MuvMi ตุ๊กตุ๊กไฟฟ้าสัญชาติไทยที่อยากพิชิตปัญหารถติดด้วยเทคโนโลยีและ ride sharing

พูดถึงกรุงเทพฯ ไม่มีปัญหาอะไรน่าปวดหัวไปกว่าเรื่องรถติด

ด้วยผังเมืองอันเปราะบางและถนนหนทางที่เต็มไปด้วยซอยเล็ก ลึก และตัน นอกจากในช่วง peak hours เพียงเกิดอุบัติเหตุขึ้นในจุดเดียว ต้องปิดถนนหนึ่งเลนเพื่อซ่อมฝาท่อ หรือฝนเกิดตกหนักกว่าปกติ เท่านั้นหางแถวก็พร้อมจะยาวเป็นกิโลฯ

ในบรรดาคนที่ต้องต่อสู้กับท้องถนนกรุงเทพฯ มีคน 4 คนที่อยากลองแก้ปัญหาก่อนจะสายไปกว่านี้ แล้ว MuvMi บริการรถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า ride sharing ก็เกิดขึ้น

เรียกว่าตุ๊กตุ๊กแต่นอกจากมีสามล้อเหมือนกัน MuvMi ก็แทบไม่มีอะไรเหมือนตุ๊กตุ๊กแบบดั้งเดิมเลย พวกเขาพัฒนารถเองโดยเปลี่ยนจากระบบแก๊สเป็นไฟฟ้า ขยายขนาดให้มั่นคงแข็งแรง วิ่งในเฉพาะย่านที่กำหนดไว้ โบกเรียกไม่ได้ต้องใช้บริการผ่านแอพฯ และแทนที่เรียกรถแล้วจะได้ไปคนเดียว พวกเขาก็ใช้ระบบ ride sharing เพื่อให้ค่าโดยสารต่อคนถูกลง

MuvMi

จากที่ทดลองวิ่งในย่านจุฬาลงกรณ์-สยาม MuvMi ค่อยๆ ขยายพื้นที่ให้บริการสู่ย่านอารีย์-ประดิพัทธ์, เกาะรัตนโกสินทร์, บางซื่อ, ชิดลม-ลุมพินี และอื่นๆ รวมทั้งหมด 10 ย่านในเวลาเพียง 5 ปี มีแผนจะขยับไปเปิดในย่านใหม่ๆ อยู่เสมอ และยังกำลังทดลองใช้พลังงานไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์อีกด้วย

5 ปีนานพอให้ธุรกิจเกิดใหม่และล้มหายตายจากโดยเฉพาะธุรกิจขนส่งในกรุงเทพฯ ที่ว่ากันว่าโหดหิน ยิ่งเป็น ride sharing ที่คนไทยไม่คุ้นชินยิ่งทำยากเข้าไปใหญ่ แต่ MuvMi ก็ขับเคลื่อนมาถึงจุดนี้ด้วยความเชื่อว่ารถติดแก้ไขได้ด้วยขนส่งชนิดที่เหมาะกับเมืองนี้และเทคโนโลยีที่ใช้อย่างถูกวิธี

เทคโนโลยีจะแก้รถติดได้ยังไง? พวกเขาพาธุรกิจให้รอดมาด้วยวิธีการอะไร? กรุงเทพฯ ควรมูฟไปสู่ปลายทางแบบไหน? กระโดดขึ้นรถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้าไปคุยกับ ศุภพงษ์ กิติวัฒนศักดิ์ หัวหน้าฝ่าย Business Development และ พิพัฒน์ ตั้งสิริไพศาล Chief Engineering ของ MuvMi กัน

ป.ล. อย่าลืมว่าต้องเรียกผ่านแอพฯ เท่านั้น

MuvMi

ทำไมอยู่ๆ เพื่อน 4 คนถึงลุกขึ้นมาทำบริการขนส่งซึ่งว่ากันว่าเป็นธุรกิจที่โหดหิน

พิพัฒน์ : เราเริ่มจากอยากสร้างอะไรที่มีอิมแพกต์ก่อน แน่นอนปัญหามันมีให้แก้เยอะมากแต่เราอยากทำอะไรที่มีอิมแพกต์แล้วเราก็มีแพสชั่นด้วย ประกอบกับเทคโนโลยีมันก็พัฒนาไปเรื่อยๆ จนถึงจุดที่เราคิดว่าอยากจะรวมเทคโนโลยีแล้วทำเป็นนวัตกรรมขึ้นมาสักอย่างนึง 

ศุภพงษ์​ : ทีม founder 4 คนรู้จักกันอยู่แล้วเราเลยเลือกสิ่งที่จะทำจากความเชี่ยวชาญของแต่ละคน อั๋น (พิพัฒน์ ตั้งสิริไพศาล) เขาเคยทำรถบัสไฟฟ้าที่วิ่งในจุฬาฯ, มิก (ดร. กฤษดา กฤตยากีรณ) จบปริญญาเอกด้านวิศวกรรมยานยนต์ ทำเรื่อง autonomous car หรือรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ, เมฆ (เมธา เจียรดิฐ) เขาทำงานเกี่ยวกับระบบ optimization เรื่องซอฟต์แวร์ ส่วนตัวผมเป็นฝ่ายมวยวัด ทำธุรกิจมามากกว่า สมการมันก็ลงตัวว่าสิ่งที่เราเชี่ยวชาญก็น่าจะเป็นเรื่องขนส่งนี่แหละ

จริงๆ คนที่ผลักดัน MuvMi ไม่ได้มีแค่เราแต่ยังมีพาร์ตเนอร์อีกมากที่ต้องขอบคุณ อย่างบริษัทบ้านปู ซึ่งเป็น angel investor ลงทุนกับเราตั้งแต่แรกและตอนนี้ก็ยังสนับสนุนให้เราพัฒนาระบบชาร์จไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ หรือไทยรุ่งซึ่งเป็นผู้ผลิตรถให้เรา

MuvMi
MuvMi

ปัญหาของการขนส่งและการเดินทางที่เห็นตอนนั้นคืออะไร

ศุภพงษ์ : การเดินทางในกรุงเทพฯ มันไม่มีประสิทธิภาพ มันเป็นความสูญเสียทั้งในสเกลของบุคคล สังคม จนถึงประเทศ ไม่ว่าคุณจะต้องเสียเวลากับรถติดทำให้ศักยภาพ ประสิทธิภาพของคนลดลง พลังงานที่นำเข้ามาต้องเผาทิ้งไปเปล่าๆ ตอนรถติด รวมถึงมลภาวะที่เกิดขึ้น

ปัญหาคือจำนวนรถบนท้องถนนมันเยอะเกินไปไม่ว่าจะเกิดจากผังเมืองที่ไม่ถูกต้อง เกิดจากการจราจรที่ไม่มีการจัดการที่ดี แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามประเด็นคือรถกับถนนไม่สัมพันธ์กัน ฉะนั้นเราต้องเอารถออกจากถนนแต่จะเอาออกยังไงในเมื่อคนยังต้องเดินทาง ก็ต้องโน้มน้าวให้คนใช้ขนส่งสาธารณะให้มากขึ้น แต่ขนส่งสาธารณะที่มีอยู่ก็ยังไม่ตอบโจทย์อีกเพราะว่าไม่มีอะไรให้คนขึ้นเพื่อไปเชื่อมต่อกับเขา คนสักกี่เปอร์เซนต์ที่สามารถมีบ้านอยู่ติดรถไฟฟ้าได้

ทำไมทางออกจึงกลายเป็นรถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า ride sharing

พิพัฒน์ : คิดแบบง่ายๆ เราแบ่งการเดินทางได้เป็น 2 แบบคือ mass transit หรือขนส่งมวลชนและ microtransit คือการเดินทางระยะสั้นๆ เช่น สองแถว วินมอเตอร์ไซค์ จริงๆ การเดินทางในเมืองมันมีหลายโซลูชั่น คนคิดไว้เยอะแยะมากมายเลย ทั้งสกูตเตอร์ จักรยาน แต่ที่เราเลือกใช้รถสามล้อเพราะเราคิดว่าผังเมืองของเมืองไทยไม่ได้ถูกดีไซน์มาอย่างดี หลายๆ ที่ประสบปัญหาซอยเล็กมาก ซอยลึก ทางเท้ายังไม่มี การที่เราจะเสิร์ฟคนให้ได้ถึงเส้นเลือดฝอยก็ต้องใช้ยานพาหนะที่ค่อนข้างคล่องตัว มีความสามารถที่จะเลี้ยว กลับรถ ซอกแซกไปมาได้

ส่วนนึงเราทำยานพาหนะที่ปลอดภัยและไม่มีมลภาวะ อีกส่วนคือระบบ ride sharing มันทำให้ค่าโดยสารมีราคาที่ทุกคนเข้าถึงได้

MuvMi

ตอนนั้นคุณรู้ได้ยังไงว่า MuvMi มีดีมานด์จริงๆ

พิพัฒน์ : อันนี้โจทย์ยาก แน่นอนการเริ่มทำธุรกิจใหม่ที่ไม่เคยมีคนทำมาก่อนเราไม่รู้หรอกว่าทำไปแล้วจะตอบโจทย์ผู้ใช้บริการหรือเปล่า ตอนเริ่มต้นเราเลยทำ Tuk Tuk Hop ขึ้นมาก่อน เป็นบริการรถตุ๊กตุ๊กที่เรียกผ่านแอพ นักท่องเที่ยวสามารถใช้บริการเดินทางในย่านเมืองเก่าได้ เขาจ่ายเงินทีเดียวแล้วก็ใช้ได้ทั้งวัน

ศุภพงษ์ : ก่อนทำ MuvMi เราทำ Tuk Tuk Hop อยู่ถึง 2 ปีนะเพื่อเทสต์ไอเดีย เทสต์ดีมานด์ เทสต์ business เทสต์ตัวแอพที่เราเขียนขึ้นเอง ระบบหลังบ้าน เทสต์คอนเซปต์ของเรารวมถึงรีเสิร์ชเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเมืองและการเดินทาง เราอยากรู้ว่าเวลาคนขึ้นลงใช้งานยานพาหนะสามล้อจริงๆ มันมีข้อจำกัดอะไรบ้าง เขาเกิดประสบการณ์ยังไง มีคำติชมอะไร ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญเพราะว่าเรากำลังจะแนะนำธุรกิจรูปแบบใหม่ เซอร์วิสรูปแบบใหม่ เราก็อยากรู้ว่าลูกค้าหรือว่ายูสเซอร์รู้สึกยังไง

ยูสเซอร์เราไม่ใช่แค่ลูกค้าด้วยซ้ำ ยูสเซอร์ที่เป็นกลุ่มใหญ่ๆ เลยก็คือคนขับเราก็ต้องเรียนรู้เหมือนกันเพื่อจะสื่อสารให้เขาเข้าใจว่าเขาต้องไปที่ไหน ยังไง พฤติกรรมของเขาเป็นยังไงเพราะเราดีไซน์ทั้งระบบ ทำตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ

ตอนทำ Tuk Tuk Hop เราได้ทุนจาก NIA มาพัฒนารถสามล้อไฟฟ้าไปด้วย ใช้เวลาเป็นปีกว่าจะพัฒนาโปรโตไทป์เสร็จ ระหว่างนั้นเราก็ใช้รถตุ๊กตุ๊กแก๊สวิ่งไปก่อน หลังๆ พอได้รถไฟฟ้ามาเราถึงเริ่มเอาออกไปทดลองวิ่งดูว่าลูกค้ารู้สึกยังไงกับรถรูปแบบใหม่

อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดที่ได้เรียนรู้จาก Tuk Tuk Hop

ศุภพงษ์ : ทุกอย่าง (หัวเราะ)

พิพัฒน์ : 2 ปีถามว่านานไหม นานนะ แต่ถามว่าคุ้มมั้ยเราคิดว่าคุ้ม อย่างการเทสต์แอพสำคัญมากเพราะเป็นวินโดวส์ใหม่ซึ่งยูสเซอร์ยังไม่คุ้นเคย หรือการที่อยู่ดีๆ เราเรียกรถแล้วต้องไปนั่งข้างๆ กับคนอื่นก็เป็นประสบการณ์ที่เราก็ต้องเก็บข้อมูลว่าคนนั่งรู้สึกยังไง รวมถึงข้อมูลว่าคนเรายอมนั่งอ้อมเส้นทางหลักแค่ไหน ยินยอมที่ระยะเวลาเท่าไหร่เพื่อที่จะทำให้การ sharing มีประสิทธิภาพมากขึ้น เราเก็บข้อมูลมาเพื่อปรับปรุงให้ระบบเราใช้ได้จริงๆ

MuvMi

หลังจากทำ Tuk Tuk Hop จนมั่นใจพอเปิดตัว MuvMi จริงๆ ได้ค้นพบอะไรอีกไหม

พิพัฒน์ : พื้นที่แรกที่เราเริ่มให้บริการคือจุฬาฯ มหาวิทยาลัย เขาเองมีปัญหาภายในว่าเขามีรถประจำทางวิ่งฟรี (รถ ปอ.พ หรือ CU Pop Bus) แต่มันก็ยังไม่ตอบโจทย์ คนยังต้องการการเดินทางรูปแบบอื่น เขาเห็นว่าเราน่าจะเป็น solution นึงได้ก็เลยให้เราไปทดลองวิ่งดู

ศุภพงษ์ : การทดลองครั้งนั้นมันมันตอบในความเชื่อเราว่าการเดินทางที่ดี คำว่า future mobility หรือ smart mobility คืออะไร สำหรับเรา การลองวิ่งที่จุฬาฯ ทำให้เราเข้าใจเลยว่าการเดินทางที่ดีไม่ใช่การเดินทางรูปแบบใดรูปแบบนึงแต่มันคือการเดินทางที่คุณสามารถเลือกวิธีอะไรก็ได้ที่เหมาะสมกับคุณ วันนี้คุณรีบคุณก็เดินทางแบบนึง วันนี้คุณไม่รีบคุณเดินทางอีกแบบ วันนี้คุณจะไปท่องเที่ยวคุณก็อยากเดินทางแบบนึง และคุณสามารถเลือกได้โดยรู้สึกว่ามันตอบโจทย์คุณจริงๆ ไม่ได้ถูกบังคับให้เลือก การเดินทางที่ดีมันควรจะต้องเป็นอย่างนั้น

การไปรันในพื้นที่ที่มีรถให้บริการฟรีแบบนี้ในเชิงธุรกิจก็คงดูงงๆ เนอะ คุณจะไปเก็บเงินในพื้นที่ที่มีรถฟรีทำไมแต่มันก็ทำให้เห็นว่าสิ่งที่คนต้องการไม่ใช่แค่ฟรี ถ้าคุณสร้างทางเลือกให้คนได้แล้วมันตอบโจทย์คนก็จะเลือกจริงๆ เราเห็นว่าคนต้องการอิสรภาพในการเดินทางทำให้เราก็พุ่งเป้าได้ถูก เราไม่อยากเป็น the winner takes all มันไม่ใช่ตลาดแบบนั้น สิ่งที่เราจะสร้างคือการทำให้คนรู้สึกมีทางเลือก เวลาคนเรามีทางเลือกแปลว่าเขารู้สึกว่าเขามีอำนาจของตัวเอง เป็นการเพิ่มศักยภาพชีวิต เพิ่มคุณภาพชีวิต ทำให้เขาเข้าถึงชีวิตที่เขาต้องการได้มากขึ้น 

MuvMi

เคยมีหลายคนเสนอเรื่องการแก้รถติดด้วย ride sharing แต่คอนเซปต์นี้ก็ดูยังไม่เกิดในไทยขนาดนั้น คุณมีวิธียังไงที่ทำให้คนไทยยอมรับ ride sharing

ศุภพงษ์ : ต้องกลับไปพูดเรื่องสำคัญมากคือเรื่องรถ เหตุผลที่เราทำยานพาหนะรูปแบบนี้ขึ้นมาเพราะว่าฮาร์ดแวร์ที่มีอยู่ในตลาด ณ ตอนนั้น ไม่ว่าจะเป็นรถเก๋งหรือว่าตุ๊กตุ๊กมันทำให้เกิด ride sharing ไม่ได้ ลองไปนั่งแท็กซี่แล้วต้องเจอกับใครไม่รู้ ไหล่เกย หรือต่อให้ไหล่ไม่เกยแต่ต้องอยู่ในที่ปิดกัน 2 คน ความรู้สึกมันก็ไม่ค่อยปลอดภัยใช่ไหม รวมถึงคนไทยก็เป็นคนที่ค่อนข้างมี personal space ถ้าใช้ยานพาหนะแบบเก่าเขาก็จะรู้สึกไม่ comfortable เราถึงดีไซน์ตัวรถเองเพราะว่ารถจะเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ของลูกค้าที่สำคัญมากเลย

พิพัฒน์ : ถ้าให้กลับไปมองว่าอะไรที่ทำให้ธุรกิจนี้เกิดขึ้นได้ เราพบว่ามีสองประเด็นหลักที่ทำให้คนอยากเดินทาง หนึ่งคือ accessibility คือความรวดเร็ว เรียกปุ๊บมาปั๊บ คนให้ความสำคัญกับเวลา สองคือเรื่องราคาที่เข้าถึงได้ ถ้ามีส่วนประกอบหลักๆ 2 อย่างนี้ก็ตอบโจทย์แล้ว ลองคิดดูว่าทำไมคนถึงใช้รถสองแถวทั้งๆ ที่มันก็เบียด หรือเล็กไปกว่านั้นอีกก็คือกระป๊อ ทำไมคนถึงเข้าไปนั่งได้ถึง 9 คนทั้งๆ ที่มันก็ไม่น่าจะนั่งได้ ก็เพราะว่ามันมีองค์ประกอบ 2 อย่างนี้นี่แหละ เราเองอยากจะตอบโจทย์ของการเดินทางโดยที่โฟกัส 2 จุดนี้เหมือนกัน

MuvMi

ตุ๊กตุ๊กของ MuvMi พิเศษยังไง

พิพัฒน์ : เราใส่เทคโนโลยีลงไป อย่างหนึ่งคือระบบไฟฟ้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แล้วก็พยายามดีไซน์ให้โครงสร้างของรถสามล้อแข็งแรงขึ้น เบาขึ้น จุดศูนย์ถ่วงของรถต่ำจะได้อันตรายน้อยลงเทียบกับรถสามล้อแบบดั้งเดิม

ศุภพงษ์ : สามล้อปกติมันก็ดูจะขึ้นยาก นั่งยาก ลงยาก แล้วก็แน่นอนมันดูแล้วไม่ค่อยเซฟเท่าไหร่ เราปรับขนาดพื้นที่ในการนั่ง ความโปร่ง มุมมองการมองเห็นเพราะความรู้สึกของคนเรามันเกิดจากทุกประสาทสัมผัส ตามอง ผิวสัมผัส จมูกดม หลักการของเราคือทำรถให้คนนั่งรู้สึกว่าเขาปลอดภัยที่สุด มีพื้นที่มากที่สุด มันก็เป็นส่วนที่ทำให้เขายอมรับเราได้ง่ายขึ้น ไม่อย่างนั้นมันก็จะเป็นการบังคับให้เขาต้องมาใช้ในสิ่งที่เขารู้สึกไม่เซฟ

เอาจริงๆ ตอนแรกลูกค้าจะไม่รู้สึกถึงความต่างหรอกจนกระทั่งเขากลับไปใช้รถสามล้อแบบเดิมอีกครั้งเขาถึงจะรู้สึก เราเคยลองเอารถสามล้อแก๊สมาวิ่งเทียบกับรถไฟฟ้าที่ออกแบบเอง ฟีดแบ็กชัดเจนมากว่าลูกค้าอยากได้รถไฟฟ้ามากกว่า

พูดถึงย่านที่ให้บริการ คุณมีหลักเกณฑ์ในการเลือกย่านยังไง

ศุภพงษ์ : เราพยายามมองลูกค้าเป็นหลักว่าย่านไหนมีความต้องการ microtransit บ้าง แต่ทุกที่ก็ต้องการหมดแหละดังนั้นความหนาแน่นจึงเป็นเรื่องสำคัญสุด ต้องยอมรับว่าเราไม่ได้มีทรัพยากรรถเหลือเฟือฉะนั้นเราต้องเลือกพื้นที่ที่มีความจำเป็นมากที่สุดก่อนโดยที่เราทำไหว

ถ้าจำนวนรถไม่พอมันก็จะไม่เกิดอิมแพกต์ต่อพื้นที่นั้น หรืออาจจะเป็นด้วยรูปแบบถนนที่รถติดมากจนกระทั่งรถทุกคันมันติดอยู่บนถนนเฉยๆ ต่อให้มีเราก็ไม่ช่วยอะไร เราก็ต้องวิเคราะห์จากตรงนั้นด้วย

เช่นย่านอะไรบ้าง พอยกตัวอย่างได้ไหม

พิพัฒน์ : ทุกที่ในกรุงเทพฯ แหละครับ (หัวเราะ)

ศุภพงษ์ : อย่างพื้นที่อโศกมันชัดเจน ใครๆ ก็รู้มันเป็น CBD (central business district) ความหนาแน่นสูง มีความต้องการในการเดินทางมาก แต่เราก็ไม่ไปแตะเพราะด้วยจำนวนรถที่มีเราคิดว่าเราไม่น่าจะสามารถเติมเต็มพื้นที่นั้นได้ เพิ่มรถลงไปเท่าไหร่ก็ไปติดอยู่ที่แยกเดียวกันหมด มันก็ไม่มีประโยชน์

