mr.big แบรนด์เครื่องนอนโดยนักกายภาพบำบัดที่อยากให้ทุกเรื่องบนเตียงไม่ต้องเสียน้ำตา

mr.big คือแบรนด์ที่เปรียบตัวเองเป็นเหมือน ‘เพื่อนตัวโต’ บนเตียงนอนของทุกคน

เซ้ง–ชวกิจ เก้าเอี้ยน นักกายภาพบำบัดผู้ก่อตั้งแบรนด์มาตั้งแต่ปี 2012 บอกว่า ไม่ว่าทุกคนจะผ่านวันอันยาวนานหรือหนักหนามาแค่ไหน เขาอยากให้ mr.big เป็นเครื่องย้ำเตือนว่าในช่วงเวลาท้ายสุดของวัน เราจะมีเพื่อนตัวโตคนนี้คอยกอด คอยซัพพอร์ต และพาเราให้เข้าสู่ช่วงนิทราเสมอ

ไอเทมต่างๆ ภายใต้แบรนด์ของ mr.big จึงมีหลากหลาย และล้วนเป็นโซลูชั่นสู่กิจกรรมบนเตียงที่สบายและถูกหลักการยศาสตร์  (ergonomic comfort sleep solutions) ไล่ตั้งแต่หมอนหนุนที่แมตช์กับขนาดตัว หมอนจัดท่านอนที่จัดตามท่าที่เราชอบ ท็อปเปอร์และที่นอนที่มีความนุ่มแน่นของแต่ละช่องไม่เท่ากันเพื่อแก้ปวดหลังปวดตัว ไปจนถึงสินค้าที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน อย่างหมอนรองคอที่เป็นเพื่อนเดินทาง เบาะรองเท้าและเบาะรองหลังสำหรับชาวออฟฟิศ (ซินโดรม) ชุดนอน หมอนกันกรดไหลย้อน ไปจนถึงหมอนเสยที่จะทำให้กิจกรรมทางเพศซู่ซ่า ซึ่งเพิ่งเป็นไวรัลใหญ่ในอินเตอร์เน็ตเมื่อไม่นานมานี้

ในวาระที่ mr.big กำลังก้าวเข้าสู่ปีที่ 14 เราชวนเจ้าของแบรนด์อย่างเซ้งมาทบทวนการเติบโตของธุรกิจผ่านสินค้าชิ้นสำคัญ คุยกันถึงหลักคิดในการดีไซน์แบบนักกายภาพบำบัด และเคล็ดลับที่ทำให้ mr.big ยังเป็นเพื่อนบนเตียงคนดีคนเดิมของลูกค้ามาจนถึงปัจจุบัน

เรื่องก่อนถึงเตียง

หลังจากเรียนจบจากรั้วมหิดล เซ้งเริ่มประกอบอาชีพนักกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ แต่งานของเขาไม่ได้เหมือนกับนักกายภาพบำบัดที่เราเคยเห็นในสื่อทั่วไป เพราะเซ้งทำงานในห้องไอซียู 

“หน้าที่ของนักกายภาพในห้องไอซียูคือป้องกันภาวะแทรกซ้อนและทำให้คนไข้มีอาการไม่แย่ลง เช่น ไม่ให้เกิดข้อติด ไม่ให้เกิดเสมหะสะสม พาเดินให้เขารู้สึกปลอดภัย งานของผมมี 2 กรณี กรณีแรกคือการเตรียมพร้อมผู้ป่วยก่อนเข้าผ่าตัด บอกเขาว่าหลังผ่าตัดแล้วเขาตื่นขึ้นมาจะมีอาการยังไง พาเขาเดินไปที่ห้องผ่าตัด 

“อีกกรณีหนึ่งคือเจอคนไข้หลังจากที่เขาผ่าตัดแล้ว เป็นคนไข้ที่หมดสติหรือคนไข้ติดเตียง ผมจะเข้าไปเตรียมความพร้อมเพื่อให้เขาสามารถขึ้นวอร์ดและพักรักษาตัวต่อ” ชายหนุ่มอธิบาย

ทำงานในห้องไอซียูได้สองปีครึ่ง เซ้งก็ลาออกมาทำธุรกิจผลิตสำลีเช็ดหน้าขนาดใหญ่ เพราะเห็นว่าเป็นสินค้าที่ไม่มีขายในตลาดตอนนั้น แต่ตอนนั้นเขายังไม่มีความรู้เรื่องการสร้างแบรนด์และจดสิทธิบัตร จึงมีโรงงานสำลีผลิตสินค้าแบบเดียวกันมาขายแข่ง แถมยังขึ้นราคาต้นทุนจนเซ้งขายต่อไม่ได้

ในช่วงเวลาสิ้นหวัง เซ้งไม่คิดว่าตัวเองจะได้ไอเดียในการทำสินค้าชิ้นใหม่ กระทั่งคนรักของเขาทักขึ้นมาเกี่ยวกับงานในห้องไอซียู

“แฟนสงสัยว่านักกายภาพบำบัดไปทำอะไรในห้องไอซียู ผมก็ทำให้เขาดูเลย ก็ให้เขานอนแล้วผมก็ยกแขน ยกขา เคาะปอด จัดท่านอนและห่มผ้าให้เขา พอเขานอนในท่าที่จัดท่าแล้ว รุ่งเช้าตื่นขึ้นมาเขาหายปวดสะบัก เขาเลยติดใจ”

หลังจากนั้น เซ้งปิ๊งไอเดียในการทำ ‘หมอนแพ’ ขึ้นมาให้แฟน เขานำหมอนหลากหลายขนาดมาเย็บติดกัน เพื่อช่วยรองรับสรีสระและจัดท่าทางการนอนให้เหมาะสม จากหนึ่งใบกลายเป็นสองเพราะทำแจกจ่ายให้เพื่อน เมื่อฟีดแบ็กยิ่งดี ชายหนุ่มก็ซื้อผ้า สำลี และอุปกรณ์อื่นๆ มาพัฒนาหมอนจัดท่านอน แล้วลองส่งเข้าประกวดในเวทีดีไซน์ DeMark Award ในปี 2556

หมอนใบนั้นคือ ‘หมอนเลข 9’ สินค้าตัวแรกของ mr.big

เรื่องบนเตียง

หมอนเลข 9

ศีรษะและลำคอ แขน ไหล่ สะบัก กลางหลัง หลังล่าง สะโพก ต้นขา เข่า

อวัยวะ 9 ส่วนที่ว่ามาคือสิ่งที่หมอนเลข 9 ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ นอกจากจะช่วยรองรับอวัยวะทั้ง 9 ในคราวเดียวเมื่อล้มตัวลงนอน หมอนเลข 9 ยังช่วยจัดกระดูกสันหลังให้อยู่ในแนวที่ถูกต้อง และช่วยลดการรับน้ำหนักของกระดูกสันหลัง เหมาะสำหรับคนชอบนอนตะแคงที่ตื่นมาแล้วมักจะปวดไหล่และหลังส่วนล่าง หรือสตรีมีครรภ์ที่ต้องฝึกนอนตะแคงในช่วงใกล้คลอด

อีกเหตุผลน่ารักๆ ที่ตอบคำถามว่าทำไมต้องเป็นเลข 9 ก็เพราะมันคล้องจองกับ ‘เก้าเอี้ยน’ นามสกุลของเซ้งยังไงล่ะ

“หมอนเลข 9 เกิดขึ้นพร้อมกับแบรนด์ mr.big แท็กไลน์ของเราคือ mr.big is your bed friend เราคิดว่าเราอยากเป็นหมอนใบใหญ่ที่คอยซัพพอร์ต  หลังจากเราเจอเรื่องราวในแต่ละวันที่เยอะแยะมากมายแต่เมื่อกลับมาที่เตียง เราจะมีหมอนใบใหญ่ใบนี้ให้เรากอดเสมอ”

หมอนเลข 9 วางจำหน่ายครั้งแรกในฐานะสินค้าฝากขายในห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ซึ่งเซ้งหิ้วมันเข้าไปหาเซ็นทรัลก่อนที่หมอนจะได้รางวัลด้วยซ้ำ หลังจากนั้น 2 เดือนเขาก็มีโอกาสไปเปิดบูทขายที่ห้างเอมโพเรียม ชายหนุ่มนิยามประสบการณ์นั้นว่าเป็นประสบการณ์ที่เปิดโลกมาก

“จากเดิมที่เราเป็นนักกายภาพบำบัด พอวันหนึ่งมาเป็นพนักงานขายที่อธิบายหมอนเลข 9 ให้ลูกค้าฟัง พอลูกค้ารู้ว่าเราเป็นนักกายภาพ เขาก็จะอธิบายมาหมดเลยว่าปวดตรงไหน พอวันรุ่งขึ้นก็ชวนเพื่อนมาอีก กลายเป็นผมเหมือนได้เปิดโต๊ะให้คำปรึกษาที่เอมโพเรียม 15 วัน” ชายหนุ่มหัวเราะ 

“แต่มันดีมากเลย เพราะเราเห็นว่าคนไข้เราเต็มไปหมดเลย แทนที่จะเต็มโรงพยาบาลแต่เต็มห้างเลย รู้สึกว่าใครๆ ก็เป็นคนไข้ของนักกายภาพทั้งนั้นเลย มันเลยเป็นตัวจุดประกายว่าเราทำแค่หมอนเลข 9 ไม่ได้แล้ว เพราะเป็นหมอนที่เหมาะกับคนที่นอนตะแคง แล้วคนอื่นที่ไม่ได้ชอบนอนตะแคงล่ะ”

ท็อปเปอร์

เวลาผ่านไปแรมปี mr.big ก็คลอดสินค้าตัวที่ 2 ออกมา นั่นคือท็อปเปอร์สี่เหลี่ยมที่แบ่งเป็นช่องๆ ซึ่งแต่ละช่องมีความหนาแน่นไม่เท่ากัน ตอบโจทย์เพื่อให้คนนอนหงายนอนได้ดี

“ตอนทำหมอนเลข 9 เรากำหนดไซส์ของหมอนจากข้อมูลระยะสัดส่วนร่างกาย ตอนทำท็อปเปอร์ก็เหมือนกัน เราเอาข้อมูลส่วนนี้มาออกแบบว่าแต่ละช่วงของร่างกายมีน้ำหนักกดในแนวราบเท่าไหร่ มีระยะโค้งเว้ายังไงเพื่อกำหนดความหนาแน่นของแต่ละช่องเพื่อให้นอนสบาย” เซ้งเล่าเบื้องหลังการดีไซน์

หมอนหนุนและหมอนอื่นๆ

จากข้อมูลชุดเดียวกัน mr.big แตกไลน์ออกมาเป็นหมอนหนุนที่มี 5 ไซส์ โดยแบ่งตามขนาดรูปร่าง น้ำหนัก และส่วนสูงของกลุ่มตัวอย่าง เซ้งบอกว่า การได้หนุนหมอนที่ใช่ก็เหมือนการสวมรองเท้าถูกคู่ 

“ถ้าเราใส่รองเท้าที่หน้าแคบไปเราก็จะเจ็บเท้า หมอนก็เหมือนกัน เพราะมันเป็นสิ่งที่รองรับคอกับศีรษะ ซึ่งคอเป็นกระดูกสันหลังช่วงที่เคลื่อนไหวได้รอบทิศทางและเป็นกระดูกที่อ่อนแอที่สุด เวลาที่เรานอน เราอาจนอนท่าที่ผิดโดยไม่รู้ตัว หมอนจึงเป็นตัวช่วยที่ทำให้เราอยู่ในแนวที่ถูก

“เราทำหมอนด้วยความเชื่อที่ว่า เราอยากให้คนได้ใช้หมอนที่เข้ากับตัวเอง แต่การทำแบบนั้นคือการเปลี่ยนพฤติกรรมคน ยิ่งในสมัย 10 ปีที่แล้ว คนยังไม่ได้สนใจเรื่องสุขภาพและการนอนขนาดนี้ มันก็จะยากหน่อย” เซ้งเล่าอุปสรรคที่ mr.big ต้องเจอในช่วงแรก  

