เบื้องหลังของ Mc JEANS X ขายหัวเราะ ที่เมคโอเวอร์ลุคของคาแร็กเตอร์การ์ตูนให้อินเทรนด์

ทั้งขายหัวเราะและ Mc JEANS ต่างเป็นแบรนด์ขวัญใจคนไทยมานาน 

สำหรับขายหัวเราะนั้นมีอายุครบ 50 ปีในปีนี้และเป็นสำนักการ์ตูนไทยที่ได้รับสมญานามว่าเป็นความฮาสามัญประจำบ้านเพราะคนทุกเพศทุกวัยสามารถเข้าถึงและหัวเราะไปกับการ์ตูนของขายหัวเราะได้ไม่ว่าความฮานั้นจะปรับตัวไปอยู่ในแพลตฟอร์มไหนหรือแคมเปญใด

ส่วน Mc JEANS เองกำลังย่างเข้า 49 ปีในปีนี้และเป็นแบรนด์ยีนส์ไทยในตำนานที่โดดเด่น เน้นคุณภาพโปรดักส์ที่ทั้งผู้หญิง ผู้ชาย คนทุกวัยและทุกหุ่นสามารถใส่ได้

ปีนี้เป็นครั้งแรกที่ขายหัวเราะกับ Mc JEANS คอลแล็บร่วมกันในคอลเลกชั่นชื่อ Mc Over ที่จับคาแร็กเตอร์การ์ตูนของขายหัวเราะที่หลายคนคุ้นหน้าคุ้นตากันมาเมคโอเวอร์ หรือเปลี่ยนลุคการแต่งตัว ไม่ว่าจะเป็น บ.ก.วิธิต หนุ่มใหญ่วัยทำงานที่มักใส่สูทสุดเนี้ยบและแต่งตัวเคร่งขรึมมาตลอด, โจห์น หนุ่มเซอร์ลุคแบดที่แต่งตัวไม่เป็น, หนูหิ่น สาวผมสั้นวัยใสที่ทุกคนมักจดจำได้ในชุดคอกระเช้าและผ้าถุง, คนติดเกาะที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าจืดชืดจำเจเพราะอยู่บนเกาะคนเดียว 

ครั้งนี้คาแร็กเตอร์เหล่านี้จะลุกขึ้นมาปรับลุคครั้งใหญ่ให้สนุกขึ้นด้วยเสื้อผ้าของ Mc JEANS ซึ่งนอกจากจะมีการ์ตูนและแอนิเมชั่นให้รออ่านและรับชมกันแล้ว ทีมดีไซเนอร์ของ Mc JEANS และนักวาดการ์ตูนของขายหัวเราะยังร่วมมือกันเสกชุดของคาแร็กเตอร์แต่ละตัวจากการเมคโอเวอร์ในครั้งนี้ให้ทุกคนได้ลองใส่กันในชีวิตจริงอีกด้วย    

เจมส์–ริชาร์ด อมตวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และ นิว–พิมพ์พิชา อุตสาหจิต Executive Director และกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทเครือ Vithita Group (วิธิตากรุ๊ป) ผู้สานต่อขายหัวเราะจะมาเล่าถึงเบื้องหลังของการคอลแล็บในครั้งนี้ตั้งแต่การตั้งโจทย์ที่อยากสร้างความสุขให้คนไทยในรูปแบบสร้างสรรค์จนออกมาเป็นคอลเลกชั่นเสื้อผ้าสุดพิเศษที่แฟนคลับน่าจะชอบและหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว

Legends of Cartoon Characters  

ความพิเศษของคาแร็กเตอร์ขายหัวเราะที่เป็นตำนานและเติบโตมาจากสิ่งพิมพ์ในยุคก่อนที่โซเชียลมีเดียจะบูมคือเอกลักษณ์ของลายเส้นและการแต่งตัวของคาแร็กเตอร์ซึ่งนิวบอกว่าเป็นสิ่งที่แตกต่างจากการดีไซน์คาแร็กเตอร์ในยุคปัจจุบัน

“การแต่งตัวของคาแร็กเตอร์ขายหัวเราะที่ผ่านมาจะมีความออร์แกนิก หมายความว่าเวลานักวาดวาดการ์ตูนมาแล้วแฟนๆ ชอบแบบไหนหรือมีภาพจำแบบไหน คาแร็กเตอร์การ์ตูนก็เติบโตมาแบบนั้น  ซึ่งจะไม่เหมือนกับคาแร็กเตอร์ของต่างประเทศที่กำหนดมาแล้วว่าคาแร็กเตอร์นี้ต้องแต่งตัวแบบนี้เพื่อนำมาขายเป็นสินค้า”

จากภาพจำในสไตล์ของคาแร็กเตอร์ขายหัวเราะที่ไม่เคยเปลี่ยนชุดเลยตลอด 50 ปีที่ผ่านมา Mc JEANS และขายหัวเราะก็ร่วมมือกันเปลี่ยนลุคให้คาแร็กเตอร์ตั้งแต่เสื้อผ้าจนถึงลายเส้นเพื่อให้ดูทันสมัยขึ้น เจมส์บอกว่าแม้จะเป็นการเปลี่ยนลุคแต่ก็ไม่ได้ปรับจนตัวตนดั้งเดิมของแต่ละแบรนด์หายไปทั้งหมด 

“ถ้าเทียบกับมิกกี้เมาส์ การวาดของตัวการ์ตูนก็พัฒนาไปตามกาลเวลา แต่ก็ยังคงสี โทน ลุคของคาแร็กเตอร์แต่ละตัวไว้ พอมาทำคอลแล็บร่วมกัน เราก็รักษาดีเอ็นเอของทั้งสองแบรนด์ไว้ด้วย”

นิวขยายความถึงลายเส้นของการ์ตูนที่ใช้ในคอลเลกชั่นนี้ว่า “ลายเส้นของขายหัวเราะจะเป็นแบบ multi-style ตามแต่ละคาแร็กเตอร์ หมายความว่าเรามีนักวาดหลายคนใต้แบรนด์ของเรา แต่ละคาแร็กเตอร์จะเกิดจากนักวาดคนละลายเส้น อย่างลายเส้นออริจินอลของหนูหิ่นกับปังปอนด์ก็จะมีความแตกต่างกัน ในคอลเลกชั่นนี้เราใช้ระบบการวาดที่เคารพต้นฉบับแต่มีการปรับจูนให้มีมิติมากขึ้นโดยทีมสตูดิโอนักวาดมืออาชีพ แล้วก็ดึงเซนส์ของแบรนด์ Mc JEANS ออกมาด้วยเมื่อนำมาอยู่บนเสื้อผ้า” 

Mc Over with Mc JEANS 

จุดเด่นของคอลเลกชั่นนี้คือเป็นดีไซน์ที่ทำมาสำหรับให้คนใส่ได้จริงโดยแต่ละชุดได้แรงบันดาลใจจากคาแร็กเตอร์ที่หลากหลายทั้ง บ.ก.วิธิต, โจรมุมตึก, หนูหิ่น และคนติดเกาะที่ไม่ใช่แค่เอาคาแร็กเตอร์มาแปะบนเสื้อผ้าเท่านั้น แต่มีคอนเซปต์ดีไซน์ที่แฝงกิมมิกขี้เล่นในทุกตัว

ไม่ว่าจะเป็นเสื้อแจ็กเก็ตเดนิมรุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่น ที่เพิ่มความสนุกด้วยลาย บ.ก.วิธิตที่หลัง, เสื้อลายขวางขาว-ดำในกิมมิกโจรมุมตึกที่เมื่อพับแขนเสื้อจะเห็นตัวหนังสือเขียนว่า ‘กลับตัวกลับใจ’ และมีรูปตาอยู่ข้างหลังเสื้อเพื่อล้อเวลาที่โจรมุมตึกกลัวคนตามมาจับข้างหลัง, เสื้อรีสอร์ตเชิ้ตลายเกาะขายหัวเราะ คนติดเกาะและฉลามที่ไล่กัดคนตามเรื่องราวในแก๊กของขายหัวเราะ

สำหรับเสื้อฮู้ดจะซ่อนความขี้เล่นด้วยกระเป๋าเสื้อที่มีตัวการ์ตูนโผล่ออกมา ส่วนเสื้อยืดก็มีกระเป๋าเสื้อเดนิมซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของ Mc JEANS นอกจากนี้โลโก้ตรงกลางเสื้อและหมวกยังไม่ใช่โลโก้ของแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งแต่รวมโลโก้ของทั้งสองแบรนด์เข้าด้วยกันออกมาเป็นโลโก้ของ Mc JEANS ที่ใช้สีสันหลากหลายตามสไตล์ของขายหัวเราะและมีการ์ตูนเกาะอยู่ตามโลโก้ การใส่ใจรายละเอียดเหล่านี้เพื่อบาลานซ์ซิกเนเจอร์ของทั้งสองแบรนด์ให้มีความโดดเด่นพอๆ กัน 

อีกตัวที่เด่นไม่แพ้กันคือเสื้อคอกลมลายการ์ตูน 4 ช่องที่เล่าเรื่องราวจากแอนิเมชั่นในคอลแล็บครั้งนี้เกี่ยวกับที่มาของการเมคโอเวอร์ ตั้งแต่มีอุกกาบาตตกมาโดนโลกทำให้ผู้คนซึมเศร้าจนแต่งตัวไม่สดใส และฮีโร่ของการกอบกู้โลกในครั้งนี้คือศูนย์บัญชาการ Mc JEANS ที่ส่งลำแสงพาทุกคนไปแปลงร่างออกมาเป็นเหล่าคาแร็กเตอร์ขายหัวเราะในชุดสุดอินเทรนด์ 

แฟชั่นไอเทมทุกตัวต่างมีกิมมิกร้อยเรียงจากเรื่องราวของการ์ตูนขายหัวเราะที่นิวบอกว่าไม่ได้ฝืนคอนเซปต์ดั้งเดิมของการ์ตูน 

“เราไม่เคยมีการเล่าสตอรีเบื้องหลังว่าทำไมคาแร็กเตอร์ขายหัวเราะถึงไม่เปลี่ยนชุด ทำไมเขาแต่งตัวอย่างนี้ตลอดเลย ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เราเล่าเรื่องราวของคาแร็กเตอร์และเปลี่ยนชุดให้เขา”  

Bring Comics to Life 

ในแอนิเมชั่น หลังจากเปลี่ยนลุคแล้ว เหล่าคาแร็กเตอร์ต่างก็มีความสดใสและมั่นใจมากขึ้นโดยสะท้อนผ่านการแต่งตัว ซึ่งตรงกับความตั้งใจของ Mc JEANS ที่อยากสื่อสารว่าทุกคนสามารถเป็นตัวของตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีขึ้นและมั่นใจขึ้นได้ โดยแฟชั่นเป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่มาเติมความสนุกสนานนั้น

ไม่ว่าจะเป็น บ.ก.วิธิตที่พักโหดเปลี่ยนมาเป็นโหมดเท่สะบัด, โจห์นที่สลัดความแซดออกและกลับตัวกลับใจเป็นวันรุ่นเทสต์ดี, หนูหิ่นผู้อยากบอกทุกคนว่า “ตอนนี้หนูหิ่นอินแฟชั่นแล้วค่ะ” และคนติดเกาะที่เลิกติดเกาะออกมาอินเทรนด์ ซึ่งโปสเตอร์ของแต่ละคาแร็กเตอร์ในการคอลแล็บนี้จะมีภาพที่แต่ละคนใส่ชุดเดนิมของ Mc JEANS ทั้งชุด อย่างหนูหิ่นที่ตอนแรกมีลุคบ้านๆ ก็เปลี่ยนมาใส่กางเกงเดนิมขาสั้นเข้าคู่กับเสื้อแจ็กเก็ตทำให้ดูทันสมัยมากขึ้น 

“ชุดสไตล์นี้มันสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์และความนิยมในยุคนี้ เดี๋ยวนี้เวลาไปทำงานก็ยังนิยมแต่งลุค smart casual สามารถใส่ยีนส์หรือเสื้อยืดทับเบลเซอร์ไปทำงานได้จากที่ในสมัยก่อนยีนส์อาจจะเป็นลุคที่ไม่เหมาะกับใส่ไปออฟฟิศเท่าไหร่ แต่เดี๋ยวนี้ยีนส์มีความสุภาพมากขึ้นแล้วซึ่งมันก็เข้ากับสตอรีของเราที่อยากเล่าในคอลแล็บนี้”

การทำเสื้อผ้าสำหรับคาแร็กเตอร์ของขายหัวเราะที่หลากหลายเหล่านี้สอดคล้องกับความเชื่อของ Mc JEANS ที่อยากทำเสื้อผ้าโดยคำนึงถึงความหลากหลายสำหรับคนทุกกลุ่ม (diversity) และทุกเจเนอเรชั่นในชีวิตจริง เพราะแฟนคลับของ Mc JEANS มีตั้งแต่รุ่นเบบี้บูมเมอร์และเจนฯ X ไปจนถึงกลุ่มคนทำงานอย่างเจนฯ Y และวัยรุ่นที่เด็กลงมาอย่างเจนฯ Z และแบรนด์ยังมีความตั้งใจในการทำเสื้อผ้าโดยคำนึงถึงความหลากหลายทางรูปร่าง (body positivity) สำหรับคนทุกหุ่นด้วย ทั้งอ้วน ผอม สูง เพื่อสนับสนุนให้คนทุกไลฟ์สไตล์สามารถแต่งตัวแล้วออกไปใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่และมั่นใจ

ที่ผ่านมา Mc JEANS ยังเป็นแบรนด์ที่ทำแคมเปญชื่อ My Mc My Way อย่างต่อเนื่องมาตลอด 2 ปี โดยลงลึกถึงการทำคอนเซปต์ของเสื้อผ้าแต่ละตัวให้เหมาะกับกลุ่มคนหลากหลาย

“เราอยากให้คนสมัยใหม่รู้สึกเชื่อมโยงกับแบรนด์อยู่ตลอด คนยุคนี้จะไม่ได้สนใจแค่ว่าเสื้อผ้าราคาเท่าไหร่ แต่สนใจว่าเสื้อผ้าเหล่านี้ทำยังไงด้วย นอกจากการคอลแล็บครั้งนี้ Mc JEANS ยังใส่ใจเรื่องความยั่งยืนที่คนรุ่นใหม่ให้คุณค่าด้วย เช่น ใช้กระดุมรีไซเคิล” เจมส์เล่าถึงวิสัยทัศน์ที่ทำให้ Mc JEANS เป็นแบรนด์เดนิมคู่คนไทยมายาวนาน

Soft Power in Fashion & Cartoon 

แม้ทั้งสองแบรนด์จะทำสิ่งที่แตกต่างกัน แต่ต่างมีจุดร่วมที่เหมือนกันคือเป็นแบรนด์ไลฟ์สไตล์ ในขณะที่ขายหัวเราะสร้างความสุขให้คนไทยผ่านซอฟต์พาวเวอร์อย่างการ์ตูน Mc JEANS ก็เพิ่มความสนุกในการแต่งตัวด้วยแฟชั่นไอเทม 

สำหรับขายหัวเราะ การคอลแล็บร่วมกับ Mc JEANS ในครั้งนี้ทำให้ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์พาเหล่าคาแร็กเตอร์ข้ามไปยังพรมแดนใหม่ของการ์ตูนที่ลงลึกไปถึงแฟชั่นไอเทมและสตอรีเบื้องหลังซึ่งทำให้การ์ตูนมีมิติใหม่ที่ไม่ใช่แค่การ์ตูน 2D ในกระดาษหรือ 3D ในจอเท่านั้น แต่เป็นมิติทางแฟชั่นที่นิวบอกว่าทำให้แบรนด์ขายหัวเราะไปไกลกว่าการทำการ์ตูนสำหรับอ่าน

“ดีเอ็นเอหลัก 4 อย่างของเราที่คนจดจำได้คือการ์ตูนคาแร็กเตอร์, พลังของซอฟต์พาวเวอร์, อารมณ์ขัน และความคิดสร้างสรรค์ ไม่ว่าวิวัฒนาการของสื่อหรือรสนิยมของคนอ่านหรือผู้ชมจะเปลี่ยนแปลงไปยังไง สี่สิ่งนี้ก็เป็นหัวใจที่เราใช้ขับเคลื่อนอารมณ์ขันและความบันเทิงของเราไปเรื่อยๆ ขายหัวเราะไม่ได้ยึดติดมาตั้งนานแล้วว่าเราเป็นเพียงหนังสือการ์ตูนแต่เราเป็นแบรนด์ไลฟ์สไตล์ที่อยู่ได้กับทุกที่และสร้างเสียงหัวเราะให้คนไทยเข้าถึงได้ง่าย” 

ส่วน Mc JEANS ก็สนุกกับการสร้างสรรค์เสื้อผ้าให้คนใส่สนุกอยู่แล้ว สะท้อนผ่านโปรดักต์และแคมเปญที่พวกเขาทำมาสม่ำเสมอ

“สำหรับผมการคอลแล็บครั้งนี้คือการ bring happiness, smile and laughter to life ท่ามกลางโลกเราตอนนี้ที่มีปัญหาร้อยแปดเต็มไปหมด การคอลแล็บในครั้งนี้ก็อยากทำเพื่อให้คนได้มาหยุดพัก ยิ้มและหัวเราะด้วยกัน และสำหรับแฟนคลับขายหัวเราะก็ยังทำให้นึกถึงความทรงจำเกี่ยวกับการ์ตูนด้วย อย่างผมเวลาเห็นคาแร็กเตอร์เหล่านี้อยู่ที่ไหนก็จะนึกถึงความทรงจำสมัยเด็กตอนนั่งอ่านการ์ตูนขายหัวเราะ

“ในครั้งนี้เราไม่ได้ทำสินค้าจำนวนเยอะมาก อย่างแจ็กเก็ตลาย บ.ก. ก็เป็นรุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่น ที่ทำมาเพียง 500 ตัว เราไม่ได้ทำเพราะอยากดันยอดขายเป็นหลักแต่ทำเพื่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่สามารถเข้าได้กับทุกยุคสมัย สิ่งที่คาดหวังจากการคอลแล็บในครั้งนี้คือการได้เพิ่มชีวิตชีวาให้แบรนด์และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ร่วมกับพาร์ตเนอร์ที่มีดีเอ็นเอหลายอย่างที่ตรงกันมากกว่า” 

เมื่อสองแบรนด์แห่งตำนานที่มีความสร้างสรรค์มาเจอกัน โลกของแฟชั่นและการ์ตูนก็เบลนด์เข้าด้วยกัน เกิดเป็นคอลเลกชั่นสุดสนุกสนานที่สร้างความบันเทิงในรูปแบบใหม่และชวนเหล่าแฟนคลับของทั้งสองแบรนด์ให้ลุกขึ้นมาเมคโอเวอร์ตามคาแร็กเตอร์สุดโปรดในการ์ตูน

ข้อมูลติดต่อ : สามารถซื้อคอลเลกชั่นพิเศษนี้ได้ที่ร้าน Mc JEANS สาขาที่ร่วมรายการ และเว็บไซต์ Mcshop.com
Facebook : Mc JEANS, ขายหัวเราะ

อะไรทำให้ Barbie ทำเงินพันล้าน และเบื้องหลังการรีแบรนด์ครั้งสำคัญของบริษัท Mattel ผ่านหนัง

ตอน Margot Robbie พิตช์หนังเรื่อง Barbie กับ Mattel บริษัทผู้ให้กำเนิดตุ๊กตาบาร์บี้และสตูดิโอ Warner Bros. เธอขายไปว่า “หนังเรื่องนี้จะเป็นเหมือน Jurassic Park ของ Stephen Spielberg และมันจะทำรายได้หลักพันล้านค่ะ”

ตอนขายก็ขายไปแบบเว่อร์วัง ไม่คิดหรอกในเวลาไม่ถึง 3 สัปดาห์นับตั้งแต่ออกฉาย หนังเรื่องนี้จะทำเงินได้พันล้านดอลลาร์สหรัฐจริงๆ

Barbie ที่กำกับโดย Greta Gerwig และนำแสดงโดยตัวมาร์โกต์เองยังสามารถทุบสถิติได้อีกมากมาย ทั้งการเป็นหนังที่ทำรายได้เยอะที่สุดของปี 2023 นับจนถึงตอนนี้, หนังที่มีรายได้เยอะที่สุดในเครดิตการแสดงของมาร์โกต์กับ Ryan Gosling และเป็นหนังที่เล่าเรื่องราวของผู้หญิง กำกับโดยผู้หญิงเรื่องแรกที่ทำเงินหลักพันล้านสำเร็จ

ภายใต้ตัวเลขสุดแสนจะปัง หนังเรื่องนี้เป็นกลยุทธ์การรีแบรนด์บาร์บี้ที่บริษัทแม่อย่างแมทเทลวางแผนมาอย่างแยบยล จนสามารถทำให้ตุ๊กตาเด็กเล่นที่หลายคนคิดว่าน่าจะเสื่อมความนิยมไปตามยุคสมัย กลายเป็นความหลงใหลระดับปรากฏการณ์ที่เปลี่ยนทั้งโลกให้เป็น Barbie World ชั่วคราว

Rebranding Barbie

แล้วทำไมแมทเทลถึงต้องรีแบรนด์บาร์บี้ด้วยล่ะ หลายคนอาจสงสัย

คำตอบเรียบง่ายที่สุดคือ บาร์บี้เคยเป็นตุ๊กตาที่แมสมาก ดังมาก ท่ามกลางไลน์สินค้ามากมายของบริษัท บาร์บี้ยังทำยอดขายได้เป็นที่หนึ่ง แม้ว่าถ้านับอายุกันจริงๆ เธอจะย่างเข้า 64 ปีแล้วก็ตาม

ทว่าในช่วงสิบปีที่ผ่านมา บาร์บี้ทำยอดขายไม่ดีเท่าที่บริษัทหวัง เหตุผลข้อแรกคือมีแบรนด์ตุ๊กตาคู่แข่งเกิดขึ้นมากมาย อย่างในปี 2015 ส่วนแบ่งการตลาดที่แมทเทลเคยกินเรียบตลอดกลับถูก Hasbro ช่วงชิงไปได้ด้วยรายรับ 7.78 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (แมทเทลทำได้ 7.66 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ) 

สอง–ต้องยอมรับว่าตุ๊กตาไม่ใช่ความบันเทิงอย่างเดียวของเด็กสาวอีกต่อไป โดยเฉพาะในยุคที่เด็กๆ ติดการไถหน้าจอมือถือมากขึ้นเรื่อยๆ

และสาม–บาร์บี้ถูกกล่าวหาว่าสร้างค่านิยมผิดๆ จากทั้งฝั่งอนุรักษนิยมและฝั่งหัวก้าวหน้า ในปี 2002 บาร์บี้ถูกแบนในรัสเซียเพราะถูกมองว่าทรวดทรงของเธอนั้นกระตุ้นให้เด็กๆ สนใจเรื่องเพศ กลับกัน บางสังคมมองว่ารูปร่างหน้าตาของบาร์บี้ที่ต้องผอม สวย เป๊ะ ตลอดเวลาเป็นการยุยงส่งเสริมให้เด็กได้รับแนวคิดของความเฮลตี้แบบผิดๆ บวกกับภาพจำในโฆษณาว่าบาร์บี้เสพติดแฟชั่น ช้อปปิ้ง และชอบทำงานบ้าน ก็คล้ายเป็นสเตอริโอไทป์ผู้หญิงให้เป็นแบบใดเป็นหนึ่ง

Richard Dickson อดีตผู้อำนวยการของแมทเทลบอกว่า ยอดขายที่ทรุดลงกระตุ้นให้พวกเขากลับมาคิดถึงสิ่งที่เคยทำ และพบคำตอบเบื้องหลังตัวเลขเหล่านั้นว่า “บาร์บี้ไม่ได้สะท้อนภาพของโลกรอบตัวเรา” 

Barbie is the girls’ best friend

ถึงเวลาแล้วที่บาร์บี้จะต้องปรับตัว แต่จะปรับตัวยังไงดีล่ะ

คำตอบเรียบง่ายที่สุด คือในเมื่อบาร์บี้ไม่ได้สะท้อนภาพของโลกรอบตัวเรา ก็ทำให้เธอสะท้อนภาพนั้นซะสิ

“บาร์บี้สะท้อนสิ่งที่เด็กสาวในโลกความจริงเป็น จุดประสงค์ของเธอคือการเป็นแรงบันดาลใจให้กับเด็กสาวทุกคนเห็นว่าความเป็นไปได้(ในชีวิต)นั้นมีไม่สิ้นสุด” Ynon Kreiz หัวเรือใหญ่คนใหม่เล่าความมุ่งมั่นของแบรนด์ให้ Yahoo ฟัง

บาร์บี้ยุคใหม่จึงหลุดออกจากกรอบของบิวตี้สแตนดาร์ด เต็มไปด้วยความหลากหลายทางรูปร่าง สีผิว เส้นผม ไปจนถึงเอกลักษณ์บางอย่างที่สะท้อนชีวิตคนจริงๆ อย่างบาร์บี้ที่ใส่ขาเทียมหรือบาร์บี้ดาวน์ซินโดรม มากกว่านั้น ความเป็นไปได้ที่อีน็อนบอกยังหมายรวมถึงทางเลือกในชีวิตที่ไม่ได้มีแค่การเป็นแม่บ้านหรือผู้หญิงรักสวยรักงาม แต่บาร์บี้ยังสามารถเป็นนักบินอวกาศ เป็นซีอีโอบริษัท และเป็นประธานาธิบดีได้

ผลกำไรที่เพิ่มขึ้นมา 20% ในปี 2012-2014 คือสัญญาณที่บอกว่าแมทเทลมาถูกทาง หากพวกเขาก็ไม่ได้หยุดแค่นั้น ในปี 2018 อีน็อนยังสร้างการเปลี่ยนแปลงภายในที่น่าสนใจอย่างการลดกำลังการผลิตตุ๊กตาลงแล้วหันไปทุ่มทุนกับแผนกอื่นมากขึ้น หนึ่งในนั้นคือ Mattel Films แผนกผลิตสื่อภาพยนตร์

