ทอย กรชนก ผู้ผลิตตุ๊กตา Moomin, Mr. Men & Little Miss และอีกหลายสิบคาแร็กเตอร์ที่ทุกคนรัก

“ทอยเชื่อว่าทุกบ้านต้องมีตุ๊กตาของทอยอย่างน้อยบ้านละหนึ่งตัว”

ทอย–กรชนก ตรีวิทยานุรักษ์ บอกพร้อมรอยยิ้มกว้าง

ถึงจะพูดขำๆ แต่ประโยคนั้นอาจจะเป็นไปได้ ที่บ้านของทอยทำธุรกิจเกี่ยวกับตุ๊กตามาตั้งแต่รุ่นคุณแม่ เริ่มจากการซื้อตุ๊กตาหมีมาตกแต่งและขายต่อในยุคที่อีคอมเมิร์ซยังไม่เฟื่องฟู ขยายมาผลิตตุ๊กตา OEM ให้แบรนด์ดังอย่างสตาร์บัคส์ ประเทศไทยและโรงแรมต่างๆ และเมื่อทอยเข้ามารับช่วงต่อเธอก็เริ่มซื้อลิขสิทธิ์คาแร็กเตอร์ที่คนรักมาผลิตด้วยตัวเอง ทั้งทำเป็นตุ๊กตา พวงกุญแจ อิมพอร์ตสินค้าคาแร็กเตอร์เข้ามา แถมยังเลยเถิดไปเปิดคาเฟ่คาแร็กเตอร์อีก (เดาได้ไหมว่าตัวไหน)

Moomin, Mr. Men & Little Miss, Miffy, We Bare Bears, LINE FRIENDS, Looney Tunes เป็นแค่ส่วนหนึ่งของคาแร็กเตอร์ที่เธอถือลิขสิทธิ์ในมือเท่านั้น

ในวันที่ห้างไหนๆ ก็วางขายตุ๊กตาที่ทอยผลิตและใครๆ ก็ห้อยพวงกุญแจตุ๊กตา Mr. Men & Little Miss ซื้อ We Bare Bears เป็นของขวัญให้เพื่อน หรือห่มผ้าห่มลาย Moomin เราชวนทอยมาคุยกันวิธีพลิกธุรกิจตุ๊กตาสิงสาราสัตว์ธรรมดาให้กลายเป็นธุรกิจตุ๊กตาคาแร็กเตอร์ชื่อดังจากทั่วโลก

สปอยล์ไว้เลยว่าการทำธุรกิจผลิตของน่ารักใจน้วยแบบนี้ต้องอาศัยการทำงานหนัก ความยืดหยุ่นปรับตัว และกลยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่นุ่มนิ่มเหมือนตุ๊กตาเลยสักนิด

ทอยบอกว่าที่บ้านของทุกคนต้องมีตุ๊กตาของทอยสักตัว ทำไมถึงคิดอย่างนั้น

บ้านทอยทำตุ๊กตามาตั้งแต่รุ่นหม่าม้า ตอนแรกๆ เขาทำการ์ดขาย ปั้นดินเป็นโดนัทแล้วก็แปะลงไปในการ์ด กำไรชิ้นละประมาณ 2 บาท 5 บาท แต่ว่าใช้เวลาทำนานมากก็เลยลองหาอย่างอื่นทำไปเรื่อยๆ จนไปเดินเล่นสำเพ็ง เขาไปเห็นตุ๊กตาหมีล็อตนึงแล้วรู้สึกว่าน่ารักดี ไหนลองเอามาขายซิ เพราะสมัยก่อนยังไม่ได้มีการขายทางอินเทอร์เน็ตหรือมีร้านแบบ Miniso, Moshi Moshi แล้วจะมีสักกี่คนที่เดินสำเพ็ง หม่าม้าก็เลยซื้อมาล็อตนึง เอามาผูกโบว์ ติดปีกนางฟ้าเอง แล้วก็ไปเสนอขายที่ Loft เขาก็เอ็นดู ให้ลองวางขาย มันกลับขายดีมากเลย

นั่นคือกี่ปีที่แล้ว

24 ปีที่แล้ว ตั้งแต่ทอยเด็กๆ เลย ภาพที่จำได้คือทุกคืนเขาจะนั่งติดโบว์ตุ๊กตาหมี เย็บผ้า แล้วก็เอาไปขาย กำไรดีมากแต่ว่าทำได้สักพักก็มีคนทำตามเพราะมันก็มีคนที่เดินสำเพ็งได้เหมือนกันหม่าม้าเลยพยายามหาโรงงานในประเทศไทยจนได้เจอโรงงานที่เป็นพาร์ตเนอร์กันจนถึงทุกวันนี้ ตั้งแต่นั้นเราเลยเริ่มทำแบรนด์ชื่อ LUSCINIA จ้างดีไซเนอร์คนไทยมาออกแบบตุ๊กตาแล้วก็ผลิตเอง เป็นพวกกระต่าย หมู หมี หมา หรือตุ๊กตาตามเทศกาลต่างๆ ที่คนเข้าใจง่ายๆ ซึ่งก็ขายดีมาก

นอกจากแบรนด์ตัวเองก็ทำ OEM ด้วย ผลิตให้สตาร์บัคส์ประเทศไทย โรงแรมแมริออท และโรงแรมสยามเคมปินสกี้ คนที่เขาค่อนข้างซีเรียสเรื่องคุณภาพ เราไม่สามารถทำของราคาถูกมากๆ ได้เลยเพราะเรามั่นใจว่าใช้ของคุณภาพจริงๆ ผ้าทุกอย่างนำเข้าจากเกาหลีก็เลยไม่สู้เรื่องราคา สู้เรื่องหน้าตาแล้วก็คุณภาพมากกว่า

ตุ๊กตาแบรนด์ของตัวเองขายดีอยู่แล้ว OEM ก็มี ทำไมถึงเริ่มคิดอยากทำตุ๊กตาลิขสิทธิ์

ช่วงที่อยู่ประมาณปี 3 ทอยรู้สึกว่าทำไมเราไม่ทำตุ๊กตาลิขสิทธิ์เพราะบ้านเราทำงานคุณภาพ แต่คนไม่รู้จักแบรนด์ของเราสักที มันก็แค่กวางตัวนึง หมูตัวนึง พอไปบอกหม่าม้า เขาก็บอกว่าเคยมีเจ้าของลิขสิทธิ์คาแร็กเตอร์มาเสนอตลอดแต่ขั้นตอนมันเยอะ ทอยเลยบอกว่าทอยอยากลองทำนะ

ช่วงนั้นไปญี่ปุ่นบ่อย ได้เห็นคนใช้ของคาแร็กเตอร์มูมินเยอะ เราก็ เอ๊ะ มันตัวอะไร น่ารักอยู่นะ เลยค่อยๆ ศึกษาหาข้อมูลมาเรื่อยๆ พอกลับมาไทยก็มีเพื่อนๆ ที่ชอบมูมิน เราคิดว่าถ้าทำตุ๊กตามันน่าจะขายได้ก็เลยลองศึกษาหาข้อมูลดูว่าใครดูแลลิขสิทธิ์ในประเทศไทยและติดต่อไป

สมมติเราอยากซื้อลิขสิทธิ์คาแร็กเตอร์มาทำตุ๊กตา เราต้องทำยังไงบ้าง

แต่ละคาแร็กเตอร์จะมีตัวแทนที่ดูแลลิขสิทธิ์ในแต่ละประเทศประเทศละ 1 บริษัทหรือหนึ่งตัวแทนในการดูแลเท่านั้น เป็นคนให้สิทธิ์การผลิตสินค้าต่างๆ แก่บริษัท ตอนจะซื้อลิขสิทธิ์มูมินเราก็ติดต่อไป ยื่นข้อมูลโปรไฟล์บริษัท เราคือใคร ทำสินค้าแบบไหน มีโรงงานเป็นของตัวเอง เขาก็บอกว่าถ้ายูทำตุ๊กตาเป็น มีโรงงาน มีแหล่งการขายอยู่แล้วก็โอเค

พอทุกอย่างผ่านหมดแล้ว จ่ายค่าลิขสิทธิ์แล้ว ต่อมาคือการส่งแบบตรวจ อันนี้แหละนรกของจริง (หัวเราะ) เราจะต้องออกแบบไปก่อนเป็น 2D และ 3D ให้ทีมดีไซเนอร์ของเขาดูว่างานจะออกมาเป็นแบบไหน ทำโปรดักต์กี่ชนิด กี่ไซส์ กี่สี ทีนี้ก็จะเริ่มขึ้นตัวอย่าง บอกได้เลยว่ากว่าจะได้ขายแต่ละตัวถูกแก้มาแล้วมากกว่า 20 ครั้ง

ตอนนั้นรู้สึกหลายครั้งว่าทำไมมันต้องขนาดนี้ ในสายตาเราเราก็ว่ามันสวยแล้วทำไมไม่ผ่านสักที แต่ว่าทำไปทำมา เวลาแก้ตามที่ดีไซเนอร์ต่างประเทศคอมเมนต์ เออ มันสวยกว่าที่เราคิดจริงๆ เพราะเขาเข้าใจคาแร็กเตอร์มากกว่าเรา เขาสร้างมันมา 50 ปี 100 ปี เขาต้องรู้จักมันดีที่สุด

ทอย กรชนก
ทอย กรชนก

ส่วนใหญ่เขาให้แก้อะไรบ้าง

ดวงตา ใบหน้า หรือว่าทรงตรงนี้คุณต้องขยับขึ้นหน่อย ตรงนั้นห้ามยาวขนาดนี้นะ เขาดูทุกจุด ทุกครั้งที่แก้เราต้องถ่ายวิดีโอทุกมุมและส่งของไปให้ตรวจ แล้วหนึ่งคอลเลกชั่นมี 10 ถึง 20 แบบเราเลยต้องใช้เวลาถึง 6-8 เดือนในการพัฒนาและทำให้มันมีต้นทุนสูงมากๆ

การทำสินค้าลิขสิทธิ์มีข้อจำกัดหรือข้อห้ามอะไรไหม

เขาจะมีไกด์มาให้หมดเลย มีหนังสือให้ศึกษา แต่ว่าอะไรที่พิเศษมากๆ ก็จะต้องอีเมลไปเสนอเขา เช่น ขอให้ยกมือไหว้ได้ไหม, LINE FRIENDS ใส่ชุดไทยได้ไหม หรือมูมินตัวนอนหมอบ นอนหงาย จริงๆ เขาไม่ให้ทำ เขาบอกว่ามูมินไม่นอนแบบนี้ ทอยก็ขอเขาว่าคนไทยชอบท่าทางแบบนี้ ให้ทำได้ไหม สุดท้ายมันก็เป็นรุ่นที่ขายดีที่สุด จริงๆ เขาก็อยากทำตลาดในต่างประเทศอยู่แล้ว อะไรที่หยวนๆ ได้เขาก็ยอมนะ

ส่วนข้อห้ามหลักๆ ก็จะห้ามคาแร็กเตอร์เขาดูมึนเมา ถือบุหรี่ อยู่กับใบกัญชา อะไรแบบนี้ซึ่งใครจะให้มันเสพกัญชาล่ะ (หัวเราะ)

CODEC Creation

กับคาแร็กเตอร์แรกอย่างมูมินคุณทำโปรดักต์อะไรบ้าง

ทำตุ๊กตาก่อนเลยเพราะว่ามันเป็นสินค้าหลักของเรา แต่ทอยรู้สึกว่าถ้าทำแค่ตุ๊กตาคนซื้อไปหนึ่งตัวเขาก็ไม่ซื้ออีกแล้วเราเลยทำโปรดักต์อื่นๆ ด้วย เช่น รองเท้าสลิปเปอร์ พวงกุญแจ หรือว่ากระเป๋าเล็กๆ ลิขสิทธิ์ที่ทอยขอจะครอบคลุมโปรดักต์ที่ทำจากผ้ามีขนเพราะมันเป็นสิ่งที่โรงงานของเราทำอยู่แล้ว

เราอิมพอร์ตสินค้ามูมินมาจากประเทศญี่ปุ่นด้วยและยิ่งไปกว่านั้นคือทำคาเฟ่มูมิน เกินไปไหม​ (หัวเราะ) หม่าม้าเขาสรรหา เขารู้สึกว่ามูมินมาแน่เลยทำคาเฟ่ด้วยเพราะวันแรกที่วางขายที่สยามพารากอนทอยไม่ได้คิดว่ามันจะขายดี ใครจะรู้จักมูมิน ก็คงมีแค่กลุ่มเล็กๆ เด็กๆ มหา’ลัยแหละแต่กลับกลายเป็นว่าวัยทำงานรู้จักได้ยังไงก็ไม่รู้ คนมาซื้อเยอะมาก เป็นคาแร็กเตอร์ที่ยอดขายวันเปิดตัวดีที่สุดในชีวิตตั้งแต่ทำมาเลย

ที่บอกว่าคนซื้อตุ๊กตาครั้งเดียวแล้วไม่ซื้ออีกมันเป็นยังไง เล่าให้ฟังได้ไหมว่าปกติพฤติกรรมการซื้อตุ๊กตาของคนเราเป็นยังไงบ้าง

ตุ๊กตามันจะมีพีเรียดช่วงที่ขายดีและขายไม่ดี อย่างเช่นช่วงเดือน 1 ถึงเดือน 7 ยอดจะเฉยๆ ยกเว้นช่วงรับปริญญากับวาเลนไทน์ที่อาจจะขายดีขึ้นมานิดนึง และจะพีคที่สุดคือช่วงเดือน 10-12 ช่วงเทศกาลที่คนให้ของขวัญกัน ซื้อให้กันเพราะว่าตัวนี้มันเหมือนเธอนะ นี่คือจุดบอดของธุรกิจเรา มันไม่ใช่ของที่ขายได้ตลอดทุกวันเราเลยแตกไลน์สินค้างานผ้าให้เป็นของที่ใช้งานได้มากกว่าตุ๊กตา แล้วก็มีสินค้าอิมพอร์ตมาอุดรูรั่วเข้าไปอีก คือถ้าเธอไม่ซื้อตุ๊กตาเธอก็จะต้องซื้อแก้ว ซื้อจานจากฉันแหละ

ทอย กรชนก

สินค้าอื่นๆ เหล่านี้ทำให้ยอดดีขึ้นอย่างที่คิดไหม

จริงๆ ยอดขายมันไม่หายไป คนที่มีตุ๊กตาแล้วเขาก็อยากซื้อผ้าห่ม ซื้อรองเท้า ซื้ออย่างอื่นบ้าง ทอยทำโปรโมชั่นแต่ละเดือนไม่เหมือนกันด้วยเพื่อบิลด์สินค้าแต่ละประเภท

นอกจากตุ๊กตาตัวใหญ่อีกโปรดักต์ที่ทอยทำกับทุกคาแร็กเตอร์คือพวงกุญแจตุ๊กตาตัวเล็กๆ ทำไมถึงให้ความสำคัญกับสินค้านี้มาก

ทอยอยากทำของลิขสิทธิ์ให้คนจับจ่ายได้ เด็กๆ รู้สึกว่าซื้อได้ เพราะว่าตอนที่ทอยเด็กๆ จะซื้อพวงกุญแจดิสนีย์ตัวละ 600 เราซื้อไม่ได้ มันแพงเหลือเกิน Sanrio ก็แพง ตั้งแต่ทำมูมินเราเลยทำสินค้าตัวเล็กๆ ราคา 200-300 เด็กๆ เขาเก็บเงินสัก 3 อาทิตย์ก็ซื้อได้แล้ว ทำให้เขาสามารถเสพของลิขสิทธิ์ได้

CODEC Creation

ถัดจากมูมิน ตัวต่อมาที่คุณซื้อลิขสิทธิ์มาคืออะไร

ตัวถัดมาที่ซื้อคือ Mr. Men & Little Miss ประมาณ 4-5 ปีที่แล้ว ทำออกมาเป็นตุ๊กตาต่างๆ เหมือนกัน โมเดลเดียวกับมูมินเลยแต่ไม่เวิร์ก ขาดทุนเยอะมาก ไม่มีใครรู้จัก มันทำให้รู้ว่าตอนมูมินเราแค่โชคดีที่มันอยู่ในกระแสแค่ก่อนหน้านั้นเราไม่รู้ แต่เราไม่ได้ทำแบบนี้ได้กับทุกตัว ธุรกิจนี้มันไม่ใช่ซื้อตัวไหนก็รอด

ไม่รอดแล้วแก้เกมยังไง

ตอนนั้นทอยยังเด็กไงแล้วก็ใหม่ หม่าม้าให้มาทำเต็มตัวโดยที่เขาไม่ช่วยแล้ว เราไม่รู้ว่าจะต้องแก้เกมยังไงก็เลยไม่ต่อลิขสิทธิ์แล้วลองซื้อตัวอื่นมาทำ เราคิดว่า Mr. Men & Little Miss อาจจะ niche จัดงั้นลองเอาคาแร็กเตอร์ที่มันแมสกว่านี้มาลองซิ ก็เลยลองซื้อ LINE FRIENDS ก็ถือว่าดีแต่อยู่ในขั้นดีเฉยๆ เลยทำตัวอื่นเพิ่มอีกคือ We Bare Bears ตอนนั้นขายดีมากเกือบเทียบเท่ามูมินเลยเพราะมีกระแสมีมเยอะมาก ทอยก็ขายดีมากเช่นกัน

CODEC Creation
CODEC Creation

หลังจาก We Bare Bears เวลาจะซื้อลิขสิทธิ์ตัวใหม่คิดถึงความแมสไหม

คิด แต่ว่าคิดน้อยกว่าชอบไม่ชอบส่วนตัว จริงๆ ก็เป็นการทำธุรกิจที่ไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่แต่ทอยรู้สึกว่าถ้าจะตื่นมาแล้วอยากทำงานทุกวัน อยากพัฒนามันก็จะต้องเป็นแบบนี้คือเริ่มจากความชอบของตัวเองเป็นหลักก่อน

ย้อนกลับไปตอนที่ซื้อ Mr. Men & Little Miss ทำไมตอนนั้นถึงซื้อแม้ว่าคนไทยจะแทบไม่รู้จักคาแร็กเตอร์นี้เลย เกณฑ์ในการเลือกคาแร็กเตอร์ของทอยคืออะไร

ทอยชอบ ทอยเลือกทุกอย่างจากความชอบของตัวเองหมดเลยเพราะเราอาจจะยังไม่ได้เก่งพอที่จะไปคิดแทนคนอื่นและคิดว่าคงมีคนชอบแบบเราเหมือนกัน อย่าง We Bare Bears เลือกเพราะว่าเห็นการ์ตูนแล้วชอบ ตั้งแต่ก่อนมันจะเป็นมีมอีก เราคิดว่าคงมีตลาดพวกเด็กๆ ที่ดูการ์ตูน การ์ตูนเน็ตเวิร์ก พอทำจริงก็ปังมาก

