BONCI X NORSE Republics

HAY Crate House โปรเจกต์ป๊อปอัพสเปซสุดเท่ในคาเฟ่สุดเก๋โดย BONCI x NORSE Republics

สายคาเฟ่ฮอปปิ้งและคนรักงานดีไซน์น่าจะถูกใจป๊อปอัพสเปซที่จัดขึ้นโดย BONCI x NORSE Republics การคอลแล็บระหว่างคาเฟ่สุดฮิปในโลกโซเชียลที่คอลแล็บกับศิลปินชื่อดังมาหลายครั้งหลายครากับแบรนด์นำเข้าของตกแต่งบ้านระดับโลกที่พาแบรนด์สแกนดิเนเวียชื่อดังมากมายมาแนะนำให้คนไทยรู้จัก  

หากใครเคยเตะตาบ้านลังพลาสติกสีพาสเทลสดใสบนฟีดในโลกโซเชียลมาบ้าง ขอแนะนำให้รู้จักชื่ออย่างเป็นทางการของมันคือ HAY Crate House โดยในวันธรรมดาทั่วไปที่ไม่ได้มีงานจัดแสดงหรือป๊อปอัพในโอกาสพิเศษ เจ้าลังพลาสติก (crate) นี้เป็นสินค้าหมวดแอ็กเซสซอรี หรือสินค้าชิ้นเล็กสำหรับเก็บของที่ใช้ในชีวิตประจำวันของแบรนด์ HAY ซึ่งเป็นหนึ่งในแบรนด์เดนมาร์กที่ NORSE Republics เป็นผู้นำเข้ามาไทย

ความสนุกของการคอลแล็บครั้งนี้คือการได้เห็นเจ้าลัง crate จำนวนมากมาเรียงไล่สี ต่อเข้าด้วยกันเป็นชั้นๆ จนกลายเป็นบ้านและโต๊ะที่คาเฟ่ BONCI อีกทั้งยังมีการครีเอตเมนูพิเศษที่ล้อกับกิมมิกของลังพลาสติกจากวัสดุรีไซเคิลไปจนถึงถ่ายทอดเรื่องการรักษ์โลกผ่านแพ็กเกจเครื่องดื่มอีกด้วย     

นอกจากความสวยงามและประสบการณ์แปลกใหม่ที่ชวนให้คนมาถ่ายรูปเก็บไว้แล้ว เบื้องหลังของที่มาที่ไปในการคอลแล็บครั้งนี้คืออะไรและความตั้งใจของทั้งสองแบรนด์ในการทำธุรกิจของแต่ละคนคืออะไร

ชวนมาฟังเรื่องราวเบื้องหลังวิธีคิดการทำคอลแล็บกับ อ๋อง–วีกฤษฏิ์ พลาฤทธิ์ ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการของ NORSE Republics ธุรกิจนำเข้าแบรนด์เฟอร์นิเจอร์และของใช้จากสแกนดิเนเวียที่เชื่อว่างานออกแบบที่ดีทำให้ชีวิตคนดีขึ้นได้  รวมถึงกลุ่มเพื่อนที่ร่วมก่อตั้งคาเฟ่ BONCI กันด้วยแพสชั่น ได้แก่ แก้ม–ดาลี ฮุนตระกูล ที่ทำหน้าที่ดีไซเนอร์ในทีม, เนย–ณัฐยาภรณ์ มงคลวนิช ผู้ดูแลงานส่วนไฟแนนซ์และบัญชี และซีน–ณัฐพร เอกลาภไพบูลย์ ผู้อยู่เบื้องหลังการจัดการเรื่องโอเปอเรชั่นทั้งหมดของคาเฟ่สุดฮิปแห่งนี้ทั้งการดูแลพนักงานและการจัดการสต็อกต่างๆ

You Had Me at Hello
When HAY Meets @HELLOBONCI

คาเฟ่ BONCI กับ NORSE Republics เป็นเพื่อนบ้านกันเพราะต่างอยู่ที่สุขุมวิท 49 ทำให้ผู้ก่อตั้งของทั้งสองแบรนด์รู้จักกันจากการอยู่ในย่านเดียวกัน ซึ่งเมื่อทั้งสองฝั่งได้เจอกันก็ได้แลกเปลี่ยนไอเดียในการทำคอลแล็บจนเกิดเป็น BONCI X NORSE Republics ในเวลาไม่นานนัก

