บทเรียนของ 5 บริษัทรถทัวร์ยอดนิยมที่อยู่คู่ชาวไทยทุกเทศกาล

ปีใหม่ สงกรานต์ หรือเทศกาลไหนๆ นอกจากรถไฟ รถตู้ เครื่องบินแล้ว รถทัวร์ก็ยังคงเป็นพาหนะคู่ใจใครหลายคน เพราะถือเป็นการเดินรถที่ครอบคลุมหลายเส้นทาง บางเส้นทางจุดหมายปลายทางถึงหน้าบ้านก็ได้ และราคายังเข้าถึงง่ายที่สุด

แต่ในช่วงหลายปีมานี้ ตั้งแต่สายการบินโลว์คอสต์เพิ่มขึ้น ผู้คนหันมาซื้อรถส่วนตัวเพื่อเดินทางกันเอง รวมถึงปัญหาด้านความปลอดภัยที่ออกข่าวให้ผู้โดยสารหวั่นใจอยู่เสมอ ปริมาณผู้โดยสารรถทัวร์จึงลดน้อยถอยลงอย่างปฏิเสธไม่ได้ 

ธุรกิจรถทัวร์ยังเผชิญกับปัญหาหลากหลายรูปแบบ ทั้งการควบคุมค่าโดยสารโดยภาครัฐเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงตั๋วโดยสารอย่างเท่าเทียม นั่นแปลว่ารายได้ย่อมเท่าเดิมหรือน้อยลง ขณะที่ต้นทุนน้ำมันพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยิ่งเผชิญกับสถานการณ์โควิด-19 ที่ธุรกิจรถทัวร์เป็นด่านแรกที่ได้รับผลกระทบ บริษัทรถทัวร์หลายเจ้าจึงขาดทุนติดต่อกันหลายปี หลายเจ้าเผชิญปัญหาหนักจนไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ ขณะที่หลายเจ้ายังคงพยุงตัวเองขึ้นมาได้ และทำกำไรสวนทางความกังวลว่ารถทัวร์กำลังจะตาย

ทางออกหนึ่งในการเพิ่มรายได้ของกิจการรถทัวร์หลายเจ้าคือการหันมาเพิ่มบริการขนส่งพัสดุซึ่งกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้นหลายเจ้ายังขยายธุรกิจอื่นๆ ในเครือเพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มรายได้จากหลายทาง แต่ปัจจัยเหล่านี้เป็นเพียงจุดร่วมหนึ่งเท่านั้น น่าสนใจว่าทำไมบางบริษัทรถทัวร์จึงสามารถสร้างความแตกต่างและสร้างรายได้มากกว่าเจ้าอื่นๆ 

ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผู้คนเดินทางกลับบ้านนี้ Capital จะพาไป recap บทเรียนสำคัญของ 5 ธุรกิจรถทัวร์ไทย

***ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เมษายน 2567

บขส. 
ก่อตั้ง : 2473
บทเรียนสำคัญ : การมองหาช่องว่างในธุรกิจและการปรับตัวให้สอดคล้องกับความนิยมของคนในสังคม 

รถทัวร์ที่หลายคนน่าจะเคยขึ้น รถทัวร์ที่อยู่คู่คนไทยมานานที่สุด ต้องยกให้บริษัทรถทัวร์รายแรกของไทยอย่าง บขส. หรือบริษัท ขนส่ง จำกัด ที่แต่เดิมเคยดูแลทั้งการบินพาณิชย์รวมถึงการเดินเรือ ก่อนจะแยกออกมาดูแลแค่กิจการเดินรถภายใต้รัฐวิสาหกิจ และจดทะเบียนเมื่อปี 2490 

เส้นทางการเดินรถโดยสารสายแรกคือกรุงเทพฯ – ลพบุรี และกรุงเทพฯ – ปราจีนบุรี แต่ปัจจุบัน บขส.มีสายรถครอบคลุมการเดินทางทุกภาค ถือเป็นจุดเด่นสำคัญของ บขส.ทีเดียว และนั่นอาจเป็นที่มาของรายได้รวมในปี 2566 ที่สูงกว่าใครเพื่อนถึง 1,887,460,120 บาท (เป็นรองนครชัยแอร์) แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าจำนวนเงินที่สูงขนาดนั้น บริษัทยังคงขาดทุนสุทธิกว่าสอยร้อยล้านบาท 283,186,412 บาท 

หนึ่งในการปรับตัวครั้งสำคัญของ บขส.เพื่อให้บริษัทเดินหน้าต่อไปได้ คือการพยายามลดค่าใช้จ่ายด้วยการลดการให้บริการเดินรถในบางเส้นทางที่มีการแข่งขันสูง และเพิ่มความถี่ไปยังจังหวัดท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น นอกจากนั้นยังเพิ่มบริการขนส่งพัสดุแบบ Hib to Hub ไปรษณีย์จะรับพัสดุจากสถานีขนส่งเพื่อไปส่งตามบ้านอีกทอด ทำให้ปี 2566 ที่ผ่านมา บขส.มีรายได้จากการขนส่งสินค้ากว่า 200 ล้านบาทต่อปี 

คาดว่าเมื่อเพิ่มบริการขนส่งพัสดุเพิ่มขึ้น บขส.น่าจะมีรายได้อีกประมาณ 200 ล้านบาท ภายในปี 2567-2568 ประกอบกับเมื่อจำนวนผู้โดยสารไต่ระดับกลับสู่สถานการณ์ปกติก่อนโควิด-19 อาจทำให้ บขส.มีรายได้เพิ่มขึ้น

สมบัติทัวร์
ก่อตั้ง : 2485
บทเรียนสำคัญ : การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างรอบคอบและการอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าแบบครบวงจร

บริษัท เทพสมบัติ จำกัด หรือในชื่อที่หลายคนเรียกติดปากว่า ‘สมบัติทัวร์’ ถือเป็นบริษัทเดินรถเอกชนที่มีอายุอานามมากกว่าบริษัทอื่นๆ แต่นั่นไม่ได้ทำให้สมบัติทัวร์หยุดตัวเองไว้ แต่กลับปรับเปลี่ยนบริษัทให้ทันกับผู้บริโภคอยู่เสมอ และยังเน้นทำการตลาดที่ตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่ม 

เช่น การมีสายรถที่ครอบคลุมทั่วทุกภาคของไทย ระบบการจองตั๋วล่วงหน้าผ่านหลายช่องทางเพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้โดยสาร การมีรถทัวร์ซูเปอร์วีไอพี 20 ที่นั่งอย่างเวียงพิงค์บัส ที่ลบภาพจำการนั่งรถทัวร์ที่ดูไม่สบายและไม่ปลอดภัยออกไป นอกจากนั้นผู้โดยสารหลายคนก็เลือกนั่งสมบัติทัวร์ด้วยเพราะมีจุดแวะพักระหว่างทางที่ตอบโจทย์การเดินทางไกลอันแสนเหนื่อยล้า  

ในช่วงโควิด-19 ซึ่งเป็นช่วงวิกฤตสำหรับบริษัทรถทัวร์ทุกบริษัทเนื่องจากจำเป็นต้องหยุดการเดินรถเพื่อลดการแพร่ระบาด รัฐบาลมีนโยบายให้บริษัทรถทัวร์คืนเงินค่าตั๋วโดยสารกับผู้โดยสาร นั่นหมายความว่าเงินหมุนเวียนที่มีจะต้องลดน้อยถอยลง 

สิ่งหนึ่งที่สมบัติทัวร์แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีคือการนำเสนอโปรโมชั่นสำหรับลูกค้าที่เลือกเก็บตั๋วไว้ โดยการมอบตั๋วเดินทางฟรีอีก 1 ใบซึ่งใช้งานได้ใน 1 ปี เพราะผู้บริหารมองเห็นแล้วว่ากลุ่มลูกค้าที่จำเป็นต้องเดินทางยังมีอีกมาก แม้ลูกค้าจะได้เงินกลับไปจากการคืนตั๋ว เมื่อถึงเวลาจำเป็นต้องเดินทาง ลูกค้าก็จะต้องเสียเงินซื้อบัตรโดยสารใหม่อยู่ดี

นี่อาจเป็นเหตุผลที่แม้รายได้รวมจะยังไม่กลับมาสูงเท่าช่วงโควิด-19 แต่สมบัติทัวร์ก็ยังทำกำไรได้ในสภาพเศรษฐกิจแบบนี้

เชิดชัยทัวร์
ก่อตั้ง : 2506 
บทเรียนสำคัญ : การปรับตัวและการน้อมรับเสียงวิจารณ์คือสิ่งที่ทำให้ธุรกิจหนึ่งๆ ไม่กลายเป็นตำนานที่ไร้ลมหายใจ

เชิดชัยทัวร์ หรือที่หลายคนจดจำได้ในฐานะบริษัทรถทัวร์ของเจ๊เกียว ต่อยอดจากอู่ต่อรถจนกลายเป็นธุรกิจรถโดยสารที่แต่เดิมเน้นวิ่งแค่ในโคราชและมีรถเพียง 1 คันเท่านั้น ก่อนขยายกิจการจนเชิดชัยทัวร์มีรถโดยสารประจำทางระหว่างจังหวัดกว่า 1,200 คัน 

ส่วนใหญ่เป็นเส้นทางระยะไกลในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และยังเน้นให้บริการระยะกลางระหว่างกรุงเทพฯ และนครราชสีมา และมีจุดหมายปลายทางทางตะวันออกบางแห่ง ขณะที่หลายเจ้าไม่มี สิ่งที่ทำให้เจ๊เกียวประสบความสำเร็จมากในช่วงแรกก็ด้วยคู่แข่งที่ยังน้อยราย ชนิดที่ถ้านึกถึงรถทัวร์ก็ต้องนึกถึงเชิดชัย

แต่ด้วยความที่อยู่มานาน อาจทำให้เชิดชัยทัวร์มีจุดด้อยที่ทำให้หลายคนจดจำชื่อนี้ในภาพลบ ทั้งในแง่การบริการ ความทันสมัยต่างๆ ก็ยังตามหลายบริษัทที่ปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว ถึงอย่างนั้น เชิดชัยทัวร์ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจและพยายามพัฒนาบริการหลายด้าน ทั้งการปรับให้ซื้อตั๋วผ่านช่องทางออนไลน์ได้ การขยายไปสู่การรับ-ส่งผู้โดยสารให้กับสนามบินและสายการบินในไทยและต่างประเทศ ซึ่งยังมีคู่แข่งน้อย

สิ่งหนึ่งที่สร้างเสียงฮือฮาคือเมื่อปี 2565 เจ๊เกียวได้ออกมาประกาศขายกิจการเชิดชัยทัวร์ เพื่อปิดจบหนี้สินทั้งหมด ปัจจุบันเชิดชัยทัวร์ยังคงให้บริการเดินรถและในปี 2566 ที่ผ่านมาก็กลับมาทำกำไรได้ แม้เพียงน้อยนิดก็ถือเป็นอีกหนึ่งเฮือกของการทำธุรกิจรถทัวร์ไม่น้อย

กรีนบัส
ก่อตั้ง : 2507
บทเรียนสำคัญ : การสร้างระบบที่ดีคือพื้นฐานของการธุรกิจ

ถ้าจะบอกว่าสายรถเจ้าไหนที่ชาวเหนือคุ้นชินเป็นอันดับต้นๆ ก็ขอยกให้กรีนบัส นอกจากชื่อกรีนบัสแล้ว อีกชื่อที่หลายคนเอ่ยจนติดปากคือเมล์เขียว ด้วยเพราะรถโดยสารรุ่นแรกมีลักษณะคล้ายรถบรรทุกที่ด้านข้างรถเป็นสีเขียวนั่นเอง 

ช่วงเริ่มต้นกิจการ กรีนบัสได้รับสัมปทานเส้นทาง ลำปาง – เชียงราย เป็นเส้นทางเเรก นอกจากเน้นเดินทางข้ามจังหวัดในแถบภาคเหนือแล้ว กรีนบัสยังมีบริการเส้นทางเดินรถข้ามภูมิภาคระหว่างภาคเหนือ กลาง และใต้ และจากการร่วมทุนกับบริษัท ปิยะรุ่งเรืองทัวร์ จำกัด ซึ่งให้บริการเดินรถในภาคใต้  จึงทำให้กรีนบัสมีเส้นทางเดินรถที่ยาวที่สุดในไทย นั่นคือเส้นทางหมวด 3 สายที่ 877 แม่สาย – ด่านนอก  

หนึ่งในความท้าทายของธุรกิจเดินรถที่ ‘สมชาย ทองคำคูณ’ ผู้บริหารรุ่นที่สองของกรีนบัสเคยให้สัมภาษณ์กับ Capital คือการทำกำไร หลักสำคัญคือการปรับเปลี่ยนระบบให้จัดการง่ายเพื่อควบคุมต้นทุนตั้งแต่การยกเลิกนโยบายรถ 1 คัน มีคนขับประจำรถ 1 คน แล้วเปลี่ยนเป็นรถ 10 คัน ต่อคนขับ 14 คน โดยแต่ละคนไม่ประจำรถ เพื่อให้คนขับชุดเดิมได้พักผ่อน แต่รถก็พร้อมให้บริการทันทีเพราะมีคนขับอีกชุดรออยู่แล้ว ซึ่งสร้างรายได้ให้กรีนบัสมากขึ้นถึง 50% 

นอกจากนั้นกรีนบัสยังบังคับให้พนักงานต้องมีวันหยุด ไม่เน้นการทำรอบเพื่อเพิ่มรายได้ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้ผู้โดยสาร ตัวคนขับเอง และทำให้คนขับได้มีชีวิตส่วนตัวและครอบครัวที่ดีขึ้น รวมถึงยังแตกไลน์ธุรกิจอีกมากเพื่อสร้างรายได้หลายทาง

แม้เทียบกับบริษัทรถทัวร์ชื่อดังอีกหลายเจ้า กรีนบัสจะยังทำรายได้และกำไรทิ้งห่างจากพี่ใหญ่ไปมาก แต่กรีนบัสก็ยังคงเป็นที่รักของชาวเหนืออยู่เสมอ

นครชัยแอร์
ก่อตั้ง : 2529
บทเรียนสำคัญ : การเป็นผู้นำในวงการและการปรับตัวเพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคคือเกมสำคัญที่ทำให้สร้างกำไรมหาศาล และนำหน้าทุกคนในวงการ ทั้งที่ใครๆ ต่างก็บอกว่าธุรกิจรถทัวร์กำลังจะตาย

