Month: December 2022
‘loqa’ แบรนด์วัสดุก่อสร้างและของแต่งบ้านจากขยะ ที่อยากให้การรักษ์โลกเป็นเรื่องสนุก
ท่ามกลางกระแสรักษ์โลกรักษ์สิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน ธุรกิจเกี่ยวกับความยั่งยืนก็ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ใช่ว่าไม่ดี แต่หลายครั้งเราเองและคนรอบตัวก็สงสัยทุกทีว่าทำไมธุรกิจเหล่านี้ยังไม่ดึงดูดผู้คนในสังคมเท่าไหร่
เพนพอยต์หนึ่งที่เราและหลายคนเห็นตรงกันคือดีไซน์ของแบรนด์นั้นๆ ยังไม่ดึงดูดพอ แม้จะอยากช่วยโลกแค่ไหน แต่ลึกๆ ในใจ หลายคนก็ยังอยากได้ของที่มีการออกแบบอย่างดี พอต้องเลือกระหว่างจะรักษ์โลกหรือจะเน้นการออกแบบ ก็ต้องกลับมาถามตัวเองทุกทีว่าเมื่อไหร่จะมีแบรนด์ที่ช่วยให้เราไม่ต้องเลือกอีกต่อไป
เพราะถือคติแบบ Vatanika ว่า “Why choose? when you can have them both” ครั้งแรกที่เห็นภาพสินค้าของ loqa หรือในภาษาไทยว่า ‘โลกา’ เราก็กดเข้าไปดูหน้าโปรไฟล์ทันที แม้จะยังไม่รู้ว่า loqa คืออะไร หรือเกิดขึ้นด้วยเหตุผลใดก็ตาม
เมื่อลงลึกไปทำความรู้จัก loqa คือแบรนด์วัสดุก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ และของใช้ในบ้านที่สร้างขึ้นจากขยะเซรามิกและแก้วเหลือทิ้งจากกระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม ผู้อยู่เบื้องหลังคือคู่ชีวิตและคู่คิดอย่าง ‘นนท์–นรฤทธิ์ วิสิฐนรภัทร’ และ ‘มาย–มนัสลิล มนุญพร’ ที่เรารู้จักกันดีในนามผู้ก่อตั้งร้านดอกไม้ Plant House
ทั้งคู่ไม่ได้กระโดดเข้ามาในธุรกิจนี้เพียงเพื่อหวังผลกำไรจากเทรนด์โลกที่เปลี่ยนไป แต่เกิดจากความสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมและความเชื่อที่ว่าความรักษ์โลกต้องเกิดขึ้นแบบไม่ฝืนใจ จึงเป็นที่มาที่เราได้มาเยือนสตูดิโอ loqa ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองย่านสุขุมวิทในวันนี้


ทฤษฎีกำเนิดโลก(า)
อย่างที่เกริ่นว่าก่อนหน้านี้ เรารู้จักนนท์และมายในฐานะเจ้าของร้านดอกไม้สุดเก๋อย่าง ‘Plant House’ ซึ่งป็นแบรนด์ที่ทั้งคู่ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กจบใหม่ แน่นอนว่าเมื่อเวลาผ่านไป เป้าหมายชีวิตของทั้งคู่ย่อมเปลี่ยนแปลง
“พอเราสองคนเริ่มโตขึ้นและมีประสบการณ์ในการทำงานมากขึ้น เราก็รู้สึกอยากทำอะไรสักอย่างที่มันมีคุณค่าและมีความหมายมากกว่าเดิม หนึ่งในนั้นคือการชวนให้คนเห็นว่าเรื่องสิ่งแวดล้อมมันก็สนุกได้โดยไม่จำเป็นต้องยัดเยียดหรือพยายามเปลี่ยนชีวิตเขามาก” นนท์บอก
Earth Mart ร้านรวมสารพัดสิ่งของรักษ์โลกที่มายและนนท์เลือกสรรจากต่างประเทศจึงเกิดขึ้น เอกลักษณ์ของ Earth Mart คือสารพันสิ่งของรักษ์โลกที่สวย เก๋ และดูน่าใช้เพื่อดึงดูดให้คนอยากลองใส่ใจสิ่งแวดล้อมแบบค่อยเป็นค่อยไป
แต่เพราะช่วงเวลาที่ Earth Mart เปิดตัว ไวรัสร้ายอย่างโควิด-19 ดันแพร่ระบาดเข้ามาพอดี ความตั้งใจที่จะทำธุรกิจนี้จึงต้องพับเก็บไป แต่ก็เพราะ Earth Mart นี้เองที่ทำให้ทั้งนนท์และมายเริ่มเห็นความเป็นไปได้ของธุรกิจเพื่อความยั่งยืนรูปแบบใหม่ที่สร้างขึ้นจากรากฐานเดิมของครอบครัว

“ช่วงโควิด-19 แพร่ระบาดใหม่ๆ ธุรกิจดอกไม้ของเราก็ซบเซาตามไปด้วยเพราะอีเวนต์และร้านค้าต่างต้องปิดตัวลง เราจึงได้กลับมาอยู่กับครอบครัวมากขึ้น พอดีที่บ้านทำธุรกิจอิฐและวัสดุทนไฟสำหรับอุตสาหกรรมที่ใช้ความร้อนสูงมาตั้งแต่รุ่นอากงซึ่งก่อนหน้านี้ผมไม่เคยสนใจเลย แต่พอคลุกคลีมากเข้าก็จุดประกายว่าเราสามารถเอาขยะทั้งหลายมาทำอะไรกับโรงงานได้บ้าง
“มันเหมือนเส้นผมบังภูเขานะ แต่แค่เปลี่ยนมุมมองที่มีต่อธุรกิจที่บ้าน เราก็เห็นว่าเราน่าจะทำให้วัสดุก่อสร้างเหล่านี้มีผิวสัมผัสที่แตกต่างและสวยงามขึ้นได้ แถมยังเกิด circular design ด้วย” นนท์ย้อนเล่า


ก่อร่างสร้างโลก(า)
เมื่อตกลงปลงใจว่าจะลองดูสักตั้ง ทั้งมายและนนท์ก็เริ่มลงมือทำ นนท์รับหน้าที่เป็นผู้ดูแลการผลิตส่วนมายรับหน้าที่เป็นคนดูแลคอนเซปต์และการออกแบบของแบรนด์
“แรกเริ่มเราสนใจแปรรูปขยะทางการเกษตรแต่ด้วยผลผลิตทางการเกษตรนั้นมีคุณภาพไม่ค่อยสม่ำเสมอ เราเลยหันกลับมามองที่แก้วซึ่งนำไปรีไซเคิลเป็นปกติอยู่แล้ว และเซรามิกซึ่งไม่ค่อยมีคนนิยมนำไปแปรรูปต่อเท่าไหร่”
ช่วงนั้น นนท์และมายรับบทนักทดลองกับทีมงาน R&D ของธุรกิจครอบครัวกันอย่างสนุกสนาน ปรับอันนู้นใส่อันนี้ จนได้เป็นวัสดุก่อสร้างที่มีผิวสัมผัสแตกต่าง มีทั้งอิฐแบบเผาไฟ แบบไม่เผาไฟซึ่งไม่ก่อให้เกิดคาร์บอนไดออกไซด์ แบบเคลือบ และแบบ Terrazzo ที่เห็นเศษเซรามิกเป็นลวดลาย ฯลฯ
ถ้านับๆ ดูตั้งแต่ที่นนท์และมายร่วมกันทำ loqa ขึ้นมา ขยะเซรามิกและแก้วเหลือทิ้งก็ถูกแปรรูปไปหลายตันแล้ว เพราะในผลิตภัณฑ์แต่ละชิ้นของ loqa จะใช้ขยะไปกว่า 80-85% ทีเดียว ส่วนเปอร์เซ็นต์ที่เหลือคือดินและน้ำที่นำมาขึ้นพิมพ์ รวมถึงสีสันที่ยังต้องใช้ตัวทำสีเป็นหลักเพราะหากจะใช้สีจากขยะโดยตรง ทั้งคู่จะต้องหาแก้วและเซรามิกเหลือทิ้งจำนวนมหาศาลให้ได้ก่อน

“ข้อดีข้อแรกคือถ้าลูกค้าอยากจะทุบทิ้งหรือเขาย้ายบ้านก็ส่งกลับมาให้เราแปรรูปต่อได้ เพราะสินค้าของเราสร้างขึ้นตามแนวคิด circular design ทั้งหมด
“ข้อดีข้อที่สองคือเซรามิกกับแก้วนั้นเป็นวัสดุที่เหมือนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเพราะผ่านกระบวนการแปรรูปมาแล้วรอบหนึ่ง เมื่อเรานำมาผ่านกระบวนการอีกครั้ง จากแต่เดิมที่มันอาจจะต้องใช้ความร้อนประมาณ 1,200-1,600 องศาเซลเซียส เราจึงใช้ความร้อนน้อยกว่าอิฐทั่วๆ ไป 10-15%”
แต่เพราะคนเราไม่ได้จะสร้างบ้านกันง่ายๆ นอกจากวัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อโลกสุดๆ แล้ว นนท์กับมายยังตั้งใจต่อยอด loqa ในอนาคตให้เจ๋งกว่าเก่าด้วยการแปรรูปขยะให้เป็นของใช้ ของตกแต่งบ้าน และเฟอร์นิเจอร์โดยใช้เทคนิคการหล่อส่วนผสมขึ้นมาเพื่อให้ลูกค้าช่วยลดขยะได้ง่ายขึ้น แถมชีวิตและบ้านก็มีสีสันมากขึ้นด้วย
แม้กระบวนการเหล่านี้ดูไม่มีอะไรมากจนหลายคนอาจจะคิดว่าต้นทุนก็คงไม่สูงเท่าไหร่ แต่ความไม่มีอะไรมากตรงนั้นกลับซับซ้อนและเต็มไปด้วยต้นทุนแฝงใช่ย่อย ตั้งแต่กระบวนการขนส่งขยะ การทำให้เศษเซรามิกและแก้วกลับไปแปรรูปต่อได้ การทดลองรูปทรง และอีกหลายกระบวนการที่เราคาดไม่ถึง
“ผมเข้าใจว่าหลายคนน่าจะต้องคิดแบบนี้ มันจึงเป็นเหตุผลที่ loqa ไม่ได้มีราคาสูงกว่าวัสดุตามท้องตลาดขนาดนั้น เพราะเราไม่อยากให้ลูกค้ารู้สึกลบกับสินค้าที่เป็นมิตรกับโลก” นนท์อธิบาย

โลก(า)สวยด้วยความครีเอทีฟ
วัสดุตั้งต้นนั้นทำให้ loqa แตกต่างก็จริง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้หลายคนรวมถึงเราตกหลุมรัก loqa เข้าอย่างจังคือสีสันและรูปทรง ชนิดที่ครั้งแรกที่เห็น เราถึงกับพูดคำว่า ‘โคตรสวย’ ออกมา
“เราสองคนเชื่อว่าเราไม่สามารถบังคับหรือยัดเยียดชีวิตให้ใครได้ เราจึงไม่ได้อยากให้มองว่าของพวกนี้เป็นของรักษ์โลกหรือของที่คุณต้องใช้ ไม่ใช้แล้วคุณจะผิดมหันต์ แต่เราอยากให้คนมองที่ความสวยงามหรือรูปลักษณ์ของมันก่อน พอเขาชอบ เขาถึงจะเปิดใจและได้ทำความเข้าใจว่า อ๋อ มันไม่ใช่แค่ของที่ทำให้บ้านเขาดูสนุกหรือมีมิติมากขึ้นนะ แต่มันยังดีต่อโลกด้วย”
จากความเชื่อนั้น นนท์มอบหมายให้มายดูแลเรื่องการออกแบบ เพราะมายสามารถเอาสิ่งรอบตัวมาเป็นแรงบันดาลใจในการทำ loqa และแบรนด์ต่างๆ ได้อย่างดี ไม่ว่าจะสีของท้องฟ้า ปีกของแมลง หรือกระทั่งสีของดวงดาว มายก็หยิบมาใช้เป็นวัตถุดิบสำคัญได้ทั้งสิ้น

นนท์ยกตัวอย่างคอลเลกชั่นหนึ่งที่มายออกแบบให้อิฐมีทั้งหมด 5 สีด้วยกัน ทั้ง 5 สีนั้นได้แรงบันดาลใจมาจากแต่ละชั้นของแกนโลก สื่อถึงชื่อแบรนด์ว่า loqa ได้เป็นอย่างดี หรืออีกคอลเลกชั่น มายก็ได้รับแรงบันดาลใจจากสีสันในยุค 70s
“ถ้าคิดๆ ดูทั้ง 3 แบรนด์ของเรามันก็เติบโตขึ้นตามวัยเหมือนกันนะ เริ่มจาก Plant House ที่ดูแฟนตาซีและเต็มไปด้วยความสนุกเหมือนวัยเด็กหรือวัยรุ่น จนมาเป็น Earth Mart และมาสู่ loqa ที่ภาพลักษณ์สงบนิ่งและเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นเพื่อให้สินค้าได้พรีเซนต์ตัวเอง
“แต่ทั้ง 3 แบรนด์ล้วนถือคุณค่าเดียวกันนั่นก็คือจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ที่ทำให้เราต่อยอดทุกการทำงานต่อไปได้ ไม่อย่างนั้นผมก็คงมองว่าอิฐทนไฟเป็นได้แค่อิฐทนไฟอยู่วันยังค่ำ” นนท์บอกหัวใจสำคัญ

