ส่วน Mc JEANS เองกำลังย่างเข้า 49 ปีในปีนี้และเป็นแบรนด์ยีนส์ไทยในตำนานที่โดดเด่น เน้นคุณภาพโปรดักส์ที่ทั้งผู้หญิง ผู้ชาย คนทุกวัยและทุกหุ่นสามารถใส่ได้
ปีนี้เป็นครั้งแรกที่ขายหัวเราะกับ Mc JEANS คอลแล็บร่วมกันในคอลเลกชั่นชื่อ Mc Over ที่จับคาแร็กเตอร์การ์ตูนของขายหัวเราะที่หลายคนคุ้นหน้าคุ้นตากันมาเมคโอเวอร์ หรือเปลี่ยนลุคการแต่งตัว ไม่ว่าจะเป็น บ.ก.วิธิต หนุ่มใหญ่วัยทำงานที่มักใส่สูทสุดเนี้ยบและแต่งตัวเคร่งขรึมมาตลอด, โจห์น หนุ่มเซอร์ลุคแบดที่แต่งตัวไม่เป็น, หนูหิ่น สาวผมสั้นวัยใสที่ทุกคนมักจดจำได้ในชุดคอกระเช้าและผ้าถุง, คนติดเกาะที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าจืดชืดจำเจเพราะอยู่บนเกาะคนเดียว
ครั้งนี้คาแร็กเตอร์เหล่านี้จะลุกขึ้นมาปรับลุคครั้งใหญ่ให้สนุกขึ้นด้วยเสื้อผ้าของ Mc JEANS ซึ่งนอกจากจะมีการ์ตูนและแอนิเมชั่นให้รออ่านและรับชมกันแล้ว ทีมดีไซเนอร์ของ Mc JEANS และนักวาดการ์ตูนของขายหัวเราะยังร่วมมือกันเสกชุดของคาแร็กเตอร์แต่ละตัวจากการเมคโอเวอร์ในครั้งนี้ให้ทุกคนได้ลองใส่กันในชีวิตจริงอีกด้วย
เจมส์–ริชาร์ด อมตวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน)และ นิว–พิมพ์พิชา อุตสาหจิต Executive Director และกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทเครือ Vithita Group (วิธิตากรุ๊ป) ผู้สานต่อขายหัวเราะจะมาเล่าถึงเบื้องหลังของการคอลแล็บในครั้งนี้ตั้งแต่การตั้งโจทย์ที่อยากสร้างความสุขให้คนไทยในรูปแบบสร้างสรรค์จนออกมาเป็นคอลเลกชั่นเสื้อผ้าสุดพิเศษที่แฟนคลับน่าจะชอบและหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว
สำหรับเสื้อฮู้ดจะซ่อนความขี้เล่นด้วยกระเป๋าเสื้อที่มีตัวการ์ตูนโผล่ออกมา ส่วนเสื้อยืดก็มีกระเป๋าเสื้อเดนิมซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของ Mc JEANS นอกจากนี้โลโก้ตรงกลางเสื้อและหมวกยังไม่ใช่โลโก้ของแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งแต่รวมโลโก้ของทั้งสองแบรนด์เข้าด้วยกันออกมาเป็นโลโก้ของ Mc JEANS ที่ใช้สีสันหลากหลายตามสไตล์ของขายหัวเราะและมีการ์ตูนเกาะอยู่ตามโลโก้ การใส่ใจรายละเอียดเหล่านี้เพื่อบาลานซ์ซิกเนเจอร์ของทั้งสองแบรนด์ให้มีความโดดเด่นพอๆ กัน
อีกตัวที่เด่นไม่แพ้กันคือเสื้อคอกลมลายการ์ตูน 4 ช่องที่เล่าเรื่องราวจากแอนิเมชั่นในคอลแล็บครั้งนี้เกี่ยวกับที่มาของการเมคโอเวอร์ ตั้งแต่มีอุกกาบาตตกมาโดนโลกทำให้ผู้คนซึมเศร้าจนแต่งตัวไม่สดใส และฮีโร่ของการกอบกู้โลกในครั้งนี้คือศูนย์บัญชาการ Mc JEANS ที่ส่งลำแสงพาทุกคนไปแปลงร่างออกมาเป็นเหล่าคาแร็กเตอร์ขายหัวเราะในชุดสุดอินเทรนด์