ในบรรดาสายรถชื่อดังทั้งหลาย นครชัยแอร์ถือเป็นน้องใหม่ด้วยอายุอานามเทียบเท่าวัยกลางคน แต่เด็กใหม่คนนี้กลับนำหน้าบริษัทรถทัวร์อื่นๆ ไปได้ไกล จากการเปิดให้บริการ 2 เส้นทาง คือ กรุงเทพฯ – ขอนแก่น และกรุงเทพฯ – อุบลราชธานี ด้วยรถโดยสารเพียง 20 คัน ปัจจุบันเปิดให้บริการ 106 สาขา ในภาคเหนือ อีสาน ตะวันออก และกรุงเทพฯ รวมกว่า 487 จุดหมายปลายทาง 

ด้วยปกติบริษัทรถทัวร์อื่นๆ จับตลาดแมสเพื่อตอบโจทย์กลุ่มคนให้ได้มากที่สุด แต่นครชัยแอร์กลับเลือกจับตลาด niche ที่ค่าตั๋วสูงขึ้นแต่แลกมาด้วยความสะดวกสบายที่บริษัทรถทัวร์อื่นๆ ให้ไม่ได้  นั่นคือนครชัยแอร์หันมาเลือกออกแบบรถโดยสารเอง ปรับลดที่นั่งลงเพื่อเพิ่มความสะดวกสบาย เลือกทำเบาะนั่งแบบแคปซูลเพิ่มความเป็นส่วนตัว มีเบาะนวดไฟฟ้า มีจอทีวีส่วนตัวระบบทัชสกรีน 

นอกจากนั้นยังเป็นบริษัทแรกที่เปิดสำรองที่นั่งและจำหน่ายตั๋วด้วยระบบคอมพิวเตอร์ และมีโซนเฉพาะผู้หญิงเพื่อเพิ่มความรู้สึกปลอดภัยให้ผู้โดยสารด้วย  อีกความแตกต่างคือการบริการและการเพิ่มความปลอดภัย ที่รถทุกคันมีจีพีเอสเพื่อจับความเร็วและเส้นทางเดิน มีศูนย์ควบคุมที่คอยตักเตือนพนักงาน มีการเทรนพนักงานขับรถ และพนักงานให้บริการที่ทำให้ผู้โดยสารรู้สึกเหมือนได้รับบริการบนเครื่องบิน

อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้นครชัยแอร์โดดเด่นคือการสื่อสารในช่องทางโซเชียลมีเดียของตนเองอย่างเข้าถึงลูกค้ารุ่นใหม่ๆ ทั้งประชาสัมพันธ์ทั่วไป และการทำคอนเทนต์ที่สร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า ที่ผ่านมายังเปิดให้ผู้โดยสารออกแบบชุดพนักงานบริการบนรถด้วย ไม่แปลกใจหากนครชัยแอร์จะได้รับรางวัล Best Brand Performance on Social Media กลุ่มธุรกิจบริการขนส่งสาธารณะ (Mass Transit) ในงานประกาศรางวัล Thailand Social Awards ครั้งที่ 12 ด้วย

แม้จะเผชิญสถานการณ์โควิด-19 ไม่ต่างจากเจ้าอื่นๆ แต่นครชัยแอร์ก็พลิกเกมกลับมาได้อย่างรวดเร็ว ทำรายได้รวมสูงถึง 2 พันล้านบาท ทั้งยังสร้างกำไรหลักครึ่งล้านได้ ถือเป็นกลยุทธ์ที่ทำให้นครชัยแอร์ไม่เก่าแต่เก๋าเกม 

อ้างอิง

กลโกงเทรดหุ้นออนไลน์ นักธุรกิจเผยประสบการณ์โดนหลอกลงทุน สูญเงินกว่า 15 ล้านบาท

ทุกคนต่างมีเวลาวันละ 24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่การจัดสรรเวลาอาจแตกต่างกันไปตามบทบาทหน้าที่ สำหรับวัยทำงานเวลาส่วนใหญ่มักถูกใช้ไปกับการทำงานหาเงิน เพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และแสวงหาความมั่นคงในอนาคต นอกจากงานประจำแล้วหลายคนยังมองหาโอกาสทางสร้างรายได้ใหม่ๆ โดยหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมคือ การลงทุนในรูปแบบของการเทรดหุ้น ที่ได้ผลตอบแทนจำนวนมาก

กบ นักธุรกิจวัย 48 ปี ที่ปัจจุบันยึดอาชีพค้าขายแถวศาลายา เล่าให้ฟังว่า “เดิมทีก็ไม่ได้สนใจเรื่องการลงทุน พอเห็นเพื่อนลงทุนเลยอยากทำบ้าง ก็เริ่มจากการศึกษาจากเว็บไซต์ต่างๆ รวมถึงถามจากเพื่อนด้วย แล้วพอดีช่วงนั้นเข้าเฟซบุ๊กก็เห็นโฆษณาชวนลงทุนที่อ้างว่าได้ผลตอบแทนสูงเลยติดต่อไป จากนั้นจะถูกดึงเข้ากลุ่มไลน์ และมีโบรกเกอร์ให้คำปรึกษา แนะนำ และสอนวิธีลงทุน”

หลังจากผู้เสียหายเข้ากลุ่มไลน์แล้ว มิจฉาชีพจะให้ดาวน์โหลดแอพฯ Windbrok หรือ WB ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มลงทุนและซื้อ-ขายสินทรัพย์หลากหลายประเภท โดยมีฝ่ายบริการและผู้ช่วยการลงทุนดูแลทุกขั้นตอน

สร้างความน่าเชื่อถือด้วยพอร์ตลงทุนที่ให้ผลกำไร

หากพูดถึงการหลอกลวงของมิจฉาชีพ สิ่งที่ดึงดูดให้คนเข้ามาลงทุนได้มากที่สุดคงหนีไม่พ้นเรื่องผลตอบแทนมหาศาลที่ได้มาในเวลาอันรวดเร็ว แต่หากมองในหลักจิตวิทยา มิจฉาชีพเหล่านี้ใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ ด้วยการการันตีผลตอบแทนที่สูง มีเอกสารยืนยันว่าหุ้นแต่ละตัวได้รับการรับรองจาก ก.ล.ต. เข้าตีสนิทกับผู้เสียหาย และอ้างชื่อบุคคลที่มีชื่อเสียง โปรไฟล์ดี เพื่อล่อให้ติดกับ เมื่อผู้เสียหายตายใจ มิจฉาชีพจะหว่านล้อมให้ลงทุนมากขึ้นเรื่อยๆ

“เขาสร้างความน่าเชื่อถือด้วยการเปิดพอร์ตเก่าๆ ที่เคยลงทุนให้ดู เช่น ลงทุน 600,000 บาท ได้กำไร 90,000 บาท ภายใน 3-7 วัน ตอนแรกเราก็ไม่เชื่อ ถามคนอื่นเขาก็บอกว่าไม่จริง เป็นมิจฉาชีพแน่นอน เราเลยตัดการติดต่อไปประมาณอาทิตย์นึง เขาเลยทักมาใหม่ก็เริ่มคุยกันเรื่อยๆ จนเริ่มสนิทกัน เราลองหยอดเงินเข้าไปขั้นต่ำครั้งแรก 600,000 บาท ผ่านไปสักพักก็ได้ปันผลเป็นกำไรกลับมาจริงๆ แต่ยังไม่ได้ถอนเงินออกมา เลยลงทุนต่อเป็นครั้งที่ 2 อีก 2 ล้านบาท ภายในเวลา 7 วันได้กำไรประมาณ 400,000 บาท ซึ่งรอบนี้พี่ถอนเงินออกมาได้จริงๆ รวมกับครั้งแรกประมาณ 1.5-1.6 ล้านบาท ทีนี้เราก็มั่นใจแล้วว่าได้จริงๆ จึงเพิ่มทุนไปอีก 5 ล้านบาท และในแต่ละวันโบรกเกอร์จะคอยบอกเราว่ามีหุ้นตัวใหม่ๆ ออกมา ตัวไหนที่น่าสนใจเราก็จะซื้อสะสมไปเรื่อยๆ จนมีเงินในระบบ 25 ล้านบาท”

ทั้งนี้ หุ้นที่มิจฉาชีพบอกในแต่ละวันมีทั้งหุ้นจาก EGCO บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน), DELTA บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และ PTTEP บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ฯลฯ โดยการันตีว่าจะได้กำไรมากกว่า 25% และมิจฉาชีพยังย้ำกับผู้เสียหายว่า หุ้นจากบริษัทเหล่านี้ได้รับการขึ้นทะเบียนกับ ก.ล.ต.แล้ว มีเอกสารที่เป็นลายลักษณ์อักษรให้ดูอย่างชัดเจน ซึ่งทางผู้เสียหายก็ไม่ทราบว่าเป็นเอกสารจริงหรือไม่ 

แรงก์ VIP หุ้นเด็ดกำไร 70-80%

ผ่านไปไม่นานยอดเงินสะสมของผู้เสียหายในแอพฯ มีมากถึง 25 ล้านบาท ทว่าโบรกเกอร์กลับบอกว่ายังไม่มากพอ หากต้องการลงทุนและได้ปันผลมากขึ้นได้กำไร 70-80% มีรางวัลล่อใจเป็นรถยนต์บ้าน ไปอบรมต่างประเทศ และไม่มีค่าประกันการลงทุน ซึ่งต่างจากระดับปกติเงินลงทุน 10 ล้านบาทต้องมีค่าประกัน 40% ทั้งหมดนี้ นักลงทุนต้องอยู่ในแรงก์ VIP และมียอดเงินขั้นต่ำ 30 ล้านบาท

และเพื่อหลอกล่อผู้เสียหาย ในระหว่างนั้นมิจฉาชีพก็ตีสนิทด้วยการชวนคุย ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบเหมือนญาติคนนึง เสนอตัวช่วยเหลือ และแสดงน้ำใจด้วยการส่งของต่างๆ มาให้ ไม่ว่าจะเป็นไวน์ หรือกระเป๋าแบรนด์เนม เพื่อลวงให้ตายใจ และยอมกู้เงิน 5 ล้านบาทเพื่ออัพเลเวลตัวเองให้เข้าสู่แรงก์ VIP

“เวลานั้นพี่ยังขาดเงินอีก 5 ล้านถึงจะเข้ากลุ่ม VIP ได้ ถ้าได้เข้ากลุ่ม VIP พี่จะได้เล่นหุ้นอีกตัวที่ทำกำไรได้มากถึง 70-80% อย่างถ้าลงทุน 30 ล้านก็จะได้จะได้กำไรประมาณ 9 ล้านต่อวัน ทีนี้เลยตัดสินใจยืมเงินจากโบรกเกอร์ในแอพฯ พอได้เงินมาปุ๊ปเขาบอกว่าเงินกู้ก้อนนี้ต้องคืนในระยะเวลา 7 วัน ซึ่งทางนั้นก็ไม่ได้บอกอะไรเลยจะเอาเงินจากเราอย่างเดียว และถ้าจ่ายคืนช้าต้องเสียเงินดอกเบี้ยวันละ 250,000 บาท”

ในความโชคร้ายนั้นก็ยังมีความโชคดีอยู่บ้าง ผู้เสียหายเล่าว่า ในวันที่ต้องยืมเงินคนอื่นเพื่อใช้หนี้ ไม่มีใครให้ยืมเลยสักคน และเมื่อเข้าตาจนก็คิดจะนำบ้านไปจำนอง ประกอบกับเป็นช่วงปีใหม่ที่ธนาคารหยุดยาว จึงไม่ได้ดำเนินการให้เสร็จสิ้น

“นี่แหละเป็นจุดที่ทำให้เรารู้ว่าโดนหลอก เราหาเงิน 5 ล้านมาใช้หนี้ไม่ได้ ตอนนั้นเราอยากเอาเงินไปคืนเขา เพื่อที่จะได้ถอนเงินทั้งหมดออกมา เลยนำเรื่องนี้ไปปรึกษาคนในครอบครัว รวบรวมหลักฐานข้อมูลทุกอย่าง โทรหา ก.ล.ต. ติดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สืบข้อมูลทุกอย่างจนพบว่าเป็นมิจฉาชีพแน่นอน

ตอนนั้นรู้สึกเหมือนตกนรก เครียดมาก กินไม่ได้นอนไม่หลับ แต่ก็ถือว่าโชคดีนะ เพราะเกือบเอาบ้านไปจำนองแล้ว จนแฟนบอกให้หยุด ต้องเก็บบ้านไว้ให้ลูก คือพี่หยุดเลยจริงๆ อะไรที่เสียไปแล้วก็ปล่อยไป เพราะพี่จะไม่ยอมเสียอีกแล้ว”

นอกจากผู้เสียหายรายนี้แล้ว ยังมีอีกหลายคนที่ตกเป็นเหยื่อของของขบวนการดังกล่าว ที่หลอกให้นำเงินมาลงทุนในลักษณะเดียวกัน ผู้เสียหายเล่าว่า “บางคนหมดเนื้อหมดตัว เสียเงินไปกว่าล้านบาท ต้องไปอาศัยกินนอนที่วัดก็มี เหมือนตายทั้งเป็น เราก็เป็นห่วงกลัวเขาจะคิดสั้น ซึ่งก็มีบางคนที่ติดต่อกันอยู่ ตอนนี้พี่มองว่า คนเราพลาดได้ ก็อยากให้การพลาดครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายในชีวิต” 

กล้าแสดงตัว เพราะไม่อยากให้ใครเจอแบบเดียวกัน 

คดีการหลอกลงทุนบนโลกออนไลน์กลายเป็นข่าวที่สังคมไทยให้ความสนใจมาตลอด และมีผู้เสียหายจำนวนมาก แต่ไม่ใช่ทุกคนจะกล้าออกมาแสดงตัวหรือแจ้งความดำเนินคดีกับมิจฉาชีพ เพราะเจอเรื่องราวเหล่านี้ และต้องเล่าให้คนอื่นฟัง ต้องใช้ความกล้ามหาศาล ยิ่งต้องเข้าแจ้งความเรื่องจะกลายเป็นสาธารณะทันที 

ผู้เสียหายเล่าว่า “หลังจากรู้ตัวว่าโดนหลอก พี่ก็ติดต่อ 1441 ศูนย์ฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ (Anti Online Scam Operation Center : AOC) และเดินทางไปที่กองปราบปรามออนไลน์ เพราะพี่อยากรู้ว่าคนพวกนี้อยู่ที่ไหน ทำอะไร ซึ่งข้อมูลที่ได้พบว่า บัญชีม้าทั้งหมดอยู่ที่ประเทศกัมพูชา พี่ลุยเองทุกขั้นตอนจนได้พบผู้บัญชาการสูงสุด และได้รู้ข้อมูลหลายอย่างที่เป็นประโยชน์ เพราะหากปล่อยไว้อาจมีผู้ตกเป็นเหยื่อเพิ่มอีกในอนาคต” 