โลก(า)ธุรกิจ
เมื่อต้นปี 2021 ช่วงเวลาที่นนท์เริ่มปิ๊งไอเดีย loqa เขาสารภาพกับเราตามตรงว่าทั้งนนท์และมายไม่ได้คิดเรื่องช่องว่างทางการตลาดหรือโอกาสทางธุรกิจอะไรทั้งสิ้น ทั้งสองพกเพียงความตั้งใจเรื่องสิ่งแวดล้อม ความเชื่อมั่นในสายตาตนเอง และความอยากทดลองจนคันไม้คันมือเท่านั้น
“โชคดีที่พ่อแม่ผมก็ไม่ได้ปิดไอเดียนี้ เพียงแต่เขาไม่ค่อยเข้าใจว่าใครจะมาซื้อของที่ทำจากขยะ บางทีเขาก็จะมองเพียงว่ามันต้องแข็งแรงเท่านั้น ไม่ได้สนใจเรื่องสุนทรียะขนาดนั้น ตอนแรกที่ผมทำขึ้นมา เขายังถามเลยว่าอันนี้เสียใช่มั้ย จะได้เอาไปทิ้ง เพราะสวยของเขากับสวยของเรามันไม่เหมือนกัน แต่ปัจจุบันเขาก็เข้าใจแล้วนะว่ามันมีตลาดจริงๆ” นนท์เล่าพลางหัวเราะ
ด้วยวัสดุตั้งต้นนั้นแตกต่าง สีสันที่สวยงามดูทันสมัย แถมพิมพ์ขึ้นรูปและกระบวนการทำของ loqa นั้นยังปักหมุดที่โรงงานทำอิฐทนไฟซึ่งต้องอาศัยความแม่นยำและมาตรฐานสูง สินค้าของ loqa จึงสร้างความแปลกใหม่ให้วงการสถาปนิกได้

“ไม่ว่าสถาปนิกจะมีจินตนาการในงานออกแบบมากแค่ไหน แต่ท้ายที่สุด ถ้าของในตลาดมันมีให้เลือกแค่เอ บี ซี หรือถ้าเขาต้องการสีอื่นแต่ในตลาดมันมีให้เขาเลือกไม่กี่สี แบบที่เขาคิดมันก็เป็นจริงไม่ได้ loqa เลยเหมือนเป็นของเล่นให้สถาปนิกได้ทดลองและเล่นกับแบบของตัวเอง
“เวลาสถาปนิกส่งแบบมาให้ ผมก็อินตามไปด้วยและพยายามจะออกแบบและผลิตขึ้นมาตามความต้องการของเขาให้ได้มากที่สุด หนึ่งในความท้าทายที่ผมสนุกมากในตอนนี้จึงคือการทำยังไงให้เราสามารถออกแบบวัสดุตามแบบที่เขาคิดได้ เช่น ถ้าเขาอยากให้หน้าตัดที่เห็นเทกซ์เจอร์ของเซรามิกมาเป็นหน้าหลัก เราต้องทำยังไง หรือถ้าเขาอยากได้รูปทรงใหม่ๆ มันจะมีรูปทรงไหนได้อีก” นนท์บอกความตั้งใจในการพัฒนางานออกแบบของ loqa ซึ่งแม้จะหนักแต่เขาและมายก็สนุกกับมัน

โลก(า)ที่อยากเห็น
เล่าถึงตรงนี้ นนท์ก็ชวนเราเพ่งพินิจโลโก้ของ loqa ดีๆ ว่ามันแปลว่าอะไรได้บ้าง
“ที่แน่ๆ มันคือภาพวิว” เราตอบไปแบบนั้น ก่อนที่นนท์จะเฉลยให้ฟังว่า
“มันประกอบขึ้นจากคำว่า loqa ซึ่งจะมองว่าเป็นวิวก็ได้ หรือจะมองว่าเป็นภูเขา พระจันทร์ ยอดเขา หรือพระอาทิตย์ก็ได้ แต่ทั้งหมดมันเชื่อมต่อกันเพื่อสื่อถึง circular design ที่เราตั้งใจ
“ในอนาคต ผมเลยพยายามคิดหาทางตั้งจุดดร็อปและขนส่งขยะเพื่อให้คนมีที่ทิ้ง และเราก็มีขยะไปแปรรูปด้วย และแม้ในตอนนี้เราอาจจะยังผลิตสินค้าจากขยะแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ได้ แต่อุดมคติสูงสุดคือการทำให้ loqa สร้างขึ้นจากขยะทั้งหมด และมากไปกว่านั้นคืออยากให้ loqa สามารถซับคาร์บอนไดออกไซด์จากชั้นบรรยากาศได้ด้วย”
โลกาหรือที่แปลว่าโลกในความเป็นจริงจะดำเนินไปถึงจุดไหนเรายังไม่ทราบ แต่สิ่งนนท์และมายมั่นใจแน่ๆ คือนี่คือ loqa ที่ทั้งคู่อยากเห็น

คุยกับ STUDIO360 จากร้านเครื่องเขียนสู่แบรนด์ไลฟ์สไตล์ที่อยากเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตผู้คน
นอกจากฝีมือและประสบการณ์ หากสำรวจดีๆ จะเห็นว่าผลลัพธ์ของงานที่เราสร้างขึ้นนั้นมักสัมพันธ์กับอุปกรณ์ที่เลือกใช้ เช่นเราชอบสร้างสรรค์งานศิลปะ ถ้าเลือกใช้อุปกรณ์ที่ดีและมีคุณภาพ ผลงานที่เราสร้างสรรค์ขึ้นก็ย่อมมีผลลัพธ์ที่ดีตามมา
นี่จึงเป็นที่มาของการที่แบรนด์อย่าง ‘STUDIO360’ ลุกขึ้นมารีแบรนด์ตัวเองใหม่ จากที่เคยวางตัวเป็นเพียงแค่ร้านขายเครื่องเขียน ให้กลายแบรนด์สินค้าไลฟ์สไตล์ที่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้คนมากขึ้น ผ่านการใช้สินค้าและบริการที่แบรนด์ตั้งใจคัดสรรมาเป็นอย่างดี
“คำว่า 360 มันคือทุกอย่าง ครอบคลุมทุกอย่าง”
“เราอยากเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของคน อยากเป็นตัวกลางจัดหาเครื่องเขียน หรืออะไรก็ตามที่ช่วยให้คนสามารถทำงานสร้างสรรค์ได้ง่ายขึ้น และทำให้ชีวิตลูกค้าดีขึ้น”
น้ำหวาน–ปาลีรัตน์ ดำรงค์กิจการ และ มะปราง–ณิชมน ดำรงค์กิจการ สองพี่น้องผู้ก่อตั้ง STUDIO360 บอกกับเราถึงคาแร็กเตอร์ของแบรนด์ STUDIO360 ถึงแม้วันนี้จะรีแบรนด์ใหม่จากร้านเครื่องเขียนมาเป็นแบรนด์ไลฟ์สไตล์ ของคนรักเครื่องเขียนและคนทำงานสร้างสรรค์มากขึ้น ก็ไม่ได้ทำให้หัวใจสำคัญของการทำแบรนด์เปลี่ยนไป เพราะพวกเขายังคงยึดมั่นในความเชื่อที่ว่า จะเป็นตัวกลางคัดสรรสิ่งของเพื่อส่งต่อสิ่งที่ดีที่สุดไปให้ลูกค้า
ในวันที่ STUDIO360 รีแบรนด์และรีโนเวตร้านใหม่ให้ป๊อปและสนุกขึ้น เราจึงชวนน้ำหวานและมะปรางมาคุยกันถึงแพสชั่นที่ทั้งสองคนมีต่อเครื่องเขียน จนเกิดเป็นร้านเครื่องเขียนที่ไม่เหมือนใคร ไปจนถึงเรื่องที่มาที่ไปของการเปลี่ยนร้านเครื่องเขียนสู่การเป็นแบรนด์ และกลยุทธ์การขายสินค้า niche ในแบบฉบับของ STUDIO360

ย้อนกลับไป อะไรที่ทำให้ทั้งสองคนหลงใหลในเครื่องเขียน จนอยากเปิดร้านเครื่องเขียนของตัวเอง
น้ำหวาน : ด้วยครอบครัวทำธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องเขียน มีแบรนด์สมุดชื่อ Zequenz เป็นสมุดสัญชาติไทยที่มีตัวแทนจำหน่ายที่ต่างประเทศ เราเลยมีโอกาสได้ไปงานแฟร์ต่างประเทศ และได้เห็นเครื่องเขียนและร้านเครื่องเขียนใหม่ๆ อยู่เสมอ เวลาไปเดินประเทศโน้นประเทศนี้ ญี่ปุ่นหรือว่าโซนยุโรป ร้านเครื่องเขียนเขาจะค่อนข้างน่ารัก แล้วเครื่องเขียนเขาก็ไม่ได้มีดีแค่เรื่องฟังก์ชั่น แต่ดีไซน์เขาก็ดูดีด้วย เลยเป็นเหมือนสิ่งที่เราสองคนค่อยๆ สะสมมา
มะปราง : ตอนที่เปิดมองว่าในประเทศไทยยังไม่มีร้านเครื่องเขียนแบบนี้ เพราะส่วนใหญ่จะเป็น art supply ไม่ก็ office supply อย่าง art supply ก็คือขายสีน้ำ, พู่กัน, canvas, copic, ปากกา อะไรก็ตามที่เป็นอุปกรณ์สำหรับเอาไปสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ เราเลยมองเห็นช่องว่างในตลาดว่ามันยังไม่มีร้านขายเครื่องเขียนที่เป็น selected shop ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องคุณภาพและดีไซน์ขนาดนั้นในประเทศไทย ก็เลยตัดสินใจเปิดร้านเครื่องเขียน เพราะเรามองว่าตอนนั้นมันยังไม่มีแบบนี้ในประเทศไทย และถ้าไม่ใช่เรามันจะเป็นใครล่ะ เพราะว่าเราก็อยู่ในวงการนี้มานาน
ร้านขายเครื่องเขียนที่เป็น selected shop ที่ว่า ต่างจากร้านเครื่องเขียนทั่วไปยังไง
มะปราง : ร้าน selected shop มันต่างจาก art supply shop ที่คนไทยคุ้นชิน การเข้าไป art supply shop คือไปซื้ออุปกรณ์ที่จะเอามาทาสี มาระบาย แล้วที่ร้านนั้นบังเอิญมีดินสอ มีปากกา ซึ่งฟังก์ชั่นของปากกาที่คนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญก่อนหน้านี้คือเขียนทั่วๆ ไป แต่พอมันเจาะลึกไปที่ selected shop หมายความว่าเครื่องเขียนจะเป็นเครื่องเขียนที่ไม่ได้เป็น art supply shop ไม่ได้เอาไประบายสี แต่เป็นเครื่องเขียนที่ลึกลงไปด้วยวัสดุ เช่นวัสดุแบบนี้มัน respresent ความเป็นเรา
น้ำหวาน : อย่างที่ต่างประเทศเขาจะมีวิธีการนำเสนอเครื่องเขียนที่มันไม่ธรรมดา เขา respresent ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสตอรี ฟังก์ชั่น ดีไซน์ เบื้องหลังของเครื่องเขียน เขาทรีตเป็นหนึ่งใน fashion accessory มีเรื่องราวเบื้องหลัง มีเปลี่ยนสีตามซีซั่น เปลี่ยนวัสดุตามซีซั่น มันทำให้เรารู้สึกว่า เฮ้ย น่าสนใจเนอะ ทั้งดีไซน์ การนำเสนอ คือครบจบ ของที่เราเอามาขายเราเลยเน้นมากๆ ว่าเราให้ความสำคัญกับคุณภาพและดีไซน์ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามที่เราขายจะต้องมีดีไซน์และคุณภาพที่ดี