MuvMi

ทำไม MuvMi เลือกให้บริการเป็นย่าน มันคือส่วนหนึ่งของการทำ Ride Sharing หรือเปล่า

พิพัฒน์ : ถูก การที่เราควบคุมพื้นที่ได้ ควบคุมการเดินทางของรถเราได้ เราก็สามารถที่จะการันตีได้ว่ารถของเราจะอยู่ในพื้นที่ตรงนั้นกี่คัน เรียกปุ๊บกี่นาทีจะมา ที่เราคำนึงถึงความหนาแน่นของประชากรในพื้นที่เพราะการ sharing ต้องการประชากรในระดับนึง ถ้าการเดินทางหนาแน่นไม่พอการ sharing มันจะไม่เกิดซึ่งไม่ใช่เป้าหมายของเราเพราะเราอยากจะทำให้ทุกๆ การเดินทางราคาไม่แพง

บริษัทของพวกคุณมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า Urban Mobility Tech นอกจากการใช้แอพพลิเคชั่นเรียกรถแล้วเทคโนโลยีอยู่ตรงไหนของเซอร์วิสบ้าง

พิพัฒน์ : มันเริ่มจากการที่เรามีรถพลังงานไฟฟ้าที่ต้องมีวิธีจัดการเรื่องการเติมพลังงาน การ optimization แอพฯ แล้วก็แน่นอนเรื่องของการบริหารคนขับ เราเอาเทคโนโลยีมา manage คนขับที่เคยขับตุ๊กตุ๊ก อิสรภาพค่อนข้างสูง เขาอยากจะขับ อยากจะไม่ขับ อยากจะรับลูกค้าหรือจะไม่รับลูกค้าเป็นสิทธิ์ของเขา เราพยายามจัดให้มีระบบมากขึ้น เรื่องการบริหาร fleet รถก็ต้องใช้ข้อมูลมหาศาลที่เราเก็บมาวิเคราะห์ว่าทำยังไงให้รถของเราไปหาลูกค้าให้ได้ทันเวลา

ศุภพงษ์ : สำหรับพวกเราสิ่งสำคัญมันอยู่ที่การตั้งคำถามว่าเป้าหมายของเราคืออะไร อย่างเราต้องการให้เกิดอิมแพคต์ เราต้องการให้เกิดขนส่งที่ดีต่อลูกค้า เราเชื่อว่าเทคโนโลยีที่ดีคือเทคโนโลยีที่นำมาใช้แล้วทำให้ไปถึงเป้าหมาย มันอาจจะไม่ใช่เทคโนโลยีที่ดีที่สุดหรือแอดวานซ์ที่สุดแต่คือเทคโนโลยีที่เหมาะสม

คนมักจะบอกว่าสตาร์ทอัพต้องใช้เทคโนโลยีมา disrupt เปลี่ยนแปลง ล้างบาง อันใหม่มาอันเก่าต้องสูญพันธุ์แต่เราไม่ได้มองอย่างนั้น เรามองว่าเราใช้เทคโนโลยีในการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่ง ยกระดับ ecosystem เดิมที่มีอยู่ ทำให้ขนส่งอื่นๆ ทำงานของเขาได้อย่างมีประสิทธิภาพ อยู่ใน market fit ของเขาได้ดีขึ้น

MuvMi

ที่บอกว่าเอาเทคโนโลยีมาบริหารระบบคนขับ คุณทำยังไง

ศุภพงษ์ : ต้องจินตนาการว่าตอนนี้เรามีคน 200 คนบนถนน อยู่คนละที่กันหมดเลย จะรู้ได้ยังไงว่าเขาอยู่ตรงไหน แค่นี้ก็ยากแล้ว แล้วใครจะต้องไปรับใคร ทั้งหมดนี้เป็นการตัดสินใจตลอดเวลาซึ่งไม่สามารถจะเอาคนมาตัดสินใจได้ มันต้องอาศัยข้อมูล บวกอัลกอริทึม บวกคำสั่งเพื่อที่จะเลือกสิ่งที่ดีที่สุด ซึ่งคำว่าดีที่สุดก็อาจจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลา เช่น ตอนแรกถนนยังโล่งๆ ขับๆ ไปดันเจอรถติด หรือขับๆ ไปแล้วเกิดรถชนหรือปิดถนนขึ้นมามันเปลี่ยนไปทุกๆ วินาที และทุกวินาทีก็มีความหมาย เช่น แยกสะพานควาย การที่คุณขับผ่านหรือไม่ผ่านไฟเขียวครั้งนี้อาจทำให้ไปถึงจุดหมายต่างกัน 20 นาที

พิพัฒน์ : เราอยากใช้เทคโนโลยีมาทำให้ชีวิตคนขับดีขึ้นด้วย สโลแกนของเราคือ happy driver, happy customer เราต้องใช้ทุกอย่างทำให้คนขับมีความสุข ให้เขาไปทำงานกี่โมง เลิกงานกี่โมง พักงานกี่โมง พวกนี้ก็ต้องเอาดาต้ามาดู

ศุภพงษ์ : คนขับมีผลมากๆ เซอร์วิสของเรามีความเป็นคอมมิวนิตี้สูง หมายถึงว่าลูกค้ามีโอกาสที่จะเจอคนขับคนนี้ประจำเพราะเขาวิ่งในย่านนี้แหละ นอกจากนี้เขาเป็นแชนแนลแรกของเราที่ลูกค้าเห็น สัมผัส รู้สึกได้ ฉะนั้นเขาเป็นคนสำคัญมากที่จะทำให้เซอร์วิสดีหรือไม่ดี

MuvMi

ขนส่งหลายแห่งใช้วิธีแบ่งเปอร์เซ็นต์รายได้กับคนขับ ในขณะที่ MuvMi ให้เป็นเงินเดือนซึ่งทำให้มี fixed cost สูงมาก ทำไมถึงยังเลือกวิธีนี้

พิพัฒน์ : โมเดลมันมีได้หลายแบบเนอะ ตอนเริ่มต้นเราเองเป็นใครก็ไม่รู้ถ้าจะชวนคนมาขับแล้วแบ่งเปอร์เซ็นต์ให้แบบแอพขนส่งใหญ่ๆ มันไม่มีคนมาร่วมกับเราหรอก เราก็ต้อง secure อะไรบางอย่างกับเขาแล้วก็ทำให้ธุรกิจมันเกิด พอเกิดปุ๊บ เราอาจจะไม่ได้กับฟิกซ์กับโมเดลนี้โมเดลเดียว

เซอร์วิสของพวกคุณเปิดมา 5 ปี ขยายได้ถึง 10 ย่านแล้ว คิดว่าอะไรเป็นเหตุผลที่ทำให้สเกลได้ค่อนข้างเร็ว

ศุภพงษ์ : ผมว่ามันเป็นจังหวะและเวลาด้วยแหละ อั๋นเคยพูดว่าเขาทำรถไฟฟ้ามาสิบกว่าปีถ้าจังหวะเวลาไม่ใช่มันก็คือไม่ใช่ 7 ปีที่แล้วตอนเราเริ่ม Tuk Tuk Hop เราบอกว่าจะทำรถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้ายังมีคำสบประมาทว่าจะใช้ไฟฟ้าจริงหรือเปล่า วันนี้มันไม่มีใครถามแล้ว ฉะนั้นมันคือจังหวะและเวลา การที่พฤติกรรมคนเริ่มเปลี่ยน การเข้ามาของแอพขนส่งทั้งหลายทำให้คน adopt เราได้เร็วขึ้น

พอพฤติกรรมคนเปลี่ยนความต้องการก็จะเปลี่ยน ฉะนั้นโซลูชั่นที่มันปรับตัว เปลี่ยนแปลงให้เข้ากับความต้องการได้ทันก็จะอยู่ได้เทียบกับโซลูชั่นที่เหมือนเดิมมาตลอด 10-20 ปี จะเปลี่ยนเวลาวิ่งยังยากเลย เพิ่มจำนวนรถก็ยาก ลดจำนวนก็ยาก จะเพิ่มราคาก็ยาก ความยากเหล่านั้นทำให้มันไม่สามารถเปลี่ยนได้ทันความต้องการของคนขณะที่เราสามารถจะเปิด-ปิดให้บริการได้ ยืดเวลาก็ได้ ตรงนี้รถเมล์ไม่วิ่งเราก็วิ่งได้ ทำได้ทันที ทำให้คนเลือกเราเพราะเขาไม่มีทางเลือกอื่นด้วยซ้ำ

แปลว่าความยืดหยุ่นสำคัญมาก

ศุภพงษ์ : ใช่ อย่างช่วงโควิดคนเปลี่ยนแปลงเวลาเข้า-ออกจากบ้านตลอดเวลา มีการล็อกดาวน์ เคอร์ฟิว ผู้ให้บริการขนส่งต่างๆ ก็ต้องเปลี่ยนเวลาให้บริการหรือวิธีการปล่อยสายรถ บางทีคนเลิกงานดึกขึ้นรถเมล์รอบสุดท้ายไม่ทันเราก็ต้องเป็นคนไปรอเก็บตก หรือบางที่คนเดินทางน้อยลงจนกระทั่งสายรถเมล์หยุดวิ่ง โรงเรียนเลยไม่มีรถไปส่งนักเรียนไปที่ป้ายรถเมล์ใหญ่ เราก็ต้องไปรับคนเหล่านั้นเพื่อให้เขาเชื่อมต่อกับระบบใหญ่ได้ ระบบที่เปลี่ยนไปได้ตามความต้องการของลูกค้าคือคีย์เวิร์ดเลย

ได้ยินว่า MuvMi พาร์ตเนอร์กับธุรกิจอื่นๆ ในลักษณะ B2B เหมือนกัน เล่าให้ฟังถึงโปรเจกต์เหล่านั้นได้ไหม

ศุภพงษ์ : เราเริ่มทำงานร่วมกับภาคธุรกิจมากขึ้น เช่น กลุ่มอสังหาริมทรัพย์หรือคอมมิวนิตี้มอลล์ เขาเริ่มมองเห็นศักยภาพว่าถ้าการเดินทางดี มีทางเลือก หรือมีเทคโนโลยีเข้ามาจับ มันจะเพิ่มศักยภาพของเขาขนาดไหน เช่น เพิ่มความสะดวกกับลูกค้าของเขา เดินทางง่ายลูกค้าแฮปปี้ สถานที่ก็ไม่จำเป็นต้องสร้างที่จอดรถเพิ่ม รถติดรอบพื้นที่ศูนย์การค้าน้อยลงลดผลกระทบต่อสังคมไปด้วย