บทเรียนที่ชีวิตนี้ไม่มีวันลืม 

จากสถานการณ์ปัจจุบันจะเห็นได้ว่ามีความเสียหายจากการฝากเงินเพื่อเทรดหุ้นออนไลน์อย่างต่อเนื่อง และแต่ละเคสมีมูลค่าความเสียหายไม่น้อย ในความเป็นจริงแล้ว ความเป็นไปได้ในการสร้างผลตอบแทนจากหุ้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถการันตีได้

“การลงทุนที่ได้เงินเยอะเวลาที่รวดเร็วไม่มีจริง ทำอาชีพสุจริตเก็บเงินฝากแบงก์ยังดีซะกว่า ฝากแบงก์ยังได้ดอก แต่ลงทุนแบบนี้ไม่ได้ทั้งดอกทั้งต้น อย่าเชื่อสิ่งที่มิจฉาชีพเอามาหลอกล่อ พี่เจอมากับตัวเองแล้ว ถ้าดีจริงเขาให้พ่อแม่พี่น้องเล่นดีกว่าไหม มิจฉาชีพจะทำทุกวิถีทาง ใช้จิตวิทยาเพื่อให้เราเชื่อใจ บางคนไม่มีเงิน หรือมีเงินน้อยแต่อยากเอาเงินมาต่อยอด พอเจอเหตุการณ์อย่างนี้ ชีวิตล้มละลายเลยก็มี บางคนคิดฆ่าตัวตาย ตอนลงทุนแรกๆ ไม่ได้บอกครอบครัว เขารู้ตอนที่เกิดเรื่องแล้ว ตลอดระยะเวลา 2 เดือนเราสูญเงินรวม 15 ล้านบาท ซึ่งเรามีครอบครัวเป็นกำลังใจสำคัญ เขาบอกว่าไม่ต้องเสียใจ เราสร้างใหม่ได้ ความผิดพลาดในครั้งนี้ต้องผ่านไปให้ได้ และต้องให้โอกาสตัวเองใหม่”

ทั้งนี้ ผู้ลงทุนสามารถตรวจสอบชื่อผู้ให้บริการในตลาดทุนที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. รวมถึงค้นหาผลิตภัณฑ์ที่ได้รับอนุญาตเพื่อช่วยในการตัดสินใจลงทุน ได้ที่ market.sec.or.th/LicenseCheck/Search หรือแอพพลิเคชั่น SEC Check First

หวังรัก กลับเจอมิจฉาชีพ หนุ่มไทยสูญเงิน 60,000 บาท จาก romance scam

ในอดีตการจะมีความรักหรือเข้าหาใครสักคนอาจต้องลงทุนลงแรงซื้อของขวัญ เดินทางไปหา หรือนัดเดตเพื่อทำความรู้จัก แต่เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีก้าวหน้าไปมาก จนทำให้การเข้าถึงความรักง่ายกว่าแต่ก่อน ทว่า เทคโนโลยีที่ช่วยอำนวยความสะดวกสบายในทุกวันนี้ ก็ไม่ได้การันตีว่าความรักจะสมหวัง เพราะบางครั้งความรักในโลกออนไลน์ก็มาในรูปแบบ romance scam ที่จบด้วยความเสียหายทั้งด้านการเงินและจิตใจ

เรื่องราวจากประสบการณ์ที่กำลังจะเล่าต่อไปนี้เป็น romance scam อีกหนึ่งรูปแบบที่สร้างโปรไฟล์ให้ดูสมจริงและน่าดึงดูด ใช้คารมหว่านล้อมด้วยคำหวาน ตีสนิทให้เกิดความเชื่อใจ ซึ่งในเคสนี้มิจฉาชีพจะมองหากลุ่มคนเหงา คนโสดที่ต้องการหาเพื่อนคุย เหมือนกับ เบิร์ด หนุ่มไทยวัย 37 ที่ทำงานก่อสร้างอยู่ ณ ประเทศญี่ปุ่น ที่ไม่เคยสนใจเรื่องการลงทุน แต่กลับต้องมาเสียเงินกว่า 60,000 บาท จากการหลอกลวงของมิจฉาชีพ

เบิร์ดเล่าว่า ในขณะที่ตนกำลังเล่น TikTok ก็มีหญิงสาวรายหนึ่งทักเข้ามาทาง Direct Message ด้วยความที่เห็นว่าหน้าตาเป็นมิตร น่ารัก บวกกับช่วงนั้นตนกำลังจะกลับไทย เลยอยากคุยกันไว้เผื่อได้นัดเจอหรือไปเที่ยว โดยมิจฉาชีพรายนี้เข้ามาในรูปแบบของ romance scam ที่เข้ามาตีสนิท คุยเล่น หยอกล้อ สร้างความสนิทสนม วางตัวเหมือนเพื่อนหรือมากกว่าเพื่อน เช่น ทำทีว่าจะชวนไปเที่ยว กินข้าว ดูหนัง หรือเล่าสารทุกข์สุกดิบเรื่องราวที่เกิดขึ้นในแต่ละวันให้ฟัง เพื่อให้ผู้เสียหายตายใจ และเมื่อเวลาผ่านไปหญิงสาวรายนี้ก็เริ่มชักชวนเบิร์ดให้เข้าสู่โลกการลงทุน

โดยการลงทุนที่ว่าเป็นการลงทุนในหุ้นและกองทุนผ่านธนาคาร BNP Paribas ซึ่งเป็นสถาบันการเงินระดับโลกจากประเทศฝรั่งเศส มิจฉาชีพได้ทำเว็บไซต์ปลอมและใช้กลยุทธ์ล่อลวงว่าเมื่อลงทุนแล้วจะได้ผลตอบแทนสูงในเวลาไม่นาน โดยการันตีผลตอบแทนมากถึง 15% และจ่ายคืนในทุกๆ 3 เดือน เช่น ลงทุน 100,000 บาท ได้กำไร 15,900 บาท และจะลงทุนหุ้นและกองทุนในต่างประเทศเป็นหลัก ทั้งในอังกฤษ เกาหลี แคนาดา และสิงคโปร์ มิจฉาชีพอ้างว่าจะให้ผลตอบแทนดีกว่าการลงทุนหุ้นในประเทศ พอเป็นเช่นนี้จึงทำให้ผู้คนจากหลายสาขาอาชีพสนใจเข้าร่วมลงทุนด้วย แม้แต่ผู้เสียหายเองก็สนใจเช่นกัน

สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจด้วยข้อมูลที่เชื่อถือได้

จากข้อมูลที่มิจฉาชีพบอกกับผู้เสียหายเกี่ยวกับธนาคาร BNP Paribas เมื่อผู้เสียหายเสิร์ชหาในอินเทอร์เน็ตก็จะเจอข้อมูลที่เชื่อถือได้ มีความถูกต้องตามกฎหมาย และมีหน่วยงานรับรอง ทำให้ผู้เสียหายรู้สึกเชื่อใจและไว้ใจ อีกทั้งมิจฉาชีพยังโน้มน้าวทางอารมณ์มากกว่าการโน้มน้าวด้วยเหตุผล เช่น จำกัดระยะเวลาในการโอนเงิน จำกัดผู้เข้าร่วมการลงทุน ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อว่าจะได้ผลตอบแทนตามที่สัญญาไว้

ตอนนี้หลายคนอาจเริ่มสงสัยว่า ท่ามกลางการประโคมข่าวของสื่อต่างๆ ทำไมยังมีคนหลงเชื่อมิจฉาชีพอย่างสนิทใจ แต่ในมุมมองของผู้ที่ไม่คิดจะลงทุนหรือไม่เคยลงทุนมาก่อน การได้เห็นภาพของนักลงทุนที่ลงเงินไปแล้วได้ผลตอบแทนกลับมาจริงๆ ย่อมสร้างความเชื่อใจได้มากกว่าวิธีไหนๆ และในครั้งแรกมิจฉาชีพได้โชว์ผลประกอบการที่ได้จากการลงทุนให้ผู้เสียหายดู โดยมีเงินลงทุนเริ่มต้น 50,000 บาท ภายในระยะเวลาไม่นานก็ได้กำไรหลักแสน และมิจฉาชีพก็ให้ผู้เสียหายได้ลองลงทุนด้วยตัวเอง โดยจะคอยบอกทุกขั้นตอน จนได้กำไรหลักแสน ทำให้ผู้เสียหายสนใจและอยากลงทุนแบบจริงจัง

“เมื่อเห็นว่าได้กำไรจากการลงทุนก็อยากถอนเงินออก แต่จังหวะนั้นผมใส่เลขบัญชีธนาคารผิด ก็ต้องติดต่อกับเจ้าหน้าที่ เขาบอกว่าต้องโอนเงินเข้าบัญชีให้เท่ากับจำนวนเงินที่จะถอนออก ซึ่งตอนนั้นมีเงินในระบบแสนกว่าบาท ผมก็ตัดสินใจโอนเงินไป 60,000 บาท เพื่อที่จะถอนเงินออกมา แต่พอโอนไปแล้วก็ยังถอนออกมาไม่ได้ เพราะระบบแจ้งว่าต้องจ่ายค่าภาษีอีก 20,000 บาท”

สร้างความกลัวและความกดดัน

นอกจากการการันตีผลตอบแทนที่สูงเกินจริงแล้ว อีกหนึ่งจุดที่ทำให้ผู้เสียหายรู้สึกตัวว่าโดนหลอกคือการกดดัน

มิจฉาชีพอ้างว่าถ้าไม่รีบโอนเงินตอนนี้ จะถอนเงินไม่ได้อีกต่อไป หรืออ้างเหตุผลต่างๆ นานาว่าต้องเติมเงินเพื่อแก้ปัญหา เช่น จะถอนเงินได้ก็ต่อเมื่อเติมเงินเพิ่ม และตัวมิจฉาชีพในฐานะโบรกเกอร์ที่คอยแนะนำการลงทุนก็จะกดดันให้ผู้เสียหายโอนเงินให้เร็วที่สุด มีกำหนดระยะเวลาชัดเจน  ถือเป็นการครอบงำเหยื่อด้วยความกลัว กลัวว่าถ้าไม่โอนตอนนี้จะสูญเงินทั้งหมด 

“หลังจากมิจฉาชีพบอกว่าต้องโอนเงินอีก 20,000 บาทเป็นค่าภาษีสำหรับถอนเงิน ผมก็รู้สึกตัวแล้วว่าโดนหลอกแน่ๆ เลยไม่ได้โอนไป แล้วจึงนำเรื่องทั้งหมดไปโพสต์ในกลุ่มแชร์ประสบการณ์อาชญากรรมทางเทคโนโลยีในเฟซบุ๊ก สมาชิกในกลุ่มก็พูดเหมือนกันทุกคนว่าโดนโกงแล้ว ให้รีบแจ้งความทันที ตอนที่เกิดเรื่องผมยังอยู่ญี่ปุ่น เลยให้น้องไปแจ้งตำรวจในท้องที่ ซึ่งตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าเรื่องไปถึงขั้นตอนไหนแล้ว

“ที่น่าเจ็บใจคือ มิจฉาชีพยังตอกย้ำกลับมาอีกว่า ‘ทำไมโอนง่ายจัง สบายใจจังได้เงินฟรีๆ แล้วสักพักก็บล็อกผมไป’ 

ทั้งนี้ ในการลงทุนหรือทำธุรกรรมใดๆ ถ้าเจอประโยคที่ว่า ‘จะถอนเงินได้ต้องเติมเงินก่อน’ ใหัสันนิษฐานไว้เลยว่าเป็นมิจฉาชีพ เพราะถ้าเงินทั้งหมดที่ลงทุนมีอยู่จริง ต้องถอนได้ง่ายๆ ไม่ใช่ต้องเติมเงินเพื่อให้ถอนได้ เพราะในท้ายที่สุดคุณจะเสียเงินมากขึ้น 

“ด้วยความที่ผมทำงานอยู่ต่างประเทศ ย่อมมีความเหงาเป็นธรรมดา พอมีคนเข้ามาคุยเราก็คิดว่าเขาจะจริงใจ ถ้าจะหลอกให้รักไม่ว่า แต่อย่าหลอกให้โอนเงิน” เบิร์ดกล่าวทิ้งท้าย

อย่างไรก็ตาม 60,000 บาทเป็นเพียงความเสียหายในแง่ตัวเลขเท่านั้น แต่ความเสียหายที่หยั่งลึกลงไปกว่านั้นคือความเสียหายทางด้านจิตใจ เหตุการณ์นี้ทำให้ผู้เสียหายรู้สึกไม่ดีกับการมีความสัมพันธ์บนโลกออนไลน์ ที่กลายเป็นความทรงจำแสนเลวร้ายไปตลอดชีวิต

ถ้าไม่อยากมองโลกในแง่ร้ายจนเกินไป เมื่อมีความสัมพันธ์บนโลกออนไลน์ และถูกชักชวนให้ลงทุน แต่ยังกังวลหรือไม่แน่ใจว่ากำลังเจออยู่กับมิจฉาชีพหรือไม่ แนะนำให้ตรวจสอบข้อมูลและรายละเอียดอย่างรอบคอบก่อนจะตกลงหรือทำธุรกรรมใดๆ อย่าผลีผลามลงทุน เช็กให้ชัวร์ก่อนว่าบริษัทมีตัวตนไหม หรือหากพบเบาะแสหรือพฤติกรรมไม่น่าไว้ใจ สามารถตรวจสอบรายชื่อผู้ให้บริการในตลาดทุนที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. ได้ที่ market.sec.or.th/LicenseCheck/Search หรือแอพพลิเคชั่น SEC Check First

หลงเชื่อแอพฯ ช้อปปิ้งปลอมหลอกเอาเงินปันผลไปลงทุนหุ้น สูญเงินกว่า 6 แสนบาท

ปัจจุบันโลกออนไลน์กลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตของเรา การลงทุนออนไลน์ก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ได้รับความนิยม อย่างไรก็ตาม มิจฉาชีพก็ฉวยโอกาสนี้สร้างกลโกงหลากหลายรูปแบบเพื่อหลอกลวงเงินจากนักลงทุน

