สรุปเส้นทาง Bonchon ใต้ชายคา Minor ใช้เวลาเพียง 4 ปี เติบโตทะลุร้อยสาขา ขึ้นแท่นเป็นแบรนด์เรือธง

ย้อนกลับไปเมื่อ 4 ปีก่อนใครจะคิดว่าร้านไก่ทอดอย่าง Bonchon ที่มี 40 กว่าสาขาในวันนั้นจะเติบโตมาจนมี 106 สาขาในวันนี้ ทั้งยังเป็นแบรนด์ที่ Minor บอกได้อย่างเต็มปากว่านี่คือ ‘แบรนด์เรือธง’ โดดเด่นไม่แพ้แบรนด์อื่นๆ ที่อยู่ในเครือเดียวกันไม่ว่าจะเป็น The Pizza Company, Sizzler, Burger King หรือ Swensen’s ก็ตาม

นับตั้งแต่เข้ามาในไทยเป็นเวลา 12 ปี และเข้ามาอยู่ใต้ชายคาของ Minor อีก 4 ปี นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ Bonchon เปิดบ้านให้สื่อมวลชนเข้าไปสอบถามถึงแนวคิดกลยุทธ์การทำธุรกิจที่ทำให้ Bonchon กลายมาเป็นแบรนด์อันดับต้นๆ ของตลาดไก่ทอดเกาหลีในบ้านเราอย่างทุกวันนี้

โดยมีสองผู้บริหารอย่าง ธันยเชษฐ์ เอกเวชวิท ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และ ธนกฤต กิตติพนาชนม์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท สพูนฟูล (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทภายใต้ไมเนอร์ฟู้ด รับหน้าที่เป็นเจ้าบ้าน เล่า 12  ประเด็นสำคัญของการเปิดบ้านเป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปี

1. ช่วงปี 2562 หลัง Minor เข้าลงทุนใน Bonchon ได้ไม่นาน ทั่วทั้งโลกก็ต้องเผชิญกับวิกฤตโรคระบาด ที่ร้านอาหารทั่วโลกต้องปิดตัว และหันไปให้บริการเดลิเวอรีแทน จึงอาจทำให้หลายๆ คนมองว่า Minor เข้าลงทุนผิดเวลา

แต่แท้จริง Bonchon คือแบรนด์สำคัญที่เข้ามาเป็น ‘ตัวเปลี่ยนเกม’ ให้กับ Minor โดย Bonchon นับว่าเป็นแบรนด์แรกๆ ในเครือที่ปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว หันมาให้บริการผ่านช่องทางเดลิเวอรี จนสร้างยอดขายได้ทดแทนยอดขายจากหน้าร้านที่หายไป

2. นอกจาก Bonchon จะเข้ามาเสริมรายได้ช่วงวิกฤตโรคระบาดแล้ว หลังผ่านพ้นวิกฤตมาได้ Bonchon ก็ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2565 ที่ผ่านมา Bonchon สามารถสร้างยอดขายได้เติบโตราว 20% ซึ่งเป็นสัดส่วนที่เติบโตมากกว่าแบรนด์อื่นๆ ในเครืออีกด้วย

3. Minor เชื่อว่า Bonchon ยังมีโอกาสให้เติบโตอีกมากในประเทศไทย สะท้อนได้จากเทรนด์เกาหลีที่ยังคงมาแรงในประเทศไทย ผ่านซอฟต์พาวเวอร์อย่างการดูซีรีส์หรือภาพยนตร์เกาหลี ที่ทำให้หลาย ๆ คนอยากรับประทานอาหารเกาหลีตาม ประกอบกับพฤติกรรมของผู้คนหลังโรคระบาด เกิดสิ่งที่เรียกว่า “revenge eating” หรือทานแบบล้างแค้น อธิบายง่ายๆ ก็คือ ในช่วงโรคระบาด หลาย ๆ คนต้องอุดอู้อยู่แต่บ้าน หรือสั่งเดลิเวอรีมาทานก็ไม่หนำใจ เมื่อโรคระบาดหาย จึงเกิดการออกมารับประทานนอกบ้านมากขึ้นกว่าเดิม ในชนิดที่เรียกว่า “ล้างแค้น ที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้ทาน

4. เมื่อคนออกมารับประทานนอกบ้านมากขึ้น สิ่งที่ Bonchon อยากโฟกัสก็คือการขยายสาขา โดยปัจจุบัน Bonchon ถือเป็นผู้นำแบรนด์ไก่ทอดเกาหลีอันดับ 1 ในประเทศไทย ทั้งในแง่ของยอดขาย และสาขาที่มีด้วยกันถึง 106 สาขา โดยในปีนี้ Bonchon ตั้งเป้าไว้ว่าจะขยายเพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย 10-15 สาขา ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยสาขาต่างจังหวัดที่ Bonchon ได้เข้าไปเปิดแล้ว เช่น จังหวัดจันทบุรี, อุบลราชธานี, เชียงราย และพิษณุโลก ต่างก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ด้วยอัตราการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง จึงคาดว่าเส้นทางการขยายสาขาสู่ 150-200 สาขา จะเกิดขึ้นไม่ไกลเกินเอื้อม หรือเกิดขึ้นภายใน 5 ปีนับจากนี้

5. อีกเรื่องที่น่าสนใจคือ Bonchon จะมีการปรับปรุงหน้าร้านด้วยดีไซน์ใหม่ๆ ด้วยงบลงทุน 100 ล้านบาท ปัจจุบันหน้าร้านจะมีการตกแต่งด้วยกัน 2 แบบ คือ แบบเดิม Minimal Concept ที่ตกแต่งแบบเรียบๆ ใช้โทนสีดำ เทา กับแบบใหม่ Street Concept ที่ตกแต่งด้วยสีสันมากขึ้น และทำให้ร้านดูเข้าถึงกลุ่มวัยรุ่นมากขึ้น

6. ปัจจุบันสัดส่วนช่องทางการสร้างรายได้ของ Bonchon แบ่งออกเป็น Dine-in (ทานในร้าน) 50% เดลิเวอรี 40% และ Take Away (สั่งกลับบ้าน) 10% แต่ในอนาคต Bonchon อยากเน้นไปที่การทานในร้านเป็นหลัก จึงตั้งเป้าว่าจะมีสัดส่วนการทานในร้านเพิ่มขึ้นเป็น 70% ซึ่งวิธีที่การก็ง่ายๆ คือ จะมีการออกเมนูใหม่ๆ ที่เหมาะกับการทานในร้าน มากกว่าเดลิเวอรี เพื่อเป็นการดึงคนเข้ามาทานในร้านนั่นเอง

7. เหตุผลที่ทำให้ Bonchon อยากเน้นไปที่การทานในร้านเป็นหลักมากกว่า นั่นก็เพราะพฤติกรรม revenge eating ที่ได้พูดถึงไปก่อนหน้าส่งผลให้ค่าใช้จ่ายต่อบิลของลูกค้าเพิ่มขึ้น 10% โดยจะมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 800 บาทต่อบิล และส่วนใหญ่ลูกค้าจะมาทานเฉลี่ยโต๊ะละ 2 คน ในขณะที่ช่องทางเดลิเวอรี มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อบิลน้อยกว่าซึ่งอยู่ที่ 400-500 บาท ที่น่าสนใจก็คือ ลูกค้าแต่ละคนมีอัตราการกลับเข้ามาใช้บริการ Bonchon ซ้ำอย่างน้อย 1 ครั้งต่อเดือน

8. Bonchon ได้สร้างแอพพลิเคชั่นที่มีระบบสมาชิกให้สะสมแต้ม หวังสร้าง brand royalty ให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการซ้ำๆ มากขึ้น โดยหลังเปิดตัวได้เพียง 1 ปี มียอดสมาชิกแล้ว 300,000 ราย ซึ่งถ้าหากเป็นไปได้ ในปีนี้ ก็ตั้งเป้าว่าจะมีสมาชิกเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 2 ล้านรายเลยทีเดียว

9. Bonchon ไม่ได้มีเพียงไก่ทอด เพราะที่ผ่านมาก็มีเมนูอาหารจานหลักอื่นๆ ที่ขายดี เช่น กิมจิอูด้ง, ต็อกบกกี และบูแดจิแด (ซุปกิมจิ) โดยสัดส่วนการขายระหว่างไก่ทอดและเมนูอาหารอื่นๆ อยู่ที่ 60% ต่อ 40%

10. เชื่อว่าหลาย ๆ คนเคยตัดสินใจไม่ทานร้าน Bonchon คนเดียว เพราะมีขนาดใหญ่เกินไป ล่าสุด Bonchon ได้เปิดตัวไซส์ใหม่ ‘XS’ หรือไก่ทอดที่มาเพียง 4 ชิ้น ในราคา 129 บาท กลยุทธ์การปรับลดไซส์นี้ ไม่ได้เหมาะกับลูกค้าที่มาทานคนเดียวเท่านั้น แต่ยังเป็นกลยุทธ์ที่จะช่วยดึงดูดคนที่ไม่เคยทาน ให้กล้าเข้ามาลองรับประทานมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในต่างจังหวัด ที่จะช่วยให้เข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น

11. Bonchon ยังได้มีการเปิดตัว ‘ไบร์ท–วชิรวิชญ์ ชีวอารี’ เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์คนแรกของแบรนด์นับตั้งแต่เข้ามาขยายตลาดในประเทศไทยในรอบ 12 ปีอีกด้วย โดย ไบร์ท วชิรวิชญ์ จะเข้ามาช่วยสร้างความใกล้ชิดและขยายฐานกลุ่มผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นและคนรุ่นใหม่ที่เป็นเจนฯ Z ทั้งชาวไทยและต่างชาติ ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักและถูกพูดถึงเป็นวงกว้าง

12. เป็นเรื่องที่น่าจับตามองต่อไปว่าการมีพรีเซนเตอร์เป็นครั้งแรกของแบรนด์ในรอบ 12 ปี จะทำให้ Bonchon สร้างมูฟเมนต์อะไรใหม่อีกบ้าง และทำให้ตลาดไก่ทอดเกาหลีในไทยมีการขยับตัวไปในทิศทางใด เพราะเมื่อผู้เล่นรายใหญ่ขยับ ก็ย่อมสร้างแรงสั่นสะเทือนไปถึงผู้เล่นคนอื่นในตลาดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

Lynn Loaf โรงเรียนสอนทำขนมปังของซาวร์โดเลิฟเวอร์ที่ไม่อยากตามเทรนด์ แต่เน้นสอนให้ใช้ได้จริง

ดอกเฟื่องฟ้าข้างบ้านกำลังชูช่อรับแดดยามสาย เครื่องปิ้งขนมปังส่งเสียง ‘ติ๊ง’ ดังเป็นสัญญาณว่าอาหารเช้าพร้อมเสิร์ฟ นาทีต่อมาเธอยกจานขนมปังและเนยทำเองมาวางไว้ตรงหน้า บอกเราว่านี่คืออาหารเช้าง่ายๆ ที่กินมาหลายปี 

เรากล่าวขอบคุณ แล้วเริ่มละเลียดมันอย่างไม่รอช้า สัมผัสแรกคือความกรอบ อุ่น นุ่ม ตามมาด้วยรสชาติเปรี้ยวอันเป็นเอกลักษณ์ของขนมปังซาวร์โด (Sourdough) ที่ค่อยๆ แผ่ซ่านในปาก

สมัยที่เธอยังทำขาย ลูกค้าคนหนึ่งบอกว่านี่เป็นซาวร์โดที่อร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมา-เราไม่ค้านประโยคนั้นสักคำ

‘เธอ’ ที่อยู่ตรงหน้าเราตอนนี้คือ หลิน–สกุลลักษณ์ ไล้สุวรรณชาติ หญิงสาวผู้แทบจะเป็นทุกอย่างให้ซาวร์โดแล้ว เริ่มจากการเป็นคนกินขนมปังเป็นประจำมาสู่คนที่ทำกินเองทุกเช้า กลายเป็นเจ้าของร้านซาวร์โดที่ได้รับการบอกต่อปากต่อปากจนรับออร์เดอร์ไม่ไหว จนสุดท้ายเธอก็ตัดสินใจเลิกขายและผันตัวมาเป็นครูสอนทำขนมปังผู้ก่อตั้ง LynnLoaf (หลินโลฟ) โรงเรียนสอนทำขนมปังไซส์อบอุ่นย่านคลองสามวาที่สอนนักเรียนมาแล้วหลายร้อยคลาส

บทบาทล่าสุดคือการจับปากกาเขียนหนังสือชื่อ Nature of Sourdough ธรรมชาติ ธรรมดาของซาวร์โด เพื่อถ่ายทอดความรู้ที่เธอเรียนจากขนมปังมาตลอดหลายปี และเมื่อไม่นานมานี้ หนังสือเล่มแรกของเธอเพิ่งได้รับรางวัลระดับประเทศ จากเวที Gourmand World Cookbook Awards ในหมวด Best of the Best – Candidates ซึ่งมีหนังสือหมวดอาหารผ่านเข้ารอบเพียง 11 เล่มจากกว่า 1,000 เล่มทั่วโลก 

คงไม่เกินจริงถ้าจะบอกว่าสกุลลักษณ์คือหนึ่งในตัวจริงของวงการซาวร์โดเมืองไทย และโรงเรียน LynnLoaf ของเธอก็เป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ขนมปังรสเปรี้ยวชนิดนี้กลายเป็น must have item ประจำคาเฟ่ ร้านขนม และร้านอาหารหลายร้านในปัจจุบัน

ขนมปังคือความสุข

7 ปีอาจเป็นช่วงเวลานานมากพอที่จะทำให้เราเชี่ยวชาญกับบางสิ่งบางอย่าง และสำหรับบางคน มันก็นานพอที่จะพิสูจน์ว่าอยากใช้เวลากับสิ่งนั้นไปทั้งชีวิต 

7 ปีที่สกุลลักษณ์อยู่กับขนมปังก็เป็นแบบนั้น “เราเริ่มทำจริงๆ ตอนปี 2015 เราเป็นคนชอบกินขนมปังเป็นมื้อเช้าอยู่แล้วเลยอยากทำเอง เผอิญทำแล้วสนุก มันมีเสน่ห์ เวลาได้จับโดขนมปังมันเพลิน น่าจะเหมือนคนชอบวาดรูปที่จับพู่กันแล้วเพลิน” เธอเท้าความ

“จริงๆ  คำตอบที่ลึกลงไปกว่านั้นคือคนเรามักจะมีสิ่งที่อยากโฟกัสอยู่สองเรื่อง คือเรื่องความคิดกับความรู้สึก คนเราถ้าคิดเยอะแล้วจะทุกข์ แต่ถ้าสัมผัสจะหยุดคิด นั่นคือเหตุผลที่คนสัมผัสโดแล้วมีความสุข เพราะการทำโดมันเกี่ยวข้องกับการสัมผัสโดยตรง ในช่วงเวลาที่จับโด คุณจะไม่ได้ใช้ความคิด เหมือนเวลาที่เราได้ไปวิ่ง โยคะ ออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมอื่นๆ ที่ขยับเขยิบร่างกายนั่นแหละ”

ขนมปังก้อนแรกของสกุลลักษณ์คือขนมปังโฮลวีตร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งในเวลาต่อมาก็กลายเป็นสิ่งที่สร้างรายได้เสริมให้เธอ นอกเหนือจากธุรกิจขายเสื้อผ้าออนไลน์ที่เธอทำอยู่ “เราอยากได้รายได้เสริม พอได้มาทำขนมปังก็ลองศึกษาตลาดทางนี้ดูบ้าง และพบว่าในตลาดตอนนั้นยังไม่มีใครทำขนมปังโฮลวีตร้อยเปอร์เซ็นต์ขาย เราเลยเปิดเพจเฟซบุ๊กขายดู ปรากฏว่ามีแนวโน้มที่ดี ยอดขายเดือนหนึ่งแม้จะไม่ได้เยอะมาก แต่มีลูกค้ากลับมาซื้อเรื่อยๆ 

“เนื่องจากเราสนใจขนมปังสุขภาพ วันหนึ่งก็ไปเจอว่ามีสิ่งที่เรียกว่าซาวร์โด เราคิดอยากทำบ้าง แต่ตอนนั้นความรู้เกี่ยวกับซาวร์โดทุกอย่างมาจากเมืองนอกหมดเลย มันไม่มีคนไทยสอนเรื่องนี้ เราเลยฝึกทำเองอยู่เป็นปี ทำพังอยู่หลายรอบเพราะเราฝึกทำโฮลวีตซาวร์โดร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งมารู้ทีหลังว่ามันทำยากมาก เลยตั้งต้นใหม่จากซาวร์โดธรรมดาโดยใช้แค่แป้งขาวกับน้ำดู”

ขนมปังไม่มีทางลัด

ผลลัพธ์ออกมาเป็นซาวร์โดที่รสชาติพอรับได้ แต่พอหลินเทียบรูป ‘ลูก’ ของตัวเองกับรูปซาวร์โดในอินเทอร์เน็ตเธอก็ยังรู้สึกว่ามันแตกต่างกันพอสมควร หญิงสาวตัดสินใจบินไปเรียนกับเชฟต่างชาติสลับกับลองทำเองอย่างสม่ำเสมอ เมื่อสั่งสมความรู้กับประสบการณ์มาได้พักใหญ่ก็ตัดสินใจทำซาวร์โดขาย และเป็นตอนนั้นเองที่เธอตัดสินใจหยุดขายเสื้อผ้าเพื่อมาขายขนมปังเต็มตัว

“สิ่งที่ขนมปังสอนเราคือความอดทน มันต้องรอ เราจะพูดเสมอว่า You can’t cheat fermentation. คุณจะโกงการหมักไม่ได้ ถ้าคุณรีบทำแล้วอบ ขนมปังก็ออกมาไม่ดี คุณต้องอบในเวลาที่ใช่ ต้องผ่านการบ่มรสชาติจนได้ที่ มีการพัฒนาอย่างพอดี ต้องอดทน ต้องสังเกต และเข้าใจธรรมชาติของมัน

“เราว่าความรู้ทุกอย่าง ถ้าเราตั้งใจศึกษา มันจะบอกเราหมด ขนมปังสอนเราว่าถ้าเราชอบทำอะไรสักอย่างแล้วทำมันเป็นงานอดิเรกหรืองานของเรา ถ้าเราบ้าบอกับมันอยู่ตลอดเวลา ทำ คิด วิเคราะห์ ทำแล้วพังช่างมัน ไว้ค่อยกลับมาทำใหม่ เดี๋ยวก็ได้ความรู้จากมันเอง 

“จริงๆ ไม่ใช่แค่ขนมปังด้วย แต่ทุกอย่างเลย”

คนทำขนมปังที่ดีไม่เท่ากับครูที่ดี

“พอขายไปได้สักพัก ก็เริ่มมีคนถามอยากให้สอน” เธอเล่าจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เกิดธุรกิจต่อมาของเธอ

“เราเองก็คิดว่าดีเหมือนกัน เพราะถ้าเราทำขายไปเรื่อยๆ ชีวิตเราก็วนอยู่กับการคิดสูตรและรับออร์เดอร์ ช่วงนั้นเราเริ่มมีปัญหาสุขภาพด้วย เพราะเราเริ่มมาทำขนมปังขายตอนอายุจะ 40 อยู่ดีๆ จากคนที่เคยนอนเวลาปกติก็ต้องมาตื่นตี 2 ตี 3 มาทำขนมปัง เราต้องอดนอน มันเลยเป็นเหตุให้ต้องหยุดทุกอย่าง”

นอกจากความรู้เกี่ยวกับขนมปังที่แน่นปั้ก อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้สกุลลักษณ์เลือกจะเป็นครูสอนทำขนมปังแทนเพราะเป็นอาชีพที่ให้อิสระ สามารถออกแบบตารางสอนของตัวเองได้ตามใจ ประกอบกับในช่วงนั้นเทรนด์ของขนมปังเพื่อสุขภาพกำลังมา ผู้บริโภคทั่วโลกเริ่มให้ความสนใจกับการเลือกกินมากขึ้น ส่งผลให้คาเฟ่ และร้านอาหารหลายร้านเลือกใช้วัตถุดิบที่เฮลตี้มากขึ้น 

