Kitt.Ta.Khon แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ที่หยิบจับความ kitsch ของงานคราฟต์มาออกแบบให้เซ็กซี่

Kitt.Ta.Khon อ่านว่า ฆิด-ตา-โขน

ฆิด มาจากการตั้งใจล้อกับคำว่า ‘kitsch’

หากอธิบายงานดีไซน์ที่มีความ kitsch ในไทยให้นึกภาพการแต่งรถทัวร์ที่มีสีสดและลวดลายล้นๆ หรือบ้านสีเขียวสะท้อนแสงหลังคาสีฟ้า

บางคนนิยาม kitsch ว่าคือ low design ที่ไร้รสนิยมแต่สำหรับฆิด-ตา-โขน kitsch คือดีไซน์คาแร็กเตอร์จัดที่มีเสน่ห์

ส่วนตา-โขนมาจากผีตาโขน ที่สื่อถึงเสน่ห์ของความสนุกสนานทางวัฒนธรรม 

รวมคำกันกลายเป็นชื่อแบรนด์ ‘ฆิด-ตา-โขน’ ที่อยากสื่อถึงงานคราฟต์ที่มีความเป็นสากลในตลาดโลก “ตอนเปิดตัวแบรนด์ที่ฝรั่งเศสก็ตั้งใจให้การอ่านชื่อแบรนด์เป็นเเค่การออกเสียงคำคำหนึ่งที่ไม่รู้ว่ามาจากประเทศไหน เวลาฝรั่งเข้ามาถามแล้วเราบอกว่าชื่อ Kitt.Ta.Khon เขาก็จะบอกว่า I don’t know where you come from. เราตั้งใจให้แบรนด์เราเป็นอย่างนั้น”

พีท–ธีรพจน์ ธีโรภาส เป็นนักออกแบบผู้มีความเป็น global citizen ที่เดินทางไปสัมผัสชุมชนงานฝีมือมาแล้วหลายประเทศทั่วโลกจนรวบรวมความ exotic ที่ได้สัมผัสจากต่างวัฒนธรรมมาออกแบบเป็นแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ของตัวเองที่มีความป๊อปและสนุกสนาน มีคาแร็กเตอร์แบรนด์ที่เด็กแต่ไม่ทิ้งความประณีตของงานหัตถกรรม

Life Wisdom
Deep Empathy

เมื่อพูดถึงนักออกแบบ เรามักนึกถึงคนที่มีแพสชั่นด้านดีไซน์และความสวยงาม แต่ความจริงแล้วจุดเริ่มต้นของความหลงใหลในงานออกแบบของพีทไม่ใช่งานจักสาน แต่เป็นความรู้สึกอยากสานต่อเรื่องราวของชุมชน 

“เราไม่ได้ชอบงานหัตถกรรมมาก่อน เราชอบคน ผมอาจจะไม่ได้ถนัดการออกแบบตู้เย็นหรือสินค้าทั่วไป รู้สึกว่ามันห่างไกลกับเรามาก แต่พอมีเรื่องวัฒนธรรมชุมชนและความเป็นอยู่ มันทำให้เราอินได้ง่าย พอไปอยู่กับชาวบ้านหลายอาทิตย์ ได้ไปนอนบ้านเขา คุย กินข้าว เรียนกับเขา ฟังเรื่องราวของเขาแล้วรู้สึกมีความสุข” 

การท่องโลกกว้างช่วยลับคมให้เกิดทักษะการเปิดตาให้กว้างซึ่งเป็นคุณสมบัติของนักออกแบบที่ดี

“ผมคิดว่าจริงๆ แล้วงานหัตถกรรมไม่ได้เป็นแค่โปรดักต์ แต่มันพูดถึงองค์ประกอบทั้งหมด เราต้องเข้าใจไลฟ์สไตล์ของคนใช้ คนทำ คนผลิต ต้องมองด้วยใจและมองให้กว้าง ไม่มองว่าเราเป็นนักออกแบบจากกรุงเทพฯ ที่จะมาพัฒนา แต่มองให้เข้าใจถึงวิถีชีวิตและวิธีการพัฒนางาน”

เคล็ดลับการออกแบบผลงานมาสเตอร์พีซจึงไม่ใช่แค่ออกแบบแพตเทิร์นจักสานและสินค้าที่สวยงามเท่านั้น แต่เป็นการออกแบบองค์ประกอบทุกอย่างที่เกี่ยวพันกับชีวิตในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็น
หนึ่ง–ออกแบบระบบนิเวศเพื่อโลกที่ดีขึ้น 

“ตัวอย่างเช่น จันทบุรีจะดังเรื่องการทอกก กกของที่นี่ปลูกจากนาน้ำกร่อยทำให้กกไม่ขึ้นราและมีเส้นเล็ก สวย นอกเหนือจากนี้นากกยังกรองไม่ให้น้ำเสียลงทะเลทำให้สิ่งแวดล้อมแถวนั้นยังอุดมสมบูรณ์อยู่
ดังนั้นความสำคัญของนากกไม่ได้มีแค่เรื่องหัตถกรรมที่เราต้องสืบทอด แต่มันคือวิถีชีวิตความเป็นอยู่ 

“ตอนนั้นชาวบ้านเริ่มเปลี่ยนจากปลูกนากกเป็นทำนากุ้งที่ใช้สารเคมี สุดท้ายแล้วถ้าชุมชนตรงนั้นทำนากุ้งทั้งหมด ทุกวันนี้พื้นที่ชายทะเล ป่าโกงกางอาจไม่มีแล้วก็ได้ การสนับสนุนการใช้กกก็เลยสำคัญ”
สอง ออกแบบคุณภาพชีวิตที่ดีให้ชาวบ้านในชุมชน 

“ผลงานของฆิด-ตา-โขนเกือบทุกชิ้นสามารถน็อกดาวน์แล้วแยกชิ้นส่วนให้ชาวบ้านขนขึ้นมอเตอร์ไซค์กลับไปสานที่บ้านได้ซึ่งจะช่วยให้เรากระจายชิ้นส่วนของเฟอร์นิเจอร์แล้วนำมาประกอบที่โรงงานได้

“เราเคยทำงานกับฝรั่ง เขาบอกว่าคุณต้องสานเส้นยาว 10 เซนติเมตรจำนวน 10 เส้นให้ได้ ซึ่งคิดว่ามันไม่ได้ถ่ายทอดความเป็นมนุษย์เท่าไหร่ ก็เลยตั้งใจทิ้งความป็นมนุษย์ไว้ในงานของตัวเองมากกว่าแบรนด์อื่นๆ คือการทำงานฝีมือที่ละเอียดไปตามความรู้สึกของคนสาน สมมติวันนี้ทะเลาะกับเมียมาหรืออีกวันลูกรับปริญญา ผลงานอาจจะออกมาไม่เหมือนกันก็ได้” 

สาม ออกแบบของใช้ที่คนทั่วไปใช้ได้จริง 

“ความท้าทายที่สุดในการออกแบบงานฝีมือคือทำยังไงให้ใช้ได้จริง เหตุผลที่งานหัตถกรรมค่อยๆ ตายไปเพราะมันไม่สามารถอยู่ในชีวิตประจำวันได้ เราจึงไม่ทำของที่สวยงามอย่างเดียวแต่ออกแบบของที่มีฟังก์ชั่นด้วย” 

การใส่ใจองค์ประกอบเล็กๆ ของผู้คนทั้งหมดนี้เองที่นำไปสู่ผลงาน one-of-a-kind ที่ถึงแม้จะผลิตซ้ำเป็นหัตถอุตสาหกรรมแต่สุดท้ายงานฝีมือแต่ละชิ้นก็มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนกันเลย

“บางทีไอเดียในงานออกแบบอาจจะมาจากจุดเล็กๆ ก็ได้ เช่น การปรับกระบวนการจัดไม้ไผ่ให้ง่ายขึ้น สวยขึ้น หรือการใช้วัสดุที่มีคุณสมบัติดีกว่าที่อื่น ไม่ว่าจะเป็นการปลูกวัตถุดิบที่มีต้นสูงกว่าปกติหรือใช้วัตถุดิบที่อยู่ในน้ำกร่อยก็สามารถใช้จุดแข็งเหล่านี้เป็นคอนเซปต์ดีไซน์ได้” 

Borderless Cultural Essence  

หนึ่งในประสบการณ์ล้ำค่าของพีทคือการมีโอกาสทำงานกับธุรกิจแถวหน้าของวงการงานคราฟต์อย่างอโยธยา (Ayodhya Trade 93) ซึ่งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการออกแบบผลิตภัณฑ์ชุมชนในโครงการ T-STYLE : ISAAN OBJECT ร่วมกับกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ

หน้าที่ของพีทคือคัดเลือกผลงานของปราชญ์ชาวบ้านจาก 10 ชุมชนและต่อยอดดีไซน์สำหรับไปแสดง

ผลงานที่งานดีไซน์แฟร์ Maison & Objet ที่ฝรั่งเศสในทุกปี นั่นทำให้ภายในระยะเวลา 3 ปี พีทได้ออกเดินทางตลอดและมีโอกาสสัมผัสวิถีและเสน่ห์ของงานฝีมือมากถึง 60 ชุมชน

ความสนุกในการออกเดินทางและได้สัมผัสวัฒนธรรมไม่ได้หยุดอยู่แค่ในไทยเท่านั้นแต่ยังพานักออกแบบอย่างพีทออกเดินทางไกลไปต่างแดนเพื่อเข้าร่วมโครงการ artist residency (ศิลปินในพำนัก) ที่เปิดโอกาสให้ศิลปินและนักออกแบบได้ริเริ่มไอเดียสร้างสรรค์ของตัวเอง

พีทได้ออกแบบสนามเด็กเล่นจากไม้ไผ่ให้ชุมชน Pendaki เปลี่ยนป่าไผ่และสุสานซึ่งเป็นที่ทิ้งขยะสูงหลายเมตรให้กลายเป็นพื้นที่สร้างสรรค์สำหรับคนในชุมชนเพื่ออนุรักษ์ป่าไผ่และยังได้เรียนรู้งานหัตถกรรมพร้อมซึมซับวัฒนธรรมในพื้นที่ชุมชนแออัดที่โมร็อกโก

การสัมผัสความหลากหลายทางวัฒนธรรมทำให้ค้นพบว่าสุดท้ายแล้วเราทุกคนต่างมีสิ่งที่เหมือนกัน 

“สมัยเด็กตอนเพิ่งเรียนจบ เราโดนสอนมาให้มองหาความเป็นไทย แต่พอได้เดินทางไปทั่วโลก ไปงานแฟร์ที่ฝรั่งเศส ไปชุมชนที่อินโดนีเซียและโมร็อกโก ทำงานกับชุมชนกะเหรี่ยงที่ชายขอบ สอนหนังสือที่บางมด

ก็พบว่าแต่ละที่มีเทคนิคการสานเหมือนกัน วิธีการก็คล้ายกัน 

“เลยคุยกับตัวเองว่าจริงๆ แล้วความเป็นพม่าและความเป็นไทยมันถูกแบ่งกันแค่เส้นเส้นเดียวเอง ในเชิงสไตล์ก็มีความต่างแต่ถ้ามองลึกๆ อย่างชายกระโปรงอีสานกับกระโปรงโมร็อกโก หรือลายของอเมริกันกับไทยก็เป็นลายเดียวกัน มันมีความซ้ำอยู่แต่อาจจะต่างกันด้วยวัสดุหรือสีสันในแต่ละวัฒนธรรม

“ถ้าไม่มีเส้นกั้น งานคราฟต์ก็มีความเป็น borderless ที่มีความเป็นสากลของทุกคน ก็เลยปิ๊งขึ้นมาว่าการอนุรักษ์หัตถกรรมไม่จำเป็นต้องสื่อสารแค่ความเป็นไทยก็ได้ การผลิตโดยคนไทยนี่แหละก็สื่อถึงความเป็นไทยแล้ว ก็เลยปลดล็อกตัวเองว่าจริงๆ แล้วเราออกแบบอะไรก็ได้ หน้าที่ของเราคือการสื่อสารว่างานคราฟต์จะเดินหน้าต่อไปยังไงได้บ้าง แล้วใครจะตีความงานออกแบบยังไงก็แล้วแต่ประสบการณ์ของแต่ละคน” 

ฆิด-ตา-โขนเลยเป็นแบรนด์ที่ไม่ได้ขายคอนเซปต์ความเป็นไทยแต่มีความสากลทั่วโลก “แต่ทุกอย่างที่เราออกแบบก็เริ่มต้นจากการเป็นคนเอเชียด้วย เราชอบความมีเส้นสายที่ดู oriental มีความโค้ง ความนุ่มสบายจากเส้นสายของหวาย งานจะเด่นที่การพันเชือก ใช้เชือกไนลอนและเชือกพลาสติกรีไซเคิล โครงหวาย โครงอะลูมิเนียม

“แล้วเราจะทำเฉพาะ accent chair เท่านั้น ผมชอบเปรียบเทียบ accent chair ว่าเหมือนผู้หญิงใส่ตุ้มหู เวลาใส่ตุ้มหูปุ๊บหน้าจะเด่นและสวยขึ้น เหมือนเวลาแต่งห้องมินิมอลเรียบๆ แค่วางเฟอร์นิเจอร์ของเราตัวเดียวก็ทำให้ห้องมีคาแร็กเตอร์ขึ้นมาแล้ว” 

อธิบายง่ายๆ ว่า accent piece หมายถึงงานออกแบบที่มีความสะดุดตา ซึ่งสำหรับพีทความสะดุดตานี้ออกแบบจากประสบการณ์ร่วมกับชุมชนทั้งหมดโดยใช้เทคนิคการนำคอมโพซิชั่นของลวดลายมาเรียบเรียงใหม่ จัดวางองค์ประกอบใหม่ และเล่าเรื่องใหม่

ไม่ว่าจะเป็นการพลิกแพลงรูปแบบการวางแพตเทิร์นใหม่ วางสัดส่วนใหม่ให้เสื่อกลายเป็น placemat ที่ฝรั่งใช้ได้ เอากระติ๊บสานมาทำเป็น wall decoration ปรับรูปทรงหมอนลายขิดให้มีฟังก์ชั่นใหม่กลายเป็นเก้าอี้สตูล 

Business Wisdom
Kitsch is the New Niche 

นอกจากการเดินทางสัมผัสหลากวัฒนธรรมของชุมชนจะทำให้พีทถ่ายทอด cultural essence ออกมาเป็นงานออกแบบ accent piece ที่มีดีไซน์เก๋ไก๋ได้แล้ว สิ่งสำคัญที่พีทตกตะกอนได้คือการพัฒนาชุมชนให้ได้ผลดีไม่ใช่แค่การไปเยี่ยมชาวบ้านแค่ครั้งเดียวแต่อาศัยการพัฒนาร่วมกันในระยะยาว 

หากอยากสนับสนุนชุมชนท้องถิ่นให้เติบโตอย่างยั่งยืน การสร้างแบรนด์ของตัวเองที่มีโมเดลธุรกิจมั่นคง สามารถยืนระยะอย่างแข็งแรงในตลาดโลกได้ก็จะทำให้ชุมชนมีโจทย์ที่สนุกในการพัฒนางานฝีมือต่อไป   

“ทุกวันนี้มองเทรนด์ว่าประเทศยุโรปจะไม่ซื้อเฟอร์นิเจอร์เป็นคอนเทนเนอร์ทีละร้อยตัวเหมือนเดิมแล้ว เลยมองเห็นโอกาสการขาย accent chair เก้าอี้คาแร็กเตอร์จัดที่คนอื่นไม่ค่อยทำเพื่อเจาะตลาดยุโรปที่มีร้านกิฟต์ช็อปเล็กๆ”

โมเดลธุรกิจของฆิด-ตา-โขนเน้นที่การส่งออกสินค้าคอลเลกชั่นลิมิเต็ดในราคารีเทล โดย 3 ปีแรกเป็นช่วงขยายหมวดหมู่สินค้าให้ครบมากขึ้น “เวลาทำเฟอร์นิเจอร์ต้องขยาย range ให้ครบเพราะจะได้เพิ่มโอกาสขายเวลาเจอลูกค้า เช่น บางทีมีคนชอบสตูลแต่เราไม่มี เรามีแต่อาร์มแชร์ก็ต้องทำเพิ่ม”

คำว่า ‘คาแร็กเตอร์จัด’ ที่พีทกล่าวถึงคือความ kitsch ที่เล่นกับสีสัน ลวดลาย แพตเทิร์นอย่างไม่เหมือนใคร ทุกผลงานเป็นสินค้ารุ่นพิเศษ one-of-a-kind ที่ดูออกว่ามาจากแบรนด์ boutique ของนักออกแบบ ตั้งแต่เก้าอี้ Libra ที่ได้แรงบันดาลใจจาก African Ashanti stool, เก้าอี้ Hula ที่ได้ไอเดียมาจากความพลิ้วไหวของกระโปรงฮาวาย, ม้านั่ง Kaanso ที่ได้แรงบันดาลใจจากแมลงปอ

