิลปะที่แง้มเอาไว้ ผู้มาเยือนสามารถเข้าสู่ดินแดนพิเศษนั้นได้ ประกอบกับทางแบรนด์บันทึกไว้ว่าชื่อเองมีความยากและเฉพาะ เจ้าของทั้งสามเห็นว่าน่าจะทำให้ผู้คนอยากรู้อยากเห็น มีความเป็นนานาชาติ ด้วยชื่อนี้น่าจะให้บรรยากาศและพาผู้คนมายังร้านแปลกประหลาดนี้ได้

3.
เทียนหอมชุดแรก งานศิลปะของภาพและกลิ่น

ปี 1963 หลังจากเปิดร้านมาได้สองปี ร้านดิปทีคก็มาถึงจุดเริ่มของการเป็นดินแดนของเครื่องหอม 

ในปีนั้นดิปทีคเริ่มผลิตเทียนหอมออกจำหน่าย การเลือกทำเทียนหอมก็เป็นจุดบรรจบหลายๆ ด้านทั้งความต้องการที่จะให้เทียนเป็นกลิ่นหรือบรรยากาศที่เข้ากับลวดลายของผ้าที่ทั้งสามออกแบบ ตรงนี้สัมพันธ์กับบริบทที่หุ้นส่วนเชี่ยวชาญในการออกแบบฉากของโรงละคร ทั้งเทียนหอมที่ว่าจะเป็นเทียนที่มีสี ตัวเทียนนี้จึงมีความเป็นศิลปะที่ผสมผสานในเชิงการมองเห็นและกลิ่นเข้าด้วยกัน

หนึ่งในจุดเด่นสำคัญนอกจากกลิ่น คือการออกแบบตรารูปวงรีที่ออกแบบโดยเดสมอนด์ โดยวงรีเป็นรูปทรงที่ได้แรงบันดาลใจจากศิลปะบนโล่ของนักรบในสมัยโรมันโบราณ ตรานี้เป็นลายที่ทางดิปทีคออกแบบลงบนลายผ้าในช่วงแรก ในช่วงนั้นเดสมอนด์ได้นำชื่อของเทียนกลิ่นต่างๆ วางลงในตรารูปวงรีหรือทรงไข่นี้

เทียนหอมชุดแรกสุดของดิปทีคผลิตออกมา 3 กลิ่นคือ ชา ฮอว์ทอร์น และซินนามอน โดยแบรนด์ใช้วัตถุดิบคุณภาพสูงมาผลิตเทียน ซึ่งมีสถานะไม่ต่างกับงานฝีมือ ทางแบรนด์อธิบายว่าเทียนหอมนอกจากจะใช้วัสดุและวัตถุดิบอย่างดีเยี่ยม และการปรับเพื่อให้การเผาไหม้ที่สมบูรณ์แล้ว ตัวเทียนใช้เวลาทำสองวัน มีขั้นตอนย่อย 8 ขั้นตอนที่เกือบทั้งหมดทำด้วยมือ

4.
น้ำหอมตระกูล ‘น้ำ’ และร่องรอยยุคสมัยในน้ำหอม

แม้ว่าดิปทีคจะเริ่มขายเทียนหอมในปี 1963 อันที่จริงตัวร้านของดิปทีคเองตั้งแต่แรกเริ่มก็มีสินค้าที่เกี่ยวกับเครื่องหอม โดยเฉพาะน้ำหอมอังกฤษที่ในบันทึกระบุว่าอาจเป็นร้านเดียวของฝรั่งเศสที่มีน้ำหอมและเครื่องหอมของอังกฤษขาย

หนึ่งในสินค้าเครื่องหอมที่ขายในร้านคือก้อนเครื่องหอมหรือ pomander เป็นลูกบอลที่ทำขึ้นจากส่วนผสมที่ให้กลิ่นหอม สมัยก่อนผู้คนจะพกไว้เพื่อให้กลิ่นหอมหรือกระทั่งช่วยดับกลิ่นหรือป้องกันเชื้อโรค ตัวก้อนหอมนี้มักทำขึ้นจากอ้วกหรือสเปิร์มวาฬและนำไปผสมกับเครื่องหอมอื่นๆ กลิ่นสำคัญของก้อนหอมนี้เป็นกลิ่นของผลส้มแห้งผสมกับกานพลูจากอินโดนีเซีย ในช่วงศตวรรษที่ 16 ลูกบอลหอมหรือผลหอมเริ่มถูกใช้ในเครื่องหอมเพื่อสร้างกลิ่นในห้องหรือบ้านเรือน เป็นการผสมส่วนผสมจากพืชเข้ากับเครื่องหอมต่างๆ คือผลไม้ตระกูลส้มและเครื่องเทศ เช่นพริกไทยและกานพลู

ทีนี้ในตอนที่เดสมอนด์กำลังทดลองปรุงกลิ่นหอมสำหรับเทียนชุดแรก เดสมอนด์พบว่าตัวเองได้ทำก้อนเครื่องหอมขึ้นมา โดยก้อนเครื่องหอมได้แรงบันดาลใจมาจากตำรับก้อนหอมโบราณจากศตวรรษที่ 16 ของอังกฤษ เป็นกลิ่นหอมที่ประกอบด้วยกลิ่นของซินนามอน กุหลาบ กานพลู เจอเรเนียม และไม้จันทน์ (sandalwood)

จากการทดลองทำก้อนหอมแบบโบราณ กลิ่นของก้อนหอมที่ลองทำขึ้นก็หอมจนเจ้าตัวเองยังตะลึงและเกิดเป็นความคิดว่าจะนำเอาส่วมผสมเข้มข้นที่ทดลองทำขึ้นมาจากสูตรก้อนหอม (ตอนนั้นทำเป็น paste) ด้วยการนำเอาสารเข้มข้นนั้นไปละลายในแอลกอฮอล์ให้กลายเป็นน้ำหอม จากก้อนหอม ความบังเอิญในการทดลองเพื่อทำวัตถุดิบเทียนหอม ตำรับโบราณและมรดกจากอังกฤษ (เดสมอนด์เองมีเชื้อสายไอริช) และนี่เองคือจุดเริ่มต้นของน้ำหอมที่สุดท้ายได้ชื่อว่า น้ำ หรือ L’Eau ซึ่งเป็นน้ำหอมกลิ่นแรกของดิปทีค วางขายในปี 1968

ประเด็นเรื่องการตั้งชื่อกลิ่นว่า น้ำ หรือ L’Eau ในที่นี้มีนัยลึกซึ้งและสอดคล้องกับตลาดและความนิยมน้ำหอม รวมถึงปรัชญาของแบรนด์ด้วย อย่างแรกเลย L’Eau น้ำหอมกลิ่นแรกเป็นน้ำหอมประเภท eau de toilette ในสมัยนั้นกลิ่นน้ำหอมที่ประกอบด้วยเครื่องเทศยังไม่เป็นที่นิยม ชื่อที่หมายความว่ากลิ่นของน้ำเป็นตัวแทนของความแปลกประหลาด และการที่กลิ่นจะพาผู้คนไปยังทั้งดินแดนใหม่ หรือกระทั่งก้าวไปสู่ในดินแดนของความทรงจำ

ในด้านหนึ่งน้ำหอมประเภท eau de toilette ที่มีความเจือจางใช้ง่ายกว่าน้ำหอมประเภท parfum รวมถึงการผสมเครื่องเทศลงไปนั้นก็ทำให้น้ำหอม L’Eau ของดิปทีคเป็นน้ำหอมแบบไร้เพศคือใช้ได้ทั้งชายและหญิง โดยกลิ่นหลังจากนั้นของดิปทีคเองในปัจจุบันจึงอาจจะงอกเงยจากรากฐานนี้ คือการเป็นกลิ่นของคนทุกเพศ และเป็นกลิ่นที่พาเราไปยังทุกหนแห่งทั้งในเชิงพื้นที่และเวลา

มาถึงตรงนี้จึงไม่แปลกที่ชื่อและแนวคิดของน้ำหอมดิปทีคจะมีคำว่าน้ำอยู่ในชื่อ และที่ล้ำลึกกว่านั้นคือดิปทีคตั้งใจตั้งชื่อน้ำหอมกลิ่นแรกว่าน้ำซึ่งออกเสียงว่า ‘อูร์’ เสียงนี้เป็นเสียงเดียวกับพยัญชนะตัว o ซึ่งออกเสียงใกล้เคียงกัน ดังนั้นชื่อกลิ่นเกือบทั้งหมดของดิปทีคจะมีตัว o สะกดโดยเน้นที่ตัว o นั้นเสมอเช่น Olène, L’Ombre dans l’Eau, Tam Dao, Do Son, Ofrésia, Philosykos โดยตัว O มีนัยของความเต็ม วงกลมที่บรรจบในตัวเอง เป็นตัวแทนของความลื่นไหลและมีนัยของความสนุกสนานขี้เล่น ซึ่งเราเองก็จะจดจำชื่อได้ในเสียงอูร์หรือโอ จากทั้งรูปและเสียงของน้ำหอมกลิ่นต่างๆ ของแบรนด์ได้ในที่สุด

เรื่องราวการสร้างน้ำหอมและเทียนหอมของดิปทีคทำให้เราเห็นบางร่องรอยเช่นการมาถึงของโลกตะวันออก การเริ่มผสมผสานกลิ่นเครื่องเทศ ไปจนถึงการขยายความหมายและผู้ใช้งานน้ำหอมที่เริ่มมีความหลากหลายมากขึ้น มีประเด็นเรื่องการเดินทางไปทั่วโลก การแลกเปลี่ยนวัตถุดิบและวัฒนธรรม ไปจนถึงการปรับมรดกบางอย่างเช่นการปรุงก้อนน้ำหอมสู่การเจือจางไปสู่น้ำหอมอย่างที่เรารู้จักในปัจจุบัน

5. 
ว่าด้วยสมาคมกอล์ฟ ชีส และหมากรุก

อันที่จริงผู้ก่อตั้งทั้งสามของดิปทีคล้วนมีความสามารถและมีบทบาทต่อแบรนด์ในหลายๆ แง่ แต่หลังจากที่เราพูดเรื่องฉลาก ไปจนถึงการปรุงน้ำหอม ชื่อสำคัญที่ถูกพูดถึงบ่อยคือเดสมอนด์ โดยเดสมอนด์นับเป็นอีกหนึ่งศิลปินมหัศจรรย์ เป็นแกนหลักที่คิดและปรุงเทียนหอมไปจนถึงกลิ่นเข้มข้นที่กลายเป็นหัวเชื้อของน้ำหอมกลิ่นแรก รวมถึงเป็นผู้ออกแบบหน้าตาของฉลาก กลุ่มตัวอักษร แถมยังเป็นคนวาดภาพที่ประกอบอยู่บนขวดด้วย

หนึ่งในจุดเด่นที่สุดของขวดหรือความเป็นแบรนด์ของน้ำหอมดิปทีค แน่นอนว่าคือกลุ่มตัวอักษรที่วางเรียงกันเป็นชื่อของน้ำหอมขวดนั้นๆ นอกจากสไตล์ที่แสนสวยด้วยตัวอักษรที่เขียนด้วยหมึก แต่จุดสำคัญของตัวอักษรบนฉลากคือเจ้ากลุ่มอักษรนี้มันเหมือนจะอ่านเข้าใจได้แต่ก็ไม่เข้าใจ เป็นกลุ่มตัวอักษรที่สับสนหยุ่งเหยิง ต้องตั้งใจอ่านหรือพยายามถอดรหัสก่อนถึงจะอ๋อว่ามันคือชื่อนี้ ตรงนี้เป็นจุดเด่นมากๆ และเป็นผลงานที่มีความมหัศจรรย์ล้ำลึกเกี่ยวกับชีวิตของเดสมอนด์เอง และเกี่ยวกระทั่งการเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยราชการลับที่ทำหน้าที่เข้ารหัสและถอดรหัสให้กับประเทศในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กันเลยทีเดียว

เริ่มที่อาการอ่านยาก นับเป็นความขี้เล่นของแบรนด์รวมถึงสไตล์ที่แสบแต่ก็เวรี่ศิลปิน คือตั้งใจให้อ่านยาก โดยเดสมอนด์ผู้ออกแบบการวางตัวอักษรเอามาจากสมัยที่เคยถูกจ้างเข้าเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยลับของรัฐบาลอังกฤษเป็นทำนองหน่วยข่าวกรองที่เน้นทำหน้าที่ไขและเข้ารหัสลับเพื่อการสื่อสารในช่วงสงคราม คือในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อังกฤษได้ตั้งหน่วยที่ชื่อว่า Government Code and Cypher School (GC&CS) คือเป็นโรงเรียนและศูนย์ฝึกที่ทำงานตามชื่อคือเข้าและไขรหัส เป้าหมายสำคัญคือการนำเอารหัสและระบบสื่อสารของเยอรมันมาไขเพื่อประโยชน์ทางสงคราม ตัวโรงเรียนนี้เป็นความลับของรัฐบาลและไม่มีการเปิดเผยจนกระทั่งในปี 1974 รัฐบาลถึงเปิดเผยการมีอยู่ของหน่วยพิเศษนี้ อันที่จริงหน่วยนี้เป็นหน่วยหลักของฝ่ายสัมพันธมิตรในการไขรหัสในช่วงสงครามเลย 

หน่วยลับพิเศษนี้ก่อตั้งขึ้นในบ้านที่สวน Bletchley Park การคัดเลือกคนเข้ามาช่วยไขรหัส ทางการอังกฤษทำการเลือกคนเก่งๆ ที่ไม่ได้เก่งธรรมดา แต่แปลกและมีความสามารถโดดเด่นจากอาชีพที่หลากหลายเช่นนักภาษาศาสตร์ นักเล่นครอสเวิร์ดมืออาชีพ และนักเล่นหมากรุก ดังนั้นจากชื่อย่อ GC&CS ด้วยความที่เป็นหน่วยลับรวมถึงเป็นหน่วยที่รวมนักกีฬาเกมกระดานไว้ ศูนย์แห่งนี้ก็เลยมีชื่อเล่นลับๆ ว่า เป็นสมาคมกอล์ฟ ชีส และหมากรุก (The Golf, Cheese and Chess Society) และแน่นอนว่าเดสมอนด์เข้าไปรับหน้าที่เป็นล่ามและทำงานที่นั่นจนสิ้นสุดสงคราม