Barbie(and Ken)-Driven

Barbie เวอร์ชั่นเกรต้า เกอร์วิก ไม่ใช่ความพยายามครั้งแรกที่จะพาบาร์บี้มาขึ้นจอใหญ่ ก่อนหน้านั้นมีหลายสตูดิโอพยายามปลุกปั้น แถมยังเกือบจะมีเวอร์ชั่นที่ Amy Schumer ดาราตลกชื่อดังจะมาแสดงเป็นบาร์บี้อีกต่างหาก

แต่สุดท้ายโปรเจกต์เหล่านั้นก็ล่มสลายไปเพราะยังไม่เจอทิศทางที่ลงตัว จนกระทั่งมาร์โกต์และ Lucky Sharp โปรดักชั่นเฮาส์ของเธอมาพิตช์งานกับแมทเทลว่า “หนังเรื่องนี้จะเป็นเหมือน Jurassic Park ของ Stephen Spielberg และมันจะทำรายได้หลักพันล้านค่ะ” นี่แหละ

แม้ตอนนั้นมาร์โกจะเป็นโปรดิวเซอร์หน้าใหม่ แต่สิ่งที่ทำให้สตูดิโอซื้อไอเดียของเธอเลยคือการได้รับคำสัญญาว่าเกรต้าและ Noah Baumbach ผู้กำกับเรื่อง Marriage Story จะมาเขียนบทให้ เพราะทั้งคู่ขึ้นชื่อเรื่องการทำหนังอินดี้ที่ขับเคลื่อนเนื้อเรื่องด้วยตัวละคร (character-driven) ไม่เคยทำหนังบล็อกบัสเตอร์เลย และนั่นแหละที่ทำให้บาร์บี้เวอร์ชั่นนี้น่าสนใจ

แมทเทลยังให้อิสระกับเกรต้าแบบสุดๆ ถึงขนาดยอมให้เธอเขียนบทให้บริษัทเป็นตัวร้ายของเรื่อง มีบอสนิสัยชายแท้จัดๆ ซึ่งรับบทโดย Will Ferrell มาเรียกเสียงฮา แถมในหนังยังใส่มุกจิกกัดตัวเองและบาร์บี้ไปหลายดอก มากไปกว่านั้น หนังยังมีเมสเซจว่าด้วยเพศสภาพ ความเป็นแม่ และการสำรวจตัวตนของบาร์บี้เอง

นี่อาจเป็นคีย์หลักที่ทำให้ Barbie จับใจคนดูในวงกว้างได้ ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นคนรุ่นใหญ่หรือคนรุ่นใหม่ที่เคยมีบาร์บี้เป็นของตัวเองหรือไม่ก็ตาม

“บารบี้คือสัญลักษณ์ของตุ๊กตาพลาสติกแสนสมบูรณ์แบบ แล้วอะไรจะทำให้การเดินทางของเธอในหนังดีไปกว่าการมอบความเป็นมนุษย์ให้เธอล่ะ” เกรต้าแชร์ในการสัมภาษณ์ครั้งหนึ่ง

Barbie’s Marketing

นอกจากตัวหนังเอง สิ่งสำคัญที่ทำให้ Barbie ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามได้คือแผนการตลาดสุดปัง

จะไม่ปังได้ยังไง ในเมื่อแมทเทลทุ่มงบการตลาดหนังเรื่องนี้กว่า 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เยอะกว่าทุนสร้างหนังที่ว่ากันว่ามีประมาณ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งทีมการตลาดก็ใช้มันอย่างชาญฉลาดและน่าสนใจ พวกเขาไม่ได้ถลุงเงินไปกับการจัดงาน Press ยิ่งใหญ่หรือการทำสื่อโฆษณาทางออนไลน์-ออฟไลน์เพียงเท่านั้น แต่ยังทำโปรโมตได้สนุกสุดมัน เช่นว่า

  • อัลบั้ม Barbie: The Album ซาวนด์แทร็กประกอบหนังที่ชวนศิลปินเบอร์ใหญ่หลายคนมาทำ Original Song ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น Dua Lipa, Lizzo, Billie Eilish, Sam Smith, Ice Spice, Nicki Minaj และเจ้าของเพลง Barbie World ดั้งเดิมอย่าง Aqua
  • จัดขบวน Barbie Walk ในพาเหรดไพรด์เดือนมิถุนายน
  • ลุยการตลาดดิจิทัล สร้างเว็บไซต์ user-generated content ที่ทุกคนสามารถสร้างโปสเตอร์หนัง Barbie แบบฉบับของตัวเองได้
  • ส่วนช่องทางออฟไลน์ ก็มีกล่องบาร์บี้ไปตั้งหน้าโรงหนังแทบทุกแห่ง ให้คนดูได้มาสวมบทเป็นบาร์บี้หรือเคน แชะรูปกันได้ฟรีๆ
  • สร้าง Barbie Dream House หรือบ้านของบาร์บี้ให้เกิดขึ้นจริงในรัฐมาลิบู แถมยังปล่อยให้เช่าจริงๆ ใน Airbnb
  • คอลแล็บฯ กับแบรนด์เป็นร้อยๆ เพื่อออกสินค้าที่อินสไปร์จากบาร์บี้ในช่วงหนังเข้าฉาย เช่น Google ที่พอเราเสิร์ชเกี่ยวกับหนังแล้วหน้าจอจะเปลี่ยนเป็นสีชมพู, Calvin Klein ที่ทำคอลเลกชั่นชุดชั้นในสุดพิเศษ, Burger King ที่ทำซอสสีชมพูใส่เบอร์เกอร์, Xbox ธีมบาร์บี้, แอพฯ เดต Bumble ที่มีคำแนะนำการเดตจากบาร์บี้และเคน ไปจนถึงประกันสุขภาพ Progressive Insurance ที่ให้พนักงานแต่งตัวเป็นบาร์บี้กับเคนเวอร์ชั่นคนขายประกันไปโปรโมตในรอบสื่อ
  • จริงๆ มีการตลาดที่ทีมงานไม่ได้ใช้เงินกับมันสักดอลลาร์เดียว นั่นคือมีม ‘Barbenheimer’ บนอินเทอร์เน็ตที่ล้อเรื่องวันเข้าฉายของ Barbie ที่ชนกับ Oppenheimer ของ Christopher Nolan ทำให้หลายคนเลือกจะดูติดกันสองเรื่อง หรือบางคนก็แต่งตัวในธีมของหนังสองเรื่องนี้ในชุดเดียว เรียกกระแสให้ฮือฮาในหมู่คนดูได้อีก
  • ไม่นับความจริงที่ว่า หนังมีดาราแม่เหล็กหลายคนมาเล่น เช่น Simu Liu, Emma Mackey, Ncuti Gatwa, Michael Cera, Alexandra Shipp และอีกมากมาย

ที่ว่ามาล้วนมีส่วนในการสร้าง Pink Movement ของบาร์บี้ให้กลายเป็นปรากฏการณ์ไปทั่วโลก แน่นอนว่ามากกว่ารายได้ที่พุ่งสูงเกินคาดฝัน ยอดขายสินค้าใดๆ เกี่ยวกับบาร์บี้ก็พุ่งสูงเช่นกัน 

ที่น่าสนใจคือไม่เพียงแต่แค่ตุ๊กตา เซตของขวัญวันเกิด หรือ Barbie Dream House สำหรับเด็กจะขายออกรัวๆ แต่ยอดการค้นหาคำว่า Barbie Martini Glasses ของผู้ใหญ่ก็อัพขึ้นกว่า 868% ในเสิร์ชเอนจิ้น ชี้ให้เห็นว่าหนังทำงานกับทั้งเด็กที่เพิ่งรู้จักบาร์บี้ และผู้ใหญ่ที่เติบโตมากับตุ๊กตาตัวนี้ไปพร้อมกัน ถึงตรงนี้คงไม่เกินจริงที่จะบอกว่า แมทเทลสามารถรีแบรนด์บาร์บี้ได้สำเร็จแล้ว

ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เราเชื่อว่า Barbie จะถูกแซ่ซ้องในฐานะหนังเกี่ยวกับตุ๊กตาที่ประสบความสำเร็จที่สุดเรื่องหนึ่ง และเป็นกรณีศึกษาการโปรโมตหนังได้ปังสุดๆ เรื่องหนึ่งที่หยิบขึ้นมาคุยได้ไม่รู้จบ 

เช่นเดียวกับบาร์บี้ที่จะเป็นตุ๊กตาที่เด็กๆ รักมากที่สุดตัวหนึ่ง–ตลอดไป

อ้างอิง

นามบัตร 7 ใบของ ‘หมอคิด’ จากแพทย์สู่ RISE ผู้เร่งสปีดนวัตกรรมมูลค่ากว่า 8 หมื่นล้านบาท

เจ้าของบริษัทซอฟต์แวร์ที่เป็นต้นกำเนิดของ Settrade

แพทย์ที่ริเริ่มทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นให้โรงพยาบาลชั้นนำ  

ผู้ก่อตั้งบริษัทโฆษณา MCFIVA ที่เน้นการสร้างผลลัพธ์จริงให้กับลูกค้า

ผู้ผลักดันการเร่งสปีดนวัตกรรมองค์กรด้วยความมุ่งมั่นที่จะผลักดันให้ GDP ของประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 1% ในนาม RISE

ผู้ก่อตั้งกองทุนไทย SeaX Ventures ที่ไปปักธงในสหรัฐอเมริกา

ทั้งหมดนี้เป็นชีวิตการทำงานของแพทย์ผู้หลงใหลในเทคโนโลยี ‘หมอคิด–นายแพทย์ศุภชัย ปาจริยานนท์’ ซึ่งไม่มีช่วงไหนที่ทำงานตำแหน่งเดียวเลย ในขณะที่เรียนแพทย์ก็ก่อตั้งบริษัทแรกไปด้วยและตลอดระยะเวลาของการเป็นแพทย์ที่ใช้ทุนสิบกว่าปีก็ไม่ได้แค่รักษาคนไข้แต่ทำระบบไอทีใหม่ให้กับทั้งโรงพยาบาล โดยในปัจจุบันหมอคิดทั้งดูแลบริษัทโฆษณา สถาบันเร่งสปีดนวัตกรรม และยังลงทุนในนวัตกรรมระดับโลกอีกมากมายไปพร้อมๆ กัน 

ย้อนกลับไปในวัยเด็ก ด้วยความเป็นคนชอบอ่านทำให้หมอคิดเริ่มสนใจการลงทุนจากการอ่านข่าวสารจากใบปลิวโฆษณาที่ธนาคาร เริ่มออมเงินตั้งแต่อยู่ชั้นประถม ลงทุนในกองทุนรวมตั้งแต่อยู่มัธยมและลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ตั้งแต่อายุ 17 ปี พอเข้ามหาวิทยาลัยก็เลือกเรียนคณะแพทย์เพราะมองว่าชีววิทยาเป็นวิชาที่ไม่ต้องท่องจำ 

ไม่ว่าจะก้าวไปในวงการไหนทุกบริษัทของหมอคิดล้วนประสบความสำเร็จและสร้างคลื่นลูกใหม่แห่งการเปลี่ยนแปลงในทุกวงการ โดยบริษัทแรกที่ก่อตั้ง ทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ขอซื้อสิทธิ์ไปบริหารเอง พอย้ายมาทำบริษัทโฆษณาก็สามารถสร้างแคมเปญโฆษณาที่มีมูลค่าหลายล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับบริษัทที่อยู่ในรายชื่อ Fortune 500 ทั้งในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยังได้รับเลือกเป็นนายกสมาคมโฆษณาดิจิทัล (ประเทศไทย) หรือ DAAT คนที่สอง

สำหรับ RISE ที่สร้างระบบนิเวศด้านนวัตกรรมองค์กรผ่านเครือข่ายทั่วโลกและกิจกรรมหลายรูปแบบ (Accelerator, Corporate Innovation Consulting, People Transformation, Venture Building Services, Experiential Conference) ได้สร้างมูลค่ารวมไปแล้วทั้งหมดกว่า 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐตลอดเวลา 5 ปีที่ผ่านมา และได้รับเงินลงทุนเพื่อผลักดันการสร้างนวัตกรรมกว่า 8 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือราว 256 ล้านบาทในปี 2563 โดยเป็นเงินลงทุนในรอบ seed ที่สูงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนกองทุน SeaX ก็ลงทุนใน seed round ของยูนิคอร์นไปแล้ว 3 ตัว โดยสามารถระดมทุนในรอบที่สองได้ถึง 60 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือราว 2,200 ล้านบาท 

ความสำเร็จทั้งหมดมาจากวิธีคิดที่ตั้งต้นว่า “อะไรที่ประเทศไทยยังขาดอยู่ เราจะทำ”

CEO and Co-founder
First Vision Advantage

“ก่อนเรียนจบแพทย์ผมรู้ตัวอยู่แล้วว่าชอบเทคโนโลยี ตอนอายุประมาณ 22 ระหว่างเรียนแพทย์อยู่ปี 5 เลยทำโปรแกรมเล่นหุ้นให้ตัวเองใช้ ตอนแรกเป็นโปรแกรมเล่นหุ้นผ่านมือถือโนเกีย 3310 พอชนะ Best 5 ระดับประเทศในการแข่งขันเขียนโปรแกรมจากไอเดียนี้ (การแข่งขัน Discover Online Talent Award – DOT Award by Nokia & DTAC) เลยลงทุนกับเพื่อนเปิดบริษัทชื่อ First Vision Advantage เป็นบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์ และได้พัฒนาโปรแกรมเล่นหุ้นจากจอขาว-ดำสู่จอสีที่รองรับการเล่นบนมือถือได้หลายรุ่น ก็มีผู้ใช้งานหลายพันคน

“คิดว่านวัตกรรมที่สำเร็จสตาร์ทจาก pain point เราก็เริ่มต้นจากตัวเองก่อนว่าเห็นปัญหาอะไร ตอนนั้นผมเห็นว่าเวลาอยู่ในห้องเรียนทำไมเล่นหุ้นไม่ได้ ทำไมต้องออกมาคุยโทรศัพท์เพื่อซื้อหุ้นผ่านโบรกเกอร์ ทำให้พลาดช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการซื้อ-ขายและกว่าจะเลิกเรียนตลาดก็ปิดแล้ว มันก็เป็นปัญหาที่เราเจอกับตัวเอง แต่ตอนนั้นเรามีมือถือแล้วนะ พอเห็นว่ายังใช้มือถือเล่นเกมได้ก็เลยคิดว่าแล้วทำไมเราเล่นหุ้นในมือถือไม่ได้ ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราเริ่มสนใจและเริ่มทำ

“ตอนแรกเราก็เขียนโปรแกรมไม่เป็น คนเขียนโปรแกรมจริงๆ คือเพื่อนที่เขาเป็นมืออาชีพในสายนี้แต่สุดท้ายแล้วเราก็เขียนเป็นบ้างเพราะเพื่อนที่ทำด้วยกันก็จะถามว่า จะให้เอาเวลาไปเขียนฟีเจอร์ใหม่หรือจะให้เอาเวลาไปเขียนรีพอร์ต ผมเลยเขียนโปรแกรมง่ายๆ ได้ เช่น รีพอร์ตที่เราจะใช้ในการบริหารบริษัท ก็คือยอดขายเป็นยังไง ลูกค้าคนไหนซื้อเยอะ ซึ่งมันไม่ใช่โปรแกรมที่สลับซับซ้อน ก็เลยเข้าใจ logic ของการเขียนโปรแกรมจากตอนนั้น

“หลักการแรกๆ ของโปรแกรมมิ่งจริงๆ แล้วมันคล้ายคณิตศาสตร์ที่มีสมการ เช่น ถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้น อีกสิ่งหนึ่งจะไม่เกิดขึ้น หรือถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้น ให้ทำอีกสิ่งหนึ่ง ซึ่งมันเป็นหลักพื้นฐานของการทำเทคโนโลยีเลย ถ้าเราไม่เข้าใจหลักการในตอนนั้น ทุกอย่างที่ทำเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีในวันนี้ก็จะไม่เข้าใจ เราจะไม่สามารถพูดภาษาเดียวกับคนสายนี้ได้ การเข้าใจในวันนั้นเลยเป็นการอันล็อก เพราะพอเราเข้าใจแล้วว่าเวลาโปรแกรมเมอร์เขียนโปรแกรมเขาคิดกันแบบนี้ มันเลยทำให้เราเข้าใจว่าถ้าจะไปสร้างแพลตฟอร์มอะไรก็ตาม มันก็ต้องมีหลักการ logic แบบนี้อยู่เบื้องหลัง

“ตอนที่ทำบริษัทแรกคิดว่าทุกอย่างเป็นการเรียนรู้หมดเลย เพราะว่าไม่มีอะไรที่เราเคยเรียนมาก่อนเลย ตอนเรียนแพทย์เราก็เรียนแค่ผ่าศพ ผ่ากบผ่ายังไง แต่อันนี้คือชีวิตจริง ต้องมาดูว่าลูกค้าที่เราจะไปคุย เขาจะฟังเราไหม พออายุน้อยแค่นี้เองเราจะทำยังไงให้ดูน่าเชื่อถือ ผมว่ามันคือการเรียนใหม่หมดตั้งแต่เรื่องบัญชี กฎหมาย มันต้องรู้เรื่องอะไรบ้าง การเก็บเงินต้องทำยังไง เราจะเก็บเงินได้ไหม ต้องทำอะไรต่อ คิดว่าบริษัทแรกได้เรียนรู้เยอะมาก

“พอทำบริษัทแรกสำเร็จแล้วก็เลยเป็นที่มาว่าทำไมเราถึงมั่นใจว่าน่าจะมาถูกทางและเทคโนโลยีนี่แหละที่น่าจะเป็นทางของเรา เพราะมันมีจุดพิสูจน์ที่เราทำระบบให้ประเทศไทยทั้งประเทศ ให้คนเล่นหุ้นในมือถือได้เป็นครั้งแรก สุดท้ายตอนนั้นเราขายบริษัทที่ทำเรื่องข้อมูลหุ้นให้กับตลาดหลักทรัพย์ไปแล้วก็คิดว่าจะทำอะไรต่อดี เหมือนเป็นช่วงที่เราต้องคิดทางเลือกชีวิตอีกรอบหนึ่ง สิ่งที่ตอบโจทย์ตรงนี้คือตอนที่กลับมาใช้ทุนที่โรงพยาบาลซึ่งก็เป็นตัวตอบอีกรอบหนึ่งว่าเราชอบด้านเทคโนโลยีจริงๆ”

แพทย์ใช้ทุน
โรงพยาบาลศิริราช

“ย้อนกลับไปตอนเลือกเรียนแพทย์ก็เป็นคนเลือกเอง เป็นคนชอบชีววิทยาเพราะคิดว่าเป็นวิชาที่ถ้าเราเข้าใจมันแล้วเราไม่ต้องจำเยอะ ซึ่งมันขัดแย้งกับความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ ตัวผมเองเป็นคนที่เรียนหมอแบบไม่ท่องจำ เพราะรู้สึกว่าถ้าเราเข้าใจมันจริงๆ มันจะเป็นเหตุและผล การที่เราเป็นโรคนี้เพราะเราติดเชื้อจากเรื่องนี้ เราก็เลยมีอาการนี้ออกมา พอทุกอย่างเป็นเหตุผลกัน มันเลยไม่ต้องนั่งจำ ทำให้รู้สึกว่าเรียนชีววิทยาแล้วเข้าใจดีมากเลย เรียนแล้วรู้สึกสนุกมาก เพราะเราไม่ได้ไปจำมัน

“ผมจะเป็นคนชอบหาทางที่ทำยังไงก็ได้ให้เราไปถึงเป้าหมาย พอเรียนหมอจบ 6 ปีแล้ว แพทย์จะต้องไปใช้ทุนไกลๆ ไปภาคใต้ ไปภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แต่เพราะอยากทำสิ่งตัวเองชอบที่เป็นเทคโนโลยีด้วย ก็เลยหาวิธีที่ทำให้เราไม่ต้องไปต่างจังหวัดนาน ได้ทั้งใช้ทุนและทำเทคโนโลยีไปพร้อมกันด้วยก็คือเป็นอาจารย์หมอ ผมใช้ทุนที่ต่างจังหวัดปีเดียวแล้วอีกสองปีก็กลับมาใช้ทุนเป็นอาจารย์หมอที่ศิริราช

“แล้วทีนี้เป็นอาจารย์อะไรดีที่ทำให้เราได้ทำสิ่งที่อยากทำด้วย สาเหตุที่เลือกเป็นอาจารย์สาขาพยาธิวิทยาคลินิก (Clinical Pathology) ที่ศิริราช เพราะตอนนั้นศิริราชกำลังทำโปรเจกต์ใหม่ชื่อ SiHMIS หรือ Siriraj Hospital Management Information System เป็นโปรเจกต์ที่ลงทุนกับการทำระบบของโรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดตั้งแต่ศิริราชก่อตั้งมาเลย (ประมาณ 500 ล้านบาทในเวลานั้น) เราอยากไปทำระบบเทคโนโลยีให้กับทั้งศิริราชเลย

“โจทย์ของโรงพยาบาลตอนนั้นก็คือต้องการมีแค่หนึ่ง electronic medical record ตอนช่วงที่ผมอยู่ ศิริราชต้องไปซื้อตึกทั้งตึกเพื่อเก็บกระดาษ ปีหนึ่งศิริราชมีคนไข้น่าจะเป็นล้านคนและในล้านคนมันคือแฟ้มล้านแฟ้ม ถึงขั้นต้องไปซื้อตึกเพื่อมาเก็บกระดาษตามกฎหมายการเก็บเอกสารที่ต้องเก็บไม่น้อยกว่า 10 ปี โจทย์ก็คือทำยังไงก็ได้ให้ข้อมูลในกระดาษเหล่านั้นกลายเป็นอิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่ใช่แค่สแกนเข้าไป มันก็เรียกได้ว่าเป็นดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น

“ตอนนั้นเริ่มทำปี 2008 ประมาณ 15 ปีที่แล้ว เริ่มสร้างระบบด้วยการใช้วิธีคีย์ข้อมูลลงไป เช่น ข้อมูลยาก็จะเชื่อมกับระบบที่ห้องยา คนไข้ก็ไม่ต้องถือแฟ้มไปแล้ว ไปรับยาได้อัตโนมัติแล้วเก็บเงินได้เลย ข้อมูลทุกอย่างกลายเป็นอิเล็กทรอนิกส์

“ตลอดสองปีนั้นก็ดูแลระบบเทคโนโลยีในเวลากลางวัน ตรวจคนไข้ในเวลากลางคืนและอยู่เวรกลางคืน วิธีนี้ทำให้ยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว ได้ทั้งเป็นอาจารย์ด้วยและเราก็ได้ทำในสิ่งที่เราอยากทำคือดูแลระบบเทคโนโลยีที่ศิริราช” 

นักวิเคราะห์ระบบงานทางการแพทย์
โรงพยาบาลรามาธิบดี

“พอทำที่ศิริราชเสร็จ ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อก็โชคดีได้รับทุนจากโรงพยาบาลรามาธิบดีไปเรียนต่อ ตอนนั้นเรียนปริญญาโทแบบไฮบริดจ์ด้าน biomedical informatics ที่มหาวิทยาลัย Oregon Health & Science University จากทุนที่รามาธิบดี (เรียนด้านวิชาการที่ไทยแต่บินไปทำกิจกรรมและสอบที่สหรัฐฯ) 

“วิชา Biomedical Informatics เรียกง่ายๆ คือ health informatics ก็คือการใช้ไอทีกับสุขภาพ อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการข้อมูลด้านสุขภาพก็เรียนหมดเลย เพราะทุก medical record ของโรงพยาบาลคือข้อมูลสุขภาพทั้งหมด สายงานนี้สามารถพัฒนาสู่การเป็น CMIO – Chief Medical Information Officer ในวงการแพทย์ได้ ถ้าในบริษัททั่วไปคือ CIO – Chief Information Officer ไม่ได้หมายความว่าต้องเขียนแอพฯ ทุกวัน แต่ต้องบริหารข้อมูลให้ได้รวดเร็ว ปลอดภัย 

“ระหว่างเรียนก็ใช้ความรู้ที่เคยทำให้ศิริราชไปช่วยทำระบบ hospital management information system ที่รามาธิบดีเหมือนกันและย้ายมาใช้ทุนที่รามาธิบดี ก็เรียกว่าเป็นตำแหน่งนักวิเคราะห์ระบบงานทางการแพทย์ รวมอยู่ศิริราช 2 ปี อยู่รามาธิบดี 8 ปี ถ้ารวมปริญญาโทอีกก็ใช้เวลาอยู่ในวงการแพทย์รวมทั้งหมด 16 ปี 

“หลักคิดที่ได้จากวงการแพทย์ที่สำคัญสุดเลยคือเขาบอกว่า First, do no harm แปลว่า ถ้าคนไข้ไม่ได้ป่วย ก็อย่าไปทำให้เขาป่วย เราอย่าไปทำร้ายเขา สมมติถ้าคิดว่าเราสั่งยาให้คนไข้ไม่ถูก ก็อย่าสั่งยาให้เลย เพราะเราอาจจะทำให้เขาป่วยก็ได้ รู้สึกว่ามันเป็น principal ที่ดีของหมอที่ทำให้พอมาทำธุรกิจมันก็มีข้อดีหลายเรื่อง หนึ่งคือเราตั้งมั่นอยู่บนพื้นฐานจริยธรรม เพราะพอเป็นหมอมาเราก็ไม่อยากทำให้ใครต้องเดือดร้อน ข้อที่สอง เป็นหมอก็จะต้องเป็นคนละเอียดรอบคอบ ซึ่งสิ่งนี้ก็น่าจะทำให้ในช่วงต้นของธุรกิจ เราก็ไม่ค่อยทำอะไรผิดที่เป็นเรื่องใหญ่”  

