Finding Financial Freedom as a Freelance วางแผนการเงินและวางแผนชีวิตของฟรีแลนซ์

ฟรีแลนซ์ นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

ฟรีแลนซ์ WEALTH DONE คือ คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เป็นอุปนายกสมาคมนักวางแผนทางการเงินไทย เป็นคุณครู เป็นนักเขียน และล่าสุดเป็นคอลัมนิสต์ของ Capital ที่จะมาพบผู้อ่าน ทุกวันพฤหัสบดี เว้นวันพฤหัสบดี ที่ capitalread.co เริ่มตอนแรกวันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม

หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราชาว Capital ได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital ระหว่างนี้ ตามไปทำความรู้จักคอลัมนิสต์คนใหม่ของเราได้ที่ บทสัมภาษณ์ตอนล่าสุดของคอลัมน์ ณ บัตรนั้น

นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

WEALTH DONE คือ คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เป็นอุปนายกสมาคมนักวางแผนทางการเงินไทย

หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราชาว Capital ได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital ระหว่างนี้ ตามไปทำความรู้จักคอลัมนิสต์คนใหม่ของเราได้ที่ บทสัมภาษณ์ตอนล่าสุดของคอลัมน์ ณ บัตรนั้น

นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

WEALTH DONE คือ คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราชาว Capital ได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital ระหว่างนี้ ตามไปทำความรู้จักคอลัมนิสต์คนใหม่ของเราได้ที่ บทสัมภาษณ์ตอนล่าสุดของคอลัมน์ ณ บัตรนั้น

นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

WEALTH DONE คือ คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราชาว Capital ได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital ระหว่างนี้ ตามไปทำความรู้จักคอลัมนิสต์คนใหม่ของเราได้ที่ บทสัมภาษณ์ตอนล่าสุดของคอลัมน์ ณ บัตรนั้น

นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เป็นอุปนายกสมาคมนักวางแผนทางการเงินไทย

หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราชาว Capital ได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital ระหว่างนี้ ตามไปทำความรู้จักคอลัมนิสต์คนใหม่ของเราได้ที่ บทสัมภาษณ์ตอนล่าสุดของคอลัมน์ ณ บัตรนั้น

นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เป็นอุปนายกสมาคมนักวางแผนทางการเงินไทย เป็นคุณครู เป็นนักเขียน และล่าสุดเป็นคอลัมนิสต์ของ Capital ที่จะมาพบผู้อ่าน ทุกวันพฤหัสบดี เว้นวันพฤหัสบดี ที่ capitalread.co เริ่มตอนแรกวันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม

หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราชาว Capital ได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital ระหว่างนี้ ตามไปทำความรู้จักคอลัมนิสต์คนใหม่ของเราได้ที่ บทสัมภาษณ์ตอนล่าสุดของคอลัมน์ ณ บัตรนั้น

นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เป็นอุปนายกสมาคมนักวางแผนทางการเงินไทย เป็นคุณครู เป็นนักเขียน และล่าสุดเป็นคอลัมนิสต์ของ Capital ที่จะมาพบผู้อ่าน ทุกวันพฤหัสบดี เว้นวันพฤหัสบดี ที่ capitalread.co เริ่มตอนแรกวันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม

หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราชาว Capital ได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital ระหว่างนี้ ตามไปทำความรู้จักคอลัมนิสต์คนใหม่ของเราได้ที่ บทสัมภาษณ์ตอนล่าสุดของคอลัมน์ ณ บัตรนั้น

นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เป็นอุปนายกสมาคมนักวางแผนทางการเงินไทย เป็นคุณครู เป็นนักเขียน และล่าสุดเป็นคอลัมนิสต์ของ Capital ที่จะมาพบผู้อ่าน ทุกวันพฤหัสบดี เว้นวันพฤหัสบดี ที่ capitalread.co เริ่มตอนแรกวันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม

Spirulina Society ชุดเลี้ยงสาหร่ายที่อยากให้โลกดีขึ้นด้วย 3D print และสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน

ยินดีต้อนรับเข้าสู่ Spirulina Society พื้นที่สำหรับคนเลี้ยงสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน

Spirulina Society คือแบรนด์ชุดเลี้ยงสาหร่าย Spirulina หน้าตาน่ารักสำหรับทำฟาร์มจิ๋วที่บ้าน มาพร้อมเว็บไซต์อธิบายวิธีการเลี้ยงแบบ step-by-step และเหตุผลว่าทำไมเราจึงควรเลี้ยงและกินสาหร่ายชนิดนี้

ทุกวันนี้ กระบวนการผลิตอาหารที่เรากินมีส่วนปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 26-37% ปศุสัตว์ปล่อยก๊าซมีเทนออกมาทางตด และต้องใช้น้ำ ใช้พื้นที่มากมายในการเลี้ยง เรือประมงต่างก็ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์มากมาย ไม่นับกระบวนการผลิตอาหารสัตว์ที่ปล่อยของเสียจำนวนมหาศาล

นั่นเป็นเหตุผลที่หลายคนเริ่มมองหาอาหารทางเลือกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นวิถีวีแกน การหันมาหาแมลง แหล่งโปรตีนที่ใช้พื้นที่และทรัพยากรน้อยกว่าการเลี้ยงปศุสัตว์ หรือ ‘สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน’ ที่พาเรามาเจอกับ Spirulina Society ในวันนี้

เราเลี้ยงและกินสาหร่ายไปเพื่ออะไร ผู้ก่อตั้ง Society นี้จะเล่าให้ฟัง

โปรตีนแห่งอนาคต

ถึงจะมีชื่อว่า ‘Society’ แต่ผู้ที่อยู่เบื้องหลังมีเพียง เยล–อัญญา เมืองโคตร อดีตนักเรียนสถาปัตยกรรมผู้เริ่มสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมจากการสังเกตเห็นขยะจากกระบวนการก่อสร้าง

“เราเริ่มจากตระหนักเรื่องพลาสติกก่อน จากนั้นก็เริ่มตั้งคำถามว่าสิ่งที่เราใช้ในชีวิตประจำวันหรือสิ่งที่เราออกแบบมีที่มาจากไหน อย่างคอนกรีตเราก็เพิ่งมารู้ว่าเป็นของเสีย top 3 ของโลก จริงๆ แล้วมันไม่ได้เป็นพิษเป็นภัย ไม่เหมือนพลาสติกที่เอาไปทิ้งแล้วจะปล่อยสารพิษสู่ธรรมชาติ แต่ปัญหาคือที่มาของมันที่ต้องทำเหมือง ต้องระเบิดภูเขา ดังนั้นระบบนิเวศรอบๆ จึงได้รับผลกระทบ แล้วมันก็ใช้พลังงานความร้อนสูงมากกว่าจะกลั่นออกมาได้ พอไปหาข้อมูลก็เริ่มรู้สึกว่าทุกอย่างรอบตัวมันไม่โอเคเท่าไหร่”

เมื่อไปเรียนต่อด้านโปรดักต์ดีไซน์ที่ Royal College of Art ที่ประเทศอังกฤษ ประเด็นสิ่งแวดล้อมและวัสดุทางเลือกจึงเป็นโจทย์กว้างๆ ที่เยลตั้งให้ทีสิสของตัวเอง

“ตอนเรียนปีแรกเราศึกษาเรื่องวัสดุทางเลือก ทดลองเรื่องวัสดุชีวภาพ (biomaterials) ซึ่งดีตรงที่ย่อยสลายได้แต่ข้อจำกัดคือความแข็งแรงและไม่กันน้ำ ในปีสองเราเลยเริ่มศึกษาเรื่อง alternative food หรืออาหารทางเลือก เพราะอุตสาหกรรมอาหารก็ส่งผลกระทบต่อเรื่องโลกร้อนเยอะ ทั้งเรื่องขยะอาหาร (food waste) และกระบวนการผลิตอาหาร

“โดยเฉพาะการเลี้ยงวัวในฟาร์ม การเลี้ยงวัวต้องใช้น้ำเยอะมาก วัวปล่อยมีเทน แต่เราว่าปัญหาหลักๆ มันคือเรื่อง land use หรือการใช้ประโยชน์ที่ดินไปเลี้ยงวัวในฟาร์ม ใช้ที่ดินไปปลูกถั่วเหลือง ธัญพืชไปเลี้ยงวัวแทนที่จะเอามาเลี้ยงคนโดยตรง เป็นความไม่มีประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรให้สูงสุด มันทำให้เราเริ่มเข้าใจโครงสร้างมากขึ้นว่าปริมาณน้ำและที่ดินที่ใช้ต้องน้อยนะ กระบวนการผลิตอาหารถึงจะยั่งยืนมากขึ้น

“มันก็เลยมีคนที่พยายามหาแหล่งโปรตีนทางเลือกแทนปศุสัตว์ เช่น มูฟเมนต์วีแกนที่เลิกกินเนื้อสัตว์ หรือแมลงที่เป็นซูเปอร์ฟู้ดและใช้พื้นที่เลี้ยงน้อยมากเทียบกับโปรตีนที่ผลิตได้

“แล้วเราก็ไปเจอสาหร่าย Spirulina ขอเรียกว่าสปีรูลิน่านะ คนมักจะเรียกว่าสไปรูลิน่าแต่จริงๆ แล้วมันเรียกว่าสปีรูลิน่า เป็นชื่อวิทยาศาสตร์ของสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน

“คำถามที่เกิดขึ้นคือมันเฮลตี้แค่ไหน เราไปรีเสิร์ชก็พบว่าสปีรูลิน่าเป็นซูเปอร์ฟู้ดตัวท็อป คือเป็นโปรตีนพืชที่มีกรดอะมิโนทุกชนิดที่ร่างกายผลิตไม่ได้และต้องการ แล้วยังมีธาตุสารอาหารอื่นๆ อีก พอไปรีเสิร์ชเพิ่มก็เห็นว่านาซ่าเอาขึ้นไปในอวกาศให้นักบินอวกาศกิน องค์กรยูเนสโก ยูเอ็น ก็ไปสอนคนแอฟริกาในโซนที่ขาดสารอาหารปลูก ข้อดีคือมันใช้น้ำและพื้นที่ปลูกน้อยมากเทียบกับโปรตีนที่ได้มาจากเนื้อ แล้วน้ำก็มีวัฏจักรของมัน เราสามารถรีไซเคิลได้”

หลังจากรีเสิร์ชจนตอบคำถามในใจ ขั้นตอนต่อไปคือการลงมือทดลอง

ฟาร์มจิ๋วที่แต่งบ้านได้

“คำถามอีกข้อคือมันปลูกเองได้จริงเหรอ” เยลบอกระหว่างยกขวดโหลออกมาให้เราดู ด้านในบรรจุน้ำสีเขียวอมน้ำเงินเล่นแสงสวยงาม 

“เราสนใจเรื่องนี้เพราะรู้สึกว่าคอนเซปต์ของ urbun farming ปลูกอาหารของตัวเองมันยั่งยืนมากๆ เราไปลองอ่านๆ วิธีปลูกมันก็ไม่ยากนะเลยลองสั่งหัวเชื้อมาลองดู เออ มันทำได้จริง แล้วถ้าเราที่ไม่มีประสบการณ์ทำได้ คนอื่นก็ทำได้เหมือนกัน”

โปรเจกต์ดีไซน์ชุดเลี้ยงสาหร่ายสปีรูลิน่าจึงเกิดขึ้นพร้อมความตั้งใจว่าอยากเป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆ ให้คนเลี้ยงสาหร่ายชนิดนี้ได้ง่ายขึ้น

ต้นปี 2020 ลอนดอนตกอยู่ใต้ภาวะล็อกดาวน์ สตูดิโอมหาวิทยาลัยปิดชั่วคราว เยลจึงทดลองทำฟาร์มสาหร่ายในบ้านโดยใช้อุปกรณ์ที่มีอยู่แล้วอย่างขวด โหล ส่วนอุปกรณ์เฉพาะทางอย่างฝาปิดที่มีรูระบายอากาศหรือโคมไฟด้านบน (จำเป็นมากสำหรับเมืองที่อึมครึมอย่างลอนดอน) เธอออกแบบขึ้นมาเอง

อุปกรณ์เหล่านั้นถูกหลักการเลี้ยงสาหร่ายทุกอย่าง แต่เยลออกแบบให้ดูเป็นสินค้าไลฟ์สไตล์มากขึ้น อย่างอุปกรณ์กรองสาหร่ายที่หน้าตาเหมือนเป็นพี่น้องกับดริปเปอร์กาแฟ ส่วนสีสันก็สดใส เห็นแล้วอยากเอาไปวางไว้ตรงนั้นตรงนี้ในบ้าน

“สาหร่ายมันสามารถกินสดได้โดยต้องกรองน้ำออกให้เหลือแต่สาหร่าย ตอนแรกเราก็กังวลว่าคนจะยอมเสียเวลากับการมากรองทุกวันเพื่อกินมั้ย แต่เราก็คิดว่าทีกินกาแฟคนยังดริปได้ กับสาหร่ายก็คงเหมือนกัน (หัวเราะ) เราเลยคิดอุปกรณ์ให้ดูเป็น everyday life object อย่างตัวกรองสาหร่ายพอเราบอกว่าเหมือนเป็น coffee dripper ทุกคนที่เห็นก็เข้าใจเลย

“พวกฝาปิดขวดและโหลเราดีไซน์ให้มีสองไซส์ เราไปนั่งดูว่าคนส่วนใหญ่เขามีเหยือก มีขวดไซส์ไหนกันเพื่อให้อุปกรณ์เราใช้กับอะไรที่เขามีได้หมด ใช้กับขวดรีไซเคิลก็ได้ คิดให้มันโฮมมี่ที่สุด เพราะว่าเราไปรีเสิร์ชคนที่ปลูกสาหร่ายส่วนใหญ่เขาจะดูเหมือนทำเป็นแล็บ เป็นสิ่งของที่ดูไม่เข้ากับบ้าน แต่เราอยากทำให้มันดูเป็นของตกแต่ง อย่างเวลาเปิดโคมไฟแล้วแสงส่องลงไปในโหลคนก็บอกว่าน่ารัก เหมือน lava lamp”

อุปกรณ์ตามสั่ง

ชุดเลี้ยงสาหร่ายของ Spirulina Society ชุดแรกผลิตด้วยเครื่องปรินต์สามมิติในห้องนอนของเยลที่ลอนดอน และจนถึงทุกวันนี้สินค้าทุกชิ้นก็ยังผลิตด้วยวิธีการเดิม แค่ย้ายเครื่องปรินต์มาตั้งไว้ในห้องนั่งเล่นที่กรุงเทพฯ แทน

“ระบบการผลิตส่วนใหญ่ของโลกคือมีโรงงานใหญ่เป็นคนผลิต ข้อดีคือเครื่องจักรมันทำได้เร็วและเยอะมาก แต่เวลาเราสั่งนี้โรงงานต้องมีขั้นต่ำเพื่อให้คุ้มทุน พอผลิตตามจำนวนขั้นต่ำแล้วมันเหลือแบรนด์ก็ต้องเอาของมา sale คนก็จะไม่ซื้อของในซีซั่นปกติเพราะรู้ว่าแบรนด์จะลดราคาอยู่ดี กลายเป็นวัฏจักร เราไม่ชอบการผลิตแบบนั้นพอมาเจอ 3D print เราเลยชอบมากเพราะเรา made to order ใครสั่งแล้วเราค่อยกดปรินต์ แล้วมันก็ไม่มีขยะ ไม่มีของเหลือมา sale หรือต้องไปจบที่ landfill (การกำจัดขยะแบบฝังกลบ)