สำหรับคลับหรือหน่วยลับนี้ เชื่อกันว่าเดสมอนด์ได้พบกับอลัน ทัวริ่ง บิดาแห่งคอมพิวเตอร์ และเป็นคนที่สร้างระบบที่สามารถไขระบบรหัสของเยอรมันได้ ในบันทึกของดิปทีคเองได้พูดถึงความสำคัญของความลับในการทำงานที่หน่วยนั้น และที่ย้อนแย้งที่สุดคืออลัน ทัวริ่ง ถูกตัดสินจากพฤติกรรมของการเป็นเกย์ เข้ารับการรักษาด้วยการตอนด้วยสารเคมีก่อนจะถูกประหารชีวิต ดังนั้นความลับจึงเป็นเรื่องความเป็นความตาย และเสน่ห์รวมถึงการรำลึกในหน่วยลับอันแปลกประหลาดนี้ การรักษาความประหลาดเข้าใจยากจึงเป็นหัวใจและการรำลึกถึงทัวริ่งและการทำงานเบื้องหลังในสงครามด้วย 

การวางอักษรของดิปทีคคือการเลือกใช้ตัวอักษรที่เหมือนเต้นรำมีที่มาอย่างล้ำลึกและสัมพันธ์กับทั้งชัยชนะและโศกนาฏกรรมในสถานที่อันเป็นปูมหลังและรำลึกถึงมิตรสหายของผู้ออกแบบและของมนุษยชาติ

6.
Memento ชิ้นส่วนของตัวตน

ดิปทีคเป็นแบรนด์ที่เต็มไปด้วยเรื่องราว และเล่าเรื่องราวกลิ่นของตัวเองได้เก่งมาก ส่วนหนึ่งอาจมาจากรากฐานของศิลปะรวมถึงงานเขียนสมัยใหม่ที่มีอิทธิพลต่อแบรนด์ และต่อบรรยากาศของแบรนด์ตั้งแต่ยุคก่อตั้ง ดังกล่าวว่ากลิ่นของดิปทีคส่วนใหญ่คือการพาเราไปยังที่ต่างๆ โดยเฉพาะการพากลับไปยังความทรงจำบางอย่างที่ถูกบันทึกไว้ทั้งในรูปแบบของกลิ่น ของชื่อน้ำหอม ไปจนถึงในภาพวาดบนขวด

นอกจากเรื่องของแบรนด์ที่เล่าผ่านร้านค้าหรือคำอธิบายต่างๆ แล้ว ดิปทีคยังมีเหมือนนิตยสาร ซึ่งไม่เชิงเป็นนิตยสารเสียทีเดียว เป็นสิ่งที่แบรนด์เรียกว่า memento ซึ่งตัวมันเองเป็นเหมือนข้อเขียนและบันทึกที่ถูกเขียนเพื่อให้คนอ่าน และบางส่วนก็เป็นเหมือนการเอาอะไรหลายๆ อย่างที่เจอมาหรือเป็นแรงบันดาลใจมาเก็บไว้ 

เมเมนโต้นี้ค่อนข้างกระจัดกระจาย มีแบ่งคอลัมน์ใหญ่ๆ ไว้สามส่วนคือ Shadow of scents เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับกลิ่นที่สร้างขึ้น, Crossed-paths เป็นเหมือนภาพของผู้คน ของศิลปิน หรือใครก็ตามที่ได้มาเจอกัน ส่วนสุดท้ายคือ Along the way เป็นพื้นที่อิสระที่ดิปทีคจะเอาอะไรสารพัดมาใส่ไว้ซึ่งจะสะท้อนถึงรสนิยม แรงบันดาลใจ ไปจนถึงอดีตที่มีผลกับผลงาน 

สำหรับส่วนสุดท้ายคือ Along the way มหัศจรรย์และสะท้อนความลึกซึ้งหลากหลายของแบรนด์ได้อย่างมากมาย คือมันเป็นเหมือนที่ที่เราได้แอบดูว่าเขาอ่านอะไร สนใจอะไร ซึ่งในนั้นมีสารพัดอย่าง เป็นเหมือนเมเมนโต้จริงๆ ทั้งในส่วน Along the way ที่เหมือนหมุดเก็บความจำ การตัดแปะสิ่งต่างๆ เราจะได้เจอข้อเขียนทางปรัชญายากๆ เช่น งานของวอลเตอร์ เบนยามิน ไปจนถึงนิทาน ตำนาน สารพัดเรื่องเล่า ข้อเขียนเกี่ยวกับภาพเขียน ภาพถ่าย บันทึก ทำให้เราเห็นว่านี่คือแบรนด์แบบฝรั่งเศส นี่คือแบรนด์ของศิลปิน นี่คือสิ่งที่เขาอ่าน ที่เขาสนใจ รวมถึงเซกชั่นอื่นๆ ก็เป็นเมเมนโต้จริงๆ เป็นข้อเขียนที่เขียนขึ้นเพื่ออธิบายตัวเอง ไปจนถึงภาพของผู้คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต

ในบันทึกเหล่านี้ อย่างที่บอกว่าค่อนข้างกระจัดกระจาย เซกชั่นต่างๆ ไม่ได้เป็นระเบียบขนาดนั้น แต่การไปขุดดูเป็นเรื่องที่สนุกมาก ข้อมูลส่วนใหญ่ที่นำมาเขียนก็มาจากข้อเขียนและบันทึกของแบรนด์ในเมเมนโต้นั้น ในหลายๆ ส่วน แบรนด์ดิปทีคทั้งตัวเรื่องเล่าของแบรนด์และแรงบันดาลใจของกลิ่นนั้นค่อนข้างว่าด้วยความทรงจำและตัวตนเป็นสำคัญ อีกอย่างคือศิลปะโดยเฉพาะข้อเขียนและวรรณกรรมสมัยใหม่ทั้งหลาย

7.
เงาที่ทาบบนสายน้ำ เหตุผลของภาพหงส์ของกลิ่น L’Ombre 

หนึ่งในความสวยงามที่ถูกเขียนไว้ในเมเมนโต้ คือการเขียนถึงกลิ่นและที่มาต่างๆ เช่นเรื่องน้ำหอมกลิ่น L’Eau และการอธิบายเรื่องตัว o และที่สำคัญคือการอธิบายที่มาของกลิ่น เช่นกลิ่นซิกเนเจอร์คือ L’Ombre dans l’Eau วิธีการเล่าเรื่องหรือแรงบันดาลใจของกลิ่นนี้ที่ผู้สร้างอธิบายมีความเป็นวรรณกรรมที่ไม่เชิงว่าเยอะ คือไม่ได้อธิบายแบบเว่อร์วัง แต่มันคือการให้ภาพที่เหมือนกับงานเขียนสมัยใหม่เช่นงานแบบสัจนิยม 

L’Ombre dans l’Eau ในเมเมนโต้อธิบายไว้ยาวมาก คือหลายย่อหน้า ชื่อของกลิ่นนี้คือเงาที่ทาบอยู่บนผิวน้ำ อะไรคือการตั้งชื่อน้ำหอมว่ากลิ่นเงา แค่นี้ก็มหัศจรรย์แล้ว ข้อเขียนในบันทึกอธิบายว่ากลิ่นนี้มาจากภาพความทรงจำธรรมดาๆ ของกลุ่มเพื่อนที่มาเจอกัน คุยกัน ขีดเขียนสิ่งต่างๆ ลงบนกระดาษหรือเล่นบิงโก กลิ่นเงาที่ว่าถ้าเราไปดมหน้าร้านจะมีความงงนิดนึงเพราะเขาจะบอกว่าเป็นกลิ่นแบล็กเคอร์แรนต์ ซึ่งมันน่าจะเป็นกลิ่นแนวผลไม้

จุดเริ่มของกลิ่นนี้เริ่มจากเพื่อนคนหนึ่งที่บังเอิญไปเจอลมตีเข้าขณะอยู่ในสวนและได้กลิ่นผสมกันของแบล็กเคอร์แรนต์ เลยเอามาเล่าให้ Christiane Montadre-Gautrot หนึ่งในผู้ก่อตั้งดิปทีคฟัง พอได้ฟังเรื่องการผสมกันของสองกลิ่น เจ้ากลิ่นของกุหลาบและแบล็กเคอร์แรนต์พาเธอกลับไปยังความทรงจำวัยเด็ก เธอนึกไปถึงบ่ายวันหนึ่งในสวนป่าที่พระราชวังฟงแตนโบล (Fontainebleau) 

ในเมเมนโต้เขียนเล่าไว้ว่าภาพนั้นเป็นภาพของต้นผลไม้หลากชนิด โดยเฉพาะพวกเบอร์รีต่างๆ ป่าที่มีสายน้ำไหลเอื่อยๆ ขนาบไปด้วยแปลงผักไม้พุ่มและทิวของดอกไม้นานาชนิด ภาพความทรงจำที่ชัดเจนขึ้นจากการผสมกันของผลไม้และดอกไม้ให้พาเธอกลับไปยังสวนอันเงียบสงบแต่อบอวลด้วยกลิ่นอันสดใส จากทิวป่า แนวหญ้า ไปจนถึงสายน้ำลำธาร ภาพความทรงจำชัดเจนไปจนถึงว่าพื้นท่ีด้านล่างของสวนที่มีคุ้งน้ำ ที่แห่งนั้นคือที่ที่กลิ่นของผลไม้และดอกไม้ที่อบอวลจากแรงลมปะทะเข้ากับคุ้งน้ำ กลิ่นสดชื่นของน้ำและมอสอบอวลโดยมีภาพของผิวน้ำที่ไหวอย่างเป็นวงรอบ ที่ผิวน้ำนั้นเองมีหงส์ตัวหนึ่งเคลื่อนตัวอย่างเงียบเชียบและสง่างาม 

คำว่าเงาที่ทาบบนผิวน้ำจึงหมายถึงภาพนี้เอง ภาพของเงาที่สายน้ำกระเพื่อมไปตามแรงลม ภาพของหงส์ที่ล่องลอยบนผิวน้ำอย่างไม่อินังขังขอบ จากจุดเริ่มของกลิ่นที่เรียบง่ายอย่างแบล็กเคอร์แรนต์และกุหลาบ นำไปสู่ภาพความทรงจำที่เรียบง่ายแต่ซับซ้อน ถ้าเราลองดมและนึกภาพซึ่งเดสมอนด์วาดภาพหงส์และเงาน้ำไว้ เราเองก็อาจจะพอได้กลิ่นเขียวๆ ของใบไม้ กลิ่นสดชื่นของผิวน้ำ ไปจนถึงกลิ่นอ่อนๆ ของทั้งผลแบล็กเคอร์แรนต์และดอกไม้อื่นๆ เหมือนกับว่าเราได้ไปยืนอยู่ที่ชายน้ำและกำลังมองเงาที่อยู่บนผิวน้ำในวันสบายๆ สักวันหนึ่ง

วิธีการเล่า การพรรณนาภาพความทรงจำ จากกลิ่นรส การพบเจอ ไปจนถึงให้ภาพที่เหมือนกับพาเราไปยังสวนในความทรงจำเดียวกัน ทำให้เราแทบจะจินตนาการได้แม้ว่าอาจจะไม่มีความทรงจำที่ฟงแตนโบลหรือกระทั่งความทรงจำในสวนฤดูร้อนของยุโรป แต่ภาพท้องน้ำ ยิ่งถ้าได้ดมกลิ่นน้ำหอมกลิ่นนั้นไปด้วย มองภาพบนขวดไปด้วย ทั้งหมดนี้แทบจะพาเราคนไทยท่องไปยังดินแดนเดียวกันของสวนในหน้าร้อนเดียวกันได้ นี่คือพลังและน่าจะเป็นการเขียนที่ได้อิทธิพลจากวรรณกรรมอันเป็นงานเขียนร่วมยุคและร่วมพื้นที่กับร้านดิปทีค การเล่าภาพสามัญที่เรียบง่ายอย่างซับซ้อน การค่อยๆ ให้ภาพ ให้กลิ่น ให้ความรู้สึกที่พาเราไปยังดินแดนและห้วงเวลาอื่นได้

สุดท้ายเมื่ออ่านเรื่องราวทั้งหมด ดิปทีคนับเป็นอีกแบรนด์ที่แข็งแรงทั้งด้วยบริบทที่เชื่อมโยงกับศิลปะหลายแขนงของศิลปะสมัยใหม่ ความรุ่มรวยของแบรนด์เองที่มาจากศิลปินทั้งสาม เรื่องราวซับซ้อนที่สัมพันธ์ทั้งบริบททางประวัติศาสตร์ การรับมรดกและการผสมผสานเข้ากับสิ่งอื่นๆ เช่นบริบทยุคศตวรรษที่ 20 ของยุโรปที่เปิดรับโลกตะวันออก การเดินทางและเปลี่ยนจากพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลก ไปจนถึงการเริ่มเห็นภาพความหลากหลายเช่นการเปิดตัวน้ำหอมสู่น้ำหอมที่ไม่จำกัดเพศ ไปจนถึงการรำลึกถึงวีรบุรุษที่เคยเป็นเหยื่อจากความไม่หลากหลายของสังคม

อ้างอิง

 ‘นิราลัย’ แบรนด์รับจัดดอกไม้งานศพที่สร้างสรวงสวรรค์จำลองเพื่อให้เกียรติผู้วายชนม์

เพราะเป็นคนไม่ชอบเรื่องเศร้า ตอนเด็กๆ ฉันมักจะอิดออดเมื่อครอบครัวชวนไปงานศพ

สำหรับฉัน งานศพคือความหดหู่ ภาพคนปาดน้ำตา เสียงร้องไห้ และบรรยากาศน่าขนลุก แม้กระทั่งเติบโตขึ้นมาแล้วเข้าใจว่าการจากลาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ฉันก็ยังไม่ชอบไปงานศพอยู่ดี

จนกระทั่งได้รู้จัก นิราลัย แบรนด์รับจัดดอกไม้ที่เปลี่ยนภาพจำของงานศพที่ฉันเคยมี ถึงจะไม่ได้ทำให้ฉันอยากไปงานศพมากขึ้น (ใครจะอยากล่ะ) แต่พวกเขาก็ทำให้งานศพดูเศร้าน้อยลงกว่าที่เคย 

นั่นก็เพราะนิราลัยไม่ได้จัดดอกไม้ตกแต่งเพื่อไปวางเป็นพร็อพประดับงานเฉยๆ แต่ยังตั้งใจสร้างสวนดอกไม้ที่เป็นดั่งสวรรค์ของผู้วายชนม์ เพื่อแสดงความรัก เคารพ และสดุดีจากคนที่ยังอยู่ ให้สมกับที่เป็นการบอกลาครั้งสุดท้ายของพวกเขา