การทำเสื้อผ้าสำหรับคาแร็กเตอร์ของขายหัวเราะที่หลากหลายเหล่านี้สอดคล้องกับความเชื่อของ Mc JEANS ที่อยากทำเสื้อผ้าโดยคำนึงถึงความหลากหลายสำหรับคนทุกกลุ่ม (diversity) และทุกเจเนอเรชั่นในชีวิตจริง เพราะแฟนคลับของ Mc JEANS มีตั้งแต่รุ่นเบบี้บูมเมอร์และเจนฯ X ไปจนถึงกลุ่มคนทำงานอย่างเจนฯ Y และวัยรุ่นที่เด็กลงมาอย่างเจนฯ Z และแบรนด์ยังมีความตั้งใจในการทำเสื้อผ้าโดยคำนึงถึงความหลากหลายทางรูปร่าง (body positivity) สำหรับคนทุกหุ่นด้วย ทั้งอ้วน ผอม สูง เพื่อสนับสนุนให้คนทุกไลฟ์สไตล์สามารถแต่งตัวแล้วออกไปใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่และมั่นใจ
ที่ผ่านมา Mc JEANS ยังเป็นแบรนด์ที่ทำแคมเปญชื่อ My Mc My Way อย่างต่อเนื่องมาตลอด 2 ปี โดยลงลึกถึงการทำคอนเซปต์ของเสื้อผ้าแต่ละตัวให้เหมาะกับกลุ่มคนหลากหลาย
“เราอยากให้คนสมัยใหม่รู้สึกเชื่อมโยงกับแบรนด์อยู่ตลอด คนยุคนี้จะไม่ได้สนใจแค่ว่าเสื้อผ้าราคาเท่าไหร่ แต่สนใจว่าเสื้อผ้าเหล่านี้ทำยังไงด้วย นอกจากการคอลแล็บครั้งนี้ Mc JEANS ยังใส่ใจเรื่องความยั่งยืนที่คนรุ่นใหม่ให้คุณค่าด้วย เช่น ใช้กระดุมรีไซเคิล” เจมส์เล่าถึงวิสัยทัศน์ที่ทำให้ Mc JEANS เป็นแบรนด์เดนิมคู่คนไทยมายาวนาน
Soft Power in Fashion & Cartoon
แม้ทั้งสองแบรนด์จะทำสิ่งที่แตกต่างกัน แต่ต่างมีจุดร่วมที่เหมือนกันคือเป็นแบรนด์ไลฟ์สไตล์ ในขณะที่ขายหัวเราะสร้างความสุขให้คนไทยผ่านซอฟต์พาวเวอร์อย่างการ์ตูน Mc JEANS ก็เพิ่มความสนุกในการแต่งตัวด้วยแฟชั่นไอเทม
สำหรับขายหัวเราะ การคอลแล็บร่วมกับ Mc JEANS ในครั้งนี้ทำให้ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์พาเหล่าคาแร็กเตอร์ข้ามไปยังพรมแดนใหม่ของการ์ตูนที่ลงลึกไปถึงแฟชั่นไอเทมและสตอรีเบื้องหลังซึ่งทำให้การ์ตูนมีมิติใหม่ที่ไม่ใช่แค่การ์ตูน 2D ในกระดาษหรือ 3D ในจอเท่านั้น แต่เป็นมิติทางแฟชั่นที่นิวบอกว่าทำให้แบรนด์ขายหัวเราะไปไกลกว่าการทำการ์ตูนสำหรับอ่าน
ส่วน Mc JEANS ก็สนุกกับการสร้างสรรค์เสื้อผ้าให้คนใส่สนุกอยู่แล้ว สะท้อนผ่านโปรดักต์และแคมเปญที่พวกเขาทำมาสม่ำเสมอ
“สำหรับผมการคอลแล็บครั้งนี้คือการ bring happiness, smile and laughter to life ท่ามกลางโลกเราตอนนี้ที่มีปัญหาร้อยแปดเต็มไปหมด การคอลแล็บในครั้งนี้ก็อยากทำเพื่อให้คนได้มาหยุดพัก ยิ้มและหัวเราะด้วยกัน และสำหรับแฟนคลับขายหัวเราะก็ยังทำให้นึกถึงความทรงจำเกี่ยวกับการ์ตูนด้วย อย่างผมเวลาเห็นคาแร็กเตอร์เหล่านี้อยู่ที่ไหนก็จะนึกถึงความทรงจำสมัยเด็กตอนนั่งอ่านการ์ตูนขายหัวเราะ
