10 ปีของ Kafbo ที่ลับเล็บแมวกระดาษเจ้าแรกของไทยที่เชื่อว่าดีไซน์เท่านั้นที่น็อกเอฟวรี่ติง

ในยุคที่คนเลี้ยงสัตว์เป็นลูกมากขึ้นแถมเจ้าเหมียวยังครองเมือง เราในฐานะทาสแมวคนนึงสังเกตได้ว่าธุรกิจในไทยที่ตอบความต้องการของทาสแมวเริ่มผุดขึ้นไม่หยุด เรียกว่าจาก niche market เมื่อหลายสิบปีก่อน ก็เริ่มกลายเป็นเรดโอเชี่ยนที่น่าจับตามอง 

แบรนด์เสื้อผ้าแมวมีให้เลือกสารพัดเพราะไทยเราชอบประชันความน่ารักของลูกสี่ขากันอยู่แล้ว อาหารแมวก็ไม่ได้มีแค่แบรนด์เดิมๆ แต่เต็มไปด้วยแบรนด์ที่เน้นวัตถุดิบสุดพรีเมียม อาบน้ำตามร้านทั่วไปก็ไม่ได้ เพราะพ่อแม่บางคนก็อยากเห็นทุกขั้นตอน มองกลับมาที่รังแมวที่บ้าน เฟอร์นิเจอร์ใดๆ ก็ตามต้องตอบโจทย์ทั้งเรื่องความสวยงามและเจ้าเหมียวก็ต้องใช้ได้จริง

แต่ท่ามกลางแบรนด์น้องใหม่ที่เพิ่งกระโดดเข้ามาเล่นในตลาดนี้ Kafbo แบรนด์ที่ลับเล็บแมวจากกระดาษลังลูกฟูกเจ้าแรกของไทยก็ยังคงครองใจทั้งคนไทยและต่างประเทศ แม้จะเจอสารพัดปัญหารุมเร้า ทั้งการผลิตสินค้าเลียนแบบและการขายตัดราคาจากโรงงานจีน แต่คุณภาพและดีไซน์ก็ยังทำให้ Kafbo ยืนหนึ่ง

ในวันที่ Kafbo เดินทางมาถึงปีที่ 10 ‘โน้ต–ขวัญชนก อมรธนานุบาล’ ผู้ต่อยอด Kafbo จากธุรกิจครอบครัวจึงชวนพี่ปลาวาฬ พี่ปลาทอง และพี่ปลาเงิน เจ้าเหมียวคู่บุญของแบรนด์มาพูดถึงเบื้องหลังและการปรับตัวของ Kafbo เมื่อต้องอยู่รอดในเรดโอเชี่ยน

ต่อยอดธุรกิจครอบครัวด้วยแพสชั่น

หมวกใบแรกในชีวิตของโน้ตคือการเป็นลูกสาวของครอบครัวที่รับทำพาเลตกระดาษส่งให้ห้างร้านทั้งในและต่างประเทศ ส่วนหมวกอีกใบ เธอคือหญิงสาวที่หลงใหลศิลปะการทำภาพยนตร์และการถ่ายภาพ ตั้งแต่จำความได้ เธอไม่เคยสนใจธุรกิจของครอบครัว ความฝันเดียวที่มีคือการได้เป็นช่างภาพตามที่เรียนมา

“ปรากฏว่าชีวิตเปลี่ยน ป๊าเราเป็นมะเร็ง พี่ชายและเราเลยต้องเข้ามารับช่วงต่อ แต่เราไม่ได้ชอบกระดาษในแบบที่ป๊าทำอยู่ เราเลยไปนั่งหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตว่ามากกว่าการเป็นพาเลตกระดาษและแพ็กเกจจิ้งที่ทำกำไรได้ไม่มาก กระดาษมันทำอะไรได้อีกบ้าง 

“เราพบว่ากระดาษมันทำเป็นเฟอร์นิเจอร์ได้นะ ต่างประเทศเขาเอากระดาษมาทำเป็นเก้าอี้ โต๊ะ หรืองานโปรดักต์ดีไซน์กันเยอะเลย” โน้ตย้อนเล่า

แต่คำถามสำคัญคือโปรดักต์จากกระดาษของโน้ตจะเป็นอะไร ทำโต๊ะเก้าอี้แบบคนอื่นเขาก็ดูไม่ใช่ทาง

“เรากลับมามองว่านอกจากบ้าถ่ายรูป บ้าดูหนัง เราบ้าอะไรอีก อ๋อ เราบ้าสัตว์เลี้ยง เลยมานั่งคิดว่ากระดาษกับสัตว์เลี้ยงมันจะไปด้วยกันได้ยังไงบ้าง” 

แม้เมื่อ 10 ปีก่อนตลาดสัตว์เลี้ยงจะยังไม่บูมอย่างในปัจจุบัน แต่ความที่เด็กจบใหม่อย่างเธอใช้แพสชั่นนำทาง โน้ตจึงค่อยๆ คราฟต์ Kafbo ขึ้นทีละนิด

สินค้าที่อุดช่องว่างในตลาด

“สมัยก่อนคนไม่ได้เลี้ยงหมาแมวแบบลูกเหมือนสมัยนี้ เขามักจะเลี้ยงไว้หลังบ้านมากกว่า หลักๆ คือเพราะของใช้สัตว์สมัยนั้นมันไม่สวย” โน้ตเกริ่น

“ตอนนั้นเราเลี้ยงหมานะ ไม่ได้เลี้ยงแมว แต่ความที่เราลองทำบ้านหมาขึ้นมาแล้วมันไม่เวิร์ก เพราะเดี๋ยวหมาก็ฉี่บ้าง เล่นแรงบ้าง กัดบ้าง เราเลยหันมาลองทำโปรดักต์เกี่ยวกับแมว แล้วก็รีเสิร์ชจริงจังเลย

“เราพบว่าแต่ก่อนที่แมวอยู่ตามธรรมชาติ เค้าจะต้องลับเล็บกับเปลือกต้นไม้ พอคนเอามาเลี้ยงในบ้าน เค้าเลยต้องลับเล็บกับเฟอร์นิเจอร์เพื่อช่วยคลายความเครียดซึ่งมันเป็นอีกหนึ่ง pain point ของคนเลี้ยงแมวว่าเฟอร์นิเจอร์จะต้องเสียหาย อีกอย่างคือแมวชอบอยู่ในกล่องมาก เพราะกล่องเหมือนเป็นที่ซ่อนตัวและให้ความอบอุ่นกับเค้า เราก็เห็นแล้วว่าแมวนี่แหละเหมาะกับของที่เรามีอยู่ที่สุด”

เมื่อศึกษาพฤติกรรมแมวอย่างลงลึกชนิดที่นั่งอ่านงานวิจัยเป็นปึก โน้ตจึงตกลงกับที่บ้านว่าขอโอกาสทำในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ

“ป๊ายังด่าเลยว่าจะบ้าเหรอ จะขายได้เหรอ คือทุกคนที่บ้านสบประมาทเรามาก แต่เราเชื่อว่ามันยังไม่มีสินค้าไหนในตลาดที่ตอบโจทย์ทั้งแมวและคนเลยใช้แพสชั่นตรงนั้นมาลองทำดู”

เมื่อดึงดันจะทำ โน้ตจึงร่วมมือกับเพื่อนที่จบด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์มาช่วยคิดคอนเซปต์และตีโจทย์จากความเชื่อที่ว่าแมวมี 9 ชีวิต จนได้ออกมาเป็นคอลเลกชั่นแรกอย่าง 9lifers ที่มีที่ลับเล็บแมวรูปสัตว์ ทั้งหนู ฮิปโป กบ วาฬ วอลรัส จิ้งจอก นก หอยทาก และไก่

“ตอนนั้นเราขายที่ลับเล็บคอลเลกชั่นแรกในราคา 1,650 บาท ที่บ้านก็บอกว่าขายไม่ได้หรอกที่ลับเล็บอะไรแพงขนาดนี้ แต่เราเชื่อว่ามันเป็นงานดีไซน์ที่มีคุณค่า เลยกล้าตั้งราคานี้

“เราขนของไปแค่สิบกว่าตัวไปขายที่อีเวนต์เพจทูนหัวของบ่าว กะว่าเอาไปลองตลาดเล่นๆ แต่เชื่อมั้ยว่าขายหมดในเวลาไม่นาน แถมยังมีคนขับรถหรูๆ มาขนของเรากลับบ้านเต็มไปหมด ป๊ากับม้าเลยเห็นว่าเฮ่ย กระดาษมันเป็นได้มากกว่าแค่แพ็กเกจจิ้งจริงๆ”

นอกจากจะขายดีเป็นเทน้ำเทท่า โน้ตยังได้ออกรายการโทรทัศน์และนิตยสารมากมาย แถมยังได้รับรางวัลรดน้ำให้ใจฟูว่าสิ่งที่เธอเชื่อมั่นนั้นมาถูกทางแล้ว

ดีไซน์ที่น็อกเอฟวรี่ติง

“สโลแกนที่เรายึดถือมาจนถึงทุกวันนี้คือ Happy Home, Happy Cat หรือความสุขของแมว ความสวยของบ้าน สินค้าทุกชิ้นที่เราผลิตมาเน้นให้เจ้าของกับแมวได้มีความสุขร่วมกัน โดยที่แมวก็ได้ใช้ของเราจริงๆ ส่วนเจ้าของก็ไม่ต้องเอาของใช้แมวไปแอบหลังบ้านเพราะมันสวยและออกแบบมาดี”

ยิ่งในยุคสมัยที่คนหลงใหลการแต่งบ้านให้มินิมอลดูดี สินค้าที่ดีสำหรับโน้ตจึงคือสินค้าที่ใช้ดีไซน์นำ ซึ่งดีไซน์ที่คนเห็นก็รู้เลยว่านี่คือ Kafbo คือรูปทรงเรขาคณิตที่เข้าได้กับทุกมุมของบ้าน การันตีจากในบรรดาสัตว์ทั้ง 9 ตัว วาฬคือชิ้นที่ขายดีที่สุด ซึ่งโน้ตก็คาดเดาว่าน่าจะเพราะความเป็นเหลี่ยมมุมที่อยู่ตรงไหนของบ้านก็ได้ 

“คอลเลกชั่น Home ก็เป็นอีกคอลเลกชั่นที่ออกมา 8 ปีแล้วก็ยังขายดีเสมอ เราได้ไอเดียจาก Lego ที่ให้อิสระเจ้าของจินตนาการว่าเขาอยากต่อเฟอร์นิเจอร์ชิ้นนี้ในรูปแบบไหน แล้วแต่ละชิ้นก็ไม่ได้ตอบโจทย์แค่แมว แต่ยังใช้วางของและนั่งได้ด้วย 

“น่าแปลกใจที่ตัวที่ขายดีที่สุดของคอลเลกชั่น Home ก็ยังเป็นรูปตัว M ที่มีความเป็นเหลี่ยมมุมมากที่สุด ลูกค้าบอกว่าเท่าที่ลองใช้มาหลายชิ้น แมวชอบตัวนี้สุดๆ ส่วนอีกคอลเลกชั่นที่น่าสนใจคือ Prism ที่ทาง Carnival ก็ติดต่อมาร่วมทำเป็น Prism Black” โน้ตอธิบาย

นอกจากจะใช้ดีไซน์มาออกแบบให้สินค้าสวยและมีเอกลักษณ์ การใช้แนวคิดเรื่องโปรดักต์ดีไซน์ยังสำคัญกับการเติบโตของแบรนด์ โน้ตเล่าว่าหลังจดทะเบียนบริษัทได้ 2 ปี เธอก็มีโอกาสได้ส่ง Kafbo ไปโลดแล่นในดินแดนเหมียวนอกประเทศ

“อุปสรรคของเราคือสินค้ามันทั้งใหญ่และหนัก เพราะตอนแรกไม่ได้คิดเรื่องการส่งออกเลย คิดแค่ว่าฉันอยากทำแบบนี้ พอต้องส่งออกจริงค่าขนส่งมันสูงมากๆ จนดีลกับหลายประเทศไม่ได้สักที ทั้งที่เขาชอบของเรา เช่น คอลเลกชั่น Home ที่ฮิตมากในไทย ญี่ปุ่นเขาก็ชอบนะ แต่พอส่งไปขายที่นั่นราคามันคูณสามไปเลย”

จากบทเรียนตรงนั้น โน้ตเริ่มคิดออกแบบสินค้าที่ยังสวย คงเอกลักษณ์ความเป็นเหลี่ยมมุมของ Kafbo แต่เบากว่าและขนส่งได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นคอลเลกชั่นซาฟารี คอลเลกชั่น Cube และ Cat Train ฯลฯ ที่พับง่าย ประกอบง่าย แถมยังทำให้เหล่าทาสรู้สึกเหมือนได้ DIY ของให้เจ้านายสี่ขา เหล่านี้เองเป็นประสบการณ์ที่เธอค่อยๆ เก็บสะสมมา ช่วยให้การขยาย Kafbo ไปต่างประเทศนั้นง่ายขึ้น

แม้ปัจจุบันโรงงานจีนจะเริ่มเข้ามาตีตลาดที่ลับเล็บแมวบ้างแล้ว แถมยังขายตัดราคา แต่โน้ตยังเชื่อว่าดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ และคุณภาพของสินค้ายังคงทำให้ Kafbo เอาชนะใจกลุ่มลูกค้าได้

“บ้านเราเป็นโรงงานผลิตกระดาษอยู่แล้ว แน่นอนว่าเรามีกรรมวิธีการผลิตที่แม้จะเป็นกระดาษแต่มันแข็งแรงและทนทานมากๆ แบบที่ลูกค้าบางคนบอกว่าใช้มา 5 ปีแล้วก็ยังไม่พัง ขณะที่สินค้าจีนพังในไม่กี่เดือน นอกจากนั้น เรายังใช้กาวออร์แกนิกเพื่อความปลอดภัยของแมว ทั้งหมดนี้เราจดสิทธิบัตรมานานกว่า 10 ปี

“อีกสิ่งสำคัญคือการที่เรามีดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ เราว่ามันคือตัวตน มันคืออัตลักษณ์ ที่ทำให้เราแตกต่าง และทำให้ลูกค้าจำเราได้ ขนาดเราไปออกบูทต่างประเทศ คนยังรู้เลยว่านี่คือ Kafbo” โน้ตเล่า

จาก niche market เป็นเรดโอเชี่ยน

ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เทรนด์สัตว์เลี้ยงในไทยยังไม่บูมขนาดนี้ Kafbo ถือเป็นหนึ่งในไม่กี่แบรนด์ที่อยู่ในตลาด 

“ตอนนั้นเราได้เปรียบเพราะคู่แข่งน้อย ถึงจะไม่มีโซเชียลมีเดียแบบปัจจุบันแต่มันก็ทำให้คนจำเราได้ แล้วพอเราเริ่มก่อน เราก็มีโอกาสได้ส่งออกไปต่างประเทศก่อน รวมถึงเห็นเทรนด์ที่ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป”

เมื่อมองกลับมาในยุคนี้ที่คนหันมาเลี้ยงสัตว์เป็นลูกกันมากขึ้น ทั้งยังนิยมเลี้ยงเจ้าเหมียวมากกว่าน้องหมา ด้วยเพราะไม่ต้องใช้พื้นที่มาก ไม่ต้องพาไปทำกิจกรรม เทรนด์สัตว์เลี้ยงจึงกลายเป็นเรดโอเชี่ยนที่ใครๆ ก็กระโดดเข้ามา

“ตอนนี้ร้านเพ็ทช็อปเปิดใหม่เยอะมาก มีของแมวมากขึ้นด้วย วัยรุ่นก็เข้ามาทำธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงกันเยอะ นั่นหมายความว่ามันเป็นเทรนด์ที่จะอยู่กับเราอีกนานและตลาดมันมีอยู่จริง ไม่เหมือนสมัยก่อนที่เราทำ แต่ความน่ากลัวคือพอผู้เล่นเยอะ มันก็แอบยากที่จะทำให้ธุรกิจอยู่ได้ แน่นอนว่า Kafbo ก็ต้องปรับตัวเหมือนกัน” โน้ตสรุปเทรนด์ที่เธอเห็น

การปรับตัวของ Kafbo นั้นเน้นหนักไปที่การเพิ่มช่องทางมาร์เก็ตเพลซในประเทศไทย จากที่แต่ก่อนเน้นขายในเว็บ Etsy และ Pinkoi ให้ตลาดต่างประเทศ นอกจากนั้น Kafbo ยังต้องหมั่นอัพเดตคอนเทนต์ในโซเชียลมีเดียให้ครบ เพื่อให้เข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้ซึ่งเธอและทีมก็พยายามปั้นกันอยู่

“เราก็แก่แล้วนะ” โน้ตหัวเราะ “แต่เราก็ต้องปรับตัวเพราะทุกอย่างมันมาไวไปไว มันมีบางช่วงที่เรากดดันตัวเองว่าเราต้องปรับทุกอย่าง แม้กระทั่งดีไซน์ก็ต้องคิดเร็ว ทำเร็วให้เหมือนกับวงการแฟชั่น แต่เราพบว่ามันเหนื่อยเกินไป และพอเรากลับมาถามตัวเองว่าจริงๆ แล้วเราอยากได้ดีไซน์แบบไหน เราว่าเราอยากได้ดีไซน์ที่มันไทม์เลสเหมือนกับคอลเลกชั่นก่อนหน้าที่แม้จะผ่านมาสิบปีก็ยังไม่เชย 

“เราเลยคิดว่าธุรกิจมันต้องปรับตัวอยู่แล้ว แต่เราต้องเลือกปรับในสิ่งที่เข้ากับเรา เช่น ดูว่าของเดิมของเราเป็นแบบไหน เราลองเพิ่มสีใหม่ๆ ที่เข้ากับเทรนด์สมัยนี้มั้ย ลองทำไซส์ใหญ่ ตอบโจทย์ลูกค้าที่มีแมวตัวใหญ่ หรือถ้าจะออกคอลเลกชั่นใหม่ก็ทำปีละครั้งพอ เพราะสุดท้ายแล้วสิ่งสำคัญที่จะทำให้ Kafbo อยู่ได้คือการรักษาคุณภาพและการฟังเสียงลูกค้า” ทาสของแมวทั้ง 3 และหมาอีก 1 ยืนยันความเชื่อในการทำ Kafbo

หามุมมองใหม่ให้ธุรกิจกับแพสชั่นยังไปด้วยกันได้

อายุอานามกว่า 10 ปีของ Kafbo น่าจะเป็นเครื่องการีนตีว่าแบรนด์นี้ยืนหนึ่ง แต่โน้ตก็สารภาพกับเราตรงๆ ว่าความที่ทำมานานนี่แหละที่ทำให้เธอหมดไฟไปบ้าง

“ที่ผ่านมาเราก็มีเฟลบ้างนะ และรู้สึกดาวน์มากๆ โดยเฉพาะช่วงที่เรามีลูกจนเป็น Baby Blue ตอนนั้นไม่อยากทำอะไรเลย เคยคิดว่าจะไม่ทำต่อแล้วด้วย แต่ก็ยังไม่ได้ปิด แค่หยุดพักไปเป็นปีแบบที่ก็ยังขายบ้างแต่ไม่มีสินค้าออกใหม่ 

“จนสมองเราเริ่มโล่งขึ้น เราก็เริ่มรู้สึกว่า เฮ่ย ทำมานานขนาดนี้แล้วอะ เราจะทิ้งมันไปจริงๆ เหรอ เลยพยายามหามุมมองใหม่ๆ ให้ Kafbo ยังเดินต่อไปได้”

โน้ตกลับมาตั้งคำถามกับตัวเองอีกครั้งว่าถ้าไม่มองกระดาษเป็นแค่แพ็กเกจจิ้งแต่มองเป็นโปรดักต์ เธอจะต่อยอดความเชี่ยวชาญเรื่องกระดาษของครอบครัวด้วยดีไซน์ยังไงบ้าง เราจึงได้เห็น Kafbokiddo ของเล่นเด็กจากกระดาษลังที่ตอบโจทย์พ่อแม่ที่รักงานคราฟต์และรักษ์โลก ได้เห็น Kafbobox ที่รับทำดิสเพลย์สินค้าและแพ็กเกจจิ้งให้สารพัดแบรนด์ ตั้งแต่ดิสเพลย์แบรนด์ของใช้แมว Pethroom กล่องและชั้นวางรองเท้าแบรนด์ Youngfolks ไปจนถึงบูทกระดาษของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

“พอเริ่มตันกับกระดาษอีกรอบ เราก็หันกลับมาดูว่า Kafbo จะเป็นอะไรได้อีกบ้างที่มันยังเป็นความชอบ เป็นแพสชั่น และยังรีเลตกับแบรนด์” หลังออกบูทที่เยอรมัน โน้ตจึงได้ไอเดียทำของเล่นแมวและหมา ทั้งเพนกวินเต้นได้ ไม้ตกแมว ตุ๊กตาแคตนิป ลูกบอลสำหรับกัดที่ใช้ได้ทั้งหมาและแมว ไปจนถึงสายจูง ฯลฯ

“ตั้งแต่วันแรกที่ทำ Kafbo จนถึงวันนี้ เราเลยเชื่อว่าถ้าเราหามุมมองใหม่ให้ธุรกิจ ลองบิดว่าเราจะทำอะไรที่ช่วยส่งเสริมของเดิม ยังไงเราก็จะไปต่อได้ ที่สำคัญ ทุกอย่างจะเกิดขึ้นได้จากการที่เราได้ลองทำ ได้ลองพลาด ได้เรียนรู้ สุดท้ายสิ่งที่เราพยายามมันต้องออกดอกออกผลสักวัน 

“เพราะถ้าวันนั้นเราเชื่อคนอื่นว่ากระดาษมันเป็นได้แค่นี้ Kafbo ก็คงไม่ได้ยืนจนถึงจุดนี้” โน้ตทิ้งท้าย

What I’ve Learned
1. “เริ่มจากแพสชั่น แล้วลุยไปเลย ได้หรือไม่ได้ไม่เป็นไร ฟีดแบ็กจะดี ไม่ดีมันคือประสบการณ์ เหมือนอย่างตอนแรกที่เราไม่ได้คิดเรื่องเงิน แต่เราแค่ชอบและเชื่อในดีไซน์”
2. “เมื่อไหร่ที่ตัน ให้พยายามมองหาสิ่งใหม่ๆ ที่จะช่วยต่อยอดของเดิมได้ แล้วสุดท้ายมันก็จะไปต่อได้เอง”

VIBESLAB ธุรกิจที่จริงจังในการออกแบบกลิ่น กับวิธีการทำงานที่ผู้คนมองไม่เห็นแต่รู้สึกได้

ไม่ใช่แค่กลิ่นหอม แต่กลิ่นต้องสะท้อนตัวตนของแบรนด์

เวลาเราเดินเข้าไปตามห้าง ร้านค้า ร้านกาแฟ หรือแม้กระทั่งโรงแรม เคยสังเกตไหมว่า เรามักจะได้กลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์นั้นๆ อยู่เสมอ

