ศิลปะการบริหารความเสี่ยงให้เป็นความสุขฉบับ ‘มุก’ แห่ง ATT 19 อาร์ตสเปซที่เข้าถึงทุกคน

หากใครเคยแวะเวียนมาในซอยเจริญกรุง 30 นอกจากจะพบกับการผสมผสานกันอย่างลงตัวของความคลาสสิกและความสมัยใหม่ตลอดเส้นทางแล้ว อีกหนึ่งสถานที่ที่เป็นเอกลักษณ์ของย่านนี้คืออาคารเก่าอายุ 130 ปี ที่มีความเก๋าและเก๋ซ่อนอยู่

เมื่อผลักประตูไม้ลายเทพจีนสุดวินเทจ อาคารแสนเก๋แห่งนี้ยิ้มต้อนรับเราด้วยโซนขายของเก่าและวัตถุโบราณ ทั้งของตกแต่งบ้าน ชั้นวางเครื่องประดับ ไปจนถึงราวเสื้อผ้าวินเทจ ที่เด่นเป็นสง่าที่สุดของพื้นที่ชั้น 1 นั้น คือพื้นที่ตรงกลางที่เปิดให้แสงอาทิตย์สาดส่อง เกิดเป็นแสงเงาระยับเพราะต้นไม้ที่รายล้อม หากก้าวเท้าขึ้นไปยังชั้น 2 จะพบกับพื้นที่จัดแสดงงานศิลปะร่วมสมัย ที่เปิดให้ศิลปินหน้าใหม่หรือศิลปินที่ยังไม่ค่อยมีใครรู้จักได้ขับเคลื่อนประเด็นบางอย่างในสังคม 

เรากำลังพูดถึง ATT 19 อาร์ตสเปซของ มุก–พรทิพย์ อรรถการวงศ์ Creative Director ผู้ดูแลแกลเลอรี ATT 19 ที่ตั้งใจให้ทุกคนรู้สึกว่าศิลปะนั้นเข้าถึงง่าย หากใครเคยแวะเวียนมา ไม่ว่าจะด้วยความบังเอิญหรือตั้งใจ อาจเคยพูดคุยกับเธออยู่บ้าง เพราะมุกชอบมาเดินดูความเรียบร้อยของแกลเลอรีด้วยตัวเองเกือบทุกวัน และชอบทำความรู้จักผู้คนที่แวะเวียนเข้ามา จนบางคนเปลี่ยนสถานะจากลูกค้าเป็นเพื่อนของเธอเลยด้วยซ้ำ 

แรกเริ่มพ่อแม่ของมุกซึ่งเป็นเจ้าของร้าน Lek Gallery ร้านขายของแอนทีกเก่าแก่ที่อยู่คู่เจริญกรุงมานานไม่ได้นึกฝันว่าอาคารเก่าแก่แห่งนี้จะกลายมาเป็นพื้นที่ศิลปะ แต่เป็นเพียงอีกสาขาหนึ่งของร้านขายของเก่าของครอบครัวเท่านั้น แต่เมื่อมุกต้องกลับเข้ามาบริหาร ATT 19 จึงเป็นมากกว่านั้น 

เอกลักษณ์ของที่นี่คือการไม่เก็บค่าเข้าชม และไม่คิดค่าเช่าพื้นที่แก่ศิลปินที่มาจัดแสดง ซึ่งย้อนแย้งกับต้นทุนทางการจัดนิทรรศการที่สูงจนน่าขนลุก ทั้งยังต้องเผื่อใจสำหรับเหตุการณ์น่าเศร้าอย่างการที่ผลงานเสียหายจากการเข้าชมซึ่งก่อนหน้านี้เคยเป็นข่าวใหญ่

สิ่งเหล่านี้ถือเป็นความเสี่ยงที่ธุรกิจแกลเลอรีต้องแบกรับหรือไม่? นี่คือคำถามที่เราสงสัย

ในบ่ายวันธรรมดาที่ ATT 19 คนไม่พลุกพล่านเท่าวันหยุด เราถือโอกาสมาเดินดูนิทรรศการใน ATT 19 และชวนมุกมาพูดคุยถึงแนวคิดในการปลุกปั้นอาร์ตสเปซแห่งนี้ ให้เป็นพื้นที่ที่ทุกคนเข้าถึงงานศิลปะได้มากขึ้น ไปจนถึงการบริหารธุรกิจภายใต้ความเสี่ยง ว่าเธอสู้กับความเสี่ยงเหล่านี้ได้ยังไงกัน

ทั้งที่มีโอกาสอื่นๆ มากมาย ทำไมตอนนั้นคุณถึงเลือกนำตึกเก่ามารีโนเวตเป็นอาร์ตสเปซ

พื้นที่นี้เคยเป็นตึกเก่าของโรงเรียนอาทรศึกษาซึ่งเป็นโรงเรียนสอนภาษาจีนที่กำลังจะปิดตัวลง แล้วเขาเห็นพ่อเราเปิดร้านขายของแอนทีกอยู่ใกล้ๆ กัน เขาคิดว่าพ่อน่าจะชอบตึกเก่านี้แน่เลย เขาเลยอยากให้พ่อเข้ามาดูแลพื้นที่นี้ต่อ แต่มีเงื่อนไขว่าถ้าพ่อได้มาต้องอนุรักษ์มันไว้นะ ห้ามทุบตึกทิ้งเด็ดขาด

พ่อก็รับปากและอยากให้เรากลับมาดูแลพื้นที่ตรงนี้ เพราะเขาก็มีร้านของเขาเองอยู่แล้ว เขาเลยรีโนเวตตึกนี้ให้เป็นสัดส่วนมากขึ้น แต่ยังคงอนุรักษ์เค้าโครงเดิมเอาไว้ เช่น ไม้สักอายุร่วม 130 ปี โครงคานเพดานก็ใช้อันเดิม พอมันเป็นตึกเก่าก็จะมีเสน่ห์ของมัน ที่ช่วยสร้างความประทับใจแรกให้คนที่แวะเวียนมาได้ และเขาจะจำได้ทันทีว่านี่แหละคือ ATT 19 ซึ่งพื้นที่แห่งนี้ก็ถือเป็นธุรกิจที่ 4 ของครอบครัวมุกด้วย

อะไรที่ทำให้คุณตัดสินกลับมาทำธุรกิจของครอบครัว

มุกว่าคนที่เป็นทายาทธุรกิจ จะรู้ตัวอยู่แล้วว่าเราต้องกลับมาดูแลอะไรบางอย่างของที่บ้าน แต่ทุกคนจะมีช่วงเวลาวิ่งหนี ซึ่งช่วงเวลาวิ่งหนีของมุกคือตอนที่เราไปเรียนต่อที่นิวยอร์ก และทำงานเป็นดีไซเนอร์อยู่ที่นั่นเลย เราอยากให้ที่บ้านเห็นว่าเราทำงานหาเลี้ยงตัวเองได้นะ

จนวันนึง พ่อโทรมาหาเราแล้วบอกว่า ‘กลับบ้านเราเถอะลูก’ แล้วเขาก็เล่าให้ฟังว่าเขาได้พื้นที่ตรงนี้มานะ ข้างหลังตึกนี้เขาตั้งใจจะสร้างเป็นสตูดิโอที่มีพื้นที่ให้มุกกลับมาทำงานแฟชั่นที่มุกรักได้เลย และยังมีพื้นที่ให้พี่สาวของมุกคือ พี่เชอ–พันธ์ทิพย์ อรรถการวงศ์ ได้เปิดเป็นร้านอาหารซึ่งต่อมาคือร้าน MadBeef

ตอนนั้นเราฟังแล้วก็รู้สึกว่าพ่อไม่ได้บังคับให้เราทำในสิ่งที่เขาคิด แถมยังเตรียมพื้นที่ให้เรากลับมาทำตามความฝันอยู่ด้วยซ้ำ แล้วเราก็จากพ่อจากแม่มานาน ท่านก็แก่ขึ้นทุกวัน พอมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เราก็เหมือนพลาดช่วงเวลาดีๆ ที่ได้อยู่กับท่านไป เลยคิดว่า ‘นี่แหละ เราต้องกลับบ้านแล้ว’

พอได้มาบริหารธุรกิจนี้ด้วยตัวเอง คุณตั้งใจให้ ATT 19 เป็นแบบไหน

เราเริ่มจากว่าในไทยยังไม่ค่อยมีพื้นที่ให้คนได้เข้าถึงงานศิลปะมากนัก ถ้ามีก็มักจะคิดเงินค่าเข้า ด้วยความที่เราคลุกคลีกับของเก่ามาตั้งแต่เด็กเราก็อยากให้ทั้งวัตถุโบราณและงานศิลปะเป็นสิ่งที่ผู้คนเข้าถึงได้ง่าย

เราเลยวางโมเดลธุรกิจของ ATT 19 ว่าให้ชั้น 1 เป็นโซนขายของเก่าที่ดูจับต้องได้ แตกต่างจากร้านพ่อแม่ที่เป็นงานแอนทีกจริงจัง อย่างประติมากรรมหรือของที่มีเรื่องเล่าทางประวัติศาสตร์ แต่ของใน ATT 19 เราอยากให้เป็นโซนที่รวบรวมความชอบของเราเอาไว้ และคิดว่าน่าจะมีคนชอบอะไรเหมือนเรา เลยจะเห็นว่ามีทั้งของตกแต่งบ้าน เช่น ตุ๊กตาญี่ปุ่น แจกัน และมีราวเสื้อผ้าวินเทจ เพราะเราก็ชอบใส่ชุดวินเทจด้วย

ส่วนชั้น 2 เราก็ทำเป็นแกลเลอรีจัดแสดงนิทรรศการต่างๆ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป เพราะเราอยากให้มีพื้นที่ที่คนได้มาเรียนรู้งานศิลปะจริงๆ อย่างเด็กที่เรียนสถาปัตยกรรม เด็กที่เรียนโปรดักต์ดีไซน์ นักเรียน นักศึกษาในสาขาอื่น หรือคนทั่วไปก็จะเข้าถึงงานศิลปะได้แบบฟรีๆ มุกถึงเลือกไม่เก็บค่าเข้าชมสักบาท

ในอีกมุมนึงมุกก็อยากให้มันเป็นพื้นที่ที่ศิลปินตัวเล็กๆ หรือศิลปินหน้าใหม่สามารถมาแสดงผลงาน และพูดในสิ่งที่ขับเคลื่อนสังคมได้อย่างเต็มที่ มุกเลยเลือกไม่เก็บค่าเช่าพื้นที่ซึ่งจริงๆ ทุกวันนี้มันต่างจากไอเดียแรกที่คิดไว้นิดหน่อยคือ ตอนแรกมุกตั้งใจจะเปิดพื้นที่นี้แล้วทำงานแฟชั่นไปด้วย แต่พอทำไปจนมันเริ่มเข้าที่เข้าทาง มุกก็รู้ว่ามุกทำอะไรในพื้นที่นี้ได้บ้าง แล้วมันให้อะไรกับใครบ้าง 

มันเหมือนมุกได้มาเจอความรับผิดชอบและความหมายในชีวิตจากการทำธุรกิจนี้ ตอนนี้สตูดิโอเย็บผ้าของมุกเลยกลายเป็นที่เก็บของไปแล้วค่ะ (หัวเราะ)

อะไรคือความรับผิดชอบและความหมายในชีวิตที่คุณพูดถึง

ความรับผิดชอบของมุกมีทั้งในฐานะอาร์ตสเปซ คือการสร้างแรงบันดาลใจและได้เปิดพื้นที่ให้คนมาศึกษาหาความรู้ ศิลปินเองก็มีพื้นที่ได้มาปล่อยของและเป็นที่รู้จักมากขึ้น รวมถึงได้นำเสนอความเป็นไทยให้คนในประเทศและต่างชาติได้รู้จัก และในฐานะธุรกิจที่อยู่ในย่านเจริญกรุง มุกจะทำสิ่งที่ต้องไม่รบกวนคอมมิวนิตี้ในย่านนี้ แต่มุกอยากทำธุรกิจที่ชุบชีวิตให้ย่านนี้คึกคักและเต็มไปด้วยงานศิลปะ

สิ่งที่มุกทำมันมาจากความเชื่อที่ว่า ‘เราจะไม่มีวันได้รับ ถ้าเราไม่รู้จักการให้ก่อน’ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่มุกเปิดพื้นที่ตรงนี้ให้คนเข้ามาชมฟรีๆ ซึ่งมุกมีความสุขกับสิ่งนี้ มันจึงมีความหมายกับชีวิตมุกมาก

การไม่เก็บทั้งค่าเข้าและค่าเช่าพื้นที่ ถือเป็นความเสี่ยงที่จะทำให้ธุรกิจนี้ไม่ทำเงินไหม

เสี่ยงหรือไม่เสี่ยง มันขึ้นอยู่กับว่าเรารับความเสี่ยงนี้ได้ไหม แล้วเรามองมันแบบไหน

อย่างเรื่องการไม่เก็บค่าเข้าและค่าเช่าพื้นที่ มุกมองว่ามันไม่ใช่ความเสี่ยง เพราะมุกตั้งใจให้ ATT 19 เป็นพื้นที่ที่คนเข้าถึงได้ นั่นแปลว่าถ้าเราเก็บค่าเข้ามันไม่ใช่ทุกคนที่จะจ่ายได้ ยิ่งที่นี่อยู่ไม่ไกลโรงเรียนก็จะมีน้องๆ ใส่ชุดนักเรียนมาเดินบ่อย หรืออย่างนักศึกษาก็มาเพื่อสเกตช์ภาพผลงาน ถ้าเราเก็บค่าเข้าเขาอาจจะมาใช้พื้นที่ตรงนี้เพื่อเรียนรู้ไม่ได้แล้ว

เราเลยต้องหาวิธีทำเงินจากทางอื่นแทน เรามีคาเฟ่ข้างๆ แกลเลอรี ที่บางทีน้องๆ มาแล้วเขาก็ช่วยอุดหนุนเรา หรืออย่างชั้นล่างเราก็ขายของตกแต่งบ้าน ขายเสื้อผ้าวินเทจของเราไป และชั้นบนก็จัดแสดงผลงาน ซึ่งมุกไม่เก็บค่าเช่าพื้นที่ แต่ใช้วิธีการหักค่าคอมมิชชั่นเมื่อผลงานขายได้ ถ้าเป็นศิลปินรุ่นใหญ่จะหัก 40% ศิลปินรุ่นเล็กเราหักแค่ 30% ซึ่งน้อยกว่าแกลเลอรีอื่นที่จะหัก 50%

ส่วนงานศิลปะที่เราเลือกมาจัดแสดง เราจะคิดไปก่อนเลยว่าอาจจะขายไม่ได้เลยนะ เราโอเคที่จะจัดแสดงใช่ไหม เพราะการจัดนิทรรศการทีนึงเราเสียเป็นหมื่นเป็นแสน ถ้าตอนนั้นเรามองว่าการขายไม่ได้คือขาดทุน คือความเสี่ยง มันก็จะกลายเป็นพื้นที่ที่สร้างรายได้ แต่อาจไม่สร้างประโยชน์เท่าที่ควร เราเลยมองว่าถ้ามันขายไม่ได้ แต่ผลงานเหล่านี้มันให้อะไรบางอย่างกับสังคม มันได้พูดในเรื่องที่ควรพูด 

มันก็คุ้มค่าที่จะลงทุน

อย่างนั้นอะไรบ้างที่คุณมองว่าเป็นความเสี่ยงของธุรกิจนี้

มุกมองความเสี่ยงเป็น 2 เรื่องคือ ‘ความเสี่ยงเรื่องชื่อเสียง’ และ ‘ความเสี่ยงเรื่องเงิน’

ความเสี่ยงเรื่องชื่อเสียงที่มุกพูดถึง คืออย่างบางแกลเลอรี เขาจะหลีกเลี่ยงการจัดแสดงงานในเรื่องละเอียดอ่อน นั่นก็เป็นแนวคิดของเขาซึ่งไม่ผิด เพราะมันก็เสี่ยงจริงๆ แต่ที่ ATT19 แกลเลอรีของมุกถ้ามุกมองว่ามันเป็นเรื่องที่ควรพูดก็จะจัดแสดงอยู่ดี

ยกตัวอย่างที่เราเคยโชว์ผลงานของพี่เอดด้า–พันเลิศ ศรีพรหม ที่นำจีวรพระมาสร้างสรรค์เป็นงานศิลปะ เพื่อจะสื่อสารว่าศาสนาเป็นเรื่องธรรมชาติที่อยู่ได้ในทุกอย่างของชีวิตเรา แม้แต่งานศิลปะ เราก็มองว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งสวยงาม เรื่องที่เขาพูดมันก็สอดคล้อง แมตเทอร์กับสังคม ซึ่งพอจัดแสดงงานนี้ก็มีจดหมายเตือนมานะ แต่ขณะเดียวกันก็มีการพูดถึงงานนี้ในแง่มุมที่ดีและคิดว่ามันน่าจะสร้างการเปลี่ยนแปลงในสังคมได้

ส่วนความเสี่ยงเรื่องเงินมีทั้งการจัดงานนิทรรศการ ที่ใช้งบประมาณค่อนข้างมาก ไหนจะต้องสั่งผลิตแท่นวางผลงาน ของตกแต่งนิทรรศการ ไหนจะมีค่าติดตั้ง ต้องมี Art Handler หรือผู้ดูแลงานศิลปะอีก ซึ่งมุกโชคดีที่มีทีมงานจากธุรกิจที่บ้านมาช่วยดู ทำให้เราคุมงบประมาณตรงนี้ได้

แต่ก็ยังมีปัญหาเรื่องที่พอจัดแสดงผลงานเสร็จ เราต้องแพ็กของส่งคืนศิลปิน หลายๆ ชิ้นก็เปราะบางมาก เราแพ็กไปดียังไงก็จะมีบางครั้งที่ของแตกเสียหาย แล้วในบ้านเราประกันงานศิลปะมันไม่ได้ชดเชยค่าเสียหายครอบคลุมขนาดนั้น อาจจะเพราะว่างานศิลปะไม่มีราคาตายตัว แถมมูลค่าก็สูงขึ้นเรื่อยๆ แกลเลอรีก็ต้องเจอกับความเสี่ยงที่มันเซอร์ไพรส์เราอยู่ตลอดเวลา

เรื่องงานศิลปะเสียหาย ขอย้อนกลับไปช่วงที่มีคนชนแจกันในแกลเลอรีของคุณจนเป็นข่าวใหญ่ ช่วยเล่าให้ฟังได้ไหมว่าตอนนั้นคุณรู้สึกยังไง

โห วันนั้นมันแย่มากจริงๆ เราร้องไห้หนักมาก 

เหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นในงานศิลปะการจัดวางดอกไม้ที่ชื่อว่า ‘กันและกัน’ (Each Other’s) งานนี้เราจะเลือก 12 ครีเอทีฟจากหลากหลายสาขาวิชามาจับคู่กับ 12 ศิลปินจัดดอกไม้ แล้วจัดแสดง 2 สัปดาห์ ให้เห็นตั้งแต่ช่วงที่ดอกไม้สดใหม่ ไปจนถึงดอกไม้เริ่มเหี่ยวเฉา เพราะเราอยากให้คนได้ซึมซับเรื่องราวและเห็นว่าสิ่งของและดอกไม้แต่ละช่วงเวลาก็มีความสวยงามเฉพาะตัวของมัน เหมือนกับเราที่เติบโตมาจากบ้านที่ขายของเก่า เลยชอบอะไรที่สึกหรอตามกาลเวลา

งานนี้มีคนเข้ามาดูผลงานเยอะที่สุดตั้งแต่เราเปิด ATT19 มา คือเกินวันละ 200 คน ด้วยความที่เราเป็นธุรกิจครอบครัว มีทีมงานไม่มาก ทำให้เราไม่สามารถดูแลได้อย่างทั่วถึง แล้วก็มีคนชนแจกันของศิลปินชื่อโม จิรชัยสกุล แตกเป็นเสี่ยงๆ ดอกไม้กระจายอยู่เต็มพื้น เราเพิ่งมารู้ทีหลังจากที่มีคนทักมาเล่าว่าเห็นเหตุการณ์คือมีคนนึงที่ชุดเขาไปเกี่ยวโดนดอกไม้แล้วไม่รู้ตัว เลยดึงให้แจกันตกลงมาด้วย

เราเข้าใจว่ามันเป็นอุบัติเหตุ และไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่ตอนนั้นไม่มีใครออกมายอมรับว่าเป็นคนทำ เขาอาจจะคิดว่าจะต้องจ่ายค่าเสียหายหรือเปล่า แต่เรามองว่าประเด็นหลักไม่ใช่เรื่องนั้น มันคือการที่คุณทำของคนอื่นแตก แล้วเป็นผลงานศิลปะที่ศิลปินเขาตั้งใจทำมา คุณควรเห็นคุณค่างานศิลปะและใส่ใจผลงานคนอื่นมากกว่านี้

