‘สินเชื่อ GSB for BCG Economy’ สินเชื่อที่สนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

เนื่องจากวิกฤตสิ่งแวดล้อมที่โลกเราต้องเผชิญโดยไม่มีแนวโน้มว่าปัญหาจะคลี่คลายหากมนุษย์ทุกคนบนโลกไม่ปรับตัวเปลี่ยนพฤติกรรม ทุกธุรกิจและผู้ประกอบการทุกคนในโลกยุคปัจจุบันจึงต้องตระหนักเรื่องความยั่งยืนมากกว่าทุกยุคสมัยที่ผ่านมา เพราะนี่คือทางรอดไม่ใช่ทางเลือก

หลายธุรกิจเริ่มปรับตัวมานานแล้ว ในขณะที่อีกหลายธุรกิจก็เพิ่งก้าวเท้าแรกเข้าสู่โลกธุรกิจยั่งยืนหรือกำลังวางแผนที่จะปรับตัวเปลี่ยนแปลงธุรกิจให้เป็นมิตรต่อโลกกว่าที่เป็นมา

เพื่อเป็นอีกหนึ่งแรงสนับสนุนให้ธุรกิจที่ตั้งใจปรับตัวเพื่อความยั่งยืนของโลกเรา ธนาคารออมสิน ที่มีจุดยืนในการเป็นธนาคารเพื่อสังคม จึงตั้งใจออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในชื่อ ‘สินเชื่อ GSB for BCG Economy’ สินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการที่ธุรกิจเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะ

วัตถุประสงค์ของสินเชื่อ GSB for BCG Economy คือต้องการสนับสนุนผู้ประกอบการทุกคนที่กำลังขับเคลื่อนธุรกิจอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างสังคมที่ยั่งยืน โดยไม่จำกัดวงเงินกู้และผ่อนนานสูงสุด 10 ปี

โดยสินเชื่อนี้เป็นสินเชื่อเพื่อเป็นทุนหมุนเวียน ลงทุนในทรัพย์สินถาวร สนับสนุนกิจการที่มีโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) และสำหรับลูกค้าทุกประเภทอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น โรงไฟฟ้า อุตสาหกรรมยานยนต์และการขนส่ง อุตสาหกรรมอาหารและการแปรรูป อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ อุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ ฯลฯ

สำหรับคุณสมบัติของผู้ขอสินเชื่อประกอบด้วย

1. เป็นบุคคลธรรมดาอายุ 20 ปีขึ้นไป สัญชาติไทย หรือนิติบุคคลจดทะเบียนตามกฎหมายไทย

2. เป็นผู้ประกอบการที่นำทฤษฎีเศรษฐกิจใหม่ BCG  ซึ่งเน้นการนำวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี  และนวัตกรรมมาต่อยอดจุดแข็งในการพัฒนาธุรกิจ โดยมีรายละเอียดตามแนวคิด BCG ดังนี้

เศรษฐกิจชีวภาพ (bioeconomy) โดยเน้นการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าผ่านการนำความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมมาพัฒนาทรัพยากรชีวภาพหรือผลผลิตทางการเกษตร เช่น ธุรกิจไบโอดีเซล และพลังงานทดแทน หรือธุรกิจผลิตบรรจุภัณฑ์ที่ทำมาจากวัสดุธรรมชาติ

เศรษฐกิจหมุนเวียน (circular economy) โดยเน้นการลดปริมาณของเสียให้น้อยลงหรือเท่ากับศูนย์ (zero waste) ผ่านการนำทรัพยากรมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดและคุ้มค่าที่สุด ด้วยการปรับกระบวนการผลิต ตลอดจนการนำวัสดุกลับมาใช้ซ้ำ (reuse) และแปรสภาพกลับมาใช้ใหม่ (recycle) เช่น ผู้ผลิตหรือจำหน่าย บรรจุภัณฑ์จากธรรมชาติ หรือผู้ผลิตหรือจำหน่ายบรรจุภัณฑ์รีไซเคิล ยกเว้น บรรจุภัณฑ์ที่ผลิตจากปิโตรเคมี

เศรษฐกิจสีเขียว (green economy) โดยเน้นการแก้ไขปัญหามลพิษเพื่อลดผลกระทบต่อโลก อย่างยั่งยืนผ่านการพัฒนาที่สมดุลทั้ง 3 ด้านคือ ด้านเศรษฐกิจ สังคม  และสิ่งแวดล้อม เน้นการใช้ทรัพยากรอย่างสมดุล เช่น ผู้ผลิตหรือจำหน่ายแผงพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา (solar rooftop), โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน (ก๊าซชีวภาพ / ชีวมวล / พลังงานหมุนเวียน / ขยะ) หรือธุรกิจท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เช่น การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยท้องถิ่นสร้างเนื้อหาการท่องเที่ยว  การบริหารจัดการเส้นทาง การลดพลังงาน และการรักษาสิ่งแวดล้อม

3. ผู้ประกอบธุรกิจที่เป็น supply chain ของผู้ประกอบการตามข้อ 2 หรือนำผลิตภัณฑ์จากข้อ 2 มาใช้ในการดำเนินงานธุรกิจ

สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจและมีคุณสมบัติตามข้อกำหนดสามารถสมัครได้แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปที่ธนาคารออมสินทุกสาขา หรืออ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ bit.ly/3VevRy7

หากมีข้อสงสัยสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ธนาคารออมสินทุกสาขา หรือ GSB Contact Center 1115 และติดตามข่าวสารอื่นๆ ได้ที่ www.gsb.or.th หรือ Facebook: GSB Society

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด

Clayceracera สตูดิโอเซรามิกที่ออกแบบให้คนได้เล่น ทดลอง และพักใจในสวนมะพร้าว

เช้าวันฝนพรำ เราฝ่ามวลรถมหาศาลจากใจกลางกรุงมุ่งหน้าไปยังจังหวัดสมุทรสงคราม ด้วยความแออัดและวุ่นวายของการจราจร เชื่อว่าใครก็ตามที่ต้องสัญจรในเส้นทางนี้ย่อมรู้สึกว้าวุ่นเป็นธรรมดา

กระทั่งล้อรถของเราหยุดเคลื่อน จอดนิ่งในเวิ้งอาคารสีขาวของ Clayceracera สตูดิโอเซรามิกที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากตลาดน้ำอัมพวา จิตใจที่วุ่นวายคล้ายไม่เคยหยุดวิ่งก็รู้สึกสงบโดยพลัน

Clayceracera คือสตูดิโอเซรามิกของสองศิลปินคู่รักอย่าง นัท–นัทธพล พูนเพชร และนิ้ง–สิริ สละอุบล ที่แต่เดิมสร้างสรรค์งานเซรามิกรูปทรงแตกต่างในนาม Clayceracera และ Clayceracera Neighborhood จุดเด่นของพวกเขาคือเซรามิกที่ปั้นออกมาอาจมีรูปทรงไม่สมมาตรแต่กลับให้ความรู้สึกบางอย่างกับลูกค้าบางคน

หลังทำงานเซรามิกได้สักพัก ทั้งคู่ตัดสินใจเปลี่ยนพื้นที่บ้านของครอบครัวนัทมาเป็นสตูดิโอเซรามิกส่วนตัว ก่อนจะพัฒนาสตูดิโอนี้เป็นพื้นที่ ที่พัก และแกลเลอรี ให้คนที่อยากทดลองปั้นงานแบบนอกกรอบได้มาเวิร์กช็อป อ่านหนังสือ พักผ่อน และพักใจท่ามกลางสวนมะพร้าวที่ไม่เพียงสวยงามสบายตา แต่ยังสงบจนเหมือนได้มาชาร์จแบต

ท่ามกลางโลกที่วุ่นวาย สังคมที่เต็มไปด้วยกรอบกำหนดและความคาดหวังบางอย่าง เชื่อว่าอาคารสีขาว วิวทิวทัศน์ และเสียงไม้พลิ้วไหวในเวิ้ง Clayceracera น่าจะทำให้หลายคนนึกถึงและเข้าใจความหมายของเพลง Que Sera, Sera ไม่มากก็น้อย

นักทดลองเซรามิก

“ผมจบสถาปัตย์ฯ ผังเมือง ส่วนนิ้งจบแฟชั่น” ที่โต๊ะไม้ใหญ่กลางห้องกว้าง นัทเกริ่นบทสนทนา บอกให้เรารู้ว่าแม้ไม่มีใครจบด้านเซรามิกโดยตรง แต่จุดร่วมสำคัญคือทั้งคู่เป็นนักเรียนศิลปะ

“ตอนนั้นเป็นช่วงหลังเรียนจบที่พอมีเวลาว่างอยู่บ้าง ผมเลยคิดอยากลองทำงานปั้นของตัวเองขึ้นมาสักชิ้นหนึ่ง บอกตามตรงว่าตอนนั้นไม่มีโนว์ฮาวอะไรเลย ผมอาศัยหาข้อมูลตามอินเทอร์เน็ต” 

นัทเริ่มจากนึกภาพวัยเด็กที่เคยปั้นดินน้ำมัน ก่อนจะหาซื้อดินญี่ปุ่นซึ่งมีลักษณะคล้ายกันมาลองขึ้นรูป แม้ปากจะบอกเป็นงานอดิเรก แต่เจ้าตัวกลับลงทุนซื้อดินญี่ปุ่นด้วยตัวเองถึงโรงงาน ทั้งยังลองหาวิธีเผาผลงานเพื่อให้เนื้อดินไม่แยกออกจากกัน

“ผมไปซื้อถังน้ำมันมาแล้วก็โยนใส่ถัง เผามันไปทั้งอย่างนั้น” เขาย้อนเล่าเรื่องราวการทดลองของตัวเองตั้งแต่ศูนย์ พลางมองไปยังวิวนอกกระจกบานใหญ่ คล้ายนึกคิดถึงห้วงเวลาก่อนเกิดสตูดิโอแห่งนี้

แม้ทดลองแล้วไม่รุ่ง แต่นัทไม่ยอมแพ้แค่นั้น เขาหันไปปั้นเซรามิกที่ทนต่ออุณหภูมิสูงมากกว่า ลงทุนขับรถไปกลับกรุงเทพฯ-นครปฐมเพื่อนำไปให้มหาวิทยาลัยศิลปากรเผาผลงานให้ กระทั่งไปปรึกษาโรงงานเซรามิก และร่ำเรียนกับเจ้าของโรงงานอยู่นานนับปี

“ตอนนั้นไม่ได้คิดถึงเรื่องรายได้ เพียงแต่รู้สึกว่าการที่มือของผมมันได้ปั้น ได้บิ ได้นวด ได้ขยับ ผมรู้สึกว่ามันผ่อนคลายและมันช่วยให้ภายในของผมสงบ”

จากปั้นมือง่ายๆ นัทลองปั้นด้วยเครื่อง และเริ่มฝึกเคลือบเงา จากปั้นงานแบบคนทั่วไป เขาก็เริ่มทดลองทำ 3D ปรินต์ แล้วหล่องานขึ้นมา บ้างก็ลองขึ้นรูปทรงแปลกๆ เพราะอยากทดลองขึ้นรูปดินแบบที่คนปั้นโอ่งเขาทำกัน และท้ายที่สุด เขายังสร้างเตาเผาของตัวเองขึ้นมาเพื่อให้การทดลองไม่สะดุด

“ผมรู้สึกว่าการทดลองมันเป็นกระบวนการสำคัญที่ทำให้เกิดผลลัพธ์หลากหลายจนอาจทำให้เกิดสิ่งใหม่ๆ ที่เราไม่เคยคาดคิด ผมเลยชอบการทดลองและการเล่นตรงนี้มากกว่าผลลัพธ์ที่ได้” 

มุมมองที่แตกต่างตรงนี้เองทำให้ผลงานของนัทมีรูปทรงที่แปลกตาจากเซรามิกทั่วไป และความแตกต่างนั้นเองที่ทำให้ Clayceracera ได้รับความสนใจ เพราะเพียงนัทโพสต์รูปภาพผลงานในโซเชียลมีเดีย ร้าน selected shop ก็ติดต่อขอผลงานไปวางขาย และลูกค้าหลายคนยังติดต่อให้เขาปั้นงานชิ้นพิเศษ นอกจากนั้น  ผลงานหล่อเซตอวัยวะมนุษย์ของเขายังได้จัดแสดงในงาน Bangkok Design Week ด้วย