สำหรับ NORSE Republics นั้นมีสาขาแฟล็กชิปที่หลักเพียงแห่งเดียวอยู่ที่สุขุมวิท 49 ที่อ๋องมองว่า
เป็นย่านที่กำลังมีธุรกิจใหม่ๆ เพิ่มขึ้นเยอะ ทำให้เกิดความคิดว่าถ้าสามารถทำ collaboration ร่วมกับเพื่อนบ้านได้ก็น่าจะเป็นสิ่งที่น่าสนใจดี 

ส่วน BONCI เป็นคาเฟ่ที่พิถีพิถันในการตกแต่งและเลือกเมล็ดกาแฟ ด้วยความที่แก้มเป็นดีไซเนอร์ทำให้มีความชื่นชอบในงานดีไซน์และศิลปะทำให้เกิดแรงบันดาลใจในการทำโปรเจกต์คอลแล็บกับศิลปินอยู่ตลอดเวลา

“ตอนที่เริ่มทำร้านนี้ ด้วยสเปซก็รู้สึกว่าสามารถทำให้เป็นคาเฟ่กึ่ง exhibition กับแกเลอรีได้ คิดว่าถ้าเราทำคอลแล็บก็จะเป็นการสร้างไวบ์ที่สนุกของร้านได้ และจะได้มีอะไรใหม่ๆ เสมอ” 

แม้ NORSE Republics จะนำเข้าแบรนด์ระดับโลกที่คนรักงานดีไซน์ทั่วโลกต่างรู้จัก แต่อ๋องบอกว่าสิ่งที่เป็นทั้งความท้าทายและความสนุกของแบรนด์ก็ยังมีอยู่คือจะทำยังไงให้กลุ่มลูกค้าในไทยที่ตกหลุมรักแบรนด์อยู่แล้วยังอยากติดตามการเติบโตของแบรนด์ไปเรื่อยๆ โจทย์จึงเป็นการนำเสนอมุมที่แตกต่างในการเล่าเรื่องอยู่เสมอ

“ก่อนหน้านี้เราอาจจะไม่ได้มีคอลแล็บบ่อยเท่ากับทาง BONCI แต่เราก็มองหาการสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ แล้วก็รู้สึกว่ายังมีกลุ่มคนที่เขาไม่ได้รู้จักเราหรือยังไม่เคยมาที่ร้านเราเลย คือบางคนอาจเคยรู้จักชื่อแบรนด์อยู่แล้ว แต่ไม่รู้ว่าเราเป็นผู้นำเข้าในไทย ก็เลยรู้สึกว่าการ collaboration เป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้เราสามารถเอาผลงานดีไซน์เหล่านี้ให้คนที่อาจจะไม่สนใจดีไซน์ให้ได้มีโอกาสสัมผัสมากขึ้น ให้เขาได้เห็นว่า design object เหล่านี้สามารถเพิ่มคุณค่าหรือใส่คาแร็กเตอร์ของแบรนด์เข้าไปในสเปซนั้นๆ ได้ มองว่าลูกค้าคนไทยเข้าถึง coffee culture อยู่แล้ว ดังนั้นลูกค้าของเราน่าจะเป็นกลุ่มเดียวกันกับ BONCI คนสมัยใหม่ที่ชอบดีไซน์ ซึ่งเราก็พยายามที่จะสำรวจตลาดใหม่ๆ และขยายฐานลูกค้าด้วย” 

จากที่ตั้งใจจะจัดแสดงที่เฉพาะสาขาสุขุมวิท 49 เท่านั้นในตอนแรก แต่เพราะพื้นที่ในสาขานั้นน้อย ทั้งสองแบรนด์จึงปรับไอเดียเป็นการทำคอลแล็บที่ทั้ง 2 สาขาของคาเฟ่ BONCI คือสาขาสะพานควายและสุขุมวิท 49

HAY Crate House X Cafe  

ด้วยความที่อ๋องเคยเป็นนักเรียนดีไซน์มาก่อน การเดินทางท่องเที่ยวเพื่อซึมซับแรงบันดาลใจและสุนทรียะจากงานดีไซน์ที่ต่างประเทศจึงเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดความชื่นชอบในของตกแต่งบ้านและเฟอร์นิเจอร์จนเกิดเป็นธุรกิจ และการคอลแล็บในครั้งนี้ก็เกิดจากแรงบันดาลใจที่อ๋องเก็บเกี่ยวมาระหว่างการท่องเที่ยวเช่นกัน   