“ปกติแล้วคนส่วนใหญ่จะได้หมอนเป็นของแถมจากการซื้อที่นอน คนเลยไม่ซื้อหมอน ช่วงแรกๆ ของการขายจึงเหนื่อยมาก เพราะปกติพนักงานขายเขาจะเชียร์ให้ขายหมอนที่นุ่มและแน่น แต่พอเป็นของเรา เขาต้องบอกว่าต้องเลือกหมอนให้เข้ากับน้ำหนักของลูกค้า คนก็จะรู้สึกว่าวุ่นวาย ไม่เอา” 

เมื่อต้องอธิบายเยอะแล้วไม่มีคนสนใจ พนักงานขายจึงต้องงัดกลยุทธ์การขายโดยการชูวัสดุที่เป็นไหมญี่ปุ่นขึ้นมา ถึงจะเรียกความสนใจจากลูกค้าได้ แต่สุดท้ายเซ้งก็ยืนยันให้พนักงานขายกลับไปพูดแบบเดิม

“เราต้องพูดเสียงดังและยืนยันที่จะพูดแบบนี้ สิ่งที่ทำให้เราอยากไปต่อเรื่อยๆ คือลูกค้าแหละ  เพราะเราเป็นบริษัทเล็กๆ ไม่ได้มีพลังไปซื้อสื่อหรือคนดังมาพูดทีหนึ่งแล้วดังเลย แต่ตลอดมาก็จะมีลูกค้าคอยบอกต่อให้ เราก็จะขอลูกค้าว่าถ้าชอบก็อยากให้ช่วยบอกต่อ”

นอกจากหมอนรองคอ mr.big ยังออกหมอนข้างที่ใช้นอนกอด ซึ่งมีช่วงที่นุ่มและแน่นแตกต่างกันไปตามสรีระของคนใช้เช่นกัน หลังจากนั้น mr.big ก็ออกหมอน Orthocurve ที่ทำจาก memory foam นวัตกรรมโฟมที่กดแล้วค่อยๆ คืนรูป มีส่วนโค้งเว้าที่ชัดเจนและเข้าถึงซอกคอได้มากขึ้น ทำให้รองรับกระดูกคอได้ดีกว่าหมอนทั่วไป 

ถึงอย่างนั้น memory foam ก็ยังมีข้อด้อยคือเมื่อเจออากาศเย็นแล้วจะแข็งตัว ทำให้เมื่อปะทะกับร่างกายที่มีอุณหภูมิอุ่นกว่า หมอนอาจจะยุบตัวลงได้ mr.big จึงพัฒนาหมอนอีกรุ่นชื่อ Orthocore โดยใช้โฟม Aero-Elastic ที่มีแผ่นโฟมเสริมแกนหมอน 2 แผ่นพิเศษ ทำให้หมอนแน่นยาวนาน แถมยังปรับระดับความแน่นของหมอนได้อีก

หมอนกรดไหลย้อน

ช่วงโควิด-19 ระบาดหนักเป็นช่วงที่ใครหลายคนมีความเครียดสะสม กิน นอน ไม่เป็นเวลา ทำให้เกิดภาวะกรดไหลย้อนขึ้น 

หนึ่งในวิธีการรักษาที่คนทั่วโลกแนะนำคือการเอนตัวให้ลำตัวตั้ง 30-45 องศา และนั่นคือที่มาของ Gerd Pillow หรือหมอนแก้กรดไหลย้อนรูปทรงสามเหลี่ยมของ mr.big

“ในท้องตลาดตอนนั้นยังไม่มีหมอนแบบนี้ ผมเลยออกแบบหมอนให้มีส่วนสำคัญ 3 ส่วนในการช่วยรองรับท่ากึ่งนั่ง ทำให้ไม่ปวดคอ ในขณะเดียวกันตรงเอวที่จะรับน้ำหนักมาก หมอนเกิร์ดก็มีส่วนที่นูนขึ้นมาเพื่อชดเชยส่วนนั้นด้วย” เซ้งบอก

เรื่องบนเตียงก็ได้ นอกเตียงก็ดี

สินค้าไลฟ์สไตล์

พ้นไปจากหมอน ที่นอน ท็อปเปอร์ mr.big ยังคลอดสินค้าไลฟ์สไตล์ตามมาอีกมากมาย เพื่อทำให้ประสบการณ์การนอนและการใช้ชีวิตของลูกค้าสมบูรณ์ที่สุด

มีตั้งแต่หมอนรองคอที่ใช้สำหรับเดินทาง ซึ่งออกแบบมาเพื่อแก้ pain point ของหมอนรองคอทั่วไปที่มีรูปร่างเป็นเกือกม้า สวมแล้วดันคอ ทำให้คนใส่ก้มหน้ายิ่งขึ้น หมอนรองคอของ mr.big จึงออกแบบให้ด้านหน้าและด้านข้างนุ่มหนา ในขณะที่หมอนด้านหลังบางกว่า ได้องศาในการสวมใส่ที่เหมาะสมกับการเดินทาง

นอกจากนี้ mr.big มีหมอนรองหลังกับเบาะรองเท้าที่ชาวออฟฟิศเลิฟสุดๆ เพราะนำมาปรับใช้กับเก้าอี้สำนักงานได้ดี ลดอาการออฟฟิศซินโดรม มีชุดนอน หมอนอ้วนที่มีรูซุกแขนได้ยามหนาว และล่าสุดคือ ‘หมอนเสย’ ที่เป็นไวรัลในอินเตอร์เน็ตอยู่ช่วงใหญ่จนใครต่อใครเรียกกันว่า ‘หมอนเสว’  เพราะมันถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อพัฒนาสุขภาพทางเพศหรือ sexual health โดยเฉพาะ

หมอนเสย

จริงๆ แล้วหมอนเสยคือสินค้าที่ mr.big จับมือพัฒนากับน้าเน็ก (เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา)

“น้าเน็กเห็นว่าเราจริงจังกับเรื่องนอนมาก เลยเกิดไอเดียว่าถ้าเราทำให้คนนอนดีแล้ว เราน่าจะทำให้คนมีเซ็กซ์บนเตียงดีขึ้นด้วย ทีมออกแบบของ mr.big จึงคำนวณระยะสัดส่วนร่างกาย การทำงานของกล้ามเนื้อหลัง หน้าท้อง ต้นขา ขาหนีบ ซึ่งทำงานหนักมากเวลาเรามีเพศสัมพันธ์ และมันมีระยะที่กล้ามเนื้อแต่ละมัดทำงานได้ดีที่สุดอยู่”

ผลลัพธ์ของทั้งหมดนี้ถูกนำมากำหนดขนาดของหมอนเสยให้สามารถยกสรีระของฝ่ายผู้รับ (passive) ให้อยู่ในระดับที่พอเหมาะ ทำให้ฝ่ายกระทำ (active) ออกแรงกล้ามเนื้อได้ดีกว่าเดิม ยิ่งหากผู้รับเป็นผู้หญิง หมอนเสยก็จะทำให้เธอรู้สึกว่าโดนจุด G-Spot ได้ดี หลั่งสารหล่อลื่นได้เยอะ การมีเพศสัมพันธ์ก็จะเต็มที่อย่างที่มันควรจะเป็น

หลังจากปล่อยออกไป หมอนเสยก็กลายเป็นสินค้าขายดีที่สุดอย่างรวดเร็ว ถึงขนาดว่าแคมเปญ 3.3 ที่ผ่านมา mr.big สามารถขายหมอนเสยได้ 100 ใบใน 8 นาที

“การมีสินค้าอย่างหมอนเสยแสดงให้เห็นว่า 10 กว่าปีที่ผ่านมาแบรนด์หมกมุ่นเรื่องสรีระมากแต่เราก็ไม่เคยถึงเลเวลนี้ ไม่เคยแมสถึงขั้นนี้ (หัวเราะ) แต่ผมว่าเรื่องสุขภาพทางเพศมันคงจะแมส หลายๆ เพจก็ช่วยแชร์ ในมุมของแบรนด์มันก็ดีในแง่ที่ทำให้คนเห็นว่าเราเอาจริงเอาจังเรื่องสรีระมากเลยนะ และเราก็เอาจริงเอาจังมาตลอด”

เรื่องของเพื่อนนอนคนนี้นามว่า mr.big

mr.big เชื่อในความธรรมดาแต่พิเศษมาตั้งแต่ day 1 

ในความหมายที่ว่า พวกเขาไม่อยากทำหมอนหน้าตาแปลกประหลาด แต่อยากทำหมอนหน้าตาธรรมดาที่ความหนา นุ่ม แน่นของมันต้องพิเศษและแตกต่างจากหมอนทั่วไป

“เราไม่อยากเปลี่ยนแปลงหมอนที่ทุกๆ คนใช้เลย เพราะว่าการเปลี่ยนแปลงมันยาก เราเลยอยากทำหมอนหน้าตาธรรมดาที่พอดีกับเรา ในมุมออกแบบผลิตภัณฑ์มันรู้สึกชนะที่เราทำให้สินค้าที่หน้าตาเฉยๆ มีอะไรอยู่ข้างใน ข้อเสียคือหน้าตามันอาจจะถูกก๊อปได้ง่าย แต่เราว่าพวกเส้นใย ปริมาณ ความแน่น เขาก็จะทำได้ไม่เหมือนเรา คนที่ซื้อไปก็จะรู้สึกได้ว่ามันไม่เหมือนกัน”

อีกสิ่งหนึ่งที่ยังยึดถือมาเหมือนกันคือความซื่อสัตย์ mr.big จะไม่เชียร์ให้ลูกค้าซื้อสินค้าที่ไม่เหมาะกับลูกค้า แม้สินค้าชิ้นนั้นจะทำให้พวกเขาได้กำไรเยอะกว่าก็ตาม

“ส่วนหนึ่งเพราะเราเป็นนักกายภาพบำบัด เรามีโอกาสบอกลูกค้าแต่ละคนว่าเขาเหมาะกับอะไร ซึ่งถ้าเราไม่ซื่อสัตย์ เราอาจจะชี้ทางผิดให้กับเขาก็ได้ ความซื่อสัตย์คือเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เราพูดอะไรเราก็ต้องระมัดระวัง”

ปัจจุบัน เซ้งมองว่ากว่า 90% ของแบรนด์เครื่องนอนในตลาดพูดเรื่องท่านอนและสรีระแบบเดียวกับที่ mr.big พูดมาตลอด ซึ่งนั่นยืนยันว่าเขาเลือกทางถูก ในขณะเดียวกันก็เพิ่มความท้าทายในการทำแบรนด์เช่นกัน

“นั่นแปลว่าสิ่งที่เราพยายามทำมา สิ่งที่เราคิดว่ามันแตกต่าง วันหนึ่งมันก็จะไม่ต่าง เมื่อมันถูกยอมรับจากลูกค้ามากขึ้น ผู้เล่นคนอื่นเขาก็จะได้ทำเหมือนกัน เบื้องหลังเขาเราไม่รู้หรอกว่าเป็นยังไงแต่เรามั่นใจว่าเบื้องหลังของเรามี backup data ที่ดี เราทำรีเสิร์ช ทดสอบอยู่ตลอด ความท้าทายของเราคือเราจะต้องหนักแน่นกับตัวเองให้มาก เพื่อไม่ให้เสียความตั้งใจในการทำหมอนของเรา 

“การได้ทำหมอนเสยหรือหมอนรองคอ ได้ส่งไปให้คนเขาได้ใช้และเขาชื่นชมว่าได้ผลดี นี่คือสิ่งที่ช่วยเติมไฟให้เรา ทำให้เราอยากคิดอะไรเพิ่มขึ้นมา ในฐานะนักกายภาพบำบัดที่เคยทำงานกับคนไข้วันละ 8 คน วันนี้ผมได้ใช้ความเป็นกายภาพบำบัดรักษาคนไป 7-8 ประเทศ มันทำให้เราชื่นใจที่ทำให้ศาสตร์นี้ได้ไปใกล้ชิดคนมากขึ้น มันทำให้ผมรู้สึกขอบคุณและรักในวิชาชีพนี้มากๆ” ชายหนุ่มยิ้ม