จริงๆ วันนั้นมันเกิดเรื่องเยอะมาก ไม่ใช่แค่แจกันแตก มีทั้งคนไปนั่งบนโต๊ะของดีไซเนอร์จนหัก ทั้งๆ ที่มันเป็นงานศิลปะเอาไว้โชว์และไว้ขาย และมีคนไปนั่งแต่งหน้าบนโต๊ะของทีมงาน ทั้งหมดคือเราก็ติดป้ายบอกชัดเจนนะว่าห้ามนั่ง พอแม่เราไปบอกว่าตรงนี้นั่งไม่ได้นะคะ เขาก็ลุกแล้วเขวี้ยงทิชชู่ใส่แม่เรา เราทั้งเศร้า ทั้งโกรธ คิดว่าเราเหนื่อยทำพื้นที่ตรงนี้เพื่อมาเจอสิ่งนี้เหรอ (ร้องไห้)

คุณจัดการกับเหตุการณ์นี้และจัดการกับความรู้สึกตัวเองยังไง

วันนั้นที่เกิดเรื่องเราก็โทรไปขอโทษและจ่ายค่าแจกันที่แตกให้กับโมทันที หลังจากนั้นเราก็โทรหาศิลปินจัดดอกไม้คนเดิม เขาก็เอาต้นไม้ที่มีรากมาจัดวางใหม่ ส่วนแจกันที่แตกก็ทิ้งไว้ที่พื้นเหมือนเดิมเลย ไม่ได้ไปจับอะไร แล้วเราก็เขียนบทกลอนวางไว้ให้คนอ่าน เพื่อเป็นการเตือนใจและให้ระมัดระวังเวลามาชมงานศิลปะมากขึ้น

เราโพสต์เหตุการณ์นี้ลงในเพจ ATT 19 ด้วยนะ ตอนนั้นมีคนเข้ามาให้กำลังใจเยอะมาก บางคนก็ถามว่ามีอะไรให้ช่วยไหม เพราะหลายคนที่เคยมาที่นี่คงเคยได้เจอ ได้พูดคุยกับเรา เขาจะรู้ว่าเราตั้งใจทำพื้นที่นี้เพื่อทุกคนจริงๆ 

พอรู้ว่ามีคนเห็นค่าสิ่งที่เราทำขนาดนี้ มันทำให้เราหายเศร้าไปเองเลย มันทำให้เราอยากลุกขึ้นมาสู้ต่อ เราดีใจที่ ATT 19 มีคอมมิวนิตี้ที่แข็งแรง พร้อมจะซัพพอร์ตเราและพื้นที่แห่งนี้ ซึ่งมันยากนะที่ธุรกิจจะเปลี่ยนลูกค้าหรือผู้ชมผลงานให้มาเป็นคอมมิวนิตี้แบบนี้ได้

คิดว่าหัวใจสำคัญของการทำแกลเลอรีคืออะไร

มุกมองว่าการรักษาความสัมพันธ์กับผู้คนเป็นสิ่งสำคัญมาก ไม่ว่าจะเป็นผู้ชมที่เป็นน้องนักเรียนหรือคนที่มาซื้องานศิลปะกับมุก มุกจะเรียกทุกคนว่าเป็นลูกค้าหมด และดูแลทุกคนดีเหมือนกัน กับศิลปินเองมุกก็จะใช้สัญญาใจให้พื้นที่เขาจัดแสดง ช่วยซัพพอร์ตทุกอย่างที่ช่วยได้ บางครั้งมีลูกค้าติดต่อศิลปินไปโดยตรงเพื่อซื้องานศิลปะ แต่เขารู้จักมาจากงานที่จัดในพื้นที่ของเรา ศิลปินก็ให้มาติดต่อซื้อ-ขายกับเราและให้เราหักค่าคอมมิชชั่นไป เพราะเขาเห็นว่าเราเป็นผู้ให้แล้วควรจะได้รับผลตอบแทน

จุดยืนของแกลเลอรีก็สำคัญนะ มันทำให้ตัวตนของเราชัดเจน อย่างที่ ATT 19 เราอยากโชว์ผลงานของศิลปินไทยหรือศิลปินต่างชาติก็ได้ ถ้าเขาหยิบยกความเป็นไทยมาผสมผสาน และอย่างที่บอกว่าเราเลือกศิลปินและผลงานจากสิ่งที่เขาพูดแล้วสร้างความเปลี่ยนแปลงในสังคม อะไรที่ไม่ใช่ตัวตนเรา ต่อให้เขาจ่ายเงินให้เยอะมากมุกก็ไม่จัดแสดงนะ

พอตัวตนเราชัดเจน คนก็จะจดจำและเชื่อใจเรา

จากการทำแกลเลอรีและคลุกคลีในวงการศิลปะมา คิดว่าตอนนี้กระแสตอบรับงานศิลปะในสังคมไทยเป็นยังไงบ้าง 

ตลอดเวลาที่เราอยู่กับ ATT 19 มา 5 ปี คิดว่าตอนนี้กระแสเรื่องงานศิลปะดีขึ้นมาก พอมันมีพื้นที่เยอะขึ้น คนก็เลยเข้าใจมากขึ้น เมื่อก่อนคนอาจจะคิดว่าต้องอยู่ในวงการศิลปะถึงจะมาเข้าชมนิทรรศการ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ คนทั่วไปรู้สึกเปิดกว้างและเปิดใจที่จะมามากขึ้น

แล้วอะไรบ้างที่จะช่วยเสริมให้งานศิลปะและธุรกิจเกี่ยวกับศิลปะในไทยไปได้ไกลยิ่งขึ้น

มุกว่าบ้านเรามีศิลปินที่เก่งมาก มีงานดีๆ เยอะมาก แต่ตอนนี้คนอาจจะเสพงานเหล่านั้นอยู่แค่ผิวเผิน บางคนมาเพื่อถ่ายรูป และใช้งานศิลปะเป็นเหมือน​พร็อปในเฟรมนั้น นั่นอาจจะเป็นการเสพงานในรูปแบบของเขา แต่มุกมองว่างานศิลปะไปได้ไกลกว่านี้ ถ้าคนไทยมีวัฒนธรรมในการเข้าชมงานศิลปะ

เข้าใจว่าบ้านเราอาจจะยังไม่ได้มองว่างานศิลปะเป็นส่วนนึงในชีวิต เราก็ต้องค่อยๆ บิลด​์ ค่อยๆ ให้ความรู้เรื่องนี้กันไป อย่างในต่างประเทศ บ้านเขามีวัฒนธรรมการชมงานศิลปะแบบจริงจัง พ่อ แม่ หรือโรงเรียนจะพาไปดูนิทรรศการแล้วสอนเลยว่าห้ามจับงานศิลปะ เพราะสิ่งที่ศิลปินตั้งใจสร้างมามันมีคุณค่าทางจิตใจ

พอเราพยายามทำความเข้าใจจริงๆ เราจะเห็นว่าศิลปะมันทำให้เรารู้สึกอะไรบางอย่างก่อน แล้วค่อยไปดูว่าศิลปินเขาคิดอะไร มันทำให้เราเห็นมุมมองคนอื่นด้วย เพราะว่ามากกว่าความสวยงาม งานศิลปะมันมีความหมายสำคัญบางอย่างแฝงอยู่ 

อีกเรื่องสำคัญ การมีอาร์ตสเปซหรือพื้นที่ทางศิลปะมากขึ้นก็จะช่วยซัพพอร์ตศิลปิน ซัพพอร์ตการสร้างงานศิลปะดีๆ ขึ้นมา แต่ถ้าไม่มีพื้นที่ตรงนี้และไม่มีใครทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ศิลปะมันก็จะอยู่ในจุดเดิมไม่ไปไหน

การอำลาของ Jürgen Klopp กับการทำเบียร์รุ่นพิเศษ และแคมเปญเนื้อ 8 ชั้นจากเบอร์เกอร์คิง

Danke, Jürgen.

ถึงไม่ได้เลือกเรียนเอกศิลป์-เยอรมันตอน ม.ปลาย แต่เชื่อว่าแฟนฟุตบอลทั้งหลายในไทยและทั่วโลกน่าจะสามารถแปลความหมายของภาษาเยอรมันประโยคข้างต้นได้ในวันนี้ 

Danke, Jürgen.

ขอบคุณ เจอร์เกน

คืนวันที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมาตามเวลาของบ้านเรา เจอร์เกน คล็อปป์ ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการทีมนำลิเวอร์พูลลงสนามเป็นนัดสุดท้ายที่แอนฟิลด์ เสียงปรบมือกู่ร้องโห่ดังลั่นไปทั้งสนามเพื่อต้อนรับการเดินลงผืนหญ้าสนามครั้งสุดท้ายในฐานะผู้จัดการทีมที่เป็นที่รักของทุกคน คล็อปป์สวมเสื้อฮู้ดสีแดงที่มีอักษรปักอยู่บนอกว่า Thank you และ Luv ส่วนด้านหลังมีตัวอักษรปักว่า I’ll never walk alone again.

ถึงแม้คล็อปป์จะไม่ใช่นักเตะในสนาม แต่ในแมตช์การแข่งขันเมื่อคืนกลับดูเหมือนว่าสายตาทุกคู่และความสนใจของทุกคนต่างมุ่งตรงไปที่ผู้จัดการทีมสายเลือดเยอรมันผู้นี้แทบทั้งสิ้น 

หากนี่เป็นคอลัมน์กีฬาเราคงจะสาธยายได้อีกยืดยาวว่าเหตุใดเจอร์เกน คล็อปป์ ชายผู้ที่ไม่ได้เกิด ไม่ได้โตที่เมืองลิเวอร์พูล แต่เขากลับกลายเป็นที่รักและเคารพของแฟนบอลที่แอนฟิลด์และนักเตะในทีมได้มากมายขนาดนี้ ฉะนั้นหากสรุปแบบรวบรัด เราจึงขอนิยามความยิ่งใหญ่ของชายคนนี้ที่แอนฟิลด์ว่า เขาเป็นผู้ที่เปลี่ยนคนทั้งหลายที่มีความสงสัยทั้งต่อตัวเองและสโมสรให้เป็นคนที่มีศรัทธา เปลี่ยนความไม่มั่นใจให้กลายเป็นความเชื่อ

เราคงต่างเคยได้ยินว่า “ทุกสิ่งบนโลกล้วนเป็นไปได้เมื่อเรามีความเชื่อ”

หากนักเตะไม่มั่นใจในฝีเท้าของตัวเอง หากเหล่าแฟนบอลของสโมสรไม่เคยมีความคิดว่าทีมจะสามารถคว้าแชมป์สำคัญๆ ของยุโรปได้ หากแฟนบอลต่างถอดใจเดินออกจากสนามก่อนจบเกม 90 นาที หากไม่มีใครสักคนเชื่อว่านี่คือทีมที่ดี นี่คือทีมที่แข็งแกร่ง นี่คือทีมที่อันตรายที่สามารถสร้างโอกาสและปาฏิหาริย์ได้ หากตัวเรายังไม่เชื่อในตัวเรา แล้วสิ่งยิ่งใหญ่ไหนเลยจะเกิดขึ้นกับตัวเราได้

ความยิ่งใหญ่ที่สุดที่เจอร์เกน คล็อปป์ ได้สร้างให้ลิเวอร์พูล จึงเป็นสิ่งที่เรียกว่า ‘ความเชื่อ’ 

เขาทำให้ทีม ชาวสโมสร และแฟนบอลทั้งในเมืองลิเวอร์พูลและทั่วโลกเชื่อว่า ฝีเท้าของนักเตะในทีมไม่ได้แย่ และศักยภาพของทีมนี้สามารถไปได้ไกลระดับแชมป์ในรายการสำคัญๆ คล็อปป์ปลุกวิญญาณความเป็นนักสู้ของคนในทีมและปลุกความเชื่อให้แก่แฟนบอลทุกคน 

แต่งานเลี้ยงที่หรูหราสวยงามแค่ไหน สุดท้ายย่อมมีวันเลิกรา

วันที่ 26 มกราคม 2024 คือวันที่ชาวสโมสรและนักเตะในทีมต่างช็อกไปตามๆ กัน เพราะเป็นวันที่คล็อปป์ประกาศว่าเขาจะไม่ต่อสัญญาคุมทีมให้กับลิเวอร์พูลแล้วในฤดูกาลหน้า

ว่าถึงเรื่องราวความยิ่งใหญ่ของคล็อปป์ที่คุมลิเวอร์พูลมากว่า 8 ปีครึ่ง และสถิติการคุมทีมให้ชนะกว่า 60% จากทุกรายการที่เขาคุมทีมลงแข่ง ที่สำคัญคือคล็อปป์ได้พาทีมคว้าแชมป์เกือบครบแทบทุกรายการที่ลงเตะ

ปี 2019 เขาพาลิเวอร์พูลคว้า Champions League ซึ่งเป็นถ้วยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในระดับสโมสรยุโรป ก่อนจะต่อยอดไปคว้าแชมป์ Club World Cup และ UEFA Super Cup

ในปี 2020 เขาพาหงส์แดงคว้าแชมป์ Premier League มาครองได้สำเร็จหลังจากสโมสรไม่เคยคว้าแชมป์ลีกสูงสุดมากว่า 30 ปี

ในปี 2022 เขาพาทีมเครื่องจักรสีแดงเป็นแชมป์ FA Cup และ League Cup ในปีเดียวกัน

ก่อนที่ปี 2024 เขาจะพาทีมคว้าแชมป์ League Cup เป็นการทิ้งทวน

สิ่งที่คล็อปป์ทำนั้นเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ ทั้งในมุมความศรัทธาที่เขาสร้างขึ้น รวมถึงความสำเร็จที่นำมาสู่สโมสร ดังนั้นการจากลาของคล็อปป์กับลิเวอร์พูลจึงถือเป็นอีเวนต์ที่สำคัญและทุกคนต่างให้ความสนใจ 

ที่น่าสนใจคือมีแบรนด์อาหารและเครื่องดื่มหลายแบรนด์ต่างเห็นความสำคัญในการทำการตลาดจากการลาทีมลิเวอร์พูลของคล็อปป์ในครั้งนี้ เกิดเป็นแคมเปญที่ทั้งน่าสนุกและน่าสนใจหลายแคมเปญที่เราอยากเอามาเล่า

เริ่มกันที่เคสของ ERDINGER Weißbräu และ Carlsberg

Carlsberg คือบริษัทผลิตเบียร์สัญชาติเดนมาร์กผู้ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนสโมสรลิเวอร์พูลมาตั้งแต่ปี 1992 นับจนถึงปีนี้ก็ 32 ปี แล้ว ถือเป็นการสนับสนุนที่เหนียวแน่นมั่นคงและยาวนานกว่า 3 ทศวรรษ ว่าถึงความสำคัญของเจอร์เกน คล็อปป์ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงและปลูกฝังดีเอ็นเอบางอย่างให้แก่ชาวสโมสรลิเวอร์พูล Carlsberg ในฐานะแบรนด์สปอนเซอร์เครื่องดื่มของสโมสรจึงจับมือกับแบรนด์เบียร์สัญชาติเยอรมันอย่าง ERDINGER Weißbräu ที่จ้างคล็อปป์เป็นแอมบาสซาเดอร์มาตั้งแต่ปี 2019 จึงจับมือร่วมกันผลิตเบียร์รุ่นลิมิเต็ดเพื่อเป็นสัญลักษณ์การจากลาลิเวอร์พูลในครั้งนี้ของคล็อปป์ โดยเบียร์รุ่นนี้มีชื่อที่เห็นแล้วรู้ทันทีว่าทำเพื่อเขา

The Believer Brew

อย่างที่บอกไว้ว่าสิ่งสำคัญที่คล็อปป์ได้ปลูกสร้างให้กับสโมสรนี้คือความเชื่อ ดังนั้นการจากไปของคล็อปป์จึงถูกนำมาบ่มให้เป็นเครื่องดื่มที่กินได้อย่าง ‘เบียร์’ และให้ชื่อรุ่นว่า The Believer Brew หรือถ้าจะให้แปล ดิฉันคงแปลชื่อเบียร์รุ่นนี้ว่า เบียร์ของคนที่มีความเชื่อ

เบียร์รุ่นนี้จะถูกผลิตออกมาที่ 491 ขวด แต่ละขวดจะมีการพิมพ์เลขนัมเบอร์ไว้ที่ขวดไล่เรียงไปตั้งแต่ขวดที่ 1-491 และแต่ละขวดก็จะระบุตามลำดับแมตช์ที่คล็อปป์คุมทีมลิเวอร์พูลไปพบกับทีมคู่แข่ง เช่น 

ขวดที่ 206 คือ แมตช์ที่ 206 ของคล็อปป์ในฐานะผู้จัดการทีมที่คุมทีมลิเวอร์พูลชนะบาร์เซโลนา (4-0) ในปี 2019 

ขวดที่ 264 คือ แมตช์ที่ 264 ของคล็อปป์ในฐานะผู้จัดการทีมที่คุมทีมลิเวอร์พูลชนะเชลซี (5-3) ในปี 2020

การจับมือกันของแบรนด์เครื่องดื่ม 2 แบรนด์เป็นปรากฏการณ์ที่เราไม่ค่อยได้เห็นกันบ่อยๆ นัก จึงนับว่าเป็นการคอลแล็บกันที่หาดูได้ยากจริงๆ และถ้าไม่ใช่โอกาสที่พิเศษและสำคัญ เราคงไม่มีโอกาสได้เห็นความร่วมมือของแบรนด์ที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน ผลิตสินค้าชนิดเดียวกันแบบนี้แน่ๆ

The Believer Brew จะเป็นการผสมเบียร์ของทั้งสองแบรนด์คือ ERDINGER Weißbräu และ Carlsberg โดยเบียร์รุ่นนี้จะใช้มอลต์ 50% จาก ERDINGER และมอลต์ 50% จาก Carlsberg และจะมีการใช้บาร์เลย์สีแดงผสมเข้าไปเพื่อให้เบียร์ออกมาเป็นสีแดงสีเดียวกับสีประจำสโมสรลิเวอร์พูล

เบียร์ The Believer Brew ทั้ง 491 ขวดนี้เป็นเบียร์ที่ผลิตออกมาแบบจำกัดและไม่มีการวางขายโดยทั่วไป แต่จะขายด้วยการประมูล โดยการประมูลจะถูกจัดการโดย Graham Budd Auction และการประมูลได้เริ่มไปแล้วตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคมที่ผ่านมา และจะสิ้นสุดลงวันที่ 30 พฤษภาคม โดยการกดประมูลแต่ละครั้ง เบียร์ขวดที่ถูกประมูลจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นครั้งละ 5 ปอนด์ (ประมาณ 230 บาท)

นอกจากแบรนด์เครื่องดื่มแล้ว แบรนด์อาหารฟาสต์ฟู้ดที่แอ็กทีฟสุดๆ ในวงการโฆษณาและโลกออนไลน์อย่างเบอร์เกอร์คิงก็ขอมีซีนกับการอำลาลิเวอร์พูลของเจอร์เกน คล็อปป์ ในครั้งนี้ด้วย

แคมเปญนี้ของเบอร์เกอร์คิงนั้นแสนเรียบง่าย (แต่ก็ยังไว้ลายความแสบสันตามฉบับเบอร์เกอร์คิง) 

เริ่มจากบัญชีที่ชื่อ BurgerKingUK ในแพลตฟอร์ม X ออกมาโพสต์แนะนำเมนูใหม่ของเบอร์เกอร์คิงที่มีชื่อว่า The Klopper ในวันที่ 17 พฤษภาคม 2024 ซึ่งแน่นอนว่าชื่อ The Klopper เป็นการเอาคำสองคำมาผสมกัน นั่นคือคำว่า Klop ที่ย่อให้สั้นมาจากนามสกุลของเจอร์เกน คล็อปป์ และ Whopper เมนูซิกเนเจอร์ของเบอร์เกอร์คิง 

ดังนั้นเมื่อ Klopp + Whopper = Klopper

นอกจากจะโพสต์ชื่อเมนูใหม่ The Klopper แล้ว เบอร์เกอร์คิงยังเขียนคำบรรยายอีกว่า 

“8 tiers for 8 trophies”

แปลเป็นไทยก็คือ เนื้อ 8 ชิ้น สำหรับ 8 ถ้วยรางวัล

จากสถิติการคุมทีมลิเวอร์พูลของคล็อปป์ทั้ง 8 ปีครึ่ง เขาสามารถพาทีมคว้าโทรฟี่มาแล้ว 8 ถ้วย (แชมป์ Premier League 1 ครั้ง, แชมป์ Champions League 1 ครั้ง, แชมป์ UEFA Super Cup 1 ครั้ง, แชมป์ Club World Cup 1 ครั้ง, แชมป์ FA Cup 1 ครั้ง, แชมป์ League Cup 2 ครั้ง และแชมป์ Community Shield 1 ครั้ง) เลยดูเหมือนกับว่าคล็อปป์จะมีความสัมพันธ์กับเลข 8 เป็นอย่างดี ดังนั้นจึงเป็นที่มาของเนื้อ 8 ชิ้นในเบอร์เกอร์ The Klopper ของเบอร์เกอร์คิงประเทศอังกฤษ

แต่ด้วยความขี้เล่นและบุคลิกชอบหยอกเอินแกล้งแซวของเบอร์เกอร์คิง จึงมีคนจำนวนไม่น้อยไปคอมเมนต์ถามเบอร์เกอร์คิงว่า 

“อันนี้ขายจริงหรือแค่อำเล่นเนี่ย?”

และทางเบอร์เกอร์คิงก็ไม่ทำให้เราผิดหวังออกมาตอบแฟนๆ ที่สนใจอยากกิน The Klopper ว่า ถ้ามีใครสนใจจะซื้อเบอร์เกอร์ที่มีเนื้อ 8 ชิ้น ทำไมเราจะไม่ขายเล่า!