“เราไปเห็นงาน Colour Crate House แบบนี้ที่เดนมาร์ก ตอนเห็นครั้งแรกก็รู้สึกว่าน่าสนใจดีแล้วสินค้าก็ทำมาจากวัสดุรีไซเคิล 100% ด้วย ซึ่งพอเราเห็นก็รู้สึกว่าของรีไซเคิลมันไม่จำเป็นต้องน่าเบื่อเสมอไป มันมีสีสัน มันสนุกได้และให้ประสบการณ์ใหม่แก่คนได้ ตอนแรกก็เลยเริ่มเอา Crate House นี้มาจัด installation ที่ร้าน NORSE republics ก่อนจะย้ายมาตั้งที่ BONCI”

crate หรือลังพลาสติกของ HAY มีความพิเศษคือฟังก์ชั่นการใช้งานอเนกประสงค์ ตัวลังถูกออกแบบมาให้สามารถนำมาวางต่อกันเป็นชั้นได้ การนำมาต่อเพื่อสร้าง installation จึงไม่ใช่เรื่องยาก โดยที่ BONCI สาขาสะพานควายจะต่อลังพลาสติกหลากสีสันเป็นรูปบ้านหรือที่เรียกว่า crate house นั่นเอง ให้คนสามารถเข้าไปถ่ายรูปได้ ส่วนที่คาเฟ่สาขาสุขุมวิท 49 จะนำลังมาต่อเป็น crate table ซึ่งอ๋องบอกว่าเป็นจุดแข็งของงานดีไซน์ชิ้นนี้ที่สามารถต่อยอดให้เกิดครีเอทีฟสเปซได้หลายแบบ

“ฟังก์ชั่นของมันยังสามารถนำมาดัดแปลงได้หลายอย่างและใช้งานได้หลายรูปแบบ มีคนที่เอาไปใช้เป็นที่ตั้งคอมพิวเตอร์ เอาไปใช้เป็นที่เก็บเอกสาร เป็นที่เก็บปากกา เป็นถาดใส่อาหาร หรือต่อล้อเป็นรถเข็นได้” 

ความน่าตื่นเต้นของการคอลแล็บในครั้งนี้คือไม่เพียงแค่เอา crate house มาตั้งเฉยๆ เท่านั้น ในส่วนคาเฟ่ของฝั่งทีม BONCI แก้มได้เล่าว่าเธอและเพื่อนๆ ได้คิดค้นเมนูซิกเนเจอร์ที่สอดคล้องกับลังพลาสติกจิ๋วชิ้นนี้ 

โดยปกติ BONCI จะพยายามลิงก์เมนูให้เข้ากับแต่ละแบรนด์ที่ collaboration ด้วย ซึ่งรอบนี้พอจุดเด่นเป็น crate ที่มีสีสันและมีหลายชั้นเลยทำเมนูพิเศษออกมาเพื่อล้อกับกิมมิกของ crate ออกมาเป็น crate cake รสดาร์กเบียร์ที่มีเลเยอร์ชั้นครีมสีฟ้าและสีม่วงซึ่งเป็นรสซิกเนเจอร์ของร้านที่ขายดี ส่วนเครื่องดื่มในการคอลแล็บนี้ก็มีหลายรสให้เข้ากับลังพลาสติกที่มีหลายสี มีทั้งกาแฟและช็อกโกแลตอย่างเมนู Coffee Terracotta และ Cocoa Terracotta กับ Electric Red ที่เป็นเครื่องดื่มรสสตรอเบอร์รี ความสนุกในการนำเสนอโปรโมชั่นคือการจัด Picnic Crate Set ที่ลูกค้าจะได้ทั้งเค้กและเครื่องดื่มเสิร์ฟมาใน HAY Crate โดยเมื่อทานเสร็จแล้วสามารถเอาลังดีไซน์เก๋นี้กลับบ้านไปใช้ต่อได้เลย

Good Friends Inspire Each Other 

ลังพลาสติก crate ไม่ได้มีแค่หน้าตาสวย อย่างที่อ๋องเล่าว่าที่มาเบื้องหลังของสินค้าคือเป็นลังที่ทำมาจากพลาสติกรีไซเคิล 100 % ซึ่งเป็นรุ่นที่ HAY ทำออกมาใหม่และหยุดการผลิตลังพลาสติกรุ่นก่อนหน้านี้ที่ไม่ได้ใช้วัสดุจากพลาสติกรักษ์โลกด้วยความตั้งใจคำนึงถึงความยั่งยืนโดยเฉพาะ