ในช่วงโควิด-19 ที่ตลาดต่างประเทศซบเซาก็มีการแตกสินค้าหมวดที่ขายง่ายและเข้าใจง่ายขึ้นสำหรับกลุ่มลูกค้าคนไทยในตลาดที่แมสมากขึ้น เช่น เก้าอี้ BoaBoa สีฉูดฉาดที่ออกแบบจากทรงเก้าอี้ dinning chair ดีไซน์คลาสสิก, wall art และตู้ที่นิยมใช้ในโรงแรมอย่างแพร่หลาย, โต๊ะคอนโซลสไตล์จีนผสมแอฟริกัน

ความพิเศษของการทำคอลเลกชั่นเฟอร์นิเจอร์แบบลิมิเต็ดคือการใช้วิธีเปิดตัวสินค้าใหม่คล้ายแบรนด์แฟชั่นด้วยการขายเป็นดร็อปหรือขายเฉพาะรอบพิเศษในเวลาจำกัด

“เราไปซื้อปลายผ้า เศษผ้าของ Jim Thompson แล้วมาประกอบเป็นเก้าอี้ซักผ้าที่ซื้อเข้าบ้านได้ง่าย เบาะหนึ่งทำแค่ 3-5 ตัว หมดแล้วหมดเลย พอโปรโมตขายออนไลน์ก็ไปเข้าตาทางแบรนด์ว่าสามารถเอาผ้าของเขามาแมตช์กับสีสันของแบรนด์เราได้”

หลังจากนั้น Jim Thompson จึงติดต่อมาว่าอยากทำคอลเลกชั่นคอลแล็บร่วมกันอย่างจริงจัง จึงต่อยอดเป็นเก้าอี้จากผ้าทอเอาต์ดอร์ของ Jim Thompson ที่มีสีสดจากแรงบันดาลใจในสีสันของหมู่เกาะทั่วโลก
โดยเก้าอี้รุ่นพิเศษนี้มี 3 รุ่นที่เล่นสีและลายต่างกันออกไป 

ทั้งเก้าอี้ Pandan (เตยหอม) ที่เล่นลายแพตเทิร์นจักสานแบบคลาสสิก, เก้าอี้ Mudjai (มัดใจ) ที่นอกจากจะใช้ผ้ามัดหมี่ที่เล่นสีกราเดียนต์แล้วยังมีลูกเล่นของขาเก้าอี้ที่สะท้อนเงาเป็นลายมัดหมี่เมื่อใช้งานกลางแจ้ง และเก้าอี้ Takpha (ตากผ้า) ที่โดดเด่นด้วยลาย stripe ของผ้าขาวม้า


แผนธุรกิจของฆิด-ตา-โขนในอนาคตคือการคอลแล็บกับแบรนด์อื่นๆ โดยไม่จำกัดรูปแบบทั้งกับแบรนด์แฟชั่น ศิลปิน แบรนด์ไลฟ์สไตล์ และงานคราฟต์ โดยปีหนึ่งจะออกคอลเลกชั่นลิมิเต็ดราวสองครั้งในช่วงที่มีงานดีไซน์แฟร์ของต่างประเทศเพื่อให้ตรงกับซีซั่นที่ลูกค้า B2B อย่างโรงแรมกำลังมีแผนตกแต่งภายใน และลูกค้า B2C คนทั่วไปที่กำลังหาของขวัญปลายปี

ทุกวันนี้แบรนด์ดีไซน์ kitsch อย่างฆิด-ตา-โขนมีลูกค้าต่างประเทศหลากหลายกลุ่มทั่วโลกนอกเหนือจากยุโรป ทั้งเอเชีย ตะวันออกกลาง เกาหลี ญี่ปุ่นไปจนถึงลูกค้าไทยที่ชอบแต่งบ้านและคนที่อยากสั่งทำสินค้า customize พิเศษ

“ผมคิดว่าแบรนด์เราเข้าได้กับทุกบ้านจริงๆ เป็น accent piece สำหรับใครก็ตามที่ชอบงานออกแบบ”

อาจไม่ใช่ทุกคนที่เสพงานออกแบบคาแร็กเตอร์จัด มีคนไม่น้อยที่ตีความ kitsch ว่าไร้รสนิยม แต่ที่แน่ๆ ในหลายประเทศมีตลาด niche ที่พร้อมจ่ายเงินซื้อแบรนด์ที่เป็นตัวของตัวเองและอนุรักษ์อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมในมูลค่าสูง

Sexy Identity   

อีกสิ่งหนึ่งที่นักออกแบบถนัดคือการเล่าเรื่องผ่านคอนเซปต์

การสร้างแบรนด์เชิงธุรกิจในแบบของพีทคือการทำ brand presentation ผ่านแฟล็กชิปสโตร์ที่เป็นเสมือนฐานทัพสำหรับจัดแสดงนิทรรศการหมุนเวียน สื่อสารคอนเซปต์สร้างสรรค์เพื่อหวังให้คนแวะเวียนกลับมาที่ร้านบ่อยๆ

Craft is Sexy คือคีย์เวิร์ดของแบรนด์ที่อยากเปลี่ยนภาพจำว่างานฝีมือมีลุคที่เชย  

“ผมเคยไปออกงานแฟร์แล้วคนต่างชาติถามว่า ทำไมแบรนด์จากประเทศโลกที่ 3 ของคุณถึงแพง” ด้วยภาพลักษณ์ที่ต่างชาติมองประเทศไทยเป็นแหล่งรับผลิตทำให้ความสำคัญของการสร้างแบรนด์ฆิด-ตา-โขนคือการนำเสนอตัวตนของแบรนด์ว่ามีดีไซน์เซ็กซี่ที่พร้อมจะตีตลาดลักชูรีระดับโลกได้ 

“เราพยายามหา identity ของแบรนด์ให้ได้ว่าเราเป็นใครในตลาดโลกและจะโดดเด่นแตกต่างจากแบรนด์อื่นในเอเชียหรือในโลกนี้ยังไง เลยตั้งใจให้เป็นแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ที่มีส่วนผสมของความเป็นแบรนด์แฟชั่น

“ทั้งเพิ่มสินค้าไลฟ์สไตล์หมวดของชิ้นเล็กเพื่อให้เข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้มากขึ้น คอลแล็บกับชาวบ้านทำสินค้าใหม่ๆ มากขึ้น เช่น กระเป๋า พรม ไม้กวาด แต่ก็จะมีเลเวลของการคอลแล็บที่ต่างกัน เช่น ถ้ากลุ่มนี้ยังไม่เชี่ยวชาญเราอาจจะซื้อสินค้าเขามาก่อนแล้วก็มาทำสไตล์ลิ่งเอง หรือถ้าเห็นโอกาสพัฒนาก็ออกแบบร่วมกัน” 

พระพุทธรูปจักสาน กระเป๋าทรงกระติ๊บ พัดไม้ไผ่รุ่น PAD PAD และแทบทุกคอลเลกชั่นเด่นที่เคยทำมาเป็นสิ่งที่จะได้เจอเมื่อเดินเข้ามาที่แฟล็กชิปสโตร์รวมถึงการดิสเพลย์สินค้าที่เหมือนเดินเล่นอยู่ในแกลเลอรีศิลปะ ทั้งการนำเก้าอี้มาวางซ้อนกันและมีภาพศิลปะวางสลับกับงานดีไซน์


“เราอาจจะขายออนไลน์ไม่เก่งเหมือนคนอื่น เพราะสินค้าของเราแค่เห็นจากรูปถ่ายมันไม่เท่ากับมาสัมผัสเอง ดูรูปแล้วอาจจะไม่รู้สึกถึงความละเอียดลออ” 

วันนี้ฆิด-ตา-โขนมีอายุแบรนด์เข้าขวบปีที่ 5 แล้วและความตั้งใจในการเปิดแฟล็กชิปสโตร์ในปีนี้ก็กลับไปที่ความตั้งใจแรกซึ่งเป็นจุดตั้งต้นในการทำแบรนด์ของพีทคืออยากสนับสนุนชุมชนให้ได้มากที่สุดและทำให้คนเห็นว่างานคราฟต์มีความเซ็กซี่ยังไงบ้าง

Editor’s Note : Wisdom from Conversation

ความโมเดิร์นของ Kitt.Ta.Khon คือการเป็นงานคราฟต์ที่มีความ borderless
เบื้องหลังคอนเซปต์ดีไซน์ที่ดีไม่ใช่แค่ออกแบบแพตเทิร์นงานจักสานให้เป็นสินค้าที่สวยงาม แต่เป็นการออกแบบ pattern-of-life พัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีให้คนเบื้องหลังโดยใช้ deep empathy หรือความเข้าใจชุมชนอย่างลึกซึ้งเป็นสิ่งสำคัญในการคำนึงถึงทุก stakeholder ที่เกี่ยวข้องกับงานหัตถกรรมทั้งผู้คนและสิ่งแวดล้อม

การอนุรักษ์อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมทำได้ด้วยการถ่ายทอด cultural essence ออกมาเป็นงานออกแบบ accent piece ที่ถ่ายทอดความ kitsch ให้มีความเซ็กซี่ สร้างร้าน boutique ที่ขายเฟอร์นิเจอร์แบบแบรนด์แฟชั่นและออกแบบแฟล็กชิปสโตร์ให้เหมือนแกลเลอรีศิลปะ สร้าง statement piece ที่สวยสะดุดตาจนต้องเหลียวหลังมอง 

เบื้องหลังเชนซูชิสายพานเจ้ายักษ์ Sushiro กับการหมุนความเป็นญี่ปุ่นไปทั่วโลกด้วยบิ๊กดาต้า

ซูชิเป็นวัฒนธรรมอาหารที่นับว่าห่างไกลคนไทยแบบเราๆ เป็นเมนูที่เราอาจต้องคิดเล็กน้อยในการสั่งเนื่องจากราคาต่อชิ้นที่ไม่ถูกนัก 

ขณะเดียวกัน เราคนไทยก็อาจรู้จักกับซูชิราคาประหยัดของร้านค้าเล็กๆ ในตลาดนัด ที่ทำเมนูซูชิผสมผสาน กินง่าย ปรับรสชาติได้เข้ากับลิ้นได้อย่างน่าสนใจ เป็นซูชิที่เราเรียกว่าซูชิสิบบาท แต่บางเมนู อย่างเนื้อปลาลนไฟก็อาจอยู่ที่ราคา 20 บาทต่อคำ หรืออาจจะสูงไปถึง 25 บาท

อาจเรียกได้ว่าจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ภาพซูชิในห้างเริ่มเข้าถึงได้เกิดขึ้นเมื่อปี 2564 เมื่อร้านซูชิโร่ (SUSHIRO) แห่งญี่ปุ่นมาเปิดสาขาแรกที่ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ด้วยราคาเริ่มต้นที่ 40 บาทต่อจาน หรือจริงๆ ก็ตกอยู่ที่ 20 บาทต่อคำ ซึ่งไม่ห่างไปจากซูชิในท้องตลาดมากนัก จึงทำให้ซูชิโร่ตกลูกค้าบางกลุ่มที่อยากกินซูชิที่วัตถุดิบน่าจะดีกว่าตามตลาดขึ้นมาหน่อย แต่ก็ไม่อยากเสียเงินไปกินซูชิคำละร้อยที่กินครั้งหนึ่งกระเป๋าสตางค์สั่น

นั่นทำให้นับตั้งแต่วันที่เปิดร้านเรื่อยมาจนหลายเดือนให้หลัง ก็เกิดปรากฏการณ์ ‘รอร้อยคิว’ เพื่อเข้าไปทานซูชิในร้านซึ่งคือการรอร้อยคิวจริงๆ ไม่ใช่ความเปรียบ และแม้ปัจจุบันซูชิโร่ได้ลงหลักปักฐานในประเทศไทยและขยายไปกว่า 20 สาขาแล้ว การรอคิวก็ยังเป็นเรื่องธรรมดาที่หลายคนยินดีรอ

มากไปกว่าราคาที่รับได้ อีกสิ่งที่น่าสนใจคือซูชิโร่เองเป็นเครือซูชิสายพานที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น แม้หลายคนจะเข้าไปทานซูชิโร่กี่ครั้งก็ยังตื่นเต้น และยังอยากเดินไปนั่งริมสายพาน กดแท็บเล็ต และสนุกกับการหมุนไปมาของเจ้าจานสารพัดสี 

เพื่อฉลอง 4 ทศวรรษของซูชิโร่ในฐานะซูชิสายพาน Biztory ตอนนี้จะพาไปค้นเบื้องหลังว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้ร้านซูชิแท้ๆ เข้ามาอยู่ในใจชาวไทยได้ อะไรทำให้ซูชิโร่ทำซูชิคุณภาพดี มีปลาสดใหม่ แต่ราคาส่วนใหญ่อยู่บนจานสีแดงที่มีราคาเพียง 40 บาท

และเบื้องหลังความพิถีพิถันของอาหาร ผู้ช่วยเชฟคนสำคัญอย่างสายพานนั้นเริ่มต้นยังไง

1. ซูชิสบายๆ ที่กินได้ทุกคน

เครือซูชิโร่มีประวัติศาสตร์ค่อนข้างยาวนาน และมีพัฒนาการค่อยเป็นค่อยไปจนกลายเป็นแบรนด์ซูชิสายพานอันดับหนึ่ง จุดเริ่มแรกของซูชิโร่เกิดจากเชฟร้านซูชิที่มีชื่อว่าไท่ซูชิ (Tai Sushi) ที่เปิดขึ้นที่โอซาก้าในปี 1975  

ร้านไท่ซูชิเป็นร้านที่ได้รับความนิยมมากและขึ้นชื่อเรื่องความสดและรสชาติของวัตถุดิบจากท้องทะเล ด้วยความเชี่ยวชาญด้านอาหารและจิตวิญญาณของเชฟที่อยากให้ซูชิเป็นอาหารที่รับประทานได้ทุกคน รับประทานได้ในบรรยากาศสบายๆ ซูชิโร่จึงได้รับการก่อตั้งขึ้นเป็นร้านซูชิสายพานในปี 1984 เป็นร้านแรกในเมืองโทโยนากะ ในโอซาก้า

จิตวิญญาณสำคัญของซูชิโร่ยังอยู่ที่การส่งต่อซูชิที่รสชาติอร่อย วัตถุดิบสดใหม่ แม้ปัจจุบันซูชิโร่จะกลายเป็นร้านที่ทันสมัยแค่ไหน แต่ส่วนหนึ่งของร้านไท่ซูชิที่ตั้งใจเสิร์ฟซูชิสดอร่อยถึงมือทุกคนก็ยังดำรงอยู่เสมอ 

สิ่งที่เพิ่มเติมคือจิตวิญญาณความสดใหม่นี้ได้รับการปฏิบัติคือส่งถึงโต๊ะของเราได้จริง ก็ด้วยการใช้นวัตกรรมและการให้ความสำคัญกับคุณภาพ

2. จาก 5 เซนติเมตร ถึง 350 เมตร

จิตวิญญาณที่อยากนำซูชิให้กลายเป็นอาหารที่เข้าถึงง่าย ในบรรยากาศสบายๆ ต้องมองย้อนกลับไปก่อนว่าแต่ก่อนซูชิเป็นอาหารที่เคยต้องอยู่ในร้านอาหารระดับสูง คำถามสำคัญคือแล้วจะทำยังไงให้ซูชิกลายเป็นอาหารของมวลชนได้ 

เจ้าสายพานซูชิจึงถือกำเนิดขึ้นเพื่อทำให้ซูชิราคาถูกลง ลดการบริการ ทำให้เข้าใจง่ายด้วยระบบจาน เป็นการใช้เทคโนโลยีจากสายพานการผลิตของโลกอุตสาหกรรมมาใช้ในกิจการร้านอาหารซึ่งเปลี่ยนโฉมหน้าและตอบสนองพฤติกรรมการรับประทานอาหารนอกบ้านได้อย่างพอดิบพอดี

สายพานซูชิเกิดขึ้นในปี 1950 เป็นสิ่งประดิษฐ์สำคัญหนึ่ง และเป็นตัวแทนของการก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมอาหารและร้านฟาสต์ฟู้ดที่สะท้อนตัวตนความเป็นญี่ปุ่น สายพานเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 4 เซนติเมตรต่อวินาทีในตอนนั้นเป็นการเคลื่อนที่ที่เหมาะสม ไม่ช้าจนทำให้ซูชิเหี่ยวแห้งแต่ก็ไม่เร็วเกินไปจนกินไม่ทัน 