บางกลิ่นหอมอบอวลชวนให้เรารู้สึกหิว และอยากซื้อขนม ในร้านกินเพิ่มอีกสักชิ้น

บางกลิ่นหอมอบอวลชวนผ่อนคลาย อยากมีกลิ่นหอมนี้ไว้ติดบ้าน หรือบางกลิ่นที่เรารู้สึกไม่ชอบ แต่ก็กลับจำกลิ่นของแบรนด์เหล่านั้นได้เป็นอย่างดี

เพราะกลิ่น คือ 1 ในประสาทสัมผัสทั้ง 5 ที่แม้เรามองไม่เห็นแต่เราสามารถรับรู้โดยไม่ต้องอาศัยการตีความและต่อตรงเข้าไปยังจิตใต้สำนึกได้ทันที

เรากำลังพูดถึง scent marketing กลยุทธ์การทำการตลาดด้วยกลิ่น ที่แบรนด์ชั้นนำหลายๆ แบรนด์ใช้กลิ่นในการดึงดูด พร้อมสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับลูกค้ามากขึ้น 

และได้ชวน ภรรธน์ ปิลันธนากุล ซีอีโอของ VIBESLAB บริษัทผู้ออกแบบกลิ่นที่อยู่เบื้องหลังกลิ่นหอมๆ ของแบรนด์มานับไม่ถ้วน ผ่านการเป็นพาร์ตเนอร์สร้างกลิ่นของแบรนด์ชั้นนำในไทยไม่ว่าจะเป็น OWNDAYS, Mercedes-Benz, Holiday Inn, Sindhorn Kempinski, AP Thai, Ananda Development, RAKxa Wellness, Tim Hortons และอีกหลากหลายแบรนด์ 

สูดหายใจแล้วมาเรียนรู้เรื่องราวของกลิ่น และ scent marketing กับวิธีการทำงานที่คนมองไม่เห็น แต่สร้างความรู้สึกให้จดจำได้ไปพร้อมๆ กัน

จุดเริ่มต้นของธุรกิจออกแบบกลิ่นที่ชื่อ VIBESLAB

ต้องบอกว่าเราเองเป็นนักการตลาดอยู่แล้ว เราเรียนจบการตลาด และการสร้างแบรนด์จาก Monash University ประเทศออสเตรเลียมา ซึ่งหนึ่งในกลยุทธ์การตลาดที่หลายแบรนด์ทั่วโลกใช้คือเรื่องของ scent marketing พอมองกลับมาในไทยเราเห็นโอกาสในเรื่องนี้เพราะคู่แข่งยังน้อยมาก แต่สิ่งที่เราจะทำนั้นเรียกว่ามัน demand over supply มีแบรนด์เชนต่างๆ มากมายทั่วประเทศ แต่บริษัทที่รับทำกลิ่นยังมีไม่มาก ฉะนั้นเราเชื่อว่าถ้าเราเริ่มทำธุรกิจตั้งแต่ต้นๆ ธุรกิจน่าจะเติบโตต่อได้ 

มีความต้องการ มีโอกาส แล้วไม่ค่อยมีคู่แข่ง อันนี้คือเหตุผลที่ทำให้เราตัดสินใจเริ่มทำธุรกิจนี้ขึ้น 

สิ่งที่เป็นองค์ประกอบถัดมาคือเราต้องมาถามตัวเองว่าเราอยากทำอะไรที่มีทั้งดีมานด์และเป็นสิ่งที่เราชอบ เพราะเอาจริงๆ เราเป็นคนค่อนข้างเรื่องเยอะ ไม่ค่อยชอบทำตามใคร คำตอบมาลงเอยที่น้ำหอม เพราะส่วนตัวเราเป็นคนชอบน้ำหอมมากอยู่แล้ว

เราจึงบินไปเรียนต่อที่สถาบันเกี่ยวกับน้ำหอมที่ฝรั่งเศสโดยเฉพาะ และลงลึกในด้าน Aromachology & Perfumery ซึ่งเป็นศาสตร์ที่เกี่ยวกับจิตวิทยากลิ่น กลิ่นส่งผลต่ออารมณ์ นิสัยของคนยังไง 

VIBESLAB จึงเกิดขึ้นในปี 2016

หากให้เรานิยามตัวเอง VIBESLAB คือ Creator of Vibes  ที่จะเพิ่มคุณค่าให้แบรนด์คุณด้วยกลิ่นเพิ่มแรงกระตุ้นอารมณ์ระดับจิตใต้สำนึกที่ออกแบบพิเศษโดยเฉพาะ

คนไทยเองก็ดูจะยังไม่ค่อยเข้าใจศาสตร์ของการใช้กลิ่นเท่าไหร่ แล้ว scent marketing มีอิมแพกต์กับผู้คนและแบรนด์ยังไง

เอาจริงๆ มันคือเรื่องของ subconscious marketing ทุกอย่างเกิดขึ้นภายใต้จึตสำนึกของคุณหมดเลย อย่าง scent marketing บางที the best way มันคือการทำให้คนไม่รู้ด้วยรึเปล่า? คุณไม่รู้ แล้วคุณเข้าใจบางอย่างด้วยตัวเอง มันคือวิธีที่ดีที่สุดในการเรียนรู้บางสิ่ง 

ถามว่าแล้วสิ่งเหล่านี้มันสร้างอิมแพกต์ยังไง เราขอเลือกคำว่า Memories เพราะกลิ่นมีอิทธิพลมากกับเรื่องการจดจำ ยกตัวอย่างเช่นหากให้คุณย้อนไปตอนคุณอายุ 6-7 ขวบ เราจะเห็นภาพเราที่แฟลชแบ็กไปในอดีตและกลิ่นมันก็จะมาด้วย  

เพราะฉะนั้นหากถามว่าเราเอากลิ่นมาสร้างประโยชน์ให้กับธุรกิจได้ยังไง คำตอบคือ เราใช้กลิ่นมาเป็นพาร์ตหนึ่งของ brand communication เพื่อสร้างประสบการณ์ความจดจำแบรนด์ที่มากขึ้นให้กับลูกค้า

จริงแบรนด์เล็กๆ ทั่วโลกไม่แค่เฉพาะในไทยยังไม่ค่อยสนใจเรื่อง scent marketing เท่าไหร่เพราะว่าหากต้องจ่ายเงินมาทำกลิ่น เขาน่าจะเลือกจ่ายเงินไปกับค่าโฆษณาบนโซเชียลเน็ตเวิร์กก่อนมากกว่า คนที่จะมาใช้บริการ scent marketing หรือมาใช้บริการ VIBESLAB คือลูกค้าที่มีเงิน ธุรกิจมีกำไรแล้ว 

แล้วกลิ่นช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองยังไง

ในบรรดาประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของมนุษย์ ทั้งรส กลิ่น เสียง หรือสัมผัส กลิ่นเป็นประสาทสัมผัสเดียวของมนุษย์ที่ไม่ต้องอาศัยการตีความและต่อตรงเข้าไปยังจิตใต้สำนึกได้ทันที เมื่อเราได้กลิ่นมันจะต่อตรงเข้าไปยังสมองในส่วนที่เรียกว่า ระบบลิมบิก (Lymbicsystem) ที่ประกอบไปด้วยอะมิกดาลา (Amygdala) ที่ทำงานเกี่ยวกับอารมณ์ และฮิปโปแคมปัส (Hippocampus) ที่ทำงานเกี่ยวเรื่องกับความทรงจำ จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมกลิ่นถึงส่งผลต่อความรู้สึกและความทรงจำของมนุษย์ได้

scent marketing ช่วยกระตุ้นยอดขายได้จริงไหม

แล้วแต่อุตสาหกรรมเลย อยู่ดีๆ คุณไม่สามารถดมกลิ่นแล้วบอกว่าคุณจะซื้อบ้าน ซื้อรถคันนี้ เพราะกลิ่นมันทำให้อยากซื้อได้ แต่คือกลิ่นมันจะช่วยอย่างพวกเชนร้านกาแฟ ร้านขนมมากๆ เพราะเมื่อเวลาเราเดินเข้าร้าน พอเราได้กลิ่นหอมเหล่านั้น กลิ่นจะช่วยกระตุ้นความรู้สึกอยากกิน อยากซื้อเพิ่มขึ้นไปอีก

เราคิดว่าจุดสำคัญของ scent marketing คือเรื่องของแบรนด์ดิ้ง มากกว่าการสร้างยอดขาย คือซัพพอร์เตอร์ ไม่ใช่ฮีโร่ แต่ช่วยให้แบรนด์และแคมเปญไปสู่กลุ่มเป้าหมายได้

VIBESLAB ไม่เอาจริงกับยอดขาย แต่ VIBESLAB เอาจริงกับการสร้างแบรนด์ การสร้างการสื่อสารของแบรนด์ผ่านกลิ่นมากกว่า

การสื่อสารผ่านกลิ่น ออกแบบสิ่งที่มองไม่เห็นนั้นทำยังไง 

แบรนด์ทุกแบรนด์มี Corporate Identity อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นสี ฟอนต์ ตัวตน กลุ่มเป้าหมายของแบรนด์เป็นแบบไหน การออกแบบสิ่งที่คนมองไม่เห็นจับต้องไม่ได้ สิ่งที่ต้องทำให้มันจับต้องได้คือ การเอาทั้งหมดที่ว่ามานี้ทั้งเรื่องของตัวตน เอกลักษณ์ของแบรนด์ มารวมกับการออกแบบตกแต่งภายใน ที่สำคัญคือต้องเข้าใจว่ากลุ่มลูกค้าของแบรนด์เหล่านั้นคือใครมาออกแบบให้เป็นกลิ่นที่แสดงความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแบรนด์นั้นๆ 

นอกจากจะรู้ดีเทลเหล่านี้แล้ว VIBESLAB ยังมีการศึกษาวิเคราะห์ brand archetype บุคลิกที่เป็นตัวตนที่แท้จริงของแบรนด์ที่เอามาปรับใช้ในการทำการตลาดที่มีทั้งหมด 12 แบบ อย่างรถเบนซ์คือ Hero, Victoria Secrect คือ Lover, Sindhorn Kempinski คือ Sage

ยกตัวอย่างเพิ่มเติมให้เราเห็นภาพเพิ่มขึ้นหน่อยได้ไหม

สมมติลูกค้าเป็นโชว์รูมรถ ลูกค้ามีโจทย์ว่าอยากได้กลิ่นที่แสดงถึงความใหม่ เราก็ออกแบบเป็นกลิ่นรถใหม่ให้  ซึ่งกลิ่นรถใหม่ที่เราออกแบบนั้นมีอิทธิพลมากกว่าแค่กลิ่นนะ อิมแพกต์ความลึกซึ้งลงไปกว่านั้นเพราะจริงๆ หากคนจะซื้อรถใหม่สักคันหนึ่ง ต้องมีความสำเร็จระดับหนึ่งก่อนถูกไหม เพราะฉะนั้นเราไม่ได้ออกแบบกลิ่นรถใหม่ แต่เราออกแบบกลิ่นความสำเร็จ แล้วกลิ่นของความสำเร็จมันจะทำให้ลูกค้ามั่นใจมากขึ้น

ซึ่งถามว่ามันช่วยขายรถได้ไหม ผมไม่คิดอย่างนั้นนะเพราะก่อนที่เขาเหล่านั้นจะเดินเข้าโชว์รูมรถ เขาเหล่านั้นต้องตัดสินใจมาแล้ว 80% พอมาเจอสิ่งแวดล้อมที่ทำให้ยิ่งมั่นใจได้จากกลิ่นที่เราเพิ่มเข้าไป มันจะทำให้กล้าตัดสินใจมากขึ้นต่างหาก

หรืออย่างร้านแว่นตา OWNDAYS ที่มีโจทย์ว่าต้องการสร้างกลิ่นที่เป็นหนึ่งเดียวกับประสบการณ์ของลูกค้าที่มาใช้บริการ เพราะจุดเด่นของร้านคือการส่งมอบแว่นให้ลูกค้าภายใน 20 นาที กลิ่นที่ออกออกมาจึงต้องมีความผ่อนคลาย มินิมอล และมีความเป็นญี่ปุ่นในเวลาเดียวกัน

แล้วคุณเคยทำกลิ่นไหนออกมาแล้วไม่เวิร์กไหม

เคย ไม่ใช่ไม่เวิร์กนะ เราทำได้ตามตรงตามโจทย์ลูกค้า แต่เราเลือกที่จะไม่ขายให้มากกว่า ลูกค้าคือร้านขายอาหารซีฟู้ด โจทย์ของลูกค้าคืออยากได้กลิ่นหอยนางรม ซึ่งเราสามารถทำให้เขาได้ ลูกค้าชอบมาก แต่เราเลือกที่จะไม่ขายให้ เพราะร้านอาหารทะเลทุกร้านมีกลิ่นคาวอยู่แล้ว การทำกลิ่นหอยนางรมเพิ่มเข้าไปอีกนั่นเท่ากับยิ่งเพิ่มกลิ่นคาวเข้าไป เรามองว่าการสร้างประสบการณ์ผ่านกลิ่น ร้านอาหารทะเลมันควรจะเป็นกลิ่นที่เฟรชสดชื่นมากกว่า 

ตั้งแต่ทำ VIBESLAB มา อุตสาหกรรมไหนดีไซน์กลิ่นยากที่สุด

ไม่มี ยากไม่ยากขึ้นอยู่กับว่าคุณดีลกับใคร ไม่ได้อยู่ที่แบรนด์ เพราะหากเราเจอแบรนด์ที่มี Corporate Identity ที่ชัดเจน แบรนด์เหล่านี้ดีไซน์ง่าย อย่างกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ดีไซน์ได้ง่ายสุดเพราะเขามีกลุ่มลูกค้า สไตล์บ้านของตัวเองชัดเจน

ส่วนในแง่เซอร์วิสการทำกับอุตสาหกรรมโรงแรมมีความยาก เพราะโรงแรมมีไฮดีมานด์ ช่วงการบริการไม่เหมือนอุตสาหกรรมอื่น

แล้ว business model ของ VIBESLAB คืออะไร

VIBESLAB ไม่ได้แค่ออกแบบกลิ่นให้กับลูกค้า ขายกลิ่นแล้วจบไป แต่มีโมเดลการทำธุรกิจแบบ Subscription ที่ตอบโจทย์ทั้งบริษัทเราเองในเรื่องรายได้ และตอบโจทย์แบรนด์ลูกค้าในแง่การบริการด้วย

เริ่มจากเข้าไปพูดคุยให้คำปรึกษากับแบรนด์ ดูตัวตนของแบรนด์ รวมไปถึงการออกแบบตกแต่งภายใน เพื่อให้สามารถออกแบบกลิ่นที่สามารถสะท้อนตัวตนของแบรนด์ได้ตรงจุดมากที่สุด ลูกค้าสามรถเลือกกลิ่นที่มีอยู่แล้ว หรือจะออกแบบใหม่เป็น signature scent ก็ได้ จุดแตกต่างอีกอย่างคือนอกจากพวกก้านไม้กระจายกลิ่นแล้ว VIBESLAB ใช้วิธีการนำตัวกระจายกลิ่นไปติดตั้งกับเครื่องปรับอากาศที่จะทำให้ได้กลิ่นที่ชัดเจนมากกว่า 

โมเดลแบบ Subscription ยังรวมไปถึงการดูแลรักษาตลอดอายุการใช้งาน และการเติมน้ำหอมแบบไม่จำกัดให้กับแบรนด์ด้วย

เราเห็นคุณมีบริการทำเสียงด้วย

ใช่ เราอยากให้ลูกค้าที่มาใช้บริการเราได้รับการบริการอย่างครบวงจร มาออกแบบกลิ่นกับ VIBESLAB แล้ว หากอยากทำเสียงสร้างบรรยากาศให้กับธุรกิจด้วยเราก็มีให้ เพราะเรามองว่า กลิ่นและเสียงคือ first impression element หรือการสร้างความประทับใจแรกที่แค่ได้ยิน และได้กลิ่นก็สามารถสร้างประสบการณ์ให้ผู้คนได้

ยกตัวอย่างร้านกาแฟที่ส่วนใหญ่ชอบใช้เพลงสไตล์แจ๊สที่ฟังแล้วผ่อนคลาย เราเห็นหลายๆ ร้านเลือกใช้เพลงประเภทนี้เยอะ การเปิดเพลงมันเป็นทริคให้กับร้านทุกอย่างนะ เพราะมนุษย์เรามี circadian cycle นาฬิกาชีวิต ที่แต่ละช่วงเวลาของระบบในร่างกายทำงานแตกต่างกัน เพราะฉะนั้นการเปิดเพลงช่วงเช้าร้านกาแฟก็จะเลือกเปิดเพลงที่มีบีตแบบชิลล์ๆ อย่างช่วงกลางวันร้านก็เปิดเพลงให้บีตเร็วขึ้น เวลากินข้าวก็จะสั้นลง ทำให้ turn over ของร้านเพิ่มขึ้น ส่วนช่วงเย็นก็จะเปิดเพลงที่มีบีตแบบสโลว์นิดนึง เพราะจะได้ให้ลูกค้าใช้เวลาในร้าน ซื้อของในร้านได้มากขึ้น

ต่อจากนี้อยากเห็น VIBESLAB ออกมาเป็นแบบไหน

อนาคตของ VIBESLAB คือการเป็นผู้ให้บริการด้าน scent marketing อย่างครบวงจร และทำงานเป็นพาร์ตเนอร์กับแบรนด์ชั้นนำในไทย พร้อมกับเติบโตต่อไปเรื่อยๆ 

นักออกแบบกลิ่นใช้น้ำหอมยี่ห้ออะไร ในโอกาสไหน
1.ใส่สูทออกงาน–TOM FORD Fucking Fabulous, TOM FORD Tuscan Leather 
2.ใส่มาออฟฟิศ–CREED Royal Water, Jo Malone Amber & Lavender
3.ใส่ไปเล่นกีฬา–VIBESLAB Bondi ICEBERG, Acqua Di Parma Colonia Intensa 
4.ใส่ออกเดต–Jean Paul Gaultier Ultra Male, MAISON FRANCIS KURKDJIAN Masculin Pluriel

คุยกับคู่รักผู้บริหารบาร์บีคิวพลาซ่า ถึงวิธีทำให้ความสัมพันธ์และธุรกิจเติบโตไปด้วยกันได้

บ่อยครั้งที่เราเห็น เป้–ชาตยา สุพรรณพงศ์ CEO และทายาทของ ‘ฟู้ดแพชชั่น’ บริษัทที่เป็นเจ้าของแบรนด์บาร์บีคิวพลาซ่า, เรดซัน และ ฌานา ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อว่าด้วยแนวคิดหรือกลยุทธ์ในการทำธุรกิจร้านอาหาร 

ไม่บ่อยครั้งนักที่เราจะเห็น ด๋อน–เรืองชาย สุพรรณพงศ์ COO หรือ Chief Operating Officer ของฟู้ดแพชชั่น ผู้เป็นเบื้องหลังคนสำคัญที่ทำหน้าที่วางระบบภายในบริษัทและในร้านอาหารมาเป็นเวลานานกว่า 10 ปี ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อ

และน้อยครั้งนักที่เราจะเห็นทั้งสองให้สัมภาษณ์พร้อมๆ กัน 

การสัมภาษณ์ครั้งนี้เป็นหนึ่งในนั้น

โดยชุดคำถามที่เราเตรียมมาพูดคุยกับทั้งสองในครั้งนี้ไม่ใช่ข้อสงสัยที่ว่าปีนี้บาร์บีคิวพลาซ่าจะเดินหน้าไปทางไหน มีสูตรการทำร้านอาหารให้ประสบความสำเร็จยังไง แต่จะมุ่งเน้นไปยังสูตรการทำงานกับคนรักที่ทำให้ธุรกิจและความสัมพันธ์ ‘เดินหน้าไปพร้อมกันได้’ 

จากเพื่อนที่อยู่กลุ่มเดียวกันมาตั้งแต่สมัย ม.4 ค่อยๆ พัฒนาความสัมพันธ์กลายมาเป็นคนรัก แต่งงานกัน จนกลายมาเป็นเพื่อนร่วมงาน และกลายมาเป็นสองคนสำคัญที่ช่วยทรานส์ฟอร์มให้ธุรกิจครอบครัวเติบโตมาจนถึงทุกวันนี้ได้

น่าสนใจยิ่งว่าพวกเขาทำได้ยังไง 

สำหรับเป้เรารู้กันเป็นอย่างดีอยู่แล้วว่าเธอคือทายาทของบาร์บีคิวพลาซ่าจึงได้มาสานต่อธุรกิจของที่บ้าน ส่วนด๋อนแม้จะเรียนตรีและโทมาทางด้านวิศวะ เมื่อเรียนจบมาก็เลือกที่จะมาช่วยทำธุรกิจที่บ้านซึ่งเป็นอาหารแปรรูปที่ใช้ชื่อแบรนด์ว่า‘ออริเชฟ’ ซึ่งเกิดมาจาก pain point สมัยที่เรียนอยู่ต่างประเทศแล้วเจอกับปัญหาที่ว่าการจะทำอาหารไทยแต่ละมื้อนั้นเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก เพราะต้องมานั่งหาส่วนผสมที่เป็นเครื่องแกงมากมาย เลยเกิดไอเดียในการทำเครื่องแกงบรรจุซองอย่างพะแนง แกงเขียวหวาน ต้มยำ แกงส้ม หรือมัสมั่น ที่สามารถฉีกซองแล้วเอามาปรุงได้ทันที โดยเป็นสินค้าที่เน้นส่งออกไปขายต่างประเทศเป็นหลัก 

หลังทำธุรกิจส่วนตัวได้ 10 ปีก็แต่งงานกับเป้ และนี่ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้พาร์ตเนอร์ในชีวิต พัฒนาความสัมพันธ์ จนได้พ่วงตำแหน่งมาเป็นพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจอย่างในปัจจุบัน 

ตอนแรกคุณด๋อนก็มีธุรกิจของตัวเองอยู่แล้ว ทำไมถึงตัดสินใจมาทำงานที่บาร์บีคิวพลาซ่า

ด๋อน : มันเริ่มมาจากตอนที่เราแต่งงานแล้ว แต่บ้านยังสร้างไม่เสร็จ ก็เลยต้องอยู่บ้านเราบ้างบ้านเป้บ้าง ซึ่งที่บ้านเป้ทั้งพ่อแม่และน้องของเขาทำงานด้วยกันอยู่แล้ว เวลากินมื้อเย็นมันก็จะมีความกึ่งๆ คุยงานกัน จากข้าวมื้อเย็นก็ลากไปถึงห้าทุ่มเที่ยงคืนกันอยู่บ่อยๆ แล้วเราเพิ่งแต่งงานมา จะให้กินข้าวเสร็จแล้วขึ้นไปดูทีวีบนห้องเลยก็คงไม่ใช่ (หัวเราะ) เลยนั่งฟังเขาคุยกัน แล้วจากนั่งอย่างเดียวหลังๆ ก็เลยเริ่มให้ความเห็นมากขึ้น ก็เป็นอย่างนี้อยู่ 3 ปี นั่งฟังจนเรารู้จักชื่อพนักงานแทบจะทุกคนแล้ว

