เป็นมนุษย์เงินเดือนยุคนี้ยังไงไม่ให้เครียด สรุปเทรนด์บริหารคนจากงาน CTC Forecast 2024

“บริษัทเราอยู่กันแบบครอบครัว” 

เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินประโยคนี้ โดยเฉพาะตอนสัมภาษณ์งาน ที่มีการการันตีถึงวัฒนธรรมการทำงานแบบครอบครัว มีความเป็นพี่น้องที่สนิทสนมกัน แต่สำหรับบางคนเมื่อได้ยินประโยคนี้ก็อาจแซวว่า ครอบครัวที่ว่าเป็นครอบครัวจิระอนันต์จากซีรีส์เลือดข้นคนจางหรือเปล่า ที่ต้องคอยระแวงระวังหลังตลอดเวลาหรือเปล่า หรือสมมติเป็นการทำงานแบบครอบครัวจริงๆ คำถามสำคัญคือนั่นเป็นสิ่งที่ส่งผลดีในการทำงานหรือเปล่า แล้วนั่นใช่สิ่งที่คนในยุคปัจจุบันคาดหวังหรือไม่

ในงาน AP Thailand Presents CTC FORECAST 2024 ที่ผ่านมา มีหลายเซสชั่นที่น่าสนใจ หนึ่งในนั้นคือ เซสชั่น People Forecast โดย ดร.วิโรจน์ จิรพัฒนกุล Managing Director, Skooldio, อภิชาติ ขันธวิธิ CEO of QGEN Consultant และ พญ.พิยะดา หาชัยภูมิ จิตแพทย์ ที่ปรึกษาด้าน People & Mindful Leadership ที่มาแชร์มุมมองและแนวคิดเกี่ยวกับการบริหารคน ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ รวมถึงทักษะที่คนทำงานควรมีติดตัว

ก่อนจะเล่าถึงเทรนด์การทำงานในปี 2024 เราอาจต้องมองย้อนไปก่อนว่าอะไรคือปัญหาจริงๆ ของคนทำงาน ทั้งในระดับผู้บริหาร หัวหน้า และลูกน้อง โดยจากผลสำรวจของ QGEN Consultant พบว่า การเมืองในองค์กรคือเหตุผลอันดับหนึ่ง ตามมาด้วยลูกน้องผลงานไม่ดี ความสามารถไม่เพียงพอ, ผู้บริหารสร้างปัญหาให้ทีม, จำนวนงานมากเกินไปจนเกิด workload และการทำงานแบบไร้ทิศทาง

ในขณะเดียวกันต้องบอกว่า เมื่อเราอยู่ในโลกของการทำงาน สถานที่ที่รวบรวมความหลากหลายไว้ด้วยกัน ทั้งเรื่องเพศ อายุ นิสัยใจคอ ความคิด ทัศนคติ หรือวิธีการทำงาน ประเด็นคือ ผู้บริหารจะทำยังไงให้ความหลากหลายเหล่านี้เกิดประโยชน์ ทุกคนพร้อมเปิดรับความคิดเห็นของกันและกัน เพื่อสร้างบรรยากาศในการทำงาน หรือสภาพจิตใจพนักงานให้ดีขึ้น

‘Mega Trend for People 2024’

ไม่ว่าจะทำสินค้าหรือบริการใดก็ตาม ‘คน’ ถือเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุด ณ เวลานี้มีเมกะเทรนด์ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานมากมาย โดยอภิชาติได้สรุปออกมาเป็น 4 เทรนด์ ดังนี้

  1. Aging Population, Rising Youth Unemployment, and Global Talent Mobility คือสังคมผู้สูงอายุ คนทำงานจะอายุมากขึ้น ในขณะที่คนรุ่นใหม่ว่างงานเยอะขึ้น หรือเมื่อหากต้องการทำงาน จะมองหาการย้ายประเทศ
  2. Advanced technology and Generative Al คือคนทำงานต้องมีทักษะด้านเทคโนโลยี และ AI
  3. Talent and Skill Shortage คือความสามารถและทักษะที่แรงงานขาดแคลน
  4. Dynamic of People and Work Relationship คือ ความสัมพันธ์ระหว่างคนและองค์กร ในสมัยก่อนคนมักมองว่าจะนำชีวิตตัวเองไปฝากไว้กับองค์กร ต้องการเกษียณการทำงานที่นี่ แต่ตอนนี้คนรุ่นใหม่มองว่าต้องการทำงานเพื่อให้ได้เงิน และไม่ได้มองภาพการทำงานว่าต้องทำงานแบบครอบครัว หรือมีความผูกพันใดๆ เป็นความสัมพันธ์แบบวิน-วิน คือองค์กรได้งาน และพนักงานได้เงิน เมื่อองค์กรบอกว่าตัวเองทำงานแบบครอบครัว คนรุ่นใหม่ก็จะถามต่อว่า ครอบครัวแบบไหน?

ทั้ง 4 เทรนด์นี้คือสิ่งที่น่าจับตามอง และสุดท้ายแล้วไม่ว่าองค์กรจะมีเป้าหมายธุรกิจแบบไหน เป้าหมายหลักคือ การส่งเสริมให้พนักงานเฉิดฉายให้มากที่สุด

นอกจากนี้อภิชาติยังได้กล่าวถึงปัญหาเรื่อง productivity paradox (ความขัดแย้งในยุคของการทำงานแบบไฮบริด) ในมุมขององค์กร 

จากการทำงานแบบไฮบริด องค์กรมองว่า productivity ยังไม่ถึงเป้า แต่พนักงานมองว่าช่วงเวิร์กฟรอมโฮมนี่แหละที่มี productivity ที่สุด เมื่อถึงเวลาบริษัทก็ออกนโยบายให้พนักงานกลับเข้าออฟฟิศร้อยเปอร์เซ็นต์นำมาซึ่งความขัดแย้ง และอาจเกิดกระแสการลาออกครั้งใหญ่ ต่อยอดเป็น The Great Compromise ที่ทั้งสองฝ่ายต้องประยุกต์ความต้องการเพื่อให้เกิดผลดีต่อธุรกิจ เช่น เข้าออฟฟิศ 3 วัน เวิร์กฟรอมโฮม 2 วัน หรือทำงาน 4 วัน วันละ 10 ชั่วโมง และหยุด 3 วัน เป็นเทรนด์ที่จะเห็นได้มากขึ้นในปีนี้

‘โมเดล SEA บริหารคนอย่างสมดุล’

ดร.วิโรจน์กล่าวว่า ‘คน’ ถือเป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่งในการทำธุรกิจ หน้าที่ของผู้บริหารจึงต้องหาจุดสมดุลในการบริหาร โดยแนะนำโมเดล SEA ที่เป็นการหาจุดกึ่งกลางระหว่างคนทำงานและองค์กร

  • ‘Speed (ความเร็ว) – Sustainbility (ความยั่งยืน)’ หลายครั้งที่คนทำงานต้องเผชิญกับปัญหาที่เกิดจากความไม่เข้าใจ เช่น สั่งงานวันนี้แต่จริงๆ อยากได้ตั้งแต่เมื่อวาน หรือสั่งงานเยอะและต่อเนื่อง แน่นอนว่าคุณจะได้งานที่ต้องการในเวลาอันรวดเร็ว แต่ไม่ยั่งยืน ซึ่งความยั่งยืนในที่นี้หมายถึง การเปิดโอกาสให้พนักงานได้เรียนรู้และเสริมทักษะในด้านต่างๆ เพื่อที่ในอนาคตพวกเขาจะทำงานได้รวดเร็วและมีมาตรฐานยิ่งขึ้น ดังนั้น แทนที่จะสั่งงานอย่างเดียว องค์กรควรมีเวลาให้พนักงานได้เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ด้วย 
  • ‘Efficiency (มุ่งเน้นประสิทธิภาพ) – Empathy (เข้าใจพนักงาน)’ ใครที่อยู่ในตำแหน่งหัวหน้าทีมอาจเข้าใจสิ่งนี้อย่างชัดเจน ที่ได้รับคำสั่งจากเบื้องบนว่าต้องการด่วน แต่ข้างล่างหรือคนทำงาน ก็รู้สึก burnout หรือทำงานจนแทบไม่มีเวลากินข้าวเพื่อให้งานออกมาดีที่สุด จุดสมดุลในที่นี้จึงเป็นเรื่องของความเข้าใจ เห็นอกเห็นใจกัน เปิดใจรับฟังความคิดเห็นของพนักงาน เพื่อให้งานสำเร็จลุล่วง
  • ‘Alignment (กำหนดทิศทางชัดเจน) – Autonomy (ให้อิสระ)’ ในการทำงานยุคก่อน องค์กรอาจมีหน้าที่ชี้นิ้วสั่ง พนักงานมีหน้าที่ลงมือทำ แต่ยุคนี้ไม่ใช่อย่างนั้น คนรุ่นใหม่ต้องการอิสระในการทำงาน มีวิธีคิดในแบบของตัวเอง จุดสมดุลในที่นี้จึงเป็นเรื่องของการกำหนดทิศทางองค์กรให้ชัดเจน มีเป้าหมายที่จับต้องได้ เน้นมองที่ผลลัพธ์เป็นหลัก แล้วปล่อยให้พนักงานมีอิสระอย่างเต็มที่

ทั้ง 6 คีย์เวิร์ดนี้อาจฟังดูขัดแย้งกัน แต่ถ้าองค์กรยอมช้าเพื่อให้ยั่งยืนและเร็วขึ้นในอนาคต หรือวางกรอบการทำงานให้ชัดเจน เพื่อให้พนักงานได้คิดและวางแผนอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม การบริหารคนไม่สามารถใช้แนวคิด one-size-fits-all ได้ ผู้บริหารหรือ HR ต้องเข้าใจพนักงานอย่างแท้จริง เพื่อดีไซน์แนวทางการบริหารและการทำงานที่เหมาะกับคนแต่ละกลุ่ม

‘3 ทักษะที่คนทำงานยุคนี้ต้องมี’

นอกจากนี้ ดร.วิโรจน์ยังกล่าวเสริมการทำงานในยุคที่คนต้องต่อสู้กับ AI ว่า ปัจจุบันคนยังมีหน้าที่สร้างคำสั่งให้ AI ทำตาม นั่นหมายความว่า มนุษย์เรายังต้อง creative thinking ในการตั้งคำถามหรือคำสั่ง และเมื่อได้รับคำตอบแล้ว เรายังต้องใช้ทักษะการคิดวิเคราะห์เพื่อตัดสินใจว่าอะไรคือคำตอบที่ใช่ที่สุด ดังนั้น หากเรานำความสามารถของ AI มาผสานรวมกับความครีเอทีฟของเราก็จะยิ่งส่งผลดีต่องาน และในปี 2024 มี 3 ทักษะสำคัญที่คนทำงานต้องมีคือ

  1. Enduring Human Skills ทักษะความเป็นคน เพราะเป็นสิ่งที่คอมพิวเตอร์ไม่สามารถแทนที่ได้ ทั้งทักษะด้านความคิด การรับรู้ความสามารถของตัวเอง และการทำงานร่วมกับผู้อื่น
  2. The New Literacy เป็นทักษะเกิดใหม่ ที่เมื่อได้เรียนรู้แล้วจะเปลี่ยนวิธีการทำงานไปเลย ไม่ว่าจะเป็นทักษะด้าน AI & data, creative thinking หรือด้านการสื่อสาร เช่น ทักษะด้านภาษาอังกฤษที่แต่ก่อนไม่ต้องมีก็ได้ แต่เดี๋ยวนี้ทุกคนต้องสื่อสารภาษาอังกฤษได้ เป็นต้น
  3. Advanced Technical Skills เป็นทักษะที่มีความล้ำสมัย และยังไม่มีคนรู้มากนัก เช่น ทักษะด้านนวัตกรรม หรือทักษะด้านเทคนิคเชิงลึกต่างๆ ซึ่งล้วนเป็นทักษะที่สร้างช่วยให้องค์กรแข่งขันได้อย่างมั่นคงในอนาคต 

‘ดูแลใจคนทำงาน’

เมื่อคนทำงานต้องเผชิญกับความท้าทาย ย่อมส่งผลต่อสภาพจิตใจและร่างกายและร่างกายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลายคนอาจไม่รู้ว่า ปัจจุบันคนไทยเป็นมะเร็งมากขึ้น และส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มผู้บริหารหรือระดับซีเนียร์ รองลงมาก็คือ โรคเส้นเลือดในสมองแตก โรคเบาหวาน และโรคความดัน ซึ่งโรคร้ายเหล่านี้สัมพันธ์กับการทำงานและการใช้ชีวิตทั้งสิ้น

พญ.พิยะดากล่าวว่า จากเหตุผลข้างต้นทำให้องค์กรต้องเข้าใจคำว่า mental health หรือสุขภาวะทางใจ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับพนักงานทุกระดับ เพิ่มขีดความสามารถในการรับรู้ศักยภาพตัวเอง การรับมือกับความเครียด ซึ่งส่งผลต่อสภาพจิตใจ จนทำให้เกิดอาการซึมเศร้า กังวล จัดการความรู้สึกไม่ได้ ความอดทนน้อยลง และอาจมีการระเบิดอารมณ์ ซึ่งถ้าองค์กรมีความรู้มากพอก็จะช่วยลดความเสี่ยงเหล่านี้ได้

‘4 วิธีฟื้นฟูใจคนทำงาน’ 

จากประสบการณ์ที่ได้พบเจอผู้คนมากมายทำให้ พญ.พิยะดาได้รับรู้และเข้าถึงปัญหาที่คนทำงานยุคนี้ต้องเจอ เมื่อได้พูดคุยและให้คำปรึกษา ทำให้จำแนกทางออกของปัญหาเหล่านี้ได้ 4 วิธี คื

  1. Self-Awareness พยายามรู้จักและรักตัวเองให้เป็น
  2. Other เคารพผู้อื่น อย่าลืมว่าเราไม่ใช่คนเดียวในจักรวาล คนที่ไม่เหมือนเราก็ไม่ใช่คนแปลก
  3. Deep Listening รู้จักรับฟังอย่างลึกซึ้ง
  4. Transparent & Creative Communication สื่อสารอย่างสร้างสรรค์ ซื่อสัตย์ และจริงใจ

อย่างไรก็ตาม การจะสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้แข็งแกร่งควรเน้นเรื่องการอยู่ร่วมกัน มีการแบ่งปัน มีเป้าหมายเดียวกัน เอื้อให้พนักงานมีบทบาทการทำงานที่ชัดเจน เพื่อสร้างความผูกพันในองค์กร และมีการดูแล mental health ของพนักงานอย่างจริงจัง

พญ.พิยะดาได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า ถ้าเรื่อง climate change เป็นเรื่องใหญ่ของโลก เรื่อง mental health คือเรื่องใหญ่ของโลกภายใน

รู้จัก loud budgeting เทรนด์การเงินแบบใหม่ เมื่อเจนฯ Z ผุดเทรนด์มีสติก่อนใช้สตางค์

ถ้าปีที่ผ่านมาคือปีของ quite luxury และการสรรหาของเก๋ๆ เท่ๆ มาสวมใส่เพื่อทำคอนเทนต์ตามกระแสโซเชียลที่ไหลเร็วและแรงกว่าน้ำตก เทรนด์การเงินแบบใหม่แบบสับฉบับเจนฯ Z คงเป็น loud budgeting ที่กำลังเป็นกระแสในโลก TikTok ตอนนี้ 