ขนมปังที่ผ่านกระบวนการหมักจากยีสต์ธรรมชาติอย่างซาวร์โดก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกนั้น

“ด้วยธรรมชาติของซาวร์โด จุดเด่นของมันคือมันถูกบังคับให้ทำช้าๆ มีแบคทีเรียที่จะทำให้ย่อยได้เร็วขึ้น แล้วจริงๆ ถ้าของมีประโยชน์แต่ไม่อร่อยมันก็ไม่ดังหรอกถูกไหม ซึ่งซาวร์โดมันจะมีรสเปรี้ยวๆ ซับซ้อน กินแล้วเจริญอาหาร” หญิงสาววิเคราะห์ให้เราฟัง

“เรารู้สึกว่าดีแล้วที่ซาวร์โดเป็นเทรนด์ขึ้นมา เพราะมันจะไม่ใช่เทรนด์ที่ดึงให้คนมาลองกินแล้วผ่านไปเท่านั้นหรอก เราเชื่อว่ามันต้องมีคนที่กินแล้วติดแล้วไปกินอย่างอื่นไม่ได้ เพราะมันดันไปเจอของอร่อย” เธอหัวเราะ

หลังจากขายขนมปังอยู่ 3 ปี สกุลลักษณ์จึงตัดสินใจเปิดโรงเรียน Lynn Loaf ที่เธออุทิศพื้นที่ส่วนหนึ่งของบ้านให้เป็นห้องเวิร์กช็อปสำหรับการสอนคลาสทำซาวร์โดและขนมปังโฮลวีตร้อยเปอร์เซ็นต์

ตอนแรก ‘ครูหลิน’ ตั้งใจจะสอนเพียง 2 คลาสเท่านั้น แต่ปรากฏว่านักเรียนที่ไม่มีพื้นฐานโฮลวีตกับซาวร์โดไม่สามารถเรียนได้ เธอจึงเพิ่มคลาสปูพื้นฐานสำหรับทั้ง 2 คลาส บวกกับคลาสปาเนตโตเน & ปันโดโร ขนมปังอิตาลีที่ขึ้นชื่อว่าทำยากสุดๆ อีก 1 คลาส รวมแล้วเป็น 5 คลาสเพื่อรองรับทุกความสนใจ

และถึงแม้จะรับจำนวนจำกัดเพียงคลาสละ 8 คน แถมราคาค่าเรียนอยู่ในเรตที่หลายคนมองว่าไม่ได้ถูก ห้องเรียนของ Lynn Loaf แทบทุกคลาสก็เต็มตั้งแต่ตอนเปิดจอง 

ที่เซอร์ไพรส์เธอมากกว่านั้นคือนักเรียนแต่ละคนยังมีแรงจูงใจอันหลากหลาย ไล่ไปตั้งแต่คนที่อยากมาเรียนเพื่อไปเปิดคาเฟ่ของตัวเอง คนที่อยากมาเรียนเพื่อความรู้ ไปจนถึงคนที่อยากมาเรียนเพราะสงสัยว่าทำไมสกุลลักษณ์ถึงกล้าตั้งค่าสอนในเรตนี้

“เราตั้งราคานี้เพราะไม่ชอบเอาสิ่งที่เราเห็นคุณค่าไปทำให้มันถูก ซึ่งคลาสแรกๆ มีคนมาเรียนแล้วบอกว่าเขาเรียนมาแล้วหลายที่ หลายราคา และที่มาเรียนที่นี่เพราะสงสัยว่าทำไมสอน 2 วันถึงกล้าตั้งราคานี้ เพราะตอนนั้นไม่มีใครตั้งราคานี้เลย” เธอเล่ากลั้วหัวเราะ “แต่พอวันที่สอง เขาบอกเลยว่าไม่ต้องลดราคานะ สอนแบบนี้ไปเรื่อยๆ”

ทว่าหนทางของการเป็นครูก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป สกุลลักษณ์ได้เรียนรู้ว่าหมวกของคนขายขนมปังและครูนั้นเรียกร้องสกิลที่แตกต่างกัน

“ถึงแม้เราทำขนมปังเป็นแค่ไหน แต่ถ้าเราไม่สามารถพูดให้คนเข้าใจได้ คนมาเรียนก็ไม่รู้เรื่องอยู่ดี เพราะฉะนั้น เบคเกอร์ที่ดีก็เรื่องหนึ่ง ส่วนครูที่ดีก็เป็นอีกเรื่อง คุณต้องอธิบายเรื่องยากๆ ให้คนเข้าใจได้ ต้องคิดถึงนักเรียนให้มากขึ้น  

“แม้กระทั่งนักเรียน 8 คนที่มาเรียน แต่ละคนมีแบ็กกราวนด์ไม่เหมือนกัน มือที่จับโดก็ไม่เหมือนกัน เราไม่สามารถสอน 8 คนด้วยวิธีเดียวกันได้ ก็ต้องมานั่งดูว่าเขาทำผิดอะไรแล้วบอกให้เขารู้ เรื่องพวกนี้ก็ค่อยๆ สะสมมาเองตอนที่สอน” 

ครูสอนทำขนมปังที่ใจดีที่สุด

คอร์สของครูหลินอาจถือเป็นคอร์สสอนทำขนมปังที่ใจดีที่สุด เพราะถึงแม้จะไม่มีการวัดผลตอนท้ายคาบ สกุลลักษณ์ก็อนุญาตให้นักเรียนมา ‘ซ้ำชั้น’ ได้อย่างเต็มใจ

“มันเริ่มจากคลาสแรกๆ มีน้องคนหนึ่งจะเปิดร้านขนมปัง แต่เนื่องจากเรามีนักเรียนหลายคนก็โฟกัสกับเขาไม่ได้ตลอด ประกอบกับเนื้อหาของเราเข้มข้นมาก เขาก็อาจจะมึนๆ เราเลยใช้เขามาซ้ำชั้นคลาสซาวร์โดอีกครั้ง เป็นเหมือนการนั่งฟังหลังห้อง ซึ่งกับน้องคนนี้ พอเราเห็นว่าเขามาซ้ำชั้นแล้วเข้าใจมากขึ้น เราเลยเริ่มให้คนอื่นมาซ้ำชั้นได้บ้าง เพราะสำหรับบางคน เขาเรียนเสร็จเขาไม่มีทางเก็บความรู้ได้หมด เขาต้องไปฝึกทำก่อนแล้วมาฟังอีกทีก็จะเก็ตมากขึ้น 

“หรืออย่างนักเรียนที่เคยเรียนด้วยกัน เราก็จะบอกเขาว่าถ้าคนที่เคยเรียนคลาสแรกๆ ถ้าจะมาซ้ำชั้นอีกทีช่วงนี้จะดีเลย เพราะความเป็นครูของเรามีเพิ่มขึ้น ความรู้และประสบการณ์จากการสอนก็เยอะขึ้นด้วย” เธอเล่าเปิดอก และขยายความต่อว่าถ้านับระยะเวลาจาก ‘คลาสแรกๆ’ จนถึง ‘ช่วงนี้’ Lynn Loaf ก็เดินทางเข้ามาสู่ขวบปีที่ 5 เธอสอนนักเรียนมากว่าร้อยคลาส และมีรายชื่อผู้สมัครเข้าเรียนมากว่าหนึ่งพันคน

เทรนด์ในวงการขนมปังก็มีการขยับเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย อย่างซาวร์โดเองกลายเป็นที่รู้จักในแวดวงคาเฟ่ฮอปปิ้งและคนกินขนมปังกันอย่างแพร่หลาย มีหลายโรงเรียนเปิดสอนคลาสซาวร์โดโดยเฉพาะ ถึงอย่างนั้น สกุลลักษณ์มองว่าเทรนด์ของซาวร์​โดสามารถบูมได้กว่านี้ และจะไม่ใช่กระแสชั่วคราวที่มาแล้วจากไป แต่กลายเป็นเมนูที่ทุกคนกินกันในชีวิตประจำวันในที่สุด

แต่ไม่ว่าสิ่งต่างๆ จะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน สกุลลักษณ์ก็ยังจะตั้งใจกับการถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับขนมปังในห้องเรียนทั้ง 5 คลาสของเธอให้ดีที่สุดเหมือนเดิม

“เพราะถ้าต้องไปตามคิดคลาสตามเทรนด์ ขนมปังตัวไหนมีกระแสก็สอนทำบ้าง แบบนั้นคุณจะเหนื่อยมากเลยนะ” เธอบอก “แต่ถ้าคุณมีของเด็ดๆ แค่ 5 ตัว แล้วมันมั่นคงมาก คุณจะอยู่ได้เรื่อยๆ แม้ไม่ได้หวือหวา รายได้เดือนหนึ่งจะฟิกซ์อยู่ประมาณหนึ่ง แต่ธุรกิจคุณก็จะราบรื่น”

แล้วในฐานะคนทำธุรกิจ คุณไม่อยากมีเงินเยอะๆ เหรอ–เราสงสัย

“เรามองว่าชีวิตมันไม่ได้มีแค่เรื่องหาเงิน เราอยากมีรายได้พอจะทำให้เราอยู่ได้อย่างปลอดภัย ในขณะเดียวกันก็มีเวลาของตัวเองและอิสระด้วย ถามว่าจริงๆ คนเราต้องการอะไร ต้องการอิสระใช่ไหม แต่ปัญหาของคนส่วนใหญ่คือมีเงินแต่ไม่มีเวลา บางคนก็มีเวลาแต่ไม่มีเงิน แต่ชีวิตที่เราทำอยู่ทุกวันนี้ เรามีเงินพอใช้จ่ายแบบไม่ได้เว่อร์วังและมีเวลา

“ถ้าคุณไปวิ่งตามเทรนด์ โอเคคุณมีเงิน แต่ไม่แน่คุณอาจจะมีปัญหาสุขภาพถ้าคุณทำแบบนั้น มันก็อยู่ที่การให้ความสำคัญและอายุด้วย ถ้าเราเป็นคนอายุน้อย 20-30 เราคงเปิดร้านของตัวเองไปแล้ว แต่พออยู่ในวัยเราที่ใกล้ 50 มันต้องรู้จักลงแล้ว แล้วลงให้สวยด้วย

“สุดท้ายแล้วทุกคนอยากได้ในสิ่งที่ต้องการ เราทำแบบนี้เพราะเราต้องการแบบนี้ บางคนอาจจะมองว่าอยู่เงียบๆ ไม่เห็นมีอะไรเลย แต่การประสบความสำเร็จของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน บางคนอยากมีร้านเยอะๆ เปิดหลายสาขา แต่เรามองว่าเราเปิดโรงเรียนนี้เราก็สำเร็จของเราแล้ว 

“ถึงจะเป็นการทำธุรกิจแบบเรียบๆ แต่งานของเรามันทำให้เราเลือกชีวิตเราได้” ครูสอนทำขนมปังสรุปด้วยรอยยิ้ม

‘เลี่ยวเลี่ยงเซ้ง’ กับการส่งต่อวัฒนธรรมอาหารจีนแต้จิ๋วผ่านเมนูเด็ดมากว่า 140 ปี

เลี่ยวเลี่ยงเซ้ง มาจากคำ 3 คำ

เลี่ยว มาจากแซ่เลี่ยว เลี่ยงเก้อ แปลว่า 2 ส่วนเซ้งคือความเจริญรุ่งเรือง รวมกันเป็นชื่อร้านภาษาจีนในนามเลี่ยวเลี่ยงเซ้งที่ทายาทรุ่น 4 ของร้านบอกว่า “สิ่งที่เหล่ากงสอนคืออยากให้จดจำกันไว้ว่าจะทำอะไรให้ทำสองคน ให้ช่วยกันทำจะได้เจริญรุ่งเรือง”

กวางสูง แซ่เลี่ยว ผู้ก่อตั้งร้านรุ่นแรกหรือเหล่ากงสำหรับสมาชิกในครอบครัวเปิดกิจการร้านอาหารกับเพื่อนอีกคนหนึ่ง เริ่มต้นทำอาหารพื้นบ้านแต้จิ๋วกัน 2 คน จนบัดนี้ร้านอาหารที่เยาวราชแห่งนี้อายุราว 140 กว่าปีแล้ว เป็นร้านที่เหล่าเจ้าสัวนักธุรกิจ คนต่างชาติทั้งฮ่องกง อินโดนีเซีย มาเลเซีย คนไทยเชื้อสายจีนที่ถูกปากกับอาหารจีนโบราณรู้จักกันดีมาตั้งแต่รุ่นคุณปู่คุณทวด เพจและยูทูบเบอร์สายรีวิวของอร่อยเด็ดแวะเวียนกันมาไม่ขาดสาย นอกจากเมนูคลาสสิกเลื่องชื่อที่คงคุณภาพการทำแบบดั้งเดิมแล้ว ยังเป็นร้านแรกของไทยที่ทำไอศครีมขายอีกด้วย 

เลี่ยวเลี่ยงเซ้งในวันนี้อยู่ในความดูแลของ กร–กฤษกร เดี่ยวปรัชญารักษ์ ทายาทรุ่น 3 ผู้เป็นพ่อ ที่บอกว่าอาหารแต้จิ๋วไม่ได้แปลกแต่มีรายละเอียดต้องใส่ใจ และ พาวด์–จักรินทร์ เดี่ยวปรัชญารักษ์ ทายาทรุ่น 4 คนหนุ่มที่มีฝีมือการทำอาหารจากการเรียนรู้กับครอบครัว

ในโอกาสที่ได้มาเยือนร้านแห่งตำนานในวันนี้ ขอชวนล้อมวงนั่งโต๊ะจีนเรียนรู้ศาสตร์การทำกิจการร้านอาหารนอกตำราผ่านเมนูอาหารที่ยืนระยะมามากกว่า 1 ศตวรรษ

ไอศครีมเจ้าแรกในไทย

เหล่ากงเป็นคนจีนที่ชงน้ำชาเป็นกิจวัตรจึงเริ่มจากขายน้ำชารถเข็น ต่อมามีโอกาสรู้จักกับสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ซึ่งเป็นผู้พระราชทานทุนทรัพย์และที่ดิน 1 คูหาทำให้มีโอกาสเปิดหน้าร้านครั้งแรกเป็นร้านขายไอศครีมบริเวณท่าน้ำราชวงศ์ ที่เรียกกันว่า ‘ไอศครีมราชวงศ์ 555’

เพราะเหตุผลแรกคือขายที่ท่าน้ำราชวงศ์ เหตุผลที่สองคือสมัยก่อนร้านไอศครีมโด่งดังมากจนมีการนำบุหรี่ตรา cigarette 555 มาฝากวางขาย ผู้คนทั่วพระนครเลยจดจำชื่อบุหรี่คู่กับไอศครีมผสมกันกลายเป็น ‘ไอศครีมราชวงศ์ 555’

สูตรของไอศครีมยุคบุกเบิกนั้นเกิดจากการที่เหล่ากงเป็นข้าราชบริพารติดตามเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์รัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสสิงคโปร์ ในยุคนั้นโรงน้ำแข็งในประเทศยังไม่แพร่หลาย ไทยต้องนำเข้าน้ำแข็งจากสิงคโปร์ การเยือนต่างประเทศในครั้งนั้นทำให้เหล่ากงมีโอกาสนำน้ำแข็งจากสิงคโปร์มาทำไอศครีมสำหรับตั้งโต๊ะเสวยถวายรัชกาลที่ 5 เมื่อกลับไทยจึงได้สูตรและอุปกรณ์สำหรับทำไอศครีมขาย เกิดเป็นไอศครีมเจ้าแรกในไทย

พาวด์ผู้เป็นเชื้อสายของเหล่ากงบอกว่าการขายไอศครีมเป็นเจ้าแรกนั้นไม่ง่ายเพราะต้องทำแบบแฮนด์เมด “สมัยนี้ยังไม่มีเครื่องจักรสำหรับทำไอศครีม ในยุคนั้นเขาใช้เชือกดึงอย่างเดียว เอาเชือกผูกรอบถังแล้วมัดอ้อมหลังเราไว้ เสร็จแล้วดึงซ้ายดึงขวา มันคือการปั่นคล้ายกับวิธีทำไอศครีมหลอด” 

รสซิกเนเจอร์ของร้านคือทุเรียน “เราใช้วัตถุดิบที่คัดสรรอย่างดี  ใช้เนื้อทุเรียนแท้ที่สุกกำลังดี ไม่ใช้ทุเรียนเละ ไอศครีมวานิลลาก็ใช้หัววานิลลาที่หอมที่สุด” รสอื่นๆ นอกจากนี้มีรสคลาสสิกอย่างกาแฟ ช็อกโกแลต ชาเขียว ชาไทย มะพร้าว ฯลฯ ขายดิบขายดีจนทุกวันนี้ผู้คนยังตามมาชิมรสละมุนของไอศครีมเจ้าแรกที่ร้านอาหารจีนแห่งนี้  

ความคลาสสิกที่สดใหม่ของอีหมี่เส้นสด

ด้วยพื้นเพเป็นคนแต้จิ๋ว หลังขายของหวานไปสักพัก เหล่ากงมีโอกาสไปร่ำเรียนต่อที่เมืองจีนและกลับประเทศไทยพร้อมเพื่อนผู้เป็นเชฟมือหนึ่งที่รู้สูตรและกลเม็ดเคล็ดลับการทำอาหารพื้นบ้านสูตรแต้จิ๋วจึงเปลี่ยนทิศทางมาทำกิจการร้านอาหารจีน

หนึ่งในเหตุผลที่เปลี่ยนมาทำอาหารคาวเพราะทำเล ในช่วงระยะเวลารวมกว่าศตวรรษของร้านมีเหตุจำเป็นต้องย้ายที่ตั้งร้านหลายครั้ง จากท่าน้ำราชวงศ์มาเป็นแถวพระราม 4 และมาลงเอยที่เยาวราชในปัจจุบัน
เมื่อเปลี่ยนย่านประกอบกับมีเชฟผู้พร้อมเคียงบ่าเคียงไหล่ เหล่ากงจึงไม่อยากขายแค่ไอศครีมอีกต่อไป

ตั้งแต่ช่วงที่เปิดกิจการยุคแรกนั้นเริ่มจากขายเมนูคลาสสิกของอาหารจีนแต้จิ๋วที่ยังขายต่อเนื่องมาถึงทุกวันนี้ หนึ่งในเมนูเลื่องชื่อของร้านคืออีหมี่สูตรโบราณที่ปัจจุบันนี้หาทานได้ยาก ลักษณะเป็นบะหมี่ไข่ ความพิเศษคือกรอบนอกนุ่มใน เส้นข้างบนจะกรอบ ส่วนข้างล่างจะนิ่ม คนจีนนิยมทานคู่กับจิ๊กโฉ่วและน้ำตาล​ พาวด์บอกว่า “สมัยก่อนเราจะเอาเส้นหมี่ที่นิ่มๆใต้จานมาเสิร์ฟคู่กับน้ำซุป 1 ถ้วย คนจะกินกันแบบนี้คล้ายก๋วยเตี๋ยว” 

กรรมวิธีการตีเส้นในสมัยโบราณมีความพิเศษตามที่พาวด์เล่าคือ “เมื่อก่อนใช้วิธี ‘กระโดดไม้ไผ่’ นวดแป้งให้เข้าตัวกันระดับหนึ่ง เอาขาขึ้นแท่น แล้วใช้ไม้ไผ่ขย่ม เดี๋ยวนี้ก็เปลี่ยนจากกระโดดมาใช้เครื่องตีเส้นแต่ยังคงการทำเส้นสดใหม่ทุกวัน”

