วิธีการทำร้านสารพัดเมนูปลาไทยของ Fishmonger ที่ครองใจคน ชาวประมง และดีต่อสิ่งแวดล้อม

วัวกระดาษ กะรังแดงจุดฟ้า หมูสีลายตอก เสือซ่อนเล็บ อีโต้มอญ และยูนิคอร์น ฯลฯ 

รู้หรือไม่ว่าชื่อเหล่านี้คือชื่อปลาทะเลท้องถิ่นของไทยที่รสชาติดี แต่คนไทยหลายคน หลากภาคไม่มีโอกาสได้ลิ้มลอง เพราะตั้งแต่เด็กจนโต ไม่ว่าจะเมนูปลาในครัวที่บ้าน หรือตามร้านอาหาร เราก็มักจะได้กินแต่ปลาเก๋า กะพง และกะมงพร้าว 

“ผมเชื่อว่าปลาแต่ละตัวมีคาแร็กเตอร์ที่แตกต่างกัน เมื่อมันถูกจับมาแล้วมันควรถูกนำเสนอให้ดีกว่านี้ ชาวประมงพื้นบ้านเขาควรจะมีรายได้ที่ดี ไม่จำเป็นต้องเสียค่าน้ำมันเพื่อไปแย่งจับแต่ปลาไทยที่คนนิยม”

โอม–กศม ชูดอกไม้ หนึ่งในทีมบริหารและผู้ถือหุ้นของ Fishmonger บอกกับเราแบบนั้น

Fishmonger ตั้งต้นจากการทำเพจลันตาปลาไทย เพจที่บอกเล่าและขายปลาไทยท้องถิ่นจากแดนใต้ ก่อนที่จะพัฒนามาเป็นร้านขายอาหารที่เสิร์ฟสารพัดเมนูปลาชื่อแปลก โดยเฉพาะฟิชแอนด์ชิป เพื่อให้คนไทยได้รู้จักปลาท้องถิ่นมากยิ่งขึ้น รวมถึงเพิ่มรายได้ให้ชาวประมงพื้นบ้าน และสร้างความยั่งยืนให้สิ่งแวดล้อมทางทะเล

สาขาแรกของ Fishmonger มีขนาดเพียง 27 ตารางวาตั้งอยู่ที่โครงการ GalileOasis แถวบรรทัดทอง สาขาแรกนี้เน้นขายเมนูฟาสต์ฟู้ดที่จัดการง่ายๆ ในพื้นที่ขนาดย่อม หลัง Fishmonger สร้างเสียงฮือฮาให้นักกิน คนรักปลา และคาเฟ่ฮอปเปอร์ได้ 1 ปี สาขาที่สองอย่างอารีย์ในคอนเซปต์ Local Seafood Bar ก็เกิดขึ้น

ความสำเร็จในขวบปีแรกของ Fishmonger ซึ่งมีทีมผู้บริหารและผู้ถือหุ้นหลากหลายคนทำให้ Capital อยากพาทุกคนไปลงลึกหลังครัวของ Fishmonger ว่าพวกเขาทำยังไงให้ธุรกิจนี้เติบโตได้อย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาไม่นาน ที่สำคัญ เป้าหมายการนำเสนอปลาไทยของเขาสำเร็จได้ด้วยปัจจัยอะไรบ้าง

ร้านอาหารจากองค์ความรู้สหสาขาวิชาชีพ

“ผมจบเชฟจากดุสิตธานี ก่อนจะไปทำงานเป็นเชฟที่ฮ่องกง สกอตแลนด์ และอังกฤษ พอกลับมาก็ทำงานอยู่ทีมวิจัยและพัฒนาโรงงานอาหารแช่แข็งอยู่ 3 ปี จนมี know-how เรื่องการแช่แข็งเลยมาเปิด Ohm Cuisine ครัวกลางอาหารแช่แข็งสำหรับร้านกาแฟ โรงแรม ผับบาร์” โอมเกริ่นให้ฟังขณะรอทีมครัวปรุงสารพัดเมนูให้เราชิม

แต่นอกจากจะเป็นเชฟที่แม่นเรื่องโอเปอเรชั่นในครัว เป็นเจ้าของธุรกิจผู้มีความรู้เรื่องการแช่แข็งอาหารแล้ว เขายังหลงใหลการตกปลาเป็นชีวิตจิตใจ จุดเปลี่ยนสำคัญคือช่วงที่เขาไปตกปลาที่เกาะลันตา จังหวัดกระบี่ กับเพื่อนเชฟด้วยกัน และค้นพบว่าปลาท้องถิ่นของไทยนั้นมีหลากหลายสายพันธุ์แต่คนภาคอื่นๆ กลับไม่รู้จักแม้แต่น้อย

“ตอนที่ไปตกปลาก็มีเพื่อนหลายคนขึ้นเรือไปด้วย เราที่เป็นทั้งเชฟและคนตกปลาก็รู้วิธีการเสิร์ฟปลาแต่ละชนิด  เพื่อนที่ไปด้วยกันก็บอกว่า เฮ่ย นี่มันเหมือนโอมากาเสะกลางทะเลเลยนะ” จากคำพูดนั้นของเพื่อนทำให้เขายิ่งสงสัยว่าทำไมปลาคุณภาพดีและแปลกแบบนี้ถึงไม่เคยถึงโต๊ะอาหารคนกรุงและคนภาคอื่นๆ เลย

“ชาวประมงในหมู่บ้านเขาก็บอกว่าไม่ใช่ไม่เคยขายแต่ส่งไปขายแล้วมันขายต่อไม่ได้ พอเป็นแบบนี้ปลาก็เน่าเสีย มูลค่ามันเลยต่ำมากๆ เขาก็ต้องเอาปลาไปแปรรูปเป็นปลาแห้งบ้างล่ะ หนักสุดก็ส่งโรงงานทำอาหารสัตว์”

เมื่อสังคมยังไม่เปิดรับให้กับรสชาติที่หลากหลาย โอมและเพื่อนจึงตัดสินใจเปิดเพจลันตาปลาไทยที่ตั้งใจนำเสนอเรื่องราวของปลาและสัตว์ทะเลท้องถิ่นเพื่อให้คนทั่วไปรู้จัก ตั้งแต่ลักษณะ จุดเด่น กระทั่งวิธีการกินให้อร่อย ก่อนจะเปิดขายวัตถุดิบเหล่านั้น จนความรู้ความเข้าใจเรื่องปลาไทยค่อยๆ กระจายไปไกลมากขึ้น

ทำลันตาปลาไทยมาได้สักพัก โควิดเจ้ากรรมก็เข้ามาชะงักทุกธุรกิจ ด้วยความที่มีโรงงานอาหารอยู่แล้ว โอมจึงนำวัตถุดิบที่ได้จากท้องทะเลซึ่งจับแบบประมงพื้นบ้าน และเก็บรักษาความสดด้วยการฟรีซมาอย่างดี มาทำอาหารให้กับลูกค้า

“ทีนี้ลูกค้าก็ติดใจว่าทำไมไม่ทำร้านอาหารจากปลาพวกนี้ เพราะบางคนอยากกินปลาแต่ขี้เกียจทำ บ้างก็ทำไม่เป็น ผมจึงคิดว่าแหล่งวัตถุดิบอย่างลันตาปลาไทยเราก็มีอยู่แล้ว ครัวกลางอย่าง Ohm Cuisine เราก็มี เราน่าจะทำร้านอาหารที่เป็นแหล่งกระจายวัตถุดิบเหล่านี้ได้ 

“เพราะผมเป็นแค่คนตัวเล็กๆ เป็นแค่คนระบายสินค้า แต่ถ้าวันนึงคนเริ่มรู้จักชื่อปลา เริ่มกล้ากิน ดีมานด์มันก็จะมากขึ้น คนกลางก็จะกล้าเอาไปขาย ปลามันจะไม่กระจุกอยู่แค่ตลาดท้องถิ่นแต่มันจะกระจายมากรุงเทพฯ และหลายจังหวัดได้ สุดท้ายมันก็จะเกิดการกระจายรายได้ให้ชาวประมงพื้นบ้านอย่างแท้จริง”

Fishmonger สาขาแรกที่โครงการ GalileOasis ย่านบรรทัดทองจึงเกิดขึ้น

ไอเดียร้านจากขนาดพื้นที่และความตั้งใจปลายทาง

“ผมได้พื้นที่มาก่อนนะถึงจะตกตะกอนว่าขายอะไรดี ไม่ได้คิดว่าจะขายอะไรแล้วค่อยหาที่” โอมเล่าถึงพื้นที่ขนาด 27 ตารางวาที่โครงการ GalileOasis ซึ่งค่อนข้างจำกัดมาก

ด้วยพื้นที่จำกัด และความตั้งใจที่อยากสร้างความตระหนักรู้เรื่องปลาไทยให้ได้มากที่สุด คอนเซปต์ที่โอมตั้งไว้จึงต้องเป็นเมนูอาหารที่คนเข้าถึงได้ ทั้งในแง่รสชาติ ราคา รวมถึงการจัดการหลังบ้านก็ต้องไม่ยากและทำได้จริงในพื้นที่ที่จำกัด

“พาร์ตเนอร์และคนรอบตัวหลายคนบอกว่าทำไมไม่เอาไปทำซาซิมิ เอาไปทำไฟน์ไดนิง แต่เอาปลามาทอดให้เสียรสชาติ แต่ผมกลับมองว่าถ้าทำแบบนั้น คนทั่วไปก็จะยิ่งเข้าถึงปลาไทยดีๆ ไม่ได้ แถมคนไทยยังไม่ได้กินของดิบๆ ทุกวันอยู่แล้ว

“บวกกับผมมองว่าในไทยมีนักเรียนอังกฤษเยอะ แต่ร้านที่ขายฟิชแอนด์ชิปโดยเฉพาะยังไม่มี เลยคิดว่าเมนูฟิชแอนด์ชิปที่เป็นของทอดและของสุกมันน่าจะเข้าถึงคนไทยได้ง่ายกว่า”

สาขาแรกที่บรรทัดทองจึงเน้นตกแต่งให้คล้ายร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด ไม่ว่าจะเป็นป้ายเมนูที่ร้าน จานอาหารที่เสิร์ฟ กระทั่งรูปแบบเมนูที่เน้นทำสะดวกและรวดเร็ว 

“บอกตามตรงว่าผมไม่มั่นใจนะว่ามันจะเวิร์ก แต่พอเปิดได้หนึ่งเดือนก็รู้แล้วว่ามาถูกทาง” 

หลังเปิดสาขาแรกได้เกือบปี Fishmonger สาขาสองที่อารีย์ก็เกิดขึ้นในคอนเซปต์ Local Seafood Bar เพื่อแก้ pain point เรื่องที่จอดรถ ขนาดครัว เพิ่มความหลากหลายของเมนู รวมถึงสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างกันในแต่ละสาขา 

“พอเราได้ที่ที่อารีย์มา หลายคนบอกว่าเราควรขึ้นราคาไหมเพราะเราอยู่อารีย์เลยนะ แต่ผมกลับคิดว่าในเมื่อเราได้ที่มาในราคาที่เหมาะสม แล้วความตั้งใจแรกของเราคืออยากให้คนเข้าถึงปลาไทยดีๆ ทำไมเราต้องขึ้นราคา 

“เอาตรงๆ ราคาเริ่มต้นที่ 210 บาทของเรา ต้นทุนมัน 50% เลย ผิดหลักการทำร้านอาหารที่ต้องใส่ต้นทุนไป 35% ราคาก็จะเริ่มที่ 300-400 บาท แต่พอเราขายราคาเท่านี้ มันทำให้เราขายได้มากขึ้น ที่สำคัญ คนเข้าถึงได้ทุกวัย

“เพราะจริงๆ อาหารพวกนี้มันเป็นอาหารธรรมดาของเขา เหมือนเราคิดอะไรไม่ออกก็กินกะเพรา ดังนั้น เราควรตั้งราคาที่มันไม่จำเป็นต้องเป็นมื้อพิเศษก็กินได้” 

ลูกค้าของ Fishmonger จึงอายุหลากหลาย ตั้งแต่ 17-70 ปี เด็กวัยรุ่นกำเงินมากับเพื่อนก็เข้าถึงปลาหลายชนิดได้ วัยทำงานมากินแล้วติดใจ ก็พาพ่อแม่กลับมาลอง บางคนมาเป็นคู่สองตายายที่กินไปยิ้มไป

วิธีคิดแบบเชฟ 

ถ้าใครเคยทานฟิชแอนด์ชิปแบบของแท้ที่อังกฤษ ประเทศที่ทานเมนูปลาชุบแป้งทอดเป็นอาหารหลักเหมือนเราทานข้าว จะรู้ดีว่าคนอังกฤษไม่ได้ทอดปลาและมันฝรั่งกรอบมาก และถ้าจะกินแบบดั้งเดิมจริงๆ ก็ต้องกินกับน้ำส้มสายชูหมักและเกลือ

แน่นอนว่าคนไทยอย่างเราๆ อาจจะเลี่ยนเกินจะกินหมด

“ผมเลยคิดสูตรแป้งและวิธีการทอดให้มันกรอบกว่าเดิม ไม่ว่าจะตัวชิ้นปลาหรือมันฝรั่งทอด เพราะคนไทยชอบความกรอบ ส่วนทาทาซอสแต่เดิมมันจะเค็มๆ มันๆ ผมก็ใส่ผักชีลาวและเพิ่มความเปรี้ยวลงไป” โอมอธิบายเบื้องหลังการพัฒนาเมนูในมุมของเชฟให้ฟัง

“ปลาเมืองนอกเขาได้เปรียบเรื่องความฉ่ำความมันเพราะปลาเมืองหนาวมีไขมันเยอะ แต่ผมไม่ได้กังวลหรอก เพราะเราก็อาศัยความมันจากตัวมายองเนสได้” 

จากการชิมทั้งเมนูหลักอย่างฟิชแอนด์ชิป สลัดปลาย่าง และสารพัดเมนูปลาที่สาขาอารีย์ ขอบอกว่าเนื้อปลายังคงฉ่ำและนัว ทั้งที่ไขมันปลานั้นน้อยกว่าปลาแฮดด็อกหรือปลาค็อดที่เราเคยกิน

“ปลาเมืองไทยมันได้เปรียบตรงมีเป็นปลาเป็นพันๆ ชนิด มันเลยนำไปทำเมนูได้หลากหลายมาก ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคนด้วย แต่ในมุมเชฟ ผมก็จะรู้ว่าปลาตัวนี้มันควรจะตัดหนังออก เพราะพอหนังหนาแล้วเนื้อปลามันจะม้วนเวลาทอด หรือถ้าปลาเนื้อเด้งหน่อย ผมก็จะชอบเอาไปทำเบอร์เกอร์ เวลากัด มันจะได้ไม่ยวบไปหมด ซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่มีผิดถูก ขึ้นกับว่าใครชอบเนื้อและรสแบบไหนมากกว่า” เขาอธิบาย

หัวใจของการทำร้านอาหารคือระบบหลังบ้านที่ดี

แม้โอมจะบอกว่าระบบหลังบ้านของ Fishmonger ไม่ซับซ้อนและทำง่ายกว่าการเปิดร้านอาหารสไตล์อื่น แต่ความไม่ซับซ้อนที่ว่าก็แลกมาด้วยความยุ่งยากตั้งแต่ที่โอมและเพื่อนก่อตั้งเพจลันตาปลาไทยขึ้นมาแล้ว

“ก่อนผมเข้าไป ชาวบ้านเขาไม่มีความรู้เรื่องการเก็บรักษา ปกติเขาจะเอาถังน้ำแข็งขึ้นไปบนเรือ แต่เขาไม่ได้ใส่น้ำแข็ง แล้วปลาที่เพิ่งกินเหยื่อมาเจอกับอากาศเมืองไทย แป๊บเดียวข้างในมันก็เริ่มเน่าแล้ว” โอมเล่าเรื่องหักมุมที่เราเองอยากรู้ตอนต่อไป

“ผมเลยเริ่มสอนตั้งแต่วิธีการเก็บรักษา ตอนแรกก็เริ่มจากให้เขาใส่น้ำแข็งลงในกระติกก่อน พอยอมทำ ผมก็เริ่มสอนว่าเขาควรจะเรียงปลาแบบไหน ลังหนึ่งไม่ควรเกินกี่กิโล พอเริ่มทำได้ ก็บอกให้เขาเอาปลาใส่ถุงเพื่อไม่ให้ปลาโดนน้ำแข็งโดยตรง 

“จากนั้นก็ให้ติดแท็กว่าปลาอะไรน้ำหนักเท่าไหร่ ค่อยๆ ปรับกัน 2 ปีถึงจะมีบางที่ที่เขาสามารถทำเทคนิคอิเคจิเมะแบบญี่ปุ่นได้” เทคนิคอิเคจิเมะที่ว่าเป็นเทคนิคดั้งเดิมของชาวประมงญี่ปุ่นทีี่ช่วยเก็บความสดใหม่ของปลาเอาไว้

ปลาของลันตาปลาไทยและปลาของ Fishmonger จึงมีทั้งปลาที่ฟรีซด้วยวิธีธรรมชาติทั่วไป และปลาที่ทำด้วยเทคนิคอิเคจิเมะ ซึ่งราคาปลายทางของการเก็บรักษาทั้งสองแบบจะต่างกัน 

“ปลาที่ผมเอามาทำใน Fishmonger จะตายไม่เกิน 48 ชั่วโมงก่อนนำมาตัดแบ่งและแช่แข็งซึ่งจะอยู่ได้นาน 6 เดือน ถามว่ามันมีปัญหากับความเข้าใจของคนที่มองว่าเราเอาปลาแช่แข็งมาขาย แทนที่จะเป็นปลาสดไหมก็มี

“ผมตั้งใจสื่อสารตั้งแต่เปิดร้านและออกรายการแรกๆ อยู่แล้วว่าปลาของผมแช่แข็งมานะ เพราะจริงๆ แล้ว การแช่แข็งมันมีหลายแบบ และมันเป็นวิธีถนอมอาหารที่ดีที่สุด มันยังง่ายต่อการจัดการ ถ้าผมใช้ปลาสดราคามันก็คงจะแพงกว่านี้”

แต่ตั้งแต่เปิด Fishmonger ขึ้นมา รสชาติและความฉ่ำของเนื้อปลาก็ไขข้อข้องใจให้ลูกค้าได้ทั้งหมด

“สุดท้ายแล้วกินปลาแช่แข็งธรรมชาติ กับปลาที่กำลังจะเน่า แบบแรกมันย่อมดีกว่าอยู่แล้ว แล้วพอเราทำรสชาติออกมาดี ความฉ่ำของเนื้อปลาก็ยังไม่ได้หายไปเพราะตัวแป้งมันเคลือบเนื้อไว้ ก็ไม่มีลูกค้าคนไหนที่ไม่เข้าใจเจตนาของเรา” เขาอธิบาย

ทั้งหมดนี้สะท้อนความคิดในการทำร้านอาหารของโอมว่าการจัดการระบบหลังบ้าน ตั้งแต่การจัดเก็บวัตถุดิบไปจนถึงโฟลว์การทำอาหารนั้นสำคัญไม่แพ้รสชาติและความสวยงามของสถานที่ เพราะระบบหลังบ้านที่ดีมีผลต่อการอยู่รอดของร้านเช่นกัน

“ตั้งแต่ทำ Ohm Cuisine ผมไม่ได้แค่ขายอาหารแช่แข็งให้คาเฟ่ต่างๆ แต่ผมเข้าไปช่วยดูเรื่องโอเปอเรชั่นโดยไม่คิดเงินเพิ่ม เพราะคิดว่าถ้าเขาทำโอเปอเรชั่นไม่ดี สุดท้ายเขาไม่รอด ผมก็ต้องหาลูกค้าใหม่ การจัดการระบบหลังบ้านจึงสำคัญมากในธุรกิจอาหาร”

เป้าหมายคือการนำเสนอปลาไทยให้ได้มากที่สุด

“ปกติพี่เขาต้องตะบี้ตะบันวนเรือเพื่อหาแต่ปลาที่คนชอบ ซึ่งวนทั้งวันมันก็อาจจะไม่ได้ พอคนมันแย่งกันจับราคามันก็เฟ้อเกิน ส่วนปลาบางชนิดมีเต็มท้องทะเลเลย แต่กลับขายได้กิโลฯ ละแค่ 30 บาท เขาก็เลือกไม่จับเพราะไม่คุ้มค่าน้ำมัน

“หลักการเลือกปลาของผมเลยคือทุกคนแย่งซื้อปลาเก๋า ปลาอินทรีย์ ปลากะพงกันใช่ไหม งั้นผมรับปลาตามฤดูกาลทุกชนิดเลย แถมรับด้วยราคาที่เป็นธรรมด้วย ขอแค่ได้ขนาด ไม่จับปลาเล็กกว่าที่ควรจะเป็น”