“แม้ผลงานของผมจะค่อนข้างแตกต่างจากตลาดเซรามิกทั่วไป แต่มันก็ยังมีกลุ่มลูกค้าที่พอเลี้ยงเราได้เหมือนกัน ผมเลยเริ่มคิดว่างานเซรามิกมันน่าจะไปต่อได้” นัทอธิบาย

นักออกแบบพื้นที่

หากทอดสายตาไปยังส่วนต่างๆ เราจะเห็นเซรามิกหลากหลายรูปทรงตั้งเรียงรายอยู่ทั่วห้อง ทั้งหมดนี้ไม่เพียงเป็นฝีมือของนัท แต่ยังมีผลงานของนิ้งที่หันมาหยิบจับงานปั้นกับเขาบ้าง และเพราะผลงานที่มากเกินจะเก็บตรงนี้ ทั้งคู่จึงคิดปรับที่ดินรกร้างของครอบครัวนัทเป็นสตูดิโอส่วนตัว 

ภายในพื้นที่ 4,280 ตารางเมตรนี้ นัทและนิ้งแบ่งส่วนด้านหน้าสุดเป็นที่พักอาศัยของตัวเองซึ่งรีโนเวตขึ้นจากบ้านเก่าที่สร้างไว้ เชื่อมกับพื้นที่ส่วนตัวด้านหน้าคือที่ตั้งเตาเผาขนาดย่อม ถัดเข้ามาอีกหน่อยคือตัวอาคาร 2 ชั้นแห่งนี้  

พลันผลักประตูเข้ามายังอาคาร เราจะพบกับห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดยาวไร้ผนังกั้นที่นอกจากจะทำให้ไม่รู้สึกอึดอัด ก็ยังเปิดมุมมองการทำงานศิลปะให้กว้างออก ด้านหนึ่งของผนังมีเพียงกระจกใสแผ่นบางคั่นกลางระหว่างพื้นที่ภายในและธรรมชาติภายนอก ผลงานการออกแบบนี้ได้แรงบันดาลใจจากวันแรกที่นัทมาเยือนที่ดินของครอบครัว

“ด้านหน้านี้คือสวนมะพร้าว ถัดออกไปท้ายสุดของที่ดินคือแม่น้ำแม่กลอง ผมยังจำความรู้สึกวันที่เดินจากหน้าบ้านมายืนตรงนี้ได้ ผมรู้สึกสงบ” นัทอธิบาย 

ช่วงแรก นัทจัดวางเฟอร์นิเจอร์ไม่กี่ชิ้นเท่านั้น แต่เมื่อนิ้งถ่ายบรรยากาศการปั้นงานท่ามกลางธรรมชาติลงอินสตาแกรม มิตรสหายก็เริ่มอยากปั้นงานในสตูดิโอของพวกเขาบ้าง ไอเดียการปรับเปลี่ยนพื้นที่ให้เป็นสตูดิโอสำหรับเปิดเวิร์กช็อปเซรามิกจึงเกิดขึ้น

คีย์สำคัญคือการทำให้พื้นที่ขนาดยาวที่ไร้ผนังกั้นมีสัดส่วนชัดเจนแต่ใช้งานได้หลากหลายฟังก์ชั่น กลางห้องวางโต๊ะไม้ขนาดใหญ่สำหรับปั้นงาน ด้านหนึ่งของห้องมีโซฟาน่านั่งและเครื่องเล่นแผ่นเสียงให้คนได้พักผ่อน ส่วนอีกด้านหนึ่งคือโซนบาร์ที่มีกาแฟและเครื่องดื่มเล็กๆ น้อยๆ 

“เราไม่ได้มีแบบอะไรมากมาย แต่ค่อยๆ เสริมเติมแต่งตามความต้องการของคนที่มาเยี่ยม เฟอร์นิเจอร์ก็แค่เลือกชิ้นที่อยากได้แล้วเอามากองรวมๆ กันก่อนจับไปวางตรงนั้นตรงนี้ พื้นที่วางงานก็ทำขึ้นจากอิฐมวลเบาที่เหลือจากการก่อสร้าง” นิ้งอธิบายไอเดีย

ถัดขึ้นไปข้างบนคือห้องนอนขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ เผื่อไว้สำหรับมิตรสหายหรือนักเรียนที่อยากค้างคืนระหว่างทางก่อนถึงห้องนอนนั้น นิ้งและนัทปรับเป็นแกลเลอรีย่อมๆ สำหรับจัดแสดงงานศิลปะ 

ในอนาคตทั้งคู่ตั้งใจเปิดรับผลงานของศิลปินคนอื่นๆ มาจัดแสดง รวมถึงปรับเปลี่ยนพื้นที่ให้คนในชุมชนได้มีส่วนร่วมด้วย ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะนัทต้องการใช้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการวางผังเมืองมาสร้างให้ที่นี่กลายเป็นพื้นที่กึ่งสาธารณะที่อยู่ร่วมกับชุมชนได้ 

“เราคิดว่าเราไม่ใช่คนในพื้นที่ การที่เราจะมาสร้างอะไรในพื้นที่นี้ก็ควรที่จะให้อะไรกับคนในชุมชนด้วย ตอนนี้สิ่งที่เราทำได้คือการอุดหนุนสินค้าชาวบ้านมาเสิร์ฟให้คนเข้าร่วมเวิร์กช็อป แต่ในอนาคตเราตั้งใจให้มันเป็นพื้นที่ที่สร้างประโยชน์มากขึ้น” นิ้งเสริม 

นักออกแบบประสบการณ์

“สถานที่ที่สวยงามและน่าพักผ่อนคือจุดดึงดูดความสนใจแรกที่ทำให้คนอยากทำความรู้จักเรา มีหลายคนที่แค่เดินผ่านหรือบางทีก็เห็นภาพจากอินสตาแกรมแล้วขอมาดูก็เยอะ” นัทเกริ่น

“แต่ความตั้งใจของเราไม่ใช่เพื่อให้คนมาถ่ายรูปแล้วกลับ เราอยากให้คนที่สนใจเซรามิก คนที่อยากพักใจ หรือคนที่อยากทดลองอะไรบางอย่างได้มาใช้พื้นที่ตรงนี้” เขาเสริม

นั่นหมายความว่าประตูบานแรกที่ทำให้คนอยากทำความรู้จัก Clayceracera อาจเป็นความงดงามของงานสถาปัตยกรรมก็จริง แต่หลักใหญ่ใจความที่ทั้งคู่ตั้งเป้าคือการออกแบบเวิร์กช็อปเซรามิกให้กินใจผู้เรียนมากกว่า

รูปแบบของ Clayceracera จึงไม่ใช่การเปิดสตูดิโอทุกวันเพื่อต้อนรับทุกคน แต่คือการให้คนที่สนใจจองวันและเวลาเฉพาะเพื่อให้ทุกคนได้ใช้เวลากับตัวเองท่ามกลางธรรมชาติและสัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ ที่อาจหาได้ยากในวันวุ่นๆ 

เวิร์กช็อปของทั้งคู่จะไม่ใช่เวิร์กช็อปที่จุคนจากหลากหลายที่มา แต่เป็นเวิร์กช็อปส่วนตัวที่มีเพียงคนรู้จักกันอย่างพี่น้อง เพื่อนพ้อง ครอบครัว โดยมีนัทและนิ้งคอยแนะนำว่าจะทดลองปั้นดินด้วยวิธีไหนได้บ้าง

“เวิร์กช็อปของเราจะมี 3 คอร์ส คอร์สแรกคืองานปั้นมือ คอร์สที่สองคืองานปั้นเครื่อง และคอร์สสุดท้ายคืองานปั้นเชิงทดลอง สองคอร์สแรกอาจใช้เวลาแค่วันเดียวจบ ส่วนคอร์สทดลอง คนที่จองมักจะพักค้างคืนเพราะมันมีอะไรให้เขาเล่นสนุกจนวันเดียวอาจไม่พอ” นิ้งผู้ที่เคยสอนศิลปะมาก่อนเล่าถึงคอร์สเซรามิกประจำสตูดิโอ

“การทดลองในคอร์สที่สามเกิดจากการที่ผมกับนิ้งเองก็เริ่มต้นจากความไม่รู้เรื่องเซรามิก เพียงอยากทดลองและเล่นไปเรื่อยๆ เท่านั้น พอมาทำเวิร์กช็อปจึงคิดว่ามันก็คงจะดีถ้าคนอื่นๆ ได้มาทดลองและเล่นแบบเราบ้าง เพราะพอเราไม่มีกรอบ ไม่มีข้อกำหนดว่าเซรามิกต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ ผลลัพธ์ที่ได้มันจึงหลากหลายมาก” นัทอธิบาย และนั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทั้งคู่จะบอกให้นักเรียนเผื่อใจกับผลงานว่ามันอาจไม่เพอร์เฟกต์หรือไม่เป็นตามที่คิด แต่กระบวนการระหว่างนั้นจะสอนอะไรบางอย่าง

“พอสถานที่มันเหมาะสม มองออกไปก็เห็นธรรมชาติ เกือบทุกคนที่มาใช้เวลาที่นี่แทบจะไม่จับโทรศัพท์เลย บางกลุ่มก็แทบไม่ได้พูดคุยอะไรมาก เพราะเขาตั้งใจกับการทดลองตรงหน้า นอกจากนั้น พอคอร์สของเราเป็นคอร์สไพรเวตที่มีแค่คนที่นักเรียนรู้จักเท่านั้น ทุกคนก็กล้าที่จะเลอะ กล้าที่จะกลับไปเล่นหรือทำอะไรแบบเด็กๆ อีกครั้ง 

“บางครั้งเราให้เขาปาแผ่นดินเพื่อสร้างรูปทรงใหม่ๆ บางครั้งก็เอาดินไปผสมน้ำแล้วมาแต้มงานเพื่อให้เกิดเทกซ์เจอร์แปลกๆ และบางครั้งก็เอาดินค่อยๆ ปะติดปะต่อลงบนลูกโป่ง” นิ้งเล่า

นั้ทและนิ้งยังบอกอีกว่าทั้งคู่ไม่ได้อยากเจาะจงว่านักเรียนของพวกเขาจะต้องทำอะไร เวลาไหน ดังนั้น ระหว่างพักเหนื่อยจากการปั้นงานก็อาจนั่งเลือกแผ่นเสียง อ่านหนังสือ หรือออกไปเดินที่สวนมะพร้าวก็ได้ และถ้าใครอยากจะพายซับบอร์ดที่แม่น้ำก็ย่อมได้ ที่สำคัญ ทั้งคู่ยังตั้งใจให้ที่นี่เป็นสถานที่ pet friendly ที่พ่อหมาแม่แมวจะมาทำกิจกรรมร่วมกับลูกสี่ขาของตัวเองก็ได้

“จริงๆ เราไม่ได้มองว่าที่นี่คือสตูดิโอเซรามิกแต่เรามองว่ามันคือพื้นที่มัลติฟังก์ชั่นเพราะนักเรียนและตัวเราเองสามารถเคลื่อนที่และใช้งานในส่วนต่างๆ ได้ทั้งหมด ยิ่งบรรยากาศมันสบาย สงบ และใกล้ชิดธรรมชาติ ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นเครื่องมือที่ทำให้ทุกคนได้อยู่กับตัวเอง ได้ปล่อยใจไปกับธรรมชาติ ได้ทดลองสิ่งต่างๆ จนอาจเกิดเป็นสิ่งใหม่ที่เราไม่คาดคิด

“เหมือนกับชื่อ Clayceracera ที่ผมอิงมาจากเพลง Que Sera, Sera เนื้อเพลงมันบอกว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ผมคิดว่ามันเหมือนการปั้นดินว่าถ้าเราจะบังคับให้มันเป็นรูปร่างแบบนั้นแบบนี้ มันอาจจะเป็นการฝืนธรรมชาติและกลายเป็นเรื่องยากกว่าการปล่อยให้มันเกิดเป็นรูปทรงต่างๆ ของมันเอง 

“ท้ายที่สุด การปล่อยให้ดินมันไหลไปตามกระบวนการที่เราทดลองนี้ก็อาจทำให้เราได้บทเรียนและผลลัพธ์ที่เหนือความคาดหมาย” นัทอธิบายที่มาและความตั้งใจ

