Thesis Exibition : เปิดโลกศิลปะผ่านคอมมูนิตี้สร้างสรรค์ของนักศึกษา

ทุกครั้งที่ได้ชมศิลปนิพนธ์หรือนิทรรศการจัดแสดงผลงานสร้างสรรค์ของเด็กรุ่นใหม่ก็มักจะรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับไอเดียสดใหม่แหวกแนวในทุกครั้งเหมือนได้อยู่ในสนามเด็กเล่นแห่งความคิดสร้างสรรค์ของคนรุ่นใหม่ เช่นเดียวกับการชมงาน THESIS Exhibition @ noble PLAY ของนักเรียนนักศึกษาหลากสถาบันในปีนี้ที่เพิ่งจบไปเมื่อกลางสิงหาคมที่ผ่านมา

ภายใต้ชื่อนิทรรศการสุดล้ำอย่าง Geo“GRAPHIC” Good Game, CapQuest และ OUMUAMUA ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นไอเดียของคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถทางศิลปะจัดวาง ศิลปะสื่อผสม ศิลปะมัลติมีเดีย จิตรกรรม ประติมากรรม ภาพพิมพ์ ภาพถ่าย ฯลฯ ทุกคนต่างงัดฝีมือมาโชว์ความสามารถให้ไอเดียโลดแล่นกันอย่างเต็มที่ ณ  noble PLAY ย่านเพลินจิต

สำหรับคนที่รู้จัก Noble Development ในฐานะผู้พัฒนาพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อยู่แล้วอาจเกิดคำถามว่า ทำไม Noble ถึงกลายเป็นพื้นที่จัดงานศิลปะและงานออกแบบ ความจริงแล้วทิศทางธุรกิจของ Noble นั้นมีความตั้งใจมากกว่าการสร้างรายได้ให้โครงการและอยากปั้น noble PLAY สนามเด็กเล่นที่จุดประกายไอเดียนักสร้างสรรค์รุ่นใหม่ (Inspiration Playground) ให้เติบโตเป็นคอมมิวนิตี้ที่แข็งแกร่ง

เป้าหมายหลักคือการสร้างเวทีแสดงผลงานและความสามารถทางด้านศิลปะของนิสิตนักศึกษาให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างและสร้างโอกาสในการฝึกฝนกระบวนการทำงานจริงก่อนเข้าสู่เส้นทางการทำงานในอนาคต และเวที THESIS Exhibition @ noble PLAY แห่งนี้ก็จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 แล้วโดยยังคงคอนเซปต์เปิดกว้างในการจัดแสดงศิลปนิพนธ์ไม่จำกัดรูปแบบและไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ จากเยาวชน

จากไอเดียการจัดนิทรรศการงานศิลปะและงานออกแบบของนักศึกษาหลายคณะ หลากมหาวิทยาลัยที่ส่งเข้าประกวดมา noble PLAY ได้คัดเลือกผลงานของ 3 สถาบันการศึกษาที่มาในคอนเซปต์แปลกใหม่และสะท้อนความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างน่าสนใจ

1. Geo“GRAPHIC” Good Game
กับการเล่ากู๊ดดีไซน์ของเด็กกราฟิกดีไซน์

ชื่อ Geo“GRAPHIC” Good Game ดูน่าจะเป็นนิทรรศการที่เล่าเรื่องแสนเข้าใจยาก แต่ที่มาที่ไปของคอนเซปต์นั้นมีกิมมิกที่แสนเข้าใจง่าย เพราะคำว่า GRAPHIC ตรงกลางสื่อถึงกราฟิกดีไซน์ซึ่งเป็นความถนัดของนิสิตเอกเรขศิลป์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

คำว่า GeoGRAPHIC มาจากแรงบันดาลใจในรายการ National Geographic ที่สื่อถึงความมหัศจรรย์ของความหลากหลายในธรรมชาติและสิ่งมีชีวิต ส่วน Good Game มาจากสำนวน Good Game, Well Played ที่ไม่ได้สื่อถึงการชนะเกมแต่พูดถึงการให้คุณค่ากับความพยายามและกระบวนการระหว่างทางกว่าจะถึงเส้นชัย รวมกันเป็นชื่องานที่จัดแสดงผลงานหลากหลายของของนิสิตผู้กำลังก้าวข้ามเส้นชัยของการศึกษาไปสู่การเป็นนักออกแบบมืออาชีพ

23 ผลงานจากนิสิต 23 คนที่มีความถนัดแตกต่างกัน มีมุมมองและตัวตนหลากหลายจึงได้ถ่ายทอดผ่านนิทรรศการนี้โดยนำเสนอถึง conceptual thinking และกระบวนการคิดเชิงออกแบบก่อนจะออกมาเป็นสื่อสร้างสรรค์และผลงานดีไซน์ที่ตอบโจทย์แก้ปัญหาจริงซึ่งแสดงให้เห็นว่าการออกแบบที่ดีมีพลังที่สามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ได

2. ‘CapQuest’ ที่จัดแสดงภาพถ่ายสุดอาร์ตของ
นิสิตตลอดระยะเวลา 4 ปี

เราแต่ละคนต่างมี quest หรือภารกิจในหน้าที่การงานที่อยากพิชิตแตกต่างกันออกไปและ quest หรือภารกิจอันยิ่งใหญ่ที่นักศึกษาสาขาวิชาการถ่ายภาพและศิลปะและการออกแบบ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ได้รับมอบหมายคือการบันทึกภาพเป็นระยะเวลา 4 ปี

คำว่า capture หมายถึงการจับภาพ บันทึกภาพ ดังนั้นชื่อนิทรรศการ CapQuest จึงหมายถึงภารกิจการบันทึกภาพโดยมีกล้องถ่ายภาพเป็นอาวุธ ตลอดระยะเวลา 4 ปีนิสิตทั้ง 23 คนได้ถ่ายทอดภาพออกมา 6 ประเภททั้งภาพถ่ายแฟชั่น ภาพถ่ายโฆษณา ภาพถ่ายเชิงศิลปะ ภาพถ่ายประกอบบทความ ภาพถ่ายสารคดี และภาพถ่ายบุคคล

นอกจากความสวยงามเชิงศิลป์ของภาพเหล่านี้ แต่ละภาพในทุกชัตเตอร์ยังแฝงด้วยเรื่องราวของตัวตน ความฝัน อนาคตในวัยเรียนที่กำลังออกเดินทางตามหาความฝันซึ่งสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้เข้าชมทุกคนได้

3. ‘OUMUAMUA’ กับการบุกเบิกไอเดียใหม่ในงานออกแบบผ่านธีมอวกาศ

แม้จะเป็นนักเรียนมัธยม แต่คอนเซปต์นิทรรศการของนักเรียนสาขาศิลปกรรม การออกแบบ และสถาปัตยกรรมศาสตร์ โรงเรียนเซนต์คาเบรียลก็ไม่ได้น้อยหน้าพี่ๆ เลยและมาในธีมล้ำชื่อ OUMUAMUA (โอมูอามูอา) ที่แปลว่า ผู้ส่งสาส์นจากแดนไกลที่โคจรมาถึงสุริยะจักรวาลเป็นคนแรก หรือ “The Messenger from afar arriving first” ในภาษาฮาวาย

ธีมของนิทรรศการสื่อสารถึงการเป็นผู้บุกเบิกหรือ pioneer ผ่านภาพอวกาศที่มีวัตถุแปลกประหลาดเดินทางมาถึงจักรวาลด้วยเทคโนโลยี แนวทางการสื่อสารและโปสเตอร์นิทรรศการจึงมีความโฉบเฉี่ยว ดุดัน ล้ำสมัย เช่นเดียวกับผลงานออกแบบในงานนี้ที่พยายามบุกเบิกไอเดียล้ำหน้าใหม่ๆ และใช้โปรแกรมการออกแบบมาช่วยในการสื่อสารไอเดีย

เชื่อว่าผลงานสร้างสรรค์ทั้งหมดนี้ไม่ได้แค่สร้างความภาคภูมิใจให้เหล่านักศึกษาเท่านั้นแต่ยังสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ชมนิทรรศการอยากลุกขึ้นมาเล่นสนุกและริเริ่มไอเดียใหม่ หากใครสนใจติดตามกิจกรรมครั้งต่อไปก็สามารถไปติดตามได้ที่สนามเด็กเล่น noble PLAY

44 ปี หยกอินเตอร์เทรด บ้านหลังที่ 2 ของธุรกิจเบเกอรีในเชียงใหม่ ในวันที่ขยายมาเมืองกรุง

ถ้าค้นหาคำว่าร้านขายวัตถุดิบและอุปกรณ์ทำเบเกอรีในเชียงใหม่  ชื่อแรกที่ขึ้นมาคือ ‘หยกอินเตอร์เทรด‘ พร้อมสโลแกนว่าที่เดียวครบ ตอบทุกโจทย์ธุรกิจเบเกอรี ประโยคนี้ไม่ใช่สิ่งที่เคลมเกินไปนัก เพราะในสายตาคนเชียงใหม่ หยกอินเตอร์เทรดเป็นเหมือนบ้านหลังที่ 2 ของคนทำธุรกิจเบเกอรีและคาเฟ่เลยก็ว่าได้

ก่อนที่เชียงใหม่จะเป็นเมืองแห่งคาเฟ่อย่างทุกวันนี้ ย้อนไปเมื่อ 44 ปีก่อน ซ้อหยก–เลิศลักษณ์ วณิชวิกรานต์ ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการหยกอินเตอร์เทรด ที่ในตอนนั้นได้ผันตัวจากการเป็นคุณครูสอนวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มาทำเบเกอรีขาย เคยถูกถามว่า ‘เบเกอรีหมายถึงอะไร’ 

ในสมัยก่อนคนรู้จักแต่ลูกอมและขนมไทยห่อใบตอง การที่มีขนมปังมาวางขายคู่กันจึงเป็นเรื่องแปลกใหม่ ซ้อหยกจึงไม่ใช่แค่คนทำธุรกิจ แต่เป็นผู้สร้างค่านิยมให้คนรู้จักและรักเบเกอรี พร้อมสร้างงานสร้างรายได้ให้คนเชียงใหม่มีธุรกิจเป็นของตัวเอง ด้วยการแบ่งปันสูตรทำเบเกอรีให้แบบไม่มีกั๊ก ก่อนที่ซ้อหยกจะเปลี่ยนมาขายวัตถุดิบและอุปกรณ์ทำเบเกอรีแบบครบวงจรจวบจนทุกวันนี้

ล่าสุดในปี 2567 นี้ หยกอินเตอร์เทรดได้ขยายสาขาใหม่สู่แถวชัยพฤกษ์ จังหวัดนนทบุรี ซึ่งถือเป็นสาขาแรกที่อยู่นอกจังหวัดเชียงใหม่ และในวันที่เราได้ไปเยือนสาขานี้ก็เพิ่งเปิดมาได้แค่ 3 เดือนเท่านั้น

ทันทีที่เปิดประตูเข้าไป เราสัมผัสได้ถึงความอลังการของสินค้า อะไรที่เราพอนึกออกว่าควรจะมีในการทำธุรกิจเบเกอรี เช่น แป้ง นม เนย น้ำตาล ของตกแต่งหน้าเค้ก เครื่องตีแป้ง ไปจนถึงแพ็กเกจจิ้งก็มีให้เลือกครบครัน และของแต่ละอย่างก็ถูกจัดแยกหมวดหมู่สินค้าอย่างชัดเจน

ส่วนสิ่งที่เซอร์ไพรส์เรามาก คือวันนั้นมีเชฟมาสอนทำขนมอยู่พอดี และถึงแม้จะเป็นช่วงบ่ายวันธรรมดาก็มีคนมาเรียนจนเต็มทุกโต๊ะ

“เราให้ความสำคัญกับการให้ความรู้ พอมีสาธิตวิธีใช้วัตถุดิบ มีเชฟมาสอนวิธีทำขนมแบบนี้ ก็เหมือนสร้างทางลัดให้ลูกค้าเอาไปใช้ประโยชน์ได้เลย”

ซ้อหยกอธิบายให้ฟัง ก่อนที่เราจะไปนั่งคุยกันถึงเรื่องที่ทำให้สงสัย ว่าทำไมซ้อหยกถึงสอนวิธีทำเบเกอรีให้แบบไม่หวงสูตร ทั้งขุดเบื้องหลังแนวคิดการทำธุรกิจให้อยู่มายาวนานถึง 44 ปี ว่าอะไรที่ทำให้หยกอินเตอร์เทรดขึ้นแท่นเป็นขวัญใจคนทำคาเฟ่ในเชียงใหม่ ขนาดที่ถ้าใครอยากหาวัตถุดิบหรืออุปกรณ์ทำเบเกอรีอะไร ก็ต้องพุ่งตัวมาที่ร้านนี้เท่านั้น

และล่าสุดการเปิดสาขาใหม่ด้วยการเจาะตลาดใหญ่ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล มีวิธีบริหารธุรกิจเหมือนหรือต่างจากสาขาในเชียงใหม่ยังไง ตามมาคลายความสงสัยกันได้ในคอลัมน์ Market Share กันได้เลย

เมื่อก่อนตลาดเบเกอรียังไม่เป็นที่นิยม ทำไมคุณถึงเริ่มต้นทำธุรกิจเบเกอรี

เราอยากเปลี่ยนอาชีพจากเป็นครูมาทำธุรกิจของตัวเอง ช่วงแรกเรามีแต่แรงผลักดัน ยังขาดแรงบันดาลใจ เราก็คิดว่าทำอะไรถึงจะไปต่อได้ยาวๆ แล้วนึกได้ว่าคนไทยนิยมกินอาหารสามมื้อ ถ้าเป็นอาหารปกติ เขาทำกินกันอยู่แล้วในบ้าน แต่สิ่งที่เราจะขายได้ทุกวัน และคนกินได้ทุกวัยตั้งแต่เด็กยันโต ก็คือพวกขนมที่ทำยาก คนเลยจะออกมาซื้อกินมากกว่าทำเอง 

ตอนนั้นจะมีแต่ขนมไทยที่คนทำขายกัน การแข่งขันก็เลยสูง แถมอายุสั้นเก็บไว้ไม่ได้นาน เราก็เลยเลือกทำเบเกอรีที่พอจะมีความรู้จากตอนที่ช่วยแม่ทำขนม เพื่อเอาไปเป็นของฝากให้กับเพื่อนๆ สมัยที่เรายังเรียนอยู่ พอคิดได้แบบนั้นก็เริ่มมีแรงบันดาลใจในการทำ ถึงแม้สมัยก่อนคนทำเบเกอรีน้อย สูตรอะไรก็ไม่ค่อยมี โชคดีที่เรามีความสามารถเฉพาะตัว คือมีวิธีคิดเป็นขั้นเป็นตอนและชอบทดลอง ซึ่งเกิดจากการเป็นครูสอนคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ทำให้ช่วงแรกๆ เราเลยทดลองทำและคิดค้นสูตรด้วยตัวเอง

ตอนเริ่มต้นทำธุรกิจ คุณมีวิธีทำให้คนสนใจเบเกอรี จนมาเป็นลูกค้าได้ยังไง

ถ้านับย้อนไป 44 ปีที่แล้ว ตอนซ้อเริ่มทำธุรกิจเบเกอรี แม้แต่คำว่าเบเกอรีเองคนก็ยังไม่รู้จัก เรียกขนมปังเป็นขนมเค้กรวมกันไปหมดก็มี เราก็อธิบายให้ลูกค้าเข้าใจแบบง่ายๆ ว่าเป็นขนมปัง ขนมเค้ก หรือขนมอื่นๆ ที่ทำมาจากแป้งที่นำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งคนไทยนิยมเรียกว่าแป้งสาลี แล้วเราก็วางขายในตระกร้าเหมือนที่คนอื่นวางขนมไทยเลย คนก็รู้สึกว่าเข้าถึงง่าย พอเริ่มมีคนซื้อไปกิน ก็บอกกันปากต่อปาก

พอขนมเราขายได้ แต่คนทำขายน้อย เราก็คิดว่าอะไรที่จะสร้างค่านิยมให้คนกินได้บ่อยแล้วไม่เบื่อ มันจะต้องมีเปลี่ยนหน้าตา เปลี่ยนรสชาติไปเรื่อยๆ แปลว่าต้องคิดสูตรใหม่เพิ่มขึ้น แต่ตอนนั้นลำพังแค่ทำขนมขายเองก็หมดเวลาแล้ว

เราก็คิดว่าให้คนอื่นช่วยทำสิ เลยตั้งนโยบายว่า เสร็จจากทำขนมของเราแล้ว เราจะไปสอนคนรู้จัก สอนลูกค้าที่เราเอาขนมไปส่งเขา แล้วเราก็รับขนมเขามาขายแทน ทำให้เรามีเวลาไปพัฒนาสูตรใหม่ๆ ทำให้ธุรกิจเราเหมือนก้าวหน้าไปเรื่อยๆ