“เราพยายามจะตัด carbon footprint ที่เกิดจากการส่งโปรดักต์ให้เหลือน้อยที่สุด แล้ว 3D print มันเป็น distributed design คือการแบ่งปันดาต้า ไม่ใช่การผลิต ใครอยู่ที่ไหนก็ทำได้ สมมติคนฟินแลนด์อยากได้ชุดเลี้ยงสาหร่ายดีไซน์ของเราก็สามารถซื้อไฟล์ต้นแบบสามมิติจากเราไปผลิตได้เองโดยไม่ต้องส่งของผ่านเครื่องบินหรือเรือ

“ณ ตอนนี้เราเข้าใจว่าไม่ใช่ทุกคนที่มีเครื่อง แต่ 50 ปีที่แล้วก็ยังไม่มีใครมีปรินเตอร์กระดาษที่บ้านแล้วทำไมอีก 10 ปีต่อจากนี้คนจะมีปรินเตอร์ 3D ที่บ้านไม่ได้หรือมันอาจจะมีสเปซที่รับผลิตสิ่งนี้เยอะขึ้น”

ความยั่งยืนอีกข้อที่ซ่อนอยู่ในชุดปลูกสาหร่ายคือวัสดุ PLA หรือพลาสติกจากพืช เช่น ข้าวโพดหรืออ้อยซึ่งแข็งแรงทนทานและกันน้ำ เยลบอกว่าแม้มันจะมีคุณสมบัติเหมือนพลาสติกชนิดอื่นๆ คือย่อยสลายไม่ได้ตามธรรมชาติแต่ก็ทำจากพืชซึ่งปลูกเพิ่มได้เรื่อยๆ ต่างจากปิโตรเลียมที่ใช้แล้วหมดไป

“บางคนเขาจะเอา PLA มา greenwash บอกว่าเป็นวัสดุ biodegradable หรือย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ แต่จริงๆ ถ้าเอาไปฝังกลบตามธรรมชาติมันไม่หายไปนะ มันจะหายไปก็ต่อเมื่ออยู่ในสภาวะที่ถูกต้อง เช่น อุณหภูมิต้องสูง 60-80 องศาเซลเซียสและใช้จุลินทรีย์เฉพาะ ดังนั้นมันต้องมีโรงงานที่รีไซเคิล PLA โดยเฉพาะ ปัญหาของ PLA ในประเทศไทยคือยังไม่มีโรงงานที่จัดการขยะเหล่านี้ 

“แต่เรายังเห็นข้อดีของ PLA อยู่ เราก็เลยรู้สึกว่ากฎของเราคือเราทดลองอะไรกับมันแล้วเราจะไม่ทิ้ง เราจะไม่บอกว่า PLA มันช่างมหัศจรรย์! เราก็จะบอกว่า PLA มีข้อเสียคือย่อยสลายได้ในสภาวะที่จำกัดแต่เราเลือกใช้มันเพราะอะไร ส่วนข้อดีคือนอกจากเป็นวัสดุที่ renewable แล้วมันยังไม่ปล่อยก๊าซและสารพิษสู่ธรรมชาติอีกด้วย และในอนาคตเราอาจจะมีโมเดลธุรกิจว่าใครทำแตก ทำเสีย หรืออยากทิ้งเราจะรับกลับมาหลอมใหม่”

แบรนด์ที่ลูกค้าต้องลงทุนและลงแรง

ในเมื่อวัสดุที่ใช้ยังไม่เป็นมิตรกับธรรมชาติร้อยเปอร์เซ็นต์ เยลก็เลยต้องออกแบบโปรเจกต์นี้ให้สร้างขยะน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ครั้งแรกที่เข้าเว็บไซต์ spirulinasociety.org คุณอาจจะใช้เวลาอยู่ในนั้นนานหลายสิบนาที เพราะเยลให้ข้อมูลเกี่ยวกับสาหร่ายสปีรูลิน่าไว้ทุกแง่มุม เริ่มตั้งแต่ประโยชน์ของมัน มีกระบวนการเพาะเลี้ยงอย่างละเอียดพร้อมรูปภาพและวิดีโอ แถมยังให้เคล็ดลับต่างๆ เช่น วิธีการสังเกตว่าสาหร่ายของเราตายหรือยัง หรือเมื่อไหร่ที่เราจะต้องเริ่มปลูกสาหร่ายล็อตใหม่กันนะ

ที่สำคัญที่สุดคือเธอย้ำอยู่เสมอว่าหากจะเลี้ยงสาหร่าย คุณจะต้องทุ่มเทประมาณหนึ่งเพื่อไม่ให้อุปกรณ์ต่างๆ กลายเป็นขยะอย่างรวดเร็ว

และเพื่อลดความเสี่ยงที่คนจะซื้อไปแล้วไม่ได้เลี้ยง เธอจึงยืนยันว่าทุกคนที่สนใจจะต้องผ่านเวิร์กช็อปของ Spirulina Society ไปก่อนถึงจะซื้ออุปกรณ์ไปเลี้ยงได้

“การปลูกสาหร่ายมันง่ายแต่เรารู้สึกว่าครั้งแรกมันมี learning curve ค่อนข้างสูง ก่อนปลูกเราจะต้องเข้าใจหลายๆ อย่างทั้งเรื่องแสง ตำแหน่งการตั้งโหล เรื่องภาชนะว่าควรมีขนาดเท่าไหร่ เว็บไซต์ของเราเลยพยายามเล่าให้ครอบคลุมทุกเรื่อง คนที่อ่านจะได้ทบทวนไปด้วยว่าเราโอเคที่จะทุ่มเท เรียนรู้มันไหม

“แต่เพราะเราไม่มั่นใจว่าทุกคนที่ซื้ออุปกรณ์จะไปนั่งอ่านเว็บไซต์ ถ้าซื้อไปแล้วทำไม่เป็นเราก็เสียดาย ก่อนซื้อเราเลยชวนให้มาเวิร์กช็อปกับเราก่อนจะได้ทำเป็น ตอนนี้ที่ไทยเรายังไม่ได้จัด แต่เคยจัดที่อังกฤษแล้วฟีดแบ็กดีมาก บางคนก็บอกว่าเขาเห็นตัวเองทำสิ่งนี้ได้ทุกวันเลย”

บทสนทนาแห่งความยั่งยืน

ถ้าจะทำอะไรให้อยู่รอดไปนานๆ สิ่งนั้นต้องใช้เงิน แต่แค่ชุดอุปกรณ์เลี้ยงสาหร่ายขายก็ niche เกินไปนิด เพื่อหล่อเลี้ยงโปรเจกต์ให้อยู่ได้เยลจึงเพิ่มสินค้าลิฟวิ่ง อย่างแจกันและที่วางโทรศัพท์มือถือเข้ามาด้วย โดยซ่อนคาแร็กเตอร์ความเป็นสาหร่ายไว้ในรูปทรง

มากกว่านั้น สินค้าใหม่ๆ เหล่านี้ยังมีฟังก์ชั่นเป็นตัวเริ่มบทสนทนาเกี่ยวกับสาหร่ายและความยั่งยืนในแบบที่ Spirulina Society เชื่อ

“เรากลับมาเมืองไทยปลายปี 2020 และสมัครไปออกบูทงาน Bangkok Design Week พอต้องทำนิทรรศการเราก็มาคิดว่าจะสร้างบทสนทนาเรื่องสาหร่ายยังไงที่ไม่ใช่ในเชิง academic ที่เคยทำ เราคิดว่าคนไทยน่าจะถูกดึงดูดด้วยของสวยๆ งามๆ ก็เลยทำแจกันที่อินสไปร์จากรูปทรงของสาหร่ายมาวางในมุมหนึ่ง ลองขายด้วย อีกมุมก็เอาชุดปลูกสาหร่ายไปโชว์ เวลาเขาเห็นแจกันแล้วสวย เดินเข้ามาดู เขาจะสงสัยว่าทำไมถึงชื่อ Spirulina Society ทำไมต้องสาหร่าย ทำไมต้องปลูกอาหารกินเอง สงสัยว่าวัสดุคืออะไร ทำไมต้องใช้ 3D print เราจะได้เริ่มคุยกันจากตรงนั้น

“จริงๆ แล้วมันมีคนที่ปลูกสาหร่ายเองมานานมากแต่มันไม่เมนสตรีม เราคิดว่าถ้ามันเมนสตรีมขึ้นมา ถึงบางคนจะไม่ได้ปลูกแต่คนก็ได้รู้อะไรมากขึ้น อย่างน้อยวันนี้ก็มีคนรู้จัก 3D print ของเรา หรือรู้จักคอนเซปต์ opensource คอนเซปต์การซื้อข้อมูลไปปรินต์ที่ไหนก็ได้ เท่านี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีแล้ว

“เราไม่ได้บอกว่าเราแก้ปัญหาได้ทั้งหมด แต่ในเมื่อปัญหามันมีอยู่เราคิดว่าถ้าเราสามารถมีส่วนร่วมแก้ได้ก็คงดี ก่อนหน้านี้เราเรียนสถาปัตยกรรม การมองอะไรในสเกลเล็กๆ เป็นจุดอ่อนของเรา แต่พอได้ทำโปรเจกต์นี้ เราได้รู้ว่าเราเริ่มจากอะไรที่สเกลเล็กๆ ก็ได้เพราะเราได้ลงมือทำ เราคอนโทรลมันได้ มันเข้าถึงคนได้ง่าย สเกลเล็กมันก็สร้างอิมแพกต์ได้เหมือนกัน”

ไม่แน่ อิมแพกต์อาจเริ่มจากอะไรเล็กๆ เพียงโหลแก้วหนึ่งโหลและหัวเชื้อสาหร่ายหนึ่งหยิบมือก็ได้ ใครจะรู้


ติดตามโปรเจกต์และเวิร์กช็อปของ Spirulina Society ได้ที่ เฟซบุ๊ก และ อินสตาแกรม ของโปรเจกต์

อ้างอิง

ncbi.nlm.nih.gov

nutrasciencelabs.com

ourworldindata.org/food-ghg-emissions 

unesco.org

วิกฤตข้าวมันไก่ในสิงคโปร์ และเหตุผลที่ว่าทำไมคนสิงคโปร์จึงรักเมนูนี้

ก เอ๋ย ก ไก่

ถ้าคิดถึงต้มยำกุ้งคิดถึงประเทศไทย นึกถึงครัวซองต์เมื่อไหร่ต้องคิดถึงฝรั่งเศส เมื่อเอื้อนเอ่ยถึงอาหารบางชนิดเหมือนจิตใจของเรามักจะผูกโยงเข้ากับประเทศใดประเทศหนึ่งที่เป็นที่เลื่องชื่อลือชาของอาหารชนิดนั้นๆ เสมือนกับว่ามันเป็นทูตวัฒนธรรมประจำประเทศ ข้าวมันไก่สิงคโปร์

สำหรับ ‘ข้าวมันไก่’ คงไม่มีประเทศไหนถูกพูดถึงชื่อเมนูนี้ไปมากกว่า ‘สิงคโปร์’ หรือที่เราชอบเรียกกันติดปากในหมู่คนไทยจนกลายเป็นชื่อเมนูไปแล้วว่า ‘ข้าวมันไก่สิงคโปร์’ ทั้งที่จริงแล้วเมนูนี้เป็นเมนูที่ได้รับอิทธิพลมาจากมณฑลหนึ่งในจีนที่ชื่อว่า ไห่หนาน (หรือไหหลำ) จนเมนูข้าวมันไก่มีชื่อเรียกกันอย่างแพร่หลายในภาษาจีนว่า 海南鸡饭 หรือที่แปลเป็นภาษาอังกฤษคือ Hainanese Chicken Rice แต่เมื่อเดินทางมาถึงเมืองไทยเรากลับไม่นิยมเรียกถึงมันว่า ‘ข้าวมันไก่ไหหลำ’ แต่กลับเรียกกันอย่างแพร่หลายว่า ‘ข้าวมันไก่สิงคโปร์’ ถึงแม้ว่าในรายละเอียดแล้ว ข้าวมันไก่ที่จีน ไทย หรือที่สิงคโปร์จะมีความแตกต่างกันบ้างเล็กน้อยตามแต่ละตำรับที่ตกทอดและดัดแปลงกันมา แต่สิ่งที่แชร์ร่วมกันของอาหารจานนี้คือ ตัวชูโรงของมันเป็นข้าวและไก่ (อาจจะนับรวมลีลาของน้ำจิ้มอันหลากหลายที่กินแกล้มกันเข้าไปด้วยก็ได้)

ข้าวมันไก่ : ฟาสต์ฟู้ดประจำชาติสิงคโปร์

ข้าวมันไก่ถือเป็นเมนูที่คนสิงคโปร์รักและหลงใหลจนเป็นอาหารที่มีร้านขายอยู่ทั่วประเทศ หากินง่าย ซื้อได้ตาม hawker Centre (ศูนย์รวมขายอาหารแบบพื้นที่เปิดโล่ง) และ ฟู้ดคอร์ตของห้างสรรพสินค้าในสิงคโปร์

สำนักข่าว BBC, CNN และ NBC เคยทำสกู๊ปข่าวโดยลงไปสำรวจว่า เพราะเหตุใดคนสิงคโปร์จึงรักข้าวมันไก่เสียจนเมนูนี้ได้รับการขนานนามว่าเป็นเมนูประจำชาติของสิงคโปร์ เหตุผลส่วนใหญ่รวบรวมได้ความว่าเพราะเป็นเมนูที่ ‘อร่อย ราคาถูก เข้าถึงง่าย’ อาจจะด้วยเทคนิคการหุงข้าวให้หอมนุ่มและเทคนิคการทำเนื้อไก่ให้นุ่มชุ่มฉ่ำเต็มปากเต็มคำเมื่อตักกิน บวกกับซอสพริกเผ็ด และขิงบดละเอียดตัดเลี่ยนที่เสิร์ฟมาพร้อมกับข้าวมันไก่ เหนือสิ่งอื่นใด นี่คืออาหารที่กินสะดวกในเวลาเร่งด่วน และอาจจะถือเป็นฟาสต์ฟู้ดที่มีองค์ประกอบลงตัวสำหรับชาวเอเชียที่นิยมกินข้าวมากกว่าขนมปัง ทำให้ข้าวมันไก่เป็นเสมือนหนึ่งในอาหารประจำชาติของคนสิงคโปร์

ข้าวมันไก่สิงคโปร์

ร่ำรวยด้วยเงินทอง แต่ยากแค้นด้วยพื้นที่

สิงคโปร์ถือเป็นประเทศที่มั่งคั่งด้วยทรัพย์สินมากที่สุดประเทศหนึ่งของเอเชีย แต่กลับเป็นประเทศที่ขาดแคลนในเชิงพื้นที่ใช้สอยและเกษตรกรรม