เอกลักษณ์คือความสดใหม่ที่ตีเส้นเองแค่วันต่อวันเท่านั้นและไม่ใส่น้ำด่างสารเคมี “ส่วนมากเราตีเส้นตอนเช้าสำหรับขายรอบหนึ่ง ถึงตอนบ่ายเราก็ตีเส้นอีกรอบหนึ่งเพื่อคงความสด” การสืบทอดเมนูคลาสสิกแบบนี้จึงต้องขยัน หมั่นตีเส้นทุกวันด้วยความตั้งใจให้ลูกค้าได้ทานของสดใหม่ที่สุด 

ศาสตร์อบด้วยเตาถ่านที่เสิร์ชเรียนไม่ได้ 

กรรมวิธีชูโรงของอาหารแต้จิ๋วที่เลี่ยวเลี่ยงเซ้งรักษาไว้คือการอบอาหารด้วยเตาถ่านดั้งเดิม มีลักษณะคล้ายเตาอั้งโล่ที่ใช้กับถ่านกาจี้ ภาษาไทยเรียกถ่านไม้โกงกาง เป็นถ่านสำหรับทำอาหารโดยเฉพาะที่จุดแล้วไฟแรง

หากเป็นเมนูอย่างข้าวอบเผือก ขาห่านอบหม้อดิน พาวด์บอกว่าต้องใช้ไฟอ่อน “ใช้เตาถ่านค่อยๆ อบช้าๆ ต้องใช้ระยะเวลา เริ่มจากไฟอ่อนจัดแล้วค่อยๆ เร่งไฟให้แรงขึ้น พอเครื่องหอม รสชาติเข้าที่หมดแล้วถึงนำเสิร์ฟ”

พาวด์ยังเล่าถึงที่มาของข้าวอบเผือกว่าทำไมถึงเป็นเมนูพื้นบ้านของคนแต้จิ๋ว “ในสมัยก่อนซัวเถามีภูเขาล้อมรอบ ฝนเข้าไม่ถึงทำให้พวกพืชผัก ธัญพืชและข้าวมีน้อย คนแต้จิ๋วเลยเอาหัวเผือกและหัวมันมาใส่ผสมข้าวให้มีปริมาณเยอะขึ้น ด้วยไม่อุดมสมบูรณ์มากทำให้การประกอบอาหารส่วนใหญ่ในสมัยนั้นมักใช้วิธีถนอมอาหารอย่างการหมักเค็มให้วัตถุดิบมีรสชาติมากขึ้น เช่น ถั่วดำหมักเค็มหรือเต้าซี่ เอามากินกับข้าวต้มหรือกินกับปลาก็ได้”

“เวลาอบปลาก็จะนำไปอบทั้งดิบๆ เลย เอาเครื่องอบโปะไว้ด้านบน ค่อยๆ อบด้วยไฟอ่อนๆ จนปลาสุกและหอม” ด้วยกรรมวิธีอบที่ใช้ความใจเย็นแบบคนรุ่นก่อนนี้เองที่ทำให้พาวด์บอกว่าเมนูของที่ร้านมีเอกลักษณ์ “ความยากในการอบคือคุมไฟยาก สำหรับผมจะมีเทคนิคคือถ้าไฟแรงเกินไปเราก็กลบขี้เถ้า ถ้าไฟเบาเราก็เขี่ยขี้เถ้าแล้วเติมถ่าน ต้องใช้ความเชี่ยวชาญประมาณหนึ่ง”

เป็นความเชี่ยวชาญที่เสิร์ชหาจากกูเกิลหรือยูทูบไม่ได้ ต้องเรียนรู้จากรุ่นสู่รุ่นในครอบครัว

ศิลปะการใช้ไฟเหมือนการเผาอัญมณี

เมนูที่ต้องใช้ไฟแรงในการผัด ได้แก่ ผัดผักคะน้าลิ้นเป็ด ผัดคะน้าหน่อไม้ทะเล ออส่วน ฯลฯ นอกจากเตาดั้งเดิมที่ใช้อบแล้ว ที่ร้านยังมีเตาถ่านสำหรับผัดซึ่งพาวด์เล่าว่าเตาแบบนี้ส่วนมากมีเฉพาะที่วัดเส้าหลินในสมัยก่อน 

การผัดกระทะจนไฟลุกอาจเป็นภาพที่หลายคนมักเห็นเชฟฝีมือดีผัดโชว์ วันนี้กรโชว์การผัดด้วยไฟแรงให้ดูเช่นกัน เมื่อยืนหน้าเตาถ่านในครัวเล็กๆ แห่งนี้ สายตาพ่อครัวที่เฉียบคมมองวัตถุดิบในการทำอาหารเหมือนอัญมณีล้ำค่า “เวลาเผาเพชรเผาพลอยต้องใช้ไฟแรงและความร้อนในการเผาให้ซึมเข้าไปในเนื้อเพชร ผัดกับข้าวก็เหมือนกัน เวลาผัดอุณหภูมิร้อนจัดจะทำให้ความเค็มของซีอิ๊วกลมกล่อมกับอาหาร รสชาตินี้เราต้องบาลานซ์ให้ดี เวลาผัดกับซีอิ๊วมีซอสหลายตัว ซีอิ๊วขาว ซีอิ๊วดำที่รสเค็มไม่เหมือนกัน อยู่ที่ตัวเราบาลานซ์ว่าชอบแบบไหน” 

พาวด์ยังบอกเคล็ดลับว่า “ความร้อนในระยะเวลาที่พอดีจะทำให้อาหารหอม เวลาผัดผักจะไม่ ‘ตายนึ่ง’ หมายความว่าถ้าผัดนานเกินไป ผักจะไม่กรอบ ที่คุณพ่อผมทำคือผัดจานหนึ่งใช้เวลาประมาณ 10-15 วินาที” เน้นผัดเร็วด้วยไฟแรง ผัดคะน้าต้องใช้คะน้าฮ่องกงต้นใหญ่คล้ายกระบองที่มีความกรอบกำลังดี หวาน และไม่มีเสี้ยน” 

“ความสนุกคือเวลาไฟติดแรงแล้วผัดต่อเนื่องจะมันมากเลย ผัดให้เร็ว เสร็จจานนี้แล้วต่อจานนั้นไปเรื่อย”  เมื่อลองชิมออส่วนแล้วการันตีว่าจานที่ผ่านไฟนั้นอร่อย คุ้มค่าแก่การมาลองชิม

ปรุง ‘เณรกระโดดรั้ว’ ด้วยวัตถุดิบชั้นเซียน

เมนูอาหารจีนที่ขึ้นชื่อว่าแพงและรวมวัตถุดิบที่ดีที่สุดคือเณรกระโดดรั้วและพระกระโดดกำแพง ตำนานที่มาของชื่อเมนูซึ่งชาวจีนเล่าต่อกันมาตามคำบอกเล่าของพาวด์คือ “ชาวบ้านที่อาศัยอยู่รอบวัดตุ๋น ซุปจนหอม กลิ่นลอยข้ามกำแพงวัดไป พระเลยกระโดดออกมาดูว่าเป็นกลิ่นอะไร”

‘เร่งไฟให้หอมฟุ้งจรุงซ่าน สมณะสละฌานกระโดดกำแพง’ คือบทกลอนอันเป็นคำกล่าวขานของอาหารชามนี้ที่เปรียบเปรยว่ามีรสเลิศล้ำมากจนแม้แต่หลวงจีนที่บำเพ็ญเพียรอยู่ยังสมาธิแตกซ่าน ต้องกระโดดข้ามกำแพงมาขอชิม

จากตำนานแดนมังกรสู่ครัวของเลี่ยวเลี่ยงเซ้งที่พยายามสืบทอดการคัดสรรวัตถุดิบที่ดีที่สุดเป็นชามรสเลิศ กรบอกว่าวัตถุดิบชั้นดีที่เรียกว่าซัมเซียน หรือ สามเซียนอย่างกระเพาะปลาสด เป๋าฮื้อ ปลิงทะเลนั้น หากปรุงด้วยวิธีดั้งเดิมต้องใช้เวลานาน “เป๋าฮื้อที่ดีต้องเป็นแบบสด ตากแห้งมาและไม่ผ่านกรรมวิธีใด เอามาตุ๋นให้นิ่ม 10 วัน ใส่รวมกับเครื่องยาจีน ใช้ระยะเวลาตุ๋นรวมแล้วเกือบ 20 วัน” 

กรรมวิธีโบราณมักต้องใช้เวลาในการต้ม หมัก แช่ข้ามวันข้ามคืนเพื่อให้วัตถุดิบนิ่ม กลมกล่อม และสะอาด เมื่อหันมาดูตลาดร้านอาหารในปัจจุบันพบว่าที่มาของวัตถุดิบหลายอย่างมักเน้นความเร็วและสะดวกทำให้อาหารเป็นพิษกับผู้บริโภคไม่ว่าจะเป็นอาหารทะเลส่งตรงจากโรงงานที่ผ่านการแช่โซดาไฟซึ่งไม่ใช่เกรดอาหาร แปะก๊วยที่กัดน้ำยาฟอกขาวเพื่อให้หน้าตาและสีสันสวยงาม กรบอกเคล็ดลับในการดูแปะก๊วยว่า “แปะก๊วยที่ใส่ในโหงวก๊วย (ผัดผัก) นั้นมีสีดำ ของธรรมชาติต้มยังไงก็ไม่สวย”

การสืบทอดวิธีการทำดั้งเดิมแบบนี้ทำให้ต้นทุนสูงแต่แน่ใจได้ว่าความสะอาดและปลอดภัยมาพร้อมความอร่อยแน่นอน “ปู่ย่าตายายสอนมาว่าอะไรที่เรากินเองเราก็ขาย ถ้าเราไม่กินเองเราไม่ต้องขาย วัตถุดิบที่ดีนั้นไม่ใช่แค่ทำให้อาหารอร่อยแต่บำรุงร่างกายได้หลายส่วน คนจีนถึงพูดกันว่าอาหารจีนเป็นยาบำรุง” 

จรรยาบรรณในการทำธุรกิจร้านอาหารให้สามารถดำเนินกิจการมามากกว่าร้อยปีคือการสืบทอดเจตนารมณ์การทำอาหารให้เป็นยาตามหลักคิดของคนจีนดั้งเดิม ไม่ทำให้อาหารกลายเป็นยาพิษที่ใช้วิธีลัดตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไป

‘ปลาว่ายน้ำ’ ที่พิถีพิถันในความสดเป็นหลักนาที

รสมือของพ่อครัวระดับเซียนไม่ได้มาจากพรสวรรค์เท่านั้นแต่เป็นความละเอียด  

พาวด์บอกว่าวิธีการเลือกวัตถุดิบอย่างปลา มีเทคนิคคือต้องเลือก ‘ปลาว่ายน้ำ’ หรือปลาเป็นเท่านั้น วินาทีที่ลูกค้าสั่งถึงค่อยนำปลามาประหารเพื่อคงความสดใหม่ ไม่ควรเตรียมไว้ล่วงหน้า 

“คุณพ่อเคยเล่าให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งลูกค้าขาประจำมากินที่ร้าน เจ้านี้กินตั้งแต่เด็กเมื่อครั้งมากับรุ่นปู่รุ่นทวด พอพ่อเห็นลูกค้าก็ช้อนปลาเข้าครัวตั้งแต่ยังไม่สั่งเมนูเลย ด้วยความกินมานานเลยรู้ว่าเจ้านี้มาแล้วสั่งเมนูปลาแน่ วันนั้นปลาว่ายน้ำเอียงๆ แบบเชิดหน้าขึ้นจากน้ำแปลว่ากำลังหาอากาศและใกล้ตายตั้งแต่อยู่ในน้ำ พอลูกค้ากินจานนี้ไปเขาก็บอกว่า เฮีย วันนี้ปลาไม่สด” 

ความแตกต่างแค่เสี้ยวนาทีหรือลักษณะปลาที่ต่างออกไปเล็กน้อยก็มีผลต่อความสด งานทำอาหารจึงเป็นงานที่ต้องใส่ใจในรายละเอียดอย่างมาก 

ครัวคือ R&D Lab ที่คิดค้นสูตรและทดลองทำ 

กรสอนว่าการทำอาหารต้องผ่านการทดลอง ไม่ได้คิดเมนูแล้วออกมาเป็นสูตรสำเร็จทันทีเลย

“ก๋วยเตี๋ยวหลอดก็ลองสารพัดจะลองมาหลายสูตรกว่าจะออกมาลงตัว เมนูนี้เตี่ยกับเพื่อนคิดสูตรขึ้นมาเองตั้งแต่เปิดร้าน ไม่ได้เอามาจากจีน ทดลองห่อแผ่นเกี๊ยวไปนึ่ง สุดท้ายพอเอาแผ่นก๋วยเตี๋ยวมาห่อแล้วใช้ได้”  

อีกเมนูหนึ่งที่สูตรไม่เหมือนใครคือแห่จ๊อที่มีความพิเศษเป็นไส้ปูล้วน เมื่อกัดแล้วรู้สึกถึงเนื้อปูแน่นเต็มคำ “ที่อื่นเอาเนื้อปูมาห่อด้วยฟองเต้าหู้  นึ่งแล้วเอาไปทอด จะหนักไปทางแป้ง ห่อเสร็จแล้วเอามาตัดเป็นลูกๆ พร้อมทอด แต่แห่จ๊อของเราใช้กุ้งเป็นตัวไซส์ใหญ่ เอามันหมูมาห่อแล้วทอดเลย ไม่ได้นึ่งเพราะกุ้งทั้งตัวไม่เหมาะกับนึ่ง จะทำให้ห่อฟองเต้าหู้เละ แฉะ ยุ่ย” เป็นกรรมวิธีพิเศษที่คิดค้นขึ้นเอง 

ด้วยความที่ร้านเก่าแก่จึงมีลูกค้าเก่าที่สนิทสนมกันมาเนิ่นนาน บางครั้งจึงมีเหตุการณ์ที่พาวด์บอกว่าต้องใช้ทักษะหน้าครัวในการประยุกต์ “เคยมีลูกค้าเอาหอยที่ไม่รู้ชื่อพันธ์ุมาแล้วบอกว่าอยากให้ลองทำเมนูเป๋าฮื้อให้กินหน่อย คือบางครั้งลูกค้าอยากลองเปลี่ยนดู เพราะเป๋าฮื้อจากคนละสถานที่ก็มีรสไม่เหมือนกัน บางตัวหอม บางตัวหวานหรือหนึบก็มี เคสแบบนี้เราต้องทดลองทำสดเลย ลองปรุงและชิมดูหน้าครัว ต้องมีทั้งจินตนาการและความรอบรู้ทางด้านวัตถุดิบผสมกัน” 

ด้านรสชาติ แม้สูตรเมนูหลักจะคงที่มาตั้งแต่รุ่นเหล่ากงแล้วแต่ทายาทรุ่นปัจจุบันบอกว่าหน้างานอาจปรับเปลี่ยนเล็กน้อยบางครั้งให้เหมาะกับลูกค้า เช่น ปรับรสให้อ่อนลงหรือเข้มขึ้นตามความชอบส่วนบุคคล ลดซอสที่เข้มข้น ไม่ให้เค็มเกินไปสำหรับลูกค้าที่เป็นโรคไต

ครัวจึงเป็นสถานที่ทดลอง ปรับเมนูไปได้เรื่อยๆ อย่างไม่สิ้นสุดตราบใดที่ยังเปิดร้านอาหารอยู่ 

รักษาแฟนคลับที่ชื่นชอบอาหารแต้จิ๋วสูตรโบราณ

เมื่อถามว่าทุกวันนี้แฟนคลับของเลี่ยวเลี่ยงเซ้งเป็นคนกลุ่มไหน พาวด์บอกว่า “มีหลายกลุ่มและทุกเพศทุกวัย โดยปกติลูกค้าเราเป็นคนฮ่องกง แต่เดี๋ยวนี้ก็มีคนโซนเอเชียแถบฮ่องกง อินโดนีเซีย มาเลเซีย จะมีทั้งวัยรุ่นและคนมีอายุ ถ้าคนไทยส่วนมากจะเป็นคนมีอายุหรือวัยทำงาน” 

จุดร่วมของลูกค้าคือความชอบในอาหารจีนแต้จิ๋วที่พาวด์บอกว่า “ส่วนใหญ่เขากินกันมานานแล้ว บางคนกินตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นย่าหรือรุ่นคุณทวดก็มี ลูกค้าหลายคนมาบอกว่าเดี๋ยวนี้หากินแบบนี้ที่เป็นรสชาติโบราณ ใช้กรรมวิธีแบบโบราณไม่ได้แล้ว เขาชอบกินรสชาติที่มีความเป็นแต้จิ๋ว” 

จากมุมมองของพาวด์ที่เป็นลูกหลานชาวจีนรุ่นใหม่ เขามองว่าเสน่ห์ของอาหารแต้จิ๋วคือรสชาติกลมกล่อม รสชาติออกเค็มนิดหน่อยแต่โดยรวมมีความกลมกล่อม “อาหารแต้จิ๋วจะเด่นเรื่องการอบ การนึ่ง การผัดที่ใช้ไฟ ถ้าเป็นสไตล์ฮกเกี้ยน กวางตุ้งจะเน้นเป็นพวกติ่มซำ เรียกว่าถนัดคนละเมนู ลักษณะของอาหารจะต่างกัน” 

สำหรับพาวด์มองว่าทุกวันนี้ตลาดอาหารจีนแพร่หลายขึ้นแต่ไม่ใช่สูตรโบราณที่แพร่หลาย “ถ้าฟังจากที่ลูกค้าพูดกันมาคือจากยุคก่อนถึงปัจจุบันอาหารจีนเปลี่ยนไปเยอะ คนจีนยุคใหม่จะติดมันและเลี่ยนขึ้น นิยมรสเค็มจัด หวานจัดมากขึ้น” ภาพจำของอาหารจีนสำหรับคนรุ่นใหม่อาจเป็นติ่มซำ แต่คนรุ่นใหม่ที่ไม่ใช่ลูกหลานคนจีนอาจไม่รู้ว่าเมนูอย่างห่านพะโล้ เป็ดพะโล้ แพะเย็น และอีกสารพัดเมนูที่สองพ่อลูกเล่ามาก็เป็นอาหารจีนแต้จิ๋วด้วยเช่นกัน

ฝีมือดีอยู่ที่ลิ้น

ศาสตร์การทำอาหารในทุกเมนูที่กล่าวมานี้ไม่ได้อยู่ในตำรา ทำให้กิจการร้านอาหารของเลี่ยวเลี่ยงเซ้งอยู่มานานเกินกว่าศตวรรษเพราะคงเอกลักษณ์เดิมที่ไม่เหมือนที่อื่นในวันที่โลกหมุนไปทั้งอุปกรณ์ในครัวอย่างเตาถ่าน สูตรลับในการทำ และความตั้งใจที่ดี  

พาวด์ ทายาทรุ่น 4 บอกว่าแม้เรียนตรงสายด้านธุรกิจอาหารมาแต่อาจารย์ที่คณะกับคุณพ่อสอนไม่เหมือนกันเลย “อาจารย์สอนตามตำราเป๊ะ ส่วนพ่อสอนเหมือนพ่อสอนลูก เรียนกับคุณพ่อตั้งแต่ประถม ใช้การฝึกเสียส่วนมาก เรียนแล้วไปลองทำเอง ดีไม่ดีก็มาคุยกัน” 

ในขณะที่กร ทายาทรุ่น 3 ผู้ทำอาหารมานานบอกว่า “ผมไม่ได้เรียนทำอาหารมา ผมได้ที่ลิ้น กินอาหารทำเองในครอบครัวตลอด พอถึงวันที่ต้องลงมือทำ เราจะรู้ว่ารสชาติที่ดีเป็นแบบไหนเพราะเคยเห็นในครัวมาแล้ว กุญแจสำคัญคือลิ้น นี่คือประสบการณ์และความชำนาญ พอผัดได้ที่ เราก็จะรู้ว่าแบบนี้ใช้ได้ หัดไปแล้วก็ชำนาญขึ้นเรื่อยๆ”