President
ITEUS Corporation

“พอทำระบบให้โรงพยาบาลภาครัฐแล้ว โรงพยาบาลเอกชนก็อยากจะมีระบบเหมือนกัน เขาก็บอกเราว่าช่วยไปทำให้หน่อย เลยใช้ประสบการณ์ทั้งหมดที่มีมาเปิดบริษัทชื่อ ITEUS (IT is all about us) เป็นที่ปรึกษาด้านการทำ healthcare IT system ให้โรงพยาบาล งานหลักของ ITEUS คือการทำซอฟต์แวร์ให้โรงพยาบาลแบบเดิมนี่แหละ ทำระบบลงทะเบียนจ่ายยาและประวัติคนไข้ในโรงพยาบาลขนาดไม่เกิน 1,000 เตียง มีลูกค้าเช่น โรงพยาบาลจุฬาฯ โรงพยาบาลกรุงเทพ โรงพยาบาลรามคำแหง ก็เป็นบริษัทที่ปรึกษาที่แรกของไทยที่ได้รับ HL7 Version 3 Certified (RIM) Consultant พูดง่ายๆว่า HL7 เป็นเหมือนสแตนดาร์ดของโลกในวงการหมอไอที คือต้องเป็นหมอที่เป็นไอทีด้วย คล้าย ISO (มาตรฐานการวัดคุณภาพองค์กรทั่วโลก) ที่แสดงว่าเราสามารถลิงก์ข้อมูลทุกๆ อย่างของระบบสาธารณสุขตามระบบมาตรฐานกลางได้”  

Chairman and Founder
MCFIVA 

“ตอนนั้นเรารู้สึกว่าวงการแพทย์มันดีแต่ถ้าเกิดสมมติเรามาดู IT spending และไซส์ของตลาด ตามหลักแล้วถ้าตลาดใหญ่ สตาร์ทอัพในตลาดนั้นถึงจะเติบโตได้เร็วจนเป็นยูนิคอร์นได้และมีมูลค่าบริษัทเยอะ เราก็มาดูว่าอุตสาหกรรมไหนลงทุนในเรื่องไอทีเยอะที่สุด ก็ไม่ใช่โรงพยาบาล ถ้าเป็นกลุ่มเทเลคอม หรือธนาคาร พวกนี้เขาลงทุนในไอทีปีหนึ่งประมาณ 10-15% แต่โรงพยาบาลจะอยู่ที่ 2-3% ซึ่งต่างกันเยอะมาก ก็มาคิดว่าถ้าทำเฉพาะโรงพยาบาล ต้องรออีกนานกว่าเราจะเติบโตและยิ่งใหญ่กว่านี้ ก็เลยมาดูว่ามีอะไรที่โตเร็วๆ และได้ใช้ความรู้เรื่องเทคโนโลยีของเราบ้าง ยังมีอุตสาหกรรมไหนที่เราสามารถเอาความชอบของเราไปใช้ได้อีก ตอนนั้นกูเกิลและเฟซบุ๊กก็เพิ่งมาตั้งบริษัทที่ไทยไม่นานก็เลยเริ่มสนใจ

“ทั้งสองบริษัทเป็น marketing technology ประกอบกับทำ E-commerce ได้ด้วยก็เลยสนใจและคิดว่ามันน่าจะมานะ เลยเขียนอีเมลไปหาทวิตเตอร์ที่อเมริกาว่ามีกูเกิลและเฟซบุ๊กเข้าไทยมานะคุณสนใจเข้าไทยไหม ชวนเขาแล้วบอกว่าถ้าสนใจ เดี๋ยวเราจะเอาโฆษณาของทวิตเตอร์มาขายให้ ผมก็เลยเป็นผู้ถือสิทธิ์การโฆษณาเจ้าแรกของทวิตเตอร์ในเมืองไทย ตั้งชื่อบริษัทว่า MCFIVA เป็นจุดเริ่มต้นของการทำบริษัทโฆษณา

“แล้วก็มาคิดว่าจะทำยังไงให้แตกต่าง เนื่องจากเราเป็นสายเนิร์ด เขียนโปรแกรมได้ด้วย เพราะฉะนั้นวิธีการทำการตลาดของเราก็จะเป็นการทำโฆษณาที่วัดผลได้ เราบุกเบิกการทำ performance marketing ซึ่งตอนแรกๆ ยังไม่ค่อยมีคนทำเรื่องนี้ คนยังนิยมทำโฆษณาแบบเน้นลงสื่อเยอะๆ ให้คนเห็นเยอะๆ ติดบิลบอร์ด ซื้อโฆษณาทีวี จุดเด่นของเราจะไม่ใช่แค่เดินไปขายของว่าโฆษณาเราเปรี้ยงมากหรือโฆษณาเราไวรัล แต่ว่าจะตกลงกับลูกค้าว่าขายของได้ไหม เราบอกลูกค้าได้ว่าถ้าในอนาคตลงค่าโฆษณา 1 ล้านบาทจะได้ยอดขายเท่าไหร่ หาทางทำยังไงก็ได้ให้เงินที่ลงไปได้กลับมามากกว่านั้น พอเราสนใจเรื่องการลงทุน เราก็จะคิดให้ลูกค้าเลยว่าถ้าสมมติคุณลงทุน 10 ล้าน ยอดขายคุณจะเพิ่มขึ้น 100% นะ มันก็เป็นการผนวกเอาเทคโนโลยีที่เราเรียนรู้มาผสม ทำให้เรากลายเป็น performance marketing agency ที่วัดผลได้ ทำให้คนเชื่อมั่นและทำบริษัทมา 12 ปี

“ถ้าถามว่าการที่เป็นหมอแล้วทำไมถึงรู้เรื่อง performance marketing ได้ เพราะผมเป็นคนชอบอ่านมาก ตอนเริ่มต้นลงทุนผมเริ่มลงทุนก่อนเล่นหุ้นอีก ผมเป็นคนชอบอ่านมากและชอบอ่านอยู่ 2 อย่าง หนึ่งคืออ่านใบปลิวที่แบงก์ ปกติเวลาเราไปที่แบงก์เขาจะมีใบปลิวเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่หลายคนอาจไม่สนใจ แต่เราเป็นสายชอบอ่านหนังสือก็หยิบมาอ่านว่ามันมีอะไรน่าสนใจบ้าง ก็เลยทำให้เริ่มลงทุนตั้งแต่ตอนนั้น แล้วก็พยายามอ่านข่าวธุรกิจเยอะๆ เราก็เลยเข้าใจว่าโลกจะหมุนไปทางไหน

“ความจริงตอนนั้นที่เริ่มออกมาทำบริษัทโฆษณา ตอนกลางคืนก็ยังเป็นหมอพาร์ตไทม์อยู่เลย ตรวจคนไข้มาเป็นสิบปีเลย เวลากระโดดข้ามสายงานถ้ามองจากสายตาคนนอกอาจมองว่าเป็นความเสี่ยง แต่จริงๆ แล้วมันก็มีความเสี่ยงที่ไม่เสี่ยงอยู่ เราพยายามลดความเสี่ยงในทุกด้านและสร้าง safety net ให้ได้มากที่สุดซึ่งมันทำได้จริง

“ถ้าจุดเปลี่ยนของ MCFIVA ก็คือตอนปี 2013 ถูกเทคโอเวอร์ไป เป็นการขายบริษัทที่สองที่เราทำ ครั้งนี้ขายให้บริษัท D2C Inc. ที่เป็นบริษัทในกลุ่ม NTT Docomo, Inc. ของญี่ปุ่น ตอนนั้นคิดว่าเราอยากเป็น international firm ที่มีพาร์ตเนอร์ระดับ global ก็เลยคิดว่าขายบริษัทแล้วมาทำด้วยกันดีกว่า ไม่ใช่ว่าขายทิ้ง แต่ขายเพื่อมาทำด้วยกันให้มันใหญ่ขึ้น พอหลังจากที่ขายบริษัทไปแล้วก็มีส่วนที่คิดเห็นไม่ตรงกันกับทางญี่ปุ่นเลยเอากลับมาทำเป็นของตัวเอง แต่เรายังอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงและสร้างอิมแพกต์ได้มากขึ้นอยู่ก็เลยมาตั้งบริษัท RISE เพิ่ม”  

CEO and Co-founder
RISE 

“ตอนนั้นเราเองก็อายุประมาณ 30 แล้ว ถามตัวเองว่าในช่วงอายุ 30-40 ในชีวิตนี้จะตั้งบริษัทได้อีกกี่บริษัท บริษัทนี้อาจจะเป็นที่สุดท้ายแล้วที่เราอยากทำตามความฝันในการทำบริษัทระดับโลก บริษัทที่ไม่ใช่แค่สร้างรายได้แต่สร้างอิมแพกต์ให้กับประเทศและโลกใบนี้ได้ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นจากโจทย์นี้ เลยพยายามหา why ว่า Why RISE need to exist? ทำไมถึงต้องมี RISE มันไม่มีบริษัทนี้ได้ไหมก็เป็นโจทย์ที่หนึ่งเลย โจทย์ที่สองคือจะทำอะไรที่สามารถเอาความสุข ความสนใจ และแพสชั่นของเราเข้ามาอยู่ด้วยกันได้ก็คือเรื่องเทคโนโลยีนั่นเอง 

“ภาพที่เห็นมันชัดมากตั้งแต่ day 1 คือเราอยากเป็นสถาบันเร่งสปีดนวัตกรรมองค์กรที่ไม่ได้ทำมาเพื่อขายอย่างเดียวแต่อยากผลักดันให้ GDP ของประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 1% แล้วเร่งสปีดอะไร เร่งสปีดนวัตกรรม เพราะว่าเราเชื่อว่าประเทศไทยจะโตไปได้มากกว่านี้ถ้ามีนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เข้าไปช่วยคนที่เราคิดว่าสามารถช่วยได้และมีอิมแพกต์มากที่สุดก็คือองค์กร ถ้าถามว่าแล้วเราไม่ได้ช่วยสตาร์ทอัพเหรอ ดูเหมือนว่าเราชอบสตาร์ทอัพและทำสตาร์ทอัพมาตลอด จริงๆ แล้วเราช่วยองค์กรเพื่อไปช่วยสตาร์ทอัพอีกทีนึง แต่องค์กรสองแบบนี้เวลาเขาช่วยกันแล้ว ประโยชน์จะเกิดกับประเทศนะ เพราะว่าเมื่อใดก็ตามที่องค์กรใหญ่ขึ้น มันจะเชื่องช้าลง มีการเมืองมากขึ้นแล้วก็ไม่ค่อยมีเทคโนโลยี สำหรับบริษัทใหญ่แล้วมักจะไม่ค่อยมีเทคโนโลยีที่ชั้นสูงจริงๆ ในขณะเดียวกันสตาร์ทอัพก็เป็นองค์กรเล็กที่รวดเร็วและมีเทคโนโลยี แต่สิ่งที่ไม่มีอย่างเดียวเลยคือฐานลูกค้า ถ้าองค์กรสองแบบนี้มาเจอกันและทำงานร่วมกันก็จะเป็นประโยชน์มากๆ

“เราก็เลยเชื่อเรื่อง collaboration not disruption คือไม่เชื่อว่าบริษัทมองว่าสตาร์ทอัพจะมาดิสรัปต์ แต่การร่วมมือกันจะทำให้องค์กรทั้งสองแบบสามารถสร้างจุดแข็งได้ คิดมาแบบนี้ตั้งแต่แรกและกลายเป็น principle ที่ชัดมากๆ ว่าเราจะสร้างอิมแพกต์จากการทำงานร่วมกันระหว่างสตาร์ทอัพกับองค์กร เราจะทำยังไงให้สามารถสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ลดรายจ่าย เพิ่มกำไรให้ทั้งสตาร์ทอัพและองค์กรไปพร้อมๆ กันได้ 

“ถ้าถามว่า RISE ทำอะไร เราจะมีคำตอบเดียวเลยคือ RISE เท่ากับ New S-Curve แปลว่าเราเป็นคนที่ทำหน้าที่เข้าไปสร้าง S-Curve ให้กับองค์กร ไม่ว่าองค์กรเหล่านั้นจะเป็นใครหรือทำอะไร ถ้าบริษัทต้องการทำเรื่องเดิมให้ดีขึ้น เราอาจจะไม่เหมาะ แต่ถ้าอยากทำเรื่องใหม่ รายได้ใหม่ ธุรกิจใหม่ หรืออะไรก็ตามที่ไม่เคยทำ เราจะเข้าไปตอบโจทย์เรื่องนี้ ในการสร้าง S-Curve เราตอบโจทย์ผ่านสองวิธี วิธีแรกคือ outside-in เอาข้างนอกเข้ามาข้างใน เราต้องยอมรับก่อนว่าบริษัทใหญ่อาจไม่มีเทคโนโลยีแต่มีวิสัยทัศน์ สมมติเรารู้ว่าต่อไปบริษัท A จะไม่ทำน้ำมันแล้วแต่จะไปทำ EV เรารู้ว่าองค์กรของเขาในอีก 5 ปีข้างหน้ามีกลยุทธ์ที่อยากทำเรื่องนี้อยู่แต่ทำไม่เป็นนะ อยากให้ RISE เข้ามาช่วยหาสตาร์ทอัพที่ทำเรื่องนี้ร่วมกับเขาหน่อย ดั้งนั้นที่เราบอกว่าเร่งสปีดคือทางลัดที่เราจับเขาทั้งสองมาทำงานร่วมกัน วิธีที่สองกลับกันบ้างคือ inside-out หรือเอาข้างในไปข้างนอก ก็คือช่วยให้บริษัทสร้างธุรกิจจากภายในโดยใช้คนของเขาเอง เช่น บริษัทที่ชอบมีบริษัทลูกเต็มเลยอย่าง SCB ก็มี SCBX และ Robinhood ถ้าบริษัทไหนอยากสร้างบริษัทลูกขึ้นมาโดยทำสตาร์ทอัพในองค์กรของเขาเอง เราก็ไปช่วยทำ  

“ผมไม่ได้มองบริษัทตัวเองว่าเป็น consult แล้วก็ไม่ได้มองว่าเป็น investor ด้วยแต่มองว่าเราคือ innovation ecosystem builder ที่เลือกนวัตกรรมเข้ามาในประเทศไทยแล้วปลุกปั้นเรื่องเหล่านี้ให้เกิดขึ้นให้ได้ ก็มีคนเคยบอกว่าเราเป็นเหมือนกระทรวงนวัตกรรมแห่งชาติ เพราะเราทำทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

“เราทำตั้งแต่ปั้นธุรกิจจนถึงทำหลักสูตรเทรนนิ่งแต่ไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นบริษัทเทรนนิ่ง เราไม่ได้สอนหนังสืออย่างเดียว ให้ทำการบ้านแล้วได้ประกาศณียบัตร วิธีการสอนของเราในทุกหลักสูตรจะเรียกว่า experiential learning ที่ไม่ใช่แค่ฟังเลกเชอร์ จะสอนหลักการแค่ 5 นาทีและอีก 55 นาที ให้ไปคุยกับผู้เชี่ยวชาญหรือลองทำจริงๆ แล้วกลับมาคุยกัน พอเรียนจบแล้วต้องปั้นบริษัทได้ เราสอนแบบนี้เพราะว่าตัวเราเองก็เรียนรู้ผ่านการลงมือทำมาก่อนเหมือนกัน ตั้งแต่ก่อตั้งมา เราเทรนนิ่ง CEO, executive และกรรมการบริษัทไปประมาณ 20,000 คนแล้ว จนเรามั่นใจว่าใน 20,000 คนนี้สามารถตั้งบริษัทและโปรเจกต์รวมมากกว่า 200 โปรเจกต์ เราก็เลยรู้ว่าวิธีนี้ที่ทำซ้ำได้มันน่าจะพิสูจน์ได้แล้วว่าสำเร็จ 

แล้ววิธีคิดแบบไหนที่ทำให้ช่วยทรานส์ฟอร์มองค์กรต่างๆ ได้สำเร็จ มันเริ่มจากทรานส์ฟอร์มมายด์เซตก่อนเพราะบางทีถ้าผู้บริหารไม่เอาด้วยก็ทำไม่ได้เลย ส่วนน้องๆ ที่เป็น manager หรือ director บางทีเขาอยากทรานส์ฟอร์มใจจะขาดแล้วแต่ขาด skillset และ toolset เพราะฉะนั้นเราเป็นคนที่ให้ทั้ง mindset, skillset, toolset ในทุกระดับ พอทุกคนเรียนแล้วกลับไปในองค์กรก็กลับไปคุยภาษาเดียวกัน 

“อย่างการเปลี่ยนมายด์เซตเพื่อพร้อมทรานส์ฟอร์ม เราคิดว่ากับพี่ๆ ผู้ใหญ่ที่เป็นบอร์ดบริหารหรือเป็น CEO ขององค์กรใหญ่ เราไปสอนอะไรเขาไม่ได้หรอก เราใช้วิธีพาเขาไปดู สิ่งที่เราทำคือเราน่าจะเป็นองค์กรเดียวในไทยที่ร่วมมือกับรัฐบาลที่อเมริกา อังกฤษ ญี่ปุ่น เกาหลี สิงคโปร์ อิสราเอล เราไปหาบริษัทที่เป็นฮับของโลกในเรื่องนวัตกรรมได้หมดเลย แล้วไปทำอะไร พาไปดูสตาร์ทอัพตั้งแต่อยู่ใน garage เขาสร้างธุรกิจกันยังไงในช่วงก่อน IPO ไปจนถึงหลัง IPO ไปดู venture capital ที่นู่นว่าลงทุนยังไง ไปดูศูนย์บ่มเพาะสตาร์ทอัพว่าเขาทำกันยังไง ไปคุยกับคนในองค์กรหรือคนในภาครัฐว่าทำงานกันยังไง เราพาเขาไปดูแล้วก็ไกด์ให้คิด ถามคำถามยากๆ ว่าเวลาเขากลับไปองค์กรตัวเองจะเปลี่ยนอะไรบ้าง แล้วเขาก็จะเริ่มคิดว่าเปลี่ยนดีไหม ถ้าพูดเผินๆ เหมือนเราทำทัวร์พาไปเที่ยว แต่จริงๆ แล้วสิ่งที่แต่ละบริษัทได้กลับไปมันแฮปปี้และคุ้มค่ามาก”  

Managing Partner
SeaX Ventures   

“ในปี 2018 ที่ก่อตั้ง RISE แล้ว ผมขออนุญาต Co-founder ทุกคนไปเรียนที่ Stanford Business School มีที่ไหน CEO จะลาไปเรียนหนังสือตอนที่บริษัทกำลังทำอยู่ แต่ผมมีโจทย์สามเรื่องที่ผมจะไป หนึ่งคือไปแล้วต้องกลับมาตั้ง venture capital (ธุรกิจเงินร่วมลงทุนที่ลงทุนในธุรกิจที่มีการเติบโตสูง) คือ SeaX Ventures ให้สำเร็จให้ได้ นี่คือวิธีคิดที่ไม่เสี่ยงเพราะเราไป with the end goal in mind มันเลยคุ้มตั้งแต่ก่อนไปเรียน สอง ผมตั้งใจว่าจะเอา RISE ไปเซ็นสัญญากับ Stanford Business School เราเลยเป็นองค์กรเดียวในไทยที่เซ็นพาร์ตเนอร์กับ Stanford Business School เพราะการไปเรียนก็ช่วยให้เขาพิจารณาได้ง่ายขึ้น สาม ผมอยากไปเป็น TA (teaching assistant) หรือผู้ช่วยอาจารย์ที่ d.school (โรงเรียนสอน design thinking ที่สแตนฟอร์ด) เรียนเสร็จปุ๊บ ก็ลองวิชาด้วยการสอนเลย พอกลับมามันก็มีอิมแพกต์ได้ขยายและต่อยอดบริษัทหลังจากที่กลับมา และพอมีเป้าหมายตั้งแต่แรก พาร์ตเนอร์ทุกคนเลยบอกว่าไปได้ การเรียนที่สแตนฟอร์ดก็เป็นการตอกย้ำในสิ่งที่เราตั้งใจทำ เพราะ motto ของเขาเหมือนกับสิ่งที่เราอยากทำคือ “Change lives. Change organizations. Change the world.” 

ปกติแล้วในการลงทุนเราย่อมอยากได้ตังค์แน่นอนแต่เราไม่ได้เป็นกองทุนที่ตั้งมาเพื่ออยากได้เงินเยอะๆ เป้าหมายของเราคือทำยังไงที่จะลงทุนในเทคโนโลยีที่ในประเทศไทยยังเข้าไม่ถึงและเอาเทคโนโลยีกลับมาพัฒนาประเทศไทย  

“สิ่งที่ผมตั้งใจทำคือการเพิ่ม 1% GDP ซึ่งไม่ได้อยากทำแค่ในไทย แค่เริ่มต้นที่ไทยด้วย RISE แต่อยากทำทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชื่อ SeaX ก็เลยมีที่มาว่า SEA หมายถึง Southeast Asia ส่วน X คือ exponential technology เทคโนโลยีที่โตก้าวกระโดดและประเทศไทยทำเองไม่ได้ 

“ความตั้งใจคืออยากบอกต่างประเทศได้ว่าเราเห็นสตาร์ทอัพของคุณที่อเมริกาดีมาก คุณสนใจลงทุนในไทยไหม ในเมืองไทยมีคนเก่งๆ เป็นเจ้าตลาดเยอะเลยนะ ทำไมไม่ร่วมมือกัน สิ่งเหล่านี้ก็เหมือนสิ่งที่ทำที่ RISE แต่มีข้อได้เปรียบในการลงทุนดีกว่านั้นนิดนึง คือถ้าสมมติเราแค่ชวนมาร่วมงานกันมันก็อาจจะเป็นแค่การชวนกัน แต่พอเราเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทเขาแล้ว เวลาเราชวนมาทำงานร่วมกัน มันจะมีน้ำหนัก 

“เราเลยตัดสินใจว่าเราจะตั้งกองทุนที่อเมริกาโดยระดมเงินทุนจากคนไทยในองค์กรไทยนี่แหละ สิ่งที่ SeaX Ventures ไม่สนใจลงทุนก็คือ e-Commerce, มาร์เก็ตเพลส, แอพฯ แม่บ้าน, แอพฯ หาคู่  ไม่ใช่เขาไม่ดีนะ สตาร์ทอัพพวกนี้ดีหมดและทุกคนต้องใช้แต่เราสนใจสิ่งที่จะทำให้ประเทศไทยก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลาง ไม่ใช่แค่สร้างแอพพลิเคชั่นขึ้นมาแต่อะไรก็ตามที่ต้องใช้ทรัพย์สินทางปัญญา ใช้นักวิทยาศาสตร์คิดค้นขึ้นมาพวก biotech & life science, agritech, foodtech, energytech, blockchain, artificial intelligence, robotics, IoT & hardware ซึ่งประเทศไทยยังขาดเรื่องนี้ 

“แล้วเลือกลงทุนยังไงให้ไม่พลาด ตัวผมเองจะมีเกณฑ์อยู่ 3 เรื่องด้วยกันที่พบว่าเมื่อใช้เกณฑ์นี้ในการเลือกลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพแล้วเวิร์ก เรื่องแรกคือผู้ก่อตั้งต้องเป็น world class founder แปลว่าเราต้องมั่นใจว่าเขาเป็นคนที่เจ๋งที่สุดที่จะทำเรื่องนี้ในโลก เช่น เราไปลงทุนในบริษัทที่ทำเรื่อง autonomous store แบบ Amazon Go แต่มีเจ้าที่ทำได้เจ๋งกว่า Amazon Go 20 เท่า ซึ่งทีมผู้ก่อตั้งของเขามีทั้งคนทำงานที่ Apple, คนที่ทำ Google Glass และคนที่แข่งคอมพิวเตอร์โอลิมปิก เราก็เลยมั่นใจว่าแบบนี้คือ world class founder ที่เจ๋งจริง 

“ข้อสองคือ เรื่องของ 10x growth สิ่งที่เราสนใจคือมันดีกว่าเดิม ถูกกว่าเดิม ไวกว่าเดิมสิบเท่าหรือเปล่า อย่างตัวนี้ที่เราลงทุน ต้นทุนถูกกว่า Amazon Go 20 เท่าซึ่งเขาใช้ระบบกล้องน้อยกว่าแต่เขียนโค้ดได้แม่นกว่าเลยทำให้ออกมาได้ประสิทธิภาพเหมือนกัน  

“สุดท้ายข้อที่สามคือแล้วประเทศไทยได้อะไร คือเราต้องดูแล้วว่าเทคโนโลยีนี้ ประเทศไทยยังไม่เคยมีใครทำได้เลยแบบนี้ น่าจะมีประโยชน์กับประเทศและบริษัทที่มาลงทุนกับเรา เราก็จะตัดสินใจลงทุน อันนี้ก็จะเป็นเกณฑ์สามข้อ

“ปีนี้ก็เป็นปีที่ทุกภาคส่วนของบริษัท RISE โตแบบก้าวกระโดดมากที่สุด วันนี้เราเป็น venture capital เบอร์หนึ่งที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและบริหารเงินทุนเยอะที่สุดคือ 2,000 กว่าล้านบาท ถ้าความเป็นจริงก็คือเงินลงทุนมาจากลูกค้า RISE ที่เขาไว้ใจเราอยู่แล้วอย่าง ปตท., สิงห์ คอร์เปอเรชั่น ฯลฯ เราก็เป็นตัวกลางกับพี่ๆ ผู้บริหาร รวมแล้วประมาณ 14-15 แห่ง 

“พอเราสร้าง ecosystem อย่างที่เล่า เวลาเราให้ประโยชน์คนอื่น เขาก็จะให้ประโยชน์เรากลับมา ที่ RISE เรามีลูกค้าอยู่ตั้ง 500 บริษัท เวลาเลือกลงทุนกับสตาร์ทอัพเราก็คิดว่า ในลูกค้าของเราทั้งหมด จะไม่มีใครเลยเหรอที่เป็นอุตสาหกรรมเดียวกันกับสตาร์ทอัพที่เรากำลังจะไปลงทุน มันต้องมีแน่นอน ถ้าลูกค้าทุกเจ้าบอกว่าสตาร์ทอัพนี้น่าสนใจ เราก็จะลงทุน แต่ถ้ามี 3 บริษัทเตือนมาก็อาจจะไม่ลง นี่ก็เลยเป็นตัวอย่างของการใช้คอมมิวนิตี้มาช่วยลดความเสี่ยง การลงทุนในสตาร์ทอัพที่ดูเหมือนเสี่ยงมาก เราก็สามารถทำให้มันไม่เสี่ยงได้โดยมีบริษัทต่างๆ มาซัพพอร์ตเราทั้งๆ ที่คนอื่นยังมองว่าเสี่ยงอยู่ 