ว่าแต่ loud budgeting คืออะไร เราจะพาไปไขคำตอบภายใน 3 2 1

1. อีหยังคือ loud budgeting? loud budgeting คือเทรนด์ทางการเงินที่ชักชวนให้ผู้คนหันมาป่าวประกาศไปยังคนรอบๆ ตัวเกี่ยวกับการวางแผนทางการเงินของตัวเองและการพยายามใช้จ่ายที่เหมาะสมกับสถานะทางการเงินของตัวเองมากขึ้น แบบที่โนสนโนแคร์ว่าคนอื่นจะอู้ฟู่แค่ไหน  

2. ทำไม loud budgeting กำลังได้รับความสนใจ? ผลการศึกษาโดย Empower พบว่าชาวอเมริกันกว่า 73% รู้สึกเครียดกับการเงินของตนเอง 56% ของกลุ่มเจนฯ Z และ 51% ของกลุ่มมิลเลนเนียลยังเครียดเรื่องการเงินจนนอนไม่หลับ 

@lukasbattle

Replying to @operelly LOUD BUDGETING IS THE NEW 2024 trend

♬ original sound – Lukas Battle

นอกจากนั้น ยังคาดว่าเพราะที่ผ่านมาคอนเทนต์ทั้งใน TikTok และโซเชียลมีเดียอื่นๆ มุ่งประเด็นไปที่ quiet luxury หรือเทรนด์แฟชั่นที่แพงแบบไม่ตะโกน หรูแบบมีระดับ น้อยแต่มาก และโลโก้ไม่ต้องมีแต่รู้ว่าไม่ธรรมดา ซึ่งอาจทำให้สังคมให้คุณค่ากับการใช้เงินเกินจำเป็นเพื่อมีหน้ามีตาในสังคมนั่นเอง

ความน่าสนใจคือกระแสที่ว่ายังทำให้วงการน้ำหอม เครื่องสำอาง หรือแฟชั่นใน TikTok หันมาแชร์กันว่าแทนที่จะซื้อแบรนด์แพงๆ ที่ว่ากันว่าเป็น quiet luxury brand เราสามารถเลือกซื้อแบรนด์ไหนที่ใกล้เคียงกัน ในราคาย่อมเยากว่าได้

@viasophie

Perfumes mentioned: 1. Zara – applejuice $12.90 2. Zara – orchid $20.90 3. Le Monde Gourmand – Fleur de Blonde $25 4. Le Monde Gourmand – Sel Ocean $26

♬ original sound – sophie

3. ใครบ้างที่ควรหันมา loud budgeting? จริงๆ แล้วเทรนด์ทางการเงินที่ว่าไม่จำเป็นต้องปรับใช้สำหรับคนที่ ‘ไม่มี’ เพียงอย่างเดียว เพราะคนที่ ‘พอมี’ หรือ ‘มี’ ก็หันกลับมามองความต้องการที่แท้จริงของตัวเองได้ เพื่อที่จะไม่สุรุ่ยสุร่ายไปตามกระแสสังคม

4. แล้วแกจะ loud เพื่อ? ที่ปรึกษาด้านการบริหารความมั่งคั่ง Brian Ford จาก Northwestern Mutual บอกว่าหลายๆ คนมักไม่ค่อยอยากจะพูดเรื่องเงินมากเท่าไหร่ เพราะนั่นทำให้รู้สึกไม่สบายใจและละอายเบาๆ ส่วน Julie O’Brien รองประธานอาวุโสและหัวหน้าฝ่ายพฤติกรรมศาสตร์ที่ U.S. Bank กล่าวว่า loud budgeting ทำให้ผู้คนรู้สึกโดดเดี่ยวน้อยลงและมีพลังมากขึ้นได้

กระแสชักชวนให้ทุกคนหันมาพูดเรื่องการพยายามวางแผนการใช้เงินของตัวเองและการพยายามไม่ใช้จ่ายจนเกินจำเป็น จึงอาจช่วยให้หลายคนรู้สึกมีเพื่อนและกล้าพูดเรื่องการเงินของตัวเองมากขึ้น 

@feelgoodwoo

We asked the woo office how they’re loud budgeting in 2024 🎤 ‘Loud Budgeting’ is a term brought to fame by creator @Lukas Battle when he declared that ‘Quiet Luxury’ is out for the new year. It’s intentional spending. It’s regaining financial agency. It’s definitely not about being frugal at the cost of feeling content, it’s more about making a conscious financial choice that’s wholly yours. As Battle says in the video, “It’s more chic, more stylish and more of a flex than spending money.” #loudbudgeting

♬ original sound – woo

4. เริ่มต้น loud budgeting ยังไงดี ไม่ให้ผิดใจกับคนรอบตัว?

  • เขียนปณิธานทางการเงินของตัวเองประจำปี 2024 ว่าต้องการใช้จ่ายเงินกับอะไรบ้าง และต้องการเก็บเงินสำหรับอะไรบ้าง เพื่อให้เราไม่ลืมความตั้งใจและเผลอใช้เงินเกินตัวตลอดปีมังกรนี้
  • เริ่มต้นจัดการทางการเงินง่ายๆ เช่น การเก็บเงินทอนทั้งหมดของวันนี้ในบัญชีเงินเก็บ, ลดการทานขนมระหว่างวัน, ไม่ต้องซื้อกระเป๋าหรือเสื้อผ้าใหม่ทุกครั้ง เพราะที่บ้านยังเหลือให้ใช้อีกเป็นกอง
  • ซอยย่อยระยะเวลาการเก็บเงิน หรือการประหยัดให้มากขึ้นเพื่อให้เราไม่ท้อระหว่างทาง และจะได้ทบทวนตัวเองอยู่ตลอดว่าใกล้เป้าหมายมากแค่ไหน มีอะไรต้องปรับบ้าง
  • ให้ความสนใจกับ ‘หนี้’ ที่มี พอๆ กับการ ‘เก็บออม’ เพราะยิ่งหนี้หมดเร็วเท่าไหร่ เรายิ่งมีอิสระทางการเงินมากยิ่งขึ้น
  • Ben Markley นักการศึกษาด้านการเงินส่วนบุคคลแนะนำว่า ทุกครั้งที่ต้องใช้จ่ายเงินเพื่อเข้าสังคมร่วมกับคนอื่นทั้งที่ไม่ได้อยากเข้าร่วม ให้เลือกอธิบายเหตุผลมากกว่าบอกว่าอาหารมื้อนั้นๆ แพงเกินไปสำหรับเรา เช่น “ต้องการเก็บเงินไปเที่ยวต่างประเทศ จึงไปร่วมไม่ได้”
  •  ถ้าปฏิเสธการทานข้าวกับคนอื่นไม่ได้จริงๆ เราต้องเป็นคนแรกๆ ที่เสนอร้านที่ราคาเข้าถึงได้
  • บอกแผนทางการเงินประจำปีกับคนรอบข้าง เพื่อให้เขาเหล่านั้นเข้าใจความพยายามของเรามากยิ่งขึ้น 

หลายคนกล่าวว่า loud budgeting อาจเป็นเทรนด์ทางการเงินที่จะมาแล้วผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพราะในโลกโซเชียลมีเดียที่ภาพลักษณ์สำคัญกว่าความเป็นจริงนั้นจำเป็นกว่า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนที่สามารถปรับใช้เทรนด์ทางการเงินนี้ได้ตลอดปีมังกรทองก็อาจภูมิใจในตัวเองไม่น้อยที่เก็บเงินได้อีกสักก้อนหนึ่ง

แล้วคุณล่ะ พร้อมร่วมเทรนด์ loud budgeting มากแค่ไหน? ปีนี้ตั้งใจวางแผนทางการเงินในทิศทางไหนบ้าง? มาแชร์กัน

อ้างอิง 

โชจิ โมริโมโตะ มนุษย์ให้เช่าผู้ไม่ยอมทำอะไรเลย

คุณอาจอ่านเรื่องนี้ในฐานะเรื่องสั้นตลกร้าย แรงบันดาลใจหรือตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความบิดเบี้ยวในระบบสังคมการทำงานก็ได้ แต่ โชจิ โมริโมโตะ (Shoji Morimoto) เป็นมนุษย์ให้เช่าผู้ไม่ยอมทำอะไรเลย และเขามีตัวตนอยู่จริง

‘มีตัวตนอยู่จริง’ มันย้อนแย้งตรงที่–คำว่า ‘ตัวตน’ นี่เองที่เป็นสิ่งที่โชจิ โมริโมโตะ ไม่เคยได้รับ หรือไม่ต้องการที่จะได้รับมาตลอด

“นายเหมือนอากาศธาตุที่อยู่ตรงนั้นไปวันๆ ไม่ทำอะไรเลยว่ะ” คือคำที่หัวหน้าเคยบอกเขา “นายอยู่ตรงนี้ หรือไม่อยู่ ก็ไม่ต่างเลยว่ะ” คืออีกคำ

“บอกไม่ได้เลยว่านายยังหายใจอยู่หรือตายไปแล้ว”

ถ้าจะมีอะไรที่ โชจิ โมริโมโตะ ไม่มี โดยการตัดสินของคนรอบข้างแล้ว สิ่งนั้นคือ ‘ตัวตน’ เขาอธิบายว่าตัวเองไม่ได้มีลักษณะอะไรพิเศษ​ ไม่ได้สูง ไม่ได้เตี้ย ไม่ได้ผอม ไม่ได้อ้วน ไม่ได้หล่อ ไม่ได้น่าเกลียด เป็นคนปกติธรรมดาที่คุณอาจเดินผ่านไปโดยไม่สังเกต เป็นเหมือนเทมเพลตมนุษย์ผู้ชายหนึ่งหน่วย ก๊อป-วาง-แปะ-แบบไม่ได้แต่งเพิ่ม

คำว่า ‘ไร้ตัวตน’ อาจเป็นคำปรามาสร้ายกาจที่ใครได้ยินแล้วอาจดับดิ้นลงไปตรงนั้น แต่สำหรับเขามันกลับเป็นทั้งบทสรุป เชื้อเพลิง และจุดเริ่มต้นอันเป็นธรรมชาติ–แล้วเขาก็ตัดสินใจ

“ผมขอเริ่มให้บริการที่เรียกว่า ‘บริการให้เช่าเพื่อไม่ทำอะไรเลย’ บริการนี้ใช้ได้ในสถานการณ์ที่คุณแค่อยากให้มีคนอยู่ตรงนั้น อาจเป็นร้านอาหารที่คุณอยากไปแต่ประหม่าถ้าต้องไปคนเดียว อาจเป็นเกมที่อยากเล่นแต่ขาดคนไปหนึ่ง หรืออาจต้องการให้ใครสักคนจองที่ชมดอกซากุระ… ผมขอแค่ค่าเดินทาง (จากสถานีโคคุบุนจิ) และค่าอาหาร / เครื่องดื่ม (ถ้ามี) แต่ผมจะไม่ทำอะไรนอกจากตอบสนองแบบง่ายๆ”–@morimotoshoji 

จากทวีตนี้ โชจิกลายเป็นมนุษย์ให้เช่าโดยสมบูรณ์​ เขาไม่ได้ทำสิ่งนี้เป็นธุรกิจ ไม่คิดหาผลกำไรและใช้ชีวิตด้วยเงินเก็บ

แต่ก่อนโชจิจะเป็นมนุษย์ให้เช่าผู้ไม่ยอมทำอะไรเลย เขาเคย ‘ทำอะไร’ มาก่อน 

โชจิเรียนจบคณะวิทยาศาสตร์ หลังจากนั้นก็ร่วมทำงานในบริษัทตีพิมพ์ตำราวิชาการและให้บริการเรียนทางไกล ทำอยู่ 2-3 ปีก็ออกมาเป็นนักเขียนอิสระ เป็นฟรีแลนซ์ สองปีต่อมาเขาอ่านเจอบล็อกที่เขียนเกี่ยวกับแนวคิด ‘ค่าตอบแทนเพียงเพื่อมีชีวิตอยู่’ 

เราถูกสอนมาตั้งแต่ยังเด็กว่า เพื่อที่จะได้มาซึ่งค่าตอบแทนนั้น เราต้องทำงานไปแลก พ่อแม่หรือผู้ใหญ่ในชีวิตของแต่ละคนคงมีวิธีสอนเรื่องนี้แตกต่างกันไป ส่วนตัว ความที่บ้านเป็นร้านขายยาต่างจังหวัด และมีกล่องกระดาษลูกฟูกเปล่าที่บรรจุยามาส่งคราวละมากๆ พ่อแม่สอนผมเรื่องนี้โดยใช้ให้พับกล่อง แบกไปชั่งน้ำหนักขายที่ร้านรับซื้อวัสดุไกลออกไป 2-3 กิโลฯ ในแต่ละคราวได้เงินไม่มากแค่ 100-200 บาท แต่ก็มากพอที่ทำบ่อยครั้งเข้าบทเรียนจะถูกสลักเข้าไปในสมอง บทเรียนของการทำงานแลกเงิน งานคือเงิน เงินคืองาน

แต่แนวคิดที่โชจิพบ–ค่าตอบแทนเพียงเพื่อมีชีวิตอยู่–บอกว่าเราควรได้รับค่าตอบแทนแม้ไม่ได้ทำอะไร เพียงหายใจเฉยๆ คนเรามีคุณค่าแม้ไม่ได้ทำอะไรเลย

วันหนึ่งๆ ของมนุษย์ให้เช่าอย่างโชจิประกอบไปด้วยอะไรบ้าง ตัวอย่างจากวันหนึ่งของเขา : เวลา 9 โมงครึ่งโชจิสวมเสื้อมีฮู้ด กางเกงยีนส์ และหมวกแก๊ป ยืนรอลูกค้าที่ทางออกสถานีชิบูยะ ลูกค้าคนนี้เพิ่งเข้าเป็นครูอนุบาล ไม่มั่นใจที่จะสอนวิชาพละโดยเฉพาะกับบาร์โหน เธอฝึกที่โรงเรียนไม่ได้เพราะกลัวครูคนอื่นเห็น เลยมาฝึกที่สนามเด็กเล่น แต่ก็ไม่อยากทำคนเดียว เลยเรียกให้โชจิมาอยู่เป็นเพื่อนโดยติดต่อผ่าน DM ในทวิตเตอร์ ตอนเที่ยงโชจิไปพบลูกค้าอีกคนที่อยากให้โชจิมาฟังตัวเองพูดถึงอนาคตในวงการดนตรีเพราะตัดสินใจไม่ได้ ในฐานะมนุษย์ให้เช่าผู้ไม่ทำอะไรเลย โชจิไม่สามารถให้คำปรึกษาหรือแสดงความเห็นได้ จึงได้แต่ฟัง แต่ลำพังการฟังก็ดูเหมือนจะทำให้ลูกค้าคนนั้นรู้สึกดีขึ้น หลังจากนั้นตอนบ่าย 2 โชจิไปพบลูกค้าอีกคนที่อยากให้เขากินข้าวกล่องโฮมเมด และหกโมงเย็นไปพบลูกค้าที่อยากให้โชจิอยู่ด้วยตอนขอพรให้การย้ายประเทศราบรื่น นั่นคือวันหนึ่งๆ ของเขา