เราขายดีมากอยู่สักพักหนึ่ง กลายเป็นว่ามีแบรนด์ที่ทำตุ๊กตานี้เหมือนกันแล้วราคาถูกแบบ 100 บาท 79 บาท แต่ทอยขาย 690 บาท 700 บาท มันไม่ได้ เราก็แบบแล้วจะยังไงต่อ จริงๆ ปกติในประเทศจะทำสินค้าลิขสิทธิ์ได้ 1 สินค้า 1 บริษัทเท่านั้นแต่แบรนด์นี้เขาซื้อลิขสิทธิ์จัดจำหน่ายทั่วโลกมันเลยชนกัน เราก็เลยไม่ทำแล้ว เปลี่ยนไปทำอย่างอื่น แต่ตอนนี้เจ้าของลิขสิทธิ์ในไทยเขากลับมาติดต่อเราอีกรอบ บอกว่าคนเราไม่ซื้อตุ๊กตาราคา 199 ไปเป็นของขวัญให้เพื่อนแต่ว่าโปรดักต์เรามันคือของขวัญที่คนซื้อไปให้คนพิเศษ เป็นคนละกลุ่มตลาดกันเราก็เลยกลับมาทำ

ทอยมีคาแร็กเตอร์ในพอร์ตหลายตัว และแต่ละตัวก็อยู่กันคนละบริษัทด้วย ทำไมถึงต้องแยกแบรนด์

ทอยมีพาร์ตเนอร์ที่แตกต่างกัน เช่น บริษัทเพรสเซนท์ เทล ที่ขายมูมิน มีพาร์ตเนอร์เป็นคุณอาชาวญี่ปุ่นที่เขาช่วยดูเรื่องอิมพอร์ตของเพราะคนญี่ปุ่นไม่คุยกับคนไทย เขาจะคุยกับญี่ปุ่นด้วยกันเองเราต้องหาพาร์ตเนอร์ที่ยอมคุยกับเราให้เจอ ส่วน Cody Factory ที่ขายพวก We Bare Bears, The Powerpuff Girls ทอยทำกับแก๊งรุ่นพี่ที่เก่งไฟแนนซ์ จะเป็นวัยรุ่น เป็นสายการ์ตูน เขาดูเรื่องเงินให้ส่วนเราทำโปรดักต์ ส่วนบริษัท CODEC CREATION ที่ขาย Mr. Men & Little Miss กับ LINE FRIENDS เป็นของทอยคนเดียว

ทอย กรชนก

ทอยทำตุ๊กตาคาแร็กเตอร์มาหลายตัวคิดว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้คาแร็กเตอร์ไหนรอดหรือร่วง

สิ่งหนึ่งที่ทอยได้เรียนรู้คืองานคาแร็กเตอร์มันอาจเป็นสิ่งที่เราต้องรอเวลา ช่วงปลายปีที่แล้ว ตอนนั้นเรามีสินค้า Mr. Men & Little Miss ที่เคยทำไว้กองอยู่ที่ออฟฟิศค่อนข้างเยอะ ทอยรู้สึกว่ามันน่ารักมากเลยนะ ลองขายอีกรอบดีไหมก็เลยส่งไปให้คนโน้นคนนี้ใช้ดู เริ่มจากเพื่อนๆ แบบ เฮ้ย ลองถ่ายลงให้หน่อยสิ คนก็เข้ามาถามเยอะขึ้น จนเริ่มขายได้ ทอยคลิกเลยกับคำว่าเราจะมีเวลาเติบโตของตนเอง สิ่งนี้ก็เหมือนกัน เมื่อ 5 ปีที่แล้วคนยังไม่รู้ว่ามันคือตัวอะไร ห้างยังไม่รู้จักเลย แต่ตอนนี้ท็อปส์ ซุปเปอร์มาร์เก็ตซื้อลิขสิทธิ์ Mr. Men & Little Miss ไปตกแต่ง เป็นเวลาของมันแล้วล่ะ

หลายๆ ครั้งทอยเลยคิดว่ากับมูมินเราแค่โชคดี แต่กับคาแร็กเตอร์อื่นๆ เราต้องจ่ายเงินให้มัน ทำมันไป แล้วก็รอให้มันเติบโตแล้วก็เป็นที่รู้จัก เพราะจริงๆ คาแร็กเตอร์แต่ละตัวก็ใช้เวลาเติบโตมา 50-60 ปีถึงจะเป็นที่รู้จักทั่วโลกได้ ทอยอดทนรอเวลามา 5-6 ปีเอง

ทอย กรชนก

อย่างนี้เวลาทำการตลาดคุณพยายามสื่อสารให้คนรู้จักคาแร็กเตอร์นั้นๆ ยังไง

ในช่วงแรกๆ ทอยรู้สึกว่าต้องทำให้เขาเห็นบ่อยๆ ก่อน ถ้าเห็นบ่อยพอเขาจะเริ่มอยากรู้เองว่ามันคือใคร ในขณะเดียวกันเราก็พยายามแนะนำคาแร็กเตอร์ไปในทุกๆ โซเชียลมีเดียที่เราโพสต์ มันชื่ออะไร มีนิสัยแบบไหน เช่น Mr. Tickle ตัวสีส้ม มีแขนยาวๆ ชอบจั๊กจี้เพื่อน เป็นตัวแรกที่นักวาดวาดขึ้นมาเพื่อสอนลูกเรื่องอารมณ์ ทอยจะไม่ซื้อคาแร็กเตอร์ที่ไม่มีเรื่องราวเพราะเราไม่ได้รักในตัวละคร ที่เราชอบโดราเอมอนหรือว่าอะไรต่างๆ เพราะว่าเรารักในตัวละครนั้นๆ สิ่งที่เขาเป็น สิ่งที่เขาทำ มีเรื่องราวที่ตรึงใจ

สมัยก่อนเราโพสต์ขายแบบฮาร์ดเซลล์ ซื้อได้ตามช่องทางนี้ๆๆ แต่ไม่ได้ให้ความรู้เขาเลยว่าตัวนี้เป็นใคร มาจากไหน มีเนื้อเรื่องอะไร แล้วในไทยตอนนี้มีอะไรอัพเดตเกี่ยวกับคาแร็กเตอร์นี้บ้าง แต่ว่าเดี๋ยวนี้ทอยเริ่มเปลี่ยนแล้ว อย่างที่ท็อปส์จัดธีม Mr. Men & Little Miss เราก็ช่วยเขาโปรโมต ทอยไม่ได้ได้อะไรจากท็อปส์เลยนะ แค่รู้สึกว่าบางทีคนที่ติดตามเราเขาก็อยากรู้เหมือนกันว่า Mr. Men ในไทยมันอยู่ตรงไหน พอมันอยู่ในท็อปส์คนก็รู้สึกว่าสิ่งที่เราห้อยอยู่มันปังนะ มันมีในท็อปส์ด้วยนะ​ อยู่ในกระแสนะ อยากไปทำคอนเทนต์ (หัวเราะ)

ทอย กรชนก

แปลว่าการทำงานกับสินค้าคาแร็กเตอร์คือคนต้องรักคาแร็กเตอร์นั้น ต้องอินกับมันก่อน เขาถึงจะอยากซื้อสินค้า

ใช่ เกณฑ์ในการเลือกคาแร็กเตอร์ของทอยยังเป็นสิ่งนั้นเลย คือทอยชอบจากก้นบึ้งของมัน ทอยอ่านหนังสือมูมิน ทอยถึงซื้อลิขสิทธิ์คาแร็กเตอร์มูมิน แฟนคลับสินค้าเราก็เป็นแบบนั้นเหมือนกันหรือเปล่า เราต้องให้เวลาเขาไปศึกษามันก่อน เช่น เขาชอบหน้าตา Miffy นะแต่มันคือตัวอะไร พอเห็นมันมากขึ้น ได้รู้จักมากขึ้นเขาถึงค่อยเป็นบิ๊กแฟน

ตอนที่ทอยทำมูมินทอยไปคิดว่าคนไทยเหมือนคนญี่ปุ่นแต่ว่าจริงๆ พฤติกรรมคนแต่ละประเทศก็ไม่เหมือนกัน อย่างตอนทำมูมินคาเฟ่ทอยได้คุยกับเพื่อนคนญี่ปุ่น เขาเปิดมา 10 กว่าปีแล้วนะคนก็ยังมา แต่สำหรับเรา เปิดได้ 2 ปีคนก็ไม่มากันแล้ว และตอนนี้เราก็ไม่ได้ทำแล้วอาโกวเข้ามาบริหารแทนเพราะเราไม่ถนัด คือความอินกับคาแร็กเตอร์มันไม่เหมือนกัน คนญี่ปุ่นคือทุกเช้าฉันจะตื่นมากินกาแฟมูมินแต่คนไทยจะเปลี่ยนไปกินร้านอื่นๆ เรื่อยๆ ความอินในตัวละคนมันไม่เท่ากัน

ทอย กรชนก

แล้วพฤติกรรมการซื้อตุ๊กตาของคนไทยล่ะเป็นยังไง ต้องทำการตลาดแบบไหน

มันจะมีคนบางกลุ่มที่ชอบสิ่งนั้นจริงๆ เลยซื้อสินค้า และมีคนอีกเยอะเหมือนกันที่เห็นคนนั้นใช้ก็เลยใช้บ้างตามเทรนด์ ตามพี่คนดังคนนั้น อินฟลูเอนเซอร์ถึงสำคัญ 

ทอยเพิ่งมาเปลี่ยนการตลาดส่ง Mr. Men & Little Miss ไปให้อินฟลูฯ สาวๆ วัยรุ่นที่อาจจะไม่ได้รู้จักหรือไม่ได้เติบโตมากับคาแร็กเตอร์ก็ซื้อเพราะเห็นพี่สาวคนสวยคนนั้นใช้ ทอยเลยรู้สึกว่าหรือนี่คือการตลาดที่เราต้องทำกับคนไทยในช่วงแรกๆ ก่อนที่เขาจะไปรู้จักสินค้า รู้จักคาแร็กเตอร์ลึกซึ้งต้องทำให้เขาซื้อก่อนแล้วไปศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเอง

ก่อนจะมีช่องทางออนไลน์แบบทุกวันนี้คุณขายที่ไหนเป็นหลัก

ห้างค่ะ ขายที่เดอะมอลล์ทุกสาขาและคิงพาวเวอร์ มาร์เก็ตติ้งก็ทำน้อยมากเพราะยุคที่ไม่มีออนไลน์มันขายดีมาก ทุกคนเดินห้าง นัดเจอกันที่ห้าง แค่นั้นก็ยุ่งมากแล้ว ก่อนหน้านี้บริษัทเลยไม่เคยบิลด์ช่องทางออนไลน์เลย

ทอย กรชนก

พอมาช่วงโควิด ห้างปิด เราจะขายดีได้ยังไง แต่ด้วยความที่ขายในห้างเราจำเป็นต้องจ่ายค่า GP ให้เขา จะมียอด fixed rate ต่อเดือนที่เราต้องทำให้ได้เพื่อให้ยอดโดยรวมเราไม่ตก ถ้ายอดตกจะโดนกดดันอยู่แบบนั้น และยังมี rebate ตาม % ยอดขายอีก หม่าม้าทอยเครียดหนักมาก ยอดตกทำยังไงดี ทอยรู้สึกว่านี่คือจุดบอดของเรา เราจะต้องหลุดออกมาจากลูปนี้ ต้องยืนด้วยตัวเองให้ได้ เราต้องไม่ยืมจมูกคนอื่นหายใจ

ทอยเลยเริ่มพยายามเน้นออนไลน์ช่วงธันวาฯ ที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ สิ่งที่ตั้งเป้าว่าปีนี้จะทำให้ได้คือพยายามตัดการขายหน้าร้านและเปลี่ยนเป็นออนไลน์ บังคับตัวเองในใจว่าต้องใช้ช่องทางออนไลน์หล่อเลี้ยงบริษัทได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วช่องทางการขายหน้าร้านเป็นแค่ window display ให้ลูกค้าเห็นของจริงว่ามันสวย คุณภาพดี ไปขย้ำ ขยี้มันเต็มที่ แต่เราอยากให้เขามาซื้อกับเราตรงๆ ทอยจะมีโปรโมชั่นออนไลน์ที่ดีกว่าหน้าร้านทุกอย่าง แถมของให้ลูกค้า แจกโค้ดส่วนลด ส่งฟรี เพื่อให้เขามาใช้บริการกับเราโดยตรง 

นอกจากตุ๊กตาลิขสิทธิ์ คุณมีตุ๊กตาแบรนด์ของตัวเองชื่อ Be Mine Bear ด้วย มันเป็นแบรนด์แบบไหน

Be Mine Bear คือแบรนด์ที่ป่าป๊าหม่าม้าทำหลังจาก LUSCINIA นิดนึง เป็นแบรนด์ตุ๊กตาหมีที่เกิดมาเพื่อคุณคนเดียว ตุ๊กตาบางรุ่นของร้านจะเป็นหมีที่ไม่มีหน้าตาเลย ให้ใส่ดวงตา ใส่ปากให้ดูเหมือนคนคนนั้นที่สุด ใส่แว่นได้ แต่งตัวได้ มีทุกอาชีพ แบรนด์นี้เราเน้นขายเสื้อผ้าตุ๊กตาด้วย คนที่มีตุ๊กตาเน่าของตัวเอง ลูกเทพ ตุ๊กตาไอดอลเกาหลีก็เอามาแต่งตัวได้

ทอย กรชนก

การทำสินค้าคาแร็กเตอร์สอนอะไรที่เอามาปรับใช้กับแบรนด์ของตัวเองได้บ้างไหม

ทอยนับถือคาแร็กเตอร์ลิขสิทธิ์พวกนี้มากๆ เพราะกว่าเขากว่าจะสร้างสตอรี เขาต้องลงทุนไปกับสิ่งที่ไม่มีอะไรย้อนกลับมา ลงเงินไปกับการทำแอนิเมชั่นที่ดูได้ฟรีตามยูทูบ ลงเงินทำหนังสือภาพแล้วก็รอเวลาจนกว่าจะขายลิขสิทธิ์ได้ 

หลายๆ ครั้งทอยก็อยากจะสร้างสตอรีอย่างนั้นกับ Be Mine Bear เหมือนกันแต่ว่ามันใช้เงินและใช้คนที่มีประสิทธิภาพเยอะมาก ต้องบิลด์เนื้อเรื่องไม่ใช่แค่ผิวๆ นะ อย่างหนังสือมูมินที่เราอ่านก็มีคำที่ยังตราตรึงในใจเรา พอทอยได้ศึกษาลิขสิทธิ์พวกนี้เยอะๆ ทอยก็รู้สึกว่าทอยไม่อยากจะทำแค่ผิวเผิน แค่หมีตัวนี้ชื่อนี้ โตมาแบบนี้ ทอยคิดว่าถ้าทำแล้วไม่ดีไม่ทำเลยดีกว่า ไปเน้นการขายเสื้อผ้าให้คนเอาตุ๊กตาที่รักมาแต่งตัว สร้างคาแร็กเตอร์ของเขาเอง แล้วเราก็ไปโฟกัสสินค้าลิขสิทธิ์ไปก่อน

มากกว่าตุ๊กตาเราจะเห็นทอยเริ่มทำสินค้าที่ใช้กับตุ๊กตา เช่น สายห้อยจากยางยี่ห้อ CODEC Creation ทำไมคิดจะทำสินค้ากลุ่มนี้เพิ่ม

ทอยใช้สินค้าของตัวเองทุกวันแล้วก็เห็นจุดบอดของมัน เช่น พวงกุญแจปลิวหายเพราะใช้สายห้อยแบบไข่ปลา มีอยู่วันนึงทอยเอายางรัดขนมรัดถุงที่กินไม่หมดแล้วใส่ไว้ในกระเป๋า วันนั้นไข่ปลาตุ๊กตามันหลุดหายไปไหนไม่รู้ทอยก็เลยเอายางอันนั้นมาห้อยก่อน พอห้อยไปห้อยมาก็รู้สึกว่ามันน่ารักนะ ไม่หลุดด้วย แล้วก็ปรับระดับได้อีก นั่นเลยเป็นแรงบันดาลใจของทอย

มันทำให้ทอยอยากทำโปรดักต์อื่นๆ ที่ไม่ใช่แค่ผ้าแล้ว อยากทำสินค้าลิขสิทธิ์เหมือนเดิมแต่ว่าเปลี่ยนวัสดุ เช่น เป็นแคนวาสยางหรือว่าอะคริลิกอะไรแบบนี้ สปอยล์ว่าต้องรอดูตอนปลายปีทีเดียวว่าจะเป็นอะไร

ทอยบอกว่าคาแร็กเตอร์แต่ละตัวมีช่วงเวลาของมัน เคยคิดถึงตอนขาลงไหมว่าถ้าคาแร็กเตอร์นั้นไม่ฮิตแล้วตุ๊กตาคาแร็กเตอร์ของเราจะยังอยู่ได้ไหม

ทอยคิดถึงเรื่องนี้บ่อยมาก แยกเป็นสองเรื่องแล้วกัน อย่างแรก ตุ๊กตา หลายคนจะบอกว่ามันไม่ใช่ยุคของตุ๊กตาแล้ว ห้างก็บอก แต่ทอยรู้สึกว่ามันมีคนเกิดทุกวัน มีคนรักกัน เลิกกันทุกวัน มีคนเรียนจบตลอด ตุ๊กตาไม่มีทางหายไปจากไอเดียการให้ของขวัญแน่ๆ

เวลาคนภายนอกมองเข้ามาจะคิดว่าเราขายตุ๊กตาให้เด็กใช่ไหมแต่ว่าทอยและบริษัทที่ทำตุ๊กตาทั่วโลกจะบอกว่าเราไม่ได้ขายเด็ก! เราขายทุกคน คนที่จ่ายเงินให้ทอยเป็นเด็กตั้งแต่อายุ 13 เฟิสต์จ็อบเบอร์ ไปจนถึงอายุ 40 ปีเลย มีช่วงนึงห้างต่างๆ ปฏิเสธเราหมด แต่เดี๋ยวนี้โซนไลฟ์สไตล์ก็มีตุ๊กตากันหมดแล้วเพราะว่ามันทำยอดได้จริงๆ เด็กวัยรุ่นก็ซื้อพวงกุญแจกันอยู่นะ

ทอย กรชนก

แต่ว่าทางตันของตุ๊กตาลิขสิทธิ์น่ะทอยคิดว่ามี มันมีพีเรียดของมัน คนมักจะเบื่อในช่วงเวลา 3 ปี 6 ปี หรือถ้ายิ่งในฮ่องกง สิงค์โปร์อัตราการเบื่อของคนยิ่งเร็วกว่านั้นอีก แต่ถามว่ารับมือยังไงทอยไม่ได้เตรียมตัวขนาดนั้นเพราะสำหรับคาแร็กเตอร์เขามีดีไซเนอร์ที่จะทำให้มันไม่ตาย LINE FRIENDS ออกแบบ ทำ style guide ใหม่ๆ ตลอดเวลา  บอกเราตลอดว่าทีมดีไซน์ตัวนี้เสร็จแล้วนะยูเข้าไปดูได้เลย ปีหน้าปีกระต่ายนะยูทำสิ่งนี้ไหม เราจะมี global marketing campaign แบบนี้มันจะเสริมยูนะ การทำธุรกิจกับคาแร็กเตอร์เลยเหมือนเจอพาร์ตเนอร์ที่ช่วยเราเพราะเขาก็อยากให้ธุรกิจของเขาไปรอดเหมือนกัน