“อนาคตคิดว่าในการสร้าง ecosystem ยังคงต้องทำรากแก้วเหล่านี้อย่างต่อเนื่องให้แข็งแรง ทุกอย่างที่เราทำที่ RISE ใช้เวลาประมาณ 6 ปี แต่ซิลิคอนแวลลีย์ใช้เวลา 40 ปี กว่าที่จะมีวันนี้ เพราะฉะนั้น 6 ปี ของเราก็เหมือนเพิ่งเริ่มแค่ ป.1 เราก็ต้องใช้เวลา เลยรู้สึกว่าเราไม่ได้อยากทำอะไรไปมากกว่านี้ แต่จะทำสิ่งที่ทำอยู่ให้ดีมากๆ จนคนบอกว่าเราทำสิ่งนี้ได้ดีที่สุดในเซาท์อีสต์เอเชีย”

แม้การลงทุนและการทำธุรกิจจะดูเป็นเรื่องที่คิดถึงแต่ตัวเลข การเติบโตและกำไร แต่สิ่งที่หมอคิดได้เรียนรู้และลงมือทำให้เห็นจริงคือ ‘การให้’ ที่แม้จะมีรูปแบบแตกต่างกันออกไประหว่างตอนเป็นแพทย์กับตอนทำธุรกิจและเป็นนักลงทุน แต่แก่นสำคัญยังคงเหมือนเดิมคือการคิดว่าจะใช้สิ่งที่ถนัดมาช่วยผู้อื่นได้อย่างไรโดยคิดใหญ่และมองไกลในสเกลที่ใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ   

“ตอนเป็นหมอพอเห็นคุณลุงคุณป้าอายุ 60 ปีเดินมาบอกว่าเขาหายแล้ว ขอบคุณคุณหมอที่รักษาเขาได้ดีมากๆ เราก็รู้สึกดีต่อใจ หรือเวลาที่ได้อยู่กับเด็กๆ ที่ไม่สบาย พอคิดว่าช่วยเขาได้ก็รู้สึกดีต่อใจเลยเลือกเป็นหมอในตอนนั้น ส่วนตอนทำธุรกิจผมเชื่อว่าถ้าเรายังสามารถส่งมอบคุณค่าให้กับผู้คนได้ เราก็ยังโตได้ เพราะสุดท้ายแล้วเงินที่ลูกค้าจ่ายให้เรา เขาไม่ได้จ่ายซื้อสินค้าบริการของเราแต่เขาจ่ายมาเพื่อตอบแทนคุณค่าที่เราส่งมอบให้เขา”

คุยกับ ‘ฟาน อัครินทร์’ ผู้ลงลึกกับกาแฟ ตั้งแต่ทำไร่ที่เชียงดาว ไปจนบุกเบิกโรงคั่วกลางทองหล่อ และทำร้านชื่อ Coffeeology

ความรู้เรื่องฮอปส์และเทคนิคทำเบียร์ ยุคสมัยที่พระทำเบียร์ แถมพัฒนาให้กลายเป็นอุตสาหกรรม

ส่งท้ายเดือนสิงหาคม เดือนที่เรามีทั้งวันเบียร์สากลและมีวันหยุดทางศาสนาที่ห้ามขายเบียร์อยู่หลายวัน เบียร์กับพื้นที่ศาสนาขึ้นอยู่กับมุมมอง รวมถึงมิติทางวัฒนธรรมที่มีต่อเครื่องดื่มมึนเมานั้น ในพื้นที่เช่นคริสต์ศาสนา ถ้าเรามองย้อนไปนอกจากการมีเครื่องดื่มเช่นไวน์เป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อและพิธีกรรมแล้ว เครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ยังสัมพันธ์กับบริบทเมืองหนาว และถ้าเราดูบริบทประวัติศาสตร์ เบียร์เป็นเครื่องดื่มชนิดหนึ่งที่สัมพันธ์กับเงื่อนไขในการใช้ชีวิต

และนี่คือเรื่องราวท่ีคราวนี้ทรัพย์คัลเจอร์จะพาย้อนเวลาไปไกลสักหน่อยคือเราจะพากลับไปในยุคกลาง ยุคสมัยที่ต่อเนื่องหลังอาณาจักรกรีกและโรมันล่มสลาย ทั่วทั้งทวีปเต็มไปด้วยชนกลุ่มใหม่ๆ ที่เคยถูกเรียกว่าอนารยชนค่อยๆ ก่อร่างขึ้น ยุคสมัยแห่งเมืองล้อมกำแพง และห้วงเวลาที่ศาสนจักรเรืองอำนาจ

ในช่วงเวลาที่ค่อนข้างระส่ำระสายและกินเวลาค่อนข้างนานคือตั้งแต่ศตวรรษที่ 5 ลากยาวไปจนถึงศตวรรษที่ 15 ยุคสมัยที่เริ่มเกิดเมือง และบทบาทสำคัญในยุคนั้นคือการเกิดขึ้นของโบสถ์และอารามน้อยใหญ่ พื้นที่ของพระผู้เป็นเจ้าที่ไม่ได้มีบทบาทแค่ในเรื่องศรัทธาแต่ยังมีบทบาทเชิงสังคมด้วย โบสถ์เหล่านี้เป็นเหมือนพื้นที่หลบภัย เป็นพื้นที่รวมตัวของผู้คน เป็นที่ที่สอนการอ่านการเขียน สืบทอดความรู้ 

ด้วยความเปลี่ยนแปลงในวัตรปฏิบัติในสมัยกลาง โบสถ์หลายแห่งในยุโรปกลายเป็นพื้นที่พึ่งพาตนเอง ทำไร่ไถนา และด้วยเงื่อนไขในการใช้ชีวิต เบียร์จึงเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคือการถนอมอาหาร เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องดื่มที่ให้พลังงาน ถ้าเรามองย้อนไป เบียร์ที่เจือรสหวานลิ้น นวัตกรรมหลายอย่างของการทำเบียร์ให้รสอร่อยก็ล้วนผ่านมือเหล่าบาทหลวงที่ตั้งโรงต้มและบ่มเบียร์ในรั้วอาราม เอาแค่ว่าความรู้เรื่องฮอปส์และการใช้ฮอปส์ทำเบียร์ การเป็นรากฐานของอุตสาหกรรมเบียร์ ตรงนี้เราเองก็ต้องให้เครดิตกับเหล่าสาธุคุณ

กฎของนักบุญเบเนดิกต์และความสำคัญของเบียร์ในยุคกลาง

ประวัติศาสตร์เบียร์ในสังคมรวมถึงการเฟื่องฟูของการทำเบียร์ในพื้นที่อาราม เป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่ยาวนานและล้อไปกับการขยายตัวของคริสต์ศาสนาในยุโรปด้วย ในช่วงปีคริสต์ศักราช 800 คือราวศตวรรษที่ 9 ตอนนั้นศาสนจักรแพร่ขยายไปในหลายส่วนของยุโรป โดยทั่วไปการปลูกองุ่นทำไวน์ถือเป็นกิจกรรมพื้นฐานของโบสถ์อยู่แล้ว ทีนี้ ด้วยความที่ศาสจักรขยายไปในหลายพื้นที่ การเกิดขึ้นของโบสถ์ต่างๆ ที่อยู่ในพื้นที่ยุโรปตอนเหนือ เช่นแถวฝรั่งเศส เยอรมนีมัน พื้นที่เหล่านี้มีภูมิอากาศเย็น ปลูกองุ่นไม่ได้ ทางโบสถ์เองจึงหันไปปลูกข้าวสาลีตามบริบทท้องถิ่น ตรงนี้เองเป็นจุดเริ่มต้นหนึ่งของการทำเบียร์แทนการทำไวน์

ก่อนจะเข้าสู่พื้นที่อารามอันศักดิ์สิทธิ์ ในยุคสมัยนั้นมีหลักฐานว่าชาวบ้าน โดยเฉพาะผู้คนที่อาศัยอยู่ในแถบชนบท ห่างไกลจากศูนย์กลางเมือง ผู้คนโดยทั่วไปตามบ้านเรือนก็จะมีการทำเบียร์ไว้ดื่มหรือแจกจ่ายขายบ้างในครัวเรือนอยู่แล้ว เบียร์นับเป็นหนึ่งในวิธีการจัดเก็บวัตถุดิบอันล้ำค่าที่ปลูกได้นอกฤดูหนาว เบียร์เป็นเครื่องดื่มที่ให้พลังงาน เก็บได้ยาวนาน มีข้อมูลว่าผู้คนในยุคกลางทำเบียร์และมีการปรุงรสเบียร์ด้วยสมุนไพรต่างๆ การทำเบียร์ในครัวเรือนในช่วงก่อนศตวรรษที่ 12 ยังไม่ค่อยเป็นเรื่องเป็นราวนัก คือมีข้าวสาลีเหลือจากขนมปังก็ทำไป จนถึงยุคที่เบียร์ไปเฟื่องฟูใต้ร่มเงาของศาสนาในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์หลังจากนั้น

รากฐานสำคัญหนึ่งของการหมักเบียร์ในอารามมาจากนิกายที่เรียกว่าคณะเบเนดิกติน เป็นกลุ่มนักบวชที่บำเพ็ญพรตตามนักบุญเบเนดิกต์แห่งเนอร์เซีย นิกายเบเนดิกตินเกิดขึ้นราวศตวรรษที่ 6 ลักษณะนิกายเป็นนิยายเพื่อการปฏิรูป คือเน้นให้พระและแม่ชีมีวัตรปฏิบัติที่เคร่งครัด โดยนักบุญเบเนดิกต์มีคำสอนสำคัญเรียกว่ากฎของนักบุญเบเนดิกต์ (The Rule of St Benedict) 

หัวใจหนึ่งของกฎนักบุญเบเนดิกต์ คือความเชื่อว่าการทำงานเป็นวัตรสำคัญในการเข้าถึงพระผู้เป็นเจ้าอย่างหนึ่ง การทำงานในยุคนั้นก็คือการทำกิน การทำฟาร์ม ส่วนหนึ่งของความคิดของนักบุญเบเนดิกต์คือการที่โบสถ์สามารถพึ่งพาตนเอง ผลิตอาหาร ปลูกผัก ดูแลกิจการต่างๆ ได้โดยไม่ต้องพึ่งพิงปัจจัยภายนอก วัตรปฏิบัติดังกล่าวค่อนข้างสอดคล้องกับเงื่อนไขของพระในสมัยนั้นที่บางครั้งมีการเดินทางไปยังดินแดนต่างๆ และตั้งอารามขึ้นเพื่อเผยแผ่ศาสนา ดังนั้นเองการทำเบียร์จึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของอารามที่ผลิตอาหารเลี้ยงตัวเอง

การทำเบียร์นอกจากจะเป็นการถนอมอาหารแล้ว ในสมัยกลางบางพื้นที่อาจขาดแคลนน้ำสะอาด เช่นน้ำในบ่อขุดอย่างที่เราเห็นในหนังเช่น Game of Thrones เบียร์จึงเป็นเครื่องดื่มทางเลือกหนึ่งที่ทั้งให้พลังงานและทดแทนน้ำดื่มในยามขาดแคลนได้ 

สำหรับนิกายเบเนดิกต์ค่อยๆ ขยายตัวเช่นกลายเป็นแนวทางหลักของยุโรปตะวันตกในราวศตวรรษที่ 9 ยกเว้นพื้นที่สกอตแลนด์ เวลส์ และไอร์แลนด์ บางความเห็นเห็นว่าการเกิดขึ้นของนิกายนี้อาจสัมพันธ์กับการก่อตัวขึ้นของเมืองใหญ่ที่วุ่นวาย การถอยห่างออกจากเมืองกลับไปสู่ชีวิตสามัญจึงเป็นวัตรสำหรับนักบวชที่ได้รับการชื่นชม

โรงเบียร์ในโบสถ์ เส้นทางจาริก และบทบาทของอาราม

ร่องรอยของโรงบ่มเบียร์และสวนฮอปส์ในอารามค่อนข้างสัมพันธ์กับหลายบริบท และเป็นห้วงเวลาที่ค่อนข้างยาวนานมาก แต่เราก็สามารถมองเห็นร่องรอยของโรงเบียร์ในพื้นที่โบสถ์ที่สัมพันธ์กับประวัติศาสตร์ภาพใหญ่ของสมัยกลาง เช่นการอพยพจากดินแดนหนึ่งไปสู่อีกดินแดน การตั้งอาราม และเส้นทางจาริกแสวงบุญ ร่องรอยหนึ่งที่เรามองเห็นได้คือเรื่องราวของโบสถ์เซนต์กาลเลิน (St. Gallen) ในสวิตเซอร์แลนด์

เรื่องราวของโบสถ์ของนักบุญกาลเลินนี้อาจสัมพันธ์ไปจนถึงการมาถึงของการหมักเบียร์ คือย้อนไปตั้งแต่ยุคที่จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ขยายตัวไปถึงเกาะอังกฤษ ที่ไอร์แลนด์เองก็มีตำนานเกี่ยวกับการทำเบียร์ที่เก่าแก่เล่าถึงนักบุญแพททริก (St. Patrick) ที่มีสหายชื่อ Mescan เป็นนักทำเอลล์ (Ale) โดยในประวัติศาสตร์ศาสนจักรของไอร์แลนด์เป็นผู้ผลิตเอลรายใหญ่มาโดยตลอด

ทีนี้ในราวปลายศตวรรษที่ 6 คือช่วงปีคริสต์ศักราชที่ 585 มีคณะนักบวชหนึ่งจากไอร์แลนด์ นำโดยบาทหลวงนามว่าโคลัมบัน (Columban) ได้นำคณะบาทหลวงนิกายเบเนดิกต์จากไอร์แลนด์ข้ามทะเลมายังยุโรปแผ่นดินใหญ่ หนึ่งในผู้ติดตาม 12 รูป มีบาทหลวงรูปหนึ่งนามว่า กาลล์ (Gall)

เรื่องราวของคณะบาทหลวงคือ เมื่อถึงแผ่นดินใหญ่แล้วก็ได้จาริกไปอยู่แถวดินแดนที่เป็นเขตของเยอรมนีในปัจจุบัน ยุโรปในตอนนั้นมีการแบ่งการปกครองเป็นดินแดนแล้วแต่ราชวงศ์แยกกัน ยังไม่เป็นประเทศ ทีนี้คณะนักบวชนี้ค่อนข้างเคร่ง และหัวร้อนตามประสานักบวชหนุ่ม วัตรปฏิบัติของคณะนักบวชเต็มไปด้วยระเบียบและการลงโทษถึงขั้นเฆี่ยนเช่นถ้าลืมกล่าวคำว่าเอเมนหรือร้องเพลงสวดผิดคีย์จะถูกเฆี่ยน 6 ที วางมีดถากโต๊ะโดน 10 ที มีกฎการรับประทานในปริมาณพอเหมาะ ดื่มเบียร์ก็ห้ามถึงเมามาย รวมถึงหากทำเบียร์หกจะต้องลงโทษด้วยการให้ยืนเฝ้ายามทั้งคืน

ทีนี้อาจจะด้วยความเคร่ง หรือความขัดแย้ง คณะนักบวชเบเนดิกต์หนุ่มไม่เป็นที่โปรดปราดของอาณาจักรในยุโรปตอนกลาง โดยเฉพาะไม่โปรดโดยพระราชินีบรุนฮิลด์แห่งราชวงศ์เมรอแว็งเฌียง (Queen Brunhilda of the Merovingian) ส่วนหนึ่งคือนัยของคณะนักบวชแสดงสิทธิอำนาจที่สืบทอดจากคริสตจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ พระนางผู้ปกครองดินแดนส่วนใหญ่ในแถบฝรั่งเศสและแถบออสเตรียในปัจจุบันเกือบทั้งหมดได้สั่งเนรเทศคณะนักบวชออกจากดินแดนในปกครองของพระนาง

ผลคือคณะนักบุญต้องอพยพและเดินทางไปทางเทือกเขาแอลป์ ผลคือบาทหลวงโคลัมบันเลือกพื้นที่ตรงรอยต่อระหว่างเขตแดนทางตอนใต้ของเยอรมนีจรดกับตะวันตกของออสเตรีย ในปีคริสต์ศักราชที่ 612 บาทหลวงโคลัมบันและบาทหลวงกาลล์ได้พื้นที่ที่ปัจจุบันเป็นพื้นที่ระหว่างเทือกเขาตั้งอยู่ทางตอนเหนือของสวิตเซอร์แลนด์ตั้งอารามเล็กๆ ขึ้น เป็นอารามของการถูกเนรเทศ ภายหลังบาทหลวงกาลได้รับการแต่งตั้งเป็นนักบุญในฐานะผู้เผยแผ่คริสต์ศาสนาสู่ทวีปยุโรปกลาง และพื้นที่อารามกลางขุนเขาอันสวยงามนั้นก็ได้ชื่อว่า ซังคท์กัลเลิน (St. Gallen) เป็นทั้งชื่อของอารามและของรัฐของสวิสในปัจจุบัน

ทีนี้อาจจะด้วยความตั้งใจหรือบังเอิญ ที่พระประสงค์ของราชินีที่อุตส่าห์เนรเทศไปที่ห่างไกลกลับตาลปัตร คือพื้นที่ที่ตรงซังคท์กัลเลิน จริงๆ แล้วเป็นเส้นทางสำคัญในการจาริกแสวงบุญของผู้จาริก (pilgrim) ที่จะเดินทางแสวงบุญไปยังโรม คือต้องผ่านเทือกเขาแอลป์ และต้องผ่านบริเวณอาราม ทีนี้ในยุคนั้นการเดินทางระหว่างดินแดนเป็นเรื่องอันตราย มีโจรบ้าง อากาศแย่บ้าง ประกอบกับว่าผู้จาริกในยุคนั้นที่เดินทางจากเยรูซาเลมไปโรมค่อนข้างหลากหลายและเปิดกว้าง ทั้งราชินีที่เป็นคู่ขัดแย้งก็สิ้นไปในราวปีคริสต์ศักราช 614 อารามน้อยที่เคยเป็นที่ปลีกวิเวกจากการเนรเทศก็ค่อยๆ ยกระดับความสำคัญขึ้น

ร้อยปีหลังจากนั้นคือในทศวรรษ 720 อารามน้อยโดดเดี่ยวได้กลายเป็นอารามอย่างเป็นทางการ อีกหนึ่งร้อยปีคือช่วงปี 800 ก็ได้รับยกย่องเป็นอารามหลวง (imperial abbey) ได้รับการยอมรับให้เป็นศูนย์กลางศรัทธาหนึ่ง ในช่วงทศวรรษ 820 อารามสำคัญแห่งนี้มีหลักฐานถึงบทบาทของโบสถ์ในศาสนจักรที่มีต่อผู้คนอย่างเป็นรูปธรรม มหาวิหารของซังคท์กัลเลินในช่วงนั้นไม่ได้มีแค่โบสถ์หรือที่พำนักของนักบวช แต่ภายในยังมีโรงพยาบาล โรงเรียน ห้องสมุด มีที่พักสำหรับผู้จาริก ที่พักเฉพาะของช่างฝีมือและพ่อค้าที่ผ่านทาง มีที่พักสำหรับบุคคลสำคัญ มีโถงรับประทาน สวน และในอารามที่เป็นเหมือนโรงเตี๊ยมด้วยนี้ก็ปรากฏว่ามีพื้นที่สำหรับทำเบียร์ถึงสามแห่ง

การเกิดขึ้นของวิหารซังคท์กัลเลินเป็นภาพหนึ่งที่เราอาจเห็นความเชื่อมโยงของการผลิตเบียร์ที่แพร่กระจายมายังยุโรปตอนกลางจากไอร์แลนด์ นอกจากวิหารซังคท์กัลเลินแล้ว ในช่วงเวลาใกล้ๆ กันคือราวปี 720 ที่พื้นที่เนินเขา Weihenstephan ตอนเหนือของมิวนิก ที่บริเวณนั้นเองก็มีคณะมิชชันนารีชาวไอริสไปตั้งอารามและกลายเป็นอารามใหญ่ของคณะเบเนดิกต์ด้วย ภายหลังอารามที่ Weihenstephan กลายเป็นโรงเบียร์เก่าแก่ที่สุดของอารามที่รัฐอนุญาตให้ผลิตและขายเบียร์ได้ตั้งแต่ปีคริต์ศักราชที่ 1040

ปัจจุบันอารามยังคงผลิตเบียร์ที่บ้านเราก็มีขาย เป็นมหาวิทยาลัยเบียร์ที่ดูแลโดยรัฐบาวาเรีย อารามแห่งนี้ถือเป็นอารามแรกๆ ที่พบสวนฮอปส์และนับว่าเป็นโรงเบียร์แรกที่ใช้ฮอปส์ในการทำเบียร์ รากฐานของมิชชันนารีไอริสนั้นเป็นรากฐานของมิวนิกและแคว้นบาวาเรียในฐานะดินแดนแห่งเบียร์ในทุกวันนี้

ฮอปส์ ความรู้ที่ทำให้เบียร์กลายเป็นสินค้า

การทำเบียร์ด้วยฮอปส์ถือเป็นจุดพลิกผัน และเป็นองค์ความรู้สำคัญ การที่เรามีเบียร์ที่รสดีสดชื่นดื่มจากการหมักด้วยฮอปส์นี้ก็ต้องขอบคุณไปที่เหล่าสาธุคุณในสมัยกลาง ข้อมูลเรื่องการใช้ฮอปส์ในการทำเบียร์ค่อนข้างหลากหลาย มีข้อมูลว่าอารามหลายแห่งมีการใช้ฮอปส์ในการร่วมทำเบียร์มาตั้งแต่ยุคต้นของสมัยกลางแล้ว แต่ยังกระจัดกระจายและยังไม่มีองค์ความรู้หรือหลักฐานที่ชัดเจน

ทีนี้ เป็นอีกครั้งที่คณะนักบวชในนิกายเซนต์เบเนดิกมีคุณูปการต่อวงการเบียร์อย่างเป็นรูปธรรม คราวนี้เป็นสำนักแม่ชี คือในทศวรรษ 1100 ฮิลเดการ์ดแห่งบิงเงน (Hildegard von Bingen) แม่ชีที่ต่อมาได้รับสถาปนาเป็นนักบุญฮิลเดการ์ด ได้ตั้งสำนักชีนิกายเบเนดิกต์ขึ้นที่ริมแม่น้ำไรน์ใกล้ๆ เมืองบิงเงน โดยแม่ชีฮิลเดการ์ดเป็นผู้รอบรู้ในหลายศาสตร์หนึ่งในนั้นคือการแพทย์ โดยท่านได้เขียนตำราสำคัญขึ้นหลายเล่ม หนึ่งในนั้นคือ Physica Sacra หนังสือที่พูดถึงสรรพคุณต่างๆ ของพืชพรรณและสมุนไพร ในงานเขียนเล่มนี้ได้พูดถึงฮอปส์ในฐานะผลไม้สำคัญที่มีประโยชน์หลายอย่าง หนังสือระบุว่าฮอปส์มีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพและใช้ยืดอายุเครื่องดื่มชนิดต่างๆ ได้ หลังจากทศวรรษนี้เอง ฮอปส์ก็กลายเป็นที่รู้จัก และค่อยๆ กลายเป็นวัตถุดิบหลักในการทำเบียร์ ในช่วงศตวรรษที่ 12 นี้เองที่เบียร์ในอารามส่วนใหญ่เปลี่ยนมาใช้ฮอปส์กันเกือบทั้งหมด

บันทึกข้อเขียนและปูมความรู้ต่างๆ เป็นหัวใจหนึ่งที่ทำให้อารามกลายเป็นพื้นที่สำคัญในการพัฒนาการทำเบียร์ เพราะในสมัยกลางอารามเป็นหนึ่งในไม่กี่พื้นที่ที่รู้หนังสือ เป็นพื้นที่ของการอ่านออกเขียนได้ เบื้องต้นที่สุดการทำเบียร์ในอารามโดยพระของแต่ละที่นั้นมักมีการจดบันทึกในการทำแต่ละครั้งโดยละเอียด ตรงนี้เองที่อารามกลายเป็นพื้นที่ค้นคว้าและสืบทอดความรู้ในการผลิตเบียร์ พระที่รับช่วงทำเบียร์ต่อก็จะมีการศึกษาบันทึกข้อมูลต่างๆ เพื่อทำเบียร์ให้ได้ดีขึ้น กรณีบันทึกของนักบุญฮิลเดการ์ดเองก็อาจมีส่วนที่โบสถ์ต่างๆ รับความรู้เรื่องฮอปส์ภายในศาสจักรด้วยกันเองด้วย

สำหรับการใช้ฮอปส์ ประวัติศาสตร์ให้เครดิตกับกลุ่มอารามในแถบตอนเหนือของเยอรมนี ประเด็นสำคัญของการใช้ฮอปส์ในช่วงนั้นไม่ใช่เรื่องรสชาติแต่อย่างเดียว แต่ความรู้เรื่องฮอปส์จากโรงเบียร์ในอารามเป็นความรู้ในการยืดอายุของเบียร์ที่ผลิตขึ้น พระในยุคนั้นพบว่าการใช้น้ำมันของฮอปส์ในปริมาณที่เหมาะสมช่วยลดกรดและสารอื่นๆ ที่ทำให้เบียร์เน่าเสียได้ เบียร์จากฮอปส์มีอายุการเก็บที่ยาวนานกว่า สามารถขายได้หลังทำเสร็จนานเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน ฮอปส์เป็นหัวใจที่ช่วยแก้ปัญหาการทำเบียร์ในฤดูร้อนซึ่งความต้องการเบียร์สูงขึ้นในช่วงอากาศอบอุ่นที่คนอยากดื่มเบียร์ การใช้ฮอปส์ทำให้เบียร์ที่ทำในเดือนมีนาคมมีอายุยาวนานได้ถึงเดือนมิถุนายนหรือกรกฎาคม