หรือปลาบางชนิดผมก็ไม่รับ เช่น ผมชัดเจนว่าผมไม่เอาปลานกแก้ว แม้ตามหลักแล้วจะไม่ได้ผิดกฎหมายทุกจังหวัด แต่ผมรู้สึกว่ามันอยู่ในทะเลแล้วสวยกว่า ผมก็ไม่เอา”

ทั้งหมดนี้โอมตั้งต้นหลักการจากความจริงที่ว่าปลาทุกตัวมีคาแร็กเตอร์ที่ต่างกัน ปลาที่หลายคนนิยมอาจจะไม่ใช่ปลาที่บางคนชอบก็ได้ เช่นลูกค้าบางคนกลับชอบปลาที่ราคาถูกที่สุดอย่างปลาสำลี มากกว่าปลากะพงเสียอีก

“ขนาดวัวตัวเดียวกัน บางคนยังชอบกินสันใน บางคนชอบกินสันนอก บางคนชอบใบพาย ดังนั้นถึงคนจะกินเมนูเดิมแต่รสชาติที่ได้จากปลา 100 ชนิดมันก็ไม่มีทางเหมือนกัน เพราะเชื่อไหมว่าปลาบางชนิดยังรสชาติเหมือนหมูเหมือนไก่เลย” 

เป้าหมายว่าสาขาแรกจะต้องเสิร์ฟปลาได้ 100 ชนิดของโอมทะลุเป้าไปแล้ว ตอนนี้เขากำลังตั้งเป้าต่อไปว่าจะสามารถนำพาปลาไทยให้คนรู้จักได้อีกกี่ร้อยชนิด

 ประมงพื้นบ้านคือหลักการที่ยึดถือ

“ตอนทำเพจลันตาปลาไทยไปได้สักพัก ผมเอาปลาไปให้เพื่อนที่ขายข้าวต้มปลาลองใช้ ปรากฏเขาบอกว่ามันอร่อยกว่าปลาที่เขารับมา ถามว่าทำไมมันต่าง ก็เพราะวิธีการจับปลาที่แตกต่างกัน”

นอกจากชนิดของปลาที่โอมยึดเป็นบรรทัดฐาน อีกสิ่งที่โอมปวารณาตนตั้งแต่วันแรกที่ทำเพจลันตาปลาไทย คือปลาที่จะรับมาจากท้องทะเลต้องเป็นปลาจากประมงพื้นบ้านที่ดีกับสิ่งแวดล้อมมากกว่าเท่านั้น

โอมเล่าว่าประมงพื้นบ้านที่เขายึดมั่น เป็นประมงเรือเล็กที่จับปลาวันต่อวัน ต่างจากประมงพาณิชย์ที่ออกจากฝั่งครั้งละ 15-30 วัน ทำให้ประมงพื้นบ้านได้เปรียบเรื่องความสด นอกจากนั้นประมงพื้นบ้านยังช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมได้มากกว่าด้วย

“ประมงเชิงพาณิชย์มีหลายแบบแต่แบบที่อันตรายที่สุดคือประมงเรือคู่ คือเขาจะมีเรือสองลำ แล้วเอาตาข่ายลงไปถึงหน้าดิน กวาดเอาทุกอย่างขึ้นมาหมด รูตาข่ายมีขนาดตามกฎหมายกำหนดก็จริง แต่รูมันเล็กลงเรื่อยๆ เพราะใบไม้ปิด จนเอาสัตว์ทะเลทุกชนิดขึ้นมา 

เรียกว่ากว่า 70% ของสิ่งที่จับได้นั้นเป็นสิ่งที่ไม่ต้องการซึ่งถ้าอยากจะเลือกและปล่อยสัตว์เหล่านั้นลงทะเลก็ช้าเกินไป เพราะกว่าจะคัดเลือกเสร็จ เหล่าสัตว์ทะเลตัวน้อยใหญ่ก็จากโลกนี้ไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น การลากตาข่ายแต่ละครั้งยังส่งผลต่อปะการังที่เป็นบ้านของสัตว์ทะเลหลายชนิด

“ผมเลยชัดเจนว่าจะเน้นประมงพื้นบ้านที่ใช้อุปกรณ์ที่ดีกับธรรมชาติ เพื่อความสด เพื่อความยั่งยืน” เขายืนยัน

ก้าวต่อไปของคนขายปลาที่คิดใหญ่และทำได้จริง

จริงๆ เปิดสาขาแรกไปได้แค่เดือนเดียวผมก็มั่นใจแล้วเพราะผลการตอบรับดี ขนาดที่มีลูกค้ามากางโน้ตบุ๊กคุยกับผมเลยว่าวันนี้มีปลาชนิดนี้ใช่ไหม เขาไปทำการบ้านมาแล้วนะว่ามันหน้าตาเป็นแบบไหน รสชาติยังไง” โอมเล่าความภูมิใจของการทำ Fishmonger ให้เราฟัง ก่อนจะเล่าความภูมิใจข้อที่สองต่อว่า

“พอร้านมันมีชื่อเสียงขึ้น ลันตาปลาไทยที่ซัพพอร์ตเรื่องวัตถุดิบก็มีชื่อเสียงมากขึ้นไปด้วย เพื่อนที่ทำงานราชการเขาไปประชุมกับกรมประมง ก็มีการพูดถึงลันตาปลาไทยว่าประมงพาณิชย์น่าจะปรับใช้อุปกรณ์พื้นบ้านในกระบวนการจับเพื่อเพิ่มคุณภาพและสร้างความยั่งยืนให้ทะเลมากกว่านี้”

การทำร้านสารพัดเมนูปลาทั้งสองสาขาขึ้นมาจึงเป็นเครื่องยืนยันว่าความฝันที่โอมตั้งไว้และตั้งใจคงไม่ไกลเกินเอื้อม

“มันทำให้ผมเข้าใจว่าที่จริงคนสนใจปลาไทยนะ เพียงแต่ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้จะไปลองที่ไหน ถึงมีให้ลองก็แพงเกินที่คนชนชั้นกลางจะกินไหว ผมเลยตั้งใจว่าอยากจะรับซื้อปลาในราคาที่สูงขึ้นและสอนให้เขาถนอมวัตถุดิบให้มีคุณภาพมากขึ้นไปอีก 

“เพราะถ้าปลาชนิดเดิมขายได้ราคาสูงขึ้นจากการถนอมให้ดีขึ้น ชาวประมงก็จะมีรายได้สูงขึ้นแต่จับเท่าเดิม ส่วนผมก็จะมีสินค้าคุณภาพส่งให้ลูกค้าได้กินปลาดีๆ คนก็รู้จักปลาไทยมากขึ้น ท้องทะเลก็จะเสียทรัพยากรน้อยลง ผมว่ามันวินตลอดเส้นทาง” เขาบอกเป้าหมายต่อไปที่ Fishmonger อยากไปให้ถึง

What I’ve Learned

  • หุ้นส่วนเยอะนั้นดีตรงที่เราสามารถดึงฐานลูกค้าของแต่ละคนมาได้ แต่ข้อเสียก็คืออาจทะเลาะกันได้ ดังนั้นจึงต้องรู้จักแบ่งหน้าที่ให้ชัดเจนว่าใครทำเรื่องอะไร และแต่ละตำแหน่งจะต้องมีเงินเดือนชัดเจน โดยเฉพาะตำแหน่งที่ต้องทำงานตลอดเวลาอย่างบัญชีและโซเชียลมีเดีย 
  • คิดก่อนทำเป็นสิ่งที่จำเป็น แต่ถ้าคิดแล้วไม่เริ่มทำมันก็ไม่เกิดสักที เพราะสุดท้ายแล้วการทำธุรกิจมันไม่มีคำว่าพร้อมหรือไม่พร้อม เราต้องทำไป แก้ไขไป ปรับปรุงไป ที่สำคัญ อย่าผิดซ้ำเรื่องเดิม
  • ถ้าทำธุรกิจร้านอาหาร คุณต้องเตรียมใจไว้ว่าธุรกิจนี้มันมีปัญหาอยู่ตลอดเส้นทางตั้งแต่เรื่องก่อสร้าง หาคน พอเปิดหน้าร้านจริงๆ มันจะเจอหมด น้ำไม่ไหล ไฟดับ ขยะเต็ม เราต้องแก้เกมให้เร็วที่สุด 
  • สถานที่ที่สวยงามน่าถ่ายรูปมันเหมือนประตูบานแรกให้คนอยากรู้จักเรา แต่ถ้าอยากทำธุรกิจอาหารให้ยั่งยืนมันต้องกลับมาที่สินค้าว่ามันคุ้มค่ากับเงินที่เขาเสียไปไหม ไม่อย่างนั้นคนเขาก็จะมาเช็กอินแค่ครั้งสองครั้งแล้วก็หายไป 
  • ก่อนจะเปิดร้านอาหารสักร้าน สิ่งที่ต้องทำคือการดู feasibility หรือความเป็นไปได้และความจริงว่าเราลงทุนไปแล้วมันจะคุ้มค่าไหม ต้องดูตั้งแต่โลเคชั่นร้าน จำนวนคนหลังบ้าน ราคาอาหาร ยิ่งถ้าจะขายเดลิเวอรีหรือเข้าห้างยิ่งต้องดูว่าถ้าต้องแลกกับค่า GP คุณจะเหลือเท่าไหร่แล้วมันคุ้มแค่ไหน
  • ตัวชี้วัดว่าคุณเปิดสาขาที่ 2 ที่ 3 ได้หรือยังคือระบบหลังบ้านคุณพร้อมหรือเปล่า ทีมงานสามารถรันงานกันเองได้ไหม เพราะก่อนหน้านี้มีคนขอซื้อแฟรนไชส์ มีคนติดต่อเข้าห้างเยอะมาก แต่ว่าผมก็ไม่ไปเพราะระบบหลังบ้านมันต้องโตไปด้วย ซึ่งผมเองไม่ได้อยากโตเร็ว ผมอยากจะไปแบบยั่งยืน อยากจะไปทั้งซัพพลายเชน 
ข้อมูลติดต่อ :
Facebook : Fishmonger
Instagram : fishmonger.bkk
Line : @fishmonger  

ความรักมีปัญหาอยู่ไหม? ส่องธุรกิจเพื่อความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกับภาพยนตร์ Long Live Love!

คำเตือน : บทความเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของภาพยนตร์

สำหรับคนชอบดูหนังโรแมนติกหวานเยิ้มแบบเรา การได้ดูหนังรักดราม่ารสชาติหวานขมสักเรื่องก็ถือเป็นเมนูตัดเลี่ยนที่นานๆ ได้กินทีก็ดีเหมือนกัน

Long Live Love! คือภาพยนตร์เรื่องล่าสุดที่เข้าข่ายนั้น หนังเรื่องนี้ไม่ได้มีแค่พาร์ตโรแมนติก-ดราม่าที่ช่วงหวานก็ว้านหวาน แต่พอถึงพาร์ตขมก็ขมเข้ม หนังยังมีความฮาเป็นตัวตัดเลี่ยนและความแฟนตาซีเป็นลูกเล่น 

ยิ่งได้การแสดงจากตัวพ่อตัวแม่อย่าง ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ และอารยา เอ ฮาร์เก็ต รวมถึงดาวรุ่งน่าจับตาของวงการบันเทิงไทยอย่าง รีเบคก้า แพทรีเซีย อาร์มสตรอง ไหนจะ cameo นักแสดงจากเนื้อคู่อยากรู้ว่าใคร–ผลงานสร้างชื่อของผู้กำกับ เท่านี้ก็คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม

หนังเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ติดๆ ดับๆ ของสติ (ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์) กับเมตตา (อารยา เอ ฮาร์เก็ต) คู่รักที่คบกันมานานถึงขั้นแต่งงานมีลูกด้วยกัน สติเป็นสามีที่เป็นเหมือนฝันร้ายของภรรยา ทั้งมีชู้ ชอบไปอาบอบนวด ไม่ได้ทำตัวเป็นพ่อที่ดี ฯลฯ แต่เมื่อความสัมพันธ์ดำเนินมาถึงจุดที่กำลังจะแตกหัก สติกลับประสบอุบัติเหตุทำให้ความจำเสื่อมชั่วคราว  มากกว่านั้นคือเขาค้นพบพลังวิเศษที่จะเรียกความทรงจำในอดีตให้กลับมาได้ผ่านภาพถ่ายเก่า ลำบากทั้งเมีย ทั้งลูก ทั้งคนรอบข้างที่ต้องช่วยกันเรียกความทรงจำในอดีตกลับมา ระหว่างทางนั้นชายหนุ่มก็ได้เรียนรู้คุณค่าของความสัมพันธ์ครอบครัวที่ตัวเขาเองทำให้มันร้าวฉาน ซึ่งเขาอาจจะไม่มีโอกาสได้ซ่อมแซมมันแล้วก็ได้

แน่นอนว่าเรื่องราวของสติกับเมตตานั้นไม่ได้เป็นภาพแทนของคู่รักทุกคู่ แต่อย่างน้อย Long Live Love! ก็ทำให้เราได้เห็นทั้งแง่งามและไม่งามของความสัมพันธ์ โดยเฉพาะความสัมพันธ์แบบคนรักที่คบกันมานานว่าต้องประสบพบเจออะไรบ้าง ที่สำคัญ หนังทำให้เห็นว่าการแต่งงานไม่ใช่จุดสูงสุดของความสัมพันธ์ แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งใหม่ที่จะมีบททดสอบตามมาอีกเป็นพรวน 

ในความเป็นจริง เชื่อได้เลยว่ามีคู่รักหลายคู่ที่กำลังประสบปัญหาในความสัมพันธ์แบบสติกับเมตตา ในทำนองที่ว่าจะมูฟออนก็ไม่ได้ แต่จะให้กลับไปรักกันเหมือนเดิมก็ลำบาก  ซึ่งเชื่อไหมว่าในโลกของธุรกิจ มีบริการที่เกิดขึ้นเพื่อแก้ pain point ของความสัมพันธ์แบบนี้อยู่มากมาย ตอบโจทย์ได้ไม่ว่าคุณจะอยากซ่อมความสัมพันธ์หรือเลือกจะจบมัน บางบริการกำลังเป็นกระแส บางบริการก็ทำให้อุทานว่าคิดได้ไง 

และหากสติกับเมตตามีตัวตนในโลกความจริง นี่คือธุรกิจที่เราอยากแนะนำให้พวกเขาไปสมัครเป็นลูกค้า

อยากเริ่มต้นใหม่กับคนเดิม (หรือคนใหม่ก็ได้ ลุยเลยสาว!)

ปกติแล้ว เวลาคู่รักอยากซ่อมความสัมพันธ์พังๆ หลายคนต้องนึกถึงการไปหา Couples Therapist หรือนักจิตบำบัดสำหรับคู่รัก เหมือนที่เราเห็นในหนังฝรั่งหลายเรื่อง (ใน Long Live Love! ก็มีซีนไปหาหมอเพื่อเยียวยาความสัมพันธ์ฟีลนี้เหมือนกัน)

แต่ถ้าใครลองแล้วไม่เวิร์ก หรือไม่อยากจะเข้าสู่กระบวนการบำบัดขนาดนั้น เราขอแนะนำให้รู้จัก Relationship Coach หรือที่ปรึกษาด้านความสัมพันธ์

Relationship Coach หรือบางคนอาจเรียกว่า Love Coach เป็นบริการที่แตกแขนงออกมาจาก Life Coach หรือที่ปรึกษาชีวิตที่เราคุ้นชินกัน พูดอย่างนี้บางคนอาจรู้สึกหยึยๆ จากภาพจำของไลฟ์โค้ชที่เคยมี แต่ในต่างประเทศ อุตสาหกรรมไลฟ์โค้ชถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเติบโตขึ้นเรื่อยๆ และยังเป็นที่ต้องการของคนอยู่  อาจเพราะคนบ้านเขานับว่าการปรึกษาปัญหาชีวิตกับผู้เชี่ยวชาญคือการดูแลตัวเอง (self-care) อย่างหนึ่งที่ไม่ได้มีเพียงคนรวยเท่านั้นที่ทำ แต่หลายคนต้องการมันอย่างจริงจังเพื่อจะได้ไปถึงเป้าหมายต่างๆ ของชีวิต

เป้าหมายด้านความรักก็เช่นกัน โดยหนึ่งในแบรนด์สุดป๊อปที่ให้คำปรึกษาเรื่องความสัมพันธ์คือ Relationship Hero บริการให้คำปรึกษาตามสั่งที่จะแนะนำเรื่องความสัมพันธ์และการไปเดต ก่อตั้งโดย Liron Shapira ที่ได้ไอเดียมาจากวันหนึ่งที่เขาต้องไปเดตแล้วรู้สึกประหม่ามาก ไม่รู้จะคุยอะไรให้คู่เดตสนใจ แต่ก่อนไปก็ได้คำแนะนำดีๆ จากเพื่อนสนิทที่ทำให้เดตนั้นราบรื่นไปได้ เขาคิดว่าคงมีใครอีกหลายคนอยากได้คำแนะนำฟีลนี้ จึงก่อตั้ง Relationship Hero ขึ้นมา

บริการของพวกเขาก็อำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้แบบสุดๆ เพราะทำได้ทั้งโทร ส่งข้อความ หรือแชตหาโค้ชได้ตลอด 24 ชั่วโมง แถมยังปรึกษาได้ตั้งแต่เรื่องเล็กจ้อยอย่างแมตช์ทินเดอร์แล้วจะทักเขาไปยังไงดี ไปจนถึงถ้าอยากเขียนเมลง้อแฟนแบบซึ้งๆ ต้องเขียนยังไง โดยมีโค้ชในสังกัดคอยให้บริการกว่า 70 คน 

ให้การเลิกกันเป็นของขวัญของเรา

แต่ถ้าใครพอแล้ว อยากเลิกกับแฟนแล้ว แต่ก็ไม่อยากร้องไห้เสียใจ เราขอแนะนำวิธีรับมือกับการจบความสัมพันธ์แบบใหม่–ก็ฉลองมันซะเลยสิ!