โดยกลโกงส่วนใหญ่ที่พบมักมีความเกี่ยวข้องกับแชร์ลูกโซ่หรือหลอกให้ลงทุนโดยอ้างผลตอบแทนสูง จ่ายเงินจริงในช่วงแรกเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ แต่สุดท้ายเงินจะหยุดหมุนและนักลงทุนสูญเงินไปในที่สุด

แม้จะมีการออกคำเตือนจากหน่วยงานต่างๆ ให้ประชาชนได้ระมัดระวังมิจฉาชีพที่มาในรูปแบบของการชักชวนให้ลงทุน แต่ก็ยังมีคนจำนวนมากที่ตกหลุมพรางของมิจฉาชีพ จากเพจหรือแอพฯ ที่ดูน่าเชื่อถือ โดยเอาตัวเลขผลกำไรมาเป็นเหยื่อล่อ

เริ่มต้นที่หลักหมื่น ก่อนจบด้วยการสูญเงินหลักแสน

เรื่องเล่านี้เป็นเรื่องราวของแพรว หญิงสาวอายุ 27 ประกอบอาชีพพยาบาลแห่งหนึ่งในภาคอีสาน ที่เจอโฆษณาชวนลงทุนจากเพจเพจหนึ่ง โดยอ้างถึงแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซชื่อดังที่หลายคนคุ้นเคย และอ้างว่าจะทำกำไรได้ตามเรตการลงทุนอยู่ที่ 15-20% ภายใน 7 วัน และเงินลงทุนหรือปันผลบางส่วนจะถูกส่งต่อไปในรูปแบบของการลงทุนเทรดหุ้น หรือกองทุนต่างๆ ซึ่งก็หมายถึง ยิ่งลงทุนมาก กำไรก็ยิ่งมากตามไปด้วย

ทั้งนี้ มิจฉาชีพได้ชวนลงทุน โดยแอบอ้างแพลตฟอร์มลาซาด้า และบริษัท โอเคไทยช้อป จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่น่าเชื่อถือ เมื่อผู้เสียหายสนใจจึงติดต่อขอข้อมูล ทำให้มิจฉาชีพเข้าถึงตัวผู้เสียหายด้วยการส่งข้อความเชิญชวนในเฟซบุ๊ก และให้แอดไลน์เพื่อลงทุน พร้อมการันตีว่าจะทำกำไรได้สูงภายในระยะเวลาอันสั้น โดยให้ผู้เสียหายได้สมัครเข้าเว็บไซต์ okthaishop.com (ขณะนี้เว็บไซต์ดังกล่าวได้ถูกปิดไปแล้ว) และเข้าไลน์กลุ่มที่มิจฉาชีพจัดเตรียมไว้

“ที่ผ่านมาเคยลงทุนหุ้นสหกรณ์กับที่ทำงาน และเคยลงทุนแบบเล่นแชร์มาก่อน แต่เป็นแค่แชร์ภายในครอบครัวญาติพี่น้อง ซึ่งเราก็ได้เงินตามปกติ จนล่าสุดเห็นเพื่อนลงทุนกับแอพฯ อีคอมเมิร์ซอันหนึ่งแล้วได้ผลตอบแทนดี เลยอยากลงทุนบ้าง ซึ่งเขาก็แนะนำว่าเป็นแอพฯ ลาซาด้า และให้ลิงก์มาลงทะเบียนขายของออนไลน์ และต้องเติมเงินเข้าระบบในหลักหมื่นบาท ถ้าขายได้เราก็จะได้ส่วนแบ่ง (affiliate) ทีมงานของแอพฯ ก็จะให้เราทำภารกิจต่างๆ จนครบแล้วถึงจะถอนเงินออกมาได้ เมื่อลงทุนในครั้งแรกๆ ก็ยังถอนเงินออกมาได้ แต่ในครั้งต่อไปก็ไม่สามารถถอนเงินได้ ทำให้เสียหายไปเกือบล้าน”

ซึ่งกลยุทธ์นี้เป็นไม้เด็ดของมิจฉาชีพที่จะหลอกนักลงทุนให้ตายใจ ในการสร้างความน่าเชื่อถือ โดยในครั้งแรกจะหลอกให้ลงทุนเพื่อพิสูจน์ว่าได้เงินจริงๆ พอได้เงินคืนแล้ว ผู้เสียหายจะเริ่มเชื่อและเพิ่มเงินลงทุนในครั้งต่อไป

“จริงๆ แล้วหากจะบอกว่าโดนมิจฉาชีพหลอกก็ไม่ใช่ซะทีเดียว เพราะเขาไม่ได้เกลี้ยกล่อมหรือเชิญชวนให้ลงทุนตั้งแต่แรก เพราะเราเห็นเพื่อนที่เป็นพยาบาลด้วยกันเขาทำได้ ได้เงินจริง เราเลยดูว่าเขาทำยังไง และลองทำตาม ซึ่งในรอบแรกลงทุนไป 60,000 บาท ก็ได้ปันผลกลับมาจริง”

กลลวงการลงทุน โอนเข้าได้ แต่ถอนออกไม่ได้

แต่ถึงคราวที่จำเป็นต้องใช้เงินทั้งหมดที่ลงทุนไป กลับไม่สามารถถอนเงินได้ และโบรกเกอร์แจ้งว่าต้องทำยอดให้ถึง และต้องเพิ่มเงินลงทุนให้ครบจำนวนตามที่ระบบกำหนด เช่น มีเงินในระบบ 10,000 บาท ถ้าจะถอนเงินได้ต้องมีในระบบขั้นต่ำ 15,000 บาท นั่นหมายความว่าต้องโอนเงินเพิ่มอีก 5,000 บาท แต่พอโอนไปแล้วเงื่อนไขการถอนจะเปลี่ยนเป็นต้องมีขั้นต่ำ 20,000 บาท เพื่อหลอกให้โอนเงินไปเรื่อยๆ

“หลังผ่านไป 2 สัปดาห์ เริ่มถอนเงินไม่ได้ เราก็เริ่มเอะใจแล้วว่าผิดปกติแน่นอน แถมยังบอกให้โอนเพิ่มอีก จุดที่รู้สึกว่าต้องไปแจ้งความคือ ตอนโอนรอบสุดท้าย เพราะทำตามเงื่อนไขของระบบทุกอย่าง แต่สุดท้ายแล้วก็ถอนไม่ได้ แล้วระบบยังบอกอีกว่าเราทำผิดเงื่อนไข ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่คนที่อยู่ในกลุ่มแผนงานพิเศษ มีกันประมาณ 5 คน ซึ่งเป็นกรุ๊ปไลน์รวมคนที่ลงทุนแบบเดียวกัน ซึ่งมีคุณ A ทักเรามา ซึ่งเราก็เข้าใจว่าเขาเป็นคนที่ลงทุนเหมือนกัน แล้วเจอเหตุการณ์เดียวกัน เลยมีการติดต่อพูดคุยนอกกรุ๊ปไลน์

“ความพีคอยู่ที่ คุณ A คนนี้เป็นหนึ่งในมิจฉาชีพ เนื่องจากเบอร์โทรเจ้าหน้าที่ที่ได้รับจากเขาก็คือเบอร์โทรของคุณ A เองนั่นแหละ เลยทำให้รู้ว่าคุณ A เป็นเจ้าหน้าที่ที่เข้ามาหลอก”

เมื่อรู้ว่าโดนโกงแล้ว ผู้เสียหายจึงนำชื่อและนามสกุลของเจ้าของบัญชีที่โอนเงินไปค้นหาในเว็บไซต์รวมคนโกง ก็พบว่าคนเหล่านี้มีชื่ออยู่ในฐานข้อมูลคนโกง

อย่าลบข้อความที่พูดคุย เพราะเป็นหลักฐานสำคัญ

มาถึงตรงนี้หลายคนอาจมีคำถามว่า ทำไมดูไม่ออกว่าเป็นมิจฉาชีพ

“ไม่ใช่ว่าเราจะเชื่อสนิทใจตั้งแต่แรก เพราะทางมิจฉาชีพมีเอกสารทางการ มีชื่อบริษัทชัดเจน เจ้าหน้าที่มีบัตรพนักงานสามารถตรวจสอบได้ ทุกอย่างดูน่าเชื่อถือไปหมด เหมือนบริษัทธรรมดาๆ และที่สำคัญบริษัทมีหนังสือรับรองจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) ด้วย

“พอรู้ว่าโดนโกงแล้วแน่ๆ เราก็รวบรวมหลักฐานทั้งหมดไปแจ้งความที่สถานีตำรวจใกล้บ้าน โทรไปธนาคารเพื่ออายัติบัญชีธนาคารที่เคยโอนเงินเข้าไป ตำรวจก็ให้คำแนะนำดี บอกให้ปรินต์หลักฐาน เอกสารที่เกี่ยวข้อง ที่สำคัญเลยคือ อย่าลบแชตไลน์ อย่าลบข้อความที่พูดคุย เพราะเป็นหลักฐานสำคัญ”

ผู้เสียหายได้ฝากทิ้งท้ายว่า ไม่ว่าจะเป็นการลงทุน อะไรก็ตาม ไม่ควรลงทุนอะไรที่หวังผลมาง่ายๆ 

ท้ายที่สุด หากนักลงทุนมีความสนใจเรื่องการลงทุน ควรศึกษาข้อมูลให้ครบถ้วนเสียก่อน ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเป็นบริษัทที่มีตัวตนจริง และอย่าลืมตรวจสอบใบอนุญาตของผู้ให้บริการนั้นๆ ได้ที่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) sec.or.th/TH/Pages/Home.aspx หรือแอพพลิเคชั่น SEC Check First

โลกร้อน ผลผลิตต่ำ ซ้ำเติมเกษตรกร! ในวันที่มันฝรั่งขาดตลาด เลย์ทำยังไงให้รอดทั้งเกษตรกรและอุตสาหกรรม 

ถ้าถามถึงพืชเศรษฐกิจของไทย หลายคนน่าจะนึกถึงข้าว ข้าวโพด อ้อย มันสำปะหลัง และยางพารา แต่รู้มั้ยว่าในช่วงสิบปีที่ผ่านมานี้ มันฝรั่งถือเป็นอีกหนึ่งพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ 

แต่ข้อจำกัดคือมันฝรั่งเป็นพืชฤดูหนาวที่เหมาะกับการเพาะปลูกในพื้นที่ภาคเหนือเป็นหลัก เมื่อโลกช่วงฤดูหนาวสั้นลงและอากาศร้อนขึ้นเรื่อยๆ เกษตรกรไทยจึงไม่สามารถปลูกมันฝรั่งได้ตลอดทั้งปี และต้องรีบเก็บเกี่ยวผลผลิตไวกว่าปกติ ส่งผลให้มันฝรั่งหัวเล็กลงและได้ผลผลิตน้อยลง สวนทางกับความต้องการของตลาด เป็นโจทย์แสนท้าทายที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคธุรกิจต้องร่วมกันหาทางออก 

หนึ่งในกรณีศึกษาที่น่าสนใจคือการจับมือกันระหว่าง ‘เลย์‘ ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายมันฝรั่งทอดกรอบยอดนิยมภายใต้บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด, จีไอแซด (GIZ) และหน่วยงานของไทยอย่างกรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร และกรมการข้าว เพื่อจัดตั้งจัดโครงการ ‘การจัดการห่วงโซ่อุปทานข้าวและมันฝรั่งเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศด้วยวิธีการปลูกข้าวมันฝรั่งและข้าวโพดหมุนเวียนอย่างยั่งยืน’ 

แนวทางของเลย์จะแก้ไขปัญหามันฝรั่งขาดตลาดซึ่งส่งผลต่อทั้งอุตสาหกรรมของตนเองและเกษตรกรไทยยังไงบ้าง capital มา recap ให้ฟังในตอนนี้

1. เลย์ร่วมมือกับเกษตรกรไทย 5,800 คนในใน 10 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา ลำพูน ลำปาง แม่ฮ่องสอน ตาก เพชรบูรณ์ สกลนคร และนครพนม เพื่อจัดทำฟาร์มต้นแบบ (Model Farm) จำนวน 19 แห่ง รวมพื้นที่กว่า 38,000 ไร่ 

2. ฟาร์มต้นแบบนี้ทำขึ้นบนข้อตกลงร่วมกันระหว่างเลย์และเกษตรกรว่าจะต้องไม่เผาฟางและตอซัง เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เป็นอีกทางหนึ่งที่ช่วยลดปัญหาฝุ่น หมอกควัน และไฟป่าที่รุนแรง 

3. เกษตรกรที่ทำงานร่วมกับเลย์จะได้รับองค์ความรู้ และการถ่ายทอดเทคนิค พร้อมเทคโนโลยีในการปลูกมันฝรั่ง เช่น การใช้โดรนประเมินโรคและตรวจสอบสภาพโดยทั่วไปของพื้นที่ปลูก การใช้เทคโนโลยีอินฟราเรดตรวจสอบสภาพดิน การติดตั้งระบบชลประทานน้ำหยดแทนระบบน้ำร่องช่วยลดการใช้แรงงานและลดค่าใช้จ่าย 

4. ด้วยมันฝรั่งไม่สามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี เลย์จึงสนับสนุนให้เกษตรกรปลูกพืชแบบหมุนเวียนโดยสลับปลูกข้าว มันฝรั่ง และข้าวโพด ช่วยบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศได้ ทั้งยังมีการรับประกันราคารับซื้อมันฝรั่งที่แน่นอน ภายใต้การทำข้อตกลงของระบบเกษตรพันธสัญญา 

5. เป๊ปซี่โคยังร่วมกับกรมวิชาการเกษตรพัฒนามันฝรั่งสายพันธุ์ท้องถิ่นสำหรับภูมิอากาศเขตร้อน และหาเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้าช่วยยกระดับการเพาะปลูกต่อไป เพื่อเพิ่มผลผลิตเป็น 5 ตันต่อไร่ ภายใน 5 ปี ซึ่งประสบความสำเร็จแล้วในฟาร์มต้นแบบ

ปัจจุบันเป๊ปซี่โค ประเทศไทย ได้ช่วยเพิ่มผลผลิตให้แก่เกษตรกรจากเดิม 2 ตันต่อไร่ มาเป็น 3.0-3.2 ตันต่อไร่ สร้างผลผลิตได้รวมกว่า 100,000 ตันต่อปี และสร้างรายได้ให้แก่เกษตรได้มากกว่า 1,500 ล้านบาทต่อปี เลย์ที่ถึงมือลูกค้า ถึงปากผู้บริโภคตอนนี้จึงใช้มันฝรั่งที่ปลูกในประเทศถึง 70% เป็นวัตถุดิบหลัก ส่วนอีก 30% เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ เช่น จีน แคนาดา และสหรัฐอเมริกา เพราะถึงจะเพิ่มปริมาณผลผลิตต่อไร่ได้ แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการอยู่ดี