ตรงนี้เองที่เราอาจเริ่มเห็นการก่อตัวขึ้นของความเป็นอุตสาหกรรม ทั้งการที่อารามเป็นพื้นที่ผลิตเบียร์หลัก รัฐเริ่มเข้ามามีส่วนร่วมเช่นมีการให้ใบอนุญาตไปจนถึงการออกกฎหมายต่างๆ และการมาถึงของเบียร์จากฮอปส์นี้ทำให้การขนส่งเบียร์ไปขายยังพื้นที่อื่นที่ไกลออกไปหลายร้อยไมล์กระทั่งขนส่งข้ามน้ำข้ามทะเลไปก็ยังได้

การยืดอายุเบียร์ได้นี้ทำให้เบียร์กลายเป็นสินค้า เกิดการปรับปรุงรสชาติ พัฒนาคุณภาพในด้านต่างๆ ของเบียร์ เพื่อแข่งขันและป้อนเข้าสู่ตลาดที่เรียกได้ว่าเป็นตลาดนานาชาติขึ้น เบียร์เองกลายสินค้าสำคัญกระทั่งกลายเป็นส่วนหนึ่งของความมั่งคั่งและเป็นส่วนหนึ่งของการเมืองระหว่างรัฐในสมัยนั้น จุดนี้เองที่เมืองต่างๆ เริ่มกลายเป็นศูนย์กลางของการเป็นผู้ผลิตเบียร์ 

หนึ่งในเมืองที่ก้าวขึ้นมาเป็นเมืองในแนวหน้าจากการเป็นผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมเบียร์คือเมืองฮัมบวร์ค (Hamburg) แม้แต่จักรพรรดิชาร์ลส์ที่ 2 แห่งอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ยังเอ่ยปากชมในฐานะเมืองที่เติบโตขึ้นด้วยอุตสาหกรรมเบียร์ ฮัมบวร์คเฟื่องฟูแค่ไหน ในทศวรรษ 1360 เมืองฮัมบวร์คผลิตเบียร์ได้มากถึง 25 ล้านลิตรต่อปี มีโรงเบียร์กว่า 450 แห่ง ช่วงนั้นยุโรปมีกาฬโรคซึ่งประชากรลดลงไปมาก แต่การผลิตเบียร์ของฮัมบวร์คเริ่มทะยานขึ้นอีกครั้งเมื่อโรคระบาดผ่านไป ในศตวรรษที่ 15 เมืองฮัมบวร์คผลิตเบียร์สูงถึง 30 ล้านลิตรต่อปี ส่วนใหญ่ผลิตเพื่อส่งออกไปนอกเมือง

Image: Georg Braun

แค่การใช้ฮอปส์และอิทธิพลของบาทหลวงนิกายเบเนดิกต์ก็เป็นประวัติศาสตร์ที่ยาวนานและนับว่าเป็นรากฐานหนึ่งที่เบียร์กลายเป็นอุตสาหกรรม ในยุคนั้นอารามนับเป็นพื้นที่เดียวที่ผลิตเบียร์ในระดับผลิตเพื่อการค้า นอกจากฮอปส์แล้วเหล่าพระคุณเจ้ายังคิดค้นอีกหลายวิธี เช่น การนำเบียร์ไปบ่มในพื้นที่เย็นเพื่อประโยชน์ของการใช้ยีสต์ ซึ่งเกิดขึ้นในอารามแถบบาวาเรียซึ่งก็คือแถบเยอรมนี ท่านเอาถังเบียร์ที่อาจเป็นทองแดงไปบ่มไว้ในภูเขาที่เป็นน้ำแข็ง หรือความรู้เรื่องความเข้มข้นที่เบียร์ค่อยๆ จางลง มีการจำกัดปริมาณแอลกอฮอล์ นำเอาเบียร์เข้มข้นสูงขายแก่ผู้คน เก็บเบียร์ที่มีแอลกอฮอล์ต่ำไว้ดื่มเองโดยเฉพาะช่วงถือศีลอดที่ต้องอดอาหาร

เรื่องราวของเบียร์อันยาวนานย้อนไปถึงยุคกลางนี้ อย่างน้อยที่สุดคือเบียร์ในขวดที่ทำจากฮอปส์ เมื่อเราหยิบขวดเบียร์ขึ้นมาก็อาจชวนให้นึกถึงอารามเก่าแก่ที่อาจตั้งอยู่กลางเทือกเขาแอลป์อันหนาวเย็น อารามที่กลายเป็นที่พักนักเดินทาง หรืออาจนึกถึงสวนฮอปส์และนักบวชผู้ศึกษาพืชพรรณจนกลายเป็นฐานความรู้ที่เหล่านักบวชอื่นๆ พากันใช้ประโยชน์ในการทำเบียร์ให้ทั้งรสอร่อยและมีอายุยาวนาน ตอนนี้เราคงไม่แปลกใจที่เบียร์หลายยี่ห้อมีภาพพระในชุดคลุมแบบยุคกลางและแอบอมยิ้มเมื่อเห็นภาพนักบวชที่ชูแก้วเบียร์และยิ้มให้กับเราผ่านโลโก้ในขวด

แหล่งอ้างอิง

บทเรียนการเป็น ‘ผู้นำ’ ที่รุ่นพี่สอนกันมา จากงาน TechSauce Global Summit 2023

โลกของการทำงานเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ผู้นำจำเป็นต้องมีทักษะและกรอบความคิดที่พร้อมรับมือกับความท้าทายที่กำลังจะเกิดขึ้น เพื่อประคับประคององค์กรให้อยู่รอด

หากมองภาพรวมของคนทำงานในยุคนี้ เห็นได้ว่าชาวเจนฯ Z และมิลเลนเนียล มีบทบาทสำคัญต่อองค์กรอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นความเท่าทันยุคสมัยหรือการมีทักษะที่เป็นลักษณะเฉพาะที่หาไม่ได้ในเจนฯ ก่อนหน้า โจทย์ใหญ่ขององค์กรคือ ทำยังไงให้พวกเขาทำงานอย่างมีความสุขและยั่งยืน ควบคู่ไปกับการใช้ชีวิตอย่างสมดุล

จากเซสชั่น หัวข้อ Preparing Leaders for the Future Workplace ในงาน TechSauce Global Summit 2023 โดย คุณศรินทร์รา วงศ์ศุภลักษณ์ ผู้บริหารกลุ่มด้านทรัพยากรบุคคล กลุ่มทรู และคุณปิยะดิษฐ์ อัศวศิริสุข ประธานบริษัท Civil Engineering ได้มาพูดคุยและแชร์ประสบการณ์เกี่ยวกับการเป็นผู้นำในยุคนี้ และแนะแนวทางสำหรับผู้นำในอนาคต

ขับเคลื่อนการทำงานด้วยความสุข

คุณศรินทร์รากล่าวว่า future workplace ต้องเป็นสถานที่การทำงานที่มีความสุข โดยเฉพาะในองค์กรที่เต็มไปด้วยเจนฯ Z และมิลเลนเนียลที่ขับเคลื่อนการทำงานด้วยความสุข และช่วงหลังโควิด ที่ทุกคนทำงานที่ไหนก็ได้ สามารถติดต่อกันได้ไร้พรมแดน ผ่านแพลตฟอร์มอย่างมีประสิทธิภาพ จนมาถึงในวันที่ทุกคนต้องกลับเข้าออฟฟิศ การเข้ามาเพื่อทำงานให้เสร็จแล้วกลับบ้านเป็นเรื่องไม่จำเป็นอีกต่อไป ดังนั้น บริษัทต้องสร้าง workplace หรือพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ทั้งเจนฯ Z และมิลเลนเนียลสื่อสารกันได้สะดวก และส่งเสริมให้พนักงานแสดงศักยภาพได้เต็มที่

ผู้นำแห่งอนาคตต้องเรียนรู้ซึ่งกันและกัน

เมื่อคนรุ่นใหม่มีความสามารถและทักษะสูงขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคตอันใกล้พวกเขาจะกลายเป็นผู้นำในองค์กรต่างๆ ตรงนี้บริษัทสามารถเตรียมความพร้อมได้ด้วยกระบวนการ Reverse Mentor เพื่อให้คำปรึกษา และแชร์ประสบการณ์ร่วมกัน คุณศรินทร์รา กล่าวต่อว่า ในฐานะ HR เราต้องให้คำปรึกษาได้ทุกเรื่อง จึงทำให้เกิดช่วงเวลาสำหรับการพูดคุยโดยเฉพาะ ประมาณ 2 ครั้งต่อเดือน ซึ่งในการพูดคุยแต่ละครั้งจะมีการตั้งคำถามและให้การบ้านกลับไปคิด เช่น มีวิธีการตั้งเป้าหมายยังไง และทำยังไงให้สำเร็จ

ในขณะเดียวกัน เราก็เรียนรู้จากการรับฟัง พนักงานมีสิทธิ์สอนหรือแนะนำเราได้ เช่น ตอนนี้เทรนด์ไหนมาแรง คำพูดวัยรุ่น ละครที่ฮิตอยู่ตอนนี้ ซึ่งการทำแบบนี้ก็เป็นการเรียนรู้บางอย่างจากลูกน้องเช่นกัน

Head-Heart-Hand

Head-Heart-Hand คือคีย์เวิร์ดสำคัญที่คุณปิยะดิษฐ์มองว่าเป็น 3 สิ่งที่ผู้นำยุคนี้ควรมี คือ Head ที่หมายถึง แนวคิดการเป็นผู้นำ การมีมายด์เซตและทัศนคติที่ดี, Heart หมายถึง การหาแพสชั่นให้เจอ รู้ว่าตนเองทำสิ่งนี้ไปเพื่ออะไร และ Hand หมายถึง การลงมือทำ การเรียนรู้ และมีเครือข่ายที่ดี

ผู้นำที่ดีเป็นยังไง

จากทัศนะของทั้ง 2 ท่าน มีความเห็นตรงกันว่า ผู้นำต้องมีทักษะการบริหารจัดการที่ดี สามารถสื่อสารกับทีมได้ มีทักษะการเล่าเรื่อง หรือ storytelling พร้อมจะแชร์ไอเดียต่างๆ รวมถึงสร้างบรรยากาศการทำงานที่ดีด้วย

นอกจากนี้ยังต้องรู้อินไซต์ของพนักงานและคนในทีม เพื่อสร้าง Co-creation หรือสร้างคุณค่าร่วมกัน ซึ่งจะต่อยอดไปสู่การสร้างคอมมิวนิตี้ใหม่ภายในองค์กร ผู้นำไม่จำเป็นต้องนั่งบริหารในออฟฟิศอย่างเดียว สามารถเข้าสังคมกับคนอื่นๆ ได้ ทั้งการทานอาหารร่วมกัน เข้าชมรมเดียวกัน หรือจัดทริปไปเที่ยว ก็ถือเป็นการเรียนรู้ใหม่ๆ

จะรู้ได้ยังไงว่าพนักงานคนนี้พร้อมเป็นผู้นำองค์กรแล้ว

จากประสบการณ์ทำงานของทั้ง 2 ท่าน สรุปได้ว่า นอกจากดูความสำเร็จของผลงานที่ผ่านมาแล้ว การค้นหา hidden talent หรือค้นหาคนเก่งที่ซ่อนอยู่ภายในองค์กรก็สำคัญไม่แพ้กัน ซึ่งคนที่จะเป็นผู้นำต้องมีความรอบรู้ พร้อมพัฒนาตัวเองตลอดเวลา และเสริมทักษะต่างๆ เช่น การบริหารคน การแก้ปัญหา การสื่อสาร critical thinking รวมถึงการ reskill และ upskill

อย่างไรก็ตาม การเป็นผู้นำไม่มีสูตรตายตัว อยู่ที่ว่าองค์กรจะสนับสนุน และให้คำแนะนำไปในทิศทางไหน สำคัญที่ว่ามายด์เซตในการเป็นผู้นำ เพราะเมื่อคุณก้าวสู่การเป็นผู้นำแล้ว หน้าที่จะไม่ใช่การบริหารงานตัวเอง แต่จะต้องบริหารทั้งทีม

วิธีทำ selected-pet shop ฉบับ Petige ที่สร้างประสบการณ์และความแตกต่างให้เหล่า pawrent

คำว่า ‘pawrent’ เป็นศัพท์บัญญัติใหม่ประจำยุคเพื่ออธิบายปรากฏการณ์ที่ผู้คนทั่วโลกหันมาเลี้ยงสัตว์เป็นลูกมากกว่ามีลูกจริงๆ เสียเอง แน่นอนว่าเมื่อสัตว์เลี้ยงกลายเป็น ‘ลูก’ การเลี้ยงดูก็ย่อมไม่ต่างไปจากลูกในไส้เท่าไหร่นัก

แต่เดิมเคยให้ทานข้าวคลุกปลาบ้างล่ะ เศษอาหารเหลือทิ้งบ้างล่ะ ผู้คนก็มองหาอาหารที่เหมาะกับโภชนาการของน้องหมาน้องแมว (และอีกหลายๆ น้อง) ยังไม่นับรวมข้าวของเครื่องใช้มากมายที่ไม่ว่าจะราคาปาดเหงื่อแค่ไหน pawrent ก็ย่อมจ่าย และถ้าต้องเพิ่มเงินอีกนิดเพื่อให้ลูกน้อยไปเที่ยวด้วยกันได้ พ่อหมาแม่แมวก็ยอมทั้งนั้น

สารพัดธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงจึงเพิ่มจำนวนขึ้นรวดเร็วคล้ายกับเห็ดปล่อยสปอร์ แต่ท่ามกลางการแข่งขันที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ธุรกิจที่แก้ pain point ให้เหล่า pawrent ได้จริงๆ กลับมีไม่มากนัก เมื่อได้เห็น Petige ร้านขายของสัตว์เลี้ยงที่นิยามตนเองว่า ‘Heartfelt Selection For Your Loved Ones’ ที่นอกจากหน้าตาหน้าร้านจะน่าเดินแล้ว สินค้าที่คัดสรรยังคุณภาพเยี่ยมและหาซื้อได้ยากจาก pet shop อื่นๆ 

ไม่ว่าจะอาหารเม็ดแบรนด์ดังที่ผลิตจากวัตถุดิบชั้นดี อาหารโฮมคุกแบรนด์ไทยหรืออาหารปรุงสุกที่คล้ายกับคุณแม่ปรุงให้ทานจริงๆ ไปจนถึงอาหารเสริมสารพัดขนานจากวัตถุดิบออร์แกนิก รวมถึงของใช้แสนน่ารักที่ไม่ว่า pawrent คนไหนได้เห็นก็อยากได้มาเป็นเจ้าของ ไม่แปลกใจถ้า Petige จะกลายเป็นหนึ่งใน pet shop ที่น่าจับตามองในคอมมิวนิตี้สัตว์เลี้ยง

ความแตกต่างทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากแพสชั่นและประสบการณ์ที่แตกต่างกันของเพื่อน 3 คนอย่าง กิ่ง–พาฝัน บรรพศิริ ที่มองหาอาหารคุณภาพให้น้องหมาของเธอ จากแต่เดิมที่ถูกสปอยล์ให้ทานอาหารคนจนมีปัญหาสุขภาพ โอ–ธเนศ บุญขันตินาถ ผู้ที่เชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์การตลาดและมองเห็นศักยภาพของตลาดนี้ และ วิน–ศุวิล อดุลยานุโกศล ดีไซเนอร์ผู้มีใจรักสัตว์เป็นทุนเดิม

ปฏิเสธไม่ได้ว่าความรักที่มีต่อสัตว์เลี้ยงนั้นย่อมเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อน pet shop แห่งนี้ แต่เบื้องหลังการก่อร่างสร้างร้านนี้ขึ้นมาได้นั้นเต็มไปด้วยกลยุทธ์มากมาย 

ถ้าพร้อมแล้ว ขอชวนทุกคนก้าวเท้าเข้าสู่ดินแดน Petige ที่จะทำให้เจ้าสี่ขาและเหล่า pawrent มีความสุขด้วยกันได้เลย 

brand positioning ที่ใช่คือหัวใจที่ไม่ควรมองข้าม

กิ่งและวินมีประสบการณ์เลี้ยงน้องหมาอยู่แล้ว การเริ่มต้นทำร้าน pet shop ของทั้งคู่จึงไม่ใช่เรื่องที่ซับซ้อนอะไร แต่สำหรับโอ ผู้ซึ่งไม่เคยเลี้ยงสัตว์มาก่อน แค่เพราะเป็นเพื่อนสนิทกับทั้งคู่คงไม่ใช่เหตุผลที่เขาตัดสินใจร่วมด้วยช่วยกันสร้างแบรนด์นี้ขึ้นมา

“อย่างแรกเลยเรามองว่า ตลาดสัตว์เลี้ยงมันเป็นเทรนด์แห่งอนาคตที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ สำหรับเรามันเลยเป็นธุรกิจที่น่าสนใจ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะกระโดดลงไปทำเดี๋ยวนั้น เราพยายามมองว่าแล้วเราจะเข้าไปตลาดที่การแข่งขันสูงขึ้นได้ยังไงบ้าง

“เรารีเสิร์ชกันหนักมากเพื่อไม่ให้เราเป็นแค่อีกร้าน pet shop ร้านหนึ่งที่เปิดมาแข่งกับคนอื่น เราพบว่าอย่างแรก ในบรรดาร้าน pet shop ที่มีในท้องตลาด ส่วนใหญ่แล้วเป็นร้านไซส์ใหญ่ที่ขายของคล้ายๆ กัน อย่างที่สอง คนเลี้ยงสัตว์เขามี pet shop ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ที่ซื้อของเป็นประจำอยู่แล้ว 

“กลับมามองที่เรา 3 คน เราคงทำร้านไซส์ใหญ่แบบร้านเชนกันไม่ไหว แล้วเราก็คงจะไปแข่งกับร้านประจำของลูกค้าไม่ได้ เราจึงมองว่าในตลาดนี้มันยังขาด pet shop ที่เป็น premium concept store อยู่นะ ซึ่งมันก็ตอบโจทย์กิ่งที่ต้องการเปิด pet shop ที่คัดสรรแต่ของที่ดีต่อสุขภาพของน้องหมาน้องแมวจริงๆ”

จากการวิเคราะห์อย่างลงลึกของโอ Petige pet shop ที่เกิดจากการผสมรวมกันของคำว่า ‘pet’ และ ‘prestige’ จึงเกิดขึ้นด้วยคอนเซปต์ ‘Heartfelt Selection For Your Loved Ones’ ซึ่งเน้นคัดเลือกสารพัดของใช้ด้วยหัวใจและคัดสรรอาหารเบบี๋สี่ขาอย่างเข้าใจโภชนาการที่น้องหมาน้องแมวต้องการจริงๆ 

คอนเซปต์ที่ว่าไม่ได้มีผลต่อการคัดสรรสินค้าเท่านั้น แต่ยังมีผลไปถึงการตามหาโลเคชั่นที่ใช่ ภาพลักษณ์ของแบรนด์และร้าน รวมไปถึงการสื่อสารทั้งหมดด้วย

โลเคชั่นที่ถูกต้องคือแต้มต่อทางธุรกิจ

“เราคุยเรื่องนี้กันนานมากๆ ตั้งแต่ปี 2020” กิ่งเอ่ย ก่อนจะบ่นอุบถึงสาเหตุที่โปรเจกต์ Petige นี้ใช้เวลาหลายปีกว่าจะได้เปิดจริงๆ จังๆ ว่า “เราหาสถานที่ไม่ได้สักที เลยเงียบๆ กันไป” 

กระทั่งเมื่อรวบรวมแรงกายแรงใจกันว่าโปรเจกต์ Petige จะต้องเป็นรูปเป็นร่างให้ได้ ทั้ง 3 คนจึงได้สถานที่ตั้งร้านอยู่ในปั๊มน้ำมันเชลล์ แถบย่านราชพฤกษ์ ซึ่งค่อนข้างเป็นโลเคชั่นที่ผิดจากที่เราคิดไว้

“อย่างแรก บ้านของเรา 3 คนอยู่แถวๆ นี้ มันลงล็อกกับเป้าของเราที่เราเล็ง residential area ไว้ เพราะเราเชื่อว่าในแถบที่พักอาศัยคนย่อมเลี้ยงหมาเลี้ยงแมวกันเยอะ ที่สำคัญย่านนี้ยังเป็นย่านที่คนมีกำลังซื้อ ตรงกับคอนเซปต์ความพรีเมียมที่เราวางเอาไว้ด้วย

“ที่ต้องเป็นปั๊มน้ำมัน เพราะถ้าเราไปเปิดในคอมมิวนิตี้มอลล์หรือไปเปิดในห้าง น้องหมาน้องแมวก็จะเข้าไม่ค่อยได้ แต่เราเองอยากเห็นภาพของ pawrent ที่น้องหมาน้องแมวก็มีส่วนร่วมกับเจ้าของได้ด้วย อีกอย่างเราคิดว่าคนน่าจะขี้เกียจแบกของนะ พื้นที่ในปั๊มจึงเหมาะกับการให้คนแวะซื้อแล้วขนของขึ้นรถได้เลย”

ถึงอย่างนั้น ทั้ง 3 คนก็ยังมองว่าแม้โลเคชั่นนี้จะเหมาะสมที่สุด ก็ยังคงมีปัญหาให้พวกเขาต้องแก้ไขกันบ้าง เช่นว่าเส้นที่ร้านตั้งอยู่นั้นไม่ใช่เส้นขาเข้าเมือง คนที่จะเดินทางมาต้องตั้งใจมาร้านจริงๆ เท่านั้น ในอนาคต เมื่อเป้าหมายของร้านบรรลุอย่างใจหวัง พวกเขาก็มีแผนขยายร้านไปยังโซนเมืองและโซนต่างๆ ด้วยโมเดลธุรกิจแบบแฟรนไชส์

ประสบการณ์ที่ทำให้เป็นมากกว่าร้านขายของ

หากใครชอบเดินร้าน pet shop เป็นประจำ อาจเห็นแพตเทิร์นบางอย่างจากหลายร้านเช่นเราและผู้ก่อตั้ง Petige ทั้ง 3 คน นั่นก็คือ pet shop ส่วนใหญ่มักอัดแน่นด้วยสารพัดของใช้และอาหารจนไม่มีทางเดิน หรือถ้าเดินได้ก็เดินอย่างไม่สนุกนัก แต่ถ้าใครได้แวะมาที่ Petige เราเชื่อว่าทุกคนต้องสัมผัสได้ถึงความแตกต่าง

“เราอยากให้การเดิน pet shop มันสนุกเหมือนเวลาเราเดิน Food Villa หรือเดิน Loft เราอยากให้มีมุมคาเฟ่เล็กๆ ที่ชวนให้พ่อแม่และน้องๆ มาถ่ายรูปกันได้” โอว่าอย่างนั้น เมื่อคอนเซปต์ชัดเจน โลเคชั่นก็พร้อม โอและกิ่งจึงโยนคีย์หลักของร้าน ส่งต่อให้วิน ผู้เป็นดีไซเนอร์ออกแบบภาพรวมของ Petige ให้แตกต่าง

“ภาพที่เราเห็นคือเราอยากให้ร้านและแบรนด์มีความ luxury แต่ก็เฟรนด์ลี่ด้วย เพราะไม่อยากให้มันหรูหราจนเข้าถึงยาก อยากให้คนเดินเข้ามาในร้านแล้วรู้สึกว่าอบอุ่น เราเลยเลือกให้สีสันและวัสดุต่างๆ ในร้านมีความขาวๆ ไม้ๆ 

“ส่วนสีเขียวก็เป็นสีที่ดูออร์แกนิก มองแล้วผ่อนคลายสบายตา มันยังเข้ากับความเป็นขาวๆ ไม้ๆ ที่เราวางไว้ แต่เราก็ต้องมาเลือกกันอีกว่าต้องเลือกโทนสีเขียวให้มันดัดจริตนิดนึง มีความเขียวตุ่นๆ เทานิดๆ ดูน่ารักอ่อนโยน”

วินยังเล่าอีกว่าเขาออกแบบโลโก้ร้านมามากกว่า 10 แบบ มีทั้งแบบที่หรูหรามากจนถึงขี้เล่นขั้นสุด จนได้เป็นโลโก้ปัจจุบันที่เป็นฟอนต์แบบสเตนซิล แล้วค่อยใส่รูปทรงของกระดิ่งน้องหมาน้องแมวไปที่ตัว I สร้างกิมมิกน่ารักๆ ให้กับแบรนด์ ไม่เน้นการใส่ภาพสัตว์แบบตรงๆ แต่เป็นการเลือกใช้สัญลักษณ์เพื่อเพิ่มความมินิมอล

นอกจากโทนสีของร้าน สิ่งที่ทั้งวิน โอ และกิ่งให้ความสำคัญมากๆ คือการจัดวางเชลฟ์สินค้า ถามว่าจริงจังขนาดไหน ก็ขนาดที่ลงทุนจ้างทีม visual merchandising โดยเฉพาะ แม้ไซส์ของธุรกิจของ Petige ในตอนนี้จะเล็กเกินกว่าที่จะลงทุน

“เราเชื่อว่าเราต้องลงทุนกับสิ่งนี้เพราะเราไม่ได้ตั้งใจจะเป็น pet shop ที่เน้นขายของอย่างเดียว แต่เราอยากสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ทุกคน เราจึงให้ทีมออกแบบให้ว่าถ้าลูกค้าเดินเข้ามา ด้านหน้าเราจะวางอะไร เดินเข้ามาฝั่งนี้ต้องเจออะไรก่อน ของแต่ละชนิดควรวางในระดับไหนที่จะหยิบจับได้ง่ายๆ ไปจนกระทั่งวิธีการแขวนสินค้าต่างๆ

“ยิ่งพอเราเพิ่มสินค้าเข้ามาเรื่อยๆ ด้วยความต้องการของกิ่งเองที่อยากสรรหาของดีๆ เข้ามาขาย บวกกับความต้องการของเราที่เรามองว่าถ้าของมันมีไม่เยอะ มันก็เดินไม่สนุก การมีทีมที่ช่วยวางแผนและออกแบบวิธีการจัดวางและการจัดโซนให้มันก็สำคัญ” โอมบอกความตั้งใจ

ไม่แปลกใจ ถ้าพ่อหมาแม่แมวที่เดินเข้ามาใน Petige จะรู้สึกว่าช่างเป็นร้านที่เดินสนุกอะไรอย่างนี้!