การที่เราเลือกจะทำแบบ selected shop มันสร้างโอกาสหรือจำกัดโอกาสยังไงไหม
น้ำหวาน : ไม่ได้มองว่าจำกัด ถ้าเขาอยากซื้อที่เป็นฟังก์ชั่นเบส เขาก็อาจจะไป art supply แต่ว่าอันนี้เราเหมือนสร้างฟิลเตอร์เพิ่มขึ้นมาให้ลูกค้า นอกจากฟังก์ชั่นต้องได้แล้ว ดีไซน์ต้องสวยด้วย ได้เห็นปากกาด้ามนี้ก็จะไม่ใช่แค่ปากกา แต่เป็นแอ็กเซสเซอรีติดตัวที่ respresent ตัวเอง เพราะเราก็มีกลุ่มลูกค้าที่ให้ความสำคัญกับด้านนี้จริงๆ
ช่วงแรกของการทำร้านเป็นยังไง
มะปราง : เราเริ่มต้นจากร้านเครื่องเขียนออนไลน์ เพราะทุกอย่างเวลาเราจะเริ่มขาย ออฟไลน์มันใช้เงินเยอะ จะสร้างร้านขึ้นมา ทำผนัง ติดแอร์ ทำอะไรต่างๆ มันเป็นค่าใช้จ่ายที่สูง แต่การเปิดร้านค้าออนไลน์มันก็คือการเปิดเฟซบุ๊ก เปิดอินสตาแกรม เหมือนใช้โซเชียลมีเดียในการช่วยเหลือ ค่าใช้จ่ายมันก็ไม่สูงในการเริ่มต้น
จุดไหนที่ทำให้พวกคุณอยากขยับสู่ออฟไลน์ที่มีหน้าร้าน
มะปราง : พอเปิดไปสักพักค้นพบว่าเราควรจะมีร้านค้าออฟไลน์ได้แล้วนะ เพราะว่าเราเริ่มมีฐานลูกค้า โปรดักต์เราก็เริ่มหลากหลายมากขึ้น คนที่อยากซื้อของในมูลค่าสูงเขาก็อยากจะเห็นสินค้า อยากจับ อยากทดลองก่อนจะควักเงิน 5,000-6,000 บาทซื้อปากกาออนไลน์ เราก็เลยตัดสินใจมีหน้าร้าน


พอมีหน้าร้านแล้วมันช่วยสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างไปจากออนไลน์ยังไง
มะปราง : คิดว่าต่าง ไม่ใช่เชิงที่ว่าดีหรือไม่ดีนะ แต่ว่าต่างกันตรงที่เราเห็นหน้าลูกค้าเลย ทุกอย่างถูกแก้ปัญหา ทุกอย่างถูกพูดคุยทันทีโดยไม่ต้องรอ สมมติในโลกออนไลน์มันจะต้องมีช่องว่างของช่วงเวลา ตอบมาปุ๊บ รออีกคนตอบกลับ ทำให้อาจจะมีเรื่องหรือสถานการณ์ที่เราอาจจะไม่ได้เข้าใจลูกค้ามากขนาดนั้น เพราะว่ามันผ่านตัวอักษร
แต่พอมันเป็นโลกหน้าร้านรู้สึกว่าได้สัมผัสกับลูกค้าหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ ทั้งหน้าตาลูกค้า อายุลูกค้า ชื่อของลูกค้า น้ำเสียง ทุกอย่าง รู้สึกว่าหน้าร้านทำให้เราเข้าถึงลูกค้าได้มากกว่า เข้าใจลูกค้าได้มากกว่า
น้ำหวาน : ลูกค้าสามารถทดลองได้ ออนไลน์ลูกค้าลองปากกาไม่ได้ ลองสมุดไม่ได้ ไม่ได้จับมือลงกระดาษ บางคนลูกค้าหลายๆ ท่าน แค่ information feed ไปมันไม่พอ อ๋อ กระดาษ 80 แกรมค่ะ รองรับปากหมึกซึม เขาอาจจะงงว่ายังไงต่อ 80 แกรมคืออะไรก็ยังไม่รู้ แต่การได้มาหน้าร้านเราก็สามารถแนะนำได้ว่าลองใช้ปากกาหมึกซึมนี้นะ ขีดลงบนกระดาษ 80 แกรม อ๋อ มันไม่ทะลุ ประสบการณ์เขาก็ฟูกว่า
แล้วสำหรับสินค้าที่เอามาขายในร้าน มีหลักในการเลือกหาโปรดักต์ที่ทั้งคุณภาพดีและดีไซน์สวยยังไง
มะปราง : เลือกที่แบรนด์ก่อน คือเลือกแบรนด์ที่เรารู้สึกสนใจ รอบแรกตอนที่เราไปเดินงานแฟร์ อะไรที่เราสนใจก็จะจดๆ ไว้แล้วก็มาทำการบ้านกันต่อ สินค้าที่คัดเลือกเข้ามาขายในร้านจะมีความเป็นไลฟ์สไตล์และสวย ไม่ใช่แค่ดินสอไม้ที่ใช้เขียนได้ ยี่ห้ออะไรก็ได้ ไม่ใช่กบเหลาดินสอแบบไหนก็ได้ แต่ว่ามันคือสินค้าที่มีแบรนด์
น้ำหวาน : สามข้อง่ายๆ เลย คือสวยสะดุดตา ไม่เคยเห็นมาก่อน คุณภาพดี และเราค่อนข้างมั่นใจว่าเราไปงานเครื่องเขียนมาบ่อย เราไปร้านเครื่องเขียนมาเยอะ เห็นเครื่องเขียนมาหลากหลาย ถ้าเรามองว่าอันนี้มันสะดุดตา ลูกค้าน่าจะชอบ สินค้านี้คือผู้ถูกเลือก

ยุคที่ทุกอย่างปรับไปเป็นเทคโนโลยีและดิจิทัล คนหันไปใช้ไอแพดและแท็บเล็ต อะไรที่ทำให้คนยังอยากซื้อเครื่องเขียนอยู่
มะปราง : เรามองว่ายังไงก็ยังต้องมีคนที่ใช้ปากกาคู่กับสมุด การเขียนมันคือการถ่ายทอดความคิดที่คิดออกมาแล้ว มันถึงจะออกมาเป็นตัวอักษรได้ แล้วก็มองว่ายังไงมันก็มาทดแทนกันไม่ได้ ไอแพดมันทำให้คนสามารถใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น แต่ว่าคนเราก็ยังต้องเขียนอยู่ดี แล้วจะไปเขียนที่ไหนถ้าไม่ได้มีสมุดให้เขียน แล้วก็ไอแพดแบตฯ หมดได้ด้วยนะ สมุดแบตฯ ไม่หมด
น้ำหวาน : เราว่าไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัยก็ยังต้องมีการฝึกเรียนฝึกจับดินสอ แล้วก็เขียนลงบนกระดาษอยู่ดี มันเป็นทักษะหนึ่งที่จำเป็นสำหรับมนุษย์เรา ไม่สามารถมีอะไรมาทดแทนสิ่งนี้ได้ หลายคนให้ความสำคัญว่าการเขียนเป็นหนึ่งในการคิด คือคิดด้วยมือ พอเราคิดเสร็จเราได้กลั่นกรองแล้วก็เขียนลงไปบนกระดาษ เราถามหลายๆ คนมา หลายๆ คนตอบคล้ายกันนะว่า หลายครั้งเลือกที่จะตัดสินใจเขียนลงในสมุด เพราะว่าสิ่งที่เขียนมันสำคัญ
อีกอย่างหนึ่งก็คือเรื่องเทคโนโลยี หลังๆ คนอยู่กับเทคโนโลยีมากแล้ว มากจนรู้สึกว่าเหนื่อยล้าและอยากจะลองพักดูบ้าง ตอนหลังเริ่มมีเทรนด์เรื่องดิจิทัลดีทอกซ์ หรือว่าเรื่องการจดบันทึกต่างๆ ที่เป็นกระแสมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น bullet jounal การทำ mood tracker อะไรอย่างนี้ หรือแม้กระทั่งเรื่องการบำบัดด้วยการเขียน เพื่อนเราหลายคนที่ไปหาหมอ หมอแนะนำให้เขียนทุกอย่างลงไปในสมุด มันเริ่มมีอะไรแบบนี้เข้ามาเยอะขึ้น
ซึ่งยิ่งทำให้เห็นชัดว่าสมุดหรือว่าการเขียนมันเป็นอะไรที่อยู่กับมนุษย์เรา ไม่ได้อยากจะแบ่งแยกเลยนะว่ายูเป็นสายเทคฯ ยูไม่สามารถใช้สมุดปากกาได้หรอก คือทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้ ไม่มีอะไรขวางกั้น
มะปราง : อันนี้คือสิ่งที่หลายๆ คนเข้าใจผิด บางทีเขาอาจจะคิดว่าพอไอแพดมาแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าจะใช้สมุดไม่ได้เลยนี่นา มีไอแพดก็มีสมุดได้ มีสมุดก็มีไอแพดได้ มันไปด้วยกันได้ แค่โลกเรามันสร้างเครื่องมือให้มีมากขึ้นเพื่อให้เลือกใช้ได้หลากหลายขึ้น

พอเป็นเทคโนโลยีดิจิทัลมากขึ้น เป็นความยากของการทำร้านเครื่องเขียนไหม ต้องปรับตัวยังไงบ้าง
น้ำหวาน : สำหรับเราไม่ได้รู้สึกว่ายาก แต่คนถามคำถามนี้เยอะ มันเลยเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เราควรจะ concern ไม่ได้รู้สึกว่ายาก แต่ทำยังไงให้คนเห็นเราได้มากที่สุด ให้รู้สึกว่าเราจับต้องได้มากที่สุด แล้วก็จะจับได้ยังไงบ้างล่ะ เราว่าก็ดีที่มีโลกเทคโนโลยี เพราะทำให้สามารถโปรโมตร้านได้มากขึ้น เราใช้มันเป็นตัวกลางในการโปรโมตมากกว่า ทุกวันนี้เราก็ขายของบนออนไลน์เหมือนกัน เราไม่ได้ทิ้งมันไป
อยู่กับธุรกิจเครื่องเขียนมาตั้งแต่เด็กจนโต ร้านเครื่องเขียนในอุดมคติของพวกคุณเป็นแบบไหน
น้ำหวาน : ไม่อยากพูดว่ามันเป็นอุดมคติ เพราะว่าก่อนหน้านี้เราไปเมืองนอก ต่างประเทศคนเขาชอบเดินตามถนน เพราะอากาศเขาดี เขาก็จะมีร้านเครื่องเขียนกุ๊กกิ๊กๆ น่ารัก แต่แบบนั้นมันอาจจะเอามาปรับใช้กับประเทศเราไม่ได้ ด้วยสภาพอากาศ หรืออะไรต่างๆ ร้านที่เราอยากให้เป็นเลยเป็นร้านที่อยากให้ลูกค้ามีตัวเลือกมากที่สุด
มะปราง : อยากจะมีแบรนด์ที่เวลาลูกค้าเดินเข้ามาถามว่ามีอันนี้ไหม ก็บอกได้ว่ามี อยากจะมีตัวเลือกให้ลูกค้าได้มากที่สุด ถามว่าวันนี้มีเยอะไหม มันก็มีเยอะแล้วแหละ แต่ด้วยปัจจัยอะไรหลายๆ อย่างมันก็มีได้เท่าที่มี อาจจะเป็นเรื่องของการเอาเข้ามาไม่ได้ เรายังไม่รู้จักแบรนด์นี้ หรือยังไม่รู้จักสินค้าตัวนี้ แต่วันหนึ่งในอนาคตก็อยากให้ร้านเราเป็นที่ที่มาหาอะไรก็เจอ
น้ำหวาน : แล้วก็ร้านอาจจะขยายใหญขึ้น มีโซนที่ไว้สำหรับทำกิจกรรมต่างๆ ที่เชื่อมโยงเกี่ยวกับเครื่องเขียน หรือว่าอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับแบรนด์มากขึ้น อาจจะเป็นโซนเวิร์กช็อป เพราะอย่างเราจะมีจัดเวิร์กช็อป เราก็ต้องไปจัดที่ออฟฟิศ หรือที่นี่ที่เป็นเซ็นทรัลเวิลด์ อนาคตก็อยากจะมีที่ของร้านที่มากขึ้นกว่านี้สำหรับจัดเวิร์กช็อป หรือว่าขายของอะไรที่สร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ได้มากกว่านี้ เช่น เรื่องสีน้ำ สีน้ำแบบไหนที่ไม่เหมือน art supply แต่มีโซนให้ลูกค้าได้ทดลองได้เรียนได้อะไรอย่างนี้ อาจจะยังตอบเป็นภาพได้ไม่ชัดเจน แต่อยากได้อะไรที่สร้างประสบการณ์ให้ลูกค้าได้ดีที่สุด

