Transformer
เส้นทางการทำงานจาก Orange, Google, LINE, ช่อง 3 จนถึงนามบัตรใบปัจจุบันของ ‘อริยะ พนมยงค์’
ด้วยผลงานการเป็น country head ของ Google ในไทยคนแรก, เป็นผู้ตัดสายสะดือ YouTube ในบ้านเรา, เป็น MD คนแรกของ LINE ประเทศไทย เป็นผู้นำที่ทำให้เกิดบริการอย่าง LINE MAN ทำให้เมื่อพูดชื่อ บี๋–อริยะ พนมยงค์ ออกไปแทบไม่มีคนในแวดวงธุรกิจคนไหน–โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับวงการเทคโนโลยีไม่รู้จักเขา
และด้วยประสบการณ์การทำงานที่น่าสนใจ อริยะจึงถูกสื่อเชิญให้ไปสัมภาษณ์ หรือได้รับคำชวนไปเป็นสปีกเกอร์บนเวทีสัมมนาหลายต่อหลายงาน โดยประเด็นที่เขาแชร์ส่วนใหญ่มักจะว่าด้วยเรื่องของโลกเทคโนโลยี การทรานส์ฟอร์มธุรกิจ และเรื่องดิจิทัล
เช่นเดียวกับการพูดคุยระหว่าง Capital และอริยะในครั้งนี้ ทว่านี่ไม่ใช่บทสนทนาที่ว่าด้วยประสบการณ์การทำงานด้านดิจิทัลเท่านั้น แต่เรายังคุยกันถึงประสบการณ์การทำงานของอริยะตั้งแต่นามบัตรใบแรกที่ออเร้นจ์มาจนถึงนามบัตรใบปัจจุบัน ตั้งแต่การเป็นผู้บริหารในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม เทคโนโลยี จนไปถึงวงการสื่อ ว่าอะไรคือเหตุผลในการตัดสินใจทรานส์ฟอร์มตัวเอง ด้วยการลาออกและเริ่มใหม่ในการทำงานแต่ละครั้ง
แล้วประสบการณ์แบบไหนที่หล่อหลอมให้ชื่อของ ‘อริยะ พนมยงค์’ กลายเป็นอีกหนึ่งผู้บริหารแถวหน้าของไทยได้อย่างทุกวันนี้ได้
01
![อริยะ พนมยงค์](https://capitalread.co/wp-content/uploads/2022/06/นามบัตร-ณ-บัตรนั้น-3-01-1024x564.png)
Head of Customer Management
Orange Romania
“ผมเกิด โต และเรียนที่ฝรั่งเศส จบโทใบแรกที่ฝรั่งเศสด้านคณิตศาสตร์กับไอที หลังจากนั้นก็ไปต่อโทอีกใบนึงที่อังกฤษด้านบริหาร พอเรียนจบก็ต้องหางาน ซึ่งยุคนั้นความฝันของหลายคนที่เรียนจบที่อังกฤษคือทำงานต่อที่ลอนดอน แล้วผมเองก็ได้งานที่ลอนดอนด้วยเหมือนกัน แต่สุดท้ายก็ไม่เลือก ผมเลือกจะไปอยู่ออเร้นจ์ที่โรมาเนียแทน (ภายหลังออเร้นจ์ในไทยได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น True)
“ทั้งพ่อแม่ทั้งคนใกล้ตัวก็บอกว่าบี๋บ้าหรือเปล่า เพราะตอนนั้นโรมาเนียเพิ่งจะเปิดประเทศเอง คือถ้าให้เลือกทำงานที่อังกฤษกับโรมาเนีย คนส่วนใหญ่ก็เลือกอังกฤษมากกว่า แต่ที่ผมตัดสินใจไปเพราะคิดว่าประเทศนี้ถ้าไม่ได้ทำงานยังไงก็คงไม่ได้ไปแน่ๆ