คัดสรรจากหัวใจ ราคาสูงแค่ไหนก็ยอมจ่าย

หากเดินชมโซนต่างๆ ของร้าน เชื่อว่าหลายคนน่าจะเห็นด้วยกับเราว่าสินค้าหลายชิ้นในร้านนั้นเป็นสินค้าที่เราแทบไม่เคยเห็นที่ไหน บางชิ้นเป็นแบรนด์นอกที่ทั้งได้มาตรฐาน แถมยังหน้าตาน่าใช้ และบางชิ้นก็เป็นแบรนด์ไทย ชวนให้อดสงสัยไม่ได้ ว่าธุรกิจสัตว์เลี้ยงในไทยพัฒนาถึงเบอร์นี้แล้วหรือ!

“คำว่า ‘พรีเมียม’ ไม่ได้หมายถึงความหรูหราหรือความแพงนะ แต่ในมุมของอาหารสัตว์เลี้ยง คำว่า ‘พรีเมียม’ มันพ่วงมากับคำว่า ‘เฮลตี้’ ที่วัตถุดิบต้องดี ไม่ผ่านการปรุงแต่ง ไม่ใส่สารเสริมที่อันตรายได้ในระยะยาว เวลาเราเลือกของเข้ามาขายในร้านเราจึงเลือกดูที่ส่วนผสมเป็นอย่างแรก ส่วนของอื่นๆ ที่เป็นของใช้ก็ดูเรื่องภาพลักษณ์แบรนด์ มาตรฐาน คุณภาพของเขา” กิ่งอธิบายจากประสบการณ์ตรง 

สารพัดสิ่งของที่กิ่งเลือกเข้ามานำเสนอให้เจ้าสี่ขาและพ่อๆ แม่ๆ มีทั้งแบรนด์นำเข้าที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับในระดับสากลว่ามีคุณภาพและปลอดภัยกับน้องหมาน้องแมวจริงๆ 

ไม่ว่าจะแบรนด์ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด Hyponic จากประเทศเกาหลีที่ได้รับรางวัลจาก German Dermatological Research Institute หรือรางวัลการทดสอบความอ่อนโยนต่อผิวหนังที่เข้มงวดที่สุด หรือจะเป็น LickiMat® แผ่นซิลิโคนชะลอการทานอาหารของน้องหมาน้องแมวที่มีชื่อเสียงของออสเตรเลีย

นอกจากนั้น ยังมีแบรนด์ไทยจากผู้ประกอบการรายเล็กรายใหญ่ที่ไม่เพียงผลิตสินค้าด้วยความเข้าใจสัตว์เลี้ยง แต่ยังต้องแสดงให้กิ่งเห็นว่าเจ้าของแบรนด์รักน้องหมาน้องแมวจริงๆ เช่น Dr.Shu แบรนด์อาหารโฮมคุกของน้องหมาที่กิ่งเล่าว่าเป็นแบรนด์ที่ลูกค้ารีเควสต์ให้ติดต่อมาขาย และเมื่อวางขายแล้วก็ขายดีจนต้องมีการสั่งจองล่วงหน้า!

“มันทำให้เราเข้าใจเลยว่าสุดท้ายลูกค้าที่รักน้องมากๆ เขาแฮปปี้ที่จะซื้อของดีๆ โดยไม่ได้แคร์ราคา เรียกว่าถ้าเขาให้คุณค่ากับสิ่งนั้น เขาก็พร้อมจ่าย ซึ่งจริงๆ แล้วบางแบรนด์ที่เราวางขายก็ไม่ใช่ว่าไม่มีขายที่ร้านอื่นนะ เพียงแต่พอเขาเป็นร้านใหญ่ แล้วเขาเอาของไปวางรวมกับของประเภทอื่น มันทำให้ของที่ควรจะดูแตกต่างมันดร็อปลงไป หลายคนที่มาร้านเราก็เพราะร้านเราคัดเลือกแต่ของที่แตกต่างมารวมเข้าไว้ด้วยกัน” กิ่งสรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการคัดสินค้าเข้าร้านและพูดคุยกับลูกค้ามากหน้าหลายตา

“มันมีจุดที่เราก็ตีกับตัวเองและตีกับกิ่งนะว่าเราควรจะเอาของแมสๆ มาวางขายบ้างไหม เพราะในความพรีเมียมของเรามันจะมีความนิชที่ลูกค้าบางกลุ่มอาจเข้าถึงยาก แต่กลายเป็นว่าสิ่งที่เราเลือกเข้ามาลูกค้าของเรากลับไม่สนใจเลย นั่นทำให้เราเข้าใจโพสิชั่นของแบรนด์นี้ชัดเจนขึ้น” โอ ผู้ที่รับผิดชอบการวางกลยุทธ์ต่างๆ เล่าถึงครั้งที่ตัวเขาเองขอเป็นคนคัดเลือกสินค้าแทนกิ่งบ้าง 

มากกว่าการซื้อ-ขาย คือคอมมิวนิตี้ที่กลายเป็นแบรนด์ลอยัลตี้

“เมื่อวานนี้มีลูกค้าคนหนึ่งพาน้องหมาคอร์กี้ 2 ตัวมาจากเมืองทอง เขาบอกว่าในคอมมิวนิตี้หมาของเขาแนะนำร้านเรากันเยอะมาก เขาบอกว่าร้านนี้มีของเยอะ ของแปลก บางคนก็มาจากบางนา เขายังถามว่าทำไมไม่เปิดฝั่งบางนาบ้าง” 

โอมเล่าถึงความประทับใจหลังจากเปิดร้านมาได้ไม่นาน ความประทับใจนั้นเองยิ่งย้ำให้ทั้ง 3 คนเข้าใจว่าพวกเขาเลือกทางเดินที่ค่อนข้างถูกต้อง นั่นคือการสร้างให้ Petige มีความเป็นคอมมิวนิตี้ที่พ่อหมาแม่แมวแชร์สิ่งต่างๆ หรือพาน้องๆ มาพบปะพูดคุยที่ร้านได้ มากกว่าการขายของอย่างเดียว

“มันก็ยิ่งทำให้เราเห็นด้วยว่าแม้สมัยนี้คนจะซื้อของผ่านช่องทางออนไลน์กันเยอะแล้ว แต่ pet shop ก็ยังสำคัญในแง่ที่ว่าบางคนเขาอยากเห็นของจริงว่าขนมอันนี้มันแข็งไปไหม ชิ้นใหญ่แค่ไหน บางคนเขาก็อยากเดินดูของเองเพราะน้องแต่ละตัวมีข้อจำกัดในการกินต่างกัน

“น้องบางตัวแพ้ไก่ บางตัวแพ้เนื้อ บางคนอยากได้อาหารวีแกนนะ แต่เม็ดเล็กหน่อย เหมือนกับการเลี้ยงสัตว์เป็นลูกมันมีรายละเอียดเยอะจนทำให้การเลือกซื้อของทางออนไลน์ยังแทนที่ออฟไลน์ไม่ได้” กิ่งเล่าประสบการณ์ในฐานะที่เป็นทั้งฝ่ายคัดสรรสินค้าและโอเปอร์เรชั่น

“คนเลี้ยงสัตว์ โดยเฉพาะน้องหมาเขาต้องการหาอะไรให้น้องๆ ทำ แต่การกดซื้อของผ่านช่องทางออนไลน์อย่างเดียวมันไม่สนุก เหมือนกับว่าทำไมเราไม่ซื้อของออนไลน์ล่ะ ทำไมเรายังต้องไปเดินเล่นที่ Loft ก็เพราะมันมีเซนส์บางอย่างที่ออนไลน์มันให้ไม่ได้ แล้วหลังๆ เขาไม่ได้พาน้องหมาน้องแมวมาก็มี เพียงแต่อยากมาพูดคุย อัพเดตสินค้าและเรื่องราวการเลี้ยงกับกิ่ง เหมือนที่นี่กลายเป็นคอมมิวนิตี้ไปแล้วจริงๆ” โอมเสริม

กิ่งและโอมยังเล่าว่าลูกค้าบางกลุ่มบ้านอยู่กันคนละทิศ แต่นัดกันมาเจอที่ Petige เพื่อพูดคุยกัน บางคนมารู้จักกันที่ร้าน บางคนก็สนิทกันอยู่แล้ว บางคนก็มาซื้อของที่ร้านเพราะคอมมิวนิตี้พ่อหมาแม่แมวในอินสตาแกรมป้ายยามาอีกทอด

“การสร้างคอมมิวนิตี้และการแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้กันมันเป็นสิ่งที่เราในฐานะคนไม่เลี้ยงสัตว์ว้าวมาก เพราะเราว่าเราตามโลกนี้คนเดียวไม่ทันหรอก การมีคนคอยแนะนำว่าอันนั้นเวิร์ก อันนี้ดีมันน่ารักมากๆ” โอมเล่าความรู้สึก

Petige pet shop ทางเลือกที่เสิร์ฟความสุขและความสบายใจ

ความรักที่มีต่อสัตว์เลี้ยงสี่ขาคงไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ทำให้ Petige และ pet shop อีกหลายๆ ร้านอยู่รอดในสมรภูมินี้ เพราะกว่าทั้ง 3 คนจะปั้น Petige ขึ้นมาได้นั้นก็ต้องลงลึกในทุกด้านจริงๆ สิ่งสำคัญที่สุดยังคือการรับฟังและพร้อมปรับตัว เพื่อให้แบรนด์น้องใหม่ที่ทั้งนิชและไกลจากตัวเมืองเอาชนะทั้ง 4 ห้องหัวใจของพ่อหมาแม่แมวได้

“เราประชุมกันทุกเดือน เราคุยกันตลอดว่าลูกค้าใหม่เรากลับมาซื้อซ้ำไหม ลูกค้าเก่ามีพอหรือยัง ถ้าเราอยากขยายฐานลูกค้า เราต้องทำอะไรอีกบ้าง แล้วเดือนต่อไปจะทำยังไง เพราะเราก็ยังอยู่ในช่วงเปิดร้านที่ต้องเรียนรู้หลายสิ่งกันอยู่

“แต่สิ่งที่เรามั่นใจมากๆ ก็คือเราไม่เคยคิดจะไปแทนที่ pet shop ขนาดใหญ่ หรือกลุ่มเชนเพราะเราสู้ไม่ได้อยู่แล้ว เราเพียงอยากเป็นทางเลือกที่ธุรกิจอื่นไม่มี เขาอาจจะไปซื้อของใช้ประจำวันที่ร้านอื่นก็ได้ แต่ของบางอย่างลูกค้าสามารถมาหาเราได้ไหม และที่สำคัญ ถ้าเขามาหาเรา เขาจะไม่ได้ได้แค่ของ แต่จะได้การพูดคุยกับร้านด้วย” โอมอธิบายสิ่งที่ได้เรียนรู้

ทั้งหมดนี้กิ่งบอกว่าเป็นความตั้งใจของทั้ง 3 คนที่อยากให้ Petige เป็นที่ที่ทั้งพ่อ แม่ และเด็กๆ สี่ขารู้สึกแฮปปี้ หมดความกังวลในการเลือกซื้อของให้ลูกๆ เพราะทุกผลิตภัณฑ์นั้นผ่านการคัดสรรมาอย่างดี 

ในอนาคต ทั้ง 4 คนยังอยากขยับขยาย Petige ให้โตกว่าเดิม ทั้งในแง่สาขาของร้านที่จะต้องมากขึ้นกว่าเดิม ของภายในร้านก็ต้องหลากหลายขึ้น รวมถึงอยากเพิ่มบริการอื่นๆ เพื่อให้ทั้งพ่อแม่และเจ้าสี่ขามาร่วมสนุกกันที่ Petige ได้ทุกเมื่อ 

ว่าแต่ Petige จะทำให้พ่อหมาแม่แมวสัมผัสได้ถึงความ ‘heartfelt’ ได้มากแค่ไหน ต้องลองพาลูกน้อยสี่ขาไปเยี่ยมเยียนที่ร้านกันด้วยตัวเอง!

What I’ve learned

  1. กิ่ง : ลูกค้าสอนเราในหลายๆ เรื่องเลย การรับฟังความเห็นและข้อแนะนำของลูกค้าจึงสำคัญมาก
  2. โอ : การทำธุรกิจที่มีพาร์ตเนอร์หลายคน เราควรจะวางขอบเขตงานของแต่ละคนให้ชัดเจน มันอาจจะมีทำงานข้ามกันบ้าง แต่เราต้องเชื่อมั่นในการตัดสินใจของกันและกัน และเมื่อเกิดปัญหาจากการตัดสินใจนั้นๆ เราก็ไม่ควรโทษกัน เพราะสุดท้ายแล้ว เราต่างก็ใหม่กันหมด และมันไม่มีทางรู้เลยว่าสิ่งที่ถูกต้องที่สุดคืออะไร ทุกอย่างจึงต้องมีการลองผิดลองถูกกันได้
  3. วิน: ในฐานะที่เป็นดีไซเนอร์ เราต้องคอยดูแลให้ภาพรวมของร้านมันออกมาตามคอนเซปต์ให้ได้มากที่สุด ความยากคือเมื่อธุรกิจต้องขยาย จำนวนสินค้าที่จำเป็นต้องมากขึ้นสวนทางกับขนาดร้านที่มี เราจะทำยังไงให้ภาพของร้านมันยังคงคอนเซปต์การออกแบบที่เราตั้งไว้ตั้งแต่ต้น
ข้อมูลติดต่อ :
Facebook : Petige
Instagram : Petige
Line : line.me/R/ti/p/@949khavp
Location : maps.app.goo.gl/1WgWuV9QQqWvfART8?g_st=ic

เบื้องหลังการตลาดและวิธีทำหนังให้อยู่ได้ everywhere ของค่ายหนังสัญชาติอเมริกัน A24 Film

Past Lives, Minari, Everything Everywhere All at Once, Lady Bird, The Whale ฯลฯ หลายคนคงเคยได้ยินชื่อหรือไม่ก็เคยชมภาพยนตร์เหล่านี้กันมาบ้าง และบางเรื่องในชื่อเหล่านี้อาจเป็นหนังในดวงใจของใครหลายคน

และผู้อยู่เบื้องหลังผลงานที่ว่าทั้งหมดคือ A24

A24 คือค่ายหนังทางเลือกสัญชาติอเมริกันที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2012 โดยเพื่อนสนิท 3 คน อย่าง Daniel Katz, David Fenkel และ John Hodges โดยมีแนวคิดในการก่อตั้งบริษัทว่าอยากแบ่งปันภาพยนตร์จากมุมมองที่แตกต่าง ส่วนที่มาของชื่อบริษัทก็เกิดขึ้นอย่างไม่ซับซ้อน  แคตซ์เคยให้สัมภาษณ์ว่า เขาอยากทำค่ายหนังมานานแล้ว และระหว่างที่คิดว่า ‘ถึงเวลาแล้วที่จะต้องทำค่ายหนัง’ ก็เป็นจังหวะเดียวกันกับตอนที่เขาอยู่บนทางด่วน A24 ซึ่งเป็นทางด่วนในประเทศอิตาลี

แม้ A24 จะก่อตั้งมาเพียงสิบปี แต่ตลอดการเดินทางพวกเขาได้สร้างสรรค์ผลงานไว้มากมาย และผลงานเหล่านั้นยังกลายเป็นภาพยนตร์ในใจใครหลายคน นอกจากชื่อบริษัทที่แปลกแตกต่าง ค่ายนี้ยังเซอร์ไพรส์คอหนังอยู่เสมอ และแม้จะเป็นเพียงค่ายเล็กๆ แต่ปี 2023 A24 ก็ได้เข้าชิงออสการ์ถึง 18 ครั้ง และในครั้งนั้น Everything Everywhere All at Once ก็ได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมไป

“A24 เป็นบริษัทประเภทที่จะพูดว่า พวกเขาไม่จำเป็นต้องรู้หรอกว่าหนังมันเกี่ยวกับอะไร แค่พวกเขารู้สึกได้ก็พอแล้ว” Barry Jenkins ผู้กำกับภาพยนตร์ Moonlight (2016) เคยกล่าวประโยคข้างต้นเอาไว้ ซึ่งสะท้อนวิธีคิดของค่ายภาพยนตร์ทางเลือกอย่าง A24 เอาไว้ได้เป็นอย่างดี

อะไรเป็นจุดแข็งที่ทำให้ค่ายหนังอินดี้ค่ายนี้เติบโตขึ้นในยุคที่วงการภาพยนตร์กำลังระส่ำระสาย โรงภาพยนตร์ต่างทยอยปิดตัวจากโรคระบาด ตลอดจนพฤติกรรมการดูหนังของผู้คนเปลี่ยนเป็นการใช้บริการสตรีมมิงมากกว่าเดินเข้าโรงภาพยนตร์ Capital List ตอนนี้จะมาสรุป 7 ข้ออันว่าด้วยเบื้องหลังการตลาดและวิธีทำหนังให้อยู่ได้ everywhere ของค่ายหนังแห่งนี้

1. รู้กลุ่มเป้าหมายที่ต้องการสื่อสาร

A24 เป็นค่ายที่รู้ตัวดีว่ากลุ่มคนดูหนังพวกเขาคือใคร และมีรสนิยมการดูหนังแบบไหน ซึ่งคำตอบก็คือเป็นกลุ่มมิลเลนเนียล, เจนฯ Z และกลุ่มคนอายุ 18-34 ปี นั่นเอง ความชัดเจนตรงนี้ทำให้ครั้งหนึ่ง นักเขียนนามว่า Willy Staley ถึงกับเอ่ยปากแซวว่า A24 ย่อมาจาก ‘A 24-year-old guy will think this is the best movie ever made.’ หรือก็คือ ‘A24 ค่ายหนังที่คนอายุ 24 ปีคิดว่าผลิตหนังได้เจ๋งที่สุด’

นอกจากนั้น คอหนังของ A24 ยังมีรสนิยมการชมหนังที่ค่อนข้าง niche นำเสนอ genre ที่ค่ายอื่นไม่สนใจ และไม่ยึดติดกับหนัง หรือการนำเสนอที่เฉพาะเจาะจงเหมือนหลายๆ ค่าย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าหนังของพวกเขาจะเอาชนะใจคนดูหมู่มากไม่ได้ เพราะความเจ๋ง แปลก แหวกแนวนั้นย่อมทำให้ผู้ชมรู้สึกตื่นเต้นได้เสมอ

2. โปรดักต์แตกต่างอย่างมีคุณภาพ

A24 ทำหนังในแบบฉบับที่แปลก ไม่เหมือนใคร แต่จับใจคนดูได้อยู่หมัด โดยเฉพาะงานภาพที่มีความงดงาม และวิธีการล่าเรื่องที่ไม่เป็นไปตามขนบ ซึ่งทำให้คนดูเข้าถึงและรู้สึกอินไปกับเรื่องราวที่หนังถ่ายทอดออกมา และที่สำคัญเลยคือ A24 มักจะนำเสนอมุมมองใหม่ๆ ที่มักถูกมองข้าม

ตัวอย่างเช่น A Ghost Story (2017) พล็อตหนังผีที่ผีไม่น่ากลัวอย่างที่คิด แต่มาสอนปรัชญาชีวิตแทน หรือว่าจะเป็นเรื่อง The Lobster (2015) เรื่องราวเกี่ยวกับโลกดิสโทเปียที่คุณจะกลายเป็นสัตว์ไปตลอดกาล หากคุณไม่สามารถหาคู่ครองได้ภายใน 45 วัน ที่หนังสอดแทรกสัญญะไว้ตามมุมต่างๆ ทำให้คนดูได้อะไรกลับไปขบคิด

3. ให้อิสระกับทีมงานได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์

หนึ่งในผู้ก่อตั้งค่ายอย่างแคตซ์เคยให้สัมภาษณ์ว่า เขาอยากให้คนที่มีความสามารถได้มีโอกาสทำหนังและใช้ความสามารถที่มี พวกเขาจึงให้อิสระแก่ผู้ผลิตเบื้องหลังและเบื้องหน้าได้เฉิดฉายในแบบของตัวเอง ส่วนพวกเขาก็คอยสนับสนุนและแนะนำอยู่หลังกล้อง

เราจึงจะได้เห็นหนังหลากหลายแนวจาก A24 ที่ไม่ได้มีแค่ดราม่าหรือไซ-ไฟ และตราบใดที่มีความคิดสร้างสรรค์และความสดใหม่เป็นตัวนำ หนังของค่ายนี้จึงเป็นแนวไหนก็ได้ 

4. ทำหนังคุณภาพ พร้อมๆ กับการทำให้คนเห็นบ่อยๆ

นอกจากทำให้ดีและมีคุณภาพเพื่อให้คนดูอยากซื้อตั๋วเพื่อมาดูแล้ว ที่ต้องทำไปพร้อมๆ กันก็คือการทำให้คนดูเชื่อว่าหนังที่ทำมานั้นมีคุณภาพอย่างแท้จริง โดยจะต้องอาศัยการทำให้คนดูเห็นบ่อยๆ ยิ่งเห็นมากขึ้นก็จะยิ่งเป็นที่จดจำ ซึ่ง A24 ทำด้วยการปล่อยหนังออกมาถึง 20 เรื่องในปี 2022 เพราะยิ่งมีความถี่และทำผลงานอย่างสม่ำเสมอก็จะทำให้คนเห็นและจดจำได้

ตอนนี้หนังในสังกัดของค่าย A24 มีด้วยกันถึง 134 เรื่องภายในระยะเวลา 12 ปี ทั้งแนวหนังที่หลากหลายบวกกับความเยอะของจำนวนหนังที่ออกมา ทำให้คอหนังที่ดูหนังเป็นอาจิณต้องเคยดูหรือเห็นหนังของค่ายนี้ผ่านตามาอย่างแน่นอน

5. หาที่ทางที่เหมาะสมให้งานที่ยังไม่ปัง

สัจธรรมการทำหนังของค่ายไหนก็แล้วแต่ มีปังก็ต้องมีบ้ง A24 ก็เช่นกัน Nate Jones นักเขียนในสังกัด Vulture ได้ให้สัมภาษณ์กับ Vox ว่า “มีหนังเป็นกระตั้กที่ A24 ผลิตออกมา แต่คนไม่เคยแม้แต่จะได้ยินชื่อ เช่น The Adderall Diaries (2015), Revenge Green Dragon (2014), The kill team (2019)”

วิธีการที่ A24 ใช้เมื่อผลงานที่ทำไม่โดนใจตัวเอง (และคาดการณ์ว่าอาจไม่ถึงใจแฟนคลับ) คือการนำไปฉายที่โรงหนังอินดี้ ค่ายก็เลือกที่จะโยนหนังพวกนี้ไปฉายใน DirecTV หรือ Apple TV ซึ่งคงมีแค่แฟนคลับตัวยงของค่ายเท่านั้นที่จะไปขุดหาหนังพวกนี้มาดู

6. ปฏิวัติอุตสาหกรรมด้วยการเปิดใจให้สิ่งใหม่

โดยปกติเวลาคนจะเลือกดูหนังสักเรื่อง หากไม่ใช่ชื่อนักแสดงดังๆ ก็ต้องเป็นผู้กำกับมือทอง และค่ายหนังเองก็มักจะเลือกโปรโมตชื่อคนเหล่านี้มาเป็นอันดับแรก แต่ A24 นั้นแตกต่างออกไป พวกเขาปฏิวัติอุตสาหกรรมภาพยนตร์ด้วยการให้พื้นที่กับกลุ่มคนหน้าใหม่ให้มีผลงานเฉิดฉายบนหน้าจอ 

นักแสดงจำนวนไม่น้อยดังเป็นพลุแตกหรือเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้นจากการร่วมงานกับ A24 เช่น Anya Taylor-Joy เป็นที่รู้จักในวงการมากขึ้นจากการแสดงที่น่าสะพรึงในหนังเรื่อง The Witch (2015) หรือ Janelle Monáe ที่เป็นหนึ่งในนักแสดงในหนังออสการ์ของ A24 อย่าง Moonlight และ Saoirse Ronan ที่โลดแล่นอย่างสง่างามบนหน้าจอกับการแสดงที่วัยรุ่นทุกคนเข้าถึงได้อย่างหนังเรื่อง Lady Bird (2017)

7. ทำยังไงก็ได้ให้เสียงดังกว่าแม้งบน้อย

ด้วยเป็นค่ายหนังเล็กๆ งบประมาณน้อย และงบประมาณการโปรโมตก็ต่ำ ไม่สามารถซื้อโฆษณาโทรทัศน์หรือบิลบอร์ดได้ วิธีที่ A24 ทำเลยเป็นการเน้นโปรโมตผ่านสื่อออนไลน์ซึ่งเป็นสื่อที่ทุกคนเข้าถึงได้ นอกจากนั้นยังผลิตของที่ระลึกจากค่ายตัวเองร่วมกับแบรนด์อื่นอีกด้วย

การตลาดของ A24 คือการตลาดแบบกองโจร (guerrila marketing) ซึ่งเป็นการตลาดที่เน้นการนำเสนอไอเดียที่แปลกใหม่ น่าจดจำ น่าทึ่ง เพื่อให้เกิดกระแสในสังคมจนเกิดการพูดปากต่อปาก ตัวอย่างเช่นการสร้างทินเดอร์หญิงสาวที่ชื่อ Ava เพื่อโปรโมตหนังไซ-ไฟอย่าง Ex Machina (2014) หรือจะเป็นการผลิตของที่ระลึกจากหนังต่างๆ เช่น googly eyes และ ถุงมือไส้กรอกจาก ‘Everything Everywhere All At Once’ 