2023 คือปีที่ทำให้เราเห็นว่านี่คือยุคแห่งการ empowering อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะรูปร่าง เพศ สีผิว ตัวตน แม้กระทั่งเรื่องการเลิกกันของคู่รักก็ไม่เว้น เห็นได้ชัดจากการเสิร์ชคำว่า ‘ไอเดียปาร์ตี้ฉลองการหย่า’ และ ‘เค้กฉลองวันเลิกกัน’ ในเสิร์ชเอนจินที่สูงขึ้นถึง 55% และ 100% ตามลำดับ ทำให้มีธุรกิจมากมายที่ผุดขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการเหล่านี้ ทั้งออร์แกไนซ์อีเวนต์ฉลองการหย่า ทริปเยียวยา celebrate ความโสด หรือกล่องสุ่มที่สามารถซื้อเป็นของขวัญวันเลิกให้ตัวเอง

หนึ่งในนั้นคือ ‘The Break Up Box’ แบรนด์กล่องสุ่มจากนิวซีแลนด์ ก่อตั้งโดย Saskia Shaw หญิงสาวที่เปลี่ยนอาการใจสลายให้กลายเป็นธุรกิจ เธอเพิ่งหลุดพ้นจากความสัมพันธ์สุดท็อกซิก และได้ไอเดียในการทำสินค้ามาจากปาร์ตี้ฉลองการเลิกราที่จัดกับเพื่อนสนิท เมื่อเพื่อนๆ ถือเค้กที่เขียนว่า bye-bye toxic มาให้ ซัสเกียก็คิดว่าการให้ของขวัญตัวเองที่มูฟออนจากความสัมพันธ์แย่ๆ นี่มันช่างดีจัง

เพียงเท่านั้น ธุรกิจกล่องของขวัญเพื่อคนใจสลายของเธอก็เกิดขึ้น โดยหยิบประโยค bye-bye toxic มาตั้งเป็นหนึ่งในชื่อคอลเลกชั่นกล่องของขวัญ ก่อนจะตามมาด้วยคอลเลกชันอื่นๆ ที่ล้วนตั้งใจเชียร์อัพผู้รับว่าเธอสวย เธอปัง และคนแบบเธอหาแฟนใหม่ได้อยู่แล้ว เช่น The Glow Up Collection, The Cheated On Collection, The Get Back On It Collection ซึ่งแต่ละกล่องก็เต็มไปด้วยไอเทมฮาๆ ไปจนถึงสินค้า self-care ชุบชูใจ ทั้งสครับผิว ช็อกโกแลต หลอดรูปจู๋ ไปจนถึงถุงยาง 

รักตัวเอง พูดง่าย ทำยาก…แต่ฝึกได้นะ

หรือหากใครไม่ใช่สายปาร์ตี้ แต่ยังอยากหากิจกรรมที่จะทำให้รักตัวเองได้ดีขึ้น (แบบเมตตาใน Long Live Love!) เราขอแนะนำสินค้าตัวช่วยฝึกฝนเรื่อง self-love ที่จะทำให้คุณกลับมารู้สึกเต็มในตัวเองอีกครั้ง

ถ้าลองเสิร์ชในเว็บไซต์จะเห็นได้เลยว่ามีสินค้า self-love practice ผุดขึ้นมามากมาย แต่หนึ่งในไอเทมที่เราอยากหยิบมาแนะนำคือการ์ดเกม 150 New Ways To Love Yourself จากแอ็กเคานต์ไอจีดัง We’re Not Really Strangers ซึ่งถ้าว่ากันตามตรงก็ไม่ได้ตั้งตนเป็นธุรกิจอะไรขนาดนั้น แต่ Koreen เจ้าของแอ็กเคานต์คือศิลปินและนางแบบที่มีงานอดิเรกคือทำการ์ดเกมว่าด้วยความสัมพันธ์ และคงจะดีไม่น้อยที่มีโอกาสขายสินค้าให้ฟอลโลว์เวอร์หลักล้านของเธอ

และนางก็ไม่ได้ทำเล่นๆ เพราะการ์ดเกม New Ways To Love Yourself ถูกออกแบบมาให้เล่นสนุก เต็มไปด้วยคำถามและกิจกรรมที่ฉุกคิด ท้าทายผู้เล่น โดยตัวการ์ดเกมแบ่งออกเป็น 3 เลเวลคืออดีต (เพื่อย้อนกลับไปดูว่าผ่านอะไรมา หลงลืมคนที่เคยเป็นในอดีตไปหรือเปล่า กลับไปจูนกับเขาได้ไหม) ปัจจุบัน (ยอมรับตัวเองในปัจจุบันกันเถอะ) และอนาคต (สำรวจว่าอยากจะโตไปเป็นตัวเองในเวอร์ชั่นไหน) ให้คุณเล่นกับตัวเองหรือเพื่อนได้อย่างสนุกสนาน

ทั้งหมดทั้งมวลนี้เกิดขึ้นเพราะอยากให้ทุกคนมั่นใจว่า ในวันที่ไม่มีคนรักข้างกาย คุณก็สามารถโอบกอดตัวเองอย่างเต็มแขนได้เช่นกัน

อ้างอิง

ตลาดหนังสือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และโอกาสของ Andrew Nurnberg Associates เอเจนซีหนังสือแปลจากอังกฤษ สาขาแรกในไทย

หนึ่งในข่าวคราวที่น่าสนใจของวงการหนังสือบ้านเราคือการที่ Andrew Nurnberg Associates เอเจนซีลิขสิทธิ์หนังสือแปลสัญชาติอังกฤษตัดสินใจเปิดตัวที่ประเทศไทย รวมถึงอีกประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คือเวียดนาม จากแต่เดิมที่มีสำนักงานทั่วโลกเพียง 9 แห่ง

คำถามที่น่าสนใจคือภูมิภาคอย่างเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีแรงดึงดูดใดจึงทำให้เอเจนซีลิขสิทธิ์ระดับโลกมาปักหลักตั้งสำนักงาน

เมื่อต้นปี 2023 ที่ผ่านมา Nora Abu-Bakar บรรณาธิการ Penguin Random House ได้ตอบคำถามสัมภาษณ์ถึงการบริโภคหนังสือว่า ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หนังสือวรรณกรรมโดยเฉพาะแนวโรแมนติกและแฟนตาซี ได้รับความนิยมมากขึ้นในกลุ่มนักอ่าน

Abu-Bakar ยังกล่าวว่าโซเชียลมีเดียเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดหนังสือโตขึ้น และยิ่งมีกระแสรีวิวหนังสือผ่านอินสตาแกรมและ BookTok (กลุ่มผู้รักหนังสือใน TikTok) ร้านหนังสือบางร้านถึงขั้นอุทิศมุมหนึ่งให้แก่หนังสือที่ได้รับการรีวิวจากทั้งสองแพลตฟอร์มใหญ่นี้  

นอกจากข้อมูลที่ว่า สมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทยยังกล่าวถึงตลาดหนังสือในไทยว่าจำนวนปกที่สำนักพิมพ์ไทยทั้งประเทศผลิตขึ้นมาในปี 2022 นั้นน้อยกว่าปี 2021 แต่มูลค่าตลาดกลับสูงกว่าปี 2021 ทั้งยอดขายหนังสือจากงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติปี 2023 นั้นยังทำยอดขายไปได้สูงถึง 350 กว่าล้านบาท ถือว่าตลาดหนังสือในไทยพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น

จากหลายเหตุผลที่สะท้อนถึงศักยภาพของตลาดเป็นเหตุผลให้ Andrew Nurnberg Associates, Bangkok (ANA Bangkok) ตัดสินใจตั้งออฟฟิศหลักในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถึง 2 ประเทศ นั่นคือในไทยและเวียดนาม โดยสำนักงานในไทยจะดูแลตลาดหนังสือทั้งในประเทศอินโดนีเซีย และมองโกเลียด้วย

“เอเจนซีหนังสือทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเจรจาซื้อ-ขายลิขสิทธิ์หนังสือระหว่างเจ้าของลิขสิทธิ์หรือนักเขียนกับสำนักพิมพ์ เอเจนซีทำให้การซื้อ-ขายลิขสิทธิ์ระหว่างสองฝั่งเกิดได้ง่ายขึ้น สำนักพิมพ์ไม่ต้องกังวลกับรายละเอียดยิบย่อยก่อนที่จะได้ลิขสิทธิ์ในการผลิตหนังสือมา นอกจากนี้งานของนักเขียนในสังกัดของเอเจนซีแต่ละบริษัท ก็จะได้ถูกใจผู้อ่านมากขึ้น หากเอเจนซีเข้าใจกลุ่มเป้าหมายของแต่ละสำนักพิมพ์เป็นอย่างดี”  วีระวัฒน์ เตชะกิจจาทร ผู้อํานวยการสํานักงาน ANA ประเทศไทยกล่าว

ปัจจุบันเอเจนซีลิขสิทธิ์หนังสือสัญชาติไทยมีเพียง 2-3 เจ้า ขณะที่เอเจนซีหนังสือวรรณกรรมสัญชาติอื่นซึ่งมีออฟฟิศหลักตั้งอยู่ที่ต่างประเทศอาจเสิร์ฟหนังสือได้ไม่ตรงความต้องการของหนอนหนังสือชาวไทย การตัดสินใจตั้งออฟฟิศในไทยของ ANA จึงทำให้วีระวัฒน์คาดว่า ANA จะเติบโตและเสิร์ฟความต้องการของผู้อ่านชาวไทยได้ดี

“สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจของตลาดหนังสือในไทยคือหนังสือแนว self-help book นั้นกำลังมาแรง ส่วนในเวียดนามที่ ANA ก็เพิ่งเปิดสาขาเช่นกันนั้นมีประเด็นที่แตกต่าง คือในเวียดนาม ตลาด audio book โตมากกว่าประเทศเพื่อนบ้าน การซื้อ-ขายลิขสิทธิ์การแปลของเราและเวียดนามจึงแตกต่างกันไปด้วย

“ANA เป็นสำนักงานเอเจนซีลิขสิทธิ์หนังสือเจ้าใหญ่ที่มีสาขาอยู่ทั่วโลก เราจึงมีนักเขียนที่มีฝีมืออยู่เยอะพอสมควร และมีหนังสือดีๆ หลายเล่มทีเดียวที่ยังไม่ถูกนำเสนอ ผมจึงอยากคัดสรรหนังสือในมือที่มีอยู่มานำเสนอให้ตรงกับความต้องการของสำนักพิมพ์ไทยมากที่สุด” 

ตลาดหนังสือแปลจึงเป็นอีกหนึ่งตลาดที่น่าจับตามอง ไม่ใช่ในแง่ของการนำเอาหนังสือต่างประเทศมาแปลอย่างเดียว แต่รวมไปถึงการส่งออกหนังสือคุณภาพดีของคนไทยไปสู่ประชากรโลกด้วย นอกจากนั้น ยังน่าสนใจว่าการตั้งออฟฟิศในไทยโดยตรงของ ANA จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้เอเจนซีได้มากแค่ไหน

อ้างอิง 

9 เรื่องไม่ลับฉบับ Royal Canin และก้าวต่อไปในยุคที่ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงเติบโตแบบก้าวกระโดด

มองไปทางซ้าย เห็นรถเข็นแมว มองไปทางขวา เห็นคนจูงน้องหมา ไม่ว่าจะอยู่สถานที่ on ground หรือ on cloud เราแทบจะอยู่ในสังคมที่ทุกคนผันตัวมาเป็นพ่อหมาแม่แมวกันหมดแล้ว ถึงบางคนจะไม่มีโอกาสได้เลี้ยง แต่ก็ปวารณาตนเป็นทาสอินฟูลเอนเซอร์สี่ขากันไปหมด!

ความนิยมเลี้ยงสัตว์ของผู้คนที่มากขึ้นเรื่อยๆ และพฤติกรรมการเลี้ยงที่เริ่มเปลี่ยนจากเลี้ยงไว้เฝ้าบ้าน มาเลี้ยงเพื่อเป็นลูกจริงๆ นี้เองที่ทำให้ตลาดอาหารสัตว์ค่อยๆ โตขึ้นเรื่อยๆ ผู้เล่นรายใหญ่รายน้อยต่างก็สาวเท้าเข้ามาในวงการที่คนเคยมองข้าม 

ถ้าเป็นแต่ก่อน เชื่อว่า ‘Royal Canin’ แบรนด์อาหารน้องแมวน้องหมาสัญชาติฝรั่งเศสน่าจะเป็นหนึ่งในแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงที่คนนึกถึง เชื่อถือ และมั่นใจด้านคุณภาพ เพราะถือเป็นแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงเกรดซูเปอร์พรีเมียมเกรดแรกๆ ในไทย ในวันที่ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงยังไม่เติบโตขนาดนี้

ย้อนกลับมาที่ปัจจุบัน ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงไม่ได้มีแค่อาหารเกรดอีโคโนมี เกรดแมส และเกรดซูเปอร์พรีเมียมอีกต่อไป เราเริ่มได้ยินคำเรียกอาหารประเภทต่างๆ สอดคล้องกับความคิดความเชื่อในการเลี้ยงสัตว์ของแต่ละคนมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะคำว่า ‘โฮลิสติก’ คำว่า ‘เกรนฟรี’ และคำว่า ‘บาร์ฟ’ 

ในห้วงเวลาที่ผู้เล่นรายใหม่ๆ กระโดดเข้ามาในตลาดนี้มากขึ้น บวกกับพ่อหมาแม่แมวก็รักที่จะลองและสรรหาของที่เชื่อว่าดีที่สุดมาให้ลูกๆ สี่ขา คำถามที่เราสงสัยจึงคือ Royal Canin ประเทศไทย จะรักษาตำแหน่งอาหารในดวงใจทาสหมาทาสแมวยังไงบ้าง และกลยุทธ์ทางการตลาดแบบใดที่จะทำให้ Royal Canin อยู่ได้อย่างยั่งยืน ไม่ล้มหายตายจากไปตามเทรนด์การเลี้ยงสัตว์ที่อาจชะลอตัว

น.สพ.จดล สุวรรณฤทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โรยัล คานิน (ประเทศไทย) จำกัด คนไทยคนแรกที่เป็น Managing Director ของ Royal Canin ประเทศไทย และอยู่กับ Royal Canin มานานกว่า 15 ปี จึงจะพาเราไปเรียนรู้ 9 เรื่องไม่ลับ ที่ทำให้ Royal Canin อยู่ได้อย่างยั่งยืนเหมือนแมว 9 ชีวิต

1. อาหารสูตรแรกของ Royal Canin คิดค้นโดยสัตวแพทย์ชาวฝรั่งเศส 

ย้อนกลับไปเมื่อปี 1968 นายสัตวแพทย์ชาวฝรั่งเศส ฌอง คาทารี (Jean Cathary) เริ่มต้นคิดค้นอาหารสัตว์ด้วยตนเองจากเคสน้องหมาพันธุ์เยอรมันเชพเพิร์ดตัวหนึ่งที่ไม่ว่าจะรักษาด้วยวิธีไหนก็ไม่หายจากโรคผิวหนัง 

“คุณหมอจึงเริ่มคิดว่า you are what you eat และซักประวัติการกินของหมาตัวนั้น ปรากฏว่าน้องหมาได้รับโภชนาการไม่เหมาะสม อาหารสูตรแรกที่คิดค้นขึ้นมาคืออาหารที่ช่วยให้ผิวหนังกับขนแข็งแรง” หมอจดลย้อนเล่าถึงต้นกำเนิด 

เมื่อแบรนด์เริ่มเติบโต เมื่อทีมวิจัยเริ่มใหญ่ขึ้น Royal Canin ก็เริ่มคิดย้อนกลับไปว่าโภชนาการแบบไหนที่จะลดโอกาสการเกิดโรคได้บ้าง ขณะเดียวกันก็เริ่มคิดค้นอาหารสูตรอื่นๆ สำหรับประกอบการรักษาโรคอย่างอาหารสูตรโรคนิ่ว โรคตับ โรคไต โรคหัวใจ โรคอ้วน 

“อาหารกลุ่มประกอบการรักษาถือเป็นจุดแข็งของแบรนด์ เพราะมันสะท้อนให้เห็นถึงจุดเริ่มต้นของ Royal Canin ที่อยากให้น้องแมวน้องหมาหายป่วยและกลับมามีชีวิตที่ดี” 

หมอจดลเล่าเมื่อเราเผยประสบการณ์ส่วนตัวในฐานะของคนเลี้ยงสัตว์ ที่ไม่ว่าจะมีอาหารรูปแบบใหม่ๆ มาล่อตาล่อใจมากแค่ไหน แต่เมื่อลูกน้อยสี่ขาป่วยเมื่อไหร่ เราเองและพ่อหมาแม่แมวหลายบ้านก็ต้องกลับไปหา Royal Canin

2. Royal Canin มีสูตรอาหารน้องหมาน้องเหมียวรวมกันมากกว่า 750 สูตร!

อ่านไม่ผิด! คุณหมอยืนยันว่ามีสูตรอาหารมากกว่า 750 สูตรจริงๆ 

เพราะเมื่อจุดเริ่มต้นของ Royal Canin นั้นเกิดจากความรักและวิทยาศาสตร์ หลักการแตกไลน์ผลิตภัณฑ์จึงมีตั้งแต่ A Better World for Pets, Cats and Dogs First, Science Behind Nutrition จนถึงในปัจจุบันอย่าง Health Through Nutrition  หรือการสร้างสุขภาพที่ดีผ่านโภชนาการที่ถูกต้องเหมาะสม  

นั่นทำให้อาหารของ Royal Canin แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรกคือกลุ่มอาหารสายพันธุ์ที่วิจัยมาแล้วว่าโภชนาการเหมาะสมและมีทั้งอาหารเม็ดที่สอดรับกับกายภาพช่องปาก และอาหารเปียกที่เหมาะสมกับสุขภาพและการดูแลพิเศษ

“เรามีทีมวิจัยแต่ละสายพันธุ์ที่สำนักงานใหญ่ประเทศฝรั่งเศสเลย อย่างเปอร์เซียนั้น การศึกษาวิจัยพบว่าเปอร์เซียเป็นแมวสายพันธุ์หน้าสั้น กายภาพปากจะจับอาหารเม็ดกลมได้ยาก ถ้าเขาทานอาหารเม็ดกลม อาหารก็อาจจะหลุดออกมาข้างปากจนทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดและไม่อยากกิน อาหารเม็ดเปอร์เซียของเราเลยเป็นเม็ดกลมเรียวทรงรักบี้เพื่อให้กายภาพเขาจับเม็ดอาหารได้ดีขึ้น

“ตรงข้ามกับพันธุ์วิเชียรมาศที่มีโครงหน้าสามเหลี่ยม และกินอาหารด้วยวิธีงับอาหารเข้าปาก เม็ดอาหารทรง tube เลยจะช่วยให้เขากินได้ง่ายกว่าและช่วยชะลอให้เขากินไม่เร็วจนเกินไป”

กลุ่มที่ 2 คือกลุ่มอาหารที่เหมาะกับช่วงวัยและกิจกรรม เช่น อาหารสำหรับลูกหมาลูกแมวที่มีโภชนาการสูงเหมาะแก่การเจริญเติบโต อาหารสำหรับหมาแมวเลี้ยงในบ้านที่ทำกิจกรรมน้อย จึงมีปริมาณไขมันต่ำเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำหนักเกิน และมีสารอาหารที่ช่วยลดกลิ่นอึ 

และกลุ่มที่ 3 คือกลุ่มประกอบการรักษาโรคซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของ Royal Canin 

3. Royal Canin มีอาหารสูตรสายพันธุ์ ‘ทิเบตัน มาสทิฟฟ์’ ที่ทั้งโลกมีจำนวนประชากรเพียงหลักพัน

จากอาหารกว่า 750 สูตรในข้อที่แล้ว ลูกค้าบางกลุ่มอาจมองในเชิงบวกว่าแบรนด์ใส่ใจกับสัตว์เลี้ยงจริงๆ แต่อีกทางหนึ่งก็อาจส่งผลทางลบว่าสูตรอาหารที่เยอะขนาดนี้ผลิตขึ้นมาเพื่อการตลาดหรือเปล่า 

“เอาจริงๆ มันเป็น commercial ไม่ได้เพราะจำนวนของน้องหมาน้องแมวบางสายพันธุ์ไม่ได้เยอะมากในระดับที่จะสร้างกำไรขนาดนั้น อย่างทิเบตัน มาสทิฟฟ์ เขาเป็นสายพันธุ์ที่ต้องการโภชนาการเฉพาะเจาะจง เพราะน้ำหนักตัวเต็มที่ประมาณ 70 กิโลกรัม วันหนึ่งๆ เขาต้องกินอาหารเกือบ 1 กิโลกรัม โอกาสที่จะเกิดปัญหาโครงสร้าง ปัญหาน้ำหนักตัวเกินจึงเกิดขึ้นได้มากกว่าพันธุ์อื่นๆ

“แม้ทั้งโลกจะมีคนเลี้ยงพันธุ์นี้แค่หลักพันกว่าตัว แต่ Royal Canin ก็ยังผลิตสูตรนี้ขึ้นมาเพราะเรามองว่ามันจำเป็น” หมอจดลอธิบาย

4. คอลเซนเตอร์ของ Royal Canin มีลูกค้าคนเดิมโทรมาปรึกษาเรื่องอาหารน้องหมาทุกวัน 

นอกจากอาหารจะต้องเหมาะสมแล้ว Royal Canin เน้นส่งมอบความรู้ให้ทั้งผู้เพาะพันธุ์ ร้านขายอาหารสัตว์ และคุณหมออย่างจริงจังผ่านการเทรนและการทำงานวิจัยร่วมกัน เพราะ Royal Canin เน้นมอบความรู้ให้ทุกคนใน ecosystem นี้ เพื่อทำให้เกิดความเข้าใจเรื่องอาหารสัตว์ ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์การตลาดข้อสำคัญที่ทำให้ภาพลักษณ์ของ Royal Canin แข็งแรง

“ผมมีเพื่อนคนนึงเลี้ยงบูลมาสทิฟฟ์ซึ่งน้ำหนักตัวเต็มที่จะ 70-80 กิโลกรัม เขาให้กินเนื้อออสเตรเลียทุกวัน ปรากฏว่าพอโตขึ้นมาแล้วขาแอ่นซึ่งแก้อะไรไม่ได้แล้ว ผมถามว่าทำไมถึงให้เนื้อออสเตรเลียแทนอาหารสัตว์ เขาบอกว่าเขาคิดว่ามันดีที่สุด แต่จริงๆ แล้วเนื้อมีปริมาณฟอสฟอรัสสูงถึง 3 เท่าซึ่งมีผลทำให้กระดูกไม่บาลานซ์ 

“ปัญหาวันนี้จึงไม่ใช่ว่า Royal Canin ราคาสูง หรืออาหารเม็ดทั่วไปราคาสูง และไม่ใช่ว่าคนเลี้ยงไม่มีความรู้ แต่ความรู้ที่ได้รับมาอาจจะไม่ถูกต้อง ผมเลยมองว่าเราไม่ใช่แค่แบรนด์ที่ขายแต่อาหารน้องแมวน้องหมาแต่เรามีหน้าที่ในการให้ความรู้ที่ถูกต้องด้วย”