เป้ : ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่เราตัดสินใจจะทรานส์ฟอร์มให้ธุรกิจดีขึ้น มันก็เลยมีการคุยกันเยอะมาก แล้วการทรานส์ฟอร์มธุรกิจเราทำคนเดียวไม่ได้ อย่างเป้นี่เป็นคนสายอาร์ตสุดขีด ทำงานเอเจนซีมาก่อน ก็เลยชวนน้องสาวที่เป็นสายไฟแนนซ์กับน้องชายที่จบทางด้าน Food Science มาทำด้วยกัน จากนั้นก็มาชวนด๋อนเพราะเขาเป็นคนมีความสามารถด้านวิศวะ และมาเติมเต็มสิ่งที่เรามองหาได้พอดี

โชคดีว่าตอนนั้นพี่สาวของด๋อนที่ทำงานอยู่ในบริษัทตัดสินใจจะลาออกแล้วจะกลับมาทำออริเชฟกับด๋อน พอด๋อนเห็นว่ามีคนมาช่วยดูแลธุรกิจเขาก็เลยมาทำงานกับเราได้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่โชคดี เพราะถ้าวันนั้นไม่มีพี่สาวมาดูต่อ เขาก็คงอาจจะยังไม่มาทำกับเรา

เมื่อต้องมาทำงานด้วยกัน คุณกลัวว่ามันจะกระทบต่อความสัมพันธ์ไหม

เป้ : อาจจะเพราะด้วยความที่เป็นเพื่อนกันมาก่อน สนิทกันมาก นิสัยก็เหมือนกันมาก เพื่อนก็กลุ่มเดียวกัน เลยไม่ได้กังวลเรื่องนี้ แล้ววันนั้นเราก็มองแต่เป้าหมายในการทรานส์ฟอร์มองค์กร ก็รู้สึกว่าถ้ามีคนที่มีความสามารถแถมเป็นคนที่เราไว้ใจได้มาทำงานด้วยกัน ก็คงจะสนุกดี

ด๋อน : คือปกติเราไม่เคยทะเลาะกัน อาจเพราะคิดค่อนข้างเหมือนกัน 80% มี value ในชีวิตคล้ายกัน ตัดสินใจก็ไม่หนีกันมาก แล้วเราเหมือนได้ซ้อมทำงานกับเขามา 3 ปี บนโต๊ะอาหารที่บ้านเขานั่นแหละ เวลาเราแชร์ไอเดีย ที่บ้านเขาก็รับฟัง บางอันเอาไปใช้จริงด้วย เลยคิดว่าการมาทำงานกับเขาก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร 

แล้วแบ่งหน้าที่กันยังไง

เป้ : ตอนเข้ามาแรกๆ ตำแหน่งของพวกเราคือ Assistant Managing Director เป็นเหมือนผู้ช่วยคุณพ่อ ไม่ได้มีการแบ่งฝ่าย แต่มีการแบ่งหน้าที่กันทำงานตามความถนัดของแต่ละคน น้องสาวดูไฟแนนซ์ น้องชายดู Food Science เป้ดูโอเปอเรชั่น ส่วนด๋อนก็จะดูเรื่องไอทีและโรงงาน 

จนพอปรับโครงสร้างองค์กรเป้ก็เป็น CEO ดูภาพรวม ส่วนด๋อนก็มาเป็น COO ดูเรื่อง IT, Standard ต่างๆ และสาขาหน้าร้าน

จากที่ซ้อมบนโต๊ะกินข้าว มา 3 ปี พอถึงวันทำงานจริงเป็นยังไง

ด๋อน : รู้สึกเซอร์ไพรส์ว่าทุกเรื่องที่อยู่บนโต๊ะอาหารกลายเป็นเรื่องใหญ่หมดเลย เพราะที่ผ่านมาเราอยู่กับธุรกิจ SME ที่ทำงานอยู่กับคนไม่กี่สิบคน จะทำอะไรก็ตัดสินใจได้เลย แต่กับที่นี่แม้แต่ทิชชู่ ตะเกียบ ช้อน ทุกอย่างเป็นเรื่องใหญ่ แต่ละเรื่องใช้เวลาตัดสินใจนานมาก คุยนานมาก เทสต์ก็นานมาก 

จนได้เข้าใจว่าเพราะนี่คือธุรกิจที่มีลูกค้าเป็นแสนๆ คน มีพนักงานอีกหลายพันคน การจะตัดสินใจทำอะไรแต่ละทีมันเลยต้องคิดเยอะในทุกรายละเอียด เพราะนี่คือธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับผู้คนเยอะมาก 

อีกเรื่องที่รู้สึกเซอร์ไพรส์คือทำไมพนักงานที่นี่เขารักองค์กรขนาดนี้ พี่ๆ ที่อยู่มาตั้งแต่วันแรก ผ่านไป 20 ปีเขาก็ยังอยู่ แล้วไม่ใช่อยู่แค่คนสองคน แต่เป็นร้อยๆ คน 

ส่วนในเรื่องของเนื้องานไม่ต้องเรียนรู้มาก เราสามารถทำงานได้เลยแบบไม่ต้องเล่าแบ็กกราวนด์ เวลาเข้าประชุมก็จะไม่ได้มีว่าอ๋อ เขาทำแบบนี้กันด้วยเหรอครับ เพราะเราซ้อมทำงานบนโต๊ะกินข้าวที่บ้านมา 3 ปีแล้ว

เป้ : เหมือนเขามานั่งแอบอยู่ในห้องประชุมนานแล้ว (หัวเราะ)

งานแรกที่ทำด้วยกันคืออะไร 

ด๋อน : เป็นงานวางระบบที่เรียกว่า PMS (Performance Management System) เอาไว้ใช้วัดผลงานในการทำงาน คือเมื่อก่อนระบบวัดผลงานมันไม่ได้มีประสิทธิภาพมากนัก เป็นเหมือนการให้คะแนนจิตพิสัยคล้ายครูให้คะแนนนักเรียน เราก็เลยเอาระบบเข้ามาช่วยทำให้การประเมินผลงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ยิ่งทำได้ดีก็จะยิ่งมีรางวัลให้

เป้ : เราทำงานที่บาร์บีคิวพลาซ่ามาก่อนด๋อน 5 ปี ตลอดเวลานั้นก็เริ่มเปลี่ยนอะไรหลายๆ อย่างในองค์กรให้ซึ่งส่วนใหญ่จะทำด้วยตัวเอง แต่พอมีน้องๆ กับด๋อนเข้ามาช่วย การเปลี่ยนแปลงอะไรต่างๆ มันก็เลยทำได้สนุกขึ้น มีคนมาช่วยแชร์ช่วยเบานซ์ไอเดียกัน พอคนอื่นเห็นว่าสองสามคนนี้ทำอะไรกัน ดูแล้วน่าสนุกจัง มันก็ยิ่งเป็นการสร้างอิมแพกต์เชิงบวกไปยังคนอื่นๆ ในวงกว้างมากขึ้น 

เบานซ์ไอเดียกันบ่อยไหม

เป้ : ตลอดเวลา ทั้งที่ทำงาน ที่บ้าน หรือตอนอยู่ในรถ พอเป็นเพื่อนกันมาก่อน คิดอะไรคล้ายๆ กัน มันเลยสนุกเวลาเราได้แชร์ไอเดียกับเขา หรือตอนที่เขาไม่เห็นด้วยกับไอเดียของเราก็ยิ่งสนุกไปใหญ่เพราะมันจะมีการ disscuss กันแล้วทำไอเดียเดิมที่เราคิดมาดียิ่งขึ้นไปอีก 

ด๋อน : ที่บ้านเราจะมีกระดานอยู่ ถ้าคิดอะไรได้ขึ้นมา ก็จะบอกเป้ว่าเรามีไอเดียแบบนี้ มาที่หน้ากระดานแป๊บนึง ก็แชร์ไอเดียกันบนกระดาน เติมอันนู้นเพิ่มอันนี้ คุยเสร็จแล้วก็ถ่ายรูปเก็บไว้ ถ้ามันเวิร์กก็เอาไอเดียไปขายกับคนอื่นต่อ ซึ่งการได้เบานซ์ไอเดียกับเป้ก็เป็นเรื่องที่ดี นอกจากสนุกแล้ว บางเรื่องที่เป็นเรื่องใหญ่ เป็นไอเดียที่ต้องใช้งบในการทำเยอะ แล้วต้องเข้าบอร์ดบริหาร เป้เขาก็จะเป็นเหมือนคนช่วยกลั่นกรองก่อนเอาเรื่องเข้าบอร์ดอีกทีนึง 

พอเบานซ์ไอเดียเรื่องงานกันตลอด แล้วทำยังไงไม่ให้เรื่องงานมากระทบกับเวลาส่วนตัว 

ด๋อน : กับที่บ้านแรกๆ เรามีปัญหาแบ่งเวลาไม่ได้เหมือนกันนะ คือคุยงานกันที่บ้านเยอะเกินไป จนหน้าตาน้องดูไม่แฮปปี้เท่าไหร่ ถามว่าเป็นอะไรเขาบอกว่ามันเครียด ทุกอย่างมันดูปนกันไปหมด พอเป็นแบบนี้เราก็เลยรีบเปลี่ยนกันใหม่ ไม่มีแล้วที่มานั่งกินข้าวเย็นแล้วคุยเรื่องงานจนลากไปเที่ยงคืน  

เป้ : ถ้ามีเรื่องอะไรต้องคุยหรือมีไอเดียอะไรป๊อปขึ้นมาจริงๆ เรากับที่บ้านก็จะบอกว่า โอเคงั้นเดี๋ยวจะนัดคุยเรื่องนี้กันแบบจริงๆ จังๆ นะ คุยตอนนี้ไปยังไงก็ยังไม่ได้ข้อสรุป เพราะรายละเอียดมันเยอะ ถึงจะคุยบนโต๊ะกินข้าวที่บ้านเหมือนกัน แต่จะมีการยิงนัดเหมือนเวลานัดประชุม เตรียมข้อมูลมาคุยกัน ที่สำคัญคือมีเวลาที่ชัดเจนว่าจะคุยกันกี่ชั่วโมง ไม่คุยไหลไปเรื่อยๆ 

ด๋อน : อีกอย่างคือสวมหมวกให้ถูกต้อง เมื่อก่อนเราก็แยกหมวกไม่เป็นนะ เรื่องงานเรื่องส่วนตัวปนกันมั่วไปหมด เราอยากคอมเมนต์งานน้องแต่ก็ไม่รู้จะทำดีไหมเพราะกลัวน้องเสียใจ ดังนั้นเราเองก็เลยต้องค่อยๆ ฝึกสวมหมวกให้ถูก วิธีการสวมหมวกของเราคือถ้าจะคอมเมนต์งาน เราก็จะบอกเขาเลยว่าอันนี้เราขอคุยในฐานะแมเนจเมนต์นะ ถ้าคุณคือทีมเดียวกับเรา เราต้องการสิ่งนี้จากคุณ แบบนี้เราเลยสามารถพูดได้ตรงๆ โดยที่น้องไม่เสียใจ แต่ในหมวกพี่น้องเราก็ยังรักกันอยู่เหมือนเดิม 

อันนั้นคือกับที่บ้าน แต่ถ้าส่วนตัวเรากับเป้ไม่มีปัญหาเรื่องนี้เลย เราสองคนเซียนเรื่องนี้กันมาก สามารถคุยงานกันได้ตลอด ไม่ต้องนัดเวลา ทริคส่วนตัวของเราสองคนมีแค่เคารพซึ่งกัน

เป้ : และอย่าใช้ความใกล้ชิดมองข้ามกันไป

ยังไง

เป้ : พอคนเราใกล้กันมากๆ ก็จะมีความเกรงใจให้กันน้อยกว่าเมื่อเทียบกับความเกรงใจที่มีให้คนอื่น

จริงๆ ไม่ใช่แค่กับคนรัก แต่หมายรวมไปถึงการทำงานกับคนในครอบครัวด้วยเช่นกัน ถ้าเราไม่อยากทำให้คนอื่นเสียหน้าในที่ประชุม เราก็ไม่ควรทำให้คนที่เรารักต้องเสียหน้าด้วยเช่นกัน 

ด๋อน : อย่างเวลาเป้คอมเมนต์งานเรา เขาก็จะบอกว่า “เราไม่รู้ว่าด๋อนทำไปหรือยังนะ แต่มาเตือนไว้เผื่อด๋อนลืม” แต่จะไม่มีการมาแทรกแซงหรือก้าวก่ายในขอบเขตความรับผิดชอบของเรา 

ในวันที่คิดไม่เหมือนกัน ทำยังไง

 เป้ : เราก็จะฟังเขาอธิบายว่าทำไมเขาถึงคิดแบบนี้ แล้วก็ค่อยอธิบายความเห็นในมุมมองของเราไป 

ด๋อน : มันขึ้นอยู่กับว่าคนคนนั้นมีอำนาจตัดสินใจตรงไหนด้วย เรารับฟังแต่ไม่จำเป็นต้องทำตามทั้งหมดก็ได้ อาจจะทำตามมากหน่อยน้อยหน่อยก็แล้วแต่เรื่องไป 

ทำยังไงให้ความใกล้ชิดส่วนตัวไม่ไปข้ามเส้นการทำงานของอีกฝ่าย

เป้ : มันคือการให้เกียรติและเคารพอีกฝ่าย เพราะแต่ละคนก็มีหน้าที่ของตัวเองที่ชัดเจนอยู่แล้ว ซึ่งไม่ใช่แค่กับคู่รัก แต่การให้เกียรติและเคารพซึ่งกันและกันมันคือพื้นฐานที่เราควรมีในทุกความสัมพันธ์ไม่ว่าจะเป็นพี่น้อง คนในครอบครัว หรือเพื่อนร่วมงานก็ตาม 

แล้วเราว่าพื้นฐานของความสัมพันธ์ที่ดีก็มาจากการที่เรามีทรัสต์ต่ออีกฝ่าย เชื่อมั่นในความสามารถว่าเขาจะทำงานออกมาได้ดี ถ้ามีทรัสต์ต่อกันแล้วเราว่าพวกวิธีการพูดที่สื่อออกไปมันแทบไม่ต้องแต่งเติมหรือพยายามอะไรมากเลย 

มนุษย์คนนึงมีการทำผิดและถูกอยู่เสมอ ไม่มีใครที่ทำให้เราถูกใจได้ตลอดเวลา ในวันที่คนคนนั้นทำผิด เราก็จะรู้สึกว่าสุดท้ายแล้วเขาจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ เพราะความเชื่อใจที่เรามีต่อเขา แต่ถ้าเขาทำดี มันก็จะยิ่งเป็นอะไรที่ดีขึ้นไปอีก

การได้ทำงานกับคนในครอบครัวก็ถือเป็นโชคดีอย่างหนึ่ง เพราะเรารู้จักกันมานาน หยอดกระปุกของความเชื่อใจกันมาเยอะกว่าคนอื่น วันนึงหากมีอะไรกระทบกระทั่งกันก็ถอนความรู้สึกออกไป แต่ก็ไม่หมดกระปุกหรอก เพราะเราหยอดกระปุกนี้มาเป็นสิบๆ ปีแล้ว 

ด้วยความที่คุณทำงานกับคนในครอบครัวมาโดยตลอด เลยอยากรู้ว่าการเลือกคนเข้าทำงานของคุณนั้นดูเรื่องความใกล้ชิดสนิทสนม หรือความสามารถก่อนกัน

เป้ : ดูความสามารถก่อน แต่โชคดีว่าตอนที่เรากำลังจะทรานส์ฟอร์มธุรกิจน้องสาวก็เก่งไฟแนนซ์ น้องชายก็เก่ง Food Science ส่วนด๋อนก็เก่งด้านวิศวะ ซึ่งทั้ง 3 เป็นทักษะที่เราอยากได้มาช่วยองค์กรพอดี เมื่อความสามารถตรงตามที่ต้องการ แถมเป็นคนที่เรารู้จักนิสัย เข้ากับคัลเจอร์ขององค์กรได้ก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ 

กลับกันถ้าด๋อนไม่ได้รู้เรื่องวิศวะ จบผู้กำกับหนังมา แล้วบริษัทยังไม่ได้มีที่ให้สำหรับโปรดิวเซอร์ เราก็คงจะไม่ชวนด๋อนมาทำงาน อาจจะเป็นการขอคำแนะนำแทนถ้าหากวันนึงบริษัทต้องการทำหนังโฆษณา 

สรุปก็คือในฐานะ CEO การจะชวนใครเข้ามาทำงานเราจะดูเรื่องของคุณสมบัติก่อน แล้วหากคนที่มีคุณสมบัติเป็นคนที่เรารู้จักและไว้ใจอยู่แล้วด้วย นั่นถือเป็นกำไร 

ตั้งแต่ทำงานด้วยกันมา งานไหนเป็นงานที่รู้สึกภูมิใจมากที่สุด

เป้ : คืองานทรานส์ฟอร์มองค์กร ถ้าไม่มีด๋อนกับน้องๆ เราคงไม่สามารถทรานส์ฟอร์มธุรกิจในตอนนั้นได้ (เสียงสั่นเครือ) เราภูมิใจมากที่บาร์บีคิวพลาซ่าเดินทางมาได้จนถึงทุกวันนี้ แล้วมันเป็นงานที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของอะไรอีกหลายๆ อย่างมากมาย  

ด๋อน : ของเราก็งานเดียวกับเป้เลย ตอนนั้นมันเป็นช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อมาก มานั่งย้อนคิดตอนนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนั้นทำไปได้ยังไง มันเหมือนเราเอาก้อนหินเป็นล้านก้อนมาช่วยเรียงต่อกัน ไม่รู้ด้วยซ้ำนะว่าปลายทางรูปร่างมันจะออกมาเป็นแบบไหน แต่สุดท้ายมันก็ออกมาเป็นอนุสาวรีย์อันนึง

ความรู้สึกที่ได้ทำงานด้วยกันเป็นยังไง

ด๋อน : สนุกมาก มันระเบิด อันนี้พูดแบบจริงๆ ไม่เสแสร้งเลย

เป้ : สนุกมากจริงๆ รู้สึกโชคดีมากที่ได้ทำงานกับด๋อน เพราะมีคนคอยรับฟังไอเดียเรา ทำให้เราไม่ต้องคิดวนอยู่คนเดียว แล้วเวลาเสนอไอเดียไปเขาไม่เคยตัดสินว่าไอเดียเราไม่ดี มีแต่จะช่วยต่อยอดให้สิ่งที่เราคิดมันดีขึ้นไปอีก 

ในฐานะ business partner ที่ทำงานร่วมกันมาเป็นสิบปี ใครเป็นผู้นำ ใครเป็นผู้ตาม

เป้ : สลับกันไปแล้วแต่บทบาท บางเรื่องด๋อนนำ บ้างเรื่องเราเป็นคนนำ 

ด๋อน : สุดท้ายเราก็เดินไปพร้อมกัน

OMG Matchmaking ออร์แกไนเซอร์สปีดเดตติ้งที่อยากเป็นผู้สร้างโมเมนต์ของการรู้จักกัน

หากพูดถึงการไปอีเวนต์ออกเดต ในสมัยก่อนหลายคนอาจนึกถึงการนัดบอดหรือคลุมถุงชนที่ให้ความรู้สึกเขินอายและจริงจัง ยุคนี้การหาคู่มีทางเลือกใหม่คล้ายการไปงานเน็ตเวิร์กกิ้งที่เปิดกว้างมากขึ้นและอาจทำให้คนโสดหายประหม่าและสนุกในการได้รู้จักเพื่อนใหม่  

OMG Matchmaking เป็นออร์แกไนเซอร์จัดงานสปีดเดตติ้ง (Speed Dating) ในไทยที่นิยามตัวเองกว้างกว่าผู้จัดงานออกเดตแต่เป็น matchmaker ที่อยากสร้างโอกาส บทสนทนาและโมเมนต์แห่งความประทับใจในการรู้จักกันระหว่างคนแปลกหน้า

ยีน–อินทิรา โสภากุล และ พลอย–ไพลิน เกริกพิทยา เชื่อว่าอีเวนต์เป็นทางเลือกตรงกลางที่ช่วยแก้ pain point ในตลาดหาคู่ที่มีช่องว่างระหว่างการปัดขวาในแอพพลิเคชั่นบนโลกออนไลน์กับการจ้างบริษัทหาคู่อย่างจริงจังที่มีราคาสูง

ทั้งคู่เริ่มจัดสปีดเดตติ้งครั้งแรกราวเดือน 7 ปีที่แล้วและจัดครั้งล่าสุดช่วงพรีวาเลนไทน์ในกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาเป็นครั้งที่ 7 โดยเห็นโอกาสจากกระแสความนิยมของงานสปีดเดตติ้งที่ต่างประเทศและอยากจัดงานอีเวนต์แบบนี้อย่างต่อเนื่องในไทยเพื่อให้คนโสดมีโอกาสรู้จักกันและสานสัมพันธ์กันต่อมากขึ้น

ชวนฟังเรื่องราวการจัดงานสปีดเดตติ้งในวันที่เริ่มมีคนให้ความสนใจและยังไม่ค่อยมีผู้จัดอีเวนต์แนวนี้ในไทยมากมายนัก

คุณเริ่มรู้จักสปีดเดตติ้งครั้งแรกได้ยังไง 

ยีน : ส่วนตัวยีนโสด ไม่อยากทำงานอย่างเดียวแล้วเงยหน้ามาอีกทีพบว่าเลยวัยมีความรักแล้ว ตอนไปเที่ยวต่างประเทศเราเห็นงานสปีดเดตติ้งเลยลองไปดู พอไปนั่งในอีเวนต์แล้วรู้สึกว่าดีจัง มีการคัดกรองผู้เข้าร่วมงานที่เป็นคนมีคุณภาพมาในระดับหนึ่ง คุยกับหลายคนแล้วสนุก ได้เรียนรู้คนใหม่ๆ ในช่วงเวลาสั้นๆ ว่าเขาใช้ชีวิตยังไง มีมุมมองยังไง ได้แลกเปลี่ยนบทสนทนากันไม่เฉพาะกับเพศตรงข้ามเท่านั้น กับเพศเดียวกันที่เป็นผู้เข้าร่วมงานก็ได้คุยกันระหว่างเบรก ตอนนั้นมองเป็นกิจกรรมหนึ่งที่ไปเที่ยวแล้วอยากลองแวะไปเพราะอยากรู้ว่ากิจกรรมแนวนี้เป็นลักษณะไหน ไม่ได้ตั้งใจไปศึกษาดูงานจริงจัง 