ฟังดูเป็นชีวิตที่แม้เขาจะบอกว่า ‘ไม่ทำอะไร’ แต่ก็มีคุณค่าดีพิลึก

“ในฐานะมนุษย์ให้เช่า ผมไม่ต้องแสดงความเป็นปัจเจกและก็ไม่พยายามเป็นอย่างนั้น แต่ย้อนกลับไป ตอนที่ผมมองหางาน ผมต้องฉายสปอตไลต์โชว์บุคลิกของตัวเองออกมา การกรอกแบบฟอร์มและสัมภาษณ์งานหมายความว่าผมต้องพยายามขายตัวเอง ผมต้องรู้ว่าข้อดีของตัวเองคืออะไรและบรรยายมันออกมา… ผมคิดว่าตอนที่ผมมองหางาน ผมรู้สึกเหมือนตอนนี้เลย–ว่าไม่อยากให้ตัวตนของตัวเองถูกนิยามด้วยชุดทักษะ นี่คือหัวใจของบริการการไม่ทำอะไร”

“ผมอยากให้โลกเป็นที่ที่ต่อให้คุณไม่ทำอะไรเพื่อคนอื่น กระทั่งคุณเมื่อไม่มอบอะไรให้สังคม คุณก็ยังใช้ชีวิตแบบสบายๆ ได้ นี่เป็นเรื่องสำคัญสำหรับผม” โชจิว่า

ในสังคมทุนนิยม มนุษย์คือหน่วยทางเศรษฐกิจ นอกจากในฐานะผู้บริโภค เรายังเป็นผู้สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจผ่านการทำงานด้วย จากมุมมองของบริษัท เราคือทรัพยากรชนิดหนึ่ง หลายครั้งถูกมองไม่ต่างจากเงินทุน เครื่องจักรหรือซอฟต์แวร์ เป็นอินพุตที่ใส่เข้าไป ณ ปลายด้านหนึ่งของกล่องดำเพื่อให้ผลิตเอาต์พุตออกมาได้ ยิ่งด้วยการแบ่งงานออกเป็นส่วนๆ ตามการจัดการแบบวิทยาศาสตร์แบบเทย์เลอร์ การทำงานตามสายพานแบบฟอร์ด เรายิ่งอยู่ไกลจากชิ้นงานสมบูรณ์จนบ่อยครั้งไม่รู้ว่าเครื่องจักรนี้ประกอบเข้าหากันยังไง 

เดวิด เกรเบอร์ (David Graeber) นักมานุษยวิทยาอนาธิปไตย พูดถึงงานในปัจจุบันว่าหลายตำแหน่งมีลักษณะเป็น bullshit jobs ซึ่งคืองานที่แท้จริงแล้วไร้ความหมาย แต่สังคม (และตัวคนทำงานเอง) หลอกกันไปมาว่ามันมีความหมายจนเชื่อแบบนั้นจริงๆ 

เขาแยกประเภท bullshit jobs ออกมาเป็น 5 แขนงใหญ่

Flunkies คืออาชีพที่ทำให้คนข้างบนรู้สึกสำคัญเช่นฝ่ายต้อนรับหรือคนเปิดประตู, Goons คือคนที่ปะทะแทนนายจ้าง เช่น ทนายของบริษัทหรือลอบบี้ยิสต์ Duct Tapers คือคนที่ซ่อมปัญหาแต่ซ่อมแบบชั่วคราวไม่ถาวร, Box Tickers คือคนที่ทำงานตามระเบียบเพื่อให้เป็นไปตามฟอร์มมากกว่าฟังก์ชั่น และ Taskmasters คือคนที่สร้างงานวุ่นๆ ให้คนอื่น เช่นผู้จัดการระดับกลาง

เป็นไปได้ว่าตามการจัดประเภทนี้ ทุกงานจะมีองค์ประกอบของ bullshit jobs อยู่ กระทั่งงานอย่างครูที่ดูมีความหมายเพื่อมอบการศึกษาให้เด็ก ก็อาจมีบางส่วนที่เป็น Box Tickers คอยเช็กหรือทำเอกสารเพื่อ ‘ให้เป็นไปตามระเบียบของหน่วยงาน’ 

คุณเองก็คงรู้สึก (ถ้าไม่รู้สึกก็ขอแสดงความยินดีด้วย) ว่าสิ่งที่ทำในงานของตัวเองบางเรื่อง ‘ไร้ประโยชน์’ ฉิบหาย 

อย่างการประชุมที่ไม่มีสาระ ไม่มีข้อสรุป ไม่มีการถกเถียงที่กระตุ้นนิวรอนในสมอง งานที่ต้องเขียนขึ้นมา ‘เพื่อให้เจ้านายอ่าน’ ทั้งที่รู้ว่าเจ้านายก็ไม่ได้อ่านหรอก เจ้านายก็ส่งต่อขึ้นไปข้างบนสู่เจ้านายของเขาที่ก็ไม่อ่านอีกที เอกสารชิ้นนี้จะลอยละล่องไปตามขั้นบันไดของบริษัทโดยที่ไม่มีคนครุ่นคิดอย่างจริงจังกับมันเท่าที่คุณลงแรงเขียน เหล่านี้อาจทำให้คุณกลับบ้านล้มตัวลงนอนมองเพดานด้วยความเหนื่อยหน่ายว่ากูกำลังทำอะไรอยู่วะ

บางวันความรู้สึกนี้ก็โผล่ขึ้นมาทักทายเบาๆ แบบพอจัดการได้ แต่บางครั้งก็ผุดขึ้นมาเหมือนไฟที่ดับไม่หมด!

เกรเบอร์คิดว่าแม้มองผิวเผิน bullshit jobs จะมอบคุณค่าทางเศรษฐกิจ ทำให้ระบบไหลเวียนไปได้ไม่ขัดข้อง แต่เมื่อขุดลึกลงไป bullshit jobs ต่างเป็นงานที่ไม่ได้มอบ ‘คุณค่า’ หรือประโยชน์ต่อสังคมจริง ไม่ได้มอบผลิตภาพผลิตผลจริง อาจไม่ทำให้โลกดีขึ้นในด้านใดด้านหนึ่งด้วยซ้ำ สิ่งที่มอบให้อาจเป็นเพียงความรู้สึกปลอมๆ ว่าตนสำคัญเท่านั้น

หากเราหยิบงานมนุษย์ให้เช่าผู้ไม่ทำอะไรเลยของโชจิ โมริโมโตะ มาวางเทียบกับ bullshit jobs เราอาจพบว่าทั้งสองกำลังพูดเรื่องเดียวกัน นั่นคือการตั้งคำถามกับนิยามของงาน 

โชจิตั้งใจไม่ทำอะไรในความหมายที่ว่าเขาจะไม่มอบคุณค่าทางเศรษฐกิจ ไม่มีการแลกเปลี่ยนเงิน (นอกจากแค่ค่าเดินทางและค่าอาหารในกรณีที่ลูกค้าขอให้กิน) ไม่มีการแลกเปลี่ยนเนื้องานที่เอาไปขายหรือทำอะไรต่อได้

แต่เราไม่อาจพูดได้ว่าโชจิไม่มีคุณค่าหรือประโยชน์ต่อสังคม สิ่งที่เขามอบให้ลูกค้าในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง, ในฐานะเพื่อนมนุษย์หนึ่งหน่วยที่อยู่ตรงนั้นตอนที่มีคนต้องการ (แม้ไม่ตอบสนองอะไรไปมากกว่าพื้นฐาน) ในสายตาของผมแล้วมีคุณค่า เป็นคุณค่าที่จับต้องได้จริงสำหรับลูกค้าของเขา ด้วยวิธีคิดนี้ เราอาจมองว่าย้อนแย้งดีที่งานของโชจิ ไม่ใช่ bullshit jobs ตามคำนิยามของเกรเบอร์ ซึ่งขัดกับคำนิยามการงานและอาชีพปกติที่อาจมองว่าเขาเป็นฟรีโหลดเดอร์ เป็นคนที่ไม่มีประโยชน์อันใดต่อสังคม

ในฐานะมนุษย์ให้เช่าผู้ไม่ทำอะไรเลย ในฐานะคนที่ไร้ตัวตน โชจิ โมริโมโตะ กลับมีตัวตนขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

งานคือเงิน เงินคืองาน งานคือสิ่งที่สร้างคุณค่าในระบบเศรษฐกิจ การพับกล่องลูกฟูกไปขาย

โชจิ โมริโมโตะ ทำให้เราตั้งคำถามว่า ถ้าเอาตัวแปรเรื่องเงินออกจากงาน เอาคุณค่าทางเศรษฐกิจออกจากงาน งานจะมีหน้าตา มีลักษณะในรูปใดได้บ้าง และเขาทำเรื่องนี้ได้ด้วยการไม่ทำอะไรเลย

อ้างอิง

  • หนังสือ Rental person who does nothing: a memoir, Shoji Morimoto – เขาปฏิเสธว่าการเขียนหนังสือไม่นับว่าเป็นการทำอะไร เพราะจริงๆ แล้วเขาไม่ได้เขียน แต่มีคนอื่นเขียนให้ เขาเพียงแค่ตอบคำถามไปอย่างง่ายๆ เท่านั้น
  • หนังสือ Bullshit jobs, David Graeber

การตลาดที่ทำให้โตแบบก้าวกระโดดฉบับแบรนด์อาหารจีนในไทย

เทรนด์หมาล่ามาแรงที่ไปไหนก็เจอ หรือชาชีส ชาผลไม้ที่สดชื่นถูกใจใครหลายคนจนคิวยาวเหยียด แล้วไหนจะไอศรีมรสนมราคาแสนถูกที่กระจายตัวไปทั่วกรุงเทพมหานครอีก ไม่ต้องเป็นคนช่างสังเกตก็ย่อมสัมผัสได้ว่าเราได้ถูกแบรนด์อาหารจากจีนล้อมไว้หมดแล้ว

ย้อนกลับไปในปี 2019 ปีที่ร้านหม้อไฟหมาล่าจากมณฑลเสฉวน ประเทศจีนอย่าง ‘ไหตี่เลา’ (Haidilao) หรือที่ใครหลายๆ คนเรียกกว่าไฮตี้เหลา เปิดสาขาแรก ณ เซนทรัลเวิร์ลด์ ถ้าหากใครจำกันได้ตอนนั้นแบรนด์หม้อไฟแบรนด์นี้ได้สร้างปรากฏการณ์การต่อคิวเข้าร้านแบบน็อนสตอป นับตั้งแต่เวลาห้างเปิดไปจนถึงเวลาร้านปิดหรือตี 3 ในช่วงแรก และสิ่งที่น่าสนใจคือระหว่างการรอคอยหลายชั่วโมงนั้น ทางร้านมีบริการสุดพิเศษต่างๆ ที่พวกเราเหล่าคนไทยไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นบริการทำเล็บ บริการเครื่องดื่ม ขนมฟรี ทั้งยังมีบอร์ดเกมให้เล่น จนทำให้การรอคอยยาวนานไม่เลวร้ายนัก ยังไม่นับรวมกับการเซอร์วิสสุดพิเศษ หรือโค้ดลับน่าตื่นเต้น ชวนให้เราได้ลองจำไปพูดแลกกับของที่ระลึกฟรีหลังจากที่ได้เข้าไปใช้บริการภายในร้านอีกด้วย 

ถึงวันนี้แม้ระยะเวลาจะผ่านมาแล้วกว่า 5 ปี กระแสนิยมของแบรนด์เชนจากประเทศจีนก็ไม่มีทีท่าจะลดลง ตรงกันข้ามกลับขยับขยายยิ่งกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ไหตี่เลาที่ในปัจจุบันก็ยังขยายสาขาไปทั่วกรุงเทพฯ รวมไปถึงสาขาในจังหวัดชลบุรี ภูเก็ต และเชียงใหม่ นอกจากนั้นยังมีแบรนด์เชนจีนแบรนด์ใหม่ๆ ชวนให้เราได้ออกไปตระเวนลิ้มลองอย่างในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เราจะเห็นแบรนด์เครื่องดื่มชาผลไม้ ชานมพรีเมียม ตลอดจนแบรนด์ชาชีสที่โด่งดังในประเทศจีนนั้นก้าวเข้ามาเปิดสาขากันในประเทศไทยอยู่เสมอๆ อีกด้วย

คำถามที่น่าสนใจคือนอกจากเรื่องทุนที่ทำให้แบรนด์อาหารจากจีนขยับขยายไปทั่ว อะไรทำให้การเติบโตนั้นได้รับการต้อนรับจากลูกค้าชาวไทยเป็นอย่างดี

เพราะประสบการณ์หรือบรรยากาศภายในร้านที่หาจากแบรนด์อาหารในไทยไม่ได้ เพราะรสชาติที่ถูกปาก ปริมาณ ราคาที่คุ้มค่า เพราะการขยายสาขาที่ทำให้เข้าถึงได้ง่าย เพราะความเป็นต้นตำรับและความเชี่ยวชาญในหมวดหมู่อาหารนั้นๆ เพราะโปรโมชั่น กิจกรรมที่ทำให้เราได้ร่วมสนุกกันอยู่บ่อยๆ หรือเพราะการตลาดที่ยิงเข้าตรงใจคนไทย

วันนี้ Capital จะพาทุกคนไปเยือนร้านอาหารและเครื่องดื่มจากจีนทีละร้าน เพื่อทำความรู้จักและส่องกลยุทธ์การทำมาร์เก็ตติ้งของทั้ง 5 แบรนด์ในประเทศไทย ที่ถึงแม้คุณจะไม่ใช่แฟนหมาล่าหรือชาจีนก็น่าจะคุ้นหูคุ้นตาชื่อแบรนด์เหล่านี้

MIXUE
ปีที่ก่อตั้ง : 1997
ปีที่เปิดสาขาแรกในไทย : 2022
จำนวนสาขาในไทย : 200 สาขา

MIXUE (มี่เสวี่ย) เป็นแบรนด์ไอศครีมและชานมที่มีมาสคอตเป็นตุ๊กตาหิมะ (Snow King) ลุคใจดี แบรนด์จากเมืองเจิ้งโจว มณฑลเหอหนาน ก่อตั้งโดย จาง หง เฉา (Zhang Hong Chao) นักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่ได้เปิดแผงลอยขายน้ำแข็งไสและเครื่องดื่มข้างโรงเรียนแห่งหนึ่งในปี 1997 หลังจากธุรกิจแผงลอยนั้นไปได้ไม่สวยเท่าไหร่ จาง หง เฉา ตัดสินใจลองอีกครั้ง เปิดธุรกิจน้ำแข็งไสเช่นเดิมเป็นครั้งที่สอง ด้วยชื่อเรียกของร้านเต็มๆ ว่า ‘Mixue Bingcheng’ (มี่เสวี่ยปิงเฉิง) และธุรกิจน้ำแข็งไสในรอบนี้ก็ดูท่าจะไปได้ด้วยดี จนทำให้ในปี 2006 นั้น จาง หง เฉา ตัดสินใจที่จะลองขายโปรดักต์ใหม่ๆ อย่างไอศครีมโคนที่กำลังเป็นกระแสในประเทศจีนอยู่ในช่วงนั้น ตามมาด้วยเมนูเครื่องดื่มอย่างชานมไข่มุก ชามะนาว และกาแฟที่ทั้งมอบรสชาติที่ดีในราคาที่ถูกแสนถูก ถูกกว่าบรรดาร้านอื่นๆ ที่ขายสินค้าเดียวกัน โดยจาง หง เฉาเชื่อว่าการทำราคาได้ถูกกว่าแบรนด์อื่นๆ คือจุดแข็งสำคัญอย่างหนึ่งของ MIXUE ที่ทำให้ตัวแบรนด์สามารถเป็นที่รู้จักได้อย่างรวดเร็วและมีลูกค้าประจำได้อย่างง่ายดาย