เทรนด์ Group Fitness มาแรง กับกลยุทธ์ยืนหนึ่งของ Fitness First Thailand

ปฏิเสธไม่ได้ว่ายุคสมัยนี้เทรนด์รักสุขภาพมาแรงยืนหนึ่ง ชนิดที่เราเริ่มเห็นคนโพสต์สินค้าแบรนด์เนมเพื่อสะท้อนตัวตนน้อยลง แต่หันไปโพสต์ภาพการออกกำลังกายหรือทานอาหารดีๆ กันมากขึ้น ช่วงนี้เทรนด์การออกกำลังกายทั้งวิ่ง พิลาทิส กอล์ฟ เทนนิส รวมไปถึง Group Fitness Classes ในยิมก็มาแรงไม่น้อย

ในตลาดยิมบ้านเราก็มีการแข่งขันกันดุเดือด ปัจจุบันไม่ได้มีเพียงยิมที่รวมการออกกำลังกายหลากหลายแบบไว้ในที่แห่งเดียวเท่านั้น แต่ยังมียิมเฉพาะแบบให้คนที่สนใจกีฬาเฉพาะอย่างได้ไปจอย ถึงอย่างนั้น เชื่อว่าหากใครกำลังสนใจสมัครยิมที่ไหน ชื่อของ Fitness First Thailand ก็น่าจะเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่หลายคนสนใจ ซึ่งเหตุผลที่ทำให้เป็นเช่นนั้นก็มาจากกลยุทธ์ต่อไปนี้ของ Fitness First Thailand 

1. accessibility, facilities และ quality คือหัวใจ

‘อรวรรณ เกลียวปฏินนท์’ หัวหน้าทีมการตลาด บริษัท อีโวลูชั่น เวลล์เนสส์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ Fitness First Thailand เฉลยว่า Fitness First Thailand ให้ความสำคัญกับการเข้าถึงง่าย เพราะเชื่อว่าในโลกที่มีหลายสิ่งหลายอย่างให้ลูกค้าได้ทำนั้น การพาตัวเองเข้าใกล้ลูกค้ามากที่สุดจะทำลูกค้านึกถึงแบรนด์เป็นตัวเลือกแรกๆ เป็นที่มาของสาขากว่า 33 สาขาทั่วประเทศ ทั้งยังมักตั้งสาขาในทำเลที่เดินทางสะดวกสบาย 

นอกจากความเข้าถึงง่ายแล้วนั้น ยังได้เผยเคล็ดลับการยืนหนึ่งให้ฟังว่าคือการให้ความสำคัญกับการสร้าง ‘software’ หรือประสบการณ์ มากกว่า ‘hardware’ หรืออุปกรณ์ต่างๆ  

“สมัยนี้คนมีอะไรให้ทำมากมาย จะทำยังไงให้เขาจัดสรรเวลามาหาเราให้ได้ คำตอบคือทำยังไงก็ได้ให้ลูกค้ารู้สึกสนุกที่ได้มา นั่นคือเราต้องสร้างประสบการณ์​ที่ดีให้เขาผ่าน facilities ที่ดีเช่น ห้องน้ำที่สะอาด และที่สำคัญคือผ่าน quality อย่างคลาสที่สนุก ครูที่ใส่ใจ ซึ่งการที่เราจะได้ครูและพนักงานที่ใส่ใจก็มาจากการที่เราจ้างทุกคนเป็น full-time ไม่ใช่ฟรีแลนซ์ ดังนั้นเขาจะอยู่กับเรานาน เขามีการเติบโต มีความผูกพัน”

2. ดาต้าคือเครื่องมือที่ขาดไม่ได้

ปัจจุบัน Fitness First Thailand มีเมมเบอร์เฉลี่ย 65,000 คนทั่วประเทศ โดยเฉลี่ยเมมเบอร์จะเช็กอินเข้าคลับ 7.6 ครั้งต่อเดือน รวม 7 ล้านครั้งต่อปี ทั้งโดยเฉลี่ยยังต่ออานุสมาชิกนาน 34 เดือน กลุ่มสมาชิกนั้นแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก คือกลุ่มวัยรุ่นอายุ 15-25 ปี และกลุ่มคนวัยทำงานอายุ 28-35 ปี ซึ่งกลุ่มที่ 2 นี้เองที่อรวรรณมองว่าเป็น Growth Group ที่จะโตไปพร้อมกับแบรนด์ 

นอกจากนั้น สิ่งที่ทำให้ชื่อของ Fitness First Thailand ยังคงยืนหนึ่งคือการปรับตัวให้เท่าทันเทรนด์เสมอ อย่างก่อนหน้านี้ก็ได้ออก product ใหม่ เช่น FITPASS ที่สามารถเข้าใช้งานพื้นที่ออกกำลังกายหรือเข้าคลาสได้ โดยการตัดจำนวนเครดิต และไม่มีสัญญาท่านผูกมัด เนื่องจากปัจจุบันคนนิยม hop ไปตามยิมไปเรื่อยๆ หรือจะเป็น ProRelieve หรือการนวดเพื่อลดอาการปวดของกล้ามเนื้อ และช่วยในการฟื้นฟู ตอบโจทย์คนที่ออกกำลังกายแบบเต็มกำลัง

“เราต้องทำการบ้านมากขึ้นหลายเท่าตัว เราต้องตีโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้ได้ลึกกว่าเดิม เช่น คนหน้าตาแบบนี้เขาจะชอบออกกำลังกายแบบไหน เวลาไหน หรือในสัปดาห์หนึ่งๆ เขาอาจจะไม่ได้มาเข้ายิมของเราอย่างเดียวก็ได้ แต่เขาอาจจะไปวิ่งที่สวน หรือเล่นที่อื่นๆ ด้วย 

“เรียกว่า Database เป็น asset ที่สำคัญมาก ตลอด 19 ปีที่ทำงานตรงนี้ เราเห็น journey ของคนว่าตลาดนี้ไม่ง่าย คุณต้องเสิร์ฟในสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการ ซึ่งผู้บริโภคก็มี segment ที่หลากหลายมาก แต่เชื่อว่าเรายังมีโอกาสอีกมาก เพราะปัจจุบันประชากรกรุงเทพฯ มีตั้ง 20 ล้านคน คนที่จะมาเป็นสมาชิกเราอาจจะไม่ใช่จากยิมอื่นๆ ด้วยซ้ำ แต่อาจจะเป็นสมาชิกสตรีมมิ่งซีรีส์ ที่วันหนึ่งเขาอยากจะลุกขึ้นมารักตัวเอง”

อีกหนึ่งสิ่งสำคัญคือการที่ Fitness First Thailand เลือกจัดงาน TUFF หรือ ‘The Ultimate Fitness Force 2025 (TUFF 2025)’ มหกรรมกรุ๊ปฟิตเนสระดับนานาชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเอเชีย ซึ่งครั้งนี้จัดเป็นปีที่ 2 หลังจากที่ในปี 2024 ที่ผ่านมา TUFF 2024 ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมฟิตเนสในประเทศไทย ด้วยจำนวนผู้เข้าร่วมกว่า 4,000 คน จากทั้งไทยและต่างชาติ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงกระแสความนิยมที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องของฟิตเนสและการออกกำลังกายแบบกลุ่ม 

ครั้งนี้ Fitness First Thailand ต้องการผลักดัน TUFF 2025 ให้ใหญ่กว่าเดิม จึงร่วมกับ ICONSIAM และ Les Mills Asia Pacific เพื่อเป้าหมายใหม่อย่างการเป็น ศูนย์กลางฟิตเนสและสุขภาพแห่งเอเชียอย่างแท้จริง ในพื้นที่กว่า 3,000 ตารางเมตรที่ True ICON Hall จะมีทั้ง BODYPUMP, BODYSTEP, BODYCOMBAT, RPM, BODYJAM, LESMILLS DANCE, BODYBALANCE, Les Mills Pilates และอีกมากมาย รวมถึง Red Hot Dance Ignition คลาสซิกเนเจอร์จาก Fitness First 

อีกไฮไลต์คือการเปิดตัว Les Mills Pilates คลาสสุดอินเทรนด์ และมี HYROX Physical Fitness Test ซึ่งเป็นบททดสอบความแข็งแกร่งที่เหมาะสำหรับทั้งนักกีฬามืออาชีพและผู้ที่ต้องการท้าทายขีดจำกัดของตัวเอง ซึ่งขอบอกว่า HYROX นี้กำลังมาแรงไม่น้อยและจะมาจัดการแข้งขันในไทยเดือนพฤษภาคมนี้ 

ความเป็น Global Destination ของนักท่องเที่ยวของ ICONSIAM ยังทำให้ผู้จัดงานคาดว่าจากปีที่แล้วที่กว่า 95% ของผู้เข้าร่วมเป็นคนไทย ปีนี้ TUFF 2025 น่าจะดึงกลุ่มชาวต่างชาติในแถบเอเชียมาได้ด้วย โดยรวมคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วม 8,000 คน

The Ultimate Fitness Force 2025 (TUFF 2025) จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 7-8 มิถุนายน 2568 ซึ่งจะเปิดขายบัตร 24 มีนาคม 2568 ผู้ที่สนใจสามารถซื้อบัตรเข้าร่วมงานได้ที่ Eventpop Application ส่วน Loyalty Fan ผู้ที่เข้าร่วม TUFF 2024 จะได้รับอีเมลโค้ดส่วนลดสำหรับซื้อบัตร TUFF 2025 ระหว่างวันที่ 17-23 มีนาคม 2568

และทั้งหมดนี้คงเป็นกลยุทธ์ที่ทำให้ Fitness First Thailand ซึ่งปักธงในไทยตั้งแต่ปี 2001 ยังคงเป็นตัวเลือกแรกๆ ของคนที่อยากหันมารักตัวเอง

‘ข้าวปลาวาฬ’ แบรนด์ข้าวไร้แป้งที่อยากให้คนไทยกินแซ่บได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนพฤติกรรม

‘ข้าว’ คือหัวใจของมื้ออาหารไทย 

เราเติบโตมากับกลิ่นหอมของข้าวสุกใหม่ในทุกจาน และคุ้นเคยกับความนุ่มแน่นของมันเสมอ แต่เมื่อไลฟ์สไตล์เปลี่ยนไป ผู้คนหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น หลายคนต้องควบคุมแป้ง คำนึงถึงน้ำตาล หรือมองหาทางเลือกใหม่ที่ยังให้สัมผัสเหมือนเดิมโดยไม่ต้องละทิ้งความสุขในการกิน

หนึ่งในตัวเลือกที่น่าจับตาคือ ข้าวปลาวาฬ ข้าวคีโตไร้แป้งที่นุ่ม อร่อย และให้ประสบการณ์เหมือนข้าวจริง แม้เปิดตัวได้ไม่นาน แต่ข้าวปลาวาฬกลับได้รับความสนใจจากหลายหน่วยงาน ทั้งกรมทรัพย์สินทางปัญญา เวที Future Food โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม รวมถึงสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ก็ให้ทุนพัฒนาสินค้าเพิ่ม  

สำหรับใครที่ยังสงสัยว่าข้าวปลาวาฬคืออะไร และทำไมมันถึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ วันนี้เราจะพาคุณมาทำความรู้จักกับ พีพี–พีรพงศ์ จิตต์วิวัฒน์ เจ้าของบริษัท เนรมิต ฟู้ดเทค จำกัด และผู้พัฒนาข้าวปลาวาฬ พร้อมเจาะลึกเบื้องหลังแนวคิดการสร้างผลิตภัณฑ์ที่เปลี่ยนมื้ออาหารให้เป็นทางเลือกที่ดีกว่าเดิม

ก่อนเริ่มธุรกิจนี้อย่างจริงจัง คุณสนใจเรื่องอาหารสุขภาพมาก่อนไหม?