ตลอดบทสนทนา นอกจากความสงบที่เราได้รับจากสถานที่ มุมมองใหม่ๆ ที่ได้จากนิ้งและนัท เรายังได้เข้าใจความหมายของชื่อที่ว่า Clayceracera ว่าไม่เพียงเป็นบทสรุปของรูปทรงเซรามิกจากสองมือของทั้งคู่ แต่ยังเป็นหลักคิดในการทำเวิร์กช็อป การออกแบบพื้นที่ ไปจนถึงสิ่งที่ทั้งคู่อยากส่งต่อให้นักเรียนทุกคนได้รับรู้

ที่สำคัญ ความหมายของชื่อนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงเส้นทางของทั้งคู่ที่ไม่เคยยอมแพ้ในวันแรก และปล่อยให้ตัวเองได้ทดลองผลงาน ทดลองตลาดมาเรื่อยๆ จนเกิดเป็น Clayceracera Studio ในวันนี้

What I’ve Learned
1. “แม้ผลงานของเราจะแตกต่าง แต่ในเมื่อมันยังขายได้และมีคนให้ความสนใจ ก็เป็นเครื่องยืนยันว่ากลุ่มลูกค้าที่ niche ตรงนี้มีอยู่จริง”
2. “สถานที่ที่สวยงามและน่าพักผ่อนคือจุดดึงดูดความสนใจแรกที่ทำให้คนอยากทำความรู้จักเรา”
3. “เราควรหมั่นสังเกตมุมมองของลูกค้า ประสบการณ์ที่เขาได้รับ และวิธีการสร้างสรรค์ผลงานของเขา รวมถึงพร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไปกับลูกค้า เพราะรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่เราอาจมองข้ามไปนั้นช่วยให้เราพัฒนาและแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้อย่างตรงจุดมากขึ้น”

ไอเดียและแพสชั่นของ Summerstuff.marine เครื่องหอมที่แตกต่างด้วยกลิ่นและแพ็กเกจจิ้งที่น่าหยิบใช้

Summerstuff.marine คือแบรนด์เครื่องหอมของสองสาวที่เป็นเพื่อนในรั้วมหาวิทยาลัยอย่าง ปริม–วริศรา จำปาทอง และแมส–นันทิกร อิงครัตน์ ที่เกิดขึ้นอย่างจริงจังเมื่อ 4 ปีก่อน 

ใครจะไปรู้ว่าแค่จากการที่ชวนกันไปขายของเพื่อแบ่งกันหารค่าบูท จะกลายมาเป็นแบรนด์เครื่องหอมที่คนรุ่นใหม่นึกถึง โดดเด่นทั้งเรื่องของกลิ่นหอมที่ไม่เหมือนใคร ลายเส้นที่เป็นเอกลักษณ์ และมาพร้อมกับแพ็กเกจจิ้งที่น่าหยิบใช้ 

ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ ในวันที่เทียนหอมไม่ได้บูมเหมือนเมื่อก่อน และยังมาพร้อมกับแบรนด์ใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นมากมาย อะไรทำให้ Summerstuff.marine ยืนระยะและเติบโตได้อย่างทุกวันนี้

เราชวนปริมและแมสมาส่งต่อความสนุก เล่าเรื่องราวการทำแบรนด์ผ่านกลิ่นหอมไปพร้อมๆ กัน 

Summerstuff.marine คือเพื่อน

ไม่รู้เพราะความบังเอิญหรืออย่างไร เพราะแมส และปริม คือเพื่อนร่วมโรงเรียนตั้งแต่ชั้นมัธยม และยังเป็นเพื่อนร่วมรั้วมหาวิทยาลัยเดียวกัน แม้จะต่างกลุ่ม ต่างคณะกัน แมส เรียนคณะศิลปกรรม ส่วนปริม เรียนมัณฑนศิลป์ แต่สิ่งที่เหมือนกันที่เราสัมผัสได้คือความชอบในงานอาร์ต งานศิลปะเหมือนกันของคนทั้งคู่

จุดเริ่มต้นเล็กๆ แต่ยิ่งใหญ่ คือการหารายได้เสริมในช่วงมหาวิทยาลัยที่ทั้งคู่มีกิจการขายของเล็กๆ เป็นของตัวเอง ก่อนที่จะตกลงกันทำแบรนด์เทียนหอมร่วมกันในชื่อ Summerstuff.marine

ปริมค่อยๆ เล่าถึงจุดเริ่มต้นว่า “ตั้งแต่ช่วงมหาวิทยาลัยเราทั้งคู่ทำของขายอยู่แล้ว แมสทำงานวาดลายเส้น ภาพประกอบ ส่วนเราหล่อเรซิ่นเป็นรูปทรงต่างๆ และทำของกระจุ๊กกระจิกไปขาย จุดที่ทำให้ได้มาขายของด้วยกันเริ่มจากการชวนกันไปขายของออกบูทในงานของมหา’ลัย ที่แบ่งกันออกค่าบูทคนละครึ่ง หลังจากเรียนจบเราก็ชวนกันไปออกอีเวนต์ขายของเรื่อยๆ จนรู้สึกว่าอยากจริงจังขึ้นมา อยากทำในสิ่งที่เพิ่มเติมจากการแค่หล่อเรซิ่นขาย สิ่งที่เรานึกถึงขึ้นมาอันดับแรกเลยคืออยากทำเทียนหอม ภาพในหัวตอนนั้นยังไม่มีไอเดียอะไรเลย” 

จากที่ไม่มีไอเดียอะไร แต่รู้แค่ว่าอยากทำเทียนหอม ก่อนที่จะช่วยกันเบรนสตอร์ม หาวัตถุดิบ หาแพ็กเกจจิ้ง ออกมาเป็นเทียนหอมกลิ่นแรก คือ กลิ่นบลูเบอร์รีโยเกิร์ต ที่นอกจากจะทำกลิ่นเหมือนแล้ว หน้าตาของเทียนหอมของแมสและปริมยังเหมือนของกินจริงๆ เป็นเทียนหอมที่บรรจุอยู่ในขวดแก้วที่มีฝาปิด

“ทำออกมาครั้งแรก 20 อัน ขายไม่ได้เลย ไม่มีคนซื้อ และคิดกันว่าไม่ได้ไปต่อแน่ๆ แมสเลยลองเอาเทียนหอมที่ทำนี้ไปโพสต์ขายในไอจีร้านของตัวเองที่ชื่อว่า Summerstuff.marine ที่พอมีฐานลูกค้าจากที่แมสขายของก่อนหน้า ก็ทำให้เทียนหอมของเราพอขายได้ แต่จุดที่เปลี่ยนชีวิตคือช่วงนั้นเริ่มเล่นทวิตเตอร์ แมสลงโพสต์เทียนหอมอันนี้ไป ปรากฏว่าโพสต์นั้นคนรีทวีตเยอะมาก มีคนทักมาสั่งซื้อเทียนหอมมากขึ้น

“เหมือนพลิกชีวิตเราประมาณหนึ่งเลย รอบสองเราไปออกบูสต์อีกรอบ รอบนี้ทำเทียนหอมไป 100 อัน ขายหมดใน  2 ชั่วโมง คนมาจอง made to order จากที่คิดว่าจะไม่ทำต่อกันแล้ว นี่เป็นจุดที่เรารู้สึกว่าแบรนด์ซัมเมอร์จะไปต่อได้ด้วยโปรดักต์นี้ 

“ตัดสินใจโละสินค้าอื่นๆ ที่แมสเคยทำขายในไอจีซัมเมอร์ออกหมด ให้เหลือแต่เทียนหอม และตกลงกันที่จะใช้ไอจีชื่อนี้เลย Summerstuff.marine” ปริมเล่าให้เราฟัง

Summerstuff.marine มีปริมทำหน้าที่ดูหลังบ้าน ดูและควบคุมไลน์การผลิตสินค้าทั้งหมด ส่วนแมสดูในส่วนของงานวาดลายเส้นทั้งหมด รวมถึงการทำตลาดและโซเชียล

ความเป็นเพื่อนยังไม่จบแค่ทั้งปริมและแมสคือเพื่อนกัน ทั้งคู่วางโพซิชั่นของ Summerstuff.marine ให้เป็นเพื่อนกับลูกค้า เพราะถ้าลองเข้าไปไถฟีดในทวิตเตอร์ หรืออินสตาแกรมของร้าน เราจะไม่ได้เห็นแค่โพสต์ขายของอย่างเดียว แต่ Summerstuff.marine ยังแชร์เรื่องราวผ่านการพูดคุยแบบเพื่อนกับลูกค้าเช่นกัน

“เป็นความตั้งใจของเราตั้งแต่แรกที่ไม่ได้อยากวางตัวเป็นร้านขายของกับลูกค้า แต่เราอยากให้ Summerstuff.marine เป็นเหมือนเพื่อนคุยกัน แนะนำกัน บางทีคอนเทนต์ที่ออกไปเลยไม่ได้ขายอย่างเดียว มีคอนเทนต์พูดคุย มีทำเพลย์ลิสต์เพลงที่มีเรื่องราว และพยายามลิงก์กับการขายสินค้าของเราด้วย เราคิดว่ามันทำให้เข้าถึงผู้คนได้ง่ายมากขึ้น” แมสขยายความให้ฟัง

Summerstuff.marine คือของใช้ในชีวิตประจำวัน

ขวบปีถัดๆ มา Summerstuff.marine ไม่ได้มีแค่เทียนหอมแค่อย่างเดียว เริ่มแตกไลน์โปรดักต์เป็นอย่างอื่นมากขึ้น เรียกว่าเป็น grocery store ร้านขายเครื่องหอมก็มีทั้งเทียนหอม ครีมอาบน้ำ ถุงหอม น้ำหอม รูมสเปรย์ แฮนด์ครีม สเปรย์แอลกอฮอล์ และอื่นๆ 

ตรงกับชื่อแบรนด์อย่างคำว่า stuff ที่แมสอธิบายให้เราฟังในช่วงแรกของบทสนทนาว่า ที่ใช้คำว่า stuff ในชื่อแบรนด์นั้นเพราะไม่ได้อยากกำหนดว่าร้านนี้จะต้องขายอะไร หรือขายของเพียงสิ่งเดียว แต่ร้านนี้จะมีของขายที่หลากหลายที่ใช้ในชีวิตประจำวันได้

“อันที่จริงเหตุผลคือมีคนเริ่มทำตามเยอะ เพราะแต่ก่อนเทียนหอมส่วนใหญ่หลายๆ แบรนด์ก็จะทำแบบขึ้นรูปมาเลย ไม่ค่อยมีคนทำเทียนหอมใส่ขวดแก้วแล้วมีฝาปิดแบบเราเท่าไหร่” แมสอธิบายให้ฟัง

“เราไม่ได้บอกว่าทำตามเราไม่ได้นะ แต่คือเราโดนก๊อบปี้ลายเส้นทุกองค์ประกอบ พอเราไปเจอเราก็รู้สึกแย่มากๆ เลยคุยกันและตัดสินใจว่าเราจะไม่ทำเทียนหอมอย่างเดียวแล้ว เราจะเป็นร้านเครื่องหอมที่มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย” ปริมเล่าเสริม

Summerstuff.marine จึงเปลี่ยนแพ็กเกจจิ้งจากที่เคยสั่งซื้อเป็นตลับที่หาได้ทั่วๆ ไป กลายเป็นสั่งทำเป็นสี รูปทรงของบรรจุภัณฑ์เฉพาะของแบรนด์ที่มีความยูนีกสื่อถึงแบรนด์อย่างที่วางขายอยู่ในทุกวันนี้ พร้อมกับหยิบกลิ่นที่เป็นซิกเนเจอร์ 4 กลิ่น คือ Summer Reminder, A day at home, Thank gosh it’s party time, Sunray on Sunday มาแตกไลน์เป็นสินค้าที่หลากหลายมากขึ้น 

“ตอนนี้พยายามทำโปรดักต์ที่สามารถใช้ในชีวิตประจำวันมากขึ้น เพราะบางคนอาจไม่ได้อินกับการจุดเทียน แต่อยากลองใช้ผลิตภัณฑ์ของเรา เราก็มีสินค้าอื่นๆ เป็นตัวเลือกให้เขา เช่น รูมสเปรย์ ถุงหอม แอลกอฮอล์ล้างมือ มีเกือบ 10 รายการ ที่เยอะสุดคือเทียนหอมที่มีกลิ่นให้เลือกกว่า 30 กลิ่น”

