‘ทะเลใจ’ จากทะเลในฐานะใบสั่งยายุควิคตอเรียน สู่ความเฟื่องฟูของกิจการบ้านพักตากอากาศ

แต่ไหนแต่ไร ทะเลเป็นเหมือนดินแดนแห่งการเยียวยารักษา 

ไม่ว่าจะด้วยเสียงคลื่นที่เวียนวนไม่รู้จบ ไอเค็มที่โชยมากับคลื่นลม หรือจะเป็นการบรรจบกันของเส้นขอบฟ้าและผืนทะเลที่สวยงามราวภาพวาด สิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนตัวยาในแคปซูลที่หมอจ่าย จนไม่ว่าจะเจ็บกายหรือเจ็บใจ มนุษย์เราก็ต้องขอเตร่ไปทะเล

ทว่ากว่าทะเลจะกลายเป็นพื้นที่ของการบำบัดรักษา ทะเลก็เป็นอีกพื้นที่ที่มีความหมายทางวัฒนธรรมของตัวเอง ด้วยความเปลี่ยนแปลงของโลกสมัยใหม่ การเกิดขึ้นของเมืองและการเดินทางที่ทำให้เรากลัวธรรมชาติลดลง ไปจนถึงความเปลี่ยนแปลงของความเชื่อทางการแพทย์ ทะเลที่เคยเป็นตัวแทนของความตายและดินแดนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังจึงค่อยๆ กลายเป็นพื้นที่ของการเยียวยาหัวใจ เป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจการค้าริมทะเลและกิจการบ้านพักตากอากาศ

ในช่วงปลายฤดูร้อนแบบนี้น่าจะเป็นช่วงท้ายๆ ที่เราจะได้หนีไปนอนโง่ๆ ที่ริมทะเล ต่อให้ชีวิตเราสบายดีแต่การไปทะเลยังมีความหมายในการเยียวยาจากการทำงานและชีวิตจริง คอลัมน์ทรัพย์คัลเจอร์ขอพาทุกท่านกลับไปยังจุดเริ่มของกระแสการไปทะเลเพื่อบำบัดรักษา 

จากใบสั่งแพทย์โบราณที่พาผู้ป่วยไปยังชายหาดเพื่อบำบัดผ่านการจับกดลงน้ำ สู่วันที่องค์ความรู้ทางการแพทย์พัฒนาขึ้นจนการไปทะเลเพื่อเยียวยา (จริงๆ) กลายเป็นภาคปฏิบัติของคนทั่วไป

ทะเลกับพลังเยียวยาอันลึกลับ

มุมมองปัจจุบัน ทะเลเป็นพื้นที่ของความรื่นรมย์และการพักผ่อน แต่ความรู้สึกนี้พัฒนามาจากการที่เรามองธรรมชาติในมุมที่ไม่น่ากลัวอีกต่อไป เพราะถ้าพูดกันจริงๆ ในยุคโบราณทะเลเป็นโลกของสิ่งที่เราอธิบายไม่ได้และเป็นพื้นที่ของเหล่าภูตผีและอสูรกาย ทะเลมักเป็นตัวแทนของความบ้าคลั่ง เป็นพื้นที่อันตราย การยืนมองท้องทะเลของมนุษย์หมายถึงความหวาดหวั่น ความเวิ้งว้าง

ในสมัยก่อนการไปชายหาดและทะเลไม่ได้ง่ายแบบปัจจุบัน แต่ต้องดั้นด้นเพื่อออกเดินทางด้วยเรือและพาหนะต่างๆ เพราะชายหาดมักเป็นพื้นที่ห่างไกล เป็นที่อยู่ที่กินของชาวประมงซึ่งไม่ใช่กลุ่มชนที่มีฐานะมากนัก สำนวนของกะลาสีในสมัยก่อนที่ว่า ‘on the beach’ ยังมีนัยของการถูกทิ้งไว้ สะท้อนถึงความยากจนและไม่มีทางไป 

การเปลี่ยนแปลงเชิงความหมายของทะเลจึงสัมพันธ์กับบริบทสังคมหลายอย่าง โดยเฉพาะการมาถึงของการแพทย์สมัยใหม่และรถไฟของอังกฤษ จุดเปลี่ยนสำคัญของการไปทะเลเพื่อรักษาเริ่มต้นในราวปลายศตวรรษที่ 18 ในสมัยนั้นเกิดกระแสการรักษาด้วยการ ‘อาบทะเล’ แพทย์อังกฤษในยุคนั้นมีการจ่ายยาให้ผู้ป่วยด้วยการไปอาบน้ำทะเล ด้วยเชื่อว่าคลื่นและน้ำเค็มเป็นเครื่องมือในการรักษาโรคบางชนิด

ประเด็นเรื่องน้ำและการเยียวยารักษาค่อนข้างอยู่ในความเชื่อดั้งเดิมของโลกตะวันตก น้ำถือเป็นตัวแทนและของขวัญจากพระเจ้า เช่น ในยุคก่อนหน้าคือในศตวรรษที่ 16 มีความเชื่อเรื่องเมืองสปา แต่ในยุคแรกของการบำบัดด้วยน้ำค่อนข้างเชื่อว่าน้ำพุหรือน้ำผุดจากผิวดินเป็นตัวแทนของการรักษาจากพระเจ้า ซึ่งบ่อน้ำธรรมชาติเองก็อาจประกอบด้วยแร่ธาตุ สารอย่างกำมะถันซึ่งรักษาอาการบางประเภทได้

การจ่ายยาให้ไปทะเลจึงสัมพันธ์กับความรู้ทางการแพทย์โบราณ ทำนองเดียวกันกับเรื่องธาตุซึ่งตะวันตกอย่างกรีกก็น่าจะได้รับมาจากทางตะวันออก แต่ตะวันตกจะเชื่อว่าความเจ็บป่วยและลักษณะอารมณ์ของผู้คนสัมพันธ์กับสมดุลของน้ำในร่างกาย 4 ประเภท (4 humors) คือเลือด เสมหะ น้ำเหลือง และน้ำดี (blood, phlegm, yellow bile, black bile)

ความเชื่อเรื่องสมดุลของน้ำในอังกฤษรวมถึงการให้ผู้ป่วยไปอาบทะเลยังค่อนข้างสัมพันธ์กับตำรา The Anatomy of Melancholy ของนักคิดนาม Robert Burton เขาเชื่อว่าอาการเจ็บป่วยที่เรียกว่า Melancholy คืออาการโศกเศร้าที่เชื่อมโยงกับน้ำดีและม้าม เบอร์ตันยังเชื่อว่าการเปลี่ยนบรรยากาศรวมถึงการมองพื้นที่เวิ้งว้างกว้างไกลจะช่วยเยียวยาความเศร้า (ที่ตอนนั้นเชื่อว่ามาจากความไม่สมดุลของร่างกาย) ได้

กว่าจะถึงทะเลใจ ยังมีทะเลคลั่ง 

สองร้อยปีต่อมาจากคุณเบอร์ตัน บรรดาแพทย์ในศตวรรษที่ 18 ได้แรงบันดาลใจจากมุมมองทางการแพทย์และแนวทางการรักษา ในศตวรรษนี้เองที่แพทย์เริ่มระบุให้ผู้ป่วยเดินทางไปทะเลในฐานะส่วนหนึ่งของการรักษา แต่การรักษาด้วยทะเลอย่างเป็นทางการในยุคแรกไม่ใจดีกับคนป่วยเท่าไหร่

คำว่าการอาบทะเลหมายถึงการที่ผู้ป่วย (ส่วนใหญ่เป็นสุภาพสตรี) จะมีผู้ช่วยซึ่งจะจับผู้ป่วยกดลงในน้ำทะเล เพื่อแช่ตัว ให้คลื่นซัด และให้อยู่ในภาวะจมน้ำหรือใกล้หมดลมเพราะเชื่อว่าจะช่วยรักษาอาการบางอย่างได้ ส่วนระยะเวลาและการกำหนดอวัยวะที่จะแช่อยู่ในน้ำแพทย์จะเป็นผู้กำหนด

แต่ความเชื่อเรื่องการเจ็บป่วยจากปัจจัยต่างๆ นั้นเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อเกิดการค้นพบทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์สมัยใหม่ เช่น มีการค้นพบออกซิเจนในปี 1778 และการค้นพบเชื้อโรคที่ทำให้เราเข้าใจว่าความเจ็บป่วยมาจากสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ดังนั้นความเชื่อเรื่องสมดุลของน้ำจึงเริ่มสำคัญลดลง แต่ความคิดเรื่องอากาศบริสุทธิ์และสุขอนามัยก็ยังคงสัมพันธ์กับการไปทะเลเพื่อสุขภาพ การไปตากอากาศดีๆ ที่สะอาดไร้การปนเปื้อนที่ชายหาดจึงตรงกันข้ามกับอากาศสกปรกของเมืองอุตสาหกรรม

จุดนี้เองที่พื้นที่ชายทะเลเริ่มเกิดการพัฒนาถึงขั้นเกิดรีสอร์ตริมทะเลขึ้น การไปทะเลในยุคแรกๆ มีแรงบันดาลใจจากการเดินทางไปรักษา ส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่คนชั้นสูงเท่านั้นที่กระทำได้ เช่น ในทศวรรษ 1780 มกุฎราชกุมารที่ต่อมาคือพระเจ้าจอร์จที่ 4 เสด็จไปเมืองไบรตัน (Brighton) ตามคำแนะนำและกล่าวว่าการแช่น้ำทะเลช่วยบรรเทาอาการปวดเกาต์ได้ดี จากนั้นก็เริ่มกลายเป็นกระแสและมีการแข่งขันกันในหมู่ชนชั้นสูง 

ยุควิคตอเรียน รถไฟ และเก้าอี้ผ้าใบ

ความเฟื่องฟูของเมืองริมทะเลสัมพันธ์กับบริบทสังคมในยุคต่อมาหรือยุควิคตอเรียน (เริ่มต้นในปี 1830) ด้วยเกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างการปฏิวัติอุตสาหกรรมที่ทำให้เกิดกลุ่มคนชั้นกลางหรือกลุ่มคนที่มีเงินและมีเวลาว่าง 

ในยุคนี้ ผู้คนยังเชื่อเรื่องความสะอาดและอากาศบริสุทธิ์ พื้นที่ริมทะเลจึงยังคงมีมนตร์ขลังและเป็นกิจกรรมพักผ่อนเพื่อการเยียวยา โดยเฉพาะการหลบหนีออกจากเมืองอันสกปรกวุ่นวายจากโลกอุตสาหกรรม

จุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดของการท่องเที่ยวและกลุ่มรีสอร์ตริมทะเลคือการขยายตัวรางรถไฟในทศวรรษ 1820-1830 รถไฟที่ทอดจากเมืองใหญ่ไปถึงพื้นที่ริมทะเลเปิดโอกาสให้คนชั้นกลางสามารถนั่งรถไฟไปพักผ่อนบนชายหาดได้ รถไฟทำให้การเดินทางไปถึงพื้นที่ริมทะเลราคาถูกลง ใช้เวลาน้อยลง ทะเลเป็นพื้นที่ที่ให้ความหมายใหม่จากการทำงานในระบบที่จำเจน่าเบื่อหน่าย 

กลางศตวรรษที่ 19 เป็นช่วงเวลาที่การไปทะเลกลายเป็นกิจกรรมที่แทบจะหมายถึงคำว่า ‘วันหยุดพักผ่อน’ ชายหาดในยุควิคตอเรียนเต็มไปด้วยผู้คน มีตลาดนัดวันหยุด มีบริการลาตัวเล็กๆ ให้ขี่ มีขนมหวาน สายไหม และกิจกรรมเพลินใจอื่นๆ ชายหาดมักจะคลาคล่ำไปด้วยผู้คนตามการเปลี่ยนแปลงของบริบทสังคมที่เริ่มมีเวลาว่างและมีกำลังซื้อ

หนึ่งในสิ่งประดิษฐ์สำคัญของกิจกรรมเที่ยวทะเลของชาววิคตอเรียนคือการจดสิทธิบัตรเก้าอี้ชายหาด (deck chair) เป็นสิ่งประดิษฐ์ของ John Thomas Moore ซึ่งขึ้นทะเบียนในปี 1886 เก้าอี้ผ้าใบยุคแรกสุดทำขึ้นด้วยผ้าใบสีเขียวมะกอกก่อนที่จะมีสีสันอื่นๆ ในท้ายศตวรรษ

ชนชั้นกับการเปิดพื้นที่บริโภค

การไปเที่ยวทะเลและกิจการริมทะเลค่อนข้างเติบโตขึ้นตามความแมสและบริบทสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป การไปทะเลเริ่มต้นที่การไปบำบัดรักษาของชนชั้นสูงที่อาจต้องดั้นด้นไปด้วยรถม้า พร้อมด้วยข้าวของต่างๆ ที่ชายทะเลซึ่งขนส่งไปอย่างยากลำบาก จนมาถึงยุครถไฟที่ขยายการไปทะเลไปยังเหล่าชนชั้นกลาง แรงงานคอปกขาว เจ้าของกิจการและผู้จัดการของกิจการต่างๆ 