สถิติของ Singapore Food Agency (SFA) มากกว่า 90% ของอาหารที่บริโภคในสิงคโปร์ถูกนำเข้ามาจากต่างประเทศ ซึ่งสิงคโปร์เองพยายามเพิ่มการนำเข้าอาหารมาจากหลากหลายประเทศให้มากขึ้นทุกปี เพื่อความมั่นคงทางอาหารให้กับประชากร จาก 172 ประเทศ (ปี 2019), 175 ประเทศ (ปี 2020) จนมาถึงปี 2021 ที่สามารถเพิ่มการนำเข้าจากหลากหลายประเทศจนเป็น 180 ประเทศ

ปี 2021 สิงคโปร์นำเข้าเนื้อไก่ทั้งหมด 214,300 ตัน โดยเนื้อไก่ 48% นำเข้ามาจากบราซิล, 34% มาจากมาเลเซีย, 8% มาจากสหรัฐอเมริกา และอีก 10% มาจากประเทศอื่นๆ รวมทั้งประเทศไทยด้วย แต่ดูเหมือนกับว่า ไก่จากมาเลเซียดูจะเป็นไก่ที่ได้รับความนิยมจากพ่อค้าแม่ค้าขายข้าวมันไก่ในสิงคโปร์มากที่สุด ด้วยเพราะการขนส่งที่ไม่ไกลมากจนเกินไปนัก ทำให้การขนไก่จากมาเลเซียมายังสิงคโปร์สามารถขนส่งได้ในสภาวะที่ไก่ยังมีชีวิตอยู่ แล้วมาชำแหละกันที่สิงคโปร์

ไก่สด vs ไก่แช่แข็ง

หมูมวลนักชิมและเชฟผู้เชี่ยวชาญคงจะทราบดีว่าเนื้อสัตว์ที่ชำแหละสดๆ แล้วถูกส่งตรงไปปรุง กับเนื้อสัตว์ที่แช่แข็งก่อนแล้วนำไปปรุง ย่อมให้รสสัมผัสที่แตกต่างและเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ด้วยศักดิ์ศรีที่แบกรับอยู่บนบ่าของการมีข้าวมันไก่เป็นอาหารประจำชาติทำให้ ไก่ที่ส่งตรงจากมาเลเชีย และถูกนำมาชำแหละผ่านเขียงของสิงคโปร์ ก่อนถูกส่งตรงมาสู่พ่อค้าแม่ค้าขายข้าวมันไก่ เป็นไก่ที่เป็นบรรทัดฐานที่พ่อค้าแม่ค้าข้าวมันไก่ในสิงคโปร์ยอมรับได้โดยดุษณี

แล้วเหตุการณ์ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดก็เกิดขึ้น ทั้งในแง่การสูญเสียชีวิต มิตรภาพ และผลกระทบที่เกิดขึ้นเป็นวงกว้างจากสงครามยูเครน-รัสเซีย รวมถึงการขาดแรงงานและกำลังการผลิตทางการเกษตรและอุตสาหกรรมจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งหมดทั้งมวลทำให้เกิดสภาวะการขาดแคลนอาหารและการขนส่งต้องหยุดชะงัก มาเลเซียมีนโยบายหยุดการส่งออกไก่ไปยังสิงคโปร์ เพื่อเป็นการแก้ปัญหาการขาดแคลนอาหาร (โดยเฉพาะไก่) ในประเทศซึ่งส่งผลให้ไก่มีราคาแพงขึ้น

แล้วคนขายข้าวมันไก่ในสิงคโปร์จะทำยังไงกันล่ะคราวนี้?

ข้าวมันไก่สิงคโปร์

วิกฤตข้าวมันไก่ของชาวสิงคโปร์

ทางออกง่ายที่สุดที่ในหัวใจของคนขายข้าวมันไก่ในสิงคโปร์ต่างรู้ดีแก่ใจ แต่ไม่อยากจะพูดมันออกมา คือการใช้ไก่แช่แข็งมาแทนที่ไก่ (เป็นๆ) นำเข้าจากมาเลเซีย แม้ว่าจะเป็นทางออกที่ไม่ถูกใจเท่าไหร่ แต่ก็ดูเหมือนกับว่าจะเป็นเพียงทางออกเดียวในการแก้สถานการณ์ไก่ขาดตลาด ณ เดือนมิถุนายน 2022 ราคาไก่ 1 ตัวอยู่ที่ 3 ดอลลาร์สหรัฐ และเป็นที่คาดการณ์ว่าราคาไก่น่าจะสูงขึ้นเป็นตัวละ 4-5 ดอลลาร์สหรัฐในเร็ววันนี้

คุณ Mohammad Jalehar พ่อค้าขายข้าวมันไก่ในตลาดสดสิงคโปร์วัย 50 ให้สัมภาษณ์กับ CNN ว่า

“คนขายไก่บอกผมให้เตรียมรับมือกับราคาไก่ที่จะสูงขึ้น ไก่ 1 ตัวอาจจะราคามากขึ้นอีก 1 ดอลลาร์สหรัฐ แล้วถ้าผมซื้อไก่ 100 ตัว ผมจะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายเพิ่มล่ะครับ ลูกค้าจะรับได้เหรอถ้าผมขึ้นราคา”

ทาง BBC เขียนถึงสถานการณ์การระงับการส่งออกไก่จากมาเลเซียถึงสิงคโปร์ว่า มาเลเซียคงจะระงับการส่งออกไก่ไปยังสิงคโปร์จนกว่าราคาไก่ในประเทศ (มาเลเซีย) จะทรงตัวมากกว่านี้ ระหว่างนั้นสิงคโปร์อาจจะต้องใช้ไก่แช่แข็งไปก่อน แถมผู้นำประเทศอย่าง ลี เซียนลุง นายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ก็ออกมาพูดถึงสถานการณ์นี้อย่างจริงใจกับประชาชนว่า

“ครั้งนี้คือไก่ ครั้งต่อไปอาจจะเป็นอย่างอื่น พวกเราต้องเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์เช่นนี้”

จากเคยใช้ไก่สดต้องเปลี่ยนมาเป็นไก่แช่แข็ง แถมสถานการณ์อาหารและการขนส่งของโลกก็ดูขัดข้องเพราะสงครามกับโรคระบาด หมายความว่านอกจากเหล่าพ่อค้าแม่ค้าขายข้าวมันไก่จำเป็นต้องใช้ไก่แช่แข็งเพราะสถานการณ์บังคับ ยังจำต้องเพิ่มราคาขายข้าวมันไก่ขึ้น แล้วพวกเขามีความเห็นยังไงบ้างหากจำต้องใช้ไก่แช่แข็ง แถมอาจจะยังต้องเจอกับสถานการณ์ไก่ราคาแพงอีก

เจ้าของร้านข้าวมันไก่ Tian Tian Hainanese Chicken Rice หนึ่งในร้านข้าวมันไก่ชื่อดังที่สุดร้านหนึ่งของสิงคโปร์บอกกับ CNN ว่า ในสถานการณ์ที่ไก่เป็นของหายากเช่นนี้ ทางร้านจะดำเนินการขายข้าวมันไก่ต่อไป แต่จะหยุดขายเมนูอื่นที่ต้องใช้ไก่เป็นวัตถุดิบไปก่อน จนกว่าสถานการณ์เนื้อไก่จะดีขึ้น

คุณ Lim Wei Keat เจ้าของร้านข้าวมันไก่ Ah Keat Chicken Rice บอกกับ BBC ว่า “การใช้ไก่แช่แข็งมาทำข้าวมันไก่อาจจะมีกลิ่นช่องแช่แข็งหรือเนื้อสัมผัสมันอาจจะต่างออกไป แต่พูดตรงๆ ผมว่ามันก็ไม่ได้ต่างมากขนาดนั้น ตอนพวกเรากินไก่ในร้านฟาสต์ฟู้ด มันก็อร่อยดีนี่ครับ”

มาดาม Tong แม่ค้าขายข้าวมันไก่ร้านดังอีกแห่งหนึ่งในสิงคโปร์ Katong Mei Wei Boneless Chicken Rice พูดกับนักข่าว CNN หลังจากนักข่าวถามว่า มีความเห็นอย่างไรบ้างหากต้องใช้ไก่แช่แข็งในการทำข้าวมันไก่ เธอให้สัมภาษณ์แบบยังยิ้มได้กับสถานการณ์นี้ว่า

“ไก่แช่แข็ง? คุณหวังอยากจะให้เราทำข้าวมันไก่จากไก่แช่แข็ง? มันจะไม่อร่อยเอานะ” มาดาม Tong พูดพลางหัวเราะปิดท้ายด้วยประโยคสัพยอกว่า

“ถ้าเป็นอย่างนั้น ถ้าคุณแฮปปี้กับคุณภาพ (ของข้าวมันไก่) แบบนั้นน่ะ คุณไปกินข้าวมันไก่ที่มาเลเซียเอาก็ได้ lah”

สิงคโปร์ ประเทศที่มั่งคั่งทางเศรษฐกิจและการเงินประเทศหนึ่งของเอเชีย แถมยังเป็นประเทศที่ดูน่าชื่นชมในการบริหารจัดการสถานการณ์อย่างโควิด-19 เมื่อต้องเผชิญสถานการณ์วิกฤตข้าวมัน ลี เซียนลุงและทีมงานจะจัดการกับปัญหารสชาติของปากท้องอย่างวิกฤตข้าวมันไก่ที่เกิดขึ้นยังไง นั่นคือสิ่งที่เราต้องติดตามกันต่อไป

อ้างอิง

bbc.com

edition.cnn.com

nbcnews.com

sfa.gov.sg

ชวน Gadhouse มาหยิบเครื่องเล่นแผ่นเสียงและสินค้าอื่นๆ ที่เป็นที่สุดมาใส่ตระกร้า

Gadhouse

Gadhouse add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

Gadhouse

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

ที่มาของสูตรคำนวณวงเงินตั้งต้น เมื่อคู่รักจะร่วมกันกู้ซื้อบ้าน (และรถ)

จากคำแนะนำเรื่องการซื้อบ้านด้วยกันของคู่รักใน Wealth Done ตอนที่ผ่านๆ มา ได้เล่าถึงสูตรคำนวณวงเงินซื้อบ้านที่เหมาะสมจากการนำเงินเดือนของทั้งสองคนบวกกันแล้วคูณด้วย 100 

home lone

Wealth Done ตอนนี้ จะเล่าที่มาของตัวเลข 100 และสูตรคำนวณวงเงินตั้งต้นนี้แบบเต็มๆ ไปจนถึงการวางแผนการลดเงินต้นเพื่อพิชิตภาระผ่อนบ้านภายใน 7 ปี

home lone

สูตรคำนวณนี้มาจากตอนที่ผู้เขียนเริ่มซื้อบ้านด้วยตัวเองเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ได้เขียนบทความเรื่องนี้ครั้งแรกในหนังสือ ‘Show Me The Money’ ซึ่งมาจากการที่เราพบว่าหลายคนซื้อบ้านในราคาที่ต่ำกว่าความสามารถที่แท้จริง

อะไรคือความสามารถที่แท้จริง

ว่าแล้วมาลองคำนวณง่ายๆ ตามสูตรกันค่ะ สมมติถ้าคนหนึ่งมีเงินเดือน 50,000 อีกคนมีเงินเดือน 50,000 รวมกันทั้งหมด 100,000 บาท คูณ 100 จะเท่ากับ 10,000,000 บาท เป็นราคาบ้านที่คุณจะสามารถซื้อได้จริง พูดแบบนี้หลายคนอาจจะตกใจ เพราะคิดว่าเงินเดือน 50,000 บาท ซื้อบ้านราคา 3 ล้านบาทก็น่าจะพอ ทำไมต้องซื้อบ้านราคา 10 ล้านบาท

ก่อนจะไปเรื่องตัวเลข ขอแนะนำว่าการซื้อบ้านคุณต้องกล้าโหน แปลว่า ต้องหนักแน่นและยอมเหนื่อย ถามว่าทำไม ก็เพราะว่าคุณจะได้บ้านที่อยากได้ ในทำเลที่อยากได้ คุณไม่ควรใช้เวลาเดินทางจากบ้านมาที่ทำงานหรือไปโรงเรียนลูกเกิน 1 ชั่วโมง เพราะฉะนั้นเมื่อมีโอกาสเลือกคุณจงใช้โอกาสนี้เลือกคุณภาพชีวิตที่อยากได้

กลับมาที่ตัวเลข 100 ทำไมต้องคูณ 100 

มาจากเวลาจะซื้อบ้านหนึ่งหลัง โดยปกติจะต้องผ่อนดาวน์ 30% นั่นหมายความว่า บ้านราคา 10 ล้านบาท ดาวน์ 3 ล้านบาท คุณจะมีภาระค่าบ้าน 7 ล้านบาท 

เรื่องสำคัญคือ คุณไม่ควรกู้ซื้อบ้านเกิน 15 ปี เพราะการที่คุณจ่ายค่าบ้านเป็นเวลา 15 ปีนั้น แม้ค่างวดต่อเดือนจะน้อย แต่แท้จริงแล้วที่คุณจ่ายไปเกือบทั้งหมดเป็นดอกเบี้ยล้วนๆ ไม่ได้จ่ายเพื่อลดเงินต้นเลย ซึ่งสำหรับการผ่อนบ้าน ยิ่งลดเงินต้นได้เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี 

กลับมาที่บ้านราคา 10 ล้านบาท ต้องการกู้เงิน 7 ล้านบาท จากจำนวนนี้ลองใช้สูตรคำนวณในเว็บไซต์ต่างๆ เริ่มต้นค้นหาในกูเกิลได้เลยมีให้ลองกดเล่นหลายสำนัก

ที่จำนวนเงินกู้ 7 ล้านบาท ใช้เวลาผ่อน 15 ปี ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านวันนี้ประมาณ 1.8-2% เพื่อความปลอดภัย จะใช้ค่ายเฉลี่ยที่ 3% คำนวณแล้วจำนวนที่ต้องผ่อนต่องวดคือ 48,000 บาท นั่นหมายความว่า ที่เงินเดือน 50,000 บาท สองคนร่วมกันผ่อน 48,000 บาทต่อเดือน ซึ่งไม่เกิน 50% ของรายได้รวม สิ่งที่ตามมาคือ เมื่อเวลาผ่านไปเงินเดือนของทั้งคู่ย่อมขยับ 

สมมติเงินเดือนขึ้น 5%

เงินเดือน 50,000 x 12 เดือน = 600,000 สองคนรวมกันเท่ากับ 1,200,000 ล้านบาท 

ถ้าเงินเดือนขึ้น 5% เท่ากับต่อปีจะมีเงินเพิ่มขึ้นรวมกันเท่ากับ 60,000 บาท ไปจนถึงทำงานได้โบนัสคนละเดือนครึ่ง เท่ากับต่อปีจะมีเงินเพิ่มขึ้นรวมกันอีก 150,000 บาทต่อปี รวมเป็น 210,000 บาท ซึ่งขอแนะนำให้นำเงินก้อนนี้มาปิดเงินกู้บ้าน ถ้าคุณทำแบบนี้ทุกปี เชื่อเถอะค่ะภายใน 7 ปี คุณจะจ่ายคืนเงินกู้บ้านได้