ทั้งหมดนี้เป็นแนวทางการหาทางรอดและทางเลือกให้ทั้งภาคธุรกิจและภาคเกษตรกรรมของไทยที่ลงลึกถึงราก ตั้งแต่วัตถุดิบในการผลิต สิ่งแวดล้อมและสังคม เป็นอีกกรณีศึกษาสำหรับองค์กรและภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ ในการปรับตัวให้เข้ากับแนวทาง ESG ที่ถือไม่ใช่เพียงทางเลือกอีกต่อไป แต่ถึงเป็นอีกกฎหลักของการทำธุรกิจทั้งในไทยและระดับโลก

การสร้างแบรนด์ของ ‘น้ำเต้าหู้ปูปลา’ ที่อยากพาน้ำเต้าหู้เข้าห้างและยกระดับตลาดให้มีมาตรฐาน

เคยสงสัยกันไหมว่าเมืองไทยมีทั้งคาเฟ่และแบรนด์ชา กาแฟในห้างสรรพสินค้ามากมายแต่ทำไมเรามักพบร้านน้ำเต้าหู้ส่วนใหญ่แค่ตามร้านรถเข็นหรือร้านข้างทางเท่านั้น  ทำไมไม่ค่อยเห็นใครพาน้ำเต้าหู้เข้าห้างสรรพสินค้าหรือสร้างแบรนด์ดิ้งอย่างจริงจังทั้งๆ ที่เป็นเมนูสุดคุ้นเคยตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย

น้ำเต้าหู้ปูปลา’ เป็นคาเฟ่ของแนท–ภัณฑิรา ตรงชูเกียรติ Co-founder และทีมผู้ร่วมก่อตั้งที่มองเห็นโอกาสจากช่องว่างทางตลาดในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้น้ำเต้าหู้ด้วยคุณภาพและแบรนดิ้ง นอกจากเครื่องน้ำเต้าหู้แน่นๆ ที่เลือกท็อปปิ้งได้ตามใจแล้ว น้ำเต้าหู้ของที่นี่ยังมีกลิ่นหอมและเอกลักษณ์ของรสชาติที่หลายคนคุ้นเคยในตอนเด็ก มีชื่อแบรนด์ที่สะดุดหูและบรรยากาศในร้านที่ผสมกลิ่นอายความเก่าแก่แต่มีความสะดวกสบายแบบโมเดิร์น 

แนทเล่าว่าทีมลงมือศึกษาสูตรเองทั้งหมดในทุกกระบวนการจนทุกวันนี้น้ำเต้าหู้ปูปลาขยายเติบโตจนมีสาขาที่เปิดให้บริการทั้งหมด 5 สาขาคือสแตนด์อโลนที่ประตูผี สาขาป๊อปอัพที่เซ็นทรัลลาดพร้าว และสาขาในห้างอื่นๆ ที่ เมกาบางนา สยามพารากอน และสามย่านมิตรทาวน์ ที่เพิ่งเปิดใหม่ล่าสุดสดๆ ร้อนๆ และยังมุ่งสร้างแบรนด์ต่อไปให้เป็นน้ำเต้าหู้ที่มีคนจดจำแบรนด์ได้     

จากประสบการณ์ส่วนตัวของแนทที่เคยทำมาทั้งแบรนด์กระเป๋าแฟชั่นและแบรนด์ข้าว เธอบอกว่าไม่ว่าสินค้าจะเป็นอะไร เคล็ดลับสำคัญคือทำสินค้าที่ดี แตกต่างแบบมีคุณภาพ ลงมือทำจริงและลงลึกในการรีเสิร์ชตลาด ถ้าสินค้าดี สร้างแบรนด์โดดเด่น ลูกค้าก็จะถูกใจและกลับมาอุดหนุนซ้ำเองเหมือนที่น้ำเต้าหู้ปูปลามีคนมากมายสนใจรีวิวร้านเองจนเป็นกระแสให้คนติดตามมากินอีกมากมาย  

ทุกวันนี้มีร้านขายน้ำเต้าหู้เยอะมาก ทำไมคุณถึงยังอยากเปิดร้านน้ำเต้าหู้

พอเราเห็นว่าคนทานเยอะ ไม่ว่าจะไปตลาดไหนก็มีขาย นั่นแปลว่าคนกินน้ำเต้าหู้ แต่เรายังไม่เคยเห็นแบรนด์น้ำเต้าหู้ที่ขายในห้างเลย ร้านที่เราเห็นเป็นหลักจะมีแค่คาเฟ่ชาหรือกาแฟ แต่เรายังไม่เคยเห็นคาเฟ่ร้านน้ำเต้าหู้เท่าไหร่ อันนี้ก็เป็นหนึ่งพอยต์หลักๆ ที่ทำให้เราอยากทำ

อีกสิ่งหนึ่งที่ทีมเห็นเหมือนกันคือถึงน้ำเต้าหู้จะมีขายทั่วไป แต่จริงๆ แล้วมันทำยากและเราก็ยังหารสชาติที่เราต้องการไม่เจอ ก็เลยอยากปรับจนได้แบบที่ต้องการและอยากยกระดับตลาดน้ำเต้าหู้ขึ้นมา อยากทำให้คนเห็นความสำคัญของมัน เพราะคนไทยไม่ค่อยให้ค่ากับน้ำเต้าหู้เท่าไหร่ แต่กระบวนการทำหรือว่าการเลือกวัตถุดิบต่างๆ มันจะมีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ จริงๆ การทำน้ำเต้าหู้มันยากนะ ไม่ง่ายเลย

น้ำเต้าหู้ดูเป็นเมนูคลาสสิกที่หาทานได้ง่าย ทำไมคุณถึงมองว่าทำยาก  

เราพยายามคิดค้นสูตรที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตัวเองที่แตกต่างจากคนอื่นแล้วยังถูกปากลูกค้าด้วย เลยไปค้นหาสูตรน้ำเต้าหู้ยาวนานกว่า 40 ปีจนได้ออกมาว่ารสชาติแบบนี้แหละที่พ่อเคยทานทุกวันแล้วพ่อยังชอบอยู่

เราคิดถึงความรู้สึกตอนเด็กๆ ที่ได้กินรสชาติเข้มข้น ไม่เจือจาง คล่องคอเลยอยากได้สูตรที่ทำให้หวนนึกถึงน้ำเต้าหู้ที่คุ้นเคยตอนเด็กๆ ซึ่งการทำน้ำเต้าหู้ให้เข้มข้นอยู่ที่องค์ประกอบทั้งหมดรวมกันเลย ไม่ว่าจะเป็นการเลือกเมล็ดถั่ว เพราะถั่วก็มีหลายชนิดตั้งเยอะตั้งแยะ เราจึงเริ่มตั้งแต่การคัดเลือกเมล็ดถั่วเลย คือต้องพิถีพิถันประมาณหนึ่ง เราต้องแช่ถั่วในน้ำ พอได้เวลาก็ต้องนำเข้าสู่กระบวนการถัดไป ต้องใช้อุณหภูมิคงที่ อย่างน้ำที่เราใช้ก็จะเป็นน้ำดื่ม ไม่ใช่น้ำประปา มันเป็นความพิถีพิถันที่ทำเองในทุกกระบวนการ

ทำไมถึงต้องลงมือทำเครื่องน้ำเต้าหู้

เราจะรู้ได้ไงว่าแปะก๊วยจะดีและไม่ขม มันก็ต้องเริ่มจากลองทำเองหลายทีมาก ถามคนนั้น ถามแม่ ถามเคล็ดลับต่างๆ วัตถุดิบที่ทำเองก็จะมีทับทิมกรอบที่เลือกสีเองด้วย อย่างลูกเดือยสุกไปหรือแข็งไปไหม มันต้องทดสอบทุกๆ อย่างว่าแบบนี้มันดีหรือยัง แล้วคนชอบไหม ไม่ใช่ไม่ใส่ใจแล้วแค่ต้มๆ ไปให้มันสุก มันจะมีรายละเอียดในวัตถุดิบ รวมถึงน้ำเต้าหู้ว่าเราต้องตั้งอุณหภูมิที่เท่าไหร่ ใช้กี่นาทีถึงจะได้สี รสชาติ กลิ่น ตามที่เราต้องการ 

สิ่งที่เราแตกต่างจากคนอื่นเลยคือฟองเต้าหู้ของเราที่ทำค่อนข้างใหญ่ เราไม่ได้ซื้อฟองเต้าหู้สำเร็จรูปมาทำ จะสัมผัสได้ถึงเทกซ์เจอร์ที่กินแล้วรู้ความแตกต่างเลย อย่างเผือกเราก็จะทำขนาดค่อนข้างใหญ่และมีคุณภาพ แตกต่างจากคนอื่นจริงๆ ปาท่องโก๋เราก็ทำสดใหม่เองทุกวัน อันนี้คือจุดเล็กๆ น้อยๆ ที่แตกต่าง

ดังนั้นอีกจุดเด่นหนึ่งของเราคือเครื่องที่ใส่ให้เยอะมากแบบจัดเต็มเลย เมนูขายดีที่คนชอบก็จะเป็นเมนู ‘เลิฟเวอร์ งาดำ’ เพราะเราใส่ฟองเต้าหู้ที่ทำเองเป็นก้อนใหญ่ที่หาที่อื่นไม่ได้รวมกับน้ำเต้าหู้ เต้าฮวย และงาดำ ทุกคนจะชอบ ลูกค้ายังสามารถเลือกใส่เครื่องแบบ DIY เองได้ มีท็อปปิ้ง 30-40 อย่างให้เลือกมิกซ์แอนด์แมตช์ ชอบอันไหนก็ใส่ได้ แต่ถ้าสมมติคนที่ไม่อยากเลือก เราก็มีคิดเมนูร้อน-เย็นให้ว่ากินอันไหนแล้วเข้ากัน

กว่าจะได้สูตรที่พอใจ คุณผ่านอะไรมาบ้าง

เราศึกษาหาข้อมูล ทำรีเสิร์ชและทำการบ้านเยอะมาก เวลาเพื่อนบอกร้านนี้อร่อย ชอบร้านนี้ ร้านนั้นร้านโปรด เราก็จะไปตามหาและทดลองทำน้ำเต้าหู้ทุกเสาร์-อาทิตย์ ทั้งแจกให้คนอื่นลองชิม หรือเททิ้งเวลาที่ออกมาไม่ดี เราลองมาหลายแบบมากๆ ทั้งแบบทดลองทำเองเล็กๆ ปั่นเอง นั่งบีบเอง แล้วก็ค่อยๆ ขยายเป็นซื้อเครื่องมาจนทำได้เยอะขึ้น ก็เริ่มจากให้คนใกล้ตัวชิมก่อน พ่อ แม่ ป้า แล้วก็ทำ blind taste ไปเรื่อยๆ ว่าชอบรสแบบไหนกันเพื่อที่จะได้ไม่ bias

การเตรียมตัว 1 ปีก่อนเปิดร้านที่ทำมาตลอดทั้งน้ำเต้าหู้ สังขยา ทั้งหมดนี้ระหว่างทางมันไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ บางสิ่งที่เราชอบและที่บ้านเราเห็นพ้องต้องกันแล้วว่าอยากทำแบบนี้แต่พอเปิดร้านมาบางครั้งก็สังเกตเห็นว่าทำไมเมนูนี้เหลือ ช่วงแรกเราจะมาเสิร์ฟและมาดูกันเองเลยว่าจะแก้อะไรได้บ้าง แล้วก็มีการปรับเปลี่ยนระหว่างทาง คือมันไม่ได้ทำปุ๊บแล้วดีปั๊บเลย แต่มันคือการ test and learn ไปด้วยระหว่างทาง

ถึงจุดไหนที่คุณมั่นใจว่าพร้อมเปิดร้าน

ถามว่ามั่นใจไหมก่อนเปิดร้านก็ไม่ได้มั่นใจขนาดนั้น แต่ในทีมคุยกันว่ามันน่าจะไปได้  เพราะเราเชื่อว่าเราทำของที่มีคุณภาพดี เราเลือกแต่สิ่งดีๆ ถ้าคนลองกิน แล้วของดีมีคุณภาพ คนก็กลับมาซื้อซ้ำเราอยู่แล้ว เป็นสิ่งที่เราไม่ได้มองเลยว่าจะปังตั้งแต่แรกแน่ๆ เราแค่คิดว่าลองทำดูก่อนแล้วค่อยปรับไปเรื่อยๆ จริงๆ อยากบอกว่าในการชิม แต่ละคนมีความชอบที่ไม่เหมือนกัน เราพยายามทำให้เมนูของเรามีเอกลักษณ์แบบที่เราชอบก่อน พอเราทำในสิ่งที่ชอบออกมาได้ดีและลูกค้าเชื่อในสิ่งที่เราทำ เขาก็จะทานในสิ่งที่เราทำ

แล้วคุณออกแบบเมนูยังไงให้ถูกปากคนส่วนมาก 

คนยุคใหม่อยากกินอะไรที่มีสุขภาพดี อะไรที่หวานปรี๊ดคนเริ่มไม่ชอบและชอบอะไรที่หวานน้อย เมนูของเราเลยจะทำเป็นแนวสุขภาพนิดนึง คือหวานน้อยและคิดมาให้ตอบโจทย์คนหลายกลุ่มคือเลือกระดับความหวานได้ ทั้งน้ำเต้าหู้ นมสด น้ำขิง สามารถเลือกความหวานได้หมดเลย มีเมนูรวมธัญพืชของเราที่จะรวมธัญพืชหลายประเภทเลย คนที่ทานเจก็สามารถทานได้เลย กินแล้วมีประโยชน์แน่นอน ดีต่อสุขภาพ

หรือบางทีเวลาพาครอบครัวมา บางคนชอบน้ำเต้าหู้แต่บางคนไม่ชอบ บางคนชอบนมสดแต่บางคนกินนมไม่ได้ เราก็มีน้ำลำไยเป็นเครื่องดื่มหวานเย็นที่คลาสสิกอย่างเมนูเต้าทึงน้ำลำไย ถ้าอยากกินแบบสดชื่นก็มีสเลอปี้ที่เป็นลำไยเกล็ดหิมะ เพราะอากาศร้อน เลยคิดว่าควรจะมีเมนูที่ทำให้สดชื่นด้วย