ไม่หวงสูตรหรือกลัวคนอื่นมาแย่งลูกค้าเหรอ

เราไม่คิดแบบนั้น เรามองว่าสิ่งนี้จะทำให้เกิดค่านิยม ที่หมายถึงว่าคนจะนิยมในเบเกอรีจริงๆ แล้ววงการนี้จะไปต่อได้อีกไกล ยกตัวอย่างถ้าเมื่อก่อนร้านกาแฟในเชียงใหม่ต่างคนต่างเปิดร้าน ไม่เกื้อหนุนกัน เชียงใหม่ก็จะไม่เป็นเมืองกาแฟอย่างในทุกวันนี้
เบเกอรีก็เช่นเดียวกัน เราต้องสร้างค่านิยมให้คนกินให้ได้ก่อน พอคนกินเยอะขึ้น เราทำคนเดียวไม่ได้ ก็ต้องเสริมให้ค่านิยมนี้สูงขึ้นไป ด้วยการแชร์สูตรให้คนอื่นมาทำขาย พอมีสูตรแล้วคนก็ถามหาวัตถุดิบและเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ เราก็เลยเปลี่ยนจากการทำเบเกอรีเอง มาขายวัตถุดิบและอุปกรณ์ทำเบเกอรีแทน

พอมาทำธุรกิจขายวัตถุดิบและอุปกรณ์ทำเบเกอรีแล้ว ทำไมถึงยังมีการจัดเวิร์กช็อป แชร์องค์ความรู้ให้กับลูกค้าและคนทั่วไปอยู่

ด้วยวิสัยทัศน์ของเราเองมองว่าสิ่งที่เราจะต้องให้ความสำคัญมากสุดคือลูกค้าและคู่ค้าของเรา ส่วนเราจะเป็นคนกลางที่นำพาวัตถุดิบที่ดี ให้ลูกค้ารับรู้ในวัตถุดิบนั้นๆ เพื่อที่จะนำไปทำธุรกิจของเขาให้ถูกต้อง และมีความชัดเจน ตรงเป้าหมายมากที่สุด

ดังนั้นเราจึงให้ความสำคัญเรื่องการให้ความรู้ เพราะว่าผลิตภัณฑ์ต่างๆ เหล่านี้ เหมือนกับพอโลกมันเปลี่ยน มันก็จะนำเข้ามาง่ายขึ้น เบเกอรีนี่เป็นสินค้าเกี่ยวกับการนำเข้ามาเยอะ ถึงแม้บางอย่างจะผลิตในไทยก็จริง แต่ส่วนประกอบในนั้น สารตั้งต้นก็นำมาจากต่างประเทศ รายละเอียดแบบนี้ลูกค้าต้องการคำแนะนำ

เราจึงจัดสาธิตให้ลูกค้ารู้จักวัตถุดิบ เขาจะได้เลือกใช้ให้ตรงกับกลุ่มลูกค้าของเขาอีกทีนึง และมีเชฟมาสอนทำขนม เพราะเรารู้ว่าพอทำขนมขายเองจะไม่มีเวลาไปคิดสูตรใหม่ๆ การมีคนที่มีประสบการณ์มาแชร์สูตรแบบนี้ ก็เหมือนสร้างทางลัดให้ลูกค้าเอาไปใช้ประโยชน์ได้เลย

นอกจากเวิร์กช็อป มีจุดเด่นอื่นอีกไหมที่ทำให้ดำเนินธุรกิจมาได้ยาวนานถึง 44 ปี

เรามีสินค้าให้เลือกหลากหลายและมีเอกลัษณ์เฉพาะตัว เพราะเรานึกถึงว่าพอกลุ่มลูกค้าของเรานำไปทำขนมแล้ว เขาก็จะขายให้กับลูกค้าที่มีความหลากหลายเช่นกัน บางคนอยากได้วัตถุดิบเกรดเอไปทำขนมที่มีความพรีเมียม บางคนใช้วัตถุดิบที่เกรดรองลงมาเพื่อจะได้ขายขนมในราคาเข้าถึงง่าย หรือแม้แต่วัตถุดิบสำหรับกลุ่มลูกค้าที่มีความสนใจเฉพาะทางเราก็มีขาย เช่น แป้งทำขนมสำหรับคนรักสุขภาพ แป้งสำหรับคนที่กินอาหารมังสวิรัติ หรือวัตถุดิบสำหรับคนกินอาหารคีโต

ช่องทางการจัดหน่ายเราก็เน้นลูกค้าเป็นหลัก คือลูกค้าจะหมดเวลาไปกับการทำขนม เพราะฉะนั้นการออกมาซื้อของก็มีเวลาจำกัด เราเลยมีบริการ Self Pick-Up ให้สั่งสินค้าไว้ แล้วลูกค้าขับรถมารับ เราก็ขนของขึ้นรถลูกค้าได้เลย หรือบางคนเขาไม่มีเวลาจริงๆ เราก็เสิร์ฟวัตถุดิบให้ถึงบ้าน อย่างที่เชียงใหม่จะมีเดลิเวอร์ของเราเอง จัดส่งทั้งในอำเภอเมืองเชียงใหม่และต่างอำเภอ และมีส่งจังหวัดใกล้เคียงอย่างลำพูน

เราให้ความสำคัญทั้งบริการระหว่างขาย คือมีพนักงานคอยให้คำแนะนำสินค้าต่างๆ ภายในร้านได้  ส่วนบริการหลังการขาย ถ้าอุปกรณ์ทำเบเกอรีและกาแฟอันไหนมีปัญหา ก็อุ้มเครื่องกลับมาให้เราซ่อมได้ทันที แล้วเราซ่อมกลับให้ไวด้วย เพราะเรารู้ว่าอุปกรณ์พวกนี้เป็นเครื่องมือหากินที่เขาต้องรีบใช้

ด้วยความที่เราอยู่กับธุรกิจนี้มาอย่างเหนียวแน่น ไม่ละเลยใครเลย ทุกคนที่มาร้านสามารถเข้าถึงตัวเราได้หมด เพราะเราไปร้านทุกวัน เพื่อไปดูว่ามีอะไรที่ต้องปรับปรุงแก้ไขบ้าง เราทำธุรกิจด้วยความจริงใจ เราคิดว่านี่แหละที่ทำให้เราอยู่คู่เชียงใหม่ได้ยาวๆ

จุดที่พีคที่สุดของหยกอินเตอร์เทรดคือช่วงไหน ตอนนั้นคุณมีวิธีการบริหารยังไง  

จุดพีคไม่ต้องย้อนไปไกลเลย คือช่วงโควิด-19 เรามีวิธีการบริหารจัดการและเราคำนวณทิศทางของผู้บริโภคได้ถูกทาง เรารู้เลยว่าพอโรคระบาดมา คนจะไม่กล้าออกมาสัมผัสกับสิ่งที่อยู่นอกบ้านตัวเอง ส่วนลูกค้าเรายังไงเขาก็ต้องมาซื้อวัตถุดิบแน่นอน เพราะเป็นอาชีพของเขา แล้วของพวกนี้ไม่มีขายตามร้านขายของชำ

ตอนนั้นเราเตรียมการไว้อย่างดี ฆ่าเชื้อในร้านด้วยเครื่องอบโอโซนทั้งคืน ทำให้มีความปลอดภัยสูงมาก แล้ววัตถุดิบของเราก็จะอยู่ได้นาน เพราะว่าการอบโอโซนเป็นการเติมก๊าซไนโตรเจนเข้าไป มันจะเป็นสุญญากาศในเวลานั้น พอตอนเช้ามาอากาศเก่าก็จะออกไป อากาศใหม่ก็จะเข้ามา

แล้วเราก็อ่านใจลูกค้าว่าพอออกข้างนอกไม่ค่อยได้ เขาต้องทำอาหารกินเองที่บ้าน เลยสั่งของแห้ง พวกข้าวสาร ปลากระป๋อง น้ำมันพืช และอาหารสดพวกไส้กรอก ไก่แช่แข็ง มาวางขายเพิ่ม และมองไปไกลถึงว่าคนอยู่บ้านก็ชอบดูซีรีส์เกาหลี เลยสั่งพริกสำหรับทำกิมจิมาขายด้วย เพราะที่เชียงใหม่มีพวกผัดเยอะเอาไปหมักกิมจิได้ คนที่อินซีรีส์เกาหลีก็น่าจะชอบ กลายเป็นว่าขายดีมากๆ จนถึงทุกวันนี้

ลูกค้าก็ประทับใจมากว่ามาที่เดียวครบ จบทุกเรื่องจริงๆ เขามาซื้อของไปทำขนม ก็ได้ของกลับไปทำอาหารอีก บางคนก็บอกกับเราเลยว่าอย่าให้มีคนติดโควิด-19 ในหยกนะคะ ถ้ามีคนเชียงใหม่ไม่รู้จะไปไหนเลย

ในยุคที่คนช้อปออนไลน์มากขึ้น ทำไมหยกถึงเลือกขยายสาขา

มีคนซื้อของออนไลน์เพิ่มขึ้นกว่าเมื่อก่อนก็จริง แต่ลูกค้าของหยกที่มีจำนวนมากที่สุด คือลูกค้าที่เข้ามาดูของด้วยตัวเองที่หน้าร้าน เพราะสินค้าที่เราจำหน่ายจะมีเรื่องราวซ่อนอยู่ภายใน บางครั้งต้องการคำอธิบายวิธีใช้ และด้วยความที่มีตัวเลือกหลากหลาย เขาก็ต้องการคนปรึกษาเพื่อเปรียบเทียบสินค้า เช่น ต้องการทำขนมปังซาวร์โดวจ์ ควรใช้แป้งยี่ห้อไหน  ถ้าเป็นขนมปังเนื้อนุ่มควรใช้แป้งอะไร เพราะฉะนั้นเรื่องเหล่านี้จะร้อยเรียงกับสิ่งที่ลูกค้าจะนำไปประกอบการทำขนม จึงทำให้จำนวนคนเข้ามาในร้านยังเยอะอยู่

ส่วนคนที่สั่งออนไลน์ก็จะเป็นลูกค้าที่เคยเข้ามาหน้าร้านแล้ว จำสินค้าของเราได้แล้วว่าควรใช้อะไร ยี่ห้อไหน เขาก็จะกลับไปซื้อในช่องทางออนไลน์ แต่ยังไงเขาก็จะกลับมาหน้าร้านเพื่ออัปเดตสินค้า และขอคำแนะนำใหม่ๆ อยู่ดี ซึ่งการทำควบคู่กับทั้งออฟไลน์และออนไลน์เป็นสิ่งนี้ที่ทำให้หยกอยู่ได้อย่างยั่งยืน

คุณเปิดร้านที่เชียงใหม่มาตั้งหลายปี ทำไมปีนี้ถึงตัดสินใจขยายสาขาใหม่มาที่ชัยพฤกษ์ นนทบุรี

คนชอบบอกว่าเชียงใหม่เป็นเมืองปราบเซียน แต่เราในฐานะคนที่ทำธุรกิจในเชียงใหม่มาก่อน ก็ขอบอกว่ากรุงเทพฯ ก็ใช้คำพูดนี้ได้เหมือนกัน ขนาดเรามีประสบการณ์มาแล้ว ยังรู้สึกว่าการทำธุรกิจในกรุงเทพฯ เป็นเรื่องยาก คู่แข่งก็เยอะ

แต่เรามองว่าการแข่งขันเป็นเรื่องธรรมดาของการทำธุรกิจ เพราะเราอยู่บนบรรทัดฐานของสิ่งที่เราวางไว้ตลอดก็คือ เราอยากมีส่วนในการพัฒนาธุรกิจด้านนี้ ให้กับผู้ประกอบการเบเกอรี คาเฟ่ และอาหาร การมีส่วนร่วมได้คือเราจะต้องเรียนรู้ทุกจุดที่เราจะไป

กรุงเทพฯ เป็นตลาดใหญ่ ที่มีคนทำเบเกอรี เปิดร้านคาเฟ่ และมีซัพพลายเออร์อยู่เยอะ ถ้าเรามาเรียนรู้ตรงนี้และจับทิศทางของกรุงเทพฯ ได้ เราอาจจะขยายขอบเขตการทำธุรกิจในช่องทางของเราได้ในอนาคต

ความท้าทายของแต่ละจังหวัดคืออะไร มีวิธีบริหารที่เหมือนหรือแตกต่างกันยังไง

เราก็ต้องทำความรู้จักความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่มให้ดี 

คนที่อาศัยอยู่ในเชียงใหม่จะต่างจากคนกรุงเทพฯ คือความแออัดมันน้อยกว่า แล้วเวลาไม่ได้บีบคั้นมากนัก เขาก็จะสบายๆ ไม่รีบร้อนมาก ต่อให้เขาทำงานประจำ เขาก็ทำอาชีพเสริมกันเยอะมาก ลูกค้าเราในเชียงใหม่ก็เลยมีทั้งคนที่ทำเบเกอรีในโรงงานเป็นอาชีพหลัก และคนที่ทำในบ้านเป็นอาชีพเสริม ส่วนนิสัยคนเชียงใหม่คือเป็นคนใจดี เราก็ใช้วิธีการทำธุรกิจด้วยความเป็นมิตรและไม่เอาเปรียบเขา ก็จะอยู่กับเขาได้ยาวๆ

ในกรุงเทพฯ ความแออัดจะเยอะ กลุ่มลูกค้าที่ทำร้านเบเกอรีและคาเฟ่ก็จะเยอะกว่า แต่คนที่ทำเป็นอาชีพเสริมจะน้อย และคนเร่งรีบ มีเวลาจำกัด แต่เราก็มองว่าเป็นข้อดี พอเขามีเวลาน้อย ก็ขายวัตถุดิบที่เป็นกึ่งสำเร็จรูปได้ และถ้ามีคนสั่งของในกรุงเทพฯ หรือปริมณฑล เราก็ส่งของจากที่นี่ได้ ทำให้ของถึงไวยิ่งขึ้น

และที่เลือกเปิดสาขานี้ในปริมณฑล อยู่ใกล้กับโฮมโปรสาขาชัยพฤกษ์ จังหวัดนนทบุรี เพราะเรารู้ว่าลูกค้าต้องการที่จอดรถ เพื่อจะได้นำของขึ้นรถได้ง่ายๆ ซึ่งพื้นที่นี้มีที่จอดรถเยอะ ความแออัดก็ยังไม่มาก อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ คนก็ยังขับรถมาซื้อของที่ร้านได้

หยกเคยมีช่วงเวลาที่ยากลำบาก ต้องฝ่าฟันอุปสรรคไหม แล้วคุณทำยังไงถึงพาหยกให้ดำเนินต่อมาได้นานกว่า 44 ปี

พอมีใครมาถามแบบนี้ เราจะตอบไม่ได้ทุกทีเลย เพราะเราคิดเสมอว่าปัญหามีได้ แต่ต้องไม่เป็นปัญหา 

เราจะมองก่อนว่าปัญหามันกี่เรื่อง ถ้ามาน้อยเรื่องเราก็จะแก้ได้เร็วมาก แต่ถ้ามันมีหลายเรื่อง เราก็จะใช้เวลาไตร่ตรองว่าอะไรควรทำก่อน-หลัง ในหนึ่งวันเราจะแก้ได้กี่เรื่อง เหมือนเราไม่ได้มองปัญหาว่าเป็นปัญหา มีอะไรมาก็แก้ไขไป เลยไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรที่เป็นอุปสรรค

รู้สึกยังไงที่ธุรกิจนี้เข้าสู่ปีที่ 44 แล้ว

เรารู้สึกภูมิใจมาก ลูกค้าหลายคนเราคุ้นเคยกับเขามาตั้งแต่เด็ก เขาก็มาเรียนรู้สูตรจากเรา มาซื้อวัตถุดิบและอุปกรณ์จากเราไปทำธุรกิจเลี้ยงดูครอบครัวของเขา พอเขามีลูกก็ถ่ายทอดความรู้นี้ต่อไปให้ลูกเขา บางคนมาที่ร้านแล้วบอกเราว่ายายหยก หนูทำขนมต่อจากคุณแม่แล้วนะ พอได้ยินแบบนี้เราก็รู้สึกดีใจที่สิ่งที่เราทำมันเป็นประโยชน์กับคนอื่น 

ส่วนลูกค้ารุ่นใหม่ๆ เราก็ต้องไปทำความรู้จักว่าเขาชอบอะไร แล้วปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง ภายใต้สิ่งที่เรายึดมั่นเสมอว่าอะไรที่เราทำให้คนอื่นได้ แล้วเราไม่ได้เดือดร้อนอะไร เราก็จะทำ

ผู้ประกอบการไทยเจาะตลาดสัตว์เลี้ยงยังไง? กลยุทธ์และเทรนด์ที่น่าจับตามอง เมื่อไทยส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงอันดับ 4 ของโลก