นอกจากนี้ก็มีบางที่ชวนเราไปพูดคุยเรื่องการสร้างธุรกิจรูปแบบใหม่กับเขาก็มี ด้วยความที่งานของเรามันยืดหยุ่นอยู่แล้วเราก็ยินดีที่จะเป็นเครื่องมือให้เขาลองเพราะแค่มีรถไฟฟ้าที่อยู่บนถนนมากขึ้นมันก็ดีต่อสังคมแล้ว หรือการมีรถสาธารณะที่เพิ่มขึ้นก็ทำให้รถออกไปจากถนน ตอบเป้าหมายของเรา อะไรก็แล้วแต่ถ้ามันดีต่อลูกค้าของเรา ดีต่อยูสเซอร์ ดีต่อเป้าหมายของเราเราก็ยินดี

MuvMi

อย่างที่พวกคุณบอก ขนส่งเป็นบริการที่เกี่ยวข้องกับคนหลายฝ่ายตั้งแต่ระดับนโยบายรัฐไปจนถึงผู้บริโภค เราคุยเรื่องการแก้โจทย์กับผู้บริโภครวมถึงธุรกิจอื่นๆ ไปแล้ว กับฝั่งนโยบายยังมีความท้าทายอะไรอีกไหม

ศุภพงษ์ : กฎหมายที่เกี่ยวข้องบางอันก็เป็นกฎหมายเก่าที่อาจไม่เข้ากับบริบทปัจจุบันแล้ว ซึ่งเข้าใจได้นะ ณ วันที่ออกกฎหมายมันตีความบริบทเดิม เทคโนโลยีเดิมเขาก็ต้องเขียนอย่างนั้นแหละ เช่น บอกว่ารถสามล้อเป็นรถที่ไม่ปลอดภัย มลภาวะเยอะ วันนี้เราปรับแก้เปลี่ยนทุกอย่างแล้วแต่กฎหมายที่ใช้ครอบคลุมมันก็ยังเป็นกฎหมายชุดเดิม ถามว่าเราควรจะเปลี่ยนมันไหม รัฐก็รับรู้แล้วแต่อยู่ระหว่างกระบวนการเปลี่ยนข้อกำหนด

พิพัฒน์ : ต้องบอกว่าจริงๆ แล้วทุกวันนี้หน่วยงานต่างๆ เขาก็ปรับตัวนะ เช่น ก่อนหน้านี้รัฐไม่เปิดให้จดทะเบียนรถสามล้อเพิ่มด้วยเหตุผลเรื่องของความปลอดภัย มลภาวะและอื่นๆ แต่ทุกวันนี้กฎหมายก็ปรับให้มีช่องในการจดทะเบียนทดแทนรถสามล้อเก่าอยู่  รวมถึงสำนักมาตรฐานอุตสาหกรรมก็พยายามตั้งมาตรฐานเรื่องของสามล้อไฟฟ้าขึ้นมา สถาบันยานยนต์ก็เพิ่มการทดสอบรถสามล้อไฟฟ้า มีการปรับเปลี่ยนเพื่อที่จะรองรับการพัฒนาในอนาคต

MuvMi

ศุภพงษ์ : เทคโนโลยีมันเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ เราอยู่กับรถ ICE (Internal Combustion Engine หรือรถยนต์สันดาป) มา 40 ปี เดิม 100% บนถนนคือรถที่ใช้น้ำมัน วันนี้เราอยู่ในช่วงที่เริ่มมีรถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาอยู่บนถนน อาจจะ 0.1% 5% 10% รถเหล่านี้จะเริ่มมีสัดส่วนมากขึ้นเรื่อยๆ วิธีการที่รับมือ กฎหมายที่จะรองรับมาตรฐานต่างๆ มันควรจะเปลี่ยนไปด้วย ซึ่งถามว่ากรมการขนส่งทางบกรู้ไหม เขารู้ เขาก็กำลังปรับอยู่

พิพัฒน์ : ปัจจุบันเราสามารถจดทะเบียนรถได้ถึง 200 คันแล้วถือว่าดีขึ้นกว่าแต่ก่อน แต่แน่นอนเราไม่ได้อยากจะหยุดอยู่แค่นี้ เราอยากจะให้เขาเห็นว่าบริการนี้มีความสำคัญแล้วก็ปรับกฎหมายต่อเนื่องเพื่อรองรับธุรกิจในอนาคตมากขึ้น

ท้ายที่สุดแล้วจากประสบการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมด คุณคิดว่าการเดินทางที่ดีคืออะไร

ศุภพงษ์ : ความปลอดภัยเป็นเรื่องแรก เรามองว่าถ้าเราจะทำขนส่งสาธารณะที่ดีต้องปลอดภัยเพราะถ้าคุณขึ้น 2 วันแล้วหัวแตกคุณก็จะไม่ขึ้นแล้ว สอง เข้าถึงได้ง่าย หมายถึงว่าทุกคนส่วนใหญ่สามารถเข้าถึงได้ ใช้มันได้ทุกวัน รวมถึงมีความสะดวกสบายพอที่จะทำให้เขารู้สึกว่ามันยกระดับชีวิตเขาได้ นั่นคือการเดินทางที่ดีในคอนเซปต์ของเรา

ตอนนี้เป้าหมายของ MuvMi อยากจะ move ไปสู่จุดไหน

ศุภพงษ์ : เราอยากให้คนไทยหรือคนในโลกมีการเดินทางที่ดี วันนี้เราเพิ่งเริ่มเฟสการแนะนำบริการของเราเข้าไปในตลาดแต่เราก็เชื่อว่ามันจะสามารถเป็นอิมแพกต์ให้กับยูสเซอร์หรือใครก็ตามที่อยากจะเข้ามาในตลาดได้ ตอนเริ่มมันยากสุดแหละ แต่พอเริ่มแล้วมันมีคนเห็นคุณค่าของมันเขาก็เริ่มมาร่วมกับเรา ให้การสนับสนุน หรือทำให้เขารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ทำได้ 

ผมเชื่อว่ามีคนมากมายที่อยากจะเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างแต่ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรพอเขาเห็นว่าสิ่งที่เราทำมันดีเขาก็ช่วยเหลือเรา เราก็พิสูจน์แล้วว่าสิ่งนี้มันไม่ได้ดีแค่กับเราหรือผู้ใช้ของเรา แต่คนที่ได้จริงๆ มันคือสังคมนะ ถ้าเราสร้างการเดินทางที่ดีได้คนที่อยู่บนท้องถนนมันได้ประโยชน์หมด ไม่ว่าคุณจะรวยจนแค่ไหน คุณปหนีจากถนนเส้นนี้ไม่ได้หรอกจริงไหม

MuvMi

ชวนร้าน Furawa Desu เลือกหยิบ 13 สิ่งที่เป็นที่สุดของแบรนด์มาใส่ตระกร้า

Furawa Desu

Furawa Desu add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

SEO Keyword

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

ทำไมวันนี้อาหารลาวจึงก้าวขึ้นมาป๊อปปูลาร์ในสหรัฐอเมริกา

อาหารลาว

อาหารลาว Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

นาฬิกา 5 เรือนที่สะท้อนความเป็น Rolex และความรักใน Rolex ของ กิตติโชค อัศดรศักดิ์

Rolex

Rolex add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

SEO Keyword

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

ชีวิตดีขึ้นทุกด้าน ด้วยการเริ่มต้นวางแผนทางการเงินเพียงครั้งเดียว

วางแผนการเงิน นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

วางแผนการเงิน WEALTH DONE คือ คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เป็นอุปนายกสมาคมนักวางแผนทางการเงินไทย เป็นคุณครู เป็นนักเขียน และล่าสุดเป็นคอลัมนิสต์ของ Capital ที่จะมาพบผู้อ่าน ทุกวันพฤหัสบดี เว้นวันพฤหัสบดี ที่ capitalread.co เริ่มตอนแรกวันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม

หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราชาว Capital ได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital ระหว่างนี้ ตามไปทำความรู้จักคอลัมนิสต์คนใหม่ของเราได้ที่ บทสัมภาษณ์ตอนล่าสุดของคอลัมน์ ณ บัตรนั้น

นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

WEALTH DONE คือ คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เป็นอุปนายกสมาคมนักวางแผนทางการเงินไทย

หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราชาว Capital ได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital ระหว่างนี้ ตามไปทำความรู้จักคอลัมนิสต์คนใหม่ของเราได้ที่ บทสัมภาษณ์ตอนล่าสุดของคอลัมน์ ณ บัตรนั้น

นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

WEALTH DONE คือ คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราชาว Capital ได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital ระหว่างนี้ ตามไปทำความรู้จักคอลัมนิสต์คนใหม่ของเราได้ที่ บทสัมภาษณ์ตอนล่าสุดของคอลัมน์ ณ บัตรนั้น

นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

WEALTH DONE คือ คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราชาว Capital ได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital ระหว่างนี้ ตามไปทำความรู้จักคอลัมนิสต์คนใหม่ของเราได้ที่ บทสัมภาษณ์ตอนล่าสุดของคอลัมน์ ณ บัตรนั้น

นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เป็นอุปนายกสมาคมนักวางแผนทางการเงินไทย

หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราชาว Capital ได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital ระหว่างนี้ ตามไปทำความรู้จักคอลัมนิสต์คนใหม่ของเราได้ที่ บทสัมภาษณ์ตอนล่าสุดของคอลัมน์ ณ บัตรนั้น

นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เป็นอุปนายกสมาคมนักวางแผนทางการเงินไทย เป็นคุณครู เป็นนักเขียน และล่าสุดเป็นคอลัมนิสต์ของ Capital ที่จะมาพบผู้อ่าน ทุกวันพฤหัสบดี เว้นวันพฤหัสบดี ที่ capitalread.co เริ่มตอนแรกวันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม

หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราชาว Capital ได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital ระหว่างนี้ ตามไปทำความรู้จักคอลัมนิสต์คนใหม่ของเราได้ที่ บทสัมภาษณ์ตอนล่าสุดของคอลัมน์ ณ บัตรนั้น

นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เป็นอุปนายกสมาคมนักวางแผนทางการเงินไทย เป็นคุณครู เป็นนักเขียน และล่าสุดเป็นคอลัมนิสต์ของ Capital ที่จะมาพบผู้อ่าน ทุกวันพฤหัสบดี เว้นวันพฤหัสบดี ที่ capitalread.co เริ่มตอนแรกวันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม

หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราชาว Capital ได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital ระหว่างนี้ ตามไปทำความรู้จักคอลัมนิสต์คนใหม่ของเราได้ที่ บทสัมภาษณ์ตอนล่าสุดของคอลัมน์ ณ บัตรนั้น

นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เป็นอุปนายกสมาคมนักวางแผนทางการเงินไทย เป็นคุณครู เป็นนักเขียน และล่าสุดเป็นคอลัมนิสต์ของ Capital ที่จะมาพบผู้อ่าน ทุกวันพฤหัสบดี เว้นวันพฤหัสบดี ที่ capitalread.co เริ่มตอนแรกวันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม

เมื่อดินแดนแห่งปลาดิบเริ่มมี ‘ตู้กดซาชิมิอัตโนมัติ’ เพื่อโอบรับความปกติใหม่หลังยุคโควิด-19

คำว่า  ‘new normal’ หรือความปกติใหม่ คงเป็นคำแห่งยุคที่เราได้ยินบ่อยที่สุดใน 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งคำนี้บ่งบอกถึงพฤติกรรมรูปแบบใหม่ที่เกิดขึ้นบนโลกหลังการอุบัติของโควิด-19 ทั้งการออกไปไหนต่อไหนโดยต้องสวมใส่หน้ากากอนามัย การบีบเจลแอลกอฮอล์ใส่มือหลังสัมผัสสิ่งของ การสวมถุงมือก่อนตักอาหารบนไลน์บุฟเฟต์ ตลอดไปจนถึงการใช้ข้อศอกกดหมายเลขบนแป้นลิฟต์

หลายต่อหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วจนดูคล้ายกับว่า นี่คือการจัดระเบียบสังคมครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งที่ธรรมชาติ (?) จัดสรรให้กับเหล่ามวลมนุษยชาติ รวมไปทั้งพฤติกรรมการจับจ่ายซื้อของกินก็เช่นกันที่เปลี่ยนแปลงไป

หากเรายังพอจำกันได้ในช่วงปี 2020-2021 เป็นช่วงปีที่เราได้เห็นการระบาดอย่างหนักไปทั่วโลกของไวรัสโควิด-19 รัฐบาลแต่ละประเทศต่างออกมารณรงค์การใส่หน้ากากอนามัยในพื้นที่สาธารณะและสนับสนุนให้ผู้คนรักษาระยะห่างทางสังคม รวมไปถึงอีกหลายประเทศที่มีการประกาศล็อกดาวน์พื้นที่ จำกัดเวลาการออกจากบ้านของประชาชนเลยทีเดียว

ทั้งหมดที่กล่าวมาส่งผลกระทบโดยตรงต่อพฤติกรรมของผู้บริโภคและต่อผู้ประกอบกิจการไปด้วยในเวลาเดียวกัน เมื่อผู้คนออกจากบ้านน้อยลง การกินดื่มสังสรรค์นอกบ้านก็ต้องน้อยลงตามไปด้วย อีกทั้งยังมีข้อจำกัดอื่นๆ อีกในการรับประทานอาหารนอกบ้าน ทั้งการรักษาระยะห่างทางสังคมและการจำกัดจำนวนคนในร้านอาหาร (และผับบาร์)

ผู้คนจึงต้องกินข้าวที่บ้านมากขึ้น เนื่องด้วยทั้งจากการลดการสัมผัส การรักษาระยะห่างและการเวิร์กฟรอมโฮม ธุรกิจร้านอาหารเครื่องดื่มจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่จะได้รับผลกระทบนี้ไปเต็มๆ

ประเทศญี่ปุ่น–ด้วยรักและปลาดิบ

ญี่ปุ่น–ประเทศแห่งความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการที่เรามักจะเห็นไอเดียและความกล้าที่จะคิดจนหลายต่อหลายครั้งถึงขั้นทำให้เราต้องร้อง “ว้าว” หรือไม่ก็เอียงคอด้วยความสงสัยว่า “แบบนี้ก็(คิด)ได้ด้วยเหรอ” ญี่ปุ่นดูเหมือนจะเป็นประเทศที่ทำให้เราเห็นความละเอียดอ่อนในการใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ตลอดจนถึงการโอบรับความเป็นไปได้ในทุกรูปแบบ จนเป็นที่มาของนวัตกรรมและความคิดใหม่ๆ บนโลกใบนี้

ถ้าเราพูดถึงความเป็น ‘ญี่ปุ่น’ และอาหารญี่ปุ่น ลิสต์รายชื่อของอาหารคงเรียงรายมากมายไม่รู้จบ และหนึ่งในนั้นก็น่าจะมี ‘ซาชิมิ’ ประกอบอยู่ด้วย

‘ซาชิมิ’ หรือที่คนไทยมักเรียกชื่อกันแบบสั้นๆ ว่า ปลาดิบ คืออาหารจานดิบที่ถูกหั่นแล่สไลด์ให้บางแบบพอดีคำ ปกติแล้วเรามักจะคุ้นชินกับ ซาชิมิที่เป็นเนื้อปลา แต่อันที่จริงจะหมายรวมถึงอาหารอย่างอื่นที่รับประทานแบบแล่ดิบๆ ก็ได้ เช่น เนื้อวัว เนื้อม้า เนื้อกวาง แต่เนื้อปลาดิบและซีฟู้ดดิบดูจะเป็นที่นิยมมากกว่าเนื้อดิบชนิดอื่น

ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศที่ได้รับสมญานามว่า ‘ดินแดนแห่งปลาดิบ’ นอกจากจะเป็นประเทศที่นิยมบริโภคปลาดิบแล้ว ยังเป็นประเทศที่เปรียบเสมือนกับเป็นเมืองหลวงแห่งปลาดิบของโลกอีกด้วย เพราะในปี 2010 แค่เฉพาะปลาทูน่าที่ซื้อ-ขายในตลาดปลาซาชิมิ ก็มีจำนวนมหาศาลถึง 300,000-400,000 ตันแล้ว ในขณะที่การซื้อ-ขายปลาทูน่าซาชิมิที่อื่นๆ ทั่วโลกทุกประเทศรวมกันมีปริมาณเพียงแค่ 60,000-100,000 ตันต่อปีเท่านั้น

แต่อย่างที่เกริ่นไปข้างต้นว่าโควิด-19 ทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป ไม่มีข้อยกเว้นแม้กระทั่งการกินซาชิมิของคนญี่ปุ่น ตามสถิติจาก MAFF (Minitry of Agriculture, Forestry and Fisheries) ของญี่ปุ่น สถิติการบริโภคอาหารทะเลของคนญี่ปุ่นมีปริมาณลดลงจากที่ปริมาณการบริโภคซีฟู้ดต่อคนต่อปีตกอยู่ที่คนละ 40.2 กิโลกรัม ในปี 2001 พอมาในปี 2019 จำนวนการบริโภคลดลงเหลือแค่ 23.8 กิโลกรัมต่อคนต่อปีเท่านั้น

สาเหตุสำคัญที่ MAFF สรุปไว้ต่อการบริโภคที่ลดลงดังกล่าว ทั้งที่ใจจริงแล้วคนญี่ปุ่นยังคงมีความตั้งใจและรักที่จะกินซาชิมิและอาหารทะเลอย่างต่อเนื่อง คือราคาอาหารที่แพงขึ้น และความลำบากในการตระเตรียม

ทีนี้ก็มาถึงฮีโร่ที่จะมาช่วยแก้สถานการณ์นี้

หลบหน่อย พระเอกมา

ฮีโร่ที่มาช่วยทำให้คนญี่ปุ่นเข้าถึงปลาดิบได้มากขึ้นกว่าเดิมอยู่ที่เมืองคานาซาวะ จังหวัดอิชิคาวะ ประเทศญี่ปุ่น โดยจะมาช่วยแก้ไขสถานการณ์ให้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายปลาดิบสามารถพบเจอกันได้ตรงกลาง ทั้งๆ ที่มีข้อจำกัดที่เพิ่มขึ้นมากมาย ซึ่งฮีโร่ที่ว่าเราหมายถึงตู้กดซาชิมิ

ในระหว่างที่มีการจำกัดระยะห่างทางสังคมช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ร้านค้าหลายแห่งไม่สามารถเปิดหน้าร้านได้ หรือหลายร้านที่เปิดได้ก็ขายไม่ดี เพราะคนไม่นิยมรับประทานอาหารนอกบ้าน ทำให้ธุรกิจร้านอาหารได้รับผลกระทบตั้งแต่ปลายน้ำ (ร้านอาหาร) ไปจนถึงต้นน้ำ (ร้านค้าขายวัตถุดิบในการทำอาหาร) รวมไปจนถึงร้านขายปลาที่อยู่ในตลาดโอมิโจ (ตลาดที่ขายของกินของใช้รวมถึงของทะเลสดๆ ขึ้นชื่อของเมืองคานาซาวะ เช่น ปู กุ้ง ปลา) ก็พลอยลำบากเพราะโควิด-19 ไปด้วย

ร้านขายปลา Ohguchi Suisan ที่ตั้งอยู่ในตลาดโอมิโจจึงผุดไอเดียตั้งตู้กดขายซาชิมิขึ้นช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2022 โดยซาชิมิที่ขายในตู้กดอัตโนมัติแห่งนี้มีทั้ง ปลา กุ้ง และปลาหมึกสดๆ จากจังหวัดอิชิคาวะ โดยคุณสามารถเลือกชนิดของซาชิมิ (อาจจะเป็น ปลา กุ้ง หรือปลาหมึก) ให้รวมมาอยู่ในแพ็กเดียวกันได้ รับประกันคุณภาพและความสดของซาชิมิจากที่ตั้งของตู้กดนี้ที่อยู่ใกล้ๆ กับร้านปลาเจ้าใหญ่อย่าง Ohguchi Suisan ของตลาดโอมิโจ

ทีนี้มาถึงคำถามสำคัญ ของการลงทุนคิด และทำตู้กดซาชิมิอัตโนมัตินี้ว่า ในเมื่อเดินต่อไปอีกไม่กี่ก้าวก็ถึงตลาดและร้านขายปลาแล้ว ทำไมเราต้องมาซื้อซาชิมิจากตู้กดอัตโนมัติอีกล่ะ? 

แปลเป็นภาษาง่ายๆ คือ “ตู้กดซาชิมินี้มันจะขายได้หรือ?”