ในต่างประเทศสปีดเดตติ้งเป็นที่นิยมแค่ไหน รูปแบบงานเป็นยังไง 

ยีน : นิยมจัดในหลายประเทศทั่วโลกทั้งอเมริกา อังกฤษ ฯลฯ หลายประเทศในเอเชียก็เริ่มจัดกันมากขึ้น เป็นกิจกรรมที่คนต่างชาติกำลังให้ความสนใจมากโดยเฉพาะที่ออสเตรเลียจะป๊อปปูลาร์เป็นพิเศษ หลายเมืองจัดกันทุกวันและทุกเดือนเพราะมีดีมานด์มากและบัตรเต็มเร็ว งานแบบนี้ที่เมืองนอกมักจัดสำหรับชายหญิงโดยกำหนดธีมงานด้วยช่วงอายุ พอมีผู้ให้ความสนใจมากและหลากหลายก็สามารถกำหนดช่วงอายุของผู้ร่วมงานได้ คนสูงวัยที่เมืองนอกเขาก็ยังอยากรู้จักคนใหม่ๆ อยู่ 

คุณคิดว่าอะไรทำให้คนต่างชาติเปิดกว้างในการทำความรู้จักกันจนอีเวนต์แนวนี้เป็นที่นิยม 

ยีน : ยีนกับพลอยมีโอกาสได้เข้าร่วมกิจกรรม meet up ที่ได้ทำความรู้จักคนใหม่ๆ หลายครั้ง พบว่าถ้าเป็นคน expat ที่ย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองใหม่ เขาจะคิดว่าทำยังไงให้ได้รู้จักกับคนท้องถิ่นหรือคนที่มาจากต่างประเทศเหมือนกันเลยพยายามสร้างสังคมใหม่ แต่ส่วนใหญ่คนไทยมักติดอยู่ในวงสังคมปิดที่รู้จักกันอยู่แล้ว นานๆ ทีถึงออกไปทำความรู้จักคนใหม่ คิดว่าไม่ใช่เพราะต่างชาติเปิดรับงานสปีดเดตติ้งมากกว่าแต่เป็นเพราะวัฒนธรรมของเขาค่อนข้างเปิดกว้างอยู่แล้ว เดี๋ยวนี้คนไทยก็เริ่มอยากคอนเนกต์กันมากขึ้นแต่ก็ยังเป็นช่วงเริ่มต้น พื้นฐานนิสัยของเราต่างจากเขา 

มองว่าสปีดเดตติ้งในไทยอยู่ในระยะแรกเหมือนแอพฯ หาคู่ที่เริ่มจากกลุ่มคน outgoing ให้ความสนใจก่อนแล้วจะค่อยๆ ขยายวงกว้างจนแมสมากขึ้นในเวลาต่อมา ตอนนี้คนเพิ่งเริ่มให้ความสนใจมากขึ้นหลังโควิด-19 จากที่หลายคนบอกว่า work from home ทำให้ไม่ได้เจอคนใหม่ๆ เลย 

แล้วทำไมพวกคุณถึงอยากเป็นผู้จัดอีเวนต์เองในไทย

ยีน : ยีนกับพลอยเคยไปงานสปีดเดตติ้งในไทยมาแล้ว ครั้งนั้นเป็นอีเวนต์พิเศษที่ไม่ได้จัดประจำแต่ไปแล้วไม่รู้สึกได้แรงบันดาลใจกลับมาเท่าไหร่ ตอนนั้นเรามีปิ๊งอยู่ 1-2 คน แต่พอกลับจากงานแล้วเขาไม่ได้ส่งคอนแทกต์มาให้ เราเลยมีคำถามว่าแล้วยังไงต่อ ปรากฏว่าที่จริงต้องแลกคอนแทกต์กันเองในงานแต่เราไม่รู้ทำให้ไม่ได้ทำความรู้จักต่อ 

หลังจากไปงานแบบนี้ที่ต่างประเทศแล้วเห็นการจัดงานที่เป็นระบบมากขึ้นเลยทำให้รู้สึกว่าเราน่าจะจัดกันเองได้ดีกว่านี้ที่ไทย มันเป็นกิจกรรมที่เหมาะกับคนโสดซึ่งในไทยก็มีจำนวนคนโสดเยอะและยังไม่มีงานสปีดเดตติ้งที่จัดเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง มีเฉพาะช่วงวาเลนไทน์ที่นานๆ ทีจัดเป็นครั้งคราว เลยรู้สึกว่าน่าสนใจ เราอยากทำอีเวนต์ที่มีธีมสร้างสรรค์กว่าเมืองนอก หลังกลับจากไปสปีดเดตติ้งที่ต่างประเทศเลยโทรชวนพลอยมาทำด้วยกัน  

งานอีเวนต์แบบสปีดเดตติ้งช่วยแก้ pain point ของตลาดหาคู่ในไทยยังไง 

ยีน : ก่อนมาทำเราสำรวจตลาดหาคู่ว่ามีอะไรที่ตอบโจทย์คนโสดบ้าง พบว่ามี 2 อย่างเป็นหลัก หนึ่งคือแอพฯ หาคู่ที่ทุกวันนี้แมสกว่าช่วงแรกมาก ใครก็มาเล่นได้ทำให้เจอกับคนหลากหลาย แต่กลับรู้สึกว่าโอกาสในการเจอคนที่มี same page กับเรายาก สองคือบริษัทหาคู่อย่างจริงจังที่มีเรตราคาพรีเมียมมาก เรามองว่าสปีดเดตติ้งเป็นตรงกลางระหว่างแอพพลิเคชั่นกับบริษัทหาคู่ที่ตอบโจทย์ช่องว่างตลาด

กติกาของสปีดเดตติ้งเป็นยังไง 

พลอย : ตอนเปิดรับสมัครจะมีการสอบถามมุมมองของผู้ร่วมงาน เช่น มองหาความสัมพันธ์แบบไหนเพื่อเอามา pre-match หรือจับคู่ให้ล่วงหน้าสำหรับคู่ที่จะคุยกันเป็นคู่แรกในงาน ในวันงานจะเริ่มต้นด้วยการบรีฟอธิบายกระบวนการทั้งหมดของกิจกรรม ต่อด้วยเกม Ice Braking เพื่อให้ผ่อนคลายในการทำความรู้จักกัน จากนั้นก็เริ่มเดตกันโดยแต่ละคู่มีเวลาคุยกัน 4-5 นาที หลังจากนั้นฝ่ายชายเป็นฝ่ายเวียนสลับคู่ วนไปเรื่อยๆ จนครบทุกคู่ 

ระหว่างการคุยถ้ารู้สึกสปาร์ก อยากขอคอนแทกต์กันเองเลยก็ได้เหมือนกัน แต่ถ้าใครเขินอาย เรามีกระดาษ OMG การ์ดให้สำหรับติ๊กว่าถูกใจใคร ถ้าทั้งสองฝ่ายต่างติ๊กถูกใจกันและกันเท่ากับ แมตช์! เราจะส่งคอนแทกต์ให้เฉพาะคู่ที่ใจตรงกันเท่านั้น ถ้าติ๊กฝ่ายเดียวก็ไม่ให้คอนแทกต์  

ทำไมต้องเป็นระยะเวลาที่สั้นแค่ 4-5 นาทีในการทำความรู้จักคนคนหนึ่ง 

ยีน : เราทำรีเสิร์ชมาว่าช่วงเวลาที่ทำให้คนตกหลุมรักกันได้คือภายใน 4 นาที ความจริงบางที่จะบอกว่าแค่จ้องตากัน 7 วินาทีก็ถูกใจกันได้แล้วโดยไม่ต้องมีบทสนทนาเลยก็ได้ด้วยซ้ำ แต่จ้องตาอาจจะน่ากลัวไปนิดนึง (หัวเราะ)

‘ความเร็ว’ ในการได้สนทนากับผู้คนมากมายภายใน 1 คืนส่งผลดีต่อการทำความรู้จักกันยังไง 

ยีน : ทำให้ได้รู้จักคนหลายแบบ สมมติเราไปเล่นแอพฯ หาคู่ กว่าจะได้เดต กว่าจะออกมาเจอตัวคุยกัน อย่างมากเต็มที่ไป 2 เดตก็เยอะแล้ว ทางเลือกเราจะมีแค่คนคนนั้น พอมาอีเวนต์แบบนี้ได้รู้จักอย่างน้อย 15 คนทำให้ได้เรียงลำดับความสำคัญในใจเราว่าชอบหรือไม่ชอบสเปกแบบไหน ไม่ใช่แค่ได้รู้จักคนอื่นมากขึ้นแต่ได้รู้จักตัวเองมากขึ้นด้วย 

พลอย : การที่ได้คุยกับคนตั้งสิบกว่าคนแต่สุดท้ายจำได้แค่ 1-2 คนที่ชอบจริงๆ พลอยคิดว่ามันทำให้ชัดเจนในความรู้สึกมากขึ้นว่าเป็นคนนี้แหละที่เราอยากรู้จักต่อ การเล่นแอพฯ หาคู่ใช้เวลาคุยนานและต้องทิ้งเวลาไว้กว่าจะได้ศึกษากัน บางคนอาจเบิร์นเอาต์กับมันได้ การที่เรามาสปีดเดตติ้งทำให้ได้เจอกันและคุยกันตัวเป็นๆ ได้รู้ ณ ตอนนั้นเลยว่าเคมีได้หรือเปล่า ตัดสินใจได้ง่ายกว่าว่าคนนี้คือคนที่เราอยากคุยต่อไหม คิดว่าอีเวนต์ทำให้รู้จักคนคนหนึ่งได้ดีกว่าการเล่นแอพฯ

ในฐานะคนจัดงาน คุณออกแบบประสบการณ์ในงานยังไงให้คนทำความรู้จักกันโดยไม่เคอะเขิน

พลอย : เราพยายามทำให้บรรยากาศเฟรนด์ลี่ที่สุดเหมือนพาเพื่อนของเพื่อนมาเจอกัน ทั้งชวนคุย แนะนำให้คนมาทำความรู้จักกัน มีกิจกรรมให้รู้สึกผ่อนคลาย สุดท้ายทุกคนจะพูดคล้ายกันว่าตอนแรกที่มารู้สึกเกร็งหน่อย แต่หลังจากได้เจอเพื่อนใหม่แล้วรู้สึกสนุกดีที่ได้คุยกัน 

ยีน : คอนเซปต์หลักคือการคิดว่าจะทำยังไงให้คนทักกันและได้เริ่มต้นบทสนทนากับคู่แรกของตัวเอง เช่น มีเกมภารกิจให้ไปตามหาคนหรือหาของตามคุณสมบัติที่ระบุ ปรับและเปลี่ยนเกมไปเรื่อยๆ แล้วแต่กิจกรรม  

มีวิธียังไงในการสนับสนุนให้ผู้ร่วมงานสามารถสนทนากับคนแปลกหน้าได้อย่างไหลลื่น

พลอย : เราจะมีแผ่นไอเดียชวนคุยวางประจำไว้ที่โต๊ะ มีคำถาม 2 ชุด คือคำถามที่ให้ทำความรู้จักกันแบบ fun way สำหรับคุยเล่นกัน ตัวอย่างคำถามเช่น คุณนอนกับหมอนกี่ใบ คุณชอบทำอะไร ชอบ hang out ที่ไหน ถ้าต้องกินอาหารมื้อเดียวไปตลอดชีวิตจะเลือกกินอะไร และอีกแบบคือ quick way ที่ทำให้รู้จักตัวตนของอีกฝ่ายได้เร็วขึ้น เป็นแนวกึ่งจิตวิทยานิดหน่อย ไม่ใช่คำถามที่ลึกมากแต่ช่วยให้ตกตะกอนความคิด เช่น ถ้าตื่นขึ้นมาในวันหนึ่งแล้วสามารถเลือกพลังวิเศษได้หนึ่งอย่างจะเลือกอะไร 

คำถาม small talk เหล่านี้ส่งผลดีต่อการรู้จักกันยังไง 

ยีน : เวลามีคนเปิดว่าชอบกินซูชิหรืออาหารญี่ปุ่น มันทำให้ต่อบทสนทนาไปได้ว่าชอบกินที่ไหน เราอาจเริ่มจากคำถามทั่วไปที่ไม่ได้เป็นเรื่องส่วนตัวมาก บางทีการเริ่มถามคนแปลกหน้าว่ามองหาอะไรในความสัมพันธ์อาจลึกเกินไปเพราะมีเวลาคุยกันแค่ 5 นาทีเอง คำถามอย่าง ‘คุณคิดว่าสีอะไรที่อธิบายความเป็นคุณมากที่สุด’ มันทำให้รู้จักอีกคนลึกมากขึ้นแบบสนุก ถ้าอยู่ดีๆ ให้มาเล่าว่าเราเป็นคนยังไงก็คงบอกไม่หมด

หรือบางทีไม่รู้จะคุยอะไรกับคนตรงหน้าดีในเวลาที่สั้น คำถามเหล่านี้จะเป็นไอเดียว่าอยากทำความรู้จักอีกฝ่ายในแง่มุมไหนต่อดีและทำให้มีเรื่องคุยมากขึ้น ถ้านึกอะไรไม่ออกก็หันไปดูโพยสักหน่อย บางคำถามก็ทำเป็นคอนเทนต์ในโซเชียลก่อนเริ่มงาน ให้ลองนึกเรื่องที่อยากชวนคุยมาก่อนได้ 

อยากสร้างโมเมนต์แบบไหนให้ผู้ร่วมงาน 

ยีน : เวลาแต่ละคนเจอกัน คนเราจะรู้สึกคอนเนกต์กันด้วยโมเมนต์ที่แตกต่างกัน มีทั้งช่วงเวลาที่รู้สึกขำ น่ารัก หรือสนุก กับคนหนึ่งเราอาจรู้สึกว่า ‘อุ๊ย น่ารักจังเลย’ กับอีกคนอาจสังเกตเห็นว่า ‘ยิ้มสวยดีนะ ’ เป็นความแตกต่างเหมือนฟองบับเบิลที่มีรูปทรงและดีกรีความเข้มข้นของความรู้สึกที่ต่างกันแต่เราเชื่อว่าทุกคนล้วนมีพลังที่จะเป็น OMG Moment ให้ใครอีกคนได้ ไม่อยากให้ทุกคนที่มารู้สึกกดดันว่าต้องได้ความสัมพันธ์ที่จริงจังกลับไป เราอยากสนับสนุนให้คนที่ไม่ได้อยู่ในความสัมพันธ์หรือแม้แต่คนที่อยากทำความรู้จักคนใหม่ๆ ได้มีโอกาสเข้ามาทำความรู้จักเพื่อนใหม่

อยากให้ผู้ร่วมงานตั้งความคาดหวังกับคู่เดตไว้แบบไหน 

ยีน : บางทีเวลาปัดแอพฯ หาคู่ เราจะมีภาพในหัวว่าอยากเดตแค่กับคนที่มีคุณลักษณะในแบบที่เราชอบเท่านั้น แต่พอเป็นสปีดเดตติ้งมันเปิดกว้างกว่า เราไม่ได้แชร์ให้เห็นก่อนว่ามาถึงแล้วคุณจะเจอใครบ้างแต่เราสกรีนผู้ร่วมงานมาให้ พอมาเจอกันกลายเป็นได้เริ่มต้นรู้จักกันจากบทสนทนาจริงๆ บางคนไม่มีโอกาสเจอคนที่ทำอาชีพนี้มาก่อนก็เป็นการพาเขาออกมาจากวงสังคมเดิม

พลอย : บางคนเลือกคุยกันต่อหลังจากวันงานเพราะรู้สึกดีและสปาร์กจากวันนั้น แต่ถ้าถามว่านี่คือสเปกของเขาไหมก็ไม่ใช่ อาจจะเจอคนที่เซอไพรส์เราจากการคุยกันตอนที่ไม่ได้ตั้งความคาดหวังเอาไว้ เราไม่ได้ตั้งธงว่าทุกคนต้องได้เป็นแฟนกัน แค่พาคนที่โสดและคนที่มองหาในสิ่งเดียวกันมาเจอกัน คุณอาจกลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันหรือเป็นคอนเนกชั่นในอนาคต ถ้าโชคดีได้เจอคนที่ลงเอยคู่กันได้ก็ถือเป็นเรื่องราวที่ดีไป 

ถ้าไม่จำเป็นต้องได้แฟน แล้วสปีดเดตติ้งแตกต่างจากงานอีเวนต์เน็ตเวิร์กกิ้งในรูปแบบอื่นยังไง 

ยีน : ที่ต่างประเทศมีกิจกรรมที่ให้คนคอนเนกต์กันหลายรูปแบบ ถ้าเป็นงานเน็ตเวิร์กกิ้งเราต้องเป็นคนเดินไปทักเขาเอง ขนาดยีนเป็น extrovert ที่ชอบรู้จักเพื่อนใหม่บางทีเรายังรู้สึกว่าต้องเดินไปทักเขาอีกแล้วเหรอ แต่พอเป็นกิจกรรมรูปแบบนี้ทำให้รู้สึกว่าได้คุยกับทุกคนโดยอัตโนมัติ ไม่รู้สึกเกร็งจนเกินไปที่จะมางานแบบนี้ ต่อให้บางคนรู้สึกว่าไม่รู้จะคุยอะไรกันดีภายใน 5 นาที แต่พอถึงช่วงจับเวลาให้คุยกัน ทุกคนเหมือนลงเรือลำเดียวกันและช่วยกันคุยไปเอง

สำหรับคุณ มองว่าแค่ไหนถึงเรียกว่า แมตช์! ต้องรู้สึกแค่ไหนถึงควรติ๊กถูกใจเพื่อขอคอนแทกต์กลับบ้านไปคุยต่อ

ยีน : สำหรับลูกค้าที่มาอีเวนต์ของเราซ้ำหลายครั้ง พบว่าคนที่มาครั้งแรกมักจะไม่ติ๊กถูกใจในการ์ดถ้าไม่รู้สึกชอบจริงๆ แต่ยีนพยายามเชียร์ว่าถ้าในจังหวะที่เราสั่นกระดิ่งเป็นสัญญาณว่าหมดเวลาคุย แล้ววินาทีนั้นคุณรู้สึกว่าเวลาหมดเร็วจังหรืออยากคุยกับคนนี้ต่อ ที่จริงแบบนี้ก็ควรติ๊กแล้วนะ บางทีแค่ 5 นาทีสำหรับบางคนอาจยังไม่เกิดสปาร์กหรือยังไม่รู้สึกว่าเป็นสเปกของกันและกันแต่ถ้าเคมีเข้ากันได้แปลว่าน่าทำความรู้จักกันต่อ ไม่จำเป็นต้องรู้สึกใช่ตั้งแต่แรกหรือคิดว่าต้องคบคนนี้เป็นแฟนเท่านั้นถึงจะติ๊ก

ตอนอธิบายกิจกรรมเราจะบอกไว้ตั้งแต่แรกว่า ทุกคนควรติ๊กถูกใจในกระดาษ OMG การ์ดนะ ถ้าคุณไม่ติ๊กจะไม่ได้คอนแทกต์กลับไปซึ่งมันช่วยตั้งความคาดหวังของผู้ร่วมงานด้วยว่าวันนี้อาจไม่จำเป็นต้องได้เฉพาะความสัมพันธ์ที่จริงจังกลับไปอย่างเดียว อาจเป็นเพื่อนใหม่หรือคอนเนกชั่นใหม่ก็ได้  

ตอนจับคู่แรกให้ผู้ร่วมงาน (pre-match) มีวิธีเลือกคนที่น่าจะเหมาะกันยังไง  

ยีน : เราแมตช์คนจากสิ่งที่เหมือนกัน แบบสอบถามตอนที่กรอกสมัครมีไว้เพื่อเช็กความสนใจเบื้องต้น ทั้งกิจกรรมที่ชอบ คุณค่าที่ให้ความสำคัญในชีวิตและสิ่งที่มองหาในฝ่ายตรงข้ามโดยเป็นคำถามปลายเปิดให้เขียนตอบสั้นๆ เราพยายามกะเทาะคำตอบของแต่ละคนออกมาเพื่อตามหาคู่ที่เอามาอยู่ด้วยกันแล้วน่าจะเข้ากันและเหมาะกันที่สุด 

พลอย : อย่างเช่นมีคนหนึ่งบอกว่าสิ่งที่เขาให้คุณค่ามากที่สุดคือครอบครัว ตามมาด้วยงาน
ในขณะที่อีกคนก็บอกว่าสิ่งที่ให้คุณค่าที่สุดเป็นอันดับแรกคือครอบครัวเหมือนกัน อย่างที่สองเป็นเพื่อน
เวลาคนสองคนให้คุณค่าในสิ่งเดียวกัน เราก็จับเขามาคู่กัน หรือคำถามเช่นสิ่งที่มองหาจากแฟนของคุณคืออะไร ฝั่งผู้ชายตอบว่าอันดับแรกคือความซื่อสัตย์ รองลงมาคือการมีเวลาให้ ส่วนผู้หญิงบอกว่าสิ่งที่ต้องการที่สุดคือความเชื่อใจ เคสนี้ก็จับคู่กันได้ 

ยีน : หลังงานจบพอได้ลองรู้จักครบแล้วก็มาเช็กว่าชอบใคร ชอบคนแรกที่เราจับคู่ให้มากที่สุดไหมหรือชอบคนอื่นมากกว่า

ผลออกมาเป็นยังไง คนส่วนใหญ่รู้สึกคอนเนกต์กับคู่แรกที่เราจับคู่ให้ไหมหรือไปชอบคนอื่น  

ยีน : เนื่องจากแต่ละคนไม่ได้ถูกลิมิตว่าติ๊กถูกใจได้แค่คนเดียว จะเลือกกี่คนก็ได้ ผลออกมาก็เป็น
50 : 50 คือครึ่งหนึ่งจะถูกใจคู่แรกที่เราจับคู่ให้ อีกครึ่งหนึ่งก็จะไปถูกใจคนอื่น

เหตุผลที่เลือกถูกใจได้หลายคนเพราะอะไร 

ยีน : หลักการคล้ายแอพฯ หาคู่ที่สามารถกดไลก์คนที่เราอยากรู้จักต่อได้หลายคน เรื่องความสัมพันธ์เราก็ไม่รู้เนอะ บางทีเราอาจต้องลองคุย 5 คนถึงจะเจอคนที่ใช่ ตอนจัดงานครั้งแรก มีคนหนึ่งที่ติ๊กถูกใจหลายคน ผลออกมาคือแมตช์ไป 3 คู่ พอออกเดตจริงเหมือนได้คัดกรองคนที่เข้ากับตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น คุยแล้วรู้สึกว่าคนนี้เด็กไป หรือรู้สึกชอบคนอีกไทป์มากกว่า มันคือการได้ไปศึกษากันต่อ 