ออนไลน์ก็เหมือนจะลงตัวแล้ว หน้าร้านและฐานลูกค้าก็แข็งแรงประมาณหนึ่ง ทำไมถึงอยากรีแบรนด์ใหม่
มะปราง : อินไซต์เลยนะ ตอนนั้นอยากทำสินค้าที่เป็นของ STUDIO360 อยากทำปากกาสีพิเศษ แต่ไม่รู้ว่าจะทำสีอะไรดี ไปถามคนทั้งออฟฟิศเลย บอกน้องดีไซเนอร์ว่าออกแบบให้หน่อย อยากทำปากกาของ STUDIO360 แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าต้องทำสีอะไร
น้ำหวาน : ออกแบบมาสวยนะแต่เราไม่รู้ว่าอะไรมันคือถูกหรือผิด มีตัวเลือกมาให้ แต่ก็ยังไม่ได้คำตอบที่ถูกต้อง มันเลยทำให้เราหันมามองตัวเองว่าแล้วจริงๆ กูเป็นอะไรวะ เราคือสีอะไร เราเป็นใคร
มะปราง : อีกอย่างคือ ทุกแบรนด์เมื่อมาถึงอายุประมาณหนึ่งก็ต้องมีการรีแบรนด์ เพื่อให้เหมาะสมและตอบโจทย์กับลูกค้าเพิ่มมากขึ้น และเพื่อให้เรารู้ว่าเราอยู่ตรงไหน ณ ปัจจุบัน ร้านเราเปิดมา 4 ปีแล้ว เบื้องต้นตอนที่ทำร้านรอบแรกเราอาจจะยังไม่รู้ว่าลูกค้าต้องการอะไร ลูกค้าเป็นใคร ยังไม่เห็นภาพชัด เราว่ามันถึงเวลาที่จะทำให้ร้านเรามันชัดเจนมากขึ้น
น้ำหวาน : ก่อนหน้านี้ STUDIO360 เป็นร้านขายเครื่องเขียน แต่ตอนนี้ STUDIO360 เป็นแบรนด์ คำว่าเป็น ‘แบรนด์’ หมายความว่า วันหนึ่งเราอาจจะออกโปรดักต์อะไรออกมาก็ได้ที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าของเรา อาจจะเป็นปากกาของ studio360 หรือว่าสมุดของเราเอง หรือไอเทมอื่นๆ ที่ไปทางไลฟ์สไตล์มากขึ้น วันหนึ่งเราก็อยากจะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคุณ อาจจะมีหมวก อาจจะมีเสื้อผ้า คือเราไม่อยากจะมีข้อจำกัดอะไร อันนั้นเป็นเหตุผลที่อยากรีแบรนด์ เราไม่อยากจำกัดตัวเองเป็นแค่ร้านเครื่องเขียน แต่เราอยากจะเป็นแบรนด์ STUDIO360
การรีแบรนด์ใหม่ครั้งนี้เลยเป็นเหมือนการทำให้ STUDIO360 มีภาพที่ชัดเจนขึ้น
น้ำหวาน : ใช่ แล้วก็ไม่อยากให้มันจำกัดอยู่แค่ว่าเป็นร้านขายเครื่องเขียน แต่อยากจะสร้างพื้นที่นี้ให้เป็นพื้นที่ที่ทุกคนได้เข้ามาพูดคุยรู้จักกัน ในอนาคตเราอาจจะจัดเวิร์กช็อป จัดทอล์ก ไม่ได้มีข้อจำกัดว่าจะต้องเป็นแค่ร้านขายเครื่องเขียน อาจจะใช้คำว่า life style community ซึ่งคำนี้มันก็ไม่ได้มีอะไรตายตัว แต่อย่างไรก็ตาม ยังอยากจะเป็นอะไรที่ตอบโจทย์ลูกค้าที่เขาให้ความสำคัญกับร้านเรา ที่ชอบร้านเรา ที่เป็นแฟนคลับร้านเราอยู่

มะปราง : รีแบรนด์มา จริงๆ อยากให้ร้านไม่มีข้อจำกัดอะไรเลย ด้วยความที่เป็นแบรนด์แล้ว เราอยากทำอะไรก็ได้ที่ลูกค้าปัจจุบันจะสนับสนุนเรา อย่างทุกวันนี้ขายของรู้แล้วว่าของที่อยู่ในร้าน ลูกค้าที่จะซื้อเขามั่นใจว่าหนึ่งของคุณภาพดี สองของหน้าตาสวย สามของมีเรื่องราว เพราะฉะนั้นอะไรก็ตามที่เราทำ เราอยากจะสร้างขึ้นมาด้วยการมี 3 อย่างนี้ มันก็จะต้องสวย คุณภาพดี และมีเรื่องราว
ตอนนี้มีออกโปรดักต์อะไรที่เป็นของ STUDIO360 ออกมาแล้วบ้าง
มะปราง : เคยมีก่อนหน้านี้ออกเป็นไอเทมสนุกๆ อย่างสมุดสีๆ สติ๊กเกอร์ เล็กๆ น้อยๆ เน้นทำไม่เยอะ หมดแล้วหมดเลย แต่ว่าล่าสุดกับโลโก้ใหม่ มีทำ reusable bag เป็นถุง เหมือนที่เราบอกว่าเราอยากเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของคน คำว่า lifestyle คือเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ที่เขาบอกว่า product lifestyle อะไรอย่างนี้ นี่ก็เป็นอีกเหตุผลที่เราทำ reuseble bag เพราะตามเทรนด์ทุกวันนี้ด้วยที่เขาไม่ให้ถุง
รีแบรนด์ใหม่คือได้รีโนเวตหน้าร้านใหม่ด้วย หน้าร้านเดิมเจอปัญหาอะไร และตอนนี้ร้านใหม่มีหน้าตาเป็นแบบไหน
มะปราง : It’s simple เลย หน้าร้านมันมืด แต่งร้านโอเคแต่ร้านมืด ลูกค้าจะถ่ายรูปก็ไม่รู้จะถ่ายยังไง เพราะว่าแสงอาจจะยังไม่เหมาะสมมากพอ หรือชั้นวางของก็ระยะยังไม่ถูกต้อง ด้วยความที่เราไม่ได้ตัวใหญ่มาก ดังนั้นเราเลยจะเคลื่อนย้ายเคลื่อนไหวเร็ว ไม่ว่าอะไรที่ไม่ดี ทำๆ ไปแล้วไม่ดีเราก็เปลี่ยน เรารู้แล้ว่ามืด ก็แค่ติดไฟเพิ่ม เรารู้ว่าชั้นวางตรงนี้ไม่สวยก็เปลี่ยน เราค่อยๆ สะสมฟีดแบ็ก
น้ำหวาน : ร้านใหม่ให้ความสำคัญกับแบรนด์ดิ้งมากขึ้น แบรนด์ดิ้งชัดเจน โลโก้ต้องชัด แล้วทุกอย่างจะเชื่อมโยงกันหมดเลยทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เพราะถ้าไปดูเว็บไซต์มันก็คือเหมือนกัน มีการเอาโลโก้มาพัฒนาต่อ ทุกอย่างมันไปในทิศทางเดียวกันมากขึ้น หรือแม้กระทั่งชั้นวางด้านซ้าย จริงๆ มันคือฟอนต์เดิมของเรา แล้วเราก็เอามาทำเป็นชั้นวางสินค้า ถ้ามองดูดีๆ มันจะเป็นเลข 3 เลข 6 เลข 0

STUDIO360 ในนิยามของทั้งสองคนมีความหมายว่าอะไร หลังจากนี้เราจะได้เห็นอะไรใหม่ๆ จากการเป็นแบรนด์อีกบ้าง
น้ำหวาน : ด้วยชื่อที่ว่า STUDIO360 คำว่า 360 มันคือทุกอย่าง ครอบคลุมทุกอย่าง มันคือความ hold ความเต็ม ทำอะไรก็ได้ แล้วตอนนี้เราเป็นแบรนด์แล้ว ไม่ได้เป็นแค่ร้านเครื่องเขียนแล้ว เราอาจจะขายเสื้อผ้าที่ใส่แล้วสบาย ใส่แล้วรู้สึกว่าวันนี้ไม่ต้องมากังวลเรื่องเสื้อผ้าเลย เอาสมองไปคิดเรื่องอื่น อาจจะขายน้ำที่กินแล้วทำให้รู้สึกมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น อันนี้คือสิ่งที่เรารีแบรนด์เพื่อจะไปถึงการเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนคนหนึ่ง เป็นแบบ unexpected experience เลย ไม่ได้จำกัดตัวเองว่าเป็นแค่ร้านเครื่องเขียน
มะปราง : ก็ต้องรอลุ้นกันต่อไป แต่ทุกอย่างมันจะยังคงความเป็นตัวตนของเรา ความสวยงาม ความคุณภาพดี มีเรื่องราว และมีความสนุก เรามองร้านเราว่ามันเป็นอะไรก็ได้ที่เราอยากให้มันเป็น ตอนเริ่มต้น 4 ปีที่แล้วมันเป็นแค่ร้านเครื่องเขียน แต่อนาคตมันจะไม่ใช่แล้ว เพราะตอนนี้เราอยากเป็นแบรนด์
น้ำหวาน : แต่ทุกอย่างมันก็มาในเวลาและจังหวะที่ถูกต้องนะ เพราะตอนนั้นถ้าจะมาเป็นโลโก้แบบนี้ สีแบบนี้อาจจะยังไม่เหมาะ อาจจะจัดจ้านหรือสนุกเกินไป แต่การรีแบรนด์มันก็บอกถึงความเป็นตัวตนทั้งหมดของเราว่ามันคืออะไร เพราะถ้าเราไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร ลูกค้าจะรู้ได้ไงว่าเราเป็นใคร แล้วเราจะโตยังไงถ้ารากฐานเราไม่ชัดเจน
การที่ทั้งสองคนลุกขึ้นมาทำสิ่งนี้ มันให้บทเรียนอะไรในชีวิต หรือเปลี่ยนอะไรในชีวิตเราไปบ้างไหม
มะปราง : ทำให้มองว่าเราไม่สามารถอยู่ที่เดิมได้ตลอดไป ตอนที่เปิดร้านเครื่องเขียนมาเมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว อาจจะตอบโจทย์ ณ ตอนนั้น แต่โจทย์ ณ วันนี้มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นเราไม่สามารถอยู่ที่เดิมได้จริงๆ ต้องพัฒนาไปเรื่อยๆ หาโปรดักต์ใหม่ หาเซอร์วิสใหม่ แล้วการที่เราไม่อยู่ที่เดิมมันจะนำมาใช้ได้กับทุกอย่าง
น้ำหวาน : เปลี่ยนเรื่องมายด์เซตถ้าเกิดเราเซตมายด์เซตถูกต้องเราจะผ่านมันไปได้ เรื่องแรกคือเราต้องเป็นนักแก้ปัญหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของชีวิต ธุรกิจ ทุกอย่างปัญหาเข้ามาตลอดอยู่แล้ว เราต้องคิดว่าถ้าฉันเป็นนักแก้ปัญหา ปัญหาต่างๆ ที่มันเข้ามาก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร มันคือหนึ่งสิ่งที่เราต้องทำ ต้องแก้ปัญหาตลอดเวลา อีกเรื่องนึงก็คือเราไม่สามารถทำอะไรได้ด้วยตัวคนเดียว ทีมสำคัญ ทุกคนเป็นเหมือนจิ๊กซอว์ของกันและกัน จะทำยังไงเพื่อบริหารจิตใจของพนักงานและตัวเองไปได้ด้วยกัน เรื่องคนก็ค่อนข้างสำคัญ


พวกคุณดูยังไงว่าช่วงเวลาไหนถึงควรหาสิ่งใหม่ๆ ทำ หรือปรับเปลี่ยนแบรนด์
มะปราง : เรารู้ได้นะว่าตอนนี้มันเริ่มอิ่มตัวแล้ว ต้องปรับ ถ้ามันยังไม่มีความท้าทายใหม่ นั่นหมายความว่าต้องหาโจทย์ใหม่ๆ สมมติทำสิ่งเดิมไปแล้วมันยังมีปัญหาอยู่ นั่นหมายความว่าเรายังคงต้องโฟกัสสิ่งนั้นและแก้ปัญหาอยู่ แต่พอสิ่งนั้นนิ่งแล้วเราก็ต้องหาอันใหม่ ต้องหาอะไรทำเพิ่มแล้ว
สุดท้ายการหาอะไรใหม่ๆ ทำเพิ่ม ควรมีหลักยังไงเพื่อไม่ให้แบรนด์เราดูจับฉ่ายเกินไป
มะปราง : เราต้องมีจุดยืน เรามองว่าเราจะเป็นตัวกลางในการจัดหาเครื่องเขียน หรือว่าอะไรก็ตามที่ช่วยให้คนสามารถทำงานสร้างสรรค์ได้ง่ายขึ้น แกนหลักๆ มันมีแค่นี้คือเราจะเป็นตัวกลางในการเซอร์วิส ในการอำนวยความสะดวกให้ลูกค้า อะไรก็ตามที่ทำให้ชีวิตลูกค้าดีขึ้น อะไรก็ตามที่ทำให้ลูกค้ามีความคิดสร้างสรรค์เพิ่มมากขึ้น นั่นแหละคือสิ่งที่เราจะทำ
น้ำหวาน : หลักๆ เวลาจะทำอะไรเราจะกลับมาดูตัวแกนนี้ว่าสิ่งที่เราทำมันยังอยู่บนแกนรึเปล่า ถ้าอยู่ก็ทำต่อไป
อะไรเป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวให้ตื่นมาทำงานได้อยู่
น้ำหวาน : เหมือน STUDIO360 เป็นเบบี๋ของเรา เพราะฉะนั้น ในการตื่นมาของทุกๆ วันเราจะแรงกล้าที่จะดูแลลูกและเลี้ยงลูกให้เติบโตได้ในที่สุด วันหนึ่งลูกจะโตแล้วก็เลี้ยงเรา รึเปล่า? (หัวเราะ)
มะปราง : สิ่งที่ทำให้ตื่นมาแล้วอยากจะทำงานต่อคือ เมื่อมีโปรเจกต์ใหม่ๆ ที่ยังไม่ได้ทำ จะตื่นเต้น จะเป็นสิ่งที่ตั้งหน้าตั้งตารอ
น้ำหวาน : แล้วก็ฟีดแบ็กดีๆ จากลูกค้า