กรมองว่าธรรมชาติของธุรกิจร้านอาหารมักผุดขึ้นเยอะตอนวิกฤตเศรษฐกิจเพราะเป็นธุรกิจที่เริ่มต้นง่าย “บางคนอยากทำร้านอาหารแต่เข้าครัวไม่เป็น ไม่รู้หัวใจอยู่ที่ไหน พอทำอาหารไม่เป็นเลยต้องใส่ผงชูรสให้อร่อย การทำให้ดีต้องหมั่นฝึกฝน หัวใจของความอร่อยอยู่ที่ฝีมือและประสบการณ์ ร้านเราไม่ใส่ผงชูรสดังนั้นต้องใช้ฝีมืออย่างเดียวล้วนๆ สิ่งสำคัญคือวัตถุดิบต้องดีด้วย ถ้าฝีมือดีหรือวัตถุดิบดีแค่อย่างใดอย่างหนึ่งก็ไปไม่ถึงไหน”  

ความท้าทายของกิจการร้านอาหารที่เก่าแก่คือการถ่ายทอดศาสตร์การทำอาหารที่ต้องอาศัยการเก็บชั่วโมงบินในครัวอย่างต่อเนื่อง สำหรับคนยุคก่อนที่กิจวัตรประจำวันคือการทำอาหารและมีตัวเลือกน้อยกว่าคนยุคนี้ทำให้ทายาทแต่ละรุ่นสามารถโฟกัส จดจ่อกับการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างเต็มที่นานหลายสิบปีจนเกิดเป็นความเก๋าทางสายอาชีพ

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังทำกิจการร้านอาหาร หวังว่าเรื่องราวของเลี่ยวเลี่ยงเซ้งจะเป็นแรงบันดาลใจให้ทุกคนที่ทำอาหารด้วยหัวใจและอยากส่งต่ออาหารคุณภาพดีที่อบอุ่นเหมือนทำกินเองในครอบครัวให้ลูกค้าทาน

ไม่ประนีประนอมกับสิ่งที่ไร้คุณภาพ หลักคิดของเจ๊จง’ ที่ทำให้แบรนด์หมูทอดมีสาขาและคนรักมากมาย

เสียงดังฟังชัด ขยันทำงาน สัญชาตญาณเฉียบคม 

สามคำนี้คงเป็นคำจำกัดความที่พอเหมาะพอดีของหญิงแกร่งแห่งย่านพระราม 4 ผู้ก่อตั้งแบรนด์หมูทอดเจ๊จง–จงใจ กิจแสวง 

อันที่จริงร้านหมูทอดของเธอโด่งดังนำมาตั้งแต่ก่อนที่เวลาของคนส่วนใหญ่บนโลกนี้จะถูกครอบครองด้วยโซเชียลมีเดียด้วยซ้ำ ทั้งความเอร็ดอร่อยและความคุ้มค่าของหมูทอดที่เธอหั่น โกย วางบนจานข้าวแบบไม่หวงปริมาณ จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยที่หมูทอดของเธอจะเป็นที่รักเป็นที่รู้จักของคนในแถบย่านพระรามสี่ คลองเตย กล้วยน้ำไท เป็นอย่างดี

ณ วันนี้ที่ใครๆ ต่างมีอินเทอร์เน็ตบนมือถือและประเทศไทยถือเป็นเมืองหลวงแห่งเฟซบุ๊ก หมูทอดเจ๊จงจึงไม่ใช่แค่ร้านขายข้าวแกงและหมูทอดย่านพระราม 4 อีกต่อไป แต่กลายเป็นแบรนด์หมูทอดระดับประเทศที่ใครๆ ก็รู้จัก ลูกค้าที่มาต่อคิวหน้าร้านเจ๊จงกลายเป็นลูกค้าที่มาจากต่างถิ่นบ้าง เป็นพี่ๆ ไรเดอร์บ้าง และวันนี้เธอยังขยายกิจการออกไปอีกมากมายหลายสาขาทั่วกรุงเทพฯ

เจ๊จงอาจจะเป็นอีกหนึ่งหลักฐานเชิงประจักษ์ให้ทุกคนเห็นว่า ความขยันอดทน ความตั้งใจจริงที่จะลงมือทำ และความไม่ยอมแพ้ต่ออะไรทั้งสิ้น คือสิ่งที่นำพาให้เธอเดินทางมาเป็น เจ๊ ที่คนทำธุรกิจหลายคนมองเธอเป็นแรงบันดาลใจ

ได้ข่าวว่าก่อนขายหมูทอดเจ๊จงขายข้าวแกงบุฟเฟต์มาก่อน

มันเริ่มจากที่เจ๊เป็นหนี้ ก็คือเป็นหนี้ อยากใช้หนี้ ทำยังไงจะหมดหนี้ เจ๊ก็มาเริ่มต้นขายอาหารตามสั่งก่อน ตอนนั้นเจ๊ทำคนเดียว แล้วมีพี่ที่เขาขับแท็กซี่เขาบอกเจ๊ว่า เนี่ย ทำคนเดียวแบบนี้ วันนึงต้องตายแน่ๆ เลย แล้วเขาก็บอกเจ๊ว่าให้ขายข้าวแกงบุฟเฟต์สิ จะได้ไม่เหนื่อย เพราะมันแค่ทำแล้วตั้งเอาไว้ พอลูกค้ามาก็ตักอย่างเดียว ตอนนั้นเจ๊ก็คิดเลยว่า เฮ้ย แล้วข้าวแกงบุฟเฟต์ทำไงวะ เพราะเราก็ทำกับข้าวเป็นแค่ไม่กี่อย่าง 

ตอนนั้นเจ๊ก็ไปดูคนที่เขาขายข้าวแกงบุฟเฟต์กันนะว่าเขาทำไง พอดูแล้วก็คิดว่าเราน่าจะทำได้ แต่ก่อนจะลองมาขายข้าวแกงบุฟเฟต์ เจ๊ก็โดนพ่อดุ แกดุว่า “ขายอาหารตามสั่งก็ขายดีอยู่แล้ว ถ้าเปลี่ยนมาขายข้าวแกงบุฟเฟต์ ถ้าทำอร่อยแล้วเขากิน 2 จาน เราก็เจ๊งแล้ว แต่ถ้าทำไม่อร่อย ใครเขาจะมากินมึง”

แต่ต้องบอกก่อนว่า ด้วยความที่พ่อเจ๊เขาไม่ได้เป็นพ่อค้า เขาเป็นคนขับแท็กซี่ เขาอาจจะมองอะไรที่ไม่เหมือนเรา เจ๊เลยบอกเขาไปว่า ไม่เป็นไร ถ้ามันขายไม่ได้เดี๋ยวก็กลับมาขายตามสั่งเหมือนเดิม ก็คือด้วยความดื้อของเจ๊นี่แหละ เจ๊ก็เปลี่ยนเลยมาขายข้าวแกงบุฟเฟต์

แล้วขายดีได้กำไรตามหวังเลยไหม

เอาเป็นว่าทำยังไงมันก็ยังไม่พอใช้หนี้เขา คือขายไปขายมาเดี๋ยวหมดทุน ต้องยืมเขา กู้เขา อะไรอย่างนี้

แล้วเจ๊ทำยังไงกับชีวิตต่อ

ปกติตอนนั้นขายเสร็จจะประมาณบ่ายโมง เราก็กลับบ้าน เจ๊ก็คิดว่า มันใช่เหรอวะ เราเป็นหนี้เขาแต่บ่ายโมงเราถึงบ้าน กว่าจะนอนก็ตั้งสองทุ่ม เท่ากับเราทิ้งเวลาไปตั้ง 7-8 ชั่วโมงเลยนะวันวันนึง เจ๊ก็เลยมาคิดว่า เอ๊ะ แล้วกูจะทำอะไรต่อจากขายข้าวแกงบุฟเฟต์ดี ไม่อยากทิ้งเวลาไปเปล่าๆ ตั้งหลายชั่วโมง 

ทำไมไม่ขายข้าวแกงต่ออีก 7-8 ชั่วโมงที่เหลือ

คือข้าวแกงเนี่ย พอช่วงบ่ายๆ เป็นต้นไปแล้วตลาดมันจะเงียบ คือตลาดมันวายแล้ว มันไม่น่าจะมีคนมาซื้อแล้วถ้าขายข้าวแกงต่อ

แล้วจุดเปลี่ยนที่ทำให้หันมาเริ่มขายหมูทอดคือจุดไหน

ด้วยความที่เราเงินน้อย ตอนนั้นเราก็ไปซื้อข้าวหมูทอดมาให้ลูกกิน ซึ่งตอนนั้นน่ะเขาขายกันกล่องละ 10 บาท เจ๊ก็ไปซื้อมานะจะให้ลูกกิน พอเปิดกล่องออกมาปั๊บ พอเราเห็นปุ๊บ เรามีความรู้สึกเลยว่า พรุ่งนี้กูจะขายอีนี่ต่อจากที่ขายข้าวแกงบุฟเฟต์ แค่นั้นเอง แค่นั้นจริงๆ แล้วเจ๊ก็หันไปบอกลูกเจ๊ว่า “น้องแต้ว เดี๋ยวคอยดูนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ แม่จะขายข้าวหมูทอดนี้ต่อจากขายข้าวแกงบุฟเฟต์”

จำได้แม่นเลยว่า วันรุ่งขึ้นซื้อหมูมา 8 กิโลฯ แล้วพอข้าวแกงเจ๊หมดใช่ไหม ลูกค้าก็มา คือเจ๊อาจจะโชคดีตรงนี้ที่ว่า เจ๊มีลูกค้าที่กินข้าวแกงอยู่แล้ว เจ๊ก็บอกลูกค้าที่มาว่า เฮ้ย ไอ้น้องรอก่อน เจ๊มีหมูทอดขาย พอเจ๊เก็บของที่ขายข้าวแกงบุฟเฟต์ลงไปปุ๊บ เจ๊ก็เริ่มหมักหมู ตั้งข้าว หุงข้าว แล้วก็ตั้งเตา ทอดหมูเอง ทำน้ำจิ้มเองอะไรเองหมด เจ๊ก็ทำเองทุกอย่าง

คิดสูตรเองสดๆ ตอนนั้นเลยเหรอ

คือ ณ ตอนนั้นเจ๊คิดเอาเองว่า มันไม่น่าจะยาก เพราะอะไรรู้ไหม มันก็แค่หมูทอดหรือเปล่า แค่หมูหมักพริกไทยกระเทียมแล้วเอาลงไปทอดในกระทะ แล้วก็แค่อบๆ ให้มันสุก แล้วเอาขึ้นมาหั่นอะไรอย่างนี้ คือตอนเริ่มมันก็ไม่ใช่ว่าจะดีเลยนะ แต่ลูกค้าก็เป็นคนบอกว่ามันเค็มไป มันอะไรไป น้ำจิ้มมันเป็นยังไงอะไรอย่างนี้ เขาจะบอกเรา เราก็คอยปรับไป

แต่ด้วยความที่เป็นคนชอบคิด นอนๆ อยู่เจ๊ก็คิดว่า ทำไมเราไม่ลองเอาหมูสามชั้นมาทำดู เเต่กระทะเราก็เล็กทำไงดี เจ๊ก็ไปคุยกับร้านหมู ว่าหมูสามชั้นที่เป็นเส้นยาวๆ มึงหั่นให้กูได้เปล่า เพราะว่ากระทะกูเล็ก มันก็บอกได้ครับๆ เจ๊ก็ลองเปลี่ยนจากเนื้อหมูธรรมดาเป็นสามชั้น แล้วก็ลองเอามาหมัก ทีนี้ตอนหมักเจ๊ก็มาย้อนคิดถึงสมัยตอนที่เจ๊เคยขายราดหน้า ว่าถ้าใส่แป้งมันลงไปน่าจะนิ่มนะ ใส่ไอ้โน้นลงไปมันจะอร่อย ก็คือเอาจากที่เราเคยทำกับข้าวทำอะไรมา ใส่ๆ ลงไป แล้วก็ลองซื้อแป้งกรอบมาด้วย ก็เอาสามชั้นชุบแป้งทอด ผลปรากฏว่าขายดีว่ะ

คิดดูสิ ว่าทอดร้อนๆ แล้วเอาขึ้นมา หนังของหมูสามชั้นตอนเพิ่งขึ้นจากน้ำมันมันจะเสียงดังเปรี๊ยะๆๆ โอ้โห โคตรอร่อย แล้วเมื่อก่อนเจ๊ใช้มือสับนะ ไม่ได้ใช้เครื่อง เชื่อไหมทั้ง 4 นิ้ว ของเจ๊สุกหมดเลย เพราะหมูขึ้นมาร้อนๆ แล้วลูกค้ารอ ก็ต้องรีบสับ ตอนนั้นก็ขายดี พอจะมีเงินไปใช้หนี้เขาแล้ว

เจ๊ชอบคำชมนึงที่คนเขาชอบชมเจ๊ว่าเจ๊ขยัน เพราะเจ๊คิดว่า เออ มันก็น่าจะเป็นคำชมที่จริง เพราะว่า ถ้าสมมติว่าวันไหนที่เราเพิ่มปริมาณหมูมาเยอะๆ แล้วมันใกล้จะมืดแล้ว เราก็จะแพ็กใส่ถุงเลย แล้วใส่จักรยานปั่นไปขายเลย ขายตามวินมอเตอร์ไซค์ วิน 4 ล้อ วินแท็กซี่ อะไรอย่างนี้ จนทุกวันนี้ถ้าเจอพวกรุ่นพี่เก่าๆ ที่เขาขับแท็กซี่ เขาจะมาจับมือเจ๊แล้วบอกว่า เจ๊จงมึงโคตรโชคดีเลย เจ๊เลยคิดว่า จุดเริ่มต้นแรกของเราถ้าเราจะทำอะไรสักอย่าง มันต้องเริ่มจากการที่เราขยันก่อน 

อย่างเดี๋ยวนี้ตื่นตี 2 แต่เมื่อก่อนนี่ตื่น 5 ทุ่มเพื่อไปโรงงานนะ ลูกขับรถพาออกจากคลองเตยไปถึงบางบัวทองเที่ยงคืน แต่พอตอนหลัง ด้วยสุขภาพด้วยวัย หมอก็สั่งว่าไม่ให้ทำแบบนั้นแล้ว พอมาตอนหลังก็ตื่นตี 4 อยู่ไม่กี่วัน เจ๊ก็เริ่มรับไม่ได้กับการตื่นตี 4 คือเรารู้สึกว่ามันไม่ใช่

การตื่นตี 4 ก็นับว่าเช้าแล้วสำหรับหลายๆ คน ทำไมเจ๊จงรับไม่ได้

คือจะให้เจ๊มานอนฟังได้ยินเสียงว่าข้างล่างเขาทำงานกัน เจ๊ทำไม่ได้ว่ะ แล้วถามว่าลงมานี่เจ๊ลงมาทำอะไร เอาจริงๆ ขอแค่ให้ได้ลงมาที่ร้าน ให้ได้เห็นให้ได้ด่า นู่นนี่นั่นอะไรว่าไป คือขอให้เราได้อยู่ตรงนั้น 

เจ๊เคยเรียกลูกน้องมานั่งคุย คือด้วยความที่เขามาสายบ่อยมาก เจ๊ก็ถามว่า เคยเห็นเจ๊หยุดไหม เคยเห็นเจ๊ลงมาสายไหม จริงๆ ถ้าเป็นเมื่อก่อนนะ เจ๊จะเป็นคนแรกเลยที่ลงมาเปิดร้าน แล้วเวลาที่เจ๊มาเปิดร้านคนแรก เจ๊ไม่ได้คิดด้วยนะว่า เฮ้ย เดี๋ยวนั่งรอให้ลูกน้องมา ให้ลูกน้องทำดีกว่า ไม่ เจ๊ไม่คิดแบบนั้น เจ๊ลงมาก่อน เจ๊จะทำก่อน ยกเตา ยกโต๊ะ ยกอะไรรอก่อน คือเจ๊มีความรู้สึกว่าเดี๋ยวพวกเขามาจะได้ลงมือทำได้เลย ถ้าเรามัวแต่มานั่งรอให้ลูกน้องมา ให้ลูกน้องมายกเตาแก๊ส ยกนั่นยกนี่ กว่าจะได้เริ่มก็ช้า เจ๊จะเป็นคนแบบนี้

หมูทอดของเจ๊ไม่เหมือนหมูทอดคนอื่นยังไง ทำไมถึงขายดี

จริงๆ แล้ว เจ๊ว่ามันเหมือนกันแหละ 

รสชาติอร่อยกว่าเจ้าอื่นเกี่ยวไหม

เจ๊คิดว่าคำว่าอร่อยมันใช้ไม่ได้กับบางคน บางคนเขาบอกว่า ไม่เห็นจะอร่อยเลย คืออร่อยเขาอร่อยเราไม่เหมือนกัน คืออย่างเมื่อก่อนเจ๊จะเป็นคนยืนขายเอง มันก็จะมีความรู้สึกเป็นกันเอง เจ๊จะเป็นคนที่แบบได้ค่ะๆ คือได้หมด ได้ทุกอย่างที่ลูกค้าต้องการ มันเหมือนเราเป็นกันเอง ซึ่งจริงๆ ลูกค้าก็น่ารักด้วย พอมาเดี๋ยวนี้เป็นลูกน้องขาย เจ๊ว่ามันอาจจะไม่ใช่แบบนี้ แต่เคยถามลูกค้าว่าทำไมชอบร้านเจ๊ เขาบอกว่า เขารู้สึกว่าถ้ามากินร้านเจ๊แล้วมันคุ้ม มันคุ้มกับที่เขาต้องจ่ายไป

คือร้านเจ๊จงมีดีที่กินแล้วคุ้ม

เมื่อก่อนอาจจะใช่ แต่เดี๋ยวนี้เจ๊มองว่า ด้วยวัตถุดิบมันก็แพง เราก็ต้องมาปรับราคาตาม พอเราจะพูดคำว่า ‘คุ้ม’ เราก็พูดมันได้ไม่เต็มปาก อย่างเมื่อก่อนนี้ น้ำจิ้มนี่วางไว้เลย ลูกค้าคนนึงซื้อข้าวถุงนึง เอาน้ำจิ้ม 5-6 ถุงไปเราก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ถ้าเป็นเดี๋ยวนี้ เจ๊ต้องขอว่า ต้องขอถุงละ 2 บาทนะ แต่เราก็รู้สึกไม่ดีในใจเราไง เพราะเมื่อก่อนเราให้ฟรี แต่เดี๋ยวนี้เราต้องเก็บตังค์ แต่ถ้าไม่เก็บตังค์เราก็อยู่ไม่ได้อีก เพราะอย่างพริกป่นเดี๋ยวนี้ขึ้นมากิโลฯ นึงจะ 200 แล้ว คือน้ำจิ้มถุงนึงต้นทุนเกือบ 2 บาทแล้ว แล้วต้นทุนมันก็ขึ้นมาเรื่อยๆ เลย เพราะฉะนั้นถ้าลูกค้าซื้อข้าวถุงนึง แล้วหยิบน้ำจิ้ม 5 ถุง เราก็ต้องมานั่งคุยกันแล้วว่า มันไม่ได้

นอกจากหมูทอดแล้วร้านเจ๊จงก็มีขายอย่างอื่นตามมา

จริงๆ คือเมื่อก่อนเจ๊ก็ขายหมูทอดอย่างเดียวนี่แหละ แต่พอช่วงที่เจ๊เริ่มทำคนเดียวไม่ไหว ก็เริ่มจ้างลูกน้องมา 1 คน ด้วยความรู้สึกเจ๊นะ เจ๊ก็ไม่รู้ว่ามันถูกหรือผิด เจ๊ก็คิดว่า เราจ้างคนมาเพิ่ม เราก็ควรจะขายอะไรเพิ่มไหม เพื่อที่จะมีกำไรเอามาจ่ายค่าแรงลูกน้อง เจ๊ก็เริ่มที่จะมีไข่ต้ม มีกุนเชียงมาขาย ต่อไปลูกน้องคนเดียวก็ไม่ไหวแล้ว ต้องมีคนมาช่วยทอด ก็จ้างคนมาช่วยทอด พอเป็นแบบนั้นก็ต้องเพิ่มของมาขายอีก แล้วพอของที่ขายมันเพิ่มไปเรื่อยๆ ก็คิดว่าถ้าอย่างนั้นข้าวแกงก็ต้องกลับมาไหม เพราะคนเขาจะได้ไม่เบื่อ