อาณาจักรตุ๊กตาของทอยขยายใหญ่ขึ้นจากวันที่คุณแม่เริ่มทำธุรกิจนี้มาก ตอนนี้ความฝันของทอยคืออะไร

ความฝันของทอยคือทอยอยากเป็น Kiddy Land ตรงโอโมเตะซันโดในโตเกียว นึกออกไหม เดินเข้าไปแล้วแบบ คา-แร็ก-เตอร์ (เน้นเสียง) ทอยอยากเป็นแบบนั้น อยากมีลิขสิทธิ์เยอะที่สุดในประเทศไทย ตอนนี้ก็เลยมีลิขสิทธิ์ในมือค่อนข้างเยอะและพยายามทำงานให้ดี เอาคาแร็กเตอร์ที่เขาตั้งใจสร้างกันมามาทำให้สวยๆ เพราะทอยเชื่อว่าตุ๊กตาที่ทอยทำไม่แพ้คนไหนในโลกจริงๆ

ทอย กรชนก

103 ปีของเอ็กเต็งผู่กี่ สภากาแฟของคนรุ่นเก๋า สู่คาเฟ่กาแฟโบราณสุดฮิปคู่เยาวราช

เอ็กเต็งผู่กี่ 益生甫記 เป็นภาษาจีนไหหลำ แปลว่า ผลผลิตที่มีคุณภาพ

คนไหหลำอ่านตัวอักษรจีนนี้ว่าเอ็กเต็ง แต่คนแต้จิ๋วอ่านว่าเอี๊ยะแซ เป็นที่มาของชื่อร้านกาแฟโบราณ 2 ร้านบนถนนพาดสายเยาวราชที่เป็นญาติกัน  

ย้อนกลับไป 103 ปีที่แล้ว บรรพบุรุษเริ่มเปิดร้านแรกคือ เอ็กเต็งผู่กี่ใน พ.ศ. 2462 ตั้งแต่ยุคที่ผู้คนดื่มกาแฟตั้งแต่ตี 3 ยัน 4 ทุ่ม คุยโขมงโฉงเฉงเรื่องบ้านเมืองและสนทนาอย่างออกรสในสภากาแฟ

ในยุคที่ไม่มีโซเชียลมีเดีย เหล่าอากง อาม่าเช็กอิน @Ek Teng Phu Ki ใช้สภากาแฟแห่งนี้เป็นที่ Add New Friend กางหนังสือพิมพ์แทนไถ Feed จิบกาแฟโบราณหอมเข้มข้นกลมกล่อมด้วยเนยและน้ำตาลระหว่างรอพบปะเพื่อนใหม่แก้เหงา

คอลัมน์หนึ่งร้อยปีแห่งความเด็ดเดี่ยวในวันนี้ไม่ได้มารีวิวคาเฟ่ แต่ชวนคุยกับสมาชิกในครอบครัวถึงเรื่องราวการเปลี่ยนผ่านของธุรกิจ ตั้งแต่ยุคของทายาทรุ่น 2 ที่ชงกาแฟให้ลูกค้าวัยเก๋าสู่ยุคแห่งการดื่มด่ำบรรยากาศร้านกาแฟสไตล์คาเฟ่ฮอปปิ้ง ในมือของทายาทรุ่น 4 ที่ลงมือปรับเปลี่ยนกิจการ 1 ห้องแถวตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษาในวัย 20 ต้น

เรื่องราวของสายสัมพันธ์ระหว่างคนต่างเจเนอเรชั่นและวัฒนธรรมการดื่มกาแฟที่เปลี่ยนไปโดยมีถ้วยกาแฟแก้วเล็กเป็นสักขีพยาน

Family Manual

กงเต่า (ปู่ทวด) ฮ่งเต็ง แซ่อุ่ย พื้นเพดั้งเดิมเป็นชาวจีนไหหลำย้ายมาจากเกาะไหหลำกับ เหน่เต่า (ย่าทวด) กิมวา แซ่ด่าน มาถึงแล้วไม่ได้เปิดร้านกาแฟทันทีแต่ไปเรียนทำสังขยาด้วยตัวเองที่เกาะสมุย จุดเด่นคือใส่ไข่กับกะทิ ไม่ใส่แป้งและวัตถุกันเสีย เกิดเป็นเมนูขนมปังสังขยาสูตรโบราณที่คงสูตรดั้งเดิมถึงทุกวันนี้

ก่อนเปิดร้าน กงเต่าจะคั่วกาแฟเองหน้าบ้านตั้งแต่เที่ยงคืนถึงตีหนึ่ง คั่วเสร็จแล้วใส่เนย น้ำตาล ออกมาเป็นกาแฟโบราณที่หอมกลิ่นเตาถ่าน สืบทอดกรรมวิธีจากรุ่นสู่รุ่นเป็นกาแฟสูตรเฉพาะของเอ็กเต็งผู่กี่

เมนูเด่นของร้านตั้งแต่ยุคแรกคือ กาแฟร้อน โอเลี้ยง ชานมซีลอน ไข่ลวก ขนมปังสังขยา ในยุคแรกชื่อเมนูเรียบง่าย มีตัวเลือกว่าใส่นมหรือไม่ อยากดื่มแบบเย็นหรือร้อน เช่น กาแฟดำร้อน กาแฟร้อนใส่นม ชาร้อนใส่นม กาแฟใส่นมเย็น เป็นต้น ราคาตั้งแต่ถ้วยละ 75 สตางค์ถึง 1 บาท 25 สตางค์ในยุคก่อน ผ่านมาร้อยกว่าปีราคาก็ยังย่อมเยาเฉลี่ยถ้วยละ 40-50 บาท 

ชื่อกาแฟโบราณที่คุ้นหูกันในปัจจุบันมาจากภาษาจีนแต้จิ๋ว

โอเลี้ยง มาจาก โอว (ดำ) + เลี้ยง (เย็น) = กาแฟดำเย็น
โอยัวะ มาจาก โอว (ดำ) + ยัวะ (ร้อน) = กาแฟดำร้อน
หน่อเต่า คือ กาแฟ + ชา 

เอ็กเต็งผู่กี่ยังคงเสน่ห์ดั้งเดิมไว้ด้วยชื่อตัวอักษรจีนในเมนูเครื่องดื่มพร้อมของทานเล่นดั้งเดิมอื่นๆ ที่หาทานยากในปัจจุบันอย่าง แยมเย็น คือแยมส้มผสมน้ำเชื่อม

สมาชิกครอบครัวยังคงเก็บรายละเอียดมาจากทวดคือ ทุกครั้งที่สั่งกาแฟจะมีธรรมเนียมเสิร์ฟน้ำชามาให้ด้วยพร้อมกัน เป็นหางชาที่มาจากการทำน้ำชาไว้เยอะ ทำให้หอม

ทายาทแต่ละรุ่นคั่วกาแฟเอง ชงเอง คุยกับลูกค้าเอง ทำงานทั้งวันตั้งแต่เปิดถึงปิดร้าน มาตลอดกว่าร้อยปี ทุกคนในครอบครัวช่วยกันทำ ลงมือเรียนเอง ทำเองเป็นหมดทุกอย่างในร้าน

วันนี้นอกจากรู้จักเมนูกาแฟโบราณกันไปแล้ว ขอแนะนำให้รู้จักตัวแทนสมาชิกในครอบครัวที่สืบทอด family menu จากรุ่นสู่รุ่น

รุ่นที่สองคือ อาม่า หลั่น–สุพัตรา สิงคิลวิทย์ ผู้ทำสังขยาและติ่มซำด้วยตัวเอง

รุ่นที่สามคือ คุณพ่อ เบิ้ล–พีรพงศ์ สิงคิลวิทย์ และ คุณป้า บุ๋ม–ศรันยา สิงคิลวิทย์

ปัจจุบันทายาทรุ่น 4 คือ สี่พี่น้องวัยเรียนและเริ่มต้นทำงาน เบนซ์ บอส แบงค์ เบสท์ ที่รวมตัวกันออกไอเดียพัฒนากิจการในเทศกาลสำคัญ มีกำลังหลักเป็นบอส–ธนโชติ สิงคิลวิทย์ ที่เป็นนักศึกษาสาขาบริหาร มีหัวด้านค้าขาย และเบนซ์–ธนวัฒน์ สิงคิลวิทย์ พี่ชายผู้เรียนออกแบบมา

Rush Hour at Coffeehouse Forum

ในขณะที่คนรุ่นใหม่หลายคนมีความฝันอยากลาออกจากงานประจำที่ทำงาน 9-5 มาเปิดร้านกาแฟ ใช้ชีวิตอิสระแบบสโลว์ไลฟ์

รู้ไหมว่าร้านกาแฟเอ็กเต็งผู่กี่ในยุคของกงเต่านั้นเปิดร้านตั้งแต่ตี 3 ปิด 4-5 ทุ่ม ทำงานทุกวันไม่มีวันหยุดมาเป็นระยะเวลาร้อยกว่าปี คุณพ่อเบิ้ลบอกว่า “ตั้งแต่ผมเกิดมา ร้านไม่เคยปิดเลย ปิดแค่ครึ่งวันตอนที่อากงเสีย”

ตี 3-4 ในยุคก่อนเป็นเวลาที่ผู้คนนิยมมาเดินตลาดในตอนเช้าแล้วมักแวะซื้อกาแฟ
บ้างซื้อกาแฟกระป๋องถือกลับบ้าน บ้างแวะนั่งคุยที่ร้านเป็นสภากาแฟ คนนั่งแออัดเต็มร้านล้นออกมาข้างนอก ที่ไม่พอจนต้องเอาเก้าอี้มาวาง นั่งเต็มถนนนอกร้าน

คุณป้าบุ๋มรำลึกความหลังของสภากาแฟที่จำได้ไว้ว่า

“ร้านกาแฟเป็นที่หาคน หางาน หลายคนเป็นช่าง ช่างทำโต๊ะ ช่างประปา ช่างสี ช่างไฟ สารพัดช่าง จับกัง เจ้าของกิจการมานั่งคุยกัน บางคนก็นั่งดูพระเครื่อง คุยเรื่องการเมือง ครอบครัว คุยสัพเพเหระจนเป็นเพื่อนกันไปเลย”

ด้วยราคาที่ไม่สูงทำให้ลูกค้ามีคนหลากหลายแบบมาจากหลายที่ ไม่ใช่แค่คนในละแวกเยาวราช

ร้านครึกครื้นเป็นพิเศษตอนเช้าตรู่ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น กลางวันหลายคนแยกย้ายไปทำงาน มีคนบ้างประปรายที่มานั่งทานกาแฟเรื่อยๆ ตลอดวัน และกลับมาแน่นขนัดอีกครั้งตอนเย็นถึงค่ำหลังเลิกงาน จิบกาแฟกันถึง 4-5 ทุ่ม

Bitter Sweet Generation Gap

เมื่อถามถึงเรื่องความแตกต่างระหว่างเจเนอเรชั่นในร้านกาแฟ

เบนซ์ พี่ชายคนโตที่เป็นเจนฯ Y รู้สึกว่าเรื่องเล็กๆ อย่างความหวานที่คนแต่ละยุคชอบก็แตกต่างกันแล้ว “คนสูงวัยติดหวาน พอถึงรุ่น 4 เราเลยปรับรสชาติให้เครื่องดื่มต่างๆ หวานน้อยลง” แต่ทั้งนี้ก็เข้าใจลูกค้ารุ่นก่อนที่กินหวานมากมาตลอด สำหรับเขา “การทำงานกับที่บ้านต้องใช้ความอะลุ่มอล่วย” รวมถึงเรื่องรสชาติด้วย

วิธีแก้ปัญหาแสนง่ายคือ สำหรับคนเก่าแก่ที่เป็นลูกค้าขาประจำตั้งแต่ครั้งสภากาแฟ ที่ร้านจะจำหน้ากันได้ เวลามาร้านคุณป้าจะชงสูตรหวานมากแบบเดิมให้ถูกคอโดยเฉพาะเป็นรายบุคคลไป  

ในขณะที่บอสบอกว่า “โตมาเห็นอาม่ามีความสุขกับการขายกาแฟ แต่เห็นการเปลี่ยนแปลง คนรุ่นอากงที่เป็นลูกค้าประจำล้มหายตายจากทำให้ยอดขายตกลง”

บอสลงเรียนคอร์สเกี่ยวกับกาแฟด้วยตัวเองเพื่อศึกษาหาทางพัฒนาทั้งรสชาติกาแฟและการบริหารร้านหลังบ้าน

เขาพบว่าสมัยก่อนคั่วกาแฟครั้งละ 300 กิโลกรัม เก็บไว้นาน 2-3 เดือน ในยุคสภากาแฟที่ขายดีมากนั้นกาแฟที่คั่วแล้วหมดเกลี้ยงภายในเวลาไม่นาน แต่ในยุคนี้ที่ไลฟ์สไตล์ลูกค้าแตกต่างไปจากแต่ก่อน เขาเปลี่ยนกระบวนการให้คั่วน้อยลงในแต่ละครั้งเพราะพบว่าการคั่วสดใหม่จะทำให้กาแฟกลิ่นหอมกว่าและยังบริหารสต็อกได้ดีกว่าด้วย

“คนรุ่นใหม่นิยมทานกาแฟสดมากขึ้น ทานกาแฟโบราณน้อยลง”   

เมื่อพบแบบนี้ บอสจึงหันมาเรียนการคั่วกาแฟสดด้วยเพื่อเป็นตัวเลือกเพิ่มเติมให้เหมาะกับความนิยมตามยุคสมัย

กาแฟโบราณ คือเมนูอย่างโอเลี้ยง โอยัวะ  

ส่วนกาแฟสด คือชื่อที่คุ้นหูอย่างลาเต้ คาปูชิโน เอสเปรสโซ  

การคั่วกาแฟทั้งสองแบบนั้นมีขั้นตอนไม่เหมือนกัน บอสศึกษาหาที่เรียนเองเหมือนเมื่อครั้งกงเต่าเรียนคั่วกาแฟโบราณด้วยตัวเอง เขาทดลองวิธีทำกาแฟที่หลากหลายอย่างกาแฟดริปและสั่งเครื่องคั่วกาแฟรุ่นใหม่มาจากจีน ไม่หยุดพัฒนาการทำกาแฟแบบใหม่แม้ขึ้นชื่อว่าเป็นร้านกาแฟโบราณ 

“มีลูกค้าฝรั่งมาร้านด้วย”

บอสบอกเหตุผลที่เพิ่มเมนูจากแค่ไข่ลวกที่เป็นอาหารเช้าสุดคลาสสิกของคนยุคก่อนให้มีเมนูยอดฮิตหลากหลายของคนยุคนี้เข้าไปด้วยทั้งไข่กระทะและชุดอาหารเช้าที่ประกอบด้วยไข่ดาว ไส้กรอก แฮม เพิ่มครัวซองต์และเบเกอรีสมัยใหม่เป็นของทานเล่น แต่ก็ไม่ทิ้งอาหารจีนทานง่ายอย่างติ่มซำที่อาม่าทำเอง ซาลาเปา ชิวท้อ หมั่นโถว เต้าฮวย  

ปฏิเสธไม่ได้ว่าสำหรับหลายบ้าน ความแตกต่างระหว่างเจเนอเรชั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความขมทั้งในการสานต่อกิจการและความสัมพันธ์ เอ็กเต็งผู่กี่เป็นตัวอย่างที่ทำให้เห็นว่าสามารถทำให้ความชอบของคนต่างยุคสมัยเป็นเรื่องหวานๆ ได้ เก็บเอกลักษณ์ดั้งเดิมของคนรุ่นก่อนไว้และเพิ่มความคลาสสิกของคนรุ่นใหม่เข้าไปให้คนทุกวัยเลือกดื่มรสชาติคลาสสิกที่ตัวเองชื่นชอบได้

Ripples of Change

วิกฤตหลักของร้านกาแฟโบราณคือโลกเปลี่ยนเพราะอยู่มาเป็นร้อยปี 

คุณพ่อเบิ้ลสังเกตว่า “ลูกค้าเก่าแก่สมัยสภากาแฟเป็นผู้ชาย 90 เปอร์เซ็นต์ นิยมดูดบุหรี่ ทำให้คนรุ่นใหม่ที่เดินผ่านมาผ่านเลยไปเพราะไม่กล้าเข้า”

เมื่อลูกค้าเก่าค่อยๆ หายหน้าหายตาไปตามอายุโดยที่ร้านก็ยังเข้าไม่ถึงคนรุ่นใหม่ ประกอบกับช่วงโรคระบาดโควิด-19 เป็นปัจจัยกระตุ้นให้คนมาที่ร้านน้อยลง บอสและเบนซ์เลยรู้สึกว่า “ถึงจุดที่ควรทำอะไรกับร้านให้ก้าวต่อไปไม่งั้นจะหายไปตามยุค”

ไอเดียของทายาทรุ่น 4 คือการรีโนเวตร้านให้คนรุ่นใหม่เข้าถึงได้มากขึ้น บรรยากาศร้านน่าเดินเข้าไปทักทาย สะอาดสะอ้านมากขึ้น บอสบอกว่าตอนแรกอาม่ายังไม่อยากให้เปลี่ยนแปลงร้านเพราะอยู่กับลูกค้าเก่ามานาน แต่เขาใช้วิธีดื้อแบบไม่หัวชนฝา คือดื้อในสิ่งที่จะทำแต่ลงทุนทำเล็กๆ อย่างอื่นก่อนเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่ามีความเป็นไปได้ที่ทำแล้วสำเร็จ

เริ่มจากการขายเดลิเวอรี สี่พี่น้องช่วยกันซื้อขวดแก้วทรงแบน ออกแบบป้ายขวดตัวอักษรจีนให้มีความคลาสสิก นับเป็นเจ้าแรกๆ ที่เริ่มปรับตัวมาขายเครื่องดื่มออนไลน์ตามแพลตฟอร์มต่างๆ ในช่วงโควิด

จากร้านที่ไม่เคยทำออนไลน์เลย พออาม่าเห็นว่าทำแล้วขายดีมากจนเป็นกระแสเลยเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เริ่มต้นรีโนเวตร้าน โดยถือโอกาสใช้ระยะเวลา 3 เดือนในช่วงโควิด-19 ที่หน้าร้านขายไม่ค่อยดี เปลี่ยนมาตั้งรถเข็นขายกาแฟหน้าร้านและเน้นขายออนไลน์แทนระหว่างปรับปรุงร้าน

เบนซ์ที่เรียนออกแบบมาเป็นคนออกไอเดียหลักในการรีโนเวต

เอ็กเต็งผู่กี่โฉมใหม่เปลี่ยนจากชั้นล่างที่มีผนังสีชมพู โต๊ะทานข้าวธรรมดาเป็นคาเฟ่บรรยากาศโรงเตี๊ยมเก่าที่มีกลิ่นอายจีนโมเดิร์น