มะปราง : อันนี้ลืมพูดไปเลย ตอนที่เปิดร้านที่เซ็นทรัลเวิลด์สัปดาห์แรก มีลูกค้าเดินเข้ามาคุยด้วย ลูกค้าบอกว่า “ขอบคุณมากเลยนะคะที่เปิดร้านแบบนี้ในประเทศไทย” โห เราฟินมาก กลับมาบอกทีมว่ามีลูกค้ามาพูดแบบนี้ด้วย สิ่งที่เราทำที่เราเหนื่อยมันโอเคนะ
น้ำหวาน : ประโยคเดียว แป๊บเดียว มันทำให้เราอยากจะทำโน่นทำนี่มาถึงทุกวันนี้
The Journey of Double Goose
ไม่ใช่เรื่องธรรมดาที่แบรนด์ที่มุ่งเน้นทำเสื้อยืดธรรมดาแบรนด์หนึ่งจะสามารถยืนระยะอยู่คู่กับคนไทยมานานได้ถึง 69 ปี
แบรนด์ที่เรากำลังพูดถึงคือ ‘ห่านคู่’
หากจะให้เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการเดินทางอันแสนยาวนานเกือบ 7 ทศวรรษของห่านสีเขียวคู่นี้ คงต้องย้อนกลับไปในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง ตอนนั้นรัฐบาลไทยมีแนวคิดจะพัฒนาให้ไทยมีความเจริญเทียบเท่ากับนานาชาติ หนึ่งในนั้นคือการทำให้คนไทยแต่งตัวเป็นสากลมากขึ้น จึงทำให้ ‘เจือ ธนสารสมบัติ’ ตัดสินใจร่วมหุ้นกับเพื่อนชาวจีนก่อตั้งธุรกิจเทรดดิ้งที่มีชื่อว่า ‘เซ่งเชียงไถ่’ ขึ้นมา เพื่อนำสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาขาย ไม่ว่าจะเป็นสบู่ กระติกน้ำ น้ำหอม แต่สินค้าที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือเสื้อยืดสำเร็จรูปที่นำเข้ามาจากฮ่องกง ความนิยมนี้มากถึงกับทำให้ในเวลาต่อมาเจือและเพื่อนร่วมหุ้นตัดสินใจที่จะพัฒนาสินค้าและแบรนด์ขึ้นมาเป็นของตัวเอง
และนี่เองคือจุดเริ่มต้นของ ‘ห่านคู่’
ดูเหมือนว่าความนิยมที่ว่าจะไม่มีท่าทีลดลง เพราะ 3 ปีให้หลังก็มีการก่อตั้งบริษัทที่ชื่อว่า ‘โรงงานไทยแลนด์ นิตติ้ง จำกัด’ ขึ้นมา ตั้งอยู่ที่สุขุมวิทซอย 42 เพื่อใช้ผลิตเสื้อยืดด้วยตัวเอง ปัจจุบันสถานที่นี้เป็นทั้งสำนักงานของบริษัทและโรงงานที่ยังใช้ผลิตเสื้อยืดอยู่ โดยป้ายแรกตั้งแต่เริ่มก่อตั้งโรงงานก็ยังคงติดเอาไว้อยู่เหมือนเช่นในอดีต
แม้ภายนอกเสื้อยืดสีขาวของห่านคู่ในปัจจุบันจะมีหน้าตาไม่ต่างกับเสื้อยืดห่านคู่เมื่อ 69 ปีก่อนมากนัก คือเป็นเสื้อยืดคอกลมสีขาว แต่หากได้ลองดูเส้นทางการเดินทางของห่านคู่ตั้งแต่วันแรกก็จะเห็นว่าเบื้องหลังของเสื้อยืดธรรมดานั้นมีการพัฒนาและปรับตัวอยู่เสมอ เพื่อให้ห่านสีเขียวคู่นี้ยังสามารถแหวกว่ายและโบยบินอยู่กับคนไทยได้อีกหลายยุคหลายสมัย
The Journey of Double Goose

อายุ : 0 ปี
ปี : 2496
- แบรนด์ห่านคู่ถือกำเนิดขึ้น

อายุ : 3 ปี
ปี : 2499
- ตั้งบริษัท โรงงานไทยแลนด์ นิตติ้ง จำกัด ขึ้นซึ่งเป็นโรงงานผลิตเสื้อผ้าแห่งแรกของห่านคู่ อยู่ที่สุขุมวิทซอย 42

อายุ : 4-32 ปี
ปี : 2500-2531
- ภาพรวมของธุรกิจเน้นขายส่ง รายได้หลักของธุรกิจมาจากร้านยี่ปั๊ว-ซาปั๊ว ธุรกิจอยู่ภายใต้การดูแลของรุ่นที่ 1 และรุ่นที่ 2
อายุ : 33 ปี
ปี : 2532-2549
- เริ่มขยายฐานการจัดจำหน่ายให้ครอบคลุมทั่วไทย
- มีการพัฒนาคุณภาพสินค้า ทั้งเรื่องเนื้อผ้าและสีผ้า เช่นการฟอกย้อม ทำยังไงให้ผ้าขาวเป็นขาว ดำยังไงให้ดำสนิท เพราะคนสมัยก่อนให้ความสำคัญเรื่องความคงทนอย่างมาก
- ได้รับความนิยมมากขึ้นจากอิทธิพลแฟชั่นในยุค 90s ที่มีอัสนี-วสันต์ โชติกุล เป็นผู้นำเทรนด์ใส่เสื้อยืดขาว กางเกงยีนส์

อายุ : 34 ปี
ปี : 2550
- คุณากร ธนสารสมบัติ ซึ่งถือเป็นทายาทรุ่นที่ 3 เริ่มเข้ามาบริหาร
- ห่านคู่วางขายบนห้างเป็นครั้งแรก ที่ห้างคาร์ฟูร์
- เพิ่มรูปแบบป้ายที่ติดอยู่บนเสื้อ จากเดิมที่เป็นป้ายแบบเย็บมาเป็นการพิมพ์โลโก้ลงบนเสื้อแทน และเริ่มเปลี่ยนจากซองกาว มาเป็นซองซิปล็อกเพื่อให้ดูทันสมัยขึ้น

อายุ : 61-66 ปี
ปี : 2557-2562
- ขยายช่องทางการขายไปยังประเทศกลุ่ม CLMV
- สร้างโรงงานแห่งที่ 2 ที่นิคมสมุทรสาคร เพื่อรองรับการผลิตในอนาคต
- เริ่มทำ MRP II หรือหมายถึงการวางแผนประสิทธิภาพของทรัพยากรทั้งหมดของบริษัท
- ขยายสู่ช่องทาง E-commerce

อายุ : 67 ปี
ปี : 2563
- โรงงานหยุดครั้งแรก นับตั้งแต่ทำธุรกิจมา เนื่องจากโควิด-19
- เริ่มทำ social commerce
- ทำหน้ากากผ้าเป็นครั้งแรก
- ครั้งแรกที่มีการทำ collaboration กับแบรนด์อื่น ซึ่งก็คือแบรนด์ Carnival

อายุ : 68 ปี
ปี : 2564
- Collaboration กับบาร์บีคิว พลาซ่า
- เริ่มทำหน้าร้านเป็นครั้งแรก ตั้งอยู่ที่เดอะมอลล์ ท่าพระ
- ทำเสื้อยืดคอลเลกชั่นใหม่ชื่อ Air Mesh ผลิตจากนวัตกรรมใหม่ของห่านคู่ที่เรียกว่า Super Soft Microfiber เป็นการทอแบบพิเศษที่ทำให้สวมใส่สบายขึ้น
- ทำเสื้อยืดรุ่นห่านคู่ PLUS+

อายุ : 69 ปี
ปี : 2565
- collaboration กับนันยาง
- การตลาดธรรมดาที่ดี ที่กลายเป็นไวรัลไปทั่วโซเชียลมีเดีย และชวนให้แบรนด์อื่นมาเล่นตาม
มากมาย
- ทำเสื้อครอปครั้งแรก
- ร่วมมือกับศิลปินไทย 5 คนอย่าง JCCHR, SS, Jirayu Koo, Nakrob Moonmanas, Pira เพื่อทำคอลเลกชั่นใหม่ที่ใช้ชื่อว่า Canvas Collection
- collaboration กับแบรนด์หมากฝรั่ง คิดคิด
- ออกแบรนด์ลูกชื่อ DBGS เน้นเสื้อผ้าสไตล์สตรีทแวร์

The CEO of Double Goose
ใครจะไปคิดว่าพื้นที่กลางเมืองอย่างสุขุมวิทซอย 42 ที่อยู่ห่างจากทำเลทองอย่างรถไฟฟ้าสถานีเอกมัยเพียง 500 เมตร จะมีโรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้ผลิตเสื้อยืดหลักล้านตัวต่อปีออกสู่ตลาด และนี่คือที่ตั้งของ บริษัท โรงงานไทยแลนด์นิตติ้ง จำกัด แม้ชื่อบริษัทจะไม่ค่อยเป็นที่คุ้นหูกันเท่าไหร่ แต่ผลผลิตจากโรงงานแห่งนี้อย่าง ‘เสื้อยืดตราห่านคู่’ นั้นเป็นที่รู้จักของหลายคนอย่างดี
สิ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กับทำเลที่ตั้ง คือเรื่องราวที่อยู่หลังประตูรั้วสีเทาของโรงงานแห่งนี้ ว่าจากจุดเริ่มต้นของแบรนด์เมื่อ 69 ปีก่อน จากเสื้อยืดที่มีจุดเริ่มต้นหลังสงครามครั้งที่สองจบลง อะไรคือสิ่งที่ทำให้ห่านคู่ยังคงสามารถตั้งอยู่และยังไม่ดับไป และไม่ใช่การตั้งอยู่แบบนิ่งๆ แต่ยังปรับตัวให้เข้ากับบริบทสังคมที่เปลี่ยนไปได้ทุกยุคทุกสมัย โดยมีเสื้อยืดธรรมดาๆ เป็นโปรดักต์ฮีโร่ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน
เหล่านี้ล้วนแต่อาศัยทักษะการบริหารที่ไม่ธรรมดา
ประตูรั้วเปิด เราพบกับ คุณากร ธนสารสมบัติ ผู้บริหารรุ่นที่ 3 ของแบรนด์ห่านคู่ ผู้ที่พาเสื้อยืดจากคนรุ่นปู่ไปทำอะไรใหม่ๆ มากมาย และแน่นอนว่าเขาคือคนที่จะมาเล่าเรื่องราวความเป็นตำนาน และการทำให้ตำนานยังอยู่มาได้จนถึงตอนนี้