หลายคนอาจรู้จักนิราลัยจากโพสต์สุดไวรัลบนเฟซบุ๊กที่เป็นงานฌาปนกิจของคุณประหยัด บุญสูง ซึ่งพวกเขาเปลี่ยนถนนทางเข้าวัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหารให้กลายเป็นอุโมงค์สวนดอกไม้ไฮเดรนเยียบานสะพรั่ง เมื่อเดินเข้าไปสุดทางจะพบกับเมรุ ระหว่างพิธีการมีการแสดงร่ายรำ คล้ายเป็นการส่งผู้วายชนม์สู่สรวงสวรรค์จริงๆ

ในแง่มุมธุรกิจ นิราลัยไม่ใช่ผู้เล่นใหม่ในวงการ โจ้–ชยวัสส์ ปัญจภักดี ผู้ก่อตั้งแบรนด์เติบโตจากการจัดดอกไม้งานแต่งงาน มีบริษัทในเครือให้บริการงานจัดดอกไม้อย่างหลากหลาย ทั้ง Rainforest The Wedding ออร์แกไนเซอร์และบริการจัดดอกไม้งานแต่งที่คนดังหลายคนเลือกใช้, Bellery Glasshouse ออร์แกไนเซอร์แนวคราฟต์เวดดิ้ง, Fleur by Rainforest บริการจัดดอกไม้ที่ราคาย่อมเยาลงมา, Rain by Rain บริการให้เช่าสิ่งละอันพันละน้อยในงานแต่ง, RakDok บริการจัดดอกไม้สำหรับงานอีเวนต์ และล่าสุดคือบริการจัดดอกไม้งานศพอย่างนิราลัย

จากคนจัดดอกไม้งานแต่งต่อยอดมาสู่ดอกไม้งานศพได้ยังไง และความเชื่อแบบไหนที่อยู่เบื้องหลังแบรนด์นิราลัย คุณโจ้พร้อมให้คำตอบกับฉันแล้ว

คุณว่างานศพเป็นงานของผู้วายชนม์หรืองานของคนที่ยังอยู่

งานศพเป็นงานของทั้งสองฝ่าย ในมุมของผู้วายชนม์ งานศพทำให้เรารู้ว่าเขาคือใคร ทำอะไรมาบ้าง ยิ่งเป็นคนดูแลเรื่องการตกแต่งงานผมก็จะมีคำถามว่าทำไมครอบครัวถึงต้องจัดงานให้เขาขนาดนี้ เพราะมีงานศพ เราจึงไม่แปลกใจว่าทำไมครอบครัวถึงรักผู้วายชนม์ขนาดนี้

ขณะเดียวกัน ในมุมของคนที่ยังอยู่ ผมคิดว่างานศพคือการแสดงให้แขกที่มาได้เห็นว่าคนที่ยังอยู่ตั้งใจทำอะไรให้ผู้วายชนม์ มากกว่านั้นการตกแต่งหรือจัดดอกไม้แบบที่เราทำ ยังทำให้เขาเห็นว่าถึงการมางานศพจะเป็นเรื่องเศร้าเสียใจ แต่เราสามารถใช้ดอกไม้และการตกแต่งลดความอึมครึมของบรรยากาศลงได้

ดอกไม้งานศพเป็นสิ่งที่ตีความได้หลายความหมาย บางคนตีความว่าเป็นการให้เกียรติ บางคนคือการบอกลา แล้วคุณนิยามดอกไม้งานศพไว้แบบไหน

จริงๆ ผมว่านิยามดอกไม้ต่างๆ ที่ใช้จัดในงานศพมีความหมายที่ไม่ได้หนีจากงานมงคลเท่าไหร่ สุดท้ายแล้วดอกไม้คือสิ่งที่ช่วยเพิ่มพลังบวกให้กับผู้ที่ได้พบเห็น สมมติว่าเราเศร้าอยู่แล้วได้ดอกไม้สักช่อจากใครสักคน เราอาจรู้สึกดีขึ้น เช่นเดียวกับดอกไม้งานศพที่เพิ่มความสุข สีสัน และความสดชื่นเล็กๆ น้อยๆ ให้กับบรรยากาศในงาน

ย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นของแบรนด์ รู้มาว่า นิราลัย เริ่มต้นจากโจทย์ของลูกค้าคนหนึ่งที่อยากจัดงานศพที่ไม่เศร้า

ใช่ แรกเริ่มนิราลัยเปิดขึ้นมาเป็นเพจเฉพาะกิจ ก่อนหน้านั้นผมเคยทำ Rainforest The Wedding แบรนด์ออร์แกไนเซอร์และจัดดอกไม้งานแต่งงาน วันหนึ่งมีลูกค้าติดต่อมาว่าอยากจัดงานฌาปนกิจให้คุณแม่ เขาเลยเรียกผมเข้าไปคุยเรื่องการตกแต่งดอกไม้

เมื่อคนที่เรารักจากไป เราก็อยากให้เขาไปสวรรค์ คุณไก่เลยอยากให้เราจัด ‘สวรรค์’ ให้คนที่เขารัก นี่จึงเป็นคอนเซปต์ที่เรามีมาตั้งแต่แรก บวกกับลูกค้าหลายคนรู้สึกเศร้า บางคนก็กลัวการเข้าวัดด้วยบรรยากาศงานศพที่จัดที่วัดมักจะวังเวง เขาเลยอยากให้เราไปช่วยจัดดอกไม้เพื่อให้แขกที่มาร่วมงานรู้สึกดีขึ้น

เราทำงานนี้ให้เขาแล้วรู้สึกว่าอยากเก็บงานลงพอร์ตแต่จะไปโพสต์ในเพจงานแต่งก็กระไรอยู่ ตอนนั้นเลยจัดตั้งเพจเฉพาะกิจขึ้นมาไว้สำหรับโพสต์ผลงานจัดและตกแต่งดอกไม้งานศพโดยเฉพาะ

ธรรมชาติการจัดดอกไม้ของงานศพแตกต่างจากงานแต่งงานไหม

สำหรับผมมันไม่ได้ต่างกันหรอก เพราะทุกงานต่างต้องออกแบบให้ตอบโจทย์กับงาน จะต่างกันก็ในแง่ของการใช้งาน ความเชื่อ ข้อกำหนด สิ่งที่ทำได้และทำไม่ได้ในแต่ละวัฒนธรรม ประเพณีของแต่ละครอบครัว

พูดตามตรง ผมไม่เคยอ่านประวัติการจัดดอกไม้หน้าศพเลยว่ามีความเป็นมายังไง รู้แค่ว่าสมัยก่อนเขาใช้ดอกซ่อนกลิ่นเพราะกลิ่นแรง มันจะได้มากลบกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ในงาน ผมรู้เท่านั้น และถ้าผมต้องจัดดอกไม้ในงานใดงานหนึ่ง ผมก็แค่ต้องจัดให้สวยโดยไม่ขัดกับธรรมเนียมปฏิบัติของครอบครัวนั้นๆ

มีบทเรียนไหนจาก Rainforest The Wedding ที่คุณนำมาปรับใช้กับนิราลัยไหม

ไม่ว่าจะเป็นงานแต่ง งานศพ หรืองานใดๆ ก็ตาม โดยพื้นฐานเราต้องรู้จุดประสงค์ของการจัดงาน ไม่ใช่แค่จัดดอกไม้เข้าไปในงาน แต่คือการตีความว่าเจ้าของงานเขาอยากให้มีดอกไม้เหล่านี้เพราะอะไร 

สำหรับคนส่วนใหญ่ งานแต่งคือความฝัน  เราจึงออกแบบเพื่อความสุขและทำให้คนที่มางานมีเอนเกจกับงาน ทำให้แขกรู้สึกว่าจัดสวย ประทับใจ อยากถ่ายรูป งานศพก็เช่นกัน ลูกค้าของผมเขาต้องการให้แขกได้อยู่ในบรรยากาศที่ไม่หดหู่เกินไป นี่คือความต้องการเบื้องต้น

ที่สำคัญดอกไม้งานศพไม่จำเป็นต้องเป็นสีขาวเสมอไป อย่างงานหนึ่งที่เพิ่งจัดไป ลูกค้าบอกว่าผู้วายชนม์ชอบดอกไม้สีสันสดใส งานนี้ขอสีแดง สีบานเย็น สีชมพู เราก็ทำตามโจทย์เขา

กลุ่มลูกค้าของนิราลัยคือใคร

มีทุกกลุ่ม ส่วนมากเป็นฐานลูกค้าจากงานแต่งและคนที่เขาเห็นผลงานในเพจแล้วสนใจ เคยมีคนมาพรีออร์เดอร์ด้วย (หัวเราะ) คือเคยมีคนโทรมาแล้วถามว่า คุณโจ้ครับ เจ้านายให้ถามว่าถ้าวันหนึ่งเจ้านายจะตาย เขาต้องเตรียมเงินเท่าไหร่ถึงจะได้งานแบบนี้ แต่มันก็ทีเล่นทีจริงแหละ

ทั้งๆ ที่ดอกไม้งานศพเคยเป็นแค่ส่วนหนึ่งของงาน ลูกค้าเคยบอกไหมว่าทำไมอยากได้การตกแต่งแบบเว่อร์วังอลังการ

อย่างที่เคยบอก ผมไม่ทราบที่มาที่ไปของดอกไม้งานศพ แต่สำหรับลูกค้าที่เลือกใช้บริการจากผม ผมมองว่าการจัดดอกไม้คือการโชว์ความเคารพ (respect) หรือการแสดงความรักกับคนที่เขารักเป็นครั้งสุดท้าย มันคือสิ่งที่เขาจะทำให้ผู้วายชนม์ได้เป็นครั้งสุดท้าย 

บางคนเสียคุณแม่ไป เขาจึงอยากแสดงออกให้เห็นว่าเขารักแม่มาก  บางคนมองว่าการจัดดอกไม้เช่นนี้คือสิ่งเล็กน้อยมากหากเทียบกับสิ่งที่แม่เคยให้เขามาทั้งชีวิต

กระบวนการทำงานของคุณเริ่มจากจุดไหน

หลังจากได้รับโจทย์ เราจะเริ่มวางคอนเซปต์ในการจัดงานแต่ละงาน โดยคำนึงถึงวัฒนธรรมและประเพณีต่างๆ ว่าเขามีข้อห้ามอะไร เช่น งานที่ได้รับพระราชทานโกศมา เราต้องไปดูว่าข้อพึงระวังของการแต่งดอกไม้รอบโกศมีอะไรบ้าง เช่น บางงานห้ามอะไรที่ทำให้โลงจำปาขยับเขยื้อน เป็นต้น หลังจากนั้นเราต้องไปดูสถานที่จริงว่ามีข้อจำกัดอะไรบ้างไหม เมรุใหญ่หรือเล็ก สูง-ต่ำแค่ไหน อีกข้อที่สำคัญคือในช่วงพิธีการ เขาต้องใช้พื้นที่ตรงไหนทำพิธี เพื่อเราจะได้ไม่จัดดอกไม้ในพื้นที่นั้นๆ ให้เกะกะ

หลังจากนั้นเราค่อยมานั่งออกแบบให้ตอบโจทย์สถานที่นั้นต่อ โดยเริ่มจากถามลูกค้าว่าโทนสีของดอกไม้ที่อยากได้จะเป็นประมาณไหน ซึ่งเกิน 50% เขาจะให้โจทย์ว่าเป็นดอกไม้สีที่ผู้วายชนม์ชอบหรือเป็นสีตามวันเกิด ถัดมาคือเรื่องสไตล์ ซึ่งบางทีเราต้องเดาสไตล์ของลูกค้าให้ได้ว่าลูกค้ากลุ่มนี้น่าจะชอบสไตล์แบบไหน โก้หรู มินิมอล หรือฟรุ้งฟริ้งเว่อร์วังอลังการ เช่น งานของคุณประหยัด บุญสูง โจทย์คือความเรียบโก้ คีย์เวิร์ดนี้ห้ามหลุดเด็ดขาดตอนดีไซน์

ข้อจำกัดของงานศพคือเรื่องเวลา ลูกค้ามักต้องการให้จัดดอกไม้แบบเร่งด่วนมากทำให้มีเวลาจำกัดในการดีไซน์

พูดถึงงานฌาปนกิจคุณประหยัด งานนี้เป็นงานที่เป็นไวรัลมากๆ ในโซเชียลมีเดีย หลายเสียงชมว่างดงามมาก คุณออกแบบยังไงจนได้งานที่งดงามขนาดนี้

เราทำการบ้านเรื่องพื้นที่ก่อนว่ามีข้อจำกัดอะไรบ้าง แล้วนำข้อจำกัดนั้นมาตีเป็นโจทย์ จุดเด่นของวัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหารคือเมรุมีขนาดเล็ก รอบๆ เมรุมีทางเดินที่คับแคบ ซึ่งบางคนอาจมองเป็นข้อเสียแต่ผมมองว่าเมรุขนาดนี้แหละสามารถดีไซน์สิ่งที่เมรุขนาดใหญ่ทำไม่ได้ นั่นคือการสร้างทางเดินแบบตีฟที่สูงและทรงพลัง ผมจึงแก้ไขโดยเน้นตกแต่งดอกไม้ที่ผนังด้านข้างหรือช่วงบนแทน เพราะอยากให้คนมางานรู้สึกถึงความสูงชันอลังการ  เวลามองขึ้นไปจะสุดลูกหูลูกตาคล้ายกับเป็นผนังดอกไม้ที่เชื่อมต่อกับท้องฟ้า ส่วนความคับแคบของจุดฌาปนกิจ ผมแก้ไขโดยเปิดพื้นที่ให้แสงแดดส่องลงมาได้ ให้ความรู้สึกว่าเหมือนแสงที่ส่องมาจากสรวงสวรรค์ ด้วยข้อจำกัดนี้เราสามารถเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสได้เช่นกัน

ความท้าทายของงานนี้คือต่อให้ผมอธิบายภาพในหัวให้ดีไซเนอร์ยังไง เขาก็ไม่สามารถทำ perspective ที่คิดออกมาเป็นรูปได้ทันเวลา ด้วยความที่มันเป็นตีฟลึก ซ้อนกันหลายเลเยอร์ และมันฟรีฟอร์มมากๆ ตอนนั้นเหลือเวลาแค่ 2 อาทิตย์ที่ต้องจัดงานฌาปนกิจ ผมเลยไปเช่าโกดังแล้วบอกให้ทีมงานไปวัดพื้นที่เมรุมาให้หมด จากนั้นก็วาดลวดลายในพื้นโกดังนั้นแล้วขึ้นโครงสร้างขนาดจริงก่อนส่งแบบให้ลูกค้า