ปัจจุบันด้วยคำมั่นเรื่องความสดใหม่ การเดินทางของเจ้าซูชิบนสายพานของซูชิโร่มีกฎ 350 เมตร คือด้วยระบบติดตามที่ติดอยู่ในจานทุกใบที่เรียกว่า IC Tag จะทำหน้าที่แจ้งและควบคุมว่าซูชิที่เดินทางครบ 350 เมตรหรือราว 40 นาที จะต้องถูกนำออกจากสายพานไป

3. เมื่อจานซูชิคุยกับเชฟ และช่วยอ่านใจเรา

การมาถึงของสายพานทำให้ซูชิราคาถูกลงได้ ประหยัดพื้นที่ ประหยัดการบริการ สื่อสารง่าย ใช้สีและระบบที่เข้าใจได้ทุกชาติทุกภาษา สิ่งที่ซูชิโร่ทำต่อก็คือการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยขึ้นตามยุคเพื่อรักษาให้เจ้าซูชิของร้านยังคงความสดใหม่และรักษาระดับราคาไว้ได้

เจ้า IC Chip Tag นับเป็นการใช้นวัตกรรมด้านข้อมูล นอกจากพวกมันจะเอาไว้แสกนว่าเรากินซูชิไปกี่จาน และการใช้ระบุเวลาของเจ้าซูชิที่ไหลไปบนสายพานแล้ว ชิปเหล่านี้จะเป็นแหล่งข้อมูลที่ที่ซูชิโร่จะรวบรวมและประมวลผลเพื่อนำไปสู่ความเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคต่อไป

หมายความว่าเจ้าจานที่เราเห็นๆ และหยิบออกจากสายพานนั้น ในที่สุดพวกมันจะส่งข้อมูลไปยัง Supply Instructions System ข้อมูลนี้จะบอกเชฟว่าซูชิแบบไหนที่ควรจัดเตรียมเพิ่มเติม โดยข้อมูลจากเจ้าจานที่ถูกหยิบออกหรือไม่ถูกนำออกจะช่วยให้เชฟตัดสินใจทำซูชิแบบต่างๆ ออกไปให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของลูกค้า  

ด้วยข้อมูลและระบบสุดล้ำนี้ ทำให้ทางซูชิโร่ทำนายและจัดการกับวัตถุดิบได้อย่างแม่นยำ เจ้าระบบชิปที่อยู่ใต้จานช่วยให้ทางร้านลดปริมาณอาหารเหลือทิ้งลงจาก 10% เหลือเพียง 4% เท่านั้น

4. ข้าวที่ปั้นจากฝีมือหุ่นยนต์

แน่นอนว่าซูชิเป็นศาสตร์ขั้นสูง การปั้นข้าวและการฝึกฝนเพื่อเป็นเชฟซูชิ หลายท่านต้องใช้เวลาทั้งชีวิต แต่ด้วยการส่งต่อซูชิคุณภาพดีในพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลก เครื่องจักรและนวัตกรรมยังคงเป็นหัวใจที่ทำให้อาหารส่งถึงมือเราได้ ผลิตเป็นจำนวนที่เหมาะสม ในราคาที่เหมาะสมจากการผลิตในปริมาณมาก

การปั้นข้าวซึ่งเป็นหัวใจของร้าน ทางซูชิโร่ได้ใช้เครื่องจักรเข้ามาจัดการในการปั้นข้าว ทว่าเครื่องจักรปั้นข้าวของซูชิโร่มีความพิเศษคือสามารถปั้นข้าวได้เทียบเท่ากับฝีมือของมนุษย์ หัวใจอันประณีตคืออุณหภูมิของข้าวปั้นซึ่งเครื่องจักรของซูชิโร่จะปั้นข้าวในอุณหภูมิเทียบเท่ากับอุณหภูมิของมนุษย์ แต่ทว่าสามารถปั้นข้าวได้ถึง 3,500 ก้อนต่อชั่วโมง

ทั้งตัวเครื่องปั้นข้าว และระบบลำเลียงของร้านซึ่งมีกฎว่าต้องถึงมือลูกค้าภายใน 3 นาทีนับจากที่กดสั่ง ทำให้ซูชิโร่พาซูชิที่ปั้นด้วยเครื่องจักรแต่รักษาความอบอุ่นเทียบเท่ากับการปั้นโดยมนุษย์ไปยังทั่วโลกได้

5. ประสิทธิภาพที่มาพร้อมราคา

เมื่อซูชิมีรสอร่อย ปลาสด ราคาไม่แพง รวมถึงลูกค้าเยอะ แต่สามารถบริการซูชิถึงมือลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว รอไม่นานและสะดวกสบาย ทั้งหมดนี้จึงไม่แปลกที่เราเองจะนึกถึงซูชิโร่เป็นร้านแรกๆ เมื่ออยากกินซูชิ

ประสบการณ์ที่มีต่อร้านเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์สำคัญ ซูชิโร่ให้ความสำคัญกับการวางระบบเช่นความชัดเจนเรื่องการรอคิว จุดที่รอ การใช้แอพพลิเคชั่นเพื่อช่วยสื่อสารและอำนวยความสะดวกในการเข้าใช้บริการ จุดที่นั่งมีความหลากหลาย ตอบสนองทั้งการรับประทานตามลำพัง การกินข้าวกับเพื่อน ไปจนถึงการรับประทานอาหารแบบครอบครัว

ถ้าเราพูดเรื่องความสำเร็จของซูชิโร่ แน่นอนว่าราคาต้องเป็นเงื่อนไขลำดับแรกๆ ที่ชวนเราเข้าร้านซูชิโร่ได้อย่างง่ายดาย ซูชิส่วนใหญ่มาในจานสีแดง ตรงนี้เองดูเหมือนว่าซูชิโร่ในฐานะผู้นำพารสชาติญี่ปุ่นมาให้เราจะพยายามเชิญชวนให้เราลิ้มลองรสชาติใหม่ๆ ในราคาที่เราเข้าถึงได้ ลองกินได้

6. ซูชิจานเวียนที่เวียนฤดูกาลมาให้เรา

อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ซูชิโร่ยิ่งมีเสน่ห์คือการจัดเมนูเทศกาลในทุกๆ เดือน แม้ว่าเราจะนั่งอยู่ในห้างสักแห่งของกรุงเทพฯ แต่ซูชิโร่กลับพาเราไปยังความอุดมสมบูรณ์อันน่าภาคภูมิใจ พาเราไปเที่ยวทะเลและฤดูกาลความอุดมสมบูรณ์ที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย 

เราได้เจอหอยแปลกๆ ปลารสชาติใหม่ๆ การปรุงรสและการจัดการกับวัตถุดิบที่มีความซับซ้อน–ที่ขอย้ำว่า ปลาและซูชิรวมถึงอาหารในเทศกาลนั้นมาในกลุ่มราคาที่เราเข้าถึงได้

หลายครั้งเรารู้สึกว่าเรากำลังค่อยๆ เรียนรู้ถึงความเป็นญี่ปุ่นที่ด้านหนึ่งขยายการรับรู้และความเข้าใจของเราต่อวัตถุดิบและวัฒนธรรมอาหารญี่ปุ่น โดยเฉพาะความเชื่อมโยงต่อธรรมชาติและฤดูกาล 

การเข้าร้านซูชิโร่จึงเป็นการเรียนรู้ที่สนุกสนาน นับจากการเข้าร้านครั้งแรกที่เราเรียนรู้ระบบ การเข้าร้านครั้งต่อๆ ไป แม้เราจะบอกพนักงานว่าเราเข้าใจระบบต่างๆ แล้ว แต่เราเองก็จะได้เรียนรู้เมนูและสิ่งใหม่ๆ ที่เสิร์ฟในร้าน มีข้อมูลใหม่ๆ ที่สนุกสนานและเอร็ดอร่อยอยู่เสมอ

เมนู ความสร้างสรรค์ การทำโปรโมชั่นที่นำไปสู่การจัดการวัตถุดิบแปลกใหม่ ทั้งหมดนั้นก็ล้วนสัมพันธ์กับการใช้เทคโนโลยีที่ทำให้แบรนด์ตัดสินใจ ควบคุมราคา ปริมาณอาหาร และขยะอาหารได้ จนทำให้ซูชิโร่เป็นแบรนด์ที่ยังรักษาคุณภาพ ความน่าตื่นเต้น และความสดใหม่ของอาหารในสายพานและเมนูที่อัพเดตอยู่เสมอได้

ความเป็นญี่ปุ่นของซูชิโร่จึงไม่ได้มีแค่ผนังไม้ โซฟาสีเข้ม สายพาน และอาหารบนจาน แต่แทบจะทุกจุดจากเบื้องหน้าสู่เบื้องหลัง จากแท็กเล็กๆ ใต้จาน ถึงระบบข้อมูล จากการบริการของพนักงานที่รักษามาตรฐานแบบญี่ปุ่น ไปจนถึงการพาฤดูกาลที่หลากหลายมาหาคนไทยแบบเราๆ และแน่นอน ในจุดเล็กๆ น้อยๆ เช่นการสะสมแต้ม ตุ๊กตาซูชิและของสะสมต่างๆ ที่สุดจะคาวาอี้

ทั้งหมดนี้เป็นส่วนผสมทั้งจากมิติทางวัฒนธรรม จากปรัชญาที่มีจุดเริ่มต้นจากคำว่าส่งต่อซูชิอร่อยให้ทุกคน ประกอบเข้ากับองค์ประกอบ ‘มาตรฐานญี่ปุ่น’ และการหมุนไปข้างหน้าอย่างไม่รู้จบ เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมซูชิโร่ยังยืนหยัดอยู่ในอุตสาหกรรมร้านอาหาร และทำให้การกินซูชิเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนไทยได้ เหมือนกับอีกหลายประเทศ เช่น จีน เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และไต้หวัน

อ้างอิงข้อมูลจาก

Burger King x Carnival เบื้องหลังการคอลแลบสุดมันของสุดยอดเบอร์เกอร์กับตัวพ่อสายสตรีท

‘สิงห์’ ต้อนรับนักกีฬาพาราลิมปิกไทย พร้อมมอบเงินสนับสนุนหลังคว้าเหรียญมากที่สุด 30 เหรียญ 

ปี 2024 ถือเป็นปีที่เกมกีฬาทั่วโลกคึกคัก เพราะเป็นปีที่โอลิมปิกและพาราลิมปิกเวียนกลับมาอีกครั้ง และครั้งนี้จัดขึ้นที่ปรุงปารีส เมืองหลวงแห่งประเทศที่รุ่มรวยประวัติศาสตร์อย่างฝรั่งเศส

ที่ผ่านมา หลายคนน่าจะยิ้มแย้มแก้มปริกันได้ด้วยผลการแข่งขันของนักกีฬาโอลิมปิกไทยที่เอาชนะใจคนไทยไปได้หลายยก และหลังจากนักกีฬาโอลิมปิกไทยส่งไม้ต่อให้กับนักกีฬาพาราลิมปิกของไทยแล้ว เชื่อว่าหลายคนก็คงยินดีไปกับทุกความสำเร็จและความพยายามของเหล่านักกีฬามากขึ้นกว่าเก่า

ไม่ว่าจะด้วยข้อจำกัดทางร่างกาย เงินทุน และองค์ประกอบอีกมากมาย ปฏิเสธไม่ได้ว่านักกีฬาพาราลิมปิกไทยไม่แพ้ชาติใดจริงๆ เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2567 นี้เอง ‘ภูริต ภิรมย์ภักดี’ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด จึงอยากขอบคุณเหล่าฮีโร่พาราไทยด้วยการจัดงานเลี้ยง ‘ต้อนรับฮีโร่พาราไทยหัวใจสิงห์’ 

งานนี้ปิติ ภิรมย์ภักดี กรรมการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด, วรวุฒิ ภิรมย์ภักดี กรรมการ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด และร้อยโท ณัยณพ ภิรมย์ภักดี ประธานคณะกรรมการพาราลิมปิกแห่งประเทศไทย ยังร่วมต้อนรับเช่นกัน

ความน่าสนใจของพาราลิมปิกไทยปีนี้คือ ทัพนักกีฬาทำผลงานได้ดีที่สุดในประวัติศาสตร์เพราะคว้าได้ถึง 30 เหรียญรางวัล ได้แก่ 6 เหรียญทอง 11 เหรียญเงิน และ 13 เหรียญทองแดง อยู่อันดับที่ 21 ของโลก ทุบสถิติดีสุดที่เคยทำได้ ในพาราลิมปิกเกมส์ 2016 ที่ประเทศบราซิล 6 เหรียญทอง 6 เหรียญเงิน และ 6 เหรียญทองแดง ตอนนั้นจบอันดับที่ 23

ในงานสิงห์ยังได้มอบเงินรางวัลให้กับนักกีฬาที่ได้เหรียญทอง เหรียญละ 1,000,000 บาท, เหรียญเงิน 500,000 บาท และเหรียญทองแดง 300,000 บาท รวมแล้ว 15,400,000 บาท สิงห์ยังมอบเงินรางวัล ตอบแทนความมุ่งมั่นตั้งใจให้กับนักกีฬาและเจ้าหน้าที่ทุกคน รวม 157 คน คนละ 40,000 บาท รวม 6,280,00 บาท 

ที่ผ่านมา บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ยังเป็นผู้สนับสนุนหลักทุกสมาคมกีฬาคนพิการ ตั้งแต่ พ.ศ. 2548 เพราะเชื่อว่ากว่าที่นักกีฬาคนหนึ่งจะพัฒนาตัวเองจนเป็นส่วนหนึ่งของพาราลิมปิกเกมส์ได้นั้น ต้องแลกมาด้วยความทุ่มเทและเสียสละมากมาย และต่อให้ผลการแข่งขันจะออกมาอย่างไร สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าคือการได้เป็นตัวแทนของคนไทย

5P ของ ‘ไทรสุก’ กับ popsicle สีนกหายาก ตัวเงินตัวทองและกิจกรรมที่บอกว่าเขาใหญ่มีดีกว่าวิว

จากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่ถนนธนะรัชต์ ใช้เวลาไม่นานนักก็เดินทางมาถึงที่หมาย 

อาคารสีอิฐทรงสวยงามด้านหน้าตั้งเด่นเป็นสง่าแต่ยังไม่สะดุดตาเท่าเหล่าไม้ที่สูงตระหง่านให้ร่มเงา ไทรสุกคือชื่อของสถานที่ที่เราตั้งใจเดินทางมาจากเมืองกรุง

ไทรสุก คือศูนย์การเรียนรู้เกี่ยวกับเขาใหญ่ที่มีไอศครีม popsicle เป็นตัวชูโรง ไอศรีมแต่ละรสชาติมีสีสันที่ได้แรงบันดาลใจจากสิ่งมีชีวิตบนอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของไทย 

นกกก หมาใน แมวลายหินอ่อน นกจาบคาหัวสีส้ม กระทั่งรส I’m Here หรือตัวเงินตัวทอง–นี่คือตัวอย่างไอศครีมหลากรสของไทรสุกที่ทำให้หลายคนที่ไม่เคยสนใจธรรมชาติ ไม่คุ้นกับสัตว์ป่าในเขาใหญ่ก็ยังอยากลองชิมไอศครีมไทรสุกสักครั้งและอยากเห็นว่าสัตว์ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ไอศครีมเหล่านี้ รูปร่างหน้าตาเป็นยังไง

เต้ย–ปฤษฎิ์ เก่งสูงเนิน และ แนน–วราภรณ์ มงคลแพทย์ คือคู่รักหยิน-หยางที่ก่อตั้งสถานที่แห่งนี้ขึ้นมา

เต้ยเป็นช่างภาพสัตว์ป่าผู้เกิดและเติบโตมากับเขาใหญ่โดยแท้ อาชีพช่างภาพของเขาก็เป็นผลพวงธุรกิจครอบครัวที่จัดทัวร์ชมสัตว์ป่าบนเขาใหญ่ ส่วนแนนเป็นหญิงสาวผู้หลงรักการทำไอศครีมเป็นชีวิตจิตใจ แม้ไม่ได้มีความรู้เรื่องสัตว์ป่าเท่าเต้ย แต่เธอคือลูกหลานเขาใหญ่เจ้าของร้านอาหารบ้านหมากม่วงอันโด่งดัง

มุมมองของสถานที่ที่เรียกว่า ‘เขาใหญ่’ ของทั้งสอง จึงอาจไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวที่มีวิวสวยเขียวขจี แต่เป็นอะไรที่มากกว่านั้น  

“สำหรับเต้ย เขาใหญ่เหมือนสวนหลังบ้าน คือทรัพยากรธรรมชาติและสัตว์ป่า สำหรับเรา เขาใหญ่เป็นภูมิศาสตร์ที่ดีมากสำหรับเกษตรกรรม เรามีสภาพภูมิอากาศที่ดี มีดินที่ดี ปลูกพืชผลได้มีคุณภาพมากๆ ”