ก่อนเปิดร้าน คุณมีหลักการตั้งราคาและเพิ่มมูลค่าสินค้ายังไง

เราทำ feasibility study (การประเมินความเป็นไปได้) ว่าราคามันควรจะเป็นเท่าไหร่ เราก็ดูต้นทุนเป็นหลักแล้วก็ดูตลาดด้วย ซึ่งจริงๆ ราคาเราก็ไม่ได้หนีจากตลาดมาก อย่างที่เห็นคือเราก็เริ่มต้นที่ 25 บาท แล้วพวกเครื่องก็ 6 บาท จริงๆ ก็ราคาพอๆ กัน แต่เราพยายามทำให้แตกต่างด้วยการใส่แบรนดิ้งและสตอรีเข้าไป เพิ่มมูลค่าด้วยการ DIY ได้ซึ่งตรงนี้มันเป็นการเพิ่มมูลค่าของสินค้าด้วย เราอยากจะทำให้น้ำเต้าหู้ของเราได้มาตรฐานและที่สำคัญคือเราทำสดใหม่ทุกวัน นี่เป็นหัวใจสำคัญเลย คีย์หลักคือเราอยากให้ทุกคนได้กินของที่มีคุณภาพ 

จากโจทย์แรกที่เห็นว่าไม่ค่อยมีน้ำเต้าหู้ในห้าง แล้วทำไมถึงเลือกเปิดคาเฟ่สาขาแรกเป็นสแตนด์อโลนที่ประตูผี

จริงๆ เราตั้งใจว่าเราจะเปิดร้านข้างนอกก่อนที่เราจะเข้าห้างอยู่แล้ว เพราะเราต้องเทสต์ก่อน คือถ้าเรายังเป็น nobody ยังไงห้างเขาก็ไม่เอาเรา ซึ่งแถวประตูผีดังเรื่องสตรีทฟู้ด เราก็จะรู้จักผัดไทประตูผีแล้วก็เจ๊ไฝ มันเป็นสตรีทฟู้ดย่านดังแถวฝั่งพระนคร พอเราได้โลเคชั่นตรงนี้จึงถือว่าเป็นโอกาสดีที่จะมาจอยน์ในย่านนี้ 

พอเปิดจริงแล้ว คุณรู้สึกว่าการเปิดสาขาสแตนด์อโลนก่อนขยายเข้าห้างมีข้อดียังไงอีกไหม  

ถ้าเป็นสแตนด์อโลน เราจะได้กลิ่นอายของ corporate identity (CI) ต่างๆ ที่เราสร้างขึ้นมา จะเห็นแบรนดิ้งที่เราอยากให้มีชัดเลย ไม่ว่าจะเป็นถ้วยที่เราคิดมาแล้วว่ามันต้องเป็นถ้วยแบบนี้ วางแบบนี้ ถ่ายรูปแบบนี้ อยู่ในถาดแบบนี้ แต่ว่าสมมติเวลาอยู่ในห้าง เนื่องจากว่าเราได้เป็นที่เล็กๆ ไม่มีที่นั่ง ดังนั้นเราไม่สามารถใช้ถ้วยเหมือนที่ร้านได้และเพราะที่นั่งมีน้อย 2-3 ที่นั่ง ฉะนั้นถ้วยที่เราใช้ก็จะเป็นถ้วยกระดาษสำหรับ Grab and Go มันก็จะมีข้อจำกัดบางอย่างด้านการสื่อสารแบรนดิ้ง

คอนเซปต์ของร้านย่านประตูผีที่ทำให้คนจดจำแบรนด์ได้คืออะไร

พอเราทำรสชาติที่ทำให้นึกถึงวัยเด็กแล้วก็อยากทำให้บรรยากาศร้านมีกลิ่นอายความเก่าแก่และทำให้นึกย้อนถึงวัยเด็กเหมือนกัน และเนื่องจากเราตั้งชื่อว่า ‘น้ำเต้าหู้ปูปลา’ ที่จริงๆ มันมาจาก ‘น้ำเต้าปูปลา’ แต่เราเติมคำว่า ‘หู้’ เข้าไป มันเลยมีกลิ่นอายความสนุกเข้ามาด้วย

เราอยากทำให้ร้านมีกลิ่นอายความเก่าแต่ยังน่ารัก มีความโมเดิร์น เข้าถึงง่าย ดูอบอุ่น มีความเฟรนด์ลี่ ดูจากเก้าอี้ที่ใช้จะมีความจีนเล็กน้อยและมีพร็อพที่สื่อถึงน้ำเต้าปูปลา เช่น ไฟ รูปภาพก็จะมีความเก่าและเป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งเป็นแบรนดิ้งให้คนจำได้ 

พอขยายสาขาเข้าห้างแล้ว การบริหารระบบหลังบ้านต้องปรับยังไงบ้าง

เมื่อก่อนเราเปิดแค่ตอนเย็น ตอนนี้พอเราขึ้นห้างและปิดตามเวลาห้างตั้งแต่เช้าถึงกลางคืน ดังนั้นก็เลยต้องทำ 24 ชั่วโมง เราจึงเริ่มมีครัวกลางที่มีมาตรฐาน เพราะอยากทำสดใหม่ทุกวันและยกระดับตลาดน้ำเต้าหู้ให้มีมาตรฐาน

มีเคล็ดลับอะไรในการทำการตลาดให้เป็นที่รู้จัก 

จริงๆ ไม่มีกลยุทธ์อะไรเลย ช่วงแรกๆ เป็นไวรัลเพราะมีเพจมารีวิว หลังจากนั้นก็มีกระแสขึ้นมา เราก็มีโปรโมตทำการตลาดในฝั่งของเราบ้าง แต่ด้วยเมนู ชื่อร้าน และแบรนดิ้งก็ทำให้มันไปของมันเอง อย่างตอนก่อนโควิด-19 ช่วงที่ร้านยังไม่เปิดก็มีรายการหนึ่งที่ผ่านร้านเราแล้วเห็นว่า เฮ่ย ชื่อร้านคือน้ำเต้าหู้ปูปลา ชื่อและแบรนด์ของเราก็ดึงดูดไปคู่กับคุณภาพสินค้าแบบนี้มากกว่า

แล้วพอคนเริ่มรู้จักแล้ว ทุกวันนี้คุณต้องปรับแผนการตลาดและคอนเทนต์ยังไงบ้างไหม

ก่อนหน้านี้เราอาจจะลองทำคอนเทนต์เองแบบเล่นไปก่อน แต่หลังๆ เราคิดว่าควรให้ความสำคัญกับแบรนดิ้งให้คนมีภาพจำมากขึ้น เราก็ตบการลงคอนเทนต์ของเราให้เข้าที่เข้าทางมากขึ้น จะเห็นว่าฟอนต์ที่เราใช้ก็จะมีการคิด identity ของแบรนด์และมีการเล่าเรื่องแบบใหม่ อยากเน้นทำแบรนดิ้งให้ดีเพราะแบรนดิ้งเป็นสิ่งสำคัญในการทำให้ต่างจากน้ำเต้าหู้ทั่วไป 

สิ่งสำคัญในการทำแบรนดิ้งให้สำเร็จคืออะไร 

ทุกขั้นตอนมีรายละเอียดของมัน ต้องใส่ใจทุกรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่คนอาจจะมองข้าม ไม่เว้นการถ่ายรูป กว่าจะถ่ายรูปต้องตักเมนูนี้ให้ออกมาดูน่ากิน มันใช้ความพยายามและความทุ่มเทในการทำ เราทำการบ้านเยอะมาก จริงจังมาก การเลือกชามก็เลือกอย่างจริงจังมาก ไม่ใช่ชอบแล้วซื้อเลย แต่คิดว่าซื้อมาแล้วจะใช้ได้ดีหรือเปล่า อย่างเมนูเย็นเราจะใช้ชามปากอ้า เมนูร้อนใช้ชามปากแคบ เพราะเราอยากให้เมนูร้อนยังคงความร้อนอยู่ เราคิดด้วยว่าถ้าใส่ท็อปปิ้งสีต่างๆ ลงไปแล้วจะดูน่ากินไหม ถ่ายรูปออกมาจะสวยไหม ซื้อแล้วลองนำมาแมตช์กันว่าเราจะนำเสนอออกมายังไง ทุกเมนูที่คิดมา เราก็ศึกษามาจริงๆ ถ้าเราทำดี แรงกระเพื่อมมันค่อนข้างเยอะ พอลูกค้าเห็นว่ามันดีเขาก็ซัพพอร์ต บอกต่อกันไปเรื่อยๆ

แล้วปัจจัยในการทำธุรกิจให้สำเร็จคืออะไร  

ในองค์รวมก็คือต้องศึกษาตลาดเป็นอย่างดี ไปทดลอง ไปดูตลาดจริงๆ ให้รู้จริง อันนี้คือแก่นเลย ประกอบกับใช้ความทุ่มเทในการทดลองทำมัน

ทุกวันนี้มีความท้าทายอะไรและอยากขยายธุรกิจไปถึงไหน 

การเป็น top-of-mind คือความท้าทายที่สุด เพราะเราไม่อยากเป็นแค่กระแสแต่อยากเป็น top-of-mind อยากให้พอนึกถึงน้ำเต้าหู้แล้วนึกถึงเรา ว่าไปห้างนี้สิ มีแบรนด์เราอยู่และคนบอกต่อกันไปเรื่อยๆ ว่ามาลองสิ อร่อยนะ ตอนนี้เราก็มองที่อนาคตอันใกล้ก่อนคือขยายไปในกรุงเทพฯ และสร้าง top-of-mind ให้ได้

เพราะเราไม่รู้หรอกว่าอนาคตอันยาวไกลมันจะเป็นแบบไหน ระหว่างทางของเราก็มีปรับเปลี่ยนแผนไปบ้างเหมือนกัน ตอนแรกก็ไม่คิดว่าเราจะเปิดเร็วกว่าที่คิดขนาดนี้ เวลาได้โอกาสมา เราก็คว้าทุกโอกาสไว้ถ้าคิดว่าเราไปไหวและทำได้ แต่บางโอกาส เราก็ปฏิเสธเหมือนกัน หลายคนจะมาถามบ่อยมากว่าเราเปิดแฟรนไชส์ด้วยไหม แต่ ณ ปัจจุบันยังอยากขยายเองอยู่เพราะอยากควบคุมคุณภาพให้ดีจริงๆ ให้ทุกคนที่มากินมั่นใจว่าดีมีคุณภาพ  

ถ้าอนาคตมีแฟรนไชส์แบรนด์น้ำเต้าหู้เกิดใหม่ในห้างเยอะมากเหมือนที่คนฮิตชานมไข่มุก อะไรคือสิ่งที่ทำให้ ‘น้ำเต้าหู้ปูปลา’ ยังเป็น top-of-mind   

รสชาติและคุณภาพที่ไม่สามารถก๊อบปี้กันได้

1. Find Market Opportunity : สิ่งสำคัญสุดที่ทำให้เกิดน้ำเต้าหู้ปูปลาคือการมองเห็นโอกาสทางธุรกิจว่าในตลาดยังไม่ค่อยมีใครสร้างแบรนด์น้ำเต้าหู้ ในบางครั้งตลาดอาจมีสินค้ามากมายอยู่แล้ว แบรนด์ไม่จำเป็นต้องคิดค้นสินค้านวัตกรรมใหม่ตั้งแต่แรกเสมอไป แค่หยิบสูตรโบราณมาปรับและเพิ่มมูลค่าด้วยการสร้างแบรนด์

2. Learning By Doing : เคล็ดลับการทำสินค้าที่ถูกใจผู้บริโภคและตอบโจทย์ตลาดคือการลงมือทำจริงและปรับตามฟีดแบ็กหน้างาน

3. Catchy Presentation : การตั้งใจออกแบบตั้งแต่ชื่อร้านไปจนถึงบรรยากาศทำให้คนจดจำแบรนด์ได้ง่ายและมีส่วนทำให้คนอยากรีวิวและบอกต่อกัน

Frankfurt kitchen 1.9 x 3.4 สถาปัตยกรรมการครัวของผู้หญิงยุคใหม่

ห้องครัวเป็นห้องที่แสนธรรมดา แต่ถ้าเรามองในมุมของความเป็นครอบครัว ครัวมักเป็นหัวใจสำคัญของบ้าน ครัวเป็นพื้นที่อบอุ่น เป็นพื้นที่ของกลิ่น รส และอาหารอร่อย ครัวมักเป็นพื้นที่ของแม่ ห้องครัวมักเป็นหัวใจของบ้านและงานบ้าน เป็นพื้นที่บริบาลทุกข์สุขของสมาชิกในครอบครัว

ถ้าเรามองบ้านในฐานะพื้นที่อยู่อาศัย การออกแบบพื้นที่บ้านในยุคสมัยใหม่ ในห้องครัวที่เราพลิกดูในนิตยสาร หรือเป็นส่วนหนึ่งของคอนโด ห้องครัวที่ถูกแยกออกเป็นสัดส่วน ในที่พักอาศัยในเมืองที่ครัวมักมีขนาดพอประมาณ ครัวขนาด 6 ตารางเมตรที่แยกตัวออกเป็นอิสระจากพื้นที่อื่นๆ ถือเป็นนวัตกรรมการออกแบบหนึ่ง ครัวกะทัดรัดเป็นผลผลิตจากยุคสมัยใหม่ที่ผู้หญิงพยายามออกแบบพื้นที่ให้กับผู้หญิง เป็นพื้นที่ที่ใช้วิธีคิดแบบใหม่และตั้งใจเปิดพื้นที่การทำงานของงานบ้านที่สอดคล้องกับวิธีคิดของโลกสมัยใหม่

ในพื้นที่ที่เราคุ้นเคยเช่นพื้นที่บ้าน คอลัมน์ ‘ทรัพย์คัลเจอร์’ จะขอพาทุกท่านไปมองเห็นจุดเล็กๆ ของประวัติศาสตร์ ในความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ที่ล้วนแต่สัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงเชิงความคิดที่ใหญ่โตกว่านั้น ในครั้งนี้เราจะพากลับไปยังสาธารณรัฐไวมาร์ เยอรมนี ในห้วงสมัยของการแก้ปัญหาและการออกแบบที่อยู่อาศัย ในกระแสเรื่องความเท่าเทียมทางเพศและความพยายามปลดปล่อยผู้หญิง ในการออกแบบบ้านที่เริ่มต้นจากครัว และการออกแบบครัวที่เริ่มต้นจากความเข้าใจในโลกของผู้ชาย