นอกจากการให้ความรู้กับพาร์ตเนอร์แล้ว แบรนด์ยังเน้นให้ความรู้โดยตรงกับลูกค้าผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ เรื่องที่น่าสนใจคือทีมวิชาการของ Royal Canin นั้นได้รับคำปรึกษาจากลูกค้าจำนวนมาก ตั้งแต่ภาพไม้บรรทัดวัดขนาดเม็ดอาหารเพื่อสอบถามว่าทำไมขนาดอาหารเม็ดไม่เท่ากัน ไปจนกระทั่งลูกค้าที่โทรถามว่าทำไมวันนี้น้องหมากินน้อยกว่าปกติ

“มีลูกค้าคนนึงโทรมาหาฝ่ายวิชาการของเราเวลาเดิม ทุกวัน แล้วแกก็นั่งนับจำนวนเม็ดอาหารที่หมากินในแต่ละวันด้วย” หมอจดลเล่าเคสสุดน่ารักเคสนี้ให้ฟังพลางหัวเราะ 

5. ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงเปลี่ยนไป ความท้าทายของ Royal Canin ก็เปลี่ยนแปลง

แม้คุณหมอจะเข้ามาทำงานที่ Royal Canin ประเทศไทยได้ 15 ปี แต่ก่อนหน้านั้นคุณหมอคลุกคลีกับแวดวงอาหารสัตว์มานานกว่า 13 ปีแล้ว ถ้าจะถามความเป็นไปของตลาดอาหารสัตว์ในประเทศไทยในแต่ละยุคที่เปลี่ยนผ่าน หมอจดลก็ถือเป็นแหล่งข่าวชั้นเยี่ยม

“ยุคแรกๆ ของตลาดอาหารสัตว์คือยุคที่คนไทยยังไม่มีความรู้ในการเลี้ยงมากนัก ส่วนใหญ่เขาไม่ได้เลี้ยงสัตว์เป็นลูก แต่เลี้ยงหมาเพื่อเฝ้าบ้าน เลี้ยงแมวแบบปล่อยๆ 95% ของอาหารที่หมาแมวได้กินก็คือข้าวคลุกเศษอาหารเหลือ อาหารสำเร็จถือว่าราคาสูง เรียกว่าเป็นยุคที่ความรู้เรื่องการเลี้ยงสัตว์ยังน้อย สิ่งที่แบรนด์อาหารสัตว์ต้องทำในยุคนั้นจึงคือการให้ความรู้ว่าอาหารสำเร็จมันดีต่อสุขภาพยังไง”

แต่เมื่อคนเริ่มมีความรู้ แน่นอนว่าอาหารสัตว์แบรนด์อื่นๆ ต่างก็ตบเท้าเข้ามาในตลาดไทย แต่เพราะอาหารสำเร็จนั้นมีหลายเกรด แต่ละเกรดมีราคาที่แตกต่างกัน หมอจดลจึงเรียกว่ายุคนี้คือยุค Distribution Expansion และทำการตลาดโดยเน้นให้ความรู้แก่พาร์ตเนอร์

“Royal Canin ไม่วางขายในโมเดิร์นเทรด เพราะเรามีสูตรอาหารมากกว่า 750 สูตร ถ้าไปวางเฉยๆ โดยไม่มีคนคอยแนะนำ ลูกค้าไม่ซื้อหรอก ตอนนั้นผมเลยเน้นกระจายสินค้า เข้าไปเทรนร้านขายอาหารสัตว์ที่ไม่ค่อยมีระบบ ตั้งแต่สอนการจัดวางสินค้าให้เหมาะกับการถนัดขวาของคนไทย การจัดสินค้าแบบแยกประเภท 

“นอกจากนั้น ยังเทรนคุณหมอตามคลินิกว่าถ้าหมาแมวป่วยควรจะใช้อาหารสูตรไหนประกอบการรักษา จนปัจจุบันเรามีพาร์ตเนอร์คลินิกมากกว่า 1,500 แห่ง และร้านขายอาหารสัตว์อีก 1,200 ร้านทั่วประเทศ”

มาถึงยุคที่ 3 ซึ่งเป็นยุคปัจจุบัน คุณหมอบอกว่านี่คือยุคดิจิทัลที่ Royal Canin ต้องปรับตัวหลายแบบ ทั้งเริ่มพัฒนาแอพพลิเคชั่น Royal Canin Club (RC Club) เพื่อเก็บข้อมูลลูกค้า มีการเทรนให้หมอ คลินิก ผู้เพาะพันธุ์ผ่านช่องทางออนไลน์ รวมถึงทำการตลาดผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียเพื่อสื่อสารกับลูกค้าโดยตรง เพราะธุรกิจนั้นเริ่มเปลี่ยนแปลงจาก B2B เป็น B2C มากขึ้น

 “ยุคนี้คือยุคที่ต้องใช้การตลาดออนไลน์เพื่อให้ลูกค้าเกิด awareness หรือความตระหนักรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงดูที่ถูกต้อง เช่น ถ้าป่วยหรือตั้งท้องต้องเปลี่ยนอาหารนะ ปริมาณโปรตีนที่สูงดีต่อหมาและแมวจริงหรือเปล่า กระทั่งแคมเปญ Take Your Pet to The Vet เพื่อกระตุ้นให้เจ้าของพาน้องหมาน้องแมวไปตรวจสุขภาพประจำปี 

“พอสร้าง awareness เสร็จ เราก็ต้องพัฒนาให้ลูกค้าเข้าถึงสินค้าของเราได้ง่ายขึ้น ตอนนี้ Royal Canin จึงมี online official store ใน Lazada, Shopee และมี distribution outlet มากขึ้น รวมถึงพัฒนาระบบแอพพลิเคชั่น ให้คุณหมอสั่งอาหารสัตว์ป่วยให้ลูกค้าได้โดยตรง แทนที่เจ้าของแมวที่ป่วยเป็นโรคไตต้องมารับอาหารที่คลินิกทุกเดือน คุณหมอก็สามารถสั่งอาหารผ่านแอพพลิเคชั่นไปส่งถึงบ้านลูกค้าได้เลย” หมอจดลอธิบายถึงยุคสมัยที่เปลี่ยนผ่าน และวิธีการปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย

6. สายพันธุ์น้องหมายอดนิยมในไทยคือปอมเมอเรเนี่ยน ส่วนสายพันธุ์น้องแมวยอดนิยมคือเปอร์เซีย!

คุณภาพอาหารคือสิ่งที่ Royal Canin ให้ความสำคัญที่สุดก็จริง แต่การพัฒนาธุรกิจให้เติบโตและตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างตรงจุดต้องมาจากการวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก การเก็บสถิติและข้อมูลต่างๆ จึงเป็นหน้าที่ที่ Royal Canin ทุกประเทศต้องทำอยู่เสมอ เพราะปลายทางของข้อมูลคือการสร้าง ecosystem ให้กับธุรกิจ 

การเก็บข้อมูลของ Royal Canin นั้นมีหลากหลายรูปแบบ หนึ่งในวิธีการเก็บข้อมูลอันชาญฉลาดคือการพัฒนาแอพพลิเคชั่น RC Club ที่ปัจจุบันมีเหล่าทาสหมาทาสแมวดาวน์โหลดไปแล้วกว่า 600,000 คน และมีโปรไฟล์สัตว์เลี้ยง 300,000 โปรไฟล์ ภายใน 3 ปี คุณหมอยังตั้งเป้าหมายว่าภายในปี 2025 จะต้องมีคนดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นรวม 1 ล้านคน และมีโปรไฟล์สัตว์เลี้ยง 500,000 โปรไฟล์

“เราอาจจะเห็นว่าคนกลับมาเลี้ยงโกลเดนรีทรีฟเวอร์กันเยอะขึ้น แต่สายพันธุ์น้องหมายอดนิยมกลับเป็นสายพันธุ์เล็กและกลางอย่างปอมเมอร์เรเนี่ยน ชิวาว่า และเฟรนช์บูลด็อก ส่วนสายพันธุ์น้องแมวที่คนเลี้ยงมากที่สุดยังคงเป็นเปอร์เซีย แม้คนจะนิยมเลี้ยงสก็อตติช, บริติช, เมนคูนมากขึ้นก็ตาม

“แอพพลิเคชั่นยังบอกเราได้อีกว่าคนเลี้ยงส่วนใหญ่คือวัยทำงาน รองลงมาคือคนอายุ 40 ปีขึ้นไป ส่วนวัยที่มาแรงคือวัยเรียน นอกจากนั้น ยังบอกได้อีกว่าแมวในแอพฯ ส่วนใหญ่เป็นโรคไตและนิ่วกันมากที่สุด ส่วนน้องหมาก็มักจะเป็นโรคไตและโรคผิวหนัง”

ที่สามารถรวบรวมจำนวนสัตว์เลี้ยงในแอพฯ ได้เยอะขนาดนี้ เพราะ Royal Canin ดึงดูดลูกค้าด้วยการแจกตัวอย่างอาหารฟรีเมื่อดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น นอกจากได้ข้อมูลมาใช้ในการวิเคราะห์ ยังได้กลุ่มลูกค้าใหม่ๆ อีกด้วย

“ในแอพพลิเคชั่นเรามีกิจกรรมให้เจ้าของทำเยอะมาก เช่นพอครบวันเกิดก็จะมี Happy Birthday Voucher ส่งไป ทุกๆ การซื้อเขาก็จะเข้าไปเก็บพอยต์เอาไปแลกของรางวัลได้ นอกจากนั้นเรายังให้ความรู้เกี่ยวกับสายพันธุ์หรือช่วงอายุของเขาได้ด้วย”

การแจกตัวอย่างอาหาร การเก็บข้อมูลผ่านแอพพลิเคชั่น การสื่อสารโดยตรงกับลูกค้า รวมถึงการสร้างความตระหนักรู้เรื่องสุขภาพของสัตว์เลี้ยงตรงนี้เองที่ทำให้คนที่มีศักยภาพจะเป็นลูกค้ารู้สึกเชื่อมั่น และกลายมาเป็นกลุ่มลูกค้ารอยัลตี้ของ Royal Canin ในที่สุด

7. Vet Service ถือเป็น AI ตัวแรกๆ ที่ Royal Canin พัฒนาเพื่อช่วยในการวินิจฉัยโรค!

Royal Canin อยู่ภายใต้บริษัท Mars Petcare ที่นอกจากจะทำธุรกิจอาหารสัตว์ ยังมีธุรกิจโรงพยาบาลสัตว์ที่ในอนาคตมีแผนจะขยายเข้ามาในประเทศไทยด้วย การเก็บข้อมูลเพื่อสร้าง pet ecosystem ที่ทำให้แต่ละธุรกิจของ Mars เข้าไปอยู่ในทุกช่วงชีวิตของสัตว์เลี้ยงได้จึงสำคัญกับธุรกิจมาก 

นอกจากจะทำให้รู้อินไซต์ของลูกค้า รู้เทรนด์ตลาดอาหารสัตว์ ก็ยังสามารถนำข้อมูลเหล่านั้นมาสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ทำให้แบรนด์กลายเป็นผู้นำในตลาดนี้ได้อย่างแท้จริง ตัวอย่างที่ทำให้เข้าใจคำว่า pet ecosystem ได้ดีคือ Vet Service หรือ AI ช่วยวินิจฉัยโรคที่ Royal Canin พัฒนาขึ้นจากฐานข้อมูลที่มี

“เมื่อเจ้าของพาน้องหมาน้องแมวไปพบคุณหมอ คุณหมอก็ซักประวัติ แล้วใส่ข้อมูลเข้าไปใน Vet Service จากนั้น AI จะวิเคราะห์เบื้องต้นว่าน้องหมาน้องแมวตัวนี้น้ำหนักเกินไหม โรคที่มีโอกาสจะเป็นคืออะไร ทำให้คุณหมอโฟกัสได้ง่ายขึ้น จากนั้น AI จะสามารถแนะนำสูตรอาหารที่เหมาะสมกับน้องหมาน้องแมวตัวนั้นรวมถึงปริมาณอาหารต่อวันที่ควรกิน ทำให้คุณหมอติดตามอาการได้ง่ายขึ้น”

ตอนนี้ Vet Service กระจายไปยังคลินิกกว่า 300 แห่งทั่วไทย และจากงาน Pet Expo ปี 2566 ครั้งล่าสุดนี้ก็มีน้องหมาน้องแมวทดลองใช้ AI ในงานไปแล้วกว่า 350 ตัวภายใน 4 วัน 

“เรายังเก็บข้อมูลมูลของน้องหมาน้องแมว เพื่อเตรียมพัฒนาเทคโนโลยีที่ช่วยวินิจฉัยรูปร่างของมูลที่ดีและไม่ดีได้ด้วย”  

8. ความรักที่มีต่อน้องหมาน้องแมวคือแรงจูงใจสำคัญในการทำงานของทีม Royal Canin

  ได้ชื่อว่าเป็นหมอ เชื่อว่าอย่างน้อยๆ ก็ต้องรักสัตว์อยู่แล้ว แต่สำหรับหมอจดล มากกว่าอยากให้สัตว์หายป่วย เป้าหมายตั้งแต่เด็กของเขายังคือการได้ทำงานที่ช่วยพัฒนาให้สัตว์ทุกตัวมีสุขภาพดี 

“ผมรู้ตัวเองว่าอยากเป็นสัตวแพทย์มาโดยตลอด แต่พอเรียนจบจากคณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ผมก็หันมาเป็นเซลส์ที่ทำเกี่ยวกับโภชนาการอาหารสัตว์ เพราะผมคิดว่าเป็นหมอได้ช่วยหมาแมวได้หลักหมื่น แต่ถ้าเราทำเรื่องโภชนาการ ผมน่าจะช่วยหมาแมวได้เป็นล้าน” 

ปัจจุบันคุณหมอทำงานที่ Royal Canin ประเทศไทยมานานกว่า 15 ปี และได้เข้าใจว่าคนที่จะอยู่กับ Royal Canin ได้นั้น จะต้องเป็นคนที่มีแพสชั่นกับวงการนี้จริงๆ เช่นเดียวกับที่คุณหมอใช้มันขับเคลื่อนชีวิตการทำงานในตลาดอาหารสัตว์มาโดยตลอด

“แต่ก่อนออฟฟิศเรามีกันแค่ 25 คนเอง”​ หมอจดลเล่า “แต่พอตอนนี้เราเป็นองค์กรที่ใหญ่ขึ้น มีพนักงานรวม 100 คน การบริหารคนก็เป็นเรื่องสำคัญ สิ่งที่ผมพูดกับทีมเสมอคือถ้าไม่คุยกันแล้วงานไม่เดิน หมาแมวไม่ได้กินอาหารนะ 

“สำหรับ Royal Canin การทำให้ธุรกิจมันกำไรเป็นสิ่งที่ต้องทำอยู่แล้ว แต่มากกว่ากำไรขาดทุนความรักและแพสชั่นของทีมยังสำคัญในการขับเคลื่อนการทำงานด้วย ในปีหนึ่งๆ เราไม่ได้ดูแค่ว่าเราได้กำไรเท่าไหร่อย่างเดียว แต่สิ่งที่พนักงานภูมิใจคือปีนี้เรามีน้องหมาน้องแมวกิน Royal Canin เพิ่มขึ้นกี่แสนตัว ปีนี้เขามีส่วนช่วยให้น้องหมาน้องแมวมีสุขภาพที่ดีได้อยู่กับเจ้าของไปได้นานๆ เยอะแค่ไหน

“ถ้าไปเดิน Pet Expo จะเห็นว่าคนที่อยู่ในบูทของเราคือทีมงานเราเองทั้งหมด เพราะการได้ไปคุยกับลูกค้ามันได้ทั้งข้อมูลและกำลังใจในการทำงาน อย่างผมเองก็ไปตลอดแล้วก็ใช้เวลานานมากกว่าจะได้ขายได้สักถุงนึง เพราะเราไปคุยซะเยอะ ให้ข้อมูลซะเยอะ” 

9. GDP ของตลาดอาหารสัตว์จะโตกว่า GDP ประเทศ 1-2% เสมอ

คนนอกวงการอาหารสัตว์อาจเพิ่งเห็นโอกาสของธุรกิจในแวดวงนี้จากช่วงโควิด-19 ที่คนนิยมเลี้ยงสัตว์แก้เหงา และเลี้ยงสัตว์เป็นลูกกันมากขึ้น แต่สำหรับหมอจดล ผู้ที่คร่ำหวอดในวงการนี้มานานกว่า 30 ปี ตลาดอาหารสัตว์นั้นมีโอกาสให้เติบโตมาตั้งแต่อดีต

“ไม่เคยมีปีไหนที่ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงจะโตต่ำกว่า GDP ของประเทศ ความหมายก็คือถ้า GDP ประเทศคือ 2% ตลาดอาหารสัตว์จะโต 3-4% และยิ่งเป็นอาหารกลุ่มซูเปอร์พรีเมียมแบบ Royal Canin ก็จะโต 5-6%

“ยิ่งช่วงโควิดตลาดมันโต 10-11% คนจึงเริ่มเห็นว่าตลาดนี้มันน่าเล่นบวกกับการทำแบรนด์ก็ไม่ยาก เลยกระโดดเข้ามากันเยอะ ใครเข้ามาก็โต ถ้าไม่โตต้องถามตัวเองแล้วว่าทำอะไรผิดไปไหม แต่หลังจากโควิด-19 ที่คนเริ่มรับเลี้ยงสัตว์กันน้อยลง ตลาดอาหารสัตว์ก็จะเริ่มชะลอตาม และปีหน้าจะเป็นตัวชี้วัดว่าใครจะอยู่ใครจะไป หรือกลยุทธ์การตลาดที่ใช้อยู่มันเวิร์กจริงไหม

“สำหรับ Royal Canin ที่เราเป็นตัวนำอัตราการเจริญเติบโตของ GDP และเราอยู่ท็อปของพีระมิด เราไม่สามารถที่จะรอให้ตลาดโตแบบแบรนด์อื่นๆ ถึงจะมาดึงคนให้ซื้อได้ แต่เรามองว่าเราต้องสร้างตลาดนี้ขึ้นมาเองผ่านการทำการตลาดที่เราเชื่อ

“นั่นก็คือการทำให้คนตระหนักถึงความสำคัญของการให้อาหารที่มีโภชนาการเหมาะสมผ่านการให้ความรู้ คอนเทนต์​ แคมเปญ และการเทรนพาร์ตเนอร์ เพื่อให้คนที่มีศักยภาพที่จะซื้อกลายมาเป็นลูกค้าของเราจริงๆ” หมอจดลทิ้งท้ายถึงเป้าหมายที่ตั้งใจ

What I’ve Learned
1. Royal Canin ไม่ใช่ธุรกิจ FMCG (Fast-Moving Consumers Goods) หรือกลุ่มธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นสำหรับชีวิตประจำวัน ชนิดที่ขายได้ง่าย เร็ว และขายได้อยู่เสมอ ดังนั้น แม้จะเป็นองค์กรนานาชาติ แต่แพสชั่นยังคงสำคัญในองค์กรนี้
2. เราไม่สามารถรอให้ตลาดโตด้วยตนเองได้ แต่เราต้องสร้างตลาดของเราขึ้นมาเอง 
3. ธุรกิจที่จะอยู่ได้อย่างยั่งยืนในกระแสตลาดที่ผันผวนคือธุรกิจที่มี core value แข็งแรง นั่นคือมีคุณภาพ มีจุดยืน และทำการตลาดอย่างไม่ฉาบฉวย

Beyond The Vines ไลฟ์สไตล์แบรนด์จากสิงคโปร์ของคู่รักที่สนุกกับการจับคู่สีและการออกแบบที่ดี

ตั้งแต่ต้นปี เทรนด์กระเป๋านุ่มฟูได้รับความนิยมอย่างมาก ไม่ว่าจะแบรนด์จากฝั่งยุโรป อเมริกา หรือเอเชีย จะต้องมีเจ้ากระเป๋าทรงนี้สักชิ้นในคอลเลกชั่น ไม่แปลกใจหากเราจะเห็นทั้งสายแฟ และคนรักกระเป๋าสะพายเจ้านุ่มฟูไปทุกสถานที่ 

กระเป๋าของ Beyond The Vines สตูดิโอออกแบบสัญชาติสิงคโปร์ก็เป็นอีกหนึ่งในแบรนด์ที่หลายคนอยากได้มาครอบครอง เพราะไม่เพียงแค่ดีไซน์สวย คู่สีดี แต่ยังทนทาน และจุของได้มาก ถูกใจเดอะแบกเป็นที่สุด

แม้ Beyond The Vines จะมีตัวชูโรงเป็นกระเป๋าหลากหลายคอลเลกชั่น แต่แบรนด์นี้ก็ไม่ได้ตั้งต้นจากการทำกระเป๋ามาก่อน และแม้ชาวไทยหลายคนจะเริ่มรู้จักสตูดิโอออกแบบสุดเก๋ในช่วงปีนี้ แต่ Beyond The Vines นั้นก่อตั้งขึ้นมาเกือบ 10 ปีแล้ว! 

