ถอดวิธีคิดเบื้องหลังดีไซน์และธุรกิจผ่านเฟอร์นิเจอร์ 5 ชิ้นในดวงใจของ ชนินทร์ สิริสันต์ แห่ง CHANINTR

CHANINTR คือ แบรนด์นำเข้าเฟอร์นิเจอร์และสินค้าแต่งบ้านที่มีรสนิยมหาตัวจับได้ยากในวงการ เพราะไม่เพียงรวบรวมสินค้าคุณภาพดีแบรนด์ดังจากทั่วโลก แต่ยังดูแลและให้บริการอย่างมืออาชีพ

คอลัมน์ ‘Top of Mind’ ตอนนี้ จะพาไปถอดวิธีคิดเบื้องหลังงานดีไซน์และธุรกิจ ผ่านเฟอร์นิเจอร์ 5 ชิ้นในดวงใจของ ชนินทร์ สิริสันต์ ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ CHANINTR 

ก่อนจะไปพบกับเฟอร์นิเจอร์ในดวงใจทั้ง 5 ชิ้น เราชวนเขาย้อนคุยกันถึงความสำคัญของศิลปะและงานดีไซน์ที่มีอิทธิพลต่อชีวิตและธุรกิจ 

ชนินทร์เล่าว่าสมัยที่เรียนและใช้ชีวิตอยู่ที่นิวยอร์ก ความรักในศิลปะ งานดีไซน์ และแฟชั่น พานักเรียนด้านไฟแนนซ์อย่างเขา ให้เข้าไปทำงานเป็นพนักงานขายเสื้อผ้าในร้าน Parachute แบรนด์จากแคนาดาที่ดังมากในยุค 80s หลังจากนั้นก็เดินทางกลับประเทศไทยมาช่วยธุรกิจที่บ้าน พร้อมๆ กับเรียนปริญญาโทที่สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อได้ทำทีสิสที่ว่าด้วยแผนธุรกิจ วิจัยตลาด และโอกาสของธุรกิจเฟอร์นิเจอร์และงานออกแบบในประเทศไทย ชนินทร์ก็ตัดสินใจเริ่มต้นทำธุรกิจของตัวเองในวัย 25 ปี โดยก่อตั้งแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ของตัวเองร่วมกับญาติ ก่อนจะมีแบรนด์ดังจากต่างประเทศเข้ามาเสนอให้ชนินทร์เป็นตัวแทนจำหน่าย

แม้จะไม่มีประสบการณ์ในธุรกิจนำเข้ามาก่อน แต่ด้วยเห็นโอกาสและความท้าทายของตลาดเฟอร์นิเจอร์ไทยในยุคนั้น ที่คนนิยมสั่งช่างผลิตเฟอร์นิเจอร์ตามแบบที่ต้องการ ซึ่งทำให้งานออกมามีคุณภาพไม่สม่ำเสมอ หรือหากต้องการจะใช้ของนำเข้าจากต่างประเทศก็มีราคาที่สูงมากจากภาษีนำเข้า 40 เปอร์เซ็นต์ แต่เพราะเชื่อว่ามีกลุ่มคนที่เห็นคุณค่าในงานดีไซน์เหมือนกัน ชนินทร์จึงตัดสินใจตอบรับเป็นตัวแทนนำเข้าแบรนด์ Baker and McGuire โดยเปิดโชว์รูมแห่งแรกที่เกษรพลาซ่าในปี 1994

“แม้ว่าเราจะเข้าใจภาพรวมของธุรกิจ เข้าใจความสำคัญของงานดีไซน์ แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องทำธุรกิจนำเข้า เราก็จำเป็นต้องพึ่งพาทีม ซึ่งประกอบด้วย คนที่ถนัดหรือมีประสบการณ์เรื่องการนำเข้าสินค้า เก่งเรื่องบัญชี รู้เรื่องตัวเลข ตั้งราคาขาย เป็นต้น” ชนินทร์เล่าถึงสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เขาผ่าน day 1 ของการเริ่มต้นธุรกิจ ซึ่งผลตอบรับและยอดขายที่ดีเกินคาด นำมาซึ่งการขยายสาขาและการเข้ามาของแบรนด์ใหม่ๆ มากมาย จนกระทั่งเจอกับวิกฤตต้มยำกุ้งปี 1997 ซึ่งค่าเงินที่เปลี่ยนไปทำให้ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นร้อยเปอร์เซ็นต์ ส่งผลกระทบมหาศาลโดยเฉพาะกับธุรกิจนำเข้าสินค้า ชนินทร์ใช้เวลา 2 ปี แก้เกมธุรกิจ ก่อนกลับมาเติบโตอีกครั้งในปี 2000

“เมื่อเจอกับอุปสรรคและเรื่องยากๆ ในช่วงเริ่มต้น คุณรู้สึกเสียดายไหมว่าน่าจะไปเอาดีในด้านศิลปะแบบที่ชอบ” เราถาม

“ไม่รู้สึกเสียดายเลย เพราะผมชอบทั้งสองอย่างมากๆ ผมคิดว่าธุรกิจก็คือศิลปะอย่างหนึ่ง” เขาตอบทันที

“ยิ่งทำธุรกิจ ผมยิ่งพบว่าสองเรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวกัน ในห้องเรียนวิชาการบริหารอาจจะสอนเรื่องการเงินกับการวิเคราะห์ตัวเลข ซึ่งเป็น hard skill หรือพวกทฤษฎีที่ทำให้ธุรกิจไปรอด แต่ในความเป็นจริงการมี soft skill หรือศิลปะทำให้ธุรกิจมีพลังมากกว่า นั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไมเวลาที่เราเดินเข้าไปในสถานที่แห่งหนึ่ง เราถึงรู้สึกว่ามันมีอะไรที่พิเศษหรือแตกต่าง ไม่ว่าจะมาจากการจัดแสง กลิ่น เสียงดนตรี มันคือความรู้สึก เป็นเรื่องศิลปะการออกแบบประสบการณ์ซึ่งมันสำคัญในธุรกิจ ไปจนถึงศิลปะการโน้มน้าว ทั้งต่อลูกค้าให้เขาเชื่อมั่นเรา และต่อแหล่งเงินทุนอย่างธนาคาร เพื่อให้เขาเห็นใจและเข้าใจเราซึ่งเป็นผู้ประกอบการ” ชนินทร์เล่าสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการทำธุรกิจในช่วงที่ยากลำบากที่สุด

สิ่งที่ CHANINTR มอบให้ไม่ใช่แค่เฟอร์นิเจอร์ แต่คือคุณภาพชีวิตที่ดีของลูกค้า ผ่านการเป็นพาร์ตเนอร์ที่ช่วยคิดและหา solution ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิต ซึ่งสร้างโอกาสในการขยายธุรกิจจากเฟอร์นิเจอร์ ไปสู่การออกแบบพื้นที่อย่างครัว ห้องน้ำ และออฟฟิศ สิ่งที่น่าสนใจก็คือ แทนที่จะเป็นบริษัทนำเข้าสินค้าแบรนด์ดังอย่างผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายทั่วไป CHANINTR กลับให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์ CHANINTR ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มต้นธุรกิจ

“จำได้เลยว่า มีแต่คนตกใจตอนที่รู้ว่าเราใช้เงินไปกับการจ้างคนออกแบบโลโก้บริษัท ฟอนต์ ดีไซน์หัวจดหมาย นามบัตร ทั้งๆ ที่เป็นช่วงเริ่มก่อตั้ง ซึ่งเราให้ความสำคัญมากๆ เพราะว่าเรากำลังขาย identity ของเรา และมันมีค่ามากเมื่อเวลาผ่านไป และในปี 2017 เราให้ Winkreative ดีไซน์เอเจนซีเจ้าของเดียวกับนิตยสาร Monocle มารีแบรนด์ให้เรา” 

ขณะที่ผู้ประกอบการหลายคนอาจจะคิดว่า สินค้าขายดีหรือธุรกิจไปได้ดีอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องใช้เงินไปกับการทำแบรนด์ดิ้งอะไร ผู้ก่อตั้ง CHANINTR กลับให้ค่าและความสำคัญกับดีไซน์เป็นที่สุด ถึงกับบอกว่า ‘ไม่ทำไม่ได้’ พร้อมกับบอกว่า นอกจากเหตุผลเรื่องภาพลักษณ์แล้ว การลงทุนในแบรนด์นั้นสำคัญ เพราะแบรนด์เป็นสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ก็จริง แต่เป็นสิ่งมีมูลค่าที่สูงมาก เพราะช่วยเสริมค่าความนิยมหรือ goodwill ของบริษัท ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้แบรนด์ CHANINTR ยังคงเป็นที่น่าเชื่อถือมาตลอด 28 ปี

ปัจจุบัน CHANINTR มีแบรนด์ที่อยู่ในการดูแลมากมาย และครอบคลุมทุกการใช้ชีวิต เช่น Minotti แบรนด์เฟอร์นิเจอร์จากอิตาลี, Carl Hansen & Søn แบรนด์เฟอร์นิเจอร์สไตล์สแกนดิเนเวียจากเดนมาร์ก, Louis Poulsen แบรนด์โคมไฟชื่อดังจากเดนมาร์ก, Bulthaup แบรนด์เครื่องครัวจากเยอรมนี, Waterworks แบรนด์สุขภัณฑ์ห้องน้ำจากสหรัฐอเมริกา และ Herman Miller แบรนด์เก้าอี้ทำงานจากสหรัฐอเมริกา เป็นต้น

Capital ต้องขออภัยที่ไม่อาจชวนเขาคุยถึงความพิเศษของแต่ละแบรนด์ได้ทั้งหมด เพราะถึงเวลาของเฟอร์นิเจอร์ในดวงใจทั้ง 5 ชิ้น ที่เราชวนผู้ก่อตั้ง CHANINTR เลือกหยิบมาถอดวิธีคิดเบื้องหลังงานดีไซน์และธุรกิจ ซึ่งมีจุดร่วมคือ งานออกแบบที่ให้ค่ากับความคิดสร้างสรรค์ และให้โอกาสกับคอนเซปต์หรือไอเดียใหม่ๆ กลายเป็นตัวการสร้างการเปลี่ยนแปลงในวงการเฟอร์นิเจอร์และธุรกิจเฟอร์นิเจอร์

ไม่ต่างจากเรื่องราวของเฟอร์นิเจอร์ทั้ง 5 ชิ้นนี้ ที่ตอนแรกอาจจะชวนตั้งข้อสงสัยถึงที่มา แต่เพราะเรื่องราวความเป็นมาที่อยู่เบื้องหลัง การคิดถึงฟังก์ชั่นการใช้งาน และการสร้างนวัตกรรม ก็สามารถสร้างรายได้แก่ธุรกิจ กอบกู้กิจการ หรือแม้แต่ทำให้แบรนด์บางแบรนด์พบจุดแข็งในตัวเอง

“ตอนที่งานออกแบบเหล่านี้ออกมาใหม่ๆ ทุกคนจะงง ไม่เข้าใจว่าคืออะไร หรือรู้สึกว่าทำไมหน้าตามันแปลกอย่างนี้ ซึ่งในที่สุดก็สร้างความประหลาดใจแก่ทุกคน ว่าสิ่งที่หน้าตาอาจดูไม่สวย หรือเริ่มต้นคิดทำในสิ่งที่แตกต่าง อาจเป็นของที่ขายดีที่สุดก็ได้”

topofmind-furniture

1
Wishbone Chair
เก้าอี้ที่มากอบกู้กิจการ

Item : Wishbone Chair

Brand : Carl Hansen & Søn

Designer : Hans J. Wegner

“Wishbone คือ เก้าอี้ที่ออกแบบโดย Hans J. Wegner ซึ่งทุกคนจะบอกว่าหน้าตามันดูแปลกประหลาดมาก เป็นเพราะ Wegner ได้แรงบันดาลใจทั้งรูปทรงและลักษณะมาจากเฟอร์นิเจอร์จีน แล้วเขาก็ให้ความสำคัญกับการรองรับสรีระ ทำให้นั่งได้นาน นั่งได้สบาย ต่างจากเก้าอี้ส่วนใหญ่ในยุคนั้นที่จะตัวใหญ่ๆ หนักๆ Wegner กลับเลือกที่จะออกแบบเก้าอี้บางและเบา เรียบง่าย แหวกแนวมากในตอนนั้น ผมชอบความกล้าของเขาซึ่งทำให้เก้าอี้ตัวนี้เป็นไอคอนมาถึงปัจจุบัน และเป็นเก้าอี้ที่ขายดีที่สุดตัวหนึ่งของเรา

“ผมคิดว่า Wishbone เป็นปัจจัยหนึ่งที่สร้างเทรนด์หรือทำให้ยุคของ Danish Modern ชัดเจนขึ้น ซึ่งหลังจากนั้นก็มีการพัฒนาต่อเนื่อง สิ่งที่น่าสนใจคือ Wishbone เป็นเก้าอี้ที่มีคนใช้เยอะมากซะจนโดนลอกเลียนเยอะมาก และส่วนใหญ่ของเก้าอี้ที่โดนก๊อปจะมีจุดที่ขายไม่ค่อยดีเพราะคนเห็นเยอะ แต่ Wishbone เป็นข้อยกเว้นเพราะไม่เพียงผ่านจุดนั้นมาได้แต่ยังขายดีขึ้นทุกปีๆ เพราะในที่สุดคนจะรับรู้ได้ว่าของลอกเลียนอย่างไรก็ทำได้ไม่เหมือน แล้วเราก็ล้วนอยากเป็นเจ้าของเก้าอี้ของจริง เปรียบได้กับการครอบครองงานศิลปะ

“ขณะเดียวกันผมก็ชอบในความเป็น family business ซึ่งผมรู้จักกับ Knud Erik Hansen เขาเป็นทายาทรุ่นที่ 3 ของ Carl Hansen & Søn เป็นลูกชายคนที่สองซึ่งเดิมไม่ได้เกี่ยวข้องกับธุรกิจนี้โดยตรง แต่ไปทำงานบริษัท East Asia วันหนึ่งกลับมาเยี่ยมบ้าน พี่ชายก็บอกว่าจะเลิกทำแล้วขายบริษัท เขาก็ตัดสินใจรับช่วงต่อ จากพนักงาน 12 คน ตอนนี้มีพนักงานหลายพันคน มีสาขาอยู่ทั่วโลก ทำยอดขายเติบโตไม่รู้กี่ร้อยเท่า และขณะที่แบรนด์เฟอร์นิเจอร์อื่นๆ มีฐานการผลิตหลายประเทศ บ้างย้ายไปโปแลนด์ บ้างย้ายไปจีน แต่เขาผลิตที่เดนมาร์กที่เดียวทุกชิ้น ทุกอย่าง เขาลงทุนกับเทคโนโลยีที่ช่วยในการผลิต ลงทุนในดีไซน์ ลงทุนในแบรนด์ดิ้ง ให้ความสำคัญกับเรื่องราวงานออกแบบที่พิเศษแล้วคนก็รู้สึกเปิดรับและเห็นค่ากับสิ่งเหล่านี้จริงๆ ทำให้บริษัทเติบโตเรื่อยมา”

topofmind-furniture

2
Thonet Chair No. 14
เก้าอี้ที่สร้างนวัตกรรมการขาย

Item : Thonet Chair No. 14

Brand : Thonet

Designer : Michael Thonet

“Thonet Chair เป็นเก้าอี้ที่สร้างมาตั้งแต่ปี 1859 เรามักจะเห็นเก้าอี้ Thonet นี้ตามคาเฟ่ ซึ่งจนถึงวันนี้ Thonet ก็ยังเป็นเก้าอี้ที่ขายดีที่สุดในโลก ตัวเก้าอี้ทำจากไม้บีช อบความร้อนจนสามารถดัดได้ เขาก็เลยอัดเข้ากรอบกลายเป็นเก้าอี้ เป็นนวัตกรรมที่เกิดขึ้นเมื่อ 100 กว่าปีก่อน แต่สิ่งที่ผมรู้สึกว่าน่ามหัศจรรย์มากไม่ใช่เรื่องดีไซน์หรือวิธีการผลิตของเขา แต่เป็นวิธีการขาย”