และเพราะมุมมองที่แตกต่างนั้นเอง จึงผสานรวมเป็นไทรสุก สถานที่ที่ทั้งคู่เอาความเชี่ยวชาญและความฝันที่อยากสื่อสารให้คนรู้จักเขาใหญ่มากกว่าแค่วิว 

Product
ประตูบานแรกสู่เขาใหญ่

แนนฝันอยากทำร้านไอศครีม

ส่วนเต้ยฝันอยากทำสถานที่ที่เป็นเสมือนประตูบานแรกให้คนได้รู้จักสัตว์ป่า รู้จักเขาใหญ่ในแบบที่เขาคุ้นเคย เพราะทั้งสองเชื่อว่าก่อนจะพูดเรื่องการอนุรักษ์ได้ ต้องเริ่มจากการทำให้ผู้คนรู้ถึงการมีอยู่ของสัตว์ป่าในเขาใหญ่เสียก่อน ถึงจะรู้ว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีคุณค่ายังไง

การมีฝันที่แน่วแน่นั้นสำคัญ แต่จากประสบการณ์การทำธุรกิจของทั้งคู่มานั้น ธุรกิจที่ดีต้องควบคู่กับ business model ที่ดีด้วย 

และนั่นคือที่มาของไทรสุก ที่แนนและเต้ยตั้งใจให้เป็นประตูบานแรกสู่เขาใหญ่

แนนเลือกทำไอศครีม popsicle เพราะ homemade popsicle ในเมืองไทยค่อนข้างยาก ส่วนใหญ่จะเห็นพวกแบรนด์ใหญ่ๆ ทำมากกว่า ความแตกต่างนี้เองเป็นสิ่งที่แนนคิดว่าน่าจะทำให้คนสนใจได้ อีกโจทย์คือเต้ยต้องการให้คนได้รู้จักสัตว์ป่าผ่านไอศครีมของแนน จึงเป็นที่มาของไอศครีมสีต่างๆ ที่ได้แรงบันดาลใจจากเฉดสีของสัตว์ป่า

“เต้ยเป็นช่างภาพสัตว์ป่าและเป็นไกด์ทัวร์ด้วย เขาเลยรู้จักสัตว์ป่าจริงๆ รู้จักพฤติกรรมสัตว์ป่า สามารถอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับสัตว์ป่าได้ ถ้าเขาเห็นนกแค่หางตาเขาก็ระบุได้แล้วว่าคือนกชนิดไหน ได้ยินเสียงอะไรร้องอยู่ไกลๆ ก็เดาได้เลยว่ามันจะต้องอยู่ตรงนี้แน่ๆ เต้ยเลยมีรูปสัตว์ป่าแทบทุกชนิด

“เราเองที่พอได้ทำไอศครีม popsicle หลายๆ เฉดสี ก็คิดว่าดิสเพลย์มันสวยจัง ส่วนเต้ยก็จะรู้สึกว่าสีสันที่เรียงกันอยู่นี้มันคือความหลากหลายทางชีวภาพของเขาใหญ่ ซึ่งสีเหล่านี้มันเป็นแค่เสี้ยวเดียวของความหลากหลายที่มีอยู่จริงในเขาใหญ่เท่านั้นด้วยซ้ำ” แนนย้อนเล่าถึง business plan ที่ทั้งคู่ช่วยกันเขียนขึ้น ขณะที่เต้ยคอยให้ความรู้แก่คนที่เดินเข้ามาในร้าน

การสื่อสารเรื่องราวของสัตว์ป่าและธรรมชาติของเขาใหญ่ผ่านไอศครีมของทั้งคู่นั้นยังจริงจังถึงขนาดที่ว่าต้องคล้ายหรือเหมือนเฉดของสิ่งมีชีวิตในเขาใหญ่จริงๆ เพราะแนนและเต้ยเชื่อว่าการส่งต่อความรู้ครั้งนี้จะต้องถูกส่งต่ออย่างถูกต้อง

“เหมือนเป็นเรื่องเล็กๆ นะแต่เราว่ามันสำคัญมาก เช่น นกหน้าตาคล้ายๆ กันแต่สีผิดเฉดก็คนละตัวกันแล้ว” ขณะที่แนนอธิบายถึงความสำคัญของการทำเฉดสีให้เหมือนสัตว์ป่าจริงๆ ที่สุด เต้ยก็เดินเข้ามาเสริมทัพ

“อย่างนกเงือกกับทูแคนคนก็จำสลับกันและนำภาพมาใช้สื่อสารหรือโฆษณาผิด นกเงือกมีที่เขาใหญ่ มีในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ทูแคนอยู่อเมริกาใต้ อเมริกากลาง สมมติเราทำแบนเนอร์มาโปรโมตวันนกเงือกแต่ใส่ภาพนกทูแคน มันก็จะบ่งบอกให้รู้แล้วว่าความรู้เรานั้นถูกต้องไหม 

“มากไปกว่านกสองตัวนี้ บางทีมันเป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เช่น บางตัวใช้เสียงในการแยก บางตัวขาสีอ่อนกว่านิดหน่อย บางตัวขนแพลมออกมานิดนึง หรือถ้าเป็นสัตว์เลื้อยคลานต้องจับพลิกท้องแล้วนับเกล็ด ถามว่าทำไมต้องจริงจังกับมัน เพราะผมว่าคือการพูดถึงความหลากหลายทางชีวภาพ” 

และนั่นนำมาซึ่งความซับซ้อนในการทำไอศครีมของแนน เพราะนอกจากจะต้องหาวัตถุดิบที่จะให้เฉดสีที่คล้ายของจริงแล้ว ยังต้องดูว่าวัตถุดิบแต่ละอย่างนั้นเมื่อนำมาเข้าคู่กันแล้วรสชาติอร่อยหรือผ่านแค่ไหน

“ไอ้เรื่องเล็กๆ นี่แหละมันทำให้พอทุกคนมายืนดูเมนูหน้าตู้ แล้วชื่อเมนูเราก็จะเป็นสัตว์ชนิดนั้นๆ ลูกค้าก็ได้เห็นว่าสีมันใช่เลย บางอันมันใช่เลยมากๆ”

รสชาติเขาใหญ่

‘ประตูสู่เขาใหญ่’ ไม่ได้เป็นคำที่ทั้งคู่ใช้นิยามความตั้งใจที่อยากให้ผู้คนรู้จักเขาใหญ่ในแบบที่ทั้งคู่เห็นเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงการคัดสรรวัตถุดิบดีๆ รอบเขาใหญ่มาใช้รังสรรค์เป็นไอศครีม

“ปากช่อง มวกเหล็ก สระบุรี เขาใหญ่ มันเป็นภูมิศาสตร์ทองคำสำหรับเกษตรกรรม มันไม่ใช่ทุกที่ในประเทศที่เราจะปลูกอะไรแล้วก็ให้ผลผลิตที่ดี และที่นี่ก็หลากหลายมาก มีทั้งพืชไร่ พืชสวน โคนม ฟาร์มปศุสัตว์ต่างๆ หรือสภาพอากาศแบบนี้ก็ทำให้เราปลูกองุ่นได้ 

“เราเลยพยายามอย่างมากที่จะเสาะหาเกษตรกรที่ตั้งใจทำผลผลิตดีๆ เช่น ไอศครีมที่เบสนมหรือครีมก็พยายามใช้จากฟาร์มโคนมในท้องถิ่นที่มีเยอะมากๆ อย่างรสนกกก ก็พยายามใช้มะม่วงน้ำดอกไม้ปากช่องที่เป็นท็อป 3 ของไทย 

“หรืออย่างรสนกขุนแผนหัวแดง ก็ใช้สตรอว์เบอร์รีที่เก็บและปลูกในเขาใหญ่ทั้งหมด แล้วเราก็ได้ไปเก็บในทุกเช้าก่อนเอามาทำ จะต้องเลือกสีแดงและสุกจัดบนต้นเพื่อให้รสหวานฉ่ำ ส่วนช็อกโกแลตก็พยายามเสาะหาโกโก้ที่ปลูกและ process ในโคราช เรียกว่ารสนี้แทบจะเป็น 100% local”

ลงลึกเขาใหญ่ 

ขณะที่เราสนทนากับแนนอยู่นั้น เต้ยก็รับแขกที่หลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย หน้าตู้ไอศครีมของไทรสุกเต็มไปด้วยลูกค้า ตามโต๊ะและเก้าอี้ในร้านก็เนืองแน่นไปด้วยคน ส่วนด้านนอกซึ่งเป็นที่ตั้งกิจกรรมนั้นก็มีลูกค้ากรุ๊ปเล็กใหญ่รอเข้าฐานที่เต้ยตั้งใจคัดเลือกมานำเสนอ

“ตั้งแต่เปิดร้านมา เราไม่คิดว่าคนไทยจะชอบกินไอศครีมขนาดนี้” แนนเล่าขำๆ หลักฐานความชอบทานไอศครีมของคนไทยก็เห็นอยู่เต็มตา

“ถ้ามาที่นี่วันเสาร์-อาทิตย์หรือวันหยุดยาวก็จะไม่มีที่ยืนเลย ทุกคนกินกันมากกว่า 1 แท่ง ส่วนใหญ่ก็จะซื้อกลับกัน แล้วตอนแรกคิดว่ากลุ่มลูกค้าจะเป็นวัยรุ่นหรือวัยทำงาน แต่กลายเป็นว่ากลุ่มที่มีเยอะมากๆ คือกลุ่มคุณแม่เรา หรือผู้ใหญ่ที่เขาให้คุณค่ากับวัตถุดิบที่ดี

“แต่สิ่งที่มากไปกว่านั้นคือเราดีใจที่สิ่งที่หวังผลมันเกิดขึ้นจริงๆ หมายถึงว่าไอ้ที่เราตั้งใจให้ไอศครีมเป็นด่านแรกที่ทำให้คนได้รู้จักสัตว์และธรรมชาติในเขาใหญ่มันก็เกิดขึ้นแล้วจริงๆ พอเขาดูไอศครีมเขาก็มาเทียบกับรูปที่เต้ยถ่ายแล้วเอามาติดในร้าน มันน่ารักมากเวลาเห็นพ่อแม่พาลูกๆ มาแล้วสอนลูกว่าอันนี้มันคือตัวนี้ไง สีนี้เหมือนไหมซึ่งมันอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นกับลูกค้าทุกคนหรอก แต่ว่าแค่ส่วนหนึ่งก็พอแล้ว”

แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าฐานที่ไทรสุกเปิดให้ร่วม เพราะแนนและเต้ยเองก็เข้าใจว่าความชอบคนเราย่อมไม่เหมือนกัน ไอศครีมจึงเหมือน key product ของแบรนด์ที่ทำให้คนเปิดใจ แล้วถ้าอยากลงลึกกว่านั้น ฐานเรียนรู้รอคุณอยู่

“มีทั้งคนที่พุ่งมากินไอศครีมเฉยๆ แต่ก็มีคนที่อยากเข้าฐานเรียนรู้ด้วยเหมือนกัน แต่เราคิดว่าทุกๆ องค์ประกอบ ตั้งแต่การตั้งชื่อเมนู การทำภาพเทียบมันคือกลไกที่ทำให้ทุกคนค่อยๆ รู้จักและจดจำได้ ไม่ต้องจำได้ทุกแท่งหรอก จำแค่รสที่ตัวเองสั่งได้ก็ดีแล้ว แล้วเราเชื่อว่าพอวันนึงที่เขามีโอกาสขึ้นไปบนเขาใหญ่เขาจะจำมันได้ เขาอาจจะสนุกที่จะมองหาสัตว์หรือพืชพันธุ์ที่เขาเคยเห็นจากไทรสุกมากกว่าแค่ดูวิว”

Price
ราคาที่ธุรกิจเติบโตได้

ช่วงราคาไอศครีม popsicle ของไทรสุกนั้นเริ่มตั้งแต่ 85 บาทขึ้นไป แต่ละสีสันและรสชาติยังมีราคาที่แตกต่างออกไป ขึ้นกับวัตถุดิบและความซับซ้อนในการทำไอศครีม ส่วนฐานกิจกรรมนั้นอยู่ที่ 290 บาทต่อท่าน จบกิจกรรมแล้วยังเลือกชิมไอศครีมหน้าตู้ได้ 1 รสชาติ

“ทุกคนมีราคาของไอติมแท่งที่คุ้นเคยมาแต่เดิมจากการเดินเข้าไปในร้านสะดวกซื้อแล้วก็ซื้อมันด้วยราคา 20 บาท 30 บาท ส่วนเจลาโต้ทุกคนจะมีภาพจำเดียวกันว่าราคามันสูงอยู่แล้ว ดังนั้น เรื่องราคาก็เป็นเรื่องยากและเป็นโจทย์ที่เราคิดเหมือนกัน”

แนนใช้ประสบการณ์การทำร้านอาหารมาอย่างยาวนานปรับใช้กับ business model ของไทรสุก ด้วยการนำต้นทุนทั้งหมดมาแจกแจงว่าหากต้องการคืนทันภายในระยะเวลาเท่านี้ ต้องขายไอศครีมกี่แท่งต่อปี นำมาซึ่งราคาขายเพื่อให้ธุรกิจเติบโตได้

“เราจะขายไอติมเท่าไหร่ก็ได้ 40 บาท 30 บาท เราทำได้หมดแต่อย่างนั้นเราจะใส่อะไรในไอศครีมได้บ้าง มันก็จะไม่เป็นไปตามความตั้งใจของเราที่อยากใช้วัตถุดิบท้องถิ่นคุณภาพดี อีกประเด็นคือด้วยที่ตั้งคือเขาใหญ่ เราเชื่อว่าลูกค้าจะรับได้หรือมีความเข้าใจประมาณหนึ่งว่าช่วงราคาของที่เขาใหญ่มันจะประมาณนี้นะ เพราะต้นทุนของเมืองท่องเที่ยวมันสูงอยู่แล้ว

“หน้าที่ของเราคือให้ทุกคนพูดว่าทำถึงทำเกิน เขาจะได้ไม่มีคำถามกับราคาที่มันสูงกว่าไอศครีมแท่งในท้องตลาดทั่วไป ส่วนแพ็กเกจที่ทุกคนเข้าฐานกิจกรรมได้ด้วย เราก็คิดว่ามันคุ้มค่า แต่ลูกค้าจะรู้สึกไหมก็ขึ้นอยู่กับว่าเขาเห็นคุณค่าในความรู้ชุดนี้หรือเปล่า”

ระหว่างที่เราสนทนากับแนนนั้น ไทรสุกก็มีคนเดินเข้ามาไม่ขาดสายจนอาจเรียกได้ว่า ‘ร้านแตก’ ก็ย่อมได้ ทั้งฐานกิจกรรมของไทรสุก ยังมีผู้คนมากหน้าหลายตา หลายช่วงอายุ ระหว่างการร่วมกิจกรรมยังมีเสียงหัวเราะคละเคล้าไปกับสีหน้าตื่นตาตื่นใจจากชุดความรู้เกี่ยวกับเขาใหญ่ที่หลายคนไม่เคยรู้มาก่อน

“บางคนอาจรู้สึกว่าฉันจะรู้ไปทำไม รู้ไปก็เอาไปใช้อะไรไม่ได้ในชีวิต แต่มันก็มีคนอีกหลายกลุ่มที่รู้สึกว่าความรู้ตรงนี้ดีต่อลูกเขานะ หรือถึงไม่ใช่ครอบครัวก็ยังมีคนที่รักการท่องเที่ยวเชิงการเรียนรู้อยู่ด้วย” เสียงอธิบายของแนนเปล่งออกมาพร้อมๆ กับเสียงนำฐานกิจกรรมของเต้ย

Place
ระบบนิเวศแบบไทรสุก

“มันเริ่มจากเราเลือกที่ที่มีระบบนิเวศ ที่นี่มีนกเงือกมาแทบทุกวัน เพราะมีป่าที่ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ การที่มีนกมาเพราะว่ามันมีแหล่งอาหาร ซึ่งที่นี่มีต้นไทรเยอะ ทุกครั้งที่มีไทรสุกเราก็จะเห็นนกนานาชนิดมารวมตัวกัน เหมือนมาบุฟเฟ่ต์ลูกไทร” คำอธิบายของแนนเฉลยที่มาของชื่อร้านไปในตัว

เมื่อได้ที่ผืนนี้มา เต้ยและแนนตั้งใจออกแบบพื้นที่ให้เอื้อกับการสัมผัสกับความเป็นธรรมชาติจริงๆ ร้านไทรสุกจึงเปิดโล่ง มองเห็นสีเขียว ภายในร้านยังตกแต่งด้วยภาพถ่ายสัตว์และธรรมชาตินานาชนิดที่เต้ยกดชัตเตอร์ด้วยตาของเขาเอง