Biztory ตอนนี้ จึงอยากพาทุกคนไปลงลึก 8 เรื่องเบื้องหลัง และเคล็ดลับความสำเร็จที่ทำให้ Beyond The Vines เติบโตได้อย่างยั่งยืน แถมยังขยายสาขาไปนอกสิงคโปร์ถึง 2-3 ประเทศแล้ว

1. ชื่อ ‘Beyond The Vines’ มาจากภาพยนตร์เรื่อง ‘The Place Beyond The Pines’

Beyond The Vines ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2015 โดยสองสามีภรรยาอย่าง Daniel Chew และ Rebecca Ting  ทั้งคู่เล่าว่าชื่อ ‘Beyond The Vines’ นั้นไม่มีอะไรซับซ้อน ทั้งสองได้ชื่อจากหนังที่ชื่นชอบมากอย่าง ‘The Place Beyond The Pines’ และขณะที่พูดถึงการทำแบรนด์กันอยู่ ทั้งคู่กำลังดื่มไวน์กัน 

เมื่อค้นหาคำว่า ‘vines’ ทั้งคู่ก็พบว่ามันมีความหมายแฝงที่หมายถึงเสื้อผ้า ชื่อ Beyond The Vines จึงเกิดขึ้นด้วยประการฉะนี้

2. แรกเริ่ม Beyond The Vines ไม่ได้ขายกระเป๋า!  

 แม้กระเป๋าของแบรนด์นี้จะขายดีและเป็นสินค้าที่ใครๆ ก็นึกถึง แต่แรกก่อตั้งทั้งคู่ตั้งใจทำเสื้อผ้าผู้หญิงขาย ทั้งยังตั้งใจขายให้คนต่างชาติ 

จากการเดินทางของทั้งคู่และการได้เห็นแบรนด์หลากหลายแดเนียลและรีเบกก้าไม่ได้อยากทำเสื้อผ้าที่มีฟังก์ชั่นไว้สวมใส่อย่างเดียว แต่ทั้งคู่อยากให้ Beyond The Vines เป็นสินค้าไลฟ์สไตล์ที่บ่งบอกตัวตนด้วย การจะทำเสื้อผ้าที่ดึงดูดใจคนสิงคโปร์หรือคนในท้องถิ่นที่จะเหมาะกับการใส่เดินแถวๆ บ้านจึงอาจไม่ค่อยตอบโจทย์ทั้งคู่เท่าไหร่

คอลเลกชั่นแรกของทั้งคู่มี 20 แบบและวางขายในเว็บไซต์เป็นหลัก ความตลกคือทั้งสองยังเอาริบบิ้นมาผูกคอมพิวเตอร์ แล้วหยิบกรรไกรมาตัดริบบิ้น เสมือนเปิดแบรนด์อย่างเป็นทางการ ไม่น่าเชื่อว่าจากวันที่ขายในโลกออนไลน์ ทุกวันนี้ทั้งคู่ได้เปิดร้านจริงใน 2-3 ประเทศแล้ว!

3. การพร้อมที่จะปรับตัวและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอเป็นหัวใจสำคัญ

“เราเป็นทีมที่เล็กมากและพร้อมเปิดรับการเปลี่ยนแปลง เพราะมองว่าธุรกิจเติบโตอยู่เสมอ และเราต้องเจอกับความท้าทายใหม่ๆ ทุกวัน การมองโลกในแง่ดีและปรับตัวเป็นสิ่งสำคัญ” รีเบกก้าว่าอย่างนั้น

การปรับตัวอย่างแรกคือการปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมในแต่ละประเทศ เพราะเมื่อแบรนด์เติบโต แน่นอนว่าการขยายไปต่างประเทศย่อมอยู่ในแผน และการจะเอาใจคนต่างประเทศได้นั้น ก็ต้องเข้าใจวัฒนธรรมของแต่ละที่ด้วย เช่น คนอินโดนีเซียนั้นเลี่ยงการสวมเสื้อแขนกุดก็เพราะศาสนา ต่างจากสิงคโปร์ที่ชอบใส่บราและเสื้อแขนกุดมากเพราะอากาศที่ร้อนอบอ้าว

การปรับตัวอีกข้อที่สำคัญ คือหลังจากแบรนด์เปิดตัวมาได้ 5 ปี ทั้งคู่ก็ตัดสินใจรีแบรนด์เมื่อปลายปี 2019 และเปิดตัวคอลเลกชั่นแคปซูลที่มีทั้งเสื้อผ้าผู้หญิง ผู้ชาย เครื่องแต่งกายอย่างกระเป๋า กระทั่งเครื่องเขียน สะท้อนว่าต่อจากนี้ Beyond The Vines ไม่ใช่แบรนด์เสื้อผ้าผู้หญิงแต่เป็นสตูดิโอออกแบบที่จะออกแบบสารพัดสิ่งมาแก้ปัญหาให้ทุกคน ซึ่งไอเดียการแตกขยายแบรนด์เสื้อผ้าไปเป็นแบรนด์สินค้าไลฟ์สไตล์ก็เป็นไอเดียที่หลายๆ แบรนด์ในปัจจุบันนำไปปรับใช้

“เราเชื่อว่านักออกแบบที่ดีที่สุดคือผู้แก้ปัญหา และการรีแบรนด์ครั้งนี้หมายความว่าเรากำลังออกแบบวิถีชีวิต” รีเบกก้าบอกอย่างนั้น 

4. Dumpling กระเป๋ารุ่นฮิตที่คนสิงคโปร์แทบทุกคนต้องมี!

เมื่อเดินไปตามถนนออร์ชาร์ดของสิงคโปร์ เชื่อว่าจะต้องเห็นคนสะพายเจ้า Dumpling ของ Beyond The Vines กันบ้าง เพราะกระเป๋าใบนี้ถือเป็นกระเป๋าที่ทำให้หลายคนรู้จักแบรนด์ก็ว่าได้

ที่จริงแล้ว Dumpling เวอร์ชั่นแรกออกมาในปี 2019-2020 พร้อมกับเสื้อผ้าคอลเลกชั่นแคปซูล ไอเดียตั้งต้นคือทั้งคู่มองว่าในช่วงการระบาดของโควิด-19 การซื้อเสื้อผ้านั้นแทบเป็นเรื่องไม่จำเป็น ผู้คนหันไปซื้อของแต่งบ้านและอุปกรณ์ไอทีมากกว่า นอกจากนั้น พอออกไปไหนไม่ได้ ผู้คนก็จะไม่มีโอกาสได้ลองเสื้อผ้า 

แต่เพราะต้องการรักษาทีมทุกคนเอาไว้ หลังจากครุ่นคิดอยู่นานว่าจะทำยังไง ทั้งคู่จึงคัดสรรสิ่งที่ผู้หญิงขาดไม่ได้และไม่จำเป็นต้องลองก็ซื้อได้ นั่นคือกระเป๋า แถมถ้าดีไซน์กระเป๋าที่บาลานซ์ระหว่างความเท่และความสบายได้ด้วยก็จะตอบโจทย์วิถีชีวิตช่วงนี้ได้ดี Dumpling จึงถือกำเนิดขึ้น

“เด็กอายุ 16 ปีและคนอายุ 60 ปีใช้กระเป๋าแบบเดียวกัน และไม่มีใครคิดว่ามันไม่เหมาะสมกับวัย การออกแบบที่ดีและเข้าถึงคนทุกวัยได้จึงเป็นหัวใจสำคัญของการออกแบบ”

หลังจากออก Dumpling ขนาด XS และ XL ทั้งหมด 3 สีที่ค่อนข้างแมตช์ง่าย ทั้งคู่ก็เริ่มสนุกกับการหาคู่สีใหม่ๆ มาดึงดูดใจสายแฟมากขึ้น จนปัจจุบันการใช้คู่สีที่ถูกใจคนทุกวัยก็กลายเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของแบรนด์ไปแล้ว

5. ‘สร้างสรรค์อย่างกล้าหาญ ออกแบบอย่างเรียบง่าย’ คอนเซปต์ของ Beyond The Vines

“เราเป็นแบรนด์เสื้อผ้าที่คุณใส่ได้ทุกวัน ถ้าเปรียบเทียบคือเราไม่ใช่วันสำคัญหรือวันพิเศษ แต่เราจะเป็นวันจันทร์ถึงศุกร์ของคุณเอง” รีเบกก้าบอก 

เป็นที่มาว่าปรัชญาการออกแบบของ Beyond The Vines คือความเป็นคู่และความเรียบง่ายซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมร่วมสมัย 

ความเข้าคู่กันที่ว่าก็สะท้อนผ่านคู่สีและลวดลายที่ออกแบบ และแม้หลายๆ คู่สีจะดูจี๊ดจ๊าด แต่ก็ยังสามารถใช้ในชีวิตประจำวันได้ หรือจะแต่งตัวสายแฟก็ได้ แบรนด์ของพวกเขาจึงเป็นแบรนด์ที่สร้างชื่อให้สิงคโปร์พอสมควร

6. ใช้โซเชียลอย่างชาญฉลาด 

ตั้งแต่วันแรก Beyond The Vines ก็ถือเป็นแบรนด์ที่เน้นขายในโซเชียลมีเดียมาตลอด แต่ที่เห็นว่าพวกเขาฉลาดใช้โซเชียลมีเดียจริงๆ ก็ตอนที่เกิดโรคระบาดนั่นแหละ

“ช่วงโควิดผู้คนไม่ได้เจอกัน ไม่ได้ออกไปไหน แต่เราไม่อยากตัดขาดจากลูกค้าและคอมมิวนิตี้ของเรา เราเลยตัดสินใจไลฟ์ในอินสตาแกรมซึ่งตอนนั้นยังไม่ค่อยมีใครนิยมใช้เท่าไหร่”

ทั้งคู่นั่งตอบคำถามลูกค้า พาทัวร์สตูดิโอผ่านไลฟ์ และเล่าถึงเบื้องหลังการออกแบบและฟังก์ชั่นของสินค้า นอกจากจะได้คุยกับลูกค้าตรงๆ ยังได้ฟีดแบ็กที่นำมาปรับใช้กับแบรนด์ได้

“สำหรับเรา โซเชียลมีเดียไม่ใช่แค่แพลตฟอร์มการตลาด ฉันคิดว่ามันเป็นสะพานเชื่อมระหว่างเรากับผู้บริโภคจริงๆ เรากำลังสื่อสารโดยตรงกับคอมมิวนิตี้อย่างแท้จริง”

เมื่อทั้งสองตัดสินใจรีแบรนด์ Beyond The Vines ก็กลายเป็นแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับการสื่อสาร การเขียนอธิบายสินค้า และทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์กลายเป็นเพื่อนที่จับต้องได้และอยากรู้จัก

7. ทีมที่ดีคือหัวใจสำคัญ

“เวลาลูกค้าคุยกับเราและพนักงานที่ร้าน ลูกค้าจะรู้สึกว่าทีมของเราดูอบอุ่นมาก แต่ทำไมแบรนด์ของเราดูเย็นชาและแพงแสนแพง เมื่อเรารีแบรนด์ เราจึงให้ทีมของเราออกหน้ากล้องมากขึ้นเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า และให้ลูกค้ารู้จักแบรนด์ในฐานะบุคคล”

ไม่เปลกใจหากเราจะเห็นทีมงานของแบรนด์เป็นดาราหน้ากล้องอยู่บ่อยๆ และจากคำกล่าวของรีเบกก้า ความสนุกสนานในคลิปไม่ใช่การแสดงแต่อย่างใด แต่เป็นวัฒนธรรมการทำงานของที่นี่จริงๆ

@beyondthevines

SG -> JP 🇯🇵 Daikanyama T-SITE 23.03.23 – 26.03.23 #beyondthevines

♬ original sound – EX7STENCE™

“ฉันพูดจากความเป็นมนุษย์ ฉันรู้สึกว่าเรามีวัฒนธรรมการทำงานที่ยอดเยี่ยม เราชอบที่จะมาทำงานและเราสนุกกับสิ่งที่เราทำมาก เมื่อไหร่ที่ลูกค้ามีฟีดแบ็กกลับมา เราก็จะรวมตัวกันเพื่อปรับปรุงมันไปพร้อมกัน บอกตามตรงว่าเราค่อนข้างเหมือนกันทั้งนอกและในจอ”

ที่จริงแล้วที่ทีมงานสนุกสนานกับการทำงานได้แบบนี้ ก็อาจเพราะผู้นำอย่างรีเบกก้าและแดเนียลนั้นดูแลพวกเขาเหมือนเพื่อนและคนในครอบครัว คอยให้คำแนะนำทั้งในเชิงการทำงานและการใช้ชีวิต นอกจากนั้นพวกเขายังอยู่เคียงข้างทีมงานเสมอแม้ในยามยาก

“ในทุกๆ สถานการณ์ผู้นำควรเป็นคนแรกที่เข้ามาและเป็นคนสุดท้ายเสมอ”​ รีเบกก้าบอก

8. การแบ่งเวลาให้เป็นคือสิ่งสำคัญของการทำงานกับครอบครัว

อย่างที่บอกว่า Beyond The Vines เป็นแบรนด์ของคู่สามีภรรยา ดังนั้นการทำแบรนด์ขึ้นมาด้วยกันโดยไม่แตกคอจึงต้องมีกฎเหล็กกันบ้างเพื่อให้แบรนด์ก็งอกเงย ความรักก็ยังคงงดงาม

“เมื่อเรากลับถึงบ้าน เราจะไม่คุยเรื่องงานกัน เราจะรับลูกชายที่โรงเรียนเพื่อไปสนามเด็กเล่น กินไอศครีม และทำเรื่องสนุกๆ กับพวกเขา 

“พอกลางคืน ฉันจะพาเด็กๆ เข้านอน จากนั้นก็อยู่คนเดียวในห้องของฉันประมาณครึ่งชั่วโมงหรือหนึ่งชั่วโมง และหลังจากนั้นฉันก็จะไปดูโทรทัศน์กับแดเนียล” รีเบกก้าบอกเคล็ดลับการสร้างแบรนด์ไปพร้อมๆ กับการสร้างครอบครัว

อ้างอิง

ภาพจาก : Beyond The Vines

10 ปีของ Aprilpoolday กับการเปิดแฟล็กชิปสโตร์ที่สะท้อนครีเอทีฟไลฟ์สไตล์ของสาวเพลย์ฟูล

แค่ก้าวเข้ามาในแฟล็กชิปสโตร์ของ Aprilpoolday แบรนด์ชุดว่ายน้ำในดวงใจของสาวๆ หลายคน ก็รู้สึกถึงความเพลย์ฟูลและความมีชีวิตชีวาที่บ่งบอกตัวตนและความชอบของ มิญช์–ลีลานันทน์ รณเกียรติ ซึ่งทำแบรนด์ Aprilpoolday มาเป็นระยะเวลา 10 ปีก่อนตัดสินใจเปิดร้านย่านสาทรแบบออฟฟิเชียล 

มิญช์รีโนเวตบ้านเก่าโดยจำลองให้มีสระว่ายน้ำอยู่หน้าร้านและตกแต่งบรรยากาศในสไตล์เรโทรแฝงความขี้เล่นด้วยสีแดงสดใส ทุกมุมในร้านเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจทั้งโปสเตอร์และมุมขายของกระจุกกระจิกอย่างสติ๊กเกอร์ มี wall of Inspiration ที่โซนออฟฟิศซึ่งรวมรูปและคำคมที่เล่าเรื่องราวการท่องเที่ยวและความชอบของมิญช์ เบาะและโซฟาสีแดง ห้องลองเสื้อสไตล์โอลด์สคูลสุดป๊อป ห้องน้ำที่ติดภาพมู้ดบอร์ดชุดว่ายน้ำรุ่นต่างๆ ที่ผนังและมีกองหนังสือกับดอกไม้วางอยู่เพื่อให้ความรู้สึกโคซี่เหมือนได้มา therapy มีมุมเคาน์เตอร์บาร์สำหรับซื้อเครื่องดื่มและเปิดดีเจ ไปจนถึงโลโก้ finger crossed และตัวอักษรเพนต์บนผนังที่ลงท้ายว่า No matter how old we get, this spirit of playfulness will always define. 

เห็นบรรยากาศร้านแล้วไม่แปลกใจที่มิญช์บอกว่าเธอเป็นคนชอบทำงานคราฟต์ที่ใส่ใจรายละเอียด

ท่ามกลางชุดว่ายน้ำหลากหลายคอลเลกชั่นในร้าน มิญช์บอกว่าโจทย์ในการออกแบบชุดในแต่ละครั้งของเธอนั้นไม่เหมือนกันเลย บางครั้งก็เป็นโจทย์จากฟังก์ชั่น บางครั้งก็ได้แรงบันดาลใจจากการไปเที่ยวหรือทำกิจกรรม แต่สิ่งที่ต้องมีในทุกคอลเลกชั่นคือ ทำออกมาแล้วต้องใหม่และยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน

เมื่อตื่นเต้นกับการทดลองทำสิ่งใหม่เสมอทำให้ทุกวันนี้ Aprilpoolday ไม่ได้มีแค่ชุดว่ายน้ำทั่วไปเท่านั้น แต่ยังออกแบบชุดใส่เล่นสำหรับไปเที่ยว อีกทั้งหลายคอลเลกชั่นก็ยังสามารถใส่ได้ทั้งบนบกและในน้ำอีกด้วย 

ชวนเปิดประตูร้านแล้วมานั่งฟังสปิริตและการเติบโตของ Aprilpoolday ไปพร้อมๆ กัน  

เห็นคุณเพิ่งจัดนิทรรศการครบรอบ 10 ปีของ Aprilpoolday ที่แฟล็กชิปสโตร์ตอนต้นปี ชื่อ The Untold Story ทำไมถึงตั้งชื่อนี้ 

ส่วนใหญ่ที่ผ่านมาตลอด 10 ปี เราจะเห็นภาพสุดท้ายของ Aprilpoolday ที่ออกมาสวยงามแล้ว แต่เราไม่ค่อยได้เล่าเรื่องของเราเท่าไหร่ว่ากระบวนการระหว่างทางมันเป็นยังไง เพราะไม่ว่างจากการโฟกัสงานส่วนอื่น ความจริงแล้วก่อนที่แบรนด์จะออกมาเป็นภาพสุดท้ายอย่างที่เห็น มันผ่านการทดลองและเรียนรู้ ใช้แรงบันดาลใจจากความรู้และประสบการณ์ทั้งหมดที่เราสั่งสมมา ทั้งการท่องเที่ยวที่ได้เรียนรู้วัฒนธรรมหรือการเสพงานศิลปะต่างๆ  Aprilpoolday จึงเป็นพื้นที่ในการถ่ายทอดความเป็นตัวเราและสไตล์ที่เราชอบ ผสมผสานสิ่งเก่าและสิ่งใหม่ ออกมาเป็นครีเอทีฟไลฟ์สไตล์และโปรดักต์ที่มีสไตล์ในแบบของแบรนด์  

สิ่งที่ Aprilpoolday ไม่เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่วันแรกคืออะไร  

สปิริตเดิมของแบรนด์ที่คงไว้ตั้งแต่แรก ขอท้าวความไปถึงโลโก้ก่อนว่า ด้วยความที่พี่ที่ทำโลโก้แบรนด์ให้เรา เขารู้จักเราส่วนตัวด้วย ก็เลยตีความหมายของคำว่า Aprilpoolday ออกมาเป็นโลโก้รูปนิ้วไขว้กัน (finger crossed) ตัวนี้ มันมาจากวันเอพริลฟูลเดย์ที่เราชอบโกหกกันตอนเด็กๆ แล้วทำนิ้วไขว้กันแบบนี้เวลาจะแอบอุ๊บอิ๊บกับใคร ถ้าพูดถึง Aprilpoolday เราก็จะนึกถึงตอนเด็กๆ เป็นภาพเด็กสาววิ่งเล่นตามชายหาด เที่ยวแกล้งคนแล้วอุ๊บอิ๊บไว้ข้างหลัง มันคือสปิริตที่เราเป็นคนขี้เล่น 