คุณมีเกณฑ์ในการรับงานไหม

กรณีเดียวที่จะไม่รับงานคือเวลาไม่เพียงพอในการออกแบบ (หัวเราะ) งานศพมักเป็นงานเร่งด่วน บางงานโทรมาถามวันนี้จัดพรุ่งนี้ ถ้าเราพอมีเวลาเราจะรับ แต่ถ้าไม่มีเวลาจริงๆ หรือติดงานแต่ง เราก็ปฏิเสธไป ส่วนใหญ่ที่รับจัดได้คืองานที่ลูกค้าจะฝากร่างไว้ที่โรงพยาบาลอีก 1-2 วัน เราจึงพอมีเวลาเตรียมตัว เพราะงานศพยังเป็นงานเฉพาะกิจของเราจริงๆ

เท่าที่เคยจัดดอกไม้งานศพมา เคยเจอเรื่องแปลกๆ ไหม

ไม่เคย ดวงผมไม่เจออะไรแบบนี้สักเท่าไหร่ ถ้าจะมีเรื่องน่าประหลาดใจน่าจะเกี่ยวข้องกับดวงการงาน คือเวลาเรามีอุปสรรคอะไรมักจะผ่านไปได้ทุกครั้ง อย่างเรื่องดินฟ้าอากาศ งานที่ผมไปจัดมักจะไม่ค่อยเจอฝน ต่อให้ฝนตกมากี่วันก็ตาม วันที่จัดงานจะเป็นวันที่ฝนหยุดพอดี บางครั้งฝนตกติดกันเป็นเดือน วันงานไม่ตก พอวันหลังจากนั้นก็ตกต่ออีกหลายวัน

แล้วสำหรับงานงานหนึ่ง จุดวัดความพึงพอใจของคุณอยู่ตรงไหน

เบื้องต้นเราจะรู้ของเราเองว่างานนั้นสมบูรณ์แบบในงบที่ลูกค้าให้แล้ว ถ้าเราทำเสร็จหน้างานได้ มันอยู่ในมาตรฐานของเราอยู่แล้ว แต่กระแสตอบรับงานนั้นจะมาก-น้อยขึ้นอยู่กับว่ามันถูกจริตของคนส่วนใหญ่หรือเปล่า สมมติว่าลูกค้ารายนี้ชอบสไตล์วินเทจ จัดแล้วแฮปปี้มาก ไม่ได้หมายความว่าคนอีก 99% จะชอบสไตล์วินเทจ มันอาจไม่ได้เป็นไวรัลหรือมีกระแสเลย

เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราตั้งใจโฟกัสคือคนที่เขาจ่ายเงินมากกว่าคนส่วนใหญ่ ความสุขของผมคือการทำให้ลูกค้าที่เชื่อใจเราเขามีความสุขได้ ยิ่งเขาแฮปปี้กับงานเท่าไหร่เราก็ดีใจกับเขาเท่านั้น 

ในอีกแง่หนึ่ง ผมมองว่าลูกค้าคือคนหยิบยื่นโอกาสชาเลนจ์ตัวเองกับงานดีไซน์ต่างๆ ด้วย ถ้างานเราออกมาดีแปลว่าเรามีโอกาสจะได้โอกาสในครั้งต่อๆ ไป ซึ่งอาจไม่ได้มาจากลูกค้าคนเดิมก็ได้แต่เป็นลูกค้าคนใหม่ที่เขาเคยเห็นผลงานของเรา เพราะฉะนั้นความต้องการของลูกค้าสำคัญที่สุดสำหรับผม

นอกจากลูกค้า มีสิ่งอื่นที่สำคัญกับธุรกิจของคุณอีกไหม

ทีมงานก็สำคัญ งานออกแบบว่ายากแล้วแต่งานโปรดักชั่นที่ทำออกมาได้สวยเสมอแบบนั้นยากกว่า เพราะตอนคุณดีไซน์ในคอมพิวเตอร์ คุณสามารถจินตนาการได้หมดเลยแต่พอเริ่มทำโปรดักชั่นจริง มันยากมากที่จะทำให้ของจริงใกล้เคียงกับภาพในคอมพิวเตอร์ เพราะฉะนั้น หัวใจของงานนี้คือทีมโปรดักชั่น ถ้าเขาไม่เข้าใจแล้วทำออกมาเพี้ยน ไม่ว่าจะเป็นสัดส่วน สีดอกไม้ หรือแม้กระทั่งการจัดดอกไม้ให้หลวมหรือแน่น ถ้ามีอะไรเปลี่ยนไป ความรู้สึกที่เราจะได้จากงานก็เปลี่ยนตาม

จริงๆ การจัดดอกไม้เป็นงานศิลปะอย่างหนึ่งเหมือนกัน คนทำโปรดักชั่นจึงต้องเข้าใจมันมากๆ ถึงจะทำออกมาให้ดีได้ สมมติว่างานศพครั้งหนึ่งใช้ทีมโปรดักชั่นเป็นร้อยคน ผมไม่สามารถจะยืนอธิบายให้คนร้อยคนฟังเพื่อให้เข้าใจภาพเดียวกับผมได้ บางครั้งนี่คือสิ่งที่หนักใจและท้าทายที่สุด แต่ผมว่าทุกงานมีปัญหาเดียวกันนี้หมด เราต้องหาวิธีจัดการโดยการใช้ระบบเทรนด์หรือไกด์ไลน์ก่อนทำงาน เพื่อให้งานออกมาได้ใกล้เคียงกับจินตนาการของเราที่สุด

จนถึงวันนี้ การทำแบรนด์นิราลัยส่งผลต่อชีวิตของคุณในแง่ไหนบ้าง

ส่งผลในเรื่องอาชีพ สิ่งที่ทำทุกวันนี้ไม่ได้เป็นแค่แพสชั่นหรือความชอบแต่มันเป็นเรื่องของการทำมาหากิน หากเราต้องการยกระดับชีวิตให้ดี ต้องการรายได้ที่ดี เราต้องทำงานคุณภาพดีเพื่อให้คนยอมรับจนตัดสินใจซื้อสินค้าหรือใช้บริการเรา ผมจึงต้องหาคำตอบให้ได้ว่าความสุขที่แท้จริงของลูกค้าของเราคืออะไร ทำยังไงให้เขาแฮปปี้เมื่อใช้บริการ ดังนั้น คำติชมจากลูกค้าคือสิ่งที่ผมให้คุณค่ามาก เพราะนั่นทำให้เราได้ปรับปรุงตัวเอง

มากกว่านั้นคือจบงานไป ไม่ใช่เฉพาะลูกค้าที่จ่ายเงินเราเท่านั้นที่มองเห็นผลงานแต่มีคนที่เขาติดตามผลงานใหม่ๆ ของเราอยู่ กลุ่มคนเหล่านี้พร้อมสนับสนุนเราและแนะนำเราให้คนอื่นต่อ นี่คือตัวแปรที่เราลืมไม่ได้เลย

การจัดดอกไม้งานศพและได้เข้าร่วมงานศพหลายๆ งานทำให้คุณปลงกับชีวิตมากขึ้นไหม

ถ้าเป็นเรื่องปลง จริงๆ ผมมองชีวิตด้วยความเข้าใจมานานแล้ว ตั้งแต่เกิด เราสูญเสียบุคคลที่เรารักเคารพมากขึ้นเรื่อยๆ นั่นคือเหตุให้ปลง การจัดดอกไม้งานศพทำให้ผมมองว่านี่คือเรื่องปกติของชีวิตมนุษย์ วันหนึ่งเดี๋ยวจะเริ่มแก่ เริ่มป่วยเป็นนู่นเป็นนี่แล้วก็จะปลงเอง คนปกติสุขดีคงไม่มีใครอยากตายหรอกผมว่า แต่พอถึงจุดหนึ่งสถานการณ์มันทำให้เราปล่อยวางกับชีวิตเอง ความเข้าใจนี้เลยทำให้ผมไม่ได้ยึดติดกับอะไรมาก ในขณะเดียวกันก็อยากใช้ชีวิตทุกวันนี้อยู่อย่างเข้าใจ

ทุกวันนี้ผมอยู่ในวัยที่ร่างกายยังไหว ยังมีกำลังสมอง กำลังกาย เราก็ใช้มันอย่างเต็มที่ เราก็แค่ใช้มันอย่างมีสมดุลและมีสติ ไม่ฝืน แล้วหากถึงเวลาที่ต้องปลง เราแค่ต้องยอมรับมันเพราะมันก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์ ก็แค่นั้นเอง

ติดตามนิราลัยได้ที่เพจเฟซบุ๊ก นิราลัย Niralai

สำรวจสถิติย้อนหลัง 13 ปี ไขคำตอบว่าทำไมหุ้น Apple มักร่วงในวันเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่

หากจะบอกว่าการเปิดตัว iPhone คือการเปิดตัวโทรศัพท์มือถือที่ทรงพลังที่สุดในโลกก็คงไม่ผิดนัก ไม่ว่าจะเป็นสาวกหรือไม่ใช่สาวกล้วนสนใจและติดข่าวคราวในวันเปิดตัวของมัน และล่าสุดคือการเปิดตัว iPhone 15 ที่เตรียมวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันที่ 22 กันยายนนี้

แต่สิ่งที่น่าสนใจคือปรากฏว่าหลังเปิดตัว iPhone 15 หุ้น Apple กลับปรับตัวลดลง และปิดตลาดไปด้วยการติดลบ 1.7% อยู่ที่ 176.30 ดอลลาร์สหรัฐ และต่อเนื่องมาถึงช่วงเช้าที่ติดลบไป 3.94% โดยก่อนอีเวนต์เปิดตัวหุ้น Apple อยู่ที่ 179.95 ดอลลาร์ ซึ่งหากย้อนดูสถิติย้อนหลังวันเปิดตัว iPhone ไป 13 ปีจะพบว่านี่ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจเท่าไหร่นัก เพราะช่วงเวลาที่ Apple เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่หุ้นของแอปเปิลจะตกลงเกือบทุกครั้ง 

ตั้งแต่ปี 2011-2023 มีเพียง 4 ครั้งเท่านั้นที่หุ้นปรับตัวสูงขึ้น คือปี 2012 (เปิดตัว iPhone 5), 2016 (เปิดตัว iPhone 7), 2019 (เปิดตัว iPhone 11) และ 2022 (เปิดตัว iPhone 14) ซึ่งหุ้นที่เพิ่มนั้นถือเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก คือเพียง 0-1% แต่ในปีที่หุ้นลดลงจะอยู่ที่ 2-4%

อย่างช่วงปี 2013 หลังเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ หุ้นของบริษัทร่วงลงทันทีกว่า 2% หรือปี 2020 ที่มีการเปิดตัว iPhone 12 series หุ้นลดลง 2.65% และในเดือนกันยายน 2021 ที่เปิดตัว iPhone 13 และ 13 Pro Series หุ้น Apple ก็ลดลง 0.96% เช่นกัน

ภาพจาก Bloomberg

จริงๆ แล้วหุ้น Apple ปรับลดตั้งแต่ก่อนงานเปิดตัวด้วยซ้ำ จากการประกาศยอดขายของ iPhone ใน 3 ไตรมาสที่ผ่านมาลดลง บวกกับการประกาศของรัฐบาลจีน ที่จำกัดการใช้ไอโฟนและแบรนด์สมาร์ตโฟนต่างชาติของเจ้าหน้าที่รัฐเพราะเหตุผลด้านความปลอดภัยทางข้อมูล ล้วนเป็นปัจจัยสนับสนุนที่ทำให้หุ้นไอโฟนตกลง เนื่องจากจีนเป็นตลาดสมาร์ตโฟนที่ใหญ่ที่สุดในโลก 

ทำไมราคาหุ้น Apple ถึงลดลงหลังเปิดตัว

มีนักวิชาการและนักเศรษฐศาสตร์หลายสำนักให้เหตุผลที่หุ้นของ Apple ลดลงว่า นักลงทุนอาจไม่ตื่นเต้นกับเทคโนโลยีที่ Apple นำเสนอเท่าไหร่นัก และผู้ใช้งานหรือกลุ่มเป้าหมายยังเป็นกลุ่มเดิมที่อาจไม่มีแผนเปลี่ยนมือถือในปีนี้ ทำให้ทุกครั้งที่ Apple เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ หุ้น AAPL (หุ้น Apple) จะร่วงเฉลี่ย 0.4% 

นอกจากนี้ นักลงทุนส่วนใหญ่มักคุ้นเคยกับนวัตกรรมเจ๋งๆ จาก Apple แต่ในระยะหลังมานี้ Apple ไม่ได้เซอร์ไพรส์เท่าไหร่นัก และรายละเอียดต่างๆ ของ Apple มักจะรั่วไหล หรือถูกเปิดเผยก่อนการเปิดตัว ทำให้นักลงทุนเริ่มไม่เชื่อมั่นในแบรนด์ เพราะปัจจุบัน Apple เปรียบได้กับองค์กรผู้สร้างนวัตกรรมใหม่ให้โลก เมื่อผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ออกมายังไม่ตอบโจทย์ความคาดหวัง ทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นก่อนการเปิดตัว

เพราะเหตุใดการเปิดตัว iPhone ถึงสำคัญกับ Apple

ความผันผวนในตลาดหุ้นมักสะท้อนความรู้สึกของผู้บริโภคเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการต่างๆ หากนักลงทุนมีความเชื่อมั่นในองค์กร พวกเขาก็จะซื้อหุ้น และราคาหุ้นจะสูงขึ้น งานเปิดตัว iPhone 15 ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความพึงพอใจของผู้บริโภค

ในมุมของนักลงทุนแล้ว กระแสข่าวภายนอกอาจมีผลต่อการลงทุนไม่มากเท่าปัจจัยภายใน โดยเฉพาะการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ เทคโนโลยีที่ใช้ รวมถึงการพัฒนาฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้มากขึ้น ไม่ใช่แค่การปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอก เพราะนักลงทุนมองว่าการมีผลิตภัณฑ์ใหม่จะช่วยให้รายได้เติบโตขึ้น ลดการพึ่งพารายได้จากของเดิม หรือการบริการอย่างเดียว

ปัจจุบันรายได้ของ Apple ส่วนใหญ่ 48.5% มาจากยอดขาย iPhone รองลงมาคือ รายได้จากการบริการ 25.9% และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่สวมใส่ได้ 10.1% เรียกได้ว่าตอนนี้ iPhone เป็นรายได้หลักของ Apple เลยทีเดียว ดังนั้น ไม่ว่ายอดขายของ iPhone จะดีหรือไม่ดี ก็ส่งผลต่อหุ้นของ Apple อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ทางเว็บไซต์ Barron’s ได้วิเคราะห์ไทม์ไลน์ของหุ้น Apple ไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้

  • วันเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ : ติดลบ 0-2%
  • หลังเปิดตัว 1 สัปดาห์ : ติดลบ 0.9%
  • หลังเปิดตัว 1 เดือน : เพิ่มขึ้น 1.35%
  • หลังเปิดตัว 3 เดือน : เพิ่มขึ้น 4.98%
  • หลังเปิดตัว 6 เดือน : เพิ่มขึ้น 12.35%

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้การเปิดตัวจะไม่สร้างความว้าวให้นักลงทุนเท่าไหร่ แต่ผลิตภัณฑ์ Apple ก็ยังขายได้ ตามธรรมเนียมของ Apple เดือนกันยายนจะเป็นเดือนที่หุ้นลดลงอยู่แล้ว และจะเพิ่มขึ้นในเดือนตุลาคม เพราะฉะนั้น นักลงทุนอย่าเพิ่งหวั่นไหว เพราะสถิติที่ผ่านมาบอกไว้ว่าอดใจรออีกนิดเดี๋ยวทุกอย่างจะดีขึ้น

.