ความถี่ในการใช้หมาแมวในโฆษณาสินค้าต่างๆ และจำนวนห้างร้านแบบ pet-friendly ที่เพิ่มขึ้น คงตอบได้แล้วว่า เทรนด์การเลี้ยงสัตว์เป็นลูกจะไม่ใช่กระแสแต่จะอยู่คู่กับประเทศไทยและหลายประเทศทั่วโลกไปอีกนาน เช่นเดียวกับตอนนี้ที่มหกรรมสัตว์เลี้ยง Pet Expo กลับมาจัดเป็นรอบที่ 2 ของปี

เทรนด์ที่ว่านี้ไม่เพียงส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตเหล่าสัตว์น้อยใหญ่ แต่ผู้ประกอบการไทยก็ยิ่งต้องจับตามองเพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งทางการตลาดมาให้ได้ 

ตัวเลขที่น่าสนใจและเทรนด์ที่น่าจับตามอง

1. กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ คาดการณ์ว่าตลาดสัตว์เลี้ยงของไทยจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 8.4% เป็น 66.748 พันล้านบาทในปี 2569 นั่นทำให้อาจเกิดธุรกิจใหม่ๆ ในอุตสาหกรรมนี้ และการเติบโตของไทยยังส่งผลต่ออุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาจนำไปสู่การเป็นศูนย์กลางการจัดงาน Pet Fair เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 

2. ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงอันดับ 4 ของโลก แถมในปีนี้ยังคาดการณ์อีกว่า มูลค่าการส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยปี 2024 จะอยู่ที่ 2,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 19.5% จากปีก่อนที่หดตัว 15.0% 

3. ก่อนหน้านี้ อดีตนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ได้กล่าวว่ารัฐบาลไทยพร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการไทยที่ทำธุรกิจในตลาดสัตว์เลี้ยง เนื่องจากในช่วง 5 ปีมานี้คนไทยนิยมเลี้ยงสัตว์มากขึ้น รวมถึงได้ทำให้ธุรกิจ 3 ประเภทต่อไปนี้เติบโตขึ้น ได้แก่ อาหารและของเล่นสำหรับสัตว์เลี้ยง การดูแลและบริการสำหรับสัตว์เลี้ยง และฟาร์มสัตว์เลี้ยง 

การสนับสนุนที่ว่าอ้างอิงจากการที่กระทรวงพาณิชย์นำผู้ประกอบการไทยที่ประกอบธุรกิจสัตว์เลี้ยง 18 ราย เข้าร่วมงาน Taipei Pets Show 2024 ที่ประเทศไต้หวัน เมื่อวันที่ 5-8 กรกฎาคม ในจำนวนผู้แสดงสินค้า 400 ราย 1,800 บูท จากนานาประเทศ มีผู้เข้าชมงาน 160,000 คน บูทนิทรรศการไทยได้รับความสนใจจากผู้นำเข้าจากไต้หวันและประเทศต่างๆ จนสามารถเจรจาการค้าได้กว่า 200 ราย ซึ่งคาดว่ายอดสั่งซื้อต่อปีจะทะลุ 2.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ไทยเองได้เปรียบด้านวัตถุดิบที่ใช้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง อันเป็นผลพลอยได้จากอุตสาหกรรมเกษตรและประมงที่ไทยเราเชี่ยวชาญ ทั้งแป้ง ธัญพืช และเศษอาหารทะเล เป็นสิ่งที่หลายประเทศไว้ใจให้เราเป็นฐานการผลิตก็จริง แต่จากปัจจัยด้านต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น และมีคู่แข่งอย่างกัมพูชา หรือประเทศใกล้เคียง อาจทำให้ไทยเพลี่ยงพล้ำได้หากไม่ปรับกลยุทธ์

กลยุทธ์แบบไหนที่ผู้ประกอบการควรตั้งรับ

1. จากการที่ต้นทุนการผลิตของไทยสูงขึ้น อาจทำให้ไทยเพลี่ยงพล้ำต่ออันดับ 4 ของโลกได้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้แนะว่าผู้ประกอบการไทยควรเจาะตลาดพรีเมียมรับเทรนด์ผู้บริโภคที่ยอมจ่ายสูงขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงด้านการแข่งขัน 

เช่น อาหารสัตว์เลี้ยงแบบ human grade ที่มีคุณภาพเทียบเท่าอาหารคน อาหารสัตว์เลี้ยงออร์แกนิก อาหารสัตว์เลี้ยงจากโปรตีนทางเลือกอย่างพืชหรือแมลง อาหารเฉพาะทางอย่างอาหารสำหรับสัตว์น้ำหนักเกิน อาหารสัตว์สูงวัย และอาการประกอบการรักษาโรค

ที่จริง ไม่เพียงแต่ศูนย์วิจัยกสิกรเท่านั้น แต่ Pet Fair SE ASIA ยังกล่าวว่าแม้กลุ่มอาหารสุนัขและแมวราคากลางจะเป็นผู้นำในตลาด แต่กลุ่มอาหารพรีเมียมจะเป็นผู้นำในการเติบโตมากกว่า เนื่องจากคนให้ความสำคัญกับสุขภาพสัตยว์เลี้ยงมากขึ้น ผลสำรวจยังพบว่าตลาดของไทยมีการผสมผสานที่ดีระหว่างผู้เล่นทั้งในประเทศและระดับโลก โดยมี Mars Inc และเครือเจริญโภคภัณฑ์เป็นผู้นำ

2. ที่ผ่านมาประเทศไทยมักรับจ้างผลิต (OEM) กว่า 80% แต่ในเวลานี้ ผู้ประกอบการไทยควรสร้างแบรนด์สินค้าของตัวเองมากขึ้น เพื่อให้สามารถลงแข่งกับผู้เล่นในตลาดนี้ อย่างเยอรมนี สหรัฐฯ ฝรั่งเศส ที่ผลิตและส่งออกแบรนด์ของตัวเอง

3. ผู้ประกอบการควรยืดหยุ่นและพร้อมปรับตัวไปตามพฤติกรรมการเลี้ยงสัตว์ที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศ เช่น เทรนด์เลี้ยงสัตว์ Pet Premiumization ในสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ที่ผู้เลี้ยงส่วนใหญ่ลงทุนกับอาหารสัตว์คุณภาพสูง ทำให้ยอดใช้จ่ายอาหารสัตว์มากกว่ายอดอื่นๆ  

4. ตลาดนิวซีแลนด์เป็นตลาดที่น่าสนใจ เนื่องจากข้อตกลงทางการค้า FTA ไทย-นิวซีแลนด์ ที่ทำให้ไทยได้เปรียบเรื่องการทำราคา นอกจากนั้น นิวซีแลนด์ยังเป็นประเทศที่เลี้ยงสัตว์ในอัตราเฉลี่ยต่อครัวเรือนสูงเป็นอันดับ 2 ของโลก 

5. แม้ตลาดอังกฤษจะไม่ใช่ตลาดหลัก เมื่อเทียบกับสหรัฐฯ และอิตาลี แต่ตลาดอาหารสัตว์อังกฤษนั้นเติบโตต่อเนื่องตามจำนวนสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะน้องหมาที่อังกฤษมีจำนวนมากที่สุดในบรรดาทวีปยุโรป

6. มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนเข้มงวดมากขึ้น โดยเฉพาะในยุโรป ฐานการผลิตอย่างไทยจึงต้องเร่งเพิ่มมาตรฐานโรงงานและวัตถุดิบในด้านนี้มากขึ้น ไม่ว่าจะลดการปล่อยคาร์บอน การตรวจสอบย้อนกลับแหล่งที่มาของวัตถุดิบ 

เทรนด์สัตว์เลี้ยงที่มาแรงจึงไม่ใช่เพียงทางออกของผู้ประกอบการในด้านธุรกิจสัตว์เลี้ยง แต่ยังเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้ภาคเกษตรกรรม ภาคธุรกิจอาหารหาแนวทางและลู่ทางในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์เทรนด์ที่กำลังกลายเป็นกระแสหลักของโลก

อ้างอิง

ศาสตร์และศิลป์ที่ SHISEIDO ใช้ปั้นเซรั่มขวดแดง ‘ULTIMUNE’ ให้เป็นไอคอนิกเซรั่มที่คนรักทั่วโลก

ถ้าใครมีโอกาสไปเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ที่หน้าร้านหรือตามเคาน์เตอร์แบรนด์บ่อยๆ จะสังเกตเห็นว่าช่วงหลายปีมานี้ ไม่ใช่แค่ผู้หญิงที่อย่าหยุดสวยเท่านั้น แต่จะเห็นผู้คนแทบทุกเพศ ทุกวัย ไปเลือกซื้อผลิตภัณฑ์มาดูแลตัวเองกันมากขึ้น

ด้วยค่านิยมและมุมมองเรื่องความงามที่เปิดกว้าง ทำให้ธุรกิจเกี่ยวกับสินค้าความงามในไทยโตขึ้นถึง 11.6% โดยส่วนใหญ่กว่า 41.78% ผู้คนนิยมช้อปปิ้งสินค้าเกี่ยวกับสกินแคร์เป็นหลัก และมีแนวโน้มจะใช้สินค้ากลุ่มพรีเมียมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ซึ่งแบรนด์ที่ครองอันดับ 1 ของไทยในตลาด Prestige Skincare หรือสกินแคร์ระดับพรีเมียมคือ ‘SHISEIDO’ แบรนด์สัญชาติญี่ปุ่นที่มีอายุกว่า 150 ปี และยังถือเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก รวมถึงมีสินค้าที่ฮอตฮิตติดตลาด ขนาดที่ถ้าถามถึงไอคอนิกเซรั่มที่ผู้คนหลงรักและเลือกใช้กัน ชื่อของ ‘ULTIMUNE’ หรือเซรั่มขวดแดงต้องติดโผเป็นอันดับต้นๆ อย่างแน่นอน

และในปี 2567 นี้เซรั่ม ULTIMUNE ก้าวเข้าสู่ขวบปีที่ 10 แบบพอดิบพอดี คอลัมน์ Recap จึงพามาพลิกหลังกล่อง ส่องเบื้องหลังที่ SHISEIDO ใช้ทั้ง ‘ศาสตร์และศิลป์’ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาและวิจัย นวัตกรรมความงามทางวิทยาศาสตร์ และสุนทรียศาสตร์ มาผสมผสานเข้ากับศิลปะอันประณีตตามแบบฉบับวัฒนธรรมญี่ปุ่น เพื่อสร้างสรรค์เซรั่มที่พลิกโฉมนิยามแห่งความงามของผู้คนทั่วโลก

1. 30 ปีที่ทำการวิจัย สู่การค้นพบว่าภูมิคุ้มกันผิวที่ดีมีผลต่อสุขภาพผิว

ถ้าคิดจะทำเซรั่มสักขวดหนึ่ง หลายคนคงเริ่มต้นจากการคิดค้นสูตรเซรั่ม แต่ SHISEIDO กลับคิดนอกกรอบไปมากกว่านั้น เพื่อให้ได้คอนเซปต์ของสินค้าที่ชัดเจน แตกต่างจากแบรนด์อื่นในท้องตลาด และตอบโจทย์ความต้องการของผิวอย่างแท้จริง

SHISEIDO จึงตั้งต้นจากการศึกษาและวิจัยเรื่องภูมิคุ้มกันที่มีผลต่อสุขภาพผิว เพื่อหานิยามว่าผิวสุขภาพดีคืออะไรกันแน่? โดยใช้เวลาหาคำตอบนานกว่า 30 ปี ก่อนที่จะค้นพบว่าระบบภูมิคุ้มกันผิวที่ดี มีผลทำให้สุขภาพผิวแข็งแรง และเป็นด่านแรกของการปกป้องผิวจากมลภาวะที่เผชิญในชีวิตประจำวัน ซึ่งการค้นพบครั้งนี้นำไปสู่คอนเซปต์ของเซรั่ม ULTIMUNE เรื่องการบำรุงชั้นผิวเพื่อช่วยดูแลปราการผิวให้แข็งแรง

2. 6,750 ครั้งที่ทดลองส่วนผสม จนได้สูตรที่เหมาะกับทุกสภาพผิว

อย่างที่รู้กันว่าวิธีเลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ควรเลือกสูตรที่เหมาะสมกับสภาพผิวของเรา เช่น ผิวมัน ผิวแห้ง ผิวแพ้ง่าย แต่แทนที่ SHISEIDO จะพัฒนาสูตรเซรั่มที่เหมาะกับแต่ละสภาพผิว แบรนด์กลับตั้งโจทย์ที่ท้าทายกว่านั้น ด้วยการหาสูตรที่ใช้ได้กับทุกสภาพผิว เพื่อให้ผลิตภัณฑ์หนึ่งตัวสามารถเจาะกลุ่มลูกค้าได้ทุกแบบ

หลังจากใช้นวัตกรรมความงามทางวิทยาศาสตร์มาทดลองหาส่วนผสมที่ใช่กว่า 6,750 ครั้ง จนพบสารสกัดจากธรรมชาติที่อุดมไปด้วยประสิทธิภาพอย่าง fermented roselle extract หรือกระเจี๊ยบหมักบ่ม ซึ่งกลายมาเป็นส่วนผสมหลักที่ทำให้เซรั่ม ULTIMUNE เป็นตัวเปิดผิวให้พร้อมรับการบำรุงจากสกินแคร์อื่นๆ และทำให้ผิวเรียบเนียบอย่างสุขภาพดี

3. 500 ตัวอย่างเนื้อสัมผัส ที่ทดลองจนได้เนื้อเซรั่มที่ผู้คนหลงรัก

เคยเป็นไหม? ต่อให้เซรั่มนั้นดีแค่ไหน ถ้าใช้แล้วเหนียวเหนอะหนะ ก็พร้อมโบกมือลาเซรั่มขวดนั้นทันที SHISEIDO เข้าใจความต้องการของลูกค้าในจุดนี้ดี จึงทดลองหาตัวอย่างเนื้อสัมผัสกว่า 500 ครั้ง และทำการประเมินทางประสาทสัมผัสอย่างลึกซึ้งวินาทีต่อวินาที เพื่อหาเนื้อสัมผัสที่ผู้คนจะชื่นชอบมากที่สุด จนได้เนื้อเซรั่มที่ให้สัมผัสสดชื่น ตั้งแต่หยดลงบนฝ่ามือสู่ผิวหน้า และซึมลงสู่ผิวอย่างรวดเร็ว ไม่ทิ้งความเหนียวเหนอะหนะมากวนใจ

นอกจากนี้ยังเพิ่มสุนทรียศาสตร์ในการใช้งานด้วยการเปิดประสาทสัมผัสเรื่องกลิ่นหอมที่ถูกคิดค้นขึ้นอย่างละเมียดละไม ด้วยส่วนผสมจากธรรมชาติอย่างดอกไม้พันธุ์สีเขียว มะลิ กุหลาบ และกระวาน ซึ่งล้วนแต่เป็นกลิ่นที่ทำให้รู้สึกสดชื่นและผ่อนคลาย

4. 3 ดีไซน์ขวดที่เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา เพื่อสะท้อนถึงการพัฒนาอยู่เสมอ

อีกหนึ่งเสน่ห์ที่ถูกพูดถึงเป็นอย่างมากของเซรั่ม ULTIMUNE คือรูปทรงและสีสันของขวดที่โดดเด่นสะดุดตา โดยพัฒนาให้ทันสมัยตามกาลเวลา เพื่อสะท้อนถึงการเป็นแบรนด์ที่พัฒนาอยู่เสมอ จนปัจจุบันเป็นดีไซน์ขวดเวอร์ชั่นที่ 3 ซึ่งนักออกแบบเลือกไล่ระดับสีของบรรจุภัณฑ์ ด้วยเฉดสีแดงที่ไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์เท่านั้น แต่ยังสื่อถึงพลังที่แสดงออกมาจากภายในสู่ภายนอก

ส่วนดีไซน์ขวดคล้ายกับเกลียวคลื่น ที่นอกจากจะทำให้จับถนัดมือแล้ว ยังสะท้อนถึงนวัตกรรมและเทคโนโลยีอันล้ำหน้าในการเสริมปราการผิวแข็งแรง และลักษณะที่เป็นส่วนเว้า ส่วนโค้งของขวดยังเป็นสัญลักษณ์ของความยืดหยุ่นของผิว ที่กำลังฟื้นตัวจากการบำรุงอย่างล้ำลึก แม้แต่ฝาขวดยังสอดแทรกรูปทรงดอกคามิเลียที่ถูกยกเป็นสัญลักษณ์แห่งความงามของ SHISEIDO อีกด้วย