Summerstuff.marine คือกลิ่นที่แตกต่างและโดดเด่นด้วยศิลปะ

เพราะผ่านกระบวนการคิดมาอย่างดีเมื่อ Summerstuff.marine ที่ขายเครื่องหอมต้องการให้ผู้คนหยิบใช้ในชีวิตประจำวัน และเข้าถึงสินค้าได้ง่าย ไอเดียของโปรดักต์ต่างๆ ทั้งเรื่องของกลิ่น และลายเส้นของแบรนด์จึงเป็นการหยิบเล่าเรื่องราวจากสิ่งรอบๆ ตัวในชีวิตประจำวัน ผ่านการตีความของคนทั้งคู่ ที่ตอนนี้กลายมาเป็นจุดแข็งของแบรนด์ไปเรียบร้อยแล้ว

“แพ็กเกจจิ้ง ลายเส้น และกลิ่น คือจุดแข็งของแบรนด์ อย่างสมัยก่อนเราใช้อินสไปร์จากของกิน เดี๋ยวนี้ เราเอาอินสไปร์จากสิ่งรอบๆ ตัวในชีวิตประจำวันมากขึ้น อย่างเช่นกลิ่นที่เป็นซิกเนเจอร์ของเราอย่าง A day at home มันคือกลิ่นที่สื่อสารด้วยความผ่อนคลาย สบายๆ อยู่บ้าน หรืออย่างกลิ่นที่มีอย่าง spring cottage ที่เป็นกลิ่นเปลือกไม้ ป่าๆ ภาพที่เราหลับตาเห็นคือกระท่อม เราไปแคมป์ปิ้งในป่า พอเราทำกลิ่นที่เป็นฟีลลิ่งนี้ เราก็ส่งต่อให้แมสวาดลายเส้น” ปริมแชร์ถึงไอเดียในการคิดกลิ่น

งานถัดไปจากการคิดดีไซน์กลิ่นได้แล้วคือการส่งผ่านมาเป็นลายเส้นที่ต้องใช้จินตนาการของแมสที่แมสบอกว่า “ลายเส้นนึงวาดไม่นาน แต่จะนานตรงที่กว่าเราจะเคาะคอนเซปต์กัน กว่าเราจะวาดออกมาได้คือต้องมีคอนเซปต์ที่ชัดเจนเป็นรูปเป็นร่างแล้ว อย่างคอนเซปต์นี้เราเลือกได้แล้วว่าเป็นแนวอยู่บ้าน เราทำเป็นมู้ดบอร์ดว่าแต่ละองค์ประกอบนั้นมีมู้ดแอนด์โทนของภาพแนวไหน แล้วค่อยเลือกโทนสีให้เข้ากับกลิ่น กับสิ่งที่เราจะสื่อออกไป ทุกผลงานที่ออกไปจะต้องเป็นลายเส้นที่เราทั้งสองชอบมากที่สุด”

เพราะฉะนั้นแล้ว Summerstuff.marine คือเพื่อนที่จะเชิญชวนให้คุณซึมซับวัฒนธรรมการพักผ่อน เพลิดเพลินกับเครื่องหอมผ่านกลิ่นที่แตกต่างเป็นเอกลักษณ์ มาพร้อมกับแพ็จเกจจิ้งที่น่าหยิบใช้

Summerstuff.marine คือความแฮปปี้ของผู้คน

เมื่อเราถามทั้งแมสและปริมว่าแล้วความเชื่อในการทำแบรนด์ของพวกคุณคืออะไร คำตอบที่ตีความออกมาได้ในมุมของเราคือความแฮปปี้ของผู้คน

แมสบอกว่า “ทำด้วยแพสชั่น เราทำจากความชอบ ทำแบรนด์ด้วยการสนุกและเอนจอยไปกับมัน เวลาวาดงานออกมาต้องเป็นลายเส้น เป็นแบบที่เราชอบจริงๆ ที่จะปล่อยออกมา ถ้าเราไม่ชอบเราจะทำจนกว่าที่จะโอเค เพราะเราทำในฝั่งมาร์เก็ตติ้งด้วย บางทีต้องไปพรีเซนต์ เราก็อยากพราวด์ไปกับมันจริงๆ”

ขณะที่คำตอบของปริมคือ ‘การทำแบรนด์แล้วลูกค้าใช้แล้วรู้สึกมีความสุข และจดจำแบรนด์ของเราได้’

“เอาจริงๆ ต้นทุนเราสูงมาก เพราะทุกดีเทลเราทำใหม่หมดเลย และเราเป็นร้านเล็ก ที่ครั้งนึงเราทำไม่ได้เยอะมาก เราทำหลักร้อยชิ้น แม้ต้นทุนที่แพง เแต่เราคำนวณราคาที่เราแฮปปี้ และคิดว่าลูกค้าก็แฮปปี้ด้วย แล้วสุดท้ายกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เราคือนักศึกษา เราจะขายเกินกว่านี้ไม่ได้ ตั้งแต่วันแรกที่เราขายเทียนหอมไซส์เล็กอันละ 120 บาท เรายังไม่เคยขึ้นราคาเลย แม้ต้นทุนเพิ่มขึ้นตลอดก็ตาม สำหรับเราเราก็ไม่กล้าขึ้นราคา” ปริมย้ำให้เราฟัง

และแน่นอนว่าความสุขของการเปิดร้านค้าคือการได้คุยกับผู้คน และการนั่งแพ็กสินค้ารอเอาไปจัดส่งให้กับลูกค้าที่สั่งซื้อ แต่อีกสิ่งที่เป็นความสนุกและเป็นแง่งามที่เพิ่มคุณค่าให้กับแบรนด์คือการไปคอลแล็บกับแบรนด์ต่างๆ

Summerstuff.marine เคยคอลแล็บกับแบรนด์แฟชั่นมาแล้วหลายโปรเจกต์ และโปรเจกต์ที่กำลังทำอยู่คือการไปคอลแล็บกับ hello.flashback ตู้ถ่ายรูปที่เป็นแบรนด์แรกๆ ที่ทำให้กระแสการถ่ายรูปกับตู้ออโต้แมตบูมในไทย ที่ไม่ได้ทำเล่นๆ แต่ได้หยิบยกกลิ่นของเทียนหอมที่เป็นจุดเด่นอย่างกลิ่น Movie & Pop Corn มาตีความใหม่เป็นตู้ถ่ายรูปคอนเซปต์เป็นโรงหนัง ที่ทั้งวาด illustration และออกแบบทุก element ใหม่ทั้งหมด ที่รอให้เราและลูกค้าของร้านไปลองประสบการณ์ใหม่ๆ อยู่ในตอนนี้

ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของกลิ่นหอมๆ ชวนหลงใหลของ Summerstuff.marine ที่ปริมกับแมสกำลังวาดฝันในอนาคตถัดไปว่า Summerstuff.marine ต้องการเป็นแบรนด์เครื่องหอมที่ผู้คนจะนึกถึงเป็นแบรนด์แรกๆ และเป็นที่รู้จักในต่างประเทศ ในเอเชียและยุโรปมากขึ้น

และที่สำคัญคือจะเป็นไลฟ์สไตล์แบรนด์ที่ตอนนี้ทั้งสองกำลังซุ่มทำแบรนด์ใหม่ในชื่อว่า ‘Summer Maker’ เอาลายเส้นมาทำสินค้าไลฟ์สไตล์จะมีทั้งเสื้อยืด กระเป๋า และอื่นๆ ที่กำลังรอให้เราไปสนุกกันภายในปีนี้

‘สินเชื่อเพื่อคุณ’ สินเชื่อสำหรับทุกคนเพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการชำระค่าใช้จ่ายจากธนาคารออมสิน

ในช่วงเวลาหลังวิกฤตโรคระบาดมาเยือน ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายๆ คนได้รับผลกระทบทางด้านการเงินไม่มากก็น้อย บางคนต้องออกจากงานประจำ บางคนโดนลดเงินเดือน ในขณะที่บางคนรายจ่ายมากขึ้นสวนทางกับรายได้ที่คงที่

และในช่วงเวลาเช่นนี้ สำหรับคนทำงานหลายๆ คนที่ยังเข้าข่ายผู้มีรายได้น้อย หนึ่งในอุปสรรคสำคัญอีกประการคือการเข้าถึงแหล่งเงินกู้ ไม่ว่าจะเป็นการกู้เพื่อการต่อยอดโอกาสต่างๆ หรือการกู้มาใช้ในยามจำเป็นซึ่งแต่ละคนก็มีเหตุผลต่างกันไป

นั่นเป็นช่องว่างที่ทำให้หลายคนต้องมองหาเงินกู้ทางเลือกอื่นๆ ที่อาจจะอยู่นอกระบบและดอกเบี้ยสูง จนคล้ายเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์ทางการเงินที่มีปัญหาอยู่แล้วให้หนักขึ้นกว่าเดิมและไม่อาจสลัดตัวหลุดพ้นวงจรหนี้ได้

ธนาคารออมสินซึ่งมีผลิตภัณฑ์สินเชื่อมากมายและหลากหลายสำหรับผู้ที่ต้องการเข้าถึงแหล่งทุนจึงออกสินเชื่อสำหรับผู้มีรายได้น้อยในชื่อ ‘สินเชื่อเพื่อคุณ’ 

โดยสินเชื่อนี้เป็นสินเชื่อสำหรับผู้ที่ต้องการเงินสำหรับดำรงชีพในชีวิตประจำวัน หรือต้องการเพิ่มความคล่องตัวในการชำระค่าใช้จ่ายพร้อมเงื่อนไขพิเศษดอกเบี้ยถูกและผ่อนได้นานสูงสุด 2 ปี

สำหรับ สินเชื่อเพื่อคุณ นั้นมีวงเงินกู้สูงสุด 30,000 บาท ดอกเบี้ยเป็นแบบลดต้นลดดอกร้อยละ 1.25 ต่อเดือน และมีระยะเวลาผ่อนนานสูงสุด 2 ปี โดยไม่ต้องมีหลักประกัน สำหรับผู้ที่อนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญาให้แล้วเสร็จภายใน 31 ธันวาคม 2566

ส่วนคุณสมบัติของผู้กู้ต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้

ผู้มีอาชีพอิสระ เป็นลูกค้าเดิมที่ธนาคารคัดเลือก 

– ผู้มีรายได้ประจำ อัตราเงินเดือน 8,000 บาทขึ้นไป เป็นลูกค้าเดิมที่ธนาคารคัดเลือก หรือลูกค้าใหม่ อายุไม่เกิน 57 ปี 10 เดือน ณ วันลงทะเบียน

ด้วยเงื่อนไขแสนง่ายถือเป็นโอกาสอันดีสำหรับผู้มีรายได้น้อยที่ต้องการเงินกู้มาใช้ในยามจำเป็น โดยผู้ที่สนใจสามารถสมัครผ่านทางเว็บไซต์ธนาคารออมสินหรือที่ธนาคารออมสินทุกสาขา

หากมีข้อสงสัยสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ธนาคารออมสินทุกสาขา หรือ GSB Contact Center 1115 และติดตามข่าวสารอื่นๆ ได้ที่ www.gsb.or.th หรือ Facebook: GSB Society

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด

หลัก 4P+1 ของ Youngfolks กับรองเท้าอักษรเบรลล์ที่คำนึงถึงคนเป็นหัวใจในการออกแบบ

Youngfolks เป็นแบรนด์รองเท้า made-to-order ที่ต้องสั่งทำแบบ ‘คู่ต่อคู่ คนต่อคน’ โดดเด่นด้วย ดีไซน์เก๋สีสันสะดุดตาและเรื่องราวความสัมพันธ์ของผู้คนที่ใส่รองเท้าเดินไปด้วยกันผ่านโซเชียลมีเดียของแบรนด์

เก๋–บุณยนุช วิทยสัมฤทธิ์ สานต่อกิจการรองเท้าของครอบครัวร่วมกับพี่น้อง ซ้ง–ประสงค์ วิทยสัมฤทธิ์ และ เม้ง–ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์ วันนี้เธอเป็นตัวแทนทายาทรุ่น 3 ของครอบครัวที่จะมาเล่าเรื่องราวการสร้างแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับลูกค้าและอาจารย์ช่างทำรองเท้าผู้อยู่เบื้องหลังรองเท้าทุกคู่