มีวิธีสร้างบรรยากาศให้สปาร์กกันยังไง

ยีน : เหมือนเลือกร้านเวลาไปเดตเลย เราจะพยายามเลือกร้านที่มีความโรแมนติกและมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไฟไม่สว่างมาก เพลงและบรรยากาศต้องได้ เข้ามาแล้วรู้สึกน่าออกเดต ไม่จัดใน co-working space ที่บรรยากาศไม่เป็นใจ ค่อนข้างลงรายละเอียดในการเลือกร้าน การจัดโต๊ะต้องไม่เรียงติดชิดกันหมด ควรมีโซนพื้นที่ส่วนตัวด้วย

พลอย : ควรเลือกร้านที่มีเมนูอาหารขายเพราะส่วนใหญ่คนมักอยากนั่งชิลและทำความรู้จักกันต่อหลังงานจบ ที่ผ่านมาก็มีทั้งแบบนั่งคุยเป็นกลุ่มแบบเพื่อนกลุ่มใหญ่หรือคุยเป็นคู่ๆ

ยีน : คล้ายออกมาทำกิจกรรมกันแล้วมี after party ที่เราจะแจ้งผู้ร่วมงานทุกคนว่าหลังงานจบมีไปนั่งดื่มกันต่อนะ ถ้าใครไม่รีบไปไหนก็สามารถอยู่ hang out กันต่อได้ บางทีผู้จัดงานกลับแล้วเขาก็ยังอยู่ต่อกัน บางกลุ่มก็นัดไปทานข้าวกันเป็นแก๊งด้วย 

ธีมการออกเดตกลุ่มของอีเวนต์ในแต่ละครั้งมีความแตกต่างกันยังไง 

ยีน : เราจัดไปแล้วทั้งหมด 7 ครั้ง พยายามเปลี่ยนธีมและสถานที่เรื่อยๆ 

ครั้งแรกมาในธีม let’s get sparkly ที่อยากให้คนออกมา spark joy ด้วยกัน เพราะเป็นครั้งแรกที่อยากจัดต่อเนื่องในไทย เลยพยายามทำให้เกิดภาพที่คนออกมาทำกิจกรรมสังสรรค์ด้วยกัน 

ครั้งที่ 2 ชื่อ vibe with the tribe ในคอนเซปต์ชวนออกมาตามหาคนที่ชอบในสิ่งเดียวกันกับคุณ จัดแถวเมืองเก่าทำให้มี expat มาเยอะในครั้งนั้นและได้บรรยากาศนอสทัลเจีย เหมือนมาย้อนวันเวลาเก่าๆ มีผู้เชี่ยวชาญที่รู้จักย่านเมืองเก่ามาแนะนำสตอรีของถนนเส้นนั้นด้วย   

พลอย : ครั้งที่ 3 เป็นธีม meet & mingle สำหรับชายรักชาย บรรยากาศร้านเป็นชายหาดและเน้นเครื่องดื่มค็อกเทล 

ครั้งที่ 4 เป็น single over there รวมพลคนโสดที่ร้านไวน์แถวเอกมัย

ครั้งที่ 5 ธีม winter is coming เล่นกับอินไซต์คนโสดว่าลมหนาวกำลังมาแล้วนะ ให้ออกมารีบมาหาคู่ 

ครั้งที่ 6 เป็น let’s move on ชวนคนมูฟออนรับสิ้นปี คราวนี้เราได้สถานที่ใหญ่กว่าปกติและมีพื้นที่ 2 บรรยากาศ ทั้ง indoor และ outdoor เลยขยายให้มีผู้เข้าร่วมงาน 42 คน รวมเป็น 21 คู่ 

และครั้งล่าสุดคือธีมวาเลนไทน์ 11-12 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาที่ Siam Discovery 

จากที่จัดงานมา ผลตอบรับของผู้ร่วมงานเป็นยังไง 

ยีน : ครั้งแรกที่จัดงานเรารับสมัครคนไทยเป็นหลักก่อน รอบนั้นบรรยากาศระหว่างเบรกเหมือนต่างคนต่างอยู่ คุยกันไม่เยอะเท่าไหร่ ไม่ค่อย outgoing พอครั้งที่ 2 เลยรับสมัครคนต่างชาติเข้ามาเพิ่มและเชียร์ให้คุยกันมากขึ้น จากครั้งแรกที่พอปล่อยให้ลงทะเบียนเสร็จแล้วผู้ร่วมงานมักจับกลุ่มนั่งกับเพื่อนตัวเอง เราก็พาแยกไปทำความรู้จักคนอื่นตั้งแต่แรก ให้มีโอกาสทลายกำแพงของกันและกัน ครั้งที่สองก็เริ่มมีการจับกลุ่มเมาท์กันตลอดเวลาแม้อยู่ในช่วงเบรก บรรยากาศก็เปลี่ยนไป 

พลอย : คำว่าสปีดเดตติ้งมันดูน่ากลัวแต่สำหรับคนที่เคยเข้าร่วมงานก็จะบอกว่ามันคือการออกจากเซฟโซนของเขาและไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ทำให้รู้สึกว่ากล้าลองทำอะไรใหม่ๆ และรู้จักคนเพิ่มขึ้น 

กลุ่มลูกค้าในไทยเป็นคนแบบไหน 

ยีน : กลุ่มเป้าหมายของเรามีทั้งคนไทยและ expat รวมถึงทุกคนที่มีสเตตัสพร้อมทำความรู้จักเพื่อนใหม่และสังคมใหม่ อยากออกมาจาก circle of friend กลุ่มเดิม เป็นคนที่พร้อมเปิดใจและเรียนรู้สิ่งใหม่ แต่ด้วยความแตกต่างของสัดส่วนประชากร พอเป็นบ้านเราผู้ร่วมงานจะอยู่ในช่วงอายุประมาณ 25 ปีขึ้นไปจนถึง 50 ปี ถือว่ามีช่วงอายุที่แคบกว่าต่างประเทศ จากการติดตามงานอีเวนต์สปีดเดตติ้งหลายเจ้าที่เมืองนอก พบว่าส่วนใหญ่ผู้ชายจองเต็มก่อน ในขณะที่เมืองไทยผู้หญิงจองเต็มเร็วกว่าทุกรอบ ส่วนใหญ่ผู้หญิงจะซื้อบัตรเร็วแต่ผู้ชายจะทักมาถามก่อนว่างานเป็นยังไงเพราะหลายคนไม่เคยมางานลักษณะนี้เลย

พลอย : ผู้ชายจะมีคำถามค่อนข้างละเอียดว่างานเล่นยังไง จัดยังไง คนที่มาอายุเท่าไหร่ ผู้หญิงเป็นแบบไหน ในขณะที่ผู้หญิงหลายคนมักตัดสินใจจองมาเลยและกลับไปบอกต่อส่วนผู้ชายจะมาเดี่ยวๆ 

ยีน : มีทั้งคน introvert และ extrovert อย่างคน introvert ที่ตอนแรกเราไม่คิดว่าคนไทป์นี้จะอยากมา ปรากฏว่าเขาก็สมัครกันมา ส่วนตัวเขาเองก็อยากรู้จักคนมากขึ้นแต่ไม่กล้าพูดกล้าคุย การที่เลือกมางานแบบนี้ทำให้ได้คุยกับคนอื่นโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องเดินไปทักเอง ครั้งหลังๆ จะเห็นคนที่มีบุคลิกเป็น introvert มามากขึ้น

ความประทับใจและคุณค่าของการได้ทำความรู้จักผู้คนคืออะไร 

พลอย : ได้เปิดโอกาสให้ตัวเองเจอคนใหม่ๆ และมองโลกกว้างขึ้น พลอยเป็นคน introvert  เหมือนกันพอมาทำตรงนี้รู้สึกว่าได้รู้จักคนที่เราไม่คิดว่าจะได้เจอ เพื่อนคือประสบการณ์ใหม่ คอนเนกชั่นใหม่ที่ในอนาคตอาจเป็นความสัมพันธ์ใหม่ของเราก็ได้ 

โมเมนต์ที่ประทับใจจากผู้ร่วมงานก็ไม่ใช่เฉพาะความรักอย่างเดียวแต่เป็นทุกโมเมนต์ของการรู้จักกันที่เกิดขึ้นในงาน เวลาเห็นคู่ที่อยู่ในสายอาชีพที่ใกล้กัน สนใจสิ่งเดียวกัน คุยกันแล้วถูกคอเลยตัดสินใจคุยกันต่อ หรือคู่ที่ฝ่ายชายประทับใจที่ฝ่ายหญิงเป็นคนตลกและอารมณ์ดี ส่วนฝ่ายหญิงก็รู้สึกว่าฝ่ายชายเป็นคนสุภาพและเอาใจใส่ เหล่านี้เป็นเคสประทับใจที่เราดีใจที่เกิดขึ้น 

ยีน​ : การได้ขยายวงสังคมของเราจากชีวิตประจำวันทำให้ได้เปิดโอกาสออกมาเจอผู้คนและมุมมองใหม่แทนที่บางทีเราจะติดอยู่ในความสัมพันธ์เดิมที่ไม่โอเค มันเติมความสนุกและสีสันในชีวิตได้ 

อนาคตอยากสร้างโมเมนต์ บรรยากาศ บทสนทนา หรือสายสัมพันธ์แบบไหน

พลอย : บางคนอาจมองว่าเราเป็นคนจัดงานสปีดเดตติ้งแต่ความจริงเรามองตัวเองเป็น matchmaker ที่ครีเอตโมเมนต์และสร้างโอกาสให้คนมีช่วงเวลาที่ดีร่วมกัน ตอนนี้เราทำสปีดเดตติ้งต่อไปเราอาจทำสปีดเฟรนด์ดิ้งหรือจัดอีเวนต์ปาร์ตี้ส่วนตัวก็ได้ เป็นแค่ไอเดียที่คิดไว้ว่าอยากทำ

ยีน : ต่อไปอาจจัดในสวนหรือบนเรือ เพิ่มความสนุกรูปแบบใหม่ในสถานที่หรือกิจกรรมในแต่ละธีม
รอให้ฐานกลุ่มคนที่สนใจงานของเราแน่นขึ้นอีกนิดหนึ่ง ก็จะเพิ่มความสนุกเข้าไป 

เอพิโสดแรกของเราคือการเดต แต่ต่อไปอาจพัฒนาเป็นรูปแบบอื่นก็ได้ 

บทเรียนทางธุรกิจจาก OMG Matchmaking

1. Broad Definition นิยามธุรกิจให้กว้างและลงลึกถึงคุณค่าที่อยากส่งต่อให้ลูกค้า เช่น ไม่ได้เป็นเพียงคนจัดงานอีเวนต์ออกเดตแต่เป็นผู้สร้างโมเมนต์ในการรู้จักกัน
2. Learn from Global Community เรียนรู้จากคอมมิวนิตี้ที่ทำสำเร็จมาก่อน
3. Be Creative ไม่หยุดนิ่งแค่แรงบันดาลใจที่ได้จากต่างประเทศ แต่สร้างสรรค์ธีม บรรยากาศและไอเดียของตัวเอง

แนวคิดธุรกิจเบื้องหลัง 4 ร้านดอกไม้ออนไลน์ ที่มีสไตล์เป็นของตัวเอง

พูดถึงธุรกิจที่เบ่งบานที่สุดในเดือนแห่งความรัก อย่างธุรกิจร้านดอกไม้แล้ว เราพบว่าช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มีร้านดอกไม้ออนไลน์เกิดขึ้นเยอะมากๆ หลายร้านมีคาแรกเตอร์ที่ชัดเจน มีโจทย์การทำร้านดอกไม้ที่น่าสนใจ ไปจนถึงแนวคิดการทำธุรกิจที่ใส่ใจในทุกกระบวนการ ซึ่งพาให้พวกเขาเจอกลุ่มลูกค้าของตัวเองและยืนหยัดอยู่ได้

สำหรับมือใหม่ด้านการแสดงความรัก ที่กำลังมองหาร้านดอกไม้ที่ตอบโจทย์ Capital ขอพาไปรู้จัก 4 ร้านดอกไม้ออนไลน์ที่มีสไตล์เป็นของตัวเอง ได้แก่ ร้าน m a l a • ม า ล า ร้าน Furawa Desu (フラワーデス) ร้าน YouSaidNoFlowers.BKK และร้าน Flower in hand by P.

แม้วิธีการนำเสนอและวิธีคิดทำธุรกิจจะแตกต่างกัน เราพบจุดร่วมหนึ่งที่น่ารักมากๆ คือ ทั้ง 4 ร้านนี้เป็นร้านออนไลน์ที่ซื้อขายกันผ่านออนไลน์ แต่มีความเป็นมนุษย์สูงมากๆ

ตามไปฟัง ผู้ประกอบการทั้ง 5 เล่าภาพรวมของตลาดดอกไม้ทั้งในออนไลน์-ออฟไลน์ ในวันนี้ ไปจนถึงคุณค่าและความสำคัญของร้านดอกไม้ที่มีต่อลูกค้า วิธีการสร้างคาแรกเตอร์และการถ่ายทอดสารที่ต้องการสื่อ ผ่านสิ่งที่พวกเขาทำแต่คนอื่นไม่ทำ 

ถ้าอ่านแล้วชอบ ลองแชร์ไปบอกให้เขารู้เนียนๆ หรือจะลองสั่งดอกไม้มาเซอร์ไพรส์ตัวเองบ้างก็ทำได้เลย

“ตั้งแต่ก่อนเริ่มเปิดร้าน เราคิดเสมอว่า เราจะทำยังไงให้ธุรกิจของเราทำร้ายธรรมชาติให้ได้น้อยที่สุด”

ชิดชนันท์ สุขพงษ์ 
เจ้าของร้าน m a l a • ม า ล า
IG : @malabkk 

ความหลากหลายของตลาดดอกไม้ในวันนี้เป็นอย่างไร

“ตลาดดอกไม้ของไทยตอนนี้มีความหลากหลายมากขึ้น ไม่แน่ใจว่าเพราะเราให้ความสนใจกับมันมากกว่าที่เคย หรือมีคนเริ่มทำธุรกิจด้านนี้มากขึ้นจริงๆ จนเห็นได้ชัด ซึ่งสำหรับเรา ความหลากหลายยิ่งมากก็ยิ่งดี โดยเฉพาะถ้าเป็นธุรกิจที่เกิดจากความชอบและตั้งใจจริง จะได้ช่วย inspire และผลักดันกันและกัน และก็เพิ่มตัวเลือกให้ลูกค้าหรือคนที่สนใจดอกไม้ ให้ได้เห็นและรับประสบการณ์ที่แตกต่าง”

อะไรคือคุณค่าของร้านดอกไม้ในวันนี้

“เรารู้สึกว่าความสำคัญของร้านดอกไม้ในไทยทุกวันนี้ คนส่วนใหญ่ยังไม่ยอมรับหรือให้คุณค่ากับงานดอกไม้ในเชิงศิลปะเท่าที่ควร ยังไม่มองว่าการจัดดอกไม้เป็นหนึ่งในงานคราฟท์ที่ต้องผ่านขั้นตอนมากมาย ตั้งแต่การออกแบบ การถนอมดูแลดอกไม้แต่ละดอก และการสร้างสรรค์ผลงานออกมา จนถึงมือผู้รับ”

คุณอยากให้ลูกค้าจดจำร้าน mala อย่างไร

“การจัดดอกไม้ของที่ร้านจะมีความ natural เราพยายามให้ดอกไม้เป็นตัวของตัวเองให้ได้มากที่สุด และมักจะไม่มีแพทเทิร์นหรือการออกแบบที่ค่อนข้างตีกรอบไว้ เพราะสุดท้ายการจัดวางจะขึ้นอยู่กับ character ของดอกไม้แต่ละดอกว่ารูปร่างของดอกนั้นจะพาเราไปในทิศทางไหน ซึ่ง character ของงานที่ออกมาก็สะท้อนถึงตัวเราเองด้วย”

อะไรคือสิ่งที่คนอื่นไม่ทำ แต่คุณทำ

“ตั้งแต่ก่อนเริ่มเปิดร้าน เราคิดเสมอว่าเราจะทำยังไงให้ธุรกิจของเราทำร้ายธรรมชาติให้ได้น้อยที่สุด ตั้งแต่เรื่องการไม่ใช้ floral foam พยายามใช้ของ recycled หรือใช้เวลาย่อยสลายน้อยกว่า ใช้อุปกรณ์ที่สามารถ reuse ได้ เลิกใช้ดอกไม้ที่ผ่านการย้อมและฟอก ซึ่งจนถึงตอนนี้เราก็ยังคอยเรียนรู้และค่อยๆ ปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ นอกจากเราจะพยายามลงมือทำเองแล้ว เราอยากสร้าง awareness อยากให้คนที่มาสนับสนุนหรือเข้ามาที่ร้านของเราได้มากกว่าดอกไม้กลับไป เราไม่ได้มองดอกไม้เป็นแค่ธุรกิจ แต่เป็นอะไรที่สามารถพัฒนาและเติบโตไปพร้อมกับตัวเรา”

“ถ้านับจากวันวาเลนไทน์ปีนี้ไปแล้ว เราจะขึ้นขวบปีที่ 5 โดยที่เรายังเป็นร้านดอกไม้ออนไลน์ที่รักการเจอะเจอผู้คน และสนุกที่ได้พูดคุยกับลูกค้าทุกคนเสมอ”

จิรัญญา ศรีเสวก
เจ้าของร้าน Furawa Desu (フラワーデス)
IG : furawadesu

ความหลากหลายของตลาดดอกไม้ในวันนี้เป็นอย่างไร

“ถ้าเทียบกับตลาดดอกไม้เมื่อ 5 ปีก่อน เราคิดว่ามีความหลากหลายต่างไปจากแต่ก่อนเยอะเลย ในอนาคตยี่ก็คิดว่า ความหลากหลายของตลาดดอกไม้ในบ้านเราน่าจะพัฒนาไปได้ไกลกว่านี้ค่ะ โดยเฉพาะรูปแบบในการนำเสนอ สิ่งที่เราต้องคำนึงถึงมากขึ้นในเรื่องความยั่งยืน ทรัพยากรที่เราใช้ รวมถึงพันธุ์ดอกไม้ที่หากมีการพัฒนาสายพันธุ์ให้แข็งแรงขึ้น อยู่ได้นานขึ้น ทนอากาศบ้านเราได้ดีขึ้น  เราน่าจะสร้างสรรค์ และสนุกกับดอกไม้ได้ดีมากขึ้น ผู้คนจะได้กล้าจับต้องดอกไม้ได้ง่ายขึ้น สนุกกับมันมากขึ้น

อะไรคือคุณค่าของร้านดอกไม้ในวันนี้

“สำหรับยี่ ร้านดอกไม้เป็นตัวแทนส่งมอบความสุข รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ดอกไม้ทุกดอก ใบไม้ทุกใบมีคุณค่าตั้งแต่ยังอยู่บนต้น กระทั่งถูกตัดและผ่านกระบวนการขนส่งมาถึงเรา และเราส่งต่อให้ลูกค้า ทุกขั้นตอนผ่านความตั้งใจ หยาดเหงื่อ รอยยิ้ม ดอกไม้บางชนิดบินข้ามฟ้ามาหาเราที่นี่ เราดูแลต่อ ตัดแต่งกิ่งก้าน เก็บในอุณหภูมิที่เย็น และส่งต่อดอกไม้ให้อยู่กับผู้รับ ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดนอกจากความสวยงาม เราอยากให้ดอกไม้อยู่กับผู้รับได้นานที่สุด และนี่คือสิ่งที่ยี่ตั้งใจทำมาโดยตลอดและคิดเสมอในทุกครั้งที่ได้ลงมือทำดอกไม้ค่ะ  ดังนั้นเมื่อถามความสำคัญร้านดอกไม้ต่อลูกค้า เราเชื่อว่ามีคุณค่าและสำคัญพอๆ กันกับที่ลูกค้ามีคุณค่าและความหมายกับร้านดอกไม้ เพราะต่างก็เชื่อมโยงความสุขเข้าไว้ด้วยกัน ส่งต่อความสุขกับให้กับคนรอบข้างได้

“สำหรับยี่ ร้านดอกไม้ในวันนี้เป็นมากกว่าร้านดอกไม้ แต่เป็นที่ที่แบ่งปันเรื่องราวดีๆ เป็นที่ที่เราได้มิตรภาพที่ดี บางคนเปลี่ยนจากลูกค้ามาเป็นเพื่อนและพี่ที่น่ารักต่อกันในทุกวันนี้ มิตรภาพดีๆ เกิดขึ้นมากมาย ผ่านผู้คนต่างเชื้อชาติ ต่างภาษา เราสื่อสารกันผ่านดอกไม้ และนับจากวันวาเลนไทน์ปีนี้ไปแล้ว เราจะขึ้นขวบปีที่ 5 โดยที่เรายังเป็นร้านดอกไม้ออนไลน์ที่รักการเจอะเจอผู้คน และสนุกที่ได้พูดคุยกับลูกค้าทุกคนเสมอ”

คุณอยากให้ลูกค้าจดจำร้าน Furawa Desu อย่างไร

“FURAWA DESU เป็นร้านดอกไม้ไทย ในประเทศไทย ที่มีลูกค้าส่วนมากเป็นชาวญี่ปุ่น และด้วยความชื่นชอบดอกไม้เป็นชีวิตจิตใจ หลงรักในวัฒนธรรมจากหลายๆ ที่โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น เรานำมาผสมผสานกับความรักในธรรมชาติ ออกมาเป็นสไตล์ที่ชัดเจนในแบบทุกวันนี้ สำคัญคือ เราอยากให้ทุกคนมีความสุขที่ได้เห็นดอกไม้ของเรา และใช้หัวใจพูดคุยกับมัน อยากให้ทุกวันมีดอกไม้ไว้ให้กำลังใจให้เรามีพลังใจดีๆในทุกวัน 

“‘สวย-แปลก-ยั่งยืน’ คือนิยามที่เราอยากให้คนจดจำแบรนด์ สวย มาจาก ดอกไม้สวย แปลก คือ การไม่ทำตามใคร ส่วนยั่งยืน คือ ความตั้งใจที่จะใช้ทรัพยากรที่มีอย่างคุ้มค่าที่สุด กว่าดอกไม้จะมาถึงมือเราและส่งต่อจากเราไปสู่ผู้รับ ไม่อยากให้ความตั้งใจของคนที่เกี่ยวข้องกับดอกไม้ที่อยู่ระหว่างทางต้องสูญเปล่า”

อะไรคือสิ่งที่คนอื่นไม่ทำ แต่คุณทำ

“เราเป็นร้านดอกไม้ออนไลน์ในยุคแรกๆ เลยก็ว่าได้ เราไม่มีหน้าร้าน แม้จะสื่อสารกันผ่านออนไลน์ แต่ยี่คุยกับลูกค้าทุกคนเหมือนพูดคุยกันจริงๆ ด้วยวิธีคิด “เอาใจเค้ามาใส่ใจเรา จริงใจ ทุกครั้งที่ลงมือท” ยี่จะเอาความรู้สึกที่เราว่าใช่แล้ว ชอบแล้ว ลุยเลย ตั้งรับและถอยบ้างบางจังหวะ แต่ก็พร้อมเดินหน้าทุกครั้งที่มีจังหวะและโอกาสใหม่ๆ เสมอ”