สรุปก็คือขายจริงนั่นเอง

จากการจากลาของเจอร์เกน คล็อปป์ ผูกโยงไปถึงเรื่องที่แบรนด์อาหารและเครื่องดื่มหยิบยกเอาสถานการณ์นี้ไปทำการตลาดให้เป็นที่จดจำและพูดถึงในโลกออนไลน์ได้อย่างกว้างขวางจากฐานแฟนบอลลิเวอร์พูลที่มีอยู่ทั่วโลก นับเป็นก้าวที่ทั้งแนบเนียนและน่าสนใจ แถมยังมีกิมมิกที่น่าสนุกของการทำการตลาดในโลกธุรกิจอาหาร

การทำแคมเปญพิเศษของ ERDINGER Weißbräu, Carlsberg และ Burger King คงถือเป็นการคอนเฟิร์มถึงความยิ่งใหญ่และความเป็นที่รักของคล็อปป์ต่อแฟนบอลลิเวอร์พูลทั้งโลกได้อีกหนึ่งเสียง และเหมือนกับจะเป็นการเน้นย้ำให้คล็อปป์มั่นใจในคำที่สกรีนอยู่ที่ด้านหลังเสื้อที่เขาใส่ลงสนามในแมตช์สุดท้ายที่คุมทีมว่า

I’ll never walk alone again.

ฉันจะไม่เดินอย่างเดียวดายอีกต่อไป

การทำให้แบรนด์อาหารและเครื่องดื่มยักษ์ใหญ่ของโลก 3 แบรนด์ออกมาทำแคมเปญอำลาส่งผู้จัดการทีมออกจากทีมได้แบบนี้น่าจะเป็นการคอนเฟิร์มให้คล็อปป์รู้ว่า ไม่ว่าคล็อปป์จะตัดสินใจยังไง ไม่ว่าคุณจะไปอยู่ที่ไหน 

You’ll never walk alone.

อ้างอิง

งานเปิดตัวรัมพรีเมียมจาก Phraya ที่บ่มนานถึง 8 ปี ในคอนเซปต์ธาตุดิน น้ำ ไฟ และลม

เชื่อว่าใครที่เคยดูหนังระดับตำนานอย่าง Pirates of the Caribbean น่าจะคุ้นตากับภาพของกัปตันแจ็ค สแปร์โรว์ ที่ชอบเดินถือขวดรัมไปมา ซึ่งสิ่งนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะต้นกำเนิดของรัม (rum) เครื่องดื่มสีอำพันที่กลั่นมาจากอ้อย มีมาตั้งแต่ยุคที่ชาวตะวันตกออกล่าอาณานิคม รัมจึงถือเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มที่เก่าแก่ที่สุดชนิดหนึ่งของโลก และส่งต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน

ซึ่งในไทยเองก็มีรัมที่ขึ้นชื่อเรื่องความคราฟต์ในทุกขั้นตอนอย่าง Phraya หรือที่อ่านว่า ‘พระยา’ รัมสุดพรีเมียมของไทย ที่พิถีพิถันในทุกขั้นตอนการผลิต โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากธาตุทั้ง 4 คือ

ธาตุดิน อ้อยที่ใช้มาจากแหล่งปลูกในพื้นที่ภาคกลางอันอุดมสมบูรณ์ ส่งผลต่อความหวานหอมของ Phraya

ธาตุน้ำ ใช้น้ำจากแม่น้ำท่าจีนที่นำมาผ่านกระบวนการกรองให้มีความบริสุทธิ์ ส่งผลต่อรสชาติที่นุ่มละมุน

ธาตุไฟ Phraya ถูกบ่มในถังไม้โอ๊กที่ผ่านการลนไฟอ่อนๆ ทำให้ได้สี กลิ่น รส อันเป็นเอกลักษณ์

ธาตุลม โรงบ่มตั้งอยู่ใกล้แหล่งน้ำ มีลมพัดผ่านตลอดทั้งปี ทำให้ได้อุณหภูมิที่เหมาะแก่การบ่ม

ล่าสุด Phraya ได้จัดอีเวนต์ “Phraya Rum Elements 8 Years Launch Party” แบบเอกซ์คลูซีฟที่ Soho House Bangkok โดยงานนี้ได้เชิญแขกพิเศษที่หลงใหลในความคราฟต์ ให้มาดื่มด่ำผ่านเมนูค็อกเทล 4 สูตรสุดพิเศษที่รังสรรค์โดย คุณปาล์ม–ศุภวิชญ์ มุททารัตน์ จากร้าน Dry Wave Cocktail Studio และที่เป็นไฮไลต์ของงานคือ การจับคู่ระหว่าง Phraya Rum Elements 8 Years กับอาหารถึง 2 คอร์สที่บอกเล่าเรื่องราวของธาตุทั้ง 4 ผ่านเมนูอาหารเหล่านี้ โดยได้เชฟแทน จากร้าน GOAT Bangkok มาเป็นผู้สร้างสรรค์ความอร่อย

เริ่มต้นกับคอร์สแรกด้วยเมนู ‘หลนปูม้า’ ที่เป็นตัวแทนของธาตุน้ำและธาตุลม ด้านล่างจะเป็นเนื้อปูม้าชั้นดีจากธนาคารปู ที่นำไปหมักกับ Phraya เพื่อให้เกิดกลิ่นหอม ด้านบนเป็นโฟมที่ทำมาจากหลนปูม้าและเติมลมเข้าไปในครีมหลน ทำให้มีเนื้อสัมผัสที่เบา นุ่มละมุนเหมือนดั่งลม ซึ่งการจับคู่ Phraya กับหลนปูม้า จะทำให้ได้กลิ่นหอมของสับปะรด และมีรสชาติมะพร้าวคั่วอ่อนๆ ซ่อนอยู่ จึงมาเสริมกลิ่นและรสชาติให้มีความสดชื่นมากยิ่งขึ้น

ส่วนคอร์สที่ 2 ปิดท้ายความฟินด้วยเมนู ‘Smoked Shiitake Tartlets’ ตัวแทนอันร้อนแรงของธาตุไฟ ที่ด้านล่างจะเป็นทาร์ตครีมข้าวโพด นําไปรมควันกับไฟ และปรุงรสด้วย Phraya ส่วนด้านบนจะเป็นเห็ดหอม confit ที่มีความ earthy จึงเป็นตัวแทนของธาตุดิน และเติมความหอมด้วยสมุนไพรไทย ซึ่งเมนูนี้สื่อถึง Phraya ได้เป็นอย่างดี เพราะมีกลิ่นของไม้โอ๊กที่มาเสริมกับตัวเห็ดรมควันทำให้ได้รสชาติที่กลมกล่อม

หลังจากที่ได้ดื่มด่ำค่ำคืนสุดพิเศษนี้ ยิ่งทำให้เห็นว่า Phraya เป็นแบรนด์คนไทย ที่ใช้จุดเด่นของไทย มานำเสนอผ่านคอนเซปต์ธาตุทั้ง 4 อย่างพิถีพิถัน จนดังไกลไปทั่วโลก

ส่องแง่คิดจากธุรกิจบ้านผีสิงที่เปลี่ยนความหลอนเป็นความปังจาก ‘อนงค์ My Boo’

คำเตือน : บทความเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของภาพยนตร์

ขึ้นแท่นสู่หนังไทยทำเงินระดับร้อยล้านประจำปี 2567 เป็นที่เรียบร้อย สำหรับ อนงค์ (My Boo) ภาพยนตร์แนวสยองขวัญ-โรแมนติกคอเมดี้ จากผู้กำกับมือทองอย่าง เอส–คมกฤษ ตรีวิมล ภายใต้การอำนวยการสร้างเป็นครั้งแรกของค่ายน้องใหม่ คาร์แมนไลน์สตูดิโอ (Karman Line Studio)

ไม่บ่อยนักที่ภาพยนตร์แนวสยองขวัญในบ้านเราจะหยิบยกเรื่องราวความรักระหว่างคนกับผีมาเล่า เท่าที่จำความได้เห็นจะมีเรื่อง กระสือวาเลนไทน์, แสงกระสือ และ แม่นาคพระโขนง ที่ขึ้นหิ้งเป็นตำนานตลอดกาล ทว่าที่กล่าวมาล้วนมีเนื้อหาซับซ้อน บรรยากาศหลอนชวนขนลุก จนเผลอสะดุ้งมือปิดตาเป็นระยะ 

กลับกันสิ่งที่ภาพยนตร์เรื่อง อนงค์ ต้องการนำเสนอดูจะแตกต่างสิ้นเชิง เพราะเนื้อเรื่องถูกเล่าเป็นเส้นตรงเข้าใจง่าย พยายามแทรกด้วยมุกตลกชวนอมยิ้มไม่หยาบคายติดเรต พร้อมกับหาจังหวะให้ทุกตัวละครได้โชว์ความน่ารักน่าหยิกยามปรากฏตัว จุดนี้นับเป็นลายเซ็นการกำกับตามสไตล์ของเอส คมกฤษที่หาได้จากผลงานเก่าๆ เช่น แฟนฉัน, เพื่อนสนิท, สายลับจับบ้านเล็ก และ หนูหิ่น เดอะ มูฟวี่

อนงค์ เล่าเรื่องของ ‘โจ’ (แสดงโดย จี๋–สุทธิรักษ์ ทรัพย์วิจิตร) นักแคสต์เกมชีวิตไม่ได้เรื่องได้ราว ที่บังเอิญส้มหล่นได้รับมรดกเป็นบ้านเก่าแก่อายุ 80 ปีจากคุณปู่ที่เพิ่งเสียชีวิต ทว่าเหมือนโชคชะตาจะกลั่นแกล้ง เมื่อบ้านในฝันที่ประเมินว่าจะขายได้หลักสิบล้าน กลับกลายเป็นบ้านร้างทรุดโทรม มิหนำซ้ำยังมีวิญญาณสามตนสิงสถิตอยู่ นั่นคือ ‘อนงค์’ (แสดงโดย โบว์–เมลดา สุศรี) อดีตลูกสาวของคหบดีผู้สร้างบ้านหลังนี้ ‘ทองก้อน’ (แสดงโดย แจ็ก–เฉลิมพล ทิฆัมพรธีรวงศ์) และ ‘ทองหยิบ’ (แสดงโดย ฝน–ทัตชญา ศุภธัญสถิต) คนใช้ทั้งสองรายที่ตายอย่างปริศนาพร้อมกับอนงค์

จากจะปักประกาศขายบ้านอย่างสบายใจ กลายเป็นว่าโจต้องหาวิธีปัดเป่าผีทั้งสามตน ขณะเดียวกันยังต้องคอยหลบเจ้าหนี้นอกระบบที่คอยตามราวีไม่หยุดหย่อน เพราะก่อนหน้านี้ดันไปกู้เงินซื้ออุปกรณ์แคสต์เกมชุดใหญ่ 

และเพราะมีหนี้ก้อนโตเป็นชนักปักหลังนี้เอง ทำให้การดำเนินเรื่องโดยตัวละครหลักอย่างโจ มีอีกหนึ่งเส้นเรื่องที่น่าสนใจกับการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ด้วยการเปลี่ยนบ้านโบราณหลังนี้ให้กลายเป็น ‘บ้านผีสิง’ ที่ยกระดับเหนือกว่าบ้านผีสิงง่อยๆ ตามงานวัด หลังโจฉุกคิดไอเดียเจ้าเล่ห์ได้ว่า จะขอให้วิญญาณทั้งสามตนช่วยเป็นนักแสดงหลอกนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเล่นบ้านผีสิง เพื่อแลกกับการช่วยส่งทั้งสามไปสู่สุคติ 

แน่นอนว่าเพราะเป็นผีจริงๆ นี่แหละ ทำให้วิธีการหลอกสมจริงสมจัง จนวัยรุ่นที่เข้ามาลองเล่นติดใจแชร์กันปากต่อปาก กระทั่งติดอันดับเป็น 1 ใน 3 บ้านผีสิงที่น่ากลัว (ในหนังเขาว่ากันแบบนั้น) อีกทั้งยังสร้างกำไรมหาศาลจนสามารถปลดหนี้ได้สำเร็จ แต่ด้วยความผูกพันระหว่างเปิดธุรกิจบ้านผีสิงนี้เอง ที่ทำให้โจและอนงค์เกิดปิ๊งปั๊งรักกันเสียได้

ในส่วนของเนื้อหาที่เหลือจะจบลงยังไง คนจะรักกับผีได้จริงหรือไม่นั้น ผู้เขียนอยากให้ลองติดตามต่อด้วยตัวเอง เชื่อว่าไม่มีผิดหวังแน่นอน เพราะแค่ได้ดูเคมีของคู่พระ-นางก็ถือว่าเกินคุ้มแล้ว

กลับมาที่เรื่องราวธุรกิจหลอนๆ อย่างบ้านผีสิง หลังจากอิ่มเอมกับภาพยนตร์เรื่องอนงค์จบ ทำให้ผู้เขียนเกิดตั้งคำถามว่า ธุรกิจประเภทนี้แท้จริงเริ่มต้นขึ้นเมื่อไหร่กันแน่? 

Edge of Hell บ้านผีสิงเชิงพาณิชย์เจ้าแรกๆ 

จากการสืบค้น ถ้าเป็นในประเทศไทยแทบจะหาจุดเริ่มต้นที่ชัดเจนไม่พบ แต่หากเป็นที่ต่างประเทศอย่างสหรัฐอเมริกาน่าจะพอหาคำตอบได้ไม่ยาก 

ธุรกิจบ้านผีสิงเชิงพาณิชย์เจ้าแรกๆ เกิดขึ้นในปี 2513 ณ เมืองแคนซัสซิตี้ (Kansas City) รัฐมิสซูรี (Missouri) โดยตระกูลแอร์เน็ต (Arnett) ที่สมาชิกในครอบครัวล้วนหลงใหลในเรื่องราวลี้ลับพิศวงเหนือธรรมชาติ (ถ้านึกไม่ออกให้จินตนาการถึงภาพของครอบครัวอดัมส์) 

ตระกูลแอร์เน็ตตัดสินใจกว้านซื้อตึกร้าง ซึ่งเมื่อก่อนเคยเป็นย่านพักอาศัยของผู้คนที่อพยพจากต่างถิ่นทั่วทุกสารทิศ ก่อนจะตั้งชื่อว่า Edge of Hell ตามความเชื่อในลัทธิบูชาซาตาน และด้วยความที่เคยเป็นแหล่งพักอาศัยมาก่อน ภายในจึงมีเฟอร์นิเจอร์และของใช้เหลือทิ้งไว้มากมาย เหมาะกับการเป็นของประกอบฉากเพิ่มความสยองขวัญโดยไม่ต้องลงทุนเสียเงินเพิ่ม

แม้บรรยากาศเดิมจะชวนหลอนอยู่แล้ว แต่ครอบครัวแอร์เน็ตยังไม่สาแก่ใจ สรรหาวิธีสร้างความหลอนยิ่งกว่าเดิมด้วยการเก็บดอกไม้จากสุสานที่เน่าเปื่อยส่งกลิ่นเหม็นมาโปรยบริเวณรอบๆ บ้าน พร้อมกับพัฒนาวิธีแต่งหน้านักแสดงที่จะมาเล่นเป็นผีได้น่ากลัวสมจริงอย่างที่ไม่เคยมีที่ไหนเคยทำมาก่อน ไหนจะรับเสือภูเขาตัวใหญ่ยักษ์มาจัดแสดงเรียกความสนใจจากนักท่องเที่ยวอีกมากโข

เพราะความใหม่ผนวกกับนิสัยของมนุษย์ที่ชอบความตื่นเต้นท้าทายเป็นทุนเดิม ส่งผลให้บ้านผีสิง Edge of Hell ได้รับความนิยมล้นหลาม ถึงขั้นที่ 10 ปีต่อมาสามารถเปิดบ้านผีสิงเพิ่มอีกสองแห่งในย่านเวสต์บอตทอมส์ ที่อยู่ในรัฐมิสซูรีเช่นกัน

ปัจจุบัน Edge of Hell ยังคงเปิดทำการอยู่ โดยเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแนะนำลำดับต้นๆ ของรัฐมิสซูรีที่ทำกำไรได้เฉลี่ย 300-500 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี นอกเสียจากบรรยากาศสุดหลอนแบบเดิมๆ ภายในบ้านผีสิงหลังนี้ยังปรับเปลี่ยนวิธีการหลอกให้สมจริงยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะชุดของนักแสดงหรือเทคโนโลยีสามมิติตามที่ติดตั้งไว้หลอกคนตามจุดต่างๆ

ความหลอนระดับภูมิภาค

แม้หลายเรื่องราวลึกลับพิศวงจะถูกไขกระจ่างด้วยหลักวิทยาศาสตร์ แต่ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า ธุรกิจบ้านผีสิงยังคงได้รับความนิยมต่อเนื่องเรื่อยมา โดยเฉพาะในหมู่ชาวอเมริกันที่ให้ความสนใจเป็นพิเศษยามเทศกาลฮาโลวีน สะท้อนผ่านตัวเลขรายรับราว 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามข้อมูลของสมาพันธ์ผู้ค้าปลีกแห่งสหรัฐฯ (The National Retail Federation : NRF) ที่เกิดขึ้น ณ ช่วงเทศกาลดังกล่าวในปี 2023 

อีกทั้งไม่ใช่แค่ในเทศกาลฮาโลวีนที่ได้รับความนิยม เพราะแม้แต่หน้าเทศกาลสำคัญอื่นๆ เช่น วาเลนไทน์ คริสต์มาส และอีกสารพัด ล้วนได้รับความสนใจในฐานะ ‘กิจกรรมน่าทำ’ ลำดับต้นๆ ในหมู่วัยรุ่นที่อยากวัดความกล้า จึงไม่แปลกใจที่ธุรกิจบ้านผีสิงเชิงพาณิชย์ในประเทศสหรัฐฯ จะมีเงินสะพัดตลอดเวลา

ฟากฝั่งเอเชียธุรกิจบ้านผีสิงเชิงพาณิชย์อาจไม่ได้รับความนิยมสักเท่าไหร่นัก ยกเว้นแต่ประเทศญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมเสมอมา ปัจจัยหลักก็เพราะวัฒนธรรม ‘ประลองความกล้า’ ของกลุ่มคนหนุ่มสาวที่มักเล่นกันเป็นประจำในช่วงปิดเทอมฤดูร้อน ดังที่เราเห็นกันตามหน้าหนังสือการ์ตูน แอนิเมชั่น จนถึงทีวีซีรีส์ 

ยกตัวอย่าง Daiba Haunted School โรงเรียนผีสิงขนาดย่อมที่ตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้าคอมเพลกซ์ Decks Tokyo Beach ที่ได้รับความนิยมล้นหลามจากกิมมิกการเล่น โดยผู้เล่นจะต้องไขปริศนาเพื่อปลดปล่อย 4 ดวงวิญญาณ ที่สิงอยู่ในโรงเรียนร้างแห่งนี้ ซึ่งบรรดาผู้เล่นล้วนการันตีความหลอนระดับ 5 กะโหลก 

หรือจะเป็น Screambulance รถผีสิงเคลื่อนที่ของบริษัท Kowagarasetai (Scaring Corps) ซึ่งจะขับตระเวนไปตามที่ต่างๆ เพื่อให้บริการผู้ที่อยากนั่งสัมผัสความหลอนบนรถเป็นระยะเวลา 15 นาที โดยภายในรถจะถูกตกแต่งคล้ายกับรถพยาบาล ส่วนวิธีการหลอกจะมาในรูปแบบ 4 มิติ ทั้งภาพเคลื่อนไหวสุดสยอง เสียงโหยหวน เสริมด้วยควันและไอน้ำที่ปล่อยออกมาเป็นระยะ เหล่านี้คือธุรกิจบ้านผีสิงเชิงพาณิชย์ที่ถูกอัพเกรดให้มีความน่าสนใจ และพิถีพิถันการหลอกตามสไตล์เจแปนอันยากจะเลียนแบบ

แนวโน้มบ้านร้าง ไอเดียความหลอนแบบไทย

ด้านประเทศไทย ปัจจุบันมีบ้านร้างมากกว่า 1.3 ล้านหน่วยตามข้อมูลสำรวจจากศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย สาเหตุหลักเนื่องจากบ้านเราเริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และเมื่อผู้สูงอายุซึ่งเป็นเจ้าของบ้านหลังนั้นเสียชีวิตลง ส่วนใหญ่มักเกิดกรณีขาดการซื้อหรือเช่าอาศัยต่อ เพราะผู้อยู่อาศัยรายใหม่เกิดกลัววิญญาณเจ้าบ้านยังสิงสถิตอยู่ ณ ที่เดิม หรืออาจคอยรังควานเพราะหวงที่ตามความเชื่อแบบไทยๆ 

ดังนั้นนี่จึงเป็นโอกาสสำคัญ หากไม่อยากเข้ามาอยู่อาศัยก็อาจใช้ไอเดียสร้างสรรค์เปลี่ยนบ้านหลังนั้นให้กลายเป็นบ้านผีสิง พร้อมสร้างสตอรีให้ดูน่าสนใจเพื่อดึงดูดลูกค้า หรืออีกแง่มุมหนึ่งอาจเปลี่ยนเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ ดังเช่น ‘บ้านขุนพิทักษ์บริหาร (พึ่ง มิลินทวนิช)’ บ้านโบราณในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งใช้เป็นโลเคชั่นถ่ายทำบ้านผีสิงภายในเรื่อง อนงค์ ที่ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของกรมธนารักษ์