ตอนที่เราอายุ 25 ก็รู้สึกว่าเราเป็นคนแบบนี้แหละ วันนี้พอโตมาจนอายุ 35 แล้ว รู้สึกว่าถึงภายนอกเราจะเปลี่ยนไปเยอะ อาจจะมีเลเยอร์เยอะขึ้นหรือต้องมีความพร็อพเพอร์เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น แต่นิสัยขี้เล่นของเราแบบนั้นก็ยังอยู่ ยิ่งกับคนที่เราสนิทด้วย ลึกๆ เราก็ยังเป็นคนเดิม No matter how old we get สปิริตนั้นของเราก็ยังอยู่เสมอ ซึ่งถ่ายทอดมายังสปิริตและตัวตนของแบรนด์ด้วย แล้วถ้าดูจากตัวเองว่าเป็นคนแบบไหน ลูกค้าของเราก็จะมีคาแรกเตอร์คล้ายกัน คือเป็นคนที่มี young spirit ชอบการท่องเที่ยว รักในการค้นหาสิ่งใหม่ ชอบเสพงานศิลปะ ชอบทดลองและให้คุณค่ากับประสบการณ์ชีวิต มันคือความทรงพลังของงานศิลปะที่ดึงดูดคนคล้ายกันเข้ามา

ศิลปะมีอิทธิพลที่ทรงพลังอย่างไรกับตัวตนและแรงบันดาลใจของคุณ 

ที่จริงเบสเราไม่ได้เรียนสายแฟชั่นดีไซน์มาด้วยแต่เป็นสายอาร์ต ชอบ conceptual art ทุกรูปแบบ conceptural art คือศิลปะที่สามารถสื่อสารงานอาร์ตออกมาในรูปแบบไหนก็ได้ ถ้าก่อนที่จะทำชุดว่ายน้ำ คือเราวาดรูปและทำพวก art installation ชอบพวกนิทรรศการที่จัด art experience ไปดูของมือสองที่ตลาดของเก่า ไปเที่ยวงานมิวสิกเฟสติวัล ก็จะได้แรงบันดาลใจจากความอาร์ตทุกอย่างที่เกิดขึ้น เวลาไปเที่ยวมิวเซียมก็จะไปดูงานอาร์ตและดูว่าคอนเซปต์ของเขาคืออะไร เรามองว่าชุดว่ายน้ำคือรูปแบบหนึ่งในการถ่ายทอดงานศิลปะที่รวมไลฟ์สไตล์ของเราเข้าไปด้วย แต่เราก็ต้องไปเรียนรู้ในส่วนที่ใช้เวลาลงมือทำชุดว่ายน้ำจริงด้วย เช่น เนื้อผ้า แพทเทิร์น โดยศึกษาไปพร้อมกันกับทีม

ไลฟ์สไตล์ของคุณทำให้ออกแบบชุดว่ายน้ำที่โดดเด่นไม่เหมือนใครได้ยังไง 

คาแรกเตอร์เราเป็นคนที่ชอบใส่อะไรแล้วมีพลัง ใส่แล้วตะโกน ส่วนใหญ่เวลาคิดคอนเซปต์ จะมีไอเดียมาแค่นิดๆ ก่อนแล้วไปบวกกับสิ่งอื่นเพื่อให้เกิดเป็นสิ่งใหม่ ด้วยความที่เราโตมากับวัฒนธรรมตะวันตกแล้วก็มีความชอบในสไตล์เรโทร เราเลยอยากให้ชุดว่ายน้ำมีกลิ่นอายแบบนั้นนิดๆ บางครั้งเราไปเที่ยวแล้วรู้สึกว่าเราต้องการใส่ชุดแบบนี้ ก็เอาแรงบันดาลใจจากทุกอย่างทั้งอาร์ต คัลเจอร์ ประสบการณ์จากการท่องเที่ยวมาผสมกันเป็นไอเดีย

ที่ทำชุดว่ายน้ำเป็นหลักเพราะมันตรงกับไลฟ์สไตล์เรา เราเที่ยวหลายรูปแบบ ไปรีสอร์ท สระว่ายน้ำ เซิร์ฟ ไดร์ฟวิง เราทำได้ไม่ดีซักอย่างนะแต่ชอบลอง ซึ่งเวลาเที่ยวจะมีการใส่ชุดว่ายน้ำหลายรูปแบบมาก เราก็จะเอาชุดเราไปทดลองใส่ในสถานการณ์ต่างๆ ว่ามันเพิ่มอะไรได้อีก

สมมติเราไป beach ก็จะดูว่าที่นี่มีคัลเจอร์ประมาณนี้ เราควรใส่ชุดแบบไหน หรืออย่างผ้ามัดย้อมเป็นผ้าที่ใส่ในประเทศไทยที่อากาศร้อนได้ แต่เราจะคิดมุมกลับว่าถ้าเอาผ้ามัดย้อมไปทำชุดทั่วไปแล้วใส่ที่อังกฤษซึ่งอากาศเย็นกว่านี้ มันจะโอเคมั้ย ใส่แล้วจะแมทช์แบบไหนดีให้เข้ากับ context ของที่นู่น เอาชุดไปมิกซ์แอนด์แมทช์กับชุดว่ายน้ำได้ยังไงอีกบ้าง สิ่งที่เราถนัดคือการมิกซ์แอนด์แมทช์ให้เกิดแบบใหม่และมีคอนเซปต์หลักอย่างหนึ่งก็คือ ต้องเป็นสิ่งใหม่ที่ยังไม่เคยเห็นใครทำหรือไม่มีคนเคยทำมาก่อน เราเลยอยากทำ

เห็นที่ป้ายชุดว่ายน้ำเขียนว่า Wear it Everywhere Not Just in Water!. คุณตั้งใจทำชุดว่ายน้ำที่ใส่มิกซ์แอนด์แมทช์ได้ทั้งบนบกและในน้ำตั้งแต่แรกเลยไหม

ตอนแรกเราคิดแค่จะทำชุดว่ายน้ำ ไม่ได้คิดขนาดนั้น แต่พอเที่ยวบ่อยก็แอบคิดในใจว่าเราจะใส่ไปไหนได้อีก อย่างรุ่น boogie ได้แรงบันดาลใจมาจากตอนที่เราไปพะงันกับกลุ่มเพื่อน การเที่ยวที่พะงันจะเป็นแบบ island hopping คือเราจะไปหาดนี้ก่อน แล้วไปคาเฟ่ต่อ แล้วไปอีกหาด ต่อด้วยกินข้าวและเที่ยวกลางคืนต่อ เลยรู้สึกว่าอยากได้ชุดว่ายน้ำที่ใส่ได้ทั้งวันหนึ่งชุดเลยไม่ต้องเปลี่ยน เพราะเราขี้เกียจถือของ เราก็เลยออกแบบมาให้ใส่หลายแบบ

โจทย์ที่เราอยากทำคือ หนึ่ง ต้องดูไม่ค่อยเป็นชุดว่ายน้ำมาก เพราะถ้าจะใส่บิกินี่ไปนั่งที่ร้านอาหารเลยก็คงรู้สึกแปลก เราก็เลยมาดูทรงชุดก่อน เลือกแพทเทิร์นให้ดูไม่เป็นชุดว่ายน้ำเกินไปเพื่อที่ทีนี้จะไปไหนมาไหนด้วยชุดนี้ก็ดูไม่แปลกและยังลงไปว่ายน้ำได้ แล้วก็เลือกผ้าที่ไม่ได้ดูเป็นชุดว่ายน้ำขนาดนั้น เป็นผ้าที่มี texture แต่ยังคงคุณสมบัติผ้าว่ายน้ำตรงที่มีความยืดหยุ่นและแห้งไว ต้องมีช่องใส่ฟองน้ำ ลองเอาไปว่ายแล้วต้องพอดีตัว 

พอหลังๆ ก็เริ่มเป็นคอนเซปต์ที่ชัดเจนว่าใส่ได้ทั้งบนบกและในน้ำและมีชุดแบบนี้ออกมาอีกเรื่อยๆ เราอยากต่อยอดให้เอาไปใส่ในโอกาสอื่นได้ แต่ฟังก์ชั่นพื้นฐานของชุดว่ายน้ำก็ยังต้องอยู่ อย่างน้อยต้องถูกทดลองเอาไปว่ายน้ำก่อน ก็คือต้องว่ายน้ำรอดแน่นอน 

คุณถ่ายทอดความเป็นตัวคุณออกมาเป็นลวดลายศิลปะบนชุดว่ายน้ำยังไง 

อย่างรุ่น  boogie เราก็คิดว่าอยากทำลาย stripe เพราะยังไม่เคยทำ แล้วมันก็น่าสนใจดี ตอนที่คิดไอเดียว่าอยากทำลายนี้ ก็ไม่ได้ดูคนอื่นมานะ เราจะถนัดเรื่องการใช้คู่สีว่าคู่สีไหนเหมาะกับอะไรดี ซึ่งเราก็ลองคิดคู่สีมาเยอะ หลายสิบคู่แล้วก็ฟีดแบ็กส่งไปส่งมากับโรงงาน พัฒนาจนออกมาเป็นสองสีสุดท้ายที่คิดว่าสวยและใหม่ เหมาะกับ Asian skin tone color แล้วพอได้ชุดที่หนึ่ง ก็พัฒนาต่อไปเป็นชุดที่สอง สาม และสี่ ที่ต่อยอดไปเรื่อยๆ 

อย่างรุ่นนี้เราเลือกใช้เทคนิคการปรินต์แบบโรตารีปรินต์เพราะ Aprilpoolday ชอบทำงานคราฟต์ ถ้าสังเกตภาพวาดบนชุดว่ายน้ำของเราจะไม่ค่อยเป็นลายเส้นดิจิตอล แต่จะวาดมือลงกระดาษ เอาไปแสกน แล้วก็ค่อยเอาไปทำลายผ้า ความเป็น Aprilpoolday คืองานคราฟต์ ทั้งชุด อาร์ตเวิร์กและมีเดียที่ออกมา

แล้วคุณถ่ายทอดความคราฟต์ผ่านอาร์ตเวิร์กและมีเดียยังไง 

เราทรีทภาพถ่ายแฟชั่นชุดว่ายน้ำเป็นการนำเสนอศิลปะในอีกรูปแบบหนึ่ง ส่วนใหญ่เราทำงานกับช่างภาพที่ไม่ได้เป็นช่างภาพแฟชั่นโดยตรงแต่จะเป็นอาร์ตติส ซึ่งอาร์ตติสก็จะมีไอเดีย มุมมองและคัลเจอร์ของเขา ก็ต้องเปิดพื้นที่ให้เขาเยอะๆ ในการคิด จะคุยกันคร่าวๆ ว่าคอนเซปต์ชุดเป็นประมาณไหน จูนให้มองภาพตรงกัน แล้วก็ปล่อยให้เขาทำงานเองเลย พอช่างภาพมาจากหลากหลายชาติ มุมมองที่ได้ก็จะแปลกใหม่ตามไปด้วย แต่ถ้าบางครั้งที่คนถ่ายไม่ได้เป็นอาร์ตติสแต่เป็นช่างภาพที่เน้นถ่ายรูปเลย คอนเซปต์ก็อาจจะมาจากเราเยอะหน่อย แล้วแต่ว่าเราทำงานกับใคร  

คอลเลกชั่นมาสเตอร์พีซของ Aprilpoolday ในปีนี้ที่แบรนด์โตแล้วแตกต่างจากคอลเลกชั่นแรกสุดยังไงบ้าง

Forever เป็นคอลเลกชั่นครบรอบ 10 ปีของแบรนด์ที่พัฒนามาจากคอลเลกชั่นแรกชื่อ Volleyball และ Tennis รุ่นขอบขาว ไอเดียของคอลเลกชั่นนี้คือเราอยากบอกว่าตอนนี้เราโตขึ้นมา 10 ปีแล้ว จากเมื่อตอนที่เราอายุ 25 แล้วเคยมีรุ่นที่เป็น timeless piece ของเราเมื่อตอนนั้น แต่วันนี้เราโตขึ้นมากๆ แล้วและเราอยากที่จะนำกลิ่นอายของคอลเลกชั่นแรกกลับมาเป็นเราในเวอร์ชั่นที่โตขึ้น 

พอเรามีความรู้ในการทำชุดว่ายน้ำที่สั่งสมมาตลอด 10 ปี เราก็เรียนรู้เทคนิคมากมาย เรารู้ว่าข้อเสียของชุดรุ่นแรกคืออะไร แล้วก็เอามาเพิ่มเทคนิคต่างๆ ที่แอดวานซ์ขึ้นมากๆ  ใช้ผ้าที่ยืดหยุ่นมากขึ้น ซัพพอร์ตทั้งคนอกเล็กและอกใหญ่จากที่รุ่นแรกอาจจะไม่ซัพพอร์ตคนที่อกใหญ่มากๆ รุ่นนี้เราใช้เทคนิค scallop ซึ่งเป็นเทคนิคที่ทำยากมาก พัฒนาอยู่ประมาณ 3 เดือน เพราะมันเป็นเทคนิคโอกูร์ตูร์แบบฝรั่งเศสสมัยก่อน พัฒนาเทคนิคการเย็บผ้ามาอีกหลายเวอร์ชั่นให้คนใส่แล้วหุ่นสวย ใช้เทคนิค closet ที่ช่วยดึงให้เอวเล็กเท่าไหร่ก็ได้คล้ายเทคนิคในการทำเสื้อผ้าแนวโอกูตูร์

ที่ผ่านมาคุณปิ๊งไอเดียชุดว่ายน้ำที่ไม่ซ้ำใครแบบไหนบ้างและปิ๊งไอเดียเหล่านั้นได้ยังไง

เราจะคิดไว้ในหัวตอนดีไซน์เลยว่านอกจากว่ายน้ำจะใส่ไปไหนได้อีก แล้วก็คิดต่อยอด on top จากความรู้เดิมที่มีไปเรื่อยๆ โดยชุดหนึ่งก็ใช้เวลาประมาณ 6 เดือน อย่างตอนที่ทำ Smoggie เพราะยังไม่มีใครทำเทคนิคสม็อกกับชุดว่ายน้ำ หรือชุดว่ายน้ำทรงเสื้อโปโลก็ทำตอนปีที่ 5 ของแบรนด์ ตอนที่ยังไม่มีใครทำชุดว่ายน้ำทรงนี้ เราคิดถึงสปอร์ตคลับตอนเช้าก็เลยอยากลองทำเทคนิคโปโลดู มันก็ทำไม่ได้ง่าย เพราะชุดว่ายน้ำมันต้องเป็นผ้ายืด ต้องทดลองเทคนิคเยอะว่าจะทำยังไงให้ออกมาเนี้ยบ จะอัดผ้ากราวน์หรือจะต่อผ้าดี เป็นต้น 

ถ้าย้อนกลับไปถึงออริจินอลคอลเลกชั่นรุ่นแรกที่มี 2 ดีไซน์คือ Volleyball กับ Tennis ตอนนั้นเราไปมิวเซียมที่เล่าประวัติของชุดว่ายน้ำแล้วพบว่าชุดว่ายน้ำรุ่นแรกๆ ของโลกจะมีขอบขาว เพราะตอนนั้นยางยืดเพิ่งถูกพัฒนาขึ้นมา เลยต้องใส่ยางยืดรอบๆ ตรงขอบชุดเพื่อให้ชุดพอดีตัว แต่ตัวผ้าจริงๆ ยังไม่มีความยืดหยุ่น ก็เลยเป็นแรงบันดาลใจในการทำชุดที่มีขอบขาว 

พอออกแบบชุดว่ายน้ำเสร็จ ต้องคำนึงถึงอะไรอีก

สุดท้ายคือราคาที่เข้าถึงได้ เราไม่รู้ว่าคนอื่นมองว่าแบรนด์เราแพงหรือเปล่า แต่เรารู้ว่าสำหรับชุดว่ายน้ำแบบนี้ที่ผ่านการพัฒนามาเยอะและใช้วัสดุดี ถ้าไปขายที่ยุโรปก็ราคา 7-8 พัน เพราะต้นทุนมันสูงมาก
เราพยายามทำราคาที่เข้าถึงได้สำหรับคนไทยที่สุดแล้ว 

ตั้งแต่ทำแบรนด์มา ลูกค้าในตลาดชุดว่ายน้ำมีความชอบเปลี่ยนไปยังไงบ้าง

ตอนที่เราเริ่มทำคนไทยยังไม่นิยมใส่แฟชั่นชุดว่ายน้ำไปทะเลด้วยซ้ำ ยังใส่เสื้อยืดกางเกงขาสั้นกันอยู่เลย  เพราะตอนนั้นยังไม่ค่อยมีใครทำแบรนด์ชุดว่ายน้ำเลย ส่วนใหญ่จะเป็นแบรนด์ที่อยู่ในห้างอย่าง Speedo, Roxy, Quicksilver แล้วก็จะมีแบรนด์จากจีนที่ราคาถูกไม่กี่แบรนด์ แต่มันไม่มีแบรนด์ตรงกลาง
ส่วนเราชอบสไตล์ความเป็นเรโทรแต่ก็ไม่สามารถใส่ชุดว่ายน้ำของเมืองนอกได้ เพราะว่า sizing หรือ body type มันไม่เหมือนกัน 

แต่มาทุกวันนี้มันเปลี่ยนไปจากวันนั้นมาก สำหรับประเทศไทย คนกล้าใส่ชุดว่ายน้ำเซ็กซี่ขึ้นมากและใส่หลากหลายรูปแบบมากขึ้น แต่ที่ต่างประเทศอย่างเกาหลีก็ยังมีความอนุรักษ์นิยมกว่าไทยมาก คนเกาหลียังชอบใส่แบบ lowcut และยังไม่ชอบเซ็กซี่มากนัก คนจีนก็ยังชอบแบบเรียบร้อยกันอยู่มาก

แล้วตลอด 10 ปีที่ผ่านมา แบรนด์เติบโตขึ้นยังไงบ้าง

Aprilpoolday เป็นแบรนด์ที่ดึงคนที่มีความชอบและความสนใจคล้ายกันเข้ามาทำให้แบรนด์โตแบบออร์แกนิก ด้วยความที่เราเป็นคนไม่กลัวในการลองสิ่งใหม่และลงมือทำจากจุดเริ่มต้นเล็กๆ โดยที่ไม่คิดว่าจะต้องประสบความสำเร็จใหญ่โตรึเปล่า จากที่เคยมีกลุ่มลูกค้า niche แค่ไม่กี่คนที่ชอบ มันก็โตขึ้นเรื่อยๆ แบบออแกร์นิก ทำให้คนหลายประเทศมารวมอยู่ในคอมมูนิตี้เราได้โดยที่ไม่ได้ทำการโปรโมทเยอะ ตอนนี้ลูกค้าเรามีทั้งคนไทย เกาหลี ไต้หวัน จีน รวมทั้งประเทศอื่นๆ จากหลากหลายชนชาติ และยังวางขายที่ selected shop หลายประเทศ สำหรับซัมเมอร์นี้ช่องทางออฟไลน์มีขายที่เกาหลี เช่น Minjie Showroom, Playce.market, ร้านป๊อปอัพที่ Itaewon และ Marowe Okinawa ที่ญี่ปุ่น 

พอมีลูกค้าหลายประเทศมากขึ้น ความเปลี่ยนแปลงของ Aprilpoolday คืออะไร

พอลูกค้ากว้างขึ้น มุมมองของเราก็กว้างขึ้น จากวันที่เราเคยมีเพื่อน มีลูกค้าอยู่ไม่กี่คนที่ชวนกันคุยในกลุ่มเล็กๆ ว่าลองทำแบบนั้นแบบนี้สิ พอลูกค้ากว้างขึ้น เราก็ได้ฟีดแบ็กเยอะขึ้นว่าคนแต่ละประเทศชอบแบบไหน มันคือสปิริตของแบรนด์ด้วยที่อยากรู้ว่าคนแต่ละประเทศคิดยังไงและทำให้มีฐานข้อมูลเพิ่มขึ้น ได้เอามาช่วยกันพัฒนาโปรดักต์แล้วก็ได้พัฒนาความเข้าใจของคนที่ใส่ชุดว่ายน้ำในสไตล์แบบนี้มากขึ้นด้วย

ดาต้าจากฐานข้อมูลที่ว่าช่วยให้ออกแบบชุดว่ายน้ำได้ถูกใจคนยังไง 

ทำให้ได้ชุดว่ายน้ำที่ใส่ออกมาแล้วสวยจริงบนตัวคน เราอาจจะไม่ได้พูดออกไปชัดเจนเพราะในรูปถ่ายจะเห็นนางแบบตัวเล็กเยอะ แต่ความจริงแล้วเราทดลองแบบแต่ละไซส์กับทุกหุ่น เพื่อให้มั่นใจว่าคนเอเชียส่วนใหญ่จะใส่แล้วสวยจริงๆ แล้วเราจะเก็บข้อมูลตารางสัดส่วนของแต่ละคนไว้ว่าใส่ชุดไซส์ไหนแล้วออกมาเป็นยังไง ถ้าคนนี้มีขนาดรอบอกเท่านี้ บราคัพเท่านี้ อันเดอร์บราเท่านี้ ใส่ออกมาแล้วจะออกมาเป็นยังไง โอเคไหมทั้งด้านความสวยและฟีลลิ่งของคนใส่ 