“เดนมาร์กเป็นประเทศผู้นำด้านความยั่งยืนอยู่แล้ว ตอนแรกเราคิดว่าเราไม่ต้องพูดเรื่องนี้ก็ได้ นึกว่าคนอื่นรู้เหมือนเรา เพราะแบรนด์ใช้วัสดุพวกนี้มานานแล้ว แต่ในความจริงแล้วลูกค้าไม่รู้ ก็เลยเป็นจุดที่อยากสื่อสารกับลูกค้าของเราให้มากขึ้นว่า จริงๆ แล้วเดนมาร์กเขาทำมานานแล้วเป็นระยะเวลา 10 ปี ไม่ใช่แค่ลังพลาสติกแต่ทั้งเก้าอี้และโต๊ะต่างๆ ถ้าทำจากไม้ เขาจะใช้ไม้จากป่าปลูก ถ้าตัดหนึ่งต้นก็ปลูกอีกหนึ่งต้น หรือตัดหนึ่งต้นแล้วต้องปลูกอีกสองต้นให้มากกว่าเดิม ทุกอย่างจะคิดมาค่อนข้างเยอะ”

เนื่องจาก HAY Crate ทำจากวัสดุรีไซเคิล 100% ทีม BONCI จึงตั้งใจถ่ายทอดความตั้งใจเบื้องหลังนี้ผ่านเครื่องดื่มในคาเฟ่ด้วยเช่นกัน จากปกติที่ใช้แก้วพลาสติกก็เปลี่ยนมาใช้แก้วกระดาษรีไซเคิลที่ทำขึ้นใหม่โดยเฉพาะสำหรับการคอลแล็บครั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับพันธกิจความยั่งยืนของแบรนด์ระดับโลก

นอกจากความตั้งใจดีต่อโลกแล้ว ต้องเล่าว่าสำหรับ NORSE republics ที่มีบทบาทเป็นผู้นำเข้าแบรนด์ต่างประเทศหลากหลายแบรนด์ หากมีไอเดียอยากคอลแล็บจะต้องได้รับการอนุมัติจาก headquarter ที่ต่างประเทศก่อนทุกครั้ง ซึ่งอ๋องบอกว่าบางแบรนด์ก็ค่อนข้างเข้มงวดและมีกรอบไอเดียในการทำแคมเปญ ซึ่งการริเริ่มนำ HAY Crate House มาตั้งที่คาเฟ่ในครั้งนี้ถือเป็นการเสนอไอเดียที่ออกนอกกรอบครั้งหนึ่งสำหรับแบรนด์ HAY   

“บางแบรนด์ก็เปิดโอกาสให้เราคิดไอเดียได้เยอะหน่อย บางแบรนด์ก็ค่อนข้าง strict และอยากให้ทุกอย่างออกมาในรูปแบบที่เขาต้องการ ซึ่ง HAY เป็นตัวอย่างของแบรนด์ที่ strict มาก แต่เราก็พยายามคิดอะไรใหม่ๆ แล้วก็บอกเขาว่าในฐานะผู้นำเข้า เราไม่ได้มีหน้าที่ขายอย่างเดียว แต่อยากสร้างการรับรู้ของแบรนด์นั้นๆ ให้ตรงกลุ่มเป้าหมายด้วย และที่สำคัญก็ต้องคอนเนกต์กับคนไทยและคัลเจอร์ของเรากับสิ่งที่คนไทยเป็น คนไทยชอบอะไร เราก็ต้องเอาสิ่งนั้นมาปรับให้เหมาะกับเราให้มากที่สุด

“ที่ผ่านมานอกจากเดนมาร์ก HAY Crate House ก็เคยจัดแสดงที่เกาหลีแต่จะเป็นแนวนิทรรศการมากกว่า พอเราทำป๊อปอัพที่คาเฟ่ ตอนนี้ HAY ที่ออสเตรเลียก็กำลังจะทำเหมือนกัน ชาวออสซี่บอกว่าอยากทำบ้าง พอ HAY ในแต่ละประเทศทำแคมเปญอะไรก็จะมีการแชร์ลงไปในสื่อระดับโลก แต่ละประเทศก็จะคอยนำไอเดียต่างๆ ที่คิดว่าเหมาะกับพื้นที่ตัวเองไปทำ” 

การทำคอลแล็บในครั้งนี้จึงถือว่าเกิดแรงกระเพื่อมไปถึงต่างประเทศเลยทีเดียว

Everyday Objects & Everyday Coffee 

ในช่วงที่จัดแสดงป๊อปอัพ ที่ชั้น 2 ของคาเฟ่ BONCI ยังมีไอเทมของตกแต่งบ้านน่ารักๆ จาก HAY มาจัดแสดงไว้ด้วย ซึ่งสิ่งที่เหมือนกันโดยบังเอิญระหว่าง BONCI และ NORSE Republics คือความตั้งใจอยากถ่ายทอดคุณค่าในสิ่งที่ดีไซน์มาอย่างมีคุณภาพให้คนทั่วไปเข้าถึงได้  