เคยมีคนถามไหมว่าทำไมโรงงานห่านคู่ถึงมาตั้งอยู่ที่สุขุมวิท 42 ที่เป็นทำเลในเมืองขนาดนี้
เคย ผมเองก็ยังเคยสงสัยเหมือนกัน แต่ผู้ใหญ่ก็เล่าให้ฟังว่าจริงๆ แล้วโรงงานแรกของเราตั้งอยู่ที่ราชวัตร ซึ่งเป็นที่ที่สมัยก่อนคนจีนชอบอยู่กัน แต่พอมีการขยับขยายเราก็มีการสร้างโรงงานเพิ่มเพราะเมื่อก่อนบริเวณนี้ยังเป็นทุ่งนาอยู่เลย เป็นเหมือนชนบทในสมัยก่อน ยังไม่ได้เจริญแบบทุกวันนี้
จนเมื่อ 10 ปีก่อนหน้าเราก็มีไปสร้างโรงงานใหม่ที่นิคมสมุทรสาคร นอกจากจะเอาไว้ขยายกำลังการผลิตให้เพียงพอ ก็ยังเป็นการเตรียมการเพื่ออนาคตด้วย เผื่อว่าวันนึงในเมืองมีกฎไม่ให้ทำโรงงาน เราจะได้มีพื้นที่รองรับทัน
คุณทำงานอยู่กับโรงงานนี้มากี่ปีแล้ว
ปีนี้เข้าปีที่ 15
พอเรียนจบแล้วคุณมารับช่วงต่อจากที่บ้านเลยหรือเปล่า
เปล่า ผมเรียนจบด้านวิศวะมา พอเรียนจบก็เข้าไปทำงานในสายเทเลคอมอยู่หลายปี ทำหลายตำแหน่ง เป็นตั้งแต่ After Market Product ที่ต้องดูฟีดแบ็กของลูกค้าในตลาดว่าเป็นยังไง แล้วก็เอาฟีดแบ็กเหล่านั้นมาปรับปรุง แต่ในขณะเดียวกันการปรับปรุงนั้นเราก็ต้องคุม cost ฝั่งโรงงานให้ได้ด้วย จากนั้นก็ย้ายไปดูแลโปรเจกต์สินค้าที่จะออกใหม่ แล้วก็ไปทำงานเป็นเซลส์ขายเน็ตเวิร์ก
ซึ่งตอนนั้นก็ไม่คิดเหมือนกันว่าความรู้และประสบการณ์ด้านวิศวะที่เรามี วันนึงจะเอามาใช้กับการทำห่านคู่ได้

ที่ว่าเอามาใช้ คุณเอามาใช้ยังไง
การได้เข้าไปทำงานวิศวกรในหลายๆ ส่วนสอนให้ผมได้มองแบบทั้ง Value Chain ทำให้เห็นว่าธุรกิจแต่ละอย่างล้วนเป็นจิ๊กซอว์ที่เอามาต่อประกอบกัน ต้องมีจิ๊กซอว์ชิ้นนั้นมาต่อกับชิ้นนี้ มันถึงจะเชื่อมจนกลายเป็นภาพใหญ่ขึ้นมาได้ ไม่ใช่มองแค่ส่วนใดส่วนหนึ่งของธุรกิจ
อย่างสมัยก่อนที่ห่านคู่มีหน้าร้านอยู่เยาวราช เราเจอปัญหาดีมานด์กับซัพพลายไม่เคยมาเจอกัน คือโรงงานมีหน้าที่ผลิตก็ผลิตไป เสร็จแล้วก็ส่งให้ร้านค้า ร้านค้าก็เอาไปขายต่อให้กับลูกค้า โรงงานส่งอะไรมาก็ขายอย่างนั้น แต่มันมีหลายครั้งที่ลูกค้าเขาอยากได้สินค้าแบบอื่น เช่นอาจจะอยากได้เสื้อกล้ามแต่โรงงานส่งมาแค่เสื้อยืด ฉะนั้นลูกค้าก็ต้องรอเสื้อกล้ามจากล็อตต่อไป ไม่ใช่ว่าผลิตไม่ได้นะเพียงแต่ร้านค้าไม่ได้สั่งเสื้อกล้ามมาจากโรงงาน ลูกค้าก็ต้องรอ เราก็เสียโอกาสในการขาย
เราก็เลยเอาความรู้ตอนที่เคยทำงานเป็นวิศวกรมาช่วยแก้ปัญหาด้วยการเอาข้อมูลต่างๆ มากองรวมไว้ด้วยกันแล้วเอามาใส่ในระบบที่สร้างขึ้นมาเอง พอเห็นข้อมูลที่มีทั้งหมด ตอนนั้นก็จัดระบบธุรกิจได้ดีขึ้น
แล้วจากวิศวกร คุณเบนสายมาทำธุรกิจที่บ้านได้ยังไง
อันที่จริงผมเคยฝันว่าอยากเปิดซอฟต์แวร์เฮาส์เล็กๆ เป็นของตัวเอง แต่ตอนนั้นรูปแบบการค้าขายมันเริ่มเปลี่ยนไป เป็นช่วงรอยต่อที่คนเริ่มหันไปเดินโมเดิร์นเทรดกันมากขึ้น แต่ห่านคู่ยังคุ้นชินกับการค้าขายแบบดั้งเดิมอยู่ แล้วตอนนั้นผมก็ยังถือเป็นคนรุ่นใหม่ เลยตัดสินใจกลับมาช่วยที่บ้าน กะมาช่วยแค่สักช่วงหนึ่งพอเริ่มอยู่ตัวแล้วก็จะกลับไปทำอะไรแบบที่ตัวเองคิดไว้ แต่จากวันนั้นจนถึงตอนนี้ก็ทำห่านคู่มา 15 ปีแล้ว เริ่มงานแรกด้วยงานฝ่ายขาย
ถึงตอนนั้นผมจะยังไม่รู้อะไรมาก และผู้ใหญ่ก็ไม่รู้จะบอกผมเรื่องการค้าขายสมัยใหม่ยังไง เพราะตัวเขาเองก็ยังตามไม่ทันเหมือนกัน แต่เขาก็บอกกับผมว่า “ทางมีก็ต้องเลิน” คือเขาพูดด้วยสำเนียงจีนๆ และความหมายคือตั้งใจพูดว่าทางมีก็ต้องเดิน ซึ่งในอีกความหมายนึงผมก็มานั่งคิดว่ามันก็สอดคล้องกับคำว่า learn ที่หมายถึงการเรียนรู้ได้ด้วยเช่นกัน

คุณ ‘เลิน’ ยังไง
ก็เริ่มถอยออกมาดูเพื่อให้เห็นภาพรวมของสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดก่อน จนเห็นว่าปัญหาในตอนนั้นไม่ได้อยู่ที่ตัวสินค้าเพราะรุ่นพ่อเขาพัฒนามาอย่างดีแล้ว แต่อยู่ที่เรื่องของ growth คือเราจะทำยังไงให้แบรนด์ที่อยู่มานานเติบโตต่อไปได้
ก็เลยออกไปเดินดูตลาดโบ๊เบ๊ สำเพ็ง และตลาดตามต่างจังหวัด มันทำให้ผมเห็นว่าโมเดิร์นเทรดเริ่มเข้ามามีอิทธิพลกับชีวิตของผู้คนมากขึ้น ผมเลยอยากจะพาเสื้อยืดของห่านคู่ไปอยู่โมเดิร์นเทรดด้วยเหมือนกัน
แต่ไม่ใช่คิดอยากจะทำแล้วจะติดต่อเอาเข้าไปวางได้ทันที เพราะที่ผ่านมาเราขายแบบยกแพ็กมาโดยตลอด แล้วการขายปลีกกับขายส่งนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง ไหนจะมีเรื่องการตั้งราคาอีก ตอนนั้นจะขายเท่าไหร่ผมยังไม่รู้เลย เพราะอย่างที่บอกเราขายแบบส่งมาโดยตลอด ไม่เคยขายปลีกมาก่อน
ไม่ใช่แค่การทำอะไรใหม่ แต่เราต้องหาทางออกให้กับสิ่งเดิมอย่างการค้าขายกับยี่ปั๊ว-ซาปั๊วเป็นคู่ค้ากันมาตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นพ่อ ให้เขาไม่คิดว่าเราไม่ได้จะมาขายตัดราคากับเขานะ แล้วถึงเราจะขายบนห้างแต่ก็ยังมีสินค้าเพียงพอที่จะส่งให้เขาอยู่เหมือนเดิม
แล้วคุณแก้ปัญหาเหล่านี้ยังไง เพราะแค่ฟังดูคร่าวๆ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ก็เริ่มจากโทรไปหาคู่ค้าเดิมของเราก่อนเพื่อให้เขารู้ว่าเราไม่ได้จะทิ้งพวกเขานะ ยังดูแลกันอยู่ ส่วนที่จะมองหาตลาดใหม่ๆ ก็ตัดสินใจทำสินค้าใหม่ขึ้นมาสำหรับเอาไปวางขายในโมเดิร์นเทรดโดยเฉพาะ แยกตลาดกันไปเลย ทำป้ายแบบใหม่ ตั้งราคาขายแพงกว่า ตอนนั้นขาย 139 บาท พอยี่ปั๊ว-ซาปั๊วเห็นเราขายแพงกว่าเขาก็สบายใจว่าของที่อยู่บนห้างจะไม่ไปตัดราคาหน้าร้านเขา
จนในที่สุดก็ได้เอาไปวางขายในคาร์ฟูร์เป็นที่แรกตอนปี 2550 จำได้ตอนแรกที่เข้าไป คาร์ฟูร์บอกกับเราว่าของเราน่าจะขายยากนะ แขวนก็ไม่ได้เพราะตอนนั้นเขาติดภาพเสื้อห่านคู่แบบที่แบวางขายกับแผง แถมตอนนั้นเราเข้าไปช้ากว่าคนอื่นเขา เจ้าอื่นเขานำเราไปหลายก้าวแล้ว
แต่สุดท้ายมันก็ขายมาได้เรื่อยๆ ในแบบของมัน จากคาร์ฟูร์ก็เริ่มขยับไปมีพื้นที่ขายบนห้างอื่น ไปถึงร้านสะดวกซื้อ จนทำให้ห่านคู่เป็นเสื้อที่หาซื้อได้ง่ายและทำให้หลายคนเรียกเราว่าเสื้อยืดที่เอาไว้ใส่ยามฉุกเฉิน

นอกจากทำให้ห่านคู่ไปขายบนโมเดิร์นเทรดได้ครั้งแรก ห่านคู่ในยุคของคุณยังมีอะไรใหม่ๆ อีกบ้าง
ก็มีเสื้อแบบใหม่ออกมามากมาย มีการสร้างโรงงานใหม่ที่นิคมสมุทรสาคร ปรับปรุงสายพานการผลิต เอาระบบ IT เข้ามาช่วยในการทำงาน ทำออนไลน์ มีช็อปเป็นของตัวเอง แตกซับแบรนด์ออกมา แล้วก็มีการไปทำคอลแล็บกับแบรนด์อื่น
จำได้ว่าครั้งแรกที่ห่านคู่มาคอลแล็บกับ Carnival ก็สร้างความฮือฮาเหมือนกัน ย้อนกลับไปตอนนั้นอะไรที่ทำให้แบรนด์รุ่นพ่อหันมาจับมือกับแบรนด์รุ่นลูก
พอดีได้มีโอกาสเจอกับคุณปิ๊น (เจ้าของแบรนด์ Carnival) ก็คุยกับเขาว่าเราอยากจะทดลองขยายตลาดผ่านกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ แล้วก็อยากจะทำอะไรใหม่ๆ ให้ลูกค้ากลุ่มเดิมได้ลองด้วยเหมือนกัน พอคุยๆ กันในที่สุดก็เลยตัดสินใจทำเป็นเสื้อยืดคอลเลกชั่นที่ใช้ชื่อว่า CARNIVAL X Double Goose ขึ้นมา ทำมาแค่ 3,000-4,000 ตัว ที่ทำไม่เยอะเพราะเรายังไม่เคยคอลแล็บกับใครมาก่อน ก็เลยตัดสินใจว่าให้ล็อตแรกเป็นเหมือนการทดลองตลาดไปก่อน แต่สุดท้ายก็ขายหมด เป็นอะไรที่เกินคาดเหมือนกัน
ด้วยจำนวนเพียง 3,000-4,000 ตัว แน่นอนเป้าหมายหลักมันไม่ใช่เรื่องของยอดขาย แต่คือการนำเสนออะไรใหม่ๆ ให้กับลูกค้า และที่สำคัญคือผมอยากจะส่งสัญญาณให้กับทีมว่าเนี่ยดูสิ แบบนี้เราก็ทำได้นะ พอเขาเห็นโปรเจกต์นี้เขาก็จะมองเห็นความเป็นไปได้อื่นๆ ของห่านคู่ได้มากขึ้นด้วย ให้เขาได้ลองก้าวออกจากคอมฟอร์ตโซนที่อยู่ เพราะถ้าจู่ๆ เราให้เขาไปทำอะไรใหม่โดยที่เราไม่ทำให้เขาเห็นภาพก่อน มันก็ยากที่จะทำให้เขาเชื่อและเปลี่ยนตามเราได้ เพราะตั้งแต่ทำงานมา 15 ปีเรื่องยากที่สุดสำหรับผมก็คือเรื่องการบริหารคนนี่แหละ