ทว่าชายทะเลจะแมสไม่ได้เลยถ้าคนชั้นแรงงานที่มีจำนวนหลักล้านยังไม่เข้าร่วมกิจกรรมการไปทะเล

ช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 การไปทะเลเริ่มขยายตัวไปสู่ชนชั้นแรงงาน จากการปรับลดค่ารถไฟในช่วงปี 1844 ทำให้การท่องเที่ยวชายหาดแบบวันเดียวเป็นไปได้ แรงงานส่วนใหญ่อาจมีวันหยุดได้วันเดียวหรือมีเงินไม่เพียงพอในการพักค้างคืน การเกิดขึ้นของวันหยุดไม่ว่าจะเป็นการหยุด 1-2 วันของโรงงาน และการเกิดขึ้นของวันหยุดพิเศษ (วันหยุดธนาคารครั้งแรกในปี 1871) จึงเป็นวันที่แรงงานจะเก็บเงินเพื่อไปพักผ่อนหย่อนใจในวันหยุดนักขัตฤกษ์

ความเปลี่ยนแปลงทำให้พื้นที่กิจการริมทะเลเต็มไปด้วยบริการที่แทบจะตรงข้ามกัน ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 คือทศวรรษ 1870 เป็นต้นมาถือเป็นช่วงที่แรงงานกลายเป็นผู้บริโภคและนักท่องเที่ยวหลักของเมืองและพื้นที่ริมทะเล การไปเที่ยวทะเลของกลุ่มแรงงานสัมพันธ์กับหลายมิติทางวัฒนธรรม เช่น ความเชื่อมต่อของเมืองอุตสาหกรรม ด้วยระยะทางที่เหมาะสมทำให้เกิดเมืองชายทะเลยอดนิยมขึ้น  

หนึ่งในนั้นคือเมืองไบรตัน แต่เดิมไบรตันเป็นเมืองแนวหน้าของการพักผ่อน เมืองเต็มไปด้วยรีสอร์ตหรู ร้านค้า ท่าเรือที่สวยงาม การมาถึงของแรงงานที่อาจจะเดินทางไปและกลับ หรือแรงจับจ่ายที่มีเพียงพอในการนอนค้างทำให้กิจการของเมืองต้องรับมือกับการจับจ่ายใหม่ๆ ที่อันที่จริงมีกำลังซื้อเป็นจำนวนมาก

ด้วยความที่ชายทะเลเป็นดินแดนที่ตรงข้ามกับเมือง เป็นดินแดนของการเยียวยารักษาโรคสำคัญที่เราทุกคนรู้จักดี คือโรคของความเบื่อหน่ายจากชีวิตในเมือง ชายหาดของไบรตันจึงกลายเป็นพื้นที่ผสมผสานเพื่อบริการคนทุกชั้น ในแนวชายฝั่งเดียวกันเราจะพบรีสอร์ตและร้านรวงแสนเก๋ไก๋และมีราคาแพงในพื้นที่ใกล้ๆ กัน ไบรตันจะขึ้นชื่อเรื่องพื้นที่สนุกสนาน มีคาร์นิวัล มีการแสดงแปลกๆ ภาพบางส่วนของการพักผ่อนชายทะเลจึงเริ่มมีนัยของความแปลกประหลาด ความสนุกของพื้นที่ริมทะเลจึงขยายตัวไปในทำนองของพื้นที่ประหลาด มีอาหารแปลกๆ การแสดงแปลกๆ 

ถ้าเป็นบ้านเรา เราก็อาจจะมองเห็นพื้นที่สำคัญ เช่น หัวหินที่เติบโตขึ้นตามทางรถไฟในช่วงรัชกาลที่ 5 การขยายตัวของกิจการและเมืองชายหาดที่สัมพันธ์กับถนนและการขยายตัวออกไปเรื่อยๆ เช่น พัทยา ไปจนถึงย่านอื่นๆ เช่น แสมสาร ปราณบุรี เรื่อยไปจนถึงการท่องเที่ยวในเกาะที่ไกลออกไปด้วยมีพาหนะใหม่ๆ ตามยุคอย่างการบินในประเทศและบริการเรือรับ-ส่ง

สุดท้ายแม้แต่กิจกรรมการนั่งโง่ๆ ริมทะเลให้ลมและคลื่นเยียวยาหัวใจก็อาจมีประวัติศาสตร์ร่วมสมัยที่ไม่ไกลจากทุกวันนี้นัก คราวหน้าการนั่งโง่ๆ ของเราอาจมองเห็นภาพสุภาพสตรีในศตวรรษที่ 18 ถูกทุ่มตัวลงน้ำตามใบสั่งแพทย์ด้วยก็ได้

อ้างอิงข้อมูลจาก

wisdom ของ ‘มุก เพลินจันทร์’ ศิลปินสิ่งทอระดับโลกที่สร้างสรรค์ผลงานมาสเตอร์พีซสุดอลังการ 

พาดหัวข่าวตามสื่อต่างๆ มักแนะนำตัว มุก–เพลินจันทร์ วิญญรัตน์ ว่าเป็นศิลปินสิ่งทอระดับโลก หรือนักออกแบบสิ่งทอแถวหน้าของเมืองไทย และผู้คนมักรู้จักเธอในชื่อ Mook V (มุกวี) เจ้าของผลงานสิ่งทอและศิลปะจากขยะเหลือใช้

อาชีพ textile artist หรือศิลปินสิ่งทออาจไม่ค้นหูคนส่วนใหญ่นัก มุกเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท บียอนด์ ลิฟวิ่ง จำกัด (Beyond Living) ที่รับทำงานอาร์ตและผลงาน décor & accessories ไม่ว่าจะเป็นศิลปะประดับผนัง sculpture พรม หมอน ฯลฯ ให้ลูกค้ากลุ่มลักชูรี 

เอกลักษณ์ของมุกวีคืองานทอที่เล่นกับสีสันและผิวสัมผัส และไม่ใช่แค่ผ้าเท่านั้นที่เธอใช้เป็นวัสดุหลักในการสร้างสรรค์ผลงาน ขวดกระป๋อง มุ้งกันยุง ถุงน่อง และขยะจากละแวกบ้านก็ล้วนเป็นวัสดุที่นำมาเป็นงานศิลป์มูลค่าสูงได้

นอกจากผลงานศิลปะชิ้นยักษ์จากขยะที่ท้าทายที่สุดอย่าง ‘Woven Symphony’ และ ‘Adam’s Bridge’ ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์แล้ว ผลงานโดดเด่นที่มุกทำร่วมกับแบรนด์ระดับโลกคือโปรเจกต์ร่วมกับ Louis Vuitton ที่ทำมาถึง 4 โปรเจกต์ ตั้งแต่การตกแต่งรีเทลสโตร์ที่ไอคอนสยาม, Central Floresta ภูเก็ต, เอกซ์คลูซีฟ สโตร์ ณ ไอคอนสยาม และล่าสุดคือ LV The Place Bangkok ที่เกษรอัมรินทร์

ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมการตกแต่งรีเทลสโตร์ของ Louis Vuitton ต้องเป็นมุก นั่นเพราะการออกแบบคอนเซปต์และเทคนิคที่เน้นการผสานความเป็นไทยอย่างร่วมสมัย เช่น แผงงานประดับด้วยลวดลายถัก macramé ที่ได้แรงบันดาลใจจากอุบะ และการเลือกใช้วัสดุอย่างเชือกพื้นบ้านมาถักเป็นแพตเทิร์นสุดเนี้ยบเพื่อประดับผนังและพรม 

คอลัมน์ Modern Nice ตอนนี้ชวนมาคุยกับ textile artist ถึง life wisdom และ business wisdom ทั้งในแง่ตัวตนของศิลปินที่ใช้กระบวนการคิดแบบ thinking with hands (คิดด้วยมือ) ไปจนถึงการทำธุรกิจที่ออกแบบกี่ทอผ้าและสร้างโรงงานด้วยตัวเอง 

Life Wisdom 
I am Mook V 

เป็นเรื่องเซอร์ไพรส์ที่มุกเปิดบทสนทนากับเราว่า ที่ผ่านมาเธอไม่กล้านิยามตัวเองว่าเป็นอาร์ตติสท์ด้วยซ้ำจนกระทั่งคนอื่นเรียก 

“ทั้งชีวิตนอกจากครอบครัวแล้วก็รู้สึกไม่ belong กับใครที่ไหนเลย เราจะรู้สึกว่าอาร์ตติสท์ที่โด่งดังหรือ art collector ก็ไม่ได้มองเราเป็นอาร์ตติสท์ แล้วก็รู้สึกว่าคนที่เป็นดีไซเนอร์เขาก็ไม่ได้มองเราเป็นดีไซเนอร์”

ที่รู้สึกแบบนี้เพราะหลังเรียนจบด้านสิ่งทอจากต่างประเทศ มุกเดินทางกลับมาทำงานที่ไทยและสังเกตว่านักสร้างสรรค์ในสายอาชีพต่างๆ มักรวมตัวกันเป็นกลุ่ม อาร์ตติสท์ที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยต่างๆ มักรู้จักมักคุ้นกัน ส่วนดีไซเนอร์ในไทยก็มักมีความชอบที่คล้ายคลึงกัน เช่น ความนิยมในสไตล์การแต่งตัวสีดำเท่ๆ ในขณะที่มุกชอบแต่งตัวด้วยสีสัน 

“เราจบจากเมืองนอก พอกลับมาไทย เราไม่มีใครเลย” แบ็กกราวนด์ที่แตกต่าง ความชอบเฉพาะ และความรู้สึกว่าไม่มีคอนเนกชั่นสายอาร์ตที่ลึกเหมือนคนอื่นในวงการทำให้มุกบอกว่ารู้สึกแตกต่าง

 “บางคนก็จะมองว่าเราเป็นเซเลบ แต่ว่าเราก็ไม่ได้ใส่แบรนด์เนมตั้งแต่หัวจรดเท้า” จากมุมคนนอก การได้เข้าไปทำงานและเข้าสังคมกับลูกค้าแบรนด์ลักชูรี น่าจะเรียกว่าเป็นเซเลบได้แต่มุกไม่ได้มองแบบนั้น 

“เราเคยนั่งกินข้าวคุยกับซีอีโอคนก่อนของ Louis Vuitton เขาบอกว่าคุณทำงานกับเราเป็นโปรเจกต์ที่ 4 แล้ว ทำไม from head to toe คุณถึงไม่ใส่ Louis Vuitton เลย เราก็เลยบอกว่า ฉันไม่จำเป็นต้องใส่ Louis Vuitton ฉันก็ยังเป็นฉัน คุณก็ยังจ้างฉันอยู่เลย” 

a day in life ของมุกเริ่มต้นจากการออกกำลังกายทุกวันตอนเช้าและหลายครั้งก็ใส่ชุดกีฬาสบายๆ มาทำงานที่ชั้นล่างของบ้านซึ่งเป็นโรงงานที่เต็มไปด้วยกี่ทอผ้า มุกมองว่าตัวตนของเธอเป็นคนไม่กังวลกับภาพลักษณ์และไม่อายที่จะบอกใครเวลาไม่เข้าใจ เพราะเชื่อว่าการเป็นตัวของตัวเองดีที่สุด

“เวลาคุยกับคนที่โรงงาน เราก็เป็นตัวเรา เห็นเขานั่งทำงานยังไงเราก็นั่งแบบนั้น ร้อนยังไงก็ร้อนแบบนั้นด้วยกัน เวลาไปหาลูกค้าเราก็ต้องรู้มารยาท ไปงานเราก็แต่งตัวดี เรามองว่าการสื่อสารเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการทำงาน เราอยู่กับใครก็ต้องพยายามเบลนด์กับเขาแต่ก็ยังต้องเป็นตัวเอง บางครั้งเขาพูดอะไรกันเราไม่รู้เรื่องเลยนะ เช่น เศรษฐกิจ นักการเมือง เราก็จะบอกเลยว่าไม่รู้เรื่อง ช่วยอธิบายหน่อย เราไม่อายที่จะบอกว่าฉันไม่เข้าใจ” 

แม้จะมีผลงานชิ้นโบแดงมากมาย ทุกวันนี้มุกก็ยังมองว่าไม่จำเป็นต้องให้คำนิยามก็ได้ว่าเราเป็นใคร แค่เป็นตัวของตัวเองก็พอ 