5. 25 ล้านขวดที่ขายได้ใน 88 ประเทศทั่วโลก

หลังจากเปิดตัวเซรั่ม ULTIMUNE เพียง 1 ปี ก็สร้างปรากฏการณ์ด้วยยอดขายกว่า 1 ล้านขวด และในปัจจุบันที่ก้าวเข้าสู่ขวบปีที่ 10 ก็มียอดขายสูงถึง 25 ล้านขวด ทำให้โดยเฉลี่ยแล้วเซรั่มขวดแดงสามารถสร้างขายได้ 1 ขวดในทุก 8.9 วินาที

ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่าการที่สินค้ามีจุดเด่นชัดเจน ในเรื่องของเซรั่มที่เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว และหยิบมาใช้ได้ทุกเพศทุกวัย ยิ่งทำให้ถูกใจผู้คนหลากหลายกลุ่ม รวมถึงคุณภาพสินค้าที่ดีทำให้ลูกค้าเกิดการซื้อซ้ำ จนสามารถขยายตลาดได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ปัจจุบันวางขายได้ใน 88 ประเทศทั่วโลกเลยทีเดียว

6. 252 รางวัลการันตีคุณภาพ นับตั้งแต่เปิดตัวผลิตภัณฑ์

นอกจากความสำเร็จเรื่องยอดขายแล้ว ภายในปีแรกที่เปิดตัวเซรั่ม ULTIMUNE ก็ได้รับรางวัลการันตีจากนิตยสารชั้นนำทั่วโลกถึง 63 รางวัล และมีหลายรางวัลที่ได้รับต่อเนื่องมาตลอด 10 ปีซ้อน จนขึ้นแท่นเป็นสกินแคร์ที่สร้างชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน ถ้านับรวมทุกรางวัลตั้งแต่เปิดตัวผลิตภัณฑ์จนถึงปัจจุบัน เซรั่มขวดแดงกวาดรางวัลมาแล้วถึง 252 รางวัล

7. 10 ปีของ ULTIMUNE ที่ถูกถ่ายทอดผ่านผลงานออกแบบของยูนิ โยชิดะ

ในโอกาสพิเศษที่เซรั่ม ULTIMUNE เข้าสู่ปีที่ 10 มาพร้อมกับแคมเปญ ‘BELIEVE IN BEAUTY’ เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบหนึ่งทศวรรษ และสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนเห็นถึงพลังแห่งความงาม ที่สามารถขับเคลื่อนชีวิตได้อย่างมีพลัง

โดยถ่ายทอดผ่านผลงานศิลปะของยูนิ โยชิดะ ศิลปินและผู้กำกับศิลป์ชื่อดังของญี่ปุ่น ที่นำปรัชญาความงามในวัฒนธรรมญี่ปุ่นมาบอกเล่าผ่านภาพยนตร์โฆษณา

ที่ใช้ศิลปะการจัดวางดอกไม้ฮานาซึบากิ สัญลักษณ์ของแบรนด์ SHISEIDO ที่มีสีแดงสดอันเป็นเอกลักษณ์ มาจัดวางเป็นรูปวงกลมซ้อนกันหลายชั้นให้ความรู้สึกเหมือนเป็นคลื่นน้ำที่ขยายวงกว้างไม่รู้จบ สื่อถึงผิวที่ได้รับความชุ่มชื่นกระจ่างใส และมีจำนวนผู้ใช้เซรั่ม ULTIMUNE อยู่ทั่วโลก

สำหรับในไทยก็ได้ต่อยอดมาสู่แคมเปญ ‘THE BEAUTY IMMUNITY’ ที่ถ่ายทอดโดยวิน–เมธวิน โอภาสเอี่ยมขจร นักแสดงชื่อดังของไทย ผ่านโฆษณาที่บอกเล่าถึงการมีภูมิคุ้มกันผิวที่แข็งแรง เป็นจุดเริ่มต้นของผิวสุขภาพดีในอุดมคติ และตอกย้ำให้เห็นว่า ULTIMUNE เป็นไอคอนิกเซรั่มที่ผู้คนหลงรักอย่างแท้จริง

พลังของร้านชำเอเชียน ประวัติศาสตร์การอพยพ และการปฏิวัติรสชาติให้โลก

เวลาเราพูดถึงย่านชาวจีนหรือชุมชนชาวเอเชียกระทั่งพื้นที่เก่าแก่เช่นเยาวราช เรามักนึกถึง ‘ร้านชำ’ ร้านขายของสารพัดสิ่งที่ส่วนใหญ่มักขายวัตถุดิบอาหาร 

แค่พูดถึงคำว่าร้านชำหรือร้านเอเชียน แม้จะอยู่ในต่างพื้นที่ทั่วโลก เราเองก็แทบจะสัมผัสถึงบรรยากาศของร้านที่เต็มไปด้วยตู้ ชั้น กลิ่นรสเก่าๆ ของเครื่องเทศ ขวดที่อาจจะมีฝุ่นจับบ้าง และอาม่าที่บางทีก็ใจดี บางทีก็ดูดุจนต้องค่อยๆ พูดเพื่อให้ได้ของที่ต้องการ  

ขนาดคนไทยแบบเราๆ ที่วัตถุดิบและวัฒนธรรมผสมผสานเข้ากับความเป็นจีนแล้ว ด้วยหลายกระแสของวัฒนธรรมอาหารที่มีรายละเอียดมากขึ้น มีเมนูที่เราอยากจะทำมากขึ้น เช่น หมาล่า ชาบู เต้าหู้ ผัดหมี่ หมูแดงและอื่นๆ หลายครั้งเราเองก็ยังต้องเดินทางเข้าไปเยี่ยมร้านชำเก่าแก่เพื่อค้นหาวัตถุดิบเฉพาะอย่างซีอิ๊ว ซอสขวด ฟองเต้าหู้แห้ง พริกฮวาเจียว น้ำมันงา ฯลฯ

ทุกครั้งที่เราไปเยี่ยมอาม่าอากง ‘ความร้านชำ’ ก็มักจะพาเราย้อนกลับไปยังอดีต ทั้งตัวร้านชำเองในฐานะพื้นที่การค้าที่ใกล้ชิดกับชีวิตวัยเด็ก ไปจนถึงกลิ่นรสของอาหารที่เราคุ้นเคยจากฝีมือของคนรุ่นย่ารุ่นยาย  

หากมองในภาพที่กว้างขึ้น ร้านชำขายของเอเชียนมักเป็นหัวใจหนึ่งแห่งย่านของชาวเอเชียโดยเฉพาะในย่านไชนาทาวน์ คำว่า ‘ร้านชำเอเชียน’ มักเป็นร้านขายของสารพัดที่มักเป็นจุดแวะพักในการจับจ่ายของประจำสัปดาห์ของเหล่าผู้อพยพ เป็นหนึ่งในพื้นที่สำคัญที่ชาวเอเชียผู้พลัดถิ่นจะยังพูด ฟัง และทำอาหารแบบเดียวหรือคล้ายๆ กันเหมือนครั้งอยู่ในบ้านเกิดเมืองนอน

ร้านชำจึงไม่ใช่แค่ร้านชำ แต่เป็นพื้นที่พักใจ และเมื่อโลกและวัฒนธรรมอาหารเริ่มละเอียดขึ้น เช่นเชฟดังๆ เริ่มทำอาหารของชาติอื่น (ที่มักกลายเป็นดราม่าว่าไม่เห็นเป็นแบบนั้น) พื้นที่อินเทอร์เน็ตที่ทำให้เราเห็นรูปแบบอาหารอื่นๆ การมาถึงของรายการทำอาหารที่ทำให้โลกมองเห็นวัฒนธรรมอาหารที่หลากหลาย อย่างล่าสุดที่เชฟสาวไทย แนท ไทยพัน ชนะรายการมาสเตอร์เชฟด้วยสารพัดเมนูยำ ลาบ และอาหารไทย 

ร้านชำเล็กๆ เหล่านี้จึงเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่กำลังทำหน้าที่ทูตวัฒนธรรม เป็นพื้นที่แห่งความทรงจำที่สานต่อรสชาติผ่านอาหารและการครัว ทั้งยังเป็นพื้นที่สำคัญของการขุดหาวัตถุดิบซึ่งในที่สุดแล้ว จากร้านชำที่เคยมีแต่คุณป้าคุณน้าชาวเอเชีย วัตถุดิบและรสชาติแบบตะวันออกที่ห่างไกลและเฉพาะกลุ่ม ก็ค่อยๆ กลายเป็นวัตถุดิบและรสชาติหลักซึ่งกำลังปฏิวัติอาหารการกินของโลกตะวันตกไปด้วยของแปลกเช่นซีอิ๊ว มิโสะ โคชูจัง เต้าหู้ เห็ดหอม เริ่มกลายเป็นของพื้นฐานของการครัวของโลก

ภาพจาก visitstockton.org

ร้านชำกับการอพยพ

ร้านชำเอเชียนด้วยตัวมันเองก็ค่อนข้างมีบริบทที่ซับซ้อนทั้งคำว่า ‘เอเชียน’ ที่มีความหมายกว้างๆ บางร้านก็ขายของจากเอเชียรวมๆ กัน บางพื้นที่ก็ขายของที่สัมพันธ์กับย่านของผู้อพยพนั้นๆ บางกิจการขยายตัวกลายเป็นเครือยักษ์ใหญ่ เช่น H Mart ห้างสินค้าเกาหลีที่ครองพื้นที่ในอเมริกาและแคนาดา และกำลังขยายไปยังสหราชอาณาจักร 

ในบริบทที่หลากหลาย ร้านชำของชาวเอเชียที่ขายของสารพัด นับเป็นอีกหนึ่งปรากฏการณ์ร่วม และเป็นกิจการที่สัมพันธ์กับมิติทางวัฒนธรรมคือการอพยพย้ายถิ่นและการตั้งถิ่นฐานของผู้คน ร้านชำมักมีลักษณะร่วมอย่างการเป็นพื้นที่การค้าที่มีการบริหารจัดการของตัวเอง 

การซื้อของในร้านเอเชียจึงมักมีเสน่ห์หรือปฏิสัมพันธ์ที่ค่อนข้างพิเศษ กล่าวคือไม่เป็นทางการ บางครั้งก็วุ่นวาย ข้อเขียนหรือบทความที่เกี่ยวข้องกับร้านเอเชียเหล่านี้มักเขียนโดยคนรุ่นที่ 2 ที่นึกถึงวันเวลาที่พ่อแม่พาไปแวะร้านขายของเพื่อซื้อของใช้และวัตถุดิบในชีวิตประจำวัน

ภาพถ่ายโดย Elson Trinidad จากเว็บไซต์ pbssocal.org

ในบริบทประวัติศาสตร์ ความเปลี่ยนแปลงของกระแสการอพยพเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้ร้านขายของชำเกิดและเติบโตขึ้น กรณีเช่นอเมริกา ร้านของชำเอเชียเฟื่องฟูขึ้นในทศวรรษ 1960-1970 ในช่วงปีนั้นอเมริกามีนโยบายกีดกันแรงงานต่างชาติ แต่เปิดรับแรงงานทักษะสูง คือกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมหรือ STEM (science, technology, engineering and mathematics) รวมถึงคนทำงานในสายเทคโนโลยี

ในช่วงทศวรรษ 1970 นี้เองที่ลักษณะประชากรของอเมริกาเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญ จำนวนประชากรของอเมริกาในทศวรรษ 1980 ขยายตัวขึ้น 70% ส่วนใหญ่เป็นผู้อพยพ รูปแบบการไปอเมริกาไม่ได้เป็นการไปเป็นแรงงานแล้วส่งเงินกลับบ้าน แต่คือการที่แรงงานมีทักษะและคนชนชั้นกลางมาลงหลักปักฐาน เรียนต่อและร่วมขับเคลื่อนอุตสาหกรรม 

ในยุคนั้น คนทำงานชาวเอเชียมีรายได้มั่นคงขึ้น บางส่วนเดินทางกลับไปยังบ้านเกิดและพาปู่ย่าตายายมาใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกา ช่วยดูแลลูกหลานที่บ้าน นั่นแปลว่าผู้คนได้พาเอาวัฒนธรรม และความเชื่อมั่นเรื่องอาหารการกินมายังดินแดนอเมริกาด้วย จากกิจการร้านอาหารจีนทั่วไป ความต้องการวัตถุดิบจากบ้านเกิดจึงเริ่มก่อตัวขึ้น นั่นแปลว่ารูปแบบกิจการในยุคนี้ย่อมเปลี่ยนแปลงไปด้วย

ร้านชำในฐานะ ‘พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์’

ร้านชำขายของเอเชีย จะบอกว่าเป็นพื้นที่มหัศจรรย์ก็ได้ แต่มิติทางวัฒนธรรมก็เกี่ยวข้องกับตำแหน่งแห่งที่ของวัฒนธรรมอื่นๆ ที่เข้าไปอยู่ในบริบทของโลกตะวันตก พูดง่ายๆ คือร้านเอเชียเป็นตัวแทนของอาหารการกินจากต่างถิ่น 

ในระยะแรกร้านชำของชาวเอเชียมักเป็นพื้นที่ที่ถูกล้อเลียน เป็นพื้นที่ของความตลกขบขัน การถูกล้อว่าตาขีด กินของแปลกๆ มีกลิ่นแปลกๆ มักเป็นเรื่องเล่าของเหล่าเด็กเอเชียนในโลกตะวันตก ทว่าในทางกลับกัน สายตาชาวเอเชียเองก็มองวัฒนธรรมอาหารของตัวเองอย่างลึกซึ้ง นอกจากอาหารแบบเอเชียจะให้ความสำคัญกับวัตถุดิบ กรรมวิธีการปรุงแล้ว ยังมักเกี่ยวข้องกับเรื่องราว ความเชื่อ และการรักษารากเหง้าของตัวเองเอาไว้ผ่านอาหารการกิน 

ร้านชำเอเชียจึงเป็นเหมือนพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าชาวเอเชียด้วยกัน เป็นที่ที่ในยุคแรก แม้ว่าจะไกลแค่ไหน ชาวเอเชียก็ยินดีที่จะเดินทางไป หลายครั้งที่ร้านเอเชียมักเป็นพื้นที่วัฒนธรรมเอเชียแบบรวมกลุ่มคือขายของเอเชียๆ ที่ไม่ได้มีแค่ชาติใดชาติหนึ่ง บางครั้งผู้อพยพชาวอินเดียอาจมองหาเครื่องเทศบางอย่างจากเอเชียในร้านของชาวจีนหรือเวียดนาม 

ตรงนี้เองที่ความหลากหลายและรายละเอียดปลีกย่อยของวัฒนธรรมอาหารเริ่มรุ่มรวยขึ้น พื้นที่ของร้านชำทำให้ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียพบว่าสมุนไพรเช่นกระวานจากเอเชียมีสีเขียวสดกว่าและมีราคาถูกกว่า 

ภาพถ่ายโดย Elson Trinidad จากเว็บไซต์ pbssocal.org

ร้านชำ ความเอเชีย กับความจริงจังเรื่องอาหาร

สำหรับเหล่าเอเชียนพลัดถิ่น ร้านชำถือเป็นขุมสมบัติที่ยุ่งเหยิง และแทบจะเป็นพื้นที่เดียวของเมืองนั้นๆ ที่มีวัตถุดิบสำคัญในการทำอาหาร ทั้งเมนูที่ทำเพราะคิดถึงบ้าน หรือเมนูที่ทำเพื่อความเชื่อเช่นอาหารตามเทศกาลที่คนเอเชียแบบเราๆ ไม่ได้รับประทานแค่เพื่อฉลอง แต่เพื่อโชคลาภและการมีชีวิตที่แข็งแรงยืนยาวต่อไป

อาหารและร้านชำจึงเป็นอีกมิติที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอื่นๆ อย่างลึกซึ้ง การขยายตัวทั้งของห้างร้านขนาดใหญ่ การนำเข้าวัตถุดิบอาหารไปจนถึงการก่อตัวของร้านอาหาร ในมิติทางวัฒนธรรมก็ว่าด้วยการรับเอาวัฒนธรรมและศิลปะการกินแบบตะวันออกเข้าไปยังพื้นที่ที่แต่เดิมโลกตะวันตกอาจมองตะวันออกจากหมิ่นแคลน 

แน่นอนว่าปัจจุบันอาหารเอเชียแทบจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของครัวโลก ไม่ใช่การยอมรับ แต่วัตถุดิบอาหารซึ่งรวมถึงกลิ่นรสต่างๆ ได้แทรกซึมเข้าสู่วัฒนธรรมอาหารในระดับโลก กลายเป็นกลิ่นรสที่คนทั่วไปรู้จัก ทั้งมิโสะ ซีอิ๊ว น้ำปลา ซอสพริกศรีราชา หรือซอสโคชูจังที่เริ่มอยู่ในหลายสำรับ

จากรสชาติ ข้าวของ และวัตถุดิบที่เคยเป็นแค่ของแปลก ในร้านแปลกๆ ที่คนบางกลุ่มใช้และรับประทาน เริ่มกลายเป็นรสชาติที่ใครๆ ก็คุ้นเคย ผู้คนเริ่มรู้จักการปรุงรสให้เค็มพอประมาณด้วยซีอิ๊ว น้ำปลา รู้จักการใส่น้ำมันหอย หรือการที่รามยอนและสาหร่ายกลายเป็นของติดบ้าน 