ของตกแต่งแทบทุกอย่างสั่งมาจากจีนทั้งกระเบื้องดินเผาสีเขียว วอลเปเปอร์เมืองจีนยุคก่อน โทรศัพท์วินเทจ แมวกวัก โคมไฟจีน ซุ้มประตูไม้ลายจีน โต๊ะไม้แกะสลักวางเรียงรายเป็นแถวให้คนนั่งจิบกาแฟพูดคุยกันได้คล้ายสมัยก่อน

Midnight Coffee

สำหรับชั้น 2 ของร้านที่แต่ก่อนใช้เก็บสต็อกกาแฟได้ถูกปรับเปลี่ยนเป็นบาร์ค็อกเทลสไตล์ฮ่องกงติดแอร์ที่บรรยากาศแตกต่างจากชั้นล่าง ปัจจุบันยังไม่ได้เปิดเป็นบาร์กลางคืนเต็มตัว แต่ตั้งใจเสิร์ฟเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตั้งแต่หนึ่งทุ่มไปจนถึงเที่ยงคืนในอนาคต

คุณพ่อเบิ้ลทายาทรุ่น 2 ที่อยู่เยาวราชมานานมองเห็นโอกาสและความเปลี่ยนแปลงของธุรกิจสร้างสรรค์ในย่าน “อยากดึงคนที่เดินเล่นเส้นเยาวราชด้านนอกเข้ามาด้านในมากขึ้น เส้นพาดสายที่ร้านตั้งอยู่เป็นถนนที่เงียบหน่อย คนไม่ค่อยเดินเข้ามา แต่พักหลังเริ่มมีร้านรอบๆ มาเปิดมากขึ้น” 

ในสายตาคนรุ่นใหม่ บอสบอกว่า “เยาวราชเป็นย่านที่ไม่เคยหลับใหล กลางคืนมีสตรีทฟู้ด เที่ยงคืนค้าส่ง ทำให้ไม่อยากเสียเวลาช่วงกลางคืนไป” โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นผลงานของปู่ทวดที่เปิดร้านถึงดึกดื่นมาเนิ่นนาน

บอสและเบนซ์ลงมือศึกษาว่าในเยาวราชมีบาร์และร้านนั่งชิลล์กี่แห่ง ก็พบว่ายังมีบาร์ไม่มาก เมื่อเป็นคนรุ่นใหม่จึงเข้าใจไลฟ์สไตล์ที่คนรุ่นเดียวกันมองหา เบนซ์มองว่า “คนรุ่นผมทำงานจบแล้วก็อยากหาที่แฮงเอาต์ช่วงเย็น เลยคิดว่าตรงนี้น่าจะเป็นไปได้”

ทั้งคู่จับกระแสเทรนด์ที่เหมาะกับเอ็กเต็งผู่กี่มาประยุกต์ใช้​

ทั้งเทรนด์บาร์จีนย้อนยุค มู้ดหว่อง การ์-ไว ที่เหมาะกับย่านเยาวราชและเทรนด์กาแฟผสมน้ำผลไม้ที่กำลังได้รับความนิยม ออกมาเป็นบาร์จีนวินเทจที่เตรียมขายค็อกเทลสูตรเฉพาะ คือค็อกเทลผสมกาแฟโบราณและชาที่ทั้งคู่คิดค้นสูตรขึ้นมาเอง

Nostalgia Hopping

หลังรีโนเวตร้าน บอสและเบนซ์เชิญเหล่าอินฟลูเอนเซอร์เจ้าเล็กถึงกลาง ทั้งเพจรีวิวคาเฟ่และท่องเที่ยวต่างๆ มาเยี่ยมร้าน ตั้งใจเปิดตัวด้วยคอนเทนต์เที่ยวร้านกาแฟโบราณสไตล์จีนในช่วงเทศกาลตรุษจีน  

ด้วยบรรยากาศร้านที่ตกแต่งใหม่โดยตั้งใจให้มีมุมสำหรับถ่ายรูปตั้งแต่ต้น ประกอบกับตั้งอยู่ในย่านที่ผู้คนตั้งใจหาของกินอร่อย ทำให้ร้านเริ่มเป็นกระแสจนมีเพจรีวิวคาเฟ่เจ้าใหญ่และดาราตามมารีวิวที่ร้านเองอย่างล้นหลาม 

เบนซ์บอกว่ากลยุทธ์ในการเลือกอินฟลูเอนเซอร์ให้จุดกระแสติดในช่วงแรกนั้นไม่ยาก แค่สังเกตกลุ่มลูกค้าที่มาเยาวราชอยู่แล้วซึ่งมีหลากหลาย ทั้งกลุ่มขี่จักรยานท่องเที่ยว ครอบครัวที่พากันมากิน ฯลฯ แล้วเลือกธีมคอนเทนต์ที่มีจุดเด่นแตกต่างจากร้านกาแฟเจ้าอื่นให้เหมาะกับร้าน

วันคืนเปลี่ยนไป เอ็กเต็งผู่กี่ปรับตัวอยู่ในโลกโซเชียลของคนรุ่นใหม่ กลมกลืนกับกระแสคาเฟ่ฮอปปิ้ง ผู้คนใส่ชุดกี่เพ้ามาถ่ายรูป เช็กอิน นั่งชิลล์

หลากรีวิวจากบล็อกเกอร์ทำให้คนตามมาฟอลโลว์ กดไลก์

“ข้าวของตกแต่งเป็นแบบย้อนยุค เหมือนนั่งในหนัง-ละครจีนสักเรื่อง”

“วินเทจแต่ยังคงความคลาสสิกอยู่เหมือนสมัยก่อน ”

“ร้านใหม่กลิ่นอายเดิม แต่ราคายังคงถูกเหมือนเดิม”

เบนซ์มองว่า “ร้านกาแฟสมัยนี้ไม่ได้ต่างจากสภากาแฟสมัยก่อนมาก เพียงแค่แต่ก่อนเป็นจุดศูนย์รวมที่คนหลากหลายได้พบปะกันอย่างกว้างขวาง เดี๋ยวนี้เป็นที่พบปะนัดคุยกับเพื่อนเรา ซึมซับบรรยากาศเก่าๆ”

สภากาแฟแปรเปลี่ยนจากที่สาธารณะเป็นที่ส่วนตัว โลกโซเชียลย้ายมาอยู่ในอินเทอร์เน็ต ถกเถียงสารพัดเรื่องราวในฟีด อัพรูปในวันว่างยามผ่อนคลาย

เอ็กเต็งผู่กี่ไม่ได้มีกลยุทธ์ลับใดที่ทำให้ไวรัล แค่สานต่อบทสนทนาและสายสัมพันธ์ในร้านกาแฟ สร้างสตอรีให้คนอยากเช็กอินตั้งแต่เช้าถึงค่ำดังเดิมได้แม้วันเวลาเปลี่ยนแปลงไป

Day 1 ของ Onion ร้านมัลติแบรนด์ที่อยู่รอดด้วยการลดความสำคัญของโซเชียลมีเดีย

Onion

Onion Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Onion

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

ชวน Mo. มาเลือกหยิบ 9 สิ่งที่เป็นที่สุดมาใส่ตระกร้า

Mo

Mo add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

SEO Keyword

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

Heinz ซอสมะเขือเทศที่อยากเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์โดยการใช้แคมเปญสุดครีเอทีฟ

Heinz

Heinz Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

สรุปวิกฤตเศรษฐกิจลาวตอนนี้ ที่ทำให้คนลาวต้องต่อคิวรอเติมน้ำมันเป็นชั่วโมง

ภาพของชาวลาวที่ไปรอต่อคิวเพื่อเติมน้ำมันกันเป็นชั่วโมงจนหางแถวยาวออกมานอกปั๊ม เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สะท้อนถึงวิกฤตเศรษฐกิจที่ลาวกำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้

สาเหตุของปรากฏการณ์ดังกล่าวที่ชาวลาวต่อคิวกันยาวเหยียดจนล้นปั๊มน้ำมันเป็นเพราะปกติแล้วในแต่ละเดือนประเทศลาวมีความต้องการใช้น้ำมันประมาณ 120 ล้านลิตร แต่สถานการณ์ปัจจุบันกลับสามารถนำเข้าน้ำมันได้เพียง 20 ล้านลิตรเท่านั้น เมื่อดีมานด์มีมากกว่าซัพพลายถึง 100 ล้านลิตร ชาวเมืองจึงแห่กันออกไปต่อคิวล้นปั๊มอย่างที่เราเห็นกันในภาพข่าว

และไม่ใช่เพียงแค่น้ำมัน แต่ลาวยังเจอกับปัญหาสินค้าขาดตลาดอีกหลายชนิดมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เครื่องดื่ม ปศุสัตว์ หรือชิ้นส่วนรถยนต์ เป็นต้น

คำถามสำคัญคือ แล้วลาวเดินทางมาถึงจุดวิกฤตนี้ได้ยังไง

บทวิเคราะห์จากศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ Economic Intelligence Center ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ EIC ตอบคำถามเหล่านี้เอาไว้ได้อย่างน่าสนใจ โดย EIC บอกว่าวิกฤตในครั้งนี้มีต้นตอมาจากทั้งปัญหาเศรษฐกิจในระดับโลก และปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจที่ไม่แข็งแรงภายในประเทศลาวเอง

เริ่มที่สาเหตุจากปัญหาเศรษฐกิจระดับโลกว่าส่งผลกระทบต่อวิกฤตเศรษฐกิจลาวยังไงบ้าง เรื่องแรกคือสงครามรัสเซีย-ยูเครน เนื่องจากรัสเซียเป็นผู้ส่งออกน้ำมันใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก ส่วนลาวเองก็เป็นประเทศที่นำเข้าน้ำมัน 100% เมื่อเกิดสงครามลาวจึงได้รับผลกระทบอย่างเลี่ยงไม่ได้ ส่วนเรื่องที่สองก็คือการที่เงินเฟ้อทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้นจึงทำให้ Fed หรือธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าสุดในรอบ 20 ปี และนั่นก็ทำให้เงินกีบของลาวอ่อนค่าลงไปอีก เมื่อเงินกีบอ่อนค่าก็ยิ่งจะทำให้ความเสี่ยงในการชำระหนี้ต่างประเทศมีมากขึ้นตามไปด้วย โดยจากวันที่ 1 กันยายน 2021 จนมาถึงวันที่ 8 สิงหาคม 2022 เงินกีบนั้นอ่อนค่าลงถึง 44% เมื่อเทียบกับเงินบาท

ส่วนสาเหตุที่มาจากโครงสร้างเศรษฐกิจของลาวเอง ก็คือลาวมีระดับหนี้สาธารณะที่สูงขึ้นเรื่อยๆ โดยในปี 2020 หนี้สาธารณะของลาวเป็นหนี้ต่างประเทศมากถึง 93.2% ซึ่งมีจีนเป็นเจ้าหนี้หลัก

อ่านถึงตรงนี้หลายคนอาจสงสัยว่าลาวกู้หนี้จากต่างประเทศมาทำอะไร คำตอบก็คือเอามาทำโครงการที่เรียกว่า ‘Battery Of Southeast Asia’ ที่ลาวตั้งใจอยากจะเป็นแหล่งพลังงานไฟฟ้าของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

และกับอีกโครงการที่ต้องใช้เม็ดเงินมหาศาลในการสร้างมันขึ้นมาคือ ‘land-linked country’ หรือการเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ในเซาท์อีสต์เอเชีย ซึ่งการจะเป็นศูนย์กลางอย่างที่วาดฝันเอาไว้ได้จำเป็นจะต้องลงทุนทำโครงสร้างพื้นฐานมากมายไม่ว่าจะเป็นเขื่อนและโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ (ปี 2018 เกิดเหตุการณ์เขื่อนแตก ทำให้ต้องหยุดสร้างเขื่อนชั่วคราว) รวมถึงระบบส่งไฟฟ้า และทางรถไฟความเร็วสูงจีน-ลาว โดย AidData ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยด้านเงินทุนเพื่อการพัฒนาบอกว่า รถไฟความเร็วสูงจีน-ลาวทำให้ลาวมีภาระหนี้สาธารณะมากถึง 1.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

จากปัจจัยที่เล่ามานี้ทำให้สองบริษัท credit rating หรือบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถืออย่าง Moody’s จัดให้ลาวเป็นประเทศที่อยู่ในระดับ Caa3 ส่วนอีกบริษัทคือ Fitch Ratings จัดให้ลาวอยู่ในระดับ CCC ซึ่งอันดับทั้งสองมีความหมายว่าลาวมีความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ที่สูง

เมื่อมีความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ที่สูง ก็ทำให้ความสนใจในการเข้ามาลงทุนในลาวของนักลงทุนต่างชาติลดลงไปด้วย และก็ส่งผลกระทบแบบโดมิโน่ทำให้ช่องทางในการระดมทุนเพื่อเอามาชำระหนี้เก่าของลาวมีจำกัดลงและมีต้นทุนที่สูงมาก

สถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในลาวตอนนี้ ทำให้หลายคนเกิดคำถามขึ้นมาในใจว่าแล้วลาวจะเป็นเหมือนกับศรีลังกาหรือไม่ ซึ่งในประเด็นนี้ EIC มองว่าวิกฤตในลาวนั้นยังไม่รุนแรงเท่ากับศรีลังกา เนื่องจากเจ้าหนี้ส่วนใหญ่ของลาวนั้นคือจีน จึงมีโอกาสในการพูดคุยเจรจาเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ได้มากกว่าศรีลังกาซึ่งมีเจ้าหนี้หลากหลาย และหากจีนไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยลาวในครั้งนี้ก็จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของจีนต่อประเทศอื่นในอาเซียนที่ต้องการกู้ยืมจากจีนเพื่อเอาเงินมาพัฒนาประเทศของตัวเอง และจีนเองก็มีโครงการรถไฟความเร็วสูงที่กำลังทำกับลาวอยู่ด้วย

ส่วนทางออกของวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้นกับลาวในครั้งนี้ อย่างแรกคือการปรับโครงสร้างหนี้โดยเฉพาะกับจีนที่เป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ด้วยวิธีการผ่อนผันและขยายเวลาในการชำระหนี้ อย่างที่สองการระดมทุนจากต่างชาติซึ่งไทยยังเป็นอีกช่องทางที่ลาวสามารถเข้ามาระดมทุนได้อยู่เนื่องจากมีต้นทุนทางการเงินที่ไม่สูงมากเมื่อเทียบกับตลาดการเงินโลก อย่างที่สามคือการแปรรูปบริษัทรัฐวิสาหกิจให้กลายเป็นบริษัทเอกชน โดยลาวมีรัฐวิสาหกิจทั้งหมด 178 องค์กร และเกือบทั้งหมดของ 178 องค์กรนั้นขาดทุนเนื่องจากการบริหารงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ ดังนั้นการแปรรูปรัฐวิสาหกิจจึงเป็นอีกหนึ่งทางออกที่นอกจะสร้างรายได้จากการขายสินทรัพย์แล้ว สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือการเอาคนที่มีความรู้ความเข้าใจในธุรกิจจริงๆ เข้ามาบริหาร เมื่อเป็นแบบนี้ก็มีโอกาสที่รัฐวิสาหกิจที่เคยขาดทุนนั้นจะกลับมามีกำไรได้ นำมาสู่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการจ้างงานจนทำให้ชาวลาวไม่ต้องออกมาแสดงความคิดเห็นด้วยอารมณ์โกรธเคืองกับสิ่งที่เป็นอยู่ อย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้

อ้างอิง

– ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ Economic Intelligence Center ธนาคารไทยพาณิชย์

– asia.nikkei.com/…/Laos-faces-public-backlash-as…

ธุรกิจร้านกาแฟจะกระทำการ niche ยังไง เพื่อรักษาสมดุลระหว่างรายได้และความชอบ

EP.5

มากกว่าการแสดงตัวตนของแบรนด์ด้วยการบอกว่ากำลังทำธุรกิจด้วยกลยุทธ์น่านน้ำสีไหน (สีแดง ขายสินค้าที่มีคนทำอยู่แล้วในตลาด สีน้ำเงิน มุ่งทำสินค้าที่สร้างความแตกต่าง สีเขียว แสดงตัวตนว่าเป็นแบรนด์ที่รักธรรมชาติ หรือสีขาว ที่แสดงจุดเด่นเรื่องคุณธรรมและการทำเพื่อสังคม)

สิ่งสำคัญของการทำธุรกิจกาแฟคือ การทำให้คนเข้าใจสิ่งที่เราขายให้ได้มากที่สุด

เราจะทำให้คนเข้าใจได้ยังไง ส่วนหนึ่งเราก็ต้องเข้าใจในสิ่งที่เราอยากจะขายก่อน และสิ่งที่เราขายนั้นเป็นสิ่งที่เราอยากขายจริงๆ ด้วยรึเปล่านั่นก็เป็นเรื่องที่เราต้องตอบให้ได้

เพราะหากเราไม่เข้าใจสิ่งที่เรากำลังทำ คิดแต่จะขายตามคนอื่นๆ เพียงเพราะว่ามันขายดี ขายได้ ง่ายกว่าเริ่มทำสิ่งใหม่ แต่จะมั่นใจได้ยังไงว่ากิจการจะดำเนินไปและยืนระยะได้จากสิ่งนี้ ยิ่งหากสิ่งนั้นไม่ใช่ของที่เราถนัดหรือทำมันได้ดี

ก่อนอื่นลองตั้งคำถามว่า การที่ลูกค้ากลับมาหาเราซ้ำๆ หรือไม่กลับมาหาเราอีกนั้นเป็นเพราะปัจจัยอะไรบ้าง ซึ่งเราจะพบว่า นอกจากการเลือกขายของที่เราสนใจจริงๆ แล้ว ก็ยังมีอีกหนึ่งเรื่องที่เป็นปัจจัยสำคัญ สิ่งนั้นคือการสร้างสิ่งที่เรียกว่าความแตกต่าง 

ในตำราธุรกิจมากมายล้วนสาธยายว่าทำไมธุรกิจต้องสร้างความแตกต่าง สิ่งที่น่าสนใจคือ ไม่มีใครเคยบอกว่าแล้วเราจะสร้างความแตกต่างแก่สินค้าเรายังไง ขณะเดียวกันก็ต้องทำให้คนที่จะมาเป็นลูกค้าเราเข้าใจได้ง่ายและรู้ถึงความแตกต่างนี้ ไปจนถึงเราจะทำยังไงเพื่อยังคงความแตกต่างนั้นไว้ หรือต้องแตกต่างแค่ไหนคือความแตกต่าง แล้วแตกต่างยังไงให้เรายังคงรักษาความสมดุลระหว่างรายได้และความชอบได้อยู่