“Thonet เป็นต้นแบบของ IKEA ในเรื่องการเป็นเก้าอี้ตัวแรกที่ขายแบบถอดประกอบ ทำให้ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนในโลกก็สามารถสั่งซื้อเก้าอี้ตัวนี้ผ่านแค็ตตาล็อก หลังจากจ่ายเงินคุณจะได้รับกล่องพัสดุ ภายในบรรจุชิ้นส่วนให้คุณประกอบขึ้นมาเป็นเก้าอี้ ทำให้ขึ้นแท่นเก้าอี้ที่ขายดีมาก มีโรงงาน 5-6 แห่งทั่วยุโรป ซึ่งปัจจุบันเหลือเพียง 2-3 แห่งที่ยังผลิตเก้าอี้อย่างต่อเนื่อง และถ้าจำไม่ผิด จนถึงตอนนี้เก้าอี้ Thonet ขายได้ 50 ล้านตัว นอกจากจะปฏิวัติวงการเฟอร์นิเจอร์แล้วยังเป็นเก้าอี้ที่ขายดีที่สุดในประวัติศาสตร์”

topofmind-furniture

3
Aeron chair
เก้าอี้ทำงานที่เกิดมาเพื่อบอกว่า หน้าตาไม่ใช่ทุกอย่าง

Item : Aeron chair 

Brand : Herman Miller

Designer : Don Chadwick และ Bill Stumpf

“Aeron chair เป็นเก้าอี้ทำงานที่ตอนออกมาหลายคนบอกว่าไม่มีทางรอด เพราะหน้าตาน่าเกลียดมาก นั่นเพราะในอดีต เก้าอี้ทำงานส่วนใหญ่เป็นเก้าอี้ที่มีโฟมข้างในหรือเป็นเบาะ มีแขนที่ทำจากพลาสติก แต่ Don Chadwick และ Bill Stumpf ออกแบบให้ Aeron chair เป็นผ้าขึงตึงบนโครงเก้าอี้ แถมตัวเก้าอี้ยังปรับได้หลายจุด มาจากโจทย์ที่ตั้งแต่ต้นว่า อะไรคือดีไซน์ที่ดีกับสรีระของคนมากที่สุด เป็นงานออกแบบที่คิดถึงฟังก์ชั่นการใช้งานจึงทำให้หน้าตาออกมาแปลกประหลาดในสายตาคนทั่วไปเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว แต่วันนี้กลับดูเท่ดีและทันสมัย 

“น้อยคนจะรู้ว่า Herman Miller เป็นบริษัทที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมาก นอกจาก 90 เปอร์เซ็นต์ ของเก้าอี้ที่ผลิตยังสามารถนำไปรีไซเคิลต่อได้ พวกเขายังเลี้ยงผึ้งไว้สร้างสมดุลสิ่งแวดล้อม ตั้งใจจะเป็นออฟฟิศสีเขียวซึ่งทำมาก่อนกาล ตั้งแต่เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ไปจนถึงมีช่วงหนึ่งที่เขาประกาศหยุดผลิตสินค้า เพียงเพราะพบว่าสิ่งนี้ไม่ดีต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งไม่ใช่เรื่องปกติของบริษัทที่อยู่ดีๆ จะประกาศบอก ‘ไม่ขายแล้วนะ เพราะเราตระหนักได้ว่าสินค้าที่ผลิตไม่กรีน’ สิ่งที่พวกเขาทำคือหยุดผลิต แล้วหาเทคโนโลยีใหม่มาแก้ปัญหานั้น ซึ่งใช้เวลานับปีทีเดียว ต้องบอกว่ายุค 90s ธุรกิจยังไม่มีใครลุกมาตระหนักถึงเรื่องสิ่งแวดล้อมนะ แต่เขาจริงจังในหลักการที่เขาเชื่อมั่นมากๆ ผมจึงประทับใจที่เขาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เหนือตัวเลข”

topofmind-furniture

4
Sectional Sofas
ชุดโซฟาที่สร้างจุดแข็งด้วยวิธีคิดที่เป็นระบบระเบียบ

Item : Sectional Sofas

Brand : Minotti

Designer : Rodolfo Dordoni

“ตั้งแต่เริ่มต้นทำธุรกิจนี้มาผมค้นพบว่า สินค้าที่ทุกบ้านปรารถนาจะมีคือโซฟาที่มีลักษณะเป็นรูปตัว L หรือ sectional sofas ซึ่งมีหลายแบรนด์ที่นำเสนอ sectional sofas แต่สำหรับผม Minotti คือเจ้าแห่ง sectional เพราะวิธีการนำเสนอของเขาเป็นระบบมากๆ โดยในหนึ่งคอลเลกชั่นที่ออกแบบมา คุณสามารถเลือกผสมผสานเพื่อสร้างโซฟาของตัวเองได้ ไม่ว่าพื้นที่ของคุณจะเป็นแบบไหน คุณก็สามารถหาโซฟาที่เข้ากับพื้นที่ได้เพราะเขาคิดล่วงหน้าไว้ให้หมดแล้ว

“Minotti จึงเป็นอีกหนึ่งธุรกิจครอบครัวที่ผมนับถือมาก เขาไม่หยุดที่จะคิดทำสิ่งใหม่ๆ เลย ทุกปีจะมีนวัตกรรมใหม่ๆ ออกมาเสมอ ผ่านสินค้านับร้อยชิ้น และทุกอย่างผลิตในอิตาลีทั้งหมด จะบอกว่าเป็น master of sectional ก็ไม่เกินจริงเลย นั่นทำให้ Minotti เติบโตเร็วกว่าแบรนด์อื่นๆ มีสาขาอยู่ทั่วโลก เป็นตัวท็อปของตลาดเลยตอนนี้ เพราะทั้งขายดีมาก และสินค้ามีคุณภาพสูง”

topofmind-furniture

5
Nagato Side Table
โต๊ะข้างที่หยิบธรรมชาติมาสร้างงานศิลปะ

Item : Nagato Side Table

Brand : Liaigre

Designer : Christian Liaigre

“Nagato Side Table คือโต๊ะข้าง ออกแบบโดย Christian Liaigre นักออกแบบและอินทีเรียร์ดีไซเนอร์ที่ทำบ้านให้คนดังมากมาย เช่น Karl Lagerfeld, Marc Jacobs และ Calvin Klein งานชิ้นนี้ถือเป็นงานชิ้นที่ไอคอนิกที่สุดของเขา อาจจะดูแปลกตาว่าคืออะไร และทำไมถึงไอคอนิกในวงการออกแบบได้

“จุดเริ่มต้นของงานชิ้นนี้มาจาก Christian Liaigre ไปเจอเศษไม้โอ๊กที่ตัดไว้ทำรางรถไฟในฝรั่งเศส เขาเห็นแล้วคิดว่าน่าจะทำอะไรได้ เลยเอาไม้มาลองตัดเป็นโครงร่างที่สวยเข้ากับบ้านได้ทุกหลัง เกิดเป็น Nagato Stool เป็นไอเทมที่ดังมาก เพราะทุกชิ้นไม่เหมือนกันเลยตามลักษณะธรรมชาติของไม้ ซึ่งนักสะสมจะชอบชิ้นที่ดูแตกๆ เป็นธรรมชาติ”

topofmind-furniture

‘The Bluebird Cafe’ คาเฟ่จุดกำเนิดของเทย์เลอร์ สวิฟต์ และดาวในวงการเพลงคันทรีอีกหลายดวง

วันที่ 18 พฤษภาคมที่ผ่านมา Taylor Swift เพิ่งรับปริญญาเอกใบแรกในชีวิตของเธอ

เป็นข่าวที่ทำให้หลายคนงงว่าเทย์เลอร์เจียดเวลาทำเพลงเอาไปเรียนจนจบด็อกเตอร์ตอนไหน คำตอบคือเธอไม่ได้เรียน เธอไม่เคยได้เรียนต่อมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำ แท้จริงแล้วนี่คือปริญญากิตติมศักดิ์ด้านศิลปะที่ New York University มอบให้ ในฐานะมาสเตอร์ด้านการสร้างสรรค์งานศิลปะผ่านบทเพลง

“ฉันมั่นใจว่าเหตุผล 90 เปอร์เซ็นต์ ที่ฉันได้รับปริญญาวันนี้เพราะฉันมีเพลงชื่อ 22 และฉันยินดีอย่างยิ่งที่จะมาเฉลิมฉลองและจบการศึกษาไปพร้อมกับนักศึกษารุ่น 2022” เทย์เลอร์ยิงมุกในคำปราศรัยวันปัจฉิมนิเทศ ซึ่งเธอได้รับเกียรติให้พูดต่อนักศึกษาและผู้ปกครองนับพัน

เทย์เลอร์เข้าวงการดนตรีตั้งแต่อายุ 14 เธอเรียนโฮมสคูลไปพร้อมกับการทำงานเป็นศิลปินเต็มตัวแบบไม่เคยพัก  เธอปล่อย Taylor Swift อัลบั้มเพลงแนวคันทรีอัลบั้มแรกในชีวิตเมื่อปี 2549 สร้างชื่อในวงการเพลงคันทรีจนกลายเป็นดาวรุ่ง ก่อนจะขยับขยายมาทำเพลงป๊อป อัลเทอร์เนทีฟ และโฟล์ก ในขวบปีที่ 32 เทย์เลอร์ออกสตูดิโออัลบั้มมา 8 ชุด ขายได้ในหลักร้อยล้านยูนิต แถมทำท่าจะกวาดรางวัลและทุบสถิติในทุกครั้งที่เธอปล่อยเพลงใหม่ ถือว่าเป็นศิลปินที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งของยุค 

มีท่อนหนึ่งในปาฐกถาที่เธอพูดถึงจุดเริ่มต้นของตัวเองไว้ได้อย่างน่าสนใจ “ฉันรู้ว่าฉันควรจะเก่งเรื่องการใช้คำพูด แต่ฉันจะไม่มีวันหาคำใดๆ มาขอบคุณแม่ พ่อ ออสติน พี่ชายของฉัน กับการเสียสละในทุกวันของพวกเขาเพื่อที่จะให้ฉันได้ขึ้นไปร้องเพลงในร้านกาแฟหลายๆ แห่ง จนกระทั่งฉันได้มาพูดให้พวกคุณฟังวันนี้”

ในฐานะคนที่ฟังเพลงเทย์เลอร์มาตั้งแต่ยุคแรกๆ จนเรียกตัวเองว่าสวิฟตี้ (ชื่อกลุ่มแฟนคลับเทย์เลอร์) ได้เต็มปาก เราแอบเขินนิดหน่อยที่ไม่รู้ว่าจุดเริ่มต้นของเทย์เลอร์มาจากการร้องเพลงตามร้านกาแฟ ขณะเดียวกันก็หูผึ่งจนต้องไปหามาอ่านประดับความติ่ง

เทย์เลอร์อาจได้ไปเล่นที่ร้านกาแฟหรือคาเฟ่หลายร้าน แต่มีร้านหนึ่งที่น่าสนใจจนเราอยากหยิบมาเล่าให้ฟัง

ร้านนั้นคือ The Bluebird Cafe คาเฟ่ที่ไม่เพียงแต่เป็นจุดเริ่มต้นในวงการดนตรีของเทย์เลอร์ แต่ยังเป็นจุดกำเนิดของนักแต่งเพลงและศิลปินคันทรี่ชื่อดังนับไม่ถ้วน

คาเฟ่ที่ลูกค้าเดินเข้ามาฟังมากกว่ากิน

The Bluebird Cafe เปิดร้านในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2525 ที่เมืองแนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี สหรัฐอเมริกา ในยุคแรกเริ่ม ผู้ก่อตั้งอย่าง Amy Kurland ไม่รู้เลยว่าคาเฟ่เล็กๆ จุคนได้ 90 ที่นั่งของตัวเองจะกลายมาเป็นสถานที่ที่นักแต่งเพลง นักดนตรี และศิลปินผู้ใฝ่ฝันอยากทำงานในวงการเพลงคันทรีจะต้องอยากมาเล่นให้ได้สักครั้ง 

อันที่จริง เธอตั้งใจให้ The Bluebird Cafe เป็นแค่ร้านอาหารเล็กๆ ในศูนย์การค้าที่มีเวทีดนตรีสดให้ลูกค้าได้เอนจอย แรกเริ่มเดิมที เวทีเล็กๆ นี้เปิดให้คนรักของเอมี่ที่เป็นนักกีตาร์และเพื่อนของเขามาเล่น รู้ตัวอีกที ลูกค้าที่เดินทางมาที่นี่เพราะดนตรีมากกว่าอาหารซะงั้น 

แต่ไม่ได้หมายความว่าอาหารที่นี่แย่แต่อย่างใด The Bluebird Cafe เสิร์ฟลูกค้าเฉกเช่นคาเฟ่ทั่วไป มีทั้งอาหาร เครื่องดื่ม ของหวาน กาแฟ และแอลกอฮอล์ ซึ่งความจริงแล้วน่าจะเป็นหนึ่งในจุดแข็งที่ดึงลูกค้าให้เข้าร้านด้วยซ้ำ เพราะถ้าดนตรีดีแต่อาหารไม่อร่อย ใครจะอยากมาล่ะจริงไหม?

โชว์ของคนทำเพลง

อาจเพราะความใจกว้างของเอมี่ที่ทำให้ร้านอาหารเล็กๆ ของเธอป๊อปปูลาร์ขึ้นมา เพราะหลังจากที่เปิดร้านได้ไม่กี่เดือน The Bluebird Cafe จัดกิจกรรมพิเศษชื่อ Writers’ Night ที่จะเปิดให้นักแต่งเพลงและศิลปินมาโชว์เพลงที่ตัวเองแต่ง ในครั้งแรกได้ผลตอบรับที่ดีมากจนร้านต้องจัดกิจกรรมต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน อีกหนึ่งกิจกรรมที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กันคือ In the Round เซสชั่นที่เปิดโอกาสให้นักดนตรีมาตั้งเครื่องดนตรีกลางห้อง แล้วให้คนฟังได้เอนจอยอยู่รอบๆ

ใครจะคิดว่ากิจกรรมที่ทำเอาสนุกๆ จะเป็นจุดเริ่มต้นบนเส้นทางดนตรีของคนทำเพลงหลายคน เพราะปีแล้วปีเล่า กิตติศัพท์ของเซสชั่นพิเศษ The Bluebird Cafe ก็ขยายไปในวงกว้าง เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้แนชวิลล์กลายเป็นฮับสำหรับคนทำเพลงที่กำลังวิ่งไล่ล่าความฝัน และหนึ่งในนั้นคือเทย์เลอร์ สวิฟต์ ในวัย 14 ปี

เวทีไล่ล่าความฝัน

เช่นเดียวกับศิลปินหลายคน เทย์เลอร์ไม่ได้เกิดและเติบโตที่เมืองแนชวิลล์ เธอเกิดในเขตเวสต์เรดดิ้ง รัฐเพนซิลเวเนีย ก่อนจะย้ายมาค้นฟ้าคว้าดาวที่นี่ เทย์เลอร์ตระเวนเล่นตามคาเฟ่ต่างๆ และหนึ่งในนั้นคือ The Bluebird Cafe

2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547 Scott Borchetta เจ้าของค่าย Big Machine Records (ซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้ตั้งค่ายด้วยซ้ำ) เจอเทย์เลอร์ที่บลูเบิร์ด เธอชักชวนให้สก็อตมาดูโชว์ Writer’s Night ที่เธอเล่นในคืนวันพฤหัสบดี เขาไปตามคำชวน  คืนนั้นเทย์เลอร์เล่นเพลงที่ตัวเองแต่งขึ้นเองชื่อ Songs About You, Me and Britney และ Beautiful Eyes สก็อตชวนเธอมาเซ็นสัญญาเป็นศิลปินกับเขาโดยที่ไม่รู้เลยว่าเขากำลังจะเซ็นสัญญากับซูเปอร์สตาร์ระดับโลก

The Bluebird Cafe ดึงให้นักฟังและค่ายเพลงหลายๆ ค่ายเข้ามาตามหาเพชรของวงการที่ยังไม่ถูกเจียระไน ซึ่งไม่ได้มีแค่เทย์เลอร์เท่านั้น  คาเฟ่แห่งนี้ยังเป็นจุดกำเนิดของนักแต่งเพลงและศิลปินคันทรีระดับโลกอย่าง Garth Brooks, Faith Hill, Keith Urban, Lady Antebellum และอีกมากมาย