“เราไม่รู้ว่าเราเป็นใครแต่รู้ว่าเราเป็นเรา ใครจะเรียกว่าเป็นดีไซเนอร์ อาร์ตติสท์ เซเลบ จะเรียกอะไรก็ได้ ตัวตนเราคือเป็นคนใส่หมวกหลายใบและมีแพสชั่นกับงานที่ทำ ทุกอย่างที่ทำไม่ว่าจะเป็นงานทอ งานถัก งานอะไรก็ตาม มันทำจากใจและทำจากคนคนนี้” 

ตอนนี้มุกกำลังเตรียมตัวจัดนิทรรศการเดี่ยวที่กำลังจะเปิดตัวในเดือนกรกฎาคมซึ่งเธอแย้มคอนเซปต์ของงานไว้ว่า “exhibition นี้จะบอกเล่าเรื่องราวว่า I don’t know who I am แต่นี่คืองานของฉัน” 

Thinking with Hands 

ย้อนกลับไปในวัยเรียน สิ่งที่ทำให้เด็กคนหนึ่งกล้าเป็นตัวของตัวเองและเลือกเส้นทางสายศิลปะ

คือการค้นพบว่าไม่ถนัดวิชาที่คิดด้วยหัวแต่ชอบวิชาที่คิดด้วยมือ 

“ตอนอยู่เมืองไทยเราเรียนอยู่กลุ่มที่โหล่ตลอด ก็คิดแล้วว่าอยู่ไทยไปคงไม่รอดเพราะทุกอย่างสอบตกหมด ภาษาไทยก็ตก เลขก็ตก ไม่ชอบเลยสักอย่าง ตอนเรียนวิชาศิลปะก็ไม่ได้ดีเด่นด้วยนะ เพราะที่ไทยสมัยนั้นต้องวาดตามครู ทุกอย่างต้องอยู่ในกรอบ” 

มุกจึงตัดสินใจย้ายไปเรียนต่อต่างประเทศตั้งแต่ ม.2 ซึ่งมีอิสระในการเลือกวิชาที่อยากเรียนมากขึ้น

นั่นทำให้เธอรู้ตัวในเวลาต่อมาว่าชอบศาสตร์การออกแบบสิ่งทอ “แต่ก่อนนึกว่าอยากเป็นแฟชั่นดีไซเนอร์ แต่พอเรียนลงลึกจริงๆ ก็เลยรู้ว่ามันไม่ใช่ ไม่ได้อยากออกแบบเสื้อแต่อยากออกแบบผ้า อยากทำตั้งแต่เริ่มต้นก่อนที่จะมาเป็นเสื้อ”

ศาสตร์ออกแบบสิ่งทอสอนตั้งแต่เริ่มต้นจากศูนย์จนมาเป็นผ้าทอหนึ่งชิ้น ตั้งแต่เปลี่ยนจากปุยฝ้ายเป็นเส้นใย ตีเกลียวออกมาเป็นเส้น และนอกจากคำว่า textile art แล้วยังมีศัพท์อีกคำที่ออกเสียงคล้ายกันคือ tactile art 

tactile art คือการคิดจากมือและลงมือทำด้วยมือ คิดด้วยประสาทสัมผัส (sensory) มุกชอบการออกแบบลายด้วยมือมากกว่าสเกตช์ในโปรแกรม เอากระดาษมาตัด เอาดินน้ำมันมาปั้นเพื่อให้มองเห็นภาพให้ได้มากที่สุด เริ่มคิดด้วยมือและให้ทีมช่วยจบงานด้วยการทำพรีเซนต์ด้วยโปรแกรม

“ผลลัพธ์งานสุดท้ายมักจะออกมาต่างกับในพรีเซนต์ พอเราทำงานคราฟต์หรืองานทอ มันเป็นงานที่ทำกับมือ เพราะฉะนั้นถ้าลงกระดาษแล้วจะออกมาเหมือนในกระดาษเป๊ะไม่ได้ พอทำไปเรื่อยๆ แล้วจะอยากเพิ่มนั่นเพิ่มนี่ ฉะนั้นส่วนใหญ่ผลงานเราจะพัฒนาไปตามกระบวนการ ตามมือที่ปล่อยไป มันคือนิยามของงานอาร์ตจริงๆ ที่ผลงานจะออกมาไม่เหมือนสเกตช์”

ศิลปะ textile art เป็นงานที่เล่นกับลวดลาย แพตเทิร์น วัสดุ และผิวสัมผัส ทำให้การปรับเปลี่ยนตามหน้างานเป็นสิ่งสำคัญ บางครั้งมุกนำวัสดุอย่างมุ้งลวดมาใช้ซึ่งปรากฏว่าเปื่อยและขาดที่หน้างาน ก็ต้องประยุกต์ด้วยการขยุ้มมุ้งลวดแล้วแปะเข้าไปใหม่อีกรอบ กลายเป็นการสร้างเทกซ์เจอร์ที่สวยและมีมิติมากกว่าเดิมโดยบังเอิญ 

ด้วยลักษณะงานแบบนี้ทำให้มุกบอกว่าผลงานของเธอสามารถพัฒนาได้เรื่อยๆ ไม่มีวันจบ สิ่งสำคัญคือต้องกล้าลองและกล้าพัง กล้าออกนอกกรอบและปรับเปลี่ยนตามหน้างาน กล้าสร้างสรรค์จากกระบวนการไร้สเตปที่คาดเดาไม่ได้จนกลายเป็นศิลปะที่เหนือความคาดหมาย 

Business Wisdom
Disrupt Yourself 

แม้พรสวรรค์ด้านงานศิลปะของมุกจะหาตัวจับได้ยากจนทำให้เธอกลายเป็นที่รู้จัก แต่เส้นทางการปั้นบริษัทของ textile artist ก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ 

โมเดลธุรกิจในช่วงเริ่มแรกของ Beyond Living คือการขายส่งให้โรงแรม เช่น โรงแรมแห่งหนึ่งมี 200 ห้องก็จะมีดีมานด์ที่ต้องการพรม 200 ชิ้น หรือหมอน 200 แบบ 

“ทีนี้พอทำมาเรื่อยๆ ก็ไม่กำไรเลย ขาดทุนและเกือบจะปิดไปบางช่วง เพราะได้รู้ว่าคู่แข่งเยอะมาก เดี๋ยวก็ไปเทียบกับของจากจีนและอินเดีย เดี๋ยวก็มีลูกค้าให้เราทำแบบให้แล้วเอาของเราไปผลิตที่อื่น มันก็ไม่ประสบความสำเร็จเลย แม้ชื่อเสียงดี ทุกอย่างดูดี แต่เม็ดเงินไม่เหลือ ก็ถอดใจไปหลายหน” 

เนื่องจากพรมหนึ่งผืนใช้เวลาในการทอหลายอาทิตย์ ด้วยความอยากขายของให้ได้ บริษัทจึงรับออร์เดอร์จากลูกค้าเข้ามาก่อน แต่เมื่อแจกแจงค่าใช้จ่ายและระยะเวลาในการทำภายหลัง กลับพบว่าไม่ได้กำไรทั้งที่มีงานเยอะมากและขายได้ตลอดเวลา

“แต่ก่อนเราไม่รู้หรอกว่าขายหนึ่งชิ้นก็ขาดทุนหนึ่งชิ้น มันก็เลยขาดทุนสะสม เพิ่งจะมาดีขึ้นหลังโควิด-19 เพราะช่วงนั้นบีบรัดให้ต้องลดค่าใช้จ่ายทุกอย่างเพื่ออยู่ให้ได้ เราเลยต้องมาดูตัวเลข ก็เลยรู้ว่าไม่ใช่แล้ว

“เราเลยใช้วิธีถ่ายคลิปตัวเองขายพรม แล้วเปลี่ยนมาขายในราคารีเทล ซึ่งมี margin สูงขึ้น ขายได้ 10 ผืนต่อเดือนก็กำไรแล้ว จากที่แต่ก่อนทำพรม 100 ผืนในหนึ่งโปรเจกต์ยังไม่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายเลย มันต่างกันเยอะมาก ทุกวันนี้เรายังทำพรมกับหมอนอยู่แต่ทำในจำนวนน้อยลง” 

หลังจากทำธุรกิจขาดทุนมานาน มุกจึงได้ข้อคิดทางธุรกิจว่า หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ธุรกิจเจ๊งได้คือการบริหารสต็อกไม่ดี จุดเปลี่ยนสำคัญของ Beyong Living จึงเป็นการหันมาดูตัวเลขทางค่าใช้จ่ายมากขึ้น 

เปลี่ยนจากจับตลาดแมสมาเป็นตลาดลักชูรี ที่กลุ่มลูกค้ามองเห็นคุณค่าในงานฝีมือและงานศิลปะอย่างแท้จริง ปรับ brand positioning เป็นหมวดสินค้า functional art ซึ่งมีแบบและลวดลายที่พรมจากจีนและอินเดียไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ทำให้สามารถขายในราคาสูงขึ้นได้ 

เบื้องหลังการเลือกโพซิชั่นสินค้าแบบนี้ได้เพราะมุกก่อตั้งโรงงานทอ ปั่น ถักที่ออกแบบกี่ทอผ้าและกระบวนการทำงานเองทั้งหมด เมื่อถามว่าทำไมต้องลงทุนผลิตกี่ทอผ้าใหม่เป็นของตัวเองทั้งที่มีคนอื่นผลิตและคิดค้นกระบวนการมาก่อนแล้ว ก็ได้คำตอบว่า

“เราเป็นคนทอก็ต้องชอบกี่ที่ทำงานให้เรา ไม่ใช่เราต้องไปปรับตัวให้กี่ เราต้องปรับกี่ให้เข้ากับงานของเรา เส้นที่ใช้ทอ ความหนัก หรืองาน เพราะฉะนั้นเราจะทำกันเอง ทาสีกันเอง ปรับเปลี่ยนกันเอง ซึ่งอุปกรณ์หลัก ก็ต้องซื้อมาประกอบให้เหมาะกับงานของเรา”

ที่สำคัญคือมุกยังคิดต่างด้วยการอยากรับคนที่ไม่เคยมีทักษะในการทอผ้ามาทำงานด้วย “ไม่อยากเอาคนที่ทอเป็นแล้ว เพราะเขาจะมีภาพในหัวว่าต้องทอแบบนี้ กี่ของเราก็หนักกว่า เส้นด้ายก็หนากว่า ลายก็ยากกว่า เพราะฉะนั้นไม่เป็นมาก่อนเลยดีกว่าแล้วเรามาสอนกันเอง เราคิดลายเอง คิดวิธีผูกเท้าเหยียบเอง เรามีวิธีของเราเองทั้งหมด” 


Repurposed Art

ทุกวันนี้ผลงานชิ้นเอกของมุกไม่ได้อยู่แค่ในขอบเขตสิ่งทอ แต่หลายคนจะรู้จักเธอในนามผู้สร้างศิลปะจากขยะ ซึ่งเบื้องหลังจุดเริ่มต้นในการนำวัสดุ upcycle มาสร้างสรรค์ผลงานเกิดจากการอยากบริหารสต็อกทางธุรกิจให้ดีขึ้น 

เนื่องจากในแต่ละโปรเจกต์ต้องสั่งผ้ามาเผื่อเหลือ หลายครั้งจึงมีเศษผ้าเศษด้ายเหลือรวมกันเป็นตัวเลขหลักหลายกิโลเมตรจนรู้สึกสิ้นเปลือง มุกยังได้แรงบันดาลใจในการลดขยะจากสิ่งของรอบตัว ตั้งแต่ถุงเท้าตอนเด็กๆ ของลูกที่นำมาทอเป็นพรม กระดาษเหลือใช้จากออฟฟิศและขยะจากละแวกบ้านที่นำมารียูสใหม่เป็นงานศิลปะแขวนผนัง 

ผลงานท้าทายที่สุดของมุก คือ ‘Woven Symphony’ ลายรามเกียรติ์ และ ‘Adam’s Bridge’ ลายหนุมานขนหินถมทะเล ขนาดใหญ่กว่า 6 เมตร ยาว 24 เมตร ที่จัดแสดงเมื่อครั้งสร้างศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์โฉมใหม่ ที่บอกว่าท้าทายที่สุดเพราะต้องเสร็จงานชิ้นยักษ์ใหญ่นี้ภายในระยะเวลากระชั้น 59 วันด้วยขยะหลากหลายประเภททั้งกระป๋อง ถุงพลาสติก เศษผ้า ฟองน้ำ ถุงน่อง ฟองน้ำ ฯลฯ 

งานศิลปะที่ขายได้แบบนี้ทำให้ Beyond Living มีหมวดสินค้าศิลปะจากวัสดุ upcycle เป็นหมวดเด่นอีกหมวดซึ่งมุกบอกว่าเธอไม่ได้คิดตั้งแต่แรกว่าจะทำตามเทรนด์ความยั่งยืนเพื่อธุรกิจ “ที่เราทำงานศิลปะจากของเหลือไม่ใช่เพิ่งมาทำเพราะว่ามันเป็นกระแส แต่ทำมาเรื่อยๆ ด้วยจิตสำนึกอยากบริหารสต็อกและไม่อยากจะทิ้งขยะ จนวันหนึ่งกระแส upcycle และ recycle กลายเป็นเทรนด์ขึ้นมา” 