“แอ็กเซสซอรีของ HAY จะพยายามเอา everyday objects ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันมา twist
ถ้าขึ้นไปดูชั้นสองก็จะเห็นสินค้าของ HAY ว่าแก้วน้ำก็เป็นแก้วธรรมดา แปรงสีฟันก็เป็นแปรงสีฟันธรรมดา แต่ว่าใช้วัสดุและสีสันใหม่ๆ ให้คนใช้รู้สึกว่ามีอะไรพิเศษขึ้นมาในทุกๆ วัน แบรนด์ก็เลยมีคาแร็กเตอร์ที่ค่อนข้างสนุก มีแฟชั่นและสีสัน เทรนดี้ที่อัพเดตตลอดเวลา”

อ๋องมองว่า HAY ถือเป็นแบรนด์ใหม่ในแถบสแกนดิเนเวียที่ขี้เล่นกว่าแบรนด์เพื่อนบ้านแบรนด์อื่น

“คำว่าใหม่ก็คือแบรนด์เกิดมาในปี 2002 ตอนนี้ก็มีอายุประมาณ 20 ปี แต่แบรนด์ระดับโลกแบรนด์อื่นอย่าง Fritz Hansen มีอายุ 150 ปี ตอนก่อตั้ง HAY แบรนด์เข้ามาในจุดที่ในตลาดของตกแต่งบ้านและเฟอร์นิเจอร์ในยุโรปมีแค่แบรนด์พรีเมียมอย่าง Fritz Hansen หรือแบรนด์ที่แมสไปเลยอย่าง IKEA ทำให้ HAY กลายเป็นแบรนด์ที่อยู่กึ่งกลาง คือเป็นงานดีไซน์ที่ร่วมมือในการออกแบบกับดีไซเนอร์ชื่อดังระดับโลก แล้วก็นำมาผลิตในสเกลที่จำนวนเยอะมากขึ้นเพื่อตอบสนองกลุ่มคนที่กว้างมากขึ้น” 

ในขณะเดียวกัน BONCI ก็เป็นคาเฟ่ที่อยากให้ทุกคนเข้าถึงกาแฟที่ดีได้มากขึ้นเช่นกัน 

“อยากให้กาแฟของที่นี่เป็น everyday coffee ตั้งแต่ตอนแรกที่พวกเราทำก็คุยกันว่าไม่อยากตั้งราคาให้เกิน 100 บาท ดังนั้นพวกเมนูคลาสสิกต่างๆ จะมีราคาอยู่ที่ประมาณ 100 บาท เพื่อให้รู้สึกว่าราคาเป็นมิตร สามารถกินทุกวันได้ ราคาไม่ได้สูงเกินไป ส่วนเมนูซิกเนเจอร์อื่นๆ ก็จะมีราคาไล่ระดับขึ้นไปตามวัตถุดิบและกรรมวิธีในการทำที่ยากขึ้น”

นอกจากแก้มจะเล่าถึงความตั้งใจในการทำกาแฟในราคาที่ทุกคนเข้าถึงได้แล้ว แก้มยังเล่าแพสชั่นของเธอและเพื่อนๆ ที่เสาะหาเมล็ดกาแฟที่รสชาติดีและมีคุณภาพ “ในส่วนของกาแฟ พวกเราชอบทานกาแฟกันอยู่แล้วก็เลยลองกาแฟจากหลายที่ สุดท้ายก็มาเจอโรงคั่วที่ไทยแห่งหนึ่งที่คั่วกาแฟจากเมลเบิร์นแล้วก็ส่งมาให้เรา จะมี 2 ตัว ก็คือ house blend เป็นกาแฟระดับกลางเข้มจากบราซิล ส่วนตัว special blend ของเราจะเป็น fruity จากเอธิโอเปียที่เป็นรสบลูเบอร์รี ถ้าคนที่ชอบความ fruity ก็จะชอบรสบลูเบอร์รีนี้เพราะเทสต์โน้ตของบลูเบอร์รีจะออกมาเลย” 

Scandinavian Mix Mid-Century  

อีกอย่างที่เหมือนกันคือทั้งผู้ก่อตั้งของ BONCI และ NORSE Republics ต่างก็ชื่นชอบในงานดีไซน์ทั้งคู่ ในสไตล์ความชอบที่แตกต่างกัน พอมาอยู่ด้วยกัน ก็เกิดความแปลกใหม่ที่อ๋องมองว่าเป็นความคอนทราสต์ที่ลงตัว 