ส่วนตัวผมไม่ได้อยู่ในสายอาหารสุขภาพโดยตรง แต่พาร์ตเนอร์ของเราทำธุรกิจเกี่ยวกับอาหารคีโตอยู่แล้ว พอได้เข้ามาในโปรเจกต์นี้ ผมเริ่มเห็นโอกาสบางอย่าง เราสามารถทำอาหารที่ไร้แป้งและน้ำตาลได้จริง ซึ่งเป็นจุดที่สำคัญมาก เพราะหนึ่งในปัจจัยหลักของปัญหาสุขภาพในปัจจุบันคือระดับน้ำตาลในร่างกายที่สูงเกินไป และข้าวเป็นหนึ่งในอาหารที่ทำให้ระดับน้ำตาลพุ่งสูง

เมื่อศึกษาข้อมูลเชิงลึก ผมพบว่าตลาดอาหารสุขภาพเติบโตขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงเป็นโรค NCDs (Non-Communicable Diseases หรือโรคไม่ติดต่อ) เช่น เบาหวาน ความดัน และโรคหัวใจ ซึ่งมักเกิดจากพฤติกรรมการกินและภาวะน้ำหนักเกิน ที่น่าตกใจคือ ในประเทศไทย 5 ใน 10 คน หรือครึ่งหนึ่งของประชากรมีน้ำหนักเกิน และคาดการณ์ว่าภายในปี 2030 จะมีประชากรโลกที่มีภาวะอ้วนเพิ่มขึ้นอีก 1,900 ล้านคน

อีกสถิติที่ทำให้ผมตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาผลิตภัณฑ์นี้คือ โรค NCDs เป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตในประเทศไทย และหนึ่งในต้นเหตุสำคัญมาจากอาหาร เราเลยคิดว่า ถ้าเราสามารถทำผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้คนกินข้าวได้เหมือนเดิม โดยไม่ต้องเปลี่ยนพฤติกรรม แต่ดีต่อสุขภาพขึ้น คงจะเป็นประโยชน์มากๆ

ทำไมต้องชื่อข้าวปลาวาฬ

เพราะเราชอบแนวคิดที่ว่า ‘ปลาวาฬไม่ใช่ปลา’ เหมือนกับที่ข้าวปลาวาฬไม่ใช่ข้าว แต่ให้สัมผัสเหมือนข้าวจริงๆ 

ตอนที่เริ่มเปิดตัว หลายคนสงสัยว่าสินค้าของเราทำจากเนื้อปลาวาฬหรือเปล่า หรือทำไมต้องใช้ชื่อนี้ ซึ่งกลายเป็นโอกาสให้เราได้อธิบายแนวคิดของผลิตภัณฑ์และแนะนำแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น สำหรับเราการได้รับคำถามเหล่านี้เป็นการเปิดโอกาสให้เราได้สร้างบทสนทนาและทำให้ผู้คนจดจำผลิตภัณฑ์นี้ได้ง่ายขึ้นมาก

อะไรคือความแตกต่างของข้าวปลาวาฬเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์ทดแทนข้าวทั่วไป 

เราใช้เวลาพัฒนาประมาณ 3 ปีในการสร้างผลิตภัณฑ์นี้ สิ่งที่ท้าทายที่สุดคือการทำให้ข้าวปลาวาฬมี รูพรุน ที่ช่วยให้ซึมน้ำได้อย่างลงตัว ถ้าไม่มีรูพรุน ข้าวก็จะกินไม่อร่อย รสชาติและอรรถรสในการเคี้ยวจะไม่เข้าที่ ซึ่งนี่คือสิ่งที่เราต้องพิสูจน์ให้ได้ และเราก็ทำสำเร็จเหมือนปลาวาฬที่ไม่ใช่ปลาแต่ว่ายน้ำได้อย่างคล่องแคล่ว

ปัจจุบันบ้านเรามีผลิตภัณฑ์ทดแทนอาหารหลากหลาย แต่ถ้าพูดถึงความใกล้เคียงกับข้าวจริง เราอาจจะเป็นคนแรกเลย และตอนนี้เรากำลังพัฒนาเมนูอาหารพร้อมทาน เพื่อให้ผู้บริโภคสะดวกสบายที่สุด

โดยทั่วไปคนทำธุรกิจมักเริ่มต้นธุรกิจจากวัตถุดิบที่มีอยู่แล้ว เช่น มีสวนมะพร้าวก็แปรรูปผลิตภัณฑ์จากมะพร้าว แต่คุณกลับคิดต่าง 

เพราะเราให้ความสำคัญกับมุมมองของผู้บริโภคมาก่อน เราคิดในฝั่งของผู้บริโภคที่คนชอบกินข้าวขาวเป็นเพราะให้ความรู้สึกอิ่ม แต่ปัญหาคือทำไมบางคนถึงเลี่ยงการกินข้าว ก็เพราะว่ายิ่งกินยิ่งอ้วน แป้งและน้ำตาลสูง 

แม้ว่าปัจจุบันจะมีการพัฒนาพันธุ์ข้าวที่มีแป้งและน้ำตาลต่ำ แต่เทกซ์เจอร์ก็ยังไม่เหมือนข้าวจริง เช่น ข้าวกล้องที่แม้จะมีประโยชน์แต่ก็มีจุดด้อยเรื่องการซึมน้ำที่ทำได้ไม่ดีเท่าไหร่ เราจึงพยายามสร้างผลิตภัณฑ์ที่ให้สัมผัสเหมือนข้าวจริง เช่นเดียวกับเส้นหมี่ที่พัฒนาให้เหมือนของจริงจนคนกินแยกไม่ออก 

เวลาคนเข้ามาที่บูทของเราแล้วได้ลองชิม หลายคนรู้สึกเซอร์ไพรส์มาก และไม่มีใครรู้เลยว่าสิ่งที่พวกเขากินอยู่ไม่ใช่ข้าวสวยปกติ แต่เป็นข้าวปลาวาฬ นั่นเป็นสิ่งที่ยืนยันว่าเราสร้างผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคได้จริงๆ

พวกคุณเอาความกล้าต่างตรงนี้มาจากไหน  

ทีมพัฒนาของเรามีจุดเด่นตรงที่ไม่ได้มาจากสายอาหารโดยตรง พี่ป้อม หนึ่งในหุ้นส่วนของผม จบคอมพิวเตอร์ เรามองการพัฒนาสินค้าเหมือนการแก้โจทย์ ไม่ยึดติดกับกรอบเดิมๆ ทำให้กล้าคิดนอกกรอบ กล้าทดลองกับวัตถุดิบใหม่ๆ หลายอย่าง 

เช่นตอนแรกเราลองใช้เห็ด แต่กลิ่นไม่ผ่าน สุดท้ายเรามาลงตัวที่ไฟเบอร์สาหร่ายและโปรตีนปลาน้ำจืดซึ่งได้ อย.แล้ว ข้าวมีเม็ดใหญ่ ใกล้เคียงกับข้าวเสาไห้ มีความแข็งเล็กน้อย เหมาะกับทำข้าวต้มและข้าวผัด แต่พอเจอลูกค้าหลายกลุ่มพบว่าแต่ละกลุ่มมีความชอบข้าวไม่เหมือนกัน บางคนชอบข้าวแข็ง บางคนชอบข้าวนุ่ม

ตอนนี้เรายังพัฒนาสูตรที่สองที่เน้นความนุ่มเหมือนข้าวหอมมะลิ โดยใช้ฟักเขียวเป็นวัตถุดิบหลัก ซึ่งช่วยให้ข้าวนุ่มขึ้น ตอบโจทย์คนที่ชอบข้าวนุ่มและยังเป็นทางเลือกสำหรับคนที่ทานวีแกน เพราะสูตรนี้ไม่ได้ใช้โปรตีนจากปลา กำลังจะเปิดตัวเร็วๆ นี้ครับ

นอกจากนี้เรายังทำงานร่วมกับนักโภชนาการและแพทย์ด้านเมดิคอล เพื่อให้แน่ใจว่าข้าวปลาวาฬตอบโจทย์สุขภาพจริงๆ จนสามารถนำไปใช้ในเมนูของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ได้ ซึ่งการเข้าไปอยู่ในโรงพยาบาลได้นั้น หมายถึงต้องผ่านเกณฑ์โภชนาการอย่างเข้มงวด

ผลตอบรับในการเปิดตัวช่วงแรกเป็นยังไงบ้าง

เราเริ่มต้นจากการทดลองขายในตลาดคีโตแบบโฮมเมด กลุ่มลูกค้าช่วงแรกๆ เป็นกลุ่มคนที่ใส่ใจสุขภาพและมีความต้องการเฉพาะทาง ผลตอบรับวันแรกๆ ต้องบอกตรงๆ ว่ายังไม่ดีเท่าไหร่ ข้าวแฉะกินไม่ได้ เราต้องทิ้งวัตถุดิบไปเป็นตันๆ เพื่อทดลองและปรับปรุงสูตรกว่าจะได้เนื้อสัมผัสที่ใกล้เคียงข้าวจริง

ปัจจุบันเรายังคงเน้นการขายปลีกเป็นหลัก และยังไม่ได้เข้าสู่โมเดิร์นเทรด เรากำลังพัฒนาแพ็กเกจจิ้งใหม่ และขยายช่องทางการขาย ล่าสุดเราได้จับมือกับร้านโอบองแปงกว่า 70 สาขาทั่วประเทศ ผ่านการพัฒนาเมนูที่ใช้ข้าวปลาวาฬแทนข้าวธรรมดา เพื่อให้เข้าถึงคนทั่วไปได้ง่ายขึ้น

นอกจากนี้เราพบว่าข้าวปลาวาฬไม่ใช่แค่สำหรับสายคีโต แต่ยังช่วยผู้ป่วยเบาหวานกว่า 5 ล้านคนในไทยให้กินข้าวได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำตาล นอกจากนี้ยังได้รับความนิยมในกลุ่มแม่และเด็ก โดยเฉพาะคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ต้องควบคุมน้ำตาลในช่วงไตรมาสสุดท้าย

เรียกว่ากลุ่มลูกค้ามีหลากหลายกว่าที่เห็น

ใช่ เพราะหลังจากเปิดตัวมา 6 เดือน เราได้รับความสนใจทั้งในและต่างประเทศ เพราะแนวคิดนี้ยังไม่มีใครเคยทำ หลายคนแปลกใจที่เราทำให้ข้าวไร้แป้งและน้ำตาลได้ แต่เราต้องการให้พวกเขา ได้สัมผัสรสชาติจริงๆ มากกว่าการเข้าใจแค่คอนเซปต์ ซึ่งเป็นเป้าหมายต่อไปของเราในการขยายตลาด

อย่างนั้นคุณมองว่ากลุ่มเป้าหมายหลักของข้าวปลาวาฬคือใคร 

ปัจจุบันเรามีลูกค้าเป็นสองกลุ่มหลัก คือกลุ่มคนที่มีปัญหาสุขภาพ ซึ่งต้องเลือกอาหารเพื่อสุขภาพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และกลุ่มที่เริ่มตระหนักว่าการลงทุนกับสุขภาพวันนี้ ดีกว่าจ่ายค่ารักษาพยาบาลในอนาคต

ที่น่าสนใจคือ คนรุ่นใหม่ใส่ใจสุขภาพมากขึ้น โดยเฉพาะวัย 20+ เริ่มให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น เดี๋ยวนี้พวกเขาอ่านฉลากก่อนซื้อสินค้าเสมอ และกฎหมายก็ช่วยผลักดันเทรนด์นี้ อย่างภาษีน้ำตาลและภาษีโซเดียม ทำให้คนเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน ซึ่งเข้ากับแนวทางของเราที่กำลังพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ให้ตอบโจทย์สุขภาพในอนาคต

นอกจากกลุ่มเป้าหมายหลัก เราก็มีแผนจะขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มอื่นๆ ด้วยการนำข้าวปลาวาฬไปคอลแล็บกับร้านอาหารเพื่อสุขภาพ และร้านอาหารทั่วไป เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงเมนูสุขภาพได้ง่ายขึ้น เช่น การนำเสนอเมนูข้าวต้มรอบดึกในร้านอิซากายะ เมนูรีซอตโต้ที่ร้านอาหารอิตาเลี่ยน เราจะเปลี่ยนเมนูไปเรื่อยๆ นอกจากนี้เรากำลังนำสินค้าเข้าไปในโรงพยาบาล เช่น บำรุงราษฎร์ และวิมุต เพราะการที่โรงพยาบาลซึ่งมีมาตรฐานสูงให้การยอมรับ จะช่วยให้ลูกค้ากล้าเปิดใจลองสินค้าเรา

ด้วยความที่สินค้าเรายังใหม่ สิ่งสำคัญคือต้องให้คนกล้าลอง การร่วมมือกับองค์กรที่ได้รับความเชื่อถือ ช่วยให้เราสร้างความมั่นใจให้ลูกค้า นอกจากนี้เรายังเน้นสร้างแบรนด์โดยการร่วมงานกับร้านอาหารต่างๆ เราอยากให้เมนูสุขภาพไม่จำเป็นต้องอยู่แค่ในร้านสุขภาพ แต่อยู่ในร้านอาหารทั่วไปด้วย

หนึ่งสิ่งที่ทำให้หลายคนรวมถึงเรารู้จักข้าวปลาวาฬด้วยก็คือการทำคอนเทนต์ พวกคุณมองว่าคอนเทนต์สำคัญกับการทำธุรกิจยังไงในยุคสมัยนี้  

ถือเป็นหนึ่งในจุดแข็งเลยล่ะ โดยเฉพาะบน TikTok ที่มีคลิปไวรัลหลายคลิป แต่ต้องบอกว่าช่วงแรกมันไปในเชิงมีมมากกว่า คนงงว่าข้าวปลาวาฬคืออะไร? ทำมาจากเนื้อปลาวาฬจริงไหม?