ผลงานมาสเตอร์พีซล่าสุดของมุกคือ ‘Call of the Cardamoms’ เสือจากขยะเหลือใช้ อย่างสารพัดขวดโซดา มุ้งลวด ฯลฯ ซึ่งเพิ่งจัดแสดงที่ House of Sathorn โดยเป็นแคมเปญเพื่อสื่อสารถึงป่าฝนแห่งสุดท้ายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่กัมพูชาซึ่งมีเสือเหลืออยู่ในป่าเพียงตัวเดียว 

“ที่เลือกทำเสือเพราะที่ผ่านมาเราเป็นคนตัวเล็ก คนก็จะมองเราเหมือนแมวตัวเล็กๆ แต่วันนี้เราอยากเป็นเสือ เราอยากเปลี่ยนสิ่งเล็กๆ ให้กลายเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่เพื่อเป็นแรงกระตุ้นให้คนเห็นและหันมาสนับสนุนสิ่งใหญ่ๆ” 

จากกี่ทอผ้าในโรงงานเล็กๆ และขยะเหลือใช้ที่ไม่มีใครเหลียวแล ทุกผลงานที่มุกทำนั้นเรียกได้ว่าล้วนเป็นมาสเตอร์พีซทุกชิ้น ด้วยคอนเซปต์ เทคนิค และสีสันที่เป็นเอกลักษณ์ มุกทำให้เห็นว่า นอกจากศิลปะจะเป็นสื่อที่ทำให้คนรู้สึกบางอย่างแล้ว ศิลปะยังสามารถส่งเสียงถึงบางประเด็นและเพิ่มมูลค่าให้เป็นงานศิลปะร่วมสมัยจนกลายเป็นธุรกิจที่ทำเงินและสนับสนุนงานฝีมืออย่างยั่งยืนได้

Editor’s Note : Wisdom from Conversation

ความโมเดิร์นของ Beyond Living คือการให้คุณค่ากับ ‘the new luxury’ ในโลกยุคใหม่ซึ่งเป็นการให้ความสำคัญกับกระบวนการคิดและสร้างสรรค์ผลงานด้วยมือในโลกดิจิทัลไปจนถึงการคำนึงถึงความยั่งยืนที่สร้างมูลค่าจากขยะเหลือใช้ทำให้สามารถสร้างธุรกิจที่จับกลุ่มลูกค้า luxury ได้

ความเชี่ยวชาญในสายงานเฉพาะของตัวเองยังทำให้สามารถสร้าง ‘เครื่องมือ’ และ ‘กระบวนการทำงาน’ ของตัวเองขึ้นมาได้ อย่างกี่ทอผ้าที่ออกแบบและผลิตเองไปจนถึงเทคนิคการทอเฉพาะของตัวเอง และการวาง position ทางธุรกิจที่ชัดเจน เจาะตลาดตรงกลุ่มเป้าหมาย รู้ว่าสินค้ามีมูลค่าในสายตาของใครจึงสามารถสร้างโมเดลธุรกิจที่ยั่งยืนได้

ทั้งนี้การเติบโตภายในและการเติบโตในโลกธุรกิจนั้นก็มีความสวนทางกันอยู่ ในขณะที่การทำธุรกิจต้องรู้ position ที่ชัดเจน การรู้จักตัวเองอย่างแท้จริงอาจเป็นรูปแบบที่ไม่จำเป็นต้องให้คำนิยามและ position ก็ได้ว่าเราเป็นใครในสายอาชีพ รวมทั้งอาจไม่ต้องเหมือนคนอื่น แค่เป็นตัวของตัวเองก็พอ

เมื่ออิตาลีสั่งแบน Doga โยคะหย่อนใจกับ ‘ลูกหมา’ ที่กำลังมาแรง   

จากผลสำรวจของ Statista พบว่าตลาด mental health ในประเทศไทยกำลังเติบโตเรื่อยๆ คนไทยไม่เพียงรู้ว่าชีวิตเดินได้ด้วยใจที่แข็งแรง แต่ยังพยายามเสาะหาคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ หนึ่งในนั้นคือการจอยคลาสประสานกายและใจเข้าด้วยกัน เช่น การแช่น้ำแข็ง การบำบัดด้วยเสียง ไปจนถึงการโยคะกับเหล่าสัตว์เลี้ยง 

การโยคะกับสัตว์เลี้ยงนั้นช่างตอบโจทย์ยุคที่คนมองสัตว์เลี้ยงเป็นยาบรรเทาความเครียด แต่อีกทางหนึ่ง ก็อาจต้องกลับมามองหาจุดกึ่งกลางที่ไม่ส่งผลต่อสวัสดิภาพสัตว์เช่นกัน เพราะประเด็นที่กำลังเป็นที่ถกเถียงในตอนนี้ โดยเฉพาะในประเทศอิตาลีคือ Puppy Yoga หรือการโยคะกับลูกสุนัขนั้นส่งผลต่อสวัสดิภาพของเจ้าหมาน้อยหรือเปล่า

Puppy Yoga คืออะไร 

ที่จริงต้องย้อนกลับไปว่าการเล่นโยคะกับน้องหมาหรือที่เรียกว่า Doga (Dog บวกกับคำว่า Yoga) นั้นถือกำเนิดครั้งแรกที่อเมริกาปี 2002 ก่อนกระจายไปทั่วโลกภายในปี 2011 ในบางคลาส อาจมีการจับน้องหมามาอยู่บนตักแล้วเอนไปพร้อมๆ กับคนบ้าง แต่บางคลาสก็เน้นการกดนวดเบาๆ ให้น้องหมา ส่วน Puppy Yoga ก็ตรงตัวมากๆ คือไม่ใช่เพียงการนำน้องหมามาร่วมคลาสแต่ต้องเป็น ‘ลูกหมา’ วัยกำลังซน

จุดกึ่งกลางระหว่างสวัสดิภาพสัตว์และสุขภาพใจ 

ที่ผ่านมาในหลายๆ ประเทศ ตั้งข้อสังเกตกับ Doga ว่าอาจเป็นอันตรายกับทั้งหมาและคน บางประเทศออกมาเตือนว่าอาจทำให้หมาที่ฝึกยากอยู่แล้ว ยิ่งฝึกยากเข้าไปอีก คนบางกลุ่มมองว่าการฝึกโยคะกับหมานั้นเป็นเพียงกิมมิกทางธุรกิจเท่านั้น 

ส่วนประเด็นร้อนตอนนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ Puppy Yoga Official สตูดิโอโยคะชื่อดังที่มีสาขากว่า 19 แห่งทั่วอิตาลีนั้นบูมมากๆ มีแฟนโยคะมากกว่า 9,000 คนยอมจ่ายเงินสูงถึง 40 ยูโรต่อชั่วโมง หรือประมาณ 1,500 บาท และมีลูกสุนัขที่ลงทะเบียนไว้ 120 ตัว  

เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา องค์กรการกุศลด้านสิทธิสัตว์ Lega Nazionale per la Difesa del Cane (National League for the Defense of Dogs) ได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อกระทรวงสาธารณสุขของอิตาลีว่าลูกสุนัขได้รับการปฏิบัติ ‘ราวกับว่าพวกเขาเป็นเครื่องมือยิมนาสติก’ LNDC ยังบอกว่าลูกสุนัขเหล่านี้ถูกขังในกล่องหรือถุงพลาสติกระหว่างการขนส่ง ทั้งยังถูกใช้ในคลาสเป็นเวลานาน ไม่ได้รับน้ำหรืออาหารที่เหมาะกับวัย 

จากการตรวจสอบของ Striscia la Notizia พบว่าลูกสุนัขหลายตัวมีอายุเพียง 42 วัน ซึ่ง LNDC ยังกล่าวว่าด้วยอายุเท่านี้เจ้าหมาน้อยอาจยังไม่เคยได้รับวัคซีน หรือไม่ก็ยังรับวัคซีนไม่ครบ รวมถึงในช่วงวัยเท่านี้ พวกมันควรได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่สงบและได้ฝึกเข้าสังคม ได้รับนมอย่างเต็มอิ่มกับแม่และพี่น้อง 

Giusy D’Angelo ผู้เชี่ยวชาญด้านสุนัขจากคณะกรรมการคุ้มครองสัตว์แห่งชาติของอิตาลียังกลัวว่าการนำลูกสุนัขแสนน่ารักน่าชังเหล่านี้มาร่วมคลาสโยคะ อาจทำให้ผู้คนตัดสินใจเลี้ยงสัตว์โดยไม่ได้ไตร่ตรองให้ดี คิดเพียงแค่ว่าอยากได้สัมผัสนุ่มๆ น่ารักจากสัตว์โลกสี่ขาแบบที่ได้รับในคลาสโยคะ

ส่วน Francesco Di Turi ผู้จัดการของ Puppy Yoga Official บอกว่า บางคนอาจเพียงต้องการสัมผัสอบอุ่นจากสัตว์เลี้ยงเพราะพวกเขาไม่มีสัตว์เลี้ยงจริงๆ ที่บ้าน และกิจกรรมเหล่านี้ก็ช่วยให้คนที่ป่วยผ่อนคลายขึ้นจริงๆ เขายังจัดให้มีการประชุมสำหรับผู้ป่วยโรคเบื่ออาหาร คนตาบอด และเด็กออทิสติกอีกด้วย ส่วนผู้บริหารกลุ่มโยคะสำหรับเด็กออทิสติกในเนเปิลส์ก็ยืนยันว่าการบำบัดกับลูกสุนัขช่วยให้เด็กๆ อ่อนโยนขึ้นจริงๆ 

Di Turi จึงมองว่ามาตรการนี้ช่างไม่สมเหตุสมผลเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ในคลาสนั้นถูกบิดเบือน เจ้าหมาน้อยที่พวกเขาคัดเลือกมาก็ยังมีอายุไม่ต่ำกว่า 60 วัน การสั่งห้ามแบบนี้ทำให้คลาสที่เต็มไปก่อนหน้านั้นได้รับผลกระทบ ถ้าจะให้ใช้หมาที่โตเต็มวัยแล้วก็ยากและซับซ้อนกว่ามาก เขาจึงกำลังรวบรวมผู้เชี่ยวชาญด้านสุนัขและนักจิตวิทยาเพื่อหาหลักฐานที่บอกได้ว่าโยคะนั้นไม่อันตรายกับสัตว์เลย แต่ช่วยให้พวกมันผ่อนคลายด้วยซ้ำ

การเคลื่อนไหวของกระทรวงสาธารณสุขอิตาลีนั้นส่งผลให้รัฐบาลหลายประเทศออกมาให้ความเห็น เช่นสหราชอาณาจักรก็มองว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องมาก ถึงอย่างนั้นประเด็นนี้ก็ยังเป็นที่ถกเถียงและยังหาข้อสรุปไม่ได้เพราะแน่นอนว่าผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างสตูดิโอโยคะย่อมไม่ปล่อยไปง่ายๆ 

หากดูข้อกฎหมายของอิตาลีแล้ว ประเด็นอาจไม่ได้อยู่ที่ว่าห้ามใช้ ‘สัตว์เลี้ยง’ ในธุรกิจบำบัดจิตใจ แต่เป็นการห้ามใช้สัตว์เลี้ยงที่ยังเด็กมากกว่า ทางออกของเรื่องนี้จึงอาจเป็นการหาสมดุลระหว่างสัตว์และคนอย่างลงตัว ร่างกฎหมายให้ชัดเจนเกี่ยวกับอายุของสัตว์ ลักษณะการเรียนการสอนในคลาส รวมไปถึงการดูแลสัตว์เลี้ยงให้มีสวัสดิภาพที่ดี

ส่วนในไทยเอง ตอนนี้เราเริ่มเห็นการเล่นโยคะกับสัตว์เลี้ยงมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะทั้งหมาหรือแมว ซึ่งถือเป็นธุรกิจที่ตอบทั้งตลาดสัตว์เลี้ยงและสุขภาพจิตที่กำลังมาแรง หากความนิยมของการใช้สัตว์เลี้ยงในกิจกรรมต่างๆ นั้นมากยิ่งขึ้น ผู้ประกอบการไทยอาจจำเป็นต้องวางข้อกำหนดให้ชัดเจนแต่แรกเพื่อป้องกันประเด็นอ่อนไหว รวมถึงเพื่อเป็นการแชร์ผลประโยชน์กับเพื่อนร่วมโลกอย่างเจ้าหมาน้อยอย่างยุติธรรม