การแต่งรสแต่งกลิ่นที่ในบางครั้งก็ได้ถูกเขียนเชิดชูไว้ว่าทำให้วัฒนธรรมอาหารของตะวันตกรุ่มรวยขึ้น การปรากฏของเหล่าวัตถุดิบจากโลกตะวันออกก็ล้วนเกี่ยวข้องกับชั้นเก่าๆ ที่วางของระเกะระกะของอากงอาม่า และการแวะซื้อของของคนรุ่นพ่อแม่ที่ส่งต่อมายังการปรุงและการกินของทุกวันนี้

ภาพจาก Shun Fat Supermarket

อ้างอิง

คนทำธุรกิจเรียนรู้อะไรบ้างจากการดูโอลิมปิกเกมส์ 2024

สิ้นแสงไฟจากกระถางคบเพลิงที่ตั้งตระหง่านกลางกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ถือเป็นสัญญาณเตือนว่า โอลิมปิกเกมส์ ครั้งที่ 33 ได้รูดม่านปิดฉากเป็นที่เรียบร้อย

ตลอดระยะเวลา 17 วัน นอกจากการจัดงานสุดอลังการตั้งแต่พิธีเปิดจนถึงพิธีปิด สมฐานะเจ้าภาพที่ได้ชื่อว่า เป็นผู้นำด้านแฟชั่นอันดับ 1 ของโลก และเป็นเมืองที่เปี่ยมมนตร์ขลังด้านวัฒนธรรม ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้โอลิมปิกเวอร์ชั่นปารีส 2024 น่าจดจำ คือ ‘โมเมนต์ประทับใจ’ จากนักกีฬาระหว่างการแข่งขัน 

บ้างมาพร้อมกับลีลาคาดไม่ถึงจนกลายเป็นมีมบนโลกโซเชียลฯ บ้างมาพร้อมกับการสร้างสถิติโลกน่าตกตะลึง บ้างมาพร้อมมาตรฐานสมฐานะแชมเปี้ยน บ้างก็สู้สุดใจจนวินาทีสุดท้าย และบ้างขอแค่ได้เข้าร่วมก็ถือเป็นเกียรติประวัติความสำเร็จในชีวิต

หลากโมเมนต์ข้างต้นยังถูกส่งต่อถึงผู้ชมทางบ้านได้คิดตามว่า โอลิมปิกเป็นมากกว่าเกมกีฬา เป็นมากกว่าการแข่งขันเพื่อเอาชนะ แต่ยังสะท้อนแนวคิดแง่บวกหลายข้อ ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการดำเนินชีวิต ไม่เว้นแม้แต่คนทำธุรกิจ

แต่แง่คิดจากการดูกีฬาโอลิมปิกผ่านมุมมองของคนธุรกิจจะมีอะไรบ้างนั้น Capital ขอชวนหาคำตอบไปพร้อมกันจากคอลัมน์ Recap ตอนนี้

เทนนิส–พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ

ประเภทกีฬา : เทควันโดหญิง (รุ่น 49 กิโลกรัม)

You Must Be Number 1 (ต้องเป็นที่หนึ่งให้ได้)

ปฏิเสธไม่ได้ว่า การแข่งขันกีฬาแต่ละชนิดในโอลิมปิกเกมส์ ตัวแทนจากประเทศไทยมักถูกจัดอยู่ในหมวด ‘ม้ามืด’ มากกว่าจะเป็นตัวเต็งนอนมาเหมือนชาติมหาอำนาจรายอื่น ไม่เว้นแม้กระทั่งกีฬามวยสากล ซึ่งในอดีตเป็นประเภทกีฬาที่ไทยเราเชื่อมือได้มากสุด

จนกระทั่งการเดบิวต์ของ เทนนิส–พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ นักเทควันโดหญิง รุ่น 49 กิโลกรัม ในการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ ที่เมืองรีโอเดจาเนโร ประเทศบราซิล เมื่อปี 2016 ได้ทลายความเชื่อเก่านั้นไป 

พาณิภัคพัฒนาตนเองจากดาวรุ่งฝีมือน่าจับตามอง ภายใต้การฝึกฝนจาก ‘โค้ชเช–ชเว ยอง-ซอก’ เธอค่อยๆ ฝึกปรน เคี่ยวกรำประสบการณ์ จนคว้าแชมป์ทุกรายการตั้งแต่ระดับชิงแชมป์โลก เอเชียนเกมส์ ชิงแชมป์เอเชีย และซีเกมส์ ก่อนจะมาคว้าเหรียญทองโอลิมปิกเหรียญแรกในชีวิต ในการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ กรุงโตเกียว ปี 2020 

กระทั่งโอลิมปิก 2024 ที่ปารีส ประเทศฝรั่งเศส เธอประกาศกร้าวว่า นี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอจะรับใช้ทีมชาติไทย และเธอยินดีแลกทุกสิ่งทุกอย่างที่มีเพื่อป้องกันเหรียญทองให้ได้ หลังที่ผ่านมาต้องแบกรับอาการบาดเจ็บเรื้อรัง 

จากฝีมือที่สั่งสมมาไม่มีตก ผนวกกับแรงใจเต็มเปี่ยม นั่นทำให้สื่อแทบทุกสำนักพร้อมใจยกพาณิภัคเป็นตัวเต็งอันดับหนึ่ง ซึ่งเธอโชว์ให้ผู้คนทั่วโลกเห็นแล้วว่า เธอคือที่หนึ่ง และเป็น greatest of all time ของเทควันโดหญิง รุ่น 49 กิโลกรัม จากการไล่ต้อนคู่แข่งอย่างใสสะอาดในทุกรอบ ก่อนจะป้องกันเหรียญทองโอลิมปิกตามที่ตั้งเป้าไว้สำเร็จ

ในมุมมองของคนทำธุรกิจ กรณีของพาณิภัคก็ไม่ต่างจากการสร้างสินค้าหรือการบริการ ที่เมื่อทำแล้วก็ต้องทำให้สุดฝีมือ เพื่อให้ผู้บริโภคมองแบรนด์ของเราเป็นอันดับหนึ่ง พูดให้เห็นภาพก็เหมือนกรณีของ ‘มาม่า’ แบรนด์บะหมี่กึ่งสำเร็จที่อยู่คู่กับคนไทยมาเนิ่นนาน ซึ่งสามารถส่งออกสินค้าไปยัง 68 ประเทศทั่วโลก พร้อมกับครองตำแหน่งอันดับ 1 ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในประเทศสำคัญอย่างสหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย และฟินแลนด์ 

วิว–กุลวุฒิ วิทิตศานต์ และโค้ชเป้–ภัททพล เงินศรีสุข 

ประเภทกีฬา : แบดมินตันชายเดี่ยว

The Great Partnership (พาร์ตเนอร์ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง)

“พี่บอกแล้วไง เอ็งจะหาประสบการณ์อย่างนี้ไม่ได้แล้ว เอ็งจะแพ้ชนะไม่เป็นไร เอ็งเอาความรู้ ความรู้สึก วิธีคิดวิธีเล่นเอาไปใช้ เรียนรู้จากเขา เขาคือสุดยอด เราต้องเรียนรู้จากเขา โอเคปะ”

ประโยคสั้นๆ แต่เปี่ยมด้วยกำลังใจนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่ วิว–กุลวุฒิ วิทิตศานต์ พ่ายให้กับวิคเตอร์ แอ็กเซลเซน ในการแข่งขันแบดมินตันชายเดี่ยว รอบชิงชนะเลิศ โอลิมปิกเกม 2024 ไปอย่างน่าเสียดาย โดยเจ้าของประโยคคือ โค้ชเป้–ภัททพล เงินศรีสุข ผู้ฝึกสอนของกุลวุฒิ และอดีตนักกีฬาแบดมินตันคนแรกจาก ‘บ้านทองหยอด’ ที่ได้สัมผัสกับเวทีโอลิมปิก เมื่อปี 2003 ณ กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่โค้ชเป้พูดให้กำลังใจกุลวุฒิข้างสนาม เพราะตั้งแต่รอบแรกจนถึงนัดชิง ทัศนคติแง่บวกจากโค้ชเป้ถูกส่งไปถึงศิษย์ของเขาอยู่เสมอ ไม่ว่าสถานการณ์จะถูกคู่แข่งไล่ต้อนจนเป็นฝ่ายตาม หรือสกอร์ขึ้นนำ โค้ชเป้ก็มักจะพูดว่า ‘เป็นแค่เกมเกมหนึ่ง’ ซึ่งกุลวุฒิจะต้องซึมซับประสบการณ์และผ่านไปให้ได้ 

นอกจากจะเป็นการให้กำลังใจ คำพูดของโค้ชเป้ยังช่วยให้กุลวุฒิรู้สึกผ่อนคลาย เห็นได้ชัดจากนัดชิงที่ตามหลังคู่แข่งชาวเดนมาร์ก กุลวุฒิยังคงเล่นด้วยความสนุกในแบบของตัวเอง และต่อให้ไปไม่ถึงเหรียญทองกุลวุฒิก็ยินดียืดอกยอมรับความพ่ายแพ้ โดยไม่แสดงความผิดหวังให้เห็น 

หากเป็นโลกของธุรกิจโค้ชเป้น่าจะเป็นคู่พาร์ตเนอร์หรือเจ้านายที่ใครก็อยากร่วมงานด้วย แน่นอนว่า สัจธรรมของการทำงานคือการไปให้ถึงความสำเร็จ แต่ระหว่างทางย่อมต้องเผชิญกับนานาอุปสรรค ดังนั้นการให้กำลังใจกันจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรหลีกเลี่ยง และต่อให้ไปไม่ถึงเป้าหมาย คำพูดปลอบประโลมก็จะกลายเป็นน้ำทิพย์ชโลมใจให้พาร์ตเนอร์หรือทีมลุกขึ้นมาสู้ต่อได้อีกครั้ง

วิเวียน กง (ฮ่องกง)

ประเภทกีฬา : ฟันดาบหญิง ประเภทเอเป้

Never Give Up  (อย่ายอมแพ้จนวินาทีสุดท้าย)

อีกหนึ่งแมตช์ประวัติศาสตร์แห่งการแข่งขันโอลิมปิกที่ต้องจารึกไว้ กับการแข่งฟันดาบหญิงรอบชิงชนะเลิศ โอลิมปิก 2024 ระหว่าง วิเวียน กง นักดาบสาวจากฮ่องกง และโอริยอง มาลโล-เบรตง จากฝรั่งเศส ที่หากใครได้ดูถ่ายทอดสดน่าจะต้องหยิบยาดมมาสูดหายใจลึกๆ เพราะแมตช์นี้เต็มไปด้วยความตื่นเต้นเร้าใจแทบทุกวินาที

แม้จะเป็นมือวางอันดับหนึ่งของโลก แต่เปิดฉากมากลับเป็นฝ่ายชาติเจ้าภาพที่ไล่ต้อนวิเวียน กง ด้วยสกอร์นำโด่ง 7-1 เช่นเดียวกับบรรยากาศและเสียงเชียร์จากคนดูในสนามกร็องปาแล ล้วนแล้วแต่เป็นใจแก่โอริยอง มาลโล-เบรตง ไปเสียหมด

อย่างไรก็ตาม ด้วยหัวจิตหัวใจที่ไม่ยอมแพ้ของวิเวียน กง เธอกัดฟันทำคะแนนตีตื้นคู่แข่งไล่มา 9-6 ก่อนจะไล่หายใจรดต้นคอมาเป็น 10-8 และเสมอ 10-10 ได้สำเร็จฉิวเฉียด นำไปสู่การแข่งขันช่วงต่อเวลาพิเศษและเป็นฝ่ายวิเวียน กง แซงเอาชนะ โอริยอง มาลโล-เบรตง ไปได้ 13-12 คะแนน สร้างประวัติศาสตร์คว้าเหรียญทองเหรียญแรกให้กับฮ่องกงหรือไชนีส ไทเป เป็นครั้งแรกในการแข่งขันโอลิมปิก 

หลังจบเกม วิเวียน กง หลั่งน้ำตาแห่งความยินดีระหว่างรับเหรียญรางวัล สาเหตุเพราะในการแข่งขันโอลิมปิกสองครั้งที่ผ่านมา เธอยุติเส้นทางได้แค่รอบ 16 คน และรอบ 8 คนเท่านั้น แต่ด้วยความมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้เธอจึงมายืนอยู่ตรงนี้ได้สำเร็จ พร้อมกับสะท้อนแง่คิดให้เราเห็นว่า ตราบใดที่ไม่ยอมแพ้ สักวันต้องมีวันที่เป็นของเราแน่นอน

โนวัค ยอโควิช (เซอร์เบีย)  

ประเภทกีฬา : เทนนิสชายเดี่ยว

Always Maintain Standards (‘มาตรฐาน’ คือคำตอบเดียวที่ถูกต้อง)

คอกีฬาต่างรู้ดีว่า โนวัค ยอโควิช คือหนึ่งในนักเทนนิสมือพระกาฬ ผู้กวาดรางวัลแกรนด์สแลมมาแล้วนับไม่ถ้วน แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่เขาไม่เคยทำสำเร็จมาก่อน คือการคว้าเหรียญทองโอลิมปิก เฉียดใกล้สุดคือเหรียญทองแดง จากโอลิมปิก ปักกิ่ง ปี 2008

หลายคนคาดการณ์ว่า การมาโอลิมปิกครั้งนี้ของยอโควิช คือการมาเพื่อปลดล็อกความสำเร็จสุดท้ายในฐานะนักเทนนิสอาชีพ ทว่าก้างขวางคอชิ้นโตที่รอยอโควิชอยู่ตรงหน้า คือเด็กหนุ่มวัย 21 ปี ชาวสเปน นามว่า คาร์ลอส อัลคาราซ ที่มีดีกรีเป็นนักเทนนิสมือวางอันดับ 2 ของโลก และเจ้าของฉายา นิว ราฟาเอล นาดาล

ด้วยสภาพร่างกายอันแข็งแกร่งและฟอร์มร้อนแรงของอัลคาราซตั้งแต่รอบแรกจนถึงรอบชิง จึงไม่แปลกใจที่จะมีคนคิดว่า เด็กหนุ่มคนนี้คือคนที่จะมากระชากยอโควิช ในวัย 37 ปี ลงจากบัลลังก์ ทว่าผลการแข่งนัดชิงชนะเลิศ ยอโควิชสอนเชิงเอาชนะอัลคาราซไปได้สบายๆ 2 เซตรวด ทำสถิติเป็นนักเทนนิสชายอายุเยอะที่สุดที่คว้าเหรียญทองโอลิมปิก

ในมุมของธุรกิจ ยอโควิชก็เปรียบเสมือน ‘สินค้า’ หรือ ‘แบรนด์ดังแบรนด์หนึ่ง’ ที่ผู้คนชื่นชอบและให้การตอบรับดีเสมอมา และแม้จะเผชิญกับคู่แข่งน้องใหม่ที่มาพร้อมกับสินค้าน่าสนใจ ซึ่งเปรียบเสมือนตัวของอัลคาราซ แต่สุดท้ายการรักษามาตรฐานไม่มีตกนี้เอง จึงทำให้ยอโควิชเป็นผู้ชนะและยืนระยะได้ต่อไป 

ฉะนั้นคนที่ทำธุรกิจควรหมั่นรักษามาตรฐานตัวเองและตอบรับฟีดแบ็กของผู้บริโภคอยู่เสมอ เพื่อนำไปพัฒนาปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิมจนยากที่ใครจะเลียนแบบ ดังเช่นที่นักเทนนิสชาวเซอร์เบียรายนี้แสดงให้เราเห็น

เจิ้ง จื้ออิง (จีน-ชิลี)

ประเภทกีฬา : ปิงปองหญิงเดี่ยว 

No One Is Too Old To Succeed (ไม่มีใครแก่เกินประสบความสำเร็จ)

58 ปี คืออายุที่ ‘เจิ้ง จื้ออิง’ หรือ ‘ทาเนีย’ ลงแข่งขันกีฬาปิงปองในโอลิมปิก 2024 ในฐานะตัวแทนจากชิลี 