อัลบั้ม Barbie: The Album ซาวนด์แทร็กประกอบหนังที่ชวนศิลปินเบอร์ใหญ่หลายคนมาทำ Original Song ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น Dua Lipa, Lizzo, Billie Eilish, Sam Smith, Ice Spice, Nicki Minaj และเจ้าของเพลง Barbie World ดั้งเดิมอย่าง Aqua
“พอทำที่ศิริราชเสร็จ ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อก็โชคดีได้รับทุนจากโรงพยาบาลรามาธิบดีไปเรียนต่อ ตอนนั้นเรียนปริญญาโทแบบไฮบริดจ์ด้าน biomedical informatics ที่มหาวิทยาลัย Oregon Health & Science University จากทุนที่รามาธิบดี (เรียนด้านวิชาการที่ไทยแต่บินไปทำกิจกรรมและสอบที่สหรัฐฯ)
“วิชา Biomedical Informatics เรียกง่ายๆ คือ health informatics ก็คือการใช้ไอทีกับสุขภาพ อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการข้อมูลด้านสุขภาพก็เรียนหมดเลย เพราะทุก medical record ของโรงพยาบาลคือข้อมูลสุขภาพทั้งหมด สายงานนี้สามารถพัฒนาสู่การเป็นCMIO – Chief Medical Information Officer ในวงการแพทย์ได้ ถ้าในบริษัททั่วไปคือ CIO – Chief Information Officer ไม่ได้หมายความว่าต้องเขียนแอพฯ ทุกวัน แต่ต้องบริหารข้อมูลให้ได้รวดเร็ว ปลอดภัย
“ระหว่างเรียนก็ใช้ความรู้ที่เคยทำให้ศิริราชไปช่วยทำระบบ hospital management information system ที่รามาธิบดีเหมือนกันและย้ายมาใช้ทุนที่รามาธิบดี ก็เรียกว่าเป็นตำแหน่งนักวิเคราะห์ระบบงานทางการแพทย์ รวมอยู่ศิริราช 2 ปี อยู่รามาธิบดี 8 ปี ถ้ารวมปริญญาโทอีกก็ใช้เวลาอยู่ในวงการแพทย์รวมทั้งหมด 16 ปี
“หลักคิดที่ได้จากวงการแพทย์ที่สำคัญสุดเลยคือเขาบอกว่า First, do no harm แปลว่า ถ้าคนไข้ไม่ได้ป่วย ก็อย่าไปทำให้เขาป่วย เราอย่าไปทำร้ายเขา สมมติถ้าคิดว่าเราสั่งยาให้คนไข้ไม่ถูก ก็อย่าสั่งยาให้เลย เพราะเราอาจจะทำให้เขาป่วยก็ได้ รู้สึกว่ามันเป็น principal ที่ดีของหมอที่ทำให้พอมาทำธุรกิจมันก็มีข้อดีหลายเรื่อง หนึ่งคือเราตั้งมั่นอยู่บนพื้นฐานจริยธรรม เพราะพอเป็นหมอมาเราก็ไม่อยากทำให้ใครต้องเดือดร้อน ข้อที่สอง เป็นหมอก็จะต้องเป็นคนละเอียดรอบคอบ ซึ่งสิ่งนี้ก็น่าจะทำให้ในช่วงต้นของธุรกิจ เราก็ไม่ค่อยทำอะไรผิดที่เป็นเรื่องใหญ่”
President ITEUS Corporation
“พอทำระบบให้โรงพยาบาลภาครัฐแล้ว โรงพยาบาลเอกชนก็อยากจะมีระบบเหมือนกัน เขาก็บอกเราว่าช่วยไปทำให้หน่อย เลยใช้ประสบการณ์ทั้งหมดที่มีมาเปิดบริษัทชื่อ ITEUS (IT is all about us) เป็นที่ปรึกษาด้านการทำ healthcare IT system ให้โรงพยาบาล งานหลักของ ITEUS คือการทำซอฟต์แวร์ให้โรงพยาบาลแบบเดิมนี่แหละ ทำระบบลงทะเบียนจ่ายยาและประวัติคนไข้ในโรงพยาบาลขนาดไม่เกิน 1,000 เตียง มีลูกค้าเช่น โรงพยาบาลจุฬาฯ โรงพยาบาลกรุงเทพ โรงพยาบาลรามคำแหง ก็เป็นบริษัทที่ปรึกษาที่แรกของไทยที่ได้รับ HL7 Version 3 Certified (RIM) Consultant พูดง่ายๆว่า HL7 เป็นเหมือนสแตนดาร์ดของโลกในวงการหมอไอที คือต้องเป็นหมอที่เป็นไอทีด้วย คล้าย ISO (มาตรฐานการวัดคุณภาพองค์กรทั่วโลก) ที่แสดงว่าเราสามารถลิงก์ข้อมูลทุกๆ อย่างของระบบสาธารณสุขตามระบบมาตรฐานกลางได้”