อ้างอิง

สำรวจวัฒนธรรมอาหารผ่านคัมภีร์เลย์ทั่วโลกที่เอาชนะใจแฟนด้วย localized marketing

สาวกขนมขบเคี้ยวเคยสังเกตกันไหมว่ามันฝรั่งทอดกรอบอย่างเลย์นั้นขยันออกรสชาติใหม่ๆ อยู่เสมอ ทั้งยังเป็นรสชาติที่พัฒนาจากอาหารท้องถิ่นไทย และถ้าใครมีโอกาสได้แวะเข้าร้านสะดวกซื้อที่ต่างประเทศ ก็น่าจะเห็นเลย์รสชาติแปลกๆ ที่ไม่มีวางขายในบ้านเราเหมือนกัน 

นั่นเป็นเพราะเลย์ในแต่ละประเทศนั้นถูกเปลี่ยนปรับให้แตกต่างกันไปในแต่ละสถานที่ แม้แต่รสชาติยอดนิยมที่วางขายทั่วโลกอย่างรสออริจินอลซองสีเหลืองและบาร์บีคิวซองส้ม เลย์ยังปรับสูตรในบางประเทศ ให้ถูกใจลิ้นของคนในประเทศนั้นๆ ถือเป็นกลยุทธ์ ‘localized marketing’ หรือการตลาดท้องถิ่น ที่ผสานความเป็นท้องถิ่นและเอกลักษณ์ของแบรนด์เข้าด้วยกัน เพื่อให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ วัฒนธรรม ไปจนถึงเทรนด์ที่กลุ่มเป้าหมายในแต่ละพื้นที่กำลังอินอยู่ในช่วงนั้น  

แต่การตลาดท้องถิ่นถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก หากไม่ทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และเข้าถึงวัฒนธรรมของแต่ละประเทศจริงๆ จากที่กลยุทธ์นี้จะทำให้คนรักแบรนด์ก็อาจกลายเป็นเกลียดได้ คำถามสำคัญคือเลย์ปรับใช้กลยุทธ์นี้ยังไงให้เอาใจผู้บริโภคในแต่ละที่ได้จริงๆ 

เลย์จึงใช้การแบ่งเซกเมนต์ผู้บริโภคตามปัจจัยต่างๆ เช่น ข้อมูลประชากร พฤติกรรม ไลฟ์สไตล์ การใช้ชีวิต วัฒนธรรม และสำรวจความต้องการผ่านการสนทนาแบบกลุ่ม ซึ่งเป็นเทคนิคการรวบรวมข้อมูลผ่านการคุยกับผู้ให้ข้อมูล รวมถึงยังวิเคราะห์จากข้อมูลเชิงลึกในโซเชียลมีเดียว่า ช่วงนั้นคนในแต่ละประเทศให้ความสนใจเรื่องอะไรเพื่อนำมาใช้พัฒนาสินค้าและทำการตลาดได้ตรงจุด ตรงใจคนท้องถิ่นมากที่สุด และยังปรับกลยุทธ์การตลาดในแต่ละประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจได้ว่าสิ่งที่เลย์ต้องการสื่อสารไม่ใช่การพูดแบบไร้คนฟัง แต่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกันได้อย่างแท้จริง

ปัจจุบันเลย์จึงมีรสชาติมากถึง 200 รส และหลายรสชาติก็ค่อนข้างแปลกใหม่ แบบที่คิดไม่ถึงว่าจะมาทำเป็นขนมขบเคี้ยวได้ด้วยซ้ำ เมื่อวางขายแล้วผู้บริโภคบางคนอาจไม่กล้าลอง เลย์จึงทำให้ผู้บริโภคเปิดใจด้วยการแจกรสชาติใหม่ให้ได้ลองชิมฟรีๆ ตามร้านสะดวกซื้อ ซึ่งกลยุทธ์นี้อาจเปลี่ยนจากรสชาติแปลกให้เป็นรสชาติที่คนรัก จนบางคนกลับมาซื้อซ้ำอีกหลายครั้งเลยก็เป็นได้

การพัฒนารสชาติอย่างต่อเนื่องของเลย์นับเป็นนวัตกรรมที่ทำให้แบรนด์ก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดนิ่ง พร้อมยังมอบประสบการณ์แปลกใหม่ให้ผู้บริโภครู้สึกตื่นเต้นอยู่เสมอ รวมถึงการตลาดท้องถิ่นยังทำให้ผู้บริโภครู้สึกใกล้ชิดกับแบรนด์มากยิ่งขึ้น จนพอรู้ตัวอีกทีก็น่าจะโดนเลย์ตกให้ชิมรสชาติใหม่ๆ ไปซะแล้ว

วันนี้ Capital จึงขออาสามาเป็นไกด์ทัวร์ชวนชิม สำรวจวัฒนธรรมอาหารการกินในแต่ละประเทศ ผ่านรสชาติเลย์สุดแปลก ที่บางรสชาติแทบคิดไม่ถึงด้วยซ้ำว่าจะมีรสชาตินี้ด้วย!

จีน

ชาวจีนเชื่อว่าอาหารที่ดี ไม่ใช่แค่สิ่งที่กินแล้วอิ่มท้องหรือมีรสชาดีที่ดีเท่านั้น แต่ต้องทำหน้าที่เป็นยาและสะท้อนถึงความเชื่ออีกด้วย การปรุงอาหารจึงต้องมีรสชาติที่สมดุลตามหลักหยิน-หยาง และตรงตามเรื่องธาตุทั้ง 5 คือต้องไม่มีรสใดรสหนึ่งที่โดดเกินไป เพราะเชื่อว่าความเจ็บป่วยมาจากการกินอาหารที่ไม่สมดุลตามธาตุในร่างกาย นอกจากนั้นวัตถุที่ใช้ สีสัน หน้าตาอาหาร แม้แต่ชื่อเมนู ก็ต้องสื่อถึงความหมายที่เป็นสิริมงคล โดยนิยมกินผัก ผลไม้ และสมุนไพรเป็นหลัก 

  • รสแตงกวา : มาจากพฤติกรรมของคนจีนที่กินแตงกวาเป็นอาหารว่าง และกินเพื่อแก้กระหายน้ำ ทำให้รสชาตินี้มีการผสมแตงกวาป่นมาในแผ่นมันฝรั่ง พอได้กินแล้วจะรู้สึกเย็นนิดๆ ได้รสหวานปนเค็มหน่อยๆ
  • รสทุเรียน : คนจีนชอบกินทุเรียนมาก เลย์จึงไม่พลาดที่จะหยิบมาทำเป็นมันฝรั่งทอดกรอบรสทุเรียน ซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนได้กินทุเรียนทอดกรอบแบบในบ้านเรา ที่มีความมันๆ กลิ่นไม่แรงจนเกินไป
  • รสฮอตพ็อตเผ็ดชา : ขึ้นชื่อว่าอาหารจีนจะขาดหมาล่าไม่ได้ เพราะเป็นเครื่องเทศที่มีสมุนไพรหลายชนิด และให้รสชาติเผ็ดชาปลายลิ้น เลย์ได้ทำออกมาเป็นชื่อรสว่า Numb & Spicy Hot Pot Flavor หรือรสฮอตพ็อตเผ็ดชาที่มีทั้งความเผ็ด เค็ม และหวานนิดๆ ตามสไตล์เลย์ในจีน

อินเดีย

อาหารอินเดียเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมที่หลากหลายที่สุดในโลก เพราะได้รับอิทธิพลจากยุคอาณานิคม จึงผสมผสานระหว่างอาหารอินเดียเข้ากับยุโรป จนเกิดเป็นวัฒนธรรมการกินอาหารรสจัดจ้าน ที่มีเครื่องเทศมากมาย โดยเฉพาะมาซาล่า ซึ่งเป็นเครื่องแกงชนิดแห้งที่ใส่ทั้งในของคาว ของหวาน และเครื่องดื่ม

อาหารอินเดียยังมีสีสันจัดจ้านไม่แพ้รสชาติ เช่น ถ้าเป็นทางตอนเหนือของอินเดียจะเน้นไปที่สีแดงจากมะเขือเทศมากกว่าพริก ทำให้รสชาติไม่เผ็ดร้อนมากนัก แต่ถ้าเป็นตอนใต้จะเน้นความเผ็ดร้อนของพริกขี้หนูอินเดีย  

  • รสมาซาลาตำรับอินเดีย : เมื่อมาซาลาอยู่ได้ในเกือบทุกเมนูของอินเดีย เลย์จึงนำมันฝรั่งทอดกรอบมาผสมกับมาซาลาซะเลย กลิ่นของรสนี้ค่อนข้างแรงตามสไตล์มาซาลา ส่วนรสชาติออกเผ็ดแต่ไม่จัดจ้านเท่าพริก
  • รสเผ็ดร้อน : ก่อนออกรสชาตินี้เลย์พบว่าแม้แต่ขนมขบเคี้ยว ชาวอินเดียก็ยังชอบความเผ็ดร้อน เลยออกเป็นรสชาติพริกและเขียนหน้าซองตรงๆ ไปเลยว่า ‘Sizzlin’ Hot’ หรือรสเผ็ดร้อน ซึ่งรสชาตินั้นก็ตรงๆ เหมือนหน้าซอง ชาวอินเดียชอบความเผ็ดร้อน ก็ออกรสชาติเผ็ดร้อนไปเลยสิคะ
  • รสมะเขือเทศแทงโก้ : นอกจากชาวอินเดียจะชอบความเผ็ดร้อนแล้ว ยังนิยมนำมะเขือเทศเป็นส่วนประกอบของอาหารเพื่อเพิ่มรสชาติเปรี้ยว และทำให้มีสีสันน่ากิน เลย์จึงออกรสมะเขือเทศแทงโก้ ที่มาพร้อมความเผ็ดและความเปรี้ยว เข้ากันได้อย่างลงตัว

สหรัฐอเมริกา

อเมริกามีความหลากหลายทางเชื้อชาติมาก และวัฒนธรรมการกินในแต่ละรัฐก็แตกต่างกันออกไป แต่ที่เห็นภาพชัดที่สุดจะเป็นอาหารฟาสต์ฟู้ดที่พบเจอได้ทุกที่ แม้เลย์จะเป็นขนมสัญชาติอเมริกัน แต่ก็เลือกผลิตรสชาติให้แตกต่างจากประเทศอื่น รวมถึงในแต่ละรัฐยังมีรสชาติที่ไม่ซ้ำกันอีกด้วย

นอกจากนี้ เลย์ยังเปิดให้ทุกคนได้คิดไอเดียผ่านการประกวด Do Us A Flavor และทำการโหวตรสชาติที่ชอบที่สุด เพื่อนำมาวางขายจริงสู่ท้องตลาด ซึ่งนอกจากเลย์จะไม่ต้องคิดรสชาติเองแล้ว ยังทำให้ได้รสชาติที่สะท้อนความเป็นอเมริกาได้อย่างแท้จริง เหมือนดังตัวอย่างรสชาติเหล่านี้

  • รสคาปูชิโน่ : รสที่ได้รางวัลชนะเลิศในโครงการ Do Us A Flavor ครั้งที่สอง โดยหยิบเครื่องดื่มที่ชาวอเมริกันหลายคนชื่นชอบ อย่างคาปูชิโน่มาอยู่ในรูปแบบขนมขบเคี้ยว ที่มีทั้งกลิ่นหอมของกาแฟและกลิ่นซินนาม่อน ได้รสชาติกาแฟเต็มๆ คำ มีรสนุ่มๆ ของนมติดมานิดๆ
  • รสไก่ทอดและวาฟเฟิล : อีกหนึ่งรสชาติที่ได้รางวัลรองชนะเลิศจากการประกวดในครั้งแรก ไก่ทอดและวาฟเฟิลเป็นอาหารที่มีต้นกำเนิดมาจากอเมริกา ทำให้เลย์รสชาตินี้มีความหอมเนยและไก่ทอด แต่ก็มีกระแสตอบรับเป็น 2 ฝั่งคือทั้งมีคนรู้สึกว่าอร่อย กับอีกฝั่งที่รู้สึกว่ารสชาติมันไม่เข้ากันซะเลย
  • รสเบคอนแมคและเชดดาร์ชีส : อีกหนึ่งรสชาติที่หยิบเมนูสุดคลาสสิกในสไตล์อเมริกัน อย่าง Bacon Mac & Cheese มาทำเป็นรสชาติเลย์ที่ได้ทั้งรสชาติชีสและมีกลิ่นหอมๆ ของเบคอนอีกด้วย

รัสเซีย

อาหารส่วนมากเน้นความเรียบง่าย ใช้เครื่องปรุงรสไม่มากนัก แต่เน้นไปที่ความหลากหลายของวัตถุดิบแทน ทั้งมันฝรั่ง เนย นม และซุปจืด รวมถึงยังชอบกินผักเป็นชีวิตจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นผักสดหรือผักดอง โดยนิยมนำมาทำเป็นสลัด กินคู่กับน้ำสลัดรสเปรี้ยว