![อริยะ พนมยงค์](https://capitalread.co/wp-content/uploads/2022/06/BODY-WEB-W-อริยะ-พนมยงค์2.jpg)
“คงเพราะความเป็นเด็กด้วยแหละเลยคิดแบบนั้น อยากรู้อยากลองอะไรใหม่ๆ เต็มไปหมด แต่จะว่าไปแล้วมันก็เป็นการเลือกที่กำหนดทิศทางชีวิตของเราในระดับนึงเลยนะ เพราะนับแต่นั้นเป็นต้นมาผมก็เดินสายโทรคมนาคม-เทคโนโลยีมาโดยตลอด
“ผมไปแบบไม่มีความคาดหวังอะไรเลย เป็นเหมือนกระดาษเปล่าขาวๆ งานแรกที่ทำคือไปเป็น Network Engineer หนักไปทางสายวิศวกรรมเลย ทำงานอยู่ที่นี่ 2 ปีแต่ความรู้สึกเหมือน 4 ปีเพราะงานเยอะมาก ตั้งแต่ระบบ CRM Call Center แล้วก็อะไรอีกมากมาย ตอนนั้นเราไฟแรงมาก ทำงานเสร็จตีสองตีสามนี่เป็นเรื่องปกติเลย
“คิดดูอีกทีถ้าเราอยู่ฝรั่งเศสหรืออังกฤษอาจจะไม่ได้ทำงานใหญ่ๆ แบบนี้ก็ได้เพราะเขาคิดว่าเราเป็นเด็กเป็นมือใหม่ อะไรยากๆ เขาอาจจะโยนไปให้คนอื่นที่มีประสบการณ์ทำมากกว่า แต่ที่โรมาเนียมีคนทำอยู่ไม่เยอะมาก ดังนั้นสำหรับการทำงานครั้งแรกในชีวิตผมได้ทำอะไรเยอะมาก ซึ่งถือเป็นประสบการณ์ที่ผมว่าดีมากเลย ถึงบอกว่าทำไม 2 ปีมันเหมือนกับ 4 ปี
![อริยะ พนมยงค์](https://capitalread.co/wp-content/uploads/2022/06/BODY-WEB-H-อริยะ-พนมยงค์.jpg)
“จากโรมาเนียเราก็ย้ายกลับมาฝรั่งเศส มาทำบริษัทซอฟต์แวร์เล็กๆ ได้สักระยะนึง แล้วออเร้นจ์ก็กำลังจะมาเปิดตัวที่ไทย ซึ่งมันเป็นจังหวะที่ดีมากๆ เพราะผมคิดมานานอยู่แล้วว่าอยากกลับไทย และอีกเหตุผลนึงซึ่งเอาจริงๆ ก็เป็นเหตุผลหลักด้วยซ้ำ (หัวเราะ) ก็คือแฟนซึ่งตอนนี้คือภรรยา เขาเป็นคนไทย พอประจวบเหมาะทั้งเรื่องงานทั้งเรื่องแฟน ก็เลยตัดสินใจสมัครออเร้นจ์ที่ไทยไป
“ด้วยความที่ผมไม่เคยใช้ชีวิตอยู่ไทยเลย อย่างมากก็แค่ไปเที่ยวแป๊บเดียวแล้วก็กลับ ทำให้ตอนที่จะย้ายไปทำงานที่ไทย คนรอบข้างก็ถามว่าผมจะอยู่รอดไหม อยู่ไหวหรือเปล่า เพราะผมไม่มีเพื่อนที่ไทยเลย
“แต่ก็แน่นอนว่าสุดท้ายแล้วผมก็ตัดสินใจเดินทางมา”
02
![](https://capitalread.co/wp-content/uploads/2022/06/นามบัตร-ณ-บัตรนั้น-3-02-1024x564.png)
Chief Commercial Officer
True Corporation
“17 พฤษภาคม 2001 คือวันที่ผมบินกลับเมืองไทย ที่จำวันแม่นขนาดนี้เพราะพอเครื่องลงตอนเช้า ตอนบ่ายของวันนั้นผมเข้าออฟฟิศเพื่อประชุมทันที และเป็นวันแรกที่ได้เรียนรู้ว่าเราจะเอาวิธีการทำงานแบบตอนอยู่ที่เมืองนอกมาทำแบบเดียวกับที่ไทยไม่ได้นะ