นัยหนึ่งการเกิดขึ้นมาของบ้านผีสิงไม่ว่าจะจากภาพยนตร์เรื่องอนงค์ หรือเรื่องจริงจากกรณีของ Edge of Hell และบ้านผีสิงพาณิชย์อื่นๆ ทั่วโลก ล้วนเป็นแนวความคิดที่น่าสนใจ กับการลงทุนเปลี่ยนสถานที่ร้างที่เคยเกิดคดีสยองขวัญหรือเคยมีเจ้าของมาก่อนแล้วขาดการดูแลรักษา เพื่อสร้างสถานที่เที่ยวสุดสะพรึงชวนเรียกนักท่องเที่ยว ดีกว่าปล่อยทิ้งรอรายการใดรายการหนึ่งมาชุบมือเปิบทำคอนเทนต์ล่าท้าผีเรียกเรตติ้ง 

ส่วนถ้าลงมือทำแล้วจะสยองขวัญไม่สยองขวัญนั้น ขอยกให้เป็นหน้าที่ของผู้เข้าชมตัดสินใจ เพราะสุดท้ายแล้วความกลัวของคนเราย่อมไม่เท่ากัน จะมากจะน้อยก็ล้วนขึ้นอยู่กับจินตนาการปรุงแต่ง

แต่ถ้าถามว่าผู้เขียนสนใจลองเล่นบ้านผีสิงสักครั้งไหม คงต้องขอโบกมือบ๊ายบายยอมแพ้ให้กับความขวัญอ่อนของตัวเองแบบไม่อายใคร …ก็คนมันกลัวนี่นา

อ้างอิง

KBank WBG กับแนวคิด World of Borderless Growth ที่เฟ้นหา Talent ผู้พร้อมบุกตลาดต่างประเทศไปด้วยกัน 

ในทุกๆ ปี เป้าหมายการขยายธุรกิจสู่ระดับภูมิภาคของ KBank World Business Group ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เพื่อมุ่งสู่การเป็น A Regional Bank of Choice ผู้ให้บริการ Digital Financial Service ที่ไร้รอยต่อสำหรับทุกคนทั่วภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประเทศ AEC+3

KBank WBG เชื่อว่าหากอยากสร้างธุรกิจที่เติบโตอย่างไร้ขีดจำกัดเพื่อฝ่าความท้าทายท่ามกลางการแข่งขันทางธุรกิจที่ดุเดือด ก็ต้องมองหาพนักงานระดับ World Class ที่พร้อมเติบโตอย่างไร้ขีดจำกัดเช่นกัน แนวคิด World of Borderless Growth ของธนาคารจึงเกิดจากความตั้งใจอยากสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ให้ความสำคัญกับการเติบโตของพนักงาน ทั้งสนับสนุนให้ทีมได้เรียนรู้ผ่านการลงมือทำจริงและได้รับโอกาสในการพัฒนาศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่ผ่านประสบการณ์ที่แปลกใหม่ในตลาดต่างประเทศ ผลักดันพนักงานที่อยากเป็นคนเก่งรอบด้านและพร้อมเติบโตไปกับบริษัทให้ได้ฉายศักยภาพด้วยความเชี่ยวชาญที่แต่ละคนถนัด

สำหรับใครที่รักการเรียนรู้และสนใจพัฒนาตัวเอง อยากเติบโตเป็นผู้นำที่สร้างการเปลี่ยนแปลงด้วยทักษะและความเชี่ยวชาญของตัวเอง KBank WBG ซึ่งเป็นสายงานที่งานมีความท้าทายได้ลิสต์ DNA หรือคุณสมบัติของพนักงานที่พร้อมเติบโตในองค์กรมา 4 ข้อ ดังนี้

หนึ่งคือ Push Beyond the Limits การปลดปล่อยศักยภาพตัวเองอย่างไร้ขีดจำกัดให้กล้าลงมือทำในสิ่งที่ท้าทาย สองคือ Win as a Team การพิชิตทุกเป้าหมายและเอาชนะทุกอุปสรรคร่วมกับทีม พร้อมช่วยเหลือและยอมรับความแตกต่างซึ่งกันและกัน, สามคือ Learn & Develop การกล้าลองผิดลองถูก เผชิญหน้ากับประสบการณ์ใหม่ ลงมือทำและเรียนรู้จากสนามจริง เพื่อเติบโต และข้อสุดท้ายคือ Create a Better Tomorrow มีความตั้งใจในการสร้างสรรค์งานเพื่อเปลี่ยนทุกชีวิตให้ดีขึ้นและสร้างอนาคตที่ดีกว่าเดิมสำหรับทุกคนในสังคม

ทั้งนี้เนื้องานในแต่ละตำแหน่ง มีความแตกต่าง ใช้ทักษะหลากหลายที่อาศัยความเชี่ยวชาญในมุมที่ต่างกันออกไป เราขอชวนมาฟังประสบการณ์และบทเรียนจากตัวแทนพนักงาน KBank WBG ว่าแต่ละทีม ‘ใส่สุด’ กันแบบไหนและได้เต็มที่กับการพัฒนาตัวเองอย่างไรบ้าง

1. World Business Strategist – คิดแบบนักกลยุทธ์ที่ใส่สุด

ตำแหน่งนักกลยุทธ์ที่ KBank WBG เรียกว่า ‘World Business Strategist’ เพราะต้องทำงานและคุยกับพาร์ทเนอร์ที่ต่างประเทศ คุณ ดอลลาร์-ธนวัฒน์ ได้แชร์ประสบการณ์ในบทบาทนักกลยุทธ์ว่ามีความท้าทายอย่างมากเพราะต้องนำข้อมูลมหาศาลมาวิเคราะห์เพื่อทำการตลาดในต่างประเทศแต่ทุกงานเป็นไปได้ด้วยการ ‘ใส่สุด’ ไม่ว่าจะด้วยการใส่พลัง ใส่ไอเดีย และใส่ความคิดสร้างสรรค์เข้าไป

คุณดอลลาร์ยังได้แชร์ว่าได้เรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ที่ไม่เคยเจอมาก่อนจากงานอยู่เสมอเพราะต้องดูแลโปรเจ็กต์ที่มีมูลค่าหลักล้านหรือหลายล้านบาท ด้วยโลกยุคใหม่ที่มีการเปลี่ยนแปลงไว ทำให้ต้องริเริ่มสิ่งใหม่ มีความยืดหยุ่นสูงและไม่กลัวความท้าทาย ซึ่งสิ่งที่ได้กลับมานั้นคุ้มค่าเพราะทำให้เติบโตเป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีกว่าเดิม

2. Sales Management – นักขายที่เวิร์กแบบทีมเวิร์ก

คุณกิฟท์-สุธีรา เล่าว่าการทำงานแบบใส่สุดในหน้าที่เซลล์คือ ‘มีร้อยให้พัน’ ไม่ใช่แค่ตั้งใจทำให้ถึงเป้าแต่หวังให้ทะลุเป้าไปเลย ความสนุกคือการได้ทำงานกับเพื่อนร่วมงานต่างชาติ ต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม ซึ่งคุณแดนนี่

-Duc Duy Bui ก็บอกว่าสิ่งแวดล้อมในการทำงานแบบนี้ทำให้ได้โอกาสในการทำความเข้าใจความหลากหลายของตลาดที่มีลักษณะเฉพาะแตกต่างกัน 

ทั้งสองคนเล่าว่าในการทำงาน ทั้งทีมเซลล์จะช่วยกันคิดกลยุทธ์การขายก่อนออกโปรโมชั่นหรือแคมเปญว่าจะเพิ่มยอดยังไงให้คนใช้มากขึ้นหรือหาวิธีใหม่ๆ ที่เข้าถึงลูกค้า โดยมีพี่ๆ ในทีมผู้เก๋าประสบการณ์ช่วยไกด์ ทักษะสำคัญในการทำงานเป็นทีมเวิร์กคือกล้าพูด กล้านำเสนอ กล้าโชว์ไอเดีย ต่อยอดไอเดียของกันและกันเพื่อได้โซลูชั่นที่เวิร์กจริงๆ 

3. Product Manager – ทีมโปรดักต์ที่กล้าทุกความท้าทาย

คุณนุ่น-จริณี เล่าแบ็กกราวน์ของทีมว่าในการบุกตลาดต่างประเทศนั้น ไม่สามารถนำความรู้ที่ใช้กับสินค้าในปัจจุบันไปใช้ได้ ต้องริเริ่มสิ่งใหม่ขึ้นมาเพื่อให้สินค้าและบริการเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายที่อยู่ในประเทศนั้นๆ ดังนั้นทักษะสำคัญจึงต้องเตรียมใจรับความล้มเหลวและยังต้องรู้ลึก รู้กว้าง รู้จริงในทุกเรื่อง เพื่อประมวลความรู้ทุกอย่างที่มีไปพัฒนาสิ่งใหม่ทั้งในมุมบริหาร งบประมาณและทรัพยากร 

คุณไอซ์-ธนภูมิ มีมุมมองคล้ายกันว่าในกระบวนการการออกผลิตภัณฑ์ให้เป็นไปตามความต้องการของลูกค้า ต้องรู้จักเอาผลการทดลองกลับมาพัฒนาและเรียนรู้จากผลลัพธ์ ย่อกระบวนการทำงานให้เร็วโดยใช้วิธีทำงานแบบ agile และรู้จัก fail fast fail forward ซึ่งเป็นสปิริตที่คล้ายกับการเป็นผู้ประกอบการ 

4. Relationship Manager – นักสร้างสัมพันธ์ที่ร่วมทุกเส้นทางกับลูกค้า

คุณป่าน-พิมลชญา บอกว่าหัวใจสำคัญของ relationshop manager คือเข้าใจลูกค้าในทุกมิติ นำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการและยังควรมีมายด์เซ็ทความเป็น futurist ที่พร้อมเปิดกว้างและสนับสนุนให้ลูกค้าเติบโตในอนาคต 

สำหรับ คุณ Charlie- Jialin Huang  เขามองว่าความท้าทายของตำแหน่งนี้คือการสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าเพราะลูกค้าจากต่างชาติยังไม่รู้จักบริษัทดีและหลายคนก็มาจากองค์กรใหญ่ที่มีความคาดหวังสูง บทบาทการสร้างสัมพันธ์เปรียบเสมือนนักบินผู้ช่วยในการเดินทางไกลที่สนับสนุนให้ลูกค้าขับเครื่องบินไปถึงที่หมาย ช่วยให้ลูกค้ามองเห็นอนาคตของธุรกิจที่พัฒนาให้ชีวิตดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง


การสร้างทักษะและมายด์เซ็ทเหล่านี้ของพนักงานเกิดจากการที่องค์กรมีส่วนสนับสนุนในการสร้าง DNA ของทีมเพื่อให้ทุกคนมีความเชื่อและคุณค่าไปในทางเดียวกัน ไม่ว่าจะด้วยการสนับสนุนด้านทรัพยากรและเทคโนโลยี องค์กรที่เปิดโอกาสพนักงานให้แสดงศักยภาพได้เต็มที่และทำให้ทีมรู้สึกว่าตัวเองเก่งกว่าที่คิด จะยิ่งทำให้ทีมมีสปิริตและพร้อมพัฒนาตัวเองเพื่อเติบโตกับบริษัทต่อไป   

ขณะนี้ KBank WBG กำลังเฟ้นหาเพื่อนร่วมทีมผ่านแคมเปญ “ใส่สุด โตไม่สิ้นสุด” หากคุณคือคนที่มี DNA เดียวกัน ไม่หยุดยั้งในการพัฒนาตัวเองเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย มาร่วมเดินทาง เติบโต และเรียนรู้ไปด้วยกัน กับ KBank World Business Group ได้ที่ https://kbankwbg.co/4a44mxc และ ติดตามเรื่องราวของทีม KBank World Business Group ได้ทางเฟสบุ๊กเพจ WBG World Business Group https://m.facebook.com/KBANKWBG/  

SC Asset เปิดตัว ‘Morning Coin (MNC)’ โทเคนแลกสิทธิประโยชน์สำหรับลูกบ้าน พร้อมชวนช้อปที่ Sunshine Market 17-19 พ.ค.นี้

ทุกวันนี้เทรนด์ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แถวหน้าทั่วโลกมักมีบทบาทมากกว่าผู้พัฒนาที่อยู่อาศัย
และมุ่งสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้ลูกค้าด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ เช่นเดียวกับ SC Asset ที่มีแนวคิด ‘หนึ่งบ้านล้านคุณค่า’ คือ การส่งมอบคุณภาพชีวิต สิทธิประโยชน์ ประสบการณ์พิเศษ และคอมมิวนิตี้ที่เข้มแข็งให้ลูกบ้าน  

คุณณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) มองว่า หากสร้างความเชื่อมั่นกับลูกค้าด้วยสินค้าและบริการคุณภาพสูง (quality first) ได้ ก็จะสามารถเปลี่ยนความเชื่อมั่นนั้นเป็นกำไรต่อไป และนำกำไรมาพัฒนานวัตกรรมได้ในที่สุด ซึ่งการใส่ใจทั้งคุณภาพและนวัตกรรมนี้เองที่ทำให้ SC Asset วางโพซิชั่นเป็นผู้นำหลังการขายอันดับหนึ่งในวงการอสังหาริมทรัพย์มาได้อย่างยาวนาน  

เทคโนโลยีล่าสุดที่บริษัทนำมาพัฒนาเพื่อสร้างคุณค่าใหม่ให้ลูกค้าภายใต้ SC Asset Reward Program “The S.U.N.  คือ “มอร์นิง คอยน์” (Morning Coin – MNC) ซึ่งเป็น Utility Token หรือสินทรัพย์ดิจิทัลจากเทคโนโลยีบล็อกเชนที่เปรียบเสมือนคูปองในโลกออฟไลน์สำหรับลูกค้าบ้าน-คอนโดของ SC Asset โดยเฉพาะ 

การนำเทคโนโลยีอย่าง Morning Coin มาใช้ทำให้แบรนด์สามารถขยายจักรวาลสิทธิประโยชน์แก่ลูกค้าภายใต้ “The S.U.N.” ประกอบด้วย Special พิเศษ  , Unique แตกต่าง และ Network เครือข่าย ที่มีหัวใจในการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้าด้วยการมอบความพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นส่วนลดในบ้านและคอนโด รวมถึงธุรกิจในเครือของ SC Asset อย่างโรงแรมและโรงพยาบาล ไปจนถึงกิจกรรมพิเศษที่ไม่สามารถหาที่ไหนได้ เช่น คอนเสิร์ตส่วนตัว, ตัดผมกับสไตลิสต์คิวทอง, ทริปท่องเที่ยว Secret Kyoto เป็นต้น

แล้วลูกบ้านจะสามารถใช้ Morning Coin (MNC) นี้ได้ยังไงและที่ไหนบ้าง? นอกจากใช้แลกส่วนลดหรือสิทธิประโยชน์ต่างๆ ผ่านแอพฯ “รู้ใจ สโตร์” (RueJai Store) แล้ว ปีนี้ SC Asset ยังจัดตลาดนัด ‘ซันไชน์ มาร์เก็ต’ (Sunshine Market) ที่รวมพลกลุ่มลูกบ้านผู้มีกิจการร้านค้าของตัวเองมาขายของร่วมกันเป็นครั้งแรก ไฮไลต์เด่นคือลูกค้าสามารถแลกรับส่วนลดและสิทธิพิเศษด้วยเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดอย่าง Morning Coin ที่เพิ่งเปิดตัวได้ในงาน

Sunshine Market เป็นเพียงหนึ่งในกิจกรรมด้านเครือข่ายของ SC Asset เท่านั้น ด้วยความเชื่อว่าลูกบ้านของแบรนด์เป็นสังคมคุณภาพที่ประกอบด้วยผู้คนหลากอาชีพและธุรกิจ กิจกรรมต่างๆ จึงถูกออกแบบมาเพื่ออยากให้ลูกบ้านได้เชื่อมโยงและใกล้ชิดกันมากขึ้นเพื่อโอกาสและความเป็นไปได้ใหม่ในอนาคต

ลูกบ้าน SC Asset และลูกค้าทั่วไปที่สนใจ Sunshine Market สามารถแวะมาเดินเล่นได้ในวันที่ 17-19 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 ที่ Quartier Avenue ชั้น G ศูนย์การค้าเอ็มควอเทียร์ (EMQUARTIER) งานนี้ลูกบ้าน SC Asset ที่เปิด MNC Wallet ผ่านแอพฯ ในงานจะได้รับ Morning Coin (MNC) เพื่อใช้เป็นส่วนลดและสิทธิประโยชน์ต่างๆ อีกด้วย

สามารถทำความรู้จักกับ Morning Coin ได้ที่ www.scasset.com/th/scmorningcoin และคลิกเปิดกระเป๋าสะสม MNC ได้ที่ https://m.scasset.com/MaLt

กลั่นเหตุผลที่ทำให้ The Balvenie เป็นซิงเกิลมอลต์สกอตช์วิสกี้ที่ครองใจคนทั่วโลก

โดยทั่วไป ‘มอลต์’ เป็นที่รู้จักในฐานะอาหารที่มีส่วนผสมของธัญพืชอย่างซีเรียล แต่ในโลกของนักดื่มมักจะนึกถึง ‘ซิงเกิลมอลต์วิสกี้’ เครื่องดื่มสีอำพันสุดคลาสสิก ที่มีคาแร็กเตอร์ชัดเจน ด้วยการหมักและกลั่นมาจากมอลต์ของข้าวบาร์เลย์เท่านั้น และทุกหยดในขวดจะมาจากโรงกลั่นเดียวกัน นำมาผ่านกรรมวิธีอันพิถีพิถัน จนขึ้นชื่อว่าเป็นเครื่องดื่มแห่งความคราฟต์

ซึ่งแหล่งผลิตซิงเกิลมอลต์วิสกี้ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือสกอตแลนด์ โดยเฉพาะแบรนด์ชื่อดังอย่าง ‘The Balvenie’ ซิงเกิลมอลต์สกอตช์วิสกี้ที่ส่งออกไปทั่วโลก และกวาดรางวัลมาแล้วมากมาย ได้มีโรงกลั่นตั้งอยู่ที่เมืองดัฟฟ์ทาวน์ เขตสเปย์ไซด์ ซึ่งถือเป็น 1 ใน 6 แหล่งผลิตวิสกี้ของสกอตแลนด์ แต่ถ้าย้อนไปเมื่อปี 1892 โรงกลั่นวิสกี้แห่งนี้เคยเป็นปราสาท Balvenie New House ที่สร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 18

ก่อนที่วิลเลียม แกรนต์ จะนำประสบการณ์ที่สั่งสมมากว่า 20 ปี จากการเคยเป็นผู้จัดการของโรงกลั่น Mortlach Distillery มาก่อตั้งแบรนด์ The Balvenie และเปิดโรงกลั่นเป็นของตนเอง ซึ่งก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อปี 1893 นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นในการผลิตวิสกี้ส่งออกไปทั่วโลก จนโด่งดังในเรื่องของซิงเกิลมอลต์สกอตช์วิสกี้ที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวและให้ความรู้สึกเหมือนได้มาดื่มด่ำกับงานศิลปะชั้นเลิศ

Capital List ตอนนี้จึงขอพาทุกคนมาตีตั๋วไปที่สกอตแลนด์ เพื่อสัมผัสกลิ่นอายของซิงเกิลมอลต์สกอตช์วิสกี้ พร้อมจิบเรื่องราวและเหตุผลที่กลั่นให้ The Balvenie ครองใจคนทั่วโลกได้อย่างอยู่หมัด

1. วัตถุดิบดีมีชัยไปกว่าครึ่ง

The Balvenie เป็นโรงกลั่นเพียงแห่งเดียวในที่ราบสูงสกอต ที่ยังคงใช้ข้าวบาร์เลย์ที่ปลูกเองเพื่อทำวิสกี้ แต่ก็มีความท้าทายในเรื่องของสภาพอากาศของสกอตแลนด์ที่ยากจะคาดเดา และต้องเพาะข้าวบาร์เลย์มาทำเป็นมอลต์เท่านั้น ห้ามมีข้าวชนิดอื่นมาผสมเด็ดขาด แตกต่างจากมอลต์วิสกี้ทั่วไป ที่สามารถผสมข้าวสาลีและข้าวไรย์ได้ ทำให้ต้องใช้ทีมเกษตรกรมืออาชีพในการหว่านเมล็ด ดูแล และเก็บเกี่ยว

2. ใช้กรรมวิธีดั้งเดิมเติมเสน่ห์ให้น่าค้นหา

หลังเก็บเกี่ยวข้าวบาร์เลย์แล้ว จะนำไปแช่ในน้ำแร่ที่มาจากเนินเขาเหนือโรงกลั่นจนข้าวแตกยอดอ่อน หลังจากนั้นจะเตรียมมอลต์ด้วยวิธีการดั้งเดิมแบบใช้มือ คือให้คนทำมอลต์หมุนข้าวบาร์เลย์ด้วยตนเองจนกว่าข้าวจะกะเทาะออกจากเปลือก ก่อนจะนำไปทำให้แห้งในโรงกลั่น ด้วยการใช้ถ่านหินแอนทราไซต์และพีทที่ควบคุมอุณหภูมิได้อย่างประณีต ซึ่งวิธีนี้เป็นการคงเสน่ห์แบบดั้งเดิมที่ทำให้วิสกี้มีความซับซ้อนน่าค้นหามากยิ่งขึ้น