ห้องชุดสมัยใหม่ ชีวิตสมัยใหม่

การสืบไปยังครัวสมัยใหม่ ต้องขอชวนผู้อ่านนึกภาพบรรยากาศและสถาปัตยกรรมของทศวรรษ 1920 ในพื้นที่เยอรมนี ห้วงสมัยที่เราเรียกว่าสาธารณรัฐไวมาร์ หนึ่งในอิทธิพลสำคัญต่อโลกสถาปัตยกรรมและการออกแบบคือการเกิดขึ้นของเบาเฮาส์ (Bauhaus) รวมถึงกระแสการออกแบบสมัยใหม่ (modernist) ยุคสมัยนั้นเองช่วงเวลาที่เราให้ความสำคัญกับความเรียบง่ายและประสิทธิภาพ เมืองเริ่มก่อตัวและการออกแบบต่างๆ เน้นตอบสนองความเหมาะสมกับการอยู่อาศัย ให้ความสำคัญกับการใช้พื้นที่ ยุคนี้เองที่เริ่มเกิดตึกอาคารคอนกรีต เกิดออฟฟิศ เกิดบ้านพักอาศัยแบบอพาร์ตเมนต์ 

ในกระแสการออกแบบของสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ บริบทของสังคมเป็นเงื่อนไขการออกแบบหนึ่ง ในสมัยนั้นเป็นยุคหลังสงครามโลก ด้วยแรงบอบช้ำจากสงคราม และการขาดแคลนที่อยู่อาศัย หนึ่งในโจทย์การออกแบบคือการสร้างพื้นที่อยู่อาศัยในเมืองที่มีความคุ้มค่า เพียงพอ และในมุมของสถาปนิกและนักวางผังเมือง พื้นที่อยู่อาศัยเหล่านี้ต้องดีกับผู้คนด้วย

ในห้วงเวลาหลังสงครามโลก ประกอบกับการขยายตัวของเมือง ในช่วงนี้เองที่เราจะเริ่มเห็นอาคารต้นแบบและหน้าตาของการออกแบบพื้นที่ของห้องในอาคารพักอาศัยแนวตั้งต่างๆ ที่ปารีสก็มี Unité d’Habitation ซึ่งถือเป็นหนึ่งในต้นแบบที่ Le Corbusier พัฒนาขึ้นในปี 1920 ในห้วงเวลาของการเริ่มต้นค้นหาหน้าตาที่พักอาศัยในเมือง ที่เยอรมนีซึ่งเป็นการพัฒนาการออกแบบและสถาปัตยกรรมจากฝ่ายสังคมนิยม แฟรงก์เฟิร์ตก็ได้เริ่มโครงการ Neues Frankfurt หรือแฟรงก์เฟิร์ตใหม่ เป็นโปรเจกต์บ้านพักอาศัยแนวตั้งของรัฐ คือระดมนักบริหาร นักออกแบบมาสร้างพื้นที่อยู่อาศัยใหม่ของเมืองขึ้น

ความน่าสนใจของการออกแบบในยุคนั้นในนามของอาคารและที่พักอาศัยแบบใหม่คือความพยายามในการเข้าใจสเกล วิถีชีวิตโดยเอาความต้องการมาผนวกกับเงื่อนไขทางการออกแบบต่างๆ เช่น ความคุ้มค่า ระยะขนาด การแบ่งจำนวนห้อง การเดินงานระบบต่างๆ จนสร้างเป็นหน้าตาเลย์เอาต์พื้นที่ที่เรานิยามได้ว่าเป็นที่อยู่อาศัยของชีวิตสมัยใหม่ อพาร์ตเมนต์ของโปรเจกต์แฟรงก์เฟิร์ตใหม่ มีจุดเด่นคือเป็นหน้าตาอาคารที่เชื่อว่าตอบสนองการใช้ชีวิต นำไปสร้างที่ไหนก็ตอบสนองการใช้ชีวิตของคนสมัยใหม่ได้ หน้าตาห้องที่ออกมาก็จะเป็นอาคารพักอาศัยแบบห้องชุด มีระบบทำความร้อนส่วนกลาง มีสาธารณูปโภคพื้นฐาน ห้องน้ำ ห้องนอน พื้นที่รับประทานอาหาร เป็นที่พักอาศัยที่คิดเรื่องความคุ้มค่า เหมาะสม มีแนวคิดเรื่องความสะอาด สุขอนามัย ตรงนี้ได้อิทธิพลของ Machine Living ของเลอกอร์บูซีเย

บ้านสมัยใหม่ เริ่มที่ครัวสมัยใหม่ 

ทีนี้ แม้ว่าในยุโรปจะเริ่มมีการออกแบบอาคารสูงเพื่อการพักอาศัยและมีกระแสสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ แต่บริบทของความเป็นรัฐสังคมนิยมฝ่ายซ้ายก็มีอิทธิพลในงานออกแบบด้วย ในการสร้างบ้านรัฐของแฟรงก์เฟิร์ตยืนอยู่บนความพยายามในการเรียกร้องสิทธิและความเท่าเทียมโดยเฉพาะของผู้หญิง กระแสการออกแบบมีม็อตโต้ขับเคลื่อนว่า ‘เริ่มที่ครัว แล้วค่อยไปที่ผิวอาคาร (First the kitchen, then the facade!)’ 

ครัวในสมัยนั้นถือเป็นพื้นที่ที่ถูกนำมาคิดในฐานะพื้นที่สำคัญของบ้าน เป็นพื้นที่ที่นักออกแบบและนักเคลื่อนไหวมองว่าจะเป็นพื้นที่ที่นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงและเป็นที่ที่ปลดแอกหน้าที่และปลดแอกผู้หญิงจากกิจของผู้หญิงคือการเป็นแม่บ้านและการทำงานบ้าน

ดังนั้นนักออกแบบที่เข้าร่วมทีมออกแบบและเป็นผู้สร้างครัวแบบแฟรงก์เฟิร์ตจึงค่อนข้างเป็นตัวแทนหนึ่งของการเคลื่อนไหว คือ Margarete Schütte-Lihotzky สถาปนิกหญิงผู้เป็นนักศึกษาหญิงคนแรกของวิทยาลัยศิลปะประยุกต์เวียนนา (Kunstgewerbeschule) ซึ่งเธอเป็นหนึ่งในผู้หญิงไม่กี่คนที่มีผลงานโดดเด่นในโลกสถาปัตยกรรมและงานออกแบบซึ่งเป็นโลกของผู้ชาย และเป็นนักออกแบบหญิงคนเดียวของโปรเจกต์ที่พักอาศัยใหม่ของเมือง

ในการออกแบบอพาร์ตเมนต์ใหม่ เธอเองเป็นผู้สร้างหมุดหมายในความคิดของการสร้างครัวในฐานะพื้นที่เฉพาะของบ้านขึ้น ครัวแบบแฟรงก์เฟิร์ตคือพื้นที่ครัวขนาด 1.9 x 3.4 มีลักษณะเป็นครัวบิลต์อินบางส่วนซึ่งผลิตและประกอบได้ในจำนวนมาก ในพื้นที่นั้นเน้นความกะทัดรัด มีอ่างล้างจาน เคาน์เตอร์ สตูลตัวเล็กๆ เตาแก๊ส ตู้ติดผนัง และโต๊ะรีดผ้าพับได้ อุปกรณ์ส่วนใหญ่เป็นอุปกรณ์ไฟฟ้า และแยกพื้นที่ครัวออกจากส่วนอื่นของบ้านด้วยประตูบานสไลด์

ห้องทดลองของผู้หญิง

ทำไมห้องครัวกะทัดรัดที่ว่าถึงสำคัญและเป็นรูปแบบครัวที่ถือเป็นหมุดหมายการออกแบบพื้นที่บ้าน และเกี่ยวข้องกับประเด็นสิทธิสตรี อย่างแรกคือการออกแบบพื้นที่บ้านด้วยการเปิดพื้นที่ครัวเป็นพื้นที่เฉพาะของผู้หญิงถือเป็นความคิดในการจัดการพื้นที่ที่มีนัยของเพศสถานะ–ตรงนี้อาจเป็นข้อถกเถียงต่อไป

วิธีคิดของครัวที่แยกออกไป ผู้ออกแบบใช้หลักการของพื้นที่อุตสาหกรรมเพื่อตอบโจทย์งานบ้านของผู้หญิง ด้วยการคิดพื้นที่ที่มีประสิทธิผลสูงสุด คือเป็นที่ที่แม่บ้านจะสามารถทำสิ่งต่างๆ จบได้อย่างมีประสิทธิภาพในพื้นที่ของตัวเอง เธอสามารถทำอาหาร จัดการสิ่งของต่างๆ รีดผ้า ล้างจาน ไปจนถึงนั่งพักผ่อนได้ในพื้นที่ครัวของตัวเองด้วยการขยับตัวที่น้อยที่สุด- ทั้งยังใช้พื้นที่น้อยและได้พื้นที่ใช้สอยที่มีประสิทธิภาพมาก

วิธีคิดนี้เป็นการที่นักออกแบบสังเกตและนำเอาวิธีการของโลกอุตสาหกรรมเข้ามาออกแบบกิจกรรมของผู้หญิงและแบ่งเป็นพื้นที่เฉพาะของพวกเธอ ในบางความเห็นระบุว่า ความคิดหนึ่งของการออกแบบเพื่อให้ผู้หญิงทำงานบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพทำให้พวกเธอจัดการงานทั้งหลายได้อย่างรวดเร็ว ทำให้พวกเธอมีเวลาเป็นของตัวเองซึ่งอาจเปิดโอกาสให้พวกเธอไปทำงานนอกบ้านได้

ปลดแอกได้จริงไหม กับการผูกมัดผู้หญิงไว้กับครัว

เป็นเรื่องธรรมดาที่การเคลื่อนไหวต่างๆ จะถูกตั้งคำถาม ครัวแบบแฟรงก์เฟิร์ตของไลออตซ์คีเองก็เช่นกัน อย่างแรกที่สุดคือการออกแบบของเธอคิดด้วยหลักคิดแบบเป็นเหตุเป็นผล (rationalization) ตีความการงานของแม่บ้านด้วยหลักการของสายพานการผลิต (line of production) ดังนั้นเมื่อผู้หญิงเข้าใช้งานจริงแล้ว พวกเธอพบว่าห้องครัวของบ้านรัฐมีลักษณะตายตัวเกินไป คือถ้าคิดจากสายพานการผลิต การผลิตมักเป็นการทำสิ่งต่างๆ อย่างเดียว ทำเป็นอย่างๆ ไป แต่งานของผู้หญิงมักเป็นการสับเปลี่ยนและทำสิ่งต่างๆ หลายอย่างไปพร้อมๆ กัน (multitasking) 

ทั้งนี้ ในเงื่อนไขของความตายตัวและการจำกัดของพื้นที่ นักออกแบบก็คงมองในแง่ดีคือพยายามนำเอาอุปกรณ์ไฟฟ้าและอุปกรณ์อื่นๆ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการใช้งาน ทว่าแม่บ้านหรือสุภาพสตรีในสมัยนั้นพบว่าการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าหรืออุปกรณ์ทันสมัยต่างๆ เป็นสิ่งที่พวกเธอต้องเรียนรู้ใหม่ เป็นการปรับตัวเข้ากับพื้นที่ที่ค่อนข้างยาก

หนึ่งในบทสัมภาษณ์ที่ไลออตซ์คีถูกนำมาวิจารณ์บ่อยที่สุดคือการที่เธอให้สัมภาษณ์ว่าเธอเองเป็นคนออกแบบครัวที่ไม่เคยทำครัว คนทำอาหารส่วนใหญ่สมัยเด็กคือแม่ของเธอ ส่วนเธอพึ่งพาร้านอาหารมากกว่า ทว่าในข้อโต้แย้งคือเธอเองไม่ได้จินตนาการครัวขึ้นมา แต่ได้เก็บข้อมูลและทำสัมภาษณ์ก่อนจะลงมือออกแบบครัวแบบแฟรงก์เฟิร์ตขึ้น

ทั้งนี้ การแบ่งแยกพื้นที่ครัวให้เป็นพื้นที่ของผู้หญิง ในที่สุดก็ถูกวิจารณ์ว่าเป็นการผูกมัดผู้หญิงเข้ากับครัว และตีความผู้หญิงเข้ากับการทำงานในโรงงาน ตรงนี้ทางไลออตซ์คีก็แย้งว่าเธอไม่ได้คิดถึงงานของผู้หญิงแค่การทำอาหาร แต่คืองานในภาพรวม ทั้งเธอยังชี้ให้เห็นว่าครัวของเธอเป็นพื้นที่ส่วนตัว เธอตั้งใจให้ครัวเป็นพื้นที่ปิดที่ผู้หญิงจะสามารถมีพื้นที่และเวลาของตัวเอง เป็นที่ที่พวกเธอไม่ถูกจ้องมองในขณะทำงาน ในขณะเดียวกันห้องครัวแบบแฟรงก์เฟิร์ตจะติดตั้งหน้าต่างไว้ เป็นพื้นที่ที่ผู้หญิงสามารถจ้องมองไปยังพื้นที่ภายนอกได้

การออกแบบครัวและพื้นที่บ้านจึงก้าวเข้าสู่ข้อโต้แย้งและการออกแบบที่ซับซ้อน ครัวสำเร็จรูปอาจนำไปสู่การไม่สามารถทำบ้านให้เป็นบ้าน เช่น การนำเฟอร์นิเจอร์เก่าเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของบ้าน ไปจนถึงการออกแบบพื้นที่บ้านและครัวที่อาจต้องคิดจากผู้ใช้งานแล้วปรับพื้นที่กายภาพเข้าสู่พื้นที่ใช้งาน ไม่ใช่การเรียกร้องให้ผู้คนปรับตัวเข้าสู่พื้นที่อยู่อาศัยที่ถูกออกแบบไว้ 

นอกจากนั้นครัวแฟรงก์เฟิร์ตที่แม้ว่าจะถูกวิจารณ์ว่ายังคิดด้วยความคิดแบ่งแยกเพศ แต่ในหลายความเห็นก็มองว่าพื้นที่ที่ถูกสถาปนาขึ้นเป็นพื้นที่ของผู้หญิงนั้น ถือเป็นครั้งแรกที่มีการวางให้เป็นพื้นที่คู่ขนานกับการทำงานนอกบ้านคือพื้นที่การทำงาน ด้วยวิธีคิดการทำงานในระบบอุตสาหกรรมสมัยใหม่ซึ่งถือเป็นความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ

ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ครัวแบบแฟรงก์เฟิร์ตเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ครัวอันสำคัญ ในความเคลื่อนไหวของประวัติศาสตร์การออกแบบ การคิดถึงพื้นที่ที่มีนัยทางเพศและบทบาททางเพศ ทุกวันนี้ครัวแบบแฟรงก์เฟิร์ตถูกจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยแนวหน้าแทบจะทุกแห่งของยุโรปและอเมริกา เช่น Museum of Modern Art ที่นิวยอร์ก หรือ Victoria and Albert Museum ที่ลอนดอน ไปจนถึงพิพิธภัณฑ์ในพื้นที่รอบๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งแฟรงก์เฟิร์ต เบอร์ลิน และเวียนนา

ภาพ :  Museum der Dinge, Bauhaus Kooperation, Margarete Schütte-Lihotzky 

อ้างอิง

Romance Scam ไม่รัก ไม่แคร์ ไม่ต้องมาหลอกัน

สำหรับบางคน ความรัก เป็นสิ่งสวยงามที่เข้ามาเติมเต็มให้ชีวิตมีความสุข แน่นอนว่าใครๆ ก็อยากมีรักที่ดี รักที่ครองคู่กันไปตลอดชีวิต แต่กับบางคนความรักไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้น แถมยังพรากบางสิ่งบางอย่างไปจนไม่สามารถใช้ชีวิตได้เหมือนเดิม

ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ สังคมไทยเริ่มคุ้นเคยกับ Romance Scam หรือ พิศวาสอาชญากรรม ที่ใช้เทคนิคต่างๆ หลอกให้หลงรัก เชื่อใจ ให้ความหวังว่าจะมีบั้นปลายชีวิตที่ดีด้วยกัน โดยหลอกให้โอนเงินหรือใช้ความเชื่อใจแสวงหาผลประโยชน์

และในปี 2565 การหลอกลวงในรูปแบบ Romance Scam ก็ยังมีให้เห็นอยู่มาก มีข้อมูลจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ บอกว่าในปี 2566 มีคดีเกี่ยวกับการหลอกให้รักสูงถึง 403 คดี รวมมูลค่าความเสียหายประมาณ 190 ล้านบาท นี่เป็นเพียงตัวเลขที่ผู้เสียหายเข้าแจ้งความ แต่จริงๆ แล้วยังมีผู้เสียหายอีกหลายรายที่เลือกจะเก็บเรื่องเหล่านี้ไว้เป็นความลับ ไม่กล้าบอกใคร นี่จึงไม่ใช่เรื่องเล่นๆ อีกต่อไป

หนึ่งในเคสที่น่าสนใจและเป็นกรณีศึกษาชั้นดีคือเคสของ ดร.เอ (นามสมมติ) อาจารย์มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่สูญเงินไปกว่าครึ่งล้าน 

“มีผู้ชายคนหนึ่งไดเรกต์ไอจีมาหา บอกว่าชื่อ เคอรี่ ชาน เขาทักเรามาด้วยภาษาจีน ซึ่งเราก็สื่อสารภาษาจีนได้อยู่แล้ว เพราะมีลูกศิษย์เป็นคนจีน เราก็รับแอดเพราะคิดว่าอาจเป็นลูกศิษย์ที่ทักมาถามเรื่องเรียน พอเราถามไปว่า Are you my student? เขาก็จะตอบกลับมากวนๆ และรู้ว่าเขาไม่ใช่นักเรียน เลยคุยกันไปเรื่อยๆ ก็เริ่มถูกคอกัน

“ทีนี้เราก็ดูโปรไฟล์ ก็แปลกใจที่ว่าในนั้นมีภาพและข้อมูลที่ตรงกับความสนใจของเราทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นภาพลูกบาส การตีเทนนิส และกอล์ฟ เหมือนเขาไปสืบมาก่อนแล้วว่าเราชอบอะไร มีลูกอายุเท่าไหร่ แล้วเขาก็ดันมีลูกที่อายุเท่ากัน เป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยว เหมือนกับเราที่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ทำให้เรารู้สึกดีกับคนคนนี้ ซึ่งตอนนั้นเราก็ไม่รู้ว่าจริงหรือปลอม”

ผู้เสียหายเล่าว่า โปรไฟล์ของมิจฉาชีพดูเป็นคนมีหน้าที่การงานดี ช่วงแรกที่คุยมิจฉาชีพอ้างว่าตนเองทำงานในบริษัทซื้อ-ขายเครื่องมือแพทย์ แล้วเจอช่วงโควิดที่ทำให้ธุรกิจสะดุด หมุนเงินไม่ทัน มิจฉาชีพเลยหันไปเทรดหุ้น USDT ของ JPEX ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำจนสามารถพลิกฟื้นธุรกิจให้กลับมาได้ ซึ่งเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือและทำให้เกิดความเชื่อใจ

จากมิตรภาพ สู่มิจฉาชีพออนไลน์ 

“ในระหว่างนั้นเราก็พูดคุยกันเรื่อยมา จนเข้าสู่ช่วงเดือนที่ 6 ความสัมพันธ์เริ่มขยับจากคนคุย สู่คนที่มีความสัมพันธ์พิเศษ เขาพยายามให้เราตั้งชื่อเขาในไลน์ว่า Husband (สามี) เพื่อสร้างความผูกพันให้มากขึ้น แม้จะไม่เคยเจอตัวจริง แต่ในทุกๆ วันที่คุยในไลน์มิจฉาชีพจะมีความเคลื่อนไหวตลอด เช้า กลางวัน เย็น มีการถ่ายภาพเซลฟี่ตัวเอง หรือวิดีโอคอลเพื่อยืนยันว่ามีตัวตนจริง และคอยเล่าเรื่องการเทรดหุ้น วันนี้เทรดอะไร ได้กำไรเท่าไหร่ แต่ไม่เคยชวนเรา แต่เราเห็นแล้วว่าเขาลงทุนแล้วได้เงินมาจริง เลยอยากลองเทรดบ้าง เขาเลยแนะนำเป็น JPEX”

ทั้งนี้ JPEX เป็นแพลตฟอร์มสำหรับแลกเปลี่ยนคริปโตเคอร์เรนซี ผู้ใช้สามารถส่งและรับคริปโตจากเพื่อนและครอบครัวผ่านกระเป๋าเงิน JPEX

“ต้องบอกว่าเราไม่เคยลงทุนมาก่อน อาจไม่มีความรู้ความเข้าใจมากพอ พอเห็นคนรู้จักลงทุนแล้วได้กำไร เลยอยากลองบ้าง เงินก้อนแรกที่ลงไปคือ 40,000 บาท ภายใน 1 วัน ได้กำไร 7,000 บาท ซึ่งถอนออกมาได้ แล้วรอบต่อไปเลยเพิ่มเงินอีก 50,000 บาท และ 100,000 บาท ในทุกขั้นตอนเขาจะคอยบอกตลอดว่าให้ลงทุนหุ้นตัวไหน วันไหน ตอนกี่โมง และสอนวิธีดูกราฟต่างๆ พอเราเริ่มได้กำไรแล้วอยากถอนเงินออกมา ระบบก็จะบังคับให้เราเสียภาษี ถ้าเราไม่โอนจ่ายค่าภาษี ก็จะถอนเงินไม่ได้”

มาถึงจุดที่ผู้เสียหายอยากถอนเงินทั้งหมดออกมา แต่ก็ไม่เคยถอนได้สักครั้ง เพราะระบบอ้างว่ามีค่าภาษีที่ต้องจ่าย ซึ่งวิธีเดียวที่จะเอาเงินออกมาได้คือ ต้องลงทุนเพิ่มอีก 

“พอเข้าสู่ช่วงท้ายๆ ตอนนั้นหน้าที่การงานเรากำลังไปได้สวย ได้เลื่อนตำแหน่ง เขามีภารกิจให้เราต้องหาเงินให้ได้ 100,000 บาทภายใน 2 ชั่วโมง ถ้าทำได้เราจะได้เงินคืนทั้งหมด ตอนนั้นเราเข้าตาจนแล้วจริงๆ ก็เลือกที่จะโทรหาเพื่อน 10 คน เพื่อยืมเงินเพื่อนคนละ 10,000 บาท โดยอ้างหลายเรื่อง ทั้งต้องการเงินเพื่อซื้อตั๋วเครื่องบิน หรือมีเรื่องใช้เงินด่วน เราต้องทำให้ได้ เพราะเงินเราจมอยู่ในนั้นเกือบล้าน ด้วยความที่ปกติก็ไม่ค่อยยืมเงินใคร และเครดิตดี เพื่อนก็ให้ยืมมา แต่เมื่อโอนแล้วก็ยังไม่สามารถถอนเงินออกมาได้”

“ซึ่งเขาก็ไม่ได้หายไปไหน แต่เขาหาทางลงด้วยการบอกว่า เขาก็พยายามหาเงินค่าภาษีเหมือนกันแต่ไม่พอ และบอกให้เราหาเพิ่มอีก ตอนนั้นยอดเงินในแอพฯ เกือบ 1 ล้านบาททั้งต้นทุนและกำไร”

เก็บหลักฐาน เข้าแจ้งความ

“พอมาถึงจุดนี้ เรารู้ตัวแล้วว่าโดนหลอกแน่ๆ จึงตัดสินใจเล่าเรื่องนี้ให้ที่บ้านฟัง ที่บ้านแนะนำให้บล็อกไปเลย อย่าติดต่ออีก ซึ่งจริงๆ แล้วเราไม่ควรบล็อก เพราะข้อมูลทุกอย่างจะหายหมด จนเราไม่มีหลักฐานไปให้ตำรวจ

“ตอนเกิดเรื่องใหม่ๆ เราก็ไม่กล้าไปแจ้งความ เพราะตัวเองเป็นอาจารย์ มีหน้าที่การงานที่ดี ก็ไม่อยากโดนด่าหรือเป็นข่าว แต่สุดท้ายเรารู้สึกอยากเป็นกระบอกเสียงให้คนที่โดนเหมือนกัน เลยตัดสินใจโทรหาสายด่วนตำรวจไซเบอร์ 1441 ซึ่งตอนนี้คดีความหมดอายุไปแล้ว บวกกับไม่มีหลักฐานมากพอ จึงไม่สามารถทำอะไรต่อได้มากกว่านี้แล้ว

“หลังเกิดเรื่อง มูลค่าความเสียหายทั้งหมดประมาณ 440,000 บาท เราก็ทยอยใช้หนี้เพื่อนและบัตรเครดิต ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้เพื่อนเลิกคบเราไปเลยก็มี เราไม่ได้แค่เสียเงิน แต่เสียเพื่อน เสียเครดิต เสียทุกอย่าง”

สานต่อความสัมพันธ์เพื่อเก็บประสบการณ์

หลังสูญเงินแล้วใช่ว่าจะจบ เมื่อผู้เสียหายเข้าแจ้งความ จากนั้นไม่นานข้อมูลของผู้เสียหายก็ถูกส่งต่อให้มิจฉาชีพรายอื่นได้เข้ามาพยายามหลอกลงทุนในรูปแบบ Romance Scam อีกหลายครั้ง คราวนี้ผู้เสียหายเล่าว่า ตนเริ่มรู้ทันกลุ่มมิจฉาชีพแล้ว มีบ้างที่รับแอดและพูดคุย ตลอด 1 ปีผู้เสียหายได้คุยกับสแกมเมอร์กว่า 10 คน แต่จะไม่หลวมตัวโอนเงินอีกต่อไป

และจากการคุยกับมิจฉาชีพหลายคน ทำให้ค้นพบรูปแบบกลลวงที่เป็นแพตเทิร์นคล้ายกัน

“ส่วนใหญ่จะเริ่มจากแอดไอจีมาพูดคุย ใช้ภาพโปรไฟล์ของคนหน้าตาดี ดูภูมิฐาน เป็นคนคุยเก่ง อัธยาศัยดี มีประวัติน่าสนใจ หน้าที่การงานมั่นคง ซึ่งบางคนจะศึกษาข้อมูลส่วนตัวเรามาก่อน รู้ว่าเราชอบหรือไม่ชอบอะไร ประวัติครอบครัวเป็นยังไง ในขั้นตอนนี้จะใช้เวลาประมาณ 2 เดือน และจะเข้าสู่สเตปต่อไปที่เริ่มชวนลงทุน ถ้าเจอแบบนี้ให้รีบถอยห่างทันที”

เมื่อถามว่าจะดูยังไงว่าคนไหนเป็นสแกมเมอร์ คนไหนไม่ใช่ คำตอบคือ ถ้ามีใครทักมาให้ใจเย็นๆ คุยๆ ไปก่อนสัก 2 เดือนแล้วธาตุแท้จะค่อยๆ เผยออกมา เช่น บอกว่าทำงานเป็นวิศวกรแท่นจุดเจาะกลางทะเลที่จะมาๆ หายๆ เมื่อคุยกันสักพักเขาจะเริ่มขอเงินด้วยเหตุผลต่างๆ ทั้งกำลังจะโดนทำร้ายร่างกาย มีเรื่องฉุกเฉินที่ต้องใช้เงินด่วน หรือถ้าไม่จ่ายค่าอุปกรณ์ตอนนี้งานโปรเจกต์ที่คุยจะหลุดทันที ถ้าเจอแบบนี้ ให้คิดเลยว่าอาจโดนหลอกแล้ว ให้ตั้งกฎเหล็กไว้เลยว่า ไม่ว่าจะคุยกับใครก็ตาม ห้ามโอนเงินเด็ดขาด

หลายคนอาจมองว่า Romance Scam เป็นการหลอกลวงในรูปแบบความสัมพันธ์เชิงชู้สาว จริงๆ แล้วกว้างกว่านั้น เป็นความสัมพันธ์ระหว่างมิจฉาชีพและเหยื่อ ซึ่งมาในรูปแบบการทำให้อีกฝ่ายเชื่อใจ สร้างความผูกพัน บางคนอาจเจอคนที่อายุต่างกันมากๆ โดนหลอกแบบเป็นลูกหลาน หรือมิจฉาชีพอ้างว่าเป็นตัวแทนขององค์กรเพื่อสัตว์ที่ถูกทอดทิ้ง ผู้ที่เป็นเป้าหมายคือ คนรักหมา-แมว ที่เกิดความสงสารและอยากช่วยเหลือ

สุดท้ายการสร้างความสัมพันธ์บนโลกออนไลน์ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ต้องมีความระมัดระวังให้มากขึ้น อย่าหลงเชื่อใครง่ายๆ หากไม่อยากตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ หรือหากถูกชวนลงทุนสามารถเช็กรายชื่อผู้ประกอบธุรกิจ/ผลิตภัณฑ์การลงทุนที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. ได้ที่ market.sec.or.th/LicenseCheck/Search หรือแอพพลิเคชั่น SEC Check First