ในสมัยหนึ่งที่ร้านกาแฟต่างๆ มักเลือกตกแต่งด้วยสไตล์ไม้ๆ อิฐๆ, rustic, loft อย่างเป็นที่นิยม ยุคนั้นร้านกาแฟเปิดใหม่จะมีหน้าตาออกมาในแนวทางนี้แทบทั้งหมด ผมเลยเลือกที่จะทำคาเฟ่ที่มีสีหลักคือขาวและดำ มีความมินิมอล ใช้หินอ่อนเป็นเฟอร์นิเจอร์ และเป็นองค์ประกอบหลักของบาร์กาแฟ แต่ทั้งหมดนั้นเริ่มมาจากความสนใจเเละความชื่นชอบในสไตล์พวกนั้นมาก่อนอยู่เเล้วมากกว่าความต้องการที่จะแตกต่าง

ซึ่งหลังจากเปิดร้านไม่นาน เราก็พบว่าลูกค้าที่เข้ามาล้วนชอบมาถ่ายรูปตัวเขากับองค์ประกอบต่างๆในร้าน ซึ่งในสมัยนั้นเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องเเปลกใหม่สำหรับผม กับการที่มีคนเข้ามาถ่ายรูปในร้านกาแฟหลายๆ รูป แบบถ่ายไปเรื่อยๆ วันละหลายๆ กลุ่ม ชัตเตอร์กล้องมือถือดังรัวๆ ถือเป็นเรื่องเกินความคาดหมายในชีวิตไปพอสมควร…หรือนี่คือผลของความแตกต่าง? ผมถามตัวเอง

การถ่ายรูปในร้านไม่ได้เป็นสิ่งต้องห้าม เพราะนัยหนึ่งก็แสดงถึงความสวยงามของสถานที่

แต่นอกจากเรื่องความสวยงามของสถานที่ 

อีกอย่างที่ผมตั้งใจนำเสนอก็คือ กาแฟคั่วอ่อน 

ในเชิงนี้ค่อนข้าง subjective เพราะความชอบของคนเเต่ละคนไม่เหมือนกัน และถ้าพูดคำว่าคั่วอ่อนก็จะค่อนข้างมีมิติที่สลับซับซ้อนมากเพราะคั่วอ่อนของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน

คนมักตั้งแง่กับกาแฟคั่วอ่อน เพราะคิดว่ามันจะเปรี้ยวจนเกินพอดี แต่จริงๆ แล้วกาแฟที่คั่วอ่อนจะให้ความหวานเข้ามาส่งเสริมกับความเปรี้ยวเกิดเป็นความสมดุลของรสชาติ หากนึกภาพตามง่ายๆ คงจะคล้ายเวลาเราทานผลไม้สดๆ ที่มีทั้งความหวานเเละความเปรี้ยวผสมผสานกลมกล่อมกันอย่างลงตัว ซึ่งผมชอบจนถอนตัวไม่ขึ้น

ในยุคนั้นมีร้านกาแฟไม่กี่ร้านที่เลือกขายกาแฟจากโรงคั่วในต่างประเทศ ซึ่งโรงคั่วที่เลือกมาก็จะเป็นกาแฟที่คั่วอ่อน และไม่ได้หากินได้ทั่วไป หากไม่ได้เป็นคนที่ติดตามหรือจริงจังกับการสั่งกาแฟมาชงเอง

แล้วทำยังไงดี? 

ในส่วนนี้ ผมก็ตัดสินใจจะเลือกกาแฟในแบบที่เราชอบดื่มมาขายนั้นแหละ โดยเลือกสไตล์ที่เราชอบ นั่นก็คือ กาแฟคั่วอ่อนที่มีความคลีน หวานสะอาด ทานง่ายๆ ผมพยายามเลือกสิ่งสิ่งนี้ไปเรื่อยๆ เพื่อให้เรามีพื้นที่ในการอธิบายในสิ่งที่เราชอบได้ตราบเท่าที่เรายังเอามันมาขาย ซึ่งการขายในสิ่งที่ตลาดชอบยังไงก็ขายได้แน่ๆ แต่การตัดสินใจว่าขายเเบบนี้ อาจจะไม่ได้เข้าถึงความชอบคนส่วนใหญ่มากในทันที แต่มันถือเป็นการทดเวลาบาดเจ็บให้กับสิ่งที่เราเชื่อและอยากนำเสนอ นี่คือความคิดของผมในช่วงนั้น

จริงๆ การพยายามหากาแฟจากโรงคั่วที่ชอบเหล่านั้นมาขาย ถ้ามองเรื่องตัวเลขด้วยแว่นสายตาแบบนักธุรกิจ การตัดสินใจแบบนี้มีแต่จะส่งผลให้ต้นทุนการทำร้านกาแฟสูงขึ้น และแทบไม่ได้อะไรเป็นกอบเป็นกำกลับมาสู่ร้าน เพียงแต่ว่าสุขภาพสายตาแบบนักธุรกิจของผมค่อนข้างสั้น…

ที่ร้านก็เลยจะมีกาแฟจากโรงคั่วที่มีเเนวทางการคั่วอ่อนในแบบที่ผมชอบ อยู่บ่อยๆ โรงคั่วเหล่านั้นก็เช่น Tim Wendelboe, Koppi, Fuglen, Kaffa

หรือในช่วงที่ได้มาคั่วกาแฟ กาแฟที่ชอบซื้อมาขายก็คือกาแฟจากประเทศเคนย่า ซึ่งก็จะมีความหลากหลาย เพราะจะมาจากพื้นที่ต่างๆ ในแต่ละภาคของประเทศเขา

เหตุผลที่ผมเลือกกาแฟจากเคนย่าก็เพราะความชอบ คาแร็กเตอร์ของกาแฟจากประเทศนี้ที่มีทั้งความหวานฉ่ำ ความเปรี้ยวแบบผลไม้โทนเบอร์รีสดๆ และรสสัมผัสที่เป็นเอกลักษณ์ จะทานเป็นร้อนก็ดื่มด่ำ หรือเย็นก็สดชื่น

โรงคั่วกาแฟ hands and heart ก็เลยจะมีกาแฟจาก origin นี้ มาขายอยู่เสมอๆ ทุกๆ ปี ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจนคือ เวลาเราได้ยินใครมาบอกว่าชอบกินเคนย่าตัวนี้ หรือกลับมาซื้อซ้ำ ก็ถือเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีที่ช่วยทำให้เรามีเเรงขับเคลื่อนความมุ่งมั่นนี้อยู่

เพราะจริงๆ แล้วกาแฟเคนย่าเป็นกาแฟที่ค่อนข้างต้องใช้พลังงานในการสร้างกลุ่มผู้บริโภคให้เปลี่ยนใจจากภาพเดิมๆ พอสมควร แต่สิ่งสำคัญคือการที่เราเลือกในสิ่งที่ตัวเราเชื่อมั่นมาขาย และสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา เพื่อเปลี่ยนชุดความคิดเหล่านั้นของเขา

ทั้งหมดที่ว่ามานี้คือความแตกต่างหรือไม่ เราเองก็ไม่สามารถเป็นคนตอบได้หนึ่งร้อยเปอร์เซนต์ เเต่สิ่งสำคัญคือ การที่เราพยายามสื่อสารและเล่าถึงจุดที่แตกต่างของเราได้มากแค่ไหน เพื่อให้เรารักษาเอกลักษณ์ในแบบของเราที่อาจไม่มีใครเหมือน

โดยสรุปแล้ว ความ niche ก็คือการนำเสนอความต้องการของตัวเองอย่างเเน่วเเน่ เพื่อรอวันที่มันผลิดดอกออกผล แล้วเราจะได้ชื่นชมความงดงามของมัน

คุยกับโต-ตาล ถึงวิธีการปั้นแบรนด์ ‘เนื้อแท้’ และเบื้องหลังการตลาดที่ไวรัลบนโลกโซเชียล

ย้อนเวลากลับไปเมื่อประมาณช่วงปี 2000s คงไม่มีใครไม่รู้จักชื่อ ‘Silly Fools’ วงดนตรีร็อกสตาร์ชื่อดังของเมืองไทยที่ทั้งมัน ร็อก เดือด มีลายเซ็นในแนวเพลงของตัวเองจนเป็นที่จดจำบนโลกแห่งเสียงเพลง ก่อนที่ในเวลาต่อมา ฟรอนต์แมนของวงอย่าง โต–วีรชน ศรัทธายิ่ง จะประกาศแขวนไมค์ไม่เดินบนเส้นทางสายดนตรีอีกต่อไป

การลาออกจากวงการดนตรีของเขาในวันนั้น ส่วนสำคัญมาจากความเคร่งครัดและตั้งใจเดินในเส้นทางศาสนาอย่างเข้มข้นของเจ้าตัว แต่การปิดประตูสายดนตรีของเขา กลับทำให้ประตูบานใหม่เปิดทางให้กับเขาในเวลาต่อมา

นั่นคือ ประตูสู่โลกธุรกิจ 

โต ได้กระโจนเข้ามาลองผิดลองถูกร่วมกับเพื่อนรักคนสนิท อย่าง ตาล–นภศูล รามบุตร อดีตผู้บริหารธนาคารผู้ตัดสินใจลาออกจากโลกการเงินใบเก่า ด้วยความเชื่อและอุดมการณ์ทางศาสนาเช่นกัน 

ผู้ละทิ้งโลกใบเก่าทั้งสอง โต-ตาล จึงเริ่มออกเดินทางสู่เส้นทางสายใหม่ ทั้งคู่เป็นมิตรคู่หูทั้งบนเส้นทางแห่งศาสนาและเส้นทางสายธุรกิจ

และนั่นคือจุดเริ่มต้นของ Company B บริษัทที่ประกอบกิจการขายเนื้อวัวและธุรกิจร้านอาหารชื่อดังหลายร้านทั้ง The Beef Master, เนื้อแท้, พันละวัน

หลายคนน่าจะจดจำ ‘เนื้อแท้’ ในฐานะแบรนด์ที่ใช้โซเชียลฯ ได้อย่างทรงพลัง หลายคอนเทนต์กลายเป็นไวรัล บนโลกออนไลน์ อยากรู้ว่าพวกคุณดูแลเพจนี้ด้วยตัวเองหรือมีใครช่วยดูแล

โต : เรามีทีมงานที่เป็นฝ่ายพีอาร์ทำ เขาชื่อน้องคิง เขาเรียนมาทางด้านนี้โดยเฉพาะ ซึ่งเขาจะสนใจเรื่องเหตุบ้านการเมือง เขาชอบดูข่าว เขาก็ชอบคุยเล่น ล้อกันไปมากับตาลทั้งวัน

คุณบรีฟอะไรไหม ว่าต้องทำอะไร ห้ามทำอะไร

โต : ผมก็มีดูๆ ตอนแรกที่เขาโพสต์ พอมันเริ่มออกมาดูมีฟีดแบ็กที่ดี ผมก็บอกเขาว่า เออ แบบนี้มันก็น่าจะดีนะ แต่ต้องระวังนิดนึง อย่าให้มันมีปัญหานะ

ตาล : คือเขาก็เป็นคนมีอุดมการณ์เหมือนกันกับเรา น้องเขาเข้ามาเพื่อจะมาอยู่ร่วมอุดมการณ์เดียวกับเรา 

คนที่จะมาอยู่บริษัทเดียวกับเรา ไม่ใช่มาเพราะเราจ่ายเยอะนะ เพราะเราไม่มีปัญญาจ่ายอยู่แล้ว แต่เขามาเพราะเขามีหลักการเหมือนโตและผม นั่นคือหลักการศาสนา จริงๆ เขามาช่วยเราทำรายการโต-ตาล ด้วย เพราะฉะนั้นกรอบหลักๆ มันจะไม่ตกเหว เขาจะรู้อยู่แล้วว่าอะไรเล่นได้เล่นไม่ได้ แต่เขาก็เป็นคนกวนประสาทนั่นแหละ มันเป็นคาแร็กเตอร์เด่นของเขา

โต : เพราะบุคลิกเขาเป็นอย่างนี้ คนก็เลยเหมือนจะชอบเขานะ แต่สังเกตไหมว่าเขาจะไม่เล่นเรื่องผู้หญิง เรื่องลามกจกเปรต เรื่องพวกนี้ผมไม่เคยพูดด้วยซ้ำแต่เขารู้ด้วยตัวเอง ดังนั้นผมไม่จำเป็นต้องอธิบาย แค่บางทีเวลาเล่นออกไปอย่าให้คนเข้าใจว่าผมมีปัญหาในสังคม ผมเลยต้องคอยบอกเขาว่าอย่าให้คนเข้าใจผิดว่าผมเป็นคนมีปัญหาในสังคม เราแค่อยากทำให้คนสนุก ไม่ได้อยากมีปัญหา 

เหมือนคุณค่อนข้างให้อิสระในการคิดกับทีม

โต : มันเป็นทักษะอย่างหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้มาจากสมัยผมทำงานในห้องอัด ผมเป็น co-producer ในแทบจะทุกอัลบั้มเลย การที่เราสังเกตว่าใครทำอะไรดี แล้วเรา enhance มัน ผมว่ามันเป็นหน้าที่ของโปรดิวเซอร์นะ ผมว่าเราต้องให้โอกาสคน ทุกๆ คนเขามีลายเซ็นหมด เราต้องให้โอกาสเขาแสดงออก ชี้ให้เขาเห็นว่า แบบนี้เล่นแล้วดีนะ เล่นออกมาอีก เอาออกมาเยอะๆ เฮ่ย แบบนี้อย่าเล่น ไม่ดี อันนี้คือหน้าที่โปรดิวเซอร์

ตาล : เมื่อก่อนโตเขาเป็นศิลปินเอง แต่ตอนนี้เขาต้องเริ่มมาทำหน้าที่โปรดิวซ์คนแบบเต็มๆ ตัวแล้ว โตเขาลองให้น้องเขาเซ็นไปเรื่อยๆ จนกว่าลายเซ็นของน้องเขาจะออกมาเป็นตัวเขา ศักยภาพคนเรามันไม่มีที่สิ้นสุดหรอกครับ เราแค่ต้องหาทางเปิดประตูให้โอกาสเขาได้เค้นมันออกมา

แสดงว่าพวกคุณไม่ได้มานั่ง approve ทุกโพสต์

โต : ไม่เลย ผมนั่ง approve โพสต์กับเขาแค่วันแรกๆ เอง หลังๆ ผมปล่อยเลย ผมไม่รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ผมต้องมาถามเขาด้วยซ้ำว่า คิง ทำไมคนชอบโพสต์นี้โพสต์นั้นวะ เล่าให้ฟังหน่อยสิ คือผมเป็นคนไม่ค่อยอ่านข่าวในประเทศ ผมเลยไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เขาโพสต์ถึงหรือพูดถึงมันสื่อถึงอะไร อย่างบางทีมีโพสต์ไหนที่มันเริ่มไวรัลหนักๆ เข้า ผมก็รู้สึกเหมือนผมจะซวย ผมก็ เฮ่ย คิงมึงเล่นกูแล้วมึง อย่างพอเขาเริ่มโพสต์แล้วเพจมันเริ่มดัง ผมก็บอกเขาว่ามึงอย่าทำให้กูติดคุกนะเว้ย (หัวเราะ)

ย้อนกลับไปก่อนที่เนื้อแท้จะเป็นที่รู้จัก คุณทั้งสองรู้จักกันได้ยังไง ทำไมถึงตัดสินใจจะทำธุรกิจร่วมกัน

โต : ตอนที่ผมเลิกร้องเพลง ผมก็หันเหมาทางศาสนาค่อนข้างเยอะ จนผมได้มาทำทีวีช่องศาสนา แล้วก็เลยได้มาเจอตาลที่นั่น ส่วนตาลก็เลิกจากอาชีพเก่าเขาเหมือนกัน เลยได้มาเจอกันและมาทำรายการ โต-ตาล ด้วยกัน ก็เริ่มมาจากตรงนั้น

ตาล : ไอเดียแรกคือเริ่มมาจากความคิดที่ว่า หาอะไรทำกันเถอะ ไม่มีตังค์แล้ว (หัวเราะ)

โต : ส่วนไอเดียของผมคือ ไม่ทำอะไรเลยได้ไหม แต่ตาลเขาก็บอกว่า เราจะไม่มีกินกันแล้วนะโต ผมก็เลยถามว่าทำอะไรดี ตาลเขาก็เสนอไอเดียแรกมาว่า ให้ทำยาสีฟันขาย คือเขาคิดว่าคนเราต้องแปรงฟันก่อนแล้วค่อยกิน ไอ้ผมก็ไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ เฮ่ย ต้องเอาเรื่องกินก่อนไหม ก่อนจะแปรงฟัน (หัวเราะ) ก็เลยหยุดความคิดเขาที่จะทำยาสีฟันเอาไว้

ตาล : โตเขาอยากทำพวกวัวพวกฟาร์มมานานแล้ว

โต : คือผมอยากมีวัวมีฟาร์มของตัวเองตั้งแต่สมัยเป็นนักร้องแล้ว แต่ว่าเราไม่ใช่เกษตรกร และเราไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไง เรื่องที่ดินผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง จะซื้อที่ดินยังไงให้เหมาะสมกับการเลี้ยงวัว หลังจากนั้นผมก็รู้จักกับตาลโดยมีศาสนาเป็นตัวนำพา เราก็มั่นใจแล้วว่าเราเดินอยู่บนเส้นทางเดียวกัน ผมก็เชื่อใจ ไว้ใจเขา พอตาลเขาบี้ผมว่าต้องทำงานแล้วนะ ผมก็เลยตัดสินใจเอาเงินก้อนสุดท้ายมาลงทุน ประกอบกับตอนนั้นจังหวะชีวิตทำให้เราได้รู้จักกับคนฝรั่งเศสคนนึงที่เชี่ยวชาญเรื่องเนื้อ ตาลเขาก็บอกว่าคนนี้น่าสนใจ ผมกับตาลเลยตัดสินใจทำธุรกิจกับคนฝรั่งเศสคนนี้ สุดท้ายปรากฏว่าเขาโกงเรา แต่ว่าผมกับตาลก็ได้ความรู้จากเขานะ เรื่องการทำ dry-aged beef (การบ่มเนื้อวัวให้มีมิติสัมผัสทางรสชาติมากขึ้น)

เลยนำเอาความรู้นั้นมาต่อยอด

โต : มันก็ใช่ แต่เราก็เจอปัญหาอีกอย่างของ dry-aged beef คือพอเราลงทุน ลงเวลาไปกับมันตั้ง 4-5 เดือน กว่าจะบ่มเสร็จและเอาไปขายได้ กว่าจะได้เงินคืนมามันใช้เวลานาน เราอยู่ไม่ได้หรอก และมันเป็นตลาด niche เราจะมาทำให้เป็น mass มันก็ลำบาก เราก็เลยต้องเปลี่ยนทิศทางจากการบ่มเนื้อวัวมาขุนวัวแล้วขายแทน นั่นคือจุดเริ่มต้นของการทำธุรกิจ พอเริ่มทำมันก็หยุดไม่ได้แล้ว เหมือนขี่หลังเสือ ขึ้นแล้วมันลงไม่ได้

ตาล : ตอนแรกเริ่มจากไม่มีจะกิน แต่ตอนนั้นก็คือเป็นหนี้แล้ว (ยิ้ม) ก็คือมันกลายเป็นว่าหนักกว่าตอนไม่มีเงินอีก