3. ทีมงานมากฝีมือคือสิ่งที่ขาดไม่ได้

ด้วยความที่ The Balvenie เน้นความพิถีพิถันในทุกกระบวนการ แม้แต่วัสดุที่ใช้ยังต้องมาจากช่างฝีมือที่มีประสบการณ์ ตั้งแต่ช่างทำถังไม้จะสร้างถังด้วยมือ ซึ่งเป็นทักษะที่ต้องใช้เวลาฝึกฝนมากกว่า 4 ปี ส่วนหม้อกลั่นทองแดงจะได้รับการถูกดูแลโดยช่างเฉพาะตัวให้สมบูรณ์อยู่เสมอ เพื่อมาใช้ในการกลั่นและสร้างสรรค์วิสกี้ที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร

4. มี malt master ดูแลการผลิตวิสกี้ทุกขวด

เพื่อรักษาคุณภาพและรสชาติให้สมดุลตามสไตล์ The Balvenie ทำให้ตั้งแต่เริ่มกลั่นวิสกี้ขวดแรกมาจนถึงปัจจุบัน ก็จะมี ‘David C. Stewart’ เป็น malt master ที่ดูแลการผลิตอยากใกล้ชิด จนได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์จักรวรรดิบริติช จากสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และในปี 2023 ได้รับการยกย่องให้เป็นทูตกิตติมศักดิ์และปรมาจารย์ด้านวิสกี้ ก่อนจะส่งไม้ต่อให้ลูกศิษย์ฝีมือดีของเขาอย่าง Kelsey McKechnie เข้ามาเป็น malt master คนต่อไป

5. วิสกี้มีความลึกซึ้งและซับซ้อนด้วยการบ่มแบบ cask finishes

ในปัจจุบันการบ่มวิสกี้แบบ ‘cask finishes’ เป็นเทคนิคที่ถูกใช้อย่างแพร่หลาย แต่ต้นกำเนิดมาจากในปี 1983 ที่ David C. Stewart ได้เป็นผู้คิดค้นวิธีการบ่มวิสกี้แบบ cask finishes เป็นคนแรก โดยเป็นการบ่มวิสกี้ในถังหนึ่งเป็นเวลาหลายปี จากนั้นในช่วง 3 เดือนสุดท้ายจะทำการย้ายวิสกี้ไปบ่มในอีกถังหนึ่งที่ทำมาจากวัสดุที่แตกต่างกัน เพื่อเพิ่มเลเยอร์ให้วิสกี้มีความลึกซึ้งและซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่เกิดขึ้นจากวิธีการบ่มแบบนี้เท่านั้น

6. รังสรรค์วิสกี้ที่ให้ความรู้สึกเหมือนได้เสพงานศิลปะ

The Balvenie ไม่ใช่แค่ผู้ผลิตซิงเกิลมอลต์สกอตช์วิสกี้ แต่เป็นเหมือน ‘ผู้สร้างงานศิลปะที่น่าหลงใหล’ เพราะในแต่ละรุ่นจะมีซิกเนเจอร์ที่แตกต่างกันออกไป ตามวิธีการคราฟต์กลิ่นและรสชาติ การเลือกถังมาบ่ม ไปจนถึงการกลั่นด้วยความประณีต

อย่างล่าสุดในปี 2023 ได้เปิดตัว ‘The Balvenie 60 Year Old’ เพื่อเฉลิมฉลอง 6 ทศวรรษที่ David C. Stewart เป็น malt master ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์การผลิตวิสกี้ โดยใช้เวลาบ่มยาวนานถึง 60 ปี จากถังบ่มเดียวที่บรรจุในปี 1962 จึงให้กลิ่นที่หอมเหมือนอยู่ในฤดูใบไม้ร่วง

และงานศิลปะในรูปแบบวิสกี้ขวดนี้ ยังบอกเล่าเส้นทางอันแสนวิเศษของ David C. Stewart ด้วยขวดวิสกี้ที่ทำจากคริสตัลเป่าด้วยมือ บรรจุอยู่ในกล่องดีไซน์พิเศษถึงห้าชั้น ในแต่ละชั้นก็จะสลักเรื่องราวที่บอกเล่าเส้นทางการทำงานตลอด 60 ปีของเขา ทำให้รุ่นนี้เป็นวิสกี้ที่เก่าแก่และหายากที่สุดเท่าที่แบรนด์เคยมีมา จึงมีเพียง 71 ขวดทั่วโลก และในไทยมีเพียง 1 ขวดเท่านั้น

ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องราวและเหตุผลที่บ่มให้ The Balvenie กลั่นออกมาเป็นซิงเกิลมอลต์สกอตช์วิสกี้เบอร์ต้นๆ ของโลก ที่ครองใจผู้คนมาได้อย่างยาวนานจนถึงปัจจุบัน

PRACTICAL School of Design โรงเรียนสอนออกแบบสำหรับคนทุกอาชีพ ที่เชื่อว่าทุกคนออกแบบได้

โรงเรียนแห่งนี้ไม่เหมือนโรงเรียนอื่นๆ ที่ผมรู้จักในชีวิต

โรงเรียนแห่งนี้ก่อตั้งเมื่อปี 2019 โดยนักออกแบบ 6 ชีวิต ที่ล้วนแล้วแต่มีหน้าที่การงานรัดตัว หลายคนเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยที่สอนต่อเนื่องมายาวนานหลายปี ได้แก่ ติ๊ก-สันติ ลอรัชวี, เบล-กนกนุช ศิลปวิศวกุล, เต้-อรรฆพงศ์ ผลประเสริฐ, นัด-ณัฐพงศ์ ดาววิจิตร, เติร์ก-จักรพันธ์ สุวรรณะบุณย์ และรมิ-รมิตา บุราสัย

โรงเรียนแห่งนี้แม้จะก่อตั้งโดยกลุ่มนักออกแบบ แต่พวกเขากลับเชื่อว่า “ใครๆ ก็ออกแบบได้” ไม่ใช่เฉพาะนักออกแบบ

โรงเรียนแห่งนี้จึงนิยามตัวเองว่าเป็นโรงเรียนสอนออกแบบ แต่ไม่ใช่สำหรับนักออกแบบเท่านั้น

โรงเรียนแห่งนี้ตั้งใจสร้างมายด์เซตในการออกแบบให้ผู้คนในทุกสาขาวิชาชีพ ทุกช่วงวัย ทุกความสนใจ ได้นำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันและการทำงาน ด้วยเชื่อว่ามายด์เซตนี้จะทำให้การใช้ชีวิตในแต่ละวันของผู้เรียนดีขึ้นได้–ไม่มากก็น้อย

โรงเรียนแห่งนี้จึงมีผู้มาเรียนหลากหลาย ตั้งแต่นักออกแบบ ศิลปิน นักเขียน นักธุรกิจ คนที่เรียนจบทางด้านกฎหมาย วิศวกรรม จิตวิทยา ฯลฯ และมีตั้งแต่ผู้ใหญ่วัยเกษียณจนกระทั่งถึงเด็กวัยประถม

“โรงเรียนเราเป็นพื้นที่ปลอดภัย เป็นที่รวมของคนที่สนใจบางอย่างใกล้ๆ กัน แล้วก็มาพัฒนาตัวเองผ่านกระบวนการออกแบบ ประสบการณ์ทางการออกแบบ” สันติว่าไว้อย่างนั้น

โรงเรียนแห่งนี้เปิดสอนมาแล้วหลากคอร์สหลายคลาส โดยคอร์สหลักที่กำลังเปิดรับสมัครชื่อ EveryONE-O-ONE ซึ่งเปรียบเสมือนวิชา 101 ที่จะปลูกฝังวิธีคิดและทัศนคติในการออกแบบให้กับทุกคน โดยที่ไม่ต้องมีพื้นฐานทางการออกแบบมาก่อน

โรงเรียนแห่งนี้ไม่ต้องกลัวถูกตัดสิน เพราะไม่มีการประเมินผลและไม่มี certificate หากแต่มีหนังสือรวบรวมกระบวนการเรียนมอบให้ รวมถึงการประมวลผลที่เป็นรูปธรรมอย่างการจัดนิทรรศการแสดงผลงานให้กับผู้มาเรียน

โรงเรียนแห่งนี้ไม่มีตัวอาคารที่ระบุตำแหน่งแห่งหนได้ชัดเจน เพราะมันเป็นที่ไหนก็ได้ที่เหมาะกับวิชาที่เปิดสอน อย่างคอร์ส EveryONE-O-ONE ก็เรียนกันที่ Mana Craft ซึ่งด้านล่างเป็นคาเฟ่ ส่วนด้านบนก็เป็นพื้นที่บรรยายรวมถึงจัดแสดงงาน และผมก็นัดสนทนากับคณะผู้ร่วมก่อตั้งที่นี่

โรงเรียนแห่งนี้ไม่มีรั้วกั้นกันคนหนีเรียน แต่นั่นคงไม่จำเป็น เพราะนักเรียนของที่นี่หลายคนบอกว่า “ทุกวันเสาร์ที่มาเรียนคือช่วงเวลาที่รอคอย”

โรงเรียนแห่งนี้ชื่อ PRACTICAL School of Design

โรงเรียนแห่งนี้ไม่เหมือนโรงเรียนอื่นๆ ที่ผมรู้จักในชีวิต

ในภาพ cover ของเพจ Practical School of Design มีประโยคที่เขียนว่า “ใครๆ ก็ออกแบบได้” ในฐานะนักออกแบบทำไมพวกคุณเชื่อแบบนี้

สันติ : มันมาจากตอนที่ผมอ่านหนังสือเล่มนึงชื่อ The Design Way ของ Harold G. Nelson, Erik Stolterman หนังสือเล่มนี้เขียนตั้งแต่ปี 2002 มันคือหนังสือปรัชญาทางการออกแบบที่พูดถึงวิถีของการออกแบบอย่างคมคายมาก หนาปึ้กเลย ผมก็อ่านวนไป

สิ่งหนึ่งที่หนังสือเล่มนี้ convince ผมได้ก็คือประโยคนำที่บอกว่า “Human did not discover fire but design it” มนุษย์ไม่ได้ค้นพบไฟ แต่มนุษย์ดีไซน์มัน มันทำให้พบว่า essence หรือแก่นแท้ของดีไซน์คือ purpose เมื่อคุณมีจุดมุ่งหมายและคุณทำทุกอย่างเพื่อให้คุณบรรลุถึงจุดมุ่งหมายนั้น กระบวนการตรงนั้นเขาเรียกว่าการออกแบบ แต่ถ้าคุณไม่มีจุดมุ่งหมาย คุณทำอะไรก็ตาม ต่อให้มันสวยงาม ลีลาดีแค่ไหน มันก็ไม่ใช่การออกแบบ เพราะฉะนั้นการออกแบบจึงสัมพันธ์กับจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้

เราค้นพบไฟก็เท่านั้น รู้ว่ามันร้อนก็เท่านั้น แต่ทำยังไงเราถึงจะจุดมันได้เวลาที่เราต้องการ ทำยังไงที่เราจะใช้มันทำอาหารให้สุก ทำยังไงที่เราจะใช้มันเพื่อให้แสงสว่าง คุมมันแค่ไหน เพราะฉะนั้นดีไซน์จึงเกี่ยวข้องกับ feasibility ก็คือคุณมีเป้าหมายในการใช้งาน อย่างในยุคโมเดิร์นก็มีเป้าหมายชัดเจน ที่เป็นปรัชญาของยุคก็คือการทำให้ชีวิตมนุษย์ดีขึ้น ดีไซน์เกิดขึ้นมาเพื่อให้เรายกระดับตัวเองไปเรื่อยๆ แล้วตรงนี้แหละที่ทำให้โฮโมเซเปียนส์ยังอยู่ถึงทุกวันนี้ เราจะเรียกว่าดีไซน์หรือไม่เรียกว่าดีไซน์ก็ได้

กนกนุช : จริงๆ คำว่าดีไซน์สำหรับเรามันติดมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว ตอนเราเรียนทฤษฎีพื้นฐานด้านการออกแบบอาจารย์จะสอนว่า ดีไซน์คือการวางแผน แก้ปัญหา และจัดองค์ประกอบ ตั้งแต่วันนั้นเราก็เริ่มสังเกตสิ่งรอบๆ ตัว อย่างเราเป็นคนชอบแต่งตัว เราก็เลยรู้สึกว่ามันอยู่ตั้งแต่การแต่งตัวในแต่ละวัน วันนี้เราอยากได้รูปแบบไหน อากาศเป็นยังไง แล้วเรากำลังจะไปร่วมงานอะไร คือมันอยู่ในชีวิตประจำของทุกคน

เวลาคนถามว่าดีไซน์สำหรับเราคืออะไร เราก็จะเปรียบเทียบเรื่องการแต่งตัวนี่แหละว่าทุกวันเวลาเราลืมตาตื่นมา แค่การเลือกเสื้อผ้าออกมาข้างนอกมันก็คือการได้ดีไซน์แล้วนะ รวมถึงพอเรามองไปในรายละเอียดที่ทุกคนใช้ชีวิตในแต่ละวัน เราจะเห็นว่ามันอยู่ในรายละเอียดเล็กๆ ซึ่งที่ผ่านมาก่อนจะมาทำโรงเรียนเราก็ไม่ได้คิด

สันติ : จากหนังสือ The Design Way ข้อนึงที่เราพบคือทักษะในการดีไซน์มันไม่ใช่ของนักออกแบบเท่านั้น แต่เป็นสกิลที่ทุกคนมีอยู่แล้ว พวกคำที่เราใช้เรียกอาชีพ ที่เอา -er มาใส่ข้างหลังมันเพิ่งเกิดขึ้นมาเมื่อ 200 กว่าปีเอง มันเลยทำให้เกิดความเข้าใจว่าศาสตร์นี้ ความเข้าใจตรงนี้ มันเป็นของนักออกแบบ แต่กิจกรรมนี้ ความสามารถนี้ อยู่มา 30,000-40,000 ปีแล้ว พวกเราก็เลยรู้สึกว่ามันน่าสนใจมากที่เราจะคืนสกิลนี้ให้กับทุกคน

การทำให้เชื่อว่าทุกคนออกแบบได้จะเป็นการลดทอนความสำคัญของนักออกแบบไหม

สันติ : ทุกวันนี้เราก็ถูกรุกเร้าโจมตีจากยุคสมัยอยู่แล้วใช่มั้ย คนเขียนหนังสือได้ดีขึ้นเพราะมี chatGPT ช่วย ร่างพล็อตนิยายได้เลย คนทั่วไปก็ออกแบบได้ มี AI มี Canva คนทั่วไปก็ถ่ายรูปได้เพราะมีกล้อง มีตัวช่วย ทุกวันนี้ทุกอาชีพล้วนถูกท้าทาย จริงๆ มันถูกเรียกคืน ถูกมั้ย คุณยึดไว้ประมาณสัก 100-200 ปี แต่ตอนนี้อาชีพคุณกำลังถูกเรียกคืน ซึ่งคนที่เรียกคืนไม่ใช่ AI นะ แต่คือคนทั่วไปที่ยืมเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย เพราะเขามีทางเลือก

บันได The Design Ladder ของ Danish Design Center แบ่งงานออกแบบเป็นบันได 4 ขั้น ขั้นแรก Non-Design คือแค่ทำตามโจทย์ ขั้นที่สองคือ Design as Styling คืองานออกแบบที่ตอบความงาม สไตล์ รูปแบบ ขั้นที่สามคือ Design as Process เหมือนคุณใช้ดีไซน์เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการประกอบธุรกิจ เป็นส่วนประกอบสำคัญ เป็นฟันเฟือง เป็นระบบอันหนึ่งที่ทำให้ทำงานได้ดีขึ้น และขั้นที่สี่คือ Design as Strategy คือการใช้ดีไซน์เข้าไปช่วยในแผนกลยุทธ์ มีผลได้-เสียกับการประกอบธุรกิจ ทุกวันนี้ถ้าไม่จำเป็นผมก็อาจจะยังไม่ยกหูจ้างก๊อบปี้ไรเตอร์ ผมขอคุยกับ chatGPT อีกสัก 2 วันก่อน ว่าทิศทางการเขียนมันจะเป็นยังไง หรือจะทำอะไร ทั้งการรีเสิร์ช การทำภาพ ตอนนี้ก็ทำภาพเคลื่อนไหวได้ด้วย ถ่ายรูปก็ง่ายขึ้น คือถ้าคนทั่วไปถ้าเขาไม่ได้ใช้แบบซีเรียสเขาก็ทำเองได้ เพราะฉะนั้นงานที่เป็นขั้นบันไดแรกมันจะถูกสึนามิเข้าหมดแล้ว

คราวนี้ในแง่ของระดับขั้นที่สูงขึ้นก็ต้องการคนที่เข้าใจมากขึ้น คนเข้าใจในที่นี้ไม่ใช่เพียงแค่ผู้ปฏิบัติหรือผู้ที่ประกอบอาชีพนี้ แต่มันคือ ecosystem ผมคิดว่าพวกเราสนใจในการสร้าง ecosystem ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง 

ถามว่าการทำให้ทุกคนเชื่อว่าตัวเองออกแบบได้มันลดทอนความสำคัญของนักออกแบบไหม ยกตัวอย่างช่วงโควิด-19 ผมหันมาทำอาหารเพราะเราว่าง ผมก็ไปเสิร์ชยูทูบแล้วลองทำ ผมก็ทำได้ทุกอย่างเลย หลายคนก็เหมือนกัน เห็นเพื่อนๆ ในไอจีทำเมนูนั้นเมนูนี้ได้ แล้วพอถึงจุดนึงที่เราทำมันออกมาได้ ผมไม่ได้คิดว่าเห็นแค่นี้ใครๆ ก็ทำได้ แต่ผมกลับรู้สึกทึ่งในตัวเชฟมากขึ้นเมื่อได้ลองทำอาหาร

ทำไมเป็นแบบนั้น

สันติ : พอเราได้มาลอง ครั้งแรกเราอาจประสบความสำเร็จ คนที่บ้านกินแล้วบอกว่าเปิดร้านได้เลย เราก็ภูมิใจ เขาก็เชียร์กัน แต่พอทำอีกทีปรากฏว่าเละ หรืออยากส่งไปให้รุ่นน้อง พอลองทำเพิ่มปริมาณอีกหน่อยก็พัง คือเราทำตามสูตร เราไม่ได้เข้าใจว่าอันนี้ต้องเพิ่มมากหรือน้อยแค่ไหน หลังจากนั้นเราก็รู้สึกว่าซื้อกินดีกว่า อร่อยกว่า ง่ายกว่า

ซึ่งก็เหมือนกัน ถ้ามีมุมมองที่ทำให้คนเข้าใจดีไซน์ ทำให้เขาได้มีประสบการณ์ในการออกแบบมากขึ้น เขาน่าจะเห็นค่าดีไซเนอร์มากขึ้นด้วย แต่เป็นดีไซเนอร์ในความหมายใหม่ที่ทุกคนหา ไม่ใช่ดีไซเนอร์ที่เพียงแค่ตอบสนองเทคนิคบางอย่างที่คนอื่นเริ่มทำได้แล้ว มันก็จะสร้างจุดยืน หรือว่าความต้องการ requirement ใหม่ๆ ของการออกแบบ

อย่างงาน Bangkok Design Week ครั้งที่ผ่านมามีกระแสเรียกร้องให้งานเข้ามายกระดับความเป็นอยู่ในชุมชน เราจะเห็นว่ามีกระแสที่ถกเถียงกัน ซึ่งสำหรับผม ผมรู้สึกว่าดีจังที่เริ่มมีคนที่หวังว่างานดีไซน์จะทำอะไรต่างๆ ให้เขาแล้ว แสดงว่าเขาเห็นแล้วว่ามันสำคัญ ทำไมทำแค่นี้ เขากำลังคาดหวัง ซึ่งเมื่อเขาคาดหวัง วันนี้เราอาจจะยังตอบรับเขาไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร แต่ว่าเขาเห็นเราสำคัญ เขาเลยคาดหวัง เริ่มมีคนเรียกร้องบางอย่างจากดีไซน์ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่สวยงามมาก น่าสนใจมาก แล้วก็น่าดีใจมาก แสดงว่างานดีไซน์วีคมันเวิร์ก แสดงว่าสิ่งที่คุณทำมาหลายปีมันได้ผล สังคมคาดหวังแล้ว ปีหน้าก็เอาอีกสิ ให้มันตอบสนองความคาดหวังนี้ ผมคิดว่า ecosystem แบบนี้มันสำคัญ