เราทำคอนเทนต์ต่อเนื่องมากว่า 6 เดือน คนเริ่มรู้จักแบรนด์มากขึ้น โดยใช้ออนไลน์เป็นช่องทางหลัก และเน้นที่ความต่อเนื่อง ความขยัน และความชัดเจนของแบรนด์ ซึ่งต้องใช้ความอดทนมาก เพราะช่วงแรกแทบไม่มีใครรู้จักเลยแต่เมื่อเราสะสมฐานแฟนคลับไปเรื่อยๆ การตลาดแบบปากต่อปากก็เริ่มทำงาน ลูกค้าที่เคยลองแล้วชอบ ก็จะกลับมาซื้อซ้ำ หรือแม้เด็กมัธยมหรือประถมจะไม่ใช่กลุ่มลูกค้าหลัก แต่หลายคนจำเพลงโฆษณาของข้าวปลาวาฬได้ และส่งต่อข้อมูลไปสู่พ่อแม่หรือผู้ปกครอง ซึ่งช่วยขยายฐานลูกค้าได้ทางอ้อม

ส่วนถ้าถามว่าทำคอนเทนต์ยังไงให้คนจำได้ เราใช้กลยุทธ์ Testimonial เป็นหลัก คือการให้ลูกค้าจริงพูดถึงประสบการณ์หลังจากได้ลองชิม เพราะการโฆษณาโดยบอกว่าสินค้าดีหรืออร่อยเองอาจไม่มีน้ำหนักพอ แต่ถ้าลูกค้าพูดเองจะน่าเชื่อถือกว่า อีกอย่างคือเรากล้าลงคอนเทนต์ที่มีทั้งฟีดแบ็กดีและไม่ดี ช่วยให้เกิดการแชร์และเอนเกจสูง เพราะแตกต่างจากการตลาดแบบเดิมที่มักพูดถึงแต่ข้อดีของสินค้า

หลายคนอาจกังวลว่าการเปิดรับความคิดเห็นเชิงลบจะส่งผลเสียต่อแบรนด์ ผมมองว่าสิ่งสำคัญคือความจริงใจและความเรียล ถ้าพูดเกินจริงลูกค้าจะจับได้ การเปิดรับความคิดเห็นเชิงลบไม่ใช่เรื่องน่ากลัว ถามว่ากลัวไหมถ้าการนำเสนอฟีดแบ็กที่ไม่ดีจะส่งผลเสียต่อแบรนด์ ต้องบอกว่าไม่กลัว เพราะเป็นฟีดแบ็กที่เราต้องนำมาปรับปรุง

แล้วคุณมองภาพรวมเทรนด์อาหารเพื่อสุขภาพเทรนด์ในปัจจุบันเป็นยังไง

ผมว่าหลังโควิดคนให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น ไม่ใช่แค่เรื่องการกินดี แต่เป็นเรื่องการสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายเลยครับ ตอนนี้ถ้าไปงานแสดงสินค้าต่างๆ จะเห็นคำว่า wellness แทบทุกงาน แม้แต่งานใหญ่อย่าง Osaka Expo หรือ THAIFEX ก็เน้นเรื่องสุขภาพกันหมด มันชัดเจนว่าเทรนด์นี้กำลังไปต่อ

ก่อนหน้านี้ plant-based มาแรงมาก แต่เริ่มลดความนิยมลงเพราะติดปัญหาเรื่องรสชาติและราคาสูง ที่สำคัญมันไม่ได้ตอบโจทย์สุขภาพแบบที่คนต้องการจริงๆ แต่ functional food กำลังมาแรง เพราะมันเป็นอาหารที่กินแล้วส่งผลดีต่อร่างกายโดยตรง ซึ่งผมมองว่าอาหารสุขภาพยุคนี้ไม่ใช่แค่ดีต่อสุขภาพอย่างเดียว แต่มันต้องอร่อยและสุขภาพดีด้วย เพราะถ้าไม่ คนกินครั้งเดียวแล้วเลิก

ณ ตอนนี้ คิดว่าความท้าทายในการทำธุรกิจของข้าวปลาวาฬคืออะไร

เราไม่เคยคาดคิดว่าตลาดจะเติบโตเร็วขนาดนี้ แผนเดิมของปีนี้คือการเปิดตลาดในไทยก่อน แล้วค่อยสร้างโรงงานภายหลัง แต่พอเปิดตัวจริงยอดขายกลับมาเร็วกว่าที่คาดไว้ ทำให้เราต้องเร่งจับมือกับพันธมิตรเพื่อผลิตสินค้าให้ทันกับความต้องการ

นอกจากนี้แผนขยายตลาดต่างประเทศที่เคยตั้งใจว่าจะเริ่มปีหน้ากลับเกิดขึ้นเร็วขึ้น เพราะมีโอกาสเข้ามามากกว่าที่คิด ทั้งจากกระแสตอบรับของตลาดและรางวัลต่างๆ ที่ได้รับ ทุกอย่างเกิดขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว ถ้าเราไม่มีความอดทนและปรับตัวให้เร็ว ข้าวปลาวาฬอาจไปต่อไม่ได้

ในอนาคต คุณอยากให้ข้าวปลาวาฬเติบโตไปในทิศทางไหน

เป้าหมายของเราคือการเป็นผู้นำด้านอาหารที่ทำให้คนกินข้าวได้อร่อยและดีต่อสุขภาพเหมือนเดิม โดยไม่ต้องให้เปลี่ยนพฤติกรรมการกิน แค่คิดถึงอาหารที่ช่วยดูแลสุขภาพ ก็อยากให้คิดถึงข้าวปลาวาฬ

สำหรับตลาดต่างประเทศ เราตั้งเป้าที่จะเป็น SME ไทยที่เติบโตระดับโลก ปัจจุบันเรากำลังเจรจากับ Amazon เพื่อวางขายสินค้าในต่างประเทศ และมีหลายประเทศที่ให้ความสนใจติดต่อขอตัวอย่างเข้ามาแล้ว เชื่อว่าน่าจะเริ่มสร้างยอดขายจากตลาดต่างประเทศได้ภายในปีนี้

ในส่วนการเพิ่มโปรดักต์ใหม่ ก่อนที่เราจะเปิดตัวข้าวปลาวาฬจริงๆ เรามีสินค้าหลายตัวที่พร้อมจำหน่าย แต่เลือกเริ่มจากข้าวเพราะเป็นอาหารหลักของคนไทย สินค้าใหม่ที่เตรียมเปิดตัวเร็วๆ นี้จะเป็นกลุ่ม functional food ที่ช่วยให้คนกินอาหารอร่อยเหมือนเดิมแต่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น เช่น โจ๊กไร้แป้ง เส้นหมี่ ลอดช่อง และน้ำปลาโซเดียมต่ำ

สุดท้าย คุณคาดหวังให้ข้าวปลาวาฬเป็นยังไงในมุมมองของผู้บริโภค

ผมอยากให้ข้าวปลาวาฬเป็นแบรนด์ที่ทำให้อาหารสุขภาพไม่ใช่แค่ทางเลือกสุดท้ายของคนรักสุขภาพ แต่ควรเป็นสิ่งที่ทุกคนเข้าถึงได้ง่าย เพราะทุกคนล้วนหาเงินมาเพื่อใช้ชีวิตให้มีความสุข ไม่มีใครอยากกินแต่ยาไปตลอด การกินอาหารอร่อยและดีต่อสุขภาพคือสิ่งสำคัญ 

เราหวังว่าข้าวปลาวาฬจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยให้ผู้คนสามารถทานอาหารได้ตามปกติ และมีสุขภาพที่ดีไปพร้อมกัน

What I’ve Learned

1. “สิ่งสำคัญที่สุดคือการเข้าใจและให้ความสำคัญกับผู้บริโภค เราต้องคิดจากมุมมองของพวกเขาให้มากๆ เอาใจเขามาใส่ใจเรา คิดว่าผู้บริโภคต้องการอะไร มากกว่าคิดว่าเราจะขายอะไร เพราะสุดท้ายแล้วถ้าผลิตภัณฑ์ของเราตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า มันก็จะขายได้เอง”

2. “อย่ามองข้ามเรื่องสิทธิบัตรและลิขสิทธิ์ มีสินค้าหลายตัวที่คนไทยคิดค้นขึ้น แต่กลับถูกนำไปจดสิทธิบัตรในต่างประเทศ เพราะเราเองไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ตั้งแต่ต้น ถ้าธุรกิจของเราจะเติบโตอย่างยั่งยืน เราต้องปกป้องไอเดียและทรัพย์สินทางปัญญาของตัวเอง”

‘ลาสเวกัส’ ต้นแบบเมืองคาสิโน เมืองกิจการหย่าร้าง สู่ดินแดนเทคฯ สตาร์ทอัพ

ประเทศไทยเริ่มตื่นตัวเรื่องการเปิดเสรีการพนัน เราเริ่มพูดถึงการลงทุนในกิจการคาสิโนซึ่งคือการลงทุนในโปรเจกต์​ขนาดใหญ่ที่มักประกอบไปด้วยธุรกิจโรงแรม พ่วงด้วยพื้นที่สันทนาการ ร้านอาหาร หอประชุม เรียกได้ว่าผุดพื้นที่ทางเศรษฐกิจที่ตอบสนองกับการพักผ่อน เกมและความบันเทิง

เมื่อเราพูดถึงเมืองที่เติบโตขึ้นได้ด้วยความคาสิโน ต้นแบบหนึ่งของโลกคือการเกิดขึ้นของลาสเวกัส ในปัจจุบัน คำว่า ‘ลาสเวกัส’ น่าจะสลัดภาพคำว่าเมืองคนบาปออกไปแล้ว แน่นอนกิจการคาสิโนก็ยังมีอยู่ แม้ตอนนี้จะค่อนข้างกลายเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวสำหรับครอบครัว เป็นพื้นที่ที่มีชื่อเสียงในการจัดงานอีเวนต์และคอนเสิร์ต 

นอกจากนั้นการมีลูกบอลยักษ์เดอะสเฟียร์ เวกัส หรือศูนย์กลางการจัดงานเทคโนโลยีตั้งอยู่นั้นยังทำให้ลาสเวกัส เริ่มมีภาพจำการเป็นพื้นที่ของสตาร์ทอัพเทคฯ รุ่นใหม่ๆ 