อ้างอิง

Mapping Identity for Entrepreneur วิชารู้จักตัวตนเพื่อสร้างธุรกิจที่พอดีกับตัวเอง

ในโลกธุรกิจ เคยสงสัยไหมว่าเพราะเหตุใดแม้จะขายของประเภทเดียวกัน อยู่ในธุรกิจเดียวกัน แต่สุดท้ายปลายทางผลิตภัณฑ์ โมเดลธุรกิจ รวมถึงวิธีคิดในการบริหารองค์กรจึงแตกต่างกัน

นั่นเป็นเพราะคุณค่าและตัวตนของเจ้าของธุรกิจแต่ละคนไม่เหมือนกัน–และไม่มีทางเหมือนกัน ดังนั้นในการสร้างธุรกิจหากผู้ประกอบการหรือคนทำงานรู้จักตัวเองอย่างลึกซึ้ง ก็จะทำให้สามารถสร้างในสิ่งที่คนอื่นลอกเลียนไม่ได้และตัดสินใจจากคุณค่าของตัวเองอย่างแท้จริง 

Capital จึงร่วมกับ RISE เจ้าของหลักสูตร ETX (Entrepreneur Transformation Xponential) จัดเวิร์กช็อป ‘Mapping Identity for Entrepreneur วิชารู้จักตัวตนเพื่อสร้างธุรกิจที่พอดีกับตัวเอง’ เพื่อให้เหล่าผู้ประกอบการได้ค้นหาความหมายและนิยามความเป็น Entrepreneurial Leaders ในสไตล์ของแต่ละคนเพื่อสร้างธุรกิจที่สะท้อนคุณค่าได้ตรงกับตัวเรามากที่สุด โดยมีวิทยากรคือ วิว–กัญญาณัฐ พะเนียงทอง General Manager ของหลักสูตร ETX

สำหรับผู้ที่พลาดไป เราสรุปวิธีการค้นลึกไปยังตัวตนเบื้องต้นไว้แล้ว 3 ขั้นตอนดังนี้

‘Step 1 : ทำความเข้าใจตัวตน (identity) 3 แบบของตัวเอง’

ขั้นแรกเริ่มจากการทำความเข้าใจตัวตนและคาแร็กเตอร์ของตัวเองในปัจจุบันด้วยการนึกถึงที่มาที่ไปที่ทำให้เราเป็นตัวเองในทุกวันนี้ โดยตัวตนของคนเราสามารถจำแนกได้ 3 แบบคือ

  1. Given สิ่งที่พระเจ้าให้มาหรือเกิดมาก็เป็นแบบนี้โดยที่สถานการณ์บังคับและไม่ได้เลือกเอง เช่น อายุ เพศ ลักษณะภายนอก สถานะในครอบครัว สัญชาติ สถานภาพ
  2. Chosen สิ่งที่เราเลือกเองที่จะเป็นทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดี เช่น อาชีพ งานอดิเรก บทบาทในครอบครัว ที่อยู่อาศัย ศาสนา เพศ นิสัย สถานะการศึกษา คณะที่จบ ความชอบ ความสนใจ คาแร็กเตอร์
  3. Core สิ่งที่ทำให้เรามีเอกลักษณ์และแตกต่างจากคนอื่น เช่น นิสัย ความเชื่อ คุณค่า ทักษะ

ลองลิสต์คำที่สะท้อนตัวตนแต่ละแบบทั้ง Given, Chosen, Core ให้มากที่สุด โดยสามารถเขียนทั้งคำในแง่บวกและลบ

‘Step 2 : สำรวจสิ่งสำคัญของตัวเองด้วยเกณฑ์ 4 แบบ’

ในบรรดาคุณค่าทั้งหมดของตัวเรามีทั้งสิ่งที่เป็นทั้งจุดแข็งสำคัญและจุดอ่อนพิเศษที่โดดเด่นกว่าอันอื่น ขั้นตอนนี้จะให้เรากลับมาตกตะกอนว่าอะไรคือสิ่งสำคัญจริงๆ สำหรับตัวเองที่ควรโฟกัสเพื่อทำให้ดีขึ้นหรือพัฒนาขึ้น วิธีง่ายๆ คือกลับมาดูคำที่เขียนไปทั้งหมดในสเตปแรกแล้วขีดเส้นใต้คำที่รู้สึกว่าสำคัญในเบื้องลึก (Important) ใส่เครื่องหมายบวกในสิ่งที่เป็นจุดแข็ง (Contribute) ใส่เครื่องหมายลบในสิ่งที่สกัดกั้นคุณในการทำงานหรือเป็นผู้นำของทีม (Detract) และใส่สัญลักษณ์คำถามในสิ่งที่เปลี่ยนไปตามสถานการณ์ (Vary) สิ่งเหล่านี้จะทำให้เห็นส่วนสำคัญที่เก่งอยู่แล้วและนำไปพัฒนาในอนาคต

โดยเกณฑ์ประเมินตัวตนทั้ง 4 แบบมีดังนี้

— Important : สิ่งสำคัญที่บรรยายตัวตนและความเป็นตัวคุณ
+  Contribute : จุดแข็งที่ทำให้คุณเป็นผู้นำและส่งมอบคุณค่าให้ผู้อื่นได้
–   Detract : จุดอ่อนที่ขัดขวางการเป็นผู้นำ
?  Vary : เปลี่ยนไปตามสถานการณ์ อาจเป็นทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน

Step 3 : หาจุดที่พอดีในการทำธุรกิจด้วย Entrepreneurial Decision Zone

ตัวตนและคุณค่าทั้งหมดของเราเหล่านี้ที่คิดในกระบวนแรกและกระบวนการที่สองล้วนสะท้อนไปยังทุกการตัดสินใจในธุรกิจ (Instinct Decision) ของเจ้าของธุรกิจในฐานะที่เป็นผู้นำในองค์กร คุณค่าสำคัญ (Important) จากขั้นตอนที่ 2 สามารถพัฒนาเป็นวิชชั่นและมิชชั่นในการทำธุรกิจได้ ส่วนจุดแข็ง (Contribute) และจุดอ่อน (Detract) ของตัวเราก็เป็นทักษะที่สามารถให้ประโยชน์กับทีมหรือเป็นปัจจัยที่ฉุดรั้งให้องค์กรการทำงานช้าลงจากนิสัยและตัวตนของเรา เป็นต้น

โดยตัวตนสำคัญที่ขีดเส้นใต้ไว้ทั้งหมดทั้งแง่บวกและลบในขั้นตอนที่ 2 เมื่อรวมกันแล้วเรียกว่า ZOPT (Zone of Fit Strategy) คือสไตล์การเป็นผู้นำที่เป็นเอกลักษณ์และคนอื่นก๊อปปี้คุณไม่ได้ แบ่งออกเป็น Contribution Gap จุดแข็งที่เราถนัดในการช่วยทีมและ Competency Gap สิ่งที่เราไม่ถนัดแต่สามารถพัฒนาได้ในอนาคต

เมื่อรู้จักตัวเองอย่างลึกซึ้งแล้วจะทำให้สามารถดึงศักยภาพของตัวเองออกมาใช้ได้ รวมถึงถ่ายทอดตัวตนสู่ธุรกิจได้อย่างยั่งยืนมากที่สุด

Saturday School โรงเรียนนอกหลักสูตรโดยอาสาสมัครหลายพันคนกับความฝันอยากขยายห้องเรียนทั่วไทย

Saturday School เริ่มต้นด้วยการจัดห้องเรียนสอนวิชานอกหลักสูตร 1 วิชาใน 1 โรงเรียนตอนปี 2014

ปีถัดมาเพิ่มเป็น 2 โรงเรียน ปีถัดไปเพิ่มเป็น 7 โรงเรียน ปีหลังจากนั้นเพิ่มเป็น 9 โรงเรียน 

ปีนี้ Saturday School มีอายุ 9 ปีและกำลังจะก้าวสู่ปีที่ 10 และผ่านช่วงที่ขยาย 5 เท่า โดยในกรุงเทพฯ เพิ่มจาก 10 โรงเรียน เป็น 50 โรงเรียนด้วยการร่วมมือกับ กทม. และยังขยายไปต่างจังหวัดอีก 9 จังหวัด 

ทุกวันนี้จากห้องเรียนทุกวันเสาร์ที่สอนโดยอาสาสมัครไม่กี่คนในตอนแรกก็ขยายผลจนมีโรงเรียนในโครงการรวมทั้งหมดราว 60 โรงเรียน, คุณครูอาสา 800 กว่าคน, อาสาสมัครทีมหลังบ้านอีกเกือบ 4,000 คนและเด็กในโครงการราว 9,000 กว่าคน

โมเดลของ Saturday School นั้นเป็นโมเดลที่แสนเรียบง่ายแต่ต้องใช้พลังมากในการขับเคลื่อน เป็นโมเดลที่เปิดพื้นที่ให้คนทั่วไปเข้ามามีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงการศึกษาไทยได้ด้วยการเป็นอาสาสมัครสอนเด็กๆ ในวันเสาร์หรือหลังเลิกเรียนและยังเปิดโอกาสให้องค์กรจัดกิจกรรมหรือหลักสูตรพิเศษร่วมกันเพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ที่มีให้อนาคตของชาติ

หนึ่งในต้นทุนสำคัญที่ทำให้เกิด Saturday School คือทรัพยากรบุคคล ทั้งอาสาสมัครที่เป็นคนทั่วไปซึ่งมีสิ่งที่ถนัดอยู่แล้วและคนในองค์กรต่างๆ ที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญในสายอาชีพของตัวเอง เมื่อดึงศักยภาพของทุกคนออกมาช่วยกันพัฒนาการศึกษา ทุกคนก็กลายเป็นฮีโร่ในแบบของตัวเองและทำให้เด็กๆ รู้สึกว่าพวกเขาเองก็เป็นฮีโร่ได้

ผู้ก่อตั้ง Saturday School และเป็นผู้สร้างฮีโร่อีกมากมายผ่านโรงเรียนนอกหลักสูตรแห่งนี้ คือ ยีราฟ–สรวิศ ไพบูลย์รัตนากร วันนี้เราจึงอยากชวนเขามาคุยถึงเบื้องหลังการขยายและการบริหารคอมมิวนิตี้อาสาสมัครที่ดึงศักยภาพให้ทุกคนสามารถเป็นครูได้

Hero is Normal People Who Start Something 

สรวิศเคยเป็นครูในโรงเรียนตามหลักสูตรอยู่ 2 ปี และสังเกตเห็นว่าการศึกษาของเด็กเชื่อมโยงกับหลายมิติในสังคมที่กว้างกว่าในห้องเรียน

“ปัญหาการศึกษาไทยไม่ใช่แค่หลักสูตรหรือวิธีสอนในห้องแต่เป็นเรื่องของทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเด็ก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาครอบครัว เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเด็กทั้งหมด ทั้งคุณครู สังคมรอบข้าง รวมถึงมายด์เซตของคนที่มีอำนาจตัดสินใจด้านการศึกษา” 

เมื่อเห็นว่าทุกปัจจัยที่อยู่ล้อมรอบตัวเด็กล้วนสัมพันธ์เชื่อมโยงกันเหมือนใยแมงมุมทำให้สรวิศอยากสร้างการเปลี่ยนแปลงทางผ่านคนทั่วไปที่อยู่นอกระบบการศึกษา

“เราคิดว่าคนในระบบการศึกษาอาจจะยังไม่สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน เลยคิดว่าคนในสังคมที่อยากเห็นการศึกษาไทยดีขึ้นก็น่าจะมีส่วนร่วมในการพัฒนาการศึกษาและทำให้สังคมไทยดีขึ้นได้”    

Saturday School จึงเริ่มต้นขึ้นจากการชวนเพื่อนที่รู้จักมาใช้เวลายามว่างให้เป็นประโยชน์ด้วยการเปิดคลาสสอนในวันเสาร์ให้เด็กๆ เริ่มสอนจากวิชานอกหลักสูตรซึ่งหมายถึงวิชาที่มักไม่ได้สอนในห้องเรียนเป็นวิชาหลักอย่างศิลปะ, ร้องเพลง, เต้น, ทำอาหาร, ถ่ายรูป, ดนตรี, กีฬา, ทำหนังสั้น, coding, Esports, ออกแบบสติ๊กเกอร์ไลน์, ออกแบบบอร์ดเกม ฯลฯ เรียกว่ามีวิชาสร้างสรรค์ที่หลากหลายโดยวิชาเหล่านี้มาจากความสนใจของเด็กจริงๆ

“เราจะไปถามเด็กๆ ก่อนว่าเด็กสนใจวิชาอะไร แล้วก็จะเอาวิชาที่เด็กเลือกมากที่สุดในโรงเรียนนั้นมาเปิดรับอาสาสมัคร ซึ่งอาสาสมัครก็จะสามารถเลือกได้เลยว่าอยากไปสอนที่โรงเรียนไหนและวิชาไหน” 

โมเดลคือสอนในสิ่งที่เด็กอยากเรียนและหาอาสาสมัครมาสอนในสิ่งที่อยากสอน เด็กก็ได้เรียนตามความชอบและอาสาสมัครก็ได้ใช้ทักษะและความสนใจที่มีมาถ่ายทอดความรู้ให้เด็กๆ ตามสมัครใจ ให้นักเรียนที่อยากเรียนและคุณครูที่อยากสอนได้มาเจอกันโดยจะเน้นคัดเลือกโรงเรียนที่เด็กฐานะยากจนและผู้อำนวยการโรงเรียนให้การสนับสนุนเป็นหลัก