ตอนนี้อาจจะไม่ใช่เวลาที่เราจะทำเพียงแค่มานั่ง develop กันใน chamber ตัวเอง แจกรางวัลกันเอง ชื่นชมกันเอง มางานกันเอง เปิดงานกันก็มีแต่พวกเรามา ไอ้คนอยู่นอกตึกก็ไม่รู้เราทำอะไรกัน ตรงนี้มันเยอะแล้ว สำหรับเราจุดที่น่าสนใจมันไปอยู่อีกฟากนึง แล้วเราไม่ได้ทำแค่ฟากนั้น แต่เราทำให้ทั้งสองฝั่งอยู่รวมกันได้ เพราะถ้าดีไซน์เป็นของทุกคนจริงๆ มันต้องอยู่ด้วยกันได้ ต้องคุยด้วยกันได้

ในมุมมองของคุณ การที่คนนอกวงการออกแบบไม่เข้าใจคุณค่าของการออกแบบเป็นปัญหายังไง

สันติ : ผมจะเลี่ยงพูดในแง่วิชาชีพ ผมขอพูดในภาพรวม มีบางเรื่องบางสิ่งในสังคมเราที่มันอาจจะดีกว่านี้ได้ แต่ยังไม่ดีขึ้น เพราะว่าเขาอาจจะไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องการออกแบบ ยกตัวอย่างง่ายๆ อย่างการขึ้นลิฟต์ บางที่ระบบการสื่อสารถ้ามันดีจะทำให้คนทำงานกับพื้นที่สะดวกขึ้น ซึ่งอันนี้มันไม่ได้อยู่ในอาณัติของดีไซเนอร์ บางทีมันอยู่ในการตัดสินใจแค่ของคนบริหาร นิติบุคคลของอาคาร 

บางเรื่องดีไซเนอร์ไม่สามารถเข้าถึงในรายละเอียดของชีวิตทุกคนได้ ซึ่งรายละเอียดตรงนั้นมันดีกว่าที่เป็นอยู่ได้ ไม่ว่าจะเป็นถนนหนทางหรืออะไรที่คำนึงถึงสิ่งต่างๆ ทั้งความปลอดภัย ความเรียบง่าย ความเป็นระเบียบ การสร้างประสบการณ์การรอคอยที่ดี พวกนี้มันอยู่ในชีวิตเราหมด แต่ปัญหาทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาโลกร้อน ปัญหาขยะ หรือสิ่งที่มันดีกว่านี้ได้ในโลกทั้งหมดเมื่อเทียบสัดส่วนกับจำนวนประชากรของนักออกแบบแล้วมันไม่พอหรอก มันต้องการทุกคน คุณต้องมีดีไซเนอร์ในครัวเรือนที่จะออกแบบการแยกขยะโดยที่ไม่จำเป็นต้องจ้าง

ในหนังสือ The Design Way เขาบอกว่า หนังสือเล่มนี้มีเป้าหมายอย่างหนึ่ง คือเขาอยากสร้าง design culture เพราะฉะนั้นมันไม่ได้แปลว่าเขาอยากสร้างดีไซเนอร์ เขาอยากสร้างวัฒนธรรมทางการออกแบบที่อยู่ในชีวิตประจำวัน หรือเราใช้คำนี้ให้ง่ายขึ้นได้ เช่น แม่หรือพ่ออาจจะพูดว่า “ทำไมไม่มีใครออกแบบการทิ้งขยะที่บ้านสักทีวะ” ก็ได้ นี่คือ design culture ที่มันอยู่ในชีวิตประจำวัน คือคุณไม่ต้องเป็นดีไซเนอร์หรอก แต่คุณใช้คำว่าดีไซน์ได้กับเรื่องต่างๆ อย่างวันนี้ฝนตก พวกเราจะดีไซน์วิธีเดินทางไปที่ทำงานกันยังไง อาจจะไม่ต้องเอาคำนี้ออกมาใช้ตลอดเวลา แต่ว่ามันมีคัลเจอร์นี้

เพราะฉะนั้นพวกเราจะบอกกับคนที่มาเรียนทุกคนว่า ผมหรือพวกเราไม่ได้คาดหวังว่าจบคอร์สแล้วพวกคุณจะไปเป็นดีไซเนอร์ คุณไปเป็นแบบเดิมนี่แหละ แต่คุณจะเป็นนักกฎหมายหรือเป็นนักธุรกิจที่มี design way มี design culture เมื่อคนหมู่มากไปในทิศทางเดียวกัน เห็นอะไรร่วมกัน ดีไซเนอร์ก็จะเติบโตด้วย เพราะว่าในบางโอกาสที่เขาไม่สามารถทำด้วยตัวเองได้ เขาก็รู้ว่าโปรเฟสชันนอลต่างจากที่ตัวเองทำอยู่ยังไง เรารู้ว่าเชฟต้องบริหารจัดการทั้งต้นทุน วัตถุดิบ การรักษาความเสถียรของรสชาติ เราทำไม่ได้หรอก แต่เราทำกินเล่นได้

กนกนุช : เรามองว่าสิ่งที่เรากำลังทำ คนที่มีประสบการณ์จากการเรียนกับเราน่าจะใช้ชีวิตได้อย่างละเมียดมากขึ้น เห็นคุณค่าในสิ่งรอบตัวมากขึ้น มองเห็นว่าอันนี้เป็นอย่างนั้นก็ได้ แล้วทำไมมันถึงเป็นอย่างนี้ เขาได้ตั้งข้อสังเกตกับสิ่งรอบตัวอย่างมีความสุขมากขึ้น

ย้อนกลับไปในบทบาทของคุณทั้งสองก็เป็นอาจารย์อยู่แล้ว มีพื้นที่การสอนในมหาวิทยาลัย อะไรทำให้ตัดสินใจลุกขึ้นมาทำโรงเรียน

สันติ : จริงๆ มันมีภาพที่ไม่รู้จะเรียกว่าเป็นข้อสงสัย สมมติฐาน หรือภาพฝันอยู่คละเคล้ากัน เราอยากจะเห็นว่ามันเกิดขึ้นได้มั้ย 

อย่างแรก–ผมเห็นพ้องกับเบลเรื่องปริมาณผู้เรียนในคลาส เรารู้สึกว่าการพูดคุยเรื่องดีไซน์ การเรียนการสอนหรือการแลกเปลี่ยนมัน take time มันไม่ใช่แค่สั่งงานแล้วจบ เรารู้สึกว่าปริมาณของคนต่อการสร้างบทสนทนาควรจะมีข้อจำกัด อย่างเช่นที่ Practical School of Design เรารับไม่เกิน 10 คน ซึ่งอันนี้อาจจะมีปัญหาในแง่ของ business ก็จริง มันก็ทำให้ราคาคอร์สนึงค่อนข้างสูง แต่ก็ต้องยอมรับ ผมคิดว่าเราไม่สามารถจะทำวิธีนี้ด้วยไซส์ที่ใหญ่กว่านี้ แล้วทำให้คุณภาพเท่าเดิม มันก็ยังจำเป็นจะต้องเป็นแบบ chef’s table อยู่

สอง–ชาลเลนจ์หรือเป้าที่เราตั้งขึ้นมาสำหรับการเรียนการสอนแบบที่ผู้เรียนมาจากพื้นเพแตกต่างทั้งอาชีพแล้วก็เพศวัย ผมคิดว่าบ้านเรายังไม่มีพื้นที่นี้ มหาวิทยาลัยก็ยังไม่ใช่คำตอบ 

สาม–แพสชั่นของคนที่มาเรียน ที่สมัคร 10 มาเรียน 10 อันนี้จริงๆ ไม่ใช่ปัญหาแต่นี่คือภาพฝัน สมมติเราสอนในมหาวิทยาลัยเด็ก 30-40 คน แล้วมีเด็กที่ใส่เต็มสัก 5 คนเราก็รักมากแล้ว แล้วมันจะเป็นยังไงถ้าคนที่มาเรียนร้อยเปอร์เซ็นต์เขาใส่เต็ม คือสอนหนังสือมันไม่ได้ยากนะถ้าทุกคนเป็นแบบนี้ อาจารย์โคตรสบาย 

และข้อสุดท้ายคือความสนุกตื่นเต้นที่เราได้มาสอน ได้มาอยู่ร่วมกับสังคมสังคมนึง ไม่ใช่ในฐานะผู้รู้มาถ่ายทอด แต่เราตื่นเต้นร่วมกับเขาไปทุกครั้งว่าวันนี้เราจะได้มารู้อะไร ได้เจออะไร ได้มาฟังอะไร ผมว่านี่คือสิ่งสำคัญมาก ที่ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าสถาบันการศึกษาในระบบจะรักษาสิ่งนี้ให้กับอาจารย์ตัวเองยังไง ทุกครั้งที่คุณตื่นเช้ามา แล้วคุณรู้สึกว่าคุณอยากร่วมคลาสนี้มาก สอนซ้ำแล้วซ้ำเล่าคุณก็ยังอยากจะมาสอน คุณยังอยากจะรู้ว่าคุณได้ยินอะไร คุณยังอยากจะขับรถไป ไม่ได้โม้นะ ทุกคนพูดว่าเสาร์ที่มีเรียนคือเสาร์ที่รอคอย นี่คือฟีดแบ็กของผู้เรียน ผมเองก็เหมือนกัน เบลก็เหมือนกัน นี่คือเสาร์ที่รอคอย ไม่ใช่ว่านี่วันเสาร์อีกแล้วเหรอ

ผมคิดว่าสามสี่ข้อที่พูดมาก็เพียงพอให้เราทดลองสร้างมันดู แล้วก็ถึงวันนี้ที่คิดว่าจะสเกลยังไง จะ maintain ยังไงมากกว่า

พวกคุณนิยาม Practical School of Design ไว้ยังไง

สันติ : ตอนหลังผมยอมรับคําว่า ‘โรงเรียน’ แต่เราแค่ไม่ได้ยอมรับรูปแบบโรงเรียนที่จํากัด คือคําว่าโรงเรียนสำหรับเรามันไม่ใช่กายภาพ มันไม่ใช่สถานที่ที่มีรั้วกั้น แต่โรงเรียนมันประกอบไปด้วยซอฟต์แวร์หรือกิจกรรม บรรยากาศ เราอยากให้มันเป็นที่รวมของคนที่มีจุดมุ่งหมายร่วมกัน สนใจเรื่องใกล้ๆ กัน มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นมุมมองกัน โดยวงเล็บว่าผ่านกิจกรรมทางการออกแบบ โรงเรียนเราเลยเป็นแบบนี้

คนที่มาที่นี่ไม่ได้บังคับกันมา ทุกคนจ่ายเงินมาด้วยเรื่องเดียวกัน เขาก็ควรจะรู้สึกปลอดภัย เราก็เลยคิดว่าที่นี่ควรจะเป็นที่ที่ปลอดภัย เป็นที่ที่ทุกคนสบายตัว เพราะว่าจุดที่สําคัญมากๆ ต่อการเรียนคือการกล้าลอง กล้าลองถูกลองผิดลองนู่นลองนี่ เพราะฉะนั้นสิ่งนึงที่ที่นี่ไม่เหมือนโรงเรียนคือเราไม่ต้องประเมินผล เราไม่มี certificate เรามีแต่หนังสือรวบรวมกระบวนการเรียนมอบให้ รายละเอียดอื่นๆ ของโรงเรียนเราก็อย่างเช่นว่า มีอาหารดี มีเครื่องดื่มดี แล้วก็มีที่ให้เขาแสดงออก ซึ่งก็คือการจัดนิทรรศการตอนเรียนจบ เพราะฉะนั้นเราจะอยู่ที่ไหนก็ได้ เราไม่ต้องการห้องที่ปิดแล้วก็มีแต่เสียงพวกเรา นี่คือนิยามของโรงเรียนเรา

กนกนุช : ตอนตั้งชื่อ กว่าจะมาเป็น School of Design เราก็คิดนิยามไว้หลายคำ ลิสต์ออกมาหลายสิบชื่อเลย พยายามคิดคําที่เข้าถึงคนอื่นได้ ดูแล้วไม่เกร็งเกินไป เป็นชื่อที่ทุกคนได้ยินแล้วรู้สึกว่าสบายตัว กล้าเข้ามาอยู่กับพวกเราทั้งๆ ที่เขาไม่ได้เรียนดีไซน์ สุดท้ายก็ใช้คำว่าโรงเรียน

สันติ : เราพอใจกับคําว่า ‘โรงเรียน’ แหละ เพียงแต่ว่าเป็นโรงเรียนในความหมายที่ไม่ได้มีรูปกาย มีแต่กระบวนการ มี ingredient ของมัน ก็พูดถึงจิตวิญญาณของโรงเรียนเราว่าประกอบไปด้วยอะไรบ้าง

ตอนแรกผมกลัวหลายคำ กลัวคําว่าสอน กลัวคําว่าเรียน

ฟังดูก็เป็นคําเชิงบวก ทําไมกลัว

สันติ : เพราะเราก็ไม่ได้พยายามจะสอน กระบวนการคิดของเรามันเหมือนกับดีไซเนอร์กลุ่มนึงที่มาออกแบบกิจกรรมนึง แล้วก็สร้างประสบการณ์ให้กับคนที่เข้ามาร่วม มันถูกดีไซน์ไว้แล้วว่าคุณต้องทําอันนี้ หนึ่ง สอง สาม สี่ มันก็เลยไม่ใช่การสอน

กนกนุช : ยิ่งเราอยู่ในวงการสอน เวลาพูดถึงคําว่า ‘สอน’ คนที่มาเรียนเขาก็จะคาดหวังว่า วันนี้ฉันต้องมีอาจารย์มาบอกอย่างนี้แล้วฉันต้องเชื่อ พอนิยามว่าตัวเองเป็นผู้สอน มันก็จะมาพร้อมกับชุดคำและความรู้สึกที่ทำให้เขาไม่กล้าออกจากกรอบ แต่ตั้งแต่เราเปิดตัว เราบอกว่าเดี๋ยวเราเรียนรู้ไปด้วยกัน มันก็จะสบายตัวและรู้สึกว่าสิ่งที่เขามีมันก็ใกล้ๆ กับสิ่งที่เรามีนะ

สันติ : แต่อย่างที่บอก เราพยายามเลี่ยงแต่สุดท้ายก็ไม่เลี่ยง อย่างคําว่าโรงเรียนที่อยากจะเลี่ยง สุดท้ายก็ไม่เลี่ยง ชนมันเลย แต่ว่าให้นิยามกับมันด้วยตัวเองใหม่ คำว่าสอนกับคำว่าเรียนก็เหมือนกัน ตอนแรกไม่อยากใช้คําว่า ‘ผู้เรียน’ อยากเรียกว่า ‘ผู้เข้าร่วม’ ซึ่งก็ยิ่งทำให้ซับซ้อนเข้าไปอีก สุดท้ายก็เรียกว่าผู้เรียน แต่เราแค่นิยามกันใหม่

กนกนุช : เราก็ทำให้คนเรียนเข้าใจนิยามคำว่า ‘สอน’ ของเรา ว่ามันคือการมาแบ่งปันประสบการณ์ เราเตรียมข้อมูลชุดนี้มาให้ ซึ่งคุณอาจจะยังไม่เคยเห็น

สำหรับคุณ ความท้าทายในการทำโรงเรียนแบบที่พวกคุณทำอยู่ตรงไหน

สันติ : มันชาลเลนจ์เราตรงที่ว่าเราจะสอนคนหรือเราจะเอาประสบการณ์ทางการออกแบบ หรือวิถีทางการออกแบบใส่เข้าไปให้ผู้คนต่างสาขา ต่างประสบการณ์ ต่างทักษะได้ยังไง

ย้อนกลับไป ถามว่าสาเหตุที่วิถีของ creative economy ในบ้านเรามันไม่ค่อยไปไหนเพราะอะไร เพราะว่าเราทำกันเอง เข้าใจกันเอง แต่จริงๆ แล้วพอลงไปถึงผู้คนโดยทั่วไปมันไม่สามารถที่จะคอนเนกต์หรือเอนเกจกับเรื่องนี้ได้มากนัก ดูการประกอบการของนักธุรกิจ ของผู้ประกอบการ ที่เอาดีไซน์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในวิถีของการทำงานก็ยังไม่ได้มีมากนัก เรารู้สึกว่าพอยต์นี้เป็นพอยต์ที่ชาลเลนจ์พวกเรา

โจทย์สำคัญคือเราอยากเห็นคอร์สที่เรียนรวมกันได้ ตั้งแต่ดีไซเนอร์ระดับพระกาฬจนกระทั่งคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนเลย เราสามารถบรรจุผู้คนในคลาสได้ตั้งแต่ผู้ใหญ่วัยเกษียณ จนถึงเด็กวัยประถมได้ เพราะฉะนั้นตั้งแต่ปี 2019 ที่เราเริ่มทำ จนถึงปี 2022 มันคือการทำเพื่อที่จะหาวิธี 

ปีนี้ก็เป็นคอร์สที่ 9-10 ของเราแล้ว ซึ่งคอร์สก่อนหน้านี้ถือเป็นคอร์ส pioneer ที่ทำแล้วมีทั้งที่ไม่เอาหรือเปลี่ยนแก้ proposal ของพวกเรานี่เขียนกันไม่รู้กี่ร้อยรอบแล้ว จนกระทั่งปีที่แล้วเริ่มนิ่งในแง่เป้าหมาย แล้วก็โชคดีที่เราก็ได้เจอกับเตย ซึ่งเขามาเรียนกับเราสองคอร์ส เราเชื่อว่าเขาก็เห็นอะไรบางอย่าง แล้วอาชีพเขาคือ facilitator ที่ทำเกี่ยวกับการศึกษาอยู่แล้ว เราก็เลยชวนเขามาช่วยเพราะเราอยากมีเมนคอร์ส จากตอนแรกใครอยากทําอะไร ใครอยากจะสอนอะไร ใครถนัดอะไร ก็ทำไป ซึ่งมันทำให้สะเปะสะปะเกิน แต่ถ้าเราจะพูดว่าเราจะนําทางทุกคน มันต้องมีหลักสูตรที่เป็น 101 คือเรียนเรื่องเบสิกก่อน ก่อนที่จะมาเรียนแบบยิบๆ ย่อยๆ เพราะฉะนั้นวิชาหลักของเราตอนนี้มีคอร์สเดียว นั่นคือคอร์สที่ชื่อ ‘Eveyone-O-One’ คือหลักสูตร 101 สําหรับทุกคน คือเป็นใครมาเรียนก็ได้ จะเป็นนักธุรกิจ นักกฎหมาย หรือเด็กก็ได้

การออกแบบวิชาสําหรับใครก็ได้ ต่างจากการออกแบบวิชาให้นักศึกษาที่เรียนในคณะที่สอนเรื่องการออกแบบยังไง

สันติ : ต่างกันตรงที่ว่าเราไม่ได้ทําให้เขาออกไปประกอบอาชีพนักออกแบบ เพราะฉะนั้นมันคงไม่ได้มาเป็นคอร์สแบบเรียนทำโปสเตอร์ ผู้ใหญ่จะมาเรียนทำโปสเตอร์ทำไม หรือคนเป็นทนายจะมาเรียนทำโปสเตอร์ทำไม คอร์สเราจึงต้องมานั่งคิดว่า เมื่อเสนอออกไปแล้วจะทำยังไงให้ทุกคนรู้สึกว่าฉันเกี่ยวข้องกับมันได้ เราจึงจะมองว่าเขาจะเอามันกลับไปใช้ยังไง ไม่ใช่การต้องทําให้เป็น แต่ว่าช่วยนำสิ่งนี้กลับไปผสมกับสิ่งที่ตัวเองมี คือเราจะค่อนข้าง concern กับสิ่งที่เขามีอยู่มากกว่า

ยกตัวอย่างถ้าเกิดเป็นเด็กมหาวิทยาลัยแล้วเราต้องสอนให้เขาดรอว์อิ้ง เราก็อยากให้เขาดรอว์อิ้งทุกอย่างได้เก่ง แต่อันนี้เราอาจจะดูว่าดรอว์อิ้งแบบไหนที่เขาจะได้นำไปใช้ ใช้ตอนที่ทำงานหรือใช้ตอนไหน เพราะฉะนั้นมันจะค่อนข้าง specific แล้วเราก็อาจจะสอนเขาหลายๆ อย่าง ให้เขาได้ทดลองหลายๆ อย่าง เพื่อเขาจะค้นพบว่าเขาเอาอันนี้ไปใช้งานได้

กนกนุช : มันขึ้นอยู่กับตัววัตถุประสงค์ของกิจกรรมนั้นๆ ด้วย อย่างเช่นคอร์ส Eveyone-O-One ที่เป็นคอร์สเวอร์ชั่นเต็มของเราที่เรียน 12 ครั้ง ถ้าใครอยากเรียนรู้ประสบการณ์เวอร์ชั่นเต็มก็มาลงคอร์สนี้ เป็นไซส์ L แต่ถ้าสมมติว่าคุณมีเวลาแค่ไม่กี่ครั้ง เราก็มีคอร์สที่เป็นไซส์ M หรือเวลาน้อยเหลือเกินเราก็มีคอร์สที่เป็นไซส์ S 

เราจะใช้เวลาในการสื่อสารช่วงต้น ตอนที่เราปล่อยโพสต์ไปว่าคนที่มาเรียนจะได้เรียนรู้อะไร พอเรามีเป้าหมายที่ชัด กลุ่มคนที่มาเรียนก็จะรู้แล้วว่าเขากําลังทําอะไรอยู่ แล้วจะไปประยุกต์กับสิ่งที่เขาทําได้ยังไง รวมถึงเราก็จะมีแบบฟอร์มให้เขากรอกกลับมาว่าแต่ละคนมีพื้นฐานยังไง เขาคาดหวังอะไร เราสามารถทําการบ้านกับแต่ละคนก่อน พอเรารู้ข้อมูลเราก็จะปรับสิ่งที่สอนให้เข้ากับแต่ละคน เตรียมชุดเครื่องมือที่เหมาะกับเขา ตัวอย่างงานที่เหมาะกับเขา 