แต่การจะทำให้บรรดาเมนูไอศครีมและเครื่องดื่มนั้นขายในราคาที่ถูกลงกว่าเดิมได้ จาง หง เฉา ต้องปรับเปลี่ยนสูตรในการทำเมนูต่างๆ เพื่อจะให้ราคาของแต่ละเมนูลดลงได้กว่า 20% ของราคาเดิม ด้วยราคาอันแสนย่อมเยา เป็นมิตร จึงทำให้แบรนด์ MIXUE เข้าไปนั่งในใจผู้บริโภคในจีนจนสามารถขายเป็นแฟรนไชส์ไปทั่วประเทศได้อย่างรวดเร็ว

โดยภายใน 15 ปีนับตั้งแต่ปี 2007 MIXUE สามารถขยายสาขาไปได้ราวๆ 22,000 สาขาทั่วประเทศจีน จาง หง เฉา ลงทุนเพิ่มเติมไปกับการสร้างโรงงานซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญในการผลิตวัตถุดิบหลักของแต่ละเมนูให้ได้จำนวนมากๆ ในคราวเดียวกัน ตลอดจนลงทุนในระบบโลจิสติก เพื่อให้วัตถุดิบต่างๆ ได้ถูกส่งไปยังเหล่าแฟรนไชส์ทั่วประเทศได้อย่างทันท่วงที 

นอกจากสาขาแฟรนไชส์ภายในประเทศแล้ว ในปี 2008 MIXUE ก็ได้เริ่มทำการขยับขยายสาขาแฟรนไชส์ไปยังต่างประเทศได้สำเร็จ โดยในปัจจุบัน MIXUE มีสาขาแฟรนไชส์ทั้งหมด 14 ประเทศ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือประเทศไทยของเราที่ทางแบรนด์ MIXUE ได้เข้ามาเปิดสาขาแรกในเดือนกันยายน ปี 2022 โดยตั้งอยู่ตรงข้ามกับมหาวิทยาลัยรามคำแหง หรือสาขารามคำแหง 53 นี่เอง

ภายในระยะเวลาเพียง 1 ปี MIXUE สามารถเปิดสาขาในประเทศไทยไปได้แล้วกว่า 200 สาขา และยังมีแพลนที่จะเปิดเพิ่มขึ้นให้ถึง 2,000 สาขาภายใน 3 ปี โดยนอกจากการขยายสาขาอย่างรวดเร็วแล้ว ความน่าสนใจของแบรนด์ MIXUE คือการที่แบรนด์ยังสามารถรักษาจุดแข็งอย่างการทำราคาเมนูไอศครีมให้เริ่มต้นที่เพียง 15 บาท และเมนูเครื่องดื่มที่เริ่มต้นด้วยราคา 20 บาทได้ แม้ว่าสาขาที่ว่านั้นจะคือสาขาสยามแสควร์ที่ใครๆ ก็เดาได้ว่าค่าที่น่าจะสูงกว่าสาขาอื่นๆ

ด้วยสาขาที่ถูกเปิดขึ้นอย่างรวดเร็วในหลายๆ ประเทศ ส่งผลให้บริษัท MIXUE Ice Cream & Tea ผู้ซึ่งเป็นคนขายแฟรนไชส์ทั้งหมดได้รับกำไรกันไปแบบเต็มๆ โดยในปี 2019 บริษัท MIXUE Ice Cream & Tea ได้กำไรสุทธิไปกว่า 2,170 ล้านบาท, ในปี 2020 บริษัทยังได้กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากปี 2019 ประมาณ 927 ล้านบาท หรือที่รวมเป็นจำนวน 3,097 ล้านบาท และในปี 2021 เอง บริษัท MIXUE Ice Cream & Tea มีกำไรสุทธิพุ่งสูงถึง 9,376 ล้านบาท 

ปัจจุบัน MIXUE มีสาขาทั้งหมดรวม 36,153 สาขาทั่วโลก นับเป็นแบรนด์ที่มีสาขาแฟรนไชส์มากสุดอันดับ 5 ของโลก ถือว่าเป็นรองจากแบรนด์ฟู้ดเชนอย่าง Mcdonald’s, Subway, Starbucks และ KFC เท่านั้น

Naixue 
ปีที่ก่อตั้ง : 2015
ปีที่เปิดสาขาแรกในไทย : 2023
จำนวนสาขาในไทย : 1 สาขา

Nixue (ไน่เสวี่ย) หรือที่คนไทยมักออกเสียงชื่อแบรนด์กันว่า ‘ไนซือ’ เป็นแบรนด์ชารูปแบบใหม่ที่จะมาปฏิวัติวงการน้ำชาแบบดั้งเดิมของจีนให้มีสีสันมากขึ้น ผ่านเมนูเครื่องดื่มสมัยใหม่ที่ยังคงรสชาติของชาตะวันออกได้อย่างดี เช่น เมนูชานม ชานมดอกไม้ ชาผลไม้ และชาชีส เป็นต้น นอกจากนั้น Naixue เองยังตั้งใจเน้นการใช้วัตถุดิบคุณภาพดีเกรดพรีเมียมอย่าง ใบชาต้นตำรับ นมสด และเนื้อผลไม้สดมาเป็นจุดเด่นของแบรนด์ เชิญชวนให้เหล่าผู้บริโภคสามารถวางใจในคุณภาพเครื่องดื่มที่ตนเองกำลังจะเลือกซื้อเลือกดื่มกันอีกด้วย 

โดยนอกจากที่คนไทยเราจะดัดแปลงชื่อแบรนด์ให้ง่ายขึ้นด้วยการเรียก ‘ไนซือ’ แทน ‘ไน่เสวี่ย’ Naixue เอง ก็ยังได้รับสมญานามจากชาวเน็ตไทยให้เป็นหนึ่งในแบรนด์ ‘ชาชีสผลไม้ที่จริงใจ’ ไปแล้วด้วย 

ไม่ใช่เพียงแค่เครื่องดื่มประเภทชาเท่านั้นที่ ​Naixue ตั้งใจยกระดับสินค้า แต่ยังมีเมนูขนมปังสไตล์ยุโรปและขนมเบเกอรีที่ถูกพัฒนาสูตรมาเพื่อช่วยเสริมประสบการณ์การดื่มชาให้ได้รสชาติที่อร่อยกลมกล่อมมากขึ้น ทั้งยังช่วยให้ตัวแบรนด์สามารถใช้เมนูขนมเหล่านี้ปรับตัวไปได้กับวิถีการดื่มชาของผู้บริโภครุ่นใหม่ๆ ทั่วโลก 

แล้ว Naixue กลายมาเป็นแบรนด์ชาสุดฮิตได้ยังไง?

ย้อนกลับไปในปี 2015 ที่เมืองเซินเจิ้น แบรนด์ Naixue แต่เดิมมีชื่อเรียกเต็มๆ ว่า Nayuki’s Tea (แปลว่า ชาของนายูกิ) เขียนด้วยอักษรคันจิในภาษาญี่ปุ่นอย่าง ‘奈雪の茶’ ก่อนในภายหลังจะถูกเปลี่ยนให้เป็นอักษรจีนโดยทั้งหมดหรือ  ‘奈雪的茶’

โดย Nayuki’s Tea เป็นแบรนด์ชาของสองสามีภรรยาที่มีจุดเริ่มต้นมาจากความทรงจำสุดพิเศษในวัยเด็กของ เผิง ซิน (Peng Xin) ผู้ซึ่งเป็นภรรยา หรือก็คือกลิ่นหอมของขนมปังอบที่แม่ของเธอมักจะเสิร์ฟคู่ไปกับชาร้อนๆ บนโต๊ะอาหารให้กับเหล่าสมาชิกในครอบครัวได้ดื่มกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ช่วงเวลาของการสนทนาที่เคล้าไปด้วยเสียงหัวเราะแห่งความสุข

จากจุดเริ่มต้น เราอาจจะเห็นได้ว่าแบรนด์ Naixue นั้น มาจากความหลงใหลในขนมปังและชาของเผิง ซินเพียงเท่านั้น แต่ด้วยแพสชั่นที่มีต่อสิ่งเหล่านี้ จึงทำให้เธอมีความยืนหยัดที่อยากจะส่งมอบชาคุณภาพสูงให้กับผู้คนในวงการชาได้บริโภคชาดีๆ มีสุขภาพที่ดี รู้สึกสดชื่น และเอนจอยไปกับโมเมนต์ ณ ตอนดื่ม และสิ่งที่ทำให้ Naixue โดดเด่นและประสบความสำเร็จได้เหนือแบรนด์อื่นๆ ในท้องตลาด นั่นก็คือการมอบทั้งความจริงใจและความซื่อสัตย์ให้กับกลุ่มลูกค้าด้วยการตัดสินใจเลือกใช้แต่วัตถุดิบที่คำนึงถึงประโยชน์ต่อสุขภาพ ควบคู่ไปกับการโปรโมตวิถีการดื่มชาคู่ไปกับเมนูขนมปัง-เบเกอรีดั่งภาพความทรงจำของเธอ

4 ปีให้หลังจากการก่อตั้งแบรนด์ Naixue สามารถขยายสาขาไปได้กว่า 51 เมืองในประเทศจีนหรือราวๆ 350 สาขา แต่แม้สาขาจะเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ เผิง ซิน กับ เจา หลิน (Zhao Lin) สามีของเธอนั้นก็ยังไม่มีวี่แววที่จะหยุดพัฒนาแบรนด์ของพวกเขาเลยสักวัน มิหนำซ้ำยังตั้งคำถามสำคัญทางธุรกิจกับตัวพวกเขาเองด้วยอย่าง ‘ถ้าเราเป็นลูกค้า เราจะต้องการอะไรในแบรนด์นี้อีกบ้าง?’ ตลอดจนเสาะหาวิธีการที่จะทำให้แบรนด์นั้นเติบโตเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็วผ่านการใช้ชาพรีเมียมและคราฟต์ขึ้นมาอีกหน่อย แพ็กเกจจิ้งที่สวยงาม-ฟังก์ชั่น บรรยากาศของสาขาที่ต้องให้ความรู้สึกอบอุ่น พร้อมเชิญชวนลูกค้าให้เข้ามานั่งได้เสมอ รวมไปถึงการจ้างทีมผู้เชี่ยวชาญด้านขนมเบเกอรีจากประเทศญี่ปุ่นมาปรับปรุงสูตรขนมปังอบสไตล์ยุโรปของ Naixue ให้ดียิ่งขึ้นไปอีก

ปัจจุบัน Naixue ถือเป็นแบรนด์เครื่องดื่มชาแบรนด์เดียวที่ได้รับการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก อีกทั้ง Naixue เองยังถูกยกย่องให้เป็นแบรนด์ชาระดับไฮเอนด์ที่มีสาขากระจายอยู่ตามหัวเมืองต่างๆ กว่า 1,400 สาขาใน 100 ประเทศทั่วโลก และจากรายงานในเดือนธันวาคม ปี 2022 ก็ได้ระบุเอาไว้ว่า Naixue มีกำไรสุทธิอยู่ที่ราวๆ 2.3 พันล้านบาท ทั้งยังมีจำนวนผู้สมัครสมาชิกของทางร้านไปมากกว่า 56.6 ล้านรายในปี 2022 และ 75 ล้านรายในปี 2023 อีกด้วย

ก่อนในเดือนธันวาคม ปี 2023 ที่ผ่านมา Naixue สาขาแรกของประเทศไทยก็ได้ถูกเปิดขึ้นพร้อมกับศูนย์การค้าใหม่ใจกลางสุขุมวิทอย่าง Emsphere ซึ่งก็แน่นอนอยู่แล้วว่าเราอาจจะต้องใช้เวลาต่อแถวรอคิวกันไปอีกสักพัก 

CHAGEE
ปีที่ก่อตั้ง : 2017
ปีที่เปิดสาขาแรกในไทย : 2022
จำนวนสาขาในไทย : 2 สาขา

CHAGEE (ชาจี) แบรนด์ชานมสไตล์ต้นตำรับจากมณฑลยูนนาน หรือที่คนไทยอาจรู้จักกันในนามของ ‘ร้านชานมไร้ไข่มุก’ แบรนด์ชาที่ตั้งใจนำเสนอวัฒนธรรมชาจีนแบบพรีเมียมให้ออกมาในรูปแบบเมนูสุดร่วมสมัย โดยจุดขายอย่างหนึ่งของชาจีคือการเลือกใช้ใบชาสดๆ จากไร่ชาออร์แกนิกที่ใหญ่ที่สุดในโลกของชาจี (Chagee Organic Tea Farm) มารังสรรค์ในทุกๆ หมวดหมู่เมนูของทางร้าน ไม่เว้นแม้แต่เมนูซิกเนเจอร์อย่างชานม ที่ในปัจจุบัน แบรนด์ชานมหลายๆ แบรนด์ทั่วโลกนิยมหันมาใช้ชาผง หรือชาแบบทรีอินวันกันซะมากกว่า

BaWang ChaJi หรือ CHAGEE ก่อตั้งขึ้นในปี 2017 ก่อนจะเปิดสาขาแรกในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกันบนถนน 51 ในเมืองคุนหมิง ซึ่งนับเป็นช่วงเวลาที่ค่อนข้างท้าทายสำหรับการทำแบรนด์ชาที่ตั้งใจนำเสนอชาจีนแบบดั้งเดิมเอามากๆ เพราะคนจีนโดยส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะทั้งวัยรุ่นเองก็ดีหรือในวัยทำงานเอง แทบไม่มีใครหันกลับมาสนใจการดื่มชาจีนแบบพิถีพิถันกันสักเท่าไหร่นัก สวนกันกับความนิยมของชานมที่มาแรงแซงทางโค้ง จากรสชาติที่เข้าถึงง่าย รอไม่นาน พกพาสะดวก พร้อมดื่มในคราเดียวกันขนาดนี้

นี่จึงเป็นเหตุผลหลักๆ ให้ CHAGEE ตัดสินใจพลิกโอกาสนำเอาใบชาสดๆ คุณภาพดีเหล่านั้นมาชงเป็นชานมที่โดดเด่นเรื่องกลิ่นหอม รสชาติที่สดชื่นไม่เหมือนใคร ทั้งยังลงทุนเพิ่มในแง่ของวัตถุดิบหลักอย่างการเลือกใช้นมสดพาสเจอร์ไรส์จากฟาร์มในประเทศนิวซีแลนด์ ก่อนจะตัดสินใจเพิ่มหมวดหมู่เมนูชานมผลไม้ที่ใช้ผลไม้แบบสดๆ จากซัพพลายเออร์ท้องถิ่น เข้ามาเป็นทางเลือกใหม่ๆ ให้กับผู้บริโภคสมัยใหม่ได้ลิ้มลองกันอีกด้วย

ด้วยคอนเซปต์ของ Chagee อย่างแบรนด์ชานมที่มีความตั้งใจที่จะทำให้ผู้คนหันกลับมาให้ความสำคัญกับชาจีนสไตล์ต้นตำรับแล้ว แน่นอนว่าสิ่งที่จะมัดใจผู้บริโภคได้นั้นก็คือ ‘คุณภาพ’ เพราะหากมองในมุมผู้บริโภคที่เลือกดื่มชานมแล้วล่ะก็ มันคงดีกว่าจริงๆ ถ้าได้ดื่มชานมที่อร่อยและดีต่อสุขภาพเช่นกัน 