ตอนแรกที่เรามีความรู้ผิวเผินในการทำชุดว่ายน้ำ เราก็จะคิดว่าคนเอเชียมีหุ่นคล้ายกัน แต่ความจริงแล้ว ในรายละเอียดจะไม่เหมือนกัน การสะสมดาต้าที่เยอะมากทำให้เรามีคลังข้อมูลสำคัญสำหรับนำไปใช้ เวลาพัฒนาโปรดักต์ เราก็จะคิดตามฐานข้อมูลที่กว้างขึ้นเหล่านี้ เอาข้อมูลสำคัญทุกอย่างออกมาใช้ในการออกแบบชุด ทั้งในเรื่อง body type, sizing, culture ในการใส่ชุดว่ายน้ำของแต่ละประเทศที่เป็นลูกค้าเรา พอทำไปเรื่อยๆ เราจะรู้ว่าถ้าเป็นชุดแบบนี้ คนไต้หวันต้องใส่ไม่ได้แน่เลย แล้วก็ดูว่าคนหุ่นหลายแบบมาใส่แล้วสวยไหม คนตัวสั้นหรือตัวยาวใส่แล้วจะเป็นยังไง ไม่ใช่ใส่ออกมาแล้วต้องไปรีทัชรูป 

อย่างกางเกง biker short ถ้าทำแพทเทิร์นไม่ดีมันจะเข้าเป้า แต่อันนี้เป็นแพทเทิร์นที่ทดลองมาแล้วว่าใส่แล้วมันจะไม่เข้าเป้า เรารีเสิร์ชว่าความยาวเท่าไหร่ที่ใส่แล้วสวย หุ่นคนไทยจะสวยที่ความสั้นเท่านี้ ก็เลยเลือกความสั้นเท่านี้

อนาคตอยากขยายการขายไปนอกแถบเอเชียไหม 

เราก็มีแผนที่อยากขยายออกไปต่างประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย เพราะเราชอบท่องเที่ยวและชอบรู้จักคนใหม่ๆ ตามเนเจอร์ของเราและแบรนด์แต่ด้วยความที่ body type ที่เราถนัดคือคนเอเชีย ถ้าเราจะกระโดดไปตลาดยุโรปก็ต้องใช้เวลาพัฒนาอีกพอสมควร เพราะมันคือ completely different story ถึงแม้จะเป็นการใส่ชุดว่ายน้ำเหมือนกัน แต่หุ่นและคัลเจอร์ก็ต่างกันหลายอย่างมากๆ เลยอาจจะจับกลุ่มเอเชียนเป็นหลักก่อน ความจริงตอนนี้ลูกค้าเรามีมาจากทั่วโลกนะ แต่จะเป็นคนเอเชียที่อยู่ในแต่ละประเทศอย่างอเมริกาหรือยุโรปที่สั่งเข้ามา 

จะเห็นว่าเวลา Aprilpoolday ออกคอลเลกชั่นใหม่มักปังตลอด มีอะไรที่เคยลองทำแล้วไม่เวิร์กบ้างไหม  

จะบอกว่าความจริง 90% ของสิ่งที่เราทำมันก็ไม่ได้เวิร์กนะ ที่เห็นอยู่คือ tips of the iceberg ก่อนจะออกสินค้าเราทำมาประมาณร้อยแบบ ที่แขวนอยู่ซึ่งไม่ได้ขายจริงตั้งเยอะแยะ เราฟิลเตอร์เยอะมากกว่าจะออกมาเป็นตัวสุดท้าย ขนาดเหลือ 10% ที่เรามั่นใจว่าเวิร์ก ก็มีออกมาแล้วไม่เวิร์ก มันก็เป็นไปได้ แต่เพราะเราโคตรมั่นใจว่าโปรดักต์เราดี เราผ่านการลองมาเยอะมากเป็นเป็นร้อยคนและใส่เองอีก 5 ก่อนออกมา ดังนั้นถ้ามันไม่เวิร์กแสดงว่าต้องมีเหตุผลอื่น เช่น สื่อสารได้ไม่ดี ขายไม่ตรงจุดที่อาจจะต้องไปแก้  

เวลาฟีดแบ็กออกมาไม่เวิร์กอย่างที่คิด คุณทำยังไงต่อ

เราต้องฟิลเตอร์ว่าฟีดแบ็กไหนควรนำไปใช้ต่อ ตอนที่เริ่มทำเสื้อยืดเพราะเราคิดว่าถึงเสื้อยืดจะมีในตลาดเยอะมากก็จริง แต่เราไม่เคยใส่เลยเพราะแพทเทิร์นไม่สวย เราเลยเริ่มทดลองว่าคนแบบไหนใส่เสื้อยืดแล้วสวย ซึ่งได้คำตอบว่ามันไม่มีสูตรสำเร็จ เพราะหุ่นแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนไหล่กว้าง หรือเสื้อบางตัวเราใส่สวยแต่คนอื่นใส่ไม่สวย เขาอาจเหมาะกับอีกทรงไปเลยมากกว่า

เคยได้ฟีดแบ็กว่าเสื้อยืดของเราแพงเกินคุณภาพ ซึ่งเรารู้ว่าไม่จริงเพราะเราเลือกผ้าคัตตอนคุณภาพดีที่มีราคาแต่มันจะมีแฟกเตอร์หลายอย่าง เช่น รูปถ่ายที่ถ่ายออกมาได้ไม่ดี หรืออาจสื่อสารได้ไม่ดี หรือแวบแรกบางคนเห็นผ้าบางก็จะรู้สึกว่าถูก ซึ่งที่จริงเราใช้ผ้าบางที่ทน ระบายอากาศดี ใส่สบาย ในขณะเดียวกันถ้าอะไรทีีทำแล้วฟีดแบ็กไม่ดีจริง เราก็ต้องรู้ตัวว่าไม่ดีจริง แล้วเอากลับมาปรับปรุง 

ย้อนกลับไป 10 ปีที่แล้วตอนที่ Aprilpoolday แจ้งเกิดทางออนไลน์ เคล็ดลับในการแจ้งเกิดคืออะไร

แม้ Aprilpoolday จะโตมากับช่องทางออนไลน์ แต่ความจริงเราเป็นคนที่ไม่เคยซื้อของออนไลน์เลย จนทุกวันนี้ก็ยังไม่ซื้อ ด้วยความที่เป็นคนพิถีพิถัน ไม่ได้ซื้อของแพงแต่อยากไปลองว่าเราใส่สวยหรือเปล่าเพราะบางทีนางแบบใส่สวยแต่เราไม่ได้หุ่นแบบนั้น เราเลยรู้ว่าอันนี้คือ pain ของเรา ดังนั้นเวลาขายออนไลน์เราเลยเน้นบริการเพื่ออุดช่องโหว่ของการที่ไม่ได้ลอง เทรนแอดมินให้อธิบายได้อย่างละเอียดว่าถ้าลูกค้าสัดส่วนเท่านี้ ใส่ไซส์นี้ออกมาแล้วจะมั่นใจได้ เราก็เลยถนัดกับการขายออนไลน์โดยที่ตัวเองไม่ซื้อของออนไลน์เลย 

การเป็นแบรนด์ดังที่โตแบบออร์แกนิกทำให้คุณขายชุดว่ายน้ำง่ายขึ้นยังไง

จะมีร้าน selected shop จากต่างประเทศที่อยากได้ชุดว่ายน้ำของเราไปวางขายแล้วเข้าหาเราเอง เขาตามแบรนด์เรามานานแล้วจากช่องทางออนไลน์ รู้ว่าสไตล์เราเป็นยังไง ก็เลยไม่ต้องแนะนำมาก แต่เราก็มีเข้าหาร้านอื่นๆ เองอยู่เหมือนกันที่เราต้องอธิบายให้เขาเห็นชัดเจนว่าจุดเด่นและยูนีคพ้อยท์ของเราคืออะไร 

ที่ผ่านมาการขายออนไลน์กับออฟไลน์ผ่าน selected shop งานแฟร์ และป็อปอัพช็อปแตกต่างกันยังไง 

ฐานลูกค้าไม่เหมือนกัน เราจะรู้ว่าบางชุดขายทางออนไลน์ดี แต่บางชุดขายออฟไลน์จะดีกว่า บางรูปมีภาพที่เด่นมาก คนเห็นแล้วชอบ แต่บางชุดจะดูเบสิก เพลนๆ แต่ถ้าได้ลองถึงจะรู้ว่าใส่ออกมาแล้วหุ่นสวยมาก แพทเทิร์นดีมาก ซัพพอร์ททั้งคนอกเล็กและอกใหญ่ ด้านข้างตัวก็ทำคัตติ้งเป็นผ้าอีกหนึ่งชิ้นเพื่อให้เอวดูเล็ก ซับในแทนที่จะใส่แบบธรรมดา ก็จะใส่เป็นสเตย์ เพื่อใส่แล้วจะเก็บหุ่นได้เป๊ะ พอใส่ออกมาแล้วสวยมาก แค่มันอาจจะดูไม่ได้พิเศษอะไรในรูป คนออนไลน์กับออฟไลน์ก็จะเห็นต่างกันและเวลาไปป๊อปอัพ มันก็มีความสนุกเพิ่มขึ้นมาตรงที่เราได้ออกแบบประสบการณ์ทั้งเพลงและบรรยากาศ 

แล้วอะไรคือสิ่งที่ทำให้คุณเสต็ปอัพมาเปิดร้านแฟล็กชิปสโตร์ในปีนี้

ที่ผ่านมาไม่ได้คิดเรื่องนี้เลยเพราะว่าเราสนใจแต่เรื่องดีไซน์และการเปิดร้านทำให้งานเยอะ ตอนแรกเราเคยอยู่ออฟฟิศเก่าที่เล็กกว่านี้ เป็นห้องหนึ่งห้องซึ่งลูกค้าต่างชาติจะชอบแวะมาหา พอเขารู้จักแบรนด์เราอยู่แล้ว เวลามาไทย เขาก็รู้สึกว่าต้องมาหาเราที่นี่ เราก็นั่งทำงานแล้วก็หยุดไปรับลูกค้า ช่วงแรกๆ ก็งงนะว่าทำไมมีลูกค้ามาหาที่ออฟฟิศทีละคนสองคน สักพักพอแบรนด์โตขึ้น เราก็คิดว่าการที่ออฟฟิศอยู่ที่เดียวกับที่ลองชุดทำให้ทำงานไม่ได้ก็เลยย้ายมาที่นี่ ตอนแรกก็มีที่ให้ลูกค้าขึ้นมาลองชุดที่ชั้นสองก่อนซึ่งเป็นชั้นของออฟฟิศและเตรียมทำหน้าร้านข้างล่าง

อย่างที่เล่าไปว่าเราคือคนที่สร้างสิ่งใหม่บนสิ่งเก่า โครงบ้านนี้เป็นโครงเก่าอยู่แล้ว เราก็ทุบบางส่วนแล้วสร้างสิ่งใหม่ที่มีความคอนทราสต์ลงไปบนสิ่งเก่า พอคนมาที่นี่ก็จะได้ประสบการณ์ของ Aprilpoolday ที่มากกว่าแค่โปรดักต์ ทั้งเพลง พนักงาน แมวที่เราเลี้ยงก็เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ เวลาคนมาก็จะถ่ายรูปกับแมวตลอด ตอนกลางคืนก็มีมุมเล็กๆ ที่ทำเป็นบาร์และดีเจ ทำเป็นคอมมูนิตี้ของคนรักศิลปะ

ทุกวันนี้ความท้าทายในการทำ Aprilpoolday คืออะไร 

จริงๆ ทุกวันมันมีความท้าทายใหม่ ตื่นเช้ามาก็เจอเรื่องใหม่ เพราะว่าเราทำต่อไปเรื่อยๆ ไม่ได้ย่ำอยู่กับที่ พอเปิดหน้าร้านก็เจอปัญหาใหม่ พอแบรนด์ขยายใหญ่ขึ้น ก็มีลูกค้าแปลกใหม่เข้ามา หรือสต็อกเพิ่มขึ้น ก็เจอปัญหาใหม่ มันก็มีปัญหาใหม่มาทุกวันนั่นแหละ 

ซึ่งพอแบรนด์โตขึ้น มันก็อยู่นอกเหนือประสบการณ์ชีวิตที่เรามี สิ่งที่เราทำคือปรึกษาคนที่เขามีประสบการณ์มาก่อนเรา เช่น คนที่เก่งธุรกิจ ผู้ใหญ่ที่อาบน้ำร้อนมาก่อน เพื่อนที่มีประสบการณ์ด้านอื่นที่เก่งกว่าเรา แล้วก็เอาข้อมูลจากเขามาเพื่อนำมาปรับใช้ ก็ต้องรีเฟรชชิ่งตัวเองอยู่เรื่อยๆ และต้องไปเที่ยวหาแรงบันดาลใจเรื่อยๆ  เพราะ Aprilpoolday ไม่ได้เป็นธุรกิจที่ทำชุดว่ายน้ำเพราะเทรนด์ชุดว่ายน้ำกำลังมา เราทำเพราะมีแพสชั่นในการทำธุรกิจในทุกๆ วัน


ข้อมูลติดต่อ :
Map :  15 ซอย สาทร 9 แขวงยานนาวา เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120
Facebook :
https://www.facebook.com/aprilpooldays
Instagram : @aprilpoolday
Website :
http://www.aprilpoolday.com

จากแพสชั่นของคนชอบทำอาหาร สู่ Lucky’s Hungry ร้าน specialty ที่ทั้งร้านขายแค่ข้าวผัดอเมริกัน

หน้าร้านที่เป็นอาคารสีน้ำตาลอิฐ ด้านหน้าเป็นกระจกบานใหญ่สามารถมองทะลุไปถึงด้านในที่อยู่ตรงหน้าเรานี้ เชื้อเชิญให้เราผลักประตูเข้าไปด้านใน Lucky’s Hungry ร้านขายข้าวผัดอเมริกันที่โด่งดังในโลกออนไลน์ มีจุดเด่นที่คุณภาพและความคิดสร้างสรรค์ และขายแบบเดลิเวอรีมาโดยตลอด แต่ตอนนี้พวกเขากำลังจะมีหน้าร้านครั้งแรก

ในวันที่เราไปเยือนร้านทั้ง เบสท์–ณัฐธนนท์ สิทธิปัญญพัฒน์ และ นิว–ยุทธดนัย พิมพ์โสภา สองผู้ก่อตั้งกำลังขะมักเขม้นจัดร้านให้เข้าที่เข้าทางและแจกยูนิฟอร์มให้พนักงาน เพื่อเตรียมพร้อมก่อนเปิดหน้าร้านขายครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม

ความพิเศษของ Lucky’s Hungry AFR คือทั้งเบสท์และนิว ได้แปลงร่างข้าวผัดอเมริกัน (American fried rice) เมนูข้าวผัดซอสมะเขือเทศที่คลุกเคล้าด้วยลูกเกดเป็นเบสหลักธรรมดาๆ ให้กลายมาเป็นเมนูพิเศษที่มีท็อปปิ้งให้ลูกค้าเลือกมากกว่าแค่แฮม เบคอน ไข่ดาว ไส้กรอก ซึ่งเป็นองค์ประกอบทั่วไป

และทำร้านแบบ specialty ที่ทั้งร้านมีขายแค่ข้าวผัดอเมริกันเป็น main dish อย่างเดียวเท่านั้น

หลังร้านเปิดเราอยากชวนลัดเลาะซอยอารีย์มาหลังครัวดูหลักการการทำธุรกิจผ่านกลยุทธ์ 4P+1 ของ Lucky’s Hungry ที่แค่ตอนอยู่ในครัวได้ยินเสียงจี่ของกระทะ และความหอมของวัตถุดิบที่กำลังปรุงอยู่นี้ทำให้น้ำลายสอ และกระตุ้นต่อมความหิวได้ไม่ยาก

Product

“แพสชั่นล้วนๆ” 

ข้างต้นคือสิ่งที่เบสท์และนิวตอบทันทีเมื่อเราถามถึงจุดเริ่มต้นของการเลือกทำร้านขายข้าวผัดอเมริกัน

เพราะคนหนึ่งไม่ได้เรียนจบจากที่ใด ส่วนอีกคนจบนิติศาสตร์ แต่ความชอบที่ทั้งสองมีเหมือนกันคือรักในการกินและชอบทำอาหาร และอยากให้ทุกคนได้กินของอร่อย

จุดเริ่มต้นก่อนที่จะมาเป็น Lucky’s Hungry อย่างทุกวันนี้อาจจะต้องย้อนกลับไปหลายปีก่อน เบสท์หลงรักความครีเอทีฟของเชียงใหม่จึงดั้นด้นไปเปิดร้านอาหารอยู่ที่นั่นแต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะเจอสารพัดปัญหาที่ถาโถมเข้ามา เปิดร้านได้แค่ 5 เดือนโควิด-19 ก็มาพอดี

หลังจากอดทนอยู่นานจนตัดสินใจกลับมาบ้านที่กรุงเทพฯ  และเริ่มทำธุรกิจอีกครั้ง ธุรกิจที่เริ่มใหม่ที่ว่านี้คือ Lucky’s Hungry

“เราเป็นพ่อค้าคนหนึ่งเลย ไม่ได้คิดเยอะ คิดแค่ว่าซื้อมาขายไป คิดแค่อาหารที่ดีมันคืออาหารอร่อยเท่านั้น แต่พอผ่านโควิดมา มันทำให้เราต้องคิดหลายรอบ คิดง่ายๆ มันไม่ใช่เลย เราตัดสินใจยอมแพ้แล้วกลับมากรุงเทพฯ

“สิ่งที่เราเอากลับมาด้วยคือการขายข้าวเหนียวมะม่วง เราทำข้าวเหนียวมะม่วงขายผ่านออนไลน์ ไปออกบูท และเริ่มมีหน้าร้านที่ปากซอยอารีย์เป็นล็อกเล็กๆ ระหว่างนั้นมันก็มีสิ่งที่มาซัฟเฟอร์เราอีกในช่วงที่เริ่มกลับมาเปิดประเทศ แม้ข้าวเหนียวมะม่วงของเรายังขายดี แต่อาหารที่เราขายไปด้วยนั้นกลับยอดตกลงๆ

“ประกอบกับผมกับนิวชอบกินข้าวผัดอเมริกันมากๆ อยู่แล้ว เลยลองทำให้น้องในออฟฟิศที่รู้จักลองกิน น้องในออฟฟิศตั้งคำถามกับเราว่า รสชาติอร่อยทำไมเราไม่ทำขาย ซึ่ง ณ ตอนนั้นยังไม่มีใครทำร้านข้าวผัดอเมริกันเป็นร้านแบบ specialty เลย แล้วก็มีกระแสจากแจ็คสัน หวัง ที่กินข้าวผัดอเมริกันพอดี  มันเลยทำให้เราเห็นช่องทางและโอกาสขึ้น”

 Lucky’s Hungry ร้านข้าวผัดอเมริกันเล็กๆ ของเบสท์และนิวจึงเริ่มต้นขึ้นขายแบบเดลิเวอรีที่บ้านย่านเจริญกรุงเป็นครั้งแรก

ความน่าสนใจไม่ได้มีแค่สตอรีก่อนจะมาเป็นร้านขายข้าวผัดอเมริกันเท่านั้น แต่ที่ทำให้เราสนใจไม่น้อยคือ การที่เบสท์และนิวเลือกที่จะขายข้าวผัดอเมริกันเป็น main dish เมนูเดียวในร้านโดยไม่ขายเมนูอื่นเลย จะเรียกว่าพวกเขาคือร้านข้าวผัดอเมริกัน specialty ก็คงไม่ผิดนัก

ซึ่งมันมีทั้งความเสี่ยงและโอกาส

“ถามว่าทำไมถึงเลือกข้าวผัด เพราะเราเคยเป็นคนจับฉ่ายมากๆ มาก่อน มันทำให้เรารู้ว่า เราทำทุกอย่างไม่ได้ ไม่ว่าคุณจะขายอะไร มันก็จะมีแค่บางเมนูเท่านั้นที่คนจำได้ เราเลยโอเค เราจะขายข้าวผัดอเมริกันอย่างเดียว อื่นๆ จะเป็น side dish เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น และมีขนมหวานขายเป็นเมนูข้าวเหนียวมะม่วงที่เราขายมาตั้งแต่แรก”

ความพิเศษของข้าวผัดอเมริกันของ Lucky’s Hungry คือความครีเอทีฟ แม้จะเติบโตมากับข้าวผัดอเมริกันฝีมือของแม่แบบคลาสสิกดั้งเดิม แต่เมื่อตัดสินใจทำร้านข้าวผัดอเมริกันอย่างเดียวแล้ว สิ่งที่เบสท์และนิวทำคือใส่ความคิดสร้างสรรค์ลงไป เพิ่มมูลค่าด้วยความแปลกใหม่ หยิบจับวัตถุดิบ element อื่นๆ มาใส่ในข้าวผัดอเมริกันของที่ร้าน