ทำไมเรื่องคนถึงเป็นเรื่องยากสำหรับคุณ
มันยากเพราะทุกคนไม่อยากเปลี่ยน ที่ไม่อยากเปลี่ยนก็เพราะเราอยู่ในคอมฟอร์ตโซนกันมานาน เมื่อสบายดีอยู่แล้ว แล้วจะเปลี่ยนให้มันลำบากทำไม
ถ้าเรื่องระบบเห็นได้ด้วยดาต้า เรื่องคนก็เห็นได้ด้วยมือ เราต้องเอามือไปทำกับเขา ความยากคือเดี๋ยวนี้เราไปสั่งเขาไม่ได้ แล้วการสอนงานนั้นยากกว่าสั่งงานมาก แต่มันก็คุ้มค่าเพราะการที่เราไปทำกับเขาเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงที่เขากำลังทำอยู่มันคืออะไร เราเองก็ได้เข้าใจพนักงานมากขึ้นด้วย
แล้วตั้งแต่ทำงานที่ห่านคู่มา 15 ปี การสร้างทีมก็ถือเป็นงานที่ผมรู้สึกภูมิใจกับมันมากที่สุดแล้ว
เพราะอะไร
ผมภูมิใจที่เห็นทีมงานเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา เพราะความสำเร็จของแต่ละงานแต่ละโปรเจกต์พอมันผ่านมาแล้วมันก็ผ่านไป วันนี้เข้าห้างได้แล้ว ขายออนไลน์ได้แล้ว ส่งออกได้แล้ว ก็เลยมีความรู้สึกว่ามันก็สำเร็จ โอเค เสร็จแล้วก็แล้วไป
แต่คนที่อยู่กับเราเขาจะกลายเป็นทีมงานที่แข็งแกร่งและเติบโตขึ้น และแม้โปรเจกต์ที่ผ่านมามันจะสำเร็จมากแค่ไหน เราจะมีเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัยขึ้นเพียงใด แต่ถ้าไม่มีทีมที่แข็งแรงที่ช่วยสร้างสรรค์โปรเจกต์ต่อๆ ไป มันก็เท่านั้น

ยุคโมเดิร์นเทรด ยุคออนไลน์ ยุคโควิด การทำห่านคู่ยุคไหนยากที่สุดสำหรับคุณ
ผมมองว่ามันยากไม่เหมือนกัน แต่ถ้าถามว่าอะไรโหดหินสุดก็คงจะเป็นโควิดนี่แหละ คือโมเดิร์นเทรดเป็นเรื่องใหม่สำหรับเราก็จริง แต่ยังมีคนอื่นๆ ที่เข้าไปก่อนหน้าให้เราดูเป็นตัวอย่าง เหมือนเราเข้าไปในสิ่งที่มันมี business model อยู่แล้ว เพียงแต่ต้องหาจุดที่ลงตัวให้เจอ
ส่วนออนไลน์ตอนนั้นต้องบอกว่ามันมี business model อยู่แล้ว แต่ภายในเรายังไม่มีความพร้อม ทั้งเรื่องคนทั้งเครื่องไม้เครื่องมือ ส่วนภายนอกสมัยนั้นก็ยังไม่มี Lazada, Shopee ขนาดนี้ ขนส่งก็ยังมีแค่ไปรษณีย์ไทยเจ้าเดียว แต่มันก็ค่อยๆ ปรับมาได้ เราก็เริ่มทำออนไลน์ตั้งแต่ยุค WeLoveShopping จนค่อยๆ พัฒนามาเรื่อยๆ
แต่โควิดนี่สิของจริง เพราะมันเป็นอะไรที่มองข้างหน้าไม่เห็น ฉะนั้นพอตอนโควิดมันไม่เกี่ยวว่าพร้อมหรือไม่พร้อมแล้ว มันคือการที่เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มีแต่ความไม่แน่นอนเต็มไปหมด เดี๋ยวเปิดเดี๋ยวปิดละจะยังไงกันต่อ แล้วไม่ใช่แค่เราคนเดียว แต่โดนกันทั้ง supply chain ทั้งซัพพลายเออร์ ทั้งลูกค้า
ซึ่งตั้งแต่ทำห่านคู่มานี่เป็นครั้งแรกเลยที่โรงงานเราถูกปิด มันเหมือนเราเป็นคนขับรถที่มีคนมาโดยสารกับเราเต็มไปหมด แต่เรามองเห็นทางข้างหน้าไม่ชัด ไม่รู้ว่าต้องไปยังไงต่อ แต่คนในรถช่วยประคองกันมา จนในที่สุดมันก็ขับฝ่าวิกฤตมาได้
พอผ่านโควิดมาได้ แล้วภาพรวมของห่านคู่ในตอนนี้เป็นยังไง
ทุกวันนี้ยอดขายเรามาจากเทรดพาร์ตเนอร์ทั้งที่เป็นโมเดิร์นเทรดและร้านค้าแบบดั้งเดิม 80% ซึ่งยอดขายกว่ากึ่งหนึ่งมาจากร้านค้าแบบดั้งเดิมที่เป็นยี่ปั๊ว-ซาปั๊วอยู่
ฟังแล้วอาจจะงง เพราะที่ผ่านมาเราคุยกันเรื่องปรับตัวเข้าโมเดิร์นเทรด ทำออนไลน์ แต่ทำไมยอดขายส่วนใหญ่ถึงยังมาจากร้านค้าแบบดั้งเดิมอยู่

ต้องอธิบายให้ฟังแบบนี้ว่า นอกจากในกรุงเทพฯ เรายังมีลูกค้าที่อยู่ตามต่างจังหวัดเยอะ และตลาดในต่างจังหวัดนั้นใหญ่มาก แม้เขาจะซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ แต่ถามว่าร้านค้าออนไลน์เหล่านั้นไปรับเสื้อของเรามาจากไหน ก็ไปรับมาจากร้านค้าส่งแบบดั้งเดิมที่อยู่ในท้องที่นั่นเอง และไม่ใช่แค่ห่านคู่แต่พวกยาสระผม สบู่ ผงซักฟอก หรือ consumer product ที่เป็นของใช้ในชีวิตประจำทั้งหลาย ยอดขายกว่าครึ่งก็มาจากร้านค้าแบบดั้งเดิมนะ ด้วยเหตุผลที่คล้ายๆ เรานี่แหละ เพราะการกระจายสินค้าไปยังที่ต่างๆ ได้อย่างทั่วถึงมันต้องมีการกระจายจาก hub ตรงกลางออกไป เพียงแต่ end consumer อาจจะไม่ได้เห็นการกระจายที่อยู่หลังบ้านแบบนี้ ก็เลยคิดไม่ถึงว่าร้านค้าแบบดั้งเดิมยังมีพลังในแบบของตัวเองอยู่
ส่วนในแง่ของกลุ่มลูกค้าที่เป็น end consumer เราก็มีลูกค้าที่เป็นคนทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่รุ่นปู่ไปจนถึงรุ่นหลาน
คุณทำยังไงให้ลูกค้าของห่านคู่มีตั้งแต่คนกลุ่มเจนฯ Z ไปจนถึง Baby Boomer
อย่างแรกเลยคือเสื้อยืดเป็นสิ่งที่คนทุกเพศทุกวัยใส่กันอยู่แล้ว แล้วพอมาพูดถึงเรื่องของช่วงวัย คนที่เป็น Baby Boomer เขารู้จักกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว เช่นเดียวกับคนเจนฯ X ซึ่งในช่วงที่คนกลุ่มนี้กำลังเป็นวัยรุ่นเสื้อยืดสีขาวกลายเป็นแฟชั่นสำหรับพวกเขาจากเทรนด์ 5 ก. 5ย. และจากอิทธิพลของอัสนี-วสันต์ ที่มักจะสวมเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ขึ้นคอนเสิร์ตอยู่บ่อยๆ
ส่วนเจนฯ Y และเจนฯ Z คนสองกลุ่มนี้รู้จักเราจากพ่อแม่ปู่ย่าของเขา และจากการทำการตลาดรวมถึงการออกสินค้าดีไซน์ใหม่ๆ ของเราออกมาตอบโจทย์คนกลุ่มนี้ อย่างเช่นทำเสื้อสีเอิร์ทโทน หรือทำเสื้อทรงโอเวอร์ไซส์ เป็นต้น

การทำอะไรใหม่ๆ กับธุรกิจดั้งเดิมที่มีคนรุ่นพ่อเคยทำสำเร็จมองดูอยู่ มันยากไหม
จะยากจะง่ายผมว่ามันอยู่ที่ใจเรา ความยากในตอนเข้ามาทำแรกมันเป็นเรื่องความกลัว กลัวว่าเขาจะไม่เห็นด้วย กลัวเขาไม่ชอบ กลัวว่าเราจะทำอะไรเฟลแล้วทำให้รู้สึกเสียหน้า
แต่ผมว่าไม่ว่าเราจะทำอะไรดีแค่ไหน สุดท้ายมันก็ต้องมีเสียงบางอย่างสะท้อนกลับมายังเราอยู่ดี ดังนั้นผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเราได้ทำสิ่งที่ดีที่สุดในเวอร์ชั่นของตัวเองแล้วหรือเปล่า
สัญญาณในการลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงทำอะไรใหม่ๆ แต่ละครั้งคืออะไร
ถ้าดูจากตัวเลขมันไม่ได้มีสัญญาณอะไรที่ไม่ดี เพียงแต่มันเป็นสัญญาณมาจากตลาดว่าช่องทางเก่ามันเริ่มหายไปแล้วนะ คนเริ่มหันไปใช้ช่องทางใหม่กันมากขึ้น แล้วส่วนตัวผมก็มีความพารานอยด์ในตัวเองนิดนึงว่า เฮ่ย ถ้าเราไม่เปลี่ยน ยังอยู่แบบเดิมๆ ต่อไปมันก็คงจะไม่ได้
อะไรคือสิ่งที่ห่านคู่ยังยึดถือ แม้จะผ่านการเปลี่ยนแปลงมาหลายครั้งแล้วก็ตาม
สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนมีอยู่สองเรื่องหลักๆ ด้วยกัน เรื่องแรกคือคุณภาพของสินค้าที่มีความคงทน ใส่ได้นาน ส่วนเรื่องที่สองคือความสัมพันธ์กับลูกค้า เราให้ความสำคัญกับสิ่งนี้ตั้งแต่ยังไม่มีคำว่า CRM เลยด้วยซ้ำ สมัยก่อนเราจะใช้คำว่า ‘เพ่งอิ้ว’ หมายถึงเพื่อน ส่วนอีกคำคือคำว่า ‘ก่ำเช้ง’ หมายถึงการมีน้ำจิตน้ำใจ
เพราะการรักษาเพื่อนๆ เอาไว้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เราคงเดินมาถึงปีที่ 69 ไม่ได้ ถ้าระหว่างทางไม่มีเพื่อน ไม่มีพันธมิตร ไม่มีคู่ค้าที่ดีคอยสนับสนุนมาโดยตลอด

คิดว่าอะไรคือหัวใจสำคัญที่ทำให้ห่านคู่ยืนระยะมาจนถึงปีที่ 69 ได้
ผมมองว่ามันคือการที่เราไม่เคยยอมแพ้กับมันมาตั้งแต่คนรุ่นปู่รุ่นพ่อ ไม่ยอมแพ้กับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นข้างหน้า แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องตะบี้ตะบันเอาชนะตลอดเวลา ความไม่ยอมแพ้ในที่นี้หมายถึงคือการที่สามารถประคองตัวเองให้อยู่ในเกมได้ แพ้บ้างชนะบ้างไม่เป็นไร แต่ที่สำคัญคือเวลาแพ้คือต้องหาวิธีกลับมาอยู่ในเกมให้ได้
ถัดจากขวบปีที่ 69 คุณมองว่าห่านคู่จะเติบโตไปยังไง
ผมอยากให้มันเป็น iconic brand ให้คนรุ่นต่อจากผมสามารถมารับไม้ต่อเพื่อดูแลพนักงานและคนที่ อยู่ในเจเนอเรชั่นของเขาต่อไปได้
The Product of Double Goose
นอกจากโลโก้ห่านสีเขียว เสื้อยืดคอกลมสีขาวคืออีกหนึ่งสิ่งที่ผู้คนจะนึกถึงเมื่อพูดถึงแบรนด์ ‘ห่านคู่’ บทความนี้จึงอยากพาคุณผู้อ่านเจาะลึกลงไปจนถึงระดับเส้นใย ว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่ในความธรรมดาของห่านคู่นั้นมีอะไรพิเศษกว่าเสื้อยืดแบรนด์อื่น จนทำให้ห่านคู่สามารถขายเสื้อยืดสีขาวมายาวนานถึง 69 ปีได้
หลักๆ แล้วกระบวนการทำเสื้อของห่านคู่นั้นเริ่มจากการคัดเลือกฝ้าย แปรเปลี่ยนฝ้ายให้เป็นเส้นด้าย นำเส้นด้ายไปฟอกเพื่อกำจัดสิ่งสกปรกออกจากผ้า และย้อมสีด้วยเทคนิคเฉพาะของห่านคู่ จากนั้นก็นำเส้นด้ายมาทอเป็นผืนผ้า นำไปตัดเป็นชิ้นส่วนต่างๆ เพื่อนำมาเย็บต่อประกอบจนกลายเป็นเสื้อยืดห่านคู่ในที่สุด