เวกัสในฐานะเมืองที่ส่องสว่างด้วยแสงสีอยู่กลางทะเลทราย เป็นอีกเมืองที่มีประวัติศาสตร์ที่เฉพาะตัว มีกิจการที่ไม่ได้มีแค่คาสิโน แต่มีบริบทและระบบเศรษฐกิจ ที่ทั้งก่อตัวให้เกิดคาสิโน และคาสิโนส่งผลต่อเนื่องไปยังเศรษฐกิจอื่นๆ เวกัสเริ่มต้นจากการเป็นพื้นที่เมืองน้อยๆ เป็นจุดพักที่เริ่มจากการขยายตัวโครงข่ายรถไฟ ก่อนกลายเป็นศูนย์กลางความบันเทิงอันเนื่องมาจากการสร้างเขื่อน และเขื่อนนั้นก็ทำให้เวกัสมีไฟฟ้าราคาถูกใช้ 

หลังจากเมกะโปรเจกต์ การมาถึงของวัฒนธรรมรถยนต์ และแน่นอน กลุ่มมาเฟีย ก็เริ่มทำให้เวกัสโด่งดังจากการเป็นจุดพักผ่อน มีชื่อเสียงจากการพัฒนาโรงแรมที่ให้ความรู้สึกหรูหราที่มาพร้อมคาสิโน และการที่เวกัสค่อยๆ ปรับตัวไปสู่พื้นที่ท่องเที่ยวครอบครัว และการก้าวมาเป็นเมืองแห่งเทคโนโลยีและคนรุ่นใหม่ทำให้ภาคธุรกิจอื่นๆ เติบโตตาม

ทุ่งหญ้าและการตั้งรกรากในดินแดนแสนไกล

ลาสเวกัสเป็นอีกเมืองและเป็นอีกพื้นที่ที่เศรษฐกิจต่างๆ เติบโตโดยสัมพันธ์กับประวัติศาสตร์การพัฒนาของอเมริกา กล่าวคือ ลาสเวกัสเป็นพื้นที่เก่าแก่และเป็นพื้นที่สำคัญของแถบแคลิฟอร์เนีย ภูมิศาสตร์ของเวกัสที่แม้จะตั้งอยู่ในทะเลทรายโมฮาวี แต่พื้นที่เดิมของเวกัสเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งต้นน้ำ และมีลักษณะเป็นทุ่งหญ้า ก่อนที่จะมีการตั้งถิ่นฐาน พื้นที่แถบทะเลมีกลุ่มชนพื้นเมืองร่อนเร่อยู่ในพื้นที่

ชื่อของลาสเวกัส เกิดขึ้นในการสำรวจดินแดนของนักเดินทางชาวสเปน คำว่าลาสเวกัสหมายถึงทุ่งหญ้า ซึ่งตั้งมาจากความอุดมสมบูรณ์และการเป็นแหล่งน้ำที่ทำให้เวกัสเป็นเหมือนโอเอซิสกลางทะเลทรายอันแห้งแล้งและแสนไกล เดิมเวกัสจึงเป็นจุดผ่านและจุดพักสำคัญของเส้นทางการค้าที่เชื่อมระหว่างนิวเม็กซิโกกับแคลิฟอร์เนีย

ในช่วงอเมริกาเริ่มมีการหักร้างถางพง และตั้งถิ่นฐานของชาวอเมริกัน ช่วงนี้เองที่เวกัสเริ่มเติบโตขึ้นโดยสัมพันธ์กับประวัติศาสตร์อเมริกาที่เราเคยพูดถึงในบทความว่าด้วยร้านซักรีด คือการตื่นทองและการสร้างทางรถไฟขยายมาจนถึงแคลิฟอร์เนีย 

การตั้งถิ่นฐานที่เวกัสในฐานะพื้นที่บุกเบิกใหม่ แรกสุดมีกลุ่มมอร์มอนเข้าตั้งถิ่นฐานในช่วงปี 1855 ก่อนที่จะล้มเหลวไป หลังจากนั้นนายอ็อกตาเวียส กาสส์ (Octavius Gass) ชายหนุ่มที่เดินทางมาหาความฝันที่แคลิฟอร์เนีย ได้ลงหลักปักฐานและสร้างที่อยู่อาศัย บุกเบิกเป็นเมืองน้อยๆ ขึ้น ภายหลังอ็อกตาเวียสได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งลาสเวกัส เนวาดา และชื่อของลาสเวกัสในฐานะเมืองอย่างเป็นทางการก็เริ่มต้นจากคุณกาสส์นี่แหละ

เรื่องราวการสร้างเมืองของอ็อกตาเวียสก็มีความน่าสนใจ คุณกาสส์เป็นอีกหนึ่งอเมริกันชนตัวอย่าง เขาเป็นชายหนุ่มที่ขยันขันแข็ง ทำฟาร์ม แต่งงาน มีลูก เลี้ยงดูตัวเองได้ แต่มีกระแสว่าน่าจะได้เรียนระดับวิทยาลัย ในภาพรวมเป็นคนมีความรู้ เป็นที่เคารพ รู้ภาษาอังกฤษและสเปน รวมถึงมีความรู้ด้านวิศวกรรมโยธา 

ในช่วงที่เกิดการตื่นทอง หรือ California Gold Rush กาสส์เป็นอีกคนที่เดินทางมาหาความฝันและความรุ่งโรจน์ที่แคลิฟอร์เนีย โดยกาสส์เองขึ้นชื่อเรื่องการสร้างบ้านเรือน ประยุกต์ ประดิษฐ์สิ่งต่างๆ ขึ้นด้วยตัวเอง หลังจากเดินทางแสวงโชคที่แคลิฟอร์เนีย ประกอบสารพัดอาชีพ ทั้งทำเหมือง โรงเชือดทั้งในซานฟรานซิสโก และลอสเอนเจลิส กาสส์ตัดสินใจเดินทางมายังพื้นที่ลาสเวกัส ซึ่งเป็นพื้นที่ทุ่งที่มีป้อมเก่าที่กลุ่มมอร์มอนทิ้งไว้ 

ตอนนั้นหัวหน้ากลุ่มมอร์มอนระบุว่าพื้นที่ให้ผลผลิตไม่ดี ปลูกพืชไม่ได้ผล เหมืองที่อยู่ใกล้ๆ ก็ให้ผลไม่ดี ซึ่งไม่แน่ใจว่าแกไปเจอเจ้าของที่ดินไหม แต่สรุปก็เลยซื้อป้อมหรือสิ่งปลูกสร้าง และเริ่มลงมือทำฟาร์ม กาสส์เรียกพื้นที่นี้ว่า Las Vegas Rancho 

ในการดูแลของอ็อกตาเวียส กาสส์ ป้อมเดิมและฟาร์มที่มีเนื้อที่แทบจะเท่ากับทั้งหมดของเวกัสในปัจจุบัน ค่อนข้างเป็นฟาร์มที่อุดมสมบูรณ์ มีผลผลิตดี แถมเป็นพื้นที่หยุดพักของคณะเดินทางตามเส้นทางเชื่อมเม็กซิโกกับแคลิฟอร์เนีย แต่กิจการของกาสส์กลับมีหนี้สิน จนกาสส์ตัดสินใจขายฟาร์มและย้ายไปอยู่ที่อื่นในราวปี 1881 ปัจจุบันกาสส์ นอกจากได้ฉายาที่คนบางส่วนจดจำ และมีชื่อเป็นถนน Gass Avenue และสวน Gass Peak ในเวกัสปัจจุบัน กาสส์เองเป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆ ของพื้นที่ที่มั่งคั่งที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

เมืองที่เติบโตด้วยรถไฟ

จากการหักร้างถางพงและทำฟาร์มในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ลาสเวกัส ในฐานะเมือง เริ่มต้นในทศวรรษ 1900 เมืองแบบเวกัสบูมขึ้นโดยสัมพันธ์กับบริบทการพัฒนาของอเมริกา เวกัสคล้ายกับหลายเมืองคือเกี่ยวข้องกับการมาถึงของรถไฟ และตัวเวกัสเองก็มาบูมอย่างแท้จริงอีกครั้งในการลงทุนสร้างเขื่อน

ในปี 1905 การสร้างรถไฟเชื่อมระหว่างซอลต์เลค ไปจนถึงลอส แอนเจลิส เมืองชายฝั่งสร้างเสร็จ พื้นที่เวกัส ที่ขณะนั้นมีการถือครอง จากเมืองที่อุดมสมบูรณ์ ก็มีกระทั่งการสร้างระบบท่อน้ำคือมีระบบประปาแล้ว ในยุคนั้นรถไฟยังใช้หัวจักรไอน้ำ ลาสเวกัสจึงกลายเป็นจุดพักรถไฟและใช้สำหรับเติมน้ำให้กับหัวรถจักร 

ภาพของเวกัสในยุคนั้นเริ่มเจริญ และเริ่มเป็นพื้นที่การลงทุนที่โตไปพร้อมกับกิจการรถไฟซึ่งเป็นบริษัทเอกชน มีการขายที่ดิน ขยายเมือง และเพิ่มสายรถไฟ ซึ่งในปี 1905 มีการขายที่ดินแปลงใหญ่ของเวกัส และกลายพื้นที่เมือง (town) น้อยๆ ก่อนกลายเป็นเทศมณฑลในปี 1911 และมีการแต่งตั้งเทศมนตรีคนแรก

หลังจากปีที่เวกัส กลายเป็นพื้นที่เมืองเต็มตัวในปี 1905 ก็ได้เกิดเมืองหรือดาวน์ทาวน์ เวกัสมี โรงแรม-คาสิโนแห่งแรกเปิดบนถนนเฟรมอนต์สตรีท ภาพกว้างด้านกิจการการพนันและเมืองเวกัสในฐานะเมืองสถานีรถไฟ ค่อนข้างเรียบๆ ค่อนไปทางเงียบเหงา เนื่องจากในปี 1910 รัฐเนเวดาร์ซึ่งเป็นรัฐที่ลาสเวกัสตั้งอยู่นั้นเองได้แบนการพนัน ก่อนจะกลับมาถูกกฎหมายในปี 1931 ตอนนั้นเวกัสเริ่มถูกครอบครองและพัฒนาโดยกลุ่มมาเฟียแล้ว

กิจการการแต่งงานและภาพลักษณ์เมืองเสรี

ในปี 1931 นี้เองที่เป็นปีที่เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญซึ่งทำให้เวกัสเจริญขึ้นอย่างก้าวกระโดดและเป็นรากฐานของเวกัสในปัจจุบัน จุดเปลี่ยนและรากฐานแรกเกี่ยวข้องกับกฎหมายที่ค่อนไปทางเสรีนิยมที่ว่าด้วยการแต่งงานและการหย่าร้าง 

สมัยก่อนการแต่งงานในสหรัฐฯ ต้องมีกระบวนการ มีทั้งการยื่นขอ มีระยะเวลาการรอเพื่อแสดงผลตรวจเลือดซึ่งคือการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่าย รวมไปถึงการหย่าร้างซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะไม่มีการจดทะเบียนหย่าได้โดยง่าย การหย่าร้างถือเป็นการขัดต่อประโยชน์สาธารณะ การแต่งงานและการหย่าเป็นเรื่องยาก ซึ่งเนวาดาเป็นรัฐที่คู่รักสามารถยื่นขอหย่าร้างได้

สำหรับเวกัสเองก็ขานรับนโยบายของเนวาดา ในตอนนั้นตามกฎหมายคือ ประชาชนที่เดินทางมาพำนักในเนวาดา รวมถึงที่เวกัสเพียง 6 สัปดาห์ ก็ใช้สิทธิตามกฎหมายของรัฐได้ทั้งในการแต่งงานที่ง่าย และการหย่าร้างที่ไม่ลำบาก ในทศวรรษ 1930 เวกัสกลายเป็นเมืองที่เกิดกิจการการท่องเที่ยวเชิงหย่าร้าง (divorce tourism) 

การเปิดกฎหมายที่มีความเสรีจากการแต่งงานและหย่าร้าง ถือเป็นการที่รัฐรวมถึงเวกัสเองปกป้องกิจกรรมส่วนตัวของประชาชน มีงานศึกษาเสนอว่าการโปรโมตเมืองด้วยกฎหมายสมรสที่มีความอิสระเป็นความตั้งใจจากทางการ 