คนรัสเซียยังนิยมนับถือศาสนาคริสต์นิกายออร์โทดอกซ์ที่เคร่งครัดมาก ทำให้ในหนึ่งปีจะต้องมีการงดกินเนื้อสัตว์ ไข่ และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม ทำให้ยิ่งต้องกินอาหารที่มีแต่ผัก และเน้นการใช้เครื่องเทศมาเสริมรสชาติให้อร่อยยิ่งขึ้น เหมือนกับรสชาติเลย์ที่เรายกมาเป็นตัวอย่างเหล่านี้

  • รสผักชีลาวและแตงกวา : รสชาตินี้แตกต่างจากรสแตงกวาที่จีนตรงที่เติมผักชีลาวทอดกรอบลงไป จึงให้ความรู้สึกเหมือนได้กินผักมากกว่า และมีการปรุงรสให้ไม่เค็มมากนัก เหมาะกับคนรัสเซียที่เน้นการกินอาหารแบบเรียบง่าย
  • รสครีมเปรี้ยวกับต้นหอม : รสที่หยิบพฤติกรรมการชอบกินผักกับน้ำสลัดรสเปรี้ยวมารังสรรค์ รสชาติคล้ายซาวด์ครีมและหัวหอมในบ้านเรา แต่จะเปรี้ยวกว่า และเปลี่ยนจากหัวหอมเป็นต้นหอมแทน
  • รสไข่ปลาคาเวียร์แดง : รสชาตินี้เกิดจากความเชื่อของคนรัสเซียที่นิยมกินไข่ปลาคาเวียร์แดง เพราะเชื่อว่าเป็นยาอายุวัฒนะ แต่เรื่องรสชาติก็เป็นข้อถกเถียงกันว่าเหมือนรสไข่ปลาคาเวียร์แดงจริงหรือไม่

ไทย

วัฒนธรรมอาหารไทยจะเน้นกินข้าวเป็นหลัก คู่กับกับข้าวที่มีครบทุกรส ทั้งเปรี้ยว เค็ม ขม หวาน และเผ็ด แต่ละภูมิภาคยังมีอาหารท้องถิ่นอันเป็นเอกลักษณ์แตกต่างกันออกไป

อย่างภาคเหนือจะเน้นการใช้เครื่องเทศที่หลากหลาย และต้องมีผักเป็นส่วนประกอบด้วย อาหารภาคกลางได้รับอิทธิพลจากต่างประเทศค่อนข้างมาก เช่น การใช้เครื่องแกงแบบชาวฮินดู การผัดและใช้กระทะแบบชาวจีน

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเน้นกินอาหารรสจัดจ้าน โดยเฉพาะรสเผ็ด และนิยมนำอาหารมาแปรรูปให้เก็บไว้ได้นาน เช่น ปลาร้า ปลาเค็ม สุดท้ายคือภาคใต้ที่นิยมใช้กะปิมาทำอาหาร เน้นรสชาติที่จัดจ้าน และไม่ได้ใช้ความเผ็ดจากพริกเท่านั้น แต่ยังเติมความเผ็ดร้อนจากพริกไทยเข้าไปอีกด้วย เลย์ในประเทศไทยจึงมีรสชาติตามวัฒนธรรมการกินในแต่ละภูมิภาค เช่น

  • รสข้าวซอยไก่ : รสชาติที่หยิบอาหารขึ้นชื่อของภาคเหนือมาเป็นตัวชูโรง ทั้งยังไม่ได้นำเสนอรสชาตินั้นๆ ออกมาโต้งๆ แต่เลือกคอลแล็บกับร้านชื่อดังอย่างอองตองข้าวซอย ร้านอาหารเหนือที่ได้บิบ กูร์มองด์จากมิชลินไกด์ 4 ปีซ้อน ออกมาเป็นมันฝรั่งทอดกรอบที่ได้ทั้งรสชาติเผ็ดนิดๆ จากเครื่องแกง และนุ่มละมุนหน่อยๆ จากกะทิ
  • รสแกงเขียวหวาน : อีกหนึ่งรสชาติที่นำแกงของไทยมาใส่ในซองเลย์ มีทั้งกลิ่นหอมของกะทิ และมีความหวาน แม้หลายเสียงจะรีวิวกันว่ายังไม่ค่อยเหมือนแกงเขียวหวานสักเท่าไหร่ แต่ก็เป็นรสชาติที่กินได้เพลินๆ
  • รสไข่หมึกคั่วน้ำจิ้มซีฟู้ด : รสชาติล่าสุดที่เลย์จับมือกับร้าน After Yum นำอาหารที่หลายคนชื่นชอบอย่างไข่หมึกคั่ว มาเติมความแซ่บด้วยน้ำจิ้มซีฟู้ดคู่ใจ สะท้อนวัฒนธรรมการกินของคนไทยที่ชอบกินอาหารทะเลจิ้มน้ำจิ้มซีฟู้ด

อ้างอิง

7 มุกเด็ดที่มิจฉาชีพใช้ลวงนักลงทุน

รู้หรือไม่? คนไทยเผชิญกับมิจฉาชีพหลอกโอนเงินมาเป็นอันดับ 3 ของเอเชีย และเป็นอันดับ 6 ของโลก

มีข้อมูลจากบริษัท Gogolook และ Whoscall บอกว่า จำนวนผู้คนในเอเชียถูกหลอกลวงทั้งจากสายโทรเข้า และข้อความ SMS ลดลงต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 เป็นผลมาจากความร่วมมือของภาครัฐ ภาคธุรกิจ และประชาชน ที่ตระหนักและป้องกันภัยการหลอกลวงออนไลน์ได้ดีขึ้น

แม้อัตราการหลอกลวงออนไลน์ในเอเชียจะลดลง ทว่าปีที่ผ่านมาคนไทยกลับโดนหลอกเพิ่มขึ้น 18% หรือคิดเป็น 79 ล้านครั้ง และในจำนวนนี้เป็นการหลอกให้ทำธุรกรรมออนไลน์ถึง 25.7% หรือประมาณ 20 ล้านครั้ง

ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะนำเรื่องการให้ความรู้ทางการเงินการลงทุนเป็นวาระแห่งชาติ วิชากันลวงทุนในวันนี้จึงว่าด้วยเรื่อง มุกเด็ดที่เหล่ามิจฉาชีพใช้ลวงนักลงทุนและบุคคลทั่วไป เพราะว่าตอนนี้วิธีการหลอกลวงของมิจฉาชีพอัพเกรดขึ้นทุกวัน เราในฐานะผู้บริโภคและประชาชนทั่วไปก็ต้องรู้เท่าทันกลโกงเหล่านี้ด้วย

มาดูกันว่า 7 มุกเด็ดที่มิจฉาชีพใช้มีอะไรบ้าง จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่ออีกต่อไป

1. แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ หรือกูรูนักลงทุน

การแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่มิจฉาชีพมักนำมาใช้เป็นกลอุบายในการหลอกลวงผู้เสียหายเป็นอันดับต้นๆ หากวันใดวันหนึ่งคุณได้รับสายจากเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ตลาดหลักทรัพย์ เจ้าหน้าที่ตำรวจ กรมบัญชีกลาง หน่วยงาน DSI เจ้าหน้าที่กรมที่ดิน หรือสมาคมที่เกี่ยวกับการลงทุน โทรมาบอกว่าชื่อของคุณอยู่ในหมายจับ ทำผิดกฎหมาย มีภาษีค้างชำระ หรือต้องการอัพเดตข้อมูลในระบบราชการ อย่าเพิ่งตกใจ ให้ตั้งสติ และใจเย็นๆ ท่องไว้ว่า อย่าโหลดแอพฯ อย่าเปลี่ยนรหัส และอย่าบอกข้อมูลส่วนตัวทั้งหมด ให้ตรวจสอบไปยังบริษัท องค์กร หรือบุคคลที่ถูกอ้างถึงเพื่อยืนยันว่ามีตัวตนจริงหรือไม่ หากได้กลิ่นตุๆ ให้รีบวางสายและบล็อกเบอร์ทันที 

หรือในกรณีของการแอบอ้างว่าตนเองเป็นโค้ช หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนก็มีให้เห็นบ่อยครั้ง โดยบุคคลเหล่านี้มักจะใช้วิธีการแชร์ความรู้ เทคนิคการลงทุนตั้งแต่ระดับเริ่มต้นไปจนถึงขั้นสูงที่เกี่ยวข้องกับระบบเทรด บางคนจะใช้การสร้างเฟซบุ๊กเพจและยิงแอดให้เหล่านักลงทุนสนใจ โดยใช้การเปิดคอร์สสอนลงทุนในราคาถูกผลตอบแทนแสนงามเป็นเหยื่อล่อ 

หากเจอมิจฉาชีพในลักษณะนี้ให้รีบตรวจสอบย้อนกลับไปยังหน่วยงานต้นสังกัดว่าคนคนนั้นมีตัวตนจริงหรือแอบอ้างมา ที่สำคัญคือห้ามบอกข้อมูลส่วนตัว โดยเฉพาะรหัส OTP และรหัส ATM 

2. สร้างความไว้ใจ ด้วยข้อมูลที่เชื่อถือได้

หนึ่งในสิ่งที่ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อมิจฉาชีพอย่างสนิทใจก็คือ การบอกข้อมูลที่เชื่อถือได้ โดยเฉพาะเมื่อเป็นข้อมูลส่วนตัว ทั้งทะเบียนบ้าน เลขบัตรประชาชน เลขบัญชีธนาคาร หรือแม้แต่เลขโฉนดที่ดิน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ล้วนเป็นข้อมูลส่วนบุคคล ที่แม้แต่เราเองก็ยังจำไม่ได้ 

มิจฉาชีพสร้างความน่าเชื่อถือด้วยการทำเว็บไซต์ แอพพลิเคชั่นปลอม แอบอ้างชื่อบุคคลหรือองค์กรที่มีตัวตนจริง ใช้ข้อความที่น่าเชื่อถือ รวมถึงมีการอ้างหน่วยงานรัฐ บริษัทที่มีการรับรองอย่างถูกต้อง มีข้อมูลการเทรดหุ้นโดยละเอียด และเมื่อผู้เสียหายนำชื่อไปเสิร์ชในอินเทอร์เน็ตก็จะเจอข้อมูลจริง 

อย่างไรก็ตาม คุณสามารถลดความเสี่ยงที่จะถูกหลอกด้วยการค่อยๆ ศึกษาข้อมูลจากหลายๆ แหล่ง และปรึกษาคนรอบตัวที่ไว้ใจได้ก่อนตัดสินใจโอนเงินหรือลงทุนอะไรก็ตาม โดยเฉพาะในกรณีที่เป็นเงินก้อนโต และแม้ว่าข้อมูลที่ได้จากมิจฉาชีพจะดูน่าเชื่อถือเพราะมีการรับรองถูกต้องทางกฎหมาย ก็ควรนำข้อมูลเหล่านี้มาพิจารณาให้ดีเสียก่อน 

3. สร้างโปรไฟล์ปลอมเป็นหนุ่มหล่อสาวสวย มีการศึกษา ถามไถ่เรื่องราวชีวิตไม่ขาด

ทันทีที่มีหนุ่มหล่อ สาวสวยหน้าตาดี ฟอลโลว์ไอจีหรือ DM มาชวนคุยในเชิงชู้สาว นี่อาจเป็นการหลอกให้รัก แล้วลวงเอาเงิน หรือ romance scam ซึ่งเป็นอีกหนึ่งรูปแบบที่มิจฉาชีพใช้หลอกลวงผู้คน โดยส่วนมากมิจฉาชีพจะใช้ภาพโปรไฟล์ของบุคคลอื่นที่ดูดี มีหน้าที่การงานดี เช่น นักธุรกิจ วิศวกร แพทย์ ทหาร มีสถานะในโลกออนไลน์เป็นคนโสด หรือผ่านการแต่งงานมาแล้ว โดยแฝงตัวอยู่ในโซเชียลมีเดียหรือแอพฯ หาคู่ เมื่อพบกลุ่มเป้าหมายจะหว่านล้อมในรูปแบบต่างๆ ให้ผู้เสียหายหลงรัก และแสวงหาผลประโยชน์ 

เป้าหมายของ romance scam เป็นได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง กลุ่มคนเหงาและต้องการหาเพื่อนพูดคุย ซึ่งจริงๆ แล้วอาจเป็นได้ทั้งผู้สูงอายุที่อยู่ลำพัง คนที่เป็นทาสหมาทาสแมว หรือแม้แต่คนชอบทำบุญ ซึ่งจริงๆ แล้วอาจเป็นใครก็ได้ที่มองโลกในแง่ดีเกินไป เชื่อคนง่าย และเปิดโอกาสให้คนไม่รู้จักเข้ามาสานสัมพันธ์ได้ง่าย 