หลายคนสงสัยว่าทำได้จริงหรือ

เงินผ่อนบ้าน 50,000 บาทต่อเดือน 1 ปีเท่ากับ 600,000 บาท x 7 ปี = 4,200,000 บาท

เงินพิเศษจากเงินเดือนที่เพิ่มขึ้นและโบนัสสมมติ 210,000 บาทต่อปี x 7 ปี = 1,470,000 บาท ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะเพิ่มขึ้น เป็น 300,000-500,000 ตามเงินเดือนที่ขึ้นในระยะเวลา 7 ปี การนำเงินก้อนนี้มาคืนเงินต้น ลดดอกเบี้ยได้เร็วขึ้น ไม่นับว่าโบนัสต่อปีอาจจะเยอะกว่านี้ 

จากวิธีคิดนี้ภายใน 7 ปี – 7 ปีครึ่ง บ้านนี้จะตกเป็นของคุณ นั่นเท่ากับคุณปลอดภาระเลย

นี่คือการวางแผน การมีวินัยและความเข้าใจที่แท้จริง

บางคนอาจจะไม่จัดงานแต่ง แล้วนำเงินขวัญถุงที่ได้รับมา เป็นเงินต้นสำหรับดาวน์บ้าน ซึ่งทำให้ภาระผ่อนบ้านจาก 7 ล้านบาทอาจจะเป็น 5-6 ล้านบาท ซึ่งเข้าสูตรคำนวนเงินผ่อน 15 ปี ด้วยดอกเบี้ย 3% เท่ากับประมาณ 34,500 บาท

สิ่งสำคัญของเรื่องนี้ 

หนึ่ง–ระยะเวลา อย่าใช้เวลาผ่อนนานเกินไป 15 ปี คือ magic number 

สอง–ขอให้กล้าที่จะคูณ 100 จากที่ยกตัวอย่างมา จะเห็นว่าเรื่องนี้ไม่เกินความสามารถเราเลย 

สาม–หากจำเป็นและทำได้ จะลองใช้เงินกู้จากญาติพี่น้อง เก็บเงินช่วยงานแต่งงาน หรือถ้าใครมีเงินเก็บก็สามารถลดเงินผ่อนตรงนี้ได้ พี่ถือว่าบ้านเป็น asset สำคัญในการสร้างชีวิตคู่ เราควรอยู่ในบ้านที่เราอยากอยู่ ด้วยความสามารถที่เราทำได้เต็มที่ และบ้านในทำเลที่ถูกต้อง ทำเลที่ดี ราคามีแต่ขึ้น ยังไม่เคยเจอราคาที่ลดลงเลย นี่คือความจริงที่เราพบเจอมาตลอดชีวิต 

สิ่งที่ควรระวังคือ ถ้าทำไม่ได้ภายใน 7 ปี ก็อย่าเพิ่งเป็นกังวลค่ะ ให้อยู่ภายใน 15 ปีก็โอเคแล้ว เพราะบางคนอาจจะไม่อยากนำโบนัสมาจ่ายเงินต้น อยากนำเงินส่วนนี้ไปเที่ยวให้รางวัลตัวเอง เพื่อความสุข ทำเถอะค่ะ แต่ถ้าคุณรู้ความจริงว่าการจ่ายเงิน 15 ปี เท่ากับซื้อบ้าน 2 หลัง (ครึ่งหนึ่งของเงินที่จ่ายไปคือเงินต้นกู้ซื้อบ้าน อีกครึ่งคือค่าดอกเบี้ยตลอด 15 ปี) คุณจะยิ่งอยากปิดยอดเงินกู้

คิดง่ายๆ ถ้าจ่ายครบภายใน 7 ปี เท่ากับว่าต่อจากนี้คุณไม่ต้องจ่ายเงิน 40,000-50,000  บาทต่อเดือนเพื่อกู้ซื้อบ้านแล้ว เอาเงินจำนวนนั้นไปเที่ยวสบายได้แล้ว

หลายคนบอกว่า น้องๆ รุ่นใหม่สมัยนี้ไม่อยากซื้อบ้าน ซึ่งไม่เป็นไรนะเพราะเดี๋ยวนี้การอยู่คอนโดก็สะดวกสบายมากๆ 

ที่ญี่ปุ่น เราเห็นหลายคนไม่เช่าบ้านด้วยซ้ำ แต่เลือกที่จะเช่าโฮสเทลคืนละ 300 บาท เดือนละ 9,000 บาท บางคนอยู่โฮสเทลวันจันทร์ถึงศุกร์ ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์กลับไปนอนบ้านพ่อแม่เท่ากับสัปดาห์ละ 1,500 บาทหรือเดือนละ 6,000 บาท เงินที่เหลือก็นำไปใช้ชีวิต แถมไม่ต้องปัดกวาดเช็ดถูเพราะโฮสเทลรวมบริการดูแลความสะอาด ซึ่งการใช้ชีวิตรูปแบบนี้คนเลือกจะไม่เก็บสะสมทรัพย์สิน ใช้ชีวิตตัวเบา อยู่สบาย บางทีอยากหยุดงานไปเที่ยว 3 เดือนก็ไม่ต้องห่วงบ้าน นี่อาจจะเป็นจุดที่ทำให้เห็นว่าการมีพื้นที่จำกัดก็อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีที่ทำให้เราไม่ต้องสะสมอะไรในชีวิตมากมาย

สำคัญคือเลือกสิ่งที่มีความหมาย สิ่งที่เราชอบ พอทำงานถึงจุดหนึ่ง ทุกคนจะมีความฝันอยากทดลองใช้ชีวิต 

อย่างบ้านของพี่ (ผู้เขียน) ที่อยู่ทุกวันนี้ก็เป็นทาวน์เฮาส์นะคะ ไม่ได้อยู่บ้านเดี่ยวแบบคฤหาสน์เลย และเคยทดลองอยู่ 3-4 ครั้งก็พบว่า ถึงเวลาเราจริงๆ ก็ไม่อยากอยู่บ้านเดี่ยวหลังโตแบบนั้นเพราะไกลที่ทำงาน กลายเป็นว่าบ้านที่สร้างเสร็จแล้วต้องไปรบกวนคุณแม่บ้านกับคนสวนมาดูแลบ้านให้ เผลอๆ เขาเอนจอยมากกว่าเราได้อยู่ท่ามกลางพุ่มไม้ใหญ่โต ขณะที่เราทำงานงกๆ อยู่ไหนก็ไม่รู้ กลับไปก็มืดค่ำ ทำให้ทุกวันนี้ เราน่าจะเป็นคนเดียวในรุ่นที่ยังไม่ได้มีบ้านหลังใหญ่ใดๆ 

ถามว่าทำไม เพราะถ้านึกสภาพที่เราต้องตื่นตี 5 จับทุกคนขึ้นรถอยู่บนนั้นมา 2 ชั่วโมง 7 โมงส่งลูกไปโรงเรียน กินข้าวในรถ นั่นหมายความว่าคุณแม่ต้องตื่นตี 4 มาทำกับข้าว ตัดภาพมาตอนเย็นที่โรงเรียนลูกเลิก 3 โมงครึ่ง แต่เราไม่สามารถไปรับได้ เด็กๆ ต้องรอให้พ่อแม่เลิกงาน 5 โมง จากนั้นเดินทางกลับบ้านอีก 2 ชั่วโมง ถึงบ้าน 1 ทุ่ม กว่าจะเคลียร์อะไรเสร็จตี 3 ต้องตื่นแล้ว มันเป็นวังวนที่ไม่มีที่สิ้นสุด การตัดสินใจซื้อทาวน์เฮาส์ในเมืองใกล้ออฟฟิศที่อยู่มาบุญครอง ส่วนลูกๆ เรียนสาธิตจุฬาฯ ใช้เวลาเดินทางไปโรงเรียนแค่ 10 นาที ทำให้เขาตื่นเช้า 7 โมงก็ไปโรงเรียนทัน ทุกคนจะถามทำไมเป็นอย่างนี้ คำตอบคือเป็นเรื่องการวางแผนไงคะ และนี่คือชอยส์ที่เลือก ไม่มีผิด ไม่มีถูก สิ่งที่ตามมาคือ ในเมื่อเราเลือกก็ไม่ต้องโทษใคร

ถ้าคุณมีชอยส์อยากได้บ้านสวยๆ ใช้เวลาเดินทางได้และแฮปปี้กับเวลาเดินทาง อยู่ในรถที่มีคนขับรถก็ไม่เป็นไร ขึ้นกับความสุขของแต่ละคน 

ดังนั้นมาหาบ้านที่เราชอบและมีความสุขกัน ทั้งหมดทั้งมวลนี้คือเรื่องที่ดีที่สุดในชีวิตเราแล้วค่ะ

สูตรที่ให้ไปข้างต้นนี้ใช้กับการกู้และผ่อนซื้อบ้านเพื่ออยู่อาศัยนะคะ สำหรับการซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อปล่อยเช่านั้น สูตรนี้ทั้งใช้ได้และใช้ไม่ได้ค่ะ

ถ้าปล่อยเช่าอสังหาฯ อย่างน้อยที่สุด ต้องปล่อยเช่าให้เท่ากับเงินที่เราผ่อน

คำถามคือ บ้านราคาหลังละ 10 ล้านบาท ปล่อยเช่าเดือนละ 50,000 บาทได้จริงมั้ย ถ้าปล่อยเช่าเดือนละ 50,000 ได้ ก็ซื้อได้ แต่ถ้าปล่อยเช่าได้แค่ 30,000 บาท คำถามคือเรากำลังทำอะไรอยู่ ถึงแม้เป็นอสังหาริมทรัพย์แต่ด่านแรกที่ต้องผ่านให้ได้ก่อนคือ โปรดซื้อบ้านไว้สำหรับอยู่เองให้ได้ก่อน ถ้ามีเงินเหลือค่อยปล่อยเช่า 

แต่ถ้าคุณชอบจริงๆ เราขอแนะนำเป็นซื้อกองทุนอสังหาริมทรัพย์ดีกว่า ได้ผลตอบแทน 6-7% แถมไม่ต้องมาปวดหัวหาผู้เช่า ในช่วงมีคนหรือไม่มีคนเช่า แล้วยังไม่ต้องมาดูตอนน้ำรั่ว หรืออาจจะเจอคนโทรมา complain ตอนตี 2 เพราะน้ำรั่วหรือไฟเสียอะไรอย่างนี้ แล้วก็ไม่ต้องห่วงว่า เขาดูแลบ้านของเรามั้ย หลังจากออกไปเขาจะทิ้งขยะประมาณ 10 กองไว้ในบ้านเราหรือเปล่า ที่สำคัญไม่ต้องใช้เงินเป็นสิบๆ ล้านมาซื้อ แต่ซื้อแค่ 3-5 แสนบาท ตามกำลังก็พอ หรือถ้ามีหมื่นเดียวก็ยังซื้อกองทุนได้ ถ้าชอบขอ recommend ให้เข้าเว็บไซต์เกี่ยวกับ property fund ซึ่งให้ข้อมูลกองทุนอสังหาริมทรัพย์ครบทุกกองทุน มีการให้เรตติ้งเบอร์ 1-5 มีการให้ผลตอบแทนย้อนหลัง เป็นอะไรที่น่าสนใจมากๆ

ต้องยอมรับว่าในอดีตคนส่วนใหญ่ชอบมีบ้านมีบริเวณ เพื่อปลูกบ้านเป็นหลังๆ แล้วปล่อยให้เช่า แต่เดี๋ยวนี้บ้านเสื่อมสภาพเร็วมาก แถมยังมีคอนโดดีๆ ออกมาเยอะแยะ แล้วเด็กรุ่นใหม่เขาเลือกการอยู่คอนโดมากกว่าซื้อรถด้วยซ้ำ โดยเลือกคอนโดเกาะเส้นรถไฟฟ้าแล้วใช้ขนส่งสาธารณะ

พูดถึงเรื่องรถ สูตรคำนวณเงินกู้และเงินผ่อนบ้านใช้กับการกู้ซื้อรถไม่ได้นะคะ

ที่บอกว่าไม่ได้ หมายถึงไม่ควรนำเงินก้อนมาผ่อนลดเงินต้น เพราะว่าในการเช่าซื้อรถจะมีการคำนวณเรียบร้อยแล้วว่าต้องจ่ายต่องวดเท่าไหร่ การนำเงินก้อนมาจ่ายไม่มีผลทำให้งวดการผ่อนลดลง

ยกตัวอย่างง่ายๆ สมมติซื้อรถหรูมาในราคา 4 ล้านบาท ดอกเบี้ยจะถูกหารยาวเสมอ และไม่ควรผ่อนเกิน 4  ปี หรือ 48 งวด เพราะถึงเวลานั้นเราจะอยากเปลี่ยนรุ่น ซึ่งหากขายรถเดิมก็ยังมีราคา (รถที่อายุเกิน 5 ปี ราคาขายจะลดลงมาก) แต่อย่าไปหวังว่าจะขายได้ราคาเยอะแยะ ให้ถือว่าได้กำไรใช้ แล้วรถใหม่ค่าซ่อมมันน้อย สมรรถณะก็ยังดี การป้องกันอุบัติเหตุได้ดีกว่า 

รถตอนซื้อก็สะกดว่า ‘รถ’ แต่พอซื้อมาปั๊บมันสะกด ‘ลด’ เลย เพราะฉะนั้นถือกำไรใช้ และไม่จำเป็นต้องมีหลายคัน ครอบครัวหนึ่งมีคันเดียวก็พอแล้ว

คำถามต่อมา แล้วควรจะซื้อรถด้วยเงินสดหรือเช่าซื้อดี คำตอบคือเช่าซื้อดีกว่า เพราะดอกเบี้ยเช่าซื้อแค่ 1% ขณะเดียวกันธนาคารก็จะดูแลเรา ขอเพียงว่าเรามีวินัย ผ่อนให้เสร็จ เช่น การต่อทะเบียน พอเช่าซื้อสมุดทะเบียนก็อยู่กับแบงก์ เราก็ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายการต่อทะเบียนเอง แถมยังมีเรื่องประกันที่ดีกว่า

ส่วนเรื่องรถไฟฟ้า ตอนนี้น่าสนใจมาก มีรถ EV หลายเจ้ามากที่ทำราคาดี เพียงแต่ว่าเราคงต้องศึกษา ดูความเสถียรจุเติมไฟ ซึ่งถ้าวิ่งในกรุงเทพฯ ก็โอเคเลย แต่ถ้าวิ่งทางไกลก็อาจจะเป็นปัญหาอยู่

และนี่ก็คือเรื่องราวการวางแผนเพื่อซื้อบ้านและซื้อรถ อย่างที่บอกว่าการซื้อบ้านมีมิสชั่นคือต้องลดเงินต้น และพยายามอย่าผ่อนเกิน 15 ปี เพราะเท่ากับเงินที่จ่ายไปเป็นค่าดอกเบี้ย หากมีเงินก้อนควรรีบมาลดเงินต้น แต่ถ้าเป็นการซื้อรถ แนะนำว่าเป็นเช่าซื้อจะดีกว่า และในการผ่อนอย่าผ่อนให้เกิน 48 งวด หรือเต็มที่ไม่เกิน 60 งวด

Wealth Done ตอนหน้ายังมีอะไรให้เราคุยกันอีกมากมายแน่นอน แล้วพบกันใหม่ตอนหน้านะคะ


WEALTH DONE คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital แล้วรออ่านคำตอบพร้อมกันทุกวันพฤหัสบดี เว้นวันพฤหัสบดี ที่ capitalread.co