“ตอนนั้นในห้องประชุมก็มีอยู่ประมาณสิบกว่าคน แล้วพอดีมีซัพพลายเออร์เจ้านึงที่ทีมเลือกใช้ ซึ่งด้วยความที่อยู่วงการนี้มานาน ผมรู้ว่าซัพพลายเออร์เจ้านี้เขามีชื่อเสียงที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ ก็เลยถามกลางห้องประชุมไปเลยว่าใครเป็นคนเลือกเจ้านี้
“ถามปุ๊บห้องเงียบปั๊บ ผมก็เอ๊ะขึ้นมาในใจ นี่เราทำอะไรผิดไปหรือเปล่า จนเดินออกจากห้องประชุมถึงได้มีคนมาบอกว่าสิ่งที่เราพูดมันให้ความรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังจะจับว่าใครผิดพลาด ใครเป็นคนเลือกเจ้านี้ ซึ่งจริงๆ แล้วเจตนาของผมไม่ใช่แบบนั้นเลย ก็เลยเป็นเหตุการณ์ที่เตือนตัวเองตั้งแต่วันแรกที่มาทำงานว่าเราต้องปรับตัว จะมาชี้หน้าด่าเลยแบบฝรั่งไม่ได้นะ เพราะแต่ละที่ก็มีวัฒนธรรมที่ทั้งดีและไม่ดีแตกต่างกันออกไป
“เรียกได้ว่าปีแรกเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด ทั้งเรื่อง working culture ไหนจะต้องเจอรถติดเกือบทุกวัน เกือบจะอยู่ไม่รอดเหมือนที่คนเขาบอกเราก่อนจะมาแล้ว แต่สุดท้ายผมก็ทำงานอยู่กับเครือนี้มาได้ 11 ปี ตั้งแต่ออเร้นจ์มาจนถึงทรูฯ ตั้งแต่เป็น customer support ขยับมาเป็นมาร์เก็ตติ้ง เป็นรองผู้อำนวยการ จนตำแหน่งสุดท้ายที่ทรูฯ ก็คือ Chief Commercial Officer
![อริยะ พนมยงค์](https://capitalread.co/wp-content/uploads/2022/06/BODY-WEB-W-อริยะ-พนมยงค์.jpg)
“ตอนอยู่ที่ทรูฯ ผมได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ เยอะมาก ทั้งเรื่องของงานและเรื่องของคน อย่างเรื่องคนคือมีคนนึงในทีมเขามาลาออก เราก็ถามว่าทำไมถึงออกล่ะ คุยไปคุยมาเขาก็พูดว่า “บี๋ คุณเป็นหัวหน้าที่แย่มาก และก็ไม่ค่อยฟังใคร” ไหนบอกคนไทยไม่พูดตรงไง (หัวเราะ)
“แต่เอาจริงๆ ตอนนั้นที่ได้ยินก็หัวเราะไม่ออกนะ รู้สึกเสียศูนย์เหมือนกัน เพราะเราคิดว่าเราน่าจะเป็นหัวหน้าที่ดีมาโดยตลอด คอยรับฟังดูแลเทคแคร์ แต่พอพนักงานคนนั้นมาพูดแบบนี้เลยทำให้ต้องนั่งคิดว่าเป็นเพราะอะไร เลยทำให้เราฉายหนังย้อนกลับไปดูตัวเองว่าทำอะไรผิดพลาดไป จนมาเจอจุดนึงที่รู้สึกว่า ที่เราบอกว่าเรารับฟัง เราฟังนะ แต่สุดท้ายก็ยังทำตามสิ่งที่เราคิดว่าถูกอยู่ดี
“ซึ่งทุกวันนี้ก็ต้องขอบคุณเขานะ เพราะเขาทำให้เราฝึกที่จะมี empathy มากขึ้น ฝึกให้เรารับฟังมากขึ้น ไม่ใช่แค่ฟังแล้วแต่ยังเอาแต่ความคิดของตัวเองอยู่เหมือนเดิม”