หากเป็นคนปกติ ในวัยดังกล่าวถือเป็นช่วงเตรียมพร้อมสู่ชีวิตหลังเกษียณ แต่ไม่ใช่กับเจิ้ง จื้ออิง ที่ใช้ช่วงเวลานี้ตามล่าความฝันอีกครั้ง หลังเคยตัดสินใจหันหลังให้กับกีฬาปิงปองไปเมื่อปี 1986 ขณะที่เธอมีอายุเพียง 20 ปี เนื่องจากอัตราการแข่งขันกีฬาปิงปองในประเทศจีนซึ่งเป็นประเทศที่เธอถือกำเนิดมีการแข่งขันเข้มข้น พร้อมๆ กับการเปลี่ยนแปลงของกติกาสากลที่เปลี่ยนแปลงไปไวจนเธอตามไม่ทัน ก่อนจะตัดสินใจย้ายถิ่นฐานไปใช้ชีวิตใหม่ ณ เมืองอิกคีเค ประเทศชิลี พร้อมกับเปิดธุรกิจร้านขายเฟอร์นิเจอร์เลี้ยงชีพ

แต่หลังจากการระบาดของโควิด-19 ทำให้เธอมีโอกาสจับไม้ปิงปองอีกครั้ง จากงานอดิเรกระหว่างล็อกดาวน์ กลับจุดประกายความฝันของเธออีกครั้งในวัย 57 พร้อมกับกวาดทุกรางวัลที่มีอยู่ เถลิงเป็นนักกีฬาปิงปองหญิงมือหนึ่งของประเทศชิลี และได้ก้าวมาแข่งขันกีฬาโอลิมปิกตามที่เธอใฝ่ฝัน

แม้สุดท้ายจะไม่ผ่านการแข่งขันรอบแรก แต่เจิ้ง จื้ออิง ทำให้คนดูทั่วทั้งสนามยืนขึ้นปรบมือ สดุดีแก่ความพยายามของเธอ และนักปิงปองชาวจีน-ชิลียืนยันว่า การมาแข่งขันโอลิมปิกครั้งนี้เปรียบเสมือนรางวัลล้ำค่าที่สุดในชีวิตเธอ 

กรณีของเจิ้ง จื้ออิง ยังสะท้อนให้เห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นเกมกีฬาหรือเกมธุรกิจ ย่อมไม่มีใครแก่เกินกว่าที่จะประสบความสำเร็จ ทุกคนต่างมีช่วงเวลาผลิบานแตกต่างกัน ยกตัวอย่างกรณีอันโด่งดังของ ‘ผู้พันแซนเดอร์ส’ ที่กว่าจะประสบความสำเร็จสร้างแฟรนไชส์ไก่ทอด KFC อายุก็แตะหลัก 65 ปี หรือเกินครึ่งชีวิตไปแล้ว 

ยูซุฟ ดิเคช (ตุรกี) 

ประเภทกีฬา : นักกีฬายิงปืนสั้นระยะ 10 เมตร ชาย

Know Yourself (ไม่มีใคร ‘รู้’ ตัวเราดีไปกว่าเรา)

อีกหนึ่งโมเมนต์เรียกเสียงฮือฮาประจำโอลิมปิก 2024 คงต้องยกให้ ยูซุฟ ดิเคช นักกีฬายิงปืนสั้นระยะ 10 เมตร ชาวตุรกี ที่มาในมาดนิ่ง มือหนึ่งล้วงกระเป๋า อีกมือหนึ่งบรรจงลั่นไกเข้าเป้า คว้าเหรียญเงินกลับบ้านไปชนิดที่หลายคนแซวว่า เจ้าตัวแค่ใช้เวลาว่างแวะมาแข่งขันเฉยๆ 

ต่อมาไม่นาน ภาพขณะกำลังลงแข่งขันของยูซุฟกลายเป็นมีมไปทั่วโลกโซเชียลฯ บ้างก็นำไปตัดต่อคู่กับตัวละคร จอห์น วิค ที่แสดงโดยคีอานู รีฟส์ บ้างก็นำไปตัดต่อคู่กับตัวละคร จูลส์ ที่แสดงโดย ซามูเอล แอล. แจ็กสัน จากภาพยนตร์เรื่อง Pulp Fiction หนักสุดคือนำไปวาดเป็นคาแร็กเตอร์ตัวการ์ตูนในมาดสายลับ

ถึงกระนั้น ในความฮากลับมีแง่คิดที่น่าสนใจ เมื่อ Euronews สำนักข่าวจากตุรกีถามยูซุฟว่า เหตุใดจึงไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เสริม เช่น กระบังหน้า ที่ครอบหู หรือแว่นสายตาล้ำสมัยเหมือนกับนักกีฬายิงปืนรายอื่นๆ คำตอบที่ได้จากยูซุฟคือ เขาเป็นนักกีฬายิงปืนโดยธรรมชาติ เขารู้ดีว่าตัวเองเหมาะกับอะไรและไม่เหมาะกับอะไร สั้นๆ เรียบง่าย ได้ใจความ

หากสืบสาวประวัติของนักแม่นปืนชาวตุรกีรายนี้เพิ่มเติมจะรู้ว่าเขาคือนักกีฬาแม่นปืนประสบการณ์เจนจัด ผู้เคยคว้ารางวัลระดับโลกและยุโรปมาครอง ทั้งยังเคยรับราชการนายทหารชั้นประทวนแห่งกองกำลังกึ่งทหารตำรวจ ประเทศตุรกีมาก่อน ข้อมูลเหล่านี้น่าจะช่วยคลี่คลายความสงสัยว่า ทำไมคนที่ดูภายนอกแสนจะธรรมดาอย่างยูซุฟถึงได้เก่งกาจปานนี้

ขณะเดียวกัน คำตอบจากยูซุฟน่าจะเป็นข้อคิดที่ดีสำหรับคนทำธุรกิจหรือคนทำงานว่า ให้มองสิ่งที่ตนเองถนัดที่สุด และนำสิ่งที่ถนัดนั้นมาใช้งานอย่างถูกวิธี เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงที่สุด ว่าง่ายๆ ก็คือ ก่อนจะออกไปแข่งขันกับคนอื่นให้สำรวจตนเองอย่างถ่องแท้เสียก่อน เพราะสุดท้ายแล้วย่อมไม่มีใคร ‘รู้’ ตัวเราดีไปกว่าเรา

อาร์ม็องด์ ดูพลานติส (สวีเดน)

ประเภทกีฬา : กระโดดค้ำถ่อชาย 

Redefine Your Limits (ทลายขีดจำกัดของตัวเอง) 

ในวงการกีฬาค้ำถ่อชาย ณ เวลานี้คงไม่มีใครสุดยอดเกินไปกว่า อาร์ม็องด์ ดูพลานติส จากสวีเดน ในวัย 24 ปี ที่ก่อนจะเริ่มการแข่งขันโอลิมปิก 2024 เขาคือเจ้าของสถิติความสูง 6.24 เมตร เป็นความสูงที่เหนือกว่ามนุษย์รายใดในโลกเคยทำมาก่อนจากการค้ำถ่อ

ก่อนเกมดูพลานติสคือตัวเต็งอันดับหนึ่ง และเมื่อถึงเวลาแข่งจริงเขาก็ทำผลงานได้ตามคาด กับการกระโดดครั้งแรกได้ในระดับความสูง 5.70 เมตร เป็นการกระโดดครั้งเดียวที่แทบการันตีเหรียญทองโอลิมปิก

แต่ดูเหมือนโอลิมปิกครั้งที่ 2 ในชีวิตของดูพลานติสจะไม่ใช่แค่การมาป้องกันเหรียญทอง เพราะในการกระโดดครั้งถัดมา หนุ่มชาวสวีเดนรายนี้ทำลายสติความสูงเดิมซึ่งเป็นสถิติโลก ด้วยระดับความสูง 6.25 เมตร และนับเป็นการทุบสถิกระโดดค้ำถ่อเป็นครั้งที่ 9 ในชีวิตของเจ้าตัว หลังเคยสร้างสถิติโลกครั้งแรกเมื่อปี 2022 ด้วยความสูง 6.19 เมตร

นอกไปจากความมหัศจรรย์เกินมนุษย์ อีกหนึ่งสิ่งที่สะท้อนมาถึงคนทำธุรกิจ คือการตั้ง ‘บาร์มาตรฐาน’ ของตนเองให้สูงอยู่เสมอ และต่อให้ถึงบาร์มาตรฐานนั้น ก็ต้องสร้างบาร์ใหม่ที่มาตรฐานสูงกว่าเดิม เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคและเติมเชื้อไฟในการทำธุรกิจตลอดเวลา จากเดิมที่ทำเต็มที่ 100% ลองขยับเป็น 120% ทีละเล็กทีละน้อยจนกลายเป็นความเคยชิน

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของโมเมนต์น่าจดจำจากการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ 2024 ที่เราคัดเลือกมานำเสนอผู้อ่าน ยังมีอีกหลายโมเมนต์สร้างแรงบันดาลใจจากเหล่าฮีโร่โอลิมปิก ที่นำไปปรับใช้ในการทำธุรกิจและดำเนินชีวิตประจำวัน  

ขอให้สนุกกับการทำธุรกิจและใช้ชีวิตอย่างมีความหวังในทุกๆ วัน ก่อนอีก 4 ปีข้างหน้าจะกลับมาพบกันใหม่ในโอลิมปิก 2028 ที่ลอสแอนเจลิส ประเทศสหรัฐฯ 

คุยกับแม่ปุกแห่ง ‘บ้านทองหยอด’ จากโรงงานขนมไทยที่ใช้ไข่แสนฟองสู่โรงเรียนผลิตแชมป์โลก

ภาพตรงหน้าคือพื้นที่ประมาณ 5 ไร่กว่าๆ บนถนนพุทธมณฑลสาย 3 มีสิ่งปลูกสร้างเป็นเรือนอาคารดูมั่นคง ด้านในอาคารเป็นคอร์ตแบดแยกซ้าย-ขวารวมทั้งหมด 18 คอร์ต ส่วนตรงกลางอาคารเป็นโรงอาหารและที่พักสำหรับนักกีฬาและนักเรียน 

ที่นี่คือโรงเรียนสอนแบดมินตันที่ร้อนแรงที่สุดของประเทศในนาทีนี้ เราเชื่อว่าถนนทุกเส้นของทุกคนในประเทศนี้ตอนนี้ที่ฝันอยากจะเป็นนักกีฬาแบดมินตันมืออาชีพล้วนมุ่งตรงมาที่โรงเรียนแห่งนี้ 

โรงเรียนแบดมินตันบ้านทองหยอด

บรรยากาศโดยปกติของโรงเรียนกีฬาก็คึกคักด้วยรถราของผู้ปกครองที่พาเด็กๆ มาเรียนอยู่แล้ว แต่หลังจาก วิว–กุลวุฒิ วิทิตศานต์ จากโรงเรียนแบดมินตันบ้านทองหยอดสามารถคว้าเหรียญเงินโอลิมปิกได้ที่โอลิมปิกปารีส 2024 ซึ่งถือเป็นเหรียญโอลิมปิกแรกของประเทศไทยในกีฬาแบดมินตัน ณ ตอนนี้เราจึงได้เห็นความคึกคักและสดใสมากขึ้นไปอีกในบ้านทองหยอด

“ขอโทษทีที่ให้รอ พอดีแม่เพิ่งได้กินข้าว เมื่อคืนนี้เที่ยงคืนยังคุยเรื่องกำหนดการอยู่เลย พวกเขาที่ไปแข่งที่ปารีสก็ไม่ได้นอนเหมือนกันเมื่อคืนนี้ นี่บ่ายสองแม่เพิ่งได้กินข้าว ช่วงนี้ยุ่งมาก ขนาดหมอฟันนัดเอาไว้ตั้งหลายวันแล้วแม่ยังไม่มีเวลาไปตามนัดเลย” กมลา ทองกร หรือที่ใครๆ ในโรงเรียนแบดมินตันบ้านทองหยอดรวมทั้งสื่อมวลชนเรียกเธอว่า ‘แม่ปุก’ ทักทายและอธิบายด้วยรอยยิ้มระหว่างที่เราและทีมงานเดินเข้ามาในห้องทำงาน

จากการสังเกตด้วยสายตา นอกจากสารพัดอุปกรณ์จำเป็นสำหรับกีฬาแบดมินตัน ทั้งลูกขนไก่ รองเท้า และไม้แบดมินตัน รวมถึงถ้วยรางวัลมากมายที่ฉายภาพความสำเร็จ ตอนนี้มีช่อดอกไม้และกล่องของขวัญมากมายวางเรียงรายอยู่ด้านหน้า แต่ละช่อแต่ละกล่องล้วนเป็นสิ่งแทนใจจากคนที่ทั้งดีใจทั้งขอบคุณที่วิวและโรงเรียนกีฬาบ้านทองหยอดสามารถทำในสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศนี้ให้เกิดขึ้นได้ในวันนี้

ยิ่งย้อนกลับไปหลายสิบปีก่อน ความฝันในการเข้ารอบชิงชนะเลิศมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกยิ่งแทบเป็นไปไม่ได้ ด้วยความพร้อมของบ้านเราที่ตามหลังชาติมหาอำนาจทางกีฬาหลายช่วงตัว

“เมื่อก่อนนี้คอร์ตแบดมันหายากมาก ขอแค่จะมีคอร์ตให้เล่นยังยากเลย นี่แหละคือปัญหา โรงเรียนนี้เกิดจากความไม่พร้อมของสนามกีฬาที่มันหาไม่ได้ในตอนนั้น” แม่ปุกเกริ่นเล่าถึงที่มาของโรงเรียนแห่งนี้

ถึงไม่ฉายภาพให้ดูเชื่อว่าหลายคนก็น่าจะนึกภาพออกว่าศาสตร์ความรู้หรือบุคลากรที่จำเป็นในช่วงหลายสิบปีก่อนที่เกี่ยวกับแบดมินตันในประเทศไทยเป็นเรื่องไกลตัวแค่ไหน

แต่ใครจะเชื่อว่าสุดท้ายนี่คือสถานที่ปลุกปั้นแชมป์โลกแบดมินตันถึง 2 คน คนแรกคือ เมย์–รัชนก อินทนนท์ ส่วนอีกคนคือวิว กุลวุฒิ นั่นเอง

และอย่างที่บอกไว้นับตั้งแต่แบดมินตันเคยถูกบรรจุในการแข่งขันโอลิมปิกมาในปี 1992 นี่เป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยได้รับเหรียญจากกีฬาประเภทนี้

32 ปีแห่งการรอคอย ในที่สุดคนไทยก็ทำได้สักที

“ตั้งแต่วันแรกที่สร้างที่นี่ แม่เคยพูดกับหนังสือพิมพ์เอาไว้ เขาถามว่าแม่คิดยังไงถึงมาสร้างโรงเรียนแบดมินตัน คือแม่สร้างโรงเรียนแบดมินตันนี้มาเป้าหมายก็คืออยากสร้างนักกีฬาของไทยให้ไปสู่ระดับโลก ระดับโอลิมปิก และก็หวังว่าอยากจะได้เหรียญโอลิมปิก แม่ฝันไกลเลย”

แต่การจะสร้างนักกีฬาที่เก่งที่สุดในประเทศ และสามารถเลยไปไกลถึงการเป็นนักกีฬาที่เป็นมือวางอันดับต้นๆ ของโลกไม่ได้อาศัยเพียงแค่พรสวรรค์ของนักกีฬาเพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้น กว่าจะได้ไปยืนบนโพเดียมรับเหรียญ เบื้องหลังของนักกีฬาเหล่านั้นยังมีอีกหลายสิ่งและอีกหลายคนที่อยู่เบื้องหลังคอยผลักดันนักกีฬาให้ขึ้นไปยืนอยู่ ณ จุดนั้นได้

อย่างความสำเร็จล่าสุดของวิว กุลวุฒิ ในโอลิมปิกเกมที่ปารีส หลายคนและหลายสิ่งที่ว่า นอกจากความมุ่งมั่นส่วนตัวและครอบครัวที่หนุนหลัง ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า สังกัดที่บ่มเพาะตั้งแต่วัยเยาว์จนส่งเขาให้ไปถึงแชมป์โลกและคว้าเหรียญเงินโอลิมปิกมาคล้องคอคือเบื้องหลังสำคัญ และที่แห่งนั้นคือโรงเรียนแบดมินตันบ้านทองหยอด

และผู้อยู่เบื้องหลังคนสำคัญของที่แห่งนี้คือ ‘แม่ปุก’ ของทุกคนในโรงเรียน

ชีวิตไม่หวานของแม่ค้าขนมหวาน

ด้วยชื่อเสียงเรียงนามของ ‘บ้านทองหยอด’ อาจทำให้หลายคนสงสัยว่าทำไมสโมสรกีฬาและโรงเรียนแบดมินตันจึงมีชื่อขนมไทยอยู่ในนั้น ซึ่งในความเป็นจริงไม่มีอะไรซับซ้อน–แม้อาจฟังดูน่าประหลาดใจ

โรงเรียนแบดมินตันแห่งนี้มีจุดเริ่มต้นและหล่อเลี้ยงด้วยธุรกิจโรงงานผลิตขนมไทยที่ชื่อ บ้านทองหยอด