“คำแรกติดใจ คำต่อไปติดคอ” ทำไม ‘น้ำพริกแคบหมูยายน้อย’ บูลลี่ตัวเองแต่ขายดิบขายดี

น้ำพริกแคบหมูยายน้อย

น้ำพริกแคบหมูยายน้อย Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

เพราะเจ้าของกิจการไม่ได้เป็นตัวแสดงหลัก และบ่อยครั้งเราก็รับบทเป็นตัวประกอบในความฝันของคนอื่น

EP.4

ในโลกของธุรกิจ เราในฐานะเจ้าของกิจการ อาจจะเป็นนักแสดงนำหลัก แต่ในโลกของผู้คนอีกมากมาย เราอาจจะเป็นแค่ตัวประกอบ โดยเฉพาะตัวประกอบในโลกแห่งความฝันของคนอื่นๆ ซึ่งคนนั้นคือ

supporting role supporting role

เหล่าผู้คนที่เป็นผู้ร่วมงาน

การทำร้านกาแฟ นอกจากการสร้างร้านที่สวยงาม สร้างผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพที่ดีเเล้ว สิ่งที่เป็นองค์ประกอบสำคัญอีกอย่างคือ คน ทั้งคนที่เป็นลูกค้าและคนที่เข้ามาร่วมงาน

นั่นทำให้ร้านกาแฟเป็นพื้นที่ที่รวบรวมคนที่มีความหลากหลายมารวมตัวกันแบบมีนัดหมาย ต่างบทบาทและหน้าที่ ต่างความเชื่อและความตั้งใจ 

บ้างกำลังตามหาความชอบและความหลงใหลอะไรบางอย่างในชีวิต บ้างอยากลองค้นหาตัวเอง บ้างแค่อยากทดสอบสมมติฐานก่อนตัดสินใจอะไรบางอย่าง บ้างแค่มาใช้เวลา บ้างมีความจำเป็นทางเศรษฐกิจ

ร้านกาแฟจึงเป็นเหมือนโรงเรียนที่จะคอยมอบบทเรียนต่างๆ ให้กับเขาเหล่านั้น

บางครั้งเป็นบทเรียนที่น่าจดจำ

และบางครั้งก็เป็นบทเรียนที่ไม่น่าจดจำ

‘อยากเริ่มหาความชอบใหม่ๆ’ ‘อยากลองมาทำดู’  ‘อยากมาทำจริงๆ ให้ทำอะไรก่อนก็ได้’ คือคำที่ผมได้ยินอยู่บ่อยๆ ในฐานะเจ้าของกิจการทำให้มีโอกาสได้เปิดรับหรือพบเจอบุคคลเหล่านี้อยู่ไม่น้อย จากลูกค้าอาจกลายมาเป็นเพื่อนร่วมงาน และเพื่อนร่วมงานก็อาจเติบโตไปเป็นเจ้าของกิจการของเขาเองในอนาคต

ผมว่าเสน่ห์ของการทำร้านกาแฟคือการที่เราได้เจอผู้คนที่หลากหลาย ทั้งในเรื่องอายุ ความถนัด ความสามารถพิเศษ และความสนใจที่มีอยู่ก่อนจะเข้ามาทำกาแฟ

จากคนที่ไม่ได้มีทักษะในการทำกาแฟเลย หลังจากที่เขาได้มาเรียนรู้การทำงานที่ร้านในช่วงเวลาหนึ่ง เขาก็จะสามารถออกไปเริ่มต้นทำความฝันของเขาให้เป็นจริงเองได้

นอกจากเรียนรู้ทักษะหรือเทคนิคในการทำกาแฟ พวกเขาจะได้เรียนรู้วิธีบริหารจัดการร้าน เรื่องวัตถุดิบ การบริการ และการทำงานร่วมกันผู้อื่น ผ่านการทำงานในแต่ละวัน ขณะเดียวกัน พวกเขายังได้แสดงความสามารถ ใช้ทักษะและความถนัดที่มีมาเติมเต็มสิ่งที่ผู้ประกอบการอย่างเราไม่มี เช่น ความสามารถด้านการออกแบบกราฟิก ศิลปะในการถ่ายภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว นำเสนอวิธีการสื่อสารใหม่ๆ ไปจนถึงวิเคราะห์ตัวเลข ช่วยคำนวณต้นทุนของสินค้า การบริหารการจัดซื้อวัตถุดิบ เป็นต้น

หรือคนที่ไม่เคยได้รับโอกาสให้ทำงานที่ไหนมาก่อน เขาอาจได้โอกาสแรกหรือประสบการณ์แรกจากร้านหรือธุรกิจของเรา

ผมว่านอกจากการบริหารความฝันของตัวเองเเล้ว การเป็นส่วนหนึ่งที่ประกอบอยู่ในความฝันของผู้อื่น ก็ถือเป็นการบริหารความฝันของคนอื่นได้เหมือนกัน ซึ่งทำให้เราได้เจอเรื่องราวที่น่าจดจำมากมาย วันแรกในการทำงานของคนที่เริ่มต้นจากศูนย์ ไม่มีประสบการณ์ในงานนั้นมาก่อน ก็คงไม่ต่างจากการเข้าโรงเรียนใหม่วันแรก ทุกอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้นคือบทเรียนและบททดสอบของการเรียนรู้สิ่งใหม่

เช่นเดียวกัน เราอาจเจอบางคนที่เข้ามาทำงานด้วยความสนใจในเรื่องของกาแฟมากๆ แต่ในปัจจุบันเขาอาจจะไปได้ดีกับงานอื่นที่ไม่ใช่การทำร้านกาแฟ เขาอาจจะเปลี่ยนไปทำอาหาร ถ่ายรูป หรือวาดภาพ

ทั้งหมดคือการค้นหาและเปลี่ยนแปลงจากสิ่งหนึ่งไปสู่อีกสิ่งหนึ่ง

การได้เห็นคนทั้งหลายเติบโตในทางของตัวเองมันก็สะท้อนให้เห็นว่าจริงๆ แล้วคนเราก็มีทักษะที่หลากหลายมากกว่าการจะทำงานใดงานหนึ่ง ในตำเเหน่งใดตำแหน่งหนึ่งเป็นระยะเวลานานๆ แต่ทักษะและองค์ประกอบเหล่านั้นไม่ได้จะมีพร้อมในช่วงเวลาสั้นๆ แต่เกิดจากการสะสมประสบการณ์ และเมื่อเวลานั้นมาถึง เขาเหล่านั้นก็จะออกเดินไปตามเส้นทางที่เขาอยากออกไปโลดแล่น

เป็นผู้เล่นอีกคนที่เพิ่มขึ้น และทำให้สังคมหรืออุตสาหกรรมที่เราอยู่นี้เติบโตขึ้น

ในฐานะตัวประกอบ ที่สวมบทบาทของเจ้าของกิจการ พวกเราค่อยๆ เรียนรู้ว่าเพื่อนร่วมงานทุกคนที่แวะเวียนเข้ามาในชีวิตต่างก็มีความคิดและความฝันของตัวเอง มีเป้าหมาย มีเส้นทางที่เขาอยากเลือกเดินในแบบของตัวเอง อาจจะไม่ชัดเจนในวันแรกๆ แต่มันจะค่อยๆ ชัดเจนขึ้นและไม่ว่าระยะเวลาของการค้นหาเส้นทางเหล่านั้นจะนานเท่าไหร่ ผมเชื่อว่าเขาจะพบมันสักวัน วันนั้นวันที่เขาอาจจะไปเป็นเจ้าของร้าน หรือเลือกเดินไปยังเส้นทางอื่นที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง 

การบริหารจัดการทั้งธุรกิจและคน ในอีกแง่หนึ่งก็คือการเป็นเส้นทางให้คนผู้คนมากมายได้เดินผ่านเข้ามาและเดินออกไป อย่างน้อยก็ได้เรียนรู้และเติบโตไปด้วยกันในช่วงเวลาหนึ่ง อย่างไม่รู้สึกเสียดายอะไร เพราะทุกคนพร้อมใจทำงานในช่วงเวลานั้นให้ออกมาดีที่สุด

นี่คือสิ่งที่ตัวประกอบตัวนี้ได้เรียนรู้

นอกจากที่ใครๆ จะบอกว่าร้านกาแฟเป็นเรื่องของการทำธุรกิจตามความฝันแล้ว ในแง่หนึ่งมันยังเป็นทางผ่านของความฝันของคนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน

แล้วบางครั้งเราก็รับบทเป็นตัวละครที่ดี

หรือบางทีเราก็ได้รับบทของตัวละครที่ร้ายในเรื่องราวของคนอื่น

และมันจะยังคงเป็นแบบนี้ต่อไป มีความท้าทาย มีคาแร็กเตอร์ใหม่ๆ เกิดขึ้นกับเราและในชีวิตเราเสมอนอกจากที่ใครๆ จะบอกว่าร้านกาแฟเป็นเรื่องของการทำธุรกิจตามความฝันแล้ว ในแง่หนึ่งมันยังเป็นทางผ่านของความฝันของคนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน แล้วบางครั้งเราก็รับบทเป็นตัวละครที่ดี หรือบางทีเราก็ได้รับบทของตัวละครที่ร้ายในเรื่องราวของคนอื่น และมันจะยังคงเป็นแบบนี้ต่อไป มีความท้าทาย มีคาแร็กเตอร์ใหม่ๆ เกิดขึ้นกับเราและในชีวิตเราเสมอ

Home (a)lone สูตรคำนวณวงเงินตั้งต้น เมื่อคู่รักจะร่วมกันกู้ซื้อบ้าน (และรถ)

กู้ซื้อบ้าน นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

กู้ซื้อบ้าน WEALTH DONE คือ คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เป็นอุปนายกสมาคมนักวางแผนทางการเงินไทย เป็นคุณครู เป็นนักเขียน และล่าสุดเป็นคอลัมนิสต์ของ Capital ที่จะมาพบผู้อ่าน ทุกวันพฤหัสบดี เว้นวันพฤหัสบดี ที่ capitalread.co เริ่มตอนแรกวันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม

หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราชาว Capital ได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital ระหว่างนี้ ตามไปทำความรู้จักคอลัมนิสต์คนใหม่ของเราได้ที่ บทสัมภาษณ์ตอนล่าสุดของคอลัมน์ ณ บัตรนั้น

นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

WEALTH DONE คือ คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เป็นอุปนายกสมาคมนักวางแผนทางการเงินไทย

หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราชาว Capital ได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital ระหว่างนี้ ตามไปทำความรู้จักคอลัมนิสต์คนใหม่ของเราได้ที่ บทสัมภาษณ์ตอนล่าสุดของคอลัมน์ ณ บัตรนั้น

นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

WEALTH DONE คือ คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราชาว Capital ได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital ระหว่างนี้ ตามไปทำความรู้จักคอลัมนิสต์คนใหม่ของเราได้ที่ บทสัมภาษณ์ตอนล่าสุดของคอลัมน์ ณ บัตรนั้น

นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

WEALTH DONE คือ คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราชาว Capital ได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital ระหว่างนี้ ตามไปทำความรู้จักคอลัมนิสต์คนใหม่ของเราได้ที่ บทสัมภาษณ์ตอนล่าสุดของคอลัมน์ ณ บัตรนั้น

นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เป็นอุปนายกสมาคมนักวางแผนทางการเงินไทย

หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราชาว Capital ได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital ระหว่างนี้ ตามไปทำความรู้จักคอลัมนิสต์คนใหม่ของเราได้ที่ บทสัมภาษณ์ตอนล่าสุดของคอลัมน์ ณ บัตรนั้น

นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เป็นอุปนายกสมาคมนักวางแผนทางการเงินไทย เป็นคุณครู เป็นนักเขียน และล่าสุดเป็นคอลัมนิสต์ของ Capital ที่จะมาพบผู้อ่าน ทุกวันพฤหัสบดี เว้นวันพฤหัสบดี ที่ capitalread.co เริ่มตอนแรกวันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม

หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราชาว Capital ได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital ระหว่างนี้ ตามไปทำความรู้จักคอลัมนิสต์คนใหม่ของเราได้ที่ บทสัมภาษณ์ตอนล่าสุดของคอลัมน์ ณ บัตรนั้น

นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เป็นอุปนายกสมาคมนักวางแผนทางการเงินไทย เป็นคุณครู เป็นนักเขียน และล่าสุดเป็นคอลัมนิสต์ของ Capital ที่จะมาพบผู้อ่าน ทุกวันพฤหัสบดี เว้นวันพฤหัสบดี ที่ capitalread.co เริ่มตอนแรกวันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม

หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราชาว Capital ได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital ระหว่างนี้ ตามไปทำความรู้จักคอลัมนิสต์คนใหม่ของเราได้ที่ บทสัมภาษณ์ตอนล่าสุดของคอลัมน์ ณ บัตรนั้น

นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เป็นอุปนายกสมาคมนักวางแผนทางการเงินไทย เป็นคุณครู เป็นนักเขียน และล่าสุดเป็นคอลัมนิสต์ของ Capital ที่จะมาพบผู้อ่าน ทุกวันพฤหัสบดี เว้นวันพฤหัสบดี ที่ capitalread.co เริ่มตอนแรกวันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม

‘ปา เฮ่า เถียน มี่’ ร้านขนมหวานในบ้านเลขที่ 8 ที่แปลงร่างมาจากบาร์จีนคอนเซปต์โรงเตี๊ยมย่านเยาวราช

ถนนเยาวราชในความทรงจำ

เถี่ยน มี่ หมี่ หนี่ เซียว เต่อ เทียน มี่ มี่

ba hao tian mi

เฮา เซียง ฮัว เอ๊อ ไค ไจ ชุน เฝิ่ง ลี

ไข่ ไจ ชุน เฟิ่ง ลี…

ถึงแม้ว่าเจ้าของเสียงหวานกังวานใสที่ขับขานเพลงนี้ อย่าง เติ้ง ลี่จวิน จะลาจากโลกนี้ไปตั้งแต่ปี 1995 แต่สำหรับพี่น้องเชื้อสายจีนทั่วโลก เพลง เถียนมี่มี่ ยังคงก้องดังอยู่ในใจพวกเขาอยู่เสมอทุกครั้งที่นึกถึงเพลงนี้ ไม่มีเทคโนโลยีออโต้จูนหรือปรับเสียงร้องใดจะเทียบเท่าความไพเราะของเสียงต้นฉบับจากเติ้ง ลี่จวิน ได้

ย้อนเวลากลับไปเมื่อหลายสิบปีก่อน ถ้าคุณได้ไปเที่ยวชมหรือเที่ยวชิมของอร่อยย่านเยาวราช คุณจะเห็นภาพพ่อค้าแม่ค้าตั้งแผงขายเทป อยู่หลายเจ้าตลอดสองฝั่งถนน ทั้งตรงหน้าโรงหนังเทียนกัวเทียน หน้าซอยแปลงนาม หรือแผงเทปที่ตั้งอยู่เยื้องๆ ห้างคาเธ่ย์ แสงไฟที่ส่องสว่างจากป้ายร้านขายทองผนวกเข้ากับเสียงขับร้องของ เติ้ง ลี่จวิน จากลำโพงของร้านขายเทปตลอดทางของถนนเยาวราช อาจทำให้บางครั้งคุณต้องเผลอหยิกเนื้อตัวเองให้ตื่นจากภวังค์ที่เคลิ้มไปว่า “ฉันกำลังอยู่ในเมืองจีน (หรือฮ่องกง หรือไต้หวัน) หรือเปล่านี่”