ทั้งงานศึกษายังเสนอว่าการเดินทางมายังเมืองจากการเปลี่ยนกฎหมายส่งผลกับการเติบโตของเศรษฐกิจของเมืองในภาพรวม และสนับสนุนทำให้เวกัสกลายเป็นเมืองที่มีชื่อเสียง ผลเชิงบวก แต่ความเฟื่องฟูนี้ก็เริ่มสิ้นสุดลงในช่วงทศวรรษ 1960 เมื่อรัฐอื่นๆ ปฏิรูปกฎหมายไปในทำนองเดียวกันกับที่เนวาดา​ทำ

เขื่อน แรงงาน ไฟฟ้า และคาสิโน

เรายังอยู่ในปี 1931 ซึ่งเวกัสก่อรากฐานจากเหตุการณ์สำคัญนอกจากการเป็นเมืองหย่าร้าง 

ในปี 1931 เวกัสเริ่มกลายเป็นเมืองคาสิโนและสถานบันเทิงเต็มรูปแบบ เนื่องจากการลงมือสร้างเขื่อนชื่อ Boulder Dam ปัจจุบันคือเขื่อนฮูเวอร์ (Hoover Dam) โปรเจกต์การสร้างเขื่อนที่เริ่มต้นขึ้น ทำให้แรงงานชายที่ไร้พันธะทะลักเข้าสู่เวกัส ในปีนั้นเอง พลเมืองของเวกัสเพิ่มขึ้น 5 เท่า จาก 5,000 คน กระโดดไปที่ 25,000 คน

เมื่อมีแรงงานหนุ่มก่อตัวขึ้น พร้อมๆ กับจังหวะที่เวกัสเริ่มมีกลุ่มมาเฟียและนักธุรกิจเข้ามาลงทุนในพื้นที่ ย่านกลางเมืองเวกัสจึงเริ่มเห็นโอกาสของการเปิดตลาดความบันเทิงให้กับแรงงานชายหนุ่มที่เหน็ดเหนื่อย กลุ่มอิทธิพลจึงเริ่มลงทุนสร้างคาสิโนและโรงละครที่มีนางโชว์แสดง

อันที่จริง เมืองเช่นเวกัสเป็นพื้นที่ที่รัฐเข้ามาดูแลและควบคุมตั้งแต่ก่อนลงมือก่อสร้างเขื่อน เช่น มีเจ้าหน้าที่ตรวจพื้นที่และพบว่าแรงงานบางคนมีกลิ่นเหล้า ทั้งๆ ที่อยู่ในช่วงแบนเหล้า แต่ทางรัฐพบว่ากิจการคาสิโนและความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจให้ประโยชน์กับท้องถิ่น

ในปีเดียวกันนั้นเอง ทั้งกฎหมายหย่าร้าง คนงานที่เข้ามาสร้างเขื่อน และการที่รัฐเนวาดาตัดสินใจทำให้การพนันกลับมาถูกกฎหมาย ดึงเอากิจการของมาเฟียเข้าสู่พื้นที่และเริ่มมีการให้ใบอนุญาตธุรกิจการพนัน เวกัสจึงเกิดคาสิโนที่ได้รับอนุญาตแห่งแรกในปี 1931 คือ The Northern Club และตามมาด้วยคาสิโนอื่นๆ บนถนนเฟรมอนต์ ตรงนี้แม้ว่ารัฐจะให้ใบอนุญาตกับคาสิโน แต่รัฐเองยังเข้ามากีดกันการเข้าใช้บริการคาสิโนของแรงงานสร้างเขื่อนอยู่ 

เมืองแห่งแสงไฟ ทางหลวง และกิจการท่องเที่ยวครบวงจร

จากคาสิโนที่เน้นบริการแรงงาน รวมถึงรัฐที่พยายามกีดกันแรงงานออกจากสถานบันเทิง ทำให้กิจการยังไม่เฟื่องฟู ทว่าเมื่อเขื่อนสร้างเสร็จในปี 1935 ตัวเขื่อนทำให้เกิดกิจการผลิตไฟฟ้าในปี 1937 และแน่นอนลาสเวกัสกลายเป็นพื้นที่แรกๆ ที่ซื้อไฟฟ้าซึ่งผลิตขึ้นจากเขื่อน

ถนนสายหลักของเวกัสที่เต็มไปด้วยโรงแรม คาสิโนและพื้นที่สันทนาการจึงเริ่มสว่างไสวด้วยแสงไฟจากไฟฟ้า ในเวลาเดียวกัน เขื่อนฮูเวอร์ก็กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติแห่งใหม่ ในปี 1940 ทางหลวงสาย 95 ก็ขยายมาถึงลาสเวกัส ทั้งหมดนี้ทำให้เวกัสกลายเป็นศูนย์กลางสำคัญของโรงแรมที่มีระดับและคุณภาพสูงขึ้น ในเมืองแห่งแสงสีนี้เองที่กลุ่มมาเฟียเริ่มเฟื่องฟูขึ้นในเวกัส

ช่วงทศวรรษ 1940 เป็นช่วงที่เวกัสเฟื่องฟู และแน่นอนได้รับการพัฒนาโดยกลุ่มมาเฟียหลายกลุ่ม ถนนสายหลัก (Las Vegas Strip) เกิดขึ้นในปี 1941 แม้ในช่วงที่เวกัสกำลังจะพุ่งทะยาน การพัฒนาบางส่วนก็ไม่ได้มีคาสิโน แต่เป็นการพัฒนาที่รองรับการมาถึงของทางหลวง เป็นการลงทุนในโรงแรมสำหรับคนขับรถทางไกลและต้องการพักผ่อน โดยมีคาสิโนและสิ่งบันเทิงอื่นๆ ให้บริการเสริม

ด้วยการลงทุนพัฒนาในกลุ่มมาเฟีย ในท่ีสุดกลุ่มมาเฟียเริ่มปรับปรุงจนเกิดเป็นภาพโรงแรมและพื้นที่ความบันเทิงครบวงจรซึ่งเรียกว่าเป็น ‘ประสบการณ์แบบเวกัส’ เป็นความบันเทิงชั้นเยี่ยมที่มาพร้อมกับคาสิโนคุณภาพสูง ทั้งหมดนี้มีความหรูหราฉูดฉาดอย่างที่เราจะนึกภาพเวกัสออก

ในแง่การพัฒนา เราปฏิเสธไม่ได้ว่าเวกัสเกิดขึ้นจากกลุ่มมาเฟียนอกกฎหมาย แต่กระแสที่เกิดขึ้นมีความน่าสนใจ เช่น ในความเจริญที่สร้างด้วยเงินนอกกฎหมาย ในที่สุดทศวรรษ 1950-1960 เริ่มมีเงินทุนอื่นๆ เข้ามาร่วมทุน เช่น มีเงินจากวอลล์สตรีท กระทั่งจากกลุ่มศาสนาคือศาสนจักรของมอร์มอน ไปจนถึงเงินทุนจากกองทุนของมหาวิทยาลัยพรินส์ตัน

ผลคือภาพของเวกัสเริ่มเปลี่ยนจากดินแดนคนบาป เมืองคาสิโนอาชญากรรม กลายเป็นพื้นที่ท่องเที่ยว ในปี 1954 เวกัสมีตัวเลขนักท่องเที่ยวสูงถึง 8 ล้านคนต่อปี ด้วยสาธารณูปโภค ทำให้เวกัสกลายเป็นเมืองที่แสดงคอนเสิร์ตของนักร้องระดับตำนานคือแฟรงก์ ซินาตร้า และเอลวิส เพรสลีย์ เกิดธรรมเนียมบริการของคาสิโนเช่นการบริการอาหารเครื่องดื่มแก่ผู้เล่นฟรี รวมถึงเกิดสถาปัตยกรรมน่าตื่นตาตื่นใจของคาสิโน ที่มักจำลองความยิ่งใหญ่ของอารยธรรมต่างๆ จากทั่วโลก มาไว้ในพื้นที่เดียว

หลังทศวรรษ 1960 ภาพของคาสิโนและโรงแรมที่มีมาเฟียเป็นเจ้าของเริ่มคลายตัวลง หันเหไปสู่พื้นที่ท่องเที่ยวของครอบครัวซึ่งเป็นรากฐานการท่องเที่ยวในปัจจุบัน นอกจากนั้นเวกัสยังกลายเป็นศูนย์กลางใหม่ของกิจการเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพ ซึ่งมาเด่นชัดในช่วงปลายทศวรรษ 2010

ในยุคที่เกิดการปฏิวัติดิจิทัล เกิดซิลิคอนแวลลีย์ สิ่งที่น่าสนใจคือ เวกัสกลายเป็นอีกพื้นที่สำคัญที่ใช้บริการบริษัท สตาร์ทอัพ และคนรุ่นใหม่ในพื้นที่เทคโนโลยี บทความ Las Vegas doesn’t have to become the next Silicon Valley ในปี 2022 ชี้ให้เห็นการเริ่มก่อตัวของกลุ่มบริษัทฟินเทคในลาสเวกัส คือกิจการคาสิโน ซึ่งเป็นทั้งกิจการเกมมิ่งและกิจการโรงแรมมูลค่าสูง เป็นพื้นที่ที่ใช้บริการด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีทั้งความปลอดภัยไซเบอร์ ไปจนถึงเป็นลูกค้าที่จะใช้ AI หรือความก้าวหน้าใหม่ๆ ในการพัฒนากิจการให้รุดไปข้างหน้า

ตรงนี้เองที่ดูเหมือนว่าทำเลของเวกัสจะดึงดูดคนรุ่นใหม่ๆ จากแถบแคลิฟอร์เนีย ซานดิเอโก ลอสแอนเจลิส ให้เข้าไปตั้งถิ่นฐานด้วยหลายสาเหตุ ทั้งโอกาสทางธุรกิจ ราคาอสังหาฯ ที่ไม่สูง บรรยากาศเมืองที่ล้ำสมัยขึ้นเรื่อยๆ รวมไปถึงผลประโยชน์เกี่ยวกับภาษี และเมื่อเกิดการย้ายเข้าของแรงงานกลุ่มใหม่ๆ ที่มีฝีมือและศักยภาพ ภาคธุรกิจอื่นๆ ของเวกัสคือภาคอสังหาริมทรัพย์ บริการสุขภาพ ก็เติบโตขึ้นตามกลุ่มประชากรใหม่ๆ 

ประวัติศาสตร์ที่ยาวยืดของเวกัส อันที่จริงยังมีความซับซ้อนและรายละเอียดอีกมาก ทั้งๆ ที่ถ้าเราดูปีและระยะเวลาการพัฒนา เวกัสถือเป็นเมืองที่เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมและเฟื่องฟูได้ราว 100 ปีเท่านั้น 

เวกัสจึงเป็นอีกตัวอย่างเมืองที่เป็นความสัมพันธ์ระหว่างพื้นที่ใต้ดิน การบริหารจัดการของรัฐ การออกกฎหมายที่เปิดกว้าง รวมไปถึงการคลี่คลายขยายตัวซึ่งมีความซับซ้อน สัมพันธ์กับกิจการอื่นๆ ต่อเนื่องกัน และบางส่วนเป็นผลจากความเปลี่ยนแปลงจากสิ่งที่เป็นรูปธรรม จากกฎหมาย การลงทุนเมกะโปรเจกต์ และการมาถึงของโครงข่ายถนนรถไฟ

อ้างอิงข้อมูลจาก

Oreo Twist-Lick-Dunk 5 ส่วนผสมที่ทำให้โอริโอ้เป็นหนึ่งในคุกกี้ที่ขายดีที่สุดในโลก

‘บิด ชิมครีม จุ่มนม’ เชื่อว่าแค่พูดสโลแกนนี้โดยไม่บอกชื่อแบรนด์ ก็น่าจะทายกันถูกทันทีว่ากำลังพูดถึง ‘โอริโอ้’ คุกกี้สีดำสอดไส้ครีมจากสหรัฐอเมริกาที่อยู่คู่คนทั่วโลกมากว่า 113 ปี