“เมื่อก่อนบ้านแม่จนมาก” แม่ปุกย้อนเล่าเมื่อเราชวนคุยถึงเรื่องราวในอดีต “จนมากขนาดที่ว่าผักบุ้งกำนึงถ้าจะผัดเราไม่สามารถซื้อน้ำมันมาผัดได้นะ ไม่มีตังค์ซื้อ คือจนมากๆ ตอนนั้นคุณพ่อเป็นเซลส์ขายรถ แต่มันไม่พอเลี้ยงครอบครัว เพราะครอบครัวเราลูกเยอะ รายจ่ายของครอบครัวก็ค่อนข้างสูง คุณแม่ก็รับจ้างทำขนม เป็นลูกมือคนอื่นเขา ตอนนั้นเราเองก็ทำทุกอย่างที่ได้เงิน อะไรก็ได้ที่ได้เงิน ทำทั้งนั้น มีไปรับจ้างถูบ้านวันละ 2 บาทหลังเลิกเรียนด้วยนะ

“ทีนี้คุณแม่ที่รับจ้างทำขนมต้องเดินทางจากบางขุนเทียนไปสี่แยกบ้านแขกทุกวัน รายได้ที่ได้หักลบกับค่าเดินทางมันก็ไม่ค่อยได้อะไรมากพอที่จะมาเลี้ยงลูกได้ ประกอบกับตอนนั้น คุณแม่เขาก็มีรับขนมมาขายเองตอนเช้าที่ตลาดพลู ทีนี้ท่านก็เลยคิดว่า ลองทำขนมขายเองดีกว่า ตัวแม่ปุกเลยต้องช่วยคุณแม่ทำขนมขายมาตั้งแต่เด็กๆ ทำมาตั้งแต่ 9 ขวบ”

ด้วยความจนและความจริงทำให้ต้องอยู่กับชีวิตที่ไม่ได้สุขสบาย ในวัยที่เพื่อนๆ ต่างได้เล่นสนุกสมวัย แม่ปุกต้องตอกไข่วันละ 50 ฟองเพื่อช่วยที่บ้านทำขนมไทยโดยเริ่มจากการทำฝอยทอง แม่ปุกต้องตอกไข่ หยอดไข่ให้เป็นสาย และใส่ไข่ให้เป็นหยดลงในน้ำเชื่อมอยู่อย่างนั้นเรื่อยมา กิจการที่บ้านเป็นไปได้ด้วยดี ขนมขายได้ ร้านเปิดตี 4 แต่คนมาต่อคิวซื้อตั้งแต่ก่อนตั้งร้านเสียอีก ของก็ขายหมดทุกวัน แต่เงินกำไรที่ได้มาจากการขายขนมก็ต้องเก็บเล็กผสมน้อยเรื่อยมา พร้อมๆ ไปกับการเลี้ยงดูจุนเจือค่าใช้จ่ายในบ้าน

ชีวิตประจำวันของเด็กหญิงปุกในวันนั้นจึงเป็นการตื่นมาช่วยที่บ้านทำขนม พอเช้าตรู่ก็ไปโรงเรียน เลิกเรียนกลับบ้านมาทำขนมต่อถึงสี่ห้าทุ่มกว่าจะได้เข้านอน เข็มนาฬิกาชีวิตของเธอหมุนอยู่เพียงแค่เท่านี้ แต่แม้จะมีภาระอื่นที่ต้องโฟกัสแต่เธอก็เป็นเด็กเรียนดี สอบปลายปีเมื่อไหร่ก็ได้อันดับไม่เคยเกินที่ 1, 2 หรือ 3 

นอกจากเรื่องเรียนหนังสือและทำขนม เด็กหญิงปุกเป็นคนชอบทำกิจกรรม เธอร่วมแทบทุกกิจกรรมที่โรงเรียนมีทั้งดนตรีและกีฬา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการเล่นกีฬา เธอสนใจยิมนาสติก บาสเกตบอล แต่เธอจะฝันได้ไกลสักแค่ไหนเชียว เพราะเลิกเรียนเธอก็ต้องรีบกลับบ้านไปหยอดขนมแล้ว แถมเสาร์-อาทิตย์ก็ต้องไปช่วยแม่ขายขนมอีก 

“ตอนเด็กตอนที่เรียนหนังสือ แม่ชอบทำกิจกรรม ชอบเล่นกีฬา เล่นทุกอย่างเลย ทั้งบาส วอลเลย์บอล”

“แล้วได้เล่นแบดไหม” เราถามโดยเดาว่าน่าจะเป็นสิ่งที่เธอหลงใหลตั้งแต่ตอนนั้น

“ไม่ได้เล่น อยากเล่นแต่ไม่มีเงินซื้อไม้ ไม่มีเงินไปเช่าสนาม ตอนนั้นอยากเล่นแบด แต่มันไม่มีเงินจะเล่น ก็เลยเลือกเล่นกีฬาที่มันไม่ต้องใช้อุปกรณ์ ไม้แบดมันก็เป็นอุปกรณ์ ลูกแบดก็เป็นอุปกรณ์ เงินทั้งนั้นนะนั่น แต่ลูกบาส ลูกวอลเลย์บอล มันก็แค่ลูกเดียว หลายๆ คน แบ่งกันเล่นก็ได้ แม่เล่นยิมนาสติกด้วยนะ ถือว่าทำได้ดีนะตอนนั้นในระดับโรงเรียน ตอนนั้นครูบอกว่าครูจะให้เธอไปเรียนที่ กกท. เอาไหม ไอ้เราก็ไม่มีเงินซื้อชุดอีก ไม่มีเงินที่จะเดินทาง พ่อแม่ก็ไม่มีเวลาที่จะพาเราไปที่ กกท. ก็เลยจบไป”

จากแม่ค้าขายปลีกสู่การเป็นแม่ปุกขายส่ง

แม่ปุกในวันนั้นจึงไม่ได้เอาดีทางด้านกีฬา แต่เอาดีทางด้านขนมไทยแทน เพราะเป็นแหล่งรายได้ของครอบครัว 

กิจการขนมไทยของเธอและคุณแม่มีลูกค้ามากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยคุณภาพของสินค้าจนมีลูกค้ามายืนรอหน้าร้านก่อนร้านเปิดทุกวัน  ทองหยอดที่ขายได้เป็นวันละหลักร้อยลูกเขยิบมาเป็นหลักพัน จากวันละหลักพันขยับขึ้นมาเป็นหลักหมื่น

เมื่อกิจการขนมไทยมีแนวโน้มไปได้ดี แม่ปุกจึงสามารถเก็บเงินซื้อที่ดินเพิ่มเพื่อขยายเป็นโรงงานทำขนมไทยเล็กๆ ได้ในเวลาต่อมา

“ตอนนั้นแม่เช่าบ้านอยู่ซอยวุฒากาศ 56 พอทำไปเรื่อยก็เก็บเงิน เก็บเล็กผสมน้อย แล้วพอขายดีขึ้นที่ผลิตมันเริ่มไม่พอ เพราะเราก็คิดว่าถ้าเราอยากทำขนมมากขึ้น เราต้องมีคนงานมาช่วย มันก็จะอึดอัดไปหมด ที่มันเริ่มแคบสำหรับการมีคนงานเข้ามาในบ้าน คือจริงๆ ตอนนั้นแค่คนในครอบครัวก็พักกันไม่ค่อยจะพอแล้ว เพราะบ้านหลังนิดเดียว เราเลยซื้อที่ข้างหลังบ้านโดยที่ผืนนั้นก็แค่ข้ามคูหลังบ้านไปเองนั่นแหละ ใกล้ๆ บ้านเดิม ที่ตรงนั้นก็ 100 ตารางวา ก็สร้างเป็นที่ทำงาน คือจะเรียกโรงงานก็อาจจะไม่ได้ เพราะมันไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้น ก็มีคุณยาย แม่ปุก พี่น้องกันเอง หลักๆ ก็แค่นี้”

การทำขนมไทยนอกจากเรียกร้องทักษะและแรงกายแล้วมันยังพรากเวลาเธอไปจากครอบครัว และเมื่อคนรักของแม่ปุกไม่อยากให้เธอสูญเสียเวลากับครอบครัวไป จุดเปลี่ยนสำคัญจึงเกิดขึ้น

“คุณพ่อพี่เป้เขาฉลาด เป็นคนที่มีความรู้เรื่องช่างในหัว แกไม่ได้เรียนเยอะอะไรนะ แต่แกเป็นคนใฝ่รู้ ชอบทดลอง ประดิษฐ์ เมื่อก่อนแม่นี่นั่งหยอดทองหยอดทั้งวัน หยอดจนมือซีด แกก็นั่งดูแล้วมาคิดว่าเราจะทำยังไงให้มันเป็นเครื่องได้ แกก็ทำเครื่องจำลองการหยอดของแม่ขึ้นมา เอามอเตอร์มาใส่ จากวันนึงที่แม่ทำได้แค่หมื่นลูก หมื่นลูกนี่คือนั่งทำตั้งแต่เช้าถึงเย็นแล้วนะ ทำงานหนักมากแล้ว พอมีเครื่องนี่กลายเป็นว่าเราสามารถทำได้วันๆ นึงเป็นแสนลูกขึ้นไป ตอนนั้นเลยกลายเป็นว่า เราเป็นร้านที่ขายทองหยอดได้ดีที่สุดในประเทศไทยก็แล้วกัน ทุกคนต้องมาขอซื้อเราเพื่อไปขอติดยี่ห้อของตัวเอง” 

ทั้งที่ทางก็ใหญ่โตกว้างขวางขึ้น กำลังการผลิตก็เพิ่มขึ้น ลูกค้าก็ขยายฐานออกกว้างมากขึ้น จากเดิมที่เคยขายขนมแบบปลีกแค่ในตลาดเช้า กลายเป็นร้านขายส่งให้ร้านค้าระดับประเทศ

“คือใครอยากจะซื้อของเราไปติดยี่ห้อนี่ได้เลย เราเป็นผู้ผลิต เมื่อก่อนที่ขายทั้งในประเทศทั้งส่งออก คือไม่ได้ติดยี่ห้อตัวเองเลย อย่างลูกค้าเราก็มีร้าน พรชัย บางลำพู ปากคลองตลาดทั้งตลาด ปังเว้ยเฮ้ย ขนมบ้านสวย และร้านศรีฟ้าตรงแถวๆ เมืองกาญจน์ที่ดังเรื่องเค้กฝอยทอง”

หลังจากนั้นแม่ปุกจึงขยับขยายสร้างโรงงานผลิตขนมไทยบ้านทองหยอด จากเด็กหญิงปุกในจุดเริ่มต้นที่นั่งตอกไข่วันละ 50 ฟอง ก็กลายเป็นแม่ปุกของวงการขนมไทย สามารถซื้อที่ดินสร้างโรงงานขนมไทยบ้านทองหยอด มีลูกค้าขนมอยู่ทั่วประเทศ

“ทุกวันนี้เราใช้ไข่วันละแสนฟองขึ้นไปค่ะ ถ้าเป็นช่วงเทศกาลก็มากกว่านั้นอีก เลยแสนฟองต่อวัน ทีนี้เราก็เริ่มทำให้ครบวงจรเพิ่มขึ้น ลูกชายก็ใช้ที่ใกล้ๆ โรงงานที่เราไปสร้างใหม่ในการเลี้ยงเป็ด เพื่อให้เราได้ไข่ที่สดขึ้น เรียกได้ว่า พอไข่ออกมาจากก้นเป็ดก็เอามาทำขนมเลย สดแน่นอน ไม่มีสดกว่านี้แล้ว แต่ก็เลี้ยงเท่าที่เลี้ยงได้นะ ยังคงต้องซื้ออยู่ แต่ส่วนนึงคือเลี้ยงเองด้วย” 

อย่างที่ทุกคนคงได้เห็นในโซเชียลว่าทุกวันนี้หากอยากอุดหนุนขนมไทยบ้านทองหยอด พวกเราสามารถอุดหนุนแม่ปุกได้แล้วในร้านสะดวกซื้อชื่อดังทั่วประเทศ จากเด็กหญิงปุกที่ตื่นเช้ามาขายขนมในตลาดพลูกลายเป็นแม่ปุกที่ขายขนมไทยส่งทั่วประเทศแถมทุกคนสามารถซื้อขนมเธอได้ในร้านสะดวกซื้อชื่อดังกว่าหมื่นสาขาทั่วประเทศ

ในมุมธุรกิจ ชีวิตเธอก็ดูน่าจะมีความสุขและบทความนี้สามารถเขียนว่า จบบริบูรณ์ ได้แบบในนิทานก่อนนอนทั่วไป

แต่ชีวิตของเธอกลับไม่ได้ตั้งเป้าหมายเพียงแค่นั้น และนั่นเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เราเดินทางมาพบเธอในวันนี้

จากผู้ผลิตขนมไทยสู่ผู้ผลิตทีมชาติไทย

ว่ากันว่ามนุษย์เรามักตามหาสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ขาดหายไปในชีวิตอยู่เสมอ เช่น คนขาดทรัพย์มักตามหาเงิน คนอยู่ในวงการมายามักตามหาคนจริงใจ 

ไม่มีเงินที่จะซื้อไม้แบด

ไม่มีเงินที่จะซื้อลูกแบด 

ไม่มีเงินที่จะเช่าคอร์ตตีแบด

พอจังหวะชีวิตเริ่มอยู่ตัว มีโรงงานทำขนม มีสามีและลูกที่น่ารัก แม่ปุกจึงพยายามเติมหลุมในใจที่เคยมีตั้งแต่เด็ก นั่นคือการไปเล่นแบดมินตัน

“พอแม่มาทำงาน แต่งงาน มีลูก และพอมีเวลาว่างตอนเย็นๆ แบบสักทุ่มนึง ก็สามารถมีเวลาไปตีแบดเล่นกับเพื่อนๆ ได้แล้ว และลูกเราก็ชอบตีแบด เราก็พาเขาไปเล่นด้วย ตีไปตีมามีคนมาบอกเราว่าลูกคุณมีแววนะ ไอ้เราได้ยินแบบนี้ก็ฮึกเหิมสิ อยากผลักดันเขา อยากส่งให้เขาไปให้ได้ไกลที่สุด เพราะตอนเด็กๆ เราไม่มีโอกาส เราอยากเล่นแบดมินตัน เราอยากเล่นยิมนาสติก เราเล่นไม่ได้ ที่บ้านแม่ไม่มีเงินซื้อชุด

“พอมาถึงคราวลูกเรา เรามีปัญญาแล้วนี่ เราก็เอาสิ” จังหวะทิ้งท้ายประโยคของแม่ปุกฟังแล้วชวนปลุกใจ

โดยลูกที่แม่ปุกพูดถึง คือ เป้–ภัททพล เงินศรีสุข, เป๊ก–ภาณุวัฒก์ เงินศรีสุข และมุก–คณิศรา เงินศรีสุข

ซึ่งใครที่ติดตามวงการแบดมินตันอย่างใกล้ชิดย่อมรู้ว่าในเวลาต่อมาทั้งเป๊กและเป้ต่างเอาดีและจริงจังในเรื่องแบดมินตันจนติดทีมชาติและเป็นมือวางอันดับต้นๆ ของประเทศ ส่วนมุกเองก็ลงท้ายที่การไปเรียนวิชา Sport Management จากอเมริกาและได้กลับมาดูเมย์–รัชนก อินทนนท์ ในเวลาต่อมา

การสนับสนุนของแม่ปุกในยามนั้นเข้มข้นจริงจังขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่รู้เลยว่ามันจะนำไปสู่ปลายทางที่เปลี่ยนวงการแบดมินตันไทยไปตลอดกาล เธอเริ่มพาเป๊กและเป้ลูกชายทั้งสองไปตีแบดเป็นประจำกับเพื่อนๆ ที่มีลูกชอบตีแบดเหมือนกัน เริ่มจ้างโค้ชชาวไทยอย่างอาจารย์พรโรจน์ บัณฑิตพิสุทธิ์ มาฝึกสอนลูกๆ ก่อนจะเริ่มติดต่อจ้างโค้ชชาวจีนอย่างเซี่ยจื่อหัว มาสอนลูกๆ ผ่านสมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทยฯ

และเป็นธรรมดาของการเล่นกีฬาที่อยากจะเอาตัวเราไปประลองฝีมือกับคนอื่นดูบ้าง

“ตอนที่ลูกเริ่มเล่นแบดแล้วลูกยังไม่เก่งก็รวมตัวกันเป็นกลุ่มเล็กๆ 7-8 คน ทีนี้พอลูกเริ่มตีได้ ลูกก็อยากจะแข่ง พออยากจะแข่งแม่ก็จะไปสมัครแข่งให้ลูก ทีนี้กฎของสมาคมคือคนที่จะแข่งได้ต้องมีสโมสร มีสังกัด อ้าว แล้วแม่จะใช้สังกัดอะไร ในเมื่อตอนนั้นลูกแม่ยังไม่เก่งก็ยังไม่มีใครหรือสังกัดไหนให้ใช้ชื่อ แล้วเราจะทำยังไงเราถึงจะสมัครแข่งได้ 