03
![อริยะ พนมยงค์](https://capitalread.co/wp-content/uploads/2022/06/นามบัตร-ณ-บัตรนั้น-3-03-1-1024x564.jpg)
Country Manager
Google Thailand
“จริงๆ แล้วมันไม่ง่ายเลยนะ เพราะผมอยู่กับทั้งออเร้นจ์และทรูฯ รวมๆ กันแล้วก็ประมาณ 11 ปี แต่มันมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ Apple เพิ่งจะมาในไทย ถ้าจำกันได้เราจะเห็นภาพของคนต่อคิวยาวเหยียดเพื่อซื้อไอโฟน และไอโฟนเป็นเหมือนทองคำที่คนค่อยๆ แกะกล่องออกมาอย่างทะนุถนอม ดูแล้วดูอีก เป็นยุคที่สมาร์ตโฟนกำลังมาและทำให้เราเห็นภาพที่อินเทอร์เน็ตมาอยู่บนมือถือ
“แม้ภาพของสมาร์ตโฟนและอินเทอร์เน็ตในตอนนั้นจะยังไม่ชัดเจนอย่างทุกวันนี้ แต่ด้วยความที่ทำงานอยู่ในวงการเทคโนโลยี คลุกคลีกับเรื่องเหล่านี้มานาน จึงทำให้ผมสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของการเปลี่ยนแปลง ว่าโลกของเรากำลังจะเปลี่ยนไปแล้วนะ
“เลยรู้สึกว่าถ้าเราได้ไปอยู่กับกูเกิลซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทที่คอยขับเคลื่อนเรื่องนี้ เป็นเหมือนผู้ที่สร้างอินเทอร์เน็ตขึ้นมาก็น่าจะเป็นอะไรที่น่าสนใจไม่น้อย ก็เลยตัดสินใจย้ายจากทรูฯ ไปกูเกิล ซึ่งถือเป็นจังหวะชีวิตที่สนุกมาก เพราะผมได้ลองทำอะไรใหม่ๆ หลายอย่าง และได้เป็นคนแรกที่ปักธงกูเกิลในประเทศไทย
![อริยะ พนมยงค์](https://capitalread.co/wp-content/uploads/2022/06/BODY-WEB-W-อริยะ-พนมยงค์4.jpg)
“วันที่ 30 มิถุนายน ผมทำงานที่ทรูฯ วันสุดท้ายจนเสร็จหมดเรียบร้อย คืนนั้นก็ไปขึ้นเครื่องบิน ถึงออสเตรเลียวันที่ 1 กรกฎาคม เพราะกูเกิลจะให้พนักงานทั่วโลกไปเทรนกันที่นั่นก่อน
“เห็นออฟฟิศของกูเกิลครั้งแรก ความรู้สึกที่ผุดขึ้นมาในตอนนั้นคือมันสวยมาก เป็นอะไรที่ว้าวสุดๆ สำหรับผม เป็นที่ที่เต็มไปด้วยความเป็นกูเกิล ทั้งผู้คน ทั้งที่นั่งทำงาน ทั้งแคนทีน มีคนระดับท็อปๆ จากหลายประเทศมารวมอยู่ด้วยกัน พอได้ไปอยู่ตรงนั้นแวบนึงเราแอบรู้สึกว่าตัวเองโง่เพราะมีแต่คนเก่งจริงๆ (หัวเราะ)
“ไปออฟฟิศกูเกิลที่ออสเตรเลียว่าเซอร์ไพรส์แล้ว แต่พอกลับมาออฟฟิศกูเกิลที่ไทยนี่เซอร์ไพรส์ยิ่งกว่า ตอนนั้นกูเกิลเช่า service office ที่เซ็นทรัลเวิลด์ไว้ให้ วันแรกไขกุญแจเปิดประตูเข้าไปสิ่งที่เห็นมีแค่โต๊ะของผมตั้งอยู่ตัวเดียวแล้วก็จบ แค่นั้นเลย