สมมติว่าเป็นนักธุรกิจ เราก็ตั้งสมมติฐานกับทีมงานว่าเขาอาจจะเอาไปใช้ ไปไกด์ทีมงานเขา หรือเขาอาจจะเคยปล่อยสื่อออกมาแล้วมันอาจจะไม่บรรลุเป้าหมายเพราะอะไร ก็คือมีรายละเอียดการสอนที่จะแมตช์กันไประหว่างสิ่งที่เขาทำกับสิ่งที่เขาจะได้มีประสบการณ์กับเรา

ความยากของการสอนคนทั่วไปที่ไม่ได้มีทักษะการออกแบบเป็นทุนคืออะไร

สันติ : จุดแรกๆ ที่ยากเพราะว่าเราต้องไม่สอนเทคนิค ต้องไม่สอนสิ่งที่เป็นปลายน้ำ เราต้องพยายามกลับเข้ามาว่าหัวใจสําคัญของการออกแบบมันเหลือแค่ไหนที่จะพอดี เข้ากับทุกคนได้ แล้วจากนั้นก็จะไม่ยากแล้ว 

ผมคิดว่าที่ยากมากๆ ก็คือมายด์เซตของพวกเรา เราต้องยอมรับหรือให้ความสําคัญกับสิ่งที่เขาติดตัวมา แล้วเราทําหน้าที่แค่เป็นบางอย่างที่เข้าไปหล่อเลี้ยงหรือเข้าไปเติม ผู้สอนจะต้องเข้าใจเรื่องนี้ ไม่ใช่แบบไปบอกว่าฉันรู้ คุณต้องเป็นแบบนี้ มันจึงยากในแง่ของการทําความเข้าใจเนื้อหาและสิ่งที่จะสอนให้ดี แม่นยํา เพื่อที่จะได้ด้นอย่างถูกจังหวะ คุยๆ อยู่เราต้องหาให้พบว่ากระบวนการออกแบบเรื่องไหนที่เกี่ยวกับเขา และเราต้องเดาหรือสืบค้นให้ได้ด้วยว่าเขามาเรียนทําไม เพราะนั่นมันเป็น purpose ของเขา แล้วมันเป็นงานดีไซน์ของเรา งานดีไซน์เราต้องตอบ purpose เขา ไม่งั้นก็ล้มเหลว

กนกนุช : มันจะอยู่ในแบบฟอร์มว่าเป้าหมายของเขาคืออะไร สิ่งที่คุณคิดว่าผู้สอนควรจะรู้คืออะไร อย่างบางคนที่ไม่มั่นใจมากๆ เขาจะบอกว่าเป็นคนอินโทรเวิร์ต เราก็ได้รู้ว่าเราไม่ต้องไปบี้เขามาก แต่ทุกคนที่บอกว่าเป็นอินโทรเวิร์ตพูดเก่งทุกคนเลย กลายเป็นว่าเขาบอกว่าที่นี่ทำให้เขาสบายตัว

นักศึกษาที่เรียนออกแบบยังใช้เวลาเรียนในมหาวิทยาลัยตั้ง 4 ปี ทําไมถึงเชื่อว่าช่วงระยะเวลาเรียนเพียง 12 ครั้ง จะเปลี่ยนคนคนนึงให้มีทักษะในการออกแบบได้

สันติ : สิ่งที่เราขายไม่ใช่ทักษะ แต่คือมายด์เซ็ต เพราะว่ามายด์เซตคือสิ่งสําคัญที่จะนําไปสู่ทักษะ 

ทักษะวันนี้คุณสามารถสร้างได้ด้วยตัวคุณเอง เพราะฉะนั้นมันจึงต่างจากการเรียนในระบบมากๆ ที่เราอาจจะพยายามยัดหรือป้อนทักษะ ซึ่งไม่รู้ว่ามันจะหมดอายุไหม 

จริงๆ ก่อนที่จะสร้างทักษะผมคิดว่ามันต้องสร้างมายด์เซตให้เกิดขึ้นก่อน นักเรียนออกแบบต้องเชื่อก่อนว่าการออกแบบมันมีประโยชน์มากๆ ไม่ต้องกับอาชีพ แต่กับตัวคุณเดี๋ยวนี้เลย ถ้าคุณเชื่อ คุณก็จะไปทําให้คนอื่นเชื่อ ถ้าคุณเชื่อคนอื่นก็จะเชื่อว่ามันมีค่า แต่ถ้าคุณไม่เชื่อว่ามันมีค่าคนอื่นก็จะไม่เชื่อคุณ นี่คือเรื่องพื้นฐาน 

สมมติถ้าคุณจบไปแล้วบอกว่าแม่งโคตรดีเลยนะดีไซน์ มันเห็นเลยว่าไอ้นี่ทําอย่างนั้นได้ ไอ้นั่นทำอย่างนี้ได้ แล้วคุณก็โอบรับมัน เท่านั้นแหละ คุณก็จะได้เริ่มออกแบบแล้ว ส่วนคุณจะออกแบบได้ดีหรือไม่ดี ไม่มีใครการันตีในระยะเวลาอันสั้น ต่อให้คุณเรียนมา 4 ปีก็ตาม แต่คุณโอบรับวัฒนธรรมการออกแบบเข้ามาไว้ในชีวิตประจําวันแล้ว และนี่เป็นเรื่องที่ดีที่สุด ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เรา concern ไม่ใช่เรื่องสกิลแน่ๆ

เพราะฉะนั้นถ้าเกิดว่าผู้ที่มาเรียนกับเราแล้วมีมายด์เซตที่ดีต่อการออกแบบ ผมคิดว่าชีวิตเขาจะเปลี่ยนไม่มากก็น้อย แต่ถ้าเขาได้ทักษะไป ผมไม่แน่ใจเหมือนกันนะว่าเขาจะได้ใช้มันหรือเปล่า เพราะฉะนั้นมีอาจารย์บางคนที่เป็นเพื่อนผมเขาแซวพวกเราว่า พวกเราคือสํานักกําลังภายใน ไม่ได้สอนกระบวนท่า เราสอนลมปราณ

กนกนุช : ตัวพวกเราเองพยายามเน้นเรื่องของคุณค่า แล้วคิดว่าสิ่งที่เราให้เขาก็จะทําให้เขาเห็นคุณค่าของงานออกแบบรอบตัวหรือกระบวนการออกแบบมากขึ้น แล้วหนึ่งในการประมวลผลที่เป็นรูปธรรมก็คือการจัดนิทรรศการแสดงผลงานที่เป็นของเขาเอง ซึ่งเราไม่ได้จํากัดรูปแบบ จากประสบการณ์ระหว่างทางที่เรียน 11 ครั้ง เมื่อเดินทางมาถึงครั้งที่ 12 เขาได้อะไรไปก็นําเสนอในแบบที่เขาอยากลองทํา

ตอนที่พวกคุณตัดสินใจจะเปิดโรงเรียนได้คิดในมุมการอยู่รอดทางธุรกิจบ้างมั้ย

สันติ : จริงๆ ก็แอบคิดอยู่ตลอด เรามีวิธีดีไซน์การอยู่รอด ยกตัวอย่างเช่นเรามองมันเป็นงานสอง พอปัดไปเป็นงานสองมันก็ไม่ต่างกับการที่เรากําลังใช้เงินก้อนนึงสร้างกิจกรรมบางอย่าง แล้วมันทําให้เราพัฒนาตัวเอง อันนี้คือการบิดมุมมอง การทำโรงเรียนนี้คือ second job แต่เป็นแบบ quality second job

ผมมองว่าคนเราเวลาลงทุนทําธุรกิจด้วยกันก็คงคาดหวังว่าจะได้รับ benefit บางอย่าง ผมคิดว่าพวกเราก็ไม่ต่างกัน ตรงที่ว่าทุกคนมาลงทุนด้วยแรงก็ดี ด้วยเงินก็ดี ด้วยสมองก็ดี benefit ที่ได้รับคือพวกเราอยากได้ learning อยากได้ประสบการณ์บางอย่างที่เติมกลับเข้าไปในวิชาชีพหรืออาชีพหลักของตัวเอง ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ทําให้ทุกวันนี้ทุกคนยังคุ้มอยู่

ผมว่าในสเตปที่หนึ่งเราต้องตอบตรงนี้ให้ได้ก่อนว่าหุ้นส่วนทุกคนจะต้องได้รับปันผลทางใจ หรือทางความรู้ หรือทางประสบการณ์ มันต้องคืนตรงนี้ให้ได้ก่อน เมื่อคืนตรงนี้ได้ สเตปที่ 2 ก็คือทําให้การทําสิ่งนี้ไม่ต้องควักเนื้อ ก็คือมีเงินที่ดูแลมัน แล้วก็สเตปที่ 3 ก็คือทําให้มันเกิดผลกําไรทางการเงิน นี่คือแผนที่เราคุยกันเมื่อต้นปี

3 ปีที่ผ่านมาเราซื้ออันแรกได้แล้ว ทุกคนยังอยากมาอยู่ คุยเฮฮากัน ยังคิดนู่นคิดนี่ ซึ่งเราหาสิ่งนี้ไม่ได้จากงานประจํา เพราะงานประจํามันตึงมาก แล้วถ้าเรามาตึงเหมือนงานประจํา มันก็กลายเป็นว่าทุกคนจะมาเพื่อเงินเหมือนเดิม ถ้ามาเพื่อเงินปุ๊บมันก็จะไม่เกิดอารมณ์นี้ สุดท้ายทุกคนก็จะกลับมาถามตัวเองว่าฉันจะทําทําไมวะ ในเมื่องานจ๊อบแรกก็ได้เงินเหมือนกัน มันก็จะพัฒนาเป็นสเตปไป ทุกคนก็เห็นด้วยว่า ท้ายที่สุดเราก็ต้องพาโรงเรียนของเราให้ไปถึงจุดที่มันได้ปันผลหรือว่าได้ตัวเลขที่เป็นตัวเงิน เพื่อที่เราจะได้ขยับขยาย ทําให้มันสวยงามขึ้นได้ เพื่อมีอีกเหตุผลนึงให้ตัวเองด้วยว่าทําไมฉันยังทํามันอยู่

จากวันแรกจนถึงวันนี้ ระหว่างทางมีอะไรที่ช่วยตอกย้ำความเชื่อของพวกคุณบ้างไหม

กนกนุช : ตั้งแต่จุดตั้งต้นที่เราอยากเป็นพื้นที่ที่คนได้มาแลกเปลี่ยนกันแล้วก็ไปต่อ ช่วยกันส่งเสริม เรารู้สึกว่าทุกวันนี้มันเป็นสิ่งนั้นแล้ว ตอนแรกเราไม่คิดว่าฐานคนที่มาเรียนมันจะกว้างได้ขนาดนี้ มีตั้งแต่เด็กเล็ก 4-5 ขวบจนถึงคนวัยเกษียณ ในแง่อาชีพก็มีตั้งแต่อาชีพนักออกแบบ ศิลปิน นักเขียน นักธุรกิจ คนจบกฎหมาย วิศวกรรม จิตวิทยา แล้วเวลาฟังฟีดแบ็กจากพวกเขาเรารู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่เราอยากได้ เรามีความสุขกับมัน

สันติ : มีสองเรื่องที่ตอกย้ำ ก็คือเรื่องที่หลังกลับจากสอนทุกครั้งผมยังแฮปปี้ มันมีความรู้สึกที่บอกว่านี่คือสิ่งที่ถูกต้องสําหรับเรา ตอนมาก็สดชื่น กลับไปสดชื่น ไม่มี toxic 

กับอีกสิ่งหนึ่งที่เรียกพลังให้เราสูงมากก็คือฟีดแบ็กที่ดีมากๆ ที่บอกเราแบบเปิดเผย หลายคําที่เขาใช้มันดี เช่น นี่คือคอร์สเปลี่ยนชีวิต คอร์สที่มอบดวงตาใหม่ เสาร์ที่รอคอย มันเป็นคําที่เราฟังแล้วตื้นตัน เราสอนหนังสือมามันไม่ค่อยมีฟีดแบ็กจากนักเรียนว่าที่ทําไปเป็นยังไงบ้าง แต่พอมาทําตรงนี้เราได้รับพลังกลับคืน นั่นหมายความว่าเราน่าจะกําลังมาถูกทิศแล้ว

ถูกทางหรือเปล่าไม่รู้นะ แต่หันหน้าถูกทิศแล้ว

Broadways Exclusive ร้านตัดสูทที่รังสรรค์ชุดสูทสุดเท่จากคาแร็กเตอร์สนีกเกอร์คู่เด็ด

หรูหรา สะอาดตา และสีสันเรียบง่าย

เหล่านี้ คือภาพจำเดิมๆ ในสายตาของคนไทยที่มีต่อ ‘ชุดสูท’ เสื้อผ้าซึ่งถูกกำหนดให้เหมาะสำหรับสวมใส่ยามออกงานเลี้ยง งานแต่ง หรืองานพิธีสำคัญ จุดประสงค์หลักก็เพื่อแสดงความเคารพต่อสถานที่นั้นๆ ไปจนถึงญาติผู้ใหญ่และแขกเหรื่อผู้มีเกียรติ

ไม่แปลกใจนัก ที่หน้าตาชุดสูทส่วนใหญ่ในบ้านเราจะหน้าตาราวกับถูกตัดโดยช่างฝีมือคนเดียวกัน และน้อยครั้งที่จะมีใครกล้าหยิบสูทสีสันฉูดฉาดมาสวมใส่ ในเมื่อความเชื่อข้างต้นฝังรากลึกราวเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ขณะเดียวกันยังกลายเป็นข้อจำกัดกีดขวางไอเดียบรรเจิดของดีไซเนอร์น้อยใหญ่เรื่อยมา

อย่างไรก็ตามความเชื่อที่ว่าไม่สามารถใช้ได้กับ ดีเค–เจริญ ซิงห์ เมตตากุล ชายที่เรียกตัวเองว่าเป็น Street & Sartorial Designer ควบตำแหน่งผู้บริหารรุ่นใหม่แห่ง Broadways Exclusive ร้านตัดสูทเก่าแก่ ประจำซอยสุขุมวิท 11 ที่ฉุกคิดไอเดียบรรเจิดหยิบคาแร็กเตอร์สนีกเกอร์คู่เด็ดมาดีไซน์เป็นชุดสูทสุดเท่ หรือที่เจริญ ซิงห์เรียกว่าเทรนด์แฟชั่น Suits & Sneakers

จากไอเดียนึกสนุกนำมาสู่การปลุกกระแส Suits & Sneakers ที่กำลังแพร่หลายในหมู่อินฟลูเอนเซอร์และนักสะสมสนีกเกอร์ ดังปรากฏการณ์ที่เพิ่งเกิดเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เมื่อ Broadways Exclusive จับมือกับร้าน sneaker streetwear WoooW BKK จัดอีเวนต์ที่มีชื่อว่า Street & Sartorial กับการหยิบสนีกเกอร์พื้นฐาน ไปจนถึงสนีกเกอร์ระดับลิมิเต็ดมาดีไซน์เป็นชุดสูท พลันทำให้กระแส Suits & Sneakers ขยายเป็นวงกว้าง และถูกยกเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของคนรักแฟชั่นสายสตรีท 

เกริ่นนำกันพอหอมปากหอมคอ คอลัมน์ Micro Wave คราวนี้ ขอชวนผู้อ่านไขคำตอบจากปากของเจริญ ซิงห์ ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของไอเดีย Suits & Sneakers แนวคิดการออกแบบจากสนีกเกอร์คู่โปรดสู่สูทตัวเก่ง การเปลี่ยนภาพจำว่าร้านตัดสูทไม่ได้โบราณคร่ำครึอย่างที่คิด และไม่ว่าใครก็สนุกกับการใส่สูทได้

1.
จากทายาทร้านตัดสูท ที่ไม่เคยสนใจเรื่องสูทมาก่อนในชีวิต

“ร้าน Broadways Exclusive เปิดมาตั้งแต่ปี 2533 โดยคุณโทนี่ ซึ่งเป็นคุณลุงของผมเอง ก่อนที่พ่อของผม คุณจอนนี่จะเข้ามาช่วยกิจการ”

เจริญ ซิงห์เริ่มประวัติของร้านตัดสูทเก่าแก่นี้ให้เราฟังพอสังเขป โดยคุณลุงของเขา ที่ก่อนหน้านี้สั่งสมประสบการณ์ทั้งจากร้านขายผ้าที่ประเทศอินเดียและร้าน tailor-made แห่งหนึ่งในประเทศไทย ก่อนจะถือโอกาสชักชวนพ่อของเขามาช่วยดำเนินกิจการ จนเป็นที่รู้จักในวงการนักตัดสูทถึงปัจจุบัน

ในขณะที่นั่งฟังอย่างใจจดใจจ่อ ผู้เขียนพลางกวาดสายตาสำรวจภายในร้าน ผ้าหลากหลายชนิดวางทบเรียงรายตลอดแนวบนชั้น ทั้งผ้าประเภท Linen, Wool, Cotton, Tweeds ฯลฯ เรียกว่าผ้าอย่างดีที่มีอยู่บนโลกใบนี้ล้วนถูกส่งมารวมอยู่ที่นี่ เพื่อรอบริการลูกค้าตั้งแต่คนธรรมดา จนถึงนักการเมืองชื่อดังที่แวะเวียนเข้ามาใช้บริการตัดสูดตัวโปรด 

มองภายนอก Broadways Exclusive อาจเหมือนร้านตัดสูทเก่าแก่ที่พบเห็นจนชินตาตามย่านลิตเติ้ลอินเดียในไทย แต่ที่ต่างออกไปคือไอเดีย Suits &Sneakers ที่เจริญ ซิงห์ ได้เข้ามาเติมเต็มให้ Broadways Exclusive มีชีวิตชีวายิ่งขึ้น ทั้งที่ความจริงแล้วเขาไม่เคยคิดอยากสานต่อกิจการของครอบครัวมาก่อนเลย

“แต่ก่อนผมไม่เคยคิดทำอาชีพดีไซเนอร์สูทเลยนะ ลุงผมเคยถามว่า สนใจอยากช่วยทำกิจการต่อไหม ผมตอบกลับทันทีว่า ยังไงก็ไม่ทำแน่นอนเพราะมันน่าเบื่อ (หัวเราะ) ตอนนั้นผมก็เหมือนหลายคนที่คิดว่าร้านตัดสูทมันดูโบราณ” 

“กระทั่งปี 2561 ช่วงที่ผมได้ไปใช้ชีวิตที่นิวยอร์ก ประเทศสหรัฐฯ ผมมีโอกาสคลุกคลีอยู่ในร้านขายสนีกเกอร์ของคนรู้จักที่ชื่อว่าร้าน FCS Sneakers นั่นทำให้ผมกลายเป็นสนีกเกอร์เฮดแบบเต็มตัว เพราะก่อนหน้านั้นผมก็เริ่มสนใจวงการสนีกเกอร์บ้างจากตอนที่ได้สนีกเกอร์รุ่น Air Max 97 สี wolf grey ของยี่ห้อ Nike เป็นของขวัญ

“จนวันหนึ่งขณะที่เดินอยู่แถวไทม์สแควร์ ผมเห็นผู้ชายคนหนึ่งแต่งตัวดีเลย ชุดที่เขาใส่เป็นสูทคู่กับสนีกเกอร์ แต่ที่ผมสังเกตเห็นคือสูทที่เขาใส่ไม่แมตช์กับสนีกเกอร์เลย นั่นทำให้ผมเกิดไอเดียว่า ถ้าเราดีไซน์ชุดสูทที่เข้ากับสนีกเกอร์คู่นั้นเพื่อตอบโจทย์ personality ของคนรักสนีกเกอร์ได้ก็คงจะดี” 

หลังกลับมาจากนิวยอร์ก เจริญ ซิงห์ได้นำไอเดียที่ว่ากลับมาคุยกับครอบครัว แต่คำตอบที่ได้จากลุงของเขาคือ 

“จะบ้าเหรอ! ใครมันจะไปใส่สูทลายเดียวกับรองเท้า อาจเพราะเขาอยู่ในวงการขายสูทนานถึง 34 ปี แล้วไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน มันเลยดูเป็นอะไรที่ค่อนข้างผิดแปลกไปจากขนบเดิมๆ” 

อธิบายให้เห็นภาพ การตัดสูททั่วไป ลูกค้าเพียงเลือกว่าอยากได้ผ้าแบบไหน สีอะไร ทรงประมาณไหน จากนั้นช่างจะตัดตามออร์เดอร์ เรียกว่าตัดเย็บตามการใช้งาน ไม่ได้อิงจากสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นพิเศษ แต่กับ Suits & Sneakers เจริญ ซิงห์ต้องทำหน้าที่ดีไซเนอร์ให้ลูกค้ารายนั้นก่อน 