การเปลี่ยนจากการบ่มเนื้อวัว มาเป็นขุนเนื้อวัวจากฟาร์มแล้วชำแหละขายก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกัน คุณเริ่มตั้งตัวกับทิศทางใหม่นี้ยังไง

โต : เหมือนพระเจ้าก็ช่วยให้เราได้เจอกับฟาร์มฟาร์มนึงที่ใหญ่มากที่เมืองไทยที่ไฮเทคมาก และเขาเอาวัวต่างชาติมาขุนและขายส่งออกนอก ตอนนั้นจังหวะมันพอดีมากที่เขามีปัญหากับฝั่งเมืองนอกที่เขาทำการค้าด้วยพอดี เขาเลยมีเวลามาทำธุรกิจกับเรา

และที่สำคัญคือ เขาเห็นด้วยกับอุดมการณ์ของเราในการเอาวัวต่างชาติมาขุนแล้วขายให้คนไทยกินในราคาที่เข้าถึงได้และมีมาตรฐานดี เมื่อสิบกว่าปีก่อนตอนที่เราคิดเริ่มจะทำธุรกิจนี้ เนื้อวัวเนี่ยส่วนใหญ่ถ้าดีก็ดีไปเลย กิโลฯ ละ 5,000-6,000 ขึ้น ซึ่งมันจะถูกเอาไปทำเป็นสเต๊กอย่างเดียว เราเลยมาคิดว่า จะทำยังไงให้เอาเนื้อที่ดี ราคาที่เข้าถึงได้มาทำเป็นเมนูที่กินได้ทั่วๆ ไปด้วย ทีนี้เหลือแต่การหาพันธุ์วัวมาขุน

พอดีตอนนั้นเรามีโอกาสได้ติดต่อฟาร์มที่ออสเตรเลีย เลยได้เอาวัวเป็นจากออสเตรเลียเข้ามา ซึ่งมันเป็นพันธุ์ที่ปกติแล้วเขาไม่ขายออกนอกประเทศ เขาจะเลี้ยงให้คนโลคอลกินอย่างเดียว แต่เรามีโอกาสเอาเข้ามาในเมืองไทยได้ครั้งละ 1,000-2,000 ตัว เอามาให้ฟาร์มในเมืองไทยขุน

คุณกำลังบอกว่า คุณขนเอาวัวเป็นๆ จากออสเตรเลียมาเลี้ยงในเมืองไทยครั้งละเป็นพันตัว

โต : ใช่ เพราะเราต้องการเปลี่ยนรสชาติไม่ให้เหมือนกับที่ออสเตรเลีย 

ทำไมถึงไม่ต้องการให้รสชาติของวัวไม่เหมือนกับที่ออสเตรเลีย

โต : เพราะอาหารวัวที่เมืองไทยดีกว่าเขา วัวพันธุ์นี้ถ้าเขาอยู่ที่ออสเตรเลียเขาก็จะให้กินอาหารแบบฝรั่งๆ ของเขา เช่นพวกบาร์เลย์ พวกอาหารแบบของเขา แต่ถ้ามาที่เมืองไทยเราเอามาเลี้ยงแล้วให้กินอาหารแบบไทย พวกธัญพืชไทย ข้าวไทย ข้าวโพดไทย ถั่วเหลือง มันสำปะหลัง งาดำ เลี้ยงเขาด้วยอาหารพวกนี้รสชาติเนื้อเขาจะไม่เหมือนกับที่ออสเตรเลียแล้ว แต่ไฟเบอร์จะนิ่มและรสชาติจะนุ่มเพราะพันธุ์เขาดีมาแต่แรก

ตาล : ขนาดเจ้าของฟาร์มวัวพันธุ์นี้ที่เป็นคนออสเตรเลียที่เขาเป็นคนขายวัวให้เรา พอเขามากินวัวพันธุ์นี้ในแบบที่เราเลี้ยง เขาจำรสชาติวัวเขาไม่ได้เลย เขาบอกนี่ไม่ใช่วัวเขา

โต : เขาคิดว่าเราโม้ เขาคิดว่านี่ไม่ใช่วัวเขา เพราะเขาบอกว่าเขากินเนื้อของวัวเขามา 25 ปี ทำไมเขาจะจำไม่ได้ 

เขากินแล้วบอกว่าอร่อยกว่าวัวเขาเยอะเลย ผมเลยบอกเขาว่า นี่แหละอาหารไทย ธัญพืชไทย พอวัวกินอาหารแบบนี้แล้วมันจะเปลี่ยนเลย มันจะรสชาติดี แต่เขาไม่สามารถทำได้ในประเทศเขานะ เพราะธัญพืชของเขากับของเรามันไม่เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าของเขาไม่ดีนะ แต่รสชาติมันไม่เหมือนกัน 

หลังจากเอาวัวเข้ามาพันกว่าตัว คุณจัดการมันยังไง เพราะดูแล้วก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

โต : ใช่ ตรงนี้ยากมากเลย ยิ่งเมื่อสิบปีก่อนคนไทยยังไม่ค่อยฮิตกินเนื้อกันเท่าไหร่ และเขาอาจจะยังไม่เชื่อด้วยว่าส่วนอื่นๆ ของวัวมันทำอะไรได้เยอะ ไม่จำเป็นต้องเป็นส่วนสเต๊กอย่างเดียว ก็เลยไม่ค่อยมีคนมาสั่ง มาซื้อเราเท่าไหร่ ผมกับตาลต้องวิ่งขายตามโรงแรม วิ่งเข้าหาเชฟระดับประเทศ ระดับโลก ส่วนใหญ่เขาอยากได้แต่สเต๊กคัตอย่างเดียว แล้วเขาก็ยังไม่มั่นใจในตัวเราด้วยว่าเรามีความสม่ำเสมอหรือเปล่า เขาไม่เคยเห็นสเกลในการผลิตของเรา 

คือตอนนั้นเรายังเป็นหน้าใหม่นั่นแหละ ซึ่งก็ได้ลูกค้ามาบ้าง ต้องให้เครดิตเชฟต้น (จากร้าน Le Du) เขาเป็นคนที่เชื่อมั่นในตัวเรามาตั้งแต่แรกตอนที่ยังไม่มีใครรู้จักเราเลย เขาเอาเนื้อเราตลอด จนตอนนี้เราไม่ได้ส่งเขาแล้ว (หัวเราะ) คือพอเรามาเริ่มทำร้านอาหารเอง เราไม่สามารถส่งเนื้อให้ใครได้อีกแล้ว มันไม่พอ แต่ตอนนั้นที่เริ่มทำใหม่ๆ เชฟต้นเขาเชื่อมั่นในเรา และเขาชอบเนื้อเรามาก หลังจากนั้นก็มีเชฟคนอื่นๆ อีก แต่สเกลการซื้อจากเชฟ จากร้านอาหารมันยังไม่พอดีกับสเกลที่เราผลิตได้ เพราะส่วนใหญ่เขาต้องการแค่สเต๊กคัต คิดดูว่า เทียบสัดส่วนแล้วสเต๊กคัตมันเป็นเพียงแค่ 1 ใน 5 ส่วนของวัวเท่านั้นเอง วัวตัวนึงเชือดมา 250 กิโลฯ ได้สเต๊กคัตมา 50 กิโลฯ แล้วอีก 200 กิโลฯ ทำอะไรล่ะ

แล้วจัดการกับส่วนที่เหลือตั้ง 200 กิโลฯ ต่อตัวยังไง 

โต : เราก็คิดว่างั้นเราเปิดร้านที่ให้เชฟและคนทั่วไปลองมาชิมเนื้อของเราดีกว่า ก็เลยมีไอเดียการเปิดร้านอาหารขึ้นมา โดยแบ่งชนิดของเนื้อแต่ละอย่างให้เหมาะกับชนิดของอาหารที่จะทำ เช่น เราเอาเนื้อตรงสันคอที่มันเหนียวแต่มันอร่อยซึ่งตอนนั้นคนยังไม่ค่อยนิยมกินกันมาใช้ เราเอาน่องมาทำให้ถูกต้อง เราเอาเนื้อตรงหัวไหล่มาทำให้ถูกต้อง โดยแบ่งประเภทอาหาร เช่น จานผัดกะเพราเราจะใช้ส่วนนี้ ก๋วยเตี๋ยวใช้ส่วนนั้น อีกเมนูก็ใช้อีกส่วน ให้เหมาะสมและให้คนมาลองกิน

ให้คนเขารู้ว่าวัวหนึ่งตัวสามารถแยกส่วนไปทำอาหารได้ แต่ต้องเลือกส่วน ถ้าเราเอาสเต๊กมาทำกะเพรามันก็ไม่เหมาะ คือถ้าวัวเราเลี้ยงมาดีทั้งตัว มันก็จะเหมาะเอาไปทำอาหารต่อได้หมดทั้งตัว ซึ่งเราเป็นคนแรกที่เอาวัวทั้งตัวมาแบ่งทำอาหารแต่ละประเภท ส่วนใหญ่ตอนนั้นเขาเอาแค่ส่วนสเต๊กมาใช้เท่านั้นเอง

นี่เป็นที่มาของการเปิดร้านอาหารอย่างที่เห็น

โต : ใช่ ก็คือร้าน The Beef Master ที่เดอะมอลล์ บางกะปิ เป็นร้านอาหารเล็กๆ ในซูเปอร์มาร์เก็ต แต่ปรากฏว่าเชฟได้มากิน แต่เป็นคนธรรมดาที่มากินกันกระจุยเลย ทีนี้ผมเลยบอกตาลว่า เราต้องทำร้านอาหารจริงจังแล้วล่ะ เพราะถ้าเรามัวมารอให้เชฟหรือคนอื่นมาเข้าใจมันคงจะไม่ทัน ตอนนั้นสต็อกเนื้อเรามีอยู่เยอะมาก เราก็เลยไปเปิดร้านอาหารอีกสาขานึง คือ The Beef Master ที่ MBK เป็นสาขาใหญ่เลย โดยร้านนี้เราโฟกัสที่ชาวต่างชาติ

ตอนที่ต้องเปิดร้านอาหารพวกคุณประหม่าหรือตื่นเต้นกันบ้างไหม

โต : ตอนที่เปิดร้านเล็กๆ The Beef Master สาขาแรกที่เดอะมอลล์ บางกะปิอันนั้นตื่นเต้นมาก เพราะเราใช้เวลาเทรนทีมงานชุดเปิดร้านโดยใช้เวลาทั้งหมด 3 เดือน พอเปิดร้านได้ 2 วันเท่านั้นแหละ ลาออกทั้งทีม

ตาล : ไม่ได้ลาเลย พูดคำว่าลาไม่ได้ เขาออกไปเฉยๆ หายไปเลย

โต : (ยิ้ม) ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมเขาถึงหายกันไป ตอนนั้นพวกผมตื่นเต้นมาก ตาลต้องล้างจาน ผมรับออร์เดอร์ เราสองคนทำเองหมดทุกอย่าง แล้วมันเป็นห้างด้วย หยุดไม่ได้ ห้างเขามีกฎมีระเบียบของเขาว่าพวกผมต้องเปิดร้านทุกวัน

พนักงานส่วนอื่นๆ อย่างเช่นคนที่ต้องเป็นคนแล่เนื้อก็ต้องมาช่วยกันทั้งหมด แล้วก็มีหัวหน้าเชฟคนนึงที่เขาอยู่กับเรา เขามาช่วยเรา เขาก็ทำงานหนักมาก วุ่นมาก ยังดีนะที่เขาเอาอยู่ อันนี้น่ะผมตื่นเต้นที่สุดแล้ว ผ่านจุดนั้นมาได้ ส่วนกับการเปิดร้านสาขาอื่นๆ ผมเฉยๆ

ตาล : เวลาเราไม่มีทางเลือกเนี่ย ความตื่นเต้นมันจะหายไป การไม่มีทางเลือกเป็นพรอันประเสริฐนะ

แล้วการเปิดร้านอาหารทั้งที่เดอะมอลล์ บางกะปิ และที่ MBK ตอบโจทย์การระบายสต็อกเนื้อที่ค้างอยู่ได้ดีเลยไหม

ตาล : ก็ถือว่าระบายได้ส่วนนึง ก่อนหน้านั้นเราพยายามระบายสต็อกเนื้อของเราออกไปทาง Hypermart ในราคาที่ถูกหน่อย ซึ่งตรงนั้นเราก็เลยไม่ค่อยได้กำไร แต่เราต้องเลือกเอาระหว่างเงินจมกับได้เงินคืนกลับเข้ามาบ้าง ตอนที่เราเปิดร้านอาหารช่วงแรกก็คิดแบบนี้ คือขายสเต๊กแล้วได้กำไร แต่ขายเนื้อส่วนอื่นอาจจะไม่ค่อยได้กำไร หรือถ้าช่วงไหนขายไม่หมดก็ไม่ได้กำไร

โต : 3 ปีแรกของการทำธุรกิจ ผมกับตาลไม่มีเงินเดือนเลย

ตอนที่เริ่มธุรกิจก็โดนโกง ต่อมาขายเนื้อก็เหลือในสต็อกเยอะอีก พวกคุณเครียดกันบ้างไหม

โต : เครียดครับ และตอนนี้ก็ยังเครียดอยู่ (หัวเราะ)

ตาล : ตอนนั้นผมนึกว่าขายเนื้อแล้วจะสบาย ตอนนี้รู้แล้วว่าไม่มีอะไรสบาย อย่างร้านอาหาร The Beef Master ที่ MBK เราจะโฟกัสกับชาวต่างชาติซึ่งเน้นไปที่กินสเต๊กกับเบอร์เกอร์อย่างเดียว สุดท้ายส่วนอื่นของเนื้อก็จะระบายออกไปไม่ได้อีก

โต : คือ พอ The Beef Master เราเน้นขายชาวต่างชาติที่เขาชอบมากินแต่สเต๊กและเบอร์เกอร์เรา สุดท้ายเลยต้องหาทางเปิดร้านอาหารที่ไม่ได้พึ่งแต่ชาวต่างชาติ และอยากขยายการขายเนื้อให้คนที่มากินเนื้อที่เอาไปทำอาหารจานอื่นๆ ที่ไม่ใช่แค่สเต๊กกับเบอร์เกอร์ด้วย 

ประกอบกับคำว่า The Beef Master คนไทยอาจจะออกเสียงยาก เราเลยต้องคิดชื่อแบรนด์ใหม่ให้มันเข้าปากคนไทย ให้อ่านออกเสียงและเรียกได้ง่ายๆ สามารถพูดต่อกันได้ นั่นก็เลยมาเป็นชื่อ ‘เนื้อแท้’ ซึ่งจริงๆ เมนูก็คล้ายกับ The Beef Master แต่เราดึงราคาลงมานิดนึงให้คนไทย และเพิ่มเมนูที่คนไทยชอบกินเข้าไป เช่น โจ๊ก กะเพรา ก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋น เมนูพวกนี้ถูกปากคนไทยและชื่อร้านก็เรียกง่าย เนื้อแท้ก็เลยดัง พอดังเสร็จเราก็เลยเริ่มขยายสาขาต่างๆ ของเนื้อแท้ออกไป

ตาล : คือเมนูเก่าของ The Beef Master เราก็ยังคงไว้ เรายังมีขาย แต่เราเพิ่มเมนูใหม่ๆ ที่ The Beef Master ไม่มีเข้าไปในร้านเนื้อแท้ ประมาณ 70-80 เปอร์เซ็นต์

แล้วร้าน ‘พันละวัน’ มีที่มาที่ไปยังไง

โต : พันละวันนี่มาหลังโควิด

ตาล : แต่จริงๆ เราทดลองเมนูกันมาตั้งแต่ก่อนโควิดแล้ว

โต : เราพัฒนากันมา 2 ปี พันละวันของเราขายเคบับเนื้อ ซึ่งคนไทยยังไม่ค่อยรู้จักเท่าไหร่ คือจริงๆ ผมอยากจะทำในสิ่งที่ผมชอบอีกนั่นแหละ ตั้งแต่สมัยผมอยู่ห้องอัดผมก็ชอบให้คนไปซื้อเคบับมาจากนานา แล้วการขายเคบับมันก็เป็นอีกหนึ่งแชนแนลที่ทำให้เราขายเนื้อออกไปได้ 

ตาล : ตอนแรกกระแสก็ไม่ดีหรอก

โต : เพราะมันเป็นช่วงหลังโควิดด้วย แล้วคนก็ไม่เดินห้าง แต่ห้างบอกเราว่า ช่วยเปิดหน่อย เราก็เปิดมาสองสาขาแล้ว ที่สามย่านมิตรทาวน์กับที่ MBK เป็นเคบับเนื้อผสมแกะ ตอนนี้กระแสตอบรับก็ดีมาก

ที่ว่าเป็นเคบับเนื้อวัวผสมกับแกะ มันทำให้ต้นทุนสูงไหม

ตาล : เรื่อง cost สูงอย่าไปถามคนคนนี้ (ชี้ที่โต) เขาไม่รู้หรอก

โต : (ยิ้ม) ผมไม่รู้ ผมแค่อยากกินแบบนี้

ตาล : เวลาเอาเรื่อง cost มานั่งเถียงกันผมแพ้ทุกที เพราะถ้าเราเอาเรื่อง cost มาตั้งเป็นหลัก มันก็จะไม่เกิดอะไรใหม่ๆ ขึ้น มันจะไม่เกิดสิ่งที่ดีที่สุดขึ้น

โต : ผมบอกว่าถ้าราคาถูกแล้วคนไม่ชอบจะเอาไหม สุดท้ายก็เลยต้องเลือกทำออกมาให้คนชอบก่อน เอาเรื่องรสชาติมาก่อน ส่วนเรื่อง cost ให้ตาลเขาไปจัดการเอาเอง ผมไม่เกี่ยวแล้ว (หัวเราะ)

ตาล : ครับ ผมจัดการได้ แต่คุณเป็นหนี้เพิ่มนะ (ยิ้ม) ไม่หรอก คือผมเชื่อว่าถ้าทำในสิ่งที่ดีที่สุดมันก็ดีที่สุด

โต : คือถ้าเราเถียงกันแล้วเหตุผลเขามันเหนือกว่าผม ผมก็เออ เอาเลย เปลี่ยนเลย แต่ถ้าเหตุผลผมดีกว่า เขาก็ฟังผมไง เพราะเราแค่ต้องการสิ่งที่ดีที่สุด มันไม่ใช่การเถียงกันเพื่อหาว่าใครแจ๋วกว่ากัน เพราะหนี้เราก็แบกมาด้วยกัน เพราะฉะนั้นทำยังไงให้หมดหนี้ ก็ต้องทำในสิ่งที่ดีที่สุด

ตาล : โตเขาจะไม่เอาปัญหาตรงหน้ามาข้องเกี่ยวกับการตัดสินใจเพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุด แต่ผมเป็นคนอย่างนั้นนะ ซึ่งตรงนี้สำคัญ เราต้องการคนแบบโต เพราะถ้าเป็นแบบผม ผมจะเอาปัญหาตรงหน้ามาเป็นกำแพง แบบนั้นเราจะไม่ได้สิ่งที่ดีที่สุดออกมา มันเลยต้องมีคนแบบโตนี่แหละ มันต้องแบ่งพาร์ตกันทำ