คือตอนนั้นก็เริ่มมีลูกน้องเป็นสิบคนแล้ว อย่างทุกวันนี้ก็มียี่สิบกว่า ก่อนโควิดนี่คือสามสิบกว่าเลยนะ มันก็มีของมาขายเยอะแยะจนเหมือนลูกค้าก็ติดแล้ว เลยกลายเป็นว่าข้าวแกงมันก็เลยมีหลากหลาย แต่ว่ามันก็จะเป็นสาขาที่มีพื้นที่เท่านั้นนะที่มีขาย

เวลาเจ๊ขายของเจ๊มีหลักในการตั้งราคายังไง

เจ๊เพิ่งคุยกับลูกเมื่อไม่นานนี้เองว่าเจ๊ไม่เคยมาคิดราคาต่อทุน ไม่เคยมานั่งคิดว่า 1 จานราคาต้นทุนข้าวเท่าไหร่ กับข้าวเท่าไหร่ ไม่เคยคิด เจ๊คิดอย่างนี้ เจ๊คิดว่าวันนี้เจ๊ลงทุนไป 5,000 เย็นนี้เจ๊ขายได้เงินมาทั้งหมด 6,000 ก็เท่ากับว่าทั้งหมดเจ๊ได้กำไรมา 1,000 เจ๊โอเคแล้ว เพราะเจ๊มีความรู้สึกว่า กับข้าวบางตัวมันไม่ได้กำไรหรอก แต่มันช่วยดึงลูกค้า สมมติว่าไอ้อันนี้อะมันแพงมากเลย ถ้าเราเอามาขายมันไม่น่ามีกำไร คือเราก็เห็นๆ อยู่แล้วว่ามันไม่ได้อะไรหรอก แต่ถ้าเราไม่เอามา ลูกค้าก็จะไม่มีโอกาสได้กินของอันนี้ แต่ถ้าเรามาคิดกำไรรวมแบบที่เจ๊คิดมันก็สามารถขายได้ มันก็คือหมดแค่นี้มีแค่นี้

ทุกวันนี้ยังคิดแบบนี้อยู่ไหม

เจ๊คิด แต่ถ้าเป็นรุ่นลูกเขาไม่คิดแบบนี้แล้วนะ ไม่ใช่แล้ว เด็กๆ เขาก็จะคิดแล้วว่า ข้าว 1 กล่องต้นทุนกล่องใบละเท่าไหร่ ข้าว 270 กรัมเป็นทุนเท่าไหร่ หมูอันนี้ทุนเท่าไหร่ น้ำจิ้ม ค่าแรง ค่าเสื่อมค่าอะไรเท่าไหร่ เจ๊ก็บอกลูกว่า โห ตอนนั้นถ้ากูคิดแบบพวกมึงนะ กูก็คงไม่ได้ขายแหละ คือเจ๊เป็นคนที่คิดอะไรง่ายๆ สบายๆ คือตอนนั้นคิดแค่ว่าจะทำไงให้มีเงินใช้หนี้แค่นั้นเอง

เหมือนเจ๊จงมองเห็นข้อดีของการไม่คิดเยอะ

เจ๊มีความรู้สึกว่าคนเราถ้าคิดเยอะหรือคิดมากแม่งจะไม่ได้ทำสักที เวลาที่เจ๊ได้คุยกับใครก็แล้วแต่เเล้วเขามีข้ออ้างว่า ไม่เอา ไม่มีทุน ไม่มีที่ เจ๊ว่าอันนี้มันเป็นข้ออ้าง เพราะเราคิดว่าอย่างตอนที่เราอยากจะเริ่มต้นเราไม่ได้คิดถึงเรื่องพวกนี้เลย เราคิดแค่ว่า เราอยากจะทำ พอเราอยากจะทำขึ้นมาปุ๊บ เรารู้แล้วว่าเราอยากจะไปหาเงินที่ไหน โอเคเรากู้แบงก์ไม่ได้ กูก็กู้แขกเอาสิ ใช่ไหม ร้อยละ 20 เจ๊บอกเลยว่าถ้าเราเอาเงินมาลงทุนค้าขายแล้วจ่ายเขาจริงๆ มันอยู่ได้ ถามว่า ถ้า ณ เวลานี้มึงเป็นหนี้ แล้วมึงไปกู้แบงก์ใครเขาจะให้มึง ใช่ไหม มีแต่แขกเท่านั้นที่เขาจะให้มึง ส่วนกระทะ ตะหลิว ไม่มีเหรอ ก็ยืมข้างบ้านสิ เจ๊ก็ยืมเขาเอา ยืมกระทะบ้านนี้ ยืมตะหลิว ขายตามสั่งจำเป็นต้องมีตู้ไหม แต่กูไม่มีไง ไม่มีเงินซื้อ ก็เอาตะกร้าพลาสติกใบนึง ผ้าขาวคลุมเอา ก็ขายได้แล้ว ความที่เราอยากขายต้องมาก่อน ไอ้คนที่บอก ไม่มีนู่นไม่มีนี่ เจ๊ว่ายังอยากไม่จริง

เห็นว่าเมื่อก่อนมีผักมีกล้วยให้ลูกค้ากินด้วย

ใช่ๆ ตอนก่อนโควิดน่ะมี แล้วพอโควิดมา เจ๊ก็เลยตัดของพวกนี้ออก แล้วจริงๆ ก็คือด้วยต้นทุนด้วย เจ๊ก็เลยยังหยุดพวกนี้ไว้อยู่ แต่ถ้าถามว่าอยากเอากลับมาไหม เรายังอยากเอากลับมาให้พวกเขาเหมือนเดิม เพราะเจ๊มีความรู้สึกว่ามันน่ารักดีกับการที่กินหมูทอดแล้วมีผักแกล้ม มีกล้วย

มันเริ่มจากการที่แฟนเจ๊เขาป่วยเขาก็ไปนอนอยู่โรงพยาบาล อยู่เอกชนด้วยนะ แล้วเจ๊ไปเฝ้าเขา เฝ้าจนเจ๊เองปวดหัว เจ๊ก็ลงมาหาหมอ แล้ววันนั้นมันเป็นวันอาทิตย์ อันนี้จำแม่นเลย พอเจ๊ลงมาหาหมอ เจ๊เห็นแล้วเจ๊ก็ตกใจ โห คนไข้เยอะมากแบบไม่มีที่นั่งเลย แวบนึงมันก็คิดถึงลูกค้า โห ลูกค้ากูไม่ตายหมดเหรอวะ ถ้ากินแต่หมูทอดอย่างเดียว เจ๊ก็เลยคิดว่าต้องมีผักให้เขากินแล้ว คือคิดเองเออเองหมดทุกอย่าง แต่ไม่ได้รู้นะว่ามันจริงหรือไม่จริง พอวันจันทร์ปุ๊บ อันดับแรกเลยที่เราเอามาวางคือแตงกวา แล้วก็มีกะหล่ำปลี

ตั้งแต่เปิดร้านมาเคยมีเหตุการณ์ไหนที่เจ๊จงประทับใจมากๆ ไหม

เจ๊ว่าความน่ารักมันอยู่ตรงที่แม่ค้าที่ตลาด เขาน่ารักมาก พอเขารู้ว่าเราเอามาให้ลูกค้ากินฟรี มันก็เกิดใจ เขาก็ขายผักให้เราในราคาที่ถูกลงไปอีก บางคนตัดรากผักชีไปแล้วเอาผักชีมาให้เราด้วยซ้ำ แบบ เออ เจ๊จะได้เอาไปให้เขากิน หรืออย่างกล้วย ตอนนั้นเจ๊เดินตลาดเพชร เจ๊ก็เห็นเขาเอากล้วยเป็นเครือมาวางขาย คือเยอะมาก เห็นแล้วสงสารเลยช่วยซื้อ ซื้อมาแล้วทำยังไง กินไม่หมด ก็แบ่งลูกค้าเลย ช่วยกันกินหน่อย นับตั้งแต่นั้นมามันเลยเหมือนกลายเป็นวัฒนธรรมที่ว่า ถ้ามาร้านเธอต้องมีกล้วยให้ฉันกิน

แล้วก็จะมีลูกค้าบางคนที่เขาปลูกกล้วย พอกล้วยเขาโตปุ๊บ เขาก็จะเอามาให้เจ๊ ให้เป็นเครือๆ เลย เพื่อที่จะให้เจ๊เอามาให้ลูกค้ากิน มันก็มีความน่ารักอยู่ 

แต่มันก็มีความน่าเกลียดนะ อย่างบางคนเอาเปรียบคน อย่างกล้วยเอาวางไว้บนโต๊ะ จะกี่หวีก็แล้วแต่ เขาเก็บใส่ถุงกลับบ้านหมดเลย คือแบบทำครั้งสองครั้งก็แล้ว สามครั้งก็แล้ว จนเจ๊ดุ บอกเขาว่า พี่ทำแบบนี้ไม่ได้ การที่พี่ทำอย่างนี้พี่ไม่ได้แค่เอาเปรียบเจ๊ แต่พี่กำลังเอาเปรียบลูกค้าเจ๊ คือถ้าเธอแค่กินให้อิ่มเจ๊ไม่ว่าอะไรเลย

เวลาให้คนกินผักกินกล้วยฟรี มันไม่เป็นการเพิ่มต้นทุนเหรอ

มันก็คือต้นทุนค่ะ ใช่

แล้วเงินไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเจ๊เหรอ

เจ๊จะพูดให้ฟังนะ พูดจริงๆ เลยนะ ตั้งแต่ขายของมา ใครๆ ก็พูดว่า โอ๊ย เจ๊จงร้อยล้าน โถ ล้านนึงอยู่ตรงไหนกูยังไม่เคยเห็นเลย แต่อย่างที่เจ๊มีบ้านมีอะไรมันก็เริ่มจากการที่เจ๊ผ่อน ขายของได้ก็ผ่อนหลังนู้นหลังนี้ไป แล้วพอมีคนมาบอกว่าร้อยล้านๆ เงินในบัญชีกูล้านนึงยังไม่เคยเห็นเลย 

คือเจ๊คิดว่าไอ้การที่เราขายของเนี่ย เอาแค่อย่างน้อยให้เราได้มีกินมีใช้ทุกวัน ถึงเราจะไม่ได้รวยถึงขนาดที่ว่า เฮ้ย ฉันมีถึงร้อยแล้วนะ คือเจ๊คิดแค่ว่า พอตื่นขึ้นมาให้มีลูกค้ามารอที่จะมาซื้อเรา ไม่ใช่ว่าเราทำกับข้าวเสร็จแล้วต้องมานั่งรอลูกค้า

เจ๊บอกลูกเลยว่า พวกเราโคตรโชคดีเลย คือเราทำมาแล้ว เราก็ขายๆๆ ลองคิดดูสิว่าถ้าวันนึงเราตื่นขึ้นมา แล้วเราต้องมานั่งรอลูกค้าเราจะทำยังไง เจ๊เคยมีอยู่จังหวะนึงนะช่วงโควิด แล้วเจ๊หยุดไปประมาณเกือบเดือน แล้วพอกักตัวครบแล้ววันรุ่งขึ้นเจ๊เปิดร้านขายเลย โดยที่ไม่ได้ประกาศออกไปว่าวันนี้จะเปิดร้านแล้วนะ แล้ววันนั้นเราต้องนั่งรอลูกค้าว่ะ รู้เลยว่าแม่งรู้สึกยังไง ลูกน้องนี่เศร้าเลย คือลูกค้าหายไป 70-80% แต่เราก็รู้ว่าเราผิดเอง ที่เราไม่ได้แจ้งลูกค้าก่อน เราก็มาเริ่มไลฟ์อะไรก็ว่าไป

ทุกวันนี้มีหลายสาขา เจ๊ดูแลสาขาต่างๆ ยังไง

อันดับแรกคือหมูจะมาจากที่เดียวกันหมด ทีนี้คุณภาพมันก็จะไปอยู่ที่คนทอดแล้ว เจ๊เคยเจอปัญหาคือ เอาหมูเก่ามาขาย ซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่ใช่ มันคือหมูใหม่ แต่ลูกน้องนี่เก่งมาก ทำจากหมูใหม่ให้กลายเป็นหมูเก่า ก็คือเขาไม่ทำ ไม่ทอดตามที่เราสอน เราสอนว่าจะเอาลงทอดน้ำมันต้องร้อน แต่นี่น้ำมันยังไม่ร้อนเลยก็เอาลง พอลูกค้าแจ้งมา เราก็ต้องรีบไปดู คือจริงๆ เวลาลูกค้าแจ้งมาเราก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะเจ๊บอกแล้วว่าของเหลือเก็บนี่เราไม่เอามาขายนะ ยิ่งกับข้าวนี่คือทิ้งเลย จะไม่มีการเอามาขาย

คือเราต้องแบบแอบไปดูเรื่อยๆ โดยที่ไม่ให้เด็กรู้ อย่างที่อยู่ด้วยกัน บางทีพอหันหลังปุ๊บมันยังกลายเป็นอีกอย่างนึงเลย เจ๊อยากได้อะไรที่มันดีกว่านี้ ทุกวันนี้ยังต้องคอยอบรมอยู่เลย คือเจ๊อยากให้เด็กมีดีเอ็นเอเหมือนเจ๊ แต่อย่างว่าเนอะมันก็ยาก อย่างลูกเราเอง ดีเอ็นเอของเรายังไปไม่ถึงลูกร้อยเปอร์เซ็นต์เลย

ในชีวิตการทำร้าน อะไรคือสิ่งที่เจ๊ให้ความสำคัญที่สุดในการขายของ

จริงๆ แล้วทุกอย่างเลย เจ๊จะบอกลูกว่า ถึงเราจะขายถูก แต่เราก็ต้องเน้นคุณภาพ อย่างเมื่อก่อนตอนเริ่มต้น เราก็จะเอาหมูจากตลาดใช่ไหม พอหลังจากนั้นเราก็มีความรู้สึกว่าเราอยากได้หมูที่มันมีที่มาที่ไป เราก็เห็นว่าเราอยากใช้ของบริษัทนี้ ตอนแรกที่คุยกันสู้ราคาไม่ไหวจริงๆ ทำยังไงดีวะ ก็พยายามติดต่อๆ จนผู้ใหญ่เห็นก็มีคนจัดให้ได้รู้จักกันกับเจ้าของ เจ๊ก็บอกกับเจ้าของเขาว่า เจ๊อยากได้ของยี่ห้อนี้ เพราะเจ๊มั่นใจในคุณภาพ เราก็คุยกับเขา เขาก็เห็นความอยากได้จริงๆ ของเรา เขาก็ทำราคาให้เจ๊ ให้เจ๊รับมาขายได้ คือผู้ใหญ่ก็น่ารัก และมันก็เป็นความโชคดีของลูกค้าเจ๊ที่จะได้กินของที่มีคุณภาพ

หรืออย่างน้ำปลา เจ๊ก็พยายามหาที่มียี่ห้อ นอกเสียจากว่ายี่ห้อที่ใช้อยู่มาส่งไม่ทัน ก็จะต้องใช้ของตลาดนะ หรืออย่างบางช่วงของขึ้นราคาแพงๆ อย่างน้ำมัน เราก็ต้องยอมทำใจที่จะขาดทุนกำไร คือเรารู้แหละว่าถ้าเราเปลี่ยนไปใช้น้ำมันอีกยี่ห้อนึงต้นทุนมันจะถูกกว่า แต่คุณภาพมันไม่ได้

ตอนที่ข้าวของราคาสูงขึ้น ต้นทุนเจ๊ก็ขึ้นด้วย เจ๊ทำยังไง

เราก็มานั่งคุยกัน แล้วก็บอกลูกน้องว่า ตอนนี้มันแพงมากเลยนะ มึงช่วยกันดูนะ น้ำนี่อย่าปล่อยให้มันไหลทิ้งนะ ถ้ากูเดินมาอีกแล้วเห็นว่ามึงปล่อยให้มันไหลทิ้งกูจะปรับมึงนะ คือขู่เขาไง หรือแม้กระทั่งพัดลม ถ้ามึงไม่ได้นั่งตรงนี้แล้วมึงก็ปิดไป คือไปประหยัดเอากับสิ่งของพวกนี้ แต่เราจะไม่ไปประหยัดกับคุณภาพของที่เราใช้ทำกับข้าว เพราะอย่างเราเองก็เดินตลาด เรารู้อยู่แล้วว่าของบางอย่างเราเองยังไม่กินเลย แล้วเราจะทำขายเหรอ คือเจ๊ห่วงมากกับการที่เราจะต้องเสียชื่อ เพราะกว่าที่เราจะสร้างชื่อเราขึ้นมาได้มันไม่ง่าย

ทุกวันนี้ลูกค้าร้านเจ๊จงคือคนกลุ่มไหน

เจ๊ว่าเจ๊มีไปทั่วเลยนะ มีแบบตั้งแต่ล่างไปยันบน เพราะเวลาเจ๊เจอคนที่เขาดังๆ เขาก็บอกว่าเขาก็กินของเจ๊อยู่ เพียงแต่ว่าเขาอาจจะไม่ได้มาต่อแถวเองแต่ให้คนอื่นมาต่อให้ หรือแม้แต่คนล่างๆ ไปเลย หรือคนจรจัดอย่างงี้ วันวัน นึงเจ๊ให้คนพวกนี้เยอะนะ อย่างตีสามครึ่งเขาก็มารอกันแล้ว มีทั้งลูกค้าที่จะมารอซื้อและคนที่จะมารอเอา เจ๊ว่าเจ๊ก็เป็นคนเหี้ยนะ เจ๊ก็แกล้งเขาเว่ย บอกเขาว่า โหย เจ๊ยังไม่ได้ขายเลย มาแต่เช้าเลยนะ รอก่อนๆ เออ เขาก็นั่งรอนะ สุดท้ายอดไม่ได้หรอก ก็ต้องให้เขาไป

เจ๊ก็จะสอนลูกน้องว่า คิดแค่ง่ายๆ ว่าเราน่ะโชคดี เหมือนเราได้ทำบุญ อย่างล่าสุดลูกน้องบอกว่า คนนี้วันนี้มาเอาหลายครั้งแล้วนะ 3-4 ครั้งได้ เจ๊ก็ถามลูกน้องว่า แล้ววันนึงมึงกินข้าวกี่ครั้ง มันก็ตอบว่า 3 ครั้ง เจ๊ก็บอกว่า เออ มึงให้เขาไปเถอะ

เคยมีลูกค้าเดินเข้ามาพูดอะไรกับเจ๊ แล้วทำให้เจ๊ประทับใจไหม

บางคนกินเสร็จเดินเข้ามาไหว้เจ๊ บอกว่า ขอบคุณนะคะ ที่ทำของราคาโอเคออกมาให้เขาได้กิน เมื่อก่อนที่เจ๊อยู่หน้าร้านเองเขาจะมาแบบมาขอจับมือ ยกมือไหว้ ขอบคุณ หรืออย่างบางคนมาบอก เจ๊รู้ไหม เจ๊ดังมากเลย อ๋อ ไม่รู้