แค่นั้นยังไม่พอ! A24 ยังผลิตของที่ระลึกจากค่ายตัวเองร่วมกับแบรนด์อื่น เช่น เทียนหอมกลิ่นต่างๆ ออกมาอีกด้วย ทั้งยังมีพ็อดแคสต์ บทความ และที่สำคัญคือ A24 All Access หรือ AAA24 สิทธิพิเศษสำหรับเหล่าแฟนๆ ของค่าย โดยสิทธิพิเศษที่ว่าได้แก่ หนังสือทำมือ ของขวัญวันเกิด และสิทธิพิเศษอีกมากมาย

ความกล้าในการเสิร์ฟหนังแนวสดใหม่ ไม่ซ้ำใคร อัดแน่นไปด้วยคุณภาพ รวมถึงกลยุทธ์การตลาดของค่าย A24 เหล่านี้เอง ที่ไม่เพียงทำให้แฟนๆ เข้าถึงค่ายได้ใกล้ชิดขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้าง brand loyalty ที่ทำให้เกิด ‘เฟนเบส A24’ คอยดูหนังและอุดหนุนสารพัดของจุกจิกของพวกเขาอยู่เสมอ

Piccolo Buco ร้านดังในโรมที่รวมวัตถุดิบที่ดีที่สุดในทุกด้านมาไว้ในถาดพิซซ่า จนคนยอมต่อแถวเป็นชั่วโมง

คุณคงเคยได้ยินกันมานานนมว่ามีหลายอย่างที่อย่าได้หาทำเมื่อเจอคนอิตาเลียน ทั้งการตัดเส้นสปาเกตตี้ ทั้งการสั่งพิซซ่าหน้าฮาวาเอียน ทั้งการเรียกเจลาโตว่าไอศครีม เพราะสิ่งต่างๆ เหล่านี้น่าจะเป็นอะไรที่ขัดใจชาวอิตาเลียนอยู่ไม่มากก็น้อย

อิตาลี นอกจากจะเป็นประเทศที่เป็นหมุดหมายทางอาหารที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เพราะที่นี่เป็นต้นกำเนิดของอาหารหลากหลายเมนูที่คนทั่วโลกต่างหลงรัก ทั้งพิซซ่า สปาเกตตี้ ริซอตโต ทีรามิตซุ และเจลาโต ที่นี่ยังเป็นแหล่งวัฒนธรรมที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลกอีกด้วย

เมื่อพูดถึงอิตาลีคงจะเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องพูดถึง โรม เมืองที่เคยยิ่งใหญ่เกรียงไกรที่สุดบนแผนที่อารยธรรมของโลกใบนี้ในฐานะอาณาจักโรมัน

ทุกวันนี้เรายังคงได้เห็นหลักฐานต่างๆ ที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของโรมันผ่านสถาปัตย์ต่างๆ ในเมือง ถึงแม้ว่าปัจจุบันนี้เราจะมีมหานครต่างๆ เกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลก แต่เราคงยังต้องยอมรับว่า โรม ยังเป็นเมืองที่รวบรวมร้านอาหารเด็ดๆ ที่น่าสนใจไว้มากมาย

มาเยือนโรมคราวนี้ ‘Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว’ จะพาคุณไปกินพิซซ่า อาหารอิตาเลียนที่ป็อปจนทุกวันนี้กลายเป็นอาหารสากลของคนทั้งโลกไปโดยปริยาย ว่าแต่ร้านพิซซ่าที่เราจะพาคุณไปต้องเป็นร้านที่พิเศษจนเราคิดว่า เราคงจะเห็นแก่ตัวจนเกินไป ถ้าเก็บมันไว้ในใจเพียงคนเดียว

และร้านที่ว่าคือ Piccolo Buco

ร้าน Piccolo Buco เป็นร้านพิซซ่าที่บางคนก็บอกว่าดังที่สุดในโรม บางคนก็บอกว่าดีที่สุดในโรม แต่ทั้งคำว่า ดัง และคำว่า ดี มันช่างดูนามธรรม เราเลยไม่ขอเคลมว่ามันดีที่สุดหรือดังที่สุดก็แล้วกัน แต่เท่าที่เราไปเยือนมา ทั้งที่ต้องรอคิวเกือบ 2 ชั่วโมง ท่ามกลางอากาศร้อนๆ ของอิตาลีในเดือนกรกฎา เราคงบอกกับคุณได้เพียงแค่ว่า “เราเข้าใจแล้วว่าทำไมร้านนี้ถึงได้ชื่อว่าดีที่สุดและดังที่สุด”

Piccolo Buco เป็นร้านอาหารอิตาเลียนที่เน้นหนักไปทางขายพิซซ่า คุณมาที่นี่เพื่อกินอาหารจานอื่นก็ได้ ทั้งสลัด สเต็ก แซลมอน มีให้คุณเลือกทั้งนั้น แต่ตัวชูโรงของที่นี่คือพิซซ่าที่มีหลายหน้าและมีหลายแบบให้คุณเลือก

ไม่แน่ใจว่าคุณจะแปลกใจไหม ถ้าเราจะบอกคุณว่าผู้ที่ให้กำเนิด ร้าน Piccolo Buco ร้านพิซซ่าที่ว่าดีที่สุดหรือดังที่สุดในโรมตอนนี้ไม่ใช่คนอิตาลี แต่ป็นชาวอียิปต์ที่อพยพมาอยู่ที่อิตาลี และคนๆ นั้นคือ คุณ Luca Issa

คุณพ่อของคุณ Luca ย้ายถิ่นฐานจากอียิปต์มาอยู่ที่โรมในช่วงปี 1960 เขาทำงานที่ร้านอาหารในย่านใกล้ๆ กับน้ำพุเทรวีด้วยความขยันขันแข็ง วันแล้ววันเล่า เก็บหอมรอมริบมาเรื่อยๆ จนวันหนึ่งคุณพ่อของคุณ Luca สามารถซื้อกิจการร้านอาหารที่ตัวเขาเองเป็นลูกจ้างได้สำเร็จ

จากเป็นลูกจ้างก็ผันตัวมาเป็นนายจ้างเสียเอง จากผู้อพยพผู้ใช้แรงงานสู่การเป็นเจ้าของกิจการ ฟังดูอาจเหมือนฝันและเหมือนจะไม่ใช่ฝันทั่วไปเสียด้วยซ้ำ เหมือนจะเป็นฝันแบบอเมริกัน หรือ American Dream ที่เราคุ้นเคยกัน ฝันแบบอเมริกันที่ว่า ไม่ว่าคุณเป็นใครคุณก็มีชีวิตแบบที่คุณฝันอยากจะมีได้

คุณ Luca จึงเติบโตมาในร้านอาหารที่คุณพ่อเป็นเจ้าของ หน้าที่ประจำของคุณ Luca มีเพียงแค่ 2 อย่างเท่านั้น คือ เติมของในตู้เย็นและคอยหั่นชีสมอซเซอเรลลา และคุณ Luca ตัวน้อยๆ ก็ทำมันได้อย่างดีมาตั้งแต่ 10 ขวบ

คุณ Luca ให้สัมภาษณ์กับ Chicago Tribune ว่าเขาเห็นภาพอยู่ในหัวเสมอว่า  Piccolo Buco จะไม่เป็นเพียงแค่ร้านขายพิซซ่า แต่จะเป็นสถานที่ที่มอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า พูดไปอาจจะดูนามธรรม (อีกแล้ว) และหลายคนคงไม่เข้าใจว่า การเป็นร้านอาหารที่มอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าคืออะไร แล้วมันจะต่างกับร้านอาหารปกติที่ขายพิซซ่ายังไง 

คุณ Luca เองก็คงไม่รู้ว่าจะอธิบายให้ทุกคนเข้าใจวิสัยทัศน์ของเขายังไง จนกระทั่งปี 2015 ปีที่คุณ Luca เข้ามาดูแลกิจการร้าน Piccolo Buco อย่างเต็มตัว ปีที่คุณ Luca บอกว่าเป็นปีที่เขา ‘ทะเลาะครั้งใหญ่’ กับคุณพ่อวัยใกล้เกษียณว่าคอนเซปที่เขาอยากจะทำร้าน Piccolo Buco มันจะเปลี่ยนไปจากเดิม จากที่คุณพ่อของเขาเคยทำมาในหลายสิบปีที่ผ่านมานี้

คุณ Luca ขยับบทบาทจากการเป็นผู้ช่วยเชฟมาเป็นเชฟใหญ่ และเป็นคนที่ดูแลทุกอย่างที่เกิดขึ้นในร้านแห่งนี้ จากจุดนั้นเอง เป็นจุดที่คุณ Luca ไม่ได้อธิบายให้คนเข้าใจว่าการขายประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้าที่มากินอาหารที่ร้านคืออะไร แต่เข้าทำให้เห็นกับตาว่าประสบการณ์ที่ดีมันหมายความว่าอะไร

ในฐานะลูกค้าคนหนึ่งที่ได้ไปเยือนถึงถิ่น Piccolo Buco ถึงโรม เราขอสรุปคำว่า ประสบการณ์ที่ดีที่คุณ Luca หมายถึง นับรวมตั้งแต่โมเมนต์ที่คุณยืนอยู่เป็นคนหน้าสุดของแถว แล้วพนักงานเริ่มเรียกชื่อคุณให้เดินเข้าไปในร้านพิซซ่าด้วยรอยยิ้ม 

เมื่อเปิดประตูเข้าไป คุณจะเห็นโต๊ะจำนวนประมาณ 20 กว่าโต๊ะในร้านที่แน่นอนว่านั่งเต็มทุกโต๊ะ พนักงานถือถาดพิซซ่าเดินอย่างคล่องแคล่วฉวัดเฉวียนไปมาจนทำให้คุณงุนงงราวกับว่าถาดพิซซ่าเหล่านั้นมันกำลังโบยบินไปมาอย่างอิสระ

ความเป็นมิตรของพนักงานเป็นด่านที่หนึ่งในการมอบประสบการณืที่ดีให้แก่ลูกค้า แต่ประสบการณืที่น่าจะสำคัญที่สุดของร้าน Piccolo Buco คือ รสชาติและความดีงามของตัวพิซซ่าต่างหาก!

ในฐานะคอลัมนิสต์ธุรกิจอาหาร เราขอบรรยาไว้พอให้คุณได้น้ำลายสอตามเพียงเล็กน้อยว่า พิซซ่าของ Piccolo Buco มีเนื้อสัมผัสที่แตกต่างจากพิซซ่าทั่วไปจริงๆ ตัวแป้งทั้งเบานุ่มแต่เหนียวหนึบในคราวเดียวกัน ไม่นับรวมความดีงามของชีสและซอสที่ใส่มาในพิซซ่าที่ยิ่งกลมกล่อมและทำให้พิซซ่าถาดนี้ที่วางอยู่ตรงหน้ามันใกล้เคียงหรือเทียบเท่ากับคำว่า เพอร์เฟค จริงๆ

สาเหตุที่ทำให้พิซซ่าของ Piccolo Buco แตกต่างจากที่อื่นนั้น เป็นสาเหตุที่เหมือนจะเรียบง่าย แต่ไม่ง่ายในทางปฏิบัติ

คุณ Luca รวบรวมเอาทุกความดีที่สุดของทุกวัตถุดิบที่เขาหาได้มารวมเอาไว้ในพิซซ่าแต่ละถาดที่เขาขาย

ทั้งมะเขือเทศที่คุณ Luca เชื่อว่าดีที่สุดในอิตาลีที่มาจากไร่มะเขือเทศแบบออแกนิกส์ใน Puglia, น้ำมันมะกอกที่ดีที่สุด, กระเทียมที่ดีที่สุด, แป้งอิตาลีที่ดีที่สุด, เกลือที่ดีที่สุด (ที่คุณ Luca เชื่อว่าต้องมาจากนอร์มังดี)

คือรวมทุกความที่สุดเอามาไว้ในถาดพิซซ่า เริ่มจากส่วนผสมที่เชื่อว่าทุกอย่างคือที่สุด

“ผมไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนพิเศษอะไร แต่ผมเชื่อว่าสิ่งที่เราทำและมันพิเศษ คือการที่เราทำพิซซ่าด้วยความแตกต่าง เราทำพิซซ่าที่มีคุณภาพดี จากวัตถุดิบที่เรียบง่าย แค่นั้นเองครับ ไม่มีอะไรมากหรือน้อยไปกว่านั้นเลย” คุณ Luca ให้สัมภาษณ์กับ Chicago Tribune

นอกจากความที่สุดที่คุณ Luca รวมเอามาไว้ในพิซซ่าแล้ว คุณ Luca ยังสังคยนาเมนูใหม่ทั้งหมดตั้งแต่ยุคที่คุณพ่อของคุณ Luca ทำ จากที่มี พาสต้า 20 เมนู , อาหารจานเนื้อต่างๆ 15 เมนู, พิซซ่าอีกกว่า 30 หน้า คุณ Luca ปรับจำนวนเมนูทุกอย่างให้สามารถพอดีได้ในกระดาษเพียงแค่แผ่นเดียว

“มันน่ากลัวนะครับในวันแรกที่ผมเข้ามาคุมทุกอย่าง หรือจะวันที่สอง วันที่สาม ก็ยังดูน่ากลัวอยู่ แต่พอเข้าสัปดาห์ที่สองที่ผมเข้ามาคอนโทรลทุกอย่างแบบเต็มตัว ผมติดเครื่องเดินหน้าแล้ว และผมก็ไม่เคยหยุดอีกเลยครับ” คุณ Luca ให้สัมภาษณ์ไว้

เนื่องจากความดีและความดัง ของ Piccolo Buco ร้านนี้จึงเป็น้รานที่ไม่รับจองโต๊ะ ไม่ขายแบบ atke away ถ้าคุณอยากมากิน คุณต้องมายืนต่อแถวหน้าร้าน (ซึ่งเราไปยืนต่อแถวอยู่เกือบ 2 ชั่วโมง) เท่านั้น แต่อย่างที่เกริ่นไว้ว่า เมื่อได้กัดพิซซ่าเพียงแค่คำแรกของร้าน Piccolo Buco 

เราก็เข้าใจเลยว่าทำไมตัวเราเองและคนทุกคนที่มายืนต่อแถวตรงนี้ ถึงพร้อมใจยอมมายืนรอคิวเพียงเพื่อจะได้กินพิซซ่าสักถาดจากที่นี่ (รวมไปถึงสุภาพสตรีที่ยืนอยู่ข้างเราที่มาจากออสเตรเลียที่เธอบอกว่า เคยมากินพิซซ่ามาร์การิต้าที่นี่แล้วเมื่อ 4 ปีก่อน และเธอยอมกลับมายืนต่อแถวอีกครั้งที่นี่เพียงเพื่อจะได้กินพิซซ่าแบบนั้นอีกสักครั้ง)

ปัจจุบันนี้ Piccolo Buco ไม่ได้อร่อยแค่ที่โรมแต่ความอร่อยนี้ยังลามไปถึงอเมริกาแล้ว เมื่อคุณ Tim McEnery ผู้ก่อตั้งและเจ้าของ Cooper’s Hawk (เครือร้านอาหารและร้านไวน์จากอเมริกาที่มีสาขามากกว่า 50 แห่งในอเมริกา) มาที่โรมและแน่นอนว่ามายืนต่อแถวหน้าร้าน Piccolo Buco เพียงเพื่อให้ได้กินพิซซ่าสักถาดจากที่นี่ 

ในคราวแรกที่ยืนต่อแถว คุณ Tim ก็ยังมีคำถามในใจว่า ร้านที่อยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยวแบบนี้ ที่ที่มีนักท่องเที่ยวมามากมายขนาดนี้ จะมีพิซซ่าที่ดีขนาดนั้นได้จริงหรือ

แต่เมื่อได้กินพิซซ่าของร้านนี้เพียงแค่คำแรก คุณ Tim ก็คิดเหมือนกับที่เราและที่ทุกคนที่มายืนรอเป็นชั่วโมงๆ คิด ว่า “เข้าใจแล้วว่าทำไมคนถึงยอมมายืนรอเป็นชั่วโมงเพื่อเข้าร้านๆ นี้”

คุณ Tim เสนอร่วมทุนกับคุณ Luca จนทำให้ทุกวันนี้ Piccolo Buco ไปเปิดทำการขายพิซซ่าแล้วสาขาแรกใน Oakbrook สหรัฐอเมริกา

ใกล้ๆ กับร้าน Piccolo Buco ในโรมห่างไปเพียงแค่ราวๆ 50 เมตรเป็นน้ำพุเทรวี น้ำพุที่ว่ากันว่า ถ้าคุณหลับตาหันหลังแล้วโยนเหรียญข้ามไหล่ของคุณให้ลงไปในน้ำพุได้ คุณจะได้กลับมาที่โณมอีกครั้ง เราในฐานะนักท่องเที่ยวคนหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ที่โรมเป็นหลัก มาถึงโรมทั้งทีก็ต้องทำพิธีกรรมแบบที่ทุกคนทำเช่นกัน

ว่าแล้วเรายืนหันหลัง หลับตา โยนเหรียญ อธิษฐานให้ได้กลับมาที่โรมอีกครั้ง แต่คำอธิษฐานของเราเจาะจงกว่านั้น เราไม่ได้แค่อยากกลับมาที่โรม เราอยากกลับมาที่นี่ 

กลับมากินพิซซ่าที่ Piccolo Buco อีกครั้ง 

อ้างอิง

HAY Crate House โปรเจกต์ป๊อปอัพสเปซสุดเท่ในคาเฟ่สุดเก๋โดย BONCI x NORSE Republics

สายคาเฟ่ฮอปปิ้งและคนรักงานดีไซน์น่าจะถูกใจป๊อปอัพสเปซที่จัดขึ้นโดย BONCI x NORSE Republics การคอลแล็บระหว่างคาเฟ่สุดฮิปในโลกโซเชียลที่คอลแล็บกับศิลปินชื่อดังมาหลายครั้งหลายครากับแบรนด์นำเข้าของตกแต่งบ้านระดับโลกที่พาแบรนด์สแกนดิเนเวียชื่อดังมากมายมาแนะนำให้คนไทยรู้จัก  

หากใครเคยเตะตาบ้านลังพลาสติกสีพาสเทลสดใสบนฟีดในโลกโซเชียลมาบ้าง ขอแนะนำให้รู้จักชื่ออย่างเป็นทางการของมันคือ HAY Crate House โดยในวันธรรมดาทั่วไปที่ไม่ได้มีงานจัดแสดงหรือป๊อปอัพในโอกาสพิเศษ เจ้าลังพลาสติก (crate) นี้เป็นสินค้าหมวดแอ็กเซสซอรี หรือสินค้าชิ้นเล็กสำหรับเก็บของที่ใช้ในชีวิตประจำวันของแบรนด์ HAY ซึ่งเป็นหนึ่งในแบรนด์เดนมาร์กที่ NORSE Republics เป็นผู้นำเข้ามาไทย

ความสนุกของการคอลแล็บครั้งนี้คือการได้เห็นเจ้าลัง crate จำนวนมากมาเรียงไล่สี ต่อเข้าด้วยกันเป็นชั้นๆ จนกลายเป็นบ้านและโต๊ะที่คาเฟ่ BONCI อีกทั้งยังมีการครีเอตเมนูพิเศษที่ล้อกับกิมมิกของลังพลาสติกจากวัสดุรีไซเคิลไปจนถึงถ่ายทอดเรื่องการรักษ์โลกผ่านแพ็กเกจเครื่องดื่มอีกด้วย     

นอกจากความสวยงามและประสบการณ์แปลกใหม่ที่ชวนให้คนมาถ่ายรูปเก็บไว้แล้ว เบื้องหลังของที่มาที่ไปในการคอลแล็บครั้งนี้คืออะไรและความตั้งใจของทั้งสองแบรนด์ในการทำธุรกิจของแต่ละคนคืออะไร

ชวนมาฟังเรื่องราวเบื้องหลังวิธีคิดการทำคอลแล็บกับ อ๋อง–วีกฤษฏิ์ พลาฤทธิ์ ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการของ NORSE Republics ธุรกิจนำเข้าแบรนด์เฟอร์นิเจอร์และของใช้จากสแกนดิเนเวียที่เชื่อว่างานออกแบบที่ดีทำให้ชีวิตคนดีขึ้นได้  รวมถึงกลุ่มเพื่อนที่ร่วมก่อตั้งคาเฟ่ BONCI กันด้วยแพสชั่น ได้แก่ แก้ม–ดาลี ฮุนตระกูล ที่ทำหน้าที่ดีไซเนอร์ในทีม, เนย–ณัฐยาภรณ์ มงคลวนิช ผู้ดูแลงานส่วนไฟแนนซ์และบัญชี และซีน–ณัฐพร เอกลาภไพบูลย์ ผู้อยู่เบื้องหลังการจัดการเรื่องโอเปอเรชั่นทั้งหมดของคาเฟ่สุดฮิปแห่งนี้ทั้งการดูแลพนักงานและการจัดการสต็อกต่างๆ

You Had Me at Hello
When HAY Meets @HELLOBONCI

คาเฟ่ BONCI กับ NORSE Republics เป็นเพื่อนบ้านกันเพราะต่างอยู่ที่สุขุมวิท 49 ทำให้ผู้ก่อตั้งของทั้งสองแบรนด์รู้จักกันจากการอยู่ในย่านเดียวกัน ซึ่งเมื่อทั้งสองฝั่งได้เจอกันก็ได้แลกเปลี่ยนไอเดียในการทำคอลแล็บจนเกิดเป็น BONCI X NORSE Republics ในเวลาไม่นานนัก

สำหรับ NORSE Republics นั้นมีสาขาแฟล็กชิปที่หลักเพียงแห่งเดียวอยู่ที่สุขุมวิท 49 ที่อ๋องมองว่า
เป็นย่านที่กำลังมีธุรกิจใหม่ๆ เพิ่มขึ้นเยอะ ทำให้เกิดความคิดว่าถ้าสามารถทำ collaboration ร่วมกับเพื่อนบ้านได้ก็น่าจะเป็นสิ่งที่น่าสนใจดี 

ส่วน BONCI เป็นคาเฟ่ที่พิถีพิถันในการตกแต่งและเลือกเมล็ดกาแฟ ด้วยความที่แก้มเป็นดีไซเนอร์ทำให้มีความชื่นชอบในงานดีไซน์และศิลปะทำให้เกิดแรงบันดาลใจในการทำโปรเจกต์คอลแล็บกับศิลปินอยู่ตลอดเวลา

“ตอนที่เริ่มทำร้านนี้ ด้วยสเปซก็รู้สึกว่าสามารถทำให้เป็นคาเฟ่กึ่ง exhibition กับแกเลอรีได้ คิดว่าถ้าเราทำคอลแล็บก็จะเป็นการสร้างไวบ์ที่สนุกของร้านได้ และจะได้มีอะไรใหม่ๆ เสมอ” 

แม้ NORSE Republics จะนำเข้าแบรนด์ระดับโลกที่คนรักงานดีไซน์ทั่วโลกต่างรู้จัก แต่อ๋องบอกว่าสิ่งที่เป็นทั้งความท้าทายและความสนุกของแบรนด์ก็ยังมีอยู่คือจะทำยังไงให้กลุ่มลูกค้าในไทยที่ตกหลุมรักแบรนด์อยู่แล้วยังอยากติดตามการเติบโตของแบรนด์ไปเรื่อยๆ โจทย์จึงเป็นการนำเสนอมุมที่แตกต่างในการเล่าเรื่องอยู่เสมอ

“ก่อนหน้านี้เราอาจจะไม่ได้มีคอลแล็บบ่อยเท่ากับทาง BONCI แต่เราก็มองหาการสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ แล้วก็รู้สึกว่ายังมีกลุ่มคนที่เขาไม่ได้รู้จักเราหรือยังไม่เคยมาที่ร้านเราเลย คือบางคนอาจเคยรู้จักชื่อแบรนด์อยู่แล้ว แต่ไม่รู้ว่าเราเป็นผู้นำเข้าในไทย ก็เลยรู้สึกว่าการ collaboration เป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้เราสามารถเอาผลงานดีไซน์เหล่านี้ให้คนที่อาจจะไม่สนใจดีไซน์ให้ได้มีโอกาสสัมผัสมากขึ้น ให้เขาได้เห็นว่า design object เหล่านี้สามารถเพิ่มคุณค่าหรือใส่คาแร็กเตอร์ของแบรนด์เข้าไปในสเปซนั้นๆ ได้ มองว่าลูกค้าคนไทยเข้าถึง coffee culture อยู่แล้ว ดังนั้นลูกค้าของเราน่าจะเป็นกลุ่มเดียวกันกับ BONCI คนสมัยใหม่ที่ชอบดีไซน์ ซึ่งเราก็พยายามที่จะสำรวจตลาดใหม่ๆ และขยายฐานลูกค้าด้วย” 

จากที่ตั้งใจจะจัดแสดงที่เฉพาะสาขาสุขุมวิท 49 เท่านั้นในตอนแรก แต่เพราะพื้นที่ในสาขานั้นน้อย ทั้งสองแบรนด์จึงปรับไอเดียเป็นการทำคอลแล็บที่ทั้ง 2 สาขาของคาเฟ่ BONCI คือสาขาสะพานควายและสุขุมวิท 49

HAY Crate House X Cafe  

ด้วยความที่อ๋องเคยเป็นนักเรียนดีไซน์มาก่อน การเดินทางท่องเที่ยวเพื่อซึมซับแรงบันดาลใจและสุนทรียะจากงานดีไซน์ที่ต่างประเทศจึงเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดความชื่นชอบในของตกแต่งบ้านและเฟอร์นิเจอร์จนเกิดเป็นธุรกิจ และการคอลแล็บในครั้งนี้ก็เกิดจากแรงบันดาลใจที่อ๋องเก็บเกี่ยวมาระหว่างการท่องเที่ยวเช่นกัน   