สำหรับคนที่เติบโตมาจากย่านเยาวราชอย่างตัวผู้เขียนเอง หรือจากมิตรสหายที่ต่างแวะเวียนมาที่เยาวราชเพื่อจับจ่ายเครื่องเทศสมุนไพรจีนที่ตลาดเล่งบ๊วยเอี๊ยะ มาไหว้เจ้าที่ศาลเจ้าเล่งเน่ยยี่ หรือมาเดินช้อปปิ้งที่สำเพ็ง ถึงแม้จะไม่ได้มาเท่าทันเวลาเมื่อหลายสิบปีก่อนสมัยที่กิจการร้านขายเทปยังเฟื่องฟู แต่เสียงร้องเพลง เถียนมี่มี่ ของเติ้ง ลี่จวิน ยังคงวนเวียนอยู่ในใจเสมอทุกครั้งที่คิดถึงเยาวราช เราอาจอธิบายถึงมันได้ว่า มันคือความรู้สึกร่วมของเหล่าชาวลูกหลานเชื้อสายจีน

และอาจจะรวมไปถึงหุ้นส่วนทั้ง 6 คน ของร้านปา เฮ่า เถียน มี่ ด้วย (Ba Hao Tian Mi)

ถ้าจะเปรียบเทียบจอมยุทธของแต่ละสำนักที่ถนัดในการใช้อาวุธที่แตกต่างกัน บางสำนักอาจมีดีที่เพลงดาบ บางสำนักอาจเก่งกาจที่เพลงกระบี่ คงอุปมาได้กับหุ้นส่วนทั้ง 6 คน ของปา เฮ่า เถียน มี่ ที่มีดีและเก่งกาจกันไปในคนละทาง ทั้ง 6 คนจึงแยกย้ายกันดูแลเรื่องที่แตกต่างกันภายใต้กิจการปา เฮ่า เถียน มี่

จอมยุทธทั้ง 6 คนที่มาร่วมหุ้นเปิดกิจการด้วยกัน ประกอบไปด้วย ทอพ–ธนพลพจน์ โรจน์ณัฐกุล ดูแลการออกแบบร้าน การตลาดและภาพรวมของกิจการ, เก๋–ฑิฆัมพร ชื่นกิตติวรวัฒน์ คิดค้นและออกแบบเมนูอาหาร ขนม ทั้งหมด, บัว–กานต์ชนิต เจริญยศ ดูแลเรื่องการจัดการงานหน้าร้านของทุกสาขา, โน้ต–ชินธันย์ คล้ำจีนภาณุวงศ์ ดูแลเรื่องการจัดการงานหน้าร้านปา เฮ่า (Ba Hao Nana) จัดการเลือกเพลย์ลิสต์ให้ร้าน รวมถึงงานซ่อมบำรุงต่างๆ, ภูมิ สมบูรณ์กุลวุฒิ ดูและเรื่องเว็บไซต์และระบบไอที และ จิม–เอกฤทธิ์ ปัทมสัตยาสนธิ นักลงทุนคนสำคัญของร้าน

แต่กว่าจะกลายมาเป็น ‘ปา เฮ่า เถียน มี่’ ร้านขายขนมหวานที่มีพุดดิ้งเป็นสินค้าเด็ดชูโรง (และตอนนี้เริ่มขายอาหารคาวแล้ว) ในวันนี้ หลายคนอาจสงสัยว่าพวกเขาทั้ง 6 คน ต้องผ่านอะไรมาบ้าง แล้วพวกเขาแอบฮัมและคิดถึงเพลง เถียนมี่มี่ ตอนตั้งชื่อร้านด้วยหรือเปล่า 

ba hao tian mi

โรงเตี๊ยม ‘ปา เฮ่า’

เรื่องราวทั้งหมดของ ‘ปา เฮ่า เถียน มี่’ เริ่มต้นขึ้นจาก ร้าน ‘ปา เฮ่า (Ba Hao)’ กิจการภายใต้คอนเซปต์ ‘โรงเตี๊ยม’ ในซอยนานา ย่านเยาวราช ที่ใช้พื้นที่ด้านล่างเป็นบาร์ที่ตกแต่งแบบจีนร่วมสมัย และพื้นที่ชั้นบนเป็นห้องพักให้เช่าแบบ Airbnb

“เริ่มต้นจากหุ้นส่วนของเราคนหนึ่งเดินมาเจอพื้นที่ตรงนี้ พวกเราเลยคุยกัน (ในหมู่เพื่อน) ว่า เราจะทำอะไรกับมันดี จนสุดท้ายพัฒนามาเป็นพื้นที่ที่ใช้สอยด้านล่างเป็นบาร์ และด้านบนเป็นที่พัก คอนเซปต์แบบโรงเตี๊ยมน่ะครับ”

ทอพเริ่มเล่าให้ฟังถึงที่มาของร้านปา เฮ่า ก่อนที่จะพัฒนาเดินหน้าจากคอนเซปต์โรงเตี๊ยมมาขายเครื่องดื่มและของกินเล่นจนคนยืนออแน่นหน้าร้าน

จากย่านที่ตั้งที่อยู่บนพื้นผิวของย่านเยาวราช ประกอบกับความผูกพันกับวัฒนธรรมจีนของหุ้นส่วนแต่ละคน เมื่อต้องคิดถึงชื่อของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ ชื่อที่ลิสต์กันมามากมายหลายชื่อ จึงมาสรุปโหวตที่ชื่อว่า

‘ปา เฮ่า’ หรือในภาษาอังกฤษแปลว่า ‘No.8’ และในภาษาไทยคือ ‘หมายเลข 8’

ในช่วงขวบปีแรกที่เปิด ทีมงานโดยเพื่อนฝูงที่รักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนทั้ง 6 คน ต่างพากันระดมไอเดียและสรรพกำลังที่แต่ละคนมีเพื่อช่วยกันบริหารและก่อร่างสร้างโรงเตี๊ยมนี้ขึ้นมาจนสำเร็จ

ba hao tian mi

โรงเตี๊ยมร่ำสุราหมายเลข 8

ด้วยคอนเซปต์โรงเตี๊ยมที่พวกเราอาจคุ้นตาจากฉากหนังจีนกำลังภายในที่เหล่าจอมยุทธเรียกหาเสี่ยวเอ้อเพื่อสั่งกับแกล้มพลางร่ำสุรา หุ้นส่วนทั้ง 6 จากร้านปา เฮ่า จึงไปเฟ้นหาผู้เชี่ยวชาญทางด้านการคิดค้นเครื่องดื่มมาเพื่อสร้างสูตรผสมที่ลงตัวสำหรับโรงเตี๊ยมปา เฮ่าแห่งนี้

“เก๋เองคิดสูตรอาหารและสูตรขนมค่ะ” คุณเก๋พูดแนะนำตัวระหว่างที่เราสนทนากัน 

พลางคุณทอพก็ช่วยเสริมว่า “ในตอนนั้นเราต้องจ้างคนที่เขาทำเครื่องดื่มเป็นมาช่วยเราออกแบบ ดีไซน์เครื่องดื่มที่ใช้ในร้านครับ แล้วตอนเปิดร้านพวกเราทั้งหมดทุกคนก็เป็นพนักงานกันเองนี่แหละครับ ดูแลทุกอย่างในร้าน เราช่วยกัน”

ba hao tian mi

“ส่วนบัวจะดูโอเปอเรชั่นในร้านค่ะ ตอนนั้นเราเริ่มที่ปา เฮ่า แต่ตอนนี้บัวก็ดูทั้งปา เฮ่า และปา เฮ่า เถียน มี่ ด้วย” คุณบัวพูดปิดท้ายถึงหน้าที่ของเธอที่ต้องดูแลระบบการบริหารงานลูกน้องที่ต้องบริการทั้งแขกที่มาพักและแขกที่มาเป็นลูกค้าร้านอาหาร

อย่างที่บอกว่าปา เฮ่ามีลูกค้าแน่นเอี้ยดจนต้องยืนรออยู่หน้าร้านด้วยคอนเซปต์จีนร่วมสมัย หรือจะใช้คำว่า ‘จีนเท่’ ก็คงจะไม่ผิดนักสำหรับร้านปา เฮ่า แต่ถึงจะเป็นโรงเตี๊ยมที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่กลับกลายเป็นว่า หนึ่งในเมนูที่ขายดีของร้านคือ ‘พุดดิ้ง’ ถ้าถามว่าขายดีขนาดไหนก็คงจะต้องตอบว่า ขายดีขนาดที่คุณเก๋ คุณทอพ และคุณบัว ทั้งสามคนต่างประสานเสียงตอบไปในทิศทางเดียวกัน

 “แม้ปา เฮ่าจะเป็นบาร์ แต่มีลูกค้าโทรมาเพื่อสั่งจองพุดดิ้ง”

ba hao tian mi

ฤาสวรรค์จะมีบัญชาให้เราได้เห็นคนยืนกินพุดดิ้งหน้าร้าน

ถ้าเชื่อเรื่องฟ้าลิขิต เราอาจจะต้องเชื่อว่าโชคชะตาที่นำพาให้หุ้นส่วนในร้านมองเห็น ฉากลูกค้ายืนถือชามกระเบื้องลายจีนแล้วยืนกินพุดดิ้งอยู่หน้าร้าน 

ในวันที่ลูกค้าแน่นขนัดจนไม่สามารถมีลูกค้าเข้าไปนั่งกินดื่มได้ ต้องยืนรอคิวอยู่หน้าร้าน แต่ความหอมอร่อยของพุดดิ้งจาก ‘ปา เฮ่า’ ทรงพลังมากถึงขนาดที่ลูกค้าที่ยืนรอหน้าร้านยอมยืนกินแบบไม่มีที่นั่ง เพื่อที่จะได้กินของอร่อยจากโรงเตี๊ยมแห่งนี้

เมื่อกิจการปา เฮ่าดูท่าว่าจะไปได้สวย การขยายกิจการของหุ้นส่วนทั้ง 6 จึงดำเนินมาถึงจุดที่ต้องหาสถานที่ใหม่ในการขยายสาขา และเป็นอีกครั้งที่โชคชะตานำพาให้พวกเขามาเจอบ้านหมายเลขที่ 8 ใน ซอยผดุงด้าว หรือที่คนแถบเยาวราชนิยมเรียกกันว่า ‘ซอยเท็กซัส’ เพราะมีร้านสุกี้เท็กซัสตั้งอยู่)

การก่อร่างสร้างสาขาที่ 2 ของ ‘ปา เฮ่า’ จึงเริ่มขึ้นที่นี่ แต่เมื่อเขยิบมาอยู่ย่านถนนเยาวราชที่ครึกครื้นทั้งกลางวันและกลางคืน พวกเขาจึงคิดว่า ถ้าอย่างนั้นควรจะหาของที่ทีมงานหรือหุ้นส่วนพัฒนาได้เองและเป็นของขายดีของร้านอยู่แล้วมาเป็นตัวชูโรง จึงลงตัวเป็นคอนเซปต์ที่ว่า ร้านสาขาที่ 2 นี้ พวกเขาจะขายขนมหวานโดยมีพุดดิ้งเป็นพระเอกของร้าน

แต่การจะเอาชื่อปา เฮ่ามาอย่างเดียวโดยไม่ต่อท้ายหรือดัดแปลงชื่อเลย คนอาจจะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นร้านที่ขายสินค้าชนิดเดียวกันทั้งหมด หุ้นส่วนทั้งหมดจึงต้องเข้าที่ประชุมกันอีกครั้งเพื่อโหวตว่าจะใช้ชื่ออะไรดีสำหรับสาขาที่ 2 ในซอยเท็กซัส ว่าแล้วก็มาลงตัวที่ชื่อ

‘ปา เฮ่า เถียน มี่’

‘เถียน มี่’ หวานปานน้ำผึ้ง

“ถ้าเรามาเยาวราชเราก็ต้องคิดถึงเพลง เถียนมี่มี่ คิดถึงเติ้ง ลี่จวิน อยู่แล้ว และคำว่า ‘เถียน มี่’ ก็แปลว่าหวานปานน้ำผึ้งด้วย แล้วเราจะขายขนมหวานพอดี” คุณเก๋อธิบายถึงที่มาของร้าน ระหว่างนั้นคุณทอพจึงพูดต่อประเด็นจากเพื่อนว่า “เราเลยเอาคำว่าเถียน มี่ มาต่อกับคำว่า ปา เฮ่า เป็น ปา เฮ่า เถียน มี่ ครับ”

จะขนมพุดดิ้งที่ใส่ในชามกระเบื้องหรือเมนูไหนๆ ที่ขายในร้านทั้งปา เฮ่า เถียน มี่ และปา เฮ่า ต่างเกิดมาจากการสรรค์สร้างสูตรจากคุณเก๋ หนึ่งในหุ้นส่วนของร้าน โดยคุณเก๋เล่าเอาไว้ว่า “เราอยากเอาวัตถุดิบที่อยู่แถวๆ นั้น ในย่านเยาวราช เอามาทำเป็นเมนู เช่นพวกเก๋ากี้ เราก็เอามาทำเป็นน้ำเชื่อมใส่ในพุดดิ้ง หรืออย่างใบชา เราก็เอามาใส่ในเครื่องดื่ม น้ำส้มจี๊ด อย่างงี้ก็ขายดีนะคะ หรืออย่างกานาฉ่ายเราก็เอามาดัดแปลงทำเป็นครีมกินกับสลัดหรือทากับขนมปัง”

จึงไม่น่าแปลกใจที่อาหารและขนมของปา เฮ่า เถียน มี่ จะเป็นที่ติดอกติดใจลูกค้าทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ ด้วยการผสมผสานเอาวัตถุดิบท้องถิ่นที่หาได้ในเยาวราชมาทำเป็นอาหารและขนมจนเป็นร้านที่มีเอกลักษณ์จีนแบบร่วมสมัย หรือลูกชาวจีนเลือดใหม่ จนปัจจุบันนี้ปา เฮ่า เถียน มี่ แผ่ขยายความอร่อยไปไกลจากเยาวราช โดยมีหลากหลายสาขาทั่วกรุงเทพฯ ทั้งที่ทองหล่อ, ลิตเติ้ลวอล์ค บางนา และเดอะเซอร์เคิล ราชพฤกษ์

ba hao tian mi

ประสบการณ์ให้คำชี้แนะแก่เหล่าหุ้นส่วนปา เฮ่า เถียน มี่

“ช่วงโควิดที่ผ่านมา รายได้จากสาขาบางนาที่เน้นเดลิเวอรีนี่ถือว่ามาหล่อเลี้ยงสาขาอื่นๆ เลยครับ ถือเป็นบทเรียนให้กับเรา จริงๆ เป็นความโชคดีของเราด้วยครับที่เราคิดเรื่องการทำปา เฮ่า เถียน มี่ ให้มีสาขาที่เน้นแต่เดลิเวอรีไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว พอโควิดมาเราเลยผ่านมาได้ครับ” 

คุณทอพพูดถึงศึกหนักอย่างโควิดที่ไม่ได้ปรานีใครหน้าไหนทั้งนั้นในวงการธุรกิจ รวมถึงร้านปา เฮ่า เถียน มี่ด้วย