“ความรู้สึกตอนนั้นคือเหวอเล็กน้อยเพราะผมมาจากทรูฯ บริษัทที่มีพนักงาน 16,000 คน พอเจอแบบนี้เข้าไปก็แปลกๆ อยู่เหมือนกัน ไม่มีใครให้คุยด้วยตอนนั้น ทั้งออฟฟิศมีแค่โต๊ะตัวนึงกับเราคนเดียว ก็เลยเกิดคำถามขึ้นมาในหัวทันทีว่า เอ๊ะ…แล้วหน้าที่ของเราคืออะไรกัน สักพักถึงเพิ่งจะรู้ว่าการทำงานในแบบของกูเกิลไม่ได้มีเจ้านายมาสั่งว่าต้องทำอะไรยังไง เราเองต่างหากที่ต้องเป็นคนไปหาแผนธุรกิจ หาวิธีที่จะทำให้กูเกิลในไทยเติบโตแล้วเอาไปนำเสนอเจ้านาย เป็นการทำงานแบบ buttom-up ไม่ใช่ top-down แบบที่เราคุ้นชินกัน
![อริยะ พนมยงค์](https://capitalread.co/wp-content/uploads/2022/06/BODY-WEB-H-อริยะ-พนมยงค์3.jpg)
“เมื่อวิธีการทำงานเป็นแบบนี้ สิ่งที่เราทำก็คือบินไปหลายๆ ประเทศ ไปดูกูเกิลประเทศอื่นใน South East Asia ว่าเขาทำอะไรกันบ้าง เหมือนเป็นการหาเพื่อนเหมือนกันนะ (หัวเราะ) แล้วก็เป็นช่วงที่เราต้องสร้างทีมขึ้นมา ซึ่งจะไปประกาศว่ารับสมัครดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งเลยก็คงไม่ได้เพราะสมัยก่อนยังไม่มีคำนี้
จนสุดท้ายก็ได้ไปรวบรวมคนไทยที่มีประสบการณ์ทำงานที่สิงคโปร์มาอยู่ด้วยกัน และกลายเป็นทีมงานชุดแรกของกูเกิลประเทศไทยที่มีอยู่ประมาณ 6-7 คน
“งานนึงในกูเกิลที่ยังอยู่ในความทรงจำจนมาถึงวันนี้คือตอนเปิดตัว YouTube ในไทย เป็นงานใหญ่มาก จัดกันที่พารากอนฮอลล์ อารมณ์เหมือนจัดคอนเสิร์ตเลย มีพาร์ตเนอร์ มียูทูบเบอร์มากมายเต็มไปหมด แล้วพอเราเปิดตัวยูทูบวันที่ 19 วันถัดมาก็ปฏิวัติพอดี คือตอนนั้นยังคุยกับทีมงานอยู่เลยว่าถ้าช้าไปอีกแค่วันเดียวไม่ได้จัดแน่
“4 ปีที่อยู่ในกูเกิลมา ผมได้เรียนรู้อะไรต่อมิอะไรเยอะมากทั้งมายด์เซตการทำงานแบบ buttom-up คือไม่ได้รอหัวหน้ามาสั่ง แต่เรามีหน้าที่ไปเสนอหัวหน้า หรือเรื่องของ performance-based culture คือหลายคนอาจจะเห็นว่าออฟฟิศของกูเกิลสวย มีอาหารให้กิน มีห้องนั่งเล่น มีสวัสดิการต่างๆ ให้ใช้ชีวิตอยู่ในนั้น แต่เบื้องหลังของมันคือการคิดแบบ performance-based คิดง่ายๆ ทำไมกูเกิลมีโรงอาหารให้พนักงาน เพราะถ้าไม่มีพนักงานก็ต้องเดินทางออกไปกินข้างนอก เสียเวลาในการเดินทางออกไปอีก แต่ถ้ามีโรงอาหารนอกจากจะทำให้ไม่เสียเวลาทำงานแล้ว ยังทำให้พนักงานได้พูดคุยเรื่องงานกันในบรรยากาศที่ไม่เคร่งเครียดเท่ากับในห้องประชุม เผลอๆ การคุยกันแบบสบายๆ ยังทำให้ได้ไอเดียที่ดีออกมาอีกด้วย