“สมมติลูกค้าให้โจทย์มาว่า เขามีสนีกเกอร์คู่นี้ไว้สำหรับใส่ไปงานอีเวนต์ เมื่อประเมินแล้วว่าสูทที่ไว้ใส่คู่กันน่าจะเป็นแนว quiet luxury หรือ street look ผมก็จะสเกตช์ให้เขาดูว่าหน้าตาชุดจะออกมาเป็นประมาณไหน” เจริญ ซิงห์อธิบายไอเดียของเขาด้วยแววตาเป็นประกาย

2.
ลองผิดลองถูกเพื่อ ‘สนีกเกอร์เฮด’
ที่อยากมีชุดสูทไว้ใส่กับสนีกเกอร์คู่โปรด

ถึงไอเดียบรรเจิดจะบังเกิดในเวลาที่ใช่ แต่ข้อจำกัดที่เจริญ ซิงห์ต้องเจอคือเขาไม่เคยศึกษาเรื่องแฟชั่นมาก่อนเลยในชีวิต ขณะที่ต้นทุนในมือมีเพียงวัตถุดิบในร้านและความเป็น ‘สนีกเกอร์เฮด’ ติดตัวเท่านั้น ทำให้ช่วงแรกทายาทแห่ง Broadways Exclusive ต้องใช้เวลาลองผิดลองถูกกับไอเดีย Suits & Sneakers พอสมควร

“ในตอนนั้นผมไม่มีความรู้เรื่องแฟชั่นเลย มีแค่แพสชั่นเรื่องสนีกเกอร์เหมือนคนทั่วไป ความรู้เรื่องการดีไซน์สูทก็อยู่ในขั้นพื้นฐาน เป็นวิธีการดีไซน์สูทแบบเรียบๆ ตามที่คนนิยมใส่ทำงาน ไม่ใช่สูทที่มีลูกเล่นเว่อร์วัง ช่วงแรกเลยต้องสร้างความมั่นใจให้ตัวเองว่า เรามีความสามารถมากพอที่จะดีไซน์สูทให้คนอื่นใส่” 

เขาเล่าว่าวิธีการเรียนรู้ที่ดีที่สุดคือวิธีง่ายๆ อย่างการลองผิดลองถูก ลงมือดีไซน์หลายแบบ ควบคู่กับศึกษาวิธีตัดเย็บของช่างในร้านเพื่อความเป็นไปได้ในการดีไซน์ออกมา ทั้งวิธีเดินด้าย การเย็บรังกระดุม การเลือกลายผ้าด้านใน แม้แต่การเลือกสีของกระดุมเองก็ตาม 

“ผมทำวนอยู่อย่างนั้นสองปีถึงกล้าโปรโมตไอเดีย Suits & Sneakers ลงในโซเชียลฯ ของร้าน”  

“โจทย์ Suits & Sneakers ที่ได้มาโจทย์แรกรายละเอียดเป็นยังไง คุณพอจะจำได้ไหม” ผมถามเจริญ ซิงห์ต่อด้วยความสงสัย

“จริงๆ โจทย์แรกผมเริ่มจากรองเท้าของตัวเองก่อนนี่แหละครับ” เขาตอบทันทีพร้อมรอยยิ้มก่อนจะเริ่มเท้าความถึงสูทฝึกหัดตัวแรกๆ ที่เกิดจากงานแต่งของญาติเมื่อปี 2562  

แม้เขาจะเกิดมาในครอบครัวที่มีธุรกิจร้านตัดสูท แต่ตัวเขาเองไม่เคยมีสูทตัวโปรดจริงๆ จังๆ เป็นของตัวเองมาก่อน ครั้งนั้น เจริญ ซิงห์ตัดสินใจเอาตัวเองเป็นหนูทดลอง เริ่มจากหยิบรองเท้า Adidas Ultra Tech Vegeta ซึ่งเป็นรองเท้าที่ Adidas คอลแล็บกับการ์ตูนเรื่อง Dragon Ball มาออกแบบ สูทที่ได้เลยออกมาเป็นสีน้ำเงิน-เหลือง ตามสีหลักของรองเท้า

“พอโพสต์ลงโซเชียลฯ คนก็ให้ความสนใจพอสมควรแต่ถ้าถามต่อว่าโจทย์ไหนที่ชอบมากที่สุด นั่นคือโจทย์ที่ลูกค้าให้มาว่าอยากหยิบ Nike Air Force 1 Tiffany มาดีไซน์เป็นสูท แต่ขอให้ดีไซน์เรียบๆ เหมาะสำหรับใส่ไปงานแต่ง 

“ส่วนตัวผมชอบสีของรองเท้าที่เป็นสีดำล้วน ตัดด้วยสีของโลโก้ Tiffany ที่เป็นสีเงินตรงบริเวณลิ้นรองเท้า บวกกับสวูชด้านข้างของไนกี้ที่เป็นสีเทอร์คอยส์ พอมาเปลี่ยนเป็นสูทเลยมีความเรียบหรู มีกลิ่นอายความเป็น quiet luxury ขณะเดียวกันดีไซน์ยังมีความไทม์เลสสูง ฉะนั้นไม่ว่าเวลาจะผ่านไปอีก 10 ปีหรือ 20 ปีข้างหน้า สูทตัวนี้ก็ไม่มีทางตกยุค

“ต้องบอกว่าโจทย์ส่วนใหญ่ที่ผมได้รับจากลูกค้าจะไม่ค่อยมาจากสนีกเกอร์ธรรมดา ส่วนใหญ่จะเป็นแนวลิมิเต็ดไม่ก็คอลแล็บ ผมเลยหมั่นติดตามเทรนด์สนีกเกอร์และศึกษาสตอรีของสนีกเกอร์คู่นั้น เพื่อให้ถ่ายทอดผลงานออกมาได้สมบูรณ์ที่สุด” เจริญ ซิงห์อธิบายถึงช่วงตั้งไข่โปรเจกต์ Suits & Sneakers 

แน่นอนว่าขั้นตอนการรังสรรค์ Suits & Sneakers แต่ละชุดไม่ได้จบลงแค่นำเสนอร่างไอเดียแล้วจะส่งต่อให้ทีมช่างของร้านตัดเย็บได้ทันทีทันใด เพราะเมื่อได้แบบดีไซน์คร่าวๆ ที่ต้องการแล้ว ลูกค้าจะต้องเข้ามาวัดขนาดตัว เลือกชนิดและลายผ้าที่ชอบ จนถึงรับทราบดีเทลการปักแต่ละจุด โดยส่วนใหญ่ใช้เวลาในการดีไซน์และตัดชุดราว 1-2 อาทิตย์

 ดังเช่นสูทที่ได้ไอเดียมาจาก Nike Air Force 1 Tiffany ที่เจริญ ซิงห์ภูมิใจนำเสนอ หากมองเจาะลึกลงไปจะเห็นรายละเอียดพิถีพิถันที่เชื่อมโยงสูทและสนีกเกอร์ไว้ด้วยกัน เช่น รางกระดุมสีเทอร์คอยส์เหมือนตราสวูช, ด้ายสีเงินที่ไล่เรียงตั้งแต่ปกคอเสื้อจรดกระเป๋าตาม CI ของแบรนด์ Tiffany ปิดท้ายด้วยลายผ้าสามมิติด้านในที่พลิกด้านไว้สำหรับเปลี่ยนสไตล์การแต่งตัวในวันที่ไม่ต้องออกงานทางการ เรียกว่าการตัดสูทหนึ่งครั้งสามารถใช้งานได้หลากหลายตามแต่สถานการณ์

ที่สำคัญคือสูทแต่ละตัวถูกสั่งตัดแบบ ‘1 of 1’ หรือมีตัวเดียวบนโลกเท่านั้น ซึ่งเป็นความตั้งใจที่เจริญ ซิงห์เน้นย้ำว่า คนแต่ละคนมี personality ต่างกัน และถึงแม้จะได้โจทย์เป็นสนีกเกอร์รุ่นเดียวกัน แต่ผลลัพธ์จากการดีไซน์สูทตัวนั้นต้องออกมาไม่ซ้ำแบบเดิม

3.
ต่อยอดสู่เทรนด์ SneakVest
ที่ใส่ดี ใส่เท่ ในทุกสถานการณ์

แม้ Suits & Sneakers จะเป็นเทรนด์แฟชั่นที่ค่อนข้างใหม่ในประเทศไทย แต่ความจริงแล้วเทรนด์ดังกล่าวมีมาตั้งแต่ปี 2483 โดยเริ่มจากนักศึกษากลุ่มหนึ่งใน Ivy League ที่เบื่อหน่ายกับการใส่รองเท้าหนังคู่กับชุดสูท พวกเขาจึงหันมาใส่รองเท้าผ้าใบกีฬาสีขาวคู่กับชุดสูทแทนเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในชีวิตประจำวัน กระทั่งการแต่งกายดังกล่าวขยายเป็นวงกว้างจนกลายเป็นแมสแฟชั่นในสหรัฐฯ 

แต่ต่อให้แฟชั่น Suits & Sneakers จะน่าสนใจเพียงใดก็ตาม ทว่าอากาศที่ร้อนอบอ้าวราวปรอทแตกตามสไตล์บ้านเรา ดูจะไม่อนุญาตให้เทรนด์ที่ว่านี้เฉิดฉายง่ายๆ จึงไม่แปลกใจหากคนจะเลือกสูทเป็นตัวเลือกแต่งกายลำดับท้ายๆ เช่นนั้นเอง เจริญ ซิงห์จึงต่อยอดไอเดียมาสู่ SneakVest ซึ่งเป็นแฟชั่นที่เหมาะสำหรับชีวิตประจำวัน  

“SneakVest เป็นคอนเซปต์ที่ผมคิดต่อยอดจาก core idea ของ Suits & Sneakers เพื่อฟังก์ชั่นเหมาะกับการใส่ในชีวิตประจำวันมากที่สุด พูดให้เข้าใจง่ายๆ คือ SneakVest เป็นเหมือนเสื้อกั๊กบวกกับกางเกงขาสั้นที่แมตช์กับสนีกเกอร์ของคุณ คอนเซปต์ไม่ต่างจาก Suits & Sneakers เลย แต่นี่มาในแบบชิลล์เข้ากับอากาศประเทศเราได้แน่นอน เพียงแค่เพิ่มเลเยอร์ทับไปอีกชั้น

“ความจริงไอเดียนี้เกิดจากความฝันที่อยากเห็นคนใส่ Suits & Sneakers เดินทั่วสยามเซ็นเตอร์ เป็นความฝันเหมือนกับดีไซเนอร์หลายคนที่อยากเห็นคนสวมใส่เสื้อผ้าจากฝีมือการออกแบบของตัวเอง แต่พอมาลงมือทำจริงๆ ผมถึงเข้าใจว่า อากาศประเทศไทยไม่เหมาะกับการใส่สูทเดินนอกบ้านแน่นอน ผมเลยแยกไปเลยว่า Suits & Sneakers ไว้สำหรับใส่ไปทำงาน ใส่ไปงานแต่ง ใส่ไปงานอีเวนต์ ส่วน SneakVest ไว้สำหรับใส่ในชีวิตประจำวัน คุณจะใส่เดินเที่ยว ใส่ไปนั่งเล่นคาเฟ่ก็ได้” 

ในอนาคต เจริญ ซิงห์ยังมองไว้อีกว่า Broadways Exclusive ไม่จำเป็นต้องตัด SneakVest ในแบบ tailor-made หากเขาวางดีไซน์ไว้ 2 แบบที่เหมาะสำหรับสนีกเกอร์รุ่น Nike Dunk Panda ลูกค้าก็กดเลือกไซส์ S, M, L หรือ XL กดใส่ตะกร้า ได้เลยโดยที่ไม่ต้องเข้ามาตัดชุดที่ร้าน เพื่อให้แบรนด์และเทรนด์ SneakVest ที่ต้องการนำเสนอมีความแมสมากยิ่งขึ้นในราคาที่จับต้องได้ 

ฟังดูเหมือน SneakVest จะถูกสร้างขึ้นเพื่อก้าวให้ทันต่อกระแสฟาสต์แฟชั่นถึงกระนั้น เจริญ ซิงห์ยืนยันกับเราอย่างหนักแน่นว่า แฟชั่นใหม่ที่เขากำลังผลักดันไม่ได้ผูกโยงกับกระแสดังกล่าวเพื่อหวังกอบโกยกำไรเป็นหลัก ทั้งยังคงจุดประสงค์เดิมตั้งแต่วันแรก นั่นคือต้องการมอบทางเลือกแก่ผู้คนที่อยากใส่สูทตัวเก่งคู่กับสนีกเกอร์คู่โปรดได้ง่ายขึ้น 

 “ต้องอธิบายว่า ธรรมชาติของการซื้อสูทสักตัวคุณจำเป็นต้องมาลองใส่ ลองจับเนื้อผ้าที่ร้านก่อนตัดสินใจสั่งตัด แต่เสื้อผ้าทั่วไปคุณสามารถเปิดแอพพลิเคชั่นกดสั่งชื้อตอนไหนก็ได้ สองถึงสามวันก็ส่งถึงบ้านให้คุณพร้อมใส่

“ผมเลยมองว่าร้านตัดสูทกับเรื่องของฟาสต์แฟชั่นเป็นอะไรที่ค่อนข้างสวนทางกัน และไม่จำเป็นต้องเร่งตามขนาดนั้น เหมือนกับสำนวนในวงการซื้อขายหุ้นที่ว่า Don’t try to catch a falling knife. คืออย่าฉวยโอกาสเทหมดหน้าตักเพื่อหวังเก็งกำไรที่ไม่รู้มูลค่าจะหมดลงตอนไหน”  

จริงอยู่ที่เขาเคยโยนหินถามทางกระแสฟาสต์แฟชั่นด้วยการตัดเสื้อเชิ้ตที่มีลวดลายอิงกับช่วงเทศกาลตรุษจีน ซึ่งผลตอบรับนั้นใช้ได้หากมีกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการขายชัดเจน แต่เขาเองมองว่า SneakVest เป็นการช่วยให้ผู้คนมีทางเลือกในการแต่งตัวคู่กับสนีกเกอร์ ในลุคที่ดูคลาสสิกไปพร้อมๆ กัน และลดขั้นตอนยุ่งยากในการตัดเย็บออกไป ไม่ใช่มีไว้เพื่อส่งเสริมฟาสต์แฟชั่นแน่นอน 

“Suits & Sneakers และ SneakVest ยังตอบโจทย์ในแง่ของ sustainability คือการตัดสูทหนึ่งครั้งคุณสามารถใช้ได้ยาวๆ หลายสิบปี ผมยกตัวอย่างมีลูกค้ารายหนึ่งที่เคยตัดสูทกับลุงของผมเมื่อ 17 ปีที่แล้ว ถึงตอนนี้สูทของเขาก็ยังเนียนกริบสวมใส่ได้อยู่ 

“เพราะเราใช้เนื้อผ้าและวิธีการตัดเย็บอย่างดี นั่นหมายความว่า Suits & Sneakers และ SneakVest สามารถตอบโจทย์เทรนด์แฟชั่นและสวมใส่ได้ยาวๆ โดยที่ไม่จำเป็นต้องซื้อใหม่ให้สิ้นเปลืองเงินและทรัพยากร”

4.
สูทไม่ใช่แฟชั่นโบราณ

และร้านตัดสูทโดยคนอินเดียก็ไม่ได้โบราณเช่นกัน

หนึ่งในคำถามที่หลายคนตะขิดตะขวงใจรวมไปถึงตัวผู้เขียนเอง นั่นคือภาพจำเดิมๆ ที่มองว่า ร้านตัดสูทของคนอินเดียมักโบราณคร่ำครึ ดีไซน์เป็นแบบเดิมซ้ำไปมา แม้กระทั่งการขนส่งผ้าก็ยังใช้มอเตอร์ไซค์เวสป้าคันเก่าขี่ซิ่งไปมา แน่นอนว่าภาพจำดังกล่าวติดอยู่ในความทรงจำของคนไทยมาช้านาน และ pain point นี้เองคือสิ่งที่เจริญ ซิงห์พยายามทำลายกำแพงมาโดยตลอด

“นี่เป็นปัญหาที่โดนมาโดยตรงเลยแหละ (หัวเราะ) คือคนมักจะมองว่าร้านเสื้อสูทของคนอินเดียหรือแขกดูโบราณ ไม่ได้มีความทันสมัยใดๆ และไม่ใช่แค่ร้านตัดสูทของคนแขกเท่านั้น ร้านตัดสูทของคนไทยหรือของคนจีนก็โดนตัดสินจากภาพลักษณ์แบบนี้เหมือนกัน แต่ก็เข้าใจได้เพราะในอดีตผมก็เคยคิดแบบนี้” 

หน้าที่ของเจริญ ซิงห์จึงมากกว่าแค่การขายของ แต่ยังรวมไปถึงการเปลี่ยนทัศนคติและสร้างภาพจำใหม่ว่าร้านตัดสูทปัจจุบันหน้าตาเป็นยังไง ทั้งจากการโปรโมตและการทำคอนเทนต์ เขาเองยังมองว่าความท้าทายนี้ไม่ต่างจากการเปลี่ยนมายด์เซตคนว่าสูทไม่จำเป็นต้องโบราณและสนีกเกอร์ไม่จำกัดอยู่ที่การแต่งกายแบบสตรีทแฟชั่น แต่แต่งกับ sartorial fashion หรือเสื้อผ้าที่ตัดเย็บมาอย่างดีก็ได้

“อย่างตอนอยู่นิวยอร์กการแต่งกายของคนที่นั่นค่อนข้างจะสื่อถึง personality ชัดเจน เขากล้าที่จะแต่งตัว ชอบแบบไหนก็แต่งแบบนั้น ผมเลยอยากให้คนไทยเป็นแบบนั้นบ้างนะ อยากให้สนุกไปกับการแต่งตัวโดยที่ไม่ต้องกลัวเป็นแกะดำในสายตาใคร คุณอยากใส่อะไรก็ใส่ เพราะนั่นคือตัวของคุณ 

“อีกข้อที่อยากจะฝากบอก คือการตัดสูทเป็นเหมือนการ DIY แฟชั่นของเราขึ้นมาใหม่ เราสามารถสนุกไปกับการครีเอทีฟหน้าตามันได้ ขึ้นอยู่กับว่าคุณชื่นชอบการใส่สูทมากแค่ไหน และสูทไม่ได้จำกัดว่าเหมาะกับแค่เพศใดเพศหนึ่ง ผู้หญิงเองก็สามารถใส่สูทเพื่อความเท่ได้ อย่างเมื่อไม่นานมานี้มีคู่รักคู่หนึ่งจูงมือกันมาตัดสูทเป็นชุดคู่กันสำหรับใส่ออกงาน”   

“แล้วคนที่จะเข้าวงการ Suits & Sneakers ต้องเข้าใจพื้นฐานอะไรบ้าง” ผมถามเจริญ ซิงห์ทิ้งท้ายสั้นๆ 

“อย่างแรก คุณต้องตอบตัวเองก่อนว่า สนีกเกอร์คู่ไหนที่คุณอยากใส่เข้ากับสูท สอง–คุณต้องรู้ว่าคุณมีบัดเจ็ตในมือเท่าไหร่ เพราะนี่จะขึ้นอยู่กับเกรดผ้าที่คุณจะได้ สาม–คุณอยากใส่สูทตัวนี้ในโอกาสไหน ถ้าคุณอยากใส่ทำงานก็จะมีดีไซน์ให้เลือกแบบหนึ่ง ถ้าคุณอยากใส่ออกงานก็จะมีดีไซน์ให้เลือกอีกแบบหนึ่ง โดยรวมแล้วคือการเลือกตามที่คุณชอบ และเลือกลงทุนเพื่อสร้างบุคลิกที่ดีแก่ตัวเอง

“ผมในฐานะที่เป็น Street & Sartorial Designer และคนนำเสนอเทรนด์ Suits & Sneakers มองว่า โอกาสที่เทรนด์แฟชั่นนี้จะโตมากขึ้นกว่าเดิมมีอยู่ไม่น้อย เพราะมีคนที่หยิบสนีกเกอร์มาใส่คู่กับสูทอยู่เรื่อยๆ เพียงแต่คนที่ตัดสูทเข้ากับสนีกเกอร์โดยเฉพาะอาจจะยังมีไม่มาก นี่เป็นความตื่นเต้นไม่น้อยที่จะทำให้คนเข้าใจและหันมานิยมเทรนด์ Suits & Sneakers มากขึ้นกว่าเดิมในอนาคต

“อย่างเวลาได้รับฟีดแบ็กจากลูกค้าที่ผ่านๆ มา เขามักจะบอกว่าฝีมือการตัดเย็บร้านคุณโหดมากนะ ดีกว่าแบรนด์ดังบนห้างเสียอีก ผมได้ยินแล้วดีใจนะ เพราะตรงนี้เป็นสิ่งที่ Broadways Exclusive พยายามคงคุณภาพมาตลอดหลายสิบปี” 

สิ้นบทสนทนา ฟังก์ชั่นของชุดสูทในมุมมองของผู้เขียนเริ่มเปลี่ยนไป สองเท้าอาจมีสนีกเกอร์คู่เด็ดแล้ว ขาดแค่ชุดสูทดูดีไว้ใส่อวดเท่ ครั้นคงต้องหาเวลากลับมาที่ Broadways Exclusive อีกครั้งหนึ่ง ทว่าไม่ใช่ในฐานะผู้สัมภาษณ์ แต่เป็นลูกค้าหน้าใหม่รายหนึ่งเสียมากกว่า