ภายในระยะเวลา 4 ปี นับตั้งแต่ CHAGEE ได้ตัดสินใจเปิดสาขาแรก ณ เมืองคุนหมิง CHAGEE ก็สามารถสามารถขยายสาขาแฟรนไชส์ออกไปได้ 10 กว่าเมืองทั่วประเทศจีน ก่อนจะทยอยเปิดสาขาในต่างประเทศในปีถัดๆ มารวมแล้ว 2,900 กว่าสาขาทั่วโลกที่การันตีด้วยยอดขายเมนูเครื่องดื่มซิกเนเจอร์อย่าง ‘ชานมมะลิ’ (Boya Juexian) 20 ล้านแก้วต่อปีในปี 2021 และเพิ่มขึ้นเป็น 100 ล้านแก้วในปี 2022 

ปัจจุบัน CHAGEE มีสาขาในประเทศไทยทั้งหมด 2 สาขาและทั้ง 2 สาขาตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ อย่างเซ็นทรัลเวิลด์และสยามสแควร์ซอย 1 โดยความน่าสนใจของ CHAGEE ที่นอกเหนือจากใบชานำเข้าและแพ็กเกจจิ้งจากประเทศจีนแล้ว วัตถุดิบอื่นๆ อย่างนมสดและผลไม้ก็จะถูกคัดสรรมาจากฟาร์มและสวนของเกษตรกรท้องถิ่นในประเทศไทยเอง เช่น ส้ม แตงโม มะนาว เป็นต้น 

ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของวัตถุดิบ แต่ CHAGEE ยังมีกลยุทธฺ์ในการทำตลาดที่เหมาะสมสำหรับกลุ่มลูกค้าและคนรักชาในประเทศไทยอยู่เสมอๆ ยกตัวอย่างเช่น การจัดกิจกรรมในช่วงเทศกาลคริสต์มาสของเดือนธันวาคม 2023 ที่ผ่านมาหรือ ‘CHAGEE Lucky Cup’ ที่ปรับเปลี่ยนแก้วเมนูชานมไวต์พีชไซส์ L แบบออริจินัล ให้กลายมาเป็นชานมแก้วแดงซ่อนของขวัญที่คนเฝ้ารอคอย โดยของรางวัลที่ซ่อนอยู่ภายใต้รอยปรุของแก้วนั้นมีให้ลุ้นตั้งแต่เครื่องสำอางเคาน์เตอร์แบรนด์ อาร์ตทอย คูปองส่วนลดเครื่องดื่ม ไปจนถึงของใช้กุ๊กกิ๊ก ถือเป็นหนึ่งกลยุทธ์ในการทำมาร์เก็ตติ้งที่ชาญฉลาดและคืนกำไรให้แก่ลูกค้า ทั้งยังไวรัลบนแพลตฟอร์ม TikTok ประเทศไทยอีกด้วย

SHU DAXIA
ปีที่ก่อตั้ง : 2015
ปีที่เปิดสาขาแรกในไทย : 2023
จำนวนสาขาในไทย : 1 สาขา

SHU DAXIA (สู่ต้าเสีย) คือแบรนด์หม้อไฟหมาล่าต้นตำรับจากนครเฉิงตู มณฑลเสฉวนของประเทศจีนที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2015 

แม้จะเป็นระยะเวลาเพียง 9 ปี แต่ SHU DAXIA ถือเป็นอีกแบรนด์เชนร้านหม้อไฟหมาล่าที่เติบโตอย่างรวดเร็วด้วยจุดเด่นในการตกแต่งร้านที่แสนจะอลังการและไม่จำเจผ่านการจำลองบรรยากาศสถานที่ที่ล้อไปกับความหมายของชื่อแบรนด์อย่าง ‘จอมยุทธ์’ ชวนให้ผู้คนที่ได้แวะเวียนเข้ามาต่างประทับใจในประสบการณ์เหล่านี้อย่างไม่รู้ลืม จน SHU DAXIA ถูกยกย่องว่าเป็น 1 ใน 10 อันดับร้านหม้อไฟหมาล่าที่ดีที่สุดในประเทศจีนอีกด้วย

ด้วยจุดแข็งที่โดดเด่นของ SHU DAXIA ทำให้ตัวแบรนด์สามารถเปิดหน้าร้านไปได้ถึง 650 สาขาในประเทศจีน ทั้งยังสามารถขยายสาขาออกนอกประเทศได้ทั้งในโซนเอเชีย อเมริกา และในประเทศไทยด้วย 

หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าหน้าร้านในแต่ละประเทศหรือแม้กระทั่งในแต่ละสาขาของ SHU DAXIA นั้นถูกออกแบบและตกแต่งมาให้ไม่เหมือนกัน ในปี 2023 ที่ผ่านมา SHU DAXIA สาขาแรกในประเทศไทยหรือสาขา Crystal Design Center (CDC) ได้ถูกเปิดตัวมาด้วยคอนเซปต์โรงเตี๊ยมจักรพรรดิ์ ที่จัดเต็มด้วยสถาปัตยกรรมจีนทั้งร้านหรือไซส์ขนาดอาคาร 3 ชั้น ไม่ว่าจะเป็นรูปปั้นมังกรสีทองล่องลอยอยู่บนเพดานของร้านที่คอยรับ-ส่งผู้เข้ามาใช้บริการทุกคน, เซตโต๊ะ-ที่นั่งฉบับจีนดั้งเดิม ตกแต่งแตกต่างกันออกไปตามโซนและห้อง VIP, หม้อไฟหมาล่าหัวมังกรที่มีน้ำซุปกว่า 7 รสชาติให้เลือก ตลอดจนการจำลองบรรยากาศของสระบัวด้วยเอฟเฟกต์ควันที่จะชวนให้เรารู้สึกถึงความเย็นสบาย แม้จะกินหม้อไฟรสเผ็ดชาก็ตาม ถ้าจะให้อธิบายถึงความอลังการทั้งหมด ก็คงไม่เท่ากับการได้ไปสัมผัสประสบการณ์กันด้วยตัวเองจริงๆ

ไม่ใช่แค่การตกแต่งภายในร้านที่ SHU DAXIA มีความจริงจังที่จะทำให้สิ่งนี้กลายเป็นจุดเด่นของแบรนด์ หรือความตั้งใจในการสร้างประสบการณ์ให้แก่ลูกค้าเท่านั้น แต่แน่นอนว่าคุณภาพของวัตถุดิบ อาหาร และน้ำซุปก็ต้องอร่อย เพียงพอที่จะทำให้ตัวแบรนด์นั้นสามารถขายตัวมันเอง จนผู้คนถึงได้ติดใจและแวะเวียนกลับมาซ้ำ

แม้ SHU DAXIA อาจจะไม่ได้ทำการตลาดที่หวือหวามากนัก แค่เพียงบรรยากาศและคุณภาพวัตถุดิบก็อาจจะเพียงพอแล้วสำหรับการเป็นร้านหม้อไฟหม่าล่าครองใจลูกค้าบางกลุ่ม แต่ก็แน่นอนล่ะว่า ไลฟ์สไตล์ของผู้คนในแต่ละประเทศนั้นมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง นี่จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลให้ SHU DAXIA ประเทศไทย ได้ลองจัดกิจกรรมเพื่อลูกค้าคนไทยดูบ้าง นั่นก็คือการเปิดตัวแบรนด์แคมเปญคนแรกด้วยการดึง Mark Tuan (มาร์ค ต้วน) นักร้อง แรปเปอร์ นักแต่งเพลงสัญชาติอเมริกัน-ไต้หวัน และหนึ่งในสมาชิกวงเค-ป๊อปอย่าง GOT7 มาร่วมกิจกรรมดินเนอร์สุดเอกซ์คลูซีฟกันในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2024 นี้ด้วย

Haidilao
ปีที่ก่อตั้ง : 1994
ปีที่เปิดสาขาแรกในไทย : 2019
จำนวนสาขาในไทย : 9 สาขา

Haidilao (ไหตี่เลา) คือแบรนด์หม้อไฟหม่าล่าต้นตำรับจากมณฑลเสฉวน ก่อตั้งในปี 1994 โดยจาง หย่ง (Zhang Yong) ที่เกิดในครอบครัวชนชั้นแรงงานในชนบทของประเทศจีน ผู้ที่ไม่เคยได้นั่งกินข้าวในร้านอาหารดีๆ สักครั้งจนอายุ 19 เขายังเคยเป็นช่างเชื่อมในโรงงานแทร็กเตอร์ด้วยค่าจ้าง 470 บาทต่อวัน ก่อนที่ในปี 1994 จะตัดสินใจลาออกจากงาน เอาเงินที่เก็บหอมรอมริบมาเปิดร้านหม้อไฟหมาล่าขนาด 4 โต๊ะเป็นของตัวเอง ร่วมกับภรรยาและเพื่อนอีกสองคน 

ชื่อของร้าน Haidilao มีความหมายแปลไทยได้ว่า ‘ตักจากก้นทะเล’ แต่ที่มาที่ไปของชื่อแบรนด์นั้น ไม่ได้มาจากก้นทะเลหรอก แต่มาจากการเล่นไพ่นกกระจอกระหว่างจาง หย่งกับภรรยา และเมื่อไพ่ใบสุดท้ายที่คนเสฉวนมักเรียกกันว่า ‘ไหตี่เลา’ มาถึง ทั้งคู่จึงปิ๊งไอเดียการตั้งชื่อแบรนด์ขึ้นมาทันที

ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา จาก Haidilao ธุรกิจหม้อไฟหมาล่าแบบเล็กๆ ได้เติบโตกลายมาเป็นธุรกิจในขนาดและสเกลที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถเปิดสาขาแฟรนไชส์ได้กว่า 900 สาขาทั่วโลก แต่ถึงแม้ระยะเวลาจะผ่านมานานแค่ไหน หัวใจของ Haidilao ภายใต้การบริหารของจาง หย่ง ก็ยังคงเน้นหลักการบริการที่ใส่ใจและมอบประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้าเป็นสำคัญ

ไม่ว่าจะเป็นหลากหลายบริการพิเศษระหว่างรอคิว ตลอดจนบริการภายในร้านที่เหล่าพนักงานจะคอยดูแลเราอย่างใกล้ชิดอยู่เสมอ ยังมีการแสดงเปลี่ยนหน้ากากให้ได้ดูกันเป็นรอบๆ ไหนจะโชว์ดึงเส้นบะหมี่สดแบบประจันหน้า หรือถ้าหากได้มาในวันสำคัญอย่างวันเกิด หรือวันครบรอบ Haidilao ก็ยังมีช่อดอกไม้ ของหวาน รวมไปถึงการ์ดอวยพรให้กับเรา และในวันที่ต้องการความสงบอย่างการแวะมากินคนเดียว เราก็ได้นั่งกับน้องตุ๊กตาผมสีแดง มาสคอตของ Haidilao สุดน่ารักอีกด้วย

แต่ที่ว่ามาก็ยังไม่ใช่ทั้งหมดของ Haidilao เพราะยังมีกิจกรรมสนุกๆ อย่างการบอกโค้ดลับภาษาจีนต่างๆ เพื่อแลกกับของที่ระลึกกันแบบฟรีๆ ให้ได้หิ้วกลับบ้าน รวมไปถึงกิจกรรมอีกมากมายที่ก็มีให้เราได้คอยติดตามไปร่วมสนุกกันอยู่เรื่อยๆ 

เรียกได้ว่า Haidilao เป็นแบรนด์เชนหมาล่าหม้อไฟที่มีบริการครอบคลุมให้กับลูกค้าทุกกลุ่ม ทุกเพศ และทุกวัย ทั้งยังตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้คนในแต่ละประเทศได้ดี เห็นได้ชัดจากการออกโปรโมชั่นและกิจกรรมที่แตกต่างกันออกไป อย่างในสาขาประเทศไทยก็เพิ่งจะมีกิจกรรมเต้นแลกเนื้อ หรือกิจกรรมที่ชวนให้ลูกค้าได้ลุกขึ้นเต้นเหล่าเพลงฮิตใน TikTok เพื่อแลกรับเนื้อวากิวฟรี 1 ถาด หรือถ้าจะให้พูดถึงโปรโมชั่นล่ะก็ Haidilao ก็เคยมีทั้งโปรลับๆ เสิร์ฟเบียร์ฟรีไม่อั้นหลัง 4 ทุ่มสำหรับสาขาเซ็นทรัลปิ่นเกล้า หรือจะเป็นโปรเนื้อหรือหมูที่สั่ง 1 ถาด แถม 1 ถาดหลัง 4 ทุ่มที่สาขาเซ็นทรัลพระราม 9 เป็นต้น

ในปัจจุบัน Haidilao สามารถขยายสาขาแบรนด์เชนหมาล่าหม้อไฟต้นตำรับจากเสฉวนไปแล้ว 1,600 กว่าสาขาทั่วโลก 

อ้างอิง

วิเคราะห์ความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในโลกธุรกิจจากพฤติกรรมผู้บริโภคปี 2024 กับ FutureTales LAB

อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน ผู้ประกอบการหลายคนรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว แต่จะดีกว่าไหมหากเราในฐานะคนทำธุรกิจสังเกตเห็นสัญญาณการเปลี่ยนแปลงก่อนเพื่อให้เราสามารถปรับตัวเพื่อลดความเสี่ยง หรือคว้าโอกาสก่อนล่วงหน้า

สำหรับคนทำธุรกิจ เทรนด์ไลฟ์สไตล์และพฤติกรรมผู้บริโภคคือสิ่งที่หลายคนให้ความสนใจติดตามอย่างต่อเนื่อง หนึ่งในนั้นคือข้อมูลจาก FutureTales LAB ศูนย์วิจัยอนาคตที่เผยแพร่งานวิจัยและบทวิเคราะห์เทรนด์ใหม่ๆ สู่สาธารณะอยู่เสมอ

สำหรับใครที่ไม่รู้จักพวกเขา ขอแนะนำอย่างย่นย่อว่า FutureTales LAB คือศูนย์วิจัยอนาคตภายใต้บริษัทแมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เชื่อว่าทุกสรรพสิ่งในโลกสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน (For All Well-Being) งานของ FutureTales LAB จึงเป็นทั้งนักวิจัยที่เฝ้าสังเกตความเปลี่ยนแปลงเพื่อให้คำปรึกษาในการออกแบบและเปลี่ยนผ่านองค์กรไปสู่อนาคตที่พึงประสงค์ และเป็นแพลตฟอร์มสาธารณะที่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับอนาคต เพื่อเผยแพร่ให้ภาครัฐ ภาคธุรกิจ และประชาชนนำไปใช้ประโยชน์ได้  

การมองอนาคตของพวกเขาไม่ได้ใช้เพียงการพยากรณ์โดยตัวเลข (forecast) เท่านั้น แต่ยังใช้กระบวนการคาดการณ์อนาคต (foresight) อย่างเป็นระบบเป็นเครื่องมือเพื่อวิเคราะห์โอกาสและความเสี่ยงในการวางแผนเชิงกลยุทธ์ ณัฐวุฒิ กุลแก้ว นักวิจัยด้านการคาดการณ์อนาคต FutureTales LAB บอกกับเราว่า หลักที่นักอนาคตศาสตร์ (futurist) ใช้คือการยอมรับว่าอนาคตมีความไม่แน่นอน มีความเป็นไปได้หลายรูปแบบ 