“งานดีไซน์ของ HAY จะมีสีสันและเชปที่ค่อนข้างสะดุดตา ส่วน BONCI ก็มีคาแร็กเตอร์ที่ค่อนข้างสตรองมาก การตกแต่งของคาเฟ่มีความเป็น mid-century ที่ดูนิ่งๆ เรียบๆ เท่ๆ ก็เลยรู้สึกว่าถ้ามันมีความคอนทราสต์ของสองแบรนด์มันก็น่าสนใจดีและบวกกับโลโก้หน้ายิ้มของทาง BONCI เองก็ดูขี้เล่นด้วย” 

ในฐานะผู้มีความเชี่ยวชาญในการนำเข้าแบรนด์ต่างประเทศ อ๋องนิยามความเรียบง่ายในแบบสแกนดิเนเวียว่าเป็นความคลาสสิก “ผมว่าประเทศแถบสแกนดิเนเวียมีความเคารพในวัฒนธรรมของเขาค่อนข้างสูง เขาจะเคารพสิ่งที่คนรุ่นก่อนคิดค้น คราฟต์หรือสร้างขึ้นมา มีวิธีการผลิตต่างๆ ที่จะค่อนข้างรักษาขนบดั้งเดิมในงานฝีมือของเขา ยังคง essence ของความเป็น simple modern ที่ใช้ได้นาน อันนี้คือสิ่งที่ผมมองว่าทุกๆ แบรนด์ที่เรานำเข้ามามีเหมือนกัน”

ส่วนงานดีไซน์ในยุค mid-century ที่ทางฝั่ง BONCI ชื่นชอบนั้นเป็นสไตล์ที่ได้รับอิทธิพลจากงานศิลปะแบบ Bauhaus และมีดีเทลแฝงอยู่ในงานดีไซน์อย่างรูปทรงเหลี่ยมของเรขาคณิต ส่วนโค้ง และสีสันป๊อปสดใส แก้มบอกว่าความจริงแล้วไม่ได้อยากนิยามการตกแต่งคาเฟ่ว่าเป็นแบบไหนเป็นพิเศษ แต่ด้วยความชื่นชอบงานดีไซน์ในยุค mid-century จึงทำให้มีกลิ่นอายการตกแต่งของยุคนี้ผสมกับการตกแต่งผนังด้วยไม้ที่ผสานกลิ่นอายของความเป็นสแกนดิเนเวียเข้าไปด้วย 

ถ้าใครได้มีโอกาสมาเยี่ยมเยียนที่ BONCI จะสังเกตได้ว่าแต่ละมุมของร้านมีงานดีไซน์ที่เป็นของสะสมวางไว้ที่มุมต่างๆ เช่น โปสเตอร์ The Danish Chair Poster Ant Chair, 1952 และโคมไฟ VP Globe Pendant Light, 1969 ที่ออกแบบโดย Verner Panton ดีไซเนอร์ชื่อดังชาวเดนมาร์ก อย่างโคมไฟนี้เราซื้อตั้งแต่ตอนที่เราทำสัญญาเช่าใหม่ๆ ตั้งแต่ยังไม่มีแบบร้านเลย คือเราชอบเฟอร์นิเจอร์อยู่แล้ว ยิ่งพอมี HAY มาทำป๊อปอัพกับเรา คนก็ติดตามเราและมาเยี่ยมคาเฟ่” 

“สำหรับ BONCI เราไม่ได้มีธีมว่าอยากจะเป็นธีมอะไร ส่วนมากเราออกแบบจากสเปซมากกว่า ที่ตรงนี้ตอนแรกที่เรามาก็จะเป็นที่โล่งเลย เคว้งคว้างมากเพราะมันใหญ่มาก แต่เราก็พยายามใส่วัสดุการตกแต่งเข้าไปให้มันดูซอฟต์ลง ใส่ไม้ไปให้ดูเฟรนด์ลี่ขึ้นกับพื้นที่ มีที่นั่งอยู่ข้างบน ส่วนเคาน์เตอร์อยู่ด้านล่างและทำที่นั่งให้กว้างและสบาย ไม่ต้องเบียด ให้รู้สึกว่าเวลามาแล้วไม่อึดอัด เป็นสเปซที่มาได้ตลอด” 