พูดถึงการแบ่งพาร์ตการทำงาน คุณทั้งสองแบ่งพาร์ตการทำงานกันยังไงบ้าง

โต : ผมดูเรื่องอาหาร เรื่องเมนูอาหาร ส่วนตาล เขาเก่งเรื่องการเงิน เพราะเขามาทางนี้อยู่แล้ว ก็จะให้เขาดูเรื่องเงิน เรื่องการบริหารไป ส่วนผมดูเรื่องอาหาร การสื่อสารว่าทำยังไงให้คนรู้จักเรา ทำยังไงให้คนรู้ว่าเราทำอะไรอยู่ แต่ผมก็มีให้คุณตาลเขาช่วยเหมือนกันนะ 

เพราะคุณตาลเขาเป็นคนกินอาหารแมส เขาจะรู้ว่าอาหารแบบไหน รสชาติแบบไหนที่คนส่วนใหญ่จะชอบ ซึ่งไม่เหมือนกับผมที่อาจจะชอบรสชาติบางอย่างที่มันค่อนข้างเฉพาะกลุ่มและเฉพาะกิจ เพราะฉะนั้นผมก็จะให้คุณตาลชิม ถ้าเขาคอมเมนต์เมนูทดลองของผมว่า เออ หรูมาก ละมุนมาก แสดงว่าเมนูนี้ผ่าน เอาไปขายได้ จริงๆ ผมก็ให้คนชิมหลายคนนะ แต่หนึ่งในคนที่ผมให้ชิมก็คุณตาลนี่แหละ

แต่บางทีต่อให้ตาลและทุกคนที่ผมเอาไปให้ชิมเขาไม่เอา ผมก็จะเอามาขายอยู่ดี เพราะผมชอบ ผมจะสื่อสารให้คนเข้าใจว่าต้องเอาสมองไปเพ่งกับรสชาติไหน แล้วคุณจะรับรู้ได้ถึงเสน่ห์ของมัน

ตาล : โตเขาเป็นลีดเดอร์ แต่ผมมองว่าผมเป็นเมเนเจอร์มากกว่า

โต : ก็ลีดกันคนละอย่าง ถ้าเรื่องการเงินผมไม่เถียงเขาเลยนะ ผมให้เขาตัดสินใจไปเลย ผมไม่ยุ่ง ไม่ต้องมาบอกผม

ตาล : ไม่รู้เลยไม่ได้ ต้องรู้บ้าง (หัวเราะ) คือผมยังไม่ค่อยเป๊ะเท่าไหร่ แต่โตเขาจะรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกต้องและเขาจะไม่ประนีประนอม ผมว่านี่คือสิ่งสำคัญมาก

ที่ว่าไม่ยอมประนีประนอมหมายถึงเรื่องอะไรบ้าง

ตาล : ผมหมายถึงทุกสิ่งเลย อย่างเช่น ถ้าเขามั่นใจในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เขาจะไม่มีโมเมนต์ที่ไม่มั่นใจ เขาจะไม่มีเอ๊ะ พวกสถานที่ที่จะเปิดร้าน คอนเซปต์ร้าน โตเขาเหมือนมีภาพสุดท้ายอยู่ในหัวของเขา ซึ่งนี่คือสิ่งที่ผมไม่มี เพราะฉะนั้นถ้าเขาบอกว่าอันนี้ใช่ ผมก็ต้องให้เขาทำ เพราะผมยังคิดภาพไปไม่ถึงหรอก ผมยังนึกไม่ออก 

เพราะฉะนั้นเราต้องลีดด้วยวิชั่น แล้วเราเอา operation ตาม โตเขาจะคิดออกมาเลยว่าโปรดักต์เป็นอะไร แบรนดิ้งเป็นยังไง ลูกค้ามาแล้วจะต้องทำให้พวกเขารู้สึกยังไง ทั้งหมดนี้ต้องให้โตเขาคิดนำผมไปก่อน แล้วที่เหลือให้เขาโยนมา ผมก็จะไปหาทางทำให้แผนการเงินมันซัพพอร์ตสิ่งที่โตเขาคิดให้มันเกิดขึ้นให้ได้ เพราะฉะนั้นเราจะไม่เอาเรื่องเงินขึ้นก่อน ถ้าเราเอาเรื่องตัวเลขเรื่องการเงินขึ้นมานำก่อน มันก็จะไม่ไปไหน มันจะไม่ไปข้างหน้า

โต : คือโชคดีที่ผมกับตาลมาเจอกัน มันเลยพอดีกัน ที่เราได้มีสิ่งที่มีมาสนับสนุนกันทั้งคู่ อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญคือเรื่องของศาสนา อันนี้ทำให้ผมไว้ใจเขา จริงๆ ผมไม่ไว้ใจใครเลยนะ แต่ผมไว้ใจเขา อุดมการณ์ที่เราทำธุรกิจตรงนี้ เพราะเราต้องการเอารายได้เมื่อเรามีกำไรมหาศาลแล้ว เอาไปทำงานสังคมเป็นหลัก ผมกับตาลเลิกอาชีพเก่าโดยที่จริงๆ เรายังไม่ต้องเลิกก็ได้ 

ถ้าผมยังต้องการหาเงินเพื่อมาบำเรอตัวเอง ผมก็คงยังใช้ชีวิตแบบเดิมได้ แต่เนื่องจากผมกับตาลรู้จักกันด้วยการทำงานศาสนา ทำงานสังคม เราเลยอยากหาเงินเพื่อมาทำงานสังคมโดยที่เราไม่ต้องขอเงินบริจาคจากพี่น้อง อันนี้คือเจตนาของเรา พออุดมการณ์มันตรงกัน มันเลยมีความไว้ใจซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้นการแบ่งพาร์ตเราเลยแบ่งกันอย่างชัดเจน และเราก็ไว้ใจกัน ซึ่งตรงนี้สำคัญมาก

คนมักจะพูดว่าถ้าสนิทกับใครอย่าชวนกันมาทำธุรกิจ คุณคิดเห็นยังไง

โต : ก็เขาต้องการหาเงินมาเพื่อเข้ากระเป๋าตัวเอง แต่ผมกับตาลทำงานร้านอาหารเพื่อหาเงินมาทำงานสังคม เพราะฉะนั้นสุดท้ายเงินไม่ใช่เงินของผมกับตาลอยู่ดี มันเป็นเงินของสังคม

ตาล : ทุกวันนี้โตเขายังไม่สนเรื่องเงินอยู่ ไม่สนใจเลย โตเขาไม่สนใจเรื่องวัตถุ เรื่องรายได้ จะรวย จะได้เท่าไหร่ เขาไม่สนใจเลย

โต : ตาลเขาก็เป็นแบบนั้นเหมือนกันนั่นแหละ เขาไม่สนเรื่องวัตถุ และคนที่เขาทำงานกับเราที่บริษัท อย่างเชฟ อย่างผู้จัดการฝ่าย HR ทุกคนที่เขาเข้ามาทำงานกับเรา เขาต้องการทิ้งเรื่องความปวดหัวเรื่องวัตถุนิยมเหล่านี้ไปเหมือนกัน 

เขาจึงมาทำงานกับเราเพราะเขามีเจตนาเดียวกับเรา เราก็ต้องดูแลให้พวกเขาได้มีเงินเดือนเลี้ยงดูครอบครัวเขาได้ แรงกายทั้งหมดที่พวกเขาทำงาน พวกเขาทำเพื่อที่ว่าสุดท้ายแล้ว ธุรกิจที่โตขึ้นมันจะนำพาเราให้สามารถไปทำงานสังคมต่อไปได้อีก เพราะฉะนั้นทุกคนเข้ามาทำงานกับเราด้วยเป้าหมายเดียวกันกับเรา 

ตาล : อุดมการณ์เป็นสิ่งสำคัญมากนะ มันจะทำให้การตัดสินใจหลายๆ อย่างเราไม่ต้องมานั่งเถียงกัน เรารู้ว่าเราทำอะไร เพราะอะไร อะไรผิดอะไรถูก

โต : แต่ตาลเขาไม่ได้ทำตามอุดมการณ์ผมนะ เขาทำตามหลักการศาสนา เพราะฉะนั้นทิศทางทุกอย่างมันเดินไปในทิศทางเดียวกัน อย่างเรื่องที่ตัดสินใจมาทำธุรกิจอาหาร เราทำเพราะมันก็มีผลบุญนะ เพราะเราทำให้คนมีความสุขได้จากการกิน คุณภาพของอาหารที่มันออกมาดีเพราะมันออกมาจากเจตนาที่ดี ราคาเราก็ดึงลงให้มันลงมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จนตาลก็บอกผมว่าเราดึงลงขนาดนี้เราเริ่มจะเจ็บแล้วนะ

ทั้งสถานการณ์โควิด-19 และสงครามยูเครน-รัสเซีย ทำให้ต้นทุนขึ้นบ้างไหม แล้วพวกคุณทำยังไง

โต : cost ขึ้นไป 30-40% ณ ตอนนี้ เราก็ต้องขึ้นราคาในบางเมนู 

ตาล : เราขึ้นบางเมนู แต่บางเมนูที่คนต้องกินทุกวัน เราก็ต้องพยายามดึงไว้ คือเราตั้งใจให้ ‘เนื้อแท้’ เป็นร้านที่ขายอาหารดีที่คนกินได้ทุกวัน เพราะฉะนั้นถ้าบางอย่างราคามันสูงไปมากกว่านี้ เราก็จะเสียคอนเซปต์ตรงนี้ไป ถ้าคนเขาจะมากินที่ร้านเรา แล้วเขาต้องคิดเยอะ อันนี้มันจะไม่ใช่เจตนาของเราแล้ว โอเค บางเมนูที่ luxurious หน่อย เช่น สเต๊ก มันจำเป็นต้องขึ้นก็ต้องขึ้น บางเมนูที่เราไม่ได้กำไร เราก็จำเป็นต้องตัดทิ้ง

ด้วยวิธีคิดที่ว่าอยากให้คนมากินทุกวัน จึงไม่ขึ้นราคา แล้วมันส่งผลต่อรายได้ไหม

โต : กำไรเราน้อยครับ เราก็เลยพยายามจะเปิดร้านอาหารเพิ่ม เพื่อให้ volume มันเพิ่มขึ้นมา

ตาล : เราไม่ใช่ร้านอาหารที่จะได้กำไรเยอะเหมือนร้านอาหารทั่วไปอยู่แล้ว โตเขาบ่นบ่อยๆ ว่า ร้านเราที่ขายดีขนาดนี้ มันควรจะกำไรมากกว่านี้หรือเปล่า ทำไมเรายังต้องกระเสือกกระสนขนาดนี้ ก็ว่ากันไปครับ แต่ยังไงเราก็จะไม่เสียคอนเซปต์ที่เราตั้งใจไว้ เดี๋ยวเราจะพยายามหาทางลด cost ลง ผมว่ามันจะมีศาสตร์ของมันอยู่ครับในการจัดการเรื่อง operation ให้มันดึงต้นทุนให้ลงมาได้อีก

โต : จริงๆ ถ้าผมจะเอากำไร ผมก็ใส่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปในเมนูตั้งแต่แรก ผมก็รวยแล้ว แต่อย่างที่บอกว่าผมมีหลักการ ผมมีอุดมการณ์ของผม และผมมีหลักการศาสนาของผม เพราะฉะนั้นผมไม่ต้องการเงินที่ได้มาจากสิ่งต้องห้ามที่ศาสนาห้าม เรื่องเหล้า สุรา นี่ไม่ได้เลย และผมไม่อยาก overcharged คนด้วยเพราะผิดหลักการอีก ดังนั้นผมก็ดึงราคาเท่าที่ดึงได้ แต่จะเสียใจเล็กน้อยตอนที่คนบอกว่าอาหารแพง ผมก็คิดในใจ แพงเหรอวะ กูจะตายอยู่แล้ว 

ตาล : โต เขาเคยสัมภาษณ์ในรายการป๋าเต็ดทอล์กว่า หลักการอิสลามจะให้เราซื้อแพงแล้วขายถูก คือกับซัพพลายเออร์เราต้องอย่าไปกดราคาเขา ให้เขาได้สบายใจที่จะทำงาน หาของ พัฒนาสินค้ามาให้เรา อย่างฟาร์มวัว พอเขารู้ว่าเราเต็มที่กับเขา เขาก็เต็มที่กับเรา แล้วเวลาขายก็อย่าไปค้ากำไรเกินควร คือทำให้ราคามันพอดี คนจะได้มาบริโภคเยอะๆ จำนวนคนมาบริโภคเยอะๆ เราก็จะได้อยู่ได้ เราก็ทำตามหลักการนี้ เพราะเราเชื่อว่ามันคือสูตรสำเร็จ

การทำแบบที่คุณว่ามันต้องใช้เวลานานกว่าปกติไหมในการจะประสบความสำเร็จ

โต : ที่ผ่านมาผมไม่ได้ดังตั้งแต่เพลงแรกอยู่แล้ว ผมใช้เวลา 4 ชุด กว่าคนจะรู้จักผม ซึ่งนั่นใช้เวลาหลายปีนะกว่าผมจะดัง

ตาล : ถ้าเทียบกันกับธุรกิจอาหาร ตอนนี้เราอยู่ที่ชุดที่เท่าไหร่แล้ว พวกเราตอนนี้เนี่ย

โต : ก็น่าจะสักชุด 4-5 แล้วแหละ (ยิ้ม) ตอนนี้ดังแล้ว แต่เงินยังไม่มา ถ้าเป็นเมื่อก่อนนะ ดังแล้วได้เงินด้วย (หัวเราะ)

ตาล : ตอนนี้น่าจะประมาณ ชุด Mint

โต: เรามาแบบค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปครับ ผมเชื่อในการสร้าง foundation ที่ดี กัดฟันนิดนึง 

ถ้าดังเร็ว มันก็อาจจะไปเร็ว แต่ถ้าคนเขารู้จักและมั่นใจในอุดมการณ์ของเรา เขาก็จะยืนอยู่กับเรา และยิ่งเขามั่นใจว่ารสเนื้อเราเหมือนเดิมนะ รสอาหารเราเหมือนเดิมนะ ทุกอย่างเรารักษาอุดมการณ์และมาตรฐานไว้เหมือนเดิมและไว้ใจได้ มันจะอยู่ในจิตสำนึกของเขา ทุกอย่างมันต้องใจเย็น ผมเชื่ออย่างนั้นนะ

ตาล : ไม้ยืนต้นกับไม้ล้มลุก มันไม่เหมือนกันนะ ไม้ยืนต้นมันใช้เวลาแต่มันก็จะมั่นคง ไม้ล้มลุกมันอาจจะขึ้นเร็ว แต่เดี๋ยวมันก็ไป ทุกอย่างมันอาจจะดูมีปัญหา แต่เดี๋ยวมันก็มีทางไปของมัน

ตอนนี้มีหลายร้านหลายสาขา แล้วคุณบริหารคนยังไง

โต : ช่วงนี้ผมกับตาลหละหลวมนิดนึงตรงนี้ เพราะพวกผมวุ่นกับปัญหาการเงิน เพราะร้านเพิ่งจะฟื้นจากโควิด มันเลยมีเรื่องการเงินที่เราต้องปรับระบบใหม่หลายๆ อย่าง พวกเราก็เลยค่อนข้างละเลยเรื่องคน เดี๋ยวต้องกลับไปดูเรื่องคนแล้ว

ปกติตอนที่บริษัทยังเล็กๆ ผมต้องไปพูดทุกที่ ทุกสาขา กับพนักงานทุกคนเรื่องอุดมการณ์ของบริษัท และถ้าใครไม่พอใจเชิญออกได้เลย  เพราะฉะนั้นคนที่เข้ามาทำงานกับเรา คือคนที่เข้ามาด้วยอุดมการณ์เหมือนกันหมด โดยเฉพาะคนรุ่นเก่าๆ พนักงานรุ่นแรกๆ คนพวกนี้อยู่ยาวมาก ตอนนี้กลายเป็นหัวหน้าหมดแล้ว แต่คนรุ่นใหม่ๆ ที่เข้ามา บางทียังไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำว่าผมเป็นใคร 

เดี๋ยวผมกับตาลเคลียร์เรื่องการเงินจบแล้ว ผมต้องเข้าไปพูดให้พวกเขาฟังว่า การมาทำงานที่นี่ไม่ใช่เพียงเพื่อให้ได้เงินเดือน แต่สิ่งที่พวกเขาทำ เพราะในอนาคตมันจะได้เอาไปต่อยอดเป็นงานเพื่อสังคม ถ้าเขารู้ว่าสิ่งที่พวกเขาทำมันมีคุณค่า ผมว่าพวกเขาจะทำงานอย่างมีไฟนะ สำหรับผมอุดมการณ์คือสิ่งที่ทำให้คนอยู่บนเรือลำเดียวกัน เราอยากให้คนประเภทเดียวกัน อุดมการณ์เดียวกันมาอยู่ด้วยกัน

ก็คือคุณเอาอุดมการณ์นำทาง เอาคนที่มีอุดมการณ์เหมือนคุณมาทำงานร่วมกัน

โต : ไม่ใช่แค่นั้นนะครับ เราก็ต้องดูแลให้คนภายใน ให้พี่น้องของเรา ให้เขามีความสุขด้วย คิดเผื่อเขาว่าอนาคตเขาจะเป็นยังไง เขาจะโตต่อไปในหน้าที่การงานเขาได้ยังไง เพราะทุกคนเขาก็อยากจะสบายในอนาคต คำว่างานสังคมของเราเริ่มตรงนี้ก่อน สังคมวงในของเรา แล้วค่อยออกไปสู่สังคมข้างนอก

ตาล : งานสังคมต้องเริ่มจากครอบครัวก่อน แล้วก็ไปที่คนรอบข้าง คนในบริษัท 

ได้ยินข่าวมาว่าภายในปี 2570 คุณจะพยายามขยายสาขาจนพา Company B เข้าตลาดหลักทรัพย์ให้ได้

โต : ใช่ ใจจริงผมไม่ได้อยากมีหลายสาขาเลย ผมอยากมีสาขาเดียวเพราะมันจัดการง่าย แต่เราต้องการเงินและเราอยากระบายสต็อกเนื้อของเรา ตาลเขาเลยบอกผมว่ามันมีแค่ทางเดียวคือเราต้องขยายสาขา และเราต้องเข้าตลาดหลักทรัพย์หาคนมาลงทุน

ตาล : ไม่มีทางเลือกอีกแล้วครับงานนี้

โต : ใช่ ไม่มีทางเลือกอีกแล้ว ผมกู้เงินก็ไม่ได้ ผมต้องมาหาตลาดทุน เพราะเราไปตลาดการเงินไม่ได้ ผมจะทำยังไงถ้าผมอยากได้คนมาลงทุนเพิ่ม ผมก็ต้องเอาบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ให้เป็นของมหาชน และคนทุกคนสามารถดูงบการเงินของเราได้