เจาะลึกลงไปในแต่ละขั้นตอนตั้งแต่การเลือกฝ้าย ฝ้ายที่ใช้ในการทำเสื้อของห่านคู่นั้นล้วนแต่ถูกนำเข้ามาจากต่างประเทศ จะต้องเป็นฝ้ายที่มีเส้นใยยาวเพราะขั้นตอนของการทำเส้นด้ายนั้นคือการนำฝ้ายมาตีเกลียวเข้าด้วยกัน ยิ่งเส้นใยยาวเท่าไหร่ เกลียวก็จะยึดเกาะกันได้แน่นมากขึ้นเท่านั้น เมื่อเกลียวของเส้นใยเกาะกันแน่นก็จะส่งผลให้ผ้าเป็นขนหรือขุยได้ยากขึ้น


เมื่อหาฝ้ายได้ตามสเปกที่ต้องการก็จะให้โรงงานที่เป็น outsource เปลี่ยนฝ้ายให้เป็นเส้นด้าย แม้ห่านคู่จะไม่ได้ปั่นฝ้ายด้วยตัวเอง แต่ก็มีการควบคุมมาตรฐานการผลิตให้มีคุณภาพ คำว่าคุณภาพในที่นี้หมายถึงการไม่มีเส้นแทรก มีสิ่งเจือปนเข้ามาน้อยที่สุด และทำให้เส้นด้ายมีความสะอาด จากนั้นโรงงานก็จะนำเส้นด้ายที่ปั่นได้มาส่งต่อให้กับห่านคู่

เมื่อรับเส้นด้ายมาก็ไม่ใช่ว่าจะเอามาทอเป็นผ้าได้ทันที แต่ยังต้องผ่านกระบวนการฟอกเพื่อลอกสิ่งสกปรกออกไป และย้อมสีด้ายด้วยเทคนิคเฉพาะตัวที่คิดค้นกันมาตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นพ่อ

กว่าจะกลายมาเป็นผ้าแต่ละผืนนั้นผ่านขั้นตอนมากมาย ทุกตารางเมตรของผ้าจึงล้วนแต่เป็นต้นทุนทั้งสิ้น ดังนั้นแล้วขั้นตอนการตัดผ้าไม่ใช่แค่วางมาร์กเกอร์แล้วก็ตัดได้ทันที แต่ยังต้องผ่านขั้นตอนการคิดคำนวณพื้นที่บนผืนผ้าเพื่อให้เหลือเศษผ้าน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้

หลังจากได้ชิ้นผ้ามา ขั้นตอนต่อไปคือการเย็บประกอบชิ้นส่วนต่างๆ เข้าด้วยกัน โดยเสื้อยืดทุกตัวของห่านคู่จะมีมาตรฐานการเย็บกำหนดเอาไว้ว่าทุกๆ 1 นิ้วของการเย็บจะต้องมีตะเข็บทั้งหมด 12 ฝีเข็ม ทุกตะเข็บเต็มฝีเข็ม เรียบ แน่น และต้องไม่มีการแตกหรือรั่วของตะเข็บ ปลายแขนเสื้อต้องตรงกันเป๊ะ หากเสื้อมีรูแม้รูจะเล็กเท่าเข็มก็จะไม่ปล่อยผ่านไป เพราะเมื่อลูกค้าเอาไปซักจากรูเล็กๆ ก็จะขยายใหญ่ได้ โลโก้ห่านที่บริเวณคอเสื้อหัวของห่านจะต้องไม่ติดกับขอบตะเข็บจนเกินไป

โดยในปีปีนึงห่านคู่สามารถผลิตเสื้อยืดออกมาได้ราว 6-8 ล้านตัวเลยทีเดียว


The People of Double Goose
ตลอดระยะเวลาที่คุณากร ธนสารสมบัติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โรงงานไทยแลนด์นิตติ้ง จำกัด ทำงานที่ห่านคู่มากว่า 15 ปี เขาเจองานยากและโจทย์ที่เข้ามาท้าทายฝีมืออยู่โดยตลอด ตั้งแต่การพาแบรนด์เข้าไปอยู่ในโมเดิร์นเทรด พัฒนาระบบการทำงานภายในให้ทันสมัย ปรับตัวเข้าสู่ช่วงออนไลน์ ทำให้แบรนด์ยังคงยืนระยะมาได้แม้จะเจอกับวิกฤตโรคระบาดซึ่งทำให้โรงงานต้องหยุดผลิตเป็นครั้งแรก
แต่เมื่อถามในบรรดาโจทย์ที่ท้าทายทั้งหลายเหล่านี้ งานไหนเป็นงานที่ยากที่สุดสำหรับเขา คุณากรกลับตอบมาว่า “ผมว่าเรื่องคนนี่ยากที่สุดแล้ว”
ด้วยความเป็นองค์กรที่มีอายุเกือบ 70 ปี คนที่อยู่ในองค์กรจึงมีตั้งแต่รุ่นใหม่ รุ่นกลาง ไปจนถึงรุ่นใหญ่ การจะนำพาให้คนหลากหลายเจเนอเรชั่นที่มีจำนวนเกือบๆ 500 คนให้ปรับตัวเดินหน้าไปพร้อมกับองค์กรจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ทว่าคุณากรก็สามารถทำงานที่เขาว่ายากนี้ให้สำเร็จได้ สะท้อนได้จากการที่แบรนด์ยังสามารถคงอยู่มาได้–ไม่ใช่แค่การอยู่นิ่งๆ แต่อยู่อย่างปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยได้อยู่เสมอ
สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากไม่มี ‘คนในองค์กร’ คอยเป็นผู้ขับเคลื่อน
“ผมมองว่าการที่สินค้าจะออกมามีคุณภาพ จะตอบโจทย์ลูกค้าได้ มันต้องเกิดขึ้นมาจากการที่เราเห็นคุณค่าของสิ่งที่เราจะทำออกมาก่อน แล้วคุณค่านี้มันไม่ได้สร้างมาจากผม แต่สร้างมาจากทีมงาน ผมเลยให้คุณค่ากับเรื่องของการบริหารคนมากๆ อีกอย่างต่อให้เรามีเครื่องจักรที่ดีแค่ไหนถ้าไม่มีคนที่เห็นคุณค่ามาใช้ มันก็เปล่าประโยชน์”

เมื่อการดูแลมนุษย์นั้นไม่ง่ายเหมือนกับการดูแลเครื่องจักรในโรงงานเย็บผ้า ที่เพียงป้อนคำสั่งลงไปในระบบก็สามารถทำงานออกมาได้ดั่งใจ ยิ่งกับในยุคสมัยปัจจุบันที่บริบทการทำงานระหว่างหัวหน้าและลูกน้องเปลี่ยนไปจากอดีตเป็นอย่างมาก การบริหารคนของคุณากรจึงเป็นเรื่องที่อาศัยทักษะการจูงใจ ทักษะการโค้ชการพัฒนาคน รวมไปถึงทักษะความอดทนในระดับที่ไม่น้อยเลย
“การบริหารคนไม่ได้เริ่มจากการไปสั่งเขา แต่ต้องเข้าใจก่อนว่าตัวพนักงานและงานที่เขาทำเป็นยังไง เมื่อเข้าใจก็จะทำให้เราคุย เริ่มเข้าไปเวิร์กกับเขาได้ พอเวิร์กกับเขาได้เราก็ต้องให้ทีมงานแต่ละคนเชื่อมต่อกัน วิธีการเชื่อมต่อก็ไม่ใช่ว่าเดี๋ยวคุณไปคุยกับคนนู้นไปแผนกนี้นะ แต่เราเองในฐานะผู้บริหารก็ต้องใส่กิจกรรม ใส่เครื่องมือบางอย่างลงไปเพื่อให้พวกเขามาทำงานร่วมกันได้ และการจะทำให้พนักงานก้าวออกจากคอมฟอร์ตโซน เราในฐานะผู้บริหารก็ต้องทำให้เขาดู อย่างเช่นที่เคยเล่าไปว่าการไปจับมือคอลแล็บกับแบรนด์อื่น ผมไม่ได้คาดหวังเรื่องยอดขายเป็นหลัก แต่อยากทำให้ทีมงานเห็นว่าแบรนด์ที่อยู่มานานอย่างห่านคู่ยังสามารถทำอะไรใหม่ๆ ได้อีกมากมาย
“ส่วนที่บอกว่าเรื่องคนเป็นงานที่ยากที่สุดสำหรับผม ก็เพราะการบริหารคนในยุคสมัยนี้เราไม่สามารถสั่งเขาอย่างเดียวได้ มันไม่ใช่แบบเมื่อก่อน แต่เราต้องไปสอนเขา ซึ่งการสอนมันเป็นอะไรที่ยากและต้องใช้ความอดทนมากกว่าการสั่งเป็นอย่างมาก” คุณากรพูดถึงวิธีบริหารทรัพยากรที่มีค่าในองค์กรอย่างมนุษย์
จึงไม่แปลกใจว่าในบรรดาโจทย์ธุรกิจที่ท้าทายทั้งหลาย โปรเจกต์ที่กลายเป็นไวรัลมากมาย แต่ทำไมงานที่คุณากรรู้สึกภูมิใจที่สุดกลับเป็นงานในการ ‘พัฒนาคน สร้างทีมงาน’ ขึ้นมา
และการบริหารคนของเขาก็ทำให้แบรนด์เก่าแก่อย่างห่านคู่ยังสามารถทำกำไรมาได้อยู่ทุกปี

ธรรมดาที่ทำงานดี
ชื่อ : ติมเฮียง ศรีพิมล
ตำแหน่งงาน : หัวหน้าแผนกเย็บ G
วันที่เริ่มงาน : 1 กันยายน 2554
อายุงาน : 11 ปี
ความชำนาญพิเศษ : เย็บเสื้อห่านคู่แบบใหม่

“เรามาเริ่มงานที่นี่ด้วยตำแหน่งหัวหน้าแผนกตัวอย่าง ถึงเคยทำงานเย็บมาก่อน แต่พอมาทำงานที่ห่านคู่ก็ต้องใช้เวลาเกือบปีเลยกว่าจะฝึกฝนจนชำนาญมือกว่าจะเย็บออกมาสวยได้ เพราะงานตราห่านคู่นั้นมีความละเอียดอ่อนมากๆ เสื้อตัวนึงผ่านการเย็บ 10 กว่าขั้นตอนเลย ตะเข็บต้องให้ได้ 12 ฝีเข็มต่อ 1 นิ้ว ตัวตะเข็บต้องแบนเรียบ ฝีด้ายต้องเต็มตะเข็บ ด้ายกับผ้าอยู่ชิดกัน ปลายแขนเสื้อพับแล้วต้องเสมอกัน ตะเข็บปลายท้องแขนต้องตรงกันเป๊ะๆ สปริงคอต้องไม่ตึงหรือย่นจนเกินไป
“จนตอนนี้มาเป็นหัวหน้าแผนกเย็บ การทำงานในวันๆ นึงก็จะต้องดูแลลูกน้องตั้งแต่ความปลอดภัย ดูให้ใส่ถุงมือตัดเย็บ วันไหนมีงานตัวอย่างก็ลองให้ลูกน้องเย็บเพื่อค่อยๆ ฝึกฝนเขา
“ส่วนที่อยู่ที่นี่มาได้สิบกว่าปี เพราะทั้งเจ้านายและผู้จัดการเขาใจดี ถ้าเราทำผิดเขาจะให้โอกาสเราแก้ตัวใหม่ ไม่ว่าไม่ซ้ำเติมเรา”

ชื่อ : นิวัฒน์ ไสยสิทธิ
ตำแหน่งงาน : หัวหน้าแผนกเย็บ P
วันที่เริ่มงาน : 2 ตุลาคม 2529
อายุงาน : 36 ปี
ความชำนาญพิเศษ : เย็บเสื้อห่านคู่แบบดั้งเดิม
“พี่ทำงานที่นี่มาตั้งแต่อายุ 25 งานแรกที่ทำก็คืองานเย็บ วันนึงเคยเย็บเสื้อคอกลมได้ประมาณ 1,800 ตัว จนตอนนี้ได้ขยับมาเป็นหัวหน้า งานส่วนใหญ่จึงเป็นการจัดโฟลว์ลูกน้อง แต่ถ้าช่วงไหนไม่ทันจริงๆ ก็ต้องไปช่วยลูกน้องเย็บด้วยเหมือนกัน แล้วก็ต้องคอยตรวจดูด้วยว่าเสื้อแต่ละตัวเป็นตามมาตรฐานที่ห่านคู่กำหนดไว้ไหม
“ที่อยู่ที่นี่มาได้นานเพราะเจ้านายเขาใจดี เป็นกันเอง แล้วเราก็รักในผลิตภัณฑ์ของเรา ทำแล้วดีใจเพราะไปไหนก็มีแต่คนรู้จัก เวลาไปเดินห้างเขาไม่รู้จักเราหรอก เขาไม่รู้ว่าเสื้อที่เขาซื้อเราเป็นคนทำ แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ดีใจนะ”