เรื่องที่ยากที่สุดในการทำร้านอาหารในสายตาเจ๊คืออะไร

คือคุณภาพและมาตรฐานทั้งหมด คือเจ๊อยากให้ทุกอย่างมันเหมือนออกมาจากมือเราเอง อย่างเวลาตอนที่เขาตักอาหารผิดให้ลูกค้า เขาก็จะเอาถุงใหม่ แล้วก็วางถุงเก่าที่ตักผิดกองไว้ แต่ถ้าเป็นเจ๊ เจ๊จะบอกลูกค้าเลยว่า ขอโทษนะคะ เดี๋ยวถุงนี้ขอแถมให้ฟรีเลยได้ไหม แล้วถ้าเขาไม่เอาก็ค่อยมาว่ากัน แต่ถ้าเป็นเด็กก็จะไม่กล้าทำอย่างนี้ หลังๆ มาเจ๊ก็จะบอกเด็กว่าถ้าลูกค้าสั่งนะ ไม่ต้องรีบ ให้ค่อยๆ ฟัง ไม่ใช่ว่าผิดถูกมั่วไปหมด

ทำแบรนด์หมูทอดมาเป็น 10 ปีแล้ว ลูกก็โตแล้ว เคยคิดอยากพักไหม

ไม่คิด ไม่เคยมีความคิดนี้เลย เจ๊คิดแต่ว่าเจ๊จะทำจนกว่าจะไม่ไหว คือถ้าถามว่าถ้าจะให้อยู่เฉยๆ กับทำงานอะ เจ๊ขอทำงานดีกว่า

แล้วเจ๊จงยังมีความฝันอะไรอื่นอีกไหม

ฝันอยากจะทำร้านให้มันดีกว่านี้ คือตอนนี้มันยังไม่ได้ดั่งใจเจ๊ อย่างลูกน้อง เจ๊ก็อยากให้เขาทำให้ได้ดีกว่านี้ พูดจากับใครๆ ให้ดีกว่านี้ ถามว่ายากไหม มันยากนะ แต่เจ๊คิดว่าทุกอย่างมันน่าจะพอเป็นไปได้ ไม่น่าจะเหลือบ่ากว่าแรง คือก็อยากให้ลูกค้าได้รู้ว่า เจ๊อยากให้มันดีจริงๆ อยากให้ลูกน้องเจ๊เป็นเหมือนที่เจ๊ยืนขายเอง อยากให้ลูกค้าได้กินของที่ดีที่มีคุณภาพ ที่คุ้มเงิน

จึงเตี่ยฮวด ร้านขายกระดาษไหว้เจ้าอายุกว่า 60 ปี กับการปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป

“เราเป็นธุรกิจเก่า ถ้าทำการค้าแบบเก่าผมว่าวันหนึ่งมันจะหายไป เพราะฉะนั้นเราต้องพัฒนาเรื่อยๆ อัพเดตเทรนด์สินค้าใหม่ ทำให้มีสีสันตลอดเวลา ผมว่ายังไงก็ยังอยู่รอด”

นี่คือหนึ่งในเคล็ดไม่ลับของร้านจึงเตี่ยฮวด ร้านขายกระดาษไหว้เจ้า ไหว้บรรพบุรุษ สินค้ามงคล และสินค้าไหว้ตามเทศกาลต่างๆ ที่เปิดกิจการค้าขายทั้งปลีกและขายส่งในย่านเยาวราชอยู่ติดกับศาลเจ้าหลีตี๊เมี้ยว มามากกว่า 60 ปี

ก่อนเทศกาลไหว้เจ้า ไหว้บรรพบุรุษทีไร เรามักได้เห็นความคึกคักของตลาดเยาวราชทั้งร้านขายหมูเห็ดเป็ดไก่ ไปจนถึงร้านขายกระดาษไหว้เจ้าอยู่เสมอ ภาพบรรยากาศของอากง อาม่า อาเจ็ก อี๊ หรือบรรดาลูกๆ หลานๆ ต่างออกมาจับจ่ายซื้อของไหว้อย่างหมูเห็ดเป็ดไก่กันอย่างขวักไขว่

ส่วนภาพของบรรดาร้านกระดาษไหว้เจ้า สินค้ามงคล ก็เตรียมสินค้าที่สอดรับกับเทศกาลทั้งกิมจั้ว ตั่วกิม อ่วงแซจี๊ งึ่งเต้า งึ่งเตี๊ย เทียงเถ่าจี๊ กระดาษเงิน กระดาษทองชนิดอื่นๆ เซตไหว้เทพเจ้า เซตไหว้บรรพบุรุษ และอีกหลากหลายอย่างมาตั้งเรียงรายเต็มหน้าร้าน

ร้านจึงเตี่ยฮวดก็เฉกเช่นเดียวกัน แต่สิ่งที่ต่างออกไปที่ทำให้ร้านเก่าแก่อายุมากกว่า 60 ปี ยังได้รับความสนใจจากผู้คนทั้งคนรุ่นเก่าคนรุ่นใหม่อยู่เสมอคือ สินค้าที่เขาขายไม่ได้มีเพียงแค่กระดาษเงินกระดาษทองเหมือนอย่างที่เราเห็นกันทั่วไป แต่มักจะมีไอเทมใหม่ๆ ที่ล้อไปกับกระแสสังคมอยู่เสมอ อย่างปีก่อนหน้ามีกระดาษไหว้บรรพบุรุษที่เป็นชุดวัคซีนโควิด-19 ให้ได้ซื้อและเผาส่งไปให้บรรพบุรุษ ส่วนปีนี้มีชุดเมนูยอดฮิตที่นิยมกินกันอย่างหม้อชาบู

จากจุดเริ่มต้นของผู้เป็นอาม่าที่ถนัดทำกระดาษไหว้เจ้ามาตั้งแต่เมืองจีน พอย้ายมาตั้งรกรากที่ไทยก็เริ่มทำกิจการตามความถนัดเกิดเป็นร้าน ‘จึงเตี่ยฮวด’ ร้านกระดาษไหว้เจ้า 1 คูหาเล็กในตลาดเก่าข้างๆ วัดเล่งเน่ยยี่ ส่งต่อมายังทายาทรุ่นที่ 2 เป็นอาป๊า อาม้า ที่เริ่มขยับขยายย้ายร้านไปไม่ไกลจากเดิม มาอยู่ริมถนนพลับพลาไชย ติดกับศาลเจ้าหลีตี๊เมี้ยว ปัจจุบันร้านจึงเตี่ยฮวดคือร้าน 2 คูหาใหญ่ริมถนน และสืบทอดกิจการมาสู่รุ่นที่ 3

เราชวน นัท–พีรสรณ์ จิรพิชิตชัย ทายาทรุ่นที่ 3 ที่เข้ามาช่วยกิจการของครอบครัวอย่างเต็มตัว มาพูดคุยถึงเรื่องราวในแง่มุมการทำธุรกิจต่างๆ ที่ทำให้ร้านจึงเตี่ยฮวด ธุรกิจขายกระดาษไหว้แบบเก่ายังมีชีวิตร่วมสมัยไปกับการทำธุรกิจสมัยใหม่ได้อย่างน่าสนใจ

ในฐานะคนรุ่นใหม่ที่มาสานต่อธุรกิจกระดาษไหว้เจ้า ที่ธุรกิจดูสัมพันธ์กับเรื่องความเชื่อ ความศรัทธา คุณมีมุมมองต่อเรื่องนี้ยังไง

ผมเชื่อ และศรัทธาอยู่แล้วเพราะคลุกคลี และไหว้มาตั้งแต่เด็กๆ และยิ่งเป็นธุรกิจของครอบครัวเราก็ต้องทำให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ ผมเชื่อตรงนี้ ซึ่งอาจจะต่างจากวัยรุ่นคนอื่นที่เรียนจบมาแล้วต้องการไปทำงานที่อื่น  แต่ผมมองว่าผมกลับมาทำธุรกิจพื้นฐานของครอบครัวให้ดีที่สุดดีกว่า

ผมเข้ามาสานต่อธุรกิจอย่างเต็มตัวตั้งแต่ปี 2016 นับจนถึงตอนนี้ก็ 6-7 ปีแล้ว 

คุณเรียนรู้อะไรจากคนรุ่นก่อนบ้าง และคุณเข้ามาปรับให้จึงเตี่ยฮวดเปลี่ยนไปยังไง 

ป๊ากับม้าผมสอนเสมอว่าต้องซื่อสัตย์ จริงใจ และขายของมีคุณภาพให้กับลูกค้า ยิ่งเป็นธุรกิจที่เกี่ยวกับความเชื่อแล้วยิ่งต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากขึ้น

ร้านอื่นอาจสู้กันด้วยเรื่องราคาที่ถูกกว่า แต่จึงเตี่ยฮวดสู้ด้วยของคุณภาพ ความสวยงามของสินค้าที่เป็นที่ยอมรับและถูกใจลูกค้า แม้สินค้าบางอย่างอาจจะมีราคาที่สูงกว่าบ้าง แต่เมื่อสินค้ามีคุณภาพดีลูกค้าก็ยอมที่จะควักเงินจ่ายและบอกต่อกันปากต่อปาก

สิ่งที่ผมเข้ามาเปลี่ยนคือการปรับทุกอย่างให้เป็นมาตรฐาน เป็นระบบมากขึ้น ลูกค้าเก่าแก่อาจจะสนิทกับป๊าม้า เพราะซื้อกันจนสนิทแล้วเลยได้ในราคาที่ดีกว่า แต่ผมมองว่าต้องปรับให้เท่ากันให้มีมาตรฐานและง่ายต่อการบริหารในวันข้างหน้า

เราเห็นร้านจึงเตี่ยฮวดทำการตลาด ทำออนไลน์ที่ดูเข้ากับคนสมัยใหม่มากขึ้น

ใช่ ยุคของป๊าม้าเดิมไม่ได้มีการทำการตลาด มีแค่เซลส์วิ่งไปขายของกับลูกค้า ตอนนั้นก็เจอ pain point  แบบเอาของไปพอถึงรอบบิลแล้วไม่จ่าย จ่ายช้าก็มี  ซึ่งผมมองว่าเป็นต้นทุน พอมาถึงยุคผมการขายแบบเก่าก็เลยไม่มีแล้ว และหันมาทำออนไลน์มากขึ้น

ตอนผมเข้ามาทำ ผมเริ่มเปิดเฟซบุ๊กเป็นช่องทางการขายใหม่ให้กับลูกค้า ซึ่งเป็นการขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ไปในตัว มีบริการจัดส่งทั่วไทย บริการเรียกเมสเซนเจอร์มารับ ใครสะดวกมาซื้อสินค้าด้วยวิธีแบบไหนร้านผมก็มีรองรับ 

ลองเข้าไปดูหน้าเฟซบุ๊กของร้านก็จะไม่ได้มีแค่การโพสต์ขายของเท่านั้น ผมมองว่าต้องมีการแนะนำ ให้ความรู้ต่างๆ ควบคู่ไปด้วย เพราะคนรุ่นใหม่ที่สนใจ อยากไหว้ แต่ยังไม่ค่อยรู้ก็ยังมีอีกเยอะ ซึ่งสิ่งที่เราทำมันทำให้ร้านจึงเตี่ยฮวดมีกลุ่มลูกค้าเป็นรุ่นใหม่มากขึ้น และคนรุ่นเก่าก็ยังมาซื้อเหมือนเดิม

นอกจากเฟซบุ๊กแล้วที่ร้านก็ยังมีอินสตาแกรมและ TikTok ด้วย และจากที่เราทำการตลาดก็ทำให้จึงเตี่ยฮวดมีลูกค้าต่างประเทศอย่างลาว และกัมพูชามาติดต่อซื้อสินค้าไปขายต่อเช่นกัน

เท่าที่เราเห็นสินค้าของร้าน ทำไมสินค้าจึงเตี่ยฮวดถึงมีดีไซน์ที่สะดุดตามากกว่าร้านอื่นๆ

ตอนนี้สินค้าในร้านมีมากกว่า 500 SKU ตั้งแต่สินค้าพื้นฐาน ธูป เทียน ของไหว้ กระดาษไหว้ต่างๆ ซึ่งถ้าให้แบ่งสินค้าของที่ร้านมีด้วยกัน 3 แบบ คือรับมาจากเมืองจีน สั่งทำ และทำกันเอง

สินค้าในร้านส่วนใหญ่ก็เป็นการรับมาจากเมืองจีน หากถามว่าทำไมเราไม่ตั้งโรงงานผลิตเอง รุ่นป๊าม้ามีความคิดที่จะเปิดโรงงานผลิตเองเหมือนกัน แต่ดูแล้วการเปิดโรงงานมีความเสี่ยงและต้นทุนที่มากกว่า เราเลยทำหน้าที่เป็นตัวกลางรับสินค้าและมาขาย มากระจายต่อดีกว่า ความเสี่ยงมีไม่มากเท่า

สินค้าที่ทำกันเอง คือสินค้าที่เรารับพับกระดาษเงิน กระดาษทองตามที่ลูกค้าสั่ง เพราะต้องการความประณีต สวยงาม

สินค้าที่ทางร้านสั่งทำ ดีไซน์ต้องทันยุคทันสมัย ผมเป็นคนคิดหาไอเดีย สินค้าใหม่ๆ เข้ามา อย่างกระดาษไหว้บรรพบุรุษที่เป็นชุควัคซีนโควิด-19 เราคิดแล้วสั่งโรงงานที่จีนผลิตให้ ทำให้ช่วงที่ผ่านมาขายดีมากๆ ปีนี้อาจจะไม่ได้มีอะไรพีคๆ เหมือนปีก่อนหน้า แต่ก็มีสินค้าอย่างหม้อชาบู คอนโด เครื่องประดับ ของแบรนด์เนมที่เป็นชุดกระดาษไหว้บรรพบุรุษให้ลูกค้าได้เลือก 

รวมถึงสินค้าที่ลูกค้าสั่งทำพิเศษอย่างลูกหลานชอบสั่งทำไปใช้ในงานกงเต็ก ของที่เราทำแล้วพีคๆ ที่จำได้มีทั้งรถยนต์ขนาดเท่าไซส์จริง นาฬิกาจีนโบราณ ซึ่งผมมองว่านี่เป็นจุดแข็งหลักที่ทำให้จึงเตี่ยฮวดต่างจากร้านอื่น

ดูเหมือนว่าธุรกิจกระดาษไหว้เจ้าจะขายดีเฉพาะแค่เทศกาล เราบริหารความเสี่ยงยังไง

หลายคนคิดแบบนั้น แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ เพราะกระดาษไหว้เจ้าขายได้ทั้งปี ไล่เรียงตั้งแต่ต้นปีไปจนถึงปลายปี หลักๆ ตั้งแต่เทศกาลตรุษจีน เทศกาลเชงเม้ง เทศกาลสารทจีน เทศกาลไหว้พระจันทร์  เทศกาลกินเจ สินค้าทุกอย่างไม่ได้มีความเสี่ยงสูง สินค้าของเราขายหมดตลอด ช่วงโลว์ซีซั่นก็ทำสินค้ารอไว้และมาขายในช่วงไฮซีซั่น ซึ่งเราขายทั้งปลีกและส่ง รวมถึงส่งให้ตามวัด และศาลเจ้าต่างๆ ก็ทำกันไม่ทันอยู่แล้ว

ช่วงเทศกาลก็จะขายดีกว่าปกติหลายเท่า ขายดีสุดๆ ก็มากกว่าปกติถึง 10 เท่า ขายจนถึง 5 ทุ่ม เที่ยงคืน ซึ่งเทศกาลที่ขายดีที่สุดคือเทศกาลตรุษจีน เชงเม้ง และสารทจีน

แม้ความเสี่ยงจะไม่สูง แต่พอเข้าสู่ยุคใหม่ๆ เข้าสู่ยุครักษ์โลก ผู้คนลดการเผากระดาษ ก็น่าจะกระทบกับธุรกิจขายกระดาษไหว้เจ้ามากอยู่ แล้วเราปรับตัวรับกับสถานการณ์ได้ยังไง

เอาตรงๆ ก็กระทบบ้างโดยเฉพาะเมื่อสองปีก่อนที่เทรนด์รักษ์โลกมาแรงมากๆ สิ่งที่เราทำคือหาสินค้าใหม่มาตอบโจทย์อย่างเช่นธูป ที่ร้านก็หาเป็นธูปไร้ควัน ธูปไฟฟ้า มาขาย  ธูปไร้ควัน ในส่วนของกระดาษก็หากระดาษที่ทำจากวัสดุที่เผาง่ายขึ้น

ถ้าให้พูดว่าธุรกิจไหว้เจ้าอยู่ด้วยภาวะเศรษฐกิจก็มีส่วนอยู่บ้าง อย่างปีโควิด-19 ทุกครอบครัวรัดเข็มขัด ซื้อของน้อยลง รายได้เราก็ย่อตาม แต่พอทุกอย่างเริ่มกลับมายอดขายก็เพิ่มขึ้น ซึ่งก็น่าจะเป็นเหมือนกันทุกๆ ร้าน

สิ่งที่ทำได้คือการสร้างลูกค้าใหม่ๆ มากขึ้น 

ลูกค้าใหม่ๆ ที่คุณพูดถึงคือใคร

เอาตรงๆ จึงเตี่ยฮวดมีลูกค้าที่เป็นวัยรุ่นมากขึ้น สมัยนี้คนรุ่นใหม่ คนไทยหันมาไหว้เจ้ามากขึ้น บางคนซื้อมากกว่าคนเชื้อสายจีนด้วยซ้ำ เราเห็นคนสายมู จัดทริปไหว้พระ ไหว้เจ้า อย่างต้นปีวัยรุ่นเองก็มาแก้ปีชงเยอะ ผมมองว่าธุรกิจไหว้ก็ยังอยู่ต่อไปได้

แล้วคุณมองภาพรวมตลาดกระดาษไหว้เจ้าต่อจากนี้ยังไง

แรกๆ ที่ยังไม่เข้าใจผมมองมันว่าเป็นขาลงนะ แต่ตอนนี้ผมกลับมองว่าเป็นขาขึ้นที่ค่อยๆ ขึ้นแบบไต่ระดับ เพราะความเชื่อเปลี่ยน เจเนอเรชั่นเปลี่ยน อย่างที่บอกไปข้างบนคนรุ่นใหม่หันมาไหว้กันเยอะ แม้แต่คนไทยแท้ๆ ก็หันมาไหว้เยอะเช่นกัน ซึ่งเค้าเพิ่งเริ่มหัดไหว้ก็ซื้อกันเต็มที่ ผมคิดว่ามันมาทดแทนกันและกราฟมันเปลี่ยนได้ หมุนไปเป็นวัฏจักร

ทิศทางต่อจากนี้ของจึงเตี่ยฮวดจะเป็นยังไง คุณจะบริหารมันต่อไปในทิศทางไหน

แน่นอนว่าเราต้องพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ตลอดเวลาอยู่แล้ว เร็วๆ นี้อาจจะเห็นพวกกระดาษไหว้บรรพบุรุษที่เป็นสัตว์เลี้ยงที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่มากขึ้น

แผนระยะยาว 10 ปีข้างหน้าผมวาดภาพให้จึงเตี่ยฮวดเป็นร้าน one-stop service ที่มีบริการ ขายสินค้าของไหว้ครบวงจรทั้งจีน ไทย ฮินดู มาที่จึงเตี่ยฮวดหาสินค้าความเชื่ออะไรก็มีหมด แต่สิ่งที่ยากคือสถานที่เพราะถ้าย้ายร้านไปจากตรงนี้ก็คนดีแน่

อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ร้านอยู่ได้นาน และจึงเตี่ยฮวดยังทำต่อไปคือเรื่องของคน ที่พนักงานในร้านต้องมีความเป็นมืออาชีพ พูดจาดี และจริงใจกับลูกค้า เพราะถ้าไม่จริงใจกับลูกค้าผมว่ามันอยู่ได้ไม่นาน

และเพราะเราเป็นธุรกิจเก่า ถ้าทำการค้าแบบเก่าผมว่าวันหนึ่งมันจะหายไป เพราะฉะนั้นเราต้องพัฒนาเรื่อยๆ อัพเดตเทรนด์สินค้าใหม่ ทำให้มีสีสันตลอดเวลา ผมว่ายังไงก็ยังอยู่รอด และทำให้ร้านค้าขายกระดาษไหว้เจ้ายังอยู่ได้