มันจะโปร่งใส เป็นทางเดียวแบบที่ตาลบอกผมว่า ถ้าเรามีแค่ทางเลือกเดียว งั้นทางเลือกเดียวนี้ต้องดีที่สุดสำหรับเรา ประกอบกับมีนักลงทุนมาเชื่อใจและสนใจลงทุนร่วมกับเราพอจะทำให้เรามีเงินก้อนไปต่อได้ช่วงโควิดด้วย

ตาล : คือมันเป็นคำสัญญาที่เราให้กับนักลงทุน นักลงทุนทั้งกองทุน และ investor คนอื่นๆ เขาเชื่อใจและสนใจจะมาลงทุนกับเราช่วงโควิด ช่วงที่ทุกอย่างมันเนกาทีฟไปหมด แต่เขาก็ยังมาลงทุนกับเรา ยังเชื่อในเรา แล้วพอเขามาลงทุน เขาก็ต้องอยากได้ capital gain กลับไป ถูกไหมครับ 

มันเลยเป็นคำสัญญาที่เราให้กับเขา แต่มันก็ทำให้เราได้เจอกับประตูบานใหม่ๆ นะครับ เช่น ตลาดทุน นักลงทุน การจัดการข้อมูลต่างๆ ที่เป็นมาตรฐานที่สูงขึ้น ซึ่งของพวกนี้เราไม่เคยคิดถึงมันมาก่อนเลยนะ แต่มันเป็นเรื่องดีหมดเลย

โต : ใช่ เป็นเรื่องดี

ตาล : ดีและเหนื่อยขึ้นเยอะนะ กับการทำให้ระบบต่างๆ มันเข้ากับมาตรฐานตลาดทุน มันทำให้เราเหนื่อยขึ้นแหละ แต่มันเป็นเรื่องดีนะ มันเป็นระบบมากขึ้น และตลาดทุนมันเป็นตัวที่จะทำให้เรามีเงินทุนพอที่จะ sustain ธุรกิจต่อไป

ตั้งแต่ตอนที่เริ่มทำธุรกิจด้วยกันเคยคิดไหมว่าวันนึงจะมีร้านอาหารที่มีสาขามากมายและเราจะต้องนำกิจการเข้าตลาดทุน

โต : ไม่เคยคิดหรอกครับ

ตาล : หกเดือนที่แล้วเราก็ไม่คิดแบบวันนี้หรอก คือพระเจ้าจะพูดว่า บางเรื่องเราคิดว่ามันเป็นเรื่องไม่ดีสำหรับเรา แต่มันเป็นเรื่องที่ดีหากเจ้ารู้ อย่างโควิดมันไม่ใช่เรื่องดีหรอก ใช่ไหม การล่มสลายของร้านอาหารก็ไม่ใช่เรื่องดีใช่ไหม แต่พอเรามองตอนนี้แล้วได้เห็นว่า เหตุการณ์ที่เกิดหลังจากโควิด อย่างตอนนี้มันดีมากกว่าตอนที่พวกเราประสบปัญหาเรื่องวิกฤตโควิดมาก จนเราหันกลับไปมองน้ำตาก็จะไหลนะ

โต : ถ้าเราไม่ผ่านโควิดมาเราก็จะไม่รู้หรอก

ตาล : ว่ามันมีเรื่องดีๆ ที่รอเราอยู่อย่างมหาศาล มันเปิดประตูให้เราออกไปเจอโอกาสเต็มไปหมด

สุดท้ายคุณคิดว่าแก่นแท้ของการทำธุรกิจของคุณทั้งสองคืออะไร

ตาล : แก่นคือทำให้ดี ทำให้ดีที่สุด เพราะพระเจ้าดูอยู่ แค่นั้นเองครับ

โต : และถ้ามันได้กำไร เราก็เอาไปทำงานสังคมต่อไป มันไม่ใช่เงินของตาลหรือของผม มันเป็นของสังคม

ชวนทายาทรุ่นที่สามของ ‘ขายหัวเราะ’ มาเลือกหยิบ 10 สิ่งที่เป็นที่สุดมาใส่ตระกร้า

ขายหัวเราะ

ขายหัวเราะ add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

ขายหัวเราะ

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

รวมมิตร 7 แบรนด์ต่างชาติหัวใจไทย กับแรงบันดาลใจที่ใช้คำไทยตั้งชื่อ

หากจะพูดถึงแบรนด์ที่เลือกใช้ชื่อข้ามประเทศข้ามภาษา มั่นใจว่าทุกคนคงจะคิดถึงแบรนด์ไทยแท้ในนามแฝงอินเตอร์อย่างฮาตาริ ไซโจเด็นกิ หรือยัสปาล

แต่ถ้าจะเล่าถึงชื่อแบรนด์ที่คนส่วนใหญ่รู้ที่มาที่ไปกันดีอยู่แล้ว หรือแนะนำแบรนด์ไทยที่ใช้ชื่อต่างประเทศนั้นหลายคนก็อาจจะพอรู้ข้อมูลกันมาบ้าง เพราะฉะนั้น คอลัมน์ Brand Name จึงอยากชวนมองมุมกลับ ปรับมุมมอง ไปเยี่ยมชม 7 แบรนด์ต่างชาติ (และแบนด์ต่างชาติ ที่ในแง่หนึ่งก็นับเป็นแบรนด์ในแวดวงอุตสาหกรรมดนตรีเช่นกัน) ที่เลือกใช้ชื่อภาษาไทยแทน

คำไทยๆ ที่ว่าจะเป็นคำว่าอะไร มีแรงบันดาลใจการตั้งชื่อมาจากไหน แล้วทำไมภาษาไทยถึงตอบโจทย์ เชิญทุกคนหาคำตอบกันได้

ตุ๊กตา (TUKATA)

ตุ๊กตา แบรนด์สัญชาติเกาหลีที่ขายสินค้าตรงตัวตามชื่อ แรกเริ่มเดิมทีเป็นที่รู้จักจากตุ๊กตาหน้าตาน่ารักในรูปทรงผักหลากสี จนตอนนี้แตกแขนงเป็นตุ๊กตาลายสัตว์ กระเป๋าผ้า แก้วน้ำ พรมเช็ดเท้า พวงกุญแจ และสารพัดของกุ๊กกิ๊กอีกหลายอย่าง ภายใต้การดูแลของ จอง ฮายอง (Jeong Ha Young) และ อี ฮโยจิน (Lee Hyo Jin)

ถ้าจะพูดถึงที่มาของชื่อภาษาไทย คงต้องย้อนกลับไปในปี 2556 ตอนฮายองมาเป็นอาสาสมัครในกิจกรรมบริจาคตุ๊กตาให้กับเด็กกำพร้าที่จังหวัดเชียงราย เมื่อได้ยินเด็กๆ พากันดีใจร้องเรียก “ตุ๊กตา! ตุ๊กตา!” ราวกับได้เห็นสิ่งล้ำค่า เธอจึงเกิดแรงผลักดันให้ก่อตั้งแบรนด์ของตัวเองขึ้นมาด้วยชื่อดังกล่าวในปี 2561 โดยทั้งฮายองและฮโยจินตั้งใจให้ตุ๊กตาของพวกเขาเป็นเพื่อนยามเหงา และเป็นตัวช่วยในการค้นหาความสงบสุขประจำวันจากสิ่งของเรียบง่ายรอบตัว

ซึ่งนอกจากแบรนด์จะใช้ชื่อตุ๊กตาเป็นภาษาไทยแล้ว สิ่งที่ล้ำยิ่งกว่าคือตุ๊กตารูปพริกก็ยังไม่วายมีชื่อว่า TUKATA PRIK GREEN และ TUKATA PRIK RED ไปอีก!

สนุก (SANUK)

แบรนด์รองเท้าที่อยากให้ทุกๆ เท้าสนุกสนานสมชื่อ ด้วยวัสดุจากธรรมชาติอย่างยางพารา ผ้าแคนวาสจากฝ้าย และผ้าใยกัญชง แปรรูปเป็นรองเท้าแฮนด์เมดที่เจ้าของแบรนด์เคลมแรงว่าจะใส่แบบไหนก็แล้วแต่ศรัทธา หุ้มส้นก็ได้ เหยียบส้นก็ดี เรียกได้ว่าเอาที่คนใส่สบายใจ

สนุก ก่อตั้งขึ้นทางใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนียในปี 2540 ใต้หลังคาโรงรถของ เจฟ เคลลี (Jeff Kelley) และรองเท้าแตะที่ทำจากพรมอเนกประสงค์สีเขียวอีกหนึ่งคู่ ด้วยความสะดวกสบายยามสวมใส่ ไม่นานสนุกจึงขยับขยายตลาดออกไปทั่วสหรัฐอเมริกาและส่งออกอีกกว่า 70 ประเทศทั่วโลก แถมพ่วงด้วยตำแหน่งผลิตภัณฑ์รองเท้ายอดเยี่ยมแห่งปี 2553 จากเวที SIMA (The Surf Industry Manufacturers Association)

ส่วนที่มาของชื่อสนุก เจฟอธิบายไว้ในบทสัมภาษณ์ว่าทุกวันนี้ชื่อธรรมดาๆ นั้นถูกหยิบไปใช้หมดแล้ว ดังนั้นเขาจึงมองหาคำที่จะมั่นใจได้ว่าแปลกใหม่ไม่ซ้ำใคร และทันทีที่เพื่อนของเจฟเสนอคำไทยอย่าง ‘สนุก’ ให้ เจ้าตัวจึงรีบรับไอเดียนั้นไว้ และเริ่มออกแบบโลโก้หน้ายิ้มที่ใช้มาจนปัจจุบันในทันที

นอกจากนี้ เจฟยังบอกอีกว่าในวินาทีที่ค้นพบคำว่า ‘สนุก’ นั้น เขาเหมือนได้เจอกับคำที่สามารถอธิบายเนื้อแท้ของแบรนด์ที่เขาอยากจะสร้างเลยทีเดียว

เครื่องบิน (KHRUANGBIN)

“เราตกหลุมรักเพลงของดาว บ้านดอน, สุดรัก อักษรทอง, ดอน สอนระเบียบ, ฉันทนา กิติยพันธ์, ชาย เมืองสิงห์, อรอุมา สิงห์ศิริ, พิมพา พรศิริ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งวงดิอิมพอสซิเบิ้ล”

มาร์ค สเปียร์ (Mark Speer) เล่าถึงบล็อก Monrakplengthai และเพลงลูกกรุงในยุค 60s ที่เขาชื่นชอบ จนนำพามาซึ่งแรงบันดาลใจในการทำเพลงวงตัวเอง มาร์คเป็นมือกีตาร์ประจำ วงเครื่องบิน วงทรีโอ้จากรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา ซึ่งมีซาวนด์จัดจ้านจากการผสมสานทั้งแนวคลาสสิกโซล, ดั๊บ และร็อก วงเครื่องบินประกอบไปด้วยสมาชิกอีก 2 คน ได้แก่ โดนัลด์ จอห์นสัน (Donald Johnson) มือกลอง และลอร่า ลี (Laura Lee) มือเบส

คำว่า ‘เครื่องบิน’ ถูกนำมาใช้เป็นชื่อวงในงานเล่นสดครั้งแรกโดยลอร่า ซึ่งในขณะนั้นกำลังเรียนภาษาไทยออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ Rosetta Stone ด้วยเหตุผลง่ายๆ ที่ว่าเธอชอบการออกเสียงของคำคำนี้ ถึงอย่างนั้น มาร์คก็ยังแอบเสริมว่าถ้ารู้ล่วงหน้าว่าวงจะดัง คงไม่เลือกใช้ชื่อวงที่ออกเสียงยากขนาดนี้หรอก (อ้าว!)

อร่อย (AROI)

ชื่อนี้ไม่บอกก็รู้ว่าต้องเป็นแบรนด์เกี่ยวกับอาหารอย่างแน่นอน ซึ่งถูกต้อง แต่ที่พิเศษขึ้นมาอีกหน่อยคือ อร่อย ไม่ใช่แค่ร้านอาหารไทยในต่างแดนที่มักจะตั้งชื่อภาษาไทยกันเป็นปกติ แต่เป็นร้านอาหารเอเชียนฟิวชั่นที่มีให้เลือกสรรตั้งแต่สตรีทฟู้ด อาหารมังสวิรัติ ไปจนถึงเมนูปราศจากกลูเตน โดยมีที่ตั้งอยู่ในเมืองคิลเคนนี ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศไอร์แลนด์

ฟาดีลาห์ มอกห์ตาร์ (Fadilah Mokhtar) หัวหน้าเชฟประจำร้านอร่อยยืนยันความอร่อยของตัวเองด้วยรางวัลการันตีมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Most Authentic Asian Fusion Restaurant Ireland ในปี 2561 Best Asian Fusion Chef Ireland และ Best Asian Fusion Restaurant Ireland ในปี 2562 แถมยังเข้าชิงรางวัล Restaurants Association of Ireland ถึง 3 ปีซ้อนตั้งแต่ปี 2560 ถึง 2562

กิมมิกอีกอย่างของร้านคือทุกๆ วันอังคารจะเป็นวัน Movie Night ซึ่งแขกสามารถสั่งเซตอาหารจานหลัก ไอศครีมเจลาโต แถมตั๋วเข้าชมภาพยนตร์หนึ่งใบได้ในราคา 18 ยูโร ยังไม่หมดเท่านั้น ในวันพฤหัสบดีที่ร้านอร่อยคือค่ำคืน Ladies Night ที่เมื่อสุภาพสตรีสั่งเมนูเรียกน้ำย่อยคู่กับจานหลัก ทางร้านจะมอบโปรเซคโก้ เครื่องดื่มสปาร์กกลิงไวน์ให้ไปนั่งจิบกันสวยๆ แบบไฮซ้อไฮโซอีกหนึ่งแก้ว

หมวก (Muak)

เช่นเดียวกับแบรนด์ตุ๊กตาที่ขายตุ๊กตา ร้าน หมวก เองก็ขายหมวกตามชื่อ ง่ายๆ ซื่อๆ ไม่อ้อมค้อม 

หลายคนอาจคุ้นหูคุ้นตากันมาบ้างเนื่องจากหมวกมีหน้าร้านในกรุงเทพฯ ถึงสี่สาขา ไม่ว่าจะเป็นที่สยามดิสคัฟเวอรี่, เอ็มโพเรียม, เซ็นทรัลชิดลม และไอคอนสยาม แต่รู้หรือไม่ว่าแท้จริงแล้วแบรนด์หมวกมีจุดเริ่มต้นมาจากจังหวัดเชียงใหม่ ณ ถนนนิมมานเหมินทร์ซอย 9 โดยดีไซเนอร์ชาวญี่ปุ่น ซาโตชิ อาซาโนะ (Satoshi Asano) และเอมิ อาซาโนะ (Emi Asano) ที่ตัดสินใจย้ายบ้านมาลงหลักปักฐานในประเทศไทย

จากความสนใจในศาสตร์หัตถกรรมท้องถิ่นทางภาคเหนืออันละเอียดลออพิถีพิถัน พวกเขาจึงจุดประกายอยากทำหมวกที่รวมทั้งแฟชั่นและการใช้งานได้จริงเข้าด้วยกันขึ้นมาบ้าง

ด้วยวัสดุท้องถิ่นและวิธีการถักทอที่ทั้งคู่เรียนรู้มาจากช่างฝีมือในจังหวัดเชียงใหม่ ผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นภายใต้แบรนด์หมวกจึงเหมาะเป็นอย่างยิ่งกับการใช้งานในประเทศไทย เพราะทั้งน้ำหนักเบา พกพาง่าย แถมยังระบายอากาศได้ดีอีกด้วย

สยามมิส แคทส์ (Siamese Cats)

ไม่ใช่แค่ชื่อภาษาไทยเท่านั้น แต่ชื่อพันธุ์ไทยแบบนี้เราก็นับ!

สยามมิส แคทส์ คือวงดนตรีอินดี้ป๊อปจากเมืองอุรายาสุ จังหวัดชิบะ ประเทศญี่ปุ่น ประกอบไปด้วยสมาชิกที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่มัธยม 4 คน ได้แก่ โทโมยูกิ นัตสึเมะ (Tomoyuki Natsume) นักร้องนำและกีตาร์, ชินอิจิ สุกาวาระ (Shinichi Sugawara) มือกีตาร์ ร้องประสาน และแต่งเพลง, โทโมยูกิ โอตสึกะ (Tomoyuki Otsuka) มือเบส และโยริมาสะ ฟูจิมูระ (Yorimasa Fujimura) มือกลอง ซึ่งถ้านับจนถึงปัจจุบัน แมวสยามทั้งสี่ชีวิตนี้ก็เดินบนเส้นทางสายดนตรีมาแล้วร่วม 13 ปี พร้อมผลงานถึง 5 อัลบั้มเต็ม 2 มินิอัลบั้ม และซิงเกิลอีกมากมาย

ในส่วนของชื่อวงที่แปลว่าแมววิเชียรมาศนั้น นัตสึเมะกล่าวว่าเป็นเพราะแมวเป็นสัตว์เลี้ยงที่นิยมโดยทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งแมวพันธุ์ไทยที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในหลายประเทศ เปรียบเสมือนเสียงดนตรีที่สามารถหลอมรวมคนจากทุกถิ่นทุกพื้นที่เข้าไว้ด้วยกัน

ถึงตรงนี้ ฟูจิมูระยังเล่าอีกว่าพวกเขามีตัวเลือกชื่อวงมากมาย แต่สุดท้ายชื่อที่ได้รับเสียงโหวตมากที่สุดก็คือสยามมิส แคทส์นั่นเอง

หมีน้อย (meenoi)

เห็นชื่อแล้วถึงกับขมวดคิ้วสงสัยว่าทำไมบี้ต้องฝืนตัวเองขนาดนี้ เพราะจริงๆ แล้วหมีน้อยไม่ได้ชื่อหมีน้อย แต่หมีน้อยชื่อว่ามีโนอิ ซึ่งมีชื่อจริงแบบจริงๆ ว่าพัค มินยอง (Park Min Young) อีกที ส่วนชื่อหมีน้อยนั้นเป็นชื่อเฉพาะที่แฟนคลับชาวไทยใช้เรียกกันเองด้วยความเคยชิน

ชื่อ มีโนอิ จดสูจิบัตรแจ้งเกิดในวงการเพลงเกาหลีครั้งแรกเมื่อปี 2562 ในฐานะนักร้อง แรปเปอร์ และโปรดิวเซอร์ ครบจบในตัวคนเดียว ปัจจุบันเธอสังกัดอยู่กับ 8BallTown ซึ่งเป็นค่ายลูกของ AOMG ค่ายฮิปฮอปตัวท็อประดับต้นๆ ของเกาหลีใต้

และถึงแม้จะเพิ่งเดบิวต์ได้ไม่ถึง 3 ปี มีโนอิก็ผลิตผลงานออกมาแล้ว 1 อัลบั้มเต็ม, 1 อีพี, 9 ซิงเกิล พร้อมผลงานฟีเจอริงอีกมากมายชนิดที่เรียกได้ว่าทั่วฟ้าเมืองโซล

อ้างอิงข้อมูล