ส่วนด้านนอกนั้นคือฐานเรียนรู้ที่ประกอบด้วย 7 ฐานด้วยกัน โจทย์สำคัญของทุกฐานคือต้องการให้ทุกคนรู้จักสิ่งมีชีวิตบนเขาใหญ่ คล้ายเป็นคู่มือเขาใหญ่ฉบับ 101 ดังนั้น สัตว์ป่าหรือพืชพันธุ์ในฐานจะต้องพบเห็นได้ไม่ยากจนเกินไป นอกจากนั้นยังต้องสนุกมากพอที่ทุกคนจะไม่หลับไปเสียก่อน เพื่อให้การลงลึกเรื่องเขาใหญ่นั้นน่าสนใจ

“เต้ยจะพูดเสมอว่าเขาใหญ่เป็นที่ที่ดูสัตว์ป่าง่ายที่สุดในประเทศแล้ว รูปสัตว์ป่าที่เห็นทั้งหมดเต้ยถ่ายจากถนนเกือบทั้งหมด บางทีมันอยู่หลังพุ่ม หรือบางทีเราไม่ได้สังเกต หรือไม่ได้รู้จักพฤติกรรมสัตว์ แค่นั้นเลย 

เพราะอย่างช่างภาพสัตว์ป่าแบบเต้ยหรือว่าคนที่ทำงานกับธรรมชาติและสัตว์ป่า เขาแค่รู้ว่าต้นไหนมีลูกไทรที่สุก เขาก็ไปรวมกันตรงนั้นเดี๋ยวก็เจอหมีเดี๋ยวก็เจอนก 

“แล้วเชื่อไหม 99% ของลูกค้าบริษัททัวร์ครอบครัวเต้ยเป็นคนต่างชาติที่บินข้ามน้ำข้ามทะเลมาเพื่อที่จะมาดูสิ่งนี้ เพราะทรัพยากรธรรมชาติบ้านเขามันเหลือน้อย ความหลากหลายทางชีวภาพก็ต่ำ เต้ยเขาเลยอยากจะให้คนไทยรู้จักว่าสิ่งนี้มันทำให้เราได้มรดกโลก มันไม่ใช่แค่วิวสวยหรืออากาศดีนะ”

พื้นที่ที่จะส่งต่อองค์ความรู้ที่ทั้งคู่ตั้งใจได้นั้นจึงต้องเป็นที่ตั้งปัจจุบันของไทรสุก แนนเล่าว่าพื้นที่แห่งนี้ มากไปกว่าความอุดมสมบูรณ์ คือ facility ที่ครบครัน ทุกคนรู้สึกได้ถึงความใกล้ชิดทางธรรมชาติ เต้ยสามารถพาดูสัตว์หรือดูนกได้ตามที่วางแผน ที่สำคัญยังอยู่ติดถนนซึ่งง่ายกับการเดินทาง

“แต่พฤติกรรมผู้บริโภคที่มาท่องเที่ยวในเขาใหญ่ก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องสถานที่ที่มันติดถนนขนาดนั้นหรอก เพราะเขามาตามกูเกิลแมปส์และทุกคนวางแผนก่อนมา ไม่ใช่วิ่งผ่านเจออะไรแล้วแวะ แต่การที่มันติดถนน ก็ทำให้เขาสามารถแวะมาได้มากกว่า 1 ครั้ง แถมยังมีที่จอดรถเพียงพอ คือมันต้องคิดทุกอย่างจริงๆ นะ ในการทำร้าน”

ปัจจุบัน นอกจากไอศครีม popsicle ของแนนและเต้ยจะวางขายหน้าร้านแล้ว ยังมีส่งขายต่างพื้นที่ด้วยเช่นกัน เพื่อกระจายความอร่อยและความรู้ไปให้ได้ไกลที่สุด ในทางหนึ่ง แน่นอนว่าเมื่อคนติดใจรสชาติ หรือได้เห็นที่มาของไอศครีมแต่ละรส ก็อาจช่วยดึงนักท่องเที่ยวเข้าพื้นที่ได้มากยิ่งขึ้น

Promotion
การตลาดเขาใหญ่

“จริงๆ เรามองว่าโปรดักต์มันไม่ได้แปลก แต่ที่มันโดดเด่นออกมาเพราะเรานำเสนอในคอนเซปต์ใหม่ และเราทำการตลาด เพราะโปรดักต์มันดีอย่างเดียวมันก็นอนอยู่ตรงนั้น มันไม่มีปาก มันไม่มีใครรู้จัก ดังนั้นเราก็เลยต้องทำการตลาดให้กับเขาด้วย”

หากสังเกตทุกๆ โพสต์ในเพจไทรสุก นอกจากแนะนำรสชาติไอศครีมแล้ว ด้านล่างของข้อความยังสอดแทรกความรู้เกี่ยวกับสัตว์ชนิดนั้นๆ ธรรมชาติ และระบบนิเวศเข้าไปด้วย และหากใครเป็นสายกินใน TikTok ก็เชื่อว่าน่าจะเคยเห็นคลิปไอศครีมไทรสุกผ่านตากันบ้าง

“ต้องยอมรับว่า TikTok มันมานะ แม้ว่าเราจะไม่เล่น ทำอะไรไม่เป็น แต่มันก็ต้องทำ เพราะมันคือกระแสของสังคมที่ไหลไป คลิปที่ไปส่วนใหญ่คือคลิปที่แกะไอศครีมออกจากแม่พิมพ์ เพราะเราคิดว่ามันคงหาดูไม่ได้ง่ายๆ 

“แต่มันไม่ใช่ว่าจะไปทุกคลิปหรอก เราอาศัยความพยายามที่จะทำ มันคือความตื๊อ ความดื้อ เดี๋ยวมันก็มาเอง แล้วทุกๆ คลิป ทุกๆ โพสต์ เราก็ทำอย่างตั้งใจเพราะเราเชื่อว่ามันเป็นกระบอกเสียงให้เราได้ดี และถ้าคนรู้จักเรามากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนั้นแหละที่เราจะทำให้คนได้รู้จักสิ่งมีชีวิตบนเขาใหญ่ตามที่ตั้งใจ”

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนว่าโปรดักต์ที่ดีต้องคู่กับคอนเทนต์ที่ใช่คือตอนที่ไทรสุกนำเสนอไอศครีมรสชาติใหม่ I’m Here ซึ่งเฉดสีได้รับแรงบันดาลใจจากเจ้าตัวเงินตัวทอง ทำให้โพสต์นั้นมียอดคนชมจำนวนมาก ทั้งยังทำให้ไทรสุกไปโลดแล่นในจอทีวี

 “อย่างพิศวงเขาใหญ่ มันคือพืชเฉพาะถิ่นที่มีและพบได้เฉพาะเขาใหญ่เท่านั้น ต้นมันเล็กมากเหมือนเห็ด จนอาจจะคิดไม่ถึงว่ามันมองเห็นได้ไม่ยาก เพราะอย่างที่ที่เราไปเจอ รถก็วิ่งผ่านไปผ่านมา ทุกคนวิ่งผ่านไปผ่านมา มันแค่นั้นเลย คือเราไม่รู้ เราไม่รู้ว่าสิ่งนั้นมันอยู่ตรงนี้ แล้วมันก็มีคุณค่า

“เราถึงคิดว่าสิ่งที่กั้นเราอยู่มันไม่ใช่ป่านะ แต่มันคือความที่คุณรู้หรือไม่รู้แค่นั้นเลย ดังนั้นเราเลยพยายามสื่อสารออกไปในช่องทางออนไลน์ของเรา”

People
คนในทีม คนในท้องถิ่น

ไทรสุกตั้งต้นจากความรักความตั้งใจของคน 2 คนก็จริง แต่ ณ วันนี้ที่เราได้มาเยือนศูนย์เรียนรู้ใต้ต้นไทรในเขาใหญ่แห่งนี้ เรากลับเห็นคนเบื้องหลังไทรสุกอีกมาก

ทั้งทีมทำไอศครีมที่ก้มหน้าก้มตารังสรรค์เมนูอร่อยๆ ให้เราได้ชิม ทีมฐานเรียนรู้ที่นำกิจกรรมอย่างสนุกสนาน ชวนให้การทำความเข้าใจเขาใหญ่นั้นเข้าถึงง่าย และทีมขายรวมถึงทีมสร้างสรรค์คอนเทนต์ที่ต้อนรับลูกค้าทุกคนด้วยใบหน้าสดใส

นั่นคงเป็นเหตุผลว่าทำไมแนนถึงยืนยันกับเราว่าอีก P ที่สำคัญของไทรสุกนั้นคือ People หรือคน 

“คนที่มีความรู้เฉพาะทางอย่างเต้ย ที่เซตแกนของไทรสุกขึ้นมา เทรนพนักงานให้มีความรู้พอๆ กับเขา ความรู้ที่เขามีทำให้ร้านมันออกมาเป็นรูปแบบนี้ ไม่ว่าใครก็ตามที่มีคำถามเกี่ยวกับธรรมชาติและสัตว์ป่าของเขาใหญ่ เขาคือคนที่ตอบได้ทุกอย่างจริงๆ เขาคือคีย์แมนของแบรนด์ก็ว่าได้

“หรืออย่างตัวแนนเอง ที่เป็นไอศครีมเมกเกอร์ เต้ยบอกมาว่าอยากให้ทำไอศครีมที่สื่อถึงอะไรในเขาใหญ่ เราก็ต้องเนรมิตได้ แล้วก็บุคลากรของเรา ที่ทุกคนพร้อมใจกันทำให้ไทรสุกมันเป็นแบบที่เราสองคนอยากให้เป็นจริงๆ”

และเพราะ ‘คน’ เป็นเรื่องสำคัญ แนนและเต้ยจึงให้อิสระในการทำงานและการคิดไอเดียใหม่ๆ พนักงานทุกคนมีสิทธิ์แชร์ว่าคอนเทนต์แบบไหนน่าจะไป หรือทีมไทรสุกจะพัฒนาสินค้าอะไรออกมาอีกได้บ้าง

เพื่อให้องค์กรขนาดย่อมแห่งนี้เป็นองค์กรที่เต็มไปด้วยความสนุก

“ผิดพลาดเหรอ แล้วยังไง ไม่เป็นไรเราก็ทำกันใหม่ได้ เพราะมันไม่มีใครอยากทำผิดพลาดอยู่แล้วไหม” วัฒนธรรมองค์กรของไทรสุกที่ทั้งสองคนเซตขึ้นมานี้ยังเป็นรากฐานสำคัญหากในวันหน้าทั้งคู่วางแผนขยายสาขาหรือออกสินค้าใหม่ๆ 

 “เราอยากเห็นไทรสุกในหลายที่มากขึ้นกว่านี้ เช่น เราอยากมีไทรสุกในกรุงเทพฯ แล้วก็สื่อสารว่าสัตว์หรือทรัพยากรของกรุงเทพมีอะไรบ้างที่คนอาจไม่เคยสังเกตเห็น แต่เราก็ไม่รู้ว่าเราจะไปได้ถึงแค่ไหนนะ เพียงต้องทำตรงนี้ให้ดีแล้วถ้ามีโอกาสก็อยากทำให้คนรู้จักที่อื่นๆ มากขึ้น

“มันไม่ใช่แค่อยากให้นักท่องเที่ยวรู้จักพื้นที่ในจังหวัดอื่น แต่เราอยากทำให้คนในจังหวัดหรือท้องถิ่นนั้นๆ รู้จักบ้านเกิดของตัวเองให้ดีพอ เพราะตั้งแต่เริ่มเปิดร้านมา เราก็พยายามเปิดให้เด็กนักเรียนในโรงเรียนท้องถิ่นมาเรียนรู้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายสักบาท 

“สิ่งที่เราและเต้ยได้รู้คือยังมีเด็กๆ ในเขาใหญ่อีกมากที่ไม่เคยขึ้นเขาใหญ่เลย โรงเรียนไม่เคยพาขึ้น พ่อแม่ไม่เคยพาขึ้น ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงสเตปที่ให้เขาอยากกลับมาพัฒนาท้องถิ่นหรือทำงานที่บ้านเลย แล้วเราก็พบว่ามันมีจริงๆ นะ เด็กที่บอกว่าหนูอยากกลับมาพัฒนาที่บ้าน เรารู้สึกว่าไอ้เรื่องนี้มันมีค่ากับเรามากแล้วมันจะเป็นยังไงถ้ามันไม่ได้มีแค่ที่นี่ แต่มีที่อื่นด้วย” แนนเน้นย้ำความตั้งใจ

What I’ve Learned

1. แนน: “ในมุมของเรา ไม่ใช่ว่าแพสชั่นไม่สำคัญ แต่มันไม่มีทางที่มีแพสชั่นอย่างเดียวแล้วจะเวิร์ก แต่มันต้องมาพร้อมการวางแผนที่ดีด้วย อย่างที่หลายคนบอกว่าล้มในกระดาษมันจริงนะ จริงอยู่ที่ว่าเราไม่สามารถคาดการณ์ทุกอย่างได้หรอก แต่อย่างน้อยการที่เราวางแผนไว้ มันจะทำให้เรามีข้อมูลช่วยตัดสินใจ”

2. แนน: “เราเชื่อในพลังของการสร้างแบรนด์ มันสำคัญสำหรับการทำธุรกิจสมัยนี้จริงๆ สำคัญกว่านั้นคือการสื่อสารแบรนด์ออกไป บิลด์ให้มันเป็นแบบที่เราตั้งใจ”

3. แนน: “ถ้าเราจะขายไอศครีมเฉยๆ มันก็ได้ เราก็ตั้งไอติมไว้แล้วก็ขาย มีป้ายราคา มีแคชเชียร์ มันก็จบ แต่ในทุกๆ วันเราพยายามจะเดินไปอธิบายลูกค้าว่าสิ่งนี้มันคืออะไร ไอ้สิ่งเหล่านั้นแหละมันคือ relation ที่เราให้กับลูกค้าและทำให้เขาเข้าใจแบรนดิ้งที่เราสร้าง”

21 ร้านโลคอลฉบับอัปเด็ด 7 ย่านดังในกรุงเทพฯ ที่ไปเยือนก็ดีสั่งผ่านแอป Robinhood ก็ได้

ปรากฏการณ์หนึ่งที่น่าสนใจสำหรับสายกินในช่วงหลายปีมานี้คือการที่มีร้านเล็กเจ้าเด็ดผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดจนเกาะกลุ่มกลายเป็นย่านร้านอร่อย แต่ละย่านก็มีร้านเด็ดร้านดังที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและมีเสน่ห์มากพอที่จะดึงดูดให้แฟนๆ ได้มาลิ้มลองกัน 

วันนี้พวกเราเลยตั้งใจมาแจกลายแทง 21 ร้านโลคอลชื่อดัง ประจำ 7 ย่านสุดคึกคักในกรุงเทพฯ ทั้งในฝั่งพระนครและฝั่งธนบุรี มีทั้งย่านอารีย์, บางกะปิ, บรรทัดทอง, ตลาดน้อย, เจริญนคร, วงเวียนใหญ่ ไปจนถึงตลาดพลู

หมดปัญหาคิดไม่ออกว่าวันนี้จะกินอะไรดี เพราะลิสต์นี้ครบครันทั้งเมนูคาวหวาน ทั้งร้านในตำนานที่เปิดมาแล้วร่วมร้อยปีที่ครองใจคนหลายเจเนอเรชั่น ไปจนถึงร้านหน้าใหม่แต่ฝีมือฉมังจนมีลูกค้ามาต่อคิวหน้าร้านมากมาย 

สำหรับใครที่มีเวลา เราขอเชิญชวนให้ลองไปเยือนแต่ละย่านสักครั้ง แต่ถ้าตอนนี้ยังไม่อยากออกจากบ้าน ขี้เกียจออกไปฝ่ารถติด ไหนจะต้องวนหาที่จอดรถอีก แล้วยังต้องไปลุ้นว่าคิวหน้าร้านจะยาวแค่ไหน จะบอกว่าร้านต่างๆ ที่เราคัดสรรมานี้ล้วนมีในแอปพลิเคชั่น Robinhood แค่เช็กเวลาเปิด-ปิดแล้วก็กดสั่งกันได้เลย

หรือถ้าไม่รู้จะกินอะไรดีใน Robinhood ก็ยังมีร้านเล็ก ร้านอร่อย ให้เลือกอีกเพียบ แล้วถ้าใครสั่ง 250 บาทขึ้นไปก็อย่าลืมใส่โค้ด KINRAIDEE รับส่วนลดไปเลย 50 บาท ซึ่งโค้ดจะใช้ได้กับร้านโปรดีดีพลัส และร้านโปรดีดี เริ่มใช้โค้ดได้ตั้งแต่วันนี้ – 16 ตุลาคม 2567 รีบใช้กันนะ เพราะโค้ดนี้มีจำนวนจำกัด เข้าแอปแล้วไปสั่งกันได้เลย https://go.rbh.app/PAgI/ktufaf3y