“ดอกไม้เป็นสินค้าที่ถูกส่งไปพร้อมความหวังดีเสมอ เป็นธุรกิจที่อยู่กับความรัก 100 เปอร์เซ็นต์”

ธีรารัตน์ ตรีรัตน์ 
เจ้าของร้าน YouSaidNoFlowers.BKK
IG :
YouSaidNoFlowers

ความหลากหลายของตลาดดอกไม้ในวันนี้เป็นอย่างไร

“จะว่าไปยุ้ยปิดร้านได้เพียง 2 ปีเท่านั้น ในมุมของยุ้ย ยุ้ยคิดว่าดอกไม้ในตลาดแปลกขึ้น หลากหลายขึ้น อย่างเช่นตอนนี้มีลูกค้าสั่งแจกันดอกไม้แห้งเยอะมาก ซึ่งต้องสั่งล่วงหน้า เขาก็ยินดีที่จะรอ ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อนคนจะอยากได้ช่อดอกไม้สดมากกว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยนไป ลูกค้าเข้าใจ มองดอกไม้เป็นงานศิลปะ รวมถึงมองเห็นความสวยงามในแบบใหม่ๆ ไม่ใช่ลูกค้าเท่านั้น คนจัดดอกไม้ก็หลากหลายขึ้นเป็นศิลปะมากกว่าเดิม”

อะไรคือคุณค่าของร้านดอกไม้ในวันนี้

“สำหรับยุ้ย ไม่ว่ายังไงร้านดอกไม้ก็ยังคงต้องมี ดอกไม้เป็นสินค้าที่ถูกส่งไปพร้อมความหวังดีเสมอ เป็นพลังบวกแก่ยุ้ยที่เป็นคนทำธุรกิจมากๆ เป็นธุรกิจที่อยู่กับความรัก 100 เปอร์เซ็นต์ แม้บางครั้งดอกไม้จะส่งไปเพื่อแสดงความเสียใจ แต่ก็ล้วนมาจากความรักและความหวังดีจากผู้ส่งไปถึงผู้รับ”

คุณอยากให้ลูกค้าจดจำร้าน YouSaidNoFlowers.BKK อย่างไร

“ยุ้ยเริ่มจากการทำร้านกาแฟมาก่อน ยุ้ยจัดแจกันใบไม้ไว้ใช้ที่ร้านกาแฟเอง วันหนึ่งก็มีลูกค้าสั่ง จากแจกันใบไม้ก็เริ่มเป็นแจกันดอกไม้ ที่ยุ้ยชอบจัดแจกันดอกไม้เพราะยุ้ยจัดมันเป็นช่อไม่เก่ง การจัดเป็นช่อเรียกร้องให้ยุ้ยต้องบังคับทิศทางของมัน ต่างจากการใส่ดอกไม้เข้าไปในแจกันซึ่งเป็นธรรมชาติกว่า นั่นเป็นเหตุผลให้แจกันดอกไม้ของยุ้ยไม่เหมือนกันเลยสักช่อเดียว ทำได้อย่างมากคือคล้ายๆ แต่จะไม่เหมือนเดิม เพราะยุ้ยไม่ stock ดอกไม้ที่ร้านจะเป็นดอกไม้ตามฤดูกาลจริงๆ 

“ดอกไม้ของที่ร้านจึงไม่มีคอลเลกชั่นดอกไม้ให้ลูกค้าเลือกหรือให้ดูก่อน อย่างทำกาแฟ ลูกค้าสั่งเมนูลาเต้ยังบอกได้ว่าใส่นมมากหรือน้อยเท่าไหร่ แต่กับดอกไม้มันอธิบายหรือพูดกันด้วยจินตนาการล้วนๆ เมื่อเทียบกับธุรกิจทั่วไป การทำร้านดอกไม้จึงไม่ง่ายเลย เพราะเมื่อดอกไม้ของยุ้ยไปพร้อมโอกาสพิเศษ ทุกคนจึงมีความคาดหวัง สิ่งที่ทำได้คือสื่อสารกับลูกค้าให้มากที่สุดและใกล้ชิดที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่างที่ร้านมีลูกค้าเป็นผู้ชายเยอะมาก ซึ่งผู้ชายมักจะสั่งดอกไม้ไม่เป็น ไม่รู้ว่าดอกอะไรเป็นดอกอะไร ยุ้ยก็จะช่วยเขาด้วยการขอดูรูปคนรับ และก็ช่วยเขาเลือกสีร่วมกัน”

อะไรคือสิ่งที่คนอื่นไม่ทำ แต่คุณทำ

“ยุ้ยทำทุกอย่างคนเดียว รับออเดอร์ พูดคุย จัดดอกไม้ ส่งของ พอทำทุกอย่างคนเดียวมันก็ง่ายเพราะยุ้ยตัดสินใจได้เลย จะลดให้ลูกค้าคนนี้เท่าไหร่ หรือจะแถมอะไรให้เขา ทำให้ดูแลกันได้ใกล้ชิด ที่ยุ้ยจัดดอกไม้ใส่แจกันเพราะยุ้ยอยากให้ดอกไม้อยู่ได้ยาวนานขึ้น ถ้าจัดเป็นช่อก็ต้องใช้โอเอซิสซึ่งยุ้ยไม่ชอบใช้โอเอซิส ยิ่งดอกไม้แพงๆ ยุ้ยเห็นเขาอยู่ในช่อก็จะรู้สึกเสียดาย ในฐานะผู้ส่งสารยุ้ยอยากให้เขาอยู่กับผู้รับนานๆ ได้ดูดอกไม้สวยๆ นานๆ ลูกค้าหลายคนตั้งแจกันไว้จนน้ำแห้งหมด ดอกไม้ก็แห้งสวยในรูปทรงเดิมก็มี”

“เราทำร้านดอกไม้ที่สวยที่สุดไม่ได้ งั้นเราก็จะเป็นร้านดอกไม้ที่น่ารักที่สุดเเล้วกัน”

แพร พานิชกุล
เจ้าของร้าน Flower in hand by P.
IG: flower_inhand

ความหลากหลายของตลาดดอกไม้ในวันนี้เป็นอย่างไร

“ทุกวันนี้ตลาดดอกไม้มีให้เลือกค่อนข้างหลากหลายค่ะ ทั้งชนิด พันธ์ุดอกไม้ รวมถึงอุปกรณ์ตกเเต่งดอกไม้ต่างๆ  เเละด้วยการติดต่อสื่อสารที่ไร้พรมเเดนทำให้เรามีตัวเลือกที่มากขึ้น เราได้เห็นดอกไม้เเปลกตาที่น่าสนใจมากขึ้น เเต่ในอีกทางเราเห็นถึงพ่อค้าเเม่ค้าที่ตลาดขายดอกไม้ไทยได้ยากขึ้นค่ะ”

อะไรคือคุณค่าของร้านดอกไม้ในวันนี้

เนื่องจากดอกไม้ร้านเราเน้นเป็น everyday flower ลูกค้าที่มาซื้อดอกไม้ไม่ได้ซื้อเฉพาะตามเทศกาลเท่านั้น เเต่เราอยากให้ทุกคนสนุกกับดอกไม้ได้ในทุกๆวัน ซื้อเเล้วนำไปปักเเจกันตกเเต่งบ้าน ได้นั่งดูมันค่อยๆโต บานเเละโรยราไปตามเสน่ห์ของมัน ลูกค้าเราเคยบอกว่าร้านดอกไม้เราอยู่ในทุกๆ ช่วง moment ในชีวิตเค้า ไม่ว่ายามสุข ทุกข์ ท้อ ง้อ เศร้า เค้าจะคิดถึงเราเสมอ

“เราเป็นคนนึงที่สดชื่นขึ้นทุกครั้งที่เห็นดอกไม้ เราจึงทำร้านเพื่อส่งต่อความรู้สึกสดชื่น สดใส เพื่อให้ผู้คนมีชีวิตเเละสังคมที่ดีขึ้นด้วยดอกไม้ค่ะ”

คุณอยากให้ลูกค้าจดจำร้าน Flower in hand by P. อย่างไร

“ร้านดอกไม้ของเราจะมีคาเเรกเตอร์ที่ทุกคนพูดถึงเหมือนกันคือ ความน่ารัก สดชื่น สดใส ตามคอนเซปของที่ร้านที่อยากให้ทุกคนสดชื่นกัน เราเคยอยากเปลี่ยนสไตล์เเต่ไม่รู้ทำไมมันก็วนกลับมาเป็นคอนเซปเดิมตลอด ตอนหลังเลยค้นพบว่า “เราทำร้านดอกไม้ที่สวยที่สุดไม่ได้ งั้นเราก็จะเป็นร้านดอกไม้ที่น่ารักที่สุดเเล้วกัน”

อะไรคือสิ่งที่คนอื่นไม่ทำ แต่คุณทำ

“มีสิ่งหนึ่งที่ร้านเราใส่ใจเเละ work กันมาสักพักคือ เรื่องขยะค่ะ ทั้งขยะจากบรรจุภัณฑ์ รวมถึงขยะดอกไม้ วันหนึ่งเรามานั่งคิดว่า ทำไมขยะที่ร้านเราเยอะมากจริงๆ เพื่อนเรามาร้านเเล้วบอกว่า แก “ต้องทิ้งดอกนี้ด้วยหรอ ชั้นขอเก็บไปปักเเจกันเเล้วกัน” เเต่คือดอกนั้นมีตำหนินิดเดียว เราก็ไม่สามารถนำไปทำออเดอร์ให้ลูกค้าได้เเล้ว เราจึงมานั่งทบทวนตัวเอง ปรับ product ที่ร้านโดยคำนึงว่าลูกค้าสามารถ reuse ให้เกิดประโยชน์ได้สูงสุดได้ งดขยะพลาสติกเเบบ single use เเละบรรจุภัณฑ์สิ้นเปลือง รวมถึงการ upcycling ดอกไม้เหลือทิ้งเพื่อลดขยะดอกไม้เเละเพิ่มมูลค่าให้กลายเป็น product ในรูปเเบบต่างๆ ใหม่ เช่น ลูกค้าซื้อช่อห่อถุงผ้า reuse tote bag ไป เเล้ว 2-3 วันต่อมาเราจะไปรับดอกไม้กลับ เพื่อนำดอกไม้มาเก็บเป็นดอกไม้เเห้งใส่กรอบไว้ให้ เป็น product ช่วงวาเลนไทน์นี้พอดี 

“รวมถึงในอนาคตเรามีความตั้งใจอยากปลูกดอกไม้ปลอดภัย (microsustainable flower farm) ที่บ้านเกิดของเราที่เชียงใหม่ ทำตั้งเเต่ต้นน้ำเพื่อเป็นการลดดอกไม้นำเข้าของที่ร้านด้วย”

CHAMÉ กับ 13 ปีที่ยืนหยัดใน red ocean ด้วยวิธีคิดแบบนอกกรอบ มองการณ์ไกล และรอจังหวะที่ใช่

ถ้าพูดถึงเทรนด์ที่ไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไปก็ไม่เคยแผ่ว แถมยังมาแรงอยู่ตลอดโดยเฉพาะในช่วงที่โลกแปรปรวน เชื่อว่าหนึ่งในนั้นจะต้องมีเทรนด์สุขภาพและความงาม

วงการนี้ดูเข้าง่าย โดยเฉพาะในปัจจุบันที่เพียงมีเงินทุนพอประมาณ ก็สามารถจ้างโรงงานเพื่อสร้างแบรนด์ของตัวเองได้ทันที แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะยืนระยะอยู่ได้อย่างแข็งแรง เพราะความเข้าง่ายที่ว่านี้ก็เป็นช่องว่างที่ทำให้มีคู่แข่งเพิ่มขึ้นทุกปีๆ 

ท่ามกลางสมรภูมิธุรกิจสุขภาพและความงามที่แบรนด์สกินแคร์และอาหารเสริมต่างผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด เราเชื่อว่ามีแบรนด์ไทยแบรนด์หนึ่งที่ติดหูคนไทยมานานและเติบโตขึ้นเรื่อยๆ แม้คู่แข่งทั้งไทยและต่างชาติจะเพิ่มขึ้นมากมายแต่แบรนด์แบรนด์นี้ก็ยังยืนหยัด ปรับตัว และเดินหน้าต่อไปได้เสมอ 

แบรนด์ที่ว่าคือ CHAMÉ แบรนด์สกินแคร์และอาหารเสริมเพื่อความงามและสุขภาพ ที่หลายคนรู้จักกันดีผ่านสินค้าเรือธงอย่าง ‘คอลลาเจน’ ที่แตกต่างทั้งเรื่องราคาและสรรพคุณที่หลากหลาย และเข้ามาเปลี่ยนความคิดคนไทยว่าสินค้าของไทยก็เอาชนะต่างประเทศได้ แม้เมื่อสิบกว่าปีก่อน สิ่งนี้จะยังเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ใครก็ต่างเลือกซื้อแบรนด์ต่างประเทศ

แม้จะก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2010 โดยมีสินค้าเริ่มต้นเป็นสกินแคร์และคอลลาเจน แต่หลักคิดในการบริหารที่เน้นมองการณ์ไกล รอจังหวะที่ใช่ และทำอะไรนอกกรอบ ก็ทำให้ CHAMÉ ยังคงหยัดยืนจนทุกวันนี้ภายใต้สโลแกนที่ว่า ‘Beautify Your Charm Shine’ ซึ่งเน้นดูแลสุขภาพแบบองค์รวมจากภายในสู่ภายนอก เรียกว่าสินค้าที่ออกมาสามารถตอบโจทย์คนได้ทุกเพศทุกวัย

Capital จึงนัดกับ นันท์ฐณิชา ศิริปรีดาวัชร์ CEO ที่ปั้น CHAMÉ มากับมือ เพื่อพูดคุยถึงเส้นทางตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ว่าเธอทำยังไงให้ CHAMÉ ยังคงยืนอย่างสง่างามในสมรภูมินี้

คุณเคยให้สัมภาษณ์ว่าการเป็นเจ้าของธุรกิจคือความฝันวัยเด็ก ความฝันนั้นมีผลต่อเส้นทางชีวิตยังไงบ้าง 

เชื่อไหมว่าเรามีความฝันเดียวเลยคือโตขึ้นเราอยากเป็นนักธุรกิจที่มีกิจการเป็นของตัวเอง แล้วเราเป็นคนชอบวางแผน เราเลยตั้งเป้าหมายว่าเมื่อเรียนจบธุรกิจของเราต้องเริ่มสตาร์ท พอเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเลยเลือกเรียนเกี่ยวกับการตลาดที่จะเน้นไปทางงานโฆษณาเสียส่วนใหญ่ แต่มันก็ทำให้เราได้ศึกษาจุดแข็ง-จุดอ่อนในการนำเสนอสินค้า และได้ดูโฆษณาของทั้งเมืองไทยและต่างประเทศเยอะมาก 

ถึงมันอาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับการบริหารมากนัก แต่เราก็ได้เอามาปรับใช้กับการทำงานตอนนี้จริงๆ 

ในเมื่อธุรกิจนั้นมีหลายประเภทมาก ทำไมคุณถึงเลือกทำธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพและความงาม 

เราชอบเรื่องความสวยความงาม ชอบเรื่องสกินแคร์และเครื่องสำอางอยู่แล้ว พอโตขึ้นหน่อยก็เริ่มจริงจังกับการดูแลตัวเองและรายละเอียดของอาหารเสริมแต่ละชนิดมาโดยตลอด เราเลยคิดว่าถ้าจะทำธุรกิจ เราก็คงต้องเลือกทำในเรื่องที่เราถนัดและชอบนี่แหละ

ณ จุดไหนที่คุณรู้สึกว่าพร้อมแล้วที่จะมาเป็นเจ้าของธุรกิจจริงจัง

อย่างที่บอกว่าถ้าเรียนจบเราจะต้องมีธุรกิจเป็นของตัวเองให้ได้ ตั้งแต่ยังเรียนปี 1-2 เราเลยเริ่มสร้างแบรนด์ของตัวเองขึ้นมาจากเงินเก็บก้อนเล็กๆ ที่มี นั่งอ่านงานวิจัยเป็นปึกๆ ดูว่าตอนนี้เทรนด์อะไรกำลังมา ตอนนั้นยังใส่ชุดนักศึกษาไปคุยกับโรงงานอยู่เลย 

เมื่อ 13 ปีที่แล้ว ตลาดสุขภาพและความงามของไทยเป็นยังไง 

ตอนนั้นเมืองไทยยังไม่ได้ยอมรับสินค้าโลคอลมากนัก ส่วนใหญ่คนนิยมใช้แบรนด์ต่างประเทศมากกว่า แต่เรารู้สึกว่าคนไทยเก่งมาก แล้วเราเองต่างหากที่เข้าใจผิวคนไทยดี ถ้าเราค้นคว้างานวิจัยมาดี เลือกสารสกัดที่ได้มาตรฐาน มันก็น่าจะเวิร์กหรือเปล่า

แต่ความยากอีกอย่างคือเมื่อ 13 ปีที่แล้วยังไม่ได้มีโซเชียลมีเดียแบบปัจจุบัน ทุนเราก็ไม่ได้มีมากพอที่จะไปประชาสัมพันธ์ ขึ้นบิลบอร์ด หรือว่าออกสื่อ TVC เลยคิดว่าสิ่งเดียวที่จะทำให้ลูกค้ารู้จักสกินแคร์ซึ่งเป็นสินค้าตัวแรกของเราก็คือมันต้องใช้ดีจริงๆ คนจะได้บอกต่อกัน 

คำว่าดีในที่นี้หมายถึงอะไรบ้าง

มันต้องเป็นสินค้าที่เราและครอบครัวใช้เองได้เท่านั้น แล้วเราจะไม่โอเวอร์เคลม แต่จะบอกแค่เรื่องที่สินค้าตัวนั้นเก่งจริงๆ เช่น ตัวนี้ช่วยเรื่องของฝ้า กระ และความกระจ่างใส เราก็จะพูดแค่นั้น จะไม่ไปบอกว่ามันช่วยเรื่องสิวได้ เพราะถ้าเขาใช้แล้วมันตอบโจทย์ ลูกค้าก็จะเชื่อใจและบอกต่อ

แล้วพอเรียนจบ คุณได้เป็นเจ้าของธุรกิจตามที่ฝันไหม

ใช่เลย เราจดทะเบียนบริษัททันทีหลังเรียนจบ

ฟังดูเหมือนง่ายที่เรียนจบแล้วเปิดบริษัทของตัวเองทันที แต่กว่าจะมาถึงวันที่ได้เป็นเจ้าของธุรกิจอย่างทุกวันนี้ คุณต้องผ่านอะไรมาบ้าง

ถามว่ายากไหม เราว่ามันท้าทายมากกว่า ด้วยความที่เราเริ่มตั้งแต่เด็ก เรามองว่าถ้าไม่ประสบความสำเร็จก็ไม่เป็นไร ถือว่าเก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปเรื่อยๆ ดีกว่า สิ่งที่ยากที่สุดในตอนนั้นเลยน่าจะเป็นเรื่องของเงินทุนที่มันไม่ได้มีมากพอ จึงต้องกลับมาที่การทำสินค้าให้ดีที่สุด

แล้วสินค้าชิ้นแรกสำเร็จมากแค่ไหน คุณถึงกล้าปล่อยสินค้าชิ้นต่อไปอย่างคอลลาเจนซึ่งกลายเป็นสินค้าหลักของแบรนด์ออกมา

แค่เราไปออกงานแสดงสินค้าแล้วไม่ต้องขนของกลับบ้าน ตอนนั้นเราถือว่าสำเร็จมากแล้วและมันก็เล็กน้อยมากถ้าเทียบกับวันนี้ (หัวเราะ) เพราะเหมือนว่าในวัยนั้นเรารู้สึกสนุกกับการทำสิ่งนี้มากกว่า 

แต่อย่างที่บอกว่าเราศึกษาเทรนด์อยู่ตลอด แล้วเราเห็นว่าคอลลาเจนกำลังเป็นที่นิยมมากๆ ในเกาหลีและญี่ปุ่น เราเลยคิดว่าอีกไม่นาน เทรนด์นี้มันต้องเข้าไทยแน่ๆ เลยเริ่มศึกษาและคิดค้นสินค้ามาเรื่อยๆ 

เรียกว่าต้องมองการณ์ไกลอยู่ตลอด

มันก็ใช่ การมองการณ์ไกลมันทำให้เราคาดการณ์ได้ว่าเทรนด์ในอนาคตจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง อะไรที่เราควรทำ อะไรที่แบรนด์เราจะต้องไป แต่เราว่ามันไม่สำคัญเท่ากับจังหวะการออกสินค้าที่ใช่  เพราะบางครั้งเทรนด์มาก็จริง แต่ออกสินค้าเร็วเกินไป ผู้บริโภคยังไม่เปิดรับ ต่อให้สินค้าดีแค่ไหนมันก็อาจจะไม่เกิด หรืออาจจะต้องรออีกหลายปีกว่ามันจะสำเร็จ ซึ่ง life cycle มันก็อาจจะหายไปแล้ว 

อีกสิ่งสำคัญคือคนไทยยังไม่ค่อยเปิดรับแบรนด์ไทยเท่าไหร่ เราจึงต้องทำให้สินค้าแตกต่างไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นคนไทยจะเลือกเราทำไมทั้งที่ต่างประเทศเขามาก่อน  

ตอนนั้นเราก็มองแล้วว่าคอลลาเจนของต่างประเทศราคาค่อนข้างสูง และมักจะให้ผลแค่เรื่องเดียว เราเลยออกคอลลาเจนที่ functional เช่น คอลลาเจนเราไม่ได้ช่วยแค่เรื่องผิว แต่เพิ่มสารสกัดที่ช่วยเรื่องการชะลอวัย หรือข้อต่อของกระดูก อีกอย่างคือคอลลาเจนส่วนใหญ่จะค่อนข้างคาวและทานยาก เราเลยทำให้คอลลาเจนของเรามีรสผลไม้ที่อร่อย แต่ทานแล้วไม่อ้วน มีการชงให้ลูกค้าลองชิมด้วยนะ 

สุดท้ายสิ่งที่คุณคาดหวังมันเห็นผลไหม  

สุดๆ ผลตอบรับมันดีมาก เพราะตอนนั้น แบรนด์ไทยที่ทำคอลลาเจนยังน้อยมาก ถึงมีก็อาจจะไม่ได้แตกต่างจากแบรนด์ต่างประเทศแบบที่เราชู เราจึงน่าจะเป็นเจ้าแรกๆ ที่ทำให้คนไทยเริ่มหันมาสนใจคอลลาเจนแบรนด์ไทย 