ทั้งนี้หลังจาก Saturday School สอนวิชานอกหลักสูตรเฉพาะวันเสาร์มาหลายปี ทุกวันนี้ได้เพิ่มการสอนวิชาหลักอย่างคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ หลังเลิกเรียนในวันธรรมดาด้วยและใช้โมเดลห้องเรียนวันเสาร์นี้ขยายผลไปยังหลายพื้นที่ทั้งในกรุงเทพฯ ในชื่อ Saturday School Bangkok ส่วนต่างจังหวัดที่เริ่มทำมาแล้ว 2 ปีจะใช้ชื่อว่า Saturday School Expansion โดยเริ่มจากจังหวัดอย่างภูเก็ต นนทบุรี ขอนแก่น สมุทรปราการ พัทยา ชลบุรี ราชบุรี นครสวรรค์ นครนายก

Broaden the Possibilities

แน่นอนว่าภาพห้องเรียนของ Saturday School ไม่ใช่การนั่งฟังเลกเชอร์แล้วทำข้อสอบปรนัยแต่เป็นห้องเรียนที่เปิดโลกกว้างให้เด็กๆ เห็นความเป็นไปได้ในโลกอันกว้างใหญ่นอกห้องเรียนให้ได้มากที่สุดเพื่อให้เด็กกล้าคิด กล้าทำ และกล้าฝัน  

“มิสชั่นหนึ่งของเราคืออยากให้ทั้งคนทั่วไปและองค์กรมีส่วนร่วมในการช่วยกันพัฒนาการศึกษา เราเลยไปพาร์ตเนอร์กับองค์กรต่างๆ ตามสายอาชีพที่เด็กน่าจะสนใจแล้วให้เด็กได้มาเจอกับพี่ๆ ในสายงานนั้นจริงๆ” 

เมื่อทำโครงการมาหลายซีซั่นสรวิศจึงออกแบบโครงการเพิ่มเติมจากการสอนทั่วไปคือ Saturday School Student Support ที่มีองค์กรและพี่เมนเทอร์จากหลากหลายสาขาอาชีพมาให้คำแนะนำนักเรียนมัธยมปลายในการค้นหาตัวเองสำหรับการเลือกอาชีพในอนาคต

ความตั้งใจของสรวิศคือขยายเส้นขอบฟ้าให้เด็กๆ เห็นว่ามีเส้นทางแห่งความฝันและความเป็นไปได้มากมายหลายทางให้เลือก

“จะมีการแนะนำว่าเบื้องหลังการทำงานจริงในแต่ละอาชีพเป็นยังไง มีอะไรมากกว่าสิ่งที่เด็กๆ เห็นหรือเปล่า เช่น เราจับมือกับ The Standard เพื่อเล่าให้น้องๆ รู้ว่าในวงการสื่อมีคนทำงานอะไรบ้างนอกจากการเล่าเรื่องถ่ายทอดออกมา ด้านเทคโนโลยีเราจับมือกับบริษัท Data Wow แนะนำน้องๆ ว่าสายโปรแกรมมิ่งมีตำแหน่งอะไรบ้างนอกจากโปรแกรมเมอร์ นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่เราจับมือกับองค์กร แล้วก็จะมีพี่ๆ เมนเทอร์ที่เป็นพี่เลี้ยงคอยให้คำแนะนำ น้องๆ ก็จะสามารถขอคำปรึกษาและพูดคุยกับพี่ๆ นอกเหนือจากเรื่องสายอาชีพด้วยก็ได้” 

การมีองค์ความรู้และทรัพยากรจากองค์กรมาสนับสนุนทำให้รูปแบบการสอนไม่ติดอยู่ในกรอบเพราะแต่ละองค์กรใช้ความถนัดและความเชี่ยวชาญที่แตกต่างกันมาสร้างสรรค์ห้องเรียนในแบบของตัวเองให้เด็กๆ 

“อย่างหลักสูตรอีสปอร์ตที่ร่วมมือกับบริษัท Garena ก็เกิดจากความสนใจของเด็กๆ และคุณครูในโรงเรียนที่อยากจัดแล้วมาคุยกับเรา เราก็เป็นเหมือนสะพานเชื่อมไปหาองค์กรที่ทำด้านนี้แล้วจับมือร่วมกันทำเพื่อขยายผล”

เด็กๆ ที่เข้าร่วมหลักสูตรในแต่ละโรงเรียนจะเริ่มจากเข้าร่วมชุมนุมและแข่งขันเกม Esports ในโรงเรียนตัวเองก่อน จากนั้นจะส่งตัวแทนทีมของแต่ละโรงเรียนมาแข่งกันและผู้เข้ารอบท้ายจะได้ไปแข่งที่ห้องไลฟ์สตรีมของ Garena 

Saturday School ยังเคยร่วมมือกับ Apple ให้เด็กยืมไอแพดหรือไอโฟนเพื่อเรียนรู้ทักษะต่างๆ เช่น การทำเพลงผ่านโปรแกรม GarageBand

“เด็กๆ เก่งมาก หลังจากได้เรียนกับพี่ศิลปินจบคลาสหนึ่งก็แต่งเพลงออกมาได้ดีมาก เรายังทำไม่ได้เลย แล้วผลงานออกมาไม่ใช่ธรรมดาด้วย แต่อยู่ในระดับดีเลย”

นอกจากหลักสูตรเหล่านี้ยังมีวิชาอื่นๆ อีกมากมาย เช่น วิชาสอนวาดรูปและดีไซน์งานอาร์ตในแอพพลิเคชั่น Procreate โดยกราฟิกดีไซเนอร์, วิชาสอนการทำหนังสั้นที่ร่วมมือกับสมาคมผู้กำกับหนังโดยเด็กๆ ได้ลงมือถ่ายทำหนังจริงออกมาเป็นหนังสั้นฝีมือตัวเอง 

โดยหลายครั้งการออกแบบรูปแบบการสอนก็ต้องออกแบบผ่านข้อจำกัด เช่น ในช่วงโควิด-19 ที่เด็กหลายคนไม่มีคอมพิวเตอร์หรืออินเทอร์เน็ตและการมาโรงเรียนต้องถูกงดไป Saturday school ก็แก้ปัญหาด้วยการส่งกล่องการเรียนรู้ไปให้ทางไปรษณีย์ เปลี่ยนรูปแบบการสอนให้เด็กๆ ได้ลองฝึกตั้งเป้าหมายและวางแผนสิ่งที่อยากทำเองใน 21 วัน จดบันทึกสิ่งที่ได้เรียนรู้เป็นไดอารี 21 Days Challenge ที่ได้บันทึกการเติบโตของตัวเอง โดยมีพี่เมนเทอร์คอยโทรให้คำปรึกษาและพูดคุยกับเด็ก 

แต่ไม่ว่าการสอนจะเป็นรูปแบบไหน ทุกห้องเรียนจะเน้นการสอนแบบ active learning ที่ให้เด็กได้มีส่วนร่วมในการเรียนรู้เพื่อติดปีกให้ความฝันของเด็กแต่ละคนได้โบยบิน หว่านเมล็ดพันธ์ุทั้งทักษะและมายด์เซตโดยหวังผลลัพธ์ให้ผลิดอกออกผลในระยะยาวเมื่อเด็กเหล่านี้เติบโตขึ้น 

Willpower Management 

โมเดลการระดมเงินทุนของ Saturday School คือรับบริจาคเงินจากบุคคลทั่วไปและองค์กรโดยมีบริการจัดหลักสูตรการสอนให้องค์กรต่างๆ ที่อยากจัดกิจกรรมเพื่อสังคม สรวิศเล่าว่าเบื้องหลังการทำ Saturday School นั้นนอกจากมีความท้าทายในการระดมเงินทุนแล้วยังมีอุปสรรคระหว่างทางมากมายที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้อย่างเรื่องการบริหารจัดการคอมมิวนิตี้อาสาสมัคร 

“คนอาจจะไม่ค่อยรู้ว่า Saturday School ไม่ค่อยมีเงิน การที่เราจะเติบโตและต้องดูแลอาสาสมัครจำนวนมากที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เราก็ต้องมีพนักงานประจำที่เยอะมากขึ้นตามไปด้วย ซึ่งตอนนี้เราก็จ้างพนักงานประจำได้ไม่เยอะมาก อันนี้ก็เป็นความท้าทายใหญ่เหมือนกันที่เรามีงานให้ทำเยอะกว่าจำนวนคนตลอดและทำให้พนักงานประจำค่อนข้างเหนื่อยล้า”  

ในการเปลี่ยนจากภาพฝันสู่การลงมือแก้ปัญหาจริงจึงต้องครอบด้วยระบบการจัดการและเซตโครงสร้างการบริหารที่ชัดเจนเพื่อให้ครูอาสาสมัครซึ่งเป็นคนทั่วไปที่ไม่ได้มีค่าตอบแทนมีส่วนร่วมจนจบโครงการ “ตอนรับอาสาสมัครเข้ามา เราจะเลือกคนที่มี commitment (ความมุ่งมั่น) และเพราะว่าส่วนใหญ่อาสาสมัครของเราไม่ใช่คุณครูที่รู้จักการออกแบบการสอน เราจึงมีการอบรมอาสาสมัครก่อน ให้รู้จัก Saturday School ว่ามีเป้าหมายยังไง ให้ลองสอนก่อนแล้วทำงานกันเป็นทีม” 

เป็นธรรมดาที่เวลาคนเราหว่านเมล็ดพันธ์ุแห่งการเรียนรู้ลงไปแล้ว ก็อยากเห็นต้นกล้าเหล่านั้นเติบโตเป็นป่าใหญ่โดยเร็ว สิ่งที่สรวิศได้เรียนรู้ในบทบาทผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงมาตลอดหลายปีคือการกลับมาดูแลสภาพร่างกายและจิตใจของตัวเองให้มีความสมดุลแบบที่ไม่เหนื่อยจนเกินไปก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน    

“บางทีเราทำงานหนักมากเพราะว่าเราเห็นความเปลี่ยนแปลง เพราะเราเห็นเด็กๆ พัฒนาขึ้น เราเลยจะมองแค่ในมุมว่าเรากำลังสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในสังคมแต่ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยได้หันกลับมามองตัวเองว่าเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งบางทีอาจจะต้องหาบาลานซ์ให้ตัวเองด้วยเหมือนกันให้เราสามารถที่จะทำต่อไปโดยไม่เหนื่อยเกินไปและมีพลังที่จะส่งต่อเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงต่อไปเรื่อยๆ” 

Meaningful Impact Measurement 

แม้ภาพอิมแพกต์ปลายทางจะยังมีหนทางอีกยาวไกลแต่ความชื่นใจระหว่างทางคือผลลัพธ์
ที่เห็นเด็กๆ เติบโตขึ้น สิ่งแรกที่สรวิศสังเกตเห็นอย่างชัดเจนจากโครงการที่ผ่านมาคือความมั่นใจในตัวเองที่เพิ่มขึ้นของเด็ก 

“ครูทุกคนบอกเหมือนกันหมดเลยว่าเด็กๆ มั่นใจในตัวเองมากขึ้น กล้าแสดงออกมากขึ้นเมื่อเทียบระหว่างก่อนกับหลังสอนและเห็นได้ชัดโดยเฉพาะคลาสร้องเพลง เด็กๆ ร้องเพลงจนต้องชมว่าโอ้โห ร้องได้มีคุณภาพมาก คนในฮอลล์น้ำตาไหล พลังของเด็กส่งมาถึงคนดูได้เยอะมากๆ และการแสดงหลายอย่างเช่น วิชาเต้น เด็กๆ ก็ทำออกมาได้น่าสนใจและทุ่มเทมาก 

“พฤติกรรมของเด็กเปลี่ยนไปพอสมควรจากการที่ได้มาเรียนกับเรา อย่างคลาสเรียนเต้น ในตอนแรกเด็กก็อาจจะสนใจบ้างในระดับที่ไม่ได้ถึงขั้นสนใจมาก แต่พอได้มาเรียนแล้วมันมีสิ่งที่เขาใช้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจและทุ่มเทกับมัน แทนที่เด็กจะนั่งเล่นมือถือในวันธรรมดาก็มาซ้อมเต้น มาพัฒนาตัวเอง พอมีวินัยมากขึ้น ในห้องเรียนก็ตั้งใจเรียนมากขึ้นตามไปด้วย” 

“เคยมีเด็ก ป.6 จากโรงเรียนหนึ่งที่มาเรียนภาษาอังกฤษกับเราแค่เทอมเดียว จากไม่เคยสอบผ่านโอเน็ตมา 9 ปีก็สอบผ่านเป็นครั้งแรกในรอบ 9 ปีนั้น ความจริงเราก็ไม่ได้ตั้งใจให้เด็กเรียนเพื่อจะไปสอบแต่ด้วยรูปแบบการสอนของเราก็ทำให้เด็กมั่นใจในตัวเองมากขึ้น สนุกและกล้าที่จะเรียนรู้ ไม่กลัวผิด มันคือผลจากการที่เราเชื่อว่าถ้าเด็กมี soft skill ก็จะทำให้สามารถพัฒนาด้านอื่นๆ ในชีวิตได้ดีด้วยเหมือนกัน”

วิธีประเมินผลและวัดการเติบโตของเด็กๆ จากห้องเรียน Saturday School ไม่ได้เน้นวัดจากข้อสอบหรือการบ้านแต่ประเมินผลจากทักษะ soft skill ของเด็ก อย่าง self-awareness (การรับรู้และเข้าใจตนเอง), growth mindset (ความคิดแบบพัฒนาได้), resilience (ล้มแล้วลุก) และ prosocial behavior (พฤติกรรมเอื้อต่อสังคม) โดยใช้วิธีวัดผลหลายวิธีไม่ว่าจะเป็นแบบสอบถามก่อนและหลังเรียนและการจดบันทึกพฤติกรรมและมายด์เซตของเด็กจากการสังเกตโดยครูอาสา นอกจากการพัฒนาของเด็กแล้ว อาสาสมัครเองก็เติบโตจากการเป็นครูเช่นกันโดยมีวิธีวัดผลที่ Saturday School กำลังจะเพิ่มขึ้นมาอย่างการประเมินแบบ peer-to-peer คือประเมินจากคนที่อยู่รอบข้างที่ทำงานด้วยกัน ไม่ได้ประเมินด้วยตัวเองอย่างเดียว