“เรารู้สึกว่าคนคือสิ่งสำคัญเพราะคนทำให้เกิดความสัมพันธ์ คนเราทุกคนไม่ได้เดินคนเดียว แต่เดินไปด้วยกัน เลยเป็นคีย์เวิร์ดของแบรนด์ที่เรามักพูดเสมอว่าอยากให้คนเดินไปด้วยกัน พอแบรนด์เราเติบโตมาสักพักหนึ่งแล้ว ปกติเราจะเล่าเรื่องรองเท้าผ่านความสัมพันธ์แบบพี่น้อง แฟน เพื่อน แต่เรายังไม่ได้ไปถึงความสัมพันธ์ในรูปแบบ universal design ในกลุ่มคนที่กว้างขึ้น เลยอยากพาคนหลากหลายกลุ่มไปถึงคำว่าเดินไปด้วยกันจริงๆ”

ด้วยเหตุผลนี้ Youngfolks จึงเริ่มต้นออกแบบรองเท้าอักษรเบรลล์จากการสังเกตเห็นว่าผู้บกพร่องทางสายตาก็ต้องการใส่รองเท้าแฟชั่นอย่างเท่าเทียมเหมือนคนอื่นเช่นกัน

ลูกค้าคู่แรกที่ Youngfolks ทำรองเท้าอักษรเบรลล์ให้คือคุณลุงจุ่น–บวรชัย สุวัฒนพันธุ์กุล และ ป้าอิ๋ม–อัจริยา สุวัฒนพันธุ์กุล คู่รักที่ไม่เคยบอกรักกัน ไม่ค่อยได้กอดกัน มองกันและกันไม่เห็นแต่อยู่ด้วยกันมานานกว่า 35 ปีแล้ว

เก๋บอกว่าอยากให้เรื่องราวของ Youngfolks ทำให้คนเชื่อว่าความสัมพันธ์มีคุณค่าและอยากเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจที่ทำให้แบรนด์แฟชั่นอื่นๆ หันมาสนใจคำว่า universal design มากขึ้น

Product
Shoes Designed for The Blind  

รองเท้าสำหรับคนตาบอดของ Youngfolks เกิดจากแรงบันดาลใจเมื่อเก๋ได้พูดคุยกับ จุ้ย-จิระ ชนะบริบูรณ์ชัย เจ้าของแบรนด์ ONCE เสื้อสำหรับคนตาบอดที่มีป้ายอักษรเบรลล์ให้ลูกค้าสามารถคลำแล้วระบุได้ว่าเสื้อเป็นสีอะไร ไซส์ไหน 

การคุยกับจุ้ยทำให้เก๋ได้ฟังเรื่องราวของคุณลุงจุ่นและป้าอิ๋มจนหาโอกาสไปนั่งคุยกับคุณลุงคุณป้าถึงที่บ้าน จนทำให้เก๋พบอินไซต์ที่สำคัญ

“เวลาไปวัด ถ้าเป็นคนตาดีคงถอดรองเท้าวางระเกะระกะไว้แล้วเดินเข้าไป ขากลับเดินออกมาแล้วใส่รองเท้าตัวเอง แต่สำหรับผู้บกพร่องทางสายตา พอถอดรองเท้าแล้วต้องเอารองเท้าใส่ถุงพลาสติกและถือรองเท้าไว้ เรารู้สึกว่าเขามี process ที่ต้องดูแลตัวเองมากกว่าคนทั่วไป  

“หรือแม้แต่ในบ้าน คนก็วางรองเท้าปนกัน เวลาที่ต้องคลำ ให้ลูกมาช่วยหารองเท้าก็ลำบาก ในบ้านก็เป็นจุดเริ่มต้นในการใช้ชีวิต เราเลยอยากให้เขาสบายใจและมั่นใจ รู้สึกเท่าเทียมกับคนอื่น เริ่มดูแลตัวเองได้ง่ายๆ ที่บ้านโดยหารองเท้าที่วางปนกันเจอหรือออกไปข้างนอกแล้วช่วยเหลือตัวเองได้”   

จากอินไซต์ที่สังเกตเห็นว่าคนตาบอดไม่สะดวกในการหารองเท้าทั้งในบ้านและที่สาธารณะ เลยจุดประกายให้เก๋อยากออกแบบรองเท้า Youngfolks รุ่นพิเศษ

เธอพัฒนารองเท้าอักษรเบรลล์ 2 คู่แรกที่มีชื่อคุณลุงจุ่นและคุณป้าอิ๋มอยู่ที่รองเท้า เพียงสัมผัสโดยไม่ต้องมองเห็นก็สามารถรู้ได้ว่ารองเท้านี้เป็นของใคร

ถึงแม้จะได้องค์ความรู้เกี่ยวกับอักษรเบรลล์จากแบรนด์ ONCE แต่เก๋บอกว่าเมื่อทำรองเท้าก็ต้องใช้เวลาพัฒนาเทคนิคเฉพาะในการปั๊มอักษรเบรลล์กับวัสดุหนังพอสมควรเพราะไม่เคยทำมาก่อน

“ปกติเวลาปั๊มโลโก้บนเครื่องหนัง จะเป็นการช็อตร้อนแล้วจมลงไป แต่ความยากคืออักษรเบรลล์ต้องนูนขึ้นมา ก็ต้องเวิร์กกับโรงงานที่ทำบล็อกว่าจะทำยังไงให้นูน จากปกติทำบล็อกตัวเดียวก็พัฒนาให้มีบล็อกสองตัวประกบกัน ซึ่งจะยากกว่าเพราะพอช็อตไปโดนหนังแล้วรองเท้าจะยืดออก”

นอกจากการปั๊มอักษรบนรองเท้าเพื่อแก้ปัญหาหารองเท้าไม่เจอแล้ว รองเท้ารุ่นพิเศษนี้ยังคงเอกลักษณ์ของทรงรองเท้าที่มีดีไซน์เท่ผสมความวินเทจในสไตล์ของ Youngfolks ซึ่งเก๋บอกว่าอยากแก้ปัญหาที่ตู้เสื้อผ้าของคนตาบอดมักถูกจำกัดด้วยแฟชั่นไม่กี่แบบ 

“รองเท้าสำหรับผู้บกพร่องทางสายตามักไม่มีดีไซน์เก๋ๆ เพราะพอเขามองไม่เห็น ก็ใส่อะไรก็ได้ง่ายๆ ที่ลูกหลานซื้อให้ เลยทำให้คุณลุงคุณป้าบอกว่าเป็น pain point ที่การแต่งตัวแฟชั่นของเขาค่อนข้างจำกัด ไม่มีความเป็นแฟชั่น ทำให้เวลาเดินออกไปไหนก็จะถูกคนมองว่าไม่เหมือนคนอื่น” 

สำหรับสีรองเท้าเก๋ตั้งใจให้เป็นสีดำเพราะเป็นสีเบสิกที่ใส่ไปไหนก็สุภาพ หากเป็นรองเท้าสีแดงหรือเขียว ผู้ที่มองไม่เห็นอาจหยิบผิดทำให้เวลาใส่ไปงานทางการหรืองานศพอาจเกิดความไม่เหมาะสมได้   

รายละเอียดเล็กๆ ทั้งอักษรเบรลล์ สี และดีไซน์เหล่านี้ล้วนออกแบบโดยคำนึงถึงความต้องการของคุณลุงและคุณป้าโดยเฉพาะ   

“ทุกครั้งที่ทำเสร็จจะเอารองเท้าไปให้คุณลุงคุณป้าลองสัมผัส แล้วเขาก็ช่วยพัฒนารองเท้าไปพร้อมกับเรา กว่าจะทำออกมาได้มันยาก จำความรู้สึกวันที่เขาค่อยๆ คลำหนังและอ่านชื่อของเขาได้ เขาจับแล้วก็น้ำตาคลอ บอกว่าจับรองเท้าแล้วรู้สึกว่าหนังดีจังเลย รู้สึกเท่ ดีใจที่มีรองเท้าหนังดีๆ ใส่ 

“รองเท้าทำให้เขาออกไปข้างนอกอย่างภูมิใจและมั่นใจมากขึ้น สร้างความมั่นใจและทำให้เขารู้สึกว่าเกิดความเท่าเทียม ผู้บกพร่องทางสายตาไม่ได้อยากรู้สึกน่าสงสาร สิ่งที่เขาต้องการคือความเท่าเทียมว่าฉันก็เป็นคนเหมือนเธอ สามารถลุกขึ้นมาแต่งตัวแฟชั่น มีความเปรี้ยวและไม่เชยได้”

แม้เรื่องราวรองเท้าอักษรเบรลล์ของ Yongfolks มีคนแชร์มากมายกว่าพันไลก์ในเฟซบุ๊ก แต่เก๋บอกว่าเธอยังต้องอธิบายให้คนเข้าใจอยู่ว่าทำไมการออกแบบโดยคำนึงถึงคนหลากหลายกลุ่มถึงสำคัญ 

“ส่วนใหญ่คนก็แฮปปี้และเห็นด้วย แต่ก็มีคนคอมเมนต์ว่าที่จริงเอารองเท้าใส่ถุงพลาสติกก็ดีอยู่แล้ว ทำไมต้องทำให้ยุ่งยาก แต่เราอยากเป็นคนตัวเล็กๆ หนึ่งแบรนด์ที่เห็นปัญหาแล้วเราลุกขึ้นมาทำอะไรได้บ้าง ดีกว่าเห็นปัญหาแล้วไม่ลุกขึ้นมาทำอะไรเลย อย่างน้อยเวลาวางรองเท้าปนกันที่บ้าน เขาก็หยิบขึ้นมาใส่ได้”  

Price & Place 
Made-to-Order Business Model 

ก่อนจะออกแบบรองเท้าอักษรเบรลล์ เก๋เล่าว่าในรุ่นของทายาทรุ่น 3 ที่มีเธอและพี่น้องรวม 3 คน ได้เปลี่ยนโมเดลธุรกิจของ Youngfolks จากการรับผลิตรองเท้า OEM ในรุ่นของอากงและอาป๊าเป็นการทำรองเท้าแบบ made-to-order ภายใต้ชื่อแบรนด์ตัวเอง ส่งผลให้การตั้งราคารองเท้าและช่องทางการขายของธุรกิจเปลี่ยนไป 

“สมัยก่อนตอนทำ OEM เราผลิตและขายให้ลูกค้าในราคาไม่แพง แต่ด้วยความที่พอแบรนด์ต่างๆ นำไปขายต่อในตลาดต่างแล้วมักบวก margin เพิ่ม 3-4 เท่า ทำให้รองเท้ามีราคาแพง เรารู้สึกว่ามีลูกค้าหลายคนที่อยากได้รองเท้าสวยและคุณภาพดีในราคาที่สมเหตุสมผล ทำไมเราไม่ลุกขึ้นมาทำรองเท้าแบรนด์ตัวเองให้ลูกค้าเข้าถึงรองเท้าดีไซน์สวยได้ง่ายขึ้น”  

จุดเริ่มต้นของแบรนด์ที่ไม่ได้อยากขายแพงทำให้เปลี่ยนจากการผลิตระบบ mass production มาเป็นระบบการสั่งทำพิเศษ รองเท้าแต่ละคู่จะมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนกันเพื่อตอบโจทย์ตามความต้องการเฉพาะของลูกค้าแต่ละคน

ไม่ว่าจะคนที่มีปัญหาเท้าซ้ายและขวามีขนาดไม่เท่ากัน คนที่ต้องการเบอร์รองเท้าไซส์กึ่งกลางที่หาที่ไหนไม่ได้อย่างเบอร์ 37.5 คนที่มีเท้าอ้วนและต้องการระเบิดหน้ารองเท้าให้ใหญ่กว่าปกติ หรือคนที่อยากสั่งทำรองเท้าสีพิเศษ อยากจับคู่สีที่ไม่เหมือนใคร หรือเลือกหลายสีในคู่เดียวก็สามารถสั่งทำได้ รวมถึงรองเท้าอักษรเบรลล์ก็รับทำแบบ made-to -order ด้วยเช่นกันเพราะต้องสลักชื่อของเจ้าของแต่ละคนลงไป 

ราคาตั้งต้นของรองเท้า Youngfolks สตาร์ทที่ 2,800 บาท ตั้งราคาขายอย่างสมเหตุสมผลในราคาที่ลูกค้ารับได้และอาจารย์ช่างผู้ทำรองเท้าอยู่ได้ โดยเน้นขายสินค้า made-to-order เป็นหลักที่ 3 ช่องทางคือ ออนไลน์ งานป๊อปอัพตามอีเวนต์และงานแฟร์ต่างๆ และหน้าร้านที่ห้างสรรพสินค้าพารากอนซึ่งมีสต็อกในจำนวนจำกัดเท่านั้น