นิยามตัวตนของทั้ง BONCI และ HAY นั้นคือความเรียบง่ายที่มีความขี้เล่นซ่อนอยู่ อย่าง HAY ก็ไม่กลัวที่จะเล่นสีสันแม้คนทั่วไปหลายคนอาจมีภาพจำว่าสไตล์สแกนดิเนเวียต้องมีสีเรียบๆ หรือเป็นไม้สีอ่อนเท่านั้น 

“รู้สึกว่าจริงๆ แล้วภาพของแบรนด์ที่ดูซีเรียสจากภายนอกแต่ที่จริงภายในก็มีความขี้เล่นอยู่ คนแบบนี้แหละที่เป็นคนของ HAY” อ๋องทิ้งท้าย

Brand Stories Before Collaboration 

เมื่อถอยออกมามองตัวตนของทั้งสองแบรนด์ในภาพใหญ่ที่นอกเหนือจากการคอลแล็บในครั้งนี้ ทั้ง BONCI และ NORSE Republics ต่างมีสไตล์หลายแบบและตัวตนหลายมิติที่ซ่อนอยู่ในตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เวลาเกิดไอเดียคอลแล็บแล้วสามารถลงมือทำได้ทันทีเพราะพร้อมปรับให้แบรนด์เข้าได้กับหลายสไตล์ 

สำหรับ NORSE Republics นอกจากแบรนด์ HAY ที่จัดแสดงในคอลแล็บครั้งนี้แล้ว ยังมีแบรนด์ในร้านอีกมากมาย ส่วนใหญ่เป็นแบรนด์สแกนดิเนเวีย โดยมีแบรนด์อิตาลีและยุโรปตอนเหนือบ้างแต่ดีไซเนอร์ก็มักเป็นชาวสแกนดิเนเวีย

“ด้วยความที่เราเป็น distributor เราก็จะพยายามคัดสรรแบรนด์ต่างๆ ที่มีคาแร็กเตอร์แตกต่างกันโดยที่ไม่ซ้ำกัน หลายคนจะมาถามว่า ทำไมไม่เอาแบรนด์นั้นแบรนด์นี้เข้ามา ถามว่าเพราะอะไร เพราะเรารู้สึกว่าเราต้องการจะพรีเซนต์สิ่งที่แตกต่าง ยังไม่มีอยู่ในตลาดและเป็นสิ่งที่ใหม่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นแบรนด์ต่างๆ ที่เราเลือกเข้ามาก็จะต้องเป็นแบรนด์ที่ให้คุณค่าเหล่านั้นกับคนได้ โดยที่จริงๆ เราก็ไม่ได้เริ่มใหญ่ เราเริ่มจากนำเข้าแบรนด์ HAY ก่อนเป็นแบรนด์แรกแล้วก็ขยายไปเป็น Fritz Hansen, VITRA มี GUBI และแบรนด์ต่างๆ เข้ามาอีกเรื่อยๆ” 

นอกจาก HAY แล้วแบรนด์อื่นๆที่ NORSE Republics นำเข้าล้วนมีสไตล์และคาแร็กเตอร์แตกต่างกัน เช่น Fritz Hansen เป็นแบรนด์เก่าแก่ในเดนมาร์กที่มีความคลาสสิก คาแร็กเตอร์ของแบรนด์จะมีความเคร่งขรึมกว่า HAY และมีเทคนิคเอกลักษณ์ของช่างไม้ที่สืบทอดมายาวนาน, VITRA เป็นแบรนด์เยอรมนีที่อ๋องใช้คำว่ามีดีไซน์สุดโต่ง สะดุดตา เป็นแบรนด์ที่มีไดนามิกและมีความแอ็กทีฟในการดีไซน์ที่แปลกใหม่, GUBI แบรนด์สแกนดิเนเวียที่ร่วมงานกับดีไซเนอร์ชาวฝรั่งเศสเยอะทำให้งานดีไซน์มีความเฟมินีน มี curve และวัสดุที่มีความละมุนมาผสมเยอะ เช่น หินอ่อน, &Tradition จะมีสไตล์คล้าย GUBI แต่มีความ masculine มากกว่า มีเอกลักษณ์ของการใช้ไม้สีเข้มและนำดีไซน์คลาสิกในยุคก่อนมาเบลนด์กับสไตล์โมเดิร์นในปัจจุบัน