Not Too Virgin Design Lab สตูดิโอที่เปลี่ยนฝาขวดน้ำเหลือใช้เป็นของแต่งบ้านดีไซน์ดี

ใครหลายคนนิยามว่าดีไซเนอร์คืออาชีพ ‘นักแก้ปัญหา’

แรกเริ่มมันอาจหมายถึงการแก้ปัญหาเชิงดีไซน์และฟังก์ชั่นเป็นหลัก แต่ในโลกยุคปัจจุบันที่สิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องช่วยกันรักษา ดีไซเนอร์หลายคนจึงกลายมาเป็นนักแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมผ่านงานออกแบบที่พวกเขาถนัด

หนึ่งในนั้นคือ Not Too Virgin Design Lab ดีไซน์สตูดิโอที่ผลิตของใช้ในบ้านตั้งแต่ที่รองแก้ว ถาดใส่เครื่องประดับ ไปจนถึงเฟอร์นิเจอร์ ทั้งหมดทำจากวัสดุที่เป็นมิตรกับโลกอย่าง ‘Jesmonite’ และฝาขวดน้ำพลาสติกรีไซเคิล แถมสองผู้ก่อตั้งสตูดิโอยังตั้งใจว่าจะสนับสนุนให้ดีไซเนอร์คนอื่นๆ เลือกใช้วัสดุรักโลกมากขึ้นด้วยการเป็นตัวแทนจำหน่าย Jesmonite อย่างเป็นทางการในประเทศไทย

แล้ว Jesmonite คืออะไร–หลายคนคงมีคำถาม

ไปรู้จักวัสดุนี้พร้อมๆ กับที่รู้จัก Not Too Virgin Design Lab แบรนด์ที่ตั้งใจแนะนำวัสดุใหม่ๆ ให้เป็นทางเลือกของคนไทย

Not the Conventional Materials

 ไอซ์–ศิรดา กุลไพศาล และ เก้–ขวัญจันทร์ สงขกุล คือสองสาวผู้ก่อตั้งสตูดิโอ ทั้งคู่เรียนจบปริญญาตรีทางด้าน design communication และได้เจอกันครั้งแรกตอนไปเรียนปริญญาโทที่อังกฤษ ที่นั่น ไอซ์เลือกเรียนด้าน design management ส่วนเก้เลือกเรียนด้าน art direction

ทั้งคู่นิยามตัวเองว่าเป็นคนดีไซน์ ไม่ว่าจะไปเที่ยวหรือช้อปปิ้งที่ไหนดีไซน์คือสิ่งที่อยู่ในสายตาเสมอโดยเฉพาะของใช้ในบ้านและเฟอร์นิเจอร์ กระทั่งการสังเกตทำให้ได้เจอวัสดุใหม่ๆ ที่ไม่เคยเห็น

“พอเราไปอยู่ที่เมืองนอก ได้เห็นโปรดักต์ใหม่ๆ เราก็ตกใจมากว่าของที่สวยๆ หลายอย่างมันทำมาจากขยะ ทำมาจากเศษพลาสติกหรือวัสดุทางเลือกที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน” เก้เล่า

“มีอยู่วันนึงเราไปช้อปที่ร้าน designer brand ร้านหนึ่งแล้วก็เห็นเคาน์เตอร์สีสันสดใสมาก เราก็ไปเคาะอยู่นั่น ไปสัมผัสว่ามันทำมาจากอะไร ไม่เคยเห็นเลย ทำไมสวยจัง พนักงานก็เข้ามาบอกว่ามันทำมาจากฝาพลาสติก มันเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราสนใจวัสดุทางเลือก จริงๆ ที่นั่นเขามีนวัตกรรมวัสดุรีไซเคิลเยอะแยะมากมาย เช่น เอาพลาสติกมาผลิตเป็นเส้นใยต่างๆ แต่เพราะเราสนใจเฟอร์นิเจอร์พอเราเห็นของใหญ่ๆ แบบนั้นมันก็ตื่นตาตื่นใจ

“อีกวัสดุที่เราได้เจอคือ Jesmonite เราไปเดินเล่นกันแล้วบังเอิญไปเจอเวิร์กช็อปการใช้วัสดุชื่อ Jesmonite ซึ่งมันคืออะไร ไม่เคยรู้จักมาก่อนแต่ว่าน่าสนใจดีนะ ปรากฏเวิร์กช็อปแพงมาก เราเป็นคนหาทำ ชอบทำงานประดิษฐ์อยู่แล้วก็เลยสั่งซื้อวัสดุมาเปิดยูทูบเรียนเองแล้วก็ลองทำนู่นทำนี่”

เก้อธิบายว่า Jesmonite คือวัสดุชนิดหนึ่งที่ผลิตขึ้นโดยดีไซเนอร์ชื่อ Peter Hawkin ในช่วงต้นยุค 1980s มีลักษะเป็นผงที่ต้องนำมาผสมกับของเหลวเพื่อนำไปขึ้นรูปในแม่พิมพ์ เมื่อแห้งแล้วจะแข็งแรง ทนทาน คล้ายกับคอนกรีตหรือเรซิ่น แต่สิ่งที่ทำให้ Jesmonite แตกต่างจากวัสดุไหนๆ คือสีสันสดใสและความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

“พอเราใช้เองเราถึงรู้ว่าข้อดีของมันคืออะไร หนึ่ง Jesmonite มีสีสันสดใสมาก ไม่มีวัสดุไหนที่มีสีแบบนี้ด้วยตัวของมันเองโดยไม่ต้องผสมสี สองคือมันไม่มีสารพิษ คอนกรีต เรซิ่น ปูนซีเมนต์ พวกนี้ใช้สารเคมีเยอะมาก ถ้าเคยใช้จะรู้ว่ามันเหม็น อันตรายกับคนใช้” นอกจากนั้น Jesmonite ยังมีน้ำเป็นส่วนผสมหลักซึ่งเป็นทางเลือกที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าสารทำละลายอื่นๆ และไม่มีสารอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) ที่ก่อมลพิษทางอากาศด้วย

“เราเป็นคนที่ชอบดีไซน์ ชอบเฟอร์นิเจอร์ ของแต่งบ้านทั้งคู่ จำได้ว่าวันนึงคุยกันว่าอยากได้เฟอร์นิเจอร์กลับไปแต่งคอนโดที่เมืองไทย แล้วก็ เอ๊ะ ทำไมเราไม่ทำขึ้นมาล่ะ” ไอซ์เล่า

 “แต่ถ้าจะทำ ถามว่าเราเรียนทางด้านออกแบบเฟอร์นิเจอร์ ออกแบบโปรดักต์มาหรือเปล่า ก็เปล่า แล้วเราจะไปสู้คนที่เขาทำเฟอร์นิเจอร์กันมาเป็นสิบๆ ปีได้ยังไง

“อยู่ดีๆ เราก็คิดว่า นี่ไง เราสู้ด้วยแมตทีเรียล”

Not Quite a Design Studio

“ด้วยความที่เราทั้งคู่ไม่ได้จบด้านออกแบบเฟอร์นิเจอร์หรือออกแบบโปรดักต์ เราอาจจะไม่สามารถตีตลาดเฟอร์นิเจอร์ทั่วไป ไปแข่งกับแบรนด์ที่มีอยู่แล้วได้ เราเลยเราเลือกตีโจทย์อีกทาง เลือกวัสดุที่ในไทยยังไม่มีและเป็นวัสดุที่น่าสนใจ

“ความตั้งใจของเราคือ เราอยากทำเฟอร์นิเจอร์และของใช้จากวัสดุใหม่ๆ ที่สามารถช่วยเรื่องสิ่งแวดล้อมได้” ทั้งคู่ช่วยกันเล่า

วัสดุแรกที่พวกเธอมีในใจคือ Jesmonite ที่เก้ทดลองใช้จนชำนาญ (แถมเพราะบริษัท Jesmonite ขายวัสดุเป็นแพ็กใหญ่เท่านั้นเธอจึงใช้มันทำถาดใส่ของกระจุกกระจิกขายในเว็บไซต์ Etsy ซะเลย)

“การใช้งาน Jesmonite นี่อลังการงานสร้างมาก ในต่างประเทศเขาใช้วัสดุนี้ทำตึกด้วยซ้ำ ใช้ทำภาพปูนเปลือย ใช้ทำรูปปั้นใหญ่ๆ ที่ Tate Modern ที่ลอนดอน ใช้เป็นกำแพง เป็นหลังคาโรงแรม”​

ด้วยความยืดหยุ่นขนาดนี้ Not Too Virgin จึงเอามาใช้ทำโปรดักต์ชิ้นเล็กได้สบายๆ ตั้งแต่ถาดใส่ของกระจุกกระจิกรุ่นคลาสสิกแบบเดียวกับที่เคยขายใน Etsy กระถางต้นไม้ หรือจะเป็นเชิงเทียนสุดน่ารักที่สามารถคัสตอมส่วนประกอบเองได้

วัสดุที่สองคือ ‘พลาสติกรีไซเคิล’

“เราสนใจพลาสติกรีไซเคิล ก็ไปรีเสิร์ชเกี่ยวกับมันจนได้เจอองค์กรที่มีชื่อว่า Precious Plastic เป็นองค์กรที่พยายามสร้างคอมมิวนิตี้ในแต่ละประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาขยะพลาสติก”

วิธีการของ Precious Plastic คือพวกเขาเน้นให้ความรู้ชุมชนเรื่องการแยกขยะและผลักดันให้ชุมชนสร้างรายได้จากขยะด้วยการนำเครื่องจักรรีไซเคิลพลาสติกไปตั้งไว้ในชุมชน เช่น เครื่องบดพลาสติกเป็นชิ้นเล็กๆ เครื่องอัดพลาสติกเป็นแผ่น หรือเครื่องฉีดขึ้นรูป ทั้งหมดเพื่อให้ชุมชนนำไปขายได้ ส่วนใครที่อยากมีเครื่องนี้เป็นของตัวเอง Precious Plastic ก็แจกพิมพ์เขียวไว้ในเว็บไซต์ด้วย

Not Too Virgin คือหนึ่งในคนที่ดาวน์โหลดพิมพ์เขียวของพวกเขามาใช้ต่อยอดสร้างเครื่องจักร Sheetpress ของตัวเอง มันคือเครื่องจักรที่จะกดและหลอมละลายเศษพลาสติกให้กลายเป็นแผ่นจากนั้นก็สามารถนำมาตัดและประกอบเป็นโปรดักต์ต่างๆ ตามใจ

“วิธีการคือเราไปซื้อฝาขวดน้ำพลาสติกที่บดและแยกสีแล้วมาจาก Precious Plastic พอเข้าเครื่องจักรบีบออกมาจะได้แผ่นพลาสติกความกว้างประมาณ 90×90 เซนติเมตร upcycle ฝาขวดน้ำได้ถึงประมาณ 20,000 ฝา” เก้บอก

เช่นกันกับ Jesmonite แผ่นพลาสติกเหล่านี้ถูกนำมาดัดแปลงเป็นโปรดักต์หลายอย่าง มีทั้งที่รองแก้ว เก้าอี้ ไปจนถึงโต๊ะเล็กๆ ตามความฝันอยากทำเฟอร์นิเจอร์ของทั้งสอง ทั้งยังเปิดบริการ bespoke service ให้ลูกค้าสั่งทำสินค้าได้ด้วย

แต่ไม่ว่าจะทำผลิตภัณฑ์อะไร ไอซ์บอกว่าหัวใจสำคัญคือการใช้วัสดุหลักเพียงหนึ่งชนิดต่อหนึ่งชิ้นงาน

“สิ่งสำคัญที่เราคำนึงถึงคือการใช้วัสดุพลาสติกชนิดเดียวกันในทุกๆ งานฉะนั้นมันจะเอาไป recycle ต่อได้” ดังนั้นถ้าย้ายบ้านแล้วไม่รู้จะเอาเฟอร์นิเจอร์ไปไว้ที่ไหนหรือเบื่อๆ อยากเอาของเก่าไปแปลงเป็นของใหม่ พลาสติกเหล่านี้สามารถหลอมแล้วขึ้นรูปได้ใหม่ไม่รู้จบตามจินตนาการ

คุณสมบัติการเอาของเก่ามาทำใหม่นี้แหละคือที่มาของชื่อแบรนด์ “เราเริ่มต้นจากการเอาวัสดุที่ผ่านการใช้งานมาแล้วอย่างฝาขวดน้ำมาอัพไซเคิล คือมันไม่ซิงแล้ว ก็เลยเป็นที่มาของชื่อ Not Too Virgin” ไอซ์เล่าก่อนที่เก้จะอธิบายว่าทำไมพวกเธอเรียกตัวเองว่า design lab ไม่ใช่ design studio

“เราชอบ explore เราไม่ได้เชี่ยวชาญการออกแบบเฟอร์นิเจอร์แต่เราเน้นวัสดุที่มาพร้อมกับการทดลอง ดังนั้นกระบวนการของพวกเรามันเลยเหมาะกับคำว่าแล็บมากกว่า มันคือการทดลองไปเรื่อยๆ บางทีก็เวิร์ก บางทีก็ไม่เวิร์ก หรืออย่างขาโต๊ะตัวนี้” เก้ชี้ไปที่ขาด้านหนึ่งของโต๊ะที่เรานั่งคุยกันอยู่ซึ่งมีลักษณะฟูฟ่องเหมือนก้อนเมฆ “มันเกิดขึ้นจากความผิดพลาดค่ะ เราอยากทำขาโต๊ะกลมๆ แต่แม่พิมพ์แตกมันเลยทะลักออกมา กลายเป็นว่าพอเสร็จแล้วเราก็มองว่ามันน่ารักดี”

การทดลองนำไปสู่ผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึง การเปิดแบรนด์ Not Too Virgin ก็นำไปสู่ด้านอื่นๆ ของธุรกิจที่พวกเธอไม่ได้วางแผนไว้เช่นกัน

Not Just Designers

ตามความตั้งใจแรก Not Too Virgin คือแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ดีไซน์ดี ทำขึ้นจากวัสดุทางเลือกที่ทั้งสวย ทั้งแปลกใหม่ และดีต่อโลก

แต่ทำไปทำมา ยังไม่ทันได้เปิดตัวไลน์สินค้าเฟอร์นิเจอร์ (แต่จะปล่อยออกมาเร็วๆ นี้) พวกเธอก็ต่อยอดธุรกิจไปในด้านต่างๆ มากมาย

“หนึ่ง–เราขายโปรดักต์ สอง–เราเป็นตัวแทนจำหน่ายวัสดุ Jesmonite สาม–เราทำเวิร์กช็อป แล้วเราก็กำลังทำความคุ้นเคยกับการทำของชิ้นใหญ่ๆ เพื่อออกไลน์สินค้าเฟอร์นิเจอร์” เก้นับนิ้ว

“ตอนแรกเราไม่ได้คิดจะเป็น distributor เราสั่งของมาทำโปรดักต์เฉยๆ พอทำแล้วคนก็เริ่มสนใจวัสดุ เริ่มทักมาถามว่ามีวัสดุขายหรือเปล่า” ไอซ์เล่าโดยมีเก้ช่วยเสริม

“แต่ว่ากฎของ Jesmonite คือห้ามแบ่งขายเป็นชุดเล็กๆ ต้องขายเซตที่เขาทำมาเท่านั้น สุดท้ายเราเลยลองเขียนอีเมลไปด้วยความจริงใจว่าเราเป็นใคร เราใช้วัสดุนี้มันดีมากนะ มีคนติดต่อมาอยากซื้อแต่เราขายให้เขาไม่ได้ เราอยากเป็น distributor ได้ไหม จากประมาณ 8 เจ้าที่ติดต่อเขาเข้าไปเขาก็เลือกให้เป็น distributor น่าจะเป็นเพราะเราใช้จริงๆ แล้วก็มีแพสชั่นกับมันจริงๆ”

Not Too Virgin Design Lab
Not Too Virgin Design Lab

ได้เป็นตัวแทนจำหน่ายแล้วใช่ว่าเส้นทางจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะอุปสรรคถัดไปคือความเข้าใจวัสดุนี้ที่ถือว่าเป็นของใหม่ในเมืองไทย

“ความท้าทายหลักๆ คือการให้ความรู้เรื่องวัสดุเลย คนส่วนใหญ่ที่ซื้อไปแล้วมักจะยังทำไม่เป็น เขาก็จะมีคำถามเยอะ หรือบางคนก็ไม่เข้าใจว่าทำไมมันแพงจัง เราก็ต้องคอยให้คำปรึกษากับเขาเรื่อยๆ” ไอซ์ว่า

จากให้คำปรึกษาแบบตัวต่อตัว พวกเธอเริ่มทำคลิปให้ความรู้เรื่อง Jesmonite แต่คำถามก็ยังหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสายทั้งคู่จึงก้าวเข้าสู่บริการใหม่คือจัดเวิร์กช็อปสอนวิธีการใช้ซะเลย

“มีหลายๆ คนที่เห็นของเราสวยก็ทักมาว่าถามมันคืออะไรเหรอคะ แต่พออธิบายเป็นคำพูดบางทีเราก็นึกไม่ค่อยออกเลยเกิดเป็นเวิร์กชอปขึ้นมา ลองผิดลองถูกมาเรื่อยๆ จนตอนนี้น่าจะสอนไปเป็นร้อยคนแล้ว สุดท้ายมันช่วยธุรกิจของเราค่อนข้างเยอะเลยเพราะพอคนเริ่มได้ลองแล้วติดใจก็มีหลายคนที่กลับมาซื้อบ่อยๆ  หลายคนก็เอาไปเริ่มธุรกิจของตัวเองได้”

สองผู้ก่อตั้งเล่าว่าตั้งแต่แรก target ลูกค้าที่พวกเขามองไว้มีสองกลุ่มหลักๆ หนึ่ง–คือกลุ่มลูกค้าทั่วไปที่มาซื้อโปรดักต์ สอง–คือกลุ่มนักออกแบบที่จะมาซื้อวัสดุหรือสั่งทำสินค้า custom-made สำหรับโปรเจกต์งานออกแบบต่างๆ

ตั้งแต่เปิดเวิร์กช็อปพวกเธอเหมือนแก้โจทย์การขายให้ลูกค้าทั่วไปได้อีกขั้น แถมยังได้ลูกค้ากลุ่ม corporate ที่ทำ CSR เรื่องสิ่งแวดล้อมชวนไปจัดเวิร์กช็อปอยู่เรื่อยๆ แต่โจทย์การแนะนำวัสดุให้ดีไซเนอร์ยังคงอยู่ นิทรรศการเล็กๆ ชื่อ Pop the Cherry จึงเกิดขึ้น

Not Too Virgin Design Lab

งานนี้จัดโดยชาว Not Too Virgin ก็จริงแต่คนที่จัดแสดงไม่ได้มีแค่เก้และไอซ์ พวกเธอต่างไปชักชวนดีไซเนอร์หลายๆ สาขาที่รู้จักกันมาลองใช้ Jesmonite และเล่นกับพลาสติกรีไซเคิลเพื่อทำโปรดักต์ชนิดต่างๆ ขึ้นมา

“เราอยากให้คนรู้จักวัสดุ ได้เห็นและได้สัมผัสมัน แล้วเราก็ทำของเล็กๆ มาสักพักแล้ว เราอยากให้คนทั่วไปหรืออินทีเรียร์ดีไซเนอร์ได้มาเห็นของใหญ่ เห็นความเป็นไปได้ของวัสดุว่ามันเอาไปทำอะไรได้บ้างแต่ลำพังตัวเราเองเราทำโปรดักต์ทุกอย่างไม่ได้ ความถนัดของเราก็คือทำพลาสติกออกมาเป็นแผ่น เราเลยชวนเพื่อน คนรู้จัก ที่มีความถนัดที่แตกต่างกันมาใช้วัสดุของเรา ให้โจทย์ไปว่าทำอะไรก็ได้จากวัสดุเหล่านี้” เก้เล่าให้ฟัง