“ตอนนั้นเราประชุมกันทุกวัน แก้สถานการณ์กันทุกวันว่าจะทำยังไงดี เราก็สู้ชีวิตกันนะ แต่ชีวิตก็สู้เรากลับ (หัวเราะ) แต่เราก็ผ่านมาได้ค่ะ”

ba hao tian mi

คุณบัวพูดด้วยสีหน้าอารมณ์ดีจากการได้กอดคอเพื่อนรักทั้ง 5 ผ่านการประลองระหว่างปา เฮ่า เถียน มี่ กับโควิด-19 มา

ส่วนในเรื่องบทเรียนที่ได้รับจากการทำธุรกิจทั้ง Airbnb ร้านขนม และบาร์จีน หุ้นส่วนของปา เฮ่า เถียน มี่ ทั้งคุณเก๋ คุณบัว และคุณทอพต่างพูดไปในทางเดียวกันว่า “ต้องเรียนรู้ที่จะตื่นตัวและปรับตัวอยู่เสมอ”

ถึงแม้ว่าแผงร้านขายเทปจะไม่ได้อยู่คู่ถนนเยาวราชเพื่อเปิดเพลงหวานผ่านสุ้มเสียงอ่อนหวานปานน้ำผึ้ง ในบทเพลง เถียนมี่มี่ ของเติ้ง ลี่จวิน อีกต่อไป แต่กลับมีนิยามใหม่ของความหวานปานน้ำผึ้ง ปรากฏอยู่บนถนนเยาวราช 

นั่นคือร้านของหวานหมายเลข 8 นามว่า

ปา เฮ่า เถียน มี่


ฟังในรูปแบบพ็อดแคสต์ได้ที่

YouTube : youtu.be/wFwDbg8J5VM

Spotify : spoti.fi/3M5AQuT

Apple Podcasts : apple.co/3t7HREI

เส้นทางการทำงานจาก Orange, Google, LINE, ช่อง 3 จนถึงนามบัตรใบปัจจุบันของ ‘อริยะ พนมยงค์’

ด้วยผลงานการเป็น country head ของ Google ในไทยคนแรก, เป็นผู้ตัดสายสะดือ YouTube ในบ้านเรา, เป็น MD คนแรกของ LINE ประเทศไทย เป็นผู้นำที่ทำให้เกิดบริการอย่าง LINE MAN ทำให้เมื่อพูดชื่อ บี๋–อริยะ พนมยงค์ ออกไปแทบไม่มีคนในแวดวงธุรกิจคนไหน–โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับวงการเทคโนโลยีไม่รู้จักเขา อริยะ พนมยงค์

และด้วยประสบการณ์การทำงานที่น่าสนใจ อริยะจึงถูกสื่อเชิญให้ไปสัมภาษณ์ หรือได้รับคำชวนไปเป็นสปีกเกอร์บนเวทีสัมมนาหลายต่อหลายงาน โดยประเด็นที่เขาแชร์ส่วนใหญ่มักจะว่าด้วยเรื่องของโลกเทคโนโลยี การทรานส์ฟอร์มธุรกิจ และเรื่องดิจิทัลariya

เช่นเดียวกับการพูดคุยระหว่าง Capital และอริยะในครั้งนี้ ทว่านี่ไม่ใช่บทสนทนาที่ว่าด้วยประสบการณ์การทำงานด้านดิจิทัลเท่านั้น แต่เรายังคุยกันถึงประสบการณ์การทำงานของอริยะตั้งแต่นามบัตรใบแรกที่ออเร้นจ์มาจนถึงนามบัตรใบปัจจุบัน ตั้งแต่การเป็นผู้บริหารในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม เทคโนโลยี จนไปถึงวงการสื่อ ว่าอะไรคือเหตุผลในการตัดสินใจทรานส์ฟอร์มตัวเอง ด้วยการลาออกและเริ่มใหม่ในการทำงานแต่ละครั้ง

แล้วประสบการณ์แบบไหนที่หล่อหลอมให้ชื่อของ ‘อริยะ พนมยงค์’ กลายเป็นอีกหนึ่งผู้บริหารแถวหน้าของไทยได้อย่างทุกวันนี้ได้

01

อริยะ พนมยงค์

Head of Customer Management
Orange Romania

“ผมเกิด โต และเรียนที่ฝรั่งเศส จบโทใบแรกที่ฝรั่งเศสด้านคณิตศาสตร์กับไอที หลังจากนั้นก็ไปต่อโทอีกใบนึงที่อังกฤษด้านบริหาร พอเรียนจบก็ต้องหางาน ซึ่งยุคนั้นความฝันของหลายคนที่เรียนจบที่อังกฤษคือทำงานต่อที่ลอนดอน แล้วผมเองก็ได้งานที่ลอนดอนด้วยเหมือนกัน แต่สุดท้ายก็ไม่เลือก ผมเลือกจะไปอยู่ออเร้นจ์ที่โรมาเนียแทน (ภายหลังออเร้นจ์ในไทยได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น True) 

“ทั้งพ่อแม่ทั้งคนใกล้ตัวก็บอกว่าบี๋บ้าหรือเปล่า เพราะตอนนั้นโรมาเนียเพิ่งจะเปิดประเทศเอง คือถ้าให้เลือกทำงานที่อังกฤษกับโรมาเนีย คนส่วนใหญ่ก็เลือกอังกฤษมากกว่า แต่ที่ผมตัดสินใจไปเพราะคิดว่าประเทศนี้ถ้าไม่ได้ทำงานยังไงก็คงไม่ได้ไปแน่ๆ

อริยะ พนมยงค์

“คงเพราะความเป็นเด็กด้วยแหละเลยคิดแบบนั้น อยากรู้อยากลองอะไรใหม่ๆ เต็มไปหมด แต่จะว่าไปแล้วมันก็เป็นการเลือกที่กำหนดทิศทางชีวิตของเราในระดับนึงเลยนะ เพราะนับแต่นั้นเป็นต้นมาผมก็เดินสายโทรคมนาคม-เทคโนโลยีมาโดยตลอด 

“ผมไปแบบไม่มีความคาดหวังอะไรเลย เป็นเหมือนกระดาษเปล่าขาวๆ งานแรกที่ทำคือไปเป็น Network Engineer หนักไปทางสายวิศวกรรมเลย ทำงานอยู่ที่นี่ 2 ปีแต่ความรู้สึกเหมือน 4 ปีเพราะงานเยอะมาก ตั้งแต่ระบบ CRM Call Center แล้วก็อะไรอีกมากมาย ตอนนั้นเราไฟแรงมาก ทำงานเสร็จตีสองตีสามนี่เป็นเรื่องปกติเลย 

“คิดดูอีกทีถ้าเราอยู่ฝรั่งเศสหรืออังกฤษอาจจะไม่ได้ทำงานใหญ่ๆ แบบนี้ก็ได้เพราะเขาคิดว่าเราเป็นเด็กเป็นมือใหม่ อะไรยากๆ เขาอาจจะโยนไปให้คนอื่นที่มีประสบการณ์ทำมากกว่า แต่ที่โรมาเนียมีคนทำอยู่ไม่เยอะมาก ดังนั้นสำหรับการทำงานครั้งแรกในชีวิตผมได้ทำอะไรเยอะมาก ซึ่งถือเป็นประสบการณ์ที่ผมว่าดีมากเลย ถึงบอกว่าทำไม 2 ปีมันเหมือนกับ 4 ปี 

อริยะ พนมยงค์

“จากโรมาเนียเราก็ย้ายกลับมาฝรั่งเศส มาทำบริษัทซอฟต์แวร์เล็กๆ ได้สักระยะนึง แล้วออเร้นจ์ก็กำลังจะมาเปิดตัวที่ไทย ซึ่งมันเป็นจังหวะที่ดีมากๆ เพราะผมคิดมานานอยู่แล้วว่าอยากกลับไทย และอีกเหตุผลนึงซึ่งเอาจริงๆ ก็เป็นเหตุผลหลักด้วยซ้ำ (หัวเราะ) ก็คือแฟนซึ่งตอนนี้คือภรรยา เขาเป็นคนไทย พอประจวบเหมาะทั้งเรื่องงานทั้งเรื่องแฟน ก็เลยตัดสินใจสมัครออเร้นจ์ที่ไทยไป 

“ด้วยความที่ผมไม่เคยใช้ชีวิตอยู่ไทยเลย อย่างมากก็แค่ไปเที่ยวแป๊บเดียวแล้วก็กลับ ทำให้ตอนที่จะย้ายไปทำงานที่ไทย คนรอบข้างก็ถามว่าผมจะอยู่รอดไหม อยู่ไหวหรือเปล่า เพราะผมไม่มีเพื่อนที่ไทยเลย

“แต่ก็แน่นอนว่าสุดท้ายแล้วผมก็ตัดสินใจเดินทางมา”

02

Chief Commercial Officer
True Corporation

“17 พฤษภาคม 2001 คือวันที่ผมบินกลับเมืองไทย ที่จำวันแม่นขนาดนี้เพราะพอเครื่องลงตอนเช้า ตอนบ่ายของวันนั้นผมเข้าออฟฟิศเพื่อประชุมทันที และเป็นวันแรกที่ได้เรียนรู้ว่าเราจะเอาวิธีการทำงานแบบตอนอยู่ที่เมืองนอกมาทำแบบเดียวกับที่ไทยไม่ได้นะ 

“ตอนนั้นในห้องประชุมก็มีอยู่ประมาณสิบกว่าคน แล้วพอดีมีซัพพลายเออร์เจ้านึงที่ทีมเลือกใช้ ซึ่งด้วยความที่อยู่วงการนี้มานาน ผมรู้ว่าซัพพลายเออร์เจ้านี้เขามีชื่อเสียงที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ ก็เลยถามกลางห้องประชุมไปเลยว่าใครเป็นคนเลือกเจ้านี้ 

“ถามปุ๊บห้องเงียบปั๊บ ผมก็เอ๊ะขึ้นมาในใจ นี่เราทำอะไรผิดไปหรือเปล่า จนเดินออกจากห้องประชุมถึงได้มีคนมาบอกว่าสิ่งที่เราพูดมันให้ความรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังจะจับว่าใครผิดพลาด ใครเป็นคนเลือกเจ้านี้ ซึ่งจริงๆ แล้วเจตนาของผมไม่ใช่แบบนั้นเลย ก็เลยเป็นเหตุการณ์ที่เตือนตัวเองตั้งแต่วันแรกที่มาทำงานว่าเราต้องปรับตัว จะมาชี้หน้าด่าเลยแบบฝรั่งไม่ได้นะ เพราะแต่ละที่ก็มีวัฒนธรรมที่ทั้งดีและไม่ดีแตกต่างกันออกไป

เรียกได้ว่าปีแรกเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด ทั้งเรื่อง working culture ไหนจะต้องเจอรถติดเกือบทุกวัน เกือบจะอยู่ไม่รอดเหมือนที่คนเขาบอกเราก่อนจะมาแล้ว แต่สุดท้ายผมก็ทำงานอยู่กับเครือนี้มาได้ 11 ปี ตั้งแต่ออเร้นจ์มาจนถึงทรูฯ ตั้งแต่เป็น customer support ขยับมาเป็นมาร์เก็ตติ้ง เป็นรองผู้อำนวยการ จนตำแหน่งสุดท้ายที่ทรูฯ ก็คือ Chief Commercial Officer 

อริยะ พนมยงค์

“ตอนอยู่ที่ทรูฯ ผมได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ เยอะมาก ทั้งเรื่องของงานและเรื่องของคน อย่างเรื่องคนคือมีคนนึงในทีมเขามาลาออก เราก็ถามว่าทำไมถึงออกล่ะ คุยไปคุยมาเขาก็พูดว่า “บี๋ คุณเป็นหัวหน้าที่แย่มาก และก็ไม่ค่อยฟังใคร” ไหนบอกคนไทยไม่พูดตรงไง (หัวเราะ)

“แต่เอาจริงๆ ตอนนั้นที่ได้ยินก็หัวเราะไม่ออกนะ รู้สึกเสียศูนย์เหมือนกัน เพราะเราคิดว่าเราน่าจะเป็นหัวหน้าที่ดีมาโดยตลอด คอยรับฟังดูแลเทคแคร์ แต่พอพนักงานคนนั้นมาพูดแบบนี้เลยทำให้ต้องนั่งคิดว่าเป็นเพราะอะไร เลยทำให้เราฉายหนังย้อนกลับไปดูตัวเองว่าทำอะไรผิดพลาดไป จนมาเจอจุดนึงที่รู้สึกว่า ที่เราบอกว่าเรารับฟัง เราฟังนะ แต่สุดท้ายก็ยังทำตามสิ่งที่เราคิดว่าถูกอยู่ดี 

“ซึ่งทุกวันนี้ก็ต้องขอบคุณเขานะ เพราะเขาทำให้เราฝึกที่จะมี empathy มากขึ้น ฝึกให้เรารับฟังมากขึ้น ไม่ใช่แค่ฟังแล้วแต่ยังเอาแต่ความคิดของตัวเองอยู่เหมือนเดิม”

03

อริยะ พนมยงค์

Country Manager
Google Thailand

“จริงๆ แล้วมันไม่ง่ายเลยนะ เพราะผมอยู่กับทั้งออเร้นจ์และทรูฯ รวมๆ กันแล้วก็ประมาณ​ 11 ปี แต่มันมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ Apple เพิ่งจะมาในไทย ถ้าจำกันได้เราจะเห็นภาพของคนต่อคิวยาวเหยียดเพื่อซื้อไอโฟน และไอโฟนเป็นเหมือนทองคำที่คนค่อยๆ แกะกล่องออกมาอย่างทะนุถนอม ดูแล้วดูอีก เป็นยุคที่สมาร์ตโฟนกำลังมาและทำให้เราเห็นภาพที่อินเทอร์เน็ตมาอยู่บนมือถือ

“แม้ภาพของสมาร์ตโฟนและอินเทอร์เน็ตในตอนนั้นจะยังไม่ชัดเจนอย่างทุกวันนี้ แต่ด้วยความที่ทำงานอยู่ในวงการเทคโนโลยี คลุกคลีกับเรื่องเหล่านี้มานาน จึงทำให้ผมสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของการเปลี่ยนแปลง ว่าโลกของเรากำลังจะเปลี่ยนไปแล้วนะ

“เลยรู้สึกว่าถ้าเราได้ไปอยู่กับกูเกิลซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทที่คอยขับเคลื่อนเรื่องนี้ เป็นเหมือนผู้ที่สร้างอินเทอร์เน็ตขึ้นมาก็น่าจะเป็นอะไรที่น่าสนใจไม่น้อย ก็เลยตัดสินใจย้ายจากทรูฯ ไปกูเกิล ซึ่งถือเป็นจังหวะชีวิตที่สนุกมาก เพราะผมได้ลองทำอะไรใหม่ๆ หลายอย่าง และได้เป็นคนแรกที่ปักธงกูเกิลในประเทศไทย 

อริยะ พนมยงค์

“วันที่ 30 มิถุนายน ผมทำงานที่ทรูฯ วันสุดท้ายจนเสร็จหมดเรียบร้อย คืนนั้นก็ไปขึ้นเครื่องบิน ถึงออสเตรเลียวันที่ 1 กรกฎาคม เพราะกูเกิลจะให้พนักงานทั่วโลกไปเทรนกันที่นั่นก่อน 