ปัจจุบัน romance scam มีการหลอกลวงหลายรูปแบบ เช่น

  • การหว่านล้อมด้วยคำพูดหวานๆ เช่น “รู้สึกถูกชะตาตั้งแต่เห็นภาพในโปรไฟล์” “ยิ่งคุยยิ่งรู้สึกว่าเป็นคนที่ใช่” หรือมีการถามไถ่เรื่องราวในชีวิต เช้า กลางวัน เย็น เช่น กินข้าวหรือยัง วันนี้ทำงานเป็นยังไงบ้าง วันหยุดไปเที่ยวที่ไหนดี ฯลฯ เพื่อหว่านล้อมให้ผู้เสียหายเชื่อใจ
  • หลอกว่าเป็นนักธุรกิจที่ต้องการเข้ามาลงทุนในประเทศไทย กำลังมองหาพาร์ตเนอร์ร่วมลงทุน หลอกให้ผู้เสียหายโอนเงินเพื่อนำไปหมุนในธุรกิจก่อน
  • หลอกว่าครอบครัวป่วยต้องใช้เงินด่วน และเมื่อเงินเดือนออกแล้วจะรีบใช้คืน
  • ชวนทำธุรกิจหรือลงทุนร่วมกัน เช่น การเปิดบัญชีสำหรับเทรดหุ้น โดยใช้เงินของผู้เสียหายเป็นหลัก และตัวมิจฉาชีพจะเป็นผู้ดูแลเงินให้ การหลอกลงทุนในลักษณะนี้ มิจฉาชีพจะบอกวิธีการลงทุนอย่างละเอียดทุกขั้นตอน แม้กระทั่งเวลาที่ควรลงทุน ต้องซื้อ-ขายตอนไหนถึงจะได้ผลตอบแทนกลับมา เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจ

ทุกรูปแบบของ romance scam ล้วนมาพร้อมกับทำสัญญาที่ว่า จะคืนเงินให้ตามจำนวนหรือมากกว่า รวมทั้งสัญญาว่าจะสร้างอนาคตร่วมกัน เมื่อเวลาผ่านไปผู้เสียหายเริ่มรู้ตัว มิจฉาชีพจะปิดบัญชีออนไลน์ต่างๆ ที่สร้างขึ้น และไม่สามารถติดต่อได้

ในเคสแบบนี้ถ้าตกเป็นเหยื่อแล้ว อย่าเพิ่งลบหรือบล็อกแอ็กเคานต์ ให้เก็บหลักฐานการโอนเงิน ข้อความแชต และภาพการพูดคุยทั้งหมดไว้ให้มากที่สุดเพื่อนำไปแจ้งความกับตำรวจ 

4. การันตีผลตอบแทน และทำให้เห็นว่าได้เงินจริง

ช่วงนี้หลายคนน่าจะเคยเห็นข่าวมิจฉาชีพหลอกลงทุนออนไลน์ หรือหลอกขายของที่ไม่มีอยู่จริง เช่น การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ลงทุนหุ้นในบริษัทระดับโลก โดยจูงใจด้วยการการันตีผลตอบแทนที่สูงเกินจริงในเวลาอันรวดเร็ว และหากชวนคนอื่นมาร่วมลงทุนได้ก็จะเพิ่มโบนัสเข้าไปอีก นี่แหละคือแชร์ลูกโซ่ กลโกงที่มิจฉาชีพใช้หลอกลวงหรือจูงใจ  โดยเฉพาะการล่อลวงด้วยผลตอบแทนที่กำหนดเป็นตัวเลขแน่นอน

โดยการหลอกลวงให้ลงทุนมีจุดสังเกตไม่ยากคือ ส่วนใหญ่มิจฉาชีพจะบอกว่านำเงินของเราไปลงทุนในหุ้น คริปโต NFT หรือเป็นหุ้นส่วนเพื่อขายของออนไลน์ และทุกการลงทุนจะให้ผลตอบแทนสูงเกินจริง เช่น ได้กำไร 20-25% ภายใน 7 วัน หรือมีโบรกเกอร์มืออาชีพดูแลให้ การันตีกำไร 30% ต่อเดือน ยิ่งชวนเพื่อนมาลงทุนด้วยมากเท่าไหร่ก็จะได้ผลตอบแทนมากขึ้นเท่านั้น เป็นต้น

ถ้าเจอข้อความเหล่านี้แทบไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นมิจฉาชีพหรือไม่ คำตอบคือ เป็นแน่นอน เพราะในโลกของการลงทุนไม่มีธนาคารหรือโบรกเกอร์คนไหนกล้าการันตีผลตอบแทนสูงๆ จากการลงทุน แถมยังย้ำอีกว่า ไม่มีการลงทุนใดไม่มีความเสี่ยง ไม่มีผลตอบแทนใดที่แน่นอน อะไรที่เหมือนจะได้มาง่ายๆ ก็อาจไม่ใช่เรื่องจริงเสมอไป แทนที่จะได้เงินจากการลงทุนจริงๆ ก็อาจไม่ได้เลยสักบาท

5. ดึงเข้ากลุ่ม ใช้หน้าม้าหลอกล่อ

หากคุณมาถึงขั้นตอนเข้ากลุ่มไลน์ หรือกลุ่มปิดอะไรก็ตาม นั่นหมายความว่าคุณเสี่ยงที่จะโดนหลอกสุดๆ ถ้ามิจฉาชีพบอกให้เข้ากลุ่มไลน์ กลุ่มทำงานที่มีสมาชิกจำนวนหนึ่ง ให้คิดไว้ก่อนเลยว่า 7 ใน 10 คนนั้นอาจไม่ใช่นักลงทุน แต่เป็นหน้าม้าที่จะช่วยกันหว่านล้อมคุณ

สำหรับพฤติกรรมของคนในกลุ่ม ส่วนใหญ่จะมีการรายงานตัวกันทุกวัน ส่งภาพแคปหน้าจอบอกคนในกลุ่มว่าวันนี้ลงทุนไปเท่าไหร ได้กำไรกี่บาท หุ้นตัวไหนมาแรง ฯลฯ หากคุณเริ่มรู้สึกแปลกๆ และอยากพูดคุยเป็นการส่วนตัวกับใครสักคนในนั้น ก็มีความเป็นไปได้ว่าคนที่คุณแอดไปจะเป็นหนึ่งในมิจฉาชีพที่แฝงตัวเข้ามาเป็นหนึ่งในนักลงทุน คอยกระตุ้นให้ทุกคนลงทุนมากขึ้น นั่นเท่ากับว่าคุณอาจโดนหลอกซ้ำสอง

6. โอนเข้าง่าย ถอนออกยาก

เมื่อคุณเริ่มลงทุน ในครั้งแรกๆ ก็จะถอนเงินต้นและกำไรออกมาได้ นี่ทำให้คุณรู้สึกว่า การลงทุนครั้งนี้ช่างคุ้มค่าเสียจริง ทำอะไรก็ง่ายไปหมด โอนง่าย ได้กำไรง่าย แต่เรื่องจะพลิกทันทีที่คุณอยากถอนเงิน ทุกอย่างจะกลายเป็นเรื่องยาก และมีความเป็นไปได้ว่าจะถอนเงินทั้งหมดออกมาไม่ได้ แถมยังต้องเสียเงินเพิ่มอีก เพราะโบรกเกอร์จะบอกว่ามีค่าใช้จ่าย ค่าธรรมเนียม ค่าภาษีในการถอน หรือต้องโอนเงินเข้าระบบเท่ากับจำนวนที่จะถอน เช่น ต้องการถอน 300,000 บาท ต้องโอนเงินเข้าไปก่อน 300,000 บาทจึงจะถอนได้ ซึ่งแน่นอนว่าก็ยังถอนออกมาไม่ได้อยู่ดี เผลอๆ ยังถูกเชียร์ให้ใส่เงินเพิ่มเพื่อให้ได้ผลตอบแทนมากขึ้นไปอีก

และเรื่องราวหลังจากนั้น เมื่อผู้เสียหายลงเงินไปแล้วก็จะเกิดปัญหาต่างๆ นานาที่ทำให้ถอนเงินไม่ได้อีกเช่นเคย ซึ่งมิจฉาชีพจะอ้างเหตุผลสารพัด เช่น เว็บล่ม มีปัญหาเรื่องไทม์โซน หรือต้องติดต่อเจ้าหน้าที่ในเวลาอื่น เมื่อเวลาผ่านไปผู้เสียหายก็ยังไม่ได้เงินกลับมา แต่ปรากฏว่าโบรกเกอร์หรือคนแนะนำหายตัวไปแล้วและไม่สามารถติดต่อได้

7. สร้างความกลัวและความกดดัน

นอกจากทั้ง 6 ข้อที่กล่าวมาแล้ว ยังมีการใช้หลักจิตวิทยาร่วมด้วย โดยมี 2 ประเภทหลักๆ คือ การสร้างความกลัวและการกดดันโดยการจำกัดเวลา ซึ่งมิจฉาชีพส่วนใหญ่มักใช้การโน้มน้าวด้วยอารมณ์มากกว่าการโน้มน้าวด้วยเหตุผล เพื่อแสดงให้เห็นว่าข้อเสนอนั้นๆ พิเศษที่สุด เช่น กำหนดเวลาในการโอนเงิน จำกัดจำนวนผู้เข้าร่วมการลงทุน หรือหากไม่โอนตอนนี้จะเสียสิทธิ์ในการร่วมลงทุนกับหุ้นที่ให้ผลตอบแทนมากกว่า ทำให้ผู้เสียหายต้องรีบโอนเงินหรือส่งข้อมูลเพื่อที่จะได้รับผลตอบแทนตามที่มิจฉาชีพสัญญาไว้ 

สำหรับทุกคนที่ต้องการคาถากันถูกหลอกลงทุนออนไลน์ นอกจากทั้ง 7 ข้อที่กล่าวไปแล้ว เราขอแนะนำคาถาสั้นๆ ที่ควรท่องจำให้ขึ้นใจว่า “ไม่มีการลงทุนไหนที่ให้ผลตอบแทนมากในเวลาสั้นๆ” 

หรือถ้ามีใครมาชวนลงทุน สามารถตรวจสอบชื่อผู้ให้บริการในตลาดทุนที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. รวมถึงค้นหาผลิตภัณฑ์ที่ได้รับอนุญาตเพื่อช่วยในการตัดสินใจลงทุน ได้ที่ market.sec.or.th/LicenseCheck/Search หรือแอพพลิเคชั่น SEC Check First

อดเหล้าเรากินไอศครีม ไอศครีมกับยุคแบนเหล้า และรสชาติของความยากเข็ญ

อากาศร้อนๆ แบบนี้ คอลัมน์ทรัพย์คัลเจอร์ขอชวนทุกท่านไปนั่งในร้านไอศครีมเย็นๆ สั่งโซดาลอยไอศครีมสักแก้ว แต่ร้านไอศครีมที่เราจะพาไปนั่งในครั้งนี้คือร้านไอศครีมในดินแดนอเมริกันช่วงทศวรรษ 1920  

ในห้วงเวลานั้นถือเป็นช่วงรอยต่อของสงครามโลกทั้งสองครั้ง เป็นช่วงที่ไฟฟ้าเริ่มกระจายไปถึงหลายพื้นที่ ประเด็นสำคัญของวัฒนธรรมไอศครีมแบบอเมริกันคือการกลายเป็นตัวตนของชาติและส่งอิทธิพลไปทั่วโลก ไอศครีมอเมริกันมีความสัมพันธ์กับประวัติศาสตร์อเมริกันสมัยใหม่อย่างลึกซึ้ง 

ตั้งแต่ยุคแห่งการห้ามขายเหล้า (Age of Prohibition) ยุคที่เกิดการผลิตไอศครีมเป็นจำนวนมากด้วยตู้เย็นซึ่งถือเป็นนวัตกรรมใหม่ และส่งท้ายด้วยร็อกกี้โร้ด รสชาติไอศครีมที่เล่าขานกันว่าถูกสร้างขึ้นเพื่อปลอบใจผู้คนในยามยาก รสชาติที่อาจเป็นรสโปรดของเราในอีกซีกโลกและในอีกร้อยปีให้หลัง

ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เราเมาไอศครีม

ยุคแบนเหล้าหรือ Age of Prohibition กินเวลาระหว่างปี 1922-1930 เราเคยชวนดูว่าเมื่ออเมริกาแบนเหล้า สุดท้ายก็ทำให้เกิดทั้งผู้หญิงที่เข้าสู่อุตสาหกรรมการดื่ม เกิดบาร์คอกเทลและเกิดกระทั่งวัฒนธรรมการออกเดต 

ในยุคนี้เองที่เมื่อเหล้าลงใต้ดิน ไอศครีมกลายเป็นอาหารเยียวยาใจทดแทนเหล้าที่ขาดหายไป ทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ อย่างรถขายไอศครีม และเกิดการพัฒนารสชาติไอศครีมให้หลากหลาย ตอนนี้แหละที่ไอศครีมที่แต่เดิมอาจไม่ใช่ขนมหวานสำหรับทุกชั้นชนก็เริ่มกลายเป็นอาหารอันโอชะของคนทุกชนชั้น 