ด้วยโจทย์กว้างแสนกว้าง โปรดักต์ที่ได้จึงมีตั้งแต่ปฏิทินพลาสติก ชั้นวางของ ไปจนถึงชุดโต๊ะและม้านั่งอลังการ

“หลังจากทำงานนี้ก็มีบริษัทอินทีเรียร์ติดต่อเข้ามาเหมือนกัน ล่าสุดก็มีอินทีเรียร์ที่จะทำร้านรีเทลขอตัวอย่างพลาสติกของเราไปดูว่าทำอะไรได้บ้าง เพราะคนเดี๋ยวนี้ก็เริ่มสนใจวัสดุพวกนี้มากขึ้น

“ดีไซเนอร์ที่มาร่วมจัดนิทรรศการก็ตอบรับกับวัสดุในทางบวก เขาเห็นความเป็นไปได้ใหม่ๆ เช่น บางคนเคยใช้วัสดุหินอ่อนซึ่งมันมีข้อจำกัด เช่น มีสีให้เลือกน้อยและหนักมาก พอลองใช้ Jesmonite มันก็เปิดช่องทางให้เขาได้ทำงานอีกหลายสีที่เขาอยากทำ”

สำหรับตอนนี้ ใครอยากเห็นว่า Jesmonite และพลาสติกรีไซเคิลนำไปใช้กับร้านค้าจริงๆ แล้วเป็นยังไง สองสาวกระซิบว่าสามารถไปดูได้ที่ร้าน CHAND ซอยสุขุมวิท 31, ร้าน Shaka สาขา The Promenade และร้าน hidey.house สุขุมวิท 54 ส่วนโปรเจกต์อื่นๆ จะตามมาเร็วๆ นี้

Not Just Eco Products

ไหนๆ ก็ตั้งใจทำโปรดักต์ที่ดีต่อโลกแล้ว ชาว Not Too Virgin ลงความเห็นว่าสตูดิโอของพวกเขาก็ควรจะดีต่อสิ่งแวดล้อมเช่นกัน

“เราไม่ใช่คนกรีนจ๋าแต่เราพยายามทำเท่าที่ทำได้ อย่างเศษ Jesmonite ที่เอามาทำลายหินอ่อนหรือว่าเศษที่เหลืออยู่ตามขอบถ้วยเราก็เอามารวมกันเอาไปใช้ใหม่ ทั้งเราใช้เองหรือใช้ในเวิร์กช็อป ถาดบางอัน ถ้าเราทำแล้วมันไม่เวิร์กเราก็เอามาทุบแล้วก็เอามาประกอบเป็นถาดอันใหม่  หรือเวลาจะทิ้งน้ำเสียเราก็กรองก่อน พยายามเท่าที่ทำได้” ทั้งคู่ผลัดกันเล่า

“ถ้าเข้าไปที่สตูดิโอก็จะรู้สึกว่าเหมือนขยะเยอะมากเลยเพราะเราไม่อยากทิ้ง ใช้แล้วใช้อีก อย่างพวก bubble wrap เราไม่ได้ซื้อมานานมากแล้ว ลูกค้าทุกคนที่สั่งของไปก็อาจจะได้ bubble wrap ที่หน้าตาไม่ค่อยสวยเท่าไหร่แต่ว่ามันเป็นของที่เราไม่ได้ซื้อใหม่”

ถ้าเป็นไม่กี่ปีก่อนการนำวัสดุใช้แล้วมาห่อสินค้าใหม่ให้ลูกค้าอาจเป็นเรื่องที่บางคนไม่เข้าใจ แต่เพราะเทรนด์ความยั่งยืนที่กำลังมา แบรนด์ต่างๆ หันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น ลูกค้าจึงเข้าใจธุรกิจที่มีวิถีเช่นนี้มากขึ้น

เทรนด์คือโอกาสแต่ในขณะเดียวกันก็สร้างคู่แข่งด้านสินค้าสายกรีนขึ้นมามากมาย ถึงอย่างนั้นหลังจากทำธุรกิจมาเกือบๆ สองปี แม้จะยังเป็นสตูดิโอเล็กๆ แต่ Not Too Virgin ก็สร้างความแตกต่างได้สำเร็จ

หนึ่ง–สินค้าดีไซน์ดี แตกต่าง โดยเฉพาะการใช้วัสดุใหม่ที่ยังไม่ค่อยมีใครใช้มากนัก

“​​เราบวกคำว่า sustainability กับดีไซน์เข้าด้วยกัน เน้นออกแบบให้ใช้ได้จริง สวย และ sustainable”

สอง–ธุรกิจของสตูดิโอไม่ได้มีแค่โปรดักต์แต่ต่อยอดไปอีกมากมาย เป็นทั้งตัวแทนจำหน่ายวัสดุ ผู้จัดเวิร์กช็อป ผู้จัดนิทรรศการ นอกจากมีรายได้หลายทางทั้งหมดยังตอบโจทย์ใหญ่ของแบรนด์คือการแนะนำวัสดุทางเลือกใหม่ๆ สู่ตลาดประเทศไทย

“เราเน้นเรื่องวัสดุมากๆ ถ้าถามว่าวันนี้เราจะกลับมาใช้คอนกรีตมั้ย ไม่ เราก็จะมีจุดยืนว่าเราจะหาวัสดุใหม่ๆ มาใช้เสมอ ไม่ใช่แค่ Jesmonite กับพลาสติก ถ้าวันนี้เราเจออะไรที่น่าสนใจเราก็จะหาทำอีก” ทั้งคู่ยืนยัน

กลยุทธ์ PETSUMER และอินไซต์ของทาสสัตว์เลี้ยงโอกาสในธุรกิจนี้อยู่ตรงไหนบ้าง

ท่ามกลางการถดถอยของหลายธุรกิจทั่วโลกจากสถานการณ์โควิด ทว่ากลับมีอยู่หนึ่งธุรกิจที่สามารถเติบโตสวนกระแสของโรคระบาด นั่นคือธุรกิจ ‘สัตว์เลี้ยง’

โดยมีการคาดกันว่าภายในปี 2021-2026 มูลค่าของตลาดสัตว์เลี้ยงทั่วโลกจะมีการเติบโตเฉลี่ยแบบทบต้นเฉลี่ยปีละ 7.2% จนมีมูลค่ารวมอยู่ที่ประมาณ 217,651 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนของไทยเราเองก็คาดว่าตั้งแต่ปี 2021-2026 ตลาดสัตว์เลี้ยงจะมีการเติบโตเฉลี่ยแบบทบต้นเฉลี่ยปีละ 8.4% และทำให้ภายในอีก 3 ปีข้างหน้าตลาดสัตว์เลี้ยงในไทยจะมีมูลค่าอยู่ที่ 66,748 ล้านบาท 

ตัวเลขนี้สะท้อนถึง ‘โอกาส’ ในการทำธุรกิจกับเหล่าทาสสัตว์เลี้ยง 

จากงานวิจัยของวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล หรือ CMMU ที่ได้ทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,146 คนพบว่ากลุ่มคนที่เป็นทาสสัตว์เลี้ยงมากที่สุดคือเพศหญิงอยู่ที่ 66.8% รองลงมาคือเพศชายอยู่ที่ 22.3% ส่วนที่เหลืออีก 10.9% เป็นเพศทางเลือก 

โดยเหตุผลที่คนกลุ่มนี้เลี้ยงสัตว์เลี้ยงนั้นมีอยู่ 3 ข้อหลักๆ ด้วยกัน คือ 1. เลี้ยงเพื่อเป็นลูก 49% 2. เลี้ยงเพื่อสถานะทางสังคม 33% และ 3. เลี้ยงเอาไว้เพื่อช่วยเหลือช่วยบำบัดรักษาอีก 18% 

  1. Pet Parant : เลี้ยงไว้เพื่อเป็นลูก

คนกลุ่มนี้ไม่ได้มองว่าสัตว์เลี้ยงเป็นแค่สัตว์เลี้ยง แต่เป็นเสมือนสมาชิกคนหนึ่งของครอบครัว โดยกว่า 80% ของคนเลี้ยงสัตว์คือคนโสด และความโสดก็ส่งผลต่อความเหงาจนทำให้ต้องมีน้องๆ เข้ามาเติมเต็มชีวิตมากยิ่งขึ้น 

  1. Pet Prestige : เลี้ยงเพื่อสถานะทางสังคม

อาจเป็นเหตุผลที่ฟังแล้วรู้สึกเซอร์ไพรส์ แต่คนกลุ่มนี้มีมากถึง 33% เลยทีเดียว โดยการเลี้ยงแบบ Pet Prestige ที่เอาไว้เสริมภาพลักษณ์ทางสังคมนั้นไม่ได้หมายความว่าเจ้าของไม่รักสัตว์เลี้ยง แต่ในมุมหนึ่งก็เป็นการเลี้ยงเพื่อสะท้อนไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของตัวผู้เลี้ยงอีกด้วย อย่างเช่นคนเลี้ยงสิงโตก็สะท้อนไปถึงภาพลักษณ์ความหรูหราที่ได้เลี้ยงสัตว์หายากราคาแพง  หรือการที่เหล่าเซเลบเลี้ยงสัตว์ก็กลายเป็นการสร้างกระแสให้คนอื่นๆ อยากเลี้ยงตามด้วยเช่นกัน 

หนึ่งในกลุ่มตัวอย่างของผลสำรวจบอกว่า “เลี้ยงครับ เลี้ยงนกหงษ์หยก สีเขียวมินต์ เพราะเห็นใน TikTok มีคนเลี้ยงเยอะแล้วน่ารักดี เลยเลี้ยงตาม และพอดีซื้อบ้านใหม่อยู่สองคนกับแฟนเลยซื้อมาเลี้ยง”

  1. Pet Healing : เลี้ยงเอาไว้เพื่อช่วยเหลือช่วยบำบัดรักษา

คนกลุ่มนี้จะเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเอาไว้เพื่อคอยช่วยดูแลญาติผู้ใหญ่ หรือเลี้ยงเอาไว้คลายเหงาคลายความเครียด ซึ่งการศึกษาในต่างประเทศก็บอกว่าการที่เราใช้เวลาว่างในการเล่นหรือดูแลสัตว์เลี้ยง ร่างกายของเราก็จะเกิดกลไกบำบัดทางด้านอารมณ์ ทำให้ร่างกายหลั่งสารความสุขออกมา และนั่นก็ทำให้ช่วยคลายเครียดและคลายเหงาได้

ซึ่งนอกจากน้องหมาและน้องแมว สัตว์เลี้ยงอีกประเภทที่คนนิยมเลี้ยงกันคือสัตว์ exotic ไม่ว่าจะเป็นนก กิ้งก่า ชูการ์ไกลเดอร์ แมงมุม กระต่าย ไก่สวยงาม เต่า หรือหนูก็ตาม โดยนอกจากความสวยงามของมันแล้วอีกเหตุผลหนึ่งที่คนนิยมเลี้ยงสัตว์ exotic เพราะสัตว์เหล่านี้ใช้พื้นที่ในการเลี้ยงน้อยและยังไม่ส่งเสียงดังรบกวน

รู้จักกลุ่มผู้เลี้ยงกันไปแล้วว่าเป็นใครบ้าง ทีนี้เรามาดูกันต่อว่าแล้วเหล่าทาสมีพฤติกรรมการเปย์ยังไง จ่ายกันหนักแค่ไหน แล้วเหล่าธุรกิจควรจะเข้าไปจับตลาดนี้ยังไงบ้าง 

โดยคนเลี้ยงสัตว์จะรับข้อมูลเกี่ยวกับอาหารสัตว์เลี้ยงผ่าน 4 ช่องทางหลักๆ ด้วยกันคือโซเชียลมีเดีย 39.8% เพื่อนและครอบครัว 28% ค้นหาจากทางอินเทอร์เน็ต 22.3% และดูจากโฆษณาทีวีอีก 9.9%  

ส่วนช่องทางการซื้ออาหารสัตว์อันดับแรกคือซื้อจากร้านขายสินค้าสัตว์เลี้ยง 34.8% ซื้อทาง e-Commerce 22.2% ซื้อจากซูเปอร์มาร์เก็ต 12.4% ซื้อจากไฮเปอร์มาร์เก็ต 11.8% และอีก 8.2% ที่เหลือซื้อจากคลินิกรักษาสัตว์ 

น่าสนใจว่าในยุคที่ออนไลน์เติบโต ทว่าเหล่าทาสทั้งหลายก็ยังคงซื้ออาหารผ่านช่องทางที่เป็นหน้าร้านมากที่สุด ซึ่งมากกว่า 50% มีการซื้อมากกว่า 1 ครั้งต่อเดือนอีกด้วย โดยส่วนใหญ่เหล่าทาสจะคำนึงเรื่องสุขภาพของสัตว์เลี้ยงเป็นหลัก มักไม่ซื้ออาหารตุนเอาไว้เนื่องจากกังวลถึงคุณภาพอาหารที่ลดลงหากเก็บไว้นานเกินไป และกว่า 62.6% มักจะไม่เปลี่ยนแบรนด์อาหารเพราะกลัวสัตว์เลี้ยงจะท้องเสีย ไม่คุ้นกลิ่นอาหาร และไม่คุ้นกับเม็ดอาหาร โดยในเดือนนึงจะจ่ายค่าอาหารสัตว์เลี้ยงอยู่ที่ประมาณ 1,000-2,000 บาท 

นอกจากค่าอาหาร คนเลี้ยงสัตว์ยังใช้จ่ายไปกับค่าดูแลสัตว์เลี้ยงด้านอื่นไม่ว่าจะเป็นการอาบน้ำตัดขน รับฝากเลี้ยง ทำสปา ทำเล็บ โดยในเดือนๆ นึงมักจะจ่ายค่าดูแลสัตว์เลี้ยงเฉลี่ยอยู่ที่ 1,000-3,000 บาท แม้จะใช้บริการประมาณ 1 ครั้งต่อเดือน แต่ส่วนใหญ่มักกลับมาใช้บริการอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นแล้วเรื่องคุณภาพ การบริการที่ประทับใจ จึงเป็นเรื่องที่เจ้าของธุรกิจดูแลสัตว์เลี้ยงควรให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก 

เห็นข้อมูลที่น่าสนใจและโอกาสการเติบโตของตลาดนี้แล้ว สำหรับคนที่กำลังทำธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงอยู่ หรือใครที่อยากจะกระโดดลงมาทำธุรกิจนี้บ้าง ทาง CMMU ก็ได้แนะนำกลยุทธ์ที่เรียกว่า Petsumer ซึ่งเป็นกลยุทธ์เอาไว้มัดใจทาสสายเปย์ทั้งในแง่ของสินค้า บริการ รวมไปถึงการสื่อสารให้ตรงใจเหล่าทาสสัตว์เลี้ยง ซึ่งเรามองว่ากลยุทธ์นี้เป็นเหมือนเช็กลิสต์ในการทำธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงที่น่าสนใจไม่น้อยเลย 

Personalization : มีสินค้าที่ customize ตามชนิดหรือสายพันธุ์ เช่นอาหารสำหรับสัตว์ที่ป่วยในบางโรค 

Easy Access : การเข้าถึงง่ายคือหัวใจสำคัญของธุรกิจบริหารสัตว์เลี้ยง มีทำเลที่สะดวกต่อทั้งคนและสัตว์ มีบริการเดลิเวอรีให้ถึงที่ 

Trustworthiness : มีคุณภาพ น่าเชื่อถือ น่าไว้วางใจ เพราะเมื่อเรารักสัตว์เลี้ยงเหมือนคนในครอบครัว เราก็อยากให้พวกเขาได้สิ่งที่ดีที่สุดเสมอ

Social Influence : คนเลี้ยงสัตว์ประเภทเดียวกัน สายพันธุ์เดียวกันมักมีคอมมิวนิตี้เอาไว้แชร์เรื่องราวแลกเปลี่ยนข้อมูลสัตว์เลี้ยง และข้อมูลจากผู้คนในคอมมิวนิตี้มักมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อ ดังนั้นการที่แบรนด์ผลิตสินค้าที่สร้างความประทับใจและทำให้คนไปบอกต่อ ก็จะเป็นประโยชน์กับแบรนด์อย่างมาก 

Uniqueness : สร้างเอกลักษณ์ให้เป็นที่จดจำ ซึ่งการเอาสัตว์เลี้ยงมาใช้ในการโฆษณาก็จะช่วยสร้างการน่าจดจำที่มากขึ้นได้

Mental Support : สื่อสารไปยังเหล่าทาสผ่านคอนเทนต์ที่ดูผ่อนคลาย มีความสุข และต้องสื่อสารได้ถึงอารมณ์ ความรู้สึก ความรัก ระหว่างผู้คนกับสัตว์เลี้ยง 

Engagement : การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าถือเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะตลาดนี้มีลักษณะเป็น One Chance, One Shot คือมีเพียงโอกาสเดียวที่จะได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า เพราะลูกค้ามักจะซื้อแบรนด์เดิมอยู่เป็นประจำ แบรนด์ที่ดีต่อสัตว์เลี้ยงของพวกเขาอยู่แล้ว และมักจะเปลี่ยนใจได้ยาก 

Right : แบรนด์ต้องทำคอนเทนต์อย่างเหมาะสมและคำนึงสิทธิของสัตว์เลี้ยงด้วย เพราะถ้าพลาด ละเมิดสิทธิของสัตว์เลี้ยงไปนั่นอาจตามมาด้วยดราม่าและวิกฤตของแบรนด์ได้

และไม่ใช่เพียงธุรกิจที่เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงเท่านั้น แต่แบรนด์อื่นๆ ก็สามารถใช้ความน่ารักของเหล่าสัตว์เลี้ยงมาช่วยในการทำโฆษณา ทำคอนเทนต์ เพื่อดึงดูดความสนใจจากผู้คนได้เช่นกัน โดยจากผลสำรวจว่าภาพโฆษณาแบบไหนที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้ามากที่สุด ก็พบว่าภาพโฆษณาที่มีคนสัตว์เลี้ยงและสินค้าทำให้คนตัดสินใจซื้อได้ 19.10% ส่วนภาพโฆษณาที่มีตัวสินค้าอย่างเดียวนั้นทำให้คนตัดสินใจซื้อได้ 37.08% แต่หากเป็นภาพโฆษณาที่มีแค่สัตว์เลี้ยงและสินค้านั่นทำให้คนตัดสินใจซื้อได้มากถึง 43.82% เลยทีเดียว

จากการเติบโตของตลาดสัตว์เลี้ยงจึงทำให้เราได้เห็นผู้เล่นหน้าใหม่ทั้งรายเล็กรายใหญ่กระโดดลงมาในตลาดนี้กันมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเฮียฮ้อจาก RS ที่ได้ส่งแบรนด์อาหารสัตว์อย่าง Lifemate ลงมาตีตลาด หรือทางฝั่งเซ็นทรัลเองก็ได้เปิด Specialty Store อย่าง PET ‘N ME ซึ่งเป็นร้านขายสินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะที่ตั้งเป้าจะขยายร้านไปอีกกว่า 50 สาขาทั่วประเทศไทยใน 3-5 ปีนี้ด้วย ส่วน Grab เองก็ได้ทำ GrabPet สำหรับรับส่งสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะ หรือแม้แต่ธุรกิจประกันเองก็ยังออกประกันสำหรับสัตว์เลี้ยงออกมาด้วยเช่นกัน 

จึงเป็นที่น่าจับตามองกันต่อไป ว่าธุรกิจสัตว์เลี้ยงจะคึกคักอีกมากแค่ไหน หรือจะมีอะไรใหม่ๆ มามัดใจและคว้าเงินจากกระเป๋าของเหล่าทาสสายเปย์ไปได้อีกบ้าง

อ้างอิง

  • Petsumer Marketing เจาะลึกอินไซต์โดนใจทาสสายเปย์ โดยวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล(CMMU)