“เห็นออฟฟิศของกูเกิลครั้งแรก ความรู้สึกที่ผุดขึ้นมาในตอนนั้นคือมันสวยมาก เป็นอะไรที่ว้าวสุดๆ สำหรับผม เป็นที่ที่เต็มไปด้วยความเป็นกูเกิล ทั้งผู้คน ทั้งที่นั่งทำงาน ทั้งแคนทีน มีคนระดับท็อปๆ จากหลายประเทศมารวมอยู่ด้วยกัน พอได้ไปอยู่ตรงนั้นแวบนึงเราแอบรู้สึกว่าตัวเองโง่เพราะมีแต่คนเก่งจริงๆ (หัวเราะ) 

“ไปออฟฟิศกูเกิลที่ออสเตรเลียว่าเซอร์ไพรส์แล้ว แต่พอกลับมาออฟฟิศกูเกิลที่ไทยนี่เซอร์ไพรส์ยิ่งกว่า ตอนนั้นกูเกิลเช่า service office ที่เซ็นทรัลเวิลด์ไว้ให้ วันแรกไขกุญแจเปิดประตูเข้าไปสิ่งที่เห็นมีแค่โต๊ะของผมตั้งอยู่ตัวเดียวแล้วก็จบ แค่นั้นเลย 

“ความรู้สึกตอนนั้นคือเหวอเล็กน้อยเพราะผมมาจากทรูฯ บริษัทที่มีพนักงาน 16,000 คน พอเจอแบบนี้เข้าไปก็แปลกๆ อยู่เหมือนกัน ไม่มีใครให้คุยด้วยตอนนั้น ทั้งออฟฟิศมีแค่โต๊ะตัวนึงกับเราคนเดียว ก็เลยเกิดคำถามขึ้นมาในหัวทันทีว่า เอ๊ะ…แล้วหน้าที่ของเราคืออะไรกัน สักพักถึงเพิ่งจะรู้ว่าการทำงานในแบบของกูเกิลไม่ได้มีเจ้านายมาสั่งว่าต้องทำอะไรยังไง เราเองต่างหากที่ต้องเป็นคนไปหาแผนธุรกิจ หาวิธีที่จะทำให้กูเกิลในไทยเติบโตแล้วเอาไปนำเสนอเจ้านาย เป็นการทำงานแบบ buttom-up ไม่ใช่ top-down แบบที่เราคุ้นชินกัน 

อริยะ พนมยงค์

“เมื่อวิธีการทำงานเป็นแบบนี้ สิ่งที่เราทำก็คือบินไปหลายๆ ประเทศ ไปดูกูเกิลประเทศอื่นใน South East Asia ว่าเขาทำอะไรกันบ้าง เหมือนเป็นการหาเพื่อนเหมือนกันนะ (หัวเราะ) แล้วก็เป็นช่วงที่เราต้องสร้างทีมขึ้นมา ซึ่งจะไปประกาศว่ารับสมัครดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งเลยก็คงไม่ได้เพราะสมัยก่อนยังไม่มีคำนี้ 

จนสุดท้ายก็ได้ไปรวบรวมคนไทยที่มีประสบการณ์ทำงานที่สิงคโปร์มาอยู่ด้วยกัน และกลายเป็นทีมงานชุดแรกของกูเกิลประเทศไทยที่มีอยู่ประมาณ 6-7 คน

“งานนึงในกูเกิลที่ยังอยู่ในความทรงจำจนมาถึงวันนี้คือตอนเปิดตัว YouTube ในไทย เป็นงานใหญ่มาก จัดกันที่พารากอนฮอลล์ อารมณ์เหมือนจัดคอนเสิร์ตเลย มีพาร์ตเนอร์ มียูทูบเบอร์มากมายเต็มไปหมด แล้วพอเราเปิดตัวยูทูบวันที่ 19 วันถัดมาก็ปฏิวัติพอดี คือตอนนั้นยังคุยกับทีมงานอยู่เลยว่าถ้าช้าไปอีกแค่วันเดียวไม่ได้จัดแน่

“4 ปีที่อยู่ในกูเกิลมา ผมได้เรียนรู้อะไรต่อมิอะไรเยอะมากทั้งมายด์เซตการทำงานแบบ buttom-up คือไม่ได้รอหัวหน้ามาสั่ง แต่เรามีหน้าที่ไปเสนอหัวหน้า หรือเรื่องของ performance-based culture คือหลายคนอาจจะเห็นว่าออฟฟิศของกูเกิลสวย มีอาหารให้กิน มีห้องนั่งเล่น มีสวัสดิการต่างๆ ให้ใช้ชีวิตอยู่ในนั้น แต่เบื้องหลังของมันคือการคิดแบบ performance-based คิดง่ายๆ ทำไมกูเกิลมีโรงอาหารให้พนักงาน เพราะถ้าไม่มีพนักงานก็ต้องเดินทางออกไปกินข้างนอก เสียเวลาในการเดินทางออกไปอีก แต่ถ้ามีโรงอาหารนอกจากจะทำให้ไม่เสียเวลาทำงานแล้ว ยังทำให้พนักงานได้พูดคุยเรื่องงานกันในบรรยากาศที่ไม่เคร่งเครียดเท่ากับในห้องประชุม เผลอๆ การคุยกันแบบสบายๆ ยังทำให้ได้ไอเดียที่ดีออกมาอีกด้วย

ariya

“พออยู่มาถึงปีที่ 4 ด้วยความที่เราเป็นคนชอบทำอะไรใหม่ๆ ก็รู้สึกว่าอยากจะไปแตะในฝั่งของโปรดักต์แล้ว อยากเป็นคนทำฟีเจอร์ใหม่ๆ ออกมา แต่ด้วยความเป็นบริษัทระดับโลกถ้าจะออกโปรดักต์อะไรใหม่เขาไม่ให้ทำแค่สำหรับ 1 ประเทศเท่านั้น แต่ต้องเป็น 60 ประเทศ ยกเว้นแต่ประเทศนั้นมีจำนวนประชากรเยอะมากจริงๆ 

“มันก็เลยเกิดความรู้สึกคันไม้คันมือ เพราะด้วยความเป็นคนเติบโตมาในสายเทค เราอยากออกโปรดักต์ ออกฟีเจอร์ใหม่ๆ ประกอบกับตอนนั้นไลน์มาคุยด้วยพอดี แล้วสิ่งที่เขาต้องการก็ตรงกับสิ่งที่เราต้องการ คือให้ไปสร้างบริการใหม่ออกมา บวกกับตอนนั้นเรารู้สึกว่าแอพแชตจะเป็นสิ่งสำคัญในอนาคต เพราะมันอยู่ใกล้ชิดกับผู้คนมาก แล้วแต่ละคนก็ล้วนมีแอพแชตในมือถือมากกว่าหนึ่งแอพฯ

“ในที่สุดก็เลยตัดสินใจไปทำงานที่ไลน์”

04

อริยะ พนมยงค์

Managing Director
Line Thailand 

“จำได้เลยว่างานแรกหลังเข้าไปเป็น MD ในไลน์คือเข้าไปจัดทัพใหม่ จากเดิมที่ทีมงานจะต้องคุยกับเจ้านายที่ญี่ปุ่นบ้างที่เกาหลีบ้าง ผมก็เลยทำให้ทีมมีความเป็นเนื้อเดียวกันมากขึ้น แล้วก็สร้างทีมเพื่อเอาไลน์มาบุกตลาดในไทยอย่างเป็นจริงเป็นจัง

 “ที่ไลน์มีงานนึงที่ผมรู้สึกว่ามันเป็นความทรงจำที่ดีมากๆ คือผมและทีมได้ทำปล่อยโปรดักต์ใหม่อย่างไลน์แมนออกมา เป็นโปรเจ็กต์ที่เอาไปเสนอกับ CEO และ Fouder ในเกาหลี ซึ่งนี่เป็นโปรดักต์ที่ MADE IN THAILAND 100% ไลน์ประเทศอื่นไม่มีแบบนี้ 

อริยะ พนมยงค์

“พอทำงานอยู่ในไลน์ไปได้ 4 ปี ก็เกิดความรู้สึกว่าที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นกูเกิลหรือไลน์ เราอยู่ในฝั่งเทคโนโลยี ฝั่งที่เป็นผู้ดิสรัปต์คนอื่นมาโดยตลอด เลยมีความคิดขึ้นมาว่าถ้าอย่างนั้นเราลองไปอยู่อีกฝั่งที่เป็นธุรกิจดั้งเดิมดีไหม เผื่อจะได้เอาความรู้ที่มีมาช่วยทรานส์ฟอร์มองค์กรไทยได้บ้าง ประจวบเหมาะกับ BEC World หรือที่หลายคนรู้จักกันในนามของช่อง 3 มาชักชวนพอดี ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ได้ทำงานที่ช่อง 3”

05

อริยะ พนมยงค์

President
BEC World 

“ตอนช่อง 3 มาชักชวน ตอนแรกก็แอบคิดในใจว่าจะดีหรอ เพราะมันเป็นธุรกิจที่ดั้งเดิมมากๆ แล้วเราเป็นมนุษย์สายเทคมาโดยตลอด แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจไปอยู่ เพราะอย่างที่บอก ผมอยากลองเอาความรู้ด้านเทคโนโลยีที่มีไปช่วยองค์กรไทยดูบ้าง

 “ก็อยู่ไปได้ปีนึง แต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับว่ามันไม่ได้สำเร็จอย่างที่เราคิดไว้ ด้วยแนวทางในการทำงานที่ต่างกันออกไป การบริหารองค์กรในช่วงวิกฤตที่ไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งยังเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่นอกจากจะต้องบริหารภายในองค์กร ก็ยังต้องบริหารนักลงทุนด้วย

“แต่ทุกงานที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ผมถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีทั้งนั้น เพราะทุกที่ที่เราไปทำให้เราได้ติดอาวุธให้กับตัวเองเพิ่มอีกหนึ่งชิ้น และการทำงานที่ช่อง 3 ก็ยังเป็นอีกแรงบันดาลใจที่ทำให้ผมได้ทำบริษัทของตัวเองขึ้นมา”

06

ariya

CEO & Founder
ทรานส์ฟอร์เมชั่นนอล จำกัด

“ตัวผมเองเคยฝันว่าอยากจะสร้างบริษัทเป็นของตัวเองขึ้นมา ประจวบเหมาะกับตอนที่ออกจากช่อง 3 

ทำให้ผมได้ลองมานั่งตกผลึกกับตัวเองว่าคนที่อยู่ข้างในมักจะทรานส์ฟอร์มได้ยากกว่าคนที่อยู่ข้างนอก เพราะคนเรามักจะรับฟังคนนอกมากกว่าคนที่อยู่ใกล้ตัว หรือถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพง่ายๆ ก็เหมือนการที่บางบริษัทต้องมีที่ปรึกษาธุรกิจที่เป็นคนนอก ถามว่าคนในจะไม่รู้หรอ เขารู้แต่พอคนในพูดด้วยกันเองก็ไม่มีใครฟัง เหมือนต้องให้คนข้างนอกมาบอกว่า อ่อ คุณป่วยนะ แล้วต้องรักษายังไง 

“อีกอย่างคือผมคิดว่าถ้าเราไปอยู่ในองค์กรนึง เต็มที่เราก็ช่วยได้แค่องค์กรเดียว แต่ถ้าเราตั้งบริษัทขึ้นมา คราวนี้เราช่วยได้หลายๆ องค์กร และการที่เป็นคนนอกจะทำให้ผมสามารถพูดตรงๆ ใส่ได้เต็มที่มากกว่า ก็เลยรู้สึกว่ามันเป็นโมเดลธุรกิจที่เหมาะกับตัวเอง จึงตัดสินใจทำทรานส์ฟอร์เมชั่นนอลขึ้นมา เป็นบริษัทที่เอาดิจิทัลเอาเทคโนโลยีไปปรับใช้ในองค์กร เพื่อทำให้ธุรกิจก้าวทันโลกยุคใหม่มากขึ้น

ariya

“แม้จะเคยทำงานบริหารมา แต่พอได้มาเป็นเจ้าของเองด้วย ต้องบอกว่ามันเป็นเรื่องที่ต่างกันมาก บอกเลยว่าเป็นอะไรที่โคตรเหนื่อย เพราะทำเองแทบทุกอย่าง งาน back office ทั้ง HR เอกสารต่างๆ ไฟแนนซ์ กฎหมาย ตกมาอยู่ที่เราคนเดียวหมดเลย 

“แต่มันก็เป็นความเหนื่อยในทางที่ดีนะ”

07

Co-CEO
ซีเอ็มโอ จำกัด (มหาชน)

“เดิมที CMO เป็นบริษัทที่เน้นทำอีเวนต์เป็นหลัก แล้วพี่ๆ ที่ CMO ก็เลยมาเทคโอเวอร์ทรานส์ฟอร์เมชั่นนอลไป เพราะอยากจะปรับทิศทางบริษัทจากอีเวนต์ให้เป็น tech company 

“พอเห็นแบบนี้ผมก็เลยตัดสินใจมาเป็น Co-CEO ที่นี่ เพราะงานที่ทำก็เหมือนกับตอนทำที่ทรานส์ฟอร์เมชั่นนอลนั่นแหละ และอีกมุมหนึ่งการเข้าไปอยู่กับ CMO ก็ทำให้ทรานส์ฟอร์เมชั่นนอลขยายตัวได้อย่างแข็งแรงมากขึ้นด้วย

“ผมเพิ่งจะเข้ามาเป็น Co-CEO เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี้เอง ดังนั้นอนาคตจะเป็นยังไง ก็ต้องรอดูกันต่อไป”

ariya

“จากที่ทำงานด้านบริหารมาในหลายองค์กร แต่ละที่ก็ล้วนมี working culture ต่างกันออกไป แต่ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนทักษะที่สำคัญของคนทำงานด้านบริหารก็จะมีสองข้อหลักๆ ด้วยกัน

“หนึ่งคือการบริหารคน ซึ่งผมว่านี่เป็นสิ่งที่ยากที่สุดสำหรับการเป็นผู้บริหารเลยนะ เพราะเรื่องนี้มันไม่มีสูตรตายตัว แต่ละคนล้วนต่างกันออกไป มีความหลากหลายทั้งเรื่องอายุ ความคิด ความรู้สึก การบริหารคนให้เป็น จึงเป็นทักษะที่สำคัญอย่างมาก

“ส่วนทักษะที่สองที่สำคัญไม่แพ้กัน คือผู้บริหารจะต้องมีวิสัยทัศน์ มันคือการที่ต้องมองหาอนาคต ไม่ใช่แค่อนาคตขององค์กร แต่ยังหมายรวมไปถึงอนาคตของสิ่งต่างๆ ที่อาจมีผลกับธุรกิจหรือการเปลี่ยนแปลงทั้งหลาย เพราะถ้าเราอ่านถูกก็จะทำให้เรารู้เลยว่าจะต้องปรับองค์กรยังไง หันเข็มทิศองค์กรไปทางไหน 

“ซึ่งการจะมีวิสัยทัศน์ได้ผมว่าเราต้องตัดอีโก้ออกไปก่อนอย่างแรกเลย เมื่อเราไม่มีอีโก้ คนก็ยินดีที่จะมาพูดมาคุยมาโค้ชเรา และทำให้เราเป็นผู้บริหารที่มองเห็นวิสัยทัศน์ได้มากขึ้น”https://www.google.com/