ความสำเร็จที่สร้างจากเสียงดนตรี

40 ปีคืออายุของ The Bluebird Cafe ในปัจจุบัน และดูเหมือนความนิยมของคาเฟ่แห่งนี้จะไม่มีเสื่อมคลาย มันกลายเป็นหนึ่งในหมุดหมายหลักที่ผู้รักเสียงดนตรีจากทั่วโลกอยากมาเสพและเล่นสักครั้ง มีคิวจอง คิวเล่นเต็มเอี๊ยดไม่เว้นวัน  แถมได้โผล่ในซีรีส์ฮิตอย่าง Nashville (ทำให้ฮิตและจองยากเข้าไปอีก) ยังไม่นับความจริงที่ว่าเอมี่เจ้าของร้านได้ตัดสินใจขายกิจการต่อให้ Nashville Songwriters Association International (NSAI) เรียบร้อย ทำให้ที่นี่กลายเป็นฮับทางดนตรีอย่างสมบูรณ์ คล้ายสะพานที่เชื่อมระหว่างผู้เล่นหน้าใหม่ในวงการกับผู้สนใจ

อาจเพราะมองย้อนกลับไป เอมี่มองว่าเคล็ดลับความสำเร็จทางธุรกิจของ The Bluebird Cafe คือคนทำเพลงนี่แหละ

“มันเริ่มจากคนทำเพลง ไม่ว่าในอดีตหรือปัจจุบัน ถึงคุณจะเปิดโรงรถแล้วติดป้ายว่าคุณมี Songwriters’ Night คุณจะเจอคนทำเพลงมหาศาลต่อคิวเข้ามาหาอยู่ดี เพราะพวกเขาต้องการสถานที่ปล่อยของ” เธอบอกในบทสัมภาษณ์ของ The Legacy Lab 

https://www.youtube.com/watch?v=zHVYfBgdHFA
เทเลอร์กลับมาร้องเพลงที่ The Bluebird Cafe อีกครั้งในปี 2561, วิดีโอจากสารคดี Bluebird (2019)

“มันไม่มีสถานที่สาธารณะที่เปิดให้คนทำเพลงด้วยกันได้สรรเสริญคนในแวดวงเดียวกับพวกเขา (…) และคนฟังสนใจมันพอๆ กับนักดนตรี พวกเขาอยากเป็นส่วนหนึ่งของคอมมิวนิตี้ที่เจอคนคอเดียวกัน พวกเขาต้องการสถานที่ที่เชื่อมโยงถึงกัน รู้สึกเหมือนอยู่บ้าน และ The Bluebird เป็นแบบนั้น” เธอเล่า

“อีกหนึ่งสิ่งสำคัญคือคนที่มา The Bluebird คือคนที่ตั้งใจมาฟังเพลงจริงๆ ถ้ามีใครสักคนพูดอะไรขึ้นมาสักอย่าง คนฟังส่วนใหญ่ก็จะบอกให้พวกเขาเงียบซะ (…) ที่นี่คือห้องฟังเพลง มันคงน่าสนใจน้อยลงมากเลยนะ ถ้าเราเอาแต่คิดว่าจะขายเครื่องดื่มยังไงให้ได้เยอะๆ แทนที่จะทำยังไงให้ศิลปินผู้ผลิตผลงานถูกรับฟังจริงๆ”

Photo by mana5280 on Unsplash

อ้างอิง

billboard.com

taylorswift.fandom.com

bluebirdcafe.com

store.bluebirdcafe.com

theboot.com

youtube.com

thelegacylab.com

สำรวจนโยบายเศรษฐกิจจาก 6 ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร

เข้าสู่โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพฯ กันแล้ว หลังจากที่เราไม่ได้เลือกตั้งผู้ว่าฯ กันมากว่า 9 ปี และเมื่อเกาะติดกระแสของผู้ว่าแต่ละคนแล้วก็ต้องบอกว่าเป็นช่วงที่ข้อมูลข่าวสารเข้มข้นอย่างแท้จริง หลายคนอาจจะตัดสินใจเลือกผู้ว่าฯ ของตัวเองไปแล้ว แต่ถ้าหากใครยังตัดสินใจไม่ได้ โดยเฉพาะผู้ประกอบการ ร้านค้า และมนุษย์เศรษฐกิจชาวกรุงเทพฯ ที่อาจไม่มีเวลานั่งหาอ่านนโยบายกันนานๆ 

วันนี้เรารวบรวมข้อมูลนโยบายที่น่าสนใจ โดยเฉพาะนโยบายที่เกี่ยวข้องและส่งผลกับการใช้ชีวิตพื้นฐานและแนวทางเศรษฐกิจเอาไว้แล้ว

ไปดูกันว่าผู้ว่าคนไหนจะมีนโยบายที่ตรงใจคุณที่สุด

หมายเลข 8
ชัชชาติ สิทธิพันธุ์
อิสระ 

พูดถึงนโยบายเกี่ยวกับปากท้องครั้งนี้ แคนดิเดตผู้ว่าสุดแข็งแกร่งเบอร์ 8 นำเสนอเรื่องของการสร้าง Creative Economy เศรษฐกิจแบบสร้างสรรค์ และการผลักดันผู้ประกอบการรายย่อย โดยในการเปิดตัวลงสมัครครั้งนี้ เขาได้ชู 200 นโยบายที่จะผลักดันกรุงเทพฯ ให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งกว่า 60 นโยบายเป็นเรื่องของการสร้างระบบโครงสร้างและเศรษฐกิจที่ดี

หนึ่งในนั้นคือการสร้างเศรษฐกิจ 50 ย่านทั่วกรุงเทพฯ ให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว กล่าวคือลดการกระจุกตัวของพื้นที่เศรษฐกิจ สินค้า กิจกรรมหรือบริการที่คล้ายกันในพื้นที่เดียว แต่สร้างย่านให้แข็งแรงและน่าสนใจจากต้นทุนเดิมที่แต่ละพื้นที่มีอยู่ เพื่อดึงดูดให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจและเกิดการท่องเที่ยวมากขึ้น โดยใช้โครงสร้างพื้นฐานด้านกายภาพ องค์ความรู้และการประชาสัมพันธ์ของรัฐเข้าไปสนับสนุน 

นอกจากนี้ยังมีแผนงานจะผลักดันให้เกิด 12 เทศกาลที่หลากหลายตลอดปีของกรุงเทพฯ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นเทศกาลอาหาร เทศกาลดนตรี เทศกาลงานคราฟต์หรือเทศกาลวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยมีการยกตัวอย่างเทศกาลแต่ละเดือนไว้ในเว็บไซต์ชี้แจงนโยบายของชัชชาติ ซึ่งเขามองว่าเทศกาลเป็นกลไกหนึ่งที่ช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนงานของแรงงาน และเปิดโอกาสให้คนกรุงเทพฯ เห็นโอกาสของธุรกิจใหม่ๆ ขึ้นได้ 

หากพูดถึงผู้ประกอบการในกุรงเทพฯ แล้ว หาบเร่แผงลอยก็ควรถูกนับเป็นร้านค้าหรือหนึ่งในผู้ประกอบการเจ้าสำคัญเช่นกัน เพราะทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงอาหารที่ดีราคาถูกในทุกพื้นที่ ซึ่งชัชชาติก็มีนโยบายที่ให้ความสำคัญที่จะจัดระบบและดูแลกิจการหาบเร่แผงลอยในกรุงเทพฯ ให้ดียิ่งขึ้น โดยจะเก็บสถิติและขึ้นทะเบียนผู้ค้าแผงลอยในกรุงเทพฯ เพื่อดูแลคุณภาพและพิจารณาพิกัดจุดค้าขาย นำไปสู่การหาพื้นที่เอกชนหรือหน่วยงานราชการที่สามารถเป็นพื้นที่ขายหรือศูนย์อาหารเพื่อลดปัญหาเบียดบังการใช้พื้นที่คนเดิน นอกจากนั้นยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างที่จำเป็นในการทำกิจการหาบเร่ควบคู่กันไป อย่างการพัฒนารถเข็นที่มีบ่อดักไขมันและจุดทิ้งขยะเพื่อความสะอาดที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ โดย กทม.จะทำงานกับประชาชนและผู้ค้าแผงลอยเป็นหลักเพื่อให้พื้นที่สะอาดอยู่เสมอ อีกทั้งยังพิจารณาผลักดันใช้พื้นที่ราชการของกรุงเทพฯ ให้เกิดตลาดนัดชุมชนและตลาดนัดเขตเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ 

ไม่ใช่แค่ผู้ค้าตามแผงลอยหรือในตลาดอย่างเดียว แต่ชัชชาติให้ความสำคัญเรื่องการขยายโอกาสและศักยภาพของผู้ประกอบการรายย่อยทั่วไปด้วยเช่นกัน โดยมีการวางแผนเตรียมจัดช่องทางข้อมูลส่งเสริมผู้ประกอบการให้เข้าถึงการค้าขายสินค้าไปต่างจังหวัดและต่างประเทศ ศูนย์ฝึกอาชีพของ กทม.จะมีการปรับปรุงหลักสูตรให้เหมาะสมกับตลาดงานที่ปรับเปลี่ยนไปยิ่งขึ้น จะมีการสนับสนุนให้แรงงานฝีมือภายในกรุงเทพฯ เข้าถึงแพลตฟอร์มการสมัครงาน โดยมีอาสาสมัครเทคโนโลยี (อสท.) ให้ความช่วยเหลือที่เหมาะสม รวมถึงแนวทางผลักดันให้เกิดการจ้างแรงงานที่ในผู้สูงอายุและคนพิการมากขึ้น

นอกจากนั้นชัชชาติยังเป็นผู้ว่าที่ผลักดัน ‘เศรษฐกิจกลางคืน’ ในกรุงเทพฯ อีกด้วย โดยมองว่าธุรกิจอาหารและสตรีทฟู้ด รวมถึงธุรกิจบันเทิงต่างๆ เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเมือง ดังนั้นการดูแลความปลอดภัยการเดินทางและการอำนวยความสะดวกเศรษฐกิจส่วนนี้สามารถช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในกรุงเทพฯ เกิดการว่าจ้างงานเพิ่มขึ้นและส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมไปในคราวเดียวกัน แนวทางหนึ่งที่ถูกนำมาใช้ในนโยบายนี้คือการนำร่องเดินรถเมล์สายหลักและสายรองจากย่านเศรษฐกิจกลางคืนสู่จุดเปลี่ยนถ่ายใหญ่ๆ ในกรุงเทพฯ ครอบคลุมตลอด 24 ชั่วโมง และปรับปรุงพื้นที่สาธารณะ รวมถึงห้องน้ำสาธารณะที่ตั้งอยู่ตามจุดต่างๆ ให้ปลอดภัย เป้าหมายเพื่อให้คนเมืองปลอดภัยและลดค่าใช้จ่ายการเดินทางยามค่ำคืน

ถอยกลับมาในเรื่องพื้นฐานอย่างการสร้างโครงสร้างเมืองที่ดี ที่เอื้ออำนวยการใช้ชีวิตและการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการ ชัชชาติเองก็ค่อนข้างเข้มแข็งในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน เขาให้ความสำคัญกับการคมนาคมอย่างการปรับปรุงขนส่งสาธารณะอย่างรถเมล์ ด้วยการซื้อรถใหม่ที่คุณภาพดีและเพิ่มรถสายหลัก-สายรองในราคาเดียว และการพัฒนาผังเมืองเพื่อเศรษฐกิจ ด้วยการวางแผนสร้างพื้นที่เศรษฐกิจสร้างสรรค์แถบชานเมือง ลดการเดินทาง ลดความแออัดของจำนวนคนและเม็ดเงินที่กรุงเทพฯ ชั้นใน 

election

หมายเลข 11
น.ต. ศิธา ทิวารี
พรรคไทยสร้างไทย 

แคนดิเดตผู้ว่าที่ชูประเด็นเรื่องเศรษฐกิจเป็นหลัก เบอร์ 11 มีนโยบายหลายด้านที่น่าสนใจ โดยใช้วิธีการคิดนโยบายเป็น 3 กลุ่ม นั่นก็คือ 3 P เป็นการสร้างคน (People) สร้างงาน (Profit) และสร้างเมือง (Planet) แต่หนึ่งในแกนหลักสำคัญเน้นไปที่การสร้างเศรษฐกิจด้วยแนวคิดที่สร้างสรรค์ ยกระดับเศรษฐกิจให้เหมาะสมกับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป อย่างการผลักดันให้กรุงเทพฯ เกิดเศรษฐกิจแบบ Digital Economy สมบูรณ์แบบ กรุงเทพฯ จะไม่ใช่เพียงเมืองระดับต้นๆ ในการท่องเที่ยว แต่จะผลักดันให้กรุงเทพฯ กลายเป็น ‘เมืองที่น่าลงทุน’ ในสายตาของประชาชนภายในประเทศและต่างประเทศ ศิธาหวังว่าจะสามารถปรับสภาพเมือง ปรับเปลี่ยนกฎเพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น

แต่ไม่ใช่แค่เศรษฐกิจแบบดิจิทัลเท่านั้นที่จะให้ความสำคัญ ในแง่ของเศรษฐกิจ ปากท้องของประชาชนทั่วไป ศิธามองว่าเป็นเรื่องด่วนเช่นเดียวกันที่จะฟื้นเศรษฐกิจ ฐานะความเป็นอยู่ของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด เศรษฐกิจ และการเมืองที่ผ่านมาเพื่อให้กลับมาตั้งตัวได้เร็วที่สุดอีกครั้ง โดยจะสร้าง Bangkok legal Sandbox ขึ้นมา โดยใช้กรุงเทพฯ เป็นพื้นที่นำร่อง พิจารณาและปลดล็อก หรือ พักใช้กฎหมายที่ไม่เอื้อกับการทำมาหากินในปัจจุบันชั่วคราว 3-5 ปีเพื่อดูทิศทางในอนาคต ส่งผลให้คนกรุงเทพฯ มีโอกาสที่จะเป็นผู้ประกอบการหรือทำธุรกิจต่างๆ มากยิ่งขึ้น 

ศิธายังเล็งเห็นถึงโอกาสในการโปรโมตธุรกิจแบบสตรีทฟู้ดขึ้นมาให้มีชื่อเสียงในต่างประเทศและกลายเป็นแหล่งดึงดูดการท่องเที่ยว เพราะทรัพยาการด้านอาหารและวัฒนธรรมการกินของไทยโดดเด่นอยู่แล้ว การหันมาสนับสนุนและหาวิธีให้ร้านค้าแผงลอยหรือหาบเร่สามารถอยู่อย่างมั่นคงนั่นส่งผลดีมากกว่า เจ้าหน้าที่ กทม.จึงไม่สามารถเป็นเพียงผู้กำกับดูแลความเรียบร้อยของพื้นที่ แต่ควรเปลี่ยนบทบาทเป็นการดูแลการขายให้ถูกกฎหมาย 

ในด้านของระบบโครงสร้างที่เอื้อต่อประชาชนและผู้ประกอบการทั่วไป ศิธายังชูประเด็นเรื่องค่าคมนาคม โดยวัดจากอัตราส่วนจากค่าครองชีพที่ไม่ควรเกิน 15 เปอร์เซ็นต์ของเงินเดือน อ้างอิงมาจากประเด็นปัญหาปัจจุบันที่เขาพบว่าคนกรุงเทพฯ ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงเกือบครึ่งหนึ่งของเงินเดือนทั้งหมด ปัญหานี้ยังส่งผลทำให้คนทั่วไปหันมาใช้รถส่วนตัวเพราะคุ้มค่ามากกว่ารถขนส่งสาธารณะอีกด้วย ดังนั้นศิธาจึงเตรียมแผนการคุยกับ กทม.และฝ่ายเอกชน เพื่อดึงราคาของระบบขนส่งกลับมาอยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่เกิน 1,500-1,600 บาท / เดือน 