ซาชิมิ 3 อย่าง = 500 เยน

คำตอบของคำถามนี้เราขอตอบคุณด้วยราคาของซาชิมิจากตู้กดซาชิมิอัตโนมัตินี้ ราคาของซาชิมิรวม 3 อย่างจะพร้อมเสิร์ฟให้คุณในไม่กี่อึดใจเพียงแค่คุณใส่เงินเข้าไป 500 เยน หรือประมาณ 129 บาท (1 บาท = 3.86 เยน) เท่านั้น

เท่ากับว่าคุณสามารถกินซาชิมิสดใหม่จากตลาดปลาในราคา 500 เยน แถมข้อดีอีกข้อคือ ตู้กดซาชิมินี้ไม่มีเวลาหยุดทำการ มันสามารถทำการเปิดร้านขายซาชิมิได้ตลอด 24 ชั่วโมงตราบเท่าที่ทางร้านค้าเอาปลามาเติมให้ทุกครั้งที่ขายหมด

ชาวญี่ปุ่น (หรือจะพูดให้ถูกคือ ชาวเมืองคานาซาวะ) ให้การตอบรับตู้กดซาชิมินี้เป็นอย่างดี เห็นได้จากการที่ต้องมีการเติมของให้กับเจ้าตู้กดซาชิมินี้ทุกวันวันละ 2 ครั้ง คือตอน 9 โมงเช้า กับบ่าย 3 โมง คุณมาซารุ อารากิ (Masaru Araki) ผู้อำนวยการของ Ohguchi Suisan พูดกับ Nikkei Asia ว่า “ตู้กดซาชิมิเราขายหมดเกลี้ยงทุกวันเลยครับ”

เกร็ดความรู้เล็กน้อยเกี่ยวกับชาวคานาซาวะคือ เมื่อปี 2019-2021 จากการสำรวจรายรับและรายจ่ายของประชากรทั่วทั้งญี่ปุ่นโดย Ministry of Internal Affairs and Communication แสดงให้เห็นว่า ประชาชนจากเมืองคานาซาวะ เป็นประชาชนที่มีการใช้จ่ายไปกับ ค่าเนื้อปลาและเค้ก มากที่สุดในบรรดาประชากรทั้ง 52 เมืองของญี่ปุ่น

ในเมื่อคนที่เมืองนี้นิยมกินปลาอยู่แล้ว จึงอาจจะนับเป็นแต้มต่อให้กับก้าวแรกของการปรากฏตัวขึ้นของตู้กดซาชิมิ ก็ว่าได้ที่ได้เดบิวต์เปิดตัวครั้งแรกในเมืองที่มีแนวโน้มจะใช้จ่ายกับเนื้อปลาอย่างสะดวกใจ

คุณมาซารุอธิบายต่อว่า ไอเดียแรกของการตั้งตู้กดซาชิมิ คือต้องการขายซาชิมิหลังจากที่ร้านปิดแล้วตอน 5 โมงเย็น โดยกลุ่มเป้าหมายคือนักท่องเที่ยวที่พักอยู่ในโรงแรมใกล้ๆ ย่านนั้น หรืออาจจะเป็นพนักงานบริษัทที่เพิ่งทำงานกลับมาถึงบ้านหลังเวลา 5 โมงเย็น แถมการตั้งตู้กดซาชิมิเป็นการทำธุรกิจแบบให้ลูกค้าบริการตนเอง (self-serivce) ถือเป็นการลดต้นทุนการทำธุรกิจไปในตัวอีกด้วย

นอกจากตู้กดซาชิมิแล้ว Ohguchi Suisan ยังมีตู้กดอาหารอัตโนมัติที่ขายอาหารจานปลาในรูปแบบอื่นๆ อีกด้วย เช่น ปลาทอด, ปลาราดซอสมิโซะ, ข้าวหน้าปลาโนโดกุโระ

ในประเทศที่มีตู้กดสินค้าอัตโนมัติต่างๆ มากกว่า 5.5 ล้านเครื่อง หรือเมื่อเทียบตามสัดส่วนประชากรแล้วนับเป็น 1 ตู้กด ต่อประชากร 23 คนในประเทศ จึงน่าจะเรียกได้ว่านี่คือประเทศแห่งตู้กดอัตโนมัติ เราอาจต้องติดตามตอนต่อไปว่า นอกจากตู้กดซาชิมิแล้ว ญี่ปุ่นจะมีตู้กดอะไรออกมาให้เราตื่นตาตื่นใจอีกหรือไม่

ที่มา

‘ไสใส’ ร้านน้ำแข็งไสที่ใช้วัตถุดิบไทยหากินยาก เพื่อสร้างดีมานด์ผักผลไม้ท้องถิ่นให้เกษตรกรไทย

*กรุณาตอบคำถามด้านล่างก่อนอ่านบทความนี้*

คุณเคยกินวัตถุดิบใดต่อไปนี้ (ตอบได้มากกว่า 1 ตัวเลือก)

1. ดอกดาหลา – ไม้ดอกพื้นถิ่นทางใต้รสอมเปรี้ยว

2. มะแป่มแป๋ม – ผลไม้ป่าที่ออกผลเฉพาะฤดูร้อน

3. ข้าวกล้องก่ำน้อย – ข้าวเหนียวที่นำมาสีแบบข้าวกล้องเทกซ์เจอร์หนึบ

4. กระบก – เมล็ดพืชที่ถูกเรียกว่าอัลมอนด์ไทย

5. นมควาย – จากฟาร์มควายไทยที่คนไทยไม่ค่อยรู้ว่ามี

ไม่ต้องตกใจถ้าไม่เคยลิ้มลองสักข้อ หรือไม่เคยแม้แต่ได้ยินชื่อมาก่อนเพราะคนไทยอีกมากก็ไม่เคยได้รับรส รับรู้ถึงวัตถุดิบพื้นถิ่นเหล่านี้

แต่ถ้าอ่านแล้วน้ำลายสอ อยากขอลองชิมสักครั้ง ไสใส รอคุณอยู่ที่ย่านประตูผี

ไสใส

ไสใส คือร้านน้ำแข็งไสที่หยิบสอยพืชผัก ผลไม้ วัตถุดิบพื้นบ้านจากทั่วประเทศมาแปรรูปเป็นท็อปปิ้งน้ำแข็งไสอย่างถึงรส​ ไม่ว่าจะเป็นน้ำแข็งไสท็อปด้วยฟักทองสามสายพันธ์ุและสาคูต้น น้ำแข็งไสซอสดอกดาหลาโรยหอมเจียว หรือน้ำแข็งไสรสเค็มๆ หวานๆ ที่เกิดจากการรวมตัวกันของเคยและน้ำเชื่อมดอกจาก

เปลี่ยนของเข้าถึงยากให้เข้าถึงง่ายเพียงตักเข้าปาก แนะนำวัตถุดิบพื้นถิ่นผ่านความอร่อย เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับธรรมชาติและฤดูกาล และทำให้เกษตรกรกินอิ่ม นอนหลับ มีชีวิตที่ดี

มากกว่าความอยู่รอดทางธุรกิจ เป้าหมายของไสใสเป็นเรื่องเหล่านี้

Nature just got tastier! สโลแกนของร้านบอกเอาไว้ แต่พอเห็นความตั้งใจที่จะแบ่งปันเรื่องดีๆ ให้กับลูกค้า พาร์ตเนอร์ และสิ่งแวดล้อม เราก็อยากเพิ่มสโลแกนให้อีกหนึ่งอันว่า

Business just got better!

ไสใส

พันพันธุ์

ก่อนจะเป็นไสใส ฌา–ฬิฌฌา ตันติศิริวัฒน์ หนึ่งในผู้ก่อตั้งมีธุรกิจในมือเป็นแบรนด์ข้าวออร์แกนิกชื่อว่า HATCH goodies 

ในโลกที่การเกษตรเชิงเดี่ยวช่วงชิงพื้นที่เพาะปลูกไปเรื่อยๆ สายพันธุ์ข้าวจากร้อยพันพันธุ์ก็ลดน้อยลง ฌาจึงอยากเก็บรักษาข้าวพันธุ์พื้นเมืองเอาไว้ด้วยการทำแบรนดิ้งให้คนรู้จักและอยากกิน หลักการง่ายๆ คือเมื่อมีดีมานด์เกษตรกรก็อยากปลูกข้าวเหล่านี้เพิ่มขึ้น ไม่สูญหายไปตามกาลเวลา

“มนุษย์ทำการเกษตรกับข้าวหรือพืชพันธุ์อื่นๆ มานานแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆ การเกษตรพวกนี้มันคือภูมิปัญญา คือวัฒนธรรม การอยู่ร่วมกับสิ่งนั้นๆ คือความรู้ที่ทำให้ผลผลิตออกมามีคุณภาพดี เช่น รู้ว่าฤดูกาลที่เหมาะสมคืออะไร หรือรู้ว่าต้องเก็บเกี่ยวยังไง

“ความสำคัญอีกแง่หนึ่งคือเรื่องเมล็ดพันธุ์ เมล็ดพันธุ์แต่ละชนิดก็มียีนที่เก่งในด้านที่ต่างกัน เช่น พันธ์ุนี้ต่อสู้แมลงได้ดี พันธุ์นี้ทนน้ำท่วมได้ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นตามธรรมชาติผ่านกาลเวลา ฉะนั้นถ้าพันธุ์ข้าวหายไปก็เหมือนมรดกบางอย่างหายไปด้วย และมันไม่สามารถสร้างขึ้นมาใหม่ได้ ความสำคัญแบบนี้ทำให้เราสร้าง HATCH goodies ขึ้นมา” ฌาย้อนเล่า

ไสใส
ไสใส

การทำ HATCH goodies ทำให้ฌาต้องขึ้นเหนือลงใต้ไปเจอเกษตรกรพาร์ตเนอร์และพบว่านอกจากข้าว รอบๆ นาข้าวก็มีของพื้นถิ่นอื่นๆ ที่น่าสนใจ

“เมืองไทยไม่ได้มีผลผลิตแค่ข้าว เวลาเราเดินทางไปหาเกษตรกรหรือไปหาข้อมูลเราก็จะเห็นมุมอื่นๆ ด้วยเราเลยอยากมีพื้นที่ที่เล่าเรื่องวัตถุดิบอื่นบ้าง

“ประเด็นของวัตถุดิบพื้นถิ่นเองก็คล้ายกับข้าว เอาแค่เรื่องน้ำตาลก็ได้ สิ่งที่ให้ความหวานในเมืองไทยมีเยอะมากไม่ใช่แค่อ้อย แต่มีโตนด ต้นจาก มีต้นเหนา แต่การเข้ามาของโรงงานมันสนับสนุนให้เกิดการปลูกพืชเชิงเดี่ยวมากขึ้น มีการให้ incentive ที่ดีกว่า คนก็เลยลดการปลูกพืชที่ให้ความหวานอื่นๆ ลงและหันไปสนใจพืชที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า

“มันก็เชื่อมโยงมาสู่เรื่องดีมานด์-ซัพพลาย เป็นธรรมชาติอยู่แล้วว่าถ้ามีดีมานด์อะไร ซัพพลายก็จะสร้างสิ่งนั้น ฉะนั้นถ้าวันนึงคนไม่รู้ว่าสับปะรดมีสายพันธุ์หลากหลายเขาก็ไม่กิน พอคนไม่กิน ซัพพลายปลูกแล้วไม่รู้จะขายใครเขาก็เลิกปลูก ซึ่งเราไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น เราคิดว่าถ้าคนยังปลูกสิ่งที่หลากหลาย ความหลากหลายเชิงนิเวศ ภูมิปัญญา วัฒนธรรม ก็จะยังคงอยู่

“แล้ว ไสใส ก็เกิดขึ้นเร็วมาก”

ไสใส

หวานหวาน

“โจทย์มันเริ่มจากเรามีที่อยู่ในย่านประตูผีเลยคิดว่าเราอยากเล่าเรื่องวัตถุดิบพื้นถิ่นนี่นา อยู่ๆ เราก็คิดว่ามันต้องเป็นน้ำแข็งไส”