“ในปี 2018 ที่ก่อตั้ง RISE แล้ว ผมขออนุญาต Co-founder ทุกคนไปเรียนที่ Stanford Business School มีที่ไหน CEO จะลาไปเรียนหนังสือตอนที่บริษัทกำลังทำอยู่ แต่ผมมีโจทย์สามเรื่องที่ผมจะไป หนึ่งคือไปแล้วต้องกลับมาตั้ง venture capital (ธุรกิจเงินร่วมลงทุนที่ลงทุนในธุรกิจที่มีการเติบโตสูง) คือ SeaX Ventures ให้สำเร็จให้ได้ นี่คือวิธีคิดที่ไม่เสี่ยงเพราะเราไป with the end goal in mind มันเลยคุ้มตั้งแต่ก่อนไปเรียน สอง ผมตั้งใจว่าจะเอา RISE ไปเซ็นสัญญากับ Stanford Business School เราเลยเป็นองค์กรเดียวในไทยที่เซ็นพาร์ตเนอร์กับ Stanford Business School เพราะการไปเรียนก็ช่วยให้เขาพิจารณาได้ง่ายขึ้น สาม ผมอยากไปเป็น TA (teaching assistant) หรือผู้ช่วยอาจารย์ที่ d.school (โรงเรียนสอน design thinking ที่สแตนฟอร์ด) เรียนเสร็จปุ๊บ ก็ลองวิชาด้วยการสอนเลย พอกลับมามันก็มีอิมแพกต์ได้ขยายและต่อยอดบริษัทหลังจากที่กลับมา และพอมีเป้าหมายตั้งแต่แรก พาร์ตเนอร์ทุกคนเลยบอกว่าไปได้ การเรียนที่สแตนฟอร์ดก็เป็นการตอกย้ำในสิ่งที่เราตั้งใจทำ เพราะ motto ของเขาเหมือนกับสิ่งที่เราอยากทำคือ “Change lives. Change organizations. Change the world.”
“แล้วเลือกลงทุนยังไงให้ไม่พลาด ตัวผมเองจะมีเกณฑ์อยู่ 3 เรื่องด้วยกันที่พบว่าเมื่อใช้เกณฑ์นี้ในการเลือกลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพแล้วเวิร์ก เรื่องแรกคือผู้ก่อตั้งต้องเป็น world class founder แปลว่าเราต้องมั่นใจว่าเขาเป็นคนที่เจ๋งที่สุดที่จะทำเรื่องนี้ในโลก เช่น เราไปลงทุนในบริษัทที่ทำเรื่อง autonomous store แบบ Amazon Go แต่มีเจ้าที่ทำได้เจ๋งกว่า Amazon Go 20 เท่า ซึ่งทีมผู้ก่อตั้งของเขามีทั้งคนทำงานที่ Apple, คนที่ทำ Google Glass และคนที่แข่งคอมพิวเตอร์โอลิมปิก เราก็เลยมั่นใจว่าแบบนี้คือ world class founder ที่เจ๋งจริง
รากฐานสำคัญหนึ่งของการหมักเบียร์ในอารามมาจากนิกายที่เรียกว่าคณะเบเนดิกติน เป็นกลุ่มนักบวชที่บำเพ็ญพรตตามนักบุญเบเนดิกต์แห่งเนอร์เซีย นิกายเบเนดิกตินเกิดขึ้นราวศตวรรษที่ 6 ลักษณะนิกายเป็นนิยายเพื่อการปฏิรูป คือเน้นให้พระและแม่ชีมีวัตรปฏิบัติที่เคร่งครัด โดยนักบุญเบเนดิกต์มีคำสอนสำคัญเรียกว่ากฎของนักบุญเบเนดิกต์ (The Rule of St Benedict)