อารีย์

เลลาว

สั่งได้ที่ : https://static.robinhood.in.th/app_link.html?URI=robinhoodth://merchantlist/1502 
พิกัด : maps.app.goo.gl/piDVgtEZx6XQARS28  
ช่องทางติดต่อร้าน : 062-453-5588  

หากเสิร์ชในกูเกิลด้วยคีย์เวิร์ดว่าของอร่อยย่านอารีย์ ชื่อของ ‘เลลาว’ น่าจะปรากฏขึ้นในคำค้นหาอันดับต้นๆ ของใครหลายคนเป็นแน่ 

จากจุดเริ่มต้นของครอบครัวชาวหัวหินที่มีใจรักในอาหารอีสาน พัฒนาสูตรจนได้รสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ และกลายมาเป็นร้านอาหารอีสานที่หลายคนรัก ได้รับคำชื่นชมจากกูรูหลายสำนัก ทั้งยังได้รับรางวัล Bib Gourmand 6 ปีซ้อนจากทาง MICHELIN Guide อีกด้วย

อาหารมีให้เลือกมากมาย แต่เมนูชื่อดังที่หลายคนไปแล้วมักจะสั่งกันก็คือ ตำหลวงพระบางที่ตัวเส้นจะมีความกรอบแซ่บครบเครื่อง ข้าวขยำปูหอมอร่อยถึงเครื่องแกง  และหมึกไข่เลลาวที่เป็นซิกเนเจอร์ของร้าน 

ส่วนบรรยากาศของร้านนั้นตกแต่งมาในแนวสบายๆ สวนทางกับรสชาติอาหารที่แซ่บถึงใจ ถ้าใครที่กำลังรู้สึกน้ำลายสอ  อยากกินของแซ่บๆ ตอนนี้เลยแต่ยังไม่มีเวลาออกไป ก็กดสั่งเมนูของเลลาวใน Robinhood ได้เช่นกัน 

1000 เส้น

สั่งได้ที่ : https://static.robinhood.in.th/app_link.html?URI=robinhoodth://merchantlist/1503
พิกัด : maps.app.goo.gl/HjBWSPCt9kkBbJpz9
ช่องทางติดต่อร้าน : 086-066-1000

ร้านก๋วยเตี๋ยวที่โดดเด่นด้วยคอนเซปต์ของการมีเส้นให้เลือกหลากหลายมากมาย เปรียบเหมือน 1,000 เส้น ไม่ว่าจะเป็นเส้นสไตล์ไทย จีน ญี่ปุ่น ไปจนถึงอิตาลี ที่นี่ก็มีให้เลือกทั้งนั้น เอามาจับคู่กับเมนูและเครื่องเคียงที่มีให้เลือกหลากหลายทั้งหมู เนื้อ ซีฟู้ด และวัตถุดิบอื่นๆ อีกมากมาย 

เป็นร้านที่ทำให้เราได้เปิดประสบการณ์กินเส้นแบบใหม่ๆ ที่เหมือนให้คุณได้คัสตอมเมนูเส้นของตัวเอง จะทำเมนู East Meets West เอาเส้นเฟตตูชินีมาผสมกับหมูแดง หมูกรอบก็ได้เช่นกัน 

นอกจากเส้นทั้งหลาย ที่ร้านก็ยังมีเมนูที่เป็นข้าวและอาหารอื่นๆ ให้เลือกสั่งได้อีกเพียบ ถ้ายังคิดไม่ออกว่าจะกินอะไรดี เข้าไปเช็กเมนูน่าสนใจของ 1000 เส้นใน Robinhood ได้เลย 

Cast Iron Burgerhaus

สั่งได้ที่ : https://static.robinhood.in.th/app_link.html?URI=robinhoodth://merchantlist/1504
พิกัด : maps.app.goo.gl/P39HWEZEsbHC3zJf8
ช่องทางติดต่อร้าน : 062-920-0300

Cast Iron Burgerhaus ร้านเบอร์เกอร์เล็กๆ ที่ย่านอารีย์ ที่ถูกทำมาอย่างพิถีพิถัน เป็นเบอร์เกอร์สไตล์อเมริกัน เสิร์ฟมาแบบชิ้นใหญ่ ใช้วัตถุดิบพรีเมียม มีเบอร์เกอร์ให้เลือกหลากหลายไม่ว่าจะเป็นเบคอนชีสเบอร์เกอร์ หรือสแมชเบอร์เกอร์ก็ตาม นอกจากเบอร์เกอร์แล้ว ร้านยังมีเมนูอื่นๆ ให้เลือกอีกมากมาย เช่น สลัด สปาเกตตี และเฟรนช์ฟรายส์ ที่มาคู่กับซอสสูตรพิเศษของทางร้าน

ตัวร้านตกแต่งได้อย่างสวยงาม นั่งได้แบบสบายๆ ตกดึกหน่อยร้านเบอร์เกอร์แห่งนี้ก็เปลี่ยนมู้ดเป็นที่แฮงเอาต์ขนาดย่อมๆ ที่มีเครื่องดื่มให้เลือกจิบกันแบบชิลล์ๆ คู่กับเบอร์เกอร์กัน เป็นอีกร้านที่เหมาะกับวัยรุ่นอารีย์ไวบ์ดีอย่างมาก 

บางกะปิ

กระเอบ ข้าวซอย ขนมจีนน้ำเงี้ยว

สั่งได้ที่ : https://static.robinhood.in.th/app_link.html?URI=robinhoodth://merchantlist/1505
พิกัด : maps.app.goo.gl/gpvyHNsEe5r1FwgP8
ช่องทางติดต่อร้าน : 088-949-5397

ข้าวซอย อาหารเหนือที่หากินได้ไม่ยาก แต่หาร้านที่ทำอร่อยจริงๆ ไม่ง่าย ซึ่งแถวบางกะปิจะมีข้าวซอยเจ้าอร่อยอยู่ร้านนึงอยากแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักกัน นั่นคือร้านที่มีชื่อว่า ‘กระเอบ’

ตัวน้ำข้าวซอยเข้มข้น เส้นดี ไก่นุ่ม รสชาติอร่อยแบบกลับไปกินซ้ำได้บ่อยๆ นอกจากนี้ที่ร้านก็ยังมีเมนูขนมจีนน้ำเงี้ยวให้สั่งได้ด้วยนะ รสชาติลำขนาด ใครไม่อยากฝ่าลมฝ่าฝนก็เข้าไปสั่งที่แอป Robinhood กันได้เลย

ครัวผักปลา

สั่งได้ที่ : https://static.robinhood.in.th/app_link.html?URI=robinhoodth://merchantlist/1506
พิกัด : maps.app.goo.gl/6pRKQfs6cVqSai2EA
ช่องทางติดต่อร้าน : 02-033-1713

ร้านอาหารไทยที่เน้นวัตถุดิบสดใหม่ เมนูอร่อยหลากหลาย ไม่ว่าเป็นจะแกงเขียวหวานไก่รสชาติเข้มข้น หอมเครื่องแกง กินคู่กับผักรวม, น้ำพริกปลาทูรสชาติจัดจ้าน กินคู่กับผักสดหลากชนิด, ขาหมู-คากิ สั่งมากินคู่กับหมั่นโถวเนื้อนุ่ม สุดอร่อย

ส่วนซิกเนเจอร์ที่หลายเสียงแนะนำให้สั่งกันคือต้มยำกุ้งน้ำใส รสชาติจัดจ้านถึงเครื่อง ซดคล่องคอ กุ้งสดตัวโต และปลาทอดราดพริก ปลาสดเนื้อแน่น ทอดได้เหลืองกรอบ ราดด้วยน้ำพริกที่ปรุงรสกลมกล่อม

บรรยากาศร้านสบายๆ เป็นกันเอง ตกแต่งด้วยโทนสีอุ่นและมีการนำเฟอร์นิเจอร์ไม้มาใช้ แนะนำให้มากันหลายคน เพราะมีหลายเมนูน่ากิน

หากมองหาร้านอาหารสำหรับครอบครัวอยู่ร้านนี้น่าจะตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี เพราะเมนูหลากหลาย กินได้ทุกวัยในครอบครัว

หนึ่งปูม้า ทะเลเผา

สั่งได้ที่ : https://static.robinhood.in.th/app_link.html?URI=robinhoodth://merchantlist/1507
พิกัด : maps.app.goo.gl/WmzEbwgz951d5zj16
ช่องทางติดต่อร้าน : 089-140-4800

หนึ่งปูม้า ทะเลเผา ร้านอาหารทะเลรสเด็ดในย่านบางกะปิ

เมนูของทางร้าน มีให้เลือกหลากหลาย ตั้งแต่เมนูยอดฮิตอย่างปูม้าตัวโตเนื้อแน่น กุ้งสดตัวใหญ่ หอยเชลล์หวานฉ่ำ ไปจนถึงเมนูปรุงสุกอย่างยำทะเลรสแซ่บ และต้มยำกุ้งน้ำข้นรสจัดจ้าน นอกจากนี้ยังมีเมนูอื่นๆ ให้เลือกอีกมากมาย เช่น ปลากะพงทอดน้ำปลา ปลาหมึกผัดไข่เค็ม และหอยนางรมสด

ด้วยความสดใหม่ของวัตถุดิบ รสชาติที่อร่อย และบรรยากาศที่สบายๆ  ทำให้หนึ่งปูม้า ทะเลเผาเป็นร้านโปรดของใครหลายๆ คน สั่งเดลิเวอรีมากินที่บ้านวัตถุดิบก็ยังคงความสดใหม่ไว้อยู่

เจริญนคร

ห้าใบเถา

สั่งได้ที่ : https://static.robinhood.in.th/app_link.html?URI=robinhoodth://merchantlist/1508
พิกัด : maps.app.goo.gl/JBxC36b1FKWYB7rw5
ช่องทางติดต่อร้าน : 085-353-5597

ร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าเก่าแก่ที่อยู่คู่เจริญนครมานานหลายปี เมื่อ 4-5 ปีก่อนชอบทำร้ายลูกค้าด้วยคำพูดเบาๆ ว่า “น้อง หมูกรอบหมดแล้ว” แต่ปัจจุบันร้านย้ายที่ตั้งมาอยู่ฝั่งตรงข้าม พร้อมขยายเวลาเปิดเลยขยายเวลาและปริมาณของหมูกรอบตามไปด้วย คราวนี้ตื่นสายยังไงก็ยังได้กินหมูกรอบอยู่

ทีเด็ดของร้านนี้คือหมูกรอบและตับที่ทำมาได้อย่างดี กินกับผักจิงจูที่ทางร้านใส่มาในชามที่ไม่ค่อยเห็นร้านก๋วยเตี๋ยวร้านอื่นใส่กัน

ร้านนี้แอบหาที่จอดรถยาก ดังนั้นถ้าใครอยากกินหมูกรอบกรุบๆ ของร้านนี้ ก็สามารถกดสั่งจาก Robinhood ได้เลย

บ้านขนมปัง 

สั่งได้ที่ : https://static.robinhood.in.th/app_link.html?URI=robinhoodth://merchantlist/1509
พิกัด : goo.gl/maps/R4oXU6Zh8TniniiB9
ช่องทางติดต่อร้าน : 02-438-0413

ร้านเบเกอรีโฮมเมดชื่อดังที่เปิดมานานกว่า 30 ปี หน้าตาโอลด์สคูลมีเบเกอรีที่ชวนให้เราคิดถึงวัยเด็กหลากหลาย ทั้งเค้กและขนมปังหลากหลายชนิด 

แต่ทีเด็ดของร้านนี้คือเอแคลร์ที่ตัวแป้งอร่อย ไส้ล้นทะลัก หวานละมุน มีให้เลือก 2 รสชาติด้วยกันคือวานิลลาและช็อกโกแลต แนะนำให้กินแบบเย็นๆ จะอร่อยกว่ามาก

ลูกค้าหลายคนกินตั้งแต่ยังเป็นเด็ก จนตอนนี้มีลูกแล้วก็ยังวนมาซื้อร้านนี้อยู่เป็นประจำ 

ร้านนี้อยู่ในเวิ้งเดียวกับห้าใบเถา ดังนั้นความยากในการหาที่จอดรถก็เลยอยู่ในเลเวลเดียวกัน จึงขอแนะนำเช่นเคย ถ้าขี้เกียจวนหาที่จอดรถก็เข้า Robinhood แล้วเสิร์ชชื่อร้านบ้านขนมปังได้เลย 

Indian Food 17

สั่งได้ที่ : https://static.robinhood.in.th/app_link.html?URI=robinhoodth://merchantlist/1510
พิกัด : maps.app.goo.gl/ffsZnDRYhdAV9CRVA
ช่องทางติดต่อร้าน : 087-021-2203

เมื่อพูดถึงร้านอาหารอินเดียแถวเจริญนคร ‘Indian Food 17’ จะเป็นชื่อในลิสต์ลำดับต้นๆ ของใครหลายคน เพราะนี่เป็นร้านอาหารอินเดียเจ้าแรกๆ ที่อยู่ในย่านนี้ 

มีจุดเริ่มต้นมาจากเจ้าของร้านที่แต่งงานกับสามีซึ่งเป็นชาวอินเดีย จึงทำให้เธอได้เรียนรู้วิธีการทำอาหารอินเดียแท้ๆ ตามแบบต้นฉบับ

มีเมนูให้เลือกหลากหลาย ทั้งไก่ย่างทันดูรี, ปานิปุรี, ปาปีจาด, มาซาลาปาปาดัม ตัวร้านสีเขียวตกแต่งมาในบรรยากาศที่เป็นเหมือนมินิอินเดีย มัดใจลูกค้าให้กลับมากินซ้ำได้ด้วยรสชาติอาหารที่จัดจ้านถึงเครื่องเทศ ในราคาที่เข้าถึงได้ 

วงเวียนใหญ่

สมศักดิ์ปูอบ

สั่งได้ที่ : https://static.robinhood.in.th/app_link.html?URI=robinhoodth://merchantlist/1511
พิกัด : maps.app.goo.gl/XeBqov8nj37odfrh7
ช่องทางติดต่อร้าน : 089-494-1000

นี่คือร้านที่มีจุดเริ่มต้นมาจากรถเข็นเล็กๆ ที่อยู่ย่านเจริญรัถ จากความชื่นชอบในการทำอาหารทะเลของคุณสมศักดิ์ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้ง พัฒนาสูตรจนกลายมาเป็นปูอบวุ้นเส้นอันเลื่องชื่อ กลายมาเป็นของดังประจำย่านที่หลายคนมาต่อคิวเพื่อรอกิน 

จนปัจจุบันสมศักดิ์ปูอบได้ขยายไปหลายสาขา เมนูดังคือปูอบ กุ้งอบ ทีเด็ดของร้านนี้อยู่ที่ตัววุ้นเส้นที่จะมีความ หนึบ อร่อย ปรุงรสมาได้อย่างดี กินกับปูและกุ้งสดๆ อร่อย 

ด้วยความเฟมัสของร้าน บางครั้งที่ไปคิวก็จะยาวหน่อย ดังนั้นถ้าขี้เกียจไปรอเอง ก็สั่งผ่าน Robinhood ได้นะ 

ทับทิมกรอบแม่ดวงพร

สั่งได้ที่ : https://static.robinhood.in.th/app_link.html?URI=robinhoodth://merchantlist/1512
พิกัด : maps.app.goo.gl/zYsrGD5NiBHbnXdY9
ช่องทางติดต่อร้าน : 062-426-6563

ร้านทับทิมกรอบแม่ดวงพร มีต้นกำเนิดมาจากสูตรทับทิมกรอบดั้งเดิมที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคนโดยคุณแม่ดวงพร เจ้าของร้าน ได้นำสูตรนี้มาปรับปรุงพัฒนาให้มีรสชาติที่ถูกปากคนรุ่นใหม่มากขึ้น แต่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ความอร่อยแบบดั้งเดิมไว้ได้เป็นอย่างดี จนกลายเป็นร้านขนมหวานที่โด่งดังในย่านลาดหญ้า

นอกจากทับทิมกรอบแล้ว เมนูซาหริ่มของร้านนี้ก็อร่อยเช่นกัน กะทิหอมหวาน กินกับน้ำแข็งเย็นๆ เป็นการเติมความสดชื่นในวันที่อากาศร้อนๆ ได้เป็นอย่างดี สั่งกลับบ้านทางร้านก็แพ็กน้ำแข็งมาให้ด้วย 

รสเลิศ ซีฟู้ด

สั่งได้ที่ : https://static.robinhood.in.th/app_link.html?URI=robinhoodth://merchantlist/1513
พิกัด : maps.app.goo.gl/rKbdW43VsGQkfMhu6
ช่องทางติดต่อร้าน : 02-465-1054