อีกสิ่งหนึ่งที่เหมือนจะไม่เกี่ยวข้อง แต่จริงๆ แล้วเป็นแก่นที่ส่งผลสำคัญกับประชาชนทุกคนและผู้ประกอบการเช่นกัน นั่นก็คืออำนาจในการตรวจสอบการทำงานของภาครัฐและระบบราชการ ประชาชนจะมีส่วนในการกำหนดงบประมาณของ กทม.ในทุกส่วน และสามารถมีส่วนร่วมในการเลื่อน ลด ปลด ย้ายข้าราชการ กทม.ในทุกระดับชั้น รวมถึงลดระบบการทำงานของหน่วยงานราชการรัฐโดยรวมให้ขั้นตอนน้อยลง ตรวจสอบได้ง่ายดายยิ่งขึ้น 

election

หมายเลข 1
วิโรจน์ ลักขณาอดิศร
พรรคก้าวไกล 

แคนดิเดตผู้ว่าสายชนเบอร์ 1 พร้อมรื้อทุกโครงสร้างเพื่อแก้ปัญหาปากท้อง นโยบายหนึ่งที่น่าสนใจของวิโรจน์คือการกล้าลดช่องว่างอำนาจการต่อรองระหว่างนายทุนและประชาชนทั่วไปให้ลงมา จัดสรรให้คนกรุงเทพฯ ทุกคนได้รับความสำคัญและสวัสดิการที่เหมาะสมเพื่อให้มีความหวังที่จะตั้งตัวได้ โดยเฉพาะคนยุคใหม่ที่ค่าครองชีพสูงเป็นพิเศษ ซึ่งหนึ่งในวิธีการที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจปัจจุบันอย่างได้ผลและรวดเร็วที่สุด วิโรจน์มองว่าการเปิดเมืองให้เกิดการเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวภายใน 90 วันคือคำตอบที่ดีที่สุด การจัดทำระบบเช็กเตียงเพื่อรักษาโควิด-19 และการปูพรมฉีดวัคซีนบูสเตอร์ให้แก่ประชาชน 9 ล้านโดสจะทำให้ประชาชนรู้สึกปลอดภัย สามารถใช้ชีวิตเป็นปกติได้อีกครั้ง และแน่นอนว่าการจัดหาวัคซีนและระยะเวลาการดำเนินงานต้องโปร่งใสและประชาชนสามารถตรวจสอบได้ 

นอกจากนั้นยังมีการทำงานมุ่งเป้าให้เกิดนโยบายท่องเที่ยวในพื้นที่ต่างๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและพลิกฟื้นลมหายใจของย่าน เช่นย่านคลองสานที่มีความรุ่มรวยทางวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม การตั้งใจพัฒนาระบบขนส่งทั่วไป รวมถึงการพัฒนาเรือเมล์ชุมชน ระบบขนส่งที่หลายคนอาจหลงลืมไปแต่เป็นหัวใจหลักในการคมนาคมบางพื้นที่ เป็นความตั้งใจที่จะเชื่อมเส้นทางเศรษฐกิจและขยายการคมนาคมชุมชน 

ส่วนนโยบายที่ส่งผลกระทบต่อคนทำงานและผู้ประกอบการทุกท่านแบบพื้นฐานเลย มีอยู่ 4 ประเด็นหลักๆ ประเด็นแรกคือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับปัจจัย 4 อย่างที่อยู่อาศัย หนึ่งในปัญหาหลักของคน กทม.คือค่าพื้นที่ค่อนข้างสูง ทำให้การจะซื้อบ้านหรือหาพื้นที่ทำธุรกิจใน กทม.ของคนรุ่นใหม่และวัยทำงานเป็นเรื่องยาก จึงก่อให้เกิดนโยบาย ‘บ้านคนเมือง’ ที่จะสร้างที่อาศัยราคาถูกในตัวเมือง 10,000 ยูนิตใน 4 ปี โดยมีสัญญาเช่าต่อหลังอยู่ที่ 30 ปี โดยมองว่าถ้าหากมีงบประมาณในการสร้างบ้านให้นายพลอยู่จนหลังเกษียณได้ ก็น่าจะสามารถทำให้ประชาชนทุกคนมีที่อยู่อาศัยได้เช่นเดียวกัน 

ถ้าพูดถึงพื้นที่รอบๆ บ้าน หรือคุณภาพชีวิตในแต่ละพื้นที่ วิโรจน์ยังมีแนวทางการจัดสรรงบพัฒนาพื้นที่ ที่มีการแบ่งเงินให้ชุมชนโดยวัดจากขนาดพื้นที่ ชุมชนละ 500,000-1,000,000 และเขตละ 50 ล้านบาทเพื่อนำไปพัฒนาหรือแก้ไขปัญหาภายในชุมชน และจัดสรร 200 ล้านบาทไว้เป็นส่วนกลาง

ประเด็นต่อมาที่สำคัญของชาว กทม.ทั้งชั้นในและชั้นนอกคือเรื่องของค่าคมนาคม โดยมีการวางแผนจะลดค่าครองชีพคนเมืองด้วย ‘ตั๋วคนเมือง’ ราคาที่ประชาชนทุกคนสามารถจ่ายได้ โดยเป็นการซื้อตั๋ว 70 บาท แต่มีค่าเงินให้ใช้เดินทางจริง 100 บาท ผลักดันให้คนใช้ขนส่งสาธารณะอย่างรถเมล์ตามพื้นที่ต่างๆ มากยิ่งขึ้น ไม่ใช่เพื่อลดปัญหาการจราจรที่ติดขัดเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจรายทางต่างๆ เพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการชุมชนมากยิ่งขึ้น ส่วนทางด้านของรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่ถูกถกเถียงประเด็นเกี่ยวกับการต่อสัมปทานบ่อยครั้ง วิโรจน์ได้แสดงความชัดเจนจะค้านการต่อสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว เนื่องจากมองว่าภาระค่าใช้จ่ายที่มีต่อประชาชนผู้ใช้บริการจะสูงจนเกินไป ในอนาคตอยากจะผลักดันให้ราคาการใช้บริการอยู่ที่ 15-45 บาทตลอดเส้นทางการใช้งาน

เรื่องของสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการและคนเมืองในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นปัญหา PM2.5 และเรื่องของพื้นที่ภายในกรุงเทพฯ ที่เผชิญหน้ากับปัญหามลพิษอย่าง ‘ขยะ’ วิโรจน์มีนโยบายจะเก็บภาษีขยะโดยมองจากการใช้ต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ที่เคยจ่ายค่าภาษีขยะอยู่ที่หลักหมื่นอาจถูกจัดเก็บภาษีขยะเพิ่มเติมเพื่อหมุนเอาเงินส่วนนี้ไปปรับปรุงระบบการเก็บขยะครัวเรือนของประชาชนทั่วไป โรงงานกำจัดขยะอ่อนนุชที่สร้างผลกระทบกับชุมชนชาวบ้านโดยรอบก็จะต้องถูกแก้ไขเช่นกัน

ประเด็นสุดท้ายของวิโรจน์นั่นก็คือ การยกระดับชีวิตคนเมืองด้วยการแก้ปัญหาเดิมๆ ให้ได้ ซึ่งถ้าพูดถึงปัญหาใหญ่ๆ ของกรุงเทพฯ แล้วย่อมหนีไม่พ้นเรื่องของปัญหาน้ำท่วมและเส้นทางเดินเท้าอย่างฟุตพาทที่ขรุขระ ไม่เอื้อต่อการใช้งาน วิโรจน์ชูนโยบายว่าเขาจะลอกท่อทั่วเมือง ลอกคลองทั่วกรุง ด้วยงบปีละ 2,000 ล้านบาทและสร้างทางเท้าที่ดีเท่ากันทั่วกรุงเทพฯ โดยประชาชนในแต่ละพื้นที่ที่เป็นผู้ใช้งานจริงต้องมีส่วนรวมในการตรวจรับงาน ไม่ใช่เป็นการสร้างเอาแต่ที่คนสร้างพอใจแล้วจบไป

election

หมายเลข 4
สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์
พรรคประชาธิปัตย์

แคนดิเดตผู้ว่าเบอร์ 4 เลือดใหม่ของพรรคประชาธิปัตย์ที่ชูนโยบายหลากหลายสำคัญที่จะเปลี่ยนเมืองกรุงเทพฯ ให้น่าอยู่มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของการเยียวยาประชาชนจากเศรษฐกิจที่ซบเซาจากวิกฤตโควิดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา แนวคิดหลักของสุชัชวีร์คือการเอาชนะโควิดให้ได้เร็วที่สุดเพื่อฟื้นนักท่องเที่ยว ลดภาระค่าใช้จ่ายและภาระของบุคลากรทางการแพทย์ ที่สำคัญคือการลดงบประมาณของ กทม.ที่เกี่ยวข้องกับโควิดเพื่อหมุนเวียนไปดูแลปัญหาด้านอื่น 

นอกจากนั้นยังมีนโยบาย ‘ขายได้ขายดี’ ที่ให้ความสำคัญกับคนตัวเล็กที่ทำการค้าขาย สุชัชวีร์มีแนวทางที่จะส่งเสริมตลาดนัดในกรุงเทพฯ เพื่อเพิ่มพื้นที่ค้าขายและตลาดถาวร ควบคู่ไปกับการส่งเสริมตลาดแต่ละอันให้มีอัตลักษณ์พิเศษส่วนตัวให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ กทม.ก็ต้องถูกส่งเสริมให้เปลี่ยนบทบาทจากเป็นคนที่พ่อค้าแม่ค้าแผงลอยหวาดกลัว ให้เป็นคนที่เป็นมิตรและดีต่อการค้าขายหาบเร่แผงลอยของประชาชนมากยิ่งขึ้น ตั้งใจจะวางแผนให้ กทม.ดูแลแผนงานเรื่องการทำความสะอาดและการหาพื้นที่ค้าขายรองรับในอนาคต เพิ่มท่อน้ำสาธารณะและห้องน้ำสาธารณะในแหล่งชุมชนและแหล่งท่องเที่ยวให้เข้าถึงได้ง่าย 

ตลาดบนดินไปแล้ว ตลาดออนไลน์ก็ถูกพูดถึงในนโยบายของแคนดิเดตผู้ว่าคนนี้เช่นเดียวกัน โดยจะส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล เน้นไปที่การค้าขายออนไลน์ ด้วยบริการอินเทอร์เน็ตเร็วและฟรี ที่ต้องครอบคลุมและใช้งานได้จริง ด้วยความเร็ว 1,000 Mbps ติดตั้ง 150,000 จุดทั่วกรุงเทพฯ

ในเรื่องของการพัฒนาพื้นที่เพื่อขยายเศรษฐกิจ สุชัชวีร์เล็งเห็นถึงโอกาสและศักยภาพของย่านกรุงเทพฯ โซนตะวันออกที่ครอบคลุมพื้นที่ 7 เขต อย่างเขตสะพานสูง เขตบางกะปิ เขตบึงกุ่ม เขตประเวศ เขตลาดกระบัง เขตวังทองหลาง และเขตสวนหลวง ที่มีจำนวนประชากรอาศัยอยู่กว่า 17.49 เปอร์เซ็นต์ของชาวกรุงเทพฯ​ มีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่มีปัญหาเรื่องสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานและการพัฒนาบริการสาธารณะยังไม่ครอบคลุมและไม่เพียงพอต่อความต้องการ จึงวางแผนที่จะแก้ปัญหาเรื่องน้ำท่วมขังเป็นพิเศษด้วยเทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ และปัญหาการคมนาคมที่ปัจจุบันมีขนส่งสาธารณะน้อย มีเพียง Airport Rail Link ที่เปิดให้ใช้งานเท่านั้น เมื่อขยายเมืองให้เหมาะสมแล้ว โอกาสที่ประชาชนจะทำงานได้อย่างสะดวกสบาย เกิดการประกอบธุรกิจใหม่ๆ ก็มากขึ้นไปด้วย 

ในพื้นที่นอกเหนือจากนี้ สุชัชวีร์ก็เล็งเห็นปัญหาที่ต้องจัดการแก้ไขเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนกรุงเทพฯ  โดยมุ่งเป้าไปที่การนำหลักวิศวกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาใช้แก้ไข และการใช้ประโยชน์จากพื้นที่เหลือใช้ของหน่วยงานต่างๆ ในกรุงเทพฯ เพื่อนำมาสร้างเป็นลานกีฬาและลานกิจกรรรมที่สร้างประโยชน์กับคนหลากหลายช่วงวัย และสร้างกองทุนจ้างประชาชนที่ว่างงานเข้ามาดูแลให้เกิดเป็นรายได้หมุนเวียนแก่บุคคลและชุมชนต่างๆ ที่สนใจ 

election

หมายเลข 3
สกลธี ภัททิยกุล
อิสระ

แคนดิเดตผู้ว่าที่เป็นอดีตรองผู้ว่าฯ กทม. ครั้งนี้เปิดตัวมาพร้อมสโลแกน ‘กทม.+ More’ และ ‘สกลธีโมเดล’ เพื่อผลักดันให้เมืองกรุงเทพฯ ดีกว่าที่เป็นอยู่ โดยมั่นใจว่าสามารถอาศัยประสบการณ์จากการทำงานในฐานะรองผู้ว่าฯ กทม.ที่ผ่านมา ช่วยให้สานต่อการพัฒนาและทำงานกับหน่วยงานภายใต้การดูแลของ กทม.ปัจจุบันได้แบบไร้รอยต่อ 

ในการแก้ไขปัญหาเรื่องเศรษฐกิจสกลธีตั้งใจจะแก้ไขปัญหาโครงสร้างเกี่ยวกับคมนาคมเป็นลำดับแรกเพื่อให้เกิดการพัฒนาและเข้าถึงทรัพยากรต่างๆ ของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น ก่อให้เกิดแผนงาน ‘ล้อ ราง เรือ’ ที่เกี่ยวกับการเพิ่มขนส่งสาธารณะสายรองขึ้นมาเพื่อช่วยให้คนทั่วไปเข้าถึงขนส่งสาธารณะหลักอย่างรถไฟฟ้าหรือรถไฟฟ้าใต้ดินได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องพึ่งพาแต่รถยนต์ส่วนตัวเพียงอย่างเดียว ในขณะเดียวกันที่การยกระดับขนส่งหลักของคนกรุงเทพฯ ก็มีการพูดถึงการพัฒนารถไฟฟ้าสายบางนา-สุวรรณภูมิ รวมถึงระบบตั๋วเชื่อมที่ใช้ได้ในทุกเส้นทาง และการนำเทคโนโลยีมาช่วยควบคุมระบบการจราจรให้ปล่อยรถอย่างเป็นระบบ

นอกจากการคมนาคมแล้ว การบริหารจัดการพื้นที่สาธารณะก็เป็นหนึ่งในแนวคิดที่สกลธีให้ความสำคัญ เขาตั้งใจผลักดันให้เกิดพื้นที่ส่วนกลางที่กลายเป็น co-working space พร้อมๆ กับพื้นที่สีเขียวที่ประชาชนสามารถมาสร้างสรรค์กิจกรรมและงานประเภทต่างๆ ได้ เมื่อมีคนมาใช้พื้นที่ก็จะทำให้เกิดการพัฒนาเป็นร้านค้าชุมชน ร้านกาแฟและร้านอาหารรายทาง ซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้กับคนในพื้นที่ไปพร้อมๆ กับการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ดังกล่าวสูงสุด ซึ่งสกลธีตั้งใจจะสร้างพื้นที่ลักษณะนี้ให้ครบทั้ง 50 เขต 

ยกตัวอย่างในพื้นที่ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นอยู่แล้ว อย่างชุมชนตลาดน้อยและนางเลิ้ง สกลธีก็วางแผนที่จะดึงความโดดเด่นของชุมชนมาเป็นจุดขาย อาจสนับสนุนให้เกิดงานโชว์ศิลปะและงานด้านแฟชั่นสร้างเพื่อดึงดูดให้เกิดธุรกิจและเพิ่มประโยชน์เศรษฐกิจให้แก่ชุมชน

และเมื่อเจาะลงลึกยิ่งไปกว่าปัญหาเรื่องโครงสร้าง 2 ประเด็นดังกล่าว สกลธีก็ตั้งใจที่จะส่งเสริมและพัฒนากรุงเทพฯ ด้วยการแปลงสินทรัพย์ที่ไม่พัฒนาของ กทม. ให้กลายเป็นต้นทุนที่สร้างประโยชน์แก่ประชาชน ยกตัวอย่างเช่นการเปิดให้เอกชนเช่าพื้นที่ของ กทม. แล้วหมุนเวียนรายได้นำไปแก้ปัญหาด้านอื่นของเมือง ก่อให้เกิดงานของแรงงาน มีกิจกรรมหรือร้านค้าต่างๆ เพื่อสร้างความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจ อีกทั้งยังพร้อมจะร่วมมือกับภาคเอกชนในการสร้าง Build Operate Transfer หรือพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ส่งเสริมการจัดกิจกรรมท่องเที่ยวแก่คนในประเทศและต่างประเทศ 