![ariya](https://capitalread.co/wp-content/uploads/2022/06/BODY-WEB-H-อริยะ-พนมยงค์4.jpg)
“พออยู่มาถึงปีที่ 4 ด้วยความที่เราเป็นคนชอบทำอะไรใหม่ๆ ก็รู้สึกว่าอยากจะไปแตะในฝั่งของโปรดักต์แล้ว อยากเป็นคนทำฟีเจอร์ใหม่ๆ ออกมา แต่ด้วยความเป็นบริษัทระดับโลกถ้าจะออกโปรดักต์อะไรใหม่เขาไม่ให้ทำแค่สำหรับ 1 ประเทศเท่านั้น แต่ต้องเป็น 60 ประเทศ ยกเว้นแต่ประเทศนั้นมีจำนวนประชากรเยอะมากจริงๆ
“มันก็เลยเกิดความรู้สึกคันไม้คันมือ เพราะด้วยความเป็นคนเติบโตมาในสายเทค เราอยากออกโปรดักต์ ออกฟีเจอร์ใหม่ๆ ประกอบกับตอนนั้นไลน์มาคุยด้วยพอดี แล้วสิ่งที่เขาต้องการก็ตรงกับสิ่งที่เราต้องการ คือให้ไปสร้างบริการใหม่ออกมา บวกกับตอนนั้นเรารู้สึกว่าแอพแชตจะเป็นสิ่งสำคัญในอนาคต เพราะมันอยู่ใกล้ชิดกับผู้คนมาก แล้วแต่ละคนก็ล้วนมีแอพแชตในมือถือมากกว่าหนึ่งแอพฯ
“ในที่สุดก็เลยตัดสินใจไปทำงานที่ไลน์”
04
![อริยะ พนมยงค์](https://capitalread.co/wp-content/uploads/2022/06/นามบัตร-ณ-บัตรนั้น-3-04-1-1024x564.jpg)
Managing Director
Line Thailand
“จำได้เลยว่างานแรกหลังเข้าไปเป็น MD ในไลน์คือเข้าไปจัดทัพใหม่ จากเดิมที่ทีมงานจะต้องคุยกับเจ้านายที่ญี่ปุ่นบ้างที่เกาหลีบ้าง ผมก็เลยทำให้ทีมมีความเป็นเนื้อเดียวกันมากขึ้น แล้วก็สร้างทีมเพื่อเอาไลน์มาบุกตลาดในไทยอย่างเป็นจริงเป็นจัง
“ที่ไลน์มีงานนึงที่ผมรู้สึกว่ามันเป็นความทรงจำที่ดีมากๆ คือผมและทีมได้ทำปล่อยโปรดักต์ใหม่อย่างไลน์แมนออกมา เป็นโปรเจ็กต์ที่เอาไปเสนอกับ CEO และ Fouder ในเกาหลี ซึ่งนี่เป็นโปรดักต์ที่ MADE IN THAILAND 100% ไลน์ประเทศอื่นไม่มีแบบนี้
![อริยะ พนมยงค์](https://capitalread.co/wp-content/uploads/2022/06/BODY-WEB-W-อริยะ-พนมยงค์3.jpg)
“พอทำงานอยู่ในไลน์ไปได้ 4 ปี ก็เกิดความรู้สึกว่าที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นกูเกิลหรือไลน์ เราอยู่ในฝั่งเทคโนโลยี ฝั่งที่เป็นผู้ดิสรัปต์คนอื่นมาโดยตลอด เลยมีความคิดขึ้นมาว่าถ้าอย่างนั้นเราลองไปอยู่อีกฝั่งที่เป็นธุรกิจดั้งเดิมดีไหม เผื่อจะได้เอาความรู้ที่มีมาช่วยทรานส์ฟอร์มองค์กรไทยได้บ้าง ประจวบเหมาะกับ BEC World หรือที่หลายคนรู้จักกันในนามของช่อง 3 มาชักชวนพอดี ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ได้ทำงานที่ช่อง 3”
05