การทำเบียร์นอกจากจะเป็นการถนอมอาหารแล้ว ในสมัยกลางบางพื้นที่อาจขาดแคลนน้ำสะอาด เช่นน้ำในบ่อขุดอย่างที่เราเห็นในหนังเช่น Game of Thrones เบียร์จึงเป็นเครื่องดื่มทางเลือกหนึ่งที่ทั้งให้พลังงานและทดแทนน้ำดื่มในยามขาดแคลนได้
ปฏิเสธไม่ได้ว่าความรักที่มีต่อสัตว์เลี้ยงนั้นย่อมเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อน pet shop แห่งนี้ แต่เบื้องหลังการก่อร่างสร้างร้านนี้ขึ้นมาได้นั้นเต็มไปด้วยกลยุทธ์มากมาย
ไม่ว่าจะแบรนด์ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด Hyponic จากประเทศเกาหลีที่ได้รับรางวัลจาก German Dermatological Research Institute หรือรางวัลการทดสอบความอ่อนโยนต่อผิวหนังที่เข้มงวดที่สุด หรือจะเป็น LickiMat® แผ่นซิลิโคนชะลอการทานอาหารของน้องหมาน้องแมวที่มีชื่อเสียงของออสเตรเลีย
Past Lives, Minari, Everything Everywhere All at Once, Lady Bird, The Whale ฯลฯ หลายคนคงเคยได้ยินชื่อหรือไม่ก็เคยชมภาพยนตร์เหล่านี้กันมาบ้าง และบางเรื่องในชื่อเหล่านี้อาจเป็นหนังในดวงใจของใครหลายคน
และผู้อยู่เบื้องหลังผลงานที่ว่าทั้งหมดคือ A24
A24 คือค่ายหนังทางเลือกสัญชาติอเมริกันที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2012 โดยเพื่อนสนิท 3 คน อย่าง Daniel Katz, David Fenkel และ John Hodges โดยมีแนวคิดในการก่อตั้งบริษัทว่าอยากแบ่งปันภาพยนตร์จากมุมมองที่แตกต่าง ส่วนที่มาของชื่อบริษัทก็เกิดขึ้นอย่างไม่ซับซ้อน แคตซ์เคยให้สัมภาษณ์ว่า เขาอยากทำค่ายหนังมานานแล้ว และระหว่างที่คิดว่า ‘ถึงเวลาแล้วที่จะต้องทำค่ายหนัง’ ก็เป็นจังหวะเดียวกันกับตอนที่เขาอยู่บนทางด่วน A24 ซึ่งเป็นทางด่วนในประเทศอิตาลี
แม้ A24 จะก่อตั้งมาเพียงสิบปี แต่ตลอดการเดินทางพวกเขาได้สร้างสรรค์ผลงานไว้มากมาย และผลงานเหล่านั้นยังกลายเป็นภาพยนตร์ในใจใครหลายคน นอกจากชื่อบริษัทที่แปลกแตกต่าง ค่ายนี้ยังเซอร์ไพรส์คอหนังอยู่เสมอ และแม้จะเป็นเพียงค่ายเล็กๆ แต่ปี 2023 A24 ก็ได้เข้าชิงออสการ์ถึง 18 ครั้ง และในครั้งนั้น Everything Everywhere All at Once ก็ได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมไป
อะไรเป็นจุดแข็งที่ทำให้ค่ายหนังอินดี้ค่ายนี้เติบโตขึ้นในยุคที่วงการภาพยนตร์กำลังระส่ำระสาย โรงภาพยนตร์ต่างทยอยปิดตัวจากโรคระบาด ตลอดจนพฤติกรรมการดูหนังของผู้คนเปลี่ยนเป็นการใช้บริการสตรีมมิงมากกว่าเดินเข้าโรงภาพยนตร์ Capital List ตอนนี้จะมาสรุป 7 ข้ออันว่าด้วยเบื้องหลังการตลาดและวิธีทำหนังให้อยู่ได้ everywhere ของค่ายหนังแห่งนี้
1. รู้กลุ่มเป้าหมายที่ต้องการสื่อสาร