สกลธีมองว่าอาหารแบบสตรีทฟู้ดและตลาดนัดเป็นจุดแข็งที่น่าสนใจของกรุงเทพฯ เพียงแต่ต้องมุ่งจัดการระบบการค้าขายอาหารแผงลอยไม่ให้กระทบต่อคนเดินทาง และหาทางฟื้นฟูให้ตลาดนัดในย่านชุมชนต่างๆ กลับมาคึกคักอีกครั้ง พร้อมกับมีการเตรียมแผนที่ประสิทธิภาพสูง แต่ใช้งบประมาณต่ำ อย่าง ‘รถบัสบริการ ปลายทางเกาะรัตนโกสินทร์’ เพื่อประชาสัมพันธ์ตลาดและย่านชุมชนที่ขึ้นชื่อเรื่องอาหารให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศ

หมายเลข 6
อัศวิน ขวัญเมือง
อิสระ

แคนดิเดตคุ้นหน้าคุ้นตาเบอร์ 6 อดีตผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ ที่ลาออกจากตำแหน่งที่ทำงานมานานกว่า 5 ปี 5 เดือน 5 วันเพื่อมาลงสมัครเลือกตั้ง อาสาเป็นผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ อีกหนึ่งสมัย โดยใช้สโลแกน ‘กรุงเทพฯ ต้องไปต่อ’ และแนวคิดทำมากกว่าพูด หวังจะได้รับความวางใจจากคนเมืองกรุงให้สานต่อโครงการและกิจกรรมต่างๆ ที่ได้ทำเอาไว้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเพื่อให้กรุงเทพฯ กลายเป็นสังคมปลอดภัย สงบสุข และมีคุณภาพชีวิตที่ดีสำหรับทุกคน ในการหาเสียงอัศวินได้ชู 8 นโยบายหลักในการทำงาน หนึ่งในนั้นคือการสร้างพื้นที่แห่งการเรียนรู้ นำไปสู่การพัฒนาชุมชนและเศรษฐกิจสร้างสรรค์

การจัดระเบียบพื้นที่ภายในกรุงเทพฯ ให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและเรียบร้อยสวยงามเป็นหนึ่งในจุดขายสำคัญของอัศวินที่เขามั่นใจอยากสานต่อ อย่างการทำคลองให้น้ำมีคุณภาพที่ดี ภาพลักษณ์สะอาดเรียบร้อยและการจัดหาที่อยู่อาศัยสำหรับชุมชนแออัดและปรับปรุงพื้นที่เสื่อมโทรมต่างๆ โดยเชื่อว่าหากดึงศักยภาพของพื้นที่อันหลากหลายและปรับปรุงภูมิทัศน์ต่างๆ โดยรอบกรุงเทพฯ ให้คนสามารถเข้าถึงและทำกิจกรรมได้ จะทำให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนและการท่องเที่ยวในพื้นที่มากยิ่งขึ้น

ในแง่ของการกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนและผู้ประกอบการรายย่อยทั่วกรุงเทพฯ อัศวินได้มีการวางแผนจะผลักดันการค้าขาย ด้วยการสนับสนุนให้มีถนนคนเดินทุกเขตและตั้ง 100 ตลาดทั่วกรุงเทพฯ ที่ไม่หวังผลกำไรค่าเช่าที่จากพ่อค้าแม่ค้า ส่งเสริมให้เกิดการจ้างแรงงานในชุมชนและกระจายรายได้แก่ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากภาวะเศรษฐกิจซบเซาทั่วถึง และตั้งเป้าจะผลักดันให้เกิดเทศกาลระดับประเทศให้เกิดที่กรุงเทพฯ ทุก 3 เดือนเพื่อให้เกิดกระแส ดึงนักท่องเที่ยว ทำให้ธุรกิจท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบอย่างมากจากพิษโควิดกลับมาคึกคักได้อีกครั้ง 

ขณะเดียวกันโครงสร้างพื้นฐานที่จะอำนวยการสร้างเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตที่ดีของคนกรุงเทพฯ อัศวินก็ได้ยึดมั่นที่จะทำงานในเชิงนโยบายให้ดียิ่งขึ้น โดยพุ่งเป้าไปที่เรื่องการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและการจราจรที่ติดขัด ด้วยการทำถนน ทางลอด และจุดตัดต่างๆ เพิ่มเติม สานต่อเรื่องการสัญจรเรือไฟฟ้าพลังงานสะอาดที่คลองผดุงกรุงเกษมและคลองแสนแสบ ผลักดันให้มีรถเมล์พลังงานสะอาดรับรองคนเพิ่มขึ้น 18 สายในอนาคต


อย่าลืมไปศึกษาข้อมูลและนโยบายของผู้ว่าแต่ละคนในมิติอื่นๆ ก่อนไปเลือกตั้งกันในวันที่ 22 พฤษภาคมนี้ 

*การเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพฯ ก็เหมือนการลงทุน ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง โปรดศึกษาและใช้วิจารณญาณส่วนบุคคล*

แหล่งอ้างอิง

KINTO Thailand กับ 10 สิ่งที่เป็นที่สุดจาก KINTO

KINTO Thailand

KINTO Thailand add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

KINTO Thailand

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

รักแท้…(วางแผนทางการเงิน) ยังไง

มนุษย์เราเป็นสัตว์สังคมนะคะ ต่อให้เรามีเพื่อนมากมายแค่ไหนก็ไม่เท่ากับการมีครอบครัวของตัวเอง โดยเฉพาะการมีพาร์ตเนอร์ที่เป็นทั้งคู่ชีวิตและคู่ใจ 

หากติดตามบทความในคอลัมน์ Wealth Done มาบ้าง คงจะจำกันได้นะคะว่า การวางแผนทางการเงินเท่ากับการวางแผนชีวิต ดังนั้นการวางแผนหา ‘คู่ชีวิต’ ก็ยิ่งต้องตระเตรียมแผนการ 

หลายคนมีคำถามว่า เราและเขาคนนั้นจะหากันจนเจอได้ยังไง บางคนเจอกันแล้วโชคดีมาก ตรงใจทุกอย่าง ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรเพื่อให้เขามารัก บางคนคบกันแล้วต้องเปลี่ยนตัวเองเยอะมาก ซึ่งคนเราไม่ได้มาจากครอบครัวเดียวกัน ไม่ได้ถูกเลี้ยงดูแบบเดียวกัน จังหวะชีวิตไม่เหมือนกัน ยังไงไม่มีทางที่มันจะเข้ากันได้ทุกอย่างหรอกค่ะ

คนที่รู้สึกว่าตัวเองไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรอาจเป็นเพราะอีกฝ่ายเขาน่ารักมาก น่ารักจนไม่บอกว่าเขาอยากให้เราเปลี่ยนอะไรด้วยความที่เขารักเรามากเหมือนกัน ในขณะเดียวกัน คนที่ต้องเปลี่ยน ก็เป็นเพราะเรารักเขามากจนเห็นอะไรที่เขาชอบ เราก็อยากจะเปลี่ยนเพื่อเขา

Wealth Done ตอนนี้จะมาชวนคุยเรื่องการวางแผนหาคู่ชีวิตที่จะเติบโตไปด้วยกัน

ในการประคับประคองให้เขาหรือเธอคนนั้นอยู่เป็นคู่ชีวิตกันนานๆ อันดับแรกสุด คนทั้งสองคนควรมีเวลาที่ได้ศึกษากันจริงจัง สมัยก่อน มีคนบอกให้ไปพิสูจน์รักแท้ด้วยการเดินขึ้นภูกระดึง ต้องไปลำบากด้วยกัน เราจะได้เห็นน้ำใจ เห็นการพึ่งพาอาศัยกัน ดูแลกัน ถ้าใครเคยไปจะรู้ว่าการขึ้นภูกระดึงต้องรับผิดชอบแบกสมบัติข้าวของตัวเองด้วย มันเหนื่อยยาก มันลำบากมากนะคะ จะโกรธกัน รักกัน เห็นใจกัน วัดผลได้จากทริปนี้เลย

ในวันนี้ เราไม่ต้องไปขึ้นภูกระดึงก็ได้ค่ะ แต่ให้ลองทำอะไรสักอย่างร่วมกัน เริ่มจากการเก็บสตางค์ร่วมกัน จะได้รู้กันไปเลยว่าต่างฝ่ายต่างเป็นคนที่ใช่ของกันและกันหรือเปล่า ซึ่งมันยากมากๆ เหมือนกัน เพราะมักจะมีคนหนึ่งที่หาได้มากกว่าอีกคนเสมอ และไม่ว่าคนที่หาได้มากกว่าจะยินดีหรือไม่ นี่คือบทพิสูจน์แรกเลยว่าพวกคุณจะดูแลกันและกัน สนับสนุนและให้กำลังใจกันและกันอย่างไร โดยเฉพาะในช่วงที่คนหนึ่งประสบความสำเร็จมากกว่าอีกคนหนึ่ง

ในภาพยนตร์เรื่อง La La Land (2016) เล่าเรื่องราวความรักของคนคู่หนึ่ง ซึ่งทั้งพระเอกและนางเอกต่างมีความฝันของตัวเองที่ต้องฝ่าฟัน แม้ว่าจะรักกันแต่พวกเขาก็ตัดสินใจแยกทาง ไม่ได้อยู่ด้วยกันในตอนจบ ซึ่งถ้าย้อนดูเส้นทางชีวิตเราจะเห็นว่า ในวันที่พระเอกกำลังรุ่งโรจน์ถึงที่สุดนั้น นางเอกกำลังเผชิญชะตาชีวิตที่ตกอับที่สุด และเมื่อถึงวันที่กราฟชีวิตพระเอกตกลงมา นางเอกก็ได้เลือกที่จะไปรุ่งโรจน์ในทางเดินของตัวเองหลังจากที่อยู่ซัพพอร์ตความฝันกันและกันมาจนสุดทาง เป็นหนึ่งในตัวอย่างของเรื่องราวความรักที่ต่อให้รักกันมากบางทีอาจจะไม่ใช่คู่ชีวิตกันก็ได้

แล้วถ้าเราอยากให้คนคนนั้น เป็นคู่ชีวิต บางทีมันต้องวางแผนนะ เพราะไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ คนเราจะเจอเรื่องที่ถูกใจกันได้หมดใช่มั้ยคะ

ข้อแรก จริงจังกับการใช้เวลาหาคนที่ถูกใจ บางคนมัวแต่ทำงาน หรือใช้เวลากับเพื่อนจนลืมช่วงเวลาที่สำคัญช่วงนี้ไป และมันไม่ง่ายเลยนะที่จะเจอคนรู้ใจถ้ายังอยู่ในสิ่งแวดล้อมเดิมๆ ที่ทำงานเดิม กิจกรรมที่ทำเดิม งานอดิเรกเดิม แล้วจะไปเจอได้ยังไง ถ้างั้นลองสมัครเรียนคอร์สสั้นๆ ไปสัมมนา ไปเล่นกีฬาที่แตกต่าง ไปอยู่ในชมรมเพื่อนของเพื่อนมั้ย นี่แหละเป็นช่วงที่เราจะได้พบเจอ ไม่ใช่แค่การตั้งใจหาคนรักนะ แต่คือไปเจอคนที่มีไลฟ์สไตล์ที่น่าสนใจ 

และเมื่อเจอคนที่น่าสนใจ ข้อสองคือ เอาตัวไปใกล้ๆ เขา ทำกิจกรรมร่วมกันเพื่อจะได้เห็นนิสัยใจคอ แน่นอนว่าในช่วงแรกๆ ของการเจอกันนั้นทุกคนก็น่ารักกันหมด วิธีที่เราชอบใช้ก็คือ สังเกตว่าเขาเป็นคนที่รักครอบครัวแค่ไหน เพราะเราให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากถ้าต่างฝ่ายต่างดูแลครอบครัว เมื่อถึงเวลาที่ต้องสร้างครอบครัวเขามักจะทำได้ดี แต่ก็ไม่ได้แปลว่าคนที่มีครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์จะมีครอบครัวที่สมบูรณ์ไม่ได้นะคะ เพราะหลายครั้งเราก็พบว่าเขาต่างได้รับบทเรียนชีวิตมากพอที่จะรักษาหรือดูแลใครให้ดีได้เช่นกัน

เมื่อเจอคนที่ใช่ ขยับไปทำตัวใกล้ชิด และศึกษานิสัยใจคอ ถ้าพบว่านี่คือคนที่ใช่แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือบททดสอบที่เราพูดในตอนต้น นั่นคือ งั้นเรามาเก็บสตางค์ร่วมกัน

เริ่มจากเรื่องเล็กๆ ก่อนก็ได้ เช่น ไปทริปร่วมกัน แล้วดูการใช้จ่ายเงิน ดูการเก็บหอมรอบริบ ก่อนไปถึงเรื่องใหญ่มากๆ เช่น ซื้อบ้านด้วยกัน เนื่องจากบางทีอาจจะยังไม่ได้ถึงขั้นแต่ง แต่ก็ต้องเตรียมพร้อมในการซื้อบ้านหรือเพื่อการลงทุน หรือดูวิธีการที่ใช้ในแต่ละแผนการ แต่ละคนรับผิดชอบอะไร ซื้อของยังไง จริงๆ บ้านก็เป็นหลักประกันเหมือนกัน เพราะว่าถ้าเมื่อลงเอยแต่งงานกันแล้วเรามีบ้าน อย่างน้อยภาระที่ใหญ่ที่สุดก็จะหลุดไปแล้ว ซึ่งจะไปทำเรื่องอื่นๆ ต่อได้ง่ายขึ้นมาก

คำแนะนำเรื่องการซื้อบ้านด้วยกัน สูตรคำนวณวงเงินในการซื้อบ้านที่เราใช้ประจำคือ เงินเดือนของทั้งสองคนบวกกันแล้วคูณ 100 เช่น ถ้าคนหนึ่งเงินเดือน 50,000 อีกคนเงินเดือน 60,000 รวมกันทั้งหมด 110,000 บาท คูณ 100 เท่ากับ 11,000,000 เชื่อเถอะค่ะว่า คุณมีบ้านราคา 11 ล้านบาทได้จริงๆ อันนี้เป็นสูตรของเราเลย จากตรงนี้ก็ลองมาดูว่าแล้วเราเลือกบ้านแบบไหน ซึ่งระหว่างที่คิดเราก็จะเริ่มรู้จักนิสัยใจคอ บางคนอยากได้บ้านที่มีบริเวณ มีพื้นที่ให้ทำสวน อีกคนบอกว่าอยากได้คอนโดในเมือง เราก็ต้องมาจูนกันว่าบ้านที่อยู่เป็นยังไง ลักษณะแบบไหน

เมื่อคิดและทำอะไรร่วมกันจนเกิดความผูกพัน ที่นี้เราจะดูว่าต่างฝ่ายต่างมีความมุ่งมั่นแค่ไหน มีเงื่อนไขอะไร มีความรับผิดชอบมั้ย

กลับมาที่เรื่องของการเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่ออีกฝ่าย เราเชื่อว่าทุกคนรู้ว่าอะไรดีกับตัวเรา เช่น เราควรจะกินข้าวเท่านี้ ใช้เวลาเท่านี้ สิ่งที่สำคัญคือ การที่อีกฝ่ายพยายามเปลี่ยนแปลงเรานั้น เป็นการเปลี่ยนเพื่อให้เราดีขึ้นหรือเปล่า ถ้าเป็นการเปลี่ยนเพื่อสิ่งที่ดีขึ้น เราจะต่อต้านทำไม เขาอาจจะเป็นคนที่ใช่ที่สุดสำหรับเรา ถูกสร้างสรรค์เนรมิตให้มาเจอกันตรงหน้า ในขณะเดียวกัน คนที่ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไร ก็ไม่จำเป็นว่าคุณต้องเป็นแบบนี้ตลอดไป คุณอาจจะลองสังเกตดูว่าอีกฝ่ายเขาชอบอะไรและแบบไหน เราพอจะทำอะไรที่เขาชอบได้มั้ย คนรักกัน อยู่ด้วยกัน อย่างน้อยก็ต้องรู้ว่าอีกฝ่ายชอบกินอะไร ชอบไปเที่ยวที่ไหน ชอบอ่านหนังสือแบบไหน ชอบกินกาแฟแบบไหน ถ้าเรื่องแค่นี้ยังตอบไม่ได้เราว่านี่ไม่ใช่คนที่รักกัน ถ้าเป็นรัก ก็คงเป็นคนรักที่เอาเปรียบมาก คือไม่พร้อมที่จะดูแลอีกฝ่ายเลย

และการดูแลเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นี่จับใจมากกว่าเรื่องใหญ่ๆ บางเรื่องอีก เช่น บางทีเขาไม่ต้องการแหวนเพชรเยอะๆ แค่จำได้ว่าวันนี้วันเกิด ชวนไปกินข้าว มื้อนั้นอาจจะเป็นหมูกระทะแต่แค่สองคนก็มีความสุขได้ นี่เป็น soft skill ซึ่งไม่มีสอนในตำราความสัมพันธ์เล่มไหน มีแต่ความรักของคนสองคนทำให้เกิดเรื่องนี้ได้ เราขอแนะนำว่า เมื่อคุณทั้งคู่เก็บสตางค์ร่วมกัน ก็ลองตั้งเป้าหมายและถ้ามันดีเพียงพอ ระหว่างนั้นไม่ต้องถึงเป้าหมายก็ได้ 

ส่วนเรื่องการใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน ซึ่งทุกวันนี้เป็นไปได้ทุกรูปแบบ จะเพศเดียวกันหรือเพศไหนแค่มีความรู้สึกอยากใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน เพื่อไปเที่ยวด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน จากนั้นก็เริ่มมีการดูแลเงินร่วมกัน คือใช้เงินร่วมกัน ส่วนตัวแล้วไม่คิดว่าต้องเอาเงินทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์มารวมกัน ทุกคนควรจะมีสเปซของตัวเองเพื่อซื้อของที่อยากได้จะได้ไม่ต้องพึ่งพากันมากเกินไป

แต่ถ้าให้แนะนำ เราอยากให้ทั้งสองคนยังคงทำงานทั้งคู่ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหน หลายคนจะคิดว่าควรมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดลาออกมาเพื่อดูแลลูกหรืออื่นๆ ในอนาคต แต่เราคิดว่าทุกวันนี้มีเทคโนโลยีมากมายที่มาช่วยให้จัดการบริหารชีวิตได้ง่ายมากขึ้น เราเลยอยากให้ทำงานทั้งคู่แล้วแบ่งเงินมาไว้ในกองกลางเพื่อใช้ร่วมกัน ไม่ควรมีใครต้องดูแลคนอีกคนจนเกินไป แล้วมันจะเป็นภาระ ซึ่งเขาจะเหนื่อยมาก แล้วเมื่ออีกคนทำตัวเป็นภาระเขาก็จะขาดอิสระในความคิดและการตัดสินใจซึ่งตามมาด้วยความเกรงใจ

ข้อดีใหญ่ๆ ของการใช้ชีวิตคู่ร่วมกันช่วยลดค่าใช้จ่ายหลายเรื่องมากๆ เช่น แทนที่จะต้องเช่าบ้านสองหลังก็เช่าบ้านหลังเดียว แทนที่จะต้องไปรับไปส่งกันก็ไม่ต้องแล้ว แทนที่จะกินข้าวแพงๆ ก็ทำกับข้าวกินเอง แถมวันเสาร์-อาทิตย์ก็มีสเปซ ทำให้ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่น่าเก็บสตางค์ร่วมกัน 

หลายคนจะเข้าใจผิดคิดว่าแต่งงานเป็นช่วงใช้เงิน จริงๆ เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการเก็บเงิน โดยเฉพาะ 3-4 ปีแรกของการแต่งงานเพื่อเตรียมเลี้ยงดูตัวเล็ก ซึ่งการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดคือบ้าน แล้วหลายคนวันนี้อาจจะคิดว่าไม่จำเป็นต้องมีบ้านของตัวเองก็ได้ เขาเลือกที่จะไปเช่าคอนโดหรือบ้านเช่าก่อน นั่นก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ หรือบางคู่ยังอยู่บ้านพ่อแม่ซึ่งสำหรับสังคมไทยไม่ใช่เป็นเรื่องที่น่ารังเกียจ การมีห้องในบ้านพ่อแม่ฝ่ายหญิง และห้องในบ้านพ่อแม่ฝ่ายชาย ขณะเดียวกันก็อาจจะมีคอนโดเล็กๆ กลางเมือง เราว่าเป็นเรื่องที่น่าสนุกมากๆ อาทิตย์นี้ไปอยู่บ้านนั้น อาทิตย์นู้นมาอยู่บ้านนี้ แล้วใช้ชีวิตให้มีความสุข อยู่กับพ่อแม่วันเสาร์-อาทิตย์ก็ไม่ต้องเสียค่ากินอยู่อะไร ถือเป็นแผนการที่ดีแผนหนึ่ง

ถึงกระนั้นการเก็บเงินร่วมกันก็มีข้อควรระวัง นั่นคือ เราต้องเก็บเงินส่วนของเราไว้ด้วย และเราก็ควรบริหารจัดการเงินของเรา มีหลายคนเลยที่ซื้อของแล้วซุกเก็บไว้ประมาณ 2-3 อาทิตย์ แล้วค่อยเอาขึ้นมาเพื่อบอกว่าของเก่า ไม่ได้ซื้อใหม่อะไรประมาณนี้นะคะ คำแนะนำที่ตั้งใจมอบให้คือ จงมีความสุขในสเปซนั้นค่ะ อย่างผู้ชายที่ชอบโหลดเกม เล่นเกมใหม่อยู่เรื่อย ก็ทำได้หากเป็นเงินในส่วนที่เก็บไว้เพื่อทำเรื่องส่วนตัว

จะเห็นว่าการเก็บเงินด้วยกันเป็นบททดสอบที่ดีมากๆ ทั้งในเรื่องการตั้งเป้าหมาย การวางแผน เรียนรู้ลักษณะนิสัยกันจริงจัง ถ้ามันจะรอดไม่รอดก็อยู่กันตรงนี้แหละ บางทีทุกเรื่องโอเคหมด แต่เรื่องเงินไม่โอเค การใช้ชีวิตกันสองคนถ้าเรื่องเงินไม่โอเค ทั้งสองคนจะเหนื่อยมากๆ แล้วมันจะเป็นภาระแก่กันมากๆ เพราะฉะนั้น สำหรับมิชชั่นนี้ เราคิดว่าใช้เวลา 1-2 ปี ก็คงไม่มากหรือน้อยเกินไปที่จะรู้จักกัน

สังเกตมั้ยว่าทำไมเป้าหมายของการเก็บเงินร่วมกันถึงเป็นการซื้อบ้าน เพราะว่ายังไงบ้านก็เป็นทรัพย์สิน ถึงเวลาถ้าความสัมพันธ์นี้ไม่โอเค บ้านก็สามารถเปลี่ยนกลับไปเป็นเงินได้ 

หลายคนจะถามว่าพอเป็นคู่ชีวิตแล้วจะจดทะเบียนหรือไม่จดทะเบียนดีกว่า ซึ่งหากเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทั้งสองคนเห็นตรงกันว่าสำคัญ ทั้งคู่ก็ต้องคุยกัน จะจดหรือไม่จดทะเบียนก็ได้ เพราะในความเป็นจริง ชีวิตที่ไม่จดทะเบียนสมรสก็จะเป็นชีวิตที่อิสระมากๆ การมาอยู่ร่วมกันแล้วใช้ชีวิตร่วมกันมันสำคัญมากกว่ากระดาษใบเดียวด้วยซ้ำไป 

เพราะฉะนั้นเลือกในสิ่งที่เราชอบและมีความสุข สิ่งสำคัญที่อยากฝากทุกคนคือ ถ้าเจอคนที่ใช่แล้วห้ามปล่อยให้หลุดมือ และอะไรที่หนักนิดเบาหน่อย สำหรับคนที่เรารักยอมได้ก็ยอม อภัยได้ก็อภัย อยู่กันแบบเพื่อน อยู่กันแบบคู่ชีวิต อยู่กันแบบพี่สาวน้องสาว พี่ชายน้องชาย เชื่อเถอะค่ะว่า คุณจะเป็นคู่ชีวิตที่หลายคนอิจฉาเลยทีเดียว


Wealth Done คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital แล้วรออ่านคำตอบพร้อมกันทุกวันพฤหัสบดี เว้นวันพฤหัสบดี ที่ capitalread.co

จากรถเข็นสู่ตู้กดไอศครีม คุยกับ รตา ชัยผาติกุล ทายาท ‘ไผ่ทองไอสครีม’ ถึงการปรับตัวให้ไม่ตกยุค

“เราอยากให้ทุกสำนักงานในประเทศไทยมีตู้กดไผ่ทองไอสครีมตั้งอยู่ ฝันใหญ่ไปไหม”

หากขนาดของความฝันมีหน่วยวัด เราคงมีคำตอบที่แน่ชัดให้กับ รตา ชัยผาติกุล หญิงแกร่งทายาทรุ่นที่ 2 แห่งแบรนด์ ‘ไผ่ทองไอสครีม’ ที่ควบทั้งตำแหน่งการตลาด การสื่อสารองค์กร แถมยังดูแลเรื่องนวัตกรรมใหม่ๆ ให้ไผ่ทองไอสครีมด้วย

กิจการไอศครีมของไผ่ทองมีจุดเริ่มต้นจากคุณพ่อ กิมเช็ง แซ่ซี และคุณแม่ น้ายเฮียง แซ่ซี (แซ่เดิม แซ่เซียว) ของคุณรตา ที่เริ่มคิดค้นสูตรไอศครีมโดยใช้เบสจากกะทิ เพราะเมื่อ 71 ปีที่แล้ว นมวัวยังนับเป็นของหายากและไม่ได้มีราคาจับต้องได้ง่ายในประเทศไทย

กะทิถูกต้ม ปรุง ทิ้ง มากถึง 50-60 หม้อ จนสุดท้ายถูกพัฒนาสูตรมาเป็น ‘ไผ่ทอง’ ในวันนี้ ไอศครีมที่เรามักคุ้นตากับภาพคนขายชาย-หญิงเข็นรถเข็นสั่นกระดิ่งสีทองผ่านย่านที่อยู่อาศัยและชุมชน 

ช่วงที่คิดค้นจนได้สูตรที่ลงตัวและถูกใจ คุณพ่อและคุณแม่ของคุณรตาใช้อุปกรณ์ในครัวเท่าที่มีเป็นเครื่องมือในการทำไอศครีม และหนึ่งในนั้นก็คือ ชามตราไก่ ที่ถูกใช้เป็นมาตรในการชั่ง ตวง วัด ส่วนผสมต่างๆ ทั้งกะทิ เกลือ รวมถึงส่วนผสมอื่นๆ

“ตอนนั้นคุณแม่เราเป็นคนลงมือทำ ส่วนคุณพ่อเป็นคนจด เวลาจดไม่ได้จดเป็นตัวหนังสือนะ เพราะเขาไม่รู้หนังสือ เขาจดเป็นภาษาที่ตัวเองอ่านออกและเข้าใจได้คนเดียว ส่วนหน่วยชั่งเนี่ย สมัยก่อนไม่ได้มีที่ตวงที่วัดแบบทุกวันนี้นะคะ คุณพ่อคุณแม่เราเขาใช้ชามตราไก่นี่แหละ ในการวัดเอาว่าใช้อะไรไปเท่าไหร่แล้ว”

รตาเล่าถึงความหลังครั้งที่ไผ่ทองเริ่มก่อตั้งเมื่อ 71 ปีที่แล้ว แถมยังเปรยด้วยว่าสมัยที่เธอยังเป็นเด็ก เธอก็ก้าวเข้าสู่กิจการไอศครีมของที่บ้านตั้งแต่อายุ 3-4 ขวบ

“เราหั่นลอดช่องตั้งแต่อนุบาล 1 เลยนะ ลอดช่องที่เอาไว้ใส่ในไอศครีมกะทิน่ะค่ะ หั่นเสร็จก็ไปโรงเรียน วันหยุดก็ติดรถขายไอศครีมไปขายไอศครีมกับเขาด้วย ที่บ้านเราสอนเราให้ทำงานมาตั้งแต่เด็กเลย จนถึงทุกวันนี้ ไผ่ทองเราก็เป็นธุรกิจครอบครัวนะ แต่เรามีทีมงานที่ดีที่แข็งแรงคอยสนับสนุนเราอยู่”

นอกจากถูกปลูกฝังให้อยู่กับไอศครีมตั้งแต่เด็ก ปรัชญาการใช้ชีวิตแบบทำงาน ทำงาน ทำงาน ของรตาที่ได้รับการถ่ายทอดผ่านทางดีเอ็นเอ และผ่านทางการ ‘ทำให้เห็น’ ของคุณพ่อคุณแม่ และดูเหมือนว่าปัจจุบันก็กำลังถูกส่งทอดอีกต่อหนึ่งให้กับทายาทของไผ่ทองในรุ่น 3 และ 4

แต่ดูเหมือนกับว่าแค่ทำงาน ทำงาน ทำงาน อาจไม่เพียงพอ แต่แบรนด์ต้องมีการปรับตัวเพื่อให้ไผ่ทองไอสครีม ยังคงทันยุคทันสมัยอยู่ตลอด รตาจึงเล่าให้ฟังถึงการเปลี่ยนผ่านจากรุ่นสู่รุ่น และการปรับตัวของ ‘ไผ่ทอง’ ให้ทันสมัยและเข้ากับบริบทของสังคมอีกด้วย

โดยกลยุทธ์ที่ใช้ในการปรับตัวของไผ่ทอง เริ่มต้นจากสองกระบวนการสำคัญ

การสังเกต และทดลอง

คนออกนอกบ้านน้อยลง = คนกินไผ่ทองน้อยลง

พฤติกรรมของคนที่เปลี่ยนไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในยุคนี้ ยุคที่มีแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรีหลากหลายแบรนด์ให้เลือกสรร คือการกดสั่งอาหารแล้วรอกินอยู่ที่บ้านที่ทำงานมากขึ้น

เมื่อคนเริ่มออกมากินข้าวนอกบ้านและที่ทำงานน้อยลง นั่นหมายความว่า จากเดิมที่ไผ่ทองไอสครีมเน้นขายผ่านพนักงานขายทางรถเข็น ซึ่งจะไปจอดหรือไปวนเวียนอยู่ในย่านชุมชนที่มีคนเดินผ่านไปมา แต่เมื่อคนออกจากบ้านน้อยลง จึงเท่ากับว่า ลูกค้าที่จะออกมาซื้อไอศครีมก็น้อยลงตามไปด้วย

“จริงๆ เราเริ่มสังเกตเห็นแล้วนะคะว่ายอดขายในเมืองเราลดลง คือต่างจังหวัดขายดีนะคะ แต่ยอดในเมืองลดลง คนไม่ออกมากินข้าวตั้งแต่ก่อนช่วงโควิดแล้ว สถิติยอดขายในเมืองชั้นในลดลงอย่างมีนัยสำคัญเลย เราเลยเริ่มคิดว่าจะทำยังไงดี ถึงจะแก้ pain point นี้ได้”

รตาและทีมงานจึงผุดไอเดียที่ว่า เมื่อคนไม่ออกมาหาไอศครีม เธอจึงต้องส่งไอศครีมออกไปหาคนเอง

ไผ่ทองเดลิเวอรี และไผ่ทองสเตชั่น 

เมื่อเริ่มรับรู้ถึงยอดขายที่ดิ่งลง รตาและทีมงานก็เริ่มคิดหาหนทางเดลิเวอรี โดยทดลองส่งไอศครีมจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง อีกทั้งยังลองคำนวณต้นทุนที่จะต้องบวกเพิ่มขึ้นทั้งน้ำแข็งแห้ง หรือค่าขนส่ง ว่าจะทำออกมาในรูปแบบไหน ราคาเท่าไหร่ แพ็กเกจจิ้งยังไงให้ออกมาลงตัวที่สุด และกระจายเข้าถึงคนได้มากที่สุด

คงจะเหมือนกับหลายๆ ครั้งที่เราไม่รู้เลยว่า เราพร้อมจะโบกมือลาสนามซ้อมแล้วกระโดดลงสู่สนามจริงได้เมื่อไหร่ ถ้าไม่มีสถานการณ์บีบบังคับที่จำเป็นเกิดขึ้น ซึ่งสถานการณ์จำเป็นที่ทำให้ไผ่ทองไอสครีมต้องคลอดการเดลิเวอรีก็คือโควิด-19

สำหรับการส่งไอศครีมจากไผ่ทองถึงลูกค้าเธอใช้เวลาทดลอง ลองผิดลองถูก ปรับปรุงแก้ไขจนกระทั่งสถานการณ์โควิด-19 มาบังคับให้รตาและทีมงานต้องเริ่มการรับออร์เดอร์แบบออนไลน์ เพราะคนไม่ออกไปทำงานหรือเรียนนอกบ้านเลย จากแรกเริ่มที่มีแอดมินคอยรับออร์เดอร์เพียงแค่ 2 คน จนขยับขยายกลายเป็น 25 คน เพราะออร์เดอร์ไอศครีมเข้ามาแบบถล่มทลาย