ความสำเร็จของคอลลาเจนในวันนั้นให้บทเรียนอะไรบ้าง

อย่างแรก มันทำให้คำว่า ‘funtional’ ที่สินค้าต้องเห็นผล ปลอดภัย และให้ประโยชน์หลายด้านเป็นหลักในการผลิตสินค้าของ CHAMÉ ทุกตัวเพื่อให้สินค้าของเรานั้นคุ้มค่า คุ้มราคา จนลูกค้ายอมควักกระเป๋าซื้อของเรา

อย่างที่สอง สินค้าของเรามักจะมีความนอกกรอบและมีความเป็นนวัตกรรมบางอย่าง เช่นสินค้าคุมน้ำหนักทั่วไปจะต้องเป็นเม็ดหรือแคปซูล แต่ของเราทำออกมาเป็นผงแล้วกรอกใส่ปากได้เลย หลายคนถามว่าคนจะเข้าใจเหรอ แต่ในมุมของเรา เรามองว่าแบบเดิมๆ คนทำเยอะแล้ว เราอยากทำอะไรใหม่ๆ ที่มันดีและต่างจากท้องตลาดบ้าง ซึ่งสุดท้าย นวัตกรรมใหม่นี้ก็ทำให้เราได้รางวัลด้วย

แล้วทำยังไงให้คนเปิดรับความแตกต่างและความเชื่อใหม่ๆ

การสื่อสารเป็นสิ่งสำคัญมาก เราต้องสื่อสารอย่างชัดเจน ตรงไปตรงมา และไม่สื่อสารนอกเหนือจากสิ่งที่เราทำได้ เพราะมันเป็นความเชื่อมั่นที่เราให้กับลูกค้า 

เช่นเราจะต้องสื่อสารออกไปเลยว่าถ้าคุณกินสิ่งนี้เป็นแคปซูล มันจะบรรจุได้แค่ 500 มิลลิกรัมนะ แถมยังต้องไปผ่านกระบวนการย่อยในกระเพาะอาหารอีก แต่ถ้าคุณทานของเราที่เป็นซอง มันจะทานได้ตั้ง 3,500 มิลลิกรัม และเราก็มีงานวิจัยรองรับว่าปลอดภัย ไม่อันตราย และเห็นผลได้เร็วกว่ามาก 

ตอนแรกมันอาจจะยากและใช้เวลาที่จะสื่อสารกับลูกค้าให้เขาเปิดใจ แต่มันคุ้มค่าเพราะเมื่อเขาได้ลองแล้วเขาจะเข้าใจ และเห็นว่าเราคือเจ้าของนวัตกรรมจริงๆ เวลาออกสินค้าใหม่ก็ง่ายแล้ว  

คุณพูดถึง ‘นวัตกรรม’ บ่อยมาก คำนี้หรือเปล่าที่ทำให้ CHAMÉ อยู่มานาน

ส่วนหนึ่งนะ เพราะเรามองว่าสินค้าทุกตัว ไม่ใช่ว่ามันจะต้องมีคอนเซปต์ที่ดี หรือพึ่งมาร์เก็ตติ้งถึงจะอยู่ได้ แต่เราต้องรีเสิร์ช ส่งเทสต์ และมีงานวิจัยรองรับ เราจริงจังถึงขั้นร่วมพัฒนาวิจัยกับสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ว่าสินค้าตัวนี้จะช่วยเรื่องน้ำหล่อเลี้ยงข้อต่อได้กี่เปอร์เซ็นต์ ช่วยเรื่องเนื้อเยื่อกี่เปอร์เซ็นต์ ช่วยให้เซลล์อะไรเกิดขึ้นใหม่บ้าง 

แต่คำว่า ‘นวัตกรรม’ มันก็ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะใครๆ ก็ใช้คำนี้ได้ถูกไหม สิ่งที่จะทำให้เราอยู่ได้มันคือความเชื่อมั่นที่ลูกค้ามีให้จากการที่ของเราเห็นผลจริง มันคือต้นทุนที่สำคัญมากๆ และถือเป็น asset ของแบรนด์เลยเพราะพอลูกค้าเชื่อมั่นในแบรนด์ เราก็มั่นใจที่จะออกโปรดักต์ใหม่ๆ ทุกปี เพื่อตอบโจทย์และแก้ pain point ให้ลูกค้า 

และจากวันแรกที่เราแค่อยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ตอนนี้แพสชั่นของเราคือเราอยากให้คนไทยสวยและสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก ซึ่งก็คือสโลแกน ‘Beautify Your Charm Shine’ เราจึงวางแบรนด์ของเราเป็น holistic brand ที่จะดูแลสุขภาพอย่างองค์รวม

หมายความว่าทาร์เก็ตของ CHAMÉ ไม่ได้จำกัดแค่วัยรุ่นใช่ไหม 

ใช่ ถึงผลตอบรับคอลลาเจนจากกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงานจะดีมาก แต่คอลลาเจนไม่ใช่ทั้งหมดของแบรนด์ เราก็จะมาดูอีกว่าแล้วเทรนด์ข้างหน้าจะเป็นยังไง อะไรที่เรายังไม่มี อะไรคือช่องว่างทางการตลาด แล้ว pain point ไหนที่เราเข้าไปแก้ได้เพื่อให้เราเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของลูกค้าทุกคนจริงๆ 

ตอนเริ่มต้นเราเริ่มจากความชอบเราอย่างเดียว แต่ตอนนี้เรามีกลุ่มลูกค้าทั่วประเทศ เราไม่สามารถเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของทุกๆ อย่างได้ เราต้องฟังเสียงของลูกค้าว่าเขาต้องการอะไร อย่างตอนนี้เทรนด์ผู้สูงอายุมาแรงทั้งโลกเลย เราก็ต้องออกสินค้ากลุ่มซีเนียร์ หรือตั้งแต่มีโควิด-19 เข้ามา คนก็เริ่มใส่ใจเรื่องสุขภาพมากขึ้น เราก็จำเป็นต้องออกสินค้ากลุ่มนี้ให้ออกมาทันเวลา 

และด้วยเรื่องของสุขภาพมันเป็นปัจจุบันและเป็นอนาคต มันไม่เคยหายไป ไม่ว่าจะมีวิกฤตเศรษฐกิจหรืออะไรมากระทบ พอเราปรับตัวได้ทัน ยอดขายเรากลับโตขึ้นเป็น 2 digits ทั้งที่ธุรกิจอื่นๆ ต้องหยุดไป

การปรับตัวให้ทันถือเป็นเรื่องสำคัญ 

สำคัญมาก เพราะยุคนี้เราจะยืนอยู่ที่เดิมตลอดเวลาไม่ได้ บางทีการทำแผนทั้งปีไม่ได้หมายความว่าจะต้องเดินตามนี้ทั้งหมด เราจะต้องปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ได้ตลอด เวลาที่เรา recruit ทีม เราเลย recruit คนที่มีดีเอ็นเอตรงกับเรา คือเข้าใจการเปลี่ยนแปลง ยืดหยุ่นและปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว 

อย่างตอนโควิด-19 เข้ามา ห้างโดนปิด สาขาลดลง เราจะทำยังไง ก็ต้องไปขยายช่องทางออนไลน์เพิ่มเติม ร่วมมือกับ WHA เพื่อให้คลังสินค้าเราได้มาตรฐานและเป็นระบบมากขึ้นเพื่อรองรับอนาคตที่เทรนด์ออนไลน์ต้องมาแน่ๆ จนยอดขาย e-Commerce ของเราเติบโตเป็นร้อยกว่าเปอร์เซ็นต์เลย 

แล้วมีช่วงที่การแก้ไขสถานการณ์ของคุณไม่เวิร์กหรือพลาดไปบ้างไหม คุณผ่านมันมาได้ยังไง

วันนี้ทุกคนอาจจะมองด้านความสำเร็จของเรา เห็นว่าเรากำลังจะเข้าตลาดหลักทรัพย์อย่างสง่างามตามที่ตั้งใจไว้ แต่ทุกธุรกิจไม่ได้มีอะไรราบรื่นตลอดหรอก และในการเป็นผู้นำ เราไม่ใช่แค่บริหารอย่างเดียว เราต้องเป็นคนนำทัพ นำไดเรกชั่นเพื่อให้ธุรกิจเดินต่อได้ สิ่งสำคัญคือเราต้องเคาะ ต้องตัดสินใจ เพราะทุกคนรอเราอยู่ โดยที่เราต้องเชื่อว่ามันไม่มีการตัดสินใจครั้งไหนที่ถูกหรือผิด แต่มันคือประสบการณ์ 

อีกสิ่งที่ทำให้เราผ่านมาได้คือทีม เพราะต่อให้เราเริ่มธุรกิจมาได้ด้วยตัวเองแต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะเก่งอยู่คนเดียว เรามาถึงวันนี้ได้เพราะเรามีหลายคนที่ช่วยเรา และอาจจะเก่งกว่าเราในหลายๆ ด้านก็ได้ เราจึงกระจายอำนาจให้ทีมได้กล้าตัดสินใจกันเองเพื่อบ่มเพาะให้เขาโตขึ้น เรียกว่าทุกคนที่พร้อมสนับสนุนเราล้วนมีส่วนให้ CHAMÉ เติบโตมาแบบทุกวันนี้  

วันนี้ CHAMÉ เดินทางมา 13 ปีแล้ว อยากรู้ว่าก้าวต่อๆ ไปของ CHAMÉ ที่คุณมองไว้เป็นยังไงบ้าง

เราตั้งใจจะเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม เพราะเรามองว่าเราเชี่ยวชาญ เราศึกษา เราใส่ใจรายละเอียด และเราก็สั่งสมประสบการณ์พร้อมกับฐานลูกค้ามามาก แล้วเทรนด์สุขภาพและความงามไม่มีวันจบ แผนต่อไปของเราคือการพัฒนาสินค้าออกมาให้ครอบคลุมและแน่นอนว่าต้องขยายไปในตลาดต่างประเทศ 

จากจุดที่คุณยืนในฐานะเจ้าของธุรกิจ ถ้าให้มองย้อนกลับไป คุณอยากบอกเด็กมหาวิทยาลัยคนนั้นว่ายังไง

ทำไปเลย ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกังวลอะไร แล้ววันนึงก็จะสำเร็จและภูมิใจในสิ่งที่เลือก เราไม่เคยเสียใจในสิ่งที่เลือกเดินเลย เพราะเราเชื่อว่าทุกอย่างที่เลือกล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ดีเสมอ มันจะเป็นประสบการณ์ เป็นบทเรียน เป็นสิ่งที่ทำให้เราได้เติบโต และได้ก้าวเดินมาจนถึงทุกวันนี้

CASETiFY แบรนด์เคสมือถือที่ต่างด้วยความคิดสร้างสรรค์และการคอลแล็บจนเป็นที่รู้จักทั่วโลก

แค่รูปลักษณ์ภายนอก สีสันที่สวยงามของสินค้าที่ดึงดูดสายตาอย่างเดียวอาจไม่ใช่คำตอบของสูตรสำเร็จในการขายสินค้า และเข้าไปอยู่ในใจของผู้คน แต่สิ่งที่สำคัญคือ การสร้างแบรนด์ ตัวตนของสินค้า ความแตกต่าง และการสื่อสารของแบรนด์ไปยังผู้คนต่างหากที่จะทำให้แบรนด์โตอย่างยั่งยืนได้

เรากำลังพูดถึง CASETiFY แบรนด์อุปกรณ์เสริมเทคโนโลยีสัญชาติฮ่องกงที่เติบโตเร็วที่สุด และเป็นบริษัทอุปกรณ์เสริมเทคโนโลยีที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก และสามารถเข้าถึง 1 ใน 5 ของผู้บริโภคเจนฯ Z ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย

CASETiFY เคสโทรศัพท์มือถือที่คนรุ่นใหม่ฮิตกันทั่วบ้าน ทั่วเมืองในขณะนี้ก็ใช้วิธีการทำทุกอย่างที่กล่าวมาและทำอย่างต่อเนื่อง

จุดเริ่มต้นก่อนที่ CASETiFY จะเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ต้องย้อนกลับไปเมื่อ 10 กว่าปีก่อน จากผู้ชายที่มีชื่อว่า ‘เวสลีย์ อิ้ง’ (Wesley Ng) ผู้ที่หลงใหลและคลั่งไคล้การใช้งานโซเชียลมีเดียอย่างอินสตาแกรม เวลาโพสต์ภาพสวยๆ ลงบนหน้าฟีดทีไรก็มักจะได้รับการตอบรับที่ดีอยู่เสมอ ประกอบกับในยุคนั้นแม้จะมีโทรศัพท์มือถือที่ถูกใจ น่าซื้อ แต่เคสโทรศัพท์ที่มีวางขายดูจะยังไม่ตอบโจทย์เวสลีย์เท่าไหร่นัก เขารู้ว่าเคสที่มีวางขายนั้นน่าเบื่อ ไม่มีสไตล์ และไม่สามารถหาเคสโทรศัพท์มือถืออันไหนที่ถูกใจได้

นั่นจึงทำให้เขาหยิบทั้งสองเรื่องราวออกมาเป็นไอเดียที่ว่า หากนำภาพสวยๆ บนอินสตาแกรมมาต่อยอดเป็นสินค้าที่ใช้ได้จริง เป็นลายบนเคสโทรศัพท์มือถือได้ก็น่าจะเป็นไอเดีย และเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่เจ๋งไม่น้อย

จากที่เป็นพนักงานประจำของบริษัทแห่งหนึ่งที่ทำงานด้านออกแบบ เวสลีย์ตัดสินใจลาออกจากงานประจำมาปั้นธุรกิจแบรนด์เคสโทรศัพท์มือถืออย่างเต็มตัว 

ปี 2011 ก็ได้เกิดแบรนด์ที่มีชื่อว่า Casetagram ขึ้น เป็นแบรนด์เคสโทรศัพท์มือถือที่ให้ลูกค้านำภาพจากอินสตาแกรม มาออกแบบและตกแต่งเป็นลวดลายบนเคสเองได้และขายผ่านช่องทาง e-Commerce ก่อนที่ช่วงกลางปี 2014 ได้รีแบรนด์เปลี่ยนชื่อ พร้อมกับประโยคที่ว่า New name. Same people. More memorable products. มาเป็น CASETiFY

พร้อมกับเปลี่ยนฟอนต์โลโก้มาเป็นในแบบปัจจุบัน ใครใช้เคสของ CASETiFY อยู่ หรือลองเข้าไปดูในเว็บไซต์ ก็จะเห็นโลโก้ของแบรนด์ที่ดูสะอาดตา อ่านง่าย และให้ความรู้สึกแข็งแกร่ง ทีมงาน CASETiFY เคยอธิบายไว้ว่า แรงบันดาลใจสำหรับโลโก้นี้มาจากแนวคิดของพวกแสตมป์ สติ๊กเกอร์ และเทป ที่เป็นสิ่งที่ผู้คนใช้ปรับแต่งสิ่งของที่พวกเขาเหล่านั้นเป็นเจ้าของ จึงได้ออกแบบโลโก้ให้เหมือนสติ๊กเกอร์ และดีไซน์ให้โลโก้อยู่ที่กรอบของกล้องมือถือ ส่วนตัวเคสบริเวณอื่น CASETiFY ให้อิสระกับคนที่เป็นเจ้าของที่สามารถดีไซน์ตั้งแต่ฟอนต์ สีของเคส ข้อความ รวมไปถึงวัสดุที่ใช้ทำตัวเคสด้วย

เหมือนกับที่เวสลีย์ บอกไว้ว่า “ผลิตภัณฑ์ของ CASETiFY เปรียบเสมือนผืนผ้าใบสำหรับการสร้างสรรค์ไม่มีที่สิ้นสุดผ่านการร่วมมือกับแบรนด์ที่โดดเด่น…งานของเราคือการสร้างศูนย์รวมความคิดสร้างสรรค์ที่มีตัวเลือกเพียงพอจะตอบทุกสไตล์ ทุกเทรนด์แฟชั่นและทุกบุคลิกตั้งแต่แบบเรียบง่ายไปจนถึงงานดีไซน์ที่จัดจ้าน” 

อ่านมาถึงตรงนี้อาจจะมีหลายคนคิดว่า CASETiFY ดูเหมือนแบรนด์ธรรมดาที่ขายเคสโทรศัพท์ ลูกค้าสามารถออกแบบและตกแต่งได้เอง ที่ก็ไม่ต่างจากเจ้าอื่นเท่าไหร่นัก แต่อะไรคือเหตุผลที่ทำให้ CASETiFY เคสโทรศัพท์มือถือราคาเริ่มต้นหลักพันบาทนี้สามารถครองใจผู้คนโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ได้ทั่วโลก และเติบโตอย่างก้าวกระโดดอย่างทุกวันนี้ 

ปี 2020 CASETiFY มีรายได้กว่า 125 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเวสลีย์ยังตั้งเป้าว่าจะต้องกวาดรายได้ถึง 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2025 

คำตอบมีด้วยกัน 3-4 ข้อ

1. Personalization and Unique

ความเฉพาะตัวและไม่เหมือนใครคือจุดเด่นของ CASETiFY หากเปรียบเทียบก็คงเหมือนสไตล์การแต่งตัว เลือกองค์ประกอบตั้งแต่เสื้อผ้า หน้า ผม ไปจนถึงรองเท้า ที่แต่ละคนมีสไตล์เป็นของตัวเอง การเลือกสิ่งที่เหมาะกับตัวตนของเรามากที่สุดเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเองไม่มากก็น้อย

เช่นเดียวกับเคสโทรศัพท์มือถือแม้จะเป็นองค์ประกอบเล็กๆ แต่การเลือกสิ่งที่ไม่ซ้ำจำเจ ดีไซน์สวยงามที่มีชิ้นเดียวในโลกที่สะท้อนตัวตน มาพร้อมกับความคงทนที่จะช่วยปกป้องโทรศัพท์มือถือที่ใช้ในชีวิตประจำวันได้ก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าเป็นไหนๆ และตอบโจทย์ personalized experience ของผู้บริโภคยุคใหม่ได้ไม่ยาก

ใครลองกดเข้าไปในเว็บไซต์ก็จะรู้ว่านี่เป็นจุดแข็งของ CASETiFY ที่ลูกค้าสามารถเลือกคัสตอมเคสของตัวเองได้ตั้งแต่ลวดลาย การเลือกข้อความและฟอนต์ สีของเคส ความหนา ไปจนถึงวัสดุที่ใช้ทำเคส

2. Collaborations

การคอลแล็บเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ทางการตลาดที่หลายๆ แบรนด์ทั่วโลกใช้ในทำแบรนด์ให้เติบโต เพราะนอกจากจะได้สินค้าที่มีดีไซน์แปลกใหม่ออกมา ยังสามารถขยายฐานลูกค้าได้มากขึ้นด้วย CASETiFY เองก็เลือกวิธีนี้เช่นกัน 

เราเห็น CASETiFY คอลแล็บกับคาแร็กเตอร์ ดีไซเนอร์ ภาพยนตร์ แบรนด์ต่างๆ ไปจนศิลปิน K-pop เวสลีย์เลือกคอลแล็บกับแบรนด์ที่มีความน่าสนใจในตัวของแบรนด์นั้นๆ เองป็นหลัก ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องเป็นแบรนด์ประเภทใดแค่อย่างเดียว เพราะต้องการสร้างสรรค์งานดีไซน์ที่ออกมาตอบโจทย์คนทุกไลฟ์สไตล์ตั้งแต่แบบเรียบง่ายไปจนถึงงานดีไซน์ที่จัดจ้าน 

Kentipz, Basquiat, Disney Mickey & Friend, Barbie, One Piece, Sailor Moon, Dragon Ball Z, Harry Potter, BLACKPINK, Twice, NBA, Blvck Paris ฯลฯ คือตัวอย่างแบรนด์ คาแร็กเตอร์ ดีไซเนอร์ ศิลปินที่ CASETiFY ออกคอลเลกชั่นด้วยมาแล้ว

3. Social Media

โซเชียลมีเดียคือหัวใจหลักที่เข้าถึงผู้คน และหากพูดว่า CASETiFY เองก็เกิดจากโซเชียลมีเดียอย่างอินสตาแกรมก็คงไม่ผิดนัก เพราะฉะนั้นเวสลีย์จึงให้ความสำคัญกับการทำการตลาดบนโซเชียลมีเดียทั้งเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม หรือ TikTok มากๆ นอกจาก CASETiFY จะขายผ่านช่องทางออนไลน์และจัดส่งไปทั่วโลกแล้ว ช่องทางโซเชียลมีเดียคือกระบอกเสียงชั้นดีที่ทำให้ผู้คนรู้จัก CASETiFY มากขึ้น โดยที่แบรนด์แทบจะไม่ต้องพูดอะไร เพราะเวลาเราถ่ายรูป หากเราถ่ายรูปหน้ากระจกแล้วแชร์ภาพนั้นๆ ลงไป โลโก้เล็กๆ ที่อยู่รอบกล้องถ่ายรูปก็จะปรากฏผ่านสายตาของผู้คนแบบเนียนๆ 

หนึ่งในเคสที่น่าสนใจที่ทำให้ผู้คนพูดถึง และตามหาซื้อเคส CASETiFY กันอย่างล้นหลามคือ Kylie Jenner เซเลบริตี้สาวที่ถ่ายรูปคู่กับเคสแล้วโพสต์ลงใตอินสตาแกรมของตัวเธอนั่นเอง

4. Online and Offline

แน่นอนว่า CASETiFY นอกจากจะมุ่งเน้นไปยังกลยุทธ์การขายแบบ direct-to-customer เติบโตจากการขายผ่าน e-Commerce มีรายได้จากช่องทางออนไลน์เป็นหลัก

แม้จะประสบความสำเร็จ และมีช่องทางจำหน่ายออนไลน์ครอบคลุมมากกว่า 180 ประเทศทั่วโลก มีสหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้เป็นตลาดหลักในปัจจุบันก็ตาม แต่การสร้างประสบการณ์แบบสัมผัสได้จริงย่อมทำให้ผู้คนเข้าถึง และได้รับประสบการณ์ที่ดีมากกว่า เวสลีย์จึงทำการเปิดหน้าร้านสาขาที่ชื่อว่า CASETiFY Studio ขึ้น ปัจจุบันมีสาขาอยู่ 18 แห่งทั่วเอเชีย-แปซิฟิก และ 1 สาขาในสหรัฐอเมริกา พร้อมกับเปิดหน้าร้านแบบ pop-up store ขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก จากฟีดแบ็กที่ดีช่วยสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้าเข้าถึงเทคโนโลยีแบบจับต้องได้จริง ทำให้ CASETiFY มีเป้าหมายที่จะเปิดร้าน 100 แห่งภายในปี 2025 

ทั้งหมดนี้คือคำตอบ

จากแค่เริ่มแรกขายแค่เคสโทรศัพท์มือถือ ตอนนี้ CASETiFY มีอุปกรณ์เสริมอื่นๆ ให้ผู้บริโภคได้เลือกซื้อมากมาย และกลายมาเป็นบริษัทแบรนด์ไลฟ์สไตล์เคสมือถือ และอุปกรณ์เสริมทางเทคโนโลยีระดับโลกที่ประสบความสำเร็จและน่าจับตา