โอรีโอ้ยังครองเบอร์ 1 คุกกี้ที่ขายดีขายดีที่สุดในหลายประเทศ โดยปัจจุบันวางจำหน่ายถึง 100 ประเทศทั่วโลก และมีกำลังการผลิตกว่า 40,000 ล้านชิ้นต่อปี ถึงขนาดมีคนเปรียบเทียบว่าโอริโอ้ที่ผลิตในแต่ละปี สามารถวางรอบโลกได้ถึง 5 รอบเลยทีเดียว และยังสร้างยอดขายรวมทั่วโลกได้ถึง 63,000 ล้านบาท

ไม่ใช่เรื่องง่ายที่คุกกี้แบรนด์หนึ่งจะครองใจผู้คนมาได้ยาวนาน ท่ามกลางแบรนด์ใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นตลอดเวลา แถมยังมีวันของตัวเองประจำทุกปีอย่างเมื่อวันที่ 6 มีนาคมที่ผ่านมาก็เป็นวันโอรีโอ้ เราเลยขอพามาแกะซอง ส่องส่วนผสมของโอริโอ้ที่เป็นมากกว่าความอร่อย แต่ยังเต็มไปด้วยกลยุทธ์การทำธุรกิจ วิธีคิดรสชาติใหม่ๆ การต่อยอดสินค้าให้เป็นมากกว่าคุกกี้ การคอลแล็บ และสร้างแคมเปญแสนสนุก ที่ทำให้โอริโอ้ยังอยู่ได้ทุกยุค ทุกสมัย และครองใจผู้คนทั่วโลก

ส่วนผสมที่ 1: สร้างวัฒนธรรมการกินแบบบิด ชิมครีม จุ่มนม

ถ้าจะบอกว่าโอริโอ้แจ้งเกิดจากสโลแกนแสนคุ้นหูจนสร้างวัฒนธรรมการกินแบบใหม่ก็คงไม่ผิดนัก เพราะแรกเริ่มเดิมทีสโลแกนของโอริโอ้คือ Oh! Oh! Oreo และเห็นว่าสโลแกนนี้ยังไม่สื่อสารกับผู้คนได้ดีพอ จึงเปลี่ยนสโลแกนไปมากกว่า 5 ครั้ง ก่อนที่ในปี 1920 หรือ 8 ปีหลังจากก่อตั้งแบรนด์ โอริโอ้ได้ปล่อยโฆษณาสอนวิธีการกินแบบ Twist, Lick, Dunk หรือบิด ชิมครีม จุ่มนม

การเปลี่ยนแปลงครั้งนั้นกลายเป็นภาพจำและทำให้ผู้บริโภคกว่า 50% โดยส่วนมากเป็นผู้หญิงหันมากินโอริโอ้ด้วยวิธีนี้ และส่งให้โอริโอ้ก้าวขึ้นมาเป็นอันดับ 1 แซงหน้าแบรนด์รุ่นพี่อย่าง Hydrox คุกกี้ที่หน้าตาเหมือนกันอย่างกับแกะ และเกิดก่อนถึง 4 ปี อีกทั้งยังเเปิดประตูให้โอริโอ้เริ่มส่งออกไปทั่วโลกและได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ถึงขนาดบริษัท Kraft Foods ผู้ผลิตและแปรรูปอาหารสัญชาติอเมริกันพูดว่าโอริโอ้จะกลายเป็นคุกกี้ที่ขายดีที่สุดในโลก

ส่วนผสมที่ 2: ออกโปรดักต์ไม่ซ้ำ ตามวัฒนธรรมการกินของแต่ละประเทศ

นอกจากโอริโอ้ที่เป็นคุกกี้สีดำสอดไส้ครีมสีขาวที่เราเห็นกันจนชินตาแล้ว ในแต่ละประเทศยังมีรสชาติใหม่ที่ออกแบบให้ตรงตามวัฒนธรรมการกินและความชื่นชอบของคนประเทศนั้นๆ โดยเฉพาะ บางรสชาติก็แปลกแหวกแนวจนหลายคนต้องหิ้วกลับมาเป็นของฝาก

อย่างในอเมริกาประเทศบ้านเกิดของโอริโอ้ก็มีรสครีมชีส รสแครอทเค้ก รสพีนัทบัตเตอร์ รสมินต์ หรือประเทศที่โด่งดังเรื่องมัทฉะอย่างญี่ปุ่นก็มีรส Green Tea หรืออย่างประเทศจีน อินโดนิเซีย ไทย มาเลเซีย เวียดนาม และสิงค์โปร์ ก็มีรสชาติ Blueberry Ice Cream ออกมาวางขาย

ไม่เพียงแต่ออกรสชาติแปลกใหม่ โอริโอ้ยังเดินเกมตามกลยุทธ์ Line Extensions หรือการขยายผลิตภัณฑ์ให้หลากหลายและกลายเป็นนวัตกรรมสินค้าที่ถูกใจกลุ่มเป้าหมายที่มีความชอบแตกต่างกัน อย่างการปรับขนาดคุกกี้ออกมาเป็น Mini Oreo ที่มีขนาดเล็กลงและปรับคุกกี้ให้บางกว่าปกติออกมาเป็น Oreo Thins

การขยายไลน์สินค้านี้ยังช่วยขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z ที่ปัจจุบันไม่นิยมกินคุกกี้แบบเดิมๆ และมองว่าโอริโอ้เป็นคุกกี้ที่เหมาะสำหรับเด็กและพ่อแม่ของพวกเขามากกว่า อีกทั้งยังรู้สึกว่าโอริโอ้มีรสชาติหวานเกินไป สินค้าทั้ง 2 แบบนี้จึงเข้ามาเติมเต็มช่องทางทางการตลาดและความต้องการเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี

ส่วนผสมที่ 3: ปั้นสินค้าให้โอริโอ้เป็นได้มากกว่าขนม

ไอศครีมรสโอริโอ้ เค้กรสโอริโอ้ เครื่องดื่มผสมโอริโอ้ จะเห็นว่าเมนูทั้งหมดที่พูดถึงนี้มีโอริโอ้เข้าไปเป็นส่วนผสมหลักทั้งสิ้น การครีเอทเมนูเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากคาเฟ่หรือร้านเบเกอรี่ที่หยิบขนมสุดฮิตมาเป็นวัตถุดิบหลักเท่านั้น แต่เป็นความตั้งใจของโอริโอ้เองที่จุดประกายไอเดียให้คนเห็นว่าเป็นมากกว่าขนมคุกกี้

ในปี 2018 โอรีโอ้ได้เปิดตัว ‘โอรีโอ้ มูนเค้ก’ ขนมไหว้พระจันทร์ที่อัดแน่นด้วยโอริโอ้ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของแบรนด์ที่ออกสินค้าอื่นนอกจากคุกกี้ ที่ช่วยทั้งสร้างสีสันให้ช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์และยังทำให้คนเห็นว่าโอริโอ้ไม่ใช่เพียงขนม แต่ยังเป็นวิตถุดิบในขนมหรือเครื่องดื่มประเภทอื่นๆ ได้

นี่คือการทำกลยุทธ์ Brand Extension หรือการนำชื่อแบรนด์ที่มีอยู่แล้ว ไปใช้ในสินค้าที่แตกต่างจากสินค้าเดิมที่แบรนด์เคยทำมา โดยต่อยอดจากที่เห็นคนชอบหยิบโอริโอ้ไปใช้วัตถุดิบในการทำขนมและเครื่องอื่มอยู่แล้ว มาออกเป็นสินค้าใหม่ที่ยังไม่เคยมีใครทำ เพื่อตอกย้ำให้คนเห็นถึงความเป็นไปได้ใหม่ๆ ว่าโอริโอ้ก็สามารถไปอยู่ในขนมได้ทุกอย่าง และยังเป็นการกระตุ้นยอดขาย ขยายเซ็กเม้นต์จากคุกกี้ไปสู่ตลาดใหม่ๆ ทำให้คนรู้สึกผูกพันและคิดถึงแบรนด์อยู่เสมอ

ส่วนผสมที่ 4: คอลแล็บกับหลากแบรนด์ดัง

หากยังจำกันได้ ช่วงก่อนหน้านี้มีกระแสตามหาโอรีโอลายมิว Mew โปเกม่อนที่หายากทั้งในเกมและในขนมโอริโอ้ ถึงขนาดที่มีคนนำมารีเซลกันยกใหญ่ นี่เป็นตัวอย่างที่ทำให้เห็นว่าหนึ่งในส่วนผสมที่ทำให้แบรนด์ประสบความสำเร็จอย่างยาวนานคือการคอลแล็บกับแบรนด์ดัง คาแรกเตอร์ที่คนรัก และศิลปินที่คนทชื่นชอบ

อย่างล่าสุดโคคา-โคลา ออกโอรีโอรสโค้ก และโค้กรสโอริโอ้ ที่ทำให้เห็นว่าโอริโอ้มีการปรับตัวออกรสชาติใหม่อยู่เสมอ ขณะเดียวกันโอรีโอ้ก็สามารถสร้างสีสันให้สินค้าอื่นได้ ถ้าย้อนไปไกลกว่านั้นโอริโอ้ก็เคยจับกลุ่มฐานแฟนคลับศิลปินดังอย่างการคอลแล็บกับ Lady Gaga และ BLACKPINK

การคอลแล็บแต่ละครั้งไม่เพียงแต่ออกสินค้าที่เป็นอาหารออกมาเท่านั้น แต่ยังเคยคอลแล็บกับ Google เปิดตัว Android Oreo ถึงแม้การทำงานของระบบปฏิบัติการนี้จะไม่เกี่ยวกับโอริโอ้เลยสักนิด แต่เป็นการใช้ชื่อมาเปรียบเทียบให้เห็นว่าเวอร์ชันนี้เหมือนกับโอริโอ้แผ่นบาง ที่ไม่ต้องใช้สเปคเครื่องแรงก็ทำงานได้อย่างราบรื่น

ส่วนผสมที่ 5: สร้างประสบการณ์ร่วมแสนสนุก

ถ้าถามหลายคนว่ามองภาพลักษณ์ของโอริโอ้เป็นอย่างไร เชื่อว่าในบรรดาคำตอบมากมายคงมีคนตอบว่าเป็นแบรนด์ที่ดูสนุกอยู่เสมอ นั่นก็เพราะว่าโอริโอ้มักจะศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคแต่ละประเทศมาใช้ออกแคมเปญสุดพิเศษให้คนอินกับกิจกรรมนั้นที่สุด

หนึ่งในแคมเปญที่ถูกพูดถึงมากอย่างแคมเปญ Art of Play ที่ปล่อยออกมาในเดือนพฤษภาคม 2024 เกิดจากที่เห็นว่าคนจีนมักเรียนหนัก ทำงานอย่างเคร่งเครียด จึงนำภาพศิลปะเก่าแก่ One Hundred Children at Play มาสื่อสารให้คนจีนเห็นว่าพวกเขาเคยใช้ชีวิตสนุกกว่านี้ อย่าหลงลืมที่จะมีความสุขในชีวิตบ้าง และออกแบบแพ็กเกจจิ้งให้เป็นเหมือนรูปทรงของเล่นพร้อมทำเป็นของเล่นออกมาจริงๆ ซึ่งแคมเปญนี้เข้าถึงผู้คนบนโซเชียลมีเดียกว่า 40 ล้านคน และมี Engagement กว่า 917,000 ครั้ง

ในไทยเองโอริโอ้ก็จับพฤติกรรมผู้บริโภค Gen Z ว่าชอบการ cafe hopping ในวาระครบรอบ 110 ปี ได้ปล่อยแคมเปญ OREO Birthday โดยรังสรรค์ 14 เมนูสุดพิเศษ วางขายใน 6 คาเฟ่และร้านขนมชื่อดัง พร้อมกิจกรรมให้คนไปตามชิม แชะ เช็กอินเพื่อลุ้นรับรางวัล และยังมีฟิลเตอร์ไอจีให้เป่าเค้กวันเกิดที่ประกอบไปด้วยเทียน 110 เล่มและอวยพรผ่านแฮชแท็กที่มีชื่อว่า WishOREO110

จากส่วนผสมทั้งหมดนี้จึงไม่แปลกใจว่าทำไมแบรนด์ที่อยู่มากว่า 113 ปีถึงยังดูสนุกสนานและครองใจคนทุก Gen ได้อย่างอยู่หมัด

อ้างอิง