ในทุกซีซั่นหลังจบแต่ละโครงการยังมีวันที่เรียกว่า Big Day คือวันที่ให้เด็กทุกคนหรือทุกกลุ่มมานำเสนอผลงาน ซึ่งเมื่อจบโครงการไปแล้วสรวิศเล่าว่ายังเห็นการเติบโตในระยะยาวของเด็กหลายคนที่เหนือความคาดหมายอีกด้วย 

มีเด็กที่ได้แรงบันดาลใจจากการมาเรียนวันเสาร์แล้วชอบร้องเพลงและได้ไปต่อมหาวิทยาลัยในคณะสายดุริยางคศิลป์ มีเด็กที่ได้มาเรียนกราฟิกดีไซน์แล้วก็ไปเรียนสถาปัตย์ ไปออกแบบ เอาไปสร้างอาชีพได้ หลายคนก็กลับมาเป็นอาสาสมัครเพื่อพัฒนาตัวเองกับพี่ๆ และส่งต่อสิ่งที่เขาได้รับให้กับน้องๆ รุ่นถัดไปด้วย”

Classroom Scaling 

จากการเริ่มจากห้องเรียนวันเสาร์เพียงวันเดียวจนทุกวันนี้มีวิชาหลากหลายและอาสาสมัครมากมาย แต่สรวิศบอกว่าหนทางของ Saturday School ยังมีเส้นทางอีกยาวไกล “เป้าหมายของทาง กทม. คือนำโมเดลนี้ไปใช้กับโรงเรียนทั้งสังกัดทั่วกรุงเทพฯ ก็จะเป็น 437 โรงเรียน คืออีกประมาณ 8-9 เท่าของตอนนี้ เป้าหมายก็ยังอีกไกลเหมือนกัน เราก็หวังว่าจะหาอาสาสมัครจำนวนมากไปสอนได้ทั่วถึง”

เป้าหมายสำคัญของ Saturday School คือมุ่งขยายผลและสร้างอิมแพกต์ให้ได้มากที่สุด ไม่ใช่แค่ในกรุงเทพฯ แต่ขยายไปยังจังหวัดทั่วประเทศไทยโดยเริ่มจากค่อยๆ ขยายจังหวัดละ 1 โรงเรียน  

“นอกจากเรื่องของการขยายจำนวนโรงเรียนและห้องเรียน ในแง่การเปลี่ยนแปลงเชิงระบบก็น่าสนใจว่าเราจะทำยังไงให้สิ่งที่เราทำสามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในระบบการศึกษาด้วย สิ่งที่เราอยากจะทำคือทำกิจกรรมให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเด็กที่แตกต่างจากเดิมหรือกลุ่มอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเด็ก เช่น ผู้ปกครอง คุณครูที่สามารถเข้าไปพัฒนาสิ่งแวดล้อมของเด็กๆ ซึ่งก็จะเป็นอีกเฟสหนึ่งหลังจากนี้พอสมควรที่จะพัฒนาในอนาคต”

ยังมีอีกหลายความฝันที่สรวิศอยากทำให้เด็กๆ หรือเคยลองทำแล้วแต่ต้องพักไว้ชั่วคราวอย่างหลักสูตรที่รับสมัครเด็กจากครอบครัวฐานะชนชั้นกลางขึ้นไปที่มีกำลังจ่ายและเก็บเงินค่าเรียนเพื่อนำเงินตรงนั้นมาพัฒนาการสอนให้เด็กที่ต้องการการสนับสนุนทางทุนการศึกษาอีกต่อ, โมเดลห้องเรียนผสมที่เด็กที่ได้รับโอกาสและไม่ได้รับโอกาสทางการศึกษาได้เรียนด้วยกัน, Saturday Film หลักสูตรการทำหนังที่เจาะลึกสนับสนุนสอนการทำหนังให้เด็กในระยะยาว, Saturday School Community Project ที่ให้เด็กๆ ได้สำรวจปัญหาของชุมชนแล้วนำเสนอวิธีการแก้ไขที่สนใจในชุมชนของตัวเองเพื่อพัฒนาสังคมและชุมชนรอบข้างซึ่งทำมา 4 ปีแล้วแต่ตอนนี้เป็นโครงการที่พักไว้ชั่วคราว

“จริงๆ ต้องบอกว่าโครงการพวกนี้ไม่ได้ไม่เวิร์กนะแต่ว่าเราไม่มีแรงทำมากกว่า เรามีแรงทำและแรงคนที่จำกัดเลยต้องโฟกัสกับกิจกรรมหลักของเราก่อน มีบางจังหวัดที่เราอยากไปและก็มีเด็กจากต่างจังหวัดให้ความสนใจเยอะพอสมควรแต่อาสาสมัครของเรายังไม่พอ 

“เราขยายจำนวนโรงเรียนเพิ่มได้ตามจำนวนอาสาสมัครแล้วแต่ว่าอาสาสมัครในพื้นที่รู้จักเรามากขนาดไหน เราจะเลือกอาสาสมัครในพื้นที่ที่มีความสามารถและมีเป้าหมายตรงกับเรา พอมีอาสาสมัครที่ผ่านเกณฑ์มากพอ เราก็จะขยายไปที่จังหวัดนั้น” 

stakeholder (ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย) ในการเปลี่ยนแปลงการศึกษาไทยจึงเป็นทุกคนในสังคมและจะสร้างแรงกระเพื่อมได้แค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับพลังของหลายภาคส่วนในสังคมรวมกันโดยมีตัวกลางอย่าง Saturday School เป็นผู้นำในการขับเคลื่อนการสร้างการเปลี่ยนแปลง 

Facebook : facebook.com/SaturdaySchoolThailand
Website : saturday-school.org

ทำไมภาครัฐฝรั่งเศสถึงจ้างโรงงานผลิตไวน์ทำลายไวน์และจ้างเกษตรกรปลูกมะกอกแทนองุ่น

ฤดูร้อนที่ผ่านมาเราใช้เวลาร่วมครึ่งเดือนอยู่ที่ฝรั่งเศส ถึงแม้เป็นเพียงช่วงเวลาสิบกว่าวันเท่านั้นแต่ช่วงเวลาสั้นๆ นี้ ทำให้เราเห็นถึงความรุ่มรวยไม่เร่งเร้ารีบร้อนของคนฝรั่งเศส ความสุนทรีในการกินดื่ม และการใช้ชีวิต

ไวน์ ดูเป็นเครื่องดื่มสามัญประจำบ้านและร้านอาหารที่หันมองซ้ายขวาก็เจอได้ทั่วไป พอๆ กับการหาซื้อน้ำอัดลมได้ง่ายๆ ในบ้านเรา คนฝรั่งเศสบางคนดื่มไวน์ตอนมื้อกลางวัน หลังวุ่นกับงานมาตลอดช่วงเช้า หรือบางคนดื่มมันตอนบ่ายๆ เพื่อดึงเข็มนาฬิกาให้หมุนช้าลงอีกนิดตอนที่ละเลียดไวน์แต่ละจิบเข้าไปในลำคอ

จากที่เราเล่าไป ฟังดูเหมือนว่า ‘ไวน์’ เป็นเครื่องดื่มที่สำคัญและแทรกซึมอยู่ในชีวิตประจำวันของคนฝรั่งเศสอย่างแพร่หลายใช่ไหมคะ

ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะแปลกใจถ้าเราจะบอกคุณว่าตอนนี้รัฐบาลฝรั่งเศสกำลังต้องควักเงินจำนวนกว่า 160 ล้านยูโร (ประมาณ 5,900 ล้านบาท) ในการทำลายไวน์ทิ้ง หรือที่หลายๆ สำนักข่าวใช้คำแบบสุดโต่งว่า ‘เทไวน์ทิ้ง’

เราอยากให้คุณเลิกคิ้วลงสักครู่แล้วฟังเราอธิบายก่อนว่าทำไมอยู่ดีๆ รัฐบาลของประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องไวน์นักหนาจำต้องมาทำลายไวน์ทิ้งกันนะ

สาเหตุทั้งหมดเริ่มต้นจากสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งเราอาจจะต้องย้อนกลับไปถึง 3-4 ปีที่แล้ว ช่วงปลายปี 2019 เมื่อเริ่มมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 และทุกอย่างหยุดชะงัก ทั้งเศรษฐกิจ การพัฒนาประเทศ เราต้องรักษาระยะห่าง ร้านค้าต่างๆ ต้องปิดตัวลงชั่วคราวหรือบางแห่งถึงกับต้องปิดตัวลงอย่างถาวรเลยด้วยซ้ำ เพราะผู้คนรัดเข็มขัดเรื่องการใช้จ่าย และร้านค้าเองก็ไม่มีสายป่านที่ยาวพอที่จะพยุงค่าใช้จ่ายเอาไว้ได้

ร้านอาหารเกือบทุกร้านต้องเผชิญกับวิกฤตครั้งสำคัญเพราะผู้คนเข้ามานั่งกินข้าวในร้านไม่ได้ ต้องสั่งกลับบ้านเท่านั้น ลำพังอธิบายเพียงเท่านี้คุณคงพอนึกภาพตามได้แล้วว่าผลกระทบคลื่นลูกใหญ่จากโควิด-19 นั้นสร้างความเสียหายมหาศาลต่อระบบเศรษฐกิจของโลก

แล้วสรุปว่ามันเกี่ยวกับการทำลายไวน์ทิ้งยังไง? 

เมื่อร้านอาหารเปิดให้บริการนั่งกินในร้านไม่ได้ ยอดขายของเครื่องดื่มหลายชนิดก็ลดลงตามไปด้วย รวมถึง ‘ไวน์’ ที่ยอดขายตามร้านอาหารลดฮวบ อาจจะเรียกได้ว่าคลื่นลูกแรกแห่งวิกฤตความต้องการไวน์ลดลงเริ่มขึ้นจากตรงนี้

ถึงแม้ไม่ได้เรียนเอกเศรษฐศาสตร์ แต่ทุกคนคงพอมีความรู้วิชาเศรษฐศาสตร์พื้นฐานระดับ 101 ที่ว่าถ้าความต้องการของผู้ซื้อในตลาด ไม่สัมพันธ์กับจำนวนของสินค้าที่มีในตลาด กลไกของราคาก็จะมีการปรับขึ้นและลงตามอำนาจและความต้องการของผู้ผลิตและผู้ซื้อ 

เมื่อเกษตรกรผู้ปลูกองุ่นและเจ้าของกิจการโรงงานทำไวน์ยังคงผลิตไวน์มาในอัตราการผลิตเท่าเดิม แต่ความต้องการไวน์ในตลาดลดลง ไวน์กลายเป็นของที่มีเกลื่อนตลาดจนเกินไป ราคาไวน์หลายแห่งจึงจำต้องปรับตัวลงเพราะไวน์ที่มีอยู่มากจนเกินไป ร้านค้าหรือบางทีผู้ผลิตเองจำต้องระบายของออกด้วยวิธีการที่ไม่มีใครอยากทำแต่ก็จำต้องทำ นั่นคือ ลดราคาลง

grapes line controller

แต่สถานการณ์โรคระบาดคือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเป็นวัฏจักรบนโลกใบนี้อยู่แล้วมิใช่หรือ เมื่อมียารักษาหรือวัคซีนที่ก้าวหน้ามากพอ สถานการณ์ทุกอย่างควรจะคลี่คลายลงและทุกอย่างควรจะกลับมาเป็นปกติ นี่คงเป็นความคิดที่เกษตรกรผู้ปลูกองุ่นหรือผู้ผลิตไวน์แอบหวังใจอยู่ลึกๆ แต่ความเป็นจริงแล้วบางสิ่งบางอย่างบนโลกนี้ที่เปลี่ยนไปแล้ว ใช่ว่าจะกลับคืนสู่สภาวะเดิมได้เสมอไป บางอย่างที่เปลี่ยนไปแล้วก็ไม่สามารถคืนย้อนกลับมาได้เหมือนเดิม ดังเช่น พฤติกรรมการดื่มกินของคน ที่ลดความนิยมในการละเลียดไวน์ลงแต่หันไปดื่มเครื่องดื่มชนิดอื่นมากขึ้น เช่น เบียร์ และค็อกเทล 

ซึ่งจะว่าไปเทรนด์การบริโภคไวน์ที่ลดลงใช่ว่าจะมาแรงในช่วงโควิด-19 เท่านั้น อันที่จริงแล้วเทรนด์ความนิยมในไวน์ของคนฝรั่งเศสค่อยๆ ลดลงเรื่อยมา เพียงแต่โควิด-19 เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่ทำให้ทุกอย่างมันรุนแรงและรวดเร็วขึ้นก็เท่านั้นเอง

ความนิยมในการดื่มที่เปลี่ยนแปลงไปดูได้จากสถิติในการบริโภคไวน์ของคนฝรั่งเศส โดยเฉลี่ยแล้วสถิติเมื่อ 70 ปีย้อนหลังคนฝรั่งเศสดื่มไวน์ 130 ลิตร ต่อคนต่อปี แต่ปัจจุบันนี้ที่ปี 2023 ตัวเลขลดลงเหลือเพียงแค่ 40 ลิตรต่อคนต่อปีเท่านั้น ไวน์แดงทั่วทั้งฝรั่งเศสมียอดขายลดลง 15% ในปี 2022 ส่วนไวน์ขาวและไวน์โรเซ่มียอดลดลงอยู่ที่ 3-4%

ตัวเลขการดื่มไวน์ลดลงอย่างน่าใจหายแต่ผู้ผลิตไวน์ยังคงผลิตออกมาเท่าเดิม คือสาเหตุหลักที่ทำให้ไวน์มีมากจนล้นเกินความต้องการของตลาด และรัฐบาลฝรั่งเศสจำต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเพื่อให้อุตสาหกรรมการผลิตไวน์ในฝรั่งเศสยังเดินต่อไปข้างหน้าได้ นอกจากเป็นการประคับประคองผู้ผลิตไวน์ในประเทศ การยื่นมือเข้าช่วยเหลือของรัฐบาลฝรั่งเศสถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นต่อการจ้างงานระดับประเทศด้วยเช่นกัน เพราะมีการประมาณการเอาไว้ว่าแรงงานในอุตสาหกรรมไวน์ในฝรั่งเศสมีอยู่ประมาณ 5 แสนคน ดังนั้นหากไม่มีการแทรกแซงช่วยเหลือใดๆ จากรัฐเลย น่าจะมีคนประมาณ 1-1.5 แสนคนต้องตกงานในไม่ช้านี้

โดยผู้ผลิตไวน์ในฝรั่งเศสที่ดูเหมือนกับว่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุดคือผู้ผลิตไวน์จากบอร์กโดซ์ ซึ่งสัมพันธ์กับข้อมูลข้างต้นที่เราเล่าให้คุณฟังเอาไว้ว่า ยอดขายไวน์แดงลดลงกว่า 15% ในซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วฝรั่งเศส และบอร์กโดซ์ก็ขึ้นชื่อเรื่องการผลิตไวน์แดงซะด้วย โดยเดือนมิถุนายน 2023 รัฐบาลฝรั่งเศสจ่ายเงินไปแล้วกว่า 57 ล้านยูโร (ประมาณ 1,900 ล้านบาท) เพื่อช่วยเหลือผู้ผลิตไวน์ในแคว้นนี้และสนับสนุนให้เปลี่ยนจากการปลูกองุ่นเพื่อทำไวน์ไปปลูกพืชชนิดอื่นแทน เช่น มะกอก

แต่สมาพันธ์เกษตรกรผู้ปลูกองุ่นและทำไวน์จากบอร์กโดซ์กลับมองว่าเงินจำนวนนี้ไม่เพียงพอต่อการปรับเปลี่ยนพื้นที่ให้ไปปลูกพืชชนิดอื่นแทนได้ เงินจำนวนนี้ทำได้แค่เพียงช่วยเหลือเกษตรกรและผู้ทำไวน์ในระยะสั้นเท่านั้น

มีการคาดการณ์จากสมาพันธ์เกษตรกรผู้ปลูกองุ่นและทำไวน์จากบอร์กโดซ์ว่า การปรับเปลี่ยนพื้นไร่และผืนดินจากการปลูกองุ่นเพื่อทำไวน์มาเป็นการปลูกมะกอกน่าจะกินพื้นที่ถึง 15,000 เฮคแทร์ และจำนวนเงินที่สมาพันธ์เรียกร้องให้รัฐบาลฝรั่งเศสช่วยเหลือในการปรับพื้นที่คือ 10,000 ยูโร ต่อ 1 เฮคแทร์

ต่อมาคือประเด็นที่ว่าเงิน 160 ล้านยูโรที่รัฐบาลฝรั่งเศสกำลังจ่ายไปเพื่อช่วยพยุงราคาของไวน์ทั้งประเทศนั้น รัฐบาลฝรั่งเศสจะนำไวน์จำนวนมหาศาลนั้นไปทำอะไรต่อ?