“เราไปเห็นงาน Colour Crate House แบบนี้ที่เดนมาร์ก ตอนเห็นครั้งแรกก็รู้สึกว่าน่าสนใจดีแล้วสินค้าก็ทำมาจากวัสดุรีไซเคิล 100% ด้วย ซึ่งพอเราเห็นก็รู้สึกว่าของรีไซเคิลมันไม่จำเป็นต้องน่าเบื่อเสมอไป มันมีสีสัน มันสนุกได้และให้ประสบการณ์ใหม่แก่คนได้ ตอนแรกก็เลยเริ่มเอา Crate House นี้มาจัด installation ที่ร้าน NORSE republics ก่อนจะย้ายมาตั้งที่ BONCI”

crate หรือลังพลาสติกของ HAY มีความพิเศษคือฟังก์ชั่นการใช้งานอเนกประสงค์ ตัวลังถูกออกแบบมาให้สามารถนำมาวางต่อกันเป็นชั้นได้ การนำมาต่อเพื่อสร้าง installation จึงไม่ใช่เรื่องยาก โดยที่ BONCI สาขาสะพานควายจะต่อลังพลาสติกหลากสีสันเป็นรูปบ้านหรือที่เรียกว่า crate house นั่นเอง ให้คนสามารถเข้าไปถ่ายรูปได้ ส่วนที่คาเฟ่สาขาสุขุมวิท 49 จะนำลังมาต่อเป็น crate table ซึ่งอ๋องบอกว่าเป็นจุดแข็งของงานดีไซน์ชิ้นนี้ที่สามารถต่อยอดให้เกิดครีเอทีฟสเปซได้หลายแบบ

“ฟังก์ชั่นของมันยังสามารถนำมาดัดแปลงได้หลายอย่างและใช้งานได้หลายรูปแบบ มีคนที่เอาไปใช้เป็นที่ตั้งคอมพิวเตอร์ เอาไปใช้เป็นที่เก็บเอกสาร เป็นที่เก็บปากกา เป็นถาดใส่อาหาร หรือต่อล้อเป็นรถเข็นได้” 

ความน่าตื่นเต้นของการคอลแล็บในครั้งนี้คือไม่เพียงแค่เอา crate house มาตั้งเฉยๆ เท่านั้น ในส่วนคาเฟ่ของฝั่งทีม BONCI แก้มได้เล่าว่าเธอและเพื่อนๆ ได้คิดค้นเมนูซิกเนเจอร์ที่สอดคล้องกับลังพลาสติกจิ๋วชิ้นนี้ 

โดยปกติ BONCI จะพยายามลิงก์เมนูให้เข้ากับแต่ละแบรนด์ที่ collaboration ด้วย ซึ่งรอบนี้พอจุดเด่นเป็น crate ที่มีสีสันและมีหลายชั้นเลยทำเมนูพิเศษออกมาเพื่อล้อกับกิมมิกของ crate ออกมาเป็น crate cake รสดาร์กเบียร์ที่มีเลเยอร์ชั้นครีมสีฟ้าและสีม่วงซึ่งเป็นรสซิกเนเจอร์ของร้านที่ขายดี ส่วนเครื่องดื่มในการคอลแล็บนี้ก็มีหลายรสให้เข้ากับลังพลาสติกที่มีหลายสี มีทั้งกาแฟและช็อกโกแลตอย่างเมนู Coffee Terracotta และ Cocoa Terracotta กับ Electric Red ที่เป็นเครื่องดื่มรสสตรอเบอร์รี ความสนุกในการนำเสนอโปรโมชั่นคือการจัด Picnic Crate Set ที่ลูกค้าจะได้ทั้งเค้กและเครื่องดื่มเสิร์ฟมาใน HAY Crate โดยเมื่อทานเสร็จแล้วสามารถเอาลังดีไซน์เก๋นี้กลับบ้านไปใช้ต่อได้เลย

Good Friends Inspire Each Other 

ลังพลาสติก crate ไม่ได้มีแค่หน้าตาสวย อย่างที่อ๋องเล่าว่าที่มาเบื้องหลังของสินค้าคือเป็นลังที่ทำมาจากพลาสติกรีไซเคิล 100 % ซึ่งเป็นรุ่นที่ HAY ทำออกมาใหม่และหยุดการผลิตลังพลาสติกรุ่นก่อนหน้านี้ที่ไม่ได้ใช้วัสดุจากพลาสติกรักษ์โลกด้วยความตั้งใจคำนึงถึงความยั่งยืนโดยเฉพาะ

“เดนมาร์กเป็นประเทศผู้นำด้านความยั่งยืนอยู่แล้ว ตอนแรกเราคิดว่าเราไม่ต้องพูดเรื่องนี้ก็ได้ นึกว่าคนอื่นรู้เหมือนเรา เพราะแบรนด์ใช้วัสดุพวกนี้มานานแล้ว แต่ในความจริงแล้วลูกค้าไม่รู้ ก็เลยเป็นจุดที่อยากสื่อสารกับลูกค้าของเราให้มากขึ้นว่า จริงๆ แล้วเดนมาร์กเขาทำมานานแล้วเป็นระยะเวลา 10 ปี ไม่ใช่แค่ลังพลาสติกแต่ทั้งเก้าอี้และโต๊ะต่างๆ ถ้าทำจากไม้ เขาจะใช้ไม้จากป่าปลูก ถ้าตัดหนึ่งต้นก็ปลูกอีกหนึ่งต้น หรือตัดหนึ่งต้นแล้วต้องปลูกอีกสองต้นให้มากกว่าเดิม ทุกอย่างจะคิดมาค่อนข้างเยอะ”

เนื่องจาก HAY Crate ทำจากวัสดุรีไซเคิล 100% ทีม BONCI จึงตั้งใจถ่ายทอดความตั้งใจเบื้องหลังนี้ผ่านเครื่องดื่มในคาเฟ่ด้วยเช่นกัน จากปกติที่ใช้แก้วพลาสติกก็เปลี่ยนมาใช้แก้วกระดาษรีไซเคิลที่ทำขึ้นใหม่โดยเฉพาะสำหรับการคอลแล็บครั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับพันธกิจความยั่งยืนของแบรนด์ระดับโลก

นอกจากความตั้งใจดีต่อโลกแล้ว ต้องเล่าว่าสำหรับ NORSE republics ที่มีบทบาทเป็นผู้นำเข้าแบรนด์ต่างประเทศหลากหลายแบรนด์ หากมีไอเดียอยากคอลแล็บจะต้องได้รับการอนุมัติจาก headquarter ที่ต่างประเทศก่อนทุกครั้ง ซึ่งอ๋องบอกว่าบางแบรนด์ก็ค่อนข้างเข้มงวดและมีกรอบไอเดียในการทำแคมเปญ ซึ่งการริเริ่มนำ HAY Crate House มาตั้งที่คาเฟ่ในครั้งนี้ถือเป็นการเสนอไอเดียที่ออกนอกกรอบครั้งหนึ่งสำหรับแบรนด์ HAY   

“บางแบรนด์ก็เปิดโอกาสให้เราคิดไอเดียได้เยอะหน่อย บางแบรนด์ก็ค่อนข้าง strict และอยากให้ทุกอย่างออกมาในรูปแบบที่เขาต้องการ ซึ่ง HAY เป็นตัวอย่างของแบรนด์ที่ strict มาก แต่เราก็พยายามคิดอะไรใหม่ๆ แล้วก็บอกเขาว่าในฐานะผู้นำเข้า เราไม่ได้มีหน้าที่ขายอย่างเดียว แต่อยากสร้างการรับรู้ของแบรนด์นั้นๆ ให้ตรงกลุ่มเป้าหมายด้วย และที่สำคัญก็ต้องคอนเนกต์กับคนไทยและคัลเจอร์ของเรากับสิ่งที่คนไทยเป็น คนไทยชอบอะไร เราก็ต้องเอาสิ่งนั้นมาปรับให้เหมาะกับเราให้มากที่สุด

“ที่ผ่านมานอกจากเดนมาร์ก HAY Crate House ก็เคยจัดแสดงที่เกาหลีแต่จะเป็นแนวนิทรรศการมากกว่า พอเราทำป๊อปอัพที่คาเฟ่ ตอนนี้ HAY ที่ออสเตรเลียก็กำลังจะทำเหมือนกัน ชาวออสซี่บอกว่าอยากทำบ้าง พอ HAY ในแต่ละประเทศทำแคมเปญอะไรก็จะมีการแชร์ลงไปในสื่อระดับโลก แต่ละประเทศก็จะคอยนำไอเดียต่างๆ ที่คิดว่าเหมาะกับพื้นที่ตัวเองไปทำ” 

การทำคอลแล็บในครั้งนี้จึงถือว่าเกิดแรงกระเพื่อมไปถึงต่างประเทศเลยทีเดียว

Everyday Objects & Everyday Coffee 

ในช่วงที่จัดแสดงป๊อปอัพ ที่ชั้น 2 ของคาเฟ่ BONCI ยังมีไอเทมของตกแต่งบ้านน่ารักๆ จาก HAY มาจัดแสดงไว้ด้วย ซึ่งสิ่งที่เหมือนกันโดยบังเอิญระหว่าง BONCI และ NORSE Republics คือความตั้งใจอยากถ่ายทอดคุณค่าในสิ่งที่ดีไซน์มาอย่างมีคุณภาพให้คนทั่วไปเข้าถึงได้  

“แอ็กเซสซอรีของ HAY จะพยายามเอา everyday objects ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันมา twist
ถ้าขึ้นไปดูชั้นสองก็จะเห็นสินค้าของ HAY ว่าแก้วน้ำก็เป็นแก้วธรรมดา แปรงสีฟันก็เป็นแปรงสีฟันธรรมดา แต่ว่าใช้วัสดุและสีสันใหม่ๆ ให้คนใช้รู้สึกว่ามีอะไรพิเศษขึ้นมาในทุกๆ วัน แบรนด์ก็เลยมีคาแร็กเตอร์ที่ค่อนข้างสนุก มีแฟชั่นและสีสัน เทรนดี้ที่อัพเดตตลอดเวลา”

อ๋องมองว่า HAY ถือเป็นแบรนด์ใหม่ในแถบสแกนดิเนเวียที่ขี้เล่นกว่าแบรนด์เพื่อนบ้านแบรนด์อื่น

“คำว่าใหม่ก็คือแบรนด์เกิดมาในปี 2002 ตอนนี้ก็มีอายุประมาณ 20 ปี แต่แบรนด์ระดับโลกแบรนด์อื่นอย่าง Fritz Hansen มีอายุ 150 ปี ตอนก่อตั้ง HAY แบรนด์เข้ามาในจุดที่ในตลาดของตกแต่งบ้านและเฟอร์นิเจอร์ในยุโรปมีแค่แบรนด์พรีเมียมอย่าง Fritz Hansen หรือแบรนด์ที่แมสไปเลยอย่าง IKEA ทำให้ HAY กลายเป็นแบรนด์ที่อยู่กึ่งกลาง คือเป็นงานดีไซน์ที่ร่วมมือในการออกแบบกับดีไซเนอร์ชื่อดังระดับโลก แล้วก็นำมาผลิตในสเกลที่จำนวนเยอะมากขึ้นเพื่อตอบสนองกลุ่มคนที่กว้างมากขึ้น” 

ในขณะเดียวกัน BONCI ก็เป็นคาเฟ่ที่อยากให้ทุกคนเข้าถึงกาแฟที่ดีได้มากขึ้นเช่นกัน 

“อยากให้กาแฟของที่นี่เป็น everyday coffee ตั้งแต่ตอนแรกที่พวกเราทำก็คุยกันว่าไม่อยากตั้งราคาให้เกิน 100 บาท ดังนั้นพวกเมนูคลาสสิกต่างๆ จะมีราคาอยู่ที่ประมาณ 100 บาท เพื่อให้รู้สึกว่าราคาเป็นมิตร สามารถกินทุกวันได้ ราคาไม่ได้สูงเกินไป ส่วนเมนูซิกเนเจอร์อื่นๆ ก็จะมีราคาไล่ระดับขึ้นไปตามวัตถุดิบและกรรมวิธีในการทำที่ยากขึ้น”

นอกจากแก้มจะเล่าถึงความตั้งใจในการทำกาแฟในราคาที่ทุกคนเข้าถึงได้แล้ว แก้มยังเล่าแพสชั่นของเธอและเพื่อนๆ ที่เสาะหาเมล็ดกาแฟที่รสชาติดีและมีคุณภาพ “ในส่วนของกาแฟ พวกเราชอบทานกาแฟกันอยู่แล้วก็เลยลองกาแฟจากหลายที่ สุดท้ายก็มาเจอโรงคั่วที่ไทยแห่งหนึ่งที่คั่วกาแฟจากเมลเบิร์นแล้วก็ส่งมาให้เรา จะมี 2 ตัว ก็คือ house blend เป็นกาแฟระดับกลางเข้มจากบราซิล ส่วนตัว special blend ของเราจะเป็น fruity จากเอธิโอเปียที่เป็นรสบลูเบอร์รี ถ้าคนที่ชอบความ fruity ก็จะชอบรสบลูเบอร์รีนี้เพราะเทสต์โน้ตของบลูเบอร์รีจะออกมาเลย” 

Scandinavian Mix Mid-Century  

อีกอย่างที่เหมือนกันคือทั้งผู้ก่อตั้งของ BONCI และ NORSE Republics ต่างก็ชื่นชอบในงานดีไซน์ทั้งคู่ ในสไตล์ความชอบที่แตกต่างกัน พอมาอยู่ด้วยกัน ก็เกิดความแปลกใหม่ที่อ๋องมองว่าเป็นความคอนทราสต์ที่ลงตัว 

“งานดีไซน์ของ HAY จะมีสีสันและเชปที่ค่อนข้างสะดุดตา ส่วน BONCI ก็มีคาแร็กเตอร์ที่ค่อนข้างสตรองมาก การตกแต่งของคาเฟ่มีความเป็น mid-century ที่ดูนิ่งๆ เรียบๆ เท่ๆ ก็เลยรู้สึกว่าถ้ามันมีความคอนทราสต์ของสองแบรนด์มันก็น่าสนใจดีและบวกกับโลโก้หน้ายิ้มของทาง BONCI เองก็ดูขี้เล่นด้วย” 

ในฐานะผู้มีความเชี่ยวชาญในการนำเข้าแบรนด์ต่างประเทศ อ๋องนิยามความเรียบง่ายในแบบสแกนดิเนเวียว่าเป็นความคลาสสิก “ผมว่าประเทศแถบสแกนดิเนเวียมีความเคารพในวัฒนธรรมของเขาค่อนข้างสูง เขาจะเคารพสิ่งที่คนรุ่นก่อนคิดค้น คราฟต์หรือสร้างขึ้นมา มีวิธีการผลิตต่างๆ ที่จะค่อนข้างรักษาขนบดั้งเดิมในงานฝีมือของเขา ยังคง essence ของความเป็น simple modern ที่ใช้ได้นาน อันนี้คือสิ่งที่ผมมองว่าทุกๆ แบรนด์ที่เรานำเข้ามามีเหมือนกัน”

ส่วนงานดีไซน์ในยุค mid-century ที่ทางฝั่ง BONCI ชื่นชอบนั้นเป็นสไตล์ที่ได้รับอิทธิพลจากงานศิลปะแบบ Bauhaus และมีดีเทลแฝงอยู่ในงานดีไซน์อย่างรูปทรงเหลี่ยมของเรขาคณิต ส่วนโค้ง และสีสันป๊อปสดใส แก้มบอกว่าความจริงแล้วไม่ได้อยากนิยามการตกแต่งคาเฟ่ว่าเป็นแบบไหนเป็นพิเศษ แต่ด้วยความชื่นชอบงานดีไซน์ในยุค mid-century จึงทำให้มีกลิ่นอายการตกแต่งของยุคนี้ผสมกับการตกแต่งผนังด้วยไม้ที่ผสานกลิ่นอายของความเป็นสแกนดิเนเวียเข้าไปด้วย 

ถ้าใครได้มีโอกาสมาเยี่ยมเยียนที่ BONCI จะสังเกตได้ว่าแต่ละมุมของร้านมีงานดีไซน์ที่เป็นของสะสมวางไว้ที่มุมต่างๆ เช่น โปสเตอร์ The Danish Chair Poster Ant Chair, 1952 และโคมไฟ VP Globe Pendant Light, 1969 ที่ออกแบบโดย Verner Panton ดีไซเนอร์ชื่อดังชาวเดนมาร์ก อย่างโคมไฟนี้เราซื้อตั้งแต่ตอนที่เราทำสัญญาเช่าใหม่ๆ ตั้งแต่ยังไม่มีแบบร้านเลย คือเราชอบเฟอร์นิเจอร์อยู่แล้ว ยิ่งพอมี HAY มาทำป๊อปอัพกับเรา คนก็ติดตามเราและมาเยี่ยมคาเฟ่” 

“สำหรับ BONCI เราไม่ได้มีธีมว่าอยากจะเป็นธีมอะไร ส่วนมากเราออกแบบจากสเปซมากกว่า ที่ตรงนี้ตอนแรกที่เรามาก็จะเป็นที่โล่งเลย เคว้งคว้างมากเพราะมันใหญ่มาก แต่เราก็พยายามใส่วัสดุการตกแต่งเข้าไปให้มันดูซอฟต์ลง ใส่ไม้ไปให้ดูเฟรนด์ลี่ขึ้นกับพื้นที่ มีที่นั่งอยู่ข้างบน ส่วนเคาน์เตอร์อยู่ด้านล่างและทำที่นั่งให้กว้างและสบาย ไม่ต้องเบียด ให้รู้สึกว่าเวลามาแล้วไม่อึดอัด เป็นสเปซที่มาได้ตลอด” 

นิยามตัวตนของทั้ง BONCI และ HAY นั้นคือความเรียบง่ายที่มีความขี้เล่นซ่อนอยู่ อย่าง HAY ก็ไม่กลัวที่จะเล่นสีสันแม้คนทั่วไปหลายคนอาจมีภาพจำว่าสไตล์สแกนดิเนเวียต้องมีสีเรียบๆ หรือเป็นไม้สีอ่อนเท่านั้น 

“รู้สึกว่าจริงๆ แล้วภาพของแบรนด์ที่ดูซีเรียสจากภายนอกแต่ที่จริงภายในก็มีความขี้เล่นอยู่ คนแบบนี้แหละที่เป็นคนของ HAY” อ๋องทิ้งท้าย

Brand Stories Before Collaboration 

เมื่อถอยออกมามองตัวตนของทั้งสองแบรนด์ในภาพใหญ่ที่นอกเหนือจากการคอลแล็บในครั้งนี้ ทั้ง BONCI และ NORSE Republics ต่างมีสไตล์หลายแบบและตัวตนหลายมิติที่ซ่อนอยู่ในตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เวลาเกิดไอเดียคอลแล็บแล้วสามารถลงมือทำได้ทันทีเพราะพร้อมปรับให้แบรนด์เข้าได้กับหลายสไตล์ 

สำหรับ NORSE Republics นอกจากแบรนด์ HAY ที่จัดแสดงในคอลแล็บครั้งนี้แล้ว ยังมีแบรนด์ในร้านอีกมากมาย ส่วนใหญ่เป็นแบรนด์สแกนดิเนเวีย โดยมีแบรนด์อิตาลีและยุโรปตอนเหนือบ้างแต่ดีไซเนอร์ก็มักเป็นชาวสแกนดิเนเวีย

“ด้วยความที่เราเป็น distributor เราก็จะพยายามคัดสรรแบรนด์ต่างๆ ที่มีคาแร็กเตอร์แตกต่างกันโดยที่ไม่ซ้ำกัน หลายคนจะมาถามว่า ทำไมไม่เอาแบรนด์นั้นแบรนด์นี้เข้ามา ถามว่าเพราะอะไร เพราะเรารู้สึกว่าเราต้องการจะพรีเซนต์สิ่งที่แตกต่าง ยังไม่มีอยู่ในตลาดและเป็นสิ่งที่ใหม่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นแบรนด์ต่างๆ ที่เราเลือกเข้ามาก็จะต้องเป็นแบรนด์ที่ให้คุณค่าเหล่านั้นกับคนได้ โดยที่จริงๆ เราก็ไม่ได้เริ่มใหญ่ เราเริ่มจากนำเข้าแบรนด์ HAY ก่อนเป็นแบรนด์แรกแล้วก็ขยายไปเป็น Fritz Hansen, VITRA มี GUBI และแบรนด์ต่างๆ เข้ามาอีกเรื่อยๆ” 

นอกจาก HAY แล้วแบรนด์อื่นๆที่ NORSE Republics นำเข้าล้วนมีสไตล์และคาแร็กเตอร์แตกต่างกัน เช่น Fritz Hansen เป็นแบรนด์เก่าแก่ในเดนมาร์กที่มีความคลาสสิก คาแร็กเตอร์ของแบรนด์จะมีความเคร่งขรึมกว่า HAY และมีเทคนิคเอกลักษณ์ของช่างไม้ที่สืบทอดมายาวนาน, VITRA เป็นแบรนด์เยอรมนีที่อ๋องใช้คำว่ามีดีไซน์สุดโต่ง สะดุดตา เป็นแบรนด์ที่มีไดนามิกและมีความแอ็กทีฟในการดีไซน์ที่แปลกใหม่, GUBI แบรนด์สแกนดิเนเวียที่ร่วมงานกับดีไซเนอร์ชาวฝรั่งเศสเยอะทำให้งานดีไซน์มีความเฟมินีน มี curve และวัสดุที่มีความละมุนมาผสมเยอะ เช่น หินอ่อน, &Tradition จะมีสไตล์คล้าย GUBI แต่มีความ masculine มากกว่า มีเอกลักษณ์ของการใช้ไม้สีเข้มและนำดีไซน์คลาสิกในยุคก่อนมาเบลนด์กับสไตล์โมเดิร์นในปัจจุบัน

ส่วนทีม BONCI ที่ก่อตั้งธุรกิจในยุคที่มีคาเฟ่เยอะแยะมากมายก็อยากนำการคอลแล็บกับศิลปินและแบรนด์ต่างๆ มาทำให้สเปซมีกิจกรรมอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้เป็นคอมมิวนิตี้ที่มีความ happening หรืออยู่ในกระแสอยู่เสมอ และดึงดูดให้ลูกค้ากลับมาเยี่ยมที่คาเฟ่อีกครั้ง ที่ผ่านมามีศิลปินชื่อดังมากมายที่คอลแล็บกับ BONCI เช่น Sundae Kids, Crybaby, Gongkan โดยไม่ได้แค่อยากเอางานศิลปะมาตั้ง แต่จะออกแบบทั้งแพ็กเกจ ขนม สติ๊กเกอร์หน้าร้าน และการตกแต่งร้านต่างๆ ให้สอดคล้องเป็นธีมเดียวกันหมดทั้งร้านเหมือน BONCI X NORSE Republics ในครั้งนี้ 

แก้มบอกว่าความสนุกคือการเป็นคาเฟ่ที่เปิดกว้างให้ไอเดียของผู้ร่วมคอลแล็บได้โลดแล่นอย่างอิสระ

“แต่ละครั้งที่ทำร่วมกับศิลปิน ส่วนมากก็อยากให้ศิลปินเป็นคน lead ไอเดียเอง เราก็จะบอกว่าเรามีสเปซแบบนี้ อยากจะทำไอเดียในธีมไหนก็ได้ เราอยาก open ให้ทำอะไรก็ได้เลย เช่น ทำลายแก้วแบบไหนก็ได้ สีอะไรก็ได้ มันก็เลยทำให้เกิดเป็นไวบ์ที่สนุกมากขึ้นของร้านไปเรื่อยๆ ที่ผ่านมาศิลปินเองก็สนุกที่พอทำแล้วก็เหมือนได้มีสเปซเป็นร้านกาแฟของเขาเลย แต่ส่วนใหญ่เราก็จะดูสไตล์ของเขาให้ใกล้เคียงกับร้านเราก่อนด้วย ร้านเราจะออกแนวเท่ๆ สนุกและขี้เล่น ถ้าเป็นศิลปินหรือแบรนด์ที่มีความหวานมาเลยก็อาจจะไม่เข้ากับธีมร้านและลูกค้าของเรา” 

ส่วนใครอยากแวะไป เนยฝากชวนว่าสามารถแวะไปได้ทั้ง 2 สาขา “ตอนนี้พอเรามี 2 สาขา เพราะฉะนั้นเวลาเราจะทำธีมอะไรก็จะล้อไปด้วยกัน เพื่อที่ว่าคนที่มาที่สาขาหนึ่งก็อยากจะไปอีกสาขาด้วยเหมือนกันเพราะมู้ดการตกแต่งของร้านก็จะแตกต่างกันเล็กน้อย” 

การเป็นมัลติแบรนด์ที่มีดีไซน์หลากหลายสไตล์แบบ NORSE Rebublics และการหมุนเวียนคอลแล็บกับศิลปินที่มีลายเส้นหลายแบบของ BONCI ทำให้ทั้งสองแบรนด์มีกลุ่มลูกค้าชัดเจนคือคนที่ชอบเสพงานดีไซน์และงานศิลปะ

โดยสำหรับ NORSE Republics ที่มีอายุ 7 ปี ยิ่งอายุแบรนด์นานขึ้นก็ยิ่งมีกลุ่มลูกค้าที่ชัดขึ้นเรื่อยๆ คือเป็นกลุ่มที่มีความอินเตอร์ เสพสื่อต่างชาติ เคยไปเที่ยว เคยเดินทาง มีช่วงอายุอยู่ที่ประมาณ 30-50 ปี ยังมีความเป็นวัยรุ่นและชอบความโมเดิร์นไปจนถึงเทรนด์สมัยใหม่ ส่วน BONCI ที่มีอายุ 2 ปีกว่าก็มีกลุ่มลูกค้าที่มีความชอบใกล้เคียงกันซึ่งก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ทั้งสองแบรนด์เจอกันแล้วคลิกทันทีเพราะมีหลายอย่างที่คล้ายกัน

BONCI X NORSE Republics จัดถึงวันที่ 4 กันยายน 2566 ที่คาเฟ่ BONCI สาขาสะพานควายและสุขุมวิท 49