ร้านซีฟู้ดที่รสชาติเป็นเลิศ ขึ้นชื่อเรื่องปูทะเลและกุ้ง วัตถุดิบสดใหม่ ปรุงมาได้อย่างเข้ารส เมนูดังของร้านคือปูผัดผงกะหรี่และกุ้งผัดพริกไทยดำ 

เป็นร้านที่อยู่คู่ย่านวงเวียนใหญ่มานาน หน้าตาร้านดูเก่าแก่ รสชาติเก๋ามือฉมัง ให้ฟีลเหมือนได้นั่งกินข้าวในห้องอาหารสมัยก่อน 

บรรทัดทอง 

น้ำเต้าหู้เจ๊วรรณ

สั่งได้ที่ : https://static.robinhood.in.th/app_link.html?URI=robinhoodth://merchantlist/1523
พิกัด : maps.app.goo.gl/zQgWkJAZsHckJNtJ7
ช่องทางติดต่อร้าน : 099-114-9722

ร้านน้ำเต้าหู้เจ้าดังย่านบรรทัดทองที่เป็นเซฟโซนของหลายๆ คน รสชาติอร่อยวางใจได้ มีเครื่องให้เลือกใส่กับน้ำเต้าหู้หลากหลาย นอกจากน้ำเต้าหู้ ที่นี่ก็ยังมีเมนูน้ำขิงและเต้าฮวยให้สั่งได้ด้วยเช่นกัน นับเป็นอีกหนึ่งร้านย่านบรรทัดทองที่พลาดไม่ได้ ใครไม่อยากรอคิวนานแนะนำให้สั่งแบบกลับบ้าน แต่ถ้าใครขี้เกียจออกจากบ้านก็สั่งผ่าน Robinhood ได้เลย 

ถ้วยถังไอติม จุฬา 12

สั่งได้ที่ : https://static.robinhood.in.th/app_link.html?URI=robinhoodth://merchantlist/1515
พิกัด : maps.app.goo.gl/y8Dj6L4TKpTXVGPb8
ช่องทางติดต่อร้าน : 061-421-4702

ร้านไอศครีมโฮมเมดที่เป็นเหมือนตัวปิดจบเวลามาเที่ยวบรรทัดทอง ไอศครีมที่นี่มีทั้งถั่วตัด เกาลัด มันม่วงญี่ปุ่น น้ำเต้าหู้งาดำ และอีกหลากหลายรสชาติ ที่เสิร์ฟมาพร้อมขนมไม่ว่าจะเป็นหมั่นโถวทอดสุดอร่อยที่อยากให้ทุกคนได้ชิม หมั่นโถวนึ่ง หรือคาราเมลพุดดิ้งละลายในปาก และยังมีท็อปปิ้งให้เลือกกินคู่กันได้ตามชอบ ที่ร้านไม่ได้มีแค่ไอศครีมเท่านั้น ยังมีเครื่องดื่มซิกเนเจอร์อีกหลายเมนู ใครอยากตบท้ายมื้อด้วยไอศครีมและเครื่องดื่มอร่อยๆ เข้า Robinhood แล้วกดสั่งได้เลย

หมูสะเต๊ะนายซ้ง บรรทัดทอง 

สั่งได้ที่ : https://static.robinhood.in.th/app_link.html?URI=robinhoodth://merchantlist/1516
พิกัด : maps.app.goo.gl/XQTfNTHWz7kBufUN7
ช่องทางติดต่อร้าน : 081-432-5411

ของดีบรรทัดทอง ที่ไปทีไรก็เห็นคนแน่นร้านตลอด เปิดมานานกว่า 40 ปีแล้ว ตัวหมูนุ่มๆ มีความ juicy ย่างกับเตาถ่านกลิ่นหอมหวนมาก กินกับน้ำจิ้มถั่วที่มีความมันๆ และอาจาดที่ทางร้านเสิร์ฟมาคู่กัน บวกกับหมูร้อนๆ เป็นความอร่อยที่ลงตัวสุดๆ ใครไม่อยากฝ่ารถติด กดสั่งผ่าน Robinhood ได้เลย

ตลาดพลู

บะหมี่ตงเล้ง

สั่งได้ที่ : https://static.robinhood.in.th/app_link.html?URI=robinhoodth://merchantlist/1517 
พิกัด : maps.app.goo.gl/yqZea5B6H2zjJsfSA
ช่องทางติดต่อร้าน : 083-073-1982, 081-489-3484

ร้านบะหมี่ตงเล้ง มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 60 ปี โดยรุ่นปู่เป็นผู้เริ่มต้นทำบะหมี่ขาย จนถึงรุ่นลูกและหลานสืบทอดสูตรดั้งเดิมมา โดยยังคงรักษาความอร่อยแบบดั้งเดิมไว้ได้เป็นอย่างดี จนกลายเป็นร้านบะหมี่ที่โด่งดังในย่านตลาดพลู

เมนูหลักของร้านคือบะหมี่ที่มีให้เลือกหลายชนิด ทั้งบะหมี่แห้ง บะหมี่น้ำ เกี๊ยวกุ้ง และหมูแดง เส้นบะหมี่ของร้านมีความเหนียวนุ่ม มีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ น้ำซุปหอมกลมกล่อม เครื่องเคียงต่างๆ ก็มีความสดใหม่ ทำให้ได้รสชาติที่อร่อยลงตัว นอกจากนี้ยังมีเมนูอื่นๆ เช่น เกาเหลาและก๋วยเตี๋ยวต้มยำที่เป็นที่นิยมไม่แพ้กัน

เต็กเฮง หมี่กรอบจีนหลี

สั่งได้ที่ : https://static.robinhood.in.th/app_link.html?URI=robinhoodth://merchantlist/1518
พิกัด : maps.app.goo.gl/LFFkAwZi7cxjp1V86
ช่องทางติดต่อร้าน : 089-488-1538

ร้านนี้มีอายุอานามกว่า 130 ปี ขายมาตั้งแต่สมัย ร.5 ตัวหมี่กรอบอร่อย รัชกาลที่ 5 เคยเสด็จผ่าน

แถวร้านแล้วได้กลิ่นจึงได้ลองเสวยและพระราชทานชื่อเมนูให้ว่า ‘หมี่กรอบเสวยสวรรค์’ นอกจากหมี่กรอบก็ยังมีเมนูอื่นๆ ให้สั่งอีกเพียบไม่ว่าจะเป็นออส่วน หมี่น้ำ กระเพาะปลาน้ำแดง 

ถ้าคิดไม่ออกว่าจะกินอะไรดี ลองเข้าไปดูเมนูของร้านเต็กเฮงกันที่แอปฯ Robinhood ก่อนได้ 

กระเพาะปลาเจ๊เอ็งตลาดพลู

สั่งได้ที่ : https://static.robinhood.in.th/app_link.html?URI=robinhoodth://merchantlist/1519
พิกัด : maps.app.goo.gl/WC5pgqyZ3TKfooSX9
ช่องทางติดต่อร้าน : 081-926-7040

ร้านกระเพาะปลาเจ๊เอ็งตลาดพลูมีประวัติความเป็นมายาวนานกว่าหลายสิบปี โดยเจ๊เอ็ง เจ้าของร้าน ได้เริ่มต้นขายกระเพาะปลาตั้งแต่ยังสาว จนกลายเป็นร้านอาหารที่คนในย่านตลาดพลูรู้จักกันดี สูตรกระเพาะปลาของร้านเป็นสูตรเฉพาะที่สืบทอดกันมาในครอบครัว ทำให้ได้รสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ หอมกลมกล่อม และแตกต่างจากร้านอื่นๆ

เครื่องเคียงต่างๆ ก็มีความสดใหม่ ทำให้ได้รสชาติที่อร่อยลงตัว ราคามิตรภาพหลักสิบบาท ไม่แปลกใจทำไมลูกค้าถึงติดใจและขายมาได้นานจนถึงทุกวันนี้

ตลาดน้อย

ก๋วยเตี๋ยวตรอกโรงหมู

สั่งได้ที่ : https://static.robinhood.in.th/app_link.html?URI=robinhoodth://merchantlist/1520
พิกัด : maps.app.goo.gl/vrag28iQ4AKqmBcv5
ช่องทางติดต่อร้าน : 082-826-6639

ร้านก๋วยเตี๋ยวตรอกโรงหมู มีต้นกำเนิดมาจากสูตรต้มยำโบราณที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน โดยเจ้าของร้านได้นำสูตรนี้มาปรับปรุงพัฒนาให้มีรสชาติที่ถูกปากคนรุ่นใหม่มากขึ้น แต่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ความอร่อยแบบดั้งเดิมไว้ได้เป็นอย่างดี จนกลายเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวที่โด่งดังในย่านตลาดน้อย

ตัวต้มยำเข้มข้น อร่อยแบบแทบไม่ต้องปรุง ของดังประจำร้านคือเกี๊ยวอวบ เป็นเมนูที่ลูกค้าตั้งชื่อให้ เพราะไส้หมูให้มาแน่น เมนูนี้ใครไปก็ต้องสั่ง

สีมรกต

สั่งได้ที่ : https://static.robinhood.in.th/app_link.html?URI=robinhoodth://merchantlist/1521
พิกัด : maps.app.goo.gl/8mCDiaLGrdU1DWhA8
ช่องทางติดต่อร้าน : 081-567-9006

อีกหนึ่งตำนานแห่งวงการข้าวหมูแดงหมูกรอบของไทยก็คือร้านสีมรกต ร้านนี้เปิดมาแล้ว 70 กว่าปี ทีเด็ดคือตัวหมูแดงและหมูกรอบมีความนุ่มอร่อย กินกับน้ำราดที่รสชาติเข้มข้นหวานกำลังดีที่ทางร้านราดมาให้แบบฉ่ำๆ ร้านนี้คิวยาวทั้งหน้าร้านและเดลิเวอรี ดังนั้นใครอยากกินแต่ขี้เกียจไปรอคิวเองก็สั่งผ่าน Robinhood ได้เลย 

โจ๊กเจ๊หมวยเกี้ย (อากงส่งเสริม)​

สั่งได้ที่ : https://static.robinhood.in.th/app_link.html?URI=robinhoodth://merchantlist/1522
พิกัด : maps.app.goo.gl/fA9tJburjVS7KbAA6
ช่องทางติดต่อร้าน : 089-011-8802

ร้านโจ๊กเจ๊หมวยเกี้ย มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 50 ปี โดยคุณเจ๊หมวย เจ้าของร้านได้เริ่มต้นขายโจ๊กตั้งแต่ยังสาว จนกลายเป็นร้านอาหารเช้าที่คนในย่านเยาวราชรู้จักกันดี สูตรโจ๊กของร้านเป็นสูตรเฉพาะที่สืบทอดกันมาในครอบครัว ทำให้ได้รสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ หอมกลมกล่อม และแตกต่างจากร้านอื่นๆ

ตัวข้าวใช้ในส่วนที่เป็นปลายข้าวมาทำ เนื้อโจ๊กเลยมีความเนียนนุ่ม นอกจากเมนูเบสิกอย่างโจ๊กใส่หมูใส่ไข่ ร้านนี้ก็ยังมีเครื่องในให้เลือกหลากหลาย ทั้งตับ กระเพาะ เซี้ยงจี๊ ไส้ ไข่เค็ม ไข่เยี่ยวม้า ใครไม่อยากพลาดความอร่อยหรือท้าลมแดด กดสั่งผ่านเดลิเวอรี Robinhood ได้เลย 

‘ยะไต’ ร้านรถเข็นริมทางญี่ปุ่น กับการเป็นฟาสต์​ฟู้ดที่มาก่อนกาล และอาหารของคนเดียวดาย

ลองหลับตาลง นึกถึงภาพค่ำคืนหนึ่งในเมืองใหญ่ๆ ของญี่ปุ่น อาจจะเป็นโตเกียว โอซาก้า หรือเมืองขึ้นชื่ออย่างฟุกุโอกะ ในช่วงเวลาที่เมืองค่อยๆ สลัดความขึงขังของการทำงาน ในความหนาวเย็นและเงียบเชียบของผู้คน ในวันปกติจนเกือบจะชืดชานั้น ไออุ่นๆ ที่ลอยออกมาใต้โคมสีแดง ป้ายผ้า และเก้าอี้ตัวน้อยๆ ร้านริมทางชั่วคราวหรือยะไต เป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่ให้ความอบอุ่นอิ่มท้อง โดยเฉพาะกับผู้คนที่อาจใช้ชีวิตตามลำพัง 

ยะไต หรือกลุ่มร้านอาหารที่จะออกมาใช้พื้นที่ริมถนน ทางเท้าเพื่อเปิดร้าน ร้านรถเข็นเหล่านี้มักเป็นร้านชั่วคราว เจ้าของร้านจะเข็นหรือแบกเอาร้าน อันหมายถึงทั้งเครื่องครัว เคาน์เตอร์ เก้าอี้ ที่มักจะมีหลังคาเล็กๆ เข็นออกมาตั้งร้านในช่วงตอนเย็น และเก็บร้านออกไปจากถนนในช่วงกลางดึกหรือรุ่งสาง

ร้านและวัฒนธรรมอาหารประเภทยะไต นับเป็นส่วนสำคัญของเมือง และของวัฒนธรรมอาหารญี่ปุ่น ยะไตมักขายอาหารง่ายๆ ราคาไม่แพง เน้นกินอิ่มท้อง อาหารส่วนใหญ่อาจเป็นอาหารจำพวกเส้นเช่นอูด้ง ราเมน โซบะ อาหารร้อนปรุงสะดวกอื่นๆ เช่น ทาโกะยากิ โอโคโนมิยากิ โอเด้ง เกี๊ยวซ่า ไปจนถึงขนมเก่าแก่เช่นดังโงะ แป้งปั้นแล้วย่างด้วยถ่าน

ความพิเศษของยะไต นอกจากจะเป็นวัฒนธรรมอาหารที่ผู้ขายแบกเอาร้านของตัวเองไว้บนบ่า มีการออกแบบให้ยก ย้าย เปิดร้าน ไปจนถึงยืดหยุ่นต่อสภาวะอากาศด้วยได้ แต่ร้านยะไตยังเกี่ยวข้องกับความซับซ้อนของเมือง ด้วยยะไตเติบโตขึ้นพร้อมๆ กับความเป็นเมือง คือในสมัยที่เริ่มการก่อตัวขึ้นของผู้คนก็เริ่มมีหลักฐานการตั้งร้านเร่เพื่อตอบสนองความหิว 

เช่นเมืองอย่างเอโดะกลายเป็นศูนย์กลางอำนาจในสมัยเอโดะ เกิดการก่อตัวและรูปลักษณ์ความเป็นเมือง เกิดพื้นที่ซับซ้อนทั้งเรื่องการป้องกันไฟ การก่อตัวขึ้นในยุคสร้างเมืองใหม่หลังไฟไหม้ และความสัมพันธ์ของระบบโชกุนที่ทำให้บุรุษจำนวนมากทะลักเข้าสู่เอโดะ นอกจากบุรุษผู้อยู่ลำพัง สตรีผู้ขายเรือนร่างเองก็ล้วนต้องการอาหารการกินเพื่อความอิ่มท้อง 

ตรงนี้เองที่ยะไตเริ่มก่อตัวขึ้นเพื่อแก้ความหิวของเหล่าคนเมืองที่ไม่มีครอบครัว เป็นครัวกลางราคาประหยัดให้กับผู้คน จากการก่อตัวขึ้นของเมืองสมัยเอโดะคือศตวรรษที่ 17 การกลับมาของเมืองสมัยใหม่ยุคสงครามโลก และการควบคุมโต้แย้งที่ทำให้วัฒนธรรมยะไตค่อยๆ ลดความสำคัญลง

เมื่อมีคน มีการเดินทาง ก็ต้องมีความหิว

ประวัติศาสตร์ยะไต คือรถเข็นอาหารแผงลอยในวัฒนธรรมญี่ปุ่น เป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมเก่าแก่ เก่าที่สุดพบตั้งแต่ในสมัยเฮอัน (Heian period) ในช่วงศตวรรษที่ 6-7 การเกิดขึ้นของร้านอาหารแผงลอยเกี่ยวข้องกับการปักหลักของพุทธศาสนาในญี่ปุ่น มีการสร้างวัดสำคัญขึ้น โดยวัดทำให้เกิดการเดินทางจาริกเพื่อบูชาวัดและอาหารต่างๆ ในการเดินทางนั้น ปลายทางคือพื้นที่สักการะต่างๆ เริ่มมีการตั้งร้านขายอาหารเพื่อบริการให้กับผู้จาริกที่หิวโหย

ทว่านั่นเป็นหลักฐานเก่าแก่ แต่วัฒนธรรมร้านยะไตยังไม่ปรากฏชัดจนกระทั่งในสมัยเอโดะ คือตั้งแต่ปี 1600-1860 ความพิเศษของสมัยเอโดะคือการก่อตั้งระบบโชกุนขึ้นที่กรุงเอโดะ ทำให้เอโดะหรือโตเกียวในปัจจุบันกลายเป็นศูนย์กลางอำนาจใหม่ เกิดการขยายตัวของเมือง รวมถึงระบบโชกุนซึ่งรวมอำนาจทั้งญี่ปุ่นเข้าไว้หลังยุคขุนศึกทำให้เกิดทั้งความมั่นคงภายใน เกิดความเฟื่องฟูทางวัฒนธรรม

ประเด็นเรื่องอาหารการครัวสัมพันธ์กับหลายมิติของการเฟื่องฟูขึ้นของกรุงเอโดะ ก่อนอื่นเราขอพากลับไปยังจังหวะที่เอโดะรุ่งเรืองขึ้น หลังจากโตกุกาว่า อีเอเยซึ ตั้งระบบโชกุนและสถาปนาปราสาทเอโดะเป็นศูนย์กลางอำนาจใหม่ กรุงเอโดะก็เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดโดยมีปราสาทของโตกุกาว่าเป็นศูนย์กลาง

นักประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น Hiroaki Ichikawa เสนอว่าร้านยะไตเกิดขึ้นในยุคโตกุกาว่านี่แหละ ถ้าใครเคยดูซีรีส์โชกุน ช่วงสืบทอดอำนาจจะมีการจับนายหญิงและลูกๆ ของไดเมียวหรือเจ้าครองเมืองไว้เป็นตัวประกันเพื่อป้องกันการทรยศ ในรัฐบาลโชกุนหรือบาคุฟุ (Bakufu) โตกุกาว่าได้ใช้ระบบ Sankin-kōtai คือการให้ไดเมียวจากเมืองสำคัญเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในเอโดะเป็นประกันเสถียรภาพ 

การเข้ามาอยู่ในเมืองหลวงนอกจากตัวไดเมียว เหล่าซามูไรและข้ารับใช้ใกล้ชิดก็ต้องเดินทางเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเอโดะด้วย การเข้าประจำการมักทำในลักษณะปีเว้นปี มีเพียงแค่บุรุษต้องเข้ามาประจำการ ส่วนสตรีใช้ชีวิตอยู่ในเมืองของตน 

ด้วยระบบนี้ทำให้กรุงเอโดะเต็มไปด้วยผู้ชายซึ่งไร้ครัวของครอบครัวอย่างสตรีหรือภรรยา เหล่าซามูไรระดับล่างๆ  และข้ารับใช้จึงต้องการอาหารที่หลากหลายเพื่อตอบสนองการเดินทางไปมาระหว่างเมืองต่างๆ เมื่อเข้ารับราชการ รวมถึงความต้องการอาหารถูก ทานง่าย อบอุ่นใจเมื่อคิดถึงบ้าน

ครัวและไฟ กับปัญหาของเมือง

การทะลักเข้าของผู้ชายในกรุงเอโดะยังเกิดขึ้นในอีกครึ่งศตวรรษให้หลัง กรุงเอโดะเป็นดินแดนที่มากับไฟ เกิดเพลิงไหม้บ่อยครั้ง แต่ไม่นำไปสู่เพลิงขนาดใหญ่ซึ่งถือว่ามหัศจรรย์ 

ช่วง 50 ปีแรกของกรุงเอโดะ โชกุนมองเห็นการสร้างเมืองในลักษณะป้องกัน กรุงเอโดะที่เติบโตอย่างกระจุกรอบปราสาทเต็มไปด้วยบ้านเรือนที่ทำด้วยไม้ ถนนถูกออกแบบให้เป็นตรอกและทางแคบๆ สะพานก็ไม่ทำ เน้นให้ว่าจ้างเรือเพื่อข้ามแม่น้ำ 

ทั้งหมดนี้ก็เพื่อการป้องกันการลุกฮือหรือถูกโจมตี เอโดะที่กลายเป็นศูนย์กลางอำนาจระดับชาติยังคิดแบบยุคขุนศึก คือต้องการควบคุมจำนวนผู้คนที่ผ่านเข้าออก ถ้าเกิดการลุกฮือขึ้น ตรอกแคบๆ ทำให้จำนวนพลเข้าถึงได้ไม่มาก ล้อมปราบได้ง่าย

ทว่าเมืองเช่นนั้นก็เป็นเมืองที่ติดไฟง่าย ในปี 1657 กรุงเอโดะเกิดมหาอัคคีขึ้นในชื่อมหาอัคคีแห่งเมเรกิ เพลิงไหม้ที่เล่าขานว่ามาจากกิมิโนปีศาจตัวหนึ่ง ไฟไหม้ในครั้งนั้นก็เป็นโจทย์ที่หลายเมืองทั่วโลกเผชิญ ขณะเดียวกัน เมืองที่หายไปกว่า 70% กลายเป็นโอกาสของการวางระบบผังและลงมือสร้างเมืองขึ้นใหม่ ที่คราวนี้ใหญ่โต และมีระบบป้องกัยภัยพิบัติ

การเปลี่ยนแปลงของเอโดะหลังเพลิงไหม้เกี่ยวข้องกับการเติบโตขึ้นของร้านแผงลอย พื้นที่การทำครัวที่มีไฟเป็นส่วนประกอบหลัก อย่างแรกคือหลังจากเพลิงไหม้ใหญ่ กรุงเอโดะมีการปรับเมืองขนานใหญ่เพื่อป้องกันไฟ เช่นการย้ายวัดหรือคฤหาสน์ขุนนางออกนอกเมืองซึ่งบางส่วนกลายเป็นพื้นที่ว่างจากเพลิงไหม้ พื้นที่ว่างๆ นี้ทางเมืองเว้นพื้นที่ไว้เพื่อเป็นพื้นที่ป้องกันเพลิงลุกลาม ผลคือที่ว่างๆ ซึ่งขัดไว้เป็นพื้นที่อพยพเมื่อเกิดเพลิงไหม้ ร้านอาหารแผงลอยจึงก่อตัวขึ้นบริเวณจุดรวมตัวของชาวบ้าน

หลังจากที่ร้านยะไตเริ่มก่อตัวขึ้น ในปี 1689 รัฐบาลเอโดะเกิดความกังวลต่อไฟที่ถูกใช้ปรุงอาหารของร้านรถเข็น ในช่วงนั้นจึงได้เกิดการห้ามร้านยะไตที่ใช้ไฟในการปรุงอาหาร เช่นร้านซูชิ โซบะ ยากิโทริ และเทมปุระ ทว่าในความพยายามกวาดล้างร้านยะไตในยุคนั้น ตัวร้านเป็นที่นิยมมาก  ทางการไม่สามารถกวาดล้างได้อย่างสมบูรณ์

ร้านโซบะกับหญิงงามเมือง

นอกจากชายหนุ่มที่รวมตัวกันในเมือง ร้านยะไตสำคัญคือร้านโซบะยังเกิดขึ้นจากการรองรับลูกค้าสตรีที่ทำงานในเวลาค่ำคืนด้วย จุดเริ่มของร้านโซบะที่เรียกว่า Yotaka Soba เชื่อกันว่าชื่อร้านประเภทว่า Yotaka มาจากชื่อลำดับของหญิงงามเมืองที่อยู่ในระดับต่ำสุด พวกเธอขายเรือนร่างและไม่ได้ขายศิลปะเช่นที่อยู่ในย่านเริงรมย์เช่นย่านโยชิวาระ เรื่องราวเล่าถึงร้านโซบะที่เปิดขายและหาบเร่ไปในยามค่ำคืนโดยมีหญิงโยตะกะเป็นลูกค้าสำคัญ

ร้านโซบะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้คน ภาพพิมพ์ไม้โบราณแสดงภาพของสตรีที่แต่งกายงดงาม รับประทานโซบะกลางแจ้งในหลายฤดูกาลโดยเฉพาะในกลางหิมะของฤดูหนาว ในภาพวาดเมืองของเอโดะยังปรากฏร้านโซบะหาบที่เกิดขึ้นหลังจากความเฟื่องฟูของร้านโซบะเรียบง่ายอย่าง Fuurin Soba เป็นร้านที่ดูหรูหราขึ้น โดยปกติโซบะจะใช้กระดิ่งลมในการเรียกลูกค้า Fuurin Soba มีกระดิ่งมากกว่า

หลังจากการแบนร้านยะไตที่ใช้ไฟ ร้านโซบะก็ยังเฟื่องฟูเติบโตขึ้น ด้วยทั้งการเป็นพื้นที่อบอุ่นอิ่มท้องสำหรับบุรุษและสตรี มองเห็นง่ายและให้บริการเมื่อร้านอื่นๆ ปิด ในปี 1761 เริ่มปรากฏว่ามีการให้ใบอนุญาตสำหรับร้านโซบะอย่างเป็นทางการ ร้านยะไตกลายเป็นพื้นที่อาหารสำคัญของผู้คนในการกินอาหารที่รับประทานง่าย ราคาถูกและมีรสชาติหลากหลายชวนให้คิดถึงบ้าน 

จุดนี้เองที่ฟังก์ชั่นของยะไตทำหน้าที่เหมือนกับร้านฟาสต์ฟู้ดที่มีมาก่อนฟาสต์ฟู้ดอย่างที่เรารู้จักในหลายร้อยปีให้หลัง เป็นอีกวัฒนธรรมอาหารสำคัญของญี่ปุ่นที่มักเต็มไปความซับซ้อน มีอาหารหลายจานสู่อาหารจานเดียว

หลังยุคสงคราม ตลาดมืด และเริ่มไม่รุ่งอีกครั้ง

ร้านยะไตค่อนข้างเติบโตไปพร้อมกับเมืองและกับผู้คน เป็นอาหารราคาไม่แพง ให้พลังงานสูง ไม่แปลกใจที่ร้านยะไตจะกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้งในปฏิวัติอุสาหกรรมหรือสมัยเมจิ ช่วงเวลาที่เมืองขยายตัว เกิดความต้องการอาหารราคาถูกจากการหลั่งไหลของแรงงาน 

แม้ว่าร้านยะไตจะเป็นที่ต้องการ แต่ด้วยยุคเมจินั้นมาพร้อมกับความก้าวหน้าและการพัฒนา ร้านยะไตจึงถูกมองว่าเป็นร้านราคาถูก การสนับสนุนวัฒนธรรมอาหารในยุคนั้นเน้นเชิดชูวัฒนธรรมอาหารที่เป็นระเบียบเรียบร้อย สดใหม่และปรุงอย่างถูกต้องในร้าน โดยหลังยุคเมจิ ร้านยะไตก็เจอปัญหาซึ่งนำไปสู่ความเฟื่องฟูอีกแบบคือในยุคหลังญี่ปุ่นแพ้สงคราม

เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงคราม ญี่ปุ่นตกอยู่ใต้การกำกับของอเมริกา ญี่ปุ่นจึงจำเป็นต้องพึ่งพาการแบ่งวัตถุดิบอาหารจากสหรัฐ เกิดภาวะข้าวสารขาดแคลน ในช่วงแบ่งสันปันส่วนจึงเกิดตลาดมืดของวัตถุดิบอาหาร สิ่งที่มาพร้อมกับปัญหาข้าวสารขาดแคลนคือการเปลี่ยนอาหารแป้งหลักจากข้าวไปสู่อาหารที่ทำจากแป้งสาลี อาหารญี่ปุ่นดั้งเดิมประเภทเส้นจึงกลับมาเช่นราเมน ยากิโซบะ ทาโกะยากิ และโอโคโนมิยากิ ทว่าการส่งเสริมนี้ภายใต้การกำกับของอเมริกา ร้านแผงลอยยังผิดกฎหมาย มีการจับร้านแผงลอยเป็นจำนวนมาก 

แต่ความต้องการอาหารยังสูง เมืองยังแออัดและเต็มไปด้วยผู้คนที่หิวโหย อาหารทานง่าย ร้านที่ปรากฏตัวไปมายามค่ำคืนดุจภูติพราย อาหารที่เต็มไปด้วยพลังงานจึงเป็นที่ต้องการอยู่ ร้านยะไตจึงเฟื่องฟูขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ร้านยะไตไปสัมพันธ์กับองค์กรผิดกฎหมาย กับตลาดอาหารด้านมืด 

ช่วงนี้เองที่ร้านยะไตเริ่มถูกมองในแง่ลบ ร้านยะไตเป็นร้านอาหารที่เปิดง่าย เป็นช่องทางทำมาหากิน แต่ก็เชื่อมโยงกับอาชญากรรม ร้านส่วนใหญ่มักเป็นคนจากชาติที่เคยเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่นเช่นเกาหลี เป็นร้านของต่างชาติที่สนับสนุนตลาดมืด

ชะตากรรมของร้านยะไตที่ด้านหนึ่งดูจะเป็นมรดกและเป็นตัวตนของวัฒนธรรมอาหาร การพัฒนาเมืองและประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น แต่ด้วยรอยแผลของประวัติศาสตร์ ยะไตจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของภาพเชิงลบ เป็นพื้นที่น่าอับอายที่สัมพันธ์กับการดิ้นรนหลังการพ่ายแพ้สงคราม เกี่ยวข้องกับภาพเมืองและกิจการที่ไม่สะอาด ไม่ถูกสุขอนามัยและเกี่ยวข้องกับตลาดมืด

จุดเปลี่ยนสำคัญคือการจัดการร้านริมทางในช่วงจัดโตเกียวโอลิมปิก รวมถึงผลกระทบของโรคระบาด และความรู้สึกต่อต้านต่างชาติที่ล่องลอยอยู่ลึกๆ ร้านยะไตถูกควบคุมอย่างรุนแรงโดยรัฐบาลอีกครั้ง ในการจัดงานโอลิมปิก รัฐบาลมองว่าร้านอาหารบนรถเข็นไม้ ไม่ใช่สิ่งที่อยากจะอวดชาวต่างชาติในมหกรรมกีฬาระดับโลก ยะไตกลายเป็นพื้นที่ความกลัวจากความสะอาด เป็นพื้นที่ที่ไม่ถูกสุขอนามัยซึ่งสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกับวิกฤติสุขภาพที่มาจากโควิด

ผลกระทบที่รุนแรงตกไปอยู่ที่เมืองฟุกุโอกะ เมืองที่ขึ้นชื่อจากร้านยะไตในฐานะวัฒนธรรมอาหารและจุดดึงดูดการท่องเที่ยวหลักของเมือง หลังจากโตเกียวโอลิมปิก ยะไตในฟุกุโอกะลดจำนวนลงจาก 400 ร้านเหลือเพียงราว 120 

การถดถอยลงของร้านยะไตสัมพันธ์จากหลายมิติ ทั้งการควบคุมจากรัฐตั้งแต่ช่วงก่อนปี 2000 เช่นการที่รัฐจะไม่ออกใบอนุญาตให้ร้านเพิ่มเติม มุมมองต่อร้านที่ทำเมืองสกปรกและอคติอื่นๆ ในอีกด้านร้านยะไตก็เผชิญปัญหาจากภายในเอง เจ้าของร้านส่วนใหญ่มีอายุมากขึ้น คนรุ่นหลังเองก็ไม่ยินดีที่จะสานต่องานที่เป็นภาระยากลำบาก แม้ว่าในทศวรรษ 1930 ร้านยะไตจะเป็นตัวแทนของแรงงานและฝ่ายซ้ายจากการที่ร้านแบกกิจการบนบ่าตัวเอง แต่ปัจจุบันคนรุ่นต่อๆ ไปของร้านยะไตก็เกิดปัญหา ไม่รับสืบทอดกิจการจากคนรุ่นก่อนหน้า

สุดท้ายยะไตก็เป็นอีกกิจการของผู้คน เป็นร้านอาหารจากคนธรรมดา เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์เมืองและคนตัวเล็กๆ ในเมืองที่ใช้ชีวิต หิวโหยและเติมเต็มกระเพาะยามค่ำคืนเพื่อใช้ชีวิตต่อไป ยะไตของญี่ปุ่นสัมพันธ์ทั้งกับความเป็นเมือง ความเป็นร้านฟาสฟู้ดที่มาก่อนการ เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมอาหารและผู้คนซึ่งปัจจุบันอาจกำลังถูกมองเพื่อกำจัดจัดการต่อไป

กรณีเช่นยะไตก็อาจสะท้อนกลับมายังประเด็นเรื่องวัฒนธรรมและกิจการอาหารของเมืองในประเทศต่างๆ รวมถึงบ้านเราที่มีร้านอาหารริมทางเป็นจุดขายและเป็นพื้นที่อิ่มท้อง เป็นความมั่นคงทางอาหารที่ราคาเข้าถึงได้ของคนทั่วไป ในขณะเดียวกันก็สัมพันธ์กับประเด็นเรื่องสุขอนามัยและความสะอาดปลอดภัยของเมืองด้วย

อ้างอิงข้อมูลจาก