![อริยะ พนมยงค์](https://capitalread.co/wp-content/uploads/2022/06/นามบัตร-ณ-บัตรนั้น-3-05-1-1024x564.png)
President
BEC World
“ตอนช่อง 3 มาชักชวน ตอนแรกก็แอบคิดในใจว่าจะดีหรอ เพราะมันเป็นธุรกิจที่ดั้งเดิมมากๆ แล้วเราเป็นมนุษย์สายเทคมาโดยตลอด แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจไปอยู่ เพราะอย่างที่บอก ผมอยากลองเอาความรู้ด้านเทคโนโลยีที่มีไปช่วยองค์กรไทยดูบ้าง
“ก็อยู่ไปได้ปีนึง แต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับว่ามันไม่ได้สำเร็จอย่างที่เราคิดไว้ ด้วยแนวทางในการทำงานที่ต่างกันออกไป การบริหารองค์กรในช่วงวิกฤตที่ไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งยังเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่นอกจากจะต้องบริหารภายในองค์กร ก็ยังต้องบริหารนักลงทุนด้วย
“แต่ทุกงานที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ผมถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีทั้งนั้น เพราะทุกที่ที่เราไปทำให้เราได้ติดอาวุธให้กับตัวเองเพิ่มอีกหนึ่งชิ้น และการทำงานที่ช่อง 3 ก็ยังเป็นอีกแรงบันดาลใจที่ทำให้ผมได้ทำบริษัทของตัวเองขึ้นมา”
06
![ariya](https://capitalread.co/wp-content/uploads/2022/06/นามบัตร-ณ-บัตรนั้น-3-06-1-1024x564.png)
CEO & Founder
ทรานส์ฟอร์เมชั่นนอล จำกัด
“ตัวผมเองเคยฝันว่าอยากจะสร้างบริษัทเป็นของตัวเองขึ้นมา ประจวบเหมาะกับตอนที่ออกจากช่อง 3
ทำให้ผมได้ลองมานั่งตกผลึกกับตัวเองว่าคนที่อยู่ข้างในมักจะทรานส์ฟอร์มได้ยากกว่าคนที่อยู่ข้างนอก เพราะคนเรามักจะรับฟังคนนอกมากกว่าคนที่อยู่ใกล้ตัว หรือถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพง่ายๆ ก็เหมือนการที่บางบริษัทต้องมีที่ปรึกษาธุรกิจที่เป็นคนนอก ถามว่าคนในจะไม่รู้หรอ เขารู้แต่พอคนในพูดด้วยกันเองก็ไม่มีใครฟัง เหมือนต้องให้คนข้างนอกมาบอกว่า อ่อ คุณป่วยนะ แล้วต้องรักษายังไง
“อีกอย่างคือผมคิดว่าถ้าเราไปอยู่ในองค์กรนึง เต็มที่เราก็ช่วยได้แค่องค์กรเดียว แต่ถ้าเราตั้งบริษัทขึ้นมา คราวนี้เราช่วยได้หลายๆ องค์กร และการที่เป็นคนนอกจะทำให้ผมสามารถพูดตรงๆ ใส่ได้เต็มที่มากกว่า ก็เลยรู้สึกว่ามันเป็นโมเดลธุรกิจที่เหมาะกับตัวเอง จึงตัดสินใจทำทรานส์ฟอร์เมชั่นนอลขึ้นมา เป็นบริษัทที่เอาดิจิทัลเอาเทคโนโลยีไปปรับใช้ในองค์กร เพื่อทำให้ธุรกิจก้าวทันโลกยุคใหม่มากขึ้น