“การสั่งตัดรองเท้าออนไลน์อาจฟังดูยาก แต่คนก็สั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์กันเยอะ เราใช้ประสบการณ์ในการดูแลลูกค้า ต้องคุยและเช็กไซส์รองเท้าอย่างละเอียด ถ่ายรูป วัดความยาวเท้าและแนะนำลูกค้า คุยจนทำให้ลูกค้าไว้ใจเรา เกิดเป็นคอมมิวนิตี้ของเรา มันคือความใส่ใจที่อยากให้เขาใส่รองเท้าแล้วเดินไปด้วยกันกับเรานานๆ”  

การเลือกใช้โมเดล made-to-order ทำให้ Youngfolks ไม่เก็บสต็อกรองเท้าไว้เยอะเพราะเน้นออร์เดอร์ที่สั่งทำใหม่มากกว่า 

“สมัยก่อนตอนทำ OEM ที่ผลิตเยอะและขายออกไปเยอะ ลูกค้าก็มีสิทธิ์ในการเลือกสต็อก ถ้าไม่สวยก็เปลี่ยนเอาอีกคู่ มันเลยส่งผลให้เกิดเป็นวัฏจักร sale ของหลายแบรนด์ ที่พอมีสต็อกเยอะก็เกิดการโละสต็อก แต่พอเป็น made-to -order ก็แทบไม่ต้อง sale รองเท้าใหม่เลย จะลดราคาเฉพาะรองเท้าที่เป็น sample ซึ่งลองเทสต์ใส่ตอนถ่ายแบบแล้วเท่านั้น เราก็จะบอกลูกค้าเสมอว่าคู่ไหนเป็นรองเท้าที่ถูกเอาไปใช้งานแล้ว ซึ่งทุกคู่เราทำความสะอาดและเข้าหุ่นให้เรียบร้อย มั่นใจว่าไม่มีรองเท้าสภาพเยินที่เอามาขาย” 

ข้อดีของรองเท้า made-to-order คือหากผลิตมาแล้วใส่ไม่พอดี ก็จะปรับแก้ใหม่และนำคู่ที่ใส่ไม่ได้ไปเป็นคู่โชว์ให้ลูกค้าคนอื่นลองได้และมีบริการซ่อมหลังการขายตลอดชีวิต รับซ่อมในสิ่งที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรงอย่างส้นตึกที่สึกเมื่อใส่ไปนาน ทำให้ลดการเกิดรองเท้าคู่ที่ไม่มีเจ้าของแล้วกลายเป็นขยะ 

รวมถึงทำให้รองเท้าที่ผลิตมาทุกคู่เป็นรองเท้าที่คนต้องการจริงๆ ผู้คนตั้งตารอเวลาออกงานแฟร์เพราะจำนวนรองเท้าที่มีจำกัด สินค้ามีมูลค่าโดยไม่ต้องใช้กลยุทธ์การลดราคา 

Promotion
Stories of Walking Together

สิ่งที่คนจดจำ Youngfolks ได้คือเรื่องเล่าเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนใส่รองเท้า ซึ่งเก๋บอกว่าไอเดียมาจากการระดมไอเดียของสามพี่น้องในครอบครัว และได้ความถนัดของเม้งที่ทำงานเอเจนซีโฆษณามาช่วยให้การเล่าเรื่องของ Youngfolks ไม่เหมือนแบรนด์อื่น

“ตอนแรกก็มีความคิดเหมือนคนอื่นว่าจะไปจ้างนายแบบหรือนางแบบถ่ายรูป แต่ก็คิดว่าถ้าเราทำอย่างนั้นจะเป็นแบรนด์รองเท้าที่ไม่ได้จริงใจกับลูกค้า เวลาที่เราซึ่งเป็นผู้บริโภคเห็นนายแบบนางแบบใส่รองเท้าก็จะรู้สึกว่าสวย แต่ที่จริงเวลาคนทั่วไปใส่อาจจะไม่ได้สวยเหมือนเขา เราสามคนพี่น้องและป๊าม๊าเลยชวนมาถ่ายแบบกันเอง ชีวิตจริงจะมีสักกี่คนที่น่องเรียว แต่ขาอ้วนเตี้ย สั้น ขาใหญ่ ใส่รองเท้ามาแล้วก็จะเป็นภาพจริงแบบนี้ มันคือชีวิตจริงของคนทั่วไป”

ภาพแฟชั่นที่ออกมาเป็นภาพการใส่รองเท้าที่อบอุ่นของคนในครอบครัว แสดงให้เห็นว่าพ่อใส่ก็เท่ พี่สะใภ้ใส่ก็เปรี้ยว และพัฒนาเป็นคอนเซปต์ของแบรนด์ที่เล่าเรื่องความสัมพันธ์อย่างจริงใจ พูดถึงความสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ ที่ใส่รองเท้า Youngfolks แล้วเดินไปด้วยกัน

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของคู่รักหญิงรักหญิงที่อยากใช้ชีวิตด้วยกัน โมเมนต์ที่น่าจดจำของคู่รักที่แต่งงานกับแฟนคนแรกสมัยเรียน ความทรงจำของครอบครัวที่ไม่เคยพูดคำว่ารักแต่ก็อยู่ด้วยกันมายาวนาน เรื่องเล่าเหล่านี้มีภาพประกอบแฟชั่นเป็นรองเท้าที่ลูกค้าทุกคนใส่เดินเคียงข้างกันในชีวิตจริง  

“รองเท้าเราไม่ได้แค่ส่งมอบรองเท้าให้ลูกค้าแต่ส่งมอบเรื่องเล่าในความสัมพันธ์ บางคนอาจจะลืมแง่มุมที่ดีของความรัก ความสัมพันธ์ที่ดีแบบนี้ไป youngfolks story เลยกลายเป็นธรรมเนียมของแบรนด์เราที่ลูกค้ารออ่านเสมอ”

เก๋บอกว่าเรื่องราวความสัมพันธ์ที่หลากหลายของแต่ละคนยังเป็นแรงบันดาลใจให้ใครอีกหลายคนรวมทั้งครอบครัวของเธอเองที่ได้หันกลับมาสร้างความสัมพันธ์กับคนในบ้าน

“แม้กระทั่งความสัมพันธ์ในครอบครัวเราเอง พอทำ Youngfolks แล้วก็ได้คุยกันมากขึ้น เจอกันบ่อยขึ้นและแก้ปัญหาด้วยกัน มันคือสีสันของการใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน” 

ด้วยการใช้ storytelling เหล่านี้ทำให้ Youngfolks กลายเป็นแบรนด์ที่เข้าถึงง่าย ลูกค้าติดตามเรื่องราวและติดตามกิจกรรมของแบรนด์เวลาไปออกงานอีเวนต์ต่างๆ

“เวลาเราไปเปิดร้านป๊อปอัพที่ไหนก็จะอบอุ่นเสมอ ลูกค้ามาหาเราเหมือนเป็นคนในครอบครัว ยิ่งเรามีช็อปหน้าร้านและขยันขายแบบป๊อปอัพก็สร้างส่วนร่วมกับคนโดยไม่รู้ตัว ทำให้แบรนด์รองเท้าของเราได้โตไปพร้อมกับลูกค้าและเดินไปด้วยกันอย่างแข็งแรงจริงๆ”  

People
Human-Centered Design

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า P สุดท้ายของ Youngfolks คือคำว่า People 

‘คน’ ที่เป็นศูนย์กลางในการออกแบบสินค้าและเรื่องเล่าความสัมพันธ์ที่น่าประทับใจ ไม่เฉพาะลูกค้าเท่านั้นที่สำคัญ แต่ช่างฝีมือผู้ทำรองเท้า หรือที่ Youngfolks เรียกว่า ‘อาจารย์ช่าง’ ก็เป็นคนสำคัญที่เก๋อยากพาเดินไปด้วยกัน  

เธอบอกว่าการกล้าเปลี่ยนโมเดลธุรกิจไม่เพียงทำให้สามารถออกแบบรองเท้าที่แตกต่างและตอบโจทย์ลูกค้าได้ แต่ยังเติมเต็มแพสชั่นในการทำรองเท้าของอาจารย์ช่างด้วย

“ถ้าเราลุกขึ้นมาสานต่อและยังทำแบบเดิม เก๋ไม่เชื่อว่าผลลัพธ์จะได้เหมือนเดิม ทำยังไงให้สิ่งที่มีอยู่ยังอยู่ได้และคนเห็นคุณค่าของมัน ทำยังไงให้แม้กระทั่งคนที่เป็นบุคลากรตั้งแต่ต้นน้ำของเราได้ภูมิใจที่เขาเป็นอาจารย์ช่างฝีมือและรู้สึกถึงคุณค่าของสิ่งที่เขาทำอยู่”  

“พอรองเท้าคู่หนึ่งมีความสำคัญสำหรับคนที่รออยู่เพื่อเอาไปใช้ในวันสำคัญ มันทำให้มายด์เซตของคนต้นน้ำเปลี่ยนไป แต่ก่อนเวลาทำรองเท้าแบบเดิมเยอะๆ ก็อาจเกิดความชินชา พอเราลุกขึ้นมาเปลี่ยนระบบว่าต้องสั่งทำเท่านั้น อาจารย์ทุกคนจะทำรองเท้าอย่างตั้งใจมาก เพราะเวลาเปิดใบสั่งมันจะระบุชื่อเลยว่าคู่นี้มีเจ้าของแล้วโดยคุณคนนี้ เป็นรองเท้าที่คุณ ก หรือ ข สั่งทำ ไม่ใช่พอทำแล้วมีสิทธิ์โละสต็อกเหมือนสมัยก่อน” 

นอกจากนี้คอมมิวนิตี้ของ Youngfolks ยังรวมถึงการร่วมมือกับโรงงานและแบรนด์อื่นๆ ในการผลิตสินค้ามีดีไซน์โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมอีกด้วย “เก๋เชื่อว่าในการก้าวเดินไปของคนคนหนึ่งไม่สามารถเดินไปคนเดียวได้ มันต้องเดินไปโดยมีคนอยู่ข้างๆ ซึ่งการจะเดินไปด้วยกันได้ก็ต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม”

เก๋ร่วมมือกับพาร์ตเนอร์อย่างโรงงานฟอกหนังที่มี deadstock และแบรนด์อย่าง SC GRAND ที่เอาขยะจากเศษผ้ามาปั่นกลายเป็นเส้นด้าย นำมาทำสินค้าหลากหลายทั้งรองเท้าหนังแก้วจาก deadstock และส่วนประกอบในรองเท้าอย่างซับในไปจนถึงสินค้าไลฟ์สไตล์อย่างหมวก 

เธอมองว่าการสั่งทำรองเท้า made-to-order ที่ลูกค้าส่วนใหญ่ต้องรอสินค้าเป็นโมเดลที่เป็นกบฏกับวงการรองเท้าหรือวงการแฟชั่น และอยากให้คนเข้าใจว่าทำไมการสั่งทำรองเท้า Youngfolks ถึงต้องรอ เพราะกว่าจะออกมาเป็นรองเท้าหนึ่งคู่นั้นมีบทสนทนาเบื้องหลังมากมายอย่างการที่เก๋ได้นั่งคุยกับคุณลุงจุ่นและคุณป้าอิ๋มจนออกมาเป็นรองเท้าอักษรเบรลล์

“พอลูกค้าสั่งทำรองเท้า personalize ได้ ลูกค้าก็เป็นคนกำหนดโมเดลของแบรนด์เราด้วยซ้ำ ดีไซน์ทุกคอลเลกชั่นเติบโตมาจากไอเดียลูกค้าหมดเลย อย่างรองเท้าที่มีหลายสีทั้งฟ้า เทา เหลือง ในคู่เดียวก็มาจากไอเดียของลูกค้าที่ชอบสีเยอะๆ รองเท้ารุ่นที่มีสีขาวครึ่งหนึ่งดำครึ่งหนึ่งก็มาจากลูกค้าที่เลือกสีไม่ถูก หรือรุ่นที่เป็นรองเท้า 3 in 1 ที่สามารถถอดสายเข็มขัดรองเท้าออกเองได้สำหรับใส่ได้หลายโอกาสก็มาจากความต้องการของลูกค้า”  

“ไอเดียลูกค้าทำให้สินค้าของเราเติบโตและตอบโจทย์กับความต้องการของเขาได้จริงๆ” 