สิ่งที่ FutureTales LAB ทำคือการจับสัญญาณหรือการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ทั้งจากเหตุการณ์ วิจัย และข่าวรอบโลกจากแพลตฟอร์มข้อมูลที่มี มองเห็นการเชื่อมโยงสัญญาณเหล่านี้ในอดีตกับปัจจุบัน หากกลุ่มสัญญาณมีรูปแบบและแนวโน้มในการกำหนดทิศทางอนาคต พวกเขาจะเรียกว่า ‘เทรนด์’ และหากผ่านเวลาไปแล้ว ผู้บริโภคเปลี่ยนมุมมอง ภาคธุรกิจปรับกลยุทธ์ และภาครัฐประกาศนโยบาย มันกลายเป็น ‘เมกะเทรนด์’ ทั้งนี้ทีมนักวิจัยจะต้องมีการตรวจสอบและติดตามทั้งภายในทีมและร่วมกับผู้เชี่ยวชาญอยู่เสมอว่าสัญญาณและเทรนด์ใดเด่นชัดมากขึ้น อ่อนลง หรือมีสิ่งใดเกิดขึ้นใหม่ และจะมีนัยที่ส่งผลต่ออนาคตอย่างไรบ้าง

“เวลาที่นักอนาคตศาสตร์คุยกัน เราไม่ได้จะมองแต่เพียงว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง แต่เราพยายามทำความเข้าใจมัน เราพิจารณาข้อมูล แนวโน้ม และปัจจัยที่ไม่แน่นอนว่า อนาคตแต่ละแบบกำลังนำไปสู่โอกาสและความเสี่ยงอย่างไร สิ่งสำคัญจึงเป็นการนำเทรนด์และภาพอนาคตไปใช้งานเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับองค์กร ” เขาบอก

เทรนด์และพฤติกรรมผู้บริโภคในปี 2024 จะเคลื่อนไปในทิศทางไหน นั่นคือเหตุผลที่บ่ายวันนี้ เราหอบความสงสัยทั้งหมดมาหาคำตอบกับณัฐวุฒิ

บทเรียน แผลใจ และ Game Changer จากปี 2023

โดยปกตินักอนาคตศาสตร์ที่ FutureTales LAB มักมองอนาคตผ่าน 6 มิติ ได้แก่ สังคม เทคโนโลยี เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม นโยบาย และค่านิยม หากให้วิเคราะห์ถึงไลฟ์สไตล์และพฤติกรรมของลูกค้า ณัฐวุฒิจัดว่าเป็นมิติของสังคมและค่านิยมของผู้คนที่เปลี่ยนแปลงไป 

ก่อนจะทำความเข้าใจปี 2024 ณัฐวุฒิชวนคิดถึงการทำความเข้าใจทศวรรษ 2020-2030 กันก่อน ทีมนักวิจัยตั้งชื่อทศวรรษนี้ว่า The Great Reset หรือการรีเซตครั้งใหญ่ หลังจากโควิด-19 ระบาดและส่งผลกระทบต่อทุกคนบนโลก ทุกคนคิดใหม่ ทำใหม่ ในทุกมิติของชีวิต

หลังโควิดเป็นต้นมาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2023 เป็นช่วงเวลาที่คนทำธุรกิจปรับตัวและเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ผู้ประกอบการหลายคนต้องการลุกขึ้นมายืนให้ได้ด้วยตัวเอง เราสังเกตเห็นวัฒนธรรมการเตรียมความพร้อมเด่นชัดมากขึ้นในสังคมไทย เราได้พบทั้งบทเรียน แผลใจ หมากพลิกเกม (game changer) และประเด็นอื่นๆ ที่ต้องจับตามองกันต่อไป ซึ่งเราขอสรุปมาให้ฟังดังต่อไปนี้

  • โควิดทำให้คนไทยพยายามพึ่งพาตัวเอง และมองอนาคตข้างหน้ามากขึ้น หนึ่งในตัวอย่างนั้นคือการหันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพ ผลสำรวจล่าสุดระบุว่า 93% ของคนไทยให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพเป็นอันดับหนึ่ง มากที่สุดในภูมิภาคอาเซียน
  • 58% ของคนไทยใช้อุปกรณ์ติดตามข้อมูลสุขภาพ แสดงให้เห็นว่าคนไทยมีการเปลี่ยนความคิดจากการมาหาหมอหลังป่วยเป็นการหาทางป้องกันไม่ให้ป่วยมากขึ้น
  • ในปี 2024 การดูแลสุขภาพคงจะถูกยกระดับขึ้นไปอีกเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค ที่น่าสนใจ คือเราสังเกตเห็นการกระจายบริการสุขภาพจากโรงพยาบาลใหญ่ออกไป ในช่วงปี 2020-2023 มีคลินิกและโรงพยาบาลเอกชนเพิ่มขึ้น 150% ทั้งยังมีคลินิกขนาดเล็กไปยังพื้นที่ต่างๆ ทั้งในห้างสรรพสินค้าและชุมชน เช่นเดียวกับเรื่อง Telemedicine และ self-care delivery ที่จะพัฒนาขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัย ‘อนาคตสุขภาพจิตสังคมไทย พ.ศ. 2576’ ที่ทีม FutureTales LAB เคยศึกษาไว้ และงานวิจัย ‘อนาคตสุขภาพและสุขภาวะสังคมไทย พ.ศ. 2576’ ที่พวกเขากำลังจะเผยแพร่ในปีนี้
  • คนทั่วโลกใช้อินเทอร์เน็ตมากขึ้น 32.5% จากช่วงโควิด ทำให้ปัจจุบันมีคน 8.1 พันล้านคนหรือ 65% ใช้อินเทอร์เน็ต และเป็นที่น่าสนใจมากว่าคนไทยได้รับการจัดอันดับโดย IMD ให้มีความสามารถในการแข่งขันดิจิทัลเพิ่มขึ้นจากอันดับที่ 40 เป็นอันดับที่ 35 และกลายเป็นอันดับ 3 ในอาเซียนระหว่างปี 2022-2023 และเราติดอันดับประเทศที่ใช้งานโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มต่าง ๆ กระเป๋าเงินคริปโต และแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ 1-5 อันดับแรกอยู่เสมอ
  • นอกจากโควิดจะทำให้คนหันมาสนใจสุขภาพและใช้อินเทอร์เน็ตมากขึ้น อีกหนึ่งปรากฏการณ์จาก ‘แผลใจ’ ที่เราต่างประสบจากโควิดคือ การถูกพรากโอกาสในการมีประสบการณ์ชีวิตบางอย่างไป เพราะฉะนั้น experience economy หรือประสบการณ์ใดก็ตามที่ช่วยขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจจะยิ่งเป็นที่นิยมมากขึ้น
  • หากมองในด้านการท่องเที่ยว เราเห็นปรากฏการณ์เที่ยวล้างแค้น (revenge travel) ซึ่งถือเป็นเรื่องดีสำหรับการกระตุ้นเศรษฐกิจหลังโควิด และคาดว่าสถานการณ์การท่องเที่ยวจะกลับมาใกล้เคียงปกติมากขึ้นในปี 2024 และน่าจับตาดูการท่องเที่ยวในกลุ่มเมืองรองเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตาม จากนโยบายของประเทศจีนที่ต้องการให้คนจีนเที่ยวภายในประเทศเป็นหลัก ปี 2024 อาจเป็นปีที่ผู้ประกอบการในไทยได้มีโอกาสทบทวนกลุ่มเป้าหมายหลักอีกครั้ง เช่นนักท่องเที่ยวภายในประเทศหรือนักท่องเที่ยวจากอาเซียนด้วยกันเอง
  • ปี 2023 เป็นปีที่ธุรกิจต่างๆ ออกสินค้าที่เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่น้อย แต่ที่โดดเด่นกว่าคือบริการที่ช่วยสร้างประสบการณ์ เราได้เห็นการสร้างประสบการณ์ที่ทำได้จากที่บ้าน เช่น แอพพลิเคชั่นโยคะ Virtual Fitness ทำสมาธิ เป็นต้น ในปี 2024 มองว่าจะเห็นความสมดุลของการออกผลิตภัณฑ์และบริการมากขึ้น
  • Experience Economy จะไม่ได้จำกัดอยู่แค่เทคโนโลยี VR / AR ที่ตอบโจทย์การมองเห็น งานวิจัยโดย Ericsson คาดการณ์ว่า Internet of Senses หรือการรับประสบการณ์ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 อาจเกิดขึ้นได้จริง ดังที่เห็นกรณีศึกษาและการทดลอง เช่น การสังเคราะห์กลิ่น ตะเกียบเพิ่มรสเค็มในอาหาร ชุดสำหรับสวมใส่เพื่อรับรู้สัมผัสและอุณหภูมิจากในแพลตฟอร์มโลกเสมือน เป็นต้น
  • ถึงแม้คำว่า Metaverse อาจจะเลือนหายไป (และอาจกลับมาเมื่อระบบโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี และตลาดพร้อม) แต่แนวคิดเรื่อง extended reality และการผสมผสานประสบการณ์โลกจริงกับโลกเสมือนยังคงอยู่ ปี 2024 จะเป็นปีที่เราเฝ้าจับสังเกตการปล่อยผลิตภัณฑ์ บริการ หรือโมเดลธุรกิจที่ยกระดับประสบการณ์ที่เข้ามามีผลต่อวิถีชีวิตของผู้คนอย่างแท้จริง เช่น การทำ digital twin สำหรับการออกแบบ ติดตาม และควบคุมการดำเนินการภายในอาคาร ทั้งก่อน ระหว่าง และหลังสร้างอาคารเสร็จ เป็นต้น
  • เทคโนโลยีจะยังเป็น game changer ที่น่าจับตามอง โดยเฉพาะปัญญาประดิษฐ์ ปีที่ผ่านมามีการศึกษา วิเคราะห์ และคาดการณ์ศักยภาพของ AI จนตระหนักแล้วว่ามันทำอะไรได้บ้างและเริ่มวางแผนเกี่ยวกับ AI ปีนี้คงจะเป็นปีที่หลายองค์กรเริ่มดำเนินการเพื่อยกระดับองค์กร ระบบการทำงาน สิ่งแวดล้อมการทำงาน และการจัดการแรงงานใหม่ แน่นอนว่าผู้บริโภคเองก็คาดหวังว่าผลิตภัณฑ์และบริการในตลาดจะเข้าใจความต้องการ สามารถตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะบุคคลแบบยิ่งยวด (hyper-personalization) และทำให้ชีวิตของพวกเขาสะดวกสบายมากขึ้น FutureTales LAB มองว่า AI จะเป็นทั้งเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพงาน เพื่อนคู่คิด เครื่องมือบริหารจัดการความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์และคู่ค้า
  • โควิดทำให้คนทั่วไปรู้จักวัคซีนจาก mRNA แต่เทคโนโลยีชีวภาพ โอมิกส์ และพันธุวิศวกรรมเป็นสิ่งที่หลายประเทศเริ่มลงทุนมาพักใหญ่แล้ว เช่นเดียวกับเทคโนโลยีด้านสิ่งแวดล้อมอย่างการดักจับและใช้ประโยชน์จากมลพิษคาร์บอน เทคโนโลยีควอนตัม และเทคโนโลยีอวกาศ แม้ว่าบทบาทของประเทศไทยในปัจจุบันอาจยังไม่ใช่ผู้นำในเทคโนโลยีเหล่านี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าผลิตภัณฑ์และบริการจากเทคโนโลยีดังกล่าวจะไม่ได้เข้ามาส่งผลกระทบต่อชีวิตคนไทย และหากมองไกลกว่านั้น เทคโนโลยีเหล่านี้ยังขาดแรงงานเข้ามาเติมเต็ม ปัจจุบันมีบุคลากรที่มีความสามารถทำงานเหล่านี้น้อยมาก จากข้อมูลที่มี ปัจจุบันทั่วโลกมีผู้เชี่ยวชาญด้าน BioTech เพียง 1,600 คนเท่านั้น ในขณะที่ผลสำรวจของ LinkedIn ในช่วงปี 2015-2021 พบว่ามีความต้องการผู้มีทักษะด้านความยั่งยืนเพิ่มขึ้นถึง 38.5% แต่ทั่วโลกกลับมีผู้มีความสามารถดังกล่าวเพียง 13% 
  • จะเห็นได้ว่าแม้เทคโนโลยีจะเป็น game changer เพราะสามารถเข้ามาเปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้คนไป แต่ยังต้องอาศัยระยะเวลาและการลงมือทำอย่างจริงจัง หากมองกรณีศึกษา เช่น ญี่ปุ่นที่เคยประสบความสำเร็จมาก่อน หรือกลุ่มประเทศตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ (MENA) ที่กำลังโดดเด่นขึ้นมาในตอนนี้ จะพบว่ายังมีอีกหลายเรื่องมากที่ต้องพูดคุยเกี่ยวกับเทคโนโลยี ทั้งการพัฒนา การกำกับดูแลและจริยธรรม และการนำไปใช้งานต่อยอด
  • ปี 2023 เป็นปีที่คนทำธุรกิจหลายคนจำเป็นต้องลดทุนและการใช้เงินลง ขณะที่ภาคประชาชนก็มีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นขึ้นมา ซึ่งบางครั้งเป็นค่าใช้จ่ายที่เราไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าต้องจ่าย และบางครั้งอาจไม่ใช่ในรูปแบบเงินตรา แต่เป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่เรามอบให้ผู้อื่น
  • ธุรกิจบางประเภทที่ยึดการทำธุรกิจแบบดั้งเดิมจำเป็นต้องปรับตัว และหากปรับตัวไม่ได้ก็อาจถูกกดดันจนต้องล้มหายตายจากไป อีกประเด็นที่ควรระมัดระวังคือ หลายธุรกิจพยายามเป็นผู้นำโดยการเอาเทคโนโลยีล่าสุดมาใช้ โดยไม่รู้ว่าเหมาะสมกับธุรกิจจริงหรือเปล่า

สิ่งที่น่าจับตามองในปี 2024

เมื่อสนทนากันถึงเรื่องไลฟ์สไตล์และผู้บริโภค เราคงต้องพูดถึงเรื่องเศรษฐกิจและปากท้องก่อน อย่างไรก็ตาม FutureTales LAB เน้นย้ำว่าไม่อยากให้ผู้ประกอบการละเลยหรือมองข้ามประเด็นอื่นที่จะเข้ามาส่งผลกระทบในทางอ้อมเช่นกัน