ฌาอธิบายเหตุผลหลักๆ ที่ต้องเป็นน้ำแข็งไสมา 2 ข้อ

หนึ่ง–ประตูผีเป็นย่านที่เต็มไปด้วยของกินอร่อยๆ และคงไม่มีอะไรเหมาะสำหรับการกินตบท้ายมื้ออาหารมากไปกว่าน้ำแข็งไสอีกแล้ว

“แถวนี้มีของคาวเยอะแล้ว เราจะทำเหมือนคนอื่นคงไม่ไหว แต่เรารู้ว่า journey ของคนที่มากินส่วนมากต้องตบท้ายด้วยของหวานแน่ๆ เมืองไทยเองก็อากาศร้อน ฟังแล้วมันถูกต้อง อยู่ใน sweet spot ของมันพอดี”

สอง–น้ำแข็งไสเป็นเมนูที่เรียบง่าย ทุกคนเข้าถึงได้ แถมสามารถใส่ท็อปปิ้งอะไรก็ได้เหมาะกับวัตถุดิบอันหลากหลายจากทั่วประเทศที่ฌาอยากนำเสนอ

“น้ำแข็งไสมันยืดหยุ่นมาก จะเป็นอะไรก็ได้ สมุนไพร ผลไม้ รากไม้ เคยยังอยู่ในน้ำแข็งไสได้เลย ฉะนั้นมันยังมีพื้นที่ให้เรา twist ได้ตลอด”

ไสใส

ดูฤดู

นอกจากฌา ไสใสยังมีสมาชิกคนสำคัญอีกคนคือ มิ้นท์–เสาวลักษณ์ กิจวิกรัยอนันต์ เชฟและที่ปรึกษาด้านอาหารผู้ออกแบบเมนูทั้งหมดในร้านอย่างละเอียด

“องค์ประกอบพื้นฐานของน้ำแข็งไสคือน้ำแข็ง เราทำน้ำแข็งเองด้วยน้ำกรองสะอาดอัดแร่แมกนีเซียม เราอยากให้น้ำแข็งเป็นเหมือนกระดาษขาว เป็นแคนวาสที่สามารถชูวัตถุดิบให้โดดเด่น” ฌาเล่ากระบวนการคิดเมนูร่วมกับมิ้นท์ให้ฟัง

“ถัดจากเรื่องน้ำก็เป็นเรื่องเกล็ดน้ำแข็ง แบบเช็งซิมอี๊ก็เป็นเกล็ดที่ใหญ่หน่อย บิงซูเป็นเกล็ดบาง ใช้เครื่องอัตโนมัติทำ แต่เราอยากได้ฟีลเครื่องทำน้ำแข็งไสสมัยเด็กๆ ที่มันอารมณ์ความตั้งหน้าตั้งตารอระหว่างเขาทำน้ำแข็งไสให้เรา ข้อดีคือเครื่องนี้มันสามารถปรับเกล็ดขนาดน้ำแข็งได้ ดังนั้นในหนึ่งถ้วยเราจะมีเกล็ดน้ำแข็งสองแบบ ด้านล่างจะหนาหน่อยพอกรุบๆ ส่วนด้านบนจะบางเพื่อให้เวลากินแล้วน้ำแข็งไม่กวนรสวัตถุดิบ ยกเว้นบางเมนู เช่น ฟักทองที่มีซอสเข้มข้นมาก น้ำแข็งด้านบนก็ต้องใช้เกล็ดใหญ่นิดนึงเพื่อให้อุ้มซอสได้ดี

“ส่วนท็อปปิ้งคือแล้วแต่เลยว่าวัตถุดิบไหนจะมาเมื่อไหร่ เกณฑ์ของเรามีแค่เป็นวัตถุดิบไทย ไม่มีสารเคมีซึ่งเราได้มาจากทุกที่เลย เริ่มจากเกษตรกรที่เรารู้จักแล้วเขาก็เชื่อมโยงเราต่อไปเรื่อยๆ เวลาได้วัตถุดิบมาเราก็จะมาโยนไอเดียว่าช่วงนี้มีของแบบนี้ มิ้นท์เขาก็จะหยิบไปเล่นดูว่าอันไหนอยู่ด้วยกันแล้วเวิร์ก

“เราเปลี่ยนวัตถุดิบไปตามฤดูกาล ตามใจธรรมชาติ เพราะนั่นคือสิ่งที่เราพยายามจะสื่อสารกับลูกค้า ถ้าวัตถุดิบหมดจริงๆ เราก็เคารพตรงนั้นแล้วจบ เดินหน้าต่อ หาของใหม่”

เมนูที่เรากินวันนี้จึงบอกไม่ได้ว่าจะมีขายถึงเมื่อไหร่ ถ้าโชคดีก็อาจจะมีให้กินทั้งปี แต่ถ้าโชคร้ายหน่อย กลับมาพรุ่งนี้ก็อาจไม่มีแล้ว

“อย่างเมนูหวานจากเค็มเคยที่มีลูกจากกับเคยเป็นส่วนประกอบหลัก ตอนแรกคิดว่าจะอยู่ไม่นานเพราะว่าลูกจากที่บางปะกงเริ่มหมดปรากฏว่าลองหาดู เอ้า ไปได้ที่ตรัง พอที่ตรังเริ่มจะหมด เอ้า บางปะกงมาอีกแล้ว (หัวเราะ) แต่ว่าเมนูหนึ่งมันมีหลายองค์ประกอบ เช่น ข้าวเม่ามันได้ปีละครั้ง พอมันเริ่มหมดเราก็เลยลองยกหูถามคนผลิตว่าพี่มีซุกตู้เย็นไว้บ้างมั้ย เขาก็ไปหาให้ที่ร้านนู้นร้านนี้ ปรากฏว่าไปคุ้ยตู้เย็นเจออยู่สามกิโลฯ เราก็เอา ดังนั้นบอกไม่ได้เลยว่าแต่ละเมนูจะขายนานแค่ไหน

ไสใส

“หรือเมนูน้ำแข็งไสเปรี้ยวหวานดาหลา อันนี้สนุกมากเพราะว่าผลไม้มาบ้างไม่มาบ้าง ที่เราเขียนลงไปในเมนูว่าจะมีสับปะรด เงาะ ส้มโอก็ถูกเปลี่ยนตลอดเวลา เช่น ส้มโอไม่มางั้นเอาสละที่วางอยู่หน้าร้านมาใช้แทนแล้วกัน ขณะเดียวกันเราก็ต้องรู้จักวิธีการเก็บรักษาวัตถุดิบ สมมติสับปะรดขายไม่หมด หรือกระท้อนเสียเร็วเอามาวางหน้าร้านได้ 3 วันเริ่มช้ำแล้ว เราก็ลองเอามาทำแยม

“พื้นที่นี้มันไม่ได้เป็นแค่พื้นที่เรียนรู้ของลูกค้าแต่เป็นการเรียนรู้ของเราด้วย ทุกวัตถุดิบที่เราเอาเข้ามา เราเรียนรู้ใหม่หมด ถามว่าต่อไปเมนูของไสใสจะเป็นอะไรเราก็ยังไม่รู้ ขึ้นอยู่กับว่าวันหนึ่งที่วัตถุดิบเราหมดแล้วเราโทรหาเกษตรกร เดี๋ยวเขาก็จะบอกเราเองว่าฤดูนั้นมีผลผลิตอะไร”

ฟังแบบนี้ ลูกค้าจะเป็นพระเจ้าในร้านไหนบ้างไม่รู้ แต่ที่นี่ธรรมชาติคือพระเจ้าเท่านั้น

เอร็ดอร่อย

ความเข้าใจผิดอย่างหนึ่งที่คนมีต่อไสใส คือการเข้าใจว่านี่คือน้ำแข็งไสแสนเฮลตี้

“เราไม่ได้ตั้งใจทำให้เฮลตี้นะ เราทำให้อร่อย” ฌาแก้ข่าว

“คนจะมีภาพจำว่าของธรรมชาติ ของออร์แกนิกรสชาติต้องจืดๆ มีแต่คนรักสุขภาพเท่านั้นที่กิน เราเลยอยากทำให้มันอร่อย ทำให้สนุก แบบสโลแกน Nature just got tastier! 

“เราทำหน้าที่เอาวัตถุดิบมานำเสนอในรูปแบบที่เราคิดว่าอร่อย แต่เมนูของเราก็จะมีออพชั่น บางเมนูอาจจะแอดเวนเจอร์หน่อย ใช้วัตถุดิบที่คนไม่รู้ค่อยรู้จัก บางเมนูก็เข้าถึงง่ายหน่อย อย่างพวกเมนูผลไม้ เมนูมะม่วง แต่ถ้าเป็นมะม่วงเราก็ไม่ได้อยากใช้มะม่วงสวน เราจะไปเอามะม่วงหน้าบ้านเกษตรกรเพราะเรารู้ว่าพวกนั้นมันขึ้นเอง หรือเขาปลูกแล้วก็ปล่อยทิ้งไว้ตามธรรมชาติ ไม่มีสารเคมีแน่ๆ”

ไสใส

จากประสบการณ์การทำงานกับอาหาร สำหรับฌา ความอร่อยคือเครื่องมือแสนทรงพลังที่สามารถพาคนไปรู้จัก ไปรักความหลากหลายของธรรมชาติได้แบบเข้าถึงง่าย

“เวลาคุยกับผู้บริโภคเราต้องทำให้เขาเห็นว่ามันอร่อยก่อน ถ้ามันอร่อยเขาก็จะเปิดใจว่าโลกมีสิ่งนี้ด้วยเหรอ แล้วที่มาของมันคืออะไร

“บางทีลูกค้าไม่รู้จักวัตถุดิบนะแต่กินแล้วอร่อยเขาก็มาถามว่าที่มาของวัตถุดิบมันคือที่ไหน เราก็ถือโอกาสเล่าให้เขาฟัง เช่น น้ำเชื่อมดอกจากมีรสชาติแบบนี้เพราะว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของนิเวศป่าชายเลนที่มีทั้งน้ำเค็ม น้ำกร่อย น้ำจืด สเตปต่อมาเราชวนคุยได้ว่าความสำคัญของลูกจากที่มีต่อระบบนิเวศคืออะไร

“เรื่องดีอย่างนึงคือตอนนี้คนไทยค่อนข้างเปิดรับของโลคอล มันเป็นช่วงที่เราค่อยๆ appreciate กับภูมิปัญญา อาจจะเพราะช่วงหลังๆ มีกลุ่มที่ผลักดันเรื่องงานโลคอลเยอะ เวลาลูกค้ามาที่ร้าน ต่อให้เจอของแปลกๆ เขาก็ไม่ได้ตัดสินว่ามันไม่ดี”

ไสใส
ไสใส

ทันทีที่เมนูหวานจากเค็มเคยถูกยกมาเสิร์ฟ เราถึงเห็นว่านอกจากน้ำแข็งไสเกล็ดละเอียด ลูกจากหนุบหนับ น้ำเชื่อมดอกจากหวานหอม และเคยกรุบๆ ภายในถาดยังแนบการ์ดใบเล็กมาด้วย