“เราอยากเห็นความแปลกใหม่ ทำไมเราไม่สามารถกินข้าวผัดอเมริกันกับไก่กงฟีได้ ทำไมถึงไม่สามารถกินกับปลากระพงทอดได้ เราเจอแต่ข้าวผัดอเมริกันแบบเดิมๆ คือมีไข่ดาว ไส้กรอก แฮม เมื่อโจทย์เราคือความ specialty เราเลยเอา element ใหม่ๆ ผสมกับความคลาสสิกมาทำใหม่ให้ไม่เหมือนเดิม เพิ่มท็อปปิ้งให้ลูกค้าสามารถเลือก add-on ได้ และสนุกไปกับการกินได้” 

“Lucky’s Hungry ยังคงคอนเซปต์คือเมนูข้าวผัดอเมริกันที่แม่ทำให้กิน
ดังนั้นเราไม่ได้ขายความเป็นคาเฟ่ แต่ขายความสนุก และประสบการณ์ใหม่ในการกินข้าวผัดอเมริกัน”

เมนูแรกที่ Lucky’s Hungry ครีเอตขึ้นมาใหม่คือ Chic n Cream AFR เมนูข้าวผัดอเมริกันที่ท็อปปิ้งด้วยไก่กงฟีแบบ juicy เสิร์ฟพร้อมซอสบัตเตอร์สุพรีมสไตล์ฝรั่งเศส

อีกเมนูที่หลายๆ คนชอบคือ Surf n Turf AFR ปลากะพงสดๆ จากสะพานปลา ชุบเกล็ดขนมปังทอดสไตล์ทงคัตสึ กินคู่กับแฮมรมควันและไส้กรอกชีสอิตาเลียน เสิร์ฟบนข้าวผัดอเมริกัน และซอสทาร์ทาร์สูตรเด็ดประจำร้าน และมีเมนูอื่นให้เลือกราวๆ 10 เมนู โดยเมนูที่ลูกค้าสั่งเยอะที่สุดคือ Chic n Cream AFR

Place

พอ Lucky’s Hungry เปิดขายแบบเดลิเวอรีมาได้ 1  ปี ลูกค้าเกินครึ่งที่มากิน มาสั่งข้าวผัดอเมริกันคือลูกค้าประจำ นั่นเท่ากับว่าเบสท์และนิวมาถูกทางโดยเฉพาะเรื่องคุณภาพ และน่าจะถึงเวลาที่จะต้องออกไปหาลูกค้าจริงๆ บ้าง ไม่ได้เจอกันผ่านแค่แพลตฟอร์มหน้าโซเชียลเท่านั้น 

เบสท์และนิวตัดสินใจปิดหน้าร้านที่เจริญกรุงมาเปิดหน้าร้านจริงจังครั้งแรกที่อารีย์ พร้อมๆ กับยังขายแบบเดลิเวอรีด้วย

“เหตุผลที่เราย้ายโลเคชั่นใหม่มาอยู่ที่อารีย์ต้องย้อนไปจุดเริ่มต้นตอนที่เราขายข้าวเหนียวมะม่วง แต่ก่อนเราไม่ได้มองยูสเซอร์เป็นหลักเลยนะ อยากได้กำไรเยอะๆ แต่พอผ่านเหตุการณ์ในอดีตก็รู้สึกว่าแบบนั้นไม่ยั่งยืน เดี๋ยวมันก็กลับไปสู่จุดเดิมต้องเริ่มใหม่อยู่ดี เราเลยคิดกลับกันไม่ว่าจะเป็นข้าวเหนียวมะม่วงหรือข้าวผัดอเมริกัน เราต้องหาย่านที่เข้าใจตัวตนของเราจริงๆ จากที่เราขายแบบเดลิเวอรีมาเราเห็นดาต้าแล้วรู้ว่าลูกค้าส่วนใหญ่ของเราคือแถวพญาไท อารีย์ 

“เราตัดสินใจเลือกที่อารีย์ซอย 3 ซึ่งเป็นความโชคดีและประจวบเหมาะที่เรามาเจอกับเจ้าของที่พอดี เรารู้สึกว่าอารีย์เป็นย่านที่คอนเซอร์เวทีฟ มีความเป็นตัวตนสูงมาก และยังมีประชากรแฝงสูง พนักงานออฟฟิศก็เยอะมาก ซึ่งคิดว่าคนกลุ่มนี้แหละเข้าใจตัวตนของเราดี เลยเลือกมาที่นี่”

ข้าวผัดอเมริกันของ Lucky’s Hungry เปิดให้ลิ้มลองตั้งแต่ 7 โมงเช้าถึงบ่าย 3 แต่คำเตือนที่เราอยากบอกทุกคนคือยังไม่ถึงช่วงเวลาปิดร้าน บางเมนูก็ไม่เหลือให้เราได้ชิมเสียแล้ว

Price

จากวัตถุดิบที่เราเห็นตรงหน้า ทั้งให้เยอะและใหญ่ขนาดนี้ รวมถึงความพิถีพิถันจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมข้าวผัดอเมริกันของที่ร้านจะขายในราคาเริ่มต้น 129 บาท ไปจน 300 กว่าบาท และมีลูกค้าเคยสั่งแบบ add-on ท็อปปิ้งเพิ่มเป็นจานละ 6 ร้อยกว่าบาทมาแล้ว

โดยทั้งเบสท์และนิวยืนยันว่าราคาเมนูของที่ร้านนั้นสมเหตุสมผล ซึ่งอาจไม่จำเป็นต้องมีราคาถูกที่สุด แต่สิ่งสำคัญคือเรื่องคุณภาพและมาตรฐาน

“จริงๆ ตอนตั้งราคาไม่ได้มองว่าลูกค้าเป็นใครหรอก แต่ก่อนเรามีช่องทางการขายทางเดียวคือ เดลิเวอรี แล้วโดนหักจีพีเยอะมาก เรามองกลับไปถ้าเราทำราคาถูก เราโดนหักไม่เหลืออะไรเลย ลูกค้าได้กินของไม่อร่อยเพราะเราต้องลดคุณภาพ เราเลยคิดใหม่ว่าจะทำยังไงให้สามารถอยู่ในออนไลน์ได้ ได้กำไร และลูกค้าได้กินของมีคุณภาพ แล้วมองว่าใครจะซื้อของกลุ่มนี้

“เราก็เลยสตาร์ทถูกสุด เมนูคลาสสิกที่ 129 บาท เป็นราคาที่เราไม่ต้องลดคุณภาพวัตถุดิบ เป็นราคาที่เราคิดว่าลูกค้าของเราจ่ายได้ เรามองความเป็น specialty ของมัน ลูกค้าอยากมากินเพราะอยากกินซึ่ง value มากกว่ากินเพื่อประทังชีวิต

“เคยมีลูกค้ามาคอมเมนต์ว่าข้าวผัดอเมริกันอะไรจานละสามร้อยกว่าบาท จากนั้นเขาก็หายไปและกลับมาคอมเมนต์อีกครั้งว่า เข้าใจแล้ว เพราะเราให้เยอะมากจริงๆ” 

Promotion

Lucky’s Hungry ไม่มีการทำโปรโมชั่นแบบลดแลกแจกแถมอะไรให้กับลูกค้า แต่หลักคิดในการทำร้านของเบสท์และนิวคือการพรีเซนต์เรื่องมาตรฐาน เอกลักษณ์เฉพาะตัว และคุณภาพที่ส่งต่อไปยังลูกค้าต่างหาก

“เราถ่ายรูปเมนูลงโปรโมตแบบไหน ลูกค้าที่สั่งข้าวผัดอเมริกันของเราไปก็จะได้หน้าตาแบบนั้นจริงๆ สิ่งที่ผมกลัวมากที่สุดในการทำร้านอาหารคือไม่ได้กลัวว่าทำไม่อร่อย เพราะเรามีรสชาติแบบเราและคิดมาดีแล้ว  แต่สิ่งที่กลัวคือเรื่องความคาดหวังของลูกค้า เพราะถ้าเขาไม่ประทับใจครั้งแรกแล้วเขาก็จะไม่กลับมาหาเราอีก

“สมัยนี้เห็นด้วยเรื่องอาหารอร่อย แล้วหน้าตาร้านก็ต้องดี แต่เราต้องเวตน้ำหนักว่าลูกค้าเราเป็นกลุ่มฟู้ดดี้หรือฮอปเปอร์กันแน่ สิ่งแรกเลยคือต้องอร่อยและคุณภาพดี ต่อให้มายากอยู่ในหลืบก็ขายได้”

หนึ่งสิ่งที่สัมผัสได้ตลอดช่วงบทสนทนาของ Lucky’s hungry คือเรื่องของการปรับตัว เบสท์ยกตัวอย่างหลายๆ สิ่งให้ฟังว่าแต่ก่อนตัวเขาเองคิดน้อยเกินไป แต่ต้องขอบคุณลูกค้าที่ฟีดแบ็กกลับมาตรงๆ ทำให้เรามองเห็นช่องโหว่ เห็นจุดบกพร่อง บางเรื่องคิดน้อยเกินไป ทำให้ Lucky’s Hungry ปรับตัวมาโดยตลอด

“อย่างเช่นข้าวผัดอเมริกัน ปกติต้องใส่ลูกเกดอยู่แล้ว แต่ถ้าลูกค้าไม่ใส่เราก็คิดว่าไม่ต้องจ่ายเงินก็ได้นี่ เราให้ลูกค้าเลือกได้ ถ้าใส่ลูกเกดค่อยคิดเงินเพิ่ม 5 บาท ปรากฏว่ามีลูกค้ามาคอมเมนต์ว่าทางร้านไม่ใจกับลูกค้าเลย คือเขาจ่ายได้นะ แต่ทำไมเขาต้องใจในเมื่อมันต้องมีอยู่ในนั้นอยู่แล้ว เราก็คิดว่า เออว่ะ เพราะเราคิดแค่ไม่กินก็ไม่ต้องจ่ายอย่างเดียวเลยในตอนนั้น

“หรืออย่างเรื่องปริมาณข้าว ที่ร้านเราให้ข้าวในปริมาณปกติ แต่ที่เพิ่มคือเราให้กับบึ้มๆ ไปเลย ปรากฏลูกค้าคอมเมนต์กลับมาให้เรา 3 ดาว เขาไม่ได้บอกว่าไม่อร่อย แต่บอกร้านคุณให้ข้าวน้อยมาก ตอนแรกเราก็เถียงไปนะว่าเราอยากให้กับเยอะๆ สุดท้ายเราก็ตัดสินใจเพิ่มข้าวเข้าไปอีก จาก 1 จานที่เคยเสิร์ฟ 150 กรัม ก็เพิ่มเป็น 200 กรัม”

ใครเคยได้ลิ้มลองข้าวผัดอเมริกันของ Lucky’s Hungry มาแล้ว หนึ่งสิ่งที่ลูกค้าฟีดแบ็กกลับมาคือ ‘ข้าวค่อนข้างจืด’ ซึ่งเบสท์และนิวไม่ได้ปรุงสูตรผิดแต่อย่างใด แต่ที่จริงแล้วทั้งเบสท์และนิวตั้งใจทำให้ข้าวออกมารสชาตินี้อยู่แล้ว เพราะเมื่อกินรวมกันทุกองค์ประกอบในจานจะทำให้รสชาติกลมกล่อม ลงตัวพอดี

“ซอสที่เราใส่ในข้าวนั้นเป็นสูตรที่เราคิดค้นเองจึงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เราตั้งใจทำรสชาติออกมาแบบนี้ เพราะหากทำรสชาติเข้ม และทุกองค์ประกอบในจานที่เสิร์ฟก็มีรสชาติเข้มด้วย มันจะทำให้ทั้งจานเข้มไป สุดท้ายมันจะเลี่ยนมากกว่าอร่อย” 

เคล็ดลับความอร่อยอีกอย่างของ Lucky’s Hungry คือเครื่องปรุงที่อยู่บนโต๊ะ เป็นเรื่องยากมากๆ ในการเลือกเครื่องปรุงที่เวลาเมื่อเหยาะซอสหรือปรุงรสเพิ่มแล้ว เครื่องปรุงนั้นๆ จะส่งเสริมกันพอดีกับเมนูที่ทำออกมา

“มันไม่ใช่การเลือกซื้อเครื่องปรุงมาหยิบจัดใส่ตะกร้าใส่กล่องวางบนโต๊ะแล้วจบไป แต่ต้องเลือกที่มันพอดีกับรสชาติ เราลองหลายยี่ห้อ หลายแบรนด์มากกว่าจะออกมาเป็นเครื่องปรุงที่ลงตัว

“อย่างแค่ซอสแม็กกี้ของแต่ละประเทศรสชาติยังต่างกันเลยนะ อย่างที่ร้านเราใช้แม็กกี้ของฮ่องกง”

People and Professional

P สุดท้ายของ Lucky’s Hungry มีด้วยกัน 2 เรื่อง

เบสท์ เลือกคำว่า  People ที่ไม่ได้หมายถึงแค่ลูกค้าที่เราต้องรู้จักเท่านั้น แต่ยังหมายถึงพนักงานในร้านที่เป็นฟันเฟืองสำคัญในการต่อจิ๊กซอว์ให้ร้านเป็นรูปเป็นร่าง เพราะเมื่อพนักงานในร้านแฮปปี้ คนที่มากินข้าวผัดอเมริกันของเราก็แฮปปี้ด้วย

ส่วนนิว เลือกคำว่า Professional ที่ต้องทำให้เป็นตามมาตรฐาน และไม่สามารถใช้คำว่า ‘ทำทุกจานให้เหมือนเรากิน’ เพราะทุกคนกินไม่เหมือนกัน สิ่งที่ต้องทำคือการควบคุมคุณภาพของทุกองค์ประกอบให้ออกมาสมบูรณ์ที่สุด

“ทุกสิ่งที่เราทำคือ ต้องการให้ลูกค้ากินข้าวผัดอเมริกันแล้วเกิดความรู้สึก fulfill มากกว่าเดิม”

ข้อมูลติดต่อ
Facebook : Lucky’s Hungry AFR ข้าวผัดอเมริกัน
Location : อารีย์ ซอย 3 goo.gl/maps/F2rdiFY4HLDeh811A
Open : เปิดทุกวัน 07:00-15:00 น. (Last Order 14:00 น.)

9 แบรนด์ที่ใช้ชื่อ ‘สัตว์’ จนคนจดจำ

ถ้าดูจุดร่วมแบรนด์ไทยหลายๆ แบรนด์ หลายคนอาจจะเคยเอะใจและรู้สึกสงสัยกันบ้างว่าทำไมแบรนด์เหล่านี้ต้องมีชื่อสัตว์?  

เบื้องหลังชื่อแบรนด์เหล่านี้มีที่มาหลากหลาย ตั้งแต่ความเป็นสิริมงคล ไปจนถึงให้จดจำง่ายเพราะคนสมัยก่อนยังไม่ค่อยรู้หนังสือมากนัก Capital จึงสรุปเบื้องหลัง 9 แบรนด์ชื่อสัตว์ในโลกธุรกิจว่าเจ้าสัตว์แต่ละชนิดนั้นมาเอี่ยวกับแบรนด์ได้ยังไง  

1.  เต่าเหยียบโลก 

ผู้ก่อตั้งตั้งใจใช้ชื่อสัตว์มาตั้งชื่อแบรนด์ก็เพื่อให้คนจดจำง่าย ส่วนที่เลือกเต่ามาใช้ ก็เพราะเต่านั้นเป็นสัตว์มงคล และเขาหวังอยากให้แบรนด์ขายได้ทั่วโลก จึงได้โลโก้เต่าเหยียบโลกมาใช้ แต่รู้ไหมว่าที่จริงชื่อแรกที่ใช้คือ ‘จับเต่า’ เพื่อสื่อว่าสินค้าของเขาจับกลิ่นเต่าได้อยู่หมัด แต่เพราะชื่อนี้ทำให้ลูกค้าเขินอาย ‘เต่าเหยียบโลก’ ที่คนเรียกตามภาพโลโก้จึงเป็นทางออก

2. ชามตราไก่

คนจีนวาดลายไก่บนถ้วยชามที่ใช้มานานนม เพราะไก่สื่อถึงความขยันทำมาหากิน และนำโชคลาภมาให้ เมื่ออพยพย้ายถิ่นฐานจึงนำชามลายไก่ไปด้วย ในไทยเองก็นิยมอย่างมากในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ส่วนโรงงานชามตราไก่โรงงานแรกในไทยก็คือโรงงานในลำปางอย่าง ‘ธนบดีสกุล’ นั่นเอง

3. กระต่ายบิน

เชื่อไหมว่าที่มาของชื่อกระต่ายบินนั้นมาจากภรรยาของแพทย์แผนจีนที่คิดค้นสูตรยาขึ้นมาอย่าง ‘ไร่เฮง เจียมจรรยา’ นั้นเกิดปีกระต่าย อีกเกร็ดสนุกคือไร่เฮงเองอยากเปลี่ยนเส้นเรื่องนิทานอีสป จึงคิดติดปีกให้กระต่าย เจ้าขนนุ่มอย่างกระต่ายจะได้ถึงเส้นชัยก่อนเจ้าเต่า!

4. กาวตราช้าง

กาวตราช้างกลายเป็นชื่อเรียก ‘ไซยาโนอะคริเลต’ ไปหมดแล้ว ทั้งที่กาวซูเปอร์กลูของแท้คือ ‘กาวตราช้าง เคนจิ’ ที่มีรูปช้างสีเหลืองบนแผงกาว ซึ่งคาดว่าที่ใช้รูปช้างก็เพื่อสื่อถึงความทรงพลัง ติดแน่นไม่หลุด

5. สำนักพิมพ์แซลมอน

สำนักพิมพ์แซลมอนตั้งใจพิมพ์หนังสือที่เสิร์ฟเรื่องราวนอกกระแส แปลกใหม่ และน่าสนใจ จึงคิดเอาชื่อปลาที่ว่ายทวนกระแสน้ำอย่างแซลมอนมาเป็นชื่อสำนักพิมพ์ เพราะหวังว่าหนังสือของพวกเขาจะมีรสชาติอร่อย หากใครได้อ่านก็น่าจะติดใจ เช่นเดียวกับที่คนทั่วโลกหลงรักแซลมอนนั่นเอง

6. หงษ์ทอง

เพราะเห็นว่า หงษ์ทอง เป็นนกในนวนิยายที่มีอิทธิฤทธิ์และอานุภาพ ทายาทรุ่นสองอย่าง ‘โกศล มานะธัญญา’  และ ‘กมล มานะธัญญา’ จึงคิดว่าชื่อนี้น่าจะมงคลแก่สินค้าของบริษัท 

7. ชาตราสามม้า

จากคำบอกเล่าของเพื่อนชาวจีนของอิศเรศ ทายาทชาตราสามม้า สมัยก่อนแบรนด์ชาของชาวแต้จิ๋วที่ใช้คำว่า ‘สาม’ นั้นมีอีกมาก ซึ่งน่าจะมาจากธรรมเนียมที่คนแต้จิ๋วจะมีจอกชาเตรียมไว้เพียงแค่สามใบเท่านั้น ไม่ว่าจะมีคนไปเยี่ยมที่บ้านกี่คน นอกจากนี้คุณปู่ของอิศเรศ ก็เคยทำชาตราหนึ่งไก่และสองเหรียญมาก่อนด้วย

8. แป้งเย็นตรางู

‘หมอล้วน ว่องวานิช’ คิดค้นแป้งเย็นขึ้นเพื่อรักษาชาวต่างชาติที่ปรับตัวกับอากาศร้อนในไทยไม่ได้จนเกิดผดผื่นคัน ส่วนชื่อแบรนด์นั้นมาจากที่ว่า งูนั้นหมายถึงโรคภัย ส่วนลูกศรที่ปักอยู่บนหัวงูหมายถึงการกำจัดโรคร้าย

9. หัวม้าลาย

‘เสถียร ยังวาณิช’ ตั้งใจใช้ชื่อสัตว์มาเป็นชื่อแบรนด์เพื่อให้คนจดจำง่าย แต่เพราะสัตว์ที่คนรู้จักแทบจะถูกจดทะเบียนไปหมดแล้ว เหลือเพียงแต่ส่วนหัวของม้าลาย โป๊ะเชะ! เสถียรมองว่าอย่างน้อยม้าก็นับเป็นสัตว์มงคลของจีน ชื่อหัวม้าลายจึงมีที่มาจากเรื่องนี้

อ่านฉบับเต็มที่ capitalread.co/animal-name

.

#capital #BrandName #CapitalList