  • การจับจ่ายใช้สอยของคนไทยในปี 2024 จะถูกกำหนดโดยสภาพเศรษฐกิจเป็นหลัก แม้มีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มดีขึ้นจาก 2.5% ในปี 2023 เป็น 3.4% แต่ยังถือว่าเติบโตน้อยกว่าประเทศอื่น และอาจไม่มากพอให้คนไทยกล้าควักกระเป๋าใช้จ่ายอย่างใจป้ำ ยิ่งประกอบกับการพิจารณาหนี้ครัวเรือนในปี 2023 ซึ่งสูงถึง 90-91% ของ GDP ก็ยิ่งน่าเป็นกังวล ผู้ประกอบการยังต้องพิจารณาปัจจัยอื่น เช่น การคงอัตราดอกเบี้ยที่คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 2.5% ตลอดปี อัตราเงินเฟ้อที่คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 2.6% เป็นต้น ทั้งนี้ต้องติดตามนโยบายรัฐและแรงกดดันฝั่งอุปทานโดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบจากปัจจัยด้านสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เช่น เอลนีโญ เป็นต้น 
  • หมากพลิกเกมตัวสำคัญที่จะส่งผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคและระบบเศรษฐกิจไทยในปี 2024 คงเป็นโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งมีทีท่าว่าจะเกิดขึ้นจนได้ แต่หากประสบความสำเร็จ จะเป็นการอัดฉีดเงิน 3 แสนล้านบาทเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ เกิดการออกมาใช้จ่าย และคาดว่าจะสามารถยกระดับ GDP เพิ่มขึ้นอีก 1.5-2% ซึ่งมากกว่าการเติบโตเฉลี่ยในรอบ 10 ปีของไทย ขณะเดียวกันก็มีข้อกังวลอีกมากที่จะตามมา เช่น หนี้ครัวเรือน หนี้สาธารณะที่จะเพิ่มขึ้น เป็นต้น จึงถือว่าเป็นเรื่องที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด
  • นอกจากนี้ อยากให้ผู้ประกอบการจับตาเรื่อง ภูมิรัฐศาสตร์และสงครามอย่างใกล้ชิด ทั้งการเลือกตั้งกว่า 70 ที่รอบโลก เช่น ไต้หวัน สหราชอาณาจักร อินเดีย อินโดนีเซีย สหรัฐอเมริกา เป็นต้น และประเด็นเรื่องสงคราม เช่น ยูเครน-รัสเซีย, อิสราเอล-ฮามาส, เกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้ เป็นต้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบในเชิงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การกีดกันทางการค้า กำแพงภาษี และเส้นทางห่วงโซ่อุปทานที่อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจของคุณแล้ว อยากให้จับตามองการอพยพของกลุ่มผู้มีรายได้สูงหรือนักลงทุน (high-net-worth Individual) ที่อาจโยกย้ายมาพำนักในประเทศไทยและกลายเป็นคู่ค้ากลุ่มใหม่ ดังเช่นในปี 2022 ที่มีการอพยพของเศรษฐีจำนวนมากกว่า 88,000 คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากรัสเซียและจีนไปยังประเทศอื่น หากเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นอีกครั้ง ภาคธุรกิจจะมีแนวทางดำเนินการอย่างไร และจะบริหารความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่อย่างไร
  • อีกประเด็นที่ต้องพูดคุยอย่างจริงจังคือ การดำเนินธุรกิจและการจัดการแบรนด์ให้สอดคล้องกับค่านิยมของผู้บริโภค ผู้บริโภค 87% ยินดีจะสนับสนุนแบรนด์ที่มีความเชื่อและผลักดันประเด็นทางสังคมเดียวกันกับพวกเขา ในขณะที่มีคนไทย 28% ประกาศชัดว่าจะบอยคอตแบรนด์ที่ไม่มีจริยธรรมอย่างจริงจัง ทุกวันนี้ผู้บริโภคมีความตระหนักรู้ประเด็นทางสังคมมากขึ้น มีการตรวจสอบแบรนด์ที่ไม่ได้ดูแลสิ่งแวดล้อมจริง (greenwashing) ไม่ได้สนับสนุนกลุ่มผู้มีความหลากหลายอย่างแท้จริง (rainbow-washing) มีการรวบรวมรายชื่อและรณรงค์ให้ผู้บริโภคด้วยกันเองไม่สนับสนุนแบรนด์ที่เป็นแหล่งที่มาทางการเงินของการก่อสงคราม เพราะฉะนั้นนับจากปี 2024 เป็นต้นไป องค์กรและธุรกิจที่มีความคิดต้องการเติบโตหรือเป็นที่ยอมรับในสังคมวงกว้างจะต้องพูดจริงทำจริง หยุดการทำกิจกรรมเพื่อสังคมที่ฉาบฉวยและไม่โปร่งใส และต้องให้ความสำคัญกับผลกระทบของการตัดสินใจและการดำเนินธุรกิจของตนเองต่อสังคมในวงกว้างมากยิ่งขึ้น ไม่ใช่เพียงในกรอบระยะเวลาสั้น ๆ แต่ต้องมองไปถึงผลกระทบในระยะยาว
  • ถ้าถามว่าธุรกิจอะไรน่าลงทุนในปีนี้และปีถัดไป คำตอบที่เรียบง่ายคือธุรกิจที่สามารถแก้ปัญหาและยกระดับคุณภาพชีวิตและประสบการณ์ให้กับผู้คนได้ ในระดับเล็กเราสังเกตเห็นการเกิดขึ้นและเติบโตของอาชีพแปลกใหม่ (odd jobs) มากขึ้น หลายสิบปีก่อนตัวอย่างอาจเป็นติวเตอร์สอนพิเศษ ที่ปัจจุบันกลายเป็นตลาดขนาดใหญ่และสร้างความเปลี่ยนแปลงทางสังคมหลายประการ ปัจจุบันและในอนาคตก็เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น งานรับจ้างกินเจ พาสัตว์เลี้ยงไปเดินเล่น รับจ้างเป็นคู่ควงออกงานในโอกาสสำคัญ อย่างวันรวมญาติ งานเลี้ยงเชิงธุรกิจ เป็นต้น ซึ่งแพลตฟอร์มหางานในไทยยังไม่มีอาชีพเหล่านี้ นอกจากนี้ ในภาพใหญ่เรากำลังจับตามองการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญขึ้นไปและสามารถกลับมาเปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้คน เช่น ระบบฐานข้อมูลเพื่อคาดการณ์ภัยพิบัติอย่าง Urban Hazard Studio 
  • หากผู้ประกอบการจะเรียนรู้อะไรจากเทรนด์เหล่านี้ ณัฐวุฒิให้ความเห็นว่า เรากำลังอยู่ในยุคแห่งความท้าทายและไม่แน่นอน การเรียนรู้และปรับตัวเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง ทั้งสำหรับบุคคลและในฐานะองค์กร วิธีการหรือแนวคิดที่เคยใช้ได้ผลในอดีตอาจไม่ประสบความสำเร็จเหมือนเดิมในปัจจุบัน และอาจไม่สามารถนำองค์กรไปสู่อนาคตที่ตั้งเป้าหมายไว้ได้ สิ่งที่ผู้ประกอบการควรมีคือการครุ่นคิดถึงอนาคตอยู่เสมอ โดยไม่ตื่นตระหนกหรือหวาดกลัว แต่เป็นการพิจารณาความเป็นไปได้เพื่อหาแนวทางการรับมือ และเพราะอนาคตเป็นสิ่งที่ยังไม่ถูกเขียนขึ้น อนาคตจึงมีทั้งความเสี่ยง ในขณะเดียวกันก็เป็นโอกาส ไม่ใช่สำหรับผู้ที่มองเห็นแล้ววางเฉย แต่อนาคตที่ดีเป็นของผู้ที่ลงมือทำอย่างรอบคอบในปัจจุบัน

ศิลปะการออกแบบธุรกิจของ Touchable ที่ขายเฟอร์นิเจอร์ให้โรงแรม 5 ดาวชื่อดังทั่วเอเชีย

able แปลว่า be able to do something และความสำเร็จของแบรนด์ Touchable ก็มาจากมายด์เซตที่เชื่อว่าสามารถทำได้ทุกสิ่งและอยากสร้างสรรค์ผลงานดีไซน์ชิ้นสวยที่ใช้งานได้จริง  

จิรพรรณ โตคีรี Designer Director & Founder ของบริษัท Able Interior Workshop Co.,Ltd. หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อแบรนด์ Touchable เรียนจบสายอาร์ตมาแล้วเริ่มจากการลองผิดลองถูกในการดีไซน์เฟอร์นิเจอร์ด้วยตัวเอง ก่อตั้งโรงงานและสร้างบริษัทเองจากศูนย์ตั้งแต่อายุราว 24-25 โดยเริ่มจากมีพนักงานแค่ 1 คน จนวันนี้จิรพรรณในวัย 55 ปีกลายเป็นแม่ทัพหัวเรือใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังผลงานการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ให้กับโรงแรมดังทั้งในไทยและต่างประเทศมากมายอย่าง Mandarin Oriental, Siam Kimpinski Hotel Bangkok, The Okura Prestige Bangkok, JW Marriott Phuket, Sri Panwa Phuket, Avani+ Luang Prabang, THE WAY Dhaka, Nagini Bar at Three Nagas ฯลฯ

เธอบอกว่าดีไซเนอร์ที่ประสบความสำเร็จมักเป็นคนมีคาแร็กเตอร์และเชื่อว่าการมีเทสต์ไม่จำเป็นต้องใช้ของแพง ความเชื่อของเธอถูกบอกเล่าผ่านผลงานที่แม้จะเน้นกลุ่มลูกค้าระดับ luxury แต่แนวทางการดีไซน์ของแบรนด์มุ่งผลักดันการผสานวัสดุท้องถิ่นจากธรรมชาติมาใช้ นำวัสดุเหลือใช้มาดีไซน์ใหม่ ผสานความเป็นไทยและมุ่งสร้างผลงานที่เป็นเอกลักษณ์สุดประณีตโดยช่างฝีมือท้องถิ่น 

เส้นทางธุรกิจที่ประสบความสำเร็จทั้งหมดนี้เพราะจิรพรรณมีศิลปะในการทำธุรกิจที่ไม่ได้มองว่ากำลังออกแบบแค่เฟอร์นิเจอร์ แต่มองว่ากำลังสร้างสรรค์ผลงานศิลปะโดยเธอยังมีศิลปะในการขายไปจนถึงศิลปะในการทำธุรกิจในแบบของดีไซเนอร์ที่น่าสนใจจนอยากชวนทุกคนมาฟังเรื่องราวเบื้องหลังของการปั้นแบรนด์ Touchable กัน

Product
Able to be Original 

“แบรนด์เราชื่อ Touchable แปลว่าอะไรก็ได้ คำว่า able แปลว่า ได้ เวลาไปต่อกับคำอะไรก็ตามมันแปลว่าเป็นไปได้หมด” จิรพรรณย้อนเล่าถึงที่มาของชื่อซึ่งสอดคล้องกับความเชื่อของแบรนด์

สมัยเริ่มธุรกิจใหม่ๆ จิรพรรณลองผิดลองถูกมาหลายอย่าง เริ่มจากทดลองทำกระเป๋าขาย แล้วหันมาจับงานอินทีเรียร์ รับเหมาตกแต่ง เป็นซัพพลายเออร์เฟอร์นิเจอร์ให้กับโรงแรม 5 ดาวต่างๆ  จน พ.ศ. 2540 ที่เกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง เธอได้ไปเดินงานแฟร์ของตกแต่งบ้านที่โด่งดังในสมัยนั้นชื่องาน BIG+BIH และงานบ้านและสวนแฟร์ ทำให้มองเห็นโอกาสในการสร้างสรรค์ไอเดียในการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ที่ไม่เหมือนใคร 

เธอริเริ่มครีเอตดีไซน์ที่มีความออริจินัลเพื่อเพิ่มมูลค่าให้งานดีไซน์โดยเริ่มจากโคมไฟวีเนียร์ที่เกิดไอเดียจากการเห็นเศษไม้เหลือในโรงงานไม้อัด ไม้พวกนี้มันมีตา มีความไม่เรียบร้อยที่เขาไม่สามารถจะเอามาทำไม้อัดขายได้ เขาก็จะทิ้ง เราเลยเอามาทำโคมไฟ พอมันมีตาแล้วมันสวยมากเลย” 

โคมไฟวีเนียร์เป็นงานดีไซน์ชิ้นแรกๆ ที่ทำให้แบรนด์แจ้งเกิดเพราะในยุคนั้นไม่ใช่ทุกแบรนด์จะสามารถมาจัดแสดงที่งาน BIG+BIH ได้ง่ายๆ แม้บูทของแบรนด์ตอนไปออกงานแฟร์จะมีขนาดเล็กเพียง 3X3 ตารางเมตรแต่ก็ขายได้ถึงหลักล้านและเป็นดีไซน์ที่ขายได้ทั่วโลกในเวลาต่อมา จิรพรรณบอกว่าแม้แต่ตัวเธอเองก็ไม่อยากเชื่อในฝีมือของตัวเอง

ทุกวันนี้ Touchable ขยับขยายธุรกิจจนเป็นแบรนด์ที่มีเฟอร์นิเจอร์หลากหลายแทบจะครบทุกหมวดทั้งโคมไฟ เก้าอี้ โซฟา โต๊ะ เตียง ฯลฯ เพราะจิรพรรณบอกว่าไม่อยากจำกัดโอกาสของตัวเอง 

“เราอย่าไปจำกัดให้สินค้าเป็นแค่เฟอร์นิเจอร์ พอเราคิดไอเดียแล้วมีทีมที่ค่อนข้างเก่ง เราคิดอะไรเขาก็จะทำได้ เรามีหลักคิดว่าอะไรก็ตามที่เราคิดมา มันต้องทำให้ได้และเป็นสิ่งที่ในตลาดไม่มี เราต้องไม่เหมือนคนอื่น มีความตั้งใจว่าถ้าอยากออกแบบอะไรก็ต้องได้ทำ เช่น อยากทำกระเป๋าขายก็ไปซื้อจักร

“แล้วตัวเองก็เป็นคนพลังเยอะและเป็นคนลงมือทำเองทุกอย่าง เชื่อว่าทุกที่มีสิ่งให้เราเรียนรู้ เราเรียนรู้จากช่างและอยู่กับช่าง เราเป็นดีไซเนอร์ผู้โชคดีที่เรียนอาร์ตมาแล้วเราสามารถออกแบบอะไรก็ได้” 

คงไม่ผิดนักถ้าจะบอกว่าต้นทุนในการออกแบบสินค้าของจิรพรรณคือ can-do attitude ที่เชื่อว่าทุกสิ่งล้วนเป็นไปได้ทำให้สามารถวางรากฐานกระบวนการผลิตที่แข็งแรง มีทีมช่างฝีมือที่มีความประณีตเพื่อพร้อมต่อยอดไอเดียดีไซน์ในการเพิ่มมูลค่าได้

Reimagine Craft 

หากเดินผ่านบูทของ Touchable ในงานแฟร์ต่างๆ จะสะดุดตากับพาเลตสีสันอันเป็นเอกลักษณ์ที่ฉีกดีไซน์จากแบรนด์อื่นๆ ความโดดเด่นของแบรนด์คือการสร้างสรรค์ของตกแต่งบ้านเสมือนเป็นงานอาร์ตซึ่งเหมาะกับลูกค้ากลุ่มโรงแรมที่อยากสร้างสรรค์คอนเซปต์พิเศษที่ไม่เหมือนใคร 

คอลเลกชั่นโดดเด่นมักมีการจับคู่พาเลตสีสันสดใสและใช้วัสดุเหลือใช้ที่คำนึงถึงความยั่งยืนอย่างเก้าอี้คอลเลกชั่น Zigzag ที่ได้แรงบันดาลใจจากสีสันในธรรมชาติจากทะเล ภูเขา ดวงอาทิตย์และดอกไม้แล้วใช้ผ้าเหลือ 4-5 สีมาสร้างสรรค์เป็นเก้าอี้ หรือคอลเลกชั่น Blossom ที่ชุบชีวิตผ้าเหลือจากโรงงานผลิตผ้ามาสร้างสรรค์เป็นกระเป๋า bean bag ไปจนถึงเสื้อผ้า 

“ก่อนหน้าที่จะทำคอลเลกชั่นพวกนี้ ปกติเราก็เป็นคนไม่ค่อยได้ทำงานที่ใช้สีถึงขนาดนี้ แต่พอเน้นสีแล้วเราจะเป็นคนที่ทำให้สุด เราเป็นคนสนุก เราคิดว่าการใช้สีมันมีความสนุก แล้วทำไมไม่สนุกไปกับมันล่ะ” หลักการดีไซน์ให้สวยของเธอคือไม่ละเลยสิ่งที่เป็นหลักการพื้นฐานอย่างทฤษฎีสี 