ด้านหน้าเป็นรูปวัตถุดิบหลัก ด้านหลังเป็นแผนที่ประเทศไทย ระบุว่าวัตถุดิบที่อยู่ในถ้วยลูกไหนคือพันธุ์อะไร เดินทางมาจากไหนบ้าง

“ทุกคนไม่ได้เป็นนักวิจัย ลูกค้าทุกคนไม่ได้พร้อมที่จะฟังข้อมูล หลายคนก็แค่อยากมาอร่อยซึ่งเราก็โอเค ไม่ยัดเยียด มากที่สุดที่เราทำได้คือการ์ดที่เขาหยิบขึ้นมาดูได้ว่าวัตถุดิบเด่นๆ ในถ้วยมาจากไหนบ้างแล้วถ้าเขาสนใจตอนนั้นเขาจะอยากฟังเอง แต่ถ้าไม่ อย่างน้อยๆ แค่เขากินแล้วอยากกินอีกก็สร้างดีมานด์ให้เกษตรกรแล้ว”

คนกินคนกรุง

ถ้าอยากรู้ทาร์เก็ตของไสใส ดูจากหน้าตาของร้านก็พอเก็ต

ที่นี่มีกำแพงสีสดใส ใช้ไม้เป็นวัสดุหลัก มีแสงธรรมชาติส่องเข้ามากำลังสวย ตรงกลางเคาน์เตอร์มีเครื่องไสหน้าตาวินเทจที่ลงเรือเดินทางมาจากญี่ปุ่น มองไปทางไหนก็น่ารักไม่ต่างจากคาเฟ่สวยๆ สักแห่ง

ไสใส

เหล่าคนที่ไปคาเฟ่ คนที่ไม่ได้อินของไทยเป็นพิเศษนี่แหละคือลูกค้าของพวกเขา

“ถ้าเราลองนึกภาพตาม จะมีคนกลุ่มที่ชอบกินของออร์แกนิก ถือถุงผ้า ใส่เสื้อม่อฮ่อม ชอบเดินงาน farmer’s market คนกลุ่มนี้เขาสนับสนุนเกษตรกรอยู่แล้วดังนั้นไม่ใช่ทาร์เก็ตหลักของเรา ถ้ามองด้วย psychographic (พฤติกรรม ความชอบ ความสนใจ) ทาร์เก็ตของเราคือคนทั่วไปที่มีศักยภาพ เป็นฟู้ดดี้ที่ชอบกินของอร่อยและมีกำลังซื้อ สามารถสร้างดีมานด์ให้เกษตรกรได้ คนกลุ่มนี้เวลาเขาเจอของที่อร่อยเขาก็ appreciate และบอกต่อโดยที่ไม่จำเป็นว่าเขาจะต้องชอบหรืออินกับของไทย รูปแบบร้านเราเลยอิสระมากๆ ไม่ต้องมีความไทย แค่คงความเป็นธรรมชาติเอาไว้

“ตอนนี้ลูกค้าส่วนมากจะเป็น first jobber แล้ว first jobber ก็พาครอบครัวมาเพราะคิดว่าแม่น่าจะชอบ ผู้ใหญ่เขาไม่ได้ชอบของหวานที่หวานมาก เราเลยเหมือนเจอช่องว่างของตัวเองพอดี”

ไสใส

การทำไสใสไม่ได้มีแค่พาร์ตที่สดใส

ความท้าทายแรกคือการพยายามไม่ใช้ผลผลิตจากอุตสาหกรรมแต่เรียนรู้ที่จะอยู่กับผลผลิตตามฤดูกาลซึ่งมีจำนวนซัพพลายไม่แน่นอน

ความท้าทายที่สอง คือการสื่อสารกับลูกค้าให้เข้าใจเมสเซจที่ลึกซึ้งกว่าเรื่องรสชาติ

และเรื่องแสนคลาสสิกของการทำธุรกิจคือการดีลกับพาร์ตเนอร์ที่เป็นคน

โจทย์สำคัญของไสใสคือการใช้วัตถุดิบปลอดสารเคมี ฌาจึงต้องมั่นใจว่าเกษตรกรที่ส่งวัตถุดิบมานั้นไว้ใจได้ แรกเริ่มเธอจึงทำงานกับเกษตรกรที่เคยร่วมงานกับ HATCH goodies และค่อยๆ ขยายวงกว้างออกไปจากการแนะนำแบบปากต่อปาก

“สิ่งหนึ่งที่เรียนรู้มาจากการทำ HATCH goodies คือคนสำคัญมาก ตั้งแต่ตอนที่เราคุยกับเกษตรกรพาร์ตเนอร์เราต้องทำความเข้าใจไปถึงมายด์เซตของเขาเลยว่าทำไมเขาถึงทำเกษตรแบบไม่ใช้สารเคมี ส่วนมากที่เราเจอ ย้ำว่าส่วนมากนะไม่ใช่ทั้งหมดจะมี turning point เช่น คนที่บ้านป่วยเพราะเคมี ได้เห็นว่าการทำเคมีส่งผลอะไรบ้าง หรือการที่ระบบนิเวศเจ๊งทำให้เกิดอะไรขึ้น พอมันมีเรื่องพวกนี้อยู่ในจิตใต้สำนึกแล้วยังไงเขาก็ไม่กลับไปทำเกษตรแบบใช้สารเคมี เราอยากร่วมงานกับคนที่มีมายด์เซตแบบนี้เพราะเราเชื่อใจได้ว่าเขาจะดูแลทั้งธรรมชาติและของที่คุณภาพให้เราแน่ๆ

“ความเชื่อใจสำคัญ เราไม่สามารถไปหาทุกคนได้ในเวลาเดียวกัน เราเลยต้องทำให้เขาเข้าใจว่าเราทำอะไร ทุกครั้งที่โทรไปคุยกับเกษตรกรเราก็จะอธิบายกับเขาว่าร้านเราอยู่ตรงนี้ จุดประสงค์ของร้านเราคืออะไร บางคนมาหาเราที่ร้านเราก็อยากให้เขาชิมว่าของของเขามันออกมาเป็นอาหารแบบนี้ เขาจะได้ภูมิใจ เข้าใจ และพร้อมดูแลวัตถุดิบให้เรา”

เช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติ ความสัมพันธ์ระหว่างไสใสกับเกษตรก็เป็นไปอย่างเกื้อกูลกัน ไสใสได้วัตถุดิบปลอดสารพิษมานำเสนอ ในขณะที่พยายามทำให้เกษตรกรพาร์ตเนอร์มีชีวิตที่ดีขึ้น

“เราอยากให้การทำงานร่วมกันมีนัยที่ดี เช่น เราไม่ส่งเสริมให้เขาใช้สารเคมี หรืออย่างป้าเอี้ยงที่ส่งลูกจากมาให้เราเขามีวิถีชีวิตกับแม่น้ำบางปะกง เราก็รู้ว่าถ้าเราได้ทำงานกับเขาแปลว่าเขาก็มีแรงเลี้ยงชีพกับแม่น้ำบางปะกงต่อไปได้ ถ้าไม่ใช่เกษตรกรเดี่ยวเราก็ชอบทำงานร่วมกับกลุ่มเกษตรกรโดยไม่ต้องเป็นกลุ่มใหญ่ก็ได้ เราจะได้โตไปพร้อมๆ กัน

“ชื่อไสใส ไส ไม้มลายคือน้ำแข็งไส ส่วนใสไม้ม้วนมันคือความ honest โปร่งใสที่เรามีให้กับลูกค้าว่าของที่เราเอามามันมาจากที่ไหนบ้าง มันปลอดสารเคมี คือความโปร่งใสที่เรามีให้เกษตรกร เราเคารพในความพยายามของเขาฉะนั้นเราให้เขากำหนดราคาสินค้าเอง ถ้าเรารับได้เราก็ไปต่อ หรือบางอย่างที่เขาให้มาในราคาไม่สูงเราก็บอกเขาตรงๆ ว่าถ้าไม่ไหวพี่ต้องบอก อย่าทำแล้วรู้สึกว่ามันกินตัวเอง

“สุดท้ายแล้ว สิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจที่ทำงานกับวัตถุดิบธรรมชาติและเกษตรกรคือเราต้องเข้าใจเขา เขาไม่ใช่อุตสาหกรรม หลายครั้งมากที่อยู่ๆ ของหมด ในใจเราคือ เฮ่ย ทำไมเขาไม่บอกเราก่อนล่วงหน้าสักสองอาทิตย์ แต่ว่าบางทีเขาก็ไม่รู้ไง มันหมดแล้วอะ เรื่องพวกนี้เราต้องยอมรับว่ามันเกิดขึ้นได้ แล้วแก้ปัญหา เช่น อาจจะให้เขาช่วยหากลุ่มเกษตรกรที่ไว้ใจได้คนอื่นๆ หรือของบางล็อตมาแล้วมันไม่ดีเท่าที่ต้องการ เราจะส่งกลับไปก็ได้แต่มันก็ไม่ดีกับทั้งสองฝ่าย ถูกไหม แต่ถ้าเราบอกเขาว่าพี่ ล็อตนี้มันมาไม่โอเคแต่ไม่เป็นไรนะ ล็อตใหม่ช่วยดูให้หน่อยเราก็จะได้พัฒนาทั้งคู่

“ฌาว่ามันจะยากในปีแรกๆ เพราะว่าเรายังพยายามทำความเข้าใจธรรมชาติ เข้าใจเกษตรกรแต่ถ้าทำงานไปสักพักเราก็คงรู้ว่าช่วงไหนมีวัตถุดิบอะไร การวางแผนก็จะง่ายขึ้น ระหว่างนี้เราก็ให้ลูกค้าเข้าใจไปพร้อมกับเรา หมดก็คือหมด ไม่มีก็คือไม่มี”

จะมีร้านไหนอีกที่วัตถุดิบหมดแล้วยังเล่าเมสเซจของร้านได้

ตอนนี้เรานึกออกแค่ร้านเดียว

ไสใส ประตูผี ยินดีต้อนรับ

ไสใส

Day 1 ของ Furawa Desu ร้านดอกไม้ออนไลน์ที่ไม่ทำตามใคร และมีลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนญี่ปุ่น

Furawa Desu

Furawa Desu Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Furawa Desu

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

ทำไม ‘ตู้กดซาชิมิอัตโนมัติ’ ในญี่ปุ่นจึงสำเร็จ ทั้งที่มีสุดยอดร้านอาหารมากมาย

ตู้กดซาชิมิ

ตู้กดซาชิมิ Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

ชวน PDM BRAND เลือกหยิบ 13 สิ่งของแบรนด์ที่เป็นที่สุดมาใส่ตระกร้า

PDM BRAND

PDM BRAND add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

SEO Keyword

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้