 “Real cute, Real Tough” ความสวยงามที่มาคู่กันกับความแข็งแรงทนทาน และความไม่เหมือนใคร ทำให้ผู้คนตัดสินใจจิ้มเลือก CASETiFY มาเป็นเคสกับโทรศัพท์มือถือคู่ใจได้ไม่ยาก

FYI 
รู้หรือไม่ว่า CASETiFY มาเปิด pop-up store แห่งแรกใจกลางกรุงเทพฯ ที่เซ็นทรัลเวิลด์ เมื่อ 26 กันยายนปีที่ผ่านมา โดยจะเปิดถึง 25 มีนาคม 2566 จากกระแสการตอบรับที่ดีทำให้ CASETiFY ตั้งเป้าจะบุกตลาดประเทศไทยอย่างเต็มตัว มีแผนที่จะเปิด CASETiFY Studio ถาวรภายในปี 2023 

อ้างอิง

จริงจังกับรีเสิร์ช ทุ่มทุนกับหน้าร้าน วิธีคิดให้ Homeboy Tattoo Club เป็นร้านสักที่แตกต่าง

ร้านสักในความทรงจำของคุณเป็นแบบไหน? ดูลึกลับซับซ้อน แสงไฟสลัว หรือบางร้านอาจถึงขั้นดูน่ากลัวจนบางคนพลอยอคติกับการสัก 

แล้วร้านสักในปัจจุบันที่คนนิยมเป็นยังไง? ดูมินิมอลมินิใจ และไม่น้อยมักปักหมุดอยู่ที่ห้องนอนหรือบ้านของช่างสัก

แต่ Homeboy Tattoo Club นั้นแตกต่างออกไป ทั้งโลเคชั่นที่อยู่ในสถานที่ที่เข้าถึงง่ายอย่างลาดพร้าวซอย 1 ข้างห้างสรรพสินค้ายูเนี่ยนมอลล์ และแตกต่างทั้งความจริงจังในการดีไซน์ให้ร้านดูคล้ายซูเปอร์มาร์เก็ต พ่อแม่หลายคนก็ดูสบายใจที่จะปล่อยให้ลูกมาสัก ส่วนผู้หญิงที่กลัวการเข้าร้านสักก็กล้ามากขึ้น

‘ร้านสักที่เท่ที่สุด’ คือนิยามของ Homeboy Tattoo Club ที่ แบงค์–อัมพรชัย มณีแสงสาคร และ แตงโม–พัชร์ เอกมหาชัย เจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าสตรีท Homeboy และแบรนด์เสื้อผ้าสุดมินิมอลอย่าง Avocado ตั้งเอาไว้ ส่วนคำว่า ‘สนุก ปลอดภัย และจริงจังกับความไม่เหมือนใคร’ เป็นนิยามที่เราขอมอบให้เอง

แม้แบงค์จะบอกกับเราว่าเขาให้เวลาทุกธุรกิจได้พิสูจน์ตัวเอง 3 เดือน แต่คิวสักที่มีเข้ามาไม่หยุดก็ทำให้เราอยากชวนเขามาพูดคุยถึงวิธีคิดหน้าร้านเดี๋ยวนี้ว่าทั้งคู่ต้อง get อะไรกันบ้าง ก่อนที่จะทำให้คนอยากจะ get a tattoo จาก Homeboy Tattoo Club 

Get a Good Place

“เราไม่มีไอเดียตั้งแต่แรก แต่ร้านนี้มันเกิดขึ้นจากเราขับผ่านทางยูเนี่ยนมอลล์แล้วเห็นพื้นที่ตรงนี้ปล่อยเช่าพอดี” แบงค์เกริ่นเล่าถึงวันแรกของการทำธุรกิจที่สอง

“เรายังไม่รู้หรอกว่าจะทำอะไร แต่เวลานี้มันต้องเช่าไว้ก่อนเพราะเราชอบที่นี่มาก” เขาเสริมก่อนอธิบายให้ฟังว่าคำว่า ‘ชอบมาก’ ที่ว่านั้นหมายถึงอะไร

“หนึ่ง–ที่ตรงนี้ eyeball เยอะมาก วันหนึ่งๆ มีคนเข้ายูเนี่ยนมอลล์เป็นหมื่นคน เสาร์-อาทิตย์มีคนมาเดินเป็นแสน สอง–เดินทางสะดวกเพราะใกล้เอ็มอาร์ทีพหลโยธิน และสาม–มีที่จอดรถให้พร้อมเลย นึกออกไหม พื้นที่มันพร้อมทุกอย่าง” เขาว่าอย่างนั้น

ช่วงเวลาจากวันที่เริ่มเซ็นสัญญาเช่าที่นั้นเอง แบงค์นั่งคิดสะระตะว่าจะเอายังไงกับพื้นที่ฟ้าประทานที่ได้มา จะทำอาหารก็ไม่ถนัด คู่คิดอย่างแตงโมจึงยิงคำถามชวนคิดว่าทั้งหมดทั้งมวลในชีวิต แบงค์ชอบอะไร

“นอกจากเสื้อผ้าก็ชอบสัก” แบงค์ตอบแบบนั้น และเมื่อแตงโมก็ว่าเข้าท่า ทั้งสองจึงเริ่มจริงจังกับแผนการร้านสักขึ้นมา

“แต่ต้องเป็นร้านสักที่ไม่เหมือนร้านสัก เพราะร้านสักปกติก็มีเยอะแยะแล้ว เราอยากได้ร้านสักที่เหมือนคาเฟ่มากกว่า” แบงค์โยนไอเดียออกมาให้แตงโม แล้ว Homeboy Tattoo Club ก็ค่อยๆ ก่อร่างสร้างภาพขึ้นมา

Get Well-researched

มองจากภายนอก Homeboy Tattoo Club เป็นร้านสักที่เหมือนคาเฟ่มากกว่า แต่ใต้ความแตกต่างนี้ ใช่ว่าแบงค์และแตงโมจะทำขึ้นมาตามใจตัวเองปรารถนา ทุกตารางเมตรของร้านสักที่ไม่เหมือนร้านสักที่ว่ากลับซ่อนการรีเสิร์ชของทั้งคู่ไว้ทุกอณู

“ถึงการสักมันกำลังเป็นเทรนด์แต่มันยังถือเป็น niche market อยู่ คนเดินผ่านร้าน 10 คน อาจจะเหลือแค่ 1 คนที่เดินเข้ามาสักก็ได้ เพราะงั้นยิ่งเป็น niche market ยิ่งต้องรีเสิร์ชหนักเลย การทำร้านให้แตกต่างมันจึงไม่ใช่แค่เพื่อทำให้คนจดจำ แต่ความแตกต่างนั้นมันต้องผ่านการรีเสิร์ชมาแล้วว่าลูกค้าชอบ 

“เพราะสมมติมีคนใส่เสื้อแดงยืนเรียงกัน 5 คนแล้วเราใส่เสื้อขาวคนเดียว ถามว่ามันจดจำไหมก็อาจจะใช่ แต่ลูกค้าไม่ได้ชอบเสื้อขาว เขาอยากได้เสื้อสีม่วง ไอ้ความต่างนี้มันก็ไม่มีประโยชน์เลยนะ” แบงค์อธิบายถึงความคิดตั้งต้น

ก่อนทำ Homeboy Tattoo Club ขึ้นมา แบงค์จึงเดินสำรวจพื้นที่บริเวณนี้มาอย่างหมดจด เพื่อเช็กว่าในบริเวณใกล้เคียงนั้นมีร้านสักหรือเปล่า ถ้ามี ร้านสักที่ว่าดูเป็นสไตล์เดียวกันกับภาพร้านสักที่เขามองแค่ไหน

“ปรากฏว่ามันไม่มีร้านสักเลย โอกาสที่เราทำแล้วจะมีคนจำมันสูงแน่นอนเพราะเราเป็นเหมือนแกะดำอยู่ตรงนี้” เขาว่า

นอกจากนั้น เขายังกลับมามองว่าผับบาร์บริเวณนี้มีมากแค่ไหน คนที่มาเที่ยวคือใคร ราคาค่าสักมาตรฐานอยู่ที่เท่าไหร่ เทรนด์การสักเป็นแบบไหน และกลุ่มลูกค้าปัจจุบันคือใคร ซึ่งเขาพบว่าสมัยนี้ ผู้หญิงซะอีกที่นิยมสักมากกว่า ดังนั้น รูปแบบร้านในใจที่ทั้งแบงค์และแตงโมจินตนาการไว้จึงต้องเป็นร้านสักที่ผู้หญิงเห็นแล้วรู้สึกปลอดภัย

“เหมือนเราอ่านหนังสือก่อนสอบมาเยอะมาก เราเลยรู้สึกมั่นใจว่ายังไงมันก็น่าจะเวิร์ก แต่ถามว่าการรีเสิร์ชมันจะช่วยให้เราหายเจ็บหรือไม่พลาดเลยหรือเปล่าก็ไม่ใช่ มันคือการทำให้เราเจ็บและพลาดน้อยลงมากกว่า เพราะทุกธุรกิจมันต้องเจอเรื่องเจ็บๆ อยู่แล้ว” แบงค์อธิบาย

Get Joy

เมื่อทำเลก็ใช่ ผลการรีเสิร์ชพื้นที่และกลุ่มลูกค้าก็ผ่านฉลุย คราวนี้แบงค์และแตงโมจึงต้องมาไขรหัสว่าแล้วร้านสักที่ไม่ใช่ร้านสักของทั้งคู่จะเป็นอะไร

“แตงโมเสนอว่าทำร้านสักแนวซูเปอร์มาร์เก็ตไหม ให้คนเขามาช้อปลายสักที่ไม่เหมือนใคร” แบงค์เล่าไอเดียสุดสนุกที่แฟนสาวโยนมาให้

“แต่เราจะทำเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตแบบไหนล่ะ ในเมื่อมันก็มีซูเปอร์มาเก็ตหลายแนว เราเลยกลับมามองที่แบรนด์เสื้อผ้าสตรีทของเราว่ามันมีความเป็นยุค ’80 อยู่มากเพราะเราชอบมู้ดของยุคนี้ สุดท้ายจึงได้เป็นไอเดียซูเปอร์มาร์เก็ตในยุคนั้นมา” เขาอธิบาย

เมื่อเดินเข้ามาในร้าน เราจะพบกับเคาน์เตอร์แคชเชียร์สีสันสดใส ที่มีป้ายไฟติดอยู่ด้านบน 

ทางซ้ายของร้านจำลองตู้กดสินค้าอัตโนมัติที่ภายในไม่ได้บรรจุเครื่องดื่มใดๆ แต่มีกล่องรวมลายสักแบบแฟลชหรือลายสักที่ร้านออกแบบไว้ให้คนได้เลือก ทั้งแนวการ์ตูน น้องหมาน้องแมว ดอกไม้ใบหญ้า และอนิเมะ ฯลฯ ตอบโจทย์คนที่ไม่มีลายสักในดวงใจให้ช่างออกแบบ ความยูนีกคือลายเหล่านี้ไม่ซ้ำใครแน่นอนเพราะเป็นเอกสิทธิ์ที่ Homeboy Tattoo Club ตั้งใจออกแบบให้ 1 ลายจะมีเจ้าของเพียงคนเดียวเท่านั้น

ส่วนใครที่ไม่อยากช้อปลายสักจากตู้อัตโนมัติ ก็มาหมุนกาชาปองตรงเคาน์เตอร์แคชเชียร์ได้

“วันก่อนนักท่องเที่ยวเดินผ่านหน้าร้านแล้วก็เดินเข้ามาหมุนกาชาปองและสักไปเลย 3 ลาย” แบงค์เล่าถึงกลวิธีการออกแบบร้านที่ทำให้มัดใจคนที่เดินผ่านไปมาได้

ถัดไปอีกหน่อยคือล็อกเกอร์สีแดงที่ดูเหมือนลูกค้าเป็นนักเรียนไฮสคูลในโรงเรียนฝรั่งยังไงยังงั้น เมื่อลูกค้าพร้อมสัก ก็เอาสัมภาระไปเก็บและไขกุญแจไว้ได้ แก้ปัญหาของเยอะจนรกร้าน และช่วยให้ช่างโฟกัสกับงานโดยไม่ต้องกังวล เป็นอินไซต์ของเขาเองที่รู้สึกว่าไปร้านสักทีไรก็อดกลัวของหายไม่ได้

“ส่วนตู้กระจกเก็บอุปกรณ์ด้านใน เราเลียนแบบจากตู้แช่ของในร้าน ภายในก็จะเก็บอุปกรณ์พรีเมียมๆ ทั้งนั้นเพราะเราอยากให้ลูกค้าได้ลายสักที่มีคุณภาพที่สุด” เขาอธิบาย ก่อนจะชี้ให้เห็นว่านอกจากเตียงสัก 2 เตียงด้านหน้าเราแล้ว เขาก็ยังมีอีก 1 เตียงหลังผ้าม่านไว้ให้ลูกค้าเลือกว่าต้องการความส่วนตัวแค่ไหน

นอกจากคอนเซปต์ซูเปอร์มาร์เก็ตยุค ’80 จะสะท้อนผ่านองค์ประกอบหลักๆ ของร้านแล้ว แบงค์และแตงโมยังหยิบเอานีออนดัดซึ่งนิยมมากในยุคนั้นมาตกแต่งเป็นข้อความต่างๆ ทั้งนอกร้านและในร้าน รวมถึงสร้างเพลย์ลิสต์เพลงยุค ’80 ฉบับ Homeboy Tattoo Club โดยเฉพาะเพื่อให้มู้ดโดยรวมสอดคล้องกัน แต่ที่ขาดไปไม่ได้เลยคือสีหลักอย่างสีแดง สีเหลือง และสีน้ำเงิน ที่ทั้งคู่จริงจังและใช้เวลากับการหาคู่สีที่ใช้นานที่สุด

“เราว่าสีของร้านมันต้องสนุก มันเป็นคอนเซปต์เดียวกับการทำแบรนด์ Homeboy ด้วยนะ เรารู้สึกว่าถ้ามันสนุกไว้ก่อน ไม่ว่ายอดขายจะเป็นยังไง คนทำงานก็ยังไม่ขาดทุนทางใจ” แบงค์อธิบาย

Get Brand Trust from Good System

นอกจากจะจริงจังกับการออกแบบหน้าร้าน อีกสิ่งที่เราในฐานะคนเคยสักประทับใจคือ Homeboy Tattoo Club ยังวางระบบการสักทั้งก่อนและหลังไว้อย่างดี ซึ่งระบบที่ว่านี้แบงค์ได้มาจากการรีเสิร์ชและการใช้อินไซต์ของตัวเอง

“ความที่เราใหม่มากในวงการสัก เราต้องมีข้อมูลระดับหนึ่งเพื่อให้เราผิดพลาดน้อยที่สุด เราเลยตัดสินใจบินไปศึกษาระบบของร้านสักที่เกาหลีเพราะเขาดังเรื่องสักมาก หลายประเทศก็บินไปสักที่นี่กัน”  

แบงค์เล่าว่าก่อนสัก ช่างจะให้ลูกค้ากรอกแบบฟอร์มเพื่อยืนยันว่าลูกค้า ช่างสัก และร้านสักเข้าใจตรงกัน ในแบบฟอร์มจะระบุลวดลายและสีที่สัก ตำแหน่งที่เข็มจะจิ้มลงไป ละเอียดไปถึงโรคอะไรบ้างที่ลูกค้าเป็นอยู่เพราะอาจมีผลต่อลาย หรือระยะเวลาที่แผลจะหาย  

“แต่ก่อนที่เราสักตามร้านต่างๆ เรารู้สึกว่าการสักมันเกิดขึ้นเร็วไปจนอาจผิดพลาดได้ ซึ่งถ้ามันเกิดขึ้นกับลูกค้าเรา เราจะรับผิดชอบเขาไหวไหมเพราะการสักมันเป็นสิ่งที่ติดตัวไปตลอด ไม่ใช่เสื้อผ้าที่ถ้าซื้อไปแล้วไม่ชอบก็เปลี่ยนได้ เราจึงควรมีระบบเหล่านี้เพื่อให้เราก็มั่นใจ ลูกค้าก็มั่นใจ” แบงค์ว่า

เมื่อลูกค้าและช่างสักเซ็นรับทราบในแบบฟอร์ม ขึ้นเตียงจิ้มเข็มเรียบร้อย หลังสัก แบงค์​ยังสร้างความประทับใจให้ลูกค้าด้วยการมอบ Homeboy After Care ที่ในกล่องจะมีฟิล์มป้องกันรอยสักให้แปะในช่วงแรก และยังมีโลชั่นบำรุงรอยสักให้ลูกค้ากลับบ้านอีกด้วย 

จากที่โดนตกด้วยหน้าร้าน เมื่อรู้ว่าที่นี่มีระบบหลังบ้านที่ใส่ใจลูกค้ามากขนาดนี้ ขอบอกเลยว่าคนเคยสักแบบเรารู้สึกอยากโดนเข็มจาก Homeboy Tattoo Club จิ้มทันที

Get Money From Clever Design

Homeboy Tattoo Club เป็นร้านสักชั้นเดียวที่จัดได้ว่าเล็ก แต่เชื่อไหมว่าค่าก่อสร้างทั้งหมดที่แบงค์และแตงโมลงทุนไปนั้นเกือบแตะหลักล้านบาท บางคนอาจจะหาว่าทั้งคู่บ้า แต่แบงค์กลับมองต่างออกไปว่า 

“เราเชื่อว่าการออกแบบร้านที่ดีจะช่วยประหยัดค่าพีอาร์ไปได้เยอะ ตั้งแต่วันที่ไม่มีเครื่องสักมาลงที่ร้านสักเครื่อง ลูกค้าก็มาถ่ายรูปเยอะมากซึ่งภาพเขาต้องติดคำว่า Homeboy Tattoo Club ไปด้วยอยู่แล้ว เรียกว่าเราได้ฟรีมีเดียไปเต็มๆ  

“ลูกค้าที่อินบอกซ์มาจองสักกับเราหลายคนก็ไม่เคยสักเลยนะ แต่เขาบอกว่าเห็นหน้าร้านแล้วอยากสักมาก หรือเคยมีลูกค้าที่พาพ่อมานั่งรอเขาสัก มุมมองของพ่อที่มีต่อร้านสักก็เปลี่ยนไปเลยว่าการสักมันก็ไม่ได้น่ากลัวนี่นา แต่มันก็เหมือนกับการเสริมสวยหรือการทำเล็บทั่วไป” 

ขณะที่เรากับแบงค์กำลังคุยถึงการลงทุนกับหน้าร้านอยู่ ทั้งวัยรุ่นและผู้ใหญ่ที่เดินผ่านหน้าร้าน Homeboy Tattoo Club ไปก็มองเข้ามาในร้านเป็นระยะๆ ไม่แปลกอะไรถ้าจะมีลูกค้าวอล์กอินเข้ามาเพียงเพราะหน้าร้านสวยอยู่เรื่อยๆ

ไม่ใช่แค่ลูกค้าที่แฮปปี้ เพราะคนทำงานก็แฮปปี้ไม่ต่างกัน แถมอีกทีเด็ดที่แบงค์ได้จากการทำหน้าร้าน Homeboy Tattoo Club ให้สนุกและจ๊าบไม่เหมือนใครคือมีคนติดต่อขอใช้สถานที่เป็นสตูดิโอถ่ายภาพเข้ามาไม่หยุด จนเขาหยิบโอกาสตรงนั้นมาเปิดให้คนเช่าเป็นสตูดิโอทุกวันจันทร์ที่ร้านสักปิด

“ทำไมคนอยากทำงานใน Google หรือ Netflix ก็เพราะว่าออฟฟิศแม่งเทพ ไปไหนก็คุยได้ว่าทำงานที่นี่นะ เราเองก็อยากให้ช่างสักภูมิใจที่บอกว่าทำงานใน Homeboy Tattoo Club เหมือนกัน ซึ่งช่างสักก็บอกกับเราแบบนั้น บางคนก็พาลูกค้าของเขาเองมาใช้สตูฯ ของเราด้วย”

แม้แบงค์จะให้เวลา Homeboy Tattoo Club พิสูจน์ตัวเอง 3 เดือน แต่เขาก็ยอมรับว่าทั้งคิวสัก คิวสตูดิโอ รวมไปถึงคำบอกเล่าของคนทำงานที่ส่งกลับมานั้นทำให้แบงค์มองว่าร้านสักของเขานั้นสำเร็จไปขั้นหนึ่งแล้ว

“เป้าหมายของร้านมันสำเร็จตั้งแต่ร้านเปิดแล้วเพราะว่าเป้าแรกคือเราอยากทำร้านสักที่ไม่เหมือนใครในประเทศนี้ สิ่งที่เรามองต่อไปจึงคือร้านสักจะต้องเดินทางด้วยตัวเองได้โดยไม่ต้องเหมือนกับแบรนด์เสื้อผ้า Homeboy ของเรา 

“ในอนาคต Homeboy Tattoo Club อาจจะเป็นร้านสักที่มีเมอร์แชนไดส์ก็ได้ เช่น กระเป๋า เสื้อผ้าซึ่งเป็นสิ่งที่เราถนัด เพื่อให้มันเป็นอะไรมากกว่าร้านสัก ให้มันเป็นร้านสักที่เต็มไปด้วยความสนุก” แบงค์ทิ้งท้าย

What I’ve Learned

  1. “การทำธุรกิจต้องมีแผนงาน เราต้องตอบให้ได้ว่าเดือนต่อไปเราจะทำอะไร ถ้ามันไม่เป็นแบบที่คิดไว้แพลนบีจะต้องมาตอนไหน”
  2. “บางคนคาดหวังกับธุรกิจมากไป เช่นเปิดเดือนแรกกะขายเละ แต่มันยากมากนะ ถ้าทำได้อาจจะเรียกว่าฟลุก ซึ่งนั่นไม่ใช่กลยุทธ์ธุรกิจ เราจึงอยากให้ทุกคนเชื่อว่าทุกอย่างมันมีเวลาของมัน”
  3. เราทำหน้าร้านมาสวยมาก แต่ถ้าเราไม่โปรโมตมันก็เหมือนกับเราทำมาให้ตัวเองดู ในช่วงเวลา 3 เดือนหลังจากเปิดร้าน เราจึงต้องมีแผนโปรโมตจริงจัง ชนิดที่ทุนทำร้าน 50 งบโปรโมตอาจจะอยู่ที่ 30 ด้วยซ้ำ”
  4. “ลองหาก่อนว่าลูกค้าเราเป็นใครมากกว่าเราอยากทำอะไร เพราะถ้าหาว่าเราอยากทำอะไรอย่างเดียวมันเหมือนเราตามใจตัวเองแต่ลูกค้าอาจจะไม่ชอบก็ได้ซึ่งเราจะล้มได้ง่ายมาก”