‘Cleanfluencer’ อินฟลูเอนเซอร์สายทำความสะอาดที่กำลังมาแรงในต่างประเทศ 

เมื่อการทำความสะอาดบ้านไม่เพียงแต่ส่งผลต่อสิ่งที่ตาเห็น อย่างการทำให้ข้าวของมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยมากขึ้นหรือทำให้บ้านสะอาดมากกว่าเดิม แต่ยังส่งผลไปถึงจิตใจภายในที่ทำให้เจ้าของบ้านรู้สึกสงบ มีสมาธิที่ดีขึ้น เพราะสิ่งแวดล้อมภายนอกส่งนั้นผลต่อจิตใจภายในของมนุษย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

สะท้อนได้จากคำพูดของ Danielle Roeske (ดาเนียล โรสเก) นักจิตวิทยาและรองประธานฝ่ายบริการของ Newport Healthcare บริษัทให้คำปรึกษาด้านสภาวะจิตใจกับผู้คนในอเมริกา ที่บอกว่า “เมื่อโครงสร้างสภาพแวดล้อมภายนอกมีความเป็นระเบียบ มันสามารถช่วยให้เรารู้สึกสามารถจัดการสภาวะความรู้สึกภายในและโลกบางส่วนได้มากขึ้น” และการจัดบ้านก็ยังทำให้เอ็นโดรฟินซึ่งเป็นสารแห่งความสุขในร่างกายหลั่งออกมาได้ไม่ต่างจากการออกกำลังกาย

แต่ด้วยภารกิจที่ติดพัน เพียงแค่การทำงานในแต่ละวันก็ทำให้หลายคนหมดพลังแล้ว หรือหากมีเวลาพักผ่อนก็อยากจะเอนตัวลงโซฟาเพื่อเล่นมือถือไม่ก็ดูซีรีส์มากกว่าการลุกไปจัดระเบียบบ้าน คำว่า ‘Cleanfluencer’ จึงถือกำเนิดขึ้น

Cleanfluencer มาจากสองคำประกอบกัน คือคำว่า clean และคำว่า influencer ซึ่งหมายถึงเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ที่เน้นการทำคอนเทนต์แนวจัดระเบียบหรือทำความสะอาดบ้าน เมื่อยังไม่มีเวลาจัดบ้านเอง การได้ดูคลิปที่เปลี่ยนห้องรกๆ ข้าวของที่ดูสกปรกให้กลายเป็นภาพที่สะอาดตา ก็ช่วยทำให้เกิดความผ่อนคลายได้เช่นกัน 

 โดยหากวัดจาก Google Trend คำว่า Cleanfluencer เริ่มได้รับความสนใจจากผู้คนมากขึ้นเรื่อยๆ มาตั้งแต่ปี 2018 กระทั่งเมื่อเกิดการระบาดของโควิดในปี 2019 ที่ผู้คนอยู่บ้านกันมากขึ้น ก็ยิ่งทำให้คำว่า Cleanfluencer ได้รับความสนใจมากกว่าเดิมไปอีก โดยคำนี้เป็นที่นิยมอย่างมากโดยเฉพาะกับในอังกฤษ อเมริกา ออสเตรเลีย และแคนาดา

หนึ่งใน Cleanfluencer ที่โด่งดังเป็นอย่างมากคือ Sophie Hinchliffe หรือที่หลายคนเรียกกันติดปากว่า Mrs. Hinch ในอดีต Sophie Hinchliffe เคยมีอาชีพเป็นช่างทำผมพาร์ตไทม์ ก่อนที่จะมาสร้างอินสตาแกรมโดยใช้ชื่อบัญชีว่า @mrshinchhome ด้วยคลิปการทำความสะอาดที่ดูเพลินแถมยังมีหลายๆ ทริคที่ทำให้คนดูเอาไปทำตามได้ จึงทำให้ปัจจุบันอินสตาแกรมของเธอมีจำนวนผู้ติดตามกว่า 4.6 ล้านบัญชี และความนิยมของ Mrs. Hinch ก็ทำให้เคยมีรายงานออกมาว่าในเดือนเมษายนปี 2022 เธอมีรายได้ที่มาจากการโฆษณาในอินสตาแกรม รวมถึงค่าตัวที่ไปออกงานต่างๆ และรายได้ที่มาจากการขายหนังสือ รวมๆ แล้วกว่า 2.1 ล้านปอนด์เลยทีเดียว

Cleanfluencer อีกคนหนึ่งที่น่าสนใจคือ Auri Katariina ที่มีจำนวน Subscriber ในยูทูบกว่า 2.25 ล้าน โดยเธอจะรับทำความสะอาดให้กับคนที่มาติดตามเธอแบบฟรีๆ ซึ่งเมื่อเห็นบ้านแต่ละหลังที่เธอไปทำความสะอาดให้ล้วนแต่เป็น ‘งานใหญ่’ ชนิดที่ว่าแม้เจ้าของบ้านจะจ่ายเงินจ้างมาทำความสะอาดบางคนก็ยังต้องชั่งใจอยู่ไม่น้อย 

ซึ่ง Auri Katariina ก็เคยเล่าเอาไว้ในช่องของเธอ ว่าเหตุผลที่ทำให้เธอเลือกที่จะทำความสะอาดให้กับผู้คนแบบฟรีๆ เพราะเธอชอบเวลาเห็นสิ่งสกปรกถูกกำจัดออกไป และเจ้าของบ้านหลายหลังที่เธอไปทำความสะอาดให้ก็มักจะเป็นคนที่มีปัญหาทางด้านจิตใจ เธอจึงอยากเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยผู้คนผ่านวิธีที่เธอถนัด นั่นคือการทำความสะอาดบ้านนั่นเอง 

สำหรับในไทยก็มีเคสที่คล้ายๆ กับ Auri Katariina เช่นกัน ซึ่งก็คือเพจ ‘แมวบิน นักจัดระเบียบบ้าน’ ที่รับจ้างจัดระเบียบบ้าน รวมถึงจัดบ้านให้ผู้ป่วยจิตเวช ผู้สูงอายุ คนที่เป็นซึมเศร้า หรือคนที่เป็นโรคสะสมของ จนการรับจัดบ้านของพวกเขาได้กลายมาเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้ในช่วงหนึ่งเกิดกระแส จนทำให้หลายคนลุกขึ้นมาจัดบ้านตามเพจแมวบินเช่นกัน และคิวการรับจัดบ้านของเพจแมวบินก็เต็มล่วงหน้าไปหลายเดือนแล้ว

ในวันที่บ้านเรามีอินฟลูเอนเซอร์ ทั้งที่เป็นสายกิน สายท่องเที่ยว สายแฟชั่น หรือสายบิวตี้ จำนวนมากมาย และมีหลายเพจหลายช่อง จนยากที่อินฟลูเอนเซอร์รายใหม่ๆ จะเข้ามาอยู่ในการรับรู้และการจดจำของผู้คนได้

ทว่า Cleanfluencer ยังมีจำนวนไม่มากนัก เมื่อเทียบกับอินฟลูเอนเซอร์แนวอื่นๆ ที่มาก่อนกาล ซึ่งกวาด eye ball และฟอลโลเวอร์หลักหลายล้านไปก่อนหน้าแล้ว 

Cleanfluencer จึงเป็นอีกธุรกิจที่น่าสนใจ ที่ยังมีพื้นที่ว่าง ‘ที่กว้างพอ’ ที่จะทำให้อินฟลูเอนเซอร์หน้าใหม่เกิดและดังขึ้นมาได้ในช่วงเวลานี้ 

อ้างอิง

อาหารที่สะท้อนตัวตนผู้นำทั่วโลก ตั้งแต่สหรัฐอเมริกา รัสเซีย ฝรั่งเศส อังกฤษ จนถึงไทย

ท่ามกลางบรรยากาศการเมืองที่กำลังร้อนแรงกับการเลือกตั้งที่เพิ่งเสร็จสิ้นลงเมื่อวาน เราได้เห็นปรากฏการณ์ที่หลากหลายเพจ แบรนด์ และอินฟลูเอนเซอร์ ต่างพากันแสดงออกถึงอารมณ์ร่วมที่มีต่อการเลือกตั้งครั้งนี้ 

ในวาระที่ประเทศไทยกำลังจะได้ผู้นำคนใหม่ และรอลุ้นผลการจัดตั้งรัฐบาลโดยแน่ชัด ‘Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว’ อยากชวนคุยถึงผู้นำในมิติของอาหาร โดยหยิบเอาเรื่องราวเกี่ยวกับอาหารโปรดปรานของผู้นำแต่ละประเทศมาเล่าว่ามื้ออาหารของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้นำของประเทศเขากินอะไรกันบ้าง 

แล้วอาหารเหล่านั้นบ่งบอกและแสดงถึงตัวตนของแต่ละประเทศนั้นๆ หรือไม่ หรือเป็นอาหารที่แสดงถึงบุคลิกส่วนตัวของผู้นำแต่ละคนยังไง

เริ่มกันที่ประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐอเมริกาอย่าง โจ ไบเดน จากพื้นเพที่เติบโตมาจากครอบครัวคนทำงานที่คุณพ่อเคยขายรถยนต์มือสองทำให้โจเคยชินกับการทำงานหนัก และคุ้นชินกับวิถีการใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย สังเกตได้ตั้งแต่ตอนที่ดำรงตำแหน่งวุฒิสภา โจอาศัยการนั่งรถไฟจากเดลาแวร์ไปวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อเข้าทำงานในออฟฟิศเสมือนกับพนักงานที่ทำงานออฟฟิศคนอื่นทั่วไป

อาจจะเพราะนิสัยติดดินและชอบความเรียบง่ายของโจ เมนูอาหารจานโปรดของโจคือ ของที่ทำกินได้ง่ายๆ อย่างพาสต้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเส้นแองเจิลแฮร์ ถ้ามีเพียงแค่พาสต้าแองเจิลแฮร์กับซอสมะเขือเทศและมีตบอลโจก็สามารถเอนจอยอาหารมื้อนั้นได้อย่างสบายๆ แล้ว

สื่ออย่าง Health Digest เคยลองวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่โจชอบกินพาสต้า นอกเหนือจากนิสัยส่วนตัวที่ชอบอะไรที่เรียบง่ายไม่ซับซ้อน ก็อาจจะเกิดจากการที่รากเหง้าพื้นเพของจิล ไบเดน ภรรยาของโจมีพื้นฐานบรรพบุรุษมาจากซิซิลี อิตาลี ทำให้ทักษะในการทำอาหารอิตาเลียน หรือถ้าเป็นสำนวนไทยเราคงจะเรียกว่า เสน่ห์ปลายจวักของจิลทำให้สามีผู้ซึ่งเป็นบุรุษหมายเลข 1 ของโลก ติดใจในพาสต้าก็เป็นได้

นอกเหนือจากพาสต้าโจชื่นชอบทั้งขนมและเครื่องดื่มสัญชาติอเมริกัน อย่างเครื่องดื่ม Gatorade รสส้ม The Washington Post เคยรายงานไว้ว่า โจชื่นชอบเครื่องดื่ม Gatorade รสส้ม (Gatorade เป็นแบรนด์ย่อยภายใต้บริษัทเครื่องดื่มยักษ์ใหญ่ของอเมริกา PepsiCo) ซึ่งนั่นอาจจะเป็นเพราะว่ากิจวัตรประจำวันของโจจะเริ่มด้วยการออกกำลังกายทุกวันในตอนเช้า โจจะพบกับเทรนเนอร์เพื่ออกกำลังฟิตร่างกาย ก่อนที่วันทั้งวันตารางงานของโจจะอัดแน่นไปด้วยการประชุมต่างๆ

ส่วนของหวานที่โจชื่นชอบเป็นพิเศษจนถึงขนาดต้องบอกให้ลูกน้องในทำเนียบขาวต้องมีสต็อกติดตู้เย็นในออฟฟิศไว้ตลอดก็คือ ไอศรีมวานิลลาช็อกโกแลตชิปของ Häagen-Dazs และไม่ใช่เพียงแค่ที่ทำงานเท่านั้นที่โจชอบให้มีไอศครีมติดตู้เย็นไว้ ที่บ้านก็เช่นกัน โดยลูกๆ ของโจเคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า โจชอบกินไอศครีมมาก ส่วนใหญ่จะเป็นรสวานิลลาหรือรสช็อกโกแลตที่จะต้องมีสต็อกติดตู้เย็นที่บ้านไว้เสมอ

ส่วนประธานาธิบดีของสหรัฐฯ คนก่อนหน้านั้น โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ที่ออกมาปราศรัยหรือให้สัมภาษณ์เมื่อไหร่ก็ดูจะเป็นกระแสร้อนแรงทุกทีไป ด้วยความที่เป็นชายมั่งคั่งประกอบกิจการหลายอย่าง หลายคนอาจคาดการณ์ว่าทรัมป์คงชอบกินอาหารที่หรูหราตามภาพลักษณ์ที่ถูกฉาบหน้าไว้ หากเพียงแต่ว่าอาหารที่ดูจะถูกจริตกับทรัมป์มากที่สุด เพราะเรามักได้เห็นทรัมป์กินมันอยู่บ่อยๆ จากสื่อต่างๆ หรือจากสัมภาษณ์ของคนรอบตัวทรัมป์ ก็คืออาหารฟาสต์ฟู้ด

ปี 2016 ทรัมป์เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า อาหารที่เขาชอบที่สุดของแมคโดนัลด์คือ Fish Delight ซึ่งคุณอย่าเพิ่งเลิกคิ้วหลิ่วตาด้วยความแปลกใจว่า แมคโดนัลด์มีเมนูนี้เมื่อไหร่กัน ทำไมไม่เคยได้ยิน เราจะบอกคุณว่าสาเหตุที่คุณไม่คุ้นชื่อเมนูนี้เลย เพราะแมคโดนัลด์ไม่มีเมนูนี้!