A24 เป็นค่ายที่รู้ตัวดีว่ากลุ่มคนดูหนังพวกเขาคือใคร และมีรสนิยมการดูหนังแบบไหน ซึ่งคำตอบก็คือเป็นกลุ่มมิลเลนเนียล, เจนฯ Z และกลุ่มคนอายุ 18-34 ปี นั่นเอง ความชัดเจนตรงนี้ทำให้ครั้งหนึ่ง นักเขียนนามว่า Willy Staley ถึงกับเอ่ยปากแซวว่า A24 ย่อมาจาก ‘A 24-year-old guy will think this is the best movie ever made.’ หรือก็คือ ‘A24 ค่ายหนังที่คนอายุ 24 ปีคิดว่าผลิตหนังได้เจ๋งที่สุด’
สายคาเฟ่ฮอปปิ้งและคนรักงานดีไซน์น่าจะถูกใจป๊อปอัพสเปซที่จัดขึ้นโดย BONCI x NORSE Republics การคอลแล็บระหว่างคาเฟ่สุดฮิปในโลกโซเชียลที่คอลแล็บกับศิลปินชื่อดังมาหลายครั้งหลายครากับแบรนด์นำเข้าของตกแต่งบ้านระดับโลกที่พาแบรนด์สแกนดิเนเวียชื่อดังมากมายมาแนะนำให้คนไทยรู้จัก
หากใครเคยเตะตาบ้านลังพลาสติกสีพาสเทลสดใสบนฟีดในโลกโซเชียลมาบ้าง ขอแนะนำให้รู้จักชื่ออย่างเป็นทางการของมันคือ HAY Crate House โดยในวันธรรมดาทั่วไปที่ไม่ได้มีงานจัดแสดงหรือป๊อปอัพในโอกาสพิเศษ เจ้าลังพลาสติก (crate) นี้เป็นสินค้าหมวดแอ็กเซสซอรี หรือสินค้าชิ้นเล็กสำหรับเก็บของที่ใช้ในชีวิตประจำวันของแบรนด์ HAY ซึ่งเป็นหนึ่งในแบรนด์เดนมาร์กที่ NORSE Republics เป็นผู้นำเข้ามาไทย
เนื่องจาก HAY Crate ทำจากวัสดุรีไซเคิล 100% ทีม BONCI จึงตั้งใจถ่ายทอดความตั้งใจเบื้องหลังนี้ผ่านเครื่องดื่มในคาเฟ่ด้วยเช่นกัน จากปกติที่ใช้แก้วพลาสติกก็เปลี่ยนมาใช้แก้วกระดาษรีไซเคิลที่ทำขึ้นใหม่โดยเฉพาะสำหรับการคอลแล็บครั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับพันธกิจความยั่งยืนของแบรนด์ระดับโลก
นอกจากความตั้งใจดีต่อโลกแล้ว ต้องเล่าว่าสำหรับ NORSE republics ที่มีบทบาทเป็นผู้นำเข้าแบรนด์ต่างประเทศหลากหลายแบรนด์ หากมีไอเดียอยากคอลแล็บจะต้องได้รับการอนุมัติจาก headquarter ที่ต่างประเทศก่อนทุกครั้ง ซึ่งอ๋องบอกว่าบางแบรนด์ก็ค่อนข้างเข้มงวดและมีกรอบไอเดียในการทำแคมเปญ ซึ่งการริเริ่มนำ HAY Crate House มาตั้งที่คาเฟ่ในครั้งนี้ถือเป็นการเสนอไอเดียที่ออกนอกกรอบครั้งหนึ่งสำหรับแบรนด์ HAY
“ที่ผ่านมานอกจากเดนมาร์ก HAY Crate House ก็เคยจัดแสดงที่เกาหลีแต่จะเป็นแนวนิทรรศการมากกว่า พอเราทำป๊อปอัพที่คาเฟ่ ตอนนี้ HAY ที่ออสเตรเลียก็กำลังจะทำเหมือนกัน ชาวออสซี่บอกว่าอยากทำบ้าง พอ HAY ในแต่ละประเทศทำแคมเปญอะไรก็จะมีการแชร์ลงไปในสื่อระดับโลก แต่ละประเทศก็จะคอยนำไอเดียต่างๆ ที่คิดว่าเหมาะกับพื้นที่ตัวเองไปทำ”
นิยามตัวตนของทั้ง BONCI และ HAY นั้นคือความเรียบง่ายที่มีความขี้เล่นซ่อนอยู่ อย่าง HAY ก็ไม่กลัวที่จะเล่นสีสันแม้คนทั่วไปหลายคนอาจมีภาพจำว่าสไตล์สแกนดิเนเวียต้องมีสีเรียบๆ หรือเป็นไม้สีอ่อนเท่านั้น