ที่น่าสนใจคือผู้ผลิตในอุตสาหกรรมเหล้าเบียร์รายใหญ่บางรายยังหันมาผลิตไอศครีมเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงแทน เช่น Anheuser-Busch โรงเบียร์ที่ขึ้นชื่อว่ายอดฮิตที่สุดเจ้าหนึ่งก็หันมาผลิตไอศครีมและขายคอนเซปต์ชวนกินไอศครีมวันละจานทุกวัน 

หรือ Yuengling (Jüngling) โรงกลั่นเบียร์เยอรมันรายใหญ่ก็หันมาผลิตไอศครีมที่ตัดเป็นชิ้นเหมือนเค้ก ทำให้คนขายย่นเวลาการตัดและสามารถหยิบขายได้อย่างรวดเร็ว ด้วยความสะดวกทำให้ขายดีและมีรายงานว่าขายได้ถึง 2 ล้านควอตซ์ภายในปี 1928

ไอศครีมกับกองทัพและเครื่องดื่มฮิตยุคอดเหล้า 

การแบนเหล้ายังส่งผลต่อความนิยมของไอศครีม กิจการห้างร้าน และธุรกิจโคนมในหลายมิติ หนึ่งในที่ที่เหล้าถูกแบนก่อนเพื่อนคือบริเวณท่าเรือและในกองทัพเรือ 

ในปี 1914 ตอนนั้นอเมริกายังร่วมอยู่ในสงครามโลกครั้งที่ 1 กองทัพพบว่าไอศครีมกลายเป็นยาใจใหม่ของทหาร แม้ภายหลังอเมริกาจะงดแบนเหล้าแล้วและเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1945 กองทัพได้ลงทุนกว่าล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อสร้างโรงงานไอศครีมลอยน้ำไว้ในทะเลแปซิฟิกและในทะเลแอตแลนติก ร้านไอศครีมลอยน้ำผลิตไอศครีมได้เร็วและมากถึง 500-2,000 แกลลอนต่อวัน

ในช่วงหลังปี 1920 เครื่องดื่มประเภทโซดารวมถึงโคคา-โคล่ากลายเป็นเครื่องดื่มใหม่ที่ได้รับความนิยม สิ่งที่มาพร้อมกับวัฒนธรรมไอศครีมคือตู้จ่ายโซดา และร้านที่ทำให้โซดาอร่อยสนุกขึ้นก็คือร้านไอศครีม ไอศครีมโซดา หรือโซดาโฟลตจึงกลายเป็นเครื่องดื่มฮิตที่สัมพันธ์กับยุคอดเหล้า 

บทสัมภาษณ์ผู้ผลิตไอศครีมรายหนึ่งในหนังสือพิมพ์ที่แคนซัสเมื่อปี 1922 ระบุว่าการแบนเหล้าทำให้ช็อกโกแลตไอศครีมโซดากลายเป็นเครื่องดื่มประจำชาติ และไอศครีมที่เคยเป็นขนมที่นานๆ กินทีก็กลายเป็นของหวานที่สัมพันธ์กับชีวิตประจำวัน

ในช่วงปี 1916-1933 คนอเมริกันบริโภคไอศครีมเพิ่มขึ้นถึง 55% ในปี 1929 มีการบริโภคสูงถึงวันละหนึ่งล้านแกลลอน และมีการบริโภคไอศครีมในประเทศสูงถึง 100 ล้านแกลลอนต่อปี ภายหลัง Temperance Movement กลุ่มผู้สนับสนุนการงดและแบนเหล้ายกความดีความชอบให้ตัวเองว่าพวกเขาเกี่ยวข้องกับการส่งเสริมอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น โคนม กิจการที่เกี่ยวกับนม รวมถึงไอศครีมด้วย

การมาของตู้เย็นและสถานะของไอศครีมที่ไม่จำกัดชั้นชน 

นอกจากการแบนเหล้าแล้ว วัฒนธรรมไอศครีมจะเฟื่องฟูไม่ได้เลยหากไม่มีนวัตกรรมทำความเย็นอย่างตู้เย็น ต้องย้อนกลับไปว่าอเมริกาเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในทศวรรษ 1930 หลังจากนั้นจึงเกิดสิ่งที่เรียกว่า New Deal เพื่อฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจ 

ในปี 1936 เกิดกฎหมายชื่อ Rural Electrification Act ทำให้โครงข่ายไฟฟ้าในฐานะโครงสร้างพื้นฐานขยายไปแม้ในดินแดนห่างไกล สิ่งที่ไปพร้อมกับไฟฟ้านอกจากแสงสว่างก็คือตู้เย็น ยุคแห่งความสว่างไสวของอเมริกาจึงขยายตัวไปพร้อมกับรสหวานเย็นของไอศครีม

จากแต่เดิมที่เป็นเรื่องยุ่งยาก เพราะต้องเอาของเหลวไปตีกับน้ำแข็ง ซึ่งน้ำแข็งในยุคที่ยังไม่มีตู้เย็นก็นับเป็นสิ่งที่หายาก และเก็บรักษาลำบาก ก็ไม่ได้ซับซ้อนขนาดนั้น แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ความรักในไอศครีมของชาวอเมริกันเริ่มถดถอยเมื่ออเมริกาเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในปีเดียวกัน 

ช่วงนี้เองที่ผู้ผลิตไอศครีมพยายามสร้างแรงจูงใจให้ไอศครีมเป็นอาหารเยียวยาหัวใจในบรรยากาศของความอึดอัดตึงเครียด

ร็อกกี้โร้ด ไอศครีมขรุขระในช่วงเวลาสะบักสะบอม

ก่อนจะก้าวเข้าสู่ทศวรรษ 1930 เราขอย้อนกลับไปในปี 1922 และมองกิจการไอศครีมจากด้านของการผลิต นวัตกรรมสำคัญของวงการไอศครีมเกิดขึ้นในเมืองลุยส์วิลล์ รัฐเคนทักกี Clarence Vogt ได้ประดิษฐ์เครื่องทำไอศครีมที่เป็นหมุดหมายของการผลิตไอศครีมแบบ mass production 

แต่เดิมที่แม้จะมีตู้เย็นแล้ว ก็ยังยากลำบากเช่นต้องใช้มือตีหรือเขย่า เครื่องทำไอศครีมเครื่องนี้จึงทุ่นแรงไปได้มากเพราะเป็นเครื่องจักรที่มีท่อหมุนพร้อมระบบทำความเย็น ทำให้การผลิตไอศครีมเป็นสินค้าในจำนวนมากทำได้จริงและทำได้ง่ายขึ้น  

ด้วยความสะดวกของเครื่องที่เราแค่เทส่วนผสมต่างๆ จนได้เนื้อไอศครีมที่ปลายท่อจึงทำให้เกิดไอศครีมหลากหลายรูปแบบ เช่น เอาส่วนผสมต่างๆ ไปผสมจนเกิดเป็นไอศครีมพร้อมวัตถุดิบอื่นๆ ขึ้นมา หนึ่งในนั้นคือไอศครีมร็อกกี้โร้ด ไอศครีมรสสำคัญซึ่งสัมพันธ์กับการออกแบบรสชาติให้ผู้คนก้าวผ่านช่วงเวลาอันขรุขระไปได้ 

ร็อกกี้โร้ดเกิดขึ้นในปี 1929 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดิ่งลงเหว เป็นจุดเริ่มต้นของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำหรือ Great Depression เจ้าร็อกกี้โร้ดนั้นเป็นไอศครีมรสช็อกโกแลตที่มีถั่วหักๆ อย่างวอลนัตหรืออัลมอนด์ผสม ทั้งยังมีมาร์ชแมลโลว์ช่วยเพิ่มความซับซ้อน รสชาติของวัตถุดิบชูใจทั้งหมดผสมออกมาในรูปแบบไอศครีมชวนให้ผู้คนก้าวผ่านชีวิตที่ขรุขระเหมือนผิวสัมผัสของไอศครีมที่คละเคล้าทั้งความกรอบแข็งของถั่วและความนุ่มฟูของมาร์ชแมลโลว์

ไอศครีมร็อกกี้โร้ดมีเรื่องราวถึงจุดเริ่มต้นแตกต่างกัน แต่มาจากพื้นที่เดียวกันคือที่เมืองโอ๊กแลนด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย หนึ่งในดินแดนสำคัญของการผลิตนมและผลิตภัณฑ์นม เรื่องราวพูดถึงร้านไอศครีมและการคิดสูตรในคืนที่ตลาดหุ้นร่วง บางเรื่องจะพูดถึงเจ้าของร้านไอศครีมและร้านขนมหวานประเภทลูกอมที่เป็นเพื่อนกัน บ้างก็ชี้ให้เห็นว่ามีลูกอมรสร็อกกี้โร้ดก่อนจึงเป็นแรงบันดาลใจให้เพื่อนซึ่งทำร้านไอศครีม ตัดมาร์ชแมลโลว์ลงไปผสมกับไอศครีมและถั่ว

การผสมผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับลูกอมหรือของหวานอื่นๆ ลงในไอศครีมถือเป็นความสร้างสรรค์ที่สดใหม่มาก ในยุคนั้นการสร้างสรรค์รสไอศครีมจะเป็นการผสมรสด้วยการวางไอศครีมเป็นชั้นๆ ที่เรียกว่า Neapolitan ice cream คือเป็นรสวานิลลา สตรอว์เบอร์รี และช็อกโกแลต 

การใส่วัตถุดิบอื่นๆ ทำให้ร็อกกี้โร้ดกลายเป็นไอศครีมรสผสมรสแรกๆ ซึ่งกลายเป็นไอศครีมระดับไอคอน ร้านอื่นๆ เริ่มทำร็อกกี้โร้ดในแบบของตัวเองออกมา ไม่ว่าจะด้วยการเปลี่ยนรสไอศครีม เปลี่ยนถั่ว แต่ที่สำคัญคือต้องมีมาร์ชแมลโลว์ประกอบอยู่เสมอ

วัฒนธรรมไอศครีมของคนอเมริกัน
ในวันที่เหล้าไม่ใช่ของต้องห้าม

การเฟื่องฟูและความรักในไอศครีมของชาวอเมริกันนับจากการเป็นสิ่งทดแทนในยุคแบนเหล้า ในที่สุดกลายเป็นตัวตนและไม่ค่อยลดน้อยลง แม้แต่ในช่วงยุคเศรษฐกิจตกต่ำ การบริโภคไอศครีมก็ยังคงได้รับความนิยมอยู่ 

กระทั่งในความกังวลว่าถ้าการแบนเหล้าถูกยกเลิก ความนิยมของไอศครีมจะลดลงไหม แต่คำถามนั้นตอบได้ไม่ยาก เพราะเมื่ออเมริกายกเลิกการแบนเหล้าในยุคเศรษฐกิจตกต่ำ การบริโภคไอศครีมยิ่งได้รับความนิยมและมีมากขึ้นไปอีก

แม้แต่ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่มีการจำกัดทรัพยากร ความรักในไอศครีมของชาวอเมริกันก็ไม่อาจหยุดยั้งได้ เช่นการสร้างเรือและยกให้การขนส่งหรือผลิตไอศครีมเป็นกิจกรรมสำคัญลำดับต้นๆ ของกองทัพ ก็เป็นอีกหนึ่งหลักฐานสำคัญที่ฟ้องว่าเจ้าไอศครีมกลายเป็นหัวใจหนึ่งของความเป็นอเมริกันไปเรียบร้อยแล้ว

ขยับกลับมาที่ปัจจุบัน ตัวเลขการบริโภคไอศครีมของชาวอเมริกันค่อนข้างสะท้อนว่าไอศครีมเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของผู้คนไปแล้ว รายงานในปี 2024 ระบุว่าชาวอเมริกันบริโภคไอศครีมประมาณ 23 ปอนด์ หรือราวสิบกิโลกรัมต่อปี ชาวอเมริกัน 87% มีไอศครีมติดตู้เย็น 

จากการที่ไอศครีมกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตหวานและเย็นของชาวอเมริกัน บ้านเราเองที่ร้อนระอุเชื่อว่ามีจำนวนไม่น้อยที่มีไอศครีมติดอยู่เย็น หรืออันที่จริงการขยายตัวของวัฒนธรรมไอศครีมอเมริกันก็มากับแบรนด์ไม่ว่าจะเป็นร้านหรือยี่ห้อไอศครีมที่เราอาจเพิ่งเดินผ่าน หรือแวะไปทานมาเมื่อวันก่อน ไม่ว่าจะเป็นสเวนเซ่นส์ ฮาเก้น-ดาส บัดส์ หรือไอศครีมแบบกระปุกที่กลายเป็นสิ่งที่มีแทบทุกตู้เย็นทั่วโลก

อ้างอิง