“ขายดีแบบถล่มทลายเลย จริงๆ นะ จากตอนแรกที่โควิดมา เราคิดว่าอาจจะต้องลดวันทำงานพนักงาน ปรากฏว่าเพิ่มเวลาทำงาน เป็น (เวลา) โอทีทุกวันไปซะอย่างนั้นค่ะ (หัวเราะ)”

แต่การรับออร์เดอร์โดยตรงและจัดส่งถึงบ้านลูกค้าภายใน 3 วันอาจจะยังเร็วทันใจไม่เพียงพอ รตาและทีมงานจึงผุดไอเดียใหม่ให้ไอศครีมของไผ่ทองเข้าถึงลูกค้าได้เร็วยิ่งขึ้น

เดือนเมษายน 2020 ไผ่ทองไอสครีม จึงเริ่มคลอดแบรนด์ ‘ไผ่ทองสเตชั่น’ ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่าเป็นหน้าร้านกระจายสินค้าก็ได้ โดยไผ่ทองสเตชั่นจะอยู่ตามปั๊มน้ำมันทั่วประเทศไทย เหล่าบรรดาไรเดอร์ของแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรีต่างๆ สามารถรับไอศครีมได้จากไผ่ทองสเตชั่นแล้วนำไปส่งให้กับลูกค้าได้เลย

ผลตอบรับของไผ่ทองสเตชั่นนั้นดีตามคาด ด้วยนโยบายการรักษาระยะห่างทางสังคม และพฤติกรรมการ work from home หรือเรียนออนไลน์ของนักเรียน นักศึกษา ทำให้คนไม่ออกนอกบ้าน ดังนั้นการมาของ ไผ่ทองเดลิเวอรี และ ไผ่ทองสเตชั่น จึงมาตอบโจทย์ได้ทันเวลาอย่างพอดิบพอดี

“จริงๆ เราเริ่มซ้อมมาสักพักแล้ว แต่พอโควิดมาเราต้องพร้อมเลย (หัวเราะ) พร้อมในที่นี้คือพร้อมส่ง พร้อมเปิด ทั้งการส่งเองจากไผ่ทองส่งทางไปรษณีย์ถึงบ้านลูกค้าและไผ่ทองสเตชั่น

“ไผ่ทองสเตชั่นเรามุ่งเน้นที่จะเปิดตามปั๊มน้ำมัน ปั๊มแก๊ส ถ้าอยากจะขายไผ่ทองกับเรา มาเป็นไผ่ทองสเตชั่นกับเราได้เลย ปัจจุบันไผ่ทองสเตชั่นเรามีเกือบ 50 สาขาแล้วนะคะ”

ตู้กด ‘ไผ่ทองไอสครีม’ กับการยิงนัดเดียวได้นก 2 ตัว

หากคิดว่าการปรับตัวตามพฤติกรรมการออกนอกบ้านน้อยลงของลูกค้าจนเป็นที่มาของ ‘ไผ่ทองสเตชั่น’ ว่าทันสมัยแล้ว เมื่อต้นปีของปี 2022 ไผ่ทองได้เปิดช่องทางการขายแบบใหม่

นั่นคือ ตู้กดไอศครีม

“จริงๆ เราคิดไว้นานแล้ว เราเตรียมการกันมา 3 ปีแล้วนะคะ เชื่อไหม ในประเทศไทยมีคนนำเข้าตู้ vending machine ที่เป็นตู้แช่แข็งแค่เจ้าเดียวเท่านั้น และเราก็ไปเฟ้นหาเจ้านี่มาจนเจอ จนไปพัฒนาทั้งซอฟต์แวร์ที่จะใช้กับตู้นี้ ถ้วยไอศครีมที่จะใช้กับตู้นี้ ฝาปิดที่จะใช้กับตู้นี้ได้ เราต้องมาดูว่าแขนกลมันหมุนยังไงบ้าง การจ่ายเงินจะทำยังไง เราเตรียมกัน 3 ปีจนสำเร็จออกมาเป็นแบบที่เห็นที่ตั้งอยู่ที่สุขุมวิท 62”

หากแต่คุณอาจยังสงสัยว่าแล้วทำไมต้องมีตู้กดไอศครีมด้วย ในเมื่อกองทัพรถเข็นของไผ่ทองก็กระจายอยู่แทบจะทุกมุมเมืองอยู่แล้ว แถมยังมี ‘ไผ่ทองสเตชั่น’ ที่สามารถส่งความอร่อยให้คุณได้ถึงบ้านเพียงแค่ปลายนิ้วสั่ง

“ถ้าเป็นไปได้ เราก็อยากจะอุดให้ครบทุกรูรั่วเลยค่ะ (หัวเราะ) มันจะมีบางตึก บางอาคาร หรือบางหอพักนะ ที่คนขายเราเข้าไปไม่ถึง แต่ลูกค้าเกิดอยากกินขึ้นมาแล้วตอนนี้นี่นา อีกอย่างตู้กดไอศครีมทำงานขายให้เราได้ 24 ชั่วโมงเลยนะคะ”

ทั้งการขายได้แบบ non-stop 24 ชั่วโมงและการเข้าถึงคนได้มากกว่า ทำให้รตาและทีมงานผุดไอเดียคลอดตู้กดไอศครีมขึ้น อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้รตาเริ่มคิดถึงการนำเอาตู้กดไอศครีมมาใช้กับไผ่ทองไอสครีม นั่นคือ ปัญหาการหาคนขายไอศครีมยากขึ้น

“ทุกวันนี้เราหาคนขายยากขึ้นจริงๆ ค่ะ เราต้องยอมรับว่าทุกวันนี้มีทางเลือกอาชีพที่หลากหลายมากขึ้น บางคนเขาไม่อยากออกมาตากแดดร้อนๆ เข็นรถเข็นขายแล้ว เขาอยากไปทำอย่างอื่นมากกว่า เราเลยเริ่มหาคนขายได้ยากขึ้นแล้วค่ะ ตู้ vending machine ก็จะมาช่วยเราได้ตรงนี้”

ดังนั้นการนำเอาตู้กดไอศครีมมาใช้ในกิจการไอศครีมของรตาและทายาทรุ่นต่อๆ ไป ดูเหมือนกับว่าเป็นการแก้ได้ทั้งปัญหาการสรรหาคนขายไอศครีมได้ยากขึ้นแถมเป็นการเข้าถึงคนในจุดที่ ‘คนขาย’ อาจจะเข้าไม่ถึงไปในตัว

คุณภาพคือคำตอบของกาลเวลา

ธุรกิจอาหาร ขนม เครื่องดื่ม เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทั้งยังมีคู่แข่งหน้าใหม่ที่พร้อมจะกระโดดเข้ามาในสนามนี้อยู่ทุกวัน แต่ ไผ่ทองไอสครีม ยังคงเป็นแบรนด์ไอศครีมสัญชาติไทยที่ยั้งยืนอยู่ในโลกที่ดูเหมือนจะหมุนวนไปอย่างรวดเร็ว

รตาให้คำตอบกับเราอย่างกระชับได้ใจความว่า เคล็ดลับการยืนระยะได้อย่างยาวนานของไผ่ทอง คือ

คุณภาพของผลิตภัณฑ์

“ในราคาที่จับต้องได้ ทุกคนเข้าถึงได้ของไผ่ทอง เราใช้กะทิจากไทยและนมผงจากสวิตเซอร์แลนด์นะคะ”

นอกจากจะใช้วัตถุดิบที่เลือกแล้ว คัดสรรแล้วว่าให้รสให้กลิ่นได้ลงตัวกับความเป็นไอศครีมที่ดีที่สุดแถมราคายังคงเข้าถึงได้ง่าย รตายังคงยืนยันในคุณภาพของไอศครีมทุกถังที่ถูกส่งออกไปจากโรงงานจนถึงปากของลูกค้าว่ามีมาตรฐานและคุณภาพเดียวกันทั้งหมด

ไม่ว่าจะเป็นการทำ ไผ่ทองเดลิเวอรี หรือการคลอดแบรนด์ ไผ่ทองสเตชั่น หรือการทำตู้กดไอศครีม ทายาทรุ่นที่ 2 ของไผ่ทองกำลังพิสูจน์ให้เราทุกคนเห็นว่า ไผ่ทองไอสครีม ในวันนี้กำลังไหลลู่ไปตามสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง

ภาพถ่าย : ไผ่ทองไอสครีม

จากแสงเงายามเย็นที่บาร์เซโลนาสู่ ‘La sombra’ เสื่อจาก PDM x TUNA Dunn

THE BRAND

PDM BRAND คือแบรนด์เฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านที่ก่อตั้งในปี 2557 โดยแมนรัตน์ สวนศิลป์พงศ์ และดุลยพล ศรีจันทร์ สองพาร์ตเนอร์ผู้อยากสร้างความแปลกใหม่ในการแต่งบ้านให้คนไทย ด้วยความเชื่อของแบรนด์ว่า Product Design Matters พวกเขาสร้างสรรค์ไอเทมดีไซน์สวย คุณภาพดี วางมุมไหนของบ้านก็ดูมีรสนิยม

เริ่มต้นจากเสื่อที่ฉีกกฎเสื่อแบบไทยๆ ด้วยกราฟิกลวดลายเก๋ไก๋ ทนทานเพราะสร้างจากวัสดุที่คัดแล้วคัดอีก แถมยังมีหลายฟังก์ชั่นอย่างการใช้ได้สองด้าน กันน้ำ กันฝุ่น พ่วงสรรพคุณอีกสารพัด แต่เพราะมันสวยและทน (เกินไป) นี่แหละทำให้ลูกค้าไม่ได้มาซื้อซ้ำบ่อยๆ PDM BRAND จึงต้องปล่อยโปรดักต์ใหม่ๆ มาให้แฟนคลับเจ้าประจำพรีออร์เดอร์กันทุกไตรมาส ซึ่งนอกจากเสื่อหลายรูปทรง ยังมีเฟอร์นิเจอร์แต่งบ้านอย่างเก้าอี้สตูล โต๊ะญี่ปุ่น ร่ม ชุดผ้ารองจาน และสารพัดของใช้ในบ้าน

นอกจากจะมีดีไซเนอร์ประจำ PDM BRAND ยังขยันชักชวนคนในแวดวงดีไซน์มาออกแบบผลิตภัณฑ์ร่วมกันเพื่อสร้างมิติใหม่ให้สินค้าบ้านๆ อยู่เสมอ

หนึ่งในนั้นคือ TUNA Dunn

THE ARTIST

TUNA Dunn เป็นชื่อในวงการของ ตุล–ตุลยา ตุลย์วัฒนจิต ศิลปินไทยที่หลายคนอาจรู้จักในฐานะนักวาดการ์ตูนผู้บอกเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ผ่านลายเส้นอันเป็นเอกลักษณ์ ทั้งที่เผยแพร่ในสื่อโซเชียลฯ และหนังสือของสำนักพิมพ์แซลมอน อย่าง I LIKE LIKE YOU, BEST BEFORE ฯลฯ

แต่ความจริงแล้วตุลยาเป็นมากกว่านักวาดการ์ตูน เธอเคยเป็น Visual Designer ที่ฟังใจอยู่ช่วงหนึ่ง ก่อนจะบินไปเรียนต่อปริญญาโทที่อังกฤษ แล้วกลับมาเป็นฟรีแลนซ์เต็มตัวที่ไทย พร้อมแพสชั่นในการทดลองสิ่งใหม่ๆ ในเขตแดนที่เธอไม่เคยก้าวถึงซึ่งพกมาเต็มกระเป๋า ทั้งการจัดนิทรรศการเดี่ยวของตัวเองครั้งแรกเมื่อปีที่แล้ว และการกระโดดไปจอยกับแบรนด์ต่างๆ เพื่อพัฒนาโปรดักต์ร่วมกัน

หนึ่งในนั้นคือ La sombra เสื่อที่เธอออกแบบร่วมกับ PDM BRAND

บ่ายวันแดดร่ม เราจึงนัดกับทีมผู้อยู่เบื้องหลังเสื่อผืนสวยที่ว่า อันประกอบไปด้วยตุลยา, จิ๊บ–รัตติยา บุญรินทร์ และเจอร์รี่–พัชรภรณ์ พิกุลแก้ว Communication Designer ประจำ PDM BRAND เพื่อพูดคุยกันถึงโปรเจกต์นี้

PDM BRAND x TUNA Dunn

ก่อนหน้านี้ PDM BRAND ไปชวนดีไซเนอร์หลายๆ คน มาออกแบบสินค้าร่วมกัน การกระโดดไป collaboration กับดีไซเนอร์เหล่านั้นสำคัญกับแบรนด์ยังไง

รัตติยา : PDM เราค่อนข้างเปิดกว้าง ทุกคนในทีมจะมีความเป็นดีไซเนอร์ในตัวเองอยู่แล้ว และเราจะชื่นชอบดีไซเนอร์ที่เก่งๆ ที่มีเอกลักษณ์ในงาน  

เราเสพงานทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นงานของนักออกแบบเฟอร์นิเจอร์ กราฟิกดีไซน์ นักวาดภาพประกอบ PDM ชอบทั้งหมด และตัวแบรนด์เราพยายามตามหาไวบ์ใหม่ๆ เข้ามาสร้างสีสัน อย่างช่วงหลายปีมานี้เราคอลแล็บกับหลายแบรนด์ มีดีไซเนอร์หลายคนออกแบบโปรดักต์ให้ นอกจากแค่ลายเสื่อที่เป็นโปรดักต์หลักของ PDM ก็จะมีพวกเฟอร์นิเจอร์ที่เราให้ดีไซเนอร์ออกแบบขึ้นใหม่ทั้งชิ้นเลย

เรามองว่าถ้าเราออกแบบกันเองในทีม สินค้าของ PDM จะมีแค่มิติเดียว และมาจากมุมมองของคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น แต่การมีดีไซเนอร์ใหม่ๆ ทำให้โปรเจกต์ของเราหลากหลาย แถมงานของดีไซเนอร์แต่ละท่านเขาก็จะยูนีก มีกลิ่นอายไม่เหมือนกัน ทำให้โปรดักต์แต่ละตัวไม่น่าเบื่อ น่าสนใจขึ้น สนุกขึ้น ลูกค้าก็ได้เห็นอะไรใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลาด้วย

อะไรทำให้ PDM BRAND สนใจร่วมงานกับ TUNA Dunn

รัตติยา : เรามีลิสต์ของศิลปินที่อยากทำงานด้วย เป็นลิสต์ที่ฝันไว้แต่ไม่รู้จะได้ทำงานด้วยกันหรือเปล่า (ยิ้ม) ซึ่งคุณทูน่าอยู่ในลิสต์นั้น น้องๆ ในทีมของเราชอบงานคุณทูน่าอยู่แล้ว จิ๊บเลยลองติดต่อไป ตอนแรกไม่มั่นใจด้วยว่าจะได้ร่วมงานไหม เขาอาจจะงานเยอะหรือเปล่า พอเขาตอบตกลงก็ตื่นเต้นมาก รอชมผลงานมาก

แล้ว PDM BRAND ในสายตาของ TUNA Dunn เป็นยังไง อะไรทำให้คุณตอบตกลง

ตุลยา : จริงๆ ก็ติดตาม PDM มาตลอด อยากได้เฟอร์นิเจอร์หลายชิ้นมาก (หัวเราะ) ก็รู้สึกดีใจที่เขามาชวนไปทำงานด้วยกัน

ทั้งๆ ที่ PDM BRAND มีสินค้าหลายตัว ทำไมถึงเลือกทำเสื่อร่วมกัน

ตุลยา : ตอนแรกทาง PDM อยากให้ทำเป็นคอลเลกชั่นแคนวาสเหมือนที่เคยคอลแล็บกับศิลปินท่านอื่นๆ แต่พอดีเราอยากทำโปรดักต์ที่เป็นไลน์อื่นด้วย และเสื่อหรือพรมของ PDM ก็ค่อนข้างเป็นที่รู้จักอยู่แล้ว

รัตติยา : แรกเริ่ม เราแชร์มุมมองให้คุณตุลว่ามีโปรดักต์ไหนของ PDM ที่พอจะ apply กับงานออกแบบได้บ้าง ข้อจำกัดของโปรดักต์แต่ละตัวเป็นยังไง เล่นสีได้มากแค่ไหน และคิดว่าไหนๆ คุณตุลก็ออกแบบงานให้แล้วก็น่าชวนมาออกแบบเสื่อ เพราะเสื่อเป็นไอเทมที่เราคิดว่าอิมแพ็กต์ดี คุณตุลน่าจะยังไม่เคยทำ ถ้าเราเอาภาพของคุณตุลมาทอลงเสื่อจะเป็นยังไง