“งั้นเราก็ตั้งสังกัดเองเลยสิ เราก็ไปสมัครเป็นสมาชิกสมาคมแบดมินตันเองเสียเลย แล้วมันต้องตั้งชื่อ ทีนี้ไม่รู้จะตั้งชื่อว่าอะไร เราก็ลองพูดๆ ชื่อไป เอาอันนั้นไหม อันนี้ไหม เพื่อนๆ ก็บอกว่าในเมื่อทุกคนก็เรียกเราว่า ‘บ้านทองหยอด’ อยู่แล้ว เราก็ใช้ชื่อนี้แหละ ไม่ต้องตั้งใหม่เลย

“เราก็เลยใช้ชื่อว่า บ้านทองหยอด”

พอเริ่มเป็นชมรมแบดมินตันและได้ตระเวนพาลูกไปแข่ง สองพี่น้องจากชมรมแบดมินตันบ้านทองหยอดเฉิดฉายในวงการแบดมินตันไทยได้อย่างร้อนแรง และเป็นกำลังสำคัญของกีฬาแบดมินตันชายไทยในตอนนั้น

“เมื่อก่อนตอนที่ชิงกันชายคู่เนี่ย จะเป็นคู่พี่เป้กับพี่เต่า–สุดเขต ประภากมล ที่ได้ที่ 1 แล้วก็มีคู่พี่เป๊กกับ ณัฐพล นาคทอง หรือ ทรงพล อนุกฤตยาวรรณ คือ 4 คู่ในรอบรองชนะเลิศประเภทคู่ 8 คนเป็นนักกีฬาของบ้านทองหยอดไปแล้ว 7 คน ตอนนั้นถือว่าดังมาก ซึ่งตอนหลังพี่เป๊กเลิกเล่นก่อนพี่เป้เพราะมันตันตรงพี่เป้นี่แหละ ทำยังไงก็ไม่ผ่านเป้ ไม่ชนะเป้สักที เป็นที่มาที่ไปว่า ทำไมพี่เป้ได้บริหารโรงเรียนแบดมินตันบ้านทองหยอด ส่วนพี่เป๊กไปบริหารโรงงานทำขนม 

“เพราะคุณถนัดตรงนั้น เขาถนัดไม่เหมือนกัน”

เบิกทางวงการแบดมินตันไทยสู่ระดับโลก

นอกจากการผลักดันให้ลูกได้ฝึกซ้อม จัดตั้งชมรมแบดมินตันบ้านทองหยอดขึ้นมา เราอาจจะเรียกได้ว่าแม่ปุกเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงที่สำคัญยิ่งคนหนึ่งของการนำพาและเชื่อมต่อให้ทีมแบดมินตันไทยได้โค้ชจากประเทศที่เก่งอันดับต้นๆ ของโลกอย่างประเทศจีนมาเทรนนักกีฬาไทย

“พอจบรุ่น 15 ปี แม่ส่งเป้กับเต่าไปฝึกซ้อมกับกับทีมชาติจีน โดยโค้ชเซี่ยเป็นคนส่งไป เพราะเขาเคยอยู่ทีมชาติจีนมาก่อน เขาก็มีคอนเนกชั่นกับทีมชาติจีน ก็เลยฝากทางนั้นว่าขอให้ลูกศิษย์ไปซึมซับบรรยากาศไปซ้อมด้วย 1 เดือน คือไปถึงสู้เขาไม่ได้เลยนะ แม้กระทั่งตีกับผู้หญิง เพราะเมื่อก่อนประเทศเราซ้อมเบากว่าเขา เขาก็ให้ไปซ้อมและให้โค้ชที่ชื่อโค้ชหลิวมาดูแลความสะดวกช่วงที่อยู่จีน

“พอกลับมาปุ๊บแม่มาเล่าให้ท่านกร ทัพพะรังสี ฟังซึ่งตอนนั้นท่านเป็นนายกสมาคมแบดมินตันแห่งประเทศไทย ก่อนจะไปเป็นนายกสมาคมแบดมินตันโลก ท่านกรถามว่าแล้วเราต้องการแบบไหน ต้องการให้โค้ชจีนมาสอนที่เมืองไทยเลยไหมล่ะ เด็กไทยคนอื่นๆ ก็จะได้การฝึกซ้อมจากโค้ชจีนด้วย คือถ้าเราส่งเป้กับเต่าไปอยู่จีนซึ่งใช้เงินปริมาณเท่าๆ กัน แต่เราฝึกนักกีฬาไทยได้แค่ 2 คนเท่านั้นเอง ท่านกรก็แนะนำมาอย่างนั้น เราก็เลยว่า งั้นเอาตามแบบที่ท่านกรว่า คือเอาโค้ชจีน 2 คนมาช่วยที่ไทย”

การนำเอาโค้ชจีนมาจัดระบบและฝึกซ้อมให้นักกีฬาแบดมินตัน ถือเป็นการนำเข้าเอาระบบฝึกที่เข้มข้นแบบนักกีฬาระดับโลกเข้ามาสู่ประเทศไทย และอาจกล่าวได้ว่านั่นคือจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่ทำให้วงการแบดมินตันไทยก้าวเท้าข้างหนึ่งเข้าสู่เวทีแบดมินตันโลก

ที่ดิน 5 ไร่ เงิน 500,000 และหนี้ร้อยล้าน

ด้วยชื่อเสียงของชมรมกีฬาแบดมินตันบ้านทองหยอด จำนวนนักกีฬาที่มาร่วมซ้อมก็ขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ จนมีนักกีฬาในสังกัด 70 คน จำเป็นต้องไปเช่าหอประชุมโรงเรียนอัสสัมชัญ ธนบุรีเพื่อฝึกซ้อม แต่หลังจากนั้นสถานที่ฝึกซ้อมก็เริ่มไม่เพียงพอ ประกอบกับโรงเรียนเองจำเป็นต้องใช้หอประชุมในการทำกิจกรรมอื่นๆ ของโรงเรียน แม่ปุกจึงเริ่มคิดการใหม่และคิดการใหญ่ โดยเธอตั้งใจสร้างสถานที่เพื่อฝึกซ้อมแบดมินตันเองเสียเลย

แต่การจะสร้างคอร์ตแบดให้เพียงพอจำนวนนักกีฬาแบดมินตันในตอนนั้นก็ต้องมีพื้นที่ที่กว้างขวางเพียงพอ

“ตอนนั้นก็มาเจอที่ดินผืนนี้ที่ราคาที่แม่จ่ายไหว แล้วการได้ที่มานี่ก็เหลือเชื่อและเหนือจริงมาก คือเจ้าของที่เขาโดนจับตัวไปเพราะเป็นหนี้ แล้วเขาก็บอกนายหน้าของแม่ว่าถ้าหาเงินมาให้เขาได้ 500,000 บาทตอนนี้ เดี๋ยวเขาจะขายที่ให้ นายหน้าแม่ก็โทรมาหาแม่ว่า เชื่อใจไหม ลองดูไหม ถ้าเอาเงิน 500,000 ไปให้เขา เขาจะขายที่ให้เราในราคาที่เคยคุยกันว่าแม่จ่ายไหว แม่ก็เลยเอาเงินไปให้เขาเดี๋ยวนั้นเลย 500,000 แม่เลยได้ที่ตรงนี้มาในราคาที่ไม่น่าจะเป็นไปได้”

สุดท้ายพื้นที่กว่า 5 ไร่จึงกลายเป็นของเธอในราคาที่ถูกกว่าราคาปกติ หากแต่การสร้างคอร์ตแบดมินตันจำเป็นต้องใช้เงินอีกก้อนใหญ่ แม่ปุกจึงยอมเป็นหนี้กว่าร้อยล้าน ไปกู้เงินจากธนาคารเพื่อลงทุนสร้างอาคารและคอร์ตแบด รวมถึงเอาเงินมาเป็นทุนในการบริหารจัดการ ลงทุนจ้างโค้ชแบบเต็มเวลามาสอนนักกีฬา และลงทุนพานักกีฬาไปแข่งต่างประเทศเพื่อเก็บประสบการณ์ตั้งแต่อายุยังน้อย

จากเรื่องราวที่เล่าจะพบว่าไม่มีขั้นตอนใดที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ กว่าจะกลายมาเป็นโรงเรียนแบดมินตันบ้านทองหยอด 

“แล้วตอนจะสร้างตรงนี้มันเป็นเขตพื้นที่สีเขียว เขาอนุญาตให้สร้างได้เฉพาะโรงพยาบาลและโรงเรียน แม่เลยสร้างที่นี่และทำเรื่องขอให้ที่นี่เป็นโรงเรียน จากชมรมกีฬาแบดมินตันบ้านทองหยอด เลยกลายเป็น โรงเรียนแบดมินตันบ้านทองหยอดอย่างทุกวันนี้”

โค้ชที่ดีคือโค้ชที่ดี

วันนี้ เป้ ภัททพล ลูกชายคนโตของแม่ปุกหรือที่ทุกคนในประเทศต่างเรียกเขาว่า ‘โค้ชเป้’ ถือเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองสำคัญของโรงเรียนแบดมินตันบ้านทองหยอด

เขาคือโค้ชผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จและผู้ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ในสนามของแชมป์โลกทั้งสองคน ทั้งเมย์ รัชนก และวิว กุลวุฒิ

“ตอนที่เขาดูแลน้องเมย์ รัชนก แล้วมีอยู่ช่วงนึงน้องเมย์ไม่นิ่ง เป้เขายอมไปบวชเลยที่วัดเทวราชกุญชรฯ ไปบวชเพื่อเรียนรู้การทำสมาธิ เขาไปเรียนรู้กับอาจารย์ที่สอนนั่งวิปัสสนา เขาอยากจะรู้ว่าทำยังไงถึงจะมีสมาธิ บวชไปพรรษานึงเต็มๆ พอเขาสึกมาเขาก็กลับมาคุมเมย์ ได้มาสอนน้องเมย์ช่วง 3 แชมป์พอดีเลย

“มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เมย์เขาตีผิดฟอร์ม คำว่าผิดฟอร์มก็คือปกติตีกับมือแบบนี้เขาต้องชนะอยู่แล้ว แต่เขาก็แพ้ สรุปคือเมย์เขาจัดการกับตัวเองไม่ได้ เป้เขาก็เอาตรงนี้มาสอนเมย์ เวลาเมย์ไม่มีสมาธิ เวลาสมาธิหลุด เขาต้องจัดการกับตัวเองยังไง ช่วงนั้นก่อนลงสนามเมย์จะนั่งสมาธิก่อน ก่อนที่จะวอร์ม ซึ่งตรงนี้เขาได้รับการถ่ายทอดมาจากโค้ชเป้”

เรื่องการที่คนเป็นแม่ไปจัดตั้งชมรม ไปกู้เงินร้อยล้าน ไปจัดหาโค้ชจากจีนก็ว่าสุดทางแล้ว เรื่องลูกชายทุ่มเทกับการเป็นโค้ชถึงขั้นสละเวลาและชีวิตส่วนตัวไปบวชเพื่อเรียนรู้การทำสมาธิ แล้วเอามาส่งต่อให้กับนักกีฬาก็เป็นเรื่องสุดทางอีกเรื่องของคนเป็นลูกและเป็นโค้ชเช่นกัน

แต่การพัฒนาก็ไม่มีคำว่าสิ้นสุด จากการสอนเมย์ รัชนกในวันนั้นเรื่องการจัดการสมาธิ สู่สีหน้าที่ยิ้มแย้มผ่อนคลายข้างสนามเมื่อดูแลวิว กุลวุฒิในวันนี้ โค้ชเป้ได้พัฒนาและเรียนรู้เรื่อยมาจากประสบการณ์ทั้งสิ้น

“ตอนน้องเมย์เราไม่รู้ว่าเราต้องรับมือยังไง เพราะเราไม่เคยดูแลนักกีฬาระดับโลก พอตอนวิวเรารู้แล้ว เราก็ดูแลเขาด้วยความผ่อนคลาย ทำให้เขาผ่อนคลายมากขึ้นไปอีก เราเอาทุกอย่างที่เราเรียนรู้จากเมย์มาใช้กับวิว”

วิชาบางอย่างเขาว่ากันว่าเรียนรู้กันเอาเองด้วยตัวเองก็ได้ แต่กับบางเรื่องเราจำเป็นต้องมีครู จำเป็นต้องมีโค้ชเพื่อคอยชี้แนะแนวทางให้เราเดินไปทั้งในและนอกสนาม 

ไม่ว่าจะในสนามกีฬาและสนามชีวิต โค้ชที่ดีคือสิ่งสำคัญ

นับหนึ่งถึงโอลิมปิก

ภาพที่เห็นในวันนี้นั้นสวยงาม ทุกคนต่างชื่นชมชอบพอในทุกอย่างที่โรงเรียนแบดมินตันบ้านทองหยอดทำ แต่มองย้อนกลับไปวันแรกที่ก่อตั้งโรงเรียน หรือแม้แต่ก้าวแรกที่ก่อตั้งขึ้นมาเป็นชมรมไม่ว่าจะมองมุมไหนการยอมเป็นหนี้กว่าร้อยล้านเพื่อมาลงทุนกับสิ่งที่มองไม่เห็นว่ามันจะงอกเงยออกมาเป็นดอกผลตามที่เราตั้งใจไว้หรือไม่ก็ดูเป็นความเสี่ยงมหาศาล

สิ่งที่เราสงสัยคือเธอเห็นภาพปลายทางอยู่แล้วไหมว่าวันหนึ่งผลตอบแทนของสิ่งที่ทำจะเป็นสิ่งที่เราเห็นกันในวันนี้

“ใช่ เห็นตั้งแต่วันแรกเลย มันเป็นเป้าหมายของแม่อยู่แล้ว ตั้งแต่วันแรกที่สร้างที่นี่ อยากสร้างนักกีฬาของไทยให้ไปสู่ระดับโลก ระดับโอลิมปิก และก็หวังว่าอยากจะได้เหรียญโอลิมปิก

“แม่เคยพูดกับหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเอาไว้ แม่อาจจะต้องไปหาหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นมา ไม่รู้ว่าเก็บไว้ที่ไหน เขาถามว่าแม่คิดยังไงถึงมาสร้างโรงเรียนแบดมินตัน วันนั้นที่เขาถามบ้านทองหยอดยังไม่มีแชมป์ในระดับโลกเลย เรามีแต่แชมป์ในระดับประเทศ แต่เราฝันไกล คือตอนนั้นถ้าเราจะพูดว่านักกีฬาไทยจะไปหยิบเหรียญโอลิมปิกในแบดมินตันเนี่ย คือมันยังมองไกลอยู่ เพราะฉะนั้นเป้าหมายของแม่คือ สร้างนักกีฬาดีๆ เหล่านี้ให้มีโอกาสไปให้ถึงตรงนั้น”

จากหนี้สินร้อยล้านที่แม่ปุกกู้มาในวันนั้น วันนี้แม่ปุกสามารถใช้เงินคืนธนาคารจนหมดสิ้นแล้ว แต่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหากเธอไม่ตัดสินใจทำโรงเรียนในวันนั้นแล้วเอาเงินไปลงทุนทำอย่างอื่น มันอาจให้ผลตอบแทนในแง่เงินทองที่มากกว่าอย่างเทียบกันไม่ได้ ยังไม่นับเรื่องเวลาที่ใช้ไปซึ่งถือเป็นสิ่งที่ตีมูลค่าไม่ได้

แล้วสิ่งที่เธอได้ตอบแทนคืออะไร มันคุ้มไหมกับสิ่งที่เธอได้รับกลับมาในวันนี้–เราสงสัย

“เราได้ใจ ถามว่าคุ้มไหม ไม่รู้เหมือนกันว่าจะตอบยังไงดี เพราะแม่ไม่ใช่นักธุรกิจ ไม่ได้มองกีฬาเป็นธุรกิจ แม่มองว่ามันคือความรู้สึกที่ดีที่เราได้มันกลับมา ตอนแม่เด็กบ้านแม่จน ไม่มีเงิน อยากเปิดโรงเรียนเพราะตอนเด็กๆ ชอบเรียนหนังสือแต่ก็ไม่มีโอกาสได้เรียนสูงๆ เหมือนคนอื่น วันนี้ก็ได้เปิดโรงเรียน ตอนเด็กๆ อยากตีแบดก็ไม่ได้ตีเพราะไม่มีเงินซื้ออุปกรณ์ วันนี้ก็ได้ทำโรงเรียนแบดมินตัน 

“วันนี้แม่ทำให้เด็กคนอื่นที่ไม่มีเงินไม่ต้องมาอดเล่นแบดเหมือนแม่ ถ้าไม่มีเงินเหรอ มาสิ เดี๋ยวเราดูแลให้ 

“อย่างนี้เรียกว่าคุ้มไหม”