![ariya](https://capitalread.co/wp-content/uploads/2022/06/BODY-WEB-W-อริยะ-พนมยงค์6.jpg)
“แม้จะเคยทำงานบริหารมา แต่พอได้มาเป็นเจ้าของเองด้วย ต้องบอกว่ามันเป็นเรื่องที่ต่างกันมาก บอกเลยว่าเป็นอะไรที่โคตรเหนื่อย เพราะทำเองแทบทุกอย่าง งาน back office ทั้ง HR เอกสารต่างๆ ไฟแนนซ์ กฎหมาย ตกมาอยู่ที่เราคนเดียวหมดเลย
“แต่มันก็เป็นความเหนื่อยในทางที่ดีนะ”
07
![](https://capitalread.co/wp-content/uploads/2022/06/นามบัตร-ณ-บัตรนั้น-3-08-1-1024x564.png)
Co-CEO
ซีเอ็มโอ จำกัด (มหาชน)
“เดิมที CMO เป็นบริษัทที่เน้นทำอีเวนต์เป็นหลัก แล้วพี่ๆ ที่ CMO ก็เลยมาเทคโอเวอร์ทรานส์ฟอร์เมชั่นนอลไป เพราะอยากจะปรับทิศทางบริษัทจากอีเวนต์ให้เป็น tech company
“พอเห็นแบบนี้ผมก็เลยตัดสินใจมาเป็น Co-CEO ที่นี่ เพราะงานที่ทำก็เหมือนกับตอนทำที่ทรานส์ฟอร์เมชั่นนอลนั่นแหละ และอีกมุมหนึ่งการเข้าไปอยู่กับ CMO ก็ทำให้ทรานส์ฟอร์เมชั่นนอลขยายตัวได้อย่างแข็งแรงมากขึ้นด้วย
“ผมเพิ่งจะเข้ามาเป็น Co-CEO เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี้เอง ดังนั้นอนาคตจะเป็นยังไง ก็ต้องรอดูกันต่อไป”
![ariya](https://capitalread.co/wp-content/uploads/2022/06/BODY-WEB-W-อริยะ-พนมยงค์8.jpg)
“จากที่ทำงานด้านบริหารมาในหลายองค์กร แต่ละที่ก็ล้วนมี working culture ต่างกันออกไป แต่ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนทักษะที่สำคัญของคนทำงานด้านบริหารก็จะมีสองข้อหลักๆ ด้วยกัน
“หนึ่งคือการบริหารคน ซึ่งผมว่านี่เป็นสิ่งที่ยากที่สุดสำหรับการเป็นผู้บริหารเลยนะ เพราะเรื่องนี้มันไม่มีสูตรตายตัว แต่ละคนล้วนต่างกันออกไป มีความหลากหลายทั้งเรื่องอายุ ความคิด ความรู้สึก การบริหารคนให้เป็น จึงเป็นทักษะที่สำคัญอย่างมาก
“ส่วนทักษะที่สองที่สำคัญไม่แพ้กัน คือผู้บริหารจะต้องมีวิสัยทัศน์ มันคือการที่ต้องมองหาอนาคต ไม่ใช่แค่อนาคตขององค์กร แต่ยังหมายรวมไปถึงอนาคตของสิ่งต่างๆ ที่อาจมีผลกับธุรกิจหรือการเปลี่ยนแปลงทั้งหลาย เพราะถ้าเราอ่านถูกก็จะทำให้เรารู้เลยว่าจะต้องปรับองค์กรยังไง หันเข็มทิศองค์กรไปทางไหน
“ซึ่งการจะมีวิสัยทัศน์ได้ผมว่าเราต้องตัดอีโก้ออกไปก่อนอย่างแรกเลย เมื่อเราไม่มีอีโก้ คนก็ยินดีที่จะมาพูดมาคุยมาโค้ชเรา และทำให้เราเป็นผู้บริหารที่มองเห็นวิสัยทัศน์ได้มากขึ้น”