ทุกสื่อต่างลงความเห็นไปในทางเดียวกันว่าทรัมป์คงจะหมายถึง Filet-O-Fish หรือเบอร์เกอร์ปลาของแมคโดนัลด์นั่นแหละ เวลาต่อมาทรัมป์ก็ทวีตรูปภาพตัวเองนั่งบนเจ็ตส่วนตัวกำลังจะกินไก่เคเอฟซีบนจานพร้อมส้อมกับมีด หรือหลังจากหาเสียงเสร็จที่ฟลอริด้าทรัมป์ก็ให้คนขับรถขับไปซื้อเบอร์เกอร์ คิงมาเลี้ยงทีมงานทั้งทีมอีกต่างหาก

มากันที่ผู้นำของอีกฟากฝั่งความเชื่อทางการปกครอง วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีของรัสเซีย ชายผู้ชื่นชอบดูหนังสายลับจนร่ำเรียนและเข้าร่วมเป็นสายลับ KGB ของรัสเซีย วิถีชีวิตประจำวันของปูตินมักไม่ถูกเปิดเผยต่อสาธารณชนหรือหากถูกเปิดเผยก็จะเป็นข้อมูลที่ถูกเลือกสรรมาแล้วว่าเผยแพร่ต่อสื่อได้ เช่น ปูตินมักจะเริ่มวันด้วยการกินมื้อเช้าในตอนเที่ยง เหตุน่าจะเป็นเพราะว่าปูตินมักทำงานจนถึงกลางดึก และปูตินไม่ค่อยดื่มแอลกอฮอลล์แต่ชื่นชอบการดื่มกาแฟสักแก้วหลังกินข้าวเช้าเสร็จ

จากสื่อทางการของรัสเซียที่ชื่อว่า Pravda เคยรายงานว่าวิสัยการกินของปูตินค่อนข้างที่จะเฮลตี้ ปูตินชอบให้มื้ออาหารของเขามีมะเขือเทศ แตงกวา และผักกาดแก้ว แต่ถึงจะมีนิสัยการกินที่เฮลตี้มากแค่ไหน และความคิดเห็นทางการเมืองจะแตกต่างกันยังไง สิ่งที่ปูตินและไบเดนมีร่วมกันคือ ทั้งสองชอบกินไอศครีมเหมือนกัน โดยรสไอศครีมที่ปูตินชื่นชอบคือรสถั่วพิสตาชิโอ

และอาหารต่างๆ ที่ปูตินจะได้รับประทานก็จะถูกทดสอบก่อนว่าอาหารสิ่งนั้นหรือจานนั้น ไม่ได้ถูกวางยาพิษมา ซึ่งถ้าคุณเป็นปูตินคุณก็อาจจะทำเช่นเดียวกันกับที่ปูตินทำนี่แหละ

ข้ามมาที่ฟากฝั่งยุโรปกันบ้าง หากพูดถึงประเทศที่มีชื่อเสียงเรื่องการครัวมากที่สุดในโลกเราคงหนีไม่พ้นที่จะต้องพูดถึงฝรั่งเศส ประเทศที่เป็นต้นกำเนิดของระบบดาวมิชลินและเป็นต้นกำเนิดของศาสตร์ในการทำอาหารฝรั่งเศสที่เผยแผ่ไกลไปทั่วโลก เอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีของฝรั่งเศสผู้ทำสถิติเป็นประธานาธิบดีฝรั่งเศสที่อายุน้อยที่สุดขณะเข้ารับตำแหน่งในปี 2017 โดยขณะที่เข้ารับตำแหน่งผู้นำประเทศมาครงมีอายุเพียง 39 ปีเท่านั้น

สื่ออย่าง Mashed เคยพยายามจำกัดความอาหารจานโปรดที่มาครงชื่นชอบโดยใช้คำเพียงสองคำเท่านั้น คือ unmistakably French แปลเป็นไทยคงทำนองว่า ‘ฝรั่งเศสจ๋า’ เพราะหัวหน้าเชฟของมาครงให้สัมภาษณ์ไว้ว่าอาหารที่จะเสิร์ฟบนโต๊ะของประธานาธิบดีฝรั่งเศสจะต้องเป็นอาหารที่ผลิตมาจากวัตถุดิบที่มาจากในประเทศเท่านั้น (ยกเว้นกาแฟ) โดยเฉพาะพวกผัก ผลไม้ และผลิตภัณฑ์นมทั้งหลายต้องเป็นมาจากฝรั่งเศสแต่ต้องไม่ขนส่งมาจากแหล่งผลิตที่ไกลเกินกว่า 100 กิโลเมตรจากปารีส สาเหตุที่คาดเดาได้ว่ามาครงจะบริโภคเฉพาะผลผลิตทางการเกษตรที่อยู่ในรัศมีเขต 100 กิโลเมตรจากปารีสเท่านั้นก็เป็นเพราะว่า เขาน่าจะต้องการทำและพูดให้ได้อย่างเต็มปากว่าเขาก็เป็นคนหนึ่งที่ใส่ใจกับเรื่องสิ่งแวดล้อม โลกร้อน และ carbon footprint

เครื่องดื่มที่มาครงในฐานะผู้นำฝรั่งเศสนิยมก็คงหนีไม่พ้น เครื่องดื่มที่ทำให้ทั่วทั้งโลกหลงรักกับมนตร์เสน่ห์ของฝรั่งเศส นั่นคือไวน์ ว่ากันว่าตู้เก็บไวน์ของประธานาธิบดีฝรั่งเศสมีไวน์มากถึง 14,000 ขวด ซึ่งเป็นไวน์ที่มาจากทั่วทั้งฝรั่งเศส โดยไวน์ขวดที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดคือไวน์ Sauternes ปี 1906 

ข้อมูลอีกส่วนที่น่าสนใจเกี่ยวกับมื้ออาหารของมาครงคือ จานที่ถูกใช้ใน Élysée Palace (สถานที่พำนักของประธานาธิบดีฝรั่งเศส) ปี 2018 บรีฌิต มาครง ภรรยาของเอ็มมานูเอล มาครงเลือกซื้อจานเซตใหม่เพื่อใช้ในที่พำนักโดยจานเซตนั้นมีมูลค่าสูงถึง 50,000 ยูโร เมื่อข่าวนี้แพร่สะพัดออกไปมาครงถูกวิจารณ์อย่างเผ็ดร้อนเกี่ยวกับการใช้เงินภาษีของประชาชนไปอย่างฟุ่มเฟือยกับข้าวของราคาแพง แต่ในความเห็นของมาครงและภรรยา ความหรูหราสวยงามของถ้วยชามที่ใช้ดื่มกินอาจเป็นส่วนหนึ่งของความฝรั่งเศสจ๋าก็เป็นได้

เมื่อพูดถึงผู้นำประเทศของอังกฤษเราอาจคิดถึงนายกรัฐมนตรีแห่งเกาะอังกฤษ แต่เมื่อพูดถึงสหราชอาณาจักร ภาพจำที่หลายคนมักนึกถึงน่าจะเป็นภาพของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 หรือที่ใครต่อใครต่างเรียกว่า ควีนเอลิซาเบธ

ชุดกระโปรงสีสันสดใส สร้อยไข่มุกและหมวกใบเก๋เป็นสิ่งที่ทั่วโลกเห็นจนชินตา เมื่อพูดถึงอาหารที่พระองค์ทรงโปรดอาจจะสังเกตได้จากกิจวัตรประจำวันของพระองค์ท่าน เช่น พระองค์มักจะดื่มชาเอิร์ลเกรย์คู่กับบิสกิตก่อนเริ่มวัน และพระกระยาหารเช้าของพระองค์มักประกอบไปด้วยซีเรียล โยเกิร์ต ขนมปังปิ้งกับแยมส้ม จากนั้นช่วงสายๆ ก่อนมื้อเที่ยงพระองค์มักจะดื่มจิน เพื่อเรียกน้ำย่อยโดยผสมกับน้ำแข็งและเลมอนฝานบางๆ 

พระกระยาหารกลางวันของพระองค์มักจะเป็นผักและปลา จากนั้นก็เป็นเวลาแห่งความรื่นรมย์ของน้ำชายามบ่ายที่พระองค์จะต้องเสวยทุกวัน นอกจากชาแล้วพระองค์ยังมีของว่างอื่น เช่น เค้ก และแซนด์วิชชิ้นเล็กๆ พอดีคำ จากนั้นก็ดื่มจินอีกรอบเพื่อเรียกน้ำย่อยก่อนถึงพระกระยาหารค่ำ ส่วนพระกระยาหารค่ำของพระองค์ก็มักจะเป็นปลาหรือเนื้อสัตว์ที่มาจากอาณาบริเวณที่พระองค์ทรงปกครองอยู่ 

ปิดท้ายกันที่ประเทศไทยดินแดนแห่งอาหารที่เราภาคภูมิใจในตัวเราเองว่าเป็นครัวของโลก พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ที่กำลังจะกลายเป็นอดีตนายกฯ มักมีซีนอาหารอยู่อย่างสม่ำเสมอเมื่อไปเยี่ยมเยือนงานใดก็ตาม เช่นตอนโชว์ทำใบเหลียงผัดไข่ที่วิทยาลัยอาชีวศึกษา ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี หรือตอนโชว์ทำผัดกุ้งจ่อมทรงเครื่องที่ตลาดพระประแดง สมุทรปราการ โดยเมนูโปรดของเขาเป็นเมนูแสนเรียบง่ายนั่นคือ ข้าวกะเพราเนื้อไข่ดาว และก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋น โดยบางครั้งบางทีจะสั่งก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋นร้านโปรดย่านนางเลิ้งมากินเมื่อมีประชุมสภา

 ไม่ว่าผู้นำของประเทศจะเป็นใครหรือจะมีแนวคิดในการปกครองและบริหารบ้านเมืองยังไง สังเกตเห็นได้ว่าจุดร่วมอย่างหนึ่งที่ทุกคนมีร่วมกัน โดยที่รู้ตัวหรืออาจจะไม่รู้ตัวคือ ความชื่นชอบในอาหารที่เป็นเอกลักษณ์สะท้อนตัวตนของบุคลิก นิสัย และอัตลักษณ์ของชาติตนเอง โจ ไบเดน ชอบดื่มเกเตอเรดซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัทเป๊ปซี่, ทรัมป์ชอบกินฟาสต์ฟู้ด สัญลักษณ์ของอาหารแห่งอเมริกันชน, มาครงนิยมการดื่มไวน์ และควีนเอลิซาเบธชื่นชอบการดื่มชา มาจนถึงผู้นำไทยที่เมนูโปรดคืออาหารบ้านๆ อย่างผัดกะเพรา

ในบรรยากาศการเลือกตั้งที่เพิ่งเสร็จสิ้นลงในบ้านเรา เราคงต้องมารอดูว่า นายกรัฐมนตรีคนต่อไปของประเทศไทยจะมีอาหารจานโปรดจานไหนเป็นอาหารประจำใจ แล้วเมนูนั้นสะท้อนตัวตนของผู้นำคนใหม่ของไทยยังไง

อ้างอิง