โจทย์ที่ให้กับ TUNA Dunn คืออะไร

รัตติยา : เราให้อิสระ เพราะเราชอบงานของคุณตุลอยู่แล้วเลยอยากให้เป็นงานสไตล์คุณตุลเลย ก่อนออกแบบก็บอกแค่ว่าเทคนิคการทอมันเป็นยังไง สีใช้ได้กี่สี แล้วเราก็ส่งวัสดุไปให้คุณตุลเลือก นอกจากนั้นก็อยากให้คุณตุลทำงานที่สามารถ apply ได้หลายโปรดักต์ โจทย์มีแค่นี้เลย

ธงที่ TUNA Dunn ตั้งไว้ในใจระหว่างออกแบบคืออะไร

ตุลยา : สิ่งที่ต้องคิดอยู่ตลอดระหว่างการทำงานคือพอมันอยู่ในพื้นที่สี่เหลี่ยมผืนผ้า มันก็จะให้อารมณ์เหมือนทำงานแคนวาส แต่เราก็ไม่ได้อยากทรีตให้มันเป็นแค่แคนวาส แต่อยากให้มันถูก adapt ไปเป็นของแต่งบ้าน 

สิ่งที่อยู่ในหัวตอนที่ทำก็คือไม่ได้อยากออกแบบอะไรที่เหมือนแค่วาดภาพหนึ่งภาพแล้วมันกลายเป็นเสื่อ แน่นอนว่าเรามีคอนเซปต์ เรามีเรื่องที่จะเล่า แต่เราก็อยากให้มันเป็นของแต่งบ้านชิ้นหนึ่งโดยที่ไม่ต้องถูกทรีตว่าเป็นอาร์ตเวิร์กขนาดนั้นด้วย

ก่อนหน้านี้ TUNA Dunn ก็เคยไปจับมือออกแบบผลงานให้แบรนด์อื่นมาแล้ว แล้วความรู้สึกในการคอลแล็บครั้งนี้ต่างจากครั้งที่ผ่านมายังไง

ตุลยา : ก่อนหน้านี้เราออกแบบเสื้อผ้าก็จะคำนึงถึงงานในมุมที่ต่างไป เราต้องคิดว่าลายนี้คนจะใส่ไหม คุยกับแบรนด์ว่ามันดูเข้ากันไหม มีข้อจำกัดอะไรเรื่องการตัดเย็บ แต่ครั้งนี้กับแบรนด์ PDM มันค่อนข้างชัดอยู่ว่างานจะออกมาบนพื้นที่แบนๆ ซึ่งส่วนมากเป็นซับเจกต์ เราก็ต้องคิดว่าถ้ามันไปอยู่ในบ้านคนจะโอเคไหม เรื่องวัสดุก็ไม่เหมือนกัน บางแบรนด์เอางานของเราไปสกรีน บางแบรนด์เอาไปพิมพ์ดิจิทัลลงบนผ้า แต่ PDM เอาไปทอ ซึ่งเป็นวัสดุใหม่ที่เราไม่เคยได้ทำ 

รัตติยา : โชคดีที่ PDM มีโรงงานที่คุ้นเคยกันอยู่แล้ว เราเลยพยายามทำให้ชิ้นงานออกมาเหมือนกับที่ดีไซเนอร์ต้องการถ่ายทอดมากที่สุด ก่อนเริ่มงานเราชี้แจงคุณตุลให้เข้าใจว่าการทอเสื่อมันได้มากสุดแค่ 4 คู่สีนะ และลายอาจจะซับซ้อนมากไม่ได้ ลายเส้นคนเล็กๆ อาจจะทำไม่ได้ ควรเป็นกราฟิกที่ไม่ซับซ้อนมาก แถมเส้นพลาสติกก็จะไม่ได้เป็นสีทึบ แต่จะมีความโปร่งอยู่เล็กน้อย การผสมแต่ละสีก็จะทำให้เกิดเอฟเฟกต์ที่ต่างกัน ซึ่งตรงนี้คือความรู้ที่เราเก็บสะสมประสบการณ์มาจากการทำงานร่วมกับดีไซเนอร์ท่านอื่นๆ ด้วย

รู้มาว่าลวดลายของเสื่อผืนนี้มาจากประสบการณ์การท่องเที่ยวของคุณที่บาร์เซโลนา ประสบการณ์ครั้งนั้นสำคัญกับคุณยังไงถึงได้หยิบมาถ่ายทอดในงานชิ้นนี้

ตุลยา : เพราะไม่ได้เที่ยวเลยในช่วงโควิด ทำให้เราคิดถึงช่วงเวลาที่ได้ไปเที่ยวค่อนข้างเยอะ ตอนไปเรียนต่อปริญญาโทที่อังกฤษ เรามีโอกาสได้ไปบาร์เซโลนา ซึ่งเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ไปเที่ยวต่างประเทศคนเดียว ไม่ได้ไปกับเพื่อน 

เรารู้สึกว่าการอยู่กับตัวเองมันอิสระมาก ไม่เคยไปเที่ยวแล้วรู้สึกอิสระขนาดนี้มาก่อน วันที่ไปเราไม่ได้จัดตารางท่องเที่ยวให้แน่น มันเลยมีเวลาว่างระหว่างวันคือก่อนจะถึงเวลาอาหารเย็น เราไม่ได้ทำอะไรเลย ไปเดินริมหาดคนเดียว แกล้งเล่นบทคนในพื้นที่ จังหวะนั้นเราเห็นแสงตกกระทบตรงรั้วทางเดินด้านบนเกิดเป็นเงา รู้สึกว่ามันสวยมากเลยถ่ายคลิปเก็บไว้ รู้สึกว่ามันเป็นช่วงเวลาที่มีค่าพอๆ กับตอนที่ไปแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ เลย

เราหยิบโมเมนต์ตรงนั้นมาตีความออกมาเป็น La sombra (แปลว่า เงา) ซึ่งในเงาที่ตกสะท้อนนั้นมันซ่อน silhouette ของคนไว้อยู่ เงานั้นก็เหมือนได้สะท้อนตัวตนของเราไปพร้อมกัน

แฟนๆ ของ TUNA Dunn หลายคนจำคุณได้ในฐานะคนวาดคอมิกที่มีลายเส้นเป็นเอกลักษณ์ ทำไมงานชิ้นนี้ถึงเลือกเล่นลวดลายเกี่ยวกับแสงและเงา ไม่ใช่ลายเส้นที่คนเห็นแล้วจำได้เลยว่าเป็นคุณ

ตุลยา : ถ้าคิดจาก logic ก่อนก็คืองานสไตล์นั้นแต่งบ้านยาก (หัวเราะ) หลังๆ เราก็ไม่ค่อยทำงานสไตล์นั้นอยู่แล้ว จริงๆ มันก็เสี่ยงนิดหน่อย ตอนแรกที่ทำส่ง PDM ไปเราก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะบางทีเวลาเราทำงานอะไรที่มันค่อนข้างแอ็บสแตรกท์ ลูกค้าบางที่เขาก็อาจจะไม่ได้อยากได้แบบนี้ แต่เราก็รู้สึกว่ามันน่าจะเวิร์กกับ PDM ได้ ด้วยไดเรกชั่นของงานที่เรากำลังเดินหน้าเข้าหาอยู่ตอนนี้ โชคดีที่ PDM ชอบหมดเลย (หัวเราะ) เราคิดว่ามันก็เหมาะสมกับการที่มันเป็นงานออกแบบของแต่งบ้านมากกว่า

ความพิเศษของเสื่อผืนนี้ที่แตกต่างจากเสื่อในตลาดคืออะไร

พัชรภรณ์ : นอกจากลายที่ออกแบบโดย TUNA Dunn แล้ว PDM จะใช้เส้นพลาติกรีไซเคิลในการทอ เส้นพลาสติกนี้เวลาทอจะทำให้เสื่อที่เราเราทอแน่นกว่าเสื่อทั่วไป 30 เปอร์เซ็นต์

รัตติยา : เราเริ่มพัฒนาเส้นพลาสติกชนิดนี้มาตั้งแต่ตอนก่อตั้งแบรนด์ จากความคิดว่าเราจะทำเสื่อบ้านๆ ให้มันดีขึ้นได้ยังไงเพราะว่าบ้านเราเป็นเมืองร้อน ไม่เหมาะกับพรม เราเลยเพิ่มสารกันยูวีเข้าไปทำให้ใช้งานได้ทั้งในบ้านและนอกบ้าน กันน้ำ กันฝน กันแดด การทอแน่นขึ้นทำให้เสื่อหนา ทน เหนียว ไม่กรอบแตกง่าย อีกข้อดีคือเสื่อของเราสามารถพลิกใช้งานได้ทั้ง 2 ด้าน พอพลิกไปอีกด้านสีกับลายจะมีการ mirror กัน ตอนลูกค้าเอาไปใช้เขาจะรู้สึกว่าคุ้ม

สำหรับ La sombra ดีไซน์นี้ด้านหนึ่งจะเป็นสีเขียวเข้ม อีกด้านหนึ่งจะออกโทนสว่างกว่าหน่อย ใช้เปลี่ยนบรรยากาศได้ นอกจากนี้เราเย็บขอบเสื่อด้วยวัสดุที่ถูกใช้กับเฟอร์นิเจอร์บนเรือยอชต์ ทำให้ลูกค้าไม่ต้องกังวลเรื่องฝุ่นหรือเชื้อรา อีกอย่างที่เพิ่มเติมเข้ามาคือสารช่วยหน่วงการติดไฟ เพราะลูกค้ากลุ่มหนึ่งของเราคือรีสอร์ตและโรงงานที่มักจะกังวลว่าถ้าสมมติมีประกายไฟเกิดขึ้นแล้วมันจะลุกลาม ซึ่งเสื่อของเราผ่านมาตรฐานว่าถ้าโดนไฟแล้วจะไม่ลามค่ะ

PDM BRAND และ TUNA Dunn คาดหวังอะไรจากการคอลแล็บครั้งนี้

ตุลยา : หวังว่าคนจะไม่ตกใจกับความแอ็บสแตรกท์ของงานมากเกินไป (หัวเราะ) แต่เราว่าชิ้นงานนี้ก็ใกล้เคียงกับสิ่งที่เราทำในปัจจุบันมากๆ เลย เป็นการ express ไดเรกชั่นของงานเราในตอนนี้ และเป็นวิธีที่จะนำงานเราไปอยู่ในบ้านได้โดยที่ไม่ใช่รูปแบบ traditional หรือซื้อรูปเสมอไป มันเป็นการนำเสนอให้เห็นงานเราสามารถอยู่บนพื้นผิว อยู่บนโปรดักต์อื่นๆ ที่ไม่ใช่กระดาษแคนวาสหรือหน้าจอ แต่สามารถแทรกเข้าไปในบ้านและไม่ได้แย่งความสนใจกับของอย่างอื่นๆ มากเกินไป

รัตติยา : ถ้าเป็น PDM เราก็หวังว่าแฟนๆ จะได้เห็นดีไซน์ใหม่ๆ มู้ดใหม่ๆ บรรยากาศใหม่ และหวังว่าแฟน TUNA Dunn จะชอบ PDM เหมือนกัน แน่นอนว่าการคอลแล็บกันทำให้เราขยายฐานลูกค้าเพิ่มมากขึ้น มีคนรู้จักแบรนด์เราเพิ่มขึ้น แต่ในขณะเดียวกันทุกคนก็ได้เห็นงานที่แปลกใหม่ของดีไซเนอร์ทั้งไทยและต่างประเทศเพิ่มขึ้นด้วยเหมือนกัน

core value หลักของ PDM ที่เราคำนึงถึงเสมอตอนทำโปรดักต์แต่ละตัว คือเรามองว่าการทำธุรกิจมันคงไม่จบที่ของชิ้นเดียวแน่ๆ เราพยายามเสิร์ฟลูกค้าทั้งในแง่ของโปรดักต์ที่แก้ pain point หรือโปรดักต์ที่ทำให้ลูกค้าไม่จำเป็นต้องรีโนเวตบ้านทั้งหลังหรือต้องแต่งบ้านใหม่ทั้งหมด แต่เป็นของที่เขาเอาไปวางได้ง่ายๆ แล้วก็สวยได้ง่ายๆ อะไรแบบนี้ค่ะ

ติดตามและพรีออร์เดอร์เสื่อ La sombra ได้ที่ เพจเฟซบุ๊กของ PDM BRAND  

Marriage Story การวางแผนทางการเงินในชีวิตคู่

Marriage Story การวางแผนทางการเงินในชีวิตคู่ นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

Marriage Story การวางแผนทางการเงินในชีวิตคู่ WEALTH DONE คือ คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เป็นอุปนายกสมาคมนักวางแผนทางการเงินไทย เป็นคุณครู เป็นนักเขียน และล่าสุดเป็นคอลัมนิสต์ของ Capital ที่จะมาพบผู้อ่าน ทุกวันพฤหัสบดี เว้นวันพฤหัสบดี ที่ capitalread.co เริ่มตอนแรกวันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม

หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราชาว Capital ได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital ระหว่างนี้ ตามไปทำความรู้จักคอลัมนิสต์คนใหม่ของเราได้ที่ บทสัมภาษณ์ตอนล่าสุดของคอลัมน์ ณ บัตรนั้น

นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

WEALTH DONE คือ คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เป็นอุปนายกสมาคมนักวางแผนทางการเงินไทย

หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราชาว Capital ได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital ระหว่างนี้ ตามไปทำความรู้จักคอลัมนิสต์คนใหม่ของเราได้ที่ บทสัมภาษณ์ตอนล่าสุดของคอลัมน์ ณ บัตรนั้น

นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

WEALTH DONE คือ คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราชาว Capital ได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital ระหว่างนี้ ตามไปทำความรู้จักคอลัมนิสต์คนใหม่ของเราได้ที่ บทสัมภาษณ์ตอนล่าสุดของคอลัมน์ ณ บัตรนั้น

นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

WEALTH DONE คือ คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราชาว Capital ได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital ระหว่างนี้ ตามไปทำความรู้จักคอลัมนิสต์คนใหม่ของเราได้ที่ บทสัมภาษณ์ตอนล่าสุดของคอลัมน์ ณ บัตรนั้น

นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เป็นอุปนายกสมาคมนักวางแผนทางการเงินไทย

หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราชาว Capital ได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital ระหว่างนี้ ตามไปทำความรู้จักคอลัมนิสต์คนใหม่ของเราได้ที่ บทสัมภาษณ์ตอนล่าสุดของคอลัมน์ ณ บัตรนั้น

นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เป็นอุปนายกสมาคมนักวางแผนทางการเงินไทย เป็นคุณครู เป็นนักเขียน และล่าสุดเป็นคอลัมนิสต์ของ Capital ที่จะมาพบผู้อ่าน ทุกวันพฤหัสบดี เว้นวันพฤหัสบดี ที่ capitalread.co เริ่มตอนแรกวันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม

หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราชาว Capital ได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital ระหว่างนี้ ตามไปทำความรู้จักคอลัมนิสต์คนใหม่ของเราได้ที่ บทสัมภาษณ์ตอนล่าสุดของคอลัมน์ ณ บัตรนั้น

นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เป็นอุปนายกสมาคมนักวางแผนทางการเงินไทย เป็นคุณครู เป็นนักเขียน และล่าสุดเป็นคอลัมนิสต์ของ Capital ที่จะมาพบผู้อ่าน ทุกวันพฤหัสบดี เว้นวันพฤหัสบดี ที่ capitalread.co เริ่มตอนแรกวันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม

หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราชาว Capital ได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital ระหว่างนี้ ตามไปทำความรู้จักคอลัมนิสต์คนใหม่ของเราได้ที่ บทสัมภาษณ์ตอนล่าสุดของคอลัมน์ ณ บัตรนั้น

นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เป็นอุปนายกสมาคมนักวางแผนทางการเงินไทย เป็นคุณครู เป็นนักเขียน และล่าสุดเป็นคอลัมนิสต์ของ Capital ที่จะมาพบผู้อ่าน ทุกวันพฤหัสบดี เว้นวันพฤหัสบดี ที่ capitalread.co เริ่มตอนแรกวันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม