foodpanda ปล่อยแคมเปญดันซอฟต์พาวเวอร์อาหาร เมื่ออาหารไทยไม่ได้มีแค่ต้มยำ

เอ่ยถึงซอฟต์พาวเวอร์อาหารไทยถือเป็นหนึ่งในซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศไทยที่ชัดเจนที่สุด ด้วยรางวัลด้านอาหารมากมาย หลายครั้งหลายครา เมนูอาหารของไทยก็ติดอันดับเมนูอาหารยอดนิยมระดับโลก 

อาหารไทย

ต้มยำกุ้ง ส้มตำ มัสมั่น อาจเป็นเมนูสร้างชื่อให้ไทยก็จริง แต่หากถามคนไทยกันเอง เมนูที่ทานในชีวิตประจำวันนั้นแตกต่างและหลากหลายกว่านั้นมาก เช่นเดียวกับเมื่อลิซ่า–ลลิษา มโนบาล หรือที่รู้จักกันในฐานะ ลิซ่า Blackpink หรือลิซ่า LLOUD ได้ออกมาเผย 5 เมนูดังที่เธอคิดถึงก็ไม่ใช่เมนูที่ต่างชาติจะรู้จักนัก แต่กลับเป็นหมูปลาร้า ข้าวเหนียว น้ำจิ้มแจ่ว ยำมะม่วง แกงส้มชะอมไข่ ไข่ลูกเขย และน้ำแข็งไส

ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา foodpanda ผู้ให้บริการออนดีมานด์เดลิเวอรี ที่เชี่ยวชาญเรื่องอาหารและของกินของใช้ จึงรวบรวมยอดสั่งออร์เดอร์ในแพลตฟอร์มว่า 5 เมนูที่ลิซ่าว่าไปนั้นถูกสั่งไปแล้วกี่ออร์เดอร​์ นั่นคือเมนูยำมะม่วง และเมนูประเภทยำที่ยืนหนึ่งด้วยเลขออร์เดอร์กว่า 670,000 ออร์เดอร์ หมูปลาร้า และเมนูหมูปิ้งกว่า 450,000 ออร์เดอร์ แกงส้มชะอมไข่กว่า 91,000 ออร์เดอร์ น้ำแข็งไส 23,000 ออร์เดอร์ ไข่ลูกเขย 8,500 ออร์เดอร์ และไข่ลูกเขย 8,500 ออร์เดอร์ 

‘รวมร้านฮิตถูกยืนหนึ่ง’ ของ foodpanda

นี่เองเป็นที่มาของแคมเปญ ‘รวมร้านฮิตถูกยืนหนึ่ง’ ของ foodpanda ที่ระหว่าง 18 พฤศจิกายน 2567 – 31 มกราคม 2568 foodpanda ได้นำเสนอกว่า 200 เมนู จากร้านฮิตมากกว่า 2,000 ร้านทั่วไทย พร้อมส่วนลด 20% และลดเพิ่มอีก 50 บาท เมื่อใส่โค้ด ‘HIT50’  

เจ้าแคมเปญนี้มีเป้าหมายหลัก 4 ด้าน ตั้งแต่การนำเสนอเมนูฮิตติดเทรนด์ เพื่อดึงดูดลูกค้าด้วยเมนูไวรัลจากร้านฮิต การผลักดันเมนูอาหารไทยที่หาทานง่าย และเป็นที่นิยมของคนไทยในชีวิตประจำวันให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น การสนับสนุนศักยภาพของพันธมิตรร้านอาหารขนาดเล็กและกลางในชุมชนต่างๆ ทั่วไทย และเน้นการคืนกำไรให้กับลูกค้าและกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ ช่วงปลายปีจนถึงต้นปีหน้า 

ส่วนลด foodpanda

ส่วนใครอยากทานตามลิซ่า และรับส่วนลดแบบจุกๆ ก็ติดตามได้ที่ foodpanda Thailand หรือไปสั่ง 5 เมนูโปรดของร็อกสตาร์สาวที่ App Store สำหรับ iOS และ Google Play Store สำหรับ Android 

‘ตุ๊กตานุ่มๆ’ กิจการร้อยปีของเพื่อนยามนอน จากสุภาพสตรีพิการ สู่ตุ๊กตาหมีที่โลกรัก 

ทุกวันนี้คุณมีตุ๊กตานุ่มๆ ไว้อุ้มเล่นหรือเข้านอนพร้อมกันบ้างรึเปล่า

อาจเป็นคำถามที่ฟังดูแปลกหน่อยสำหรับผู้ใหญ่แบบเราๆ แต่ทว่า กิจกรรมการซื้อตุ๊กตารวมถึงการพาสารพัดน้องนุ่มขึ้นเตียง เป็นเพื่อนนอนและพาเราไปสู่แดนฝันไปด้วยกันนั้นดูเหมือนกำลังกลับมาเป็นกระแส ทำให้ผู้ใหญ่แบบเราๆ รวมถึงชายหนุ่ม เริ่มกลับมาซื้อตุ๊กตากันมากขึ้น

การกลับมาของเหล่าตุ๊กตาในอ้อมกอดผู้ใหญ่เป็นสิ่งที่เราอาจสังเกตได้จากหลายอย่าง ทั้งจากที่ผู้ใหญ่ห้อยตุ๊กตานุ่มๆ กันทั่วบ้านทั่วเมือง จากการที่อาร์ตทอยเริ่มผลิตตุ๊กตาประเภท plush doll กระทั่งกระแสการกลับมาของแบรนด์ตุ๊กตายักษ์ใหญ่จากอังกฤษอย่าง Jellycat ด้วยแบรนด์แปลงร้านขายตุ๊กตาให้กลายเป็นเหมือนร้านอาหาร ส่วนพนักงานก็เป็นเหมือนเชฟ บ้างก็แคชเชียร์หน้าร้านฟาสต์ฟู้ดที่คีบตุ๊กตารูปปลาทอดมาห่อกับกระดาษ หยิบตุ๊กตาขนมปังมาอบร้อน ฯลฯ

จากการศึกษาพบว่าผู้ใหญ่เกือบครึ่งนอนกอดตุ๊กตา กระแสตุ๊กตาในฐานะวัตถุแห่งความอบอุ่นสัมพันธ์กับการเป็นเพื่อนในช่วงโรคระบาด เป็นตัวแทนของความห่วงใย เป็นเพื่อนทั้งในช่วงเวลาที่เราเจ็บป่วย เป็นตัวช่วยในยุคสมัยของความวิตกกังวล 

การกลับมาของเจ้าน้องนุ่มๆ ที่ใหญ่โตในระดับเกิดกระแสจับจ่ายและในฐานะที่แบรนด์ Jellycat กลับมาบูม ทรัพย์คัลเจอร์ขอชวนย้อนกลับไปยังจุดเริ่มของหญิงผู้คิดค้นตุ๊กตายัดนุ่น จากบริษัทของสุภาพสตรี ถึงหมีเทดดี้ และหมีคนดังที่เราน่าจะรู้จักล้วนเกี่ยวข้องกันอย่างซับซ้อน

จักรเย็บผ้า ผ้าสักหลาด และตุ๊กตาช้าง

ตุ๊กตาฟังดูเป็นของสามัญที่น่าจะเก่าแก่และพบได้ในทุกวัฒนธรรม คืออยู่คู่กับอารยธรรมของเรามานมนานแล้ว อันที่จริงก็ถูกต้อง แต่ตุ๊กตาในสมัยก่อนอาจเรียกว่าเป็นตุ๊กตาเศษผ้าหรือตุ๊กตาผ้าขี้ริ้ว (rag doll) เป็นตุ๊กตาที่แต่ละบ้านจะใช้เศษผ้าเหลือๆ มาเย็บ ตามหลักฐานอาจพบได้ในหลุมศพของเด็กผู้หญิง ส่วนใหญ่จะเป็นการปะติดผ้าและยัดด้วยวัสดุเช่นผ้าหรือใยข้าวโพด 

ตุ๊กตาโบราณมักเย็บเป็นรูปเด็กผู้หญิง บ้างก็เป็นรูปคน มีหน้าบ้าง ไม่มีหน้าบ้าง ตุ๊กตาเหล่านี้มักเป็นของที่ให้เด็กๆ ไว้กอดไว้เล่นเพื่อความสบายใจ ขณะเดียวกันก็เป็นเครื่องมือฝึกหัดให้เด็กๆ ดูแลสิ่งอื่นโดยมีลักษณะเสมือนกับว่าเป็นสิ่งมีชีวิต เป็นเพื่อนหรือเป็นน้องอีกคน

มากาเรต สไตฟ์ (Margarete Steiff)

การมาถึงของตุ๊กตาที่กลายเป็นสินค้าและกิจการสมัยใหม่จึงเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมผ้าโดยเฉพาะผ้าพิมพ์สี การคิดค้นตุ๊กตาผ้าตัวแรกมักย้อนไปในปี 1880 ถึงสุภาพสตรีชาวเยอรมันชื่อมากาเรต สไตฟ์ (Margarete Steiff) เธอเป็นสุภาพสตรีที่เกิดในเมืองทางตอนใต้ของเยอรมนี มากาเรตป่วยเป็นโปลิโอเมื่ออายุได้ 18 เดือน แม้ว่าเธอจะเดินไม่ได้ และมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแอ เธอเองนับเป็นคนที่สดใสและมีความหวังอย่างยิ่งคนหนึ่ง

เมื่ออายุได้ 17 ปี เธอเข้าโรงเรียนการเรือน ฝึกฝนด้านการเย็บปักและกลายเป็นช่างเย็บผ้า ด้วยข้อจำกัดทางร่างกาย ผนวกกับได้เกิดเทคโนโลยีอย่างจักรเย็บผ้าขึ้น ด้วยเงื่อนไขด้านร่างกายที่มากาเรตอึดอัดใจในการทำงาน เธอจึงตั้งใจสั่งสมเงินจนซื้อจักรเย็บผ้าเป็นของตัวเองได้ ทั้งจักรเย็บผ้าตัวนั้นยังเป็นจักรเย็บผ้าแรกของเมืองที่เธออยู่ สิ่งที่น่ามหัศจรรย์คือจักรกลายเป็นเหมือนแขนขาซึ่งเข้ากับลักษะกล้ามเนื้อที่เสียหายจากโรคภัยของเธอ

ด้วยจักรเย็บผ้าและทักษะของเธอ มากาเรตเปิดร้านตัดเย็บ ขายผ้าและเครื่องใช้ในครัวเรือน เป็นกิจการของตัวเองได้ในปี 1877 ผ้าที่ขายในร้านมีความน่าสนใจคือเธอขายและเย็บผ้าสักหลาด (felt) ซึ่งนับเป็นผ้าชนิดใหม่ในสมัยนั้นเพราะเป็นผ้าที่ได้นำเข้ามาจากตะวันออกกลาง จากที่มีความนุ่ม อุ่น เป็นเส้นใย ที่สำคัญ ยังเป็นผ้าชนิดบุกเบิกที่เธอมองว่าเหมาะกับการทำของเล่นให้เด็กๆ 

วันหนึ่งในปี 1880 มากาเรตไปเห็นแพตเทิร์นรูปช้างในนิตยสารแฟชั่นเล่มหนึ่ง เธอจึงทดลองเย็บเจ้า Elefäntle ขึ้นตามแบบในนิตยสารโดยใช้ผ้าสักหลาดเย็บ แรกเริ่มตั้งใจให้เป็นหมอนปักเข็ม ในที่สุดเธอพบว่าเจ้าผ้านุ่มๆ อัดด้วยนุ่นเป็นของเล่นที่เด็กจะชอบ เธอจึงทำตุ๊กตาสัตว์ออกมามากมายต่อจากช้าง ทั้งลิง ลา ม้า อูฐ หมู กระต่าย ไปจนถึงยีราฟ ตรงนี้เองก็ดูจะสะท้อนการที่ตะวันตกเริ่มมองเห็นสัตว์ที่มีความหลากหลายจากในหลายทวีปด้วย เจ้าตุ๊กตาจึงมีตัวแทนจากสารพัดสัตว์ที่ทั้งน่ารักและแปลกประหลาดมากมาย โดยเฉพาะช้างที่เป็นจุดเริ่มต้นของเธอ

แรกสุดมากาเรตทำตุ๊กตาไว้แจกเป็นของขวัญสำหรับเพื่อนฝูง ญาติและลูกหลาน ด้วยความต้องการของผู้คน เธอจึงเริ่มผลิตตุ๊กตาและวางจำหน่ายในปี 1893 โรงงานตุ๊กตาในฐานะกิจการของเล่นของเธอได้รับการลงทะเบียนในสารบบบริษัท ของเล่นของโรงงานถูกนำไปร่วมจัดแสดงในงานของเล่นที่เมืองลีปซิก (Leipzig Toy Fair) โรงงานของเธอมีช่างเย็บ 4 ตำแหน่ง และจ้างช่างจากที่บ้านอีก 10 คน

ชีวิตของเธอนับได้ว่าเป็นชีวิตของผู้หญิงยุคใหม่และเป็นผู้ประกอบการหญิงในยุคแรกๆ ทีเดียว 

ตุ๊กตาหมีในตำนาน และอิทธิพลสู่หมีที่คุณรัก

ตุ๊กตาผ้าของสไตฟ์เป็นสินค้าที่โด่งดัง ขายดีเป็นที่นิยม หนึ่งในหมุดหมายสำคัญคือการที่ตุ๊กตาเริ่มส่งออกไปขายในต่างประเทศ แถมไม่ได้วางในตลาดทั่วไป เพราะในปี 1895 บริษัททำสัญญากับห้างแฮร์รอดส์ และเริ่มขายตุ๊กตาที่แฮร์รอดส์ และขายมาจนถึงทุกวันนี้

สินค้าหรือตุ๊กตาตัวเด่นที่ถือว่าบริษัทสไตฟ์ให้กำเนิดคือตุ๊กตาหมี ตุ๊กตาหมีคิดค้นโดยหลานชายของมากาเรตที่ชื่อว่าริชาร์ดซึ่งเข้ามาทำงานในบริษัทช่วงปี 1897 ริชาร์ดจบประยุกต์ศิลป์จากสตุตการ์ตและศึกษาต่อที่อังกฤษ หลานชายคนนี้เองที่เป็นคนวาดแบบต่างๆ จากสัตว์ในสวนสัตว์ และเป็นคนออกแบบตุ๊กตาหมีโดยใช้ชื่อว่า ‘Bear 55 PB’

หมีของริชาร์ดขยับแขนและขาได้ ริชาร์ดเองเป็นคนที่เปลี่ยนวัสดุโดยใช้ผ้าที่เรียกว่าผ้าโมแฮร์ (mohair) เป็นผ้าขนนุ่มที่ได้อิทธิพลจากอาหรับ ผลิตจากขนแพะแองโกร่า (Angora) เลี้ยงมากในตุรกีและแอฟริกา ผ้ามีลักษณะนุ่ม ยืดหยุ่นคล้ายขนแกะ แต่ทนทานต่อการฟอกขัดสี ริชาร์ดเลือกใช้ผ้าจากโรงทอในดุยส์เบิร์กของเยอรมนี

หลังจากออกแบบและผลิตตุ๊กตาหมีสำเร็จ ในปี 1902 บริษัทก็นำตุ๊กตาหมีไปจัดแสดงในงานแสดงสินค้าของเล่นที่ไลป์ซิกเหมือนเดิม ผลคือมีนักธุรกิจอเมริกันเห็นและสั่งตุ๊กตาหมีไป 3,000 ตัว จังหวะประจวบเหมาะกับว่าปี 1902 เกิดเหตุการณ์หมีๆ และตำนานหมีเทดดี้แบร์ขึ้นพร้อมกัน

นอกจากจะมีการส่งออกตุ๊กตาหมีจากเยอรมนีแล้ว ในปีเดียวกันนั้น ในหน้าการเมืองสหรัฐฯ ประธานาธิบดีธีโอดอร์ รูสเวลต์ ไปล่าสัตว์และปฏิเสธที่จะยิงหมีดำที่จับได้ เหตุการณ์กลายเป็นการ์ตูน เรื่องราวอบอุ่นใจเรื่องความรักสัตว์เลยกลายเป็นกระแส ปีนั้นเอง มอร์ริส มิชทอม เจ้าของร้านขนมจึงทำตุ๊กตาหมี และขออนุญาตเอาชื่อเล่นประธานาธิบดีมาตั้ง จนเกิดเป็นหมีเทดดี้ (Teddy’s Bear) หรือหมีของธีโอดอร์ 

จุดนี้ไม่มีการเคลมว่าใครทำเทดดี้ตัวจริง แต่เราจะเห็นการเกิดขึ้นของสินค้าคือตุ๊กตาขนนุ่ม ตำนานการเมืองสหรัฐฯ จนเกิดความนิยมในตุ๊กตาหมีที่มีความน่ารักจากการกระทำของผู้นำ ผสมกับความน่ารักของความเป็นตุ๊กตาหมี 

ภายหลังถ้าเราดูไทม์ไลน์ กรณีตุ๊กตาหมี ทางแฮร์รอดส์เองก็มีการทำตุ๊กตาหมีของตัวเองจำหน่าย เป็นตุ๊กตาหมีที่กลายเป็นธรรมเนียมคริสต์มาสคือ Harrods Christmas Bears ซึ่งตุ๊กตาหมีคริสต์มาสของแฮร์รอดส์เริ่มขายตัวแรกตั้งแต่ปี 1896 แต่ละปีก็จะออกเจ้าหมีที่แต่งตัวไม่เหมือนกัน มีชื่อต่างกัน ปีแรกชื่อว่าสโนวี่ และล่าสุดปี 2024 ชื่อโนอาห์ 

นอกจากหมีคริสต์มาส แฮร์รอดส์ก็มีหมีของตัวเองที่กลายเป็นมาสคอตสำคัญ หมีของแฮร์รอดส์ชื่อว่าเฮนรี่ ตั้งชื่อตามผู้ก่อตั้งห้างคือชาร์ลส์ เฮนรี่ แฮร์รอดส์ หมีของแฮร์รอดส์เริ่มปรากฏในแค็ตตาล็อกในปี 1906 และวางขายคู่ห้างมานับแต่นั้น  

หมีแฮร์รอดส์เข้ามาเกี่ยวกับชีวิตเราทางอ้อม ในปี 1921 นั้นเองมีนักเขียนซึ่งเป็นทหารผ่านศึกได้มาที่ห้าง นักเขียนท่านนั้นได้ซื้อตุ๊กตาหมีของแฮร์รอดส์กลับไปให้ลูกชาย ลูกชายของนักเขียนท่านนั้นมีชื่อว่าปีเตอร์ ปาร์กเกอร์ ตุ๊กตาหมีตัวนั้นได้กลายเป็นทั้งสิ่งของที่พ่อให้ และกลายเป็นเรื่องราวของเจ้าหมีที่ชื่อ ‘วินนี่ เดอะ พูห์’ เรื่องราวที่ว่ากันว่า เอ.เอ. มิลน์ ตั้งใจเล่ารอยแผลสงคราม และพยายามเชื่อมต่อกับลูกผ่านชีวิตในป่าร้อยเอเคอร์

ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของเหล่าตุ๊กตานุ่มๆ ที่เราอาจจะเห็นหรือมีอยู่บนเตียง เรื่องราวร้อยกว่าปีของประวัติศาสตร์ของเล่นเด็ก เรื่องราวของผู้หญิงในเมืองเล็กๆ ในเยอรมนีที่มีจักรเป็นแขนขา มีผ้าเป็นความรู้ มีหลานเป็นคนช่วยเหลือ 

ทุกวันนี้บริษัทสไตฟ์ยังวางสินค้าในแฮร์รอดส์และยังผลิตตุ๊กตาที่ขึ้นชื่อว่ามีคุณภาพสูง จากตำนานของหมีที่เกี่ยวข้องกับหนึ่งในประธานาธิบดีที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รักคนหนึ่งของประวัติศาสตร์สหรัฐฯ และย้อนกลับมาที่วัตถุฟูใจซึ่งกลายมาเป็นตัวแทนเชื่อมใจของพ่อลูก กลายเป็นวรรณกรรมชิ้นเอกสำคัญของโลก

อ้างอิงข้อมูลจาก

ทำงาน 4 วัน พัก 3 วัน 95% ของพนักงานไทยพร้อมมาก แต่ 26% ขององค์กรเท่านั้นที่มีแผนปรับใน 1-2 ปี

ไหนใครทำงาน 5 วัน หยุด 2 วันอยู่บ้าง แล้วใครบ้างที่ได้ทำงานนาน 6 วันแล้วหยุดแค่ 1 วัน? รู้สึกกันใช่ไหมว่าอยากให้วันหยุดยาวนานกว่านี้ เพราะแค่ทำความสะอาดบ้าน ซักผ้า และนอนพักให้เต็มอิ่ม วันหยุดก็แทบจะระเหยหายไปแล้ว ถ้าได้วันพักขึ้นมาอีกสักวันคงดีไม่น้อย  

#ประเทศไหนบ้างที่ทำงานแค่ 4 วัน?

หลายประเทศทั่วโลกทีเดียวที่ได้ปรับนโยบายการทำงานจาก 5 เป็น 4 วันต่อสัปดาห์ ประเทศแรกในยุโรปที่เริ่มใช้กฎหมายนี้คือเบลเยียม ซึ่งเพิ่งประกาศใช้เมื่อปี 2022 ในเวลา 4 วันนี้ ไม่ได้หมายความว่าเวลาทำงานต่อสัปดาห์จะน้อยลง แต่ชาวเบลเยียมกระจายเวลาทำงานในแต่ละวันให้มากขึ้นเพื่อให้ได้หยุดชิลล์ๆ 3 วั

ก่อนหน้านี้กว่า 61 องค์กรในสหราชอาณาจักรได้ทดลองทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์นาน 6 เดือน หลังจากจบการทดลอง บริษัทขนาดใหญ่กว่า 89% ที่เข้าร่วมการทดลองได้ใช้นโยบายทำงาน 4 วัน พัก 3 วันต่อไป ด้วยเหตุผลที่ว่าพนักงานทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น กว่า 82% มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี 50% มีอัตราการลาออกลดลง 

ฟากฝั่งเอเชีย สำนักงาน Microsoft ในญี่ปุ่นยังได้ทดลองทำงาน 4 วัน พัก 3 วัน และพบว่าพนักงานทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นถึง 40% ส่วนเกาหลีใต้ก็เพิ่งเริ่มการทดลองไปเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา การทดลองที่ว่าทดลองแค่ในเฉพาะจังหวัดคยองกีเท่านั้น 

#แล้วประเทศไทยจะไปถึงฝั่งฝันไหม?

ด้วยคำถามเดียวกันนี้เอง โรเบิร์ต วอลเทอร์ส บริษัทที่ปรึกษาด้านการจัดหางานระดับโลกจึงได้ทำรายงาน ‘The 4-day work week: Is Asia ready for it?’ ขึ้น รายงานฉบับนี้ โรเบิร์ต วอลเทอร์ส ได้สำรวจบุคลากรและองค์กรกว่า 5,000 แห่งใน 11 ประเทศทั่วเอเชีย

– คนทำงานว่าไง?

ด้านคนทำงาน พบว่า 95% ของพนักงานในไทยอยากทดลองทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ 58% ของผู้ที่เห็นด้วยกับนโยบายนี้ เชื่อว่าการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ดี และ 75% ของพนักงานสนใจสมัครงานกับองค์กรที่ปรับใช้รูปแบบการทำงาน 4 วัน / สัปดาห์ 

มีคนเห็นด้วยก็ต้องมีคนแย้ง พนักงานกว่า 36% กลัวว่าจะเครียดกว่าเดิม เพราะเวลาทำงานน้อยลง แต่งานยังเท่าเดิมหรืออาจมากกว่า อีก 27% มองว่านายจ้างก็อาจลดค่าจ้างลงก็ได้ อีก 18% กลัวว่าเมื่อมีเวลามากขึ้น ก็อาจใช้จ่ายมากขึ้นตามเวลาว่างที่ได้ 

อีกกลุ่มที่น่าสนใจคือ 59% ของพนักงานโอเคมาก หากจะให้ทำงานมากขึ้นวันละ 2 ชั่วโมง และยังต้องได้เงินเดือนเท่าเดิม เพื่อแลกกับการได้พัก 3 วันต่อสัปดาห์ และ 45% พร้อมทำงานที่ออฟฟิศล้วน หากได้หยุดนอนตีพุงสบายๆ ตั้ง 3 วัน  

– องค์กรไทยพร้อมแค่ไหน?

คนที่น่าจะขนหัวลุกที่สุดในนโยบายนี้ก็คงองค์เป็น CEO และบริษัท จากรายงานพบว่ากว่า 90% ขององค์กรในไทยเชื่อว่านโยบาย 4 วันเป็นไปได้ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยภูมิภาคที่ 66% ทั้งองค์กรกว่า 77% มองว่านโยบายนี้จะช่วยรักษาพนักงานให้อยู่กับบริษัทได้นานขึ้น ทั้ง 46% ยังเชื่อว่านโยบายทำงาน 4 วัน พัก 3 วัน จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานสูงขึ้น 

แต่สิ่งที่น่าสนใจคือมีเพียง 26% เท่านั้นที่มีแผนปรับใช้นโยบายนี้ภายใน 1-2 ปีข้างหน้า จากรายงานยังอธิบายเพิ่มเติมว่า ที่องค์กรยังมองว่าการทำงานแค่ 4 วันนั้นอาจยากเกินไป ก็เพราะมองว่าอาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อการให้บริการลูกค้า เพราะพนักงานอาจไม่เพียงพอต่อการบริการให้ทันใจและทันความต้องการ กว่า 67% มองว่าอาจทำให้มีรายจ่ายเพิ่มเติมจากโปรเจกต์ที่ต้องล่าช้าออกไปเพราะวันทำงานที่น้อยลง และ 50% มองว่าค่อนข้างเป็นนโยบายที่นำมาปรับใช้ในองค์กรได้ยาก

จากรายงานนี้ น่าสนใจว่าประเทศไทยจะสามารถเปลี่ยนแปลงนโยบายการทำงานได้มากน้อยแค่ไหน รูปแบบไหนที่สร้างประโยชน์มากกว่ากัน เพราะแน่นอนว่าในข้อดีย่อมมีข้อที่ต้องควรระวัง บางธุรกิจอาจไม่เหมาะมากนัก แต่บางธุรกิจก็พร้อมปรับ 

สำหรับผู้ประกอบการไทย อาจเริ่มต้นจากการดูความมั่นคงทางการเงินของบริษัทเป็นที่ตั้ง จากนั้น อาจทดลองทำงาน 4 วันเช่นเดียวกับแนวทางของประเทศที่สำเร็จแล้ว พิจารณารูปแบบการทำงานว่าจะทำงาน 4 วันโดยลดจำนวนชั่วโมงต่อสัปดาห์ลง หรือทำงาน 4 วัน แต่ในแต่ละวันก็ต้องทำงานนานขึ้น นอกจากนั้นยังต้องพิจารณาควบคู่ไปกับวันลาพักร้อน อีกสิ่งที่ต้องเตรียมพร้อม คือระบบในการสื่อสารและตรวจสอบการทำงานเพื่อให้การทำงานนั้นไหลลื่น

หรือหากไม่พร้อมเปลี่ยนปรับในตอนนี้ การสร้างนโยบายการทำงานที่เป็นมิตรกับคนทำงานมากขึ้น ยืดหยุ่นมากขึ้น โดยหาระบบในการตรวจสอบมารองรับ ก็อาจช่วยให้พนักงานก็แฮปปี้ ส่วนบริษัทก็โตไปพร้อมๆ กันได้

อ้างอิง

กลยุทธ์ของ Super Lock ที่เข้าใจผู้บริโภค จนล็อกมงกล่องพลาสติกคู่บ้านคนไทยมาได้อย่างยาวนาน

ป๊อก! ป๊อก! ป๊อก! ป๊อก!

“ลูกค้าของ Super Lock จะชินกับเสียงนี้ คือพอล็อกฝากล่องลงไปแล้วมันจะเป็นเสียงดัง ป๊อกๆ  ซึ่งให้ความรู้สึกว่า ‘ล็อกแล้วนะ’ มันเลยกลายเป็นเอกลักษณ์ของเราไปโดยปริยาย” เอม–สิวารี เจริญจิตมั่น Brand Director และทายาทรุ่นที่ 2 ของ Super Lock เล่ายิ้มๆ ถึงเทคโนโลยีการล็อกกล่องถนอมอาหารที่เป็นฮีโร่โปรดักต์ของแบรนด์

ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ เราเชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่ต้องเคยใช้ผลิตภัณฑ์ของ Super Lock มาแล้วอย่างแน่นอน ถึงไม่ใช่กล่องถนอมอาหารก็อาจจะเป็นโปรดักต์ไลน์อื่นๆ ที่แตกไลน์ออกมานับไม่ถ้วน ยืนยันได้จากโชว์รูมที่อัดแน่นไปด้วยผลิตภัณฑ์พลาสติกหลากไซส์หลายประเภทตรงหน้าเราขณะนี้

เอมเชื้อเชิญให้เรานั่งลงบนเก้าอี้พลาสติก ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งโปรดักต์ของแบรนด์เช่นกัน เราอดสงสัยไม่ได้ว่าตั้งแต่กล่องอาหารมาจนถึงเก้าอี้ที่พวกเรากำลังนั่งอยู่นี้ Super Lock มีความเป็นมายังไง และพวกเขาทำยังไงพื่อรักษาแก่นความเชื่อของแบรนด์ให้เข้มแข็ง ท่ามกลางอาณาจักรพลาสติกที่ขยายใหญ่จนแทบจะเรียกได้ว่าครอบจักรวาล

“ทั้งรุ่น 1 และรุ่น 2 ของ Super Lock เรามี core belief เดียวกัน คือเราเชื่อในการเฝ้าดูพฤติกรรมผู้บริโภค แล้วก็พยายามคิดถึงความเป็นไปได้ใหม่ๆ เราพยายามจะเป็นมากกว่านี้ตลอดเวลา” คำตอบนั้นสั้น กระชับ อาจฟังดูเรียบง่าย แต่ภายใต้ประโยคดังกล่าวก็แฝงไว้ด้วยเรื่องราวมากมายของพวกเขา 

กว่าที่แบรนด์จะเดินทางมาถึงวันนี้

ขายกล่องพลาสติกให้เหมือนกับขายรถยนต์

แรกเริ่มเดิมที เจ.ซี.พี พลาสติก จำกัด คือบริษัททำ OEM รับผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกประเภทเครื่องใช้ในบ้าน โดยเน้นผลิตสินค้าให้กับแบรนด์ญี่ปุ่น ทำได้ถึงจุดหนึ่งก็เกิดไอเดียต่อยอด know-how การผลิตให้กลายเป็นแบรนด์ของตัวเอง Super Lock จึงถือกำเนิดขึ้นใน พ.ศ. 2549 โดยแบรนด์ตั้งใจชูจุดแข็งคือคุณภาพและความใส่ใจต่อลูกค้าตามมาตรฐานญี่ปุ่น ซึ่งเป็นต้นทุนที่เกิดจากประสบการณ์ที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน

แต่การที่บริษัท OEM หันมาปั้นแบรนด์ของตัวเองนั้นไม่ง่าย และไม่ได้การันตีความสำเร็จเสมอไป เพราะการจะทำแบรนด์ให้ติดตลาดได้ย่อมต้องพึ่งปัจจัยหลายอย่าง มากกว่าแค่ประสบการณ์และความชำนาญในการผลิต

กรณีของ Super Lock เรามองว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้กล่องล็อกใสๆ เหล่านี้กลายเป็นไอเทมประจำบ้านคนไทยได้สำเร็จมี 2 อย่างคือ หนึ่ง–แก้ pain point ในชีวิตของลูกค้า และสอง–การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ

“ในยุคนั้นเราจะเคยชินกับการที่ตู้เย็นมีกลิ่นติดเสมอ เพราะคนเอาของใส่ในตู้เย็นหลายอย่าง กลิ่นก็จะคละคลุ้ง” เอมเริ่มเล่าถึง pain point หลักของตู้เย็นคนไทยในสมัยก่อน ก่อนจะเริ่มยกตัวอย่างประสบการณ์ตรงในบ้านของตัวเอง 

“อย่างครอบครัวเราเองเป็นครอบครัวคนจีน ช่วงตรุษจีนเราไปกินข้าวบ้านอาม่าอากง มีกับข้าวเหลือ เราก็มัดใส่ถุงพลาสติกเอากลับมาใส่ตู้เย็นที่บ้าน กลิ่นมันก็จะตีกันในตู้เย็น อีกอย่างคือเก็บได้ไม่นาน ไม่กี่วันมันก็จะเสีย ตอนนั้นผู้บริหารรุ่นหนึ่งก็เริ่มมองหาว่า จะมีผลิตภัณฑ์อะไรไหมที่จะมาตอบโจทย์ตรงนี้ได้บ้าง

“คำตอบคือกล่องพลาสติกที่ล็อกได้ เป็นสุญญากาศ เพราะตอนนั้นที่ต่างประเทศเขาเริ่มผลิตกล่องลักษณะแบบนี้มาใช้กันแล้ว ประกอบกับว่าเราได้เจอนาโนเทคโนโลยี Microban ซึ่งช่วยยับยั้งการเกิดแบคทีเรียและเชื้อราภายในกล่อง ก็จะทำให้อาหารในกล่องเสียช้าลง สดกรอบนานขึ้น เราก็เลยตัดสินใจเริ่มพัฒนากล่องล็อกในแบบของแบรนด์เราเอง ลองผิดลองถูกอยู่นานจนได้ออกมาเป็น Super Lock”

แต่มันไม่ง่ายเลยที่จะอธิบายเทคโนโลยีที่แปลกใหม่ แถมลูกค้ายังมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าด้วยซ้ำ  

“ช่วงแรกที่เราเปิดตัว เราต้องให้ความรู้เขาค่อนข้างเยอะเพื่ออธิบายว่ากล่องนี้มันช่วยเก็บถนอมอาหารได้ยังไง เพราะในมุมมองของคนสมัยนั้นเขาก็จะคิดว่า ทำไมเราต้องเอาอาหารมาใส่กล่องล่ะ ในเมื่ออาหารอยู่ในถุงเราก็เอาเข้าตู้เย็นได้เลยเหมือนกัน 

“วิธีการที่เราใช้ เราได้ไอเดียจากตอนที่ไปเดินงานมอเตอร์โชว์ จะเห็นว่าทุกบูทเขาจะมี mc มาอธิบายคุณสมบัติของรถ เราเลยคิดว่ามันจำเป็นที่จะต้องมีคนมาบอกเล่าสรรพคุณให้ลูกค้าเข้าใจเหมือนกับที่ลูกค้าจะซื้อรถ Super Lock จึงถือเป็นแบรนด์แรกเลยที่เริ่มเอา mc เข้ามาอธิบายผลิตภัณฑ์สินค้าประเภทพลาสติก” 

แต่นอกจาก mc แล้ว Super Lock ยังลงทุนยกตู้เย็นไปตั้ง และเตรียมกล่องอาหารเพื่อเปรียบเทียบให้ลูกค้าเห็นประสิทธิภาพในการถนอมอาหารของกล่องล็อกสุญญากาศและเทคโนโลยีนาโนแบน รายละเอียดในการนำเสนอสินค้าเช่นนี้เองที่โน้มน้าวให้ลูกค้าเปิดใจลองซื้อไปใช้ และเมื่อประกอบกับคุณภาพสินค้าที่ได้มาตรฐาน สร้างกระแสปากต่อปากในหมู่ผู้ใช้งาน จนกล่องของ Super Lock เริ่มกลายเป็นที่รู้จักในที่สุด

กล่องที่ลูกค้าไม่เคยรู้มาก่อนว่าอยากได้

“ด้วยความที่ตลาดของเราค่อนข้างก๊อบปี้กันง่าย สมมติมีสินค้าออกมาให้คนเห็นปุ๊บ การจะทำตามมันก็ไม่ใช่สิ่งที่ยากแล้ว เรื่องนี้จึงเป็นชาลเลนจ์ที่บริษัทเรามีมาโดยตลอด” เอมเกริ่นถึงความท้าทายระลอกใหญ่ที่แบรนด์ต้องเผชิญอยู่เสมอๆ 

“เราจึงต้องคอยคิดตลอดว่าลูกค้ายังอยากได้อะไรอีก พยายามคิดถึงสิ่งที่ลูกค้าน่าจะอยากได้แต่เขายังไม่รู้ตัว เพื่อที่เราจะได้มีสินค้าใหม่ๆ มาตอบโจทย์ลูกค้าให้ได้ก่อนคนอื่น”

แล้วอะไรกันคือเคล็ดลับที่ทำให้อ่านความลับในใจลูกค้าเช่นนั้น เอมเล่าว่าสิ่งสำคัญคือการเอาตัวไปใกล้ชิดกับลูกค้าให้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการไปพูดคุยกับลูกค้าเวลาที่มีงานออกบูท หรือการศึกษาลูกค้าผ่านดาต้าบนช่องทางออนไลน์ก็ดี ทั้งหมดนี้จะช่วยให้เห็น pain point ที่ซ่อนอยู่ได้ในที่สุด

“อย่างกล่องล็อกสุญญากาศเนี่ย พอใช้ไปนานๆ ฝาล็อกด้านข้างอาจจะหักได้ ล่าสุดเราเลยผลิตกล่องตัวใหม่ที่ถอดตัวล็อกออกมาจากฝาได้เลย ดังนั้นมันจะไม่หักแล้วเพราะสามารถแยกกันได้ตั้งแต่ต้น แล้วก็สะดวกในการดูแลทำความสะอาดมากยิ่งขึ้นด้วย อีกอย่างคือในเรื่องสีกล่องที่เราสามารถเล่นสีด้านข้างได้มากขึ้น เพราะทุกวันนี้เรามองว่าลูกค้าเริ่มหันมาแต่งบ้านกันเยอะ เราจึงพยายามให้กล่องของเรากลายเป็นส่วนหนึ่งในการแต่งบ้านได้ด้วย” 

เหมือนกับที่แม่บ้านยุคก่อนปี 2549 ไม่เคยรู้ว่าเราจำเป็นต้องมีกล่องล็อกสุญญากาศเพื่อให้ตู้เย็นไม่เหม็น และยืดอายุในการเก็บได้นานขึ้นกว่าอยู่ในถุงหรือกล่องทั่วไป Super Lock ตั้งใจนำเสนอกล่องล็อกสุญญากาศรุ่นใหม่ที่แก้ pain point จากกล่องรุ่นเดิมได้ครบถ้วน และยังแถมคุณสมบัติในการแต่งบ้านไปอีก

อีกหนึ่งโปรดักต์ที่น่าสนใจคือกล่องเก็บไข่ไซส์ใหญ่พิเศษ ซึ่งเปิดตัวในยุคกักตัวโควิด-19 ที่เหล่ามนุษย์ทำอาหารไม่สามารถออกไปจ่ายตลาดได้บ่อยๆ 

“ช่วงที่คนต้องกักตัว เราเห็นว่าหลายคนตุนไข่ไว้ที่บ้านมากขึ้น จากเดิม Super Lock มีกล่องเก็บไข่อยู่แล้วแต่เป็นขนาดเล็กจุได้แค่ 10 ฟอง พอมาเจอสถานการณ์แบบนี้เราก็เลยตัดสินใจทำกล่องเก็บไข่ขนาดใหญ่ที่จุได้เพิ่มขึ้นเป็น 30 ฟอง พอลูกค้าซื้อไข่แผงใหญ่กลับมาก็วางเรียงได้พอดีเป๊ะเลย”

จากกล่องเก็บอาหาร สู่สารพัดกล่องของทุกคน

ไม่เพียงแต่ปรับตัวบน pain point ของลูกค้า แต่ Super Lock ยังเริ่มปรับระยะสายตาให้ไกลกว่าแค่กล่องพลาสติกในห้องครัว ขยับขยายไปสู่โปรดักต์พลาสติกอื่นๆ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ 

“เรื่องการแตกไลน์สินค้าก็จะมาเริ่มแตกไลน์ที่รุ่นเรา เพราะเราอยากขยายฐานให้ไปไกลกว่าแค่กล่องเก็บอาหาร อย่างชิ้นแรกๆ ที่มีกระแสตอบรับดีจนเป็นที่จดจำก็น่าจะเป็นกล่องรองเท้า เพราะเราปล่อยออกได้ตรงจังหวะช่วงที่คนกำลังฮิตสะสมสนีกเกอร์ด้วย” แต่นอกจากจังหวะเวลาแล้ว การรีเสิร์ชและออกแบบอย่างละเอียดลออก็เป็นอีกข้อที่มีผลต่อความสำเร็จในครั้งนี้

“เราต้องไปรีเสิร์ชดูว่ากล่องที่เขาจะซื้อไปแล้วสามารถใช้ใส่ได้ทั้งรองเท้าผู้หญิงและผู้ชายมันคือไซส์ไหน และคิดด้วยว่าเวลาไปเรียงในบ้านมันจะวางเข้ามุมได้ไหม พวกนี้เป็นสิ่งที่เราต้องคิดเผื่อไว้ก่อนทั้งหมด” เอมสรุป ก่อนจะเล่าต่อถึงอีกหนึ่งโปรดักต์ที่มีอินไซต์น่าสนใจไม่แพ้กัน

“อีกอันหนึ่งที่กระแสตอบรับดีจนเคยเป็นไวรัลในพันทิปก็คือ กล่องใส่กล้อง มันเริ่มจากที่เรารู้ดีว่ากล้องหนึ่งตัวมันมีมูลค่าค่อนข้างแพง อย่างตัวเอมเองก็มีกล้อง ชอบซื้อกล้อง แต่พอซื้อมาถ้าเราเก็บไม่ดี กล้องชื้น มันก็เสีย ซึ่งเรามองเห็นช่องว่างที่ยังไม่มีใครหันมาทำกล่องเก็บกล้องในราคาจับต้องได้ ถ้าจะเก็บให้ดี คนเล่นกล้องส่วนใหญ่ก็ต้องขยับไปซื้อตู้เก็บกล้องที่มีราคาค่อนข้างแพงอีก 

“เราเลยตัดสินใจ adapt กล่องเก็บอาหารของเราให้มีขนาดใหญ่เพียงพอสำหรับใส่กล้อง และบุก้นกล่องกันกระแทก แค่นั้นเลย บางคนอาจจะไปหาซื้อแผ่นกันชื้นมาใส่เพิ่มก็ได้ เป็นโปรดักต์ที่ใช้ได้จริงและมีคนซื้อต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้”

แต่เมื่อกล่องใส่กล้องมีหน้าตาภายนอกไม่ต่างอะไรจากกล่องใส่อาหารขนาดใหญ่ เมื่อเปิดตัวโปรดักต์ออกมาช่วงแรก Super Lock จึงต้องใส่ใจกับวิธีการนำเสนอโปรดักต์ให้คนรับรู้ถึงสินค้าใหม่ที่เปิดตัวออกมา หรือที่เอมเรียกว่า ‘การแต่งตัวสินค้า’

“เรื่องนี้มันต้องเริ่มตั้งแต่แพ็กเกจจิ้งเลย เรามองว่าแพ็กเกจจิ้งมันคือการแต่งตัวสินค้า ทำให้คนมองปุ๊บรู้เลยว่าอันนี้เอาไว้ใส่อะไร ง่ายที่สุดเลยคือแทนที่จะเป็นรูปอาหารก็จะกลายเป็นรูปกล้อง ถ้าลูกค้าที่เพิ่งเคยเห็นแล้วไม่แน่ใจเดี๋ยวเขาก็จะมาถามเองว่า เอ๊ะ อันนี้ไว้ใส่กล้องเหรอ? เออจริง ไซส์มันได้นี่นา จากนั้นถ้าสนใจเขาก็จะซื้อไปลอง”

นี่คือ customer jouney ที่เรียบง่ายแต่ตรงจุดสำหรับสินค้าใหม่ๆ ที่แตกไลน์ออกมา เช่นกันกับการแต่งตัวกล่องใส่อาหารน้อยใหญ่ไซส์อื่นๆ ที่เธอและทีมงานบรรจงเลือกสรรภาพเพื่อเป็นตัวแทนอย่างดี ให้ลูกค้าเห็นว่ากล่องไซส์นี้เหมาะสำหรับใส่เชอร์รีหรือบลูเบอร์รีมากกว่ากัน แล้วกล่องไซส์นั้นต้องใส่หัวหอมใหญ่หรือหอมแดงกันแน่

ขายกล่องให้คนที่ปกติไม่ใช้กล่อง

แล้วกับคนที่ปกติไม่ใช้กล่องใส่อาหาร ไม่ได้ใส่ใจเรื่องการยืดอายุหรือถนอมอาหารเป็นพิเศษ Super Lock มีเคล็ดลับอะไรในการโน้มน้าวพวกเขาให้เข้ามาเป็นลูกค้า หรือเปิดใจลองซื้อสินค้าดูสักครั้ง

กลยุทธ์หนึ่งที่ Super Lock ใช้มาอย่างต่อเนื่องยาวนาน และปฏิเสธไม่ได้ว่ามีประสิทธิภาพทั้งเพิ่มยอดขายและขยายฐานลูกค้าได้จริงก็คือ การคอลแล็บกับแบรนด์หรือคาแร็กเตอร์ชื่อดังอย่างมูมิน คิตตี้ และผองเพื่อนซานริโอ้ที่ปัจจุบัน Super Lock เป็นผู้ถือ official license อยู่นั่นเอง

“การคอลแล็บกับคาแร็กเตอร์ต่างๆ คือสิ่งที่เราทำมานานแล้ว ย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นคือพอเรามีสินค้าที่ชัด จุดแข็งที่ชัด และมี core belief ในเรื่องคุณภาพสินค้าที่แข็งแกร่ง ทำให้เวลาที่เราอยากจะแตกไลน์สินค้า หรือไปคุยกับคู่ค้าคนไหนเขาก็ค่อนข้างให้ความเชื่อใจ” เอมเล่าพลางชี้ชวนให้เราดูแบบร่างลายมูมินคอลเลกชั่นใหม่ที่ถูกปรินต์แปะไว้บนฝากล่อง

“ทุกๆ การคอลแล็บช่วยขัดเกลาตัวตนของแบรนด์ให้แข็งแรงมากขึ้น” เธอย้ำ ก่อนจะยกตัวอย่างหนึ่งในโปรเจกต์พิเศษล่าสุดที่ถึงแม้จะไม่ใช่งานคอลแล็บโดยตรง แต่ก็ถือว่าเป็นงานที่ไวรัลจนทำให้โปรดักต์ของ Super Lock กลับมาเป็นกระแสถูกพูดถึงไปทั่วโซเชียล 

“สำหรับโปรเจกต์นี้คือเราเป็นผู้ผลิตถัง bucketware ให้แคมเปญวันแม่ของ KFC ทางนั้นเขาก็กำลังมองหาผู้ผลิตคนไทยที่จะผลิตกล่องบักเก็ตแวร์ให้กับเขา ซึ่งเรามองว่าตัวเราเองค่อนข้างพร้อมในแง่ที่เรามีประสบการณ์การผลิตอยู่แล้ว และสามารถขึ้นโมใหม่ ผลิตสินค้าไซส์ใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนให้ตามที่เขาต้องการได้”

แม้แคมเปญจะมีโจทย์ที่ชัดเจนคือการทำกล่องไซส์เดียวกับบักเก็ตไก่ของแบรนด์เป๊ะๆ ซึ่งถือว่าเป็นขนาดที่ค่อนข้างใหญ่กว่ากล่องใส่อาหารทั่วไปในท้องตลาด แต่สำหรับ Super Lock ผู้คร่ำหวอดในวงการนี้มายาวนานก็มั่นใจตั้งแต่แรกว่าพวกเขาสามารถเอาอยู่อย่างแน่นอน ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังใช้เวลาร่วมปีในการประชุม พูดคุย ขึ้นแบบ และเทสต์สินค้าจนมั่นใจว่าตรงตามมาตรฐานของแบรนด์

“การคอลแล็บกับคาแร็กเตอร์ หรือร่วมงานกับแบรนด์ต่างๆ ในลักษณะนี้คือโอกาสที่เราจะได้แฟนๆ ของเขาเข้ามาเป็นลูกค้า ถือเป็นการขยายฐานลูกค้าของ Super Lock เองไปด้วยในตัว” เอมสรุป

กล่องที่ลูกค้าหยิบจับไม่ได้ แต่ต้องเห็นภาพ

เมื่อย้อนถามถึงการปรับตัวของแบรนด์กับสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เราพบว่า Super Lock เองก็ไม่เคยหยุดนิ่งเช่นกัน 

จากการขายกล่องพลาสติกตามบูทและเชลฟ์ในห้าง สู่การขายออนไลน์บนเว็บไซต์ ทำแบรนด์ดิ้งออนไลน์บนโซเชียลมีเดีย จนเข้ายุคของอีคอมเมิร์ซ และล่าสุดเมื่อทุกแบรนด์ต่างจริงจังกับการไลฟ์ขายของ และทำ affiliate marketing 

“อย่างออนไลน์มาร์เกตติ้งมันเริ่มจากรุ่น 1 ซึ่งเขามีวิชั่นว่าอยากเริ่มทำเว็บไซต์มาก่อน พอเราที่เป็นรุ่น 2 เข้ามา ด้วยความที่เราค่อนข้างคุ้นชินกับเครื่องมือเหล่านี้มากกว่า คือเราเห็นเว็บไซต์ของเมืองนอกแล้วได้รู้ว่าการซื้อของออนไลน์ในต่างประเทศเป็นยังไง คนสามารถซื้อของโดยที่ไม่ต้องเห็นของจริงก็ได้ แล้วของก็มาส่งถึงหน้าบ้าน พอเราเริ่มเข้ามาทำงานได้สักพัก ถึงจุดหนึ่งที่เข้าใจแล้วว่าสินค้าของเราคืออะไร ลูกค้าของเราเป็นใคร ก็เลยตัดสินใจเริ่มทำออนไลน์กันมา

“อีกอย่างคือการเริ่มทำเฟซบุ๊กของแบรนด์ ตอนนั้นเราก็แค่คิดว่า ถ้าเฟซบุ๊กของบุคคลยังมีได้ เฟซบุ๊กของแบรนด์ก็ต้องมีได้เหมือนกัน เลยพยายามลองผิดลองถูกกันขึ้นมา แน่นอนว่าไม่ได้เป็นระบบสวยงามเหมือนทุกวันนี้” เอมเล่าถึงความทรงจำในช่วงแรกที่กลับมาช่วยบริหารงานที่บ้าน

“สาเหตุที่เราให้ความสำคัญกับออนไลน์มาร์เกตติ้งคือรุ่นเราคิดว่ามันเป็นโอกาสสำคัญจริงๆ เพราะมันทำให้เราไม่ถูกจำกัดอยู่แค่การที่ลูกค้ามาหาเรา แต่เราเองก็จะไปหาลูกค้าได้ผ่านทางออนไลน์ แถมเราก็จะได้ดาต้ากลับมาทำการบ้านต่อด้วยว่าลูกค้าอยากได้อะไร” 

จากแบรนด์ที่เก็บดาต้าของลูกค้าหน้าบูทในแต่ละห้างมาทำการบ้าน เพื่อคัดเลือกสินค้าไปนำเสนอให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายในการออกบูทครั้งถัดๆ ไป เมื่อเข้าสู่ยุคของออนไลน์ พวกเขาจึงยิ่งจริงจังกับการใช้ดาต้ามาวางแผนให้เหมาะสมยิ่งขึ้น

การขยับตัวแต่ละครั้งของ Super Lock นอกจากความทุ่มเทแล้ว แน่นอนว่าต้องมีต้นทุนที่แฝงอยู่ แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้ตัดสินใจยากเลยเมื่อเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงระลอกแล้วระลอกเล่าในตลาด

“เราไม่ได้ตัดสินใจยากเลย เราคิดแค่ว่า ‘มาก็ทำ’ แค่นั้นเอง ตรงนี้อาจจะเป็น core belief และเป็นธรรมชาติของบริษัทเราอยู่แล้วว่า ถ้ามีอะไรใหม่มาเราต้องลองเข้าไปเรียนรู้ ต้องเข้าไปลองดู” เอมตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ

What I’ve Learned

  1. “ต้องเอาตัวเองไปอยู่ในธุรกิจ ศึกษาให้ลึกว่าจริงๆ แล้วเราเป็นใคร หาแก่นของเราให้เจอ และพยายามศึกษาว่าเราทำอะไรได้บ้าง”
  2. “เอาตัวเองไปติดกับลูกค้า ไปหาว่าลูกค้ายังมี pain point อะไรไหม ศึกษาผู้บริโภคให้ลึก และพยายามเข้าใจลูกค้าให้มาก” 
  3. “พาตัวเองออกไปข้างนอก ไปศึกษาเรื่องข้างนอก ไม่ว่าจะเป็นในประเทศ ต่างประเทศ เพื่อที่จะตามหาโอกาสใหม่ๆ ในการขยายแบรนด์ให้สามารถต่อยอดไปได้เรื่อยๆ”

ส่งความสุขด้วยบ้านในฝัน เมื่ออารียามอบโปรโมชั่นส่งท้ายปี

ใกล้สิ้นปีเข้ามาทุกที เชื่อว่านอกจากจองทริปไปเที่ยวแล้ว หลายคนน่าจะกำลังหาของขวัญ ทั้งให้คนรอบข้างและให้ตัวเองเพื่อฉลองให้กับทั้งปีที่ทำงานหนัก

บริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ จึงตั้งใจมอบโปรโมชั่นส่งท้ายปี ‘ลดทะลุ UNIVERSE’ กับส่วนลดรวมกว่า 120 ล้านบาท รวม 13 โครงการ พร้อมข้อเสนอให้ได้เลือกรับอีกมาก

ไม่ว่าจะเป็นอารียาฯ ช่วยผ่อนสูงสุด 1 ปี*​, ฟรี! ค่าส่วนกลาง สูงสุดนาน​ 10 ปี*, บัตรกำนัล มูลค่าสูงสุด 200,000​ บาท*​ และของแถมอีกหลายรายการ สำหรับลูกค้าที่จองบ้านและทาวน์โฮมสร้างเสร็จพร้อมอยู่ ในโซนบางนา, โซนรามอินทรา – หทัยราษฎร์, โซนวงแหวน – ลำลูกกา และโซนบางบัวทอง ในราคาเริ่มต้น 1.69 – 17.9 ล้านบาท* ตั้งแต่วันนี้ – 15 ธันวาคมนี้ 

ภายใต้แบรนด์อารียานั้นยังแบ่งออกเป็นหลายแบรนด์ย่อยด้วยกัน เพื่อมุ่งเน้นตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของผู้คน หรือ ‘Lifestyle Property Developer’ ได้แก่

  • แบรนด์ในกลุ่ม Minimal Series ที่ออกแบบด้วยความเข้าใจอินไซต์กลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มเจนฯ Y ที่ชื่นชอบวิถีของความมินิมอล 
  • แบรนด์โคโม่ พรีโม่ (COMO Primo) บ้านเดี่ยวสไตล์ Tropical Modern ที่ได้แรงบันดาลใจจาก Luxury Villa
  • แบรนด์โคโม่ โบทานิก้า 2 (COMO Botanica ll) สไตล์ Urban Botanical ให้ได้ใกล้ชิดธรรมชาติ
  • แบรนด์อารียา โคโม่ (Areeya COMO) บ้านสไตล์ Tropical ที่เชื่อมต่อพื้นที่การใช้ชีวิต 
  • แบรนด์เดอะ วิลเลจ (The Village) สไตล์ American Cottage ให้แต่งเติมจินตนาการกับบ้านในฝัน
  • แบรนด์เดอะคัลเลอร์ส (The Colors) ทาวน์โฮมสไตล์ Modern บ้านหลังแรกของคนรุ่นใหม่ 

ใครที่สนใจสามารถติดต่อที่ Sales Gallery ทุกโครงการของอารียาฯ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง www.areeya.co.th

Energy Symphonics กลยุทธ์บ้านปูเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจสู่ปี 2030 และเดินหน้า net-zero ปี 2050

เทรนด์หลักที่ทุกธุรกิจต้องสนใจและยึดเป็นหนึ่งในแนวทางการบริหารคือการมุ่งสู่ net-zero ให้ได้ ด้วยสถานการณ์โลกปัจจุบันที่อุณหภูมิโลกพุ่งสูงสุดในรอบศตวรรษ บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านพลังงานที่หลากหลายจึงประกาศกลยุทธ์ใหม่ ‘Energy Symphonics’ เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจสู่ปี 2030 

ด้วยกลยุทธ์นี้ บ้านปูมี 3 เป้าหมายหลักคือความมั่นคงทางพลังงาน ความเสมอภาคด้านพลังงาน และความยั่งยืนด้านพลังงาน ทั้งยังตั้งเป้าว่าบริษัทจะต้องเดินทางสู่ net-zero ภายในปี 2050 ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่น้อยกว่า 20% และลดสัดส่วน EBITDA (กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา) ที่มาจากธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับถ่านหินให้ต่ำกว่า 50% ภายในปี 2030

ในด้านธุรกิจก๊าซธรรมชาติ โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ และการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture, Utilization and Sequestration: CCUS) บ้านปูเน้นผสานธุรกิจก๊าซธรรมชาติตั้งแต่ต้นน้ำ เพื่อส่งมอบโซลูชั่นก๊าซธรรมชาติคาร์บอนต่ำในสหรัฐอเมริกา พร้อมสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง

ด้านธุรกิจพลังงานหมุนเวียนและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง (Renewables+) บ้านปูเดินหน้าขยายธุรกิจพลังงานหมุนเวียนทั่วภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกและภูมิภาคอื่นๆ โดยเฉพาะระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี ธุรกิจปลายน้ำที่เกี่ยวข้อง และธุรกิจคาร์บอนเครดิต เพื่อสร้างความต่อเนื่องให้กับพลังงานหมุนเวียน พร้อมเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจ

มากไปกว่านั้น บ้านปูยังตั้งเป้าพัฒนาธุรกิจเหมืองแร่ยุคใหม่ คือเน้นผสานการใช้โซลูชั่นอัจฉริยะและปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในกระบวนการทำเหมือง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงการลงทุนในแร่แห่งอนาคตที่สำคัญต่อการเปลี่ยนผ่านพลังงาน 

“Energy Symphonics สื่อถึงแนวทางผสานพลังงานที่หลากหลาย เพื่อสร้างโซลูชั่นพลังงานใหม่ที่ยั่งยืน ตอบสนองต่อความต้องการพลังงานของโลกที่เพิ่มสูงขึ้น พร้อมไปกับการดูแลโลกของเรา เรามีความมุ่งมั่นที่จะแก้โจทย์ความท้าทายด้านพลังงานและสร้างมาตรฐานใหม่เพื่อพลังงานที่มีใช้อย่างต่อเนื่อง ราคาสมเหตุสมผล และมีความยั่งยืน

“ไม่ว่าเราจะต้องประสบกับความท้าทายของตลาดพลังงานที่ผันผวน บ้านปูเชื่อมั่นว่ากลยุทธ์ Energy Symphonics จะสร้างการเติบโตให้กับบริษัทฯ สร้างคุณค่าระยะยาวให้แก่ผู้ถือหุ้น ในขณะที่ยังคงให้ความสำคัญกับการดูแลผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม รวมถึงการดูแลโลกใบนี้” นายสินนท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวเน้นย้ำถึงกลยุทธ์ใหม่