คำตอบอาจไม่เหมือนดังเช่นที่หลายสำนักพาดหัว คือเอาไปเททิ้ง เพราะการซื้อมาเพื่อเททิ้ง คงดูสวนทางกับหลักการการบริโภคอย่างยั่งยืนที่รัฐบาลฝรั่งเศสตั้งใจจะปฏิบัติ ดังนั้นรัฐบาลฝรั่งเศสจึงซื้อไวน์มาเพื่อนำไปแปรรูปเป็นอย่างอื่น เช่น นำไปแปรรูปเป็นแอลกอฮอล์ในอุตสาหกรรมยา นำไปแปรรูปเป็นแอลกอฮอล์ล้างมือ นำไปแปรรูปเป็นแอลกอฮอล์ที่ใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางและน้ำหอม เป็นต้น

มิใช่แต่เพียงแค่ชาวไร่ที่ปลูกองุ่นหรือผู้ผลิตไวน์ในฝรั่งเศสเท่านั้นที่จับตาดูว่าเทรนด์การดื่มไวน์และราคาไวน์ฝรั่งเศสจะไปต่อในทิศทางใด แต่เชื่อว่าคนทั้งโลกก็คอยจับจ้องดูเช่นกันว่าเราจะได้เห็นไวน์ฝรั่งเศสที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสัญลักษณ์แห่งความหรูหรารุ่มรวย ดื่มได้เฉพาะในโอกาสพิเศษที่สำคัญเท่านั้น หรือมันจะกลายเป็นเครื่องดื่มที่มีราคาเป็นมิตรมากเสียจนคนธรรมดาที่ไม่ได้อยู่ที่ฝรั่งเศสสามารถจิบละเลียดได้ในมื้อกลางวันในวันที่อากาศร้อนๆ เพื่อความบันเทิงในตอนพักเที่ยงหลังต้องเผชิญงานกองท่วมหัวมาตลอดเช้า

ไม่แน่ว่าเราอาจได้เห็นเพื่อนร่วมงานเราสักคนดื่มไวน์แดงจากบอร์กโดซ์สักแก้วเคียงกับข้าวเหนียวหมูปิ้งตอนพักกลางวันก็ได้ในอนาคต

อ้างอิง 

‘Digital Footprint’ รอยเท้าที่อาจย้อนมา ทำลายธุรกิจได้ในชั่วพริบตา

เคยได้ยินไหมว่า ‘อดีตลบได้ แต่แคปทัน’

ไม่ว่าจะเป็นโลกแห่งความจริงหรือโลกออนไลน์ ทุกการกระทำย่อมมีผลลัพธ์ตามมาเสมอ การใช้โซเชียลมีเดียก็เช่นกัน แม้จะลบโพสต์แล้ว แต่ก็ยังถูกบันทึกไว้ในบิ๊กดาต้าที่สำหรับโลกธุรกิจแล้ว วันหนึ่งวันใดมันอาจกลายเป็นหอกกลับมาทำร้ายแบรนด์ในอนาคต

ปัจจุบัน digital footprint ส่งผลกระทบต่อการทำธุรกิจมากกว่าที่ผ่านมา ไม่ว่าแบรนด์จะโพสต์ แชร์ หรือคอมเมนต์อะไรสักอย่างบนโลกออนไลน์ แม้จะลบไปแล้ว แต่ก็อาจถูกขุดขึ้นมาได้ทุกเมื่อ แม้กระทั่งนักการเมือง ดารา เน็ตไอดอล หรือแบรนด์สินค้า ต่างก็เคยพลาดกับ digital footprint มาแล้ว

นิยามของ Digital Footprint

digital footprint หรือรอยเท้าดิจิทัล คือข้อมูลทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียและโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการโพสต์คอนเทนต์ การตอบคอมเมนต์ การกดไลก์ หรือแม้แต่ประวัติการค้นหา ข้อมูลเหล่านี้จะถูกบันทึกอยู่ตลอดไป และอาจถูกขุดขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้ โดยเฉพาะถ้าคุณเป็นคนทำธุรกิจ ทุกตัวอักษรที่โพสต์ไปจะเป็นการตอกย้ำตัวตนของธุรกิจให้คนภายนอกรับรู้ว่าเราคือใคร มีทัศนคติหรือแนวคิดยังไง 

มหาวิทยาลัยอเบอร์ดีน ได้แบ่ง digital footprint เป็น 2 ประเภท คือ

  1. Passive Digital Footprint คือข้อมูลดิจิทัลที่ทิ้งไว้โดยไม่เจตนา ไม่ได้ตั้งใจ เช่น  IP Address ประวัติการค้นหา และการบันทึกพาสเวิร์ดเพื่อเข้าสู่เว็บไซต์
  1. Active Digital Footprint คือข้อมูลดิจิทัลที่เปิดเผยโดยเจตนา เช่น การโพสต์สเตตัสในโซเชียลมีเดีย การเขียนบล็อก การคอมเมนต์ และการโพสต์รูป เป็นต้น ซึ่งเป็นข้อมูลที่ส่งผลต่อชีวิตเรา

นั่นหมายความว่า แค่เราเป็นผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่ล็อกอินเข้าเฟซบุ๊ก ทวีตข้อความในทวิตเตอร์ หรือแชร์ภาพตัวเองในอินสตาแกรม ทุกอย่างที่โพสต์ได้ถูกบันทึกไว้ด้วย digital footprint แล้ว ยิ่งทำคอนเทนต์มากเท่าไหร่ รอยเท้าดิจิทัลก็เยอะตาม

Digital Footprint ในโลกธุรกิจ

ในมุมของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วไป ทุกครั้งที่เข้าสู่โลกออนไลน์ นั่นหมายความว่าคุณได้ทิ้งร่องรอยตัวตนไว้แล้ว ซึ่งข้อมูลเหล่านี้แหละคือ digital footprint ส่วนบุคคล ที่ภาคธุรกิจจะนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อให้รู้จักลูกค้าได้มากขึ้น ทั้งเรื่อง demographic ความชอบ ความสนใจ ที่อยู่อาศัย ฯลฯ หากมีการบริหารจัดการข้อมูลที่ดีจะช่วยให้การวางแผนธุรกิจ ทำตลาด มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น มาถึงตรงนี้ ถ้าคุณเป็นคนทำธุรกิจ คงเริ่มเห็นข้อดีของ digital footprint ในนิยามนี้ 

ตัวอย่างเช่น ในธุรกิจการเงิน สามารถใช้ประโยชน์จาก digital footprint ได้ เช่น บริการสินเชื่อของ Rabbit Cash ในไทย ได้นำ digital footprint และข้อมูลส่วนบุคคล (Behavioral Footprint) มาประเมินความสามารถในการปล่อยสินเชื่อ ทำให้ธนาคารบริหารความเสี่ยงได้ดียิ่งขึ้น และสามารถออกแบบผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์พฤติกรรมลูกค้า

นอกจากเรื่องความเป็นส่วนบุคคลแล้ว digital footprint สามารถนำมาใช้กับธุรกิจได้ ในยุคปัจจุบันทุกธุรกิจย่อมมี own channel อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของตัวเอง สร้างคลังข้อมูลของธุรกิจ ร่วมกับการทำ SEO เพื่อให้เว็บไซต์ถูกค้นพบได้ง่ายขึ้นด้วยการใช้คีย์เวิร์ดต่างๆ รวมถึงการนำรีวิวจากลูกค้ามาใช้เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้ธุรกิจ มีข้อมูลจาก Wisesight บอกว่า ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 แบรนด์สินค้าในไทย 97% ใช้เฟซบุ๊กหนึ่งในช่องทางการสื่อสารหลัก ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอโปรโมชั่นลดราคา การพูดคุยเพื่อเพิ่มยอดเอนเกจเมนต์

และเนื่องจากเดี๋ยวนี้ผู้บริโภคมักจะค้นหาข้อมูลสินค้าหรือบริการผ่านอินเทอร์เน็ต ถ้าเจอข้อความเชิงลบ หรือการเมินเฉยต่อคำร้องเรียนของลูกค้า ต่อให้สินค้าดีแค่ไหน ลูกค้าก็ไม่ตัดสินใจซื้อแน่นอน ดังนั้นถ้าธุรกิจมี digital footprint เชิงบวกมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งส่งผลดี และสร้างความประทับใจให้ลูกค้าได้เท่านั้น

โปรดท่องไว้เสมอว่า ทุกข้อความ ทุกภาพที่คุณสื่อสารออกไป ล้วนเป็นรอยเท้าที่พร้อมจะตีกลับหาธุรกิจของคุณได้ทันที แต่อาจไม่ต้องกังวลจนไม่กล้าสื่อสารสิ่งใดที่สะท้อนความเชื่อของแบรนด์ แค่ถ่ายทอดตัวตนของธุรกิจให้ดีและคิดอย่างถี่ถ้วนที่สุด เพราะ digital footprint เป็นสิ่งที่ทำให้ลูกค้าเข้าถึงและค้นพบธุรกิจของคุณได้ในแบบที่คุณเป็น ฉะนั้นทุกคอนเทนต์ที่ส่งออกไปบนโลกออนไลน์ในนามธุรกิจ ต้องมีความระมัดระวัง ตรวจทานอย่างละเอียด ข้อมูลถูกต้องครบถ้วน เพื่อป้องกันความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ไม่รู้

หนึ่งในกรณีศึกษาที่น่าสนใจคือ Coca-Cola แบรนด์เครื่องดื่มระดับโลกก็เคยประสบกับวิกฤตครั้งใหญ่ ที่มีข่าวว่าในผลิตภัณฑ์มีสารเคมีปนเปื้อน ที่สั่นคลอนความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนและผู้บริโภคอย่างมาก หลายประเทศประกาศห้ามขายโค้กทันที เมื่อข่าวดังกล่าวแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว และยังได้แรงส่งจากโซเชียลมีเดียและการรายงานของสื่อ ยิ่งทำให้กระแสข่าวมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น ซึ่งทาง Coca-Cola ได้ดำเนินการแก้ไขสถานการณ์อย่างรวดเร็ว มีการตรวจสอบอย่างละเอียด ออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจและรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และยังเรียกคืนสินค้าเพื่อตรวจสอบอีกครั้ง

แน่นอนว่า Coca-Cola สามารถผ่านวิกฤตนั้นมาได้ แต่เรื่องราวดังกล่าวก็เป็น digital footprint ที่คงอยู่ในโลกออนไลน์ต่อไป แต่หากในเวลานั้น Coca-Cola นิ่งเฉยต่อเหตุการณ์ เมื่อผู้คนค้นหาเรื่องราวของแบรนด์ คงเจอแต่ร่องรอยของความเคลือบแคลง ทว่า Coca-Cola เลือกที่จะแก้ปัญหาอย่างจริงจังจึงก้าวผ่านวิกฤต และสร้าง digital footprint เชิงบวกให้ธุรกิจได้

นอกจากการสื่อสารจากฝั่งแบรนด์แล้ว digital footprint ยังครอบคลุมไปถึงการทำตลาดผ่านพรีเซนเตอร์ และ brand ambassador ที่ถือเป็นหน้าตาของแบรนด์ โดยเฉพาะในยุค digital footprint ที่ทุกคนสามารถขุดเรื่องราวในอดีตมาบอกต่อได้ ตัวอย่างเช่น ยาดมแบรนด์หนึ่งประกาศปลดพรีเซนเตอร์นักแสดงวัยรุ่นที่มีประวัติเสียหายหลังมีข่าวใช้ความรุนแรง เนื่องจากมีกระแสกดดัน หากไม่ปลดพรีเซนเตอร์จะแบนผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะสร้างความเสียหายให้ธุรกิจอย่างมาก ดังนั้นการจะเลือกบุคคลที่เป็น brand ambassador ต้องมีการตรวจสอบประวัติ และ digital footprint ของคนคนนั้นให้ดีเสียก่อน เพื่อตัดไฟตั้งแต่ต้นลม และป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับแบรนด์ในอนาคต  

จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ จะเห็นได้ว่า digital footprint เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อการทำธุรกิจยุคนี้ เพราะทุกเมสเซจที่ออกไป จะสะท้อนตัวตนของธุรกิจให้ชัดเจนขึ้น digital footprint จึงเปรียบเหมือนชื่อเสียงของธุรกิจที่ต้องรักษาให้ดีอยู่เสมอ ไม่อย่างนั้นคุณอาจโดนขุดและโดนอดีตไล่ล่า

อ้างอิง