ส่วนทีม BONCI ที่ก่อตั้งธุรกิจในยุคที่มีคาเฟ่เยอะแยะมากมายก็อยากนำการคอลแล็บกับศิลปินและแบรนด์ต่างๆ มาทำให้สเปซมีกิจกรรมอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้เป็นคอมมิวนิตี้ที่มีความ happening หรืออยู่ในกระแสอยู่เสมอ และดึงดูดให้ลูกค้ากลับมาเยี่ยมที่คาเฟ่อีกครั้ง ที่ผ่านมามีศิลปินชื่อดังมากมายที่คอลแล็บกับ BONCI เช่น Sundae Kids, Crybaby, Gongkan โดยไม่ได้แค่อยากเอางานศิลปะมาตั้ง แต่จะออกแบบทั้งแพ็กเกจ ขนม สติ๊กเกอร์หน้าร้าน และการตกแต่งร้านต่างๆ ให้สอดคล้องเป็นธีมเดียวกันหมดทั้งร้านเหมือน BONCI X NORSE Republics ในครั้งนี้ 

แก้มบอกว่าความสนุกคือการเป็นคาเฟ่ที่เปิดกว้างให้ไอเดียของผู้ร่วมคอลแล็บได้โลดแล่นอย่างอิสระ

“แต่ละครั้งที่ทำร่วมกับศิลปิน ส่วนมากก็อยากให้ศิลปินเป็นคน lead ไอเดียเอง เราก็จะบอกว่าเรามีสเปซแบบนี้ อยากจะทำไอเดียในธีมไหนก็ได้ เราอยาก open ให้ทำอะไรก็ได้เลย เช่น ทำลายแก้วแบบไหนก็ได้ สีอะไรก็ได้ มันก็เลยทำให้เกิดเป็นไวบ์ที่สนุกมากขึ้นของร้านไปเรื่อยๆ ที่ผ่านมาศิลปินเองก็สนุกที่พอทำแล้วก็เหมือนได้มีสเปซเป็นร้านกาแฟของเขาเลย แต่ส่วนใหญ่เราก็จะดูสไตล์ของเขาให้ใกล้เคียงกับร้านเราก่อนด้วย ร้านเราจะออกแนวเท่ๆ สนุกและขี้เล่น ถ้าเป็นศิลปินหรือแบรนด์ที่มีความหวานมาเลยก็อาจจะไม่เข้ากับธีมร้านและลูกค้าของเรา” 

ส่วนใครอยากแวะไป เนยฝากชวนว่าสามารถแวะไปได้ทั้ง 2 สาขา “ตอนนี้พอเรามี 2 สาขา เพราะฉะนั้นเวลาเราจะทำธีมอะไรก็จะล้อไปด้วยกัน เพื่อที่ว่าคนที่มาที่สาขาหนึ่งก็อยากจะไปอีกสาขาด้วยเหมือนกันเพราะมู้ดการตกแต่งของร้านก็จะแตกต่างกันเล็กน้อย” 

การเป็นมัลติแบรนด์ที่มีดีไซน์หลากหลายสไตล์แบบ NORSE Rebublics และการหมุนเวียนคอลแล็บกับศิลปินที่มีลายเส้นหลายแบบของ BONCI ทำให้ทั้งสองแบรนด์มีกลุ่มลูกค้าชัดเจนคือคนที่ชอบเสพงานดีไซน์และงานศิลปะ

โดยสำหรับ NORSE Republics ที่มีอายุ 7 ปี ยิ่งอายุแบรนด์นานขึ้นก็ยิ่งมีกลุ่มลูกค้าที่ชัดขึ้นเรื่อยๆ คือเป็นกลุ่มที่มีความอินเตอร์ เสพสื่อต่างชาติ เคยไปเที่ยว เคยเดินทาง มีช่วงอายุอยู่ที่ประมาณ 30-50 ปี ยังมีความเป็นวัยรุ่นและชอบความโมเดิร์นไปจนถึงเทรนด์สมัยใหม่ ส่วน BONCI ที่มีอายุ 2 ปีกว่าก็มีกลุ่มลูกค้าที่มีความชอบใกล้เคียงกันซึ่งก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ทั้งสองแบรนด์เจอกันแล้วคลิกทันทีเพราะมีหลายอย่างที่คล้ายกัน

BONCI X NORSE Republics จัดถึงวันที่ 4 กันยายน 2566 ที่คาเฟ่ BONCI สาขาสะพานควายและสุขุมวิท 49

Writer

Craft Curator, Editor-in-Cheese, Chief Dream Weaver, Wicker Expressionist, Design Researcher, Entrepreneur Crybaby 'Instagram : @rata.montre'

Photographer

ช่างภาพที่สนุกกับการแต่งตัว อยู่กับเสียงเพลง และหลงรักในความทรงจำ Ig : mocfirst

You Might Also Like