“ถ้าพื้นฐานเรียนสายอาร์ตหรือดีไซน์มา สิ่งแรกที่ต้องเรียนคือทฤษฎีสี แต่เด็กสมัยนี้มักไม่เรียนกัน ซึ่งน่าเสียดาย อันนี้คือหัวใจสำคัญในการทำอะไรก็แล้วแต่ เราควรรู้ว่าสีนี้ควรจะอยู่กับสีอะไร ไม่ใช่สะเปะสะปะ ถ้าเราจะเน้นความ colorful เราจะทำยังไงให้มันมีรสนิยม อันนี้มันสอนกันไม่ได้จริงๆ เราก็คอยปรับแล้วสินค้าเราก็ได้รับการตอบรับทั้งลูกค้าจากเอกชนและรัฐบาลให้เราพัฒนาตรงนี้ต่อไป”  

ดีไซน์ที่แตกต่างเกิดจากการคิดค้นเทคนิคในการผลิตที่แตกต่าง เช่น การนำไหมพรมมาพันกับไม้ ชวนช่างจักสานมาทำงานร่วมกับช่างไหมพรมทำให้เกิดเฟอร์นิเจอร์ที่มีการผสมผสานของสองวัสดุ การนำนวัตกรรมวัสดุใหม่อย่างกัญชง (hemp) มาผสมกับวัสดุเดิมทำให้วัสดุที่ใช้ในการผลิตมีคุณภาพ

“เราก็ลองมาเรื่อยๆ ปรับดีไซน์อยู่นาน อย่างไอเดียที่ใช้ไหมพรมพันไม้ข้างในเพราะไม้อัดที่บ้านเรามีเยอะมาก เราเอามาตัดเป็นทรงกลมเป็นรูโดนัท เพราะถ้าตัดเป็นทรงกลมเฉยๆ มันพันเชือกไม่ได้ แล้วก็เอามาเรียงยาวเป็นหน้ากระดาน”

จิรพรรณบอกว่าปัจจุบันเธอเพิ่งเริ่มแตกแบรนด์ภายใต้แบรนด์ Touchable ชื่อแบรนด์ touché ที่จะหันมาเน้นเรื่องการนำวัสดุ upcycling มาใช้ร่วมกับวัสดุท้องถิ่นมากขึ้นและดีไซน์งานคราฟต์เหล่านี้ให้มีความโมเดิร์น ความตั้งใจในการสนับสนุนความยั่งยืนของเธอเริ่มขึ้นตอนช่วงโรคระบาดโควิด-19 ที่ผ่านมา

“ตอนโควิดโรงงานเพื่อนจะเจ๊งก็เลยไปดู ไปดูเสร็จแล้วก็ยังคิดไม่ออกในตอนนั้นเลย แต่เอาเศษไหมพรมมาก่อน พอมาลองทำดูก็สนุกดี ตอนนี้วัสดุพวกนี้กลายเป็น leftover ที่เป็นสีสันของเราในการทำเรื่องความยั่งยืน คำว่า sustainable ในความหมายของเราคือต้องใช้ได้จริงและต้องนำเสนอตัวตนของแบรนด์ได้ด้วย เราไม่ได้รักโลกแบบไปเก็บขยะ ในมุมเรารู้สึกว่าถ้าแค่ย้ายขยะ สุดท้ายทุกคนก็ไม่ได้สัมผัสมัน ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากมัน” จิรพรรณบอกว่าเธออาจจะคิดไม่ถูกก็ได้ แต่ในบทบาทของดีไซเนอร์ หน้าที่ของเธอคือการนำวัสดุที่คนไม่สนใจแล้วกลับมาให้คนสัมผัสได้อีกครั้งในฐานะของตกแต่งบ้านดีไซน์สวย  

“ทั้งหมดนี้เราทำได้เพราะทำด้วยกันกับทีม คือถ้าเราคิดขึ้นมาแล้วช่างทำไม่ได้ มันก็ไม่เกิด ไปคนเดียวไปได้ไว แต่การไปด้วยกันทำให้ไปได้ไกล แล้วก็ไม่มีเคล็ดลับการดีไซน์อะไรเป็นพิเศษ ใช้เทคนิคส่วนตัวล้วนๆ เลย เราทำอะไรไม่เคยซ้ำกัน ลูกน้องตามเราไม่ค่อยทัน เพราะเราไปไวมาก เราก็สนับสนุนและให้โอกาสทีมทุกคนเดินทาง อย่างน้องในทีมเราก็สนับสนุนให้เขาไปฝรั่งเศส อินเดีย เพื่อที่จะให้เขาดูว่าคนอื่นเขาเป็นยังไง ทำยังไง แล้วหันกลับมาย้อนดูตัวเราเองว่าเราพร้อมที่จะออกไปรบกับพวกเขาไหม นี่คือกุศโลบายของเรา”  

Price  
Broad Shades of Luxury 

ภายใต้บริษัท Able Interior Workshop Co.,Ltd. ที่มี 2 แบรนด์คือ Touchable และ touché
นั้นประกอบไปด้วยช่วงราคาที่หลากหลาย แม้จะมีกลุ่มลูกค้าหลักเป็นธุรกิจโรงแรมเหมือนกันแต่ทั้งสองแบรนด์ก็มีคอนเซปต์ดีไซน์และ positioning ของแบรนด์ที่แตกต่างกันเล็กน้อย

positioning ของ Touchable คือเฟอร์นิเจอร์สำหรับใช้สอยทั่วไปที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้ทุกระดับตั้งแต่รีสอร์ตไปจนถึงโรงแรมหรู “ไม่ใช่ว่ารีสอร์ตไม่มีความ luxury นะ คำว่า luxury ไม่ได้แปลว่าต้องเป็นวัสดุจากทอง ทองแดงเสมอไป การใช้วัสดุพื้นถิ่นที่ราคาถูกแล้วนำมาทำให้สวยเนี้ยบก็เป็น luxury ได้ เราซัพพลายให้กับโรงแรม 5 ดาวหลายที่ ทำตามไบเบิลของแบรนด์นั้นๆ”  

ส่วน touché ที่มีคอนเซปต์ดีไซน์มีความเป็นศิลปะมากกว่าและเน้นผสานวัสดุคราฟต์ที่คำนึงถึงความยั่งยืนจะมีของชิ้นเล็กหลายหมวดมากกว่า จึงมีช่วงราคากว้างกว่าและมีหลักการตั้งราคาที่ยืดหยุ่นกว่าตามสไตล์ของงานศิลปะ  

“touché ก็จะเป็นราคาน่ารักที่ยังซื้อได้ เป็นงานอาร์ตแบบที่นำเสนอตัวตนของโรงแรม เราเริ่มต้นที่ราคา 500 บาทถึงล้านหนึ่ง ราคามันน่ารักนะ แปลว่าแบรนด์สามารถแสดงถึงความเป็นแบรนด์เล็กหรือหรูหราก็ได้ แล้วแต่โจทย์ที่เราจะได้รับมาหรือคอนเซปต์ที่เราจะนำเสนอให้ลูกค้าไป”  

แม้จิรพรรณจะเพิ่งแตกแบรนด์ย่อยเป็น touché ได้ไม่นานนักแต่ความจริงแล้วเธอได้ทำ art consultancy หรือให้คำปรึกษาลูกค้าในการออกแบบงานอาร์ตอยู่เบื้องหลังมานานกว่าสิบปีแล้วเช่นกัน เธอบอกว่าหากเป็นสินค้าที่ทำเพราะอยากทำด้วยตัวเองไม่ใช่งานของลูกค้า เธอจะคิดตั้งแต่ต้นว่าจะผลิตยังไงให้ง่ายและอยากขายในราคาเท่าไหร่เพื่อช่วยเพิ่มมูลค่าให้ช่างฝีมือได้ 

“เราสั่งเสื่อปีหนึ่งเป็นพันผืน เพราะว่าเราเอามาทำให้โรงแรม งานอาร์ตและเฟอร์นิเจอร์ก็เกิดจากเสื่อชาวบ้าน แต่เราจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้เขายังไง ก็ต้องเปลี่ยนสี อันนี้คือ taste ละ สิ่งที่เขาทออยู่ทุกวันก็สวยแต่เราอยากมีความหลากหลาย เราก็มาตบกับทีมอีกทีนึงว่าสีควรเป็นประมาณไหน เฟดสีนี้ลงอีกนิด เพิ่มอีกสีนึงนิดหน่อย เราเป็นเหมือนคนคุมเกม อยากให้เห็นปุ๊บแล้ว Touchable”

Promotion & Place
Touchable Sale 

นอกจากเป็นดีไซเนอร์ที่มีรสนิยมแล้ว จิรพรรณยังเป็นนักขายมือฉมังที่มีเทคนิคการขายง่ายๆ คือความใส่ใจทำให้สามารถเข้าถึงลูกค้าที่เป็นโรงแรมห้าดาวชื่อดังระดับโลกทั้งในไทยและต่างประเทศได้ 

“ตัวเราเองก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ลูกค้าเข้าถึงเราได้ เราเป็นคน touchable เหมือนชื่อแบรนด์เลย เข้าถึงได้ เราเป็นมิตร เรา sharing for caring ในเวลาที่เรารู้สึกว่าเราอยากให้ ที่นี่ไม่เคยทำการตลาด แต่คุณมาหาเราแล้วคุณเห็นของจริง คุณเห็นเราและการผลิตทุกอย่างแน่ๆ เห็นผู้หญิงคนนี้นั่งอยู่ตรงนี้แน่ๆ เมื่อไหร่ที่ลูกค้าถาม เราตอบได้ทุกคำถาม แต่เวลาที่คนไม่ได้ถาม เราก็ไม่ได้ตอบและไม่เคยไปข้างนอกเพื่อที่จะไปของานใคร การใส่ใจสำคัญ พอใส่ใจและซื่อสัตย์กับความคิดตัวเองแล้วทุกอย่างก็จะเข้ามา”  

หลักการตลาดง่ายๆ อีกอย่างคือการทำดีไซน์ให้แข็งแรงทำให้ลูกค้าวิ่งเข้าหาแบรนด์เองด้วยดีไซน์ที่โดดเด่น “ถ้าไปออกบูทก็ต้องทำบูทให้สวยเพื่อที่จะเรียกคน เขาเรียกว่าให้ภาพมันเล่าเรื่อง ดูเป็นหลักการที่เรียบง่าย แต่จริงๆ ไม่ง่ายหรอก เกิดมาก็ไม่ง่ายละ” 

นอกจากเจอ Touchable ได้ที่งานแฟร์ต่างๆ ตามโอกาสแล้ว สามารถแวะเข้าไปหาแบรนด์ได้ที่โชว์รูม 2 สาขา ที่กรุงเทพฯ และสาขาใหม่ที่เพิ่งเปิดคือภูเก็ต ซึ่งตั้งใจเจาะกลุ่มลูกค้านักท่องเที่ยวต่างชาติ 

“ตรงนั้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ขึ้นเยอะ คอนโดขึ้นเยอะมากเพื่อที่จะมารองรับการเปลี่ยนแปลง ชาวต่างชาติที่มีตังค์หน่อยก็กำลังย้ายถิ่นฐานมาอยู่บ้านเรา พอมีดีมานด์แปลว่าต้องมีซัพพลายเป็นของคู่กัน อย่างเราขายงานอาร์ตด้วย ขายเฟอร์นิเจอร์ด้วย ก็ค่อนข้างครบ คิดว่ามันน่าจะตอบรับโจทย์ในตลาดตรงนั้นได้ดี”

การแจ้งเกิดจากโคมไฟวีเนียร์ทำให้ได้สะสมคอนเนกชั่นเป็น distributor จากหลายประเทศที่ยุโรป สิงคโปร์ เวียดนาม ฯลฯ โดยประสบความสำเร็จในการส่งออกไปหลายประเทศและยังได้ร่วมออกงานแฟร์ด้านดีไซน์กับงาน Maison&Objet และงานแฟร์ที่มิลานมานับสิบปีแล้ว

จิรพรรณแนะนำว่านักธุรกิจหรือดีไซเนอร์ที่อยากไปออกงานแฟร์ระดับโลกจะต้องมีทั้งดีไซน์และแบรนด์ที่แข็งแรงพ่วงกับศักยภาพในการขาย

“ขายแล้วก็ต้องคำนึงว่ามีบริการหลังการขายไหม ต้องคุยกับลูกค้าเป็น เขาอาจจะบอกว่าเก้าอี้ตัวนี้ฉันชอบนะ แต่อยากจะขอเปลี่ยนดีเทลตรงนี้ได้ไหม มันก็ต้องเกิดการพูดคุย เวลาไปออกงานแฟร์ ส่วนใหญ่เราไม่ค่อยเล่าเรื่องงานโดยตรง เราจะเล่า shortcut ไปเลยว่าที่มาที่ไปของการทำโปรเจกต์นี้ เราได้แรงบันดาลใจมาจากอะไร”  

Preparing 
Great Things Take Time 

องค์ประกอบที่ทำให้จิรพรรณสร้างสรรค์งานดีไซน์ชิ้นเยี่ยมและตั้งธุรกิจได้สำเร็จคือการเตรียมตัว

ทุกอย่างต้องมีการเตรียมการ เตรียมใจ เตรียมกาย เตรียมสมอง มันต้องมีความพร้อม ตรงนี้สำคัญมาก ถ้าไม่มีการเตรียมตัว อยู่ๆ มีความฝันแล้วอยากให้เป็นจริงขึ้นมาเลย มันก็ยาก” 

หากสรุปสิ่งที่เธอได้เรียนรู้มาตลอดระยะเวลากว่า 30 ปีที่ทำงานคือการเรียนรู้เกิดขึ้นทุกขณะก้าวที่เดิน ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิตอยู่กับช่างฝีมือ ลูกค้า การเดินหน้าทำงานและใช้ชีวิตในแต่ละวัน ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการเรียนรู้

“จริงๆ ถ้าอยากประสบความสำเร็จแบบเราก็ต้องไม่เหนื่อยที่จะเรียน เราชอบประโยค ‘งานหนักไม่เคยฆ่าใคร’ เพราะเราเป็นคนทำงานหนัก แต่ก็ต้องสนุกกับมันนะ ไม่ใช่ทำงานหนักแล้วเอาแต่เครียด  

“ไม่ว่าจะเครียดหรือสนุก เดี๋ยวมันก็ผ่านไป เวียนเป็นวงกลม ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งสอนเราเสมอว่า วงกลมชีวิตคนเราจะมี 2 วง มันจะหมุนซ้อนกันไปเรื่อยๆ บางจุดที่เรารู้สึกดาวน์ พอเจอเรื่องที่ทำให้ดาวน์ลงอีกซ้อนกัน มันก็จะแย่ลงดำดิ่งเลย แต่มันจะอยู่กับเราไม่นาน แล้วมันก็จะหมุนออกไป พอจุดที่เราแข็งแรง มันก็จะมีช่วงที่ดีแบบพุ่งปรี๊ดเลย แต่มันก็จะอยู่กับเราไม่นานอีก ก็ต้องทำใจให้เป็น

“อย่าดีใจเกินไปเวลาสำเร็จ และอย่าทุกข์ใจเกินไปเวลาที่เราแย่ หลักการมีอยู่แค่นี้ และทำให้เราเดินทางมาได้จนถึงวันนี้ เราไม่เคยหยุดพัฒนาตัวเองและนี่คือสิ่งที่ทุกคนต้องมี”


ข้อมูลติดต่อ
Facebook :
Touchable Bangkok 
Instagram : @touchablebkk

ทำไม เทย์เลอร์ สวิฟต์ จึงถูกยกย่องเป็นบุคคลแห่งปี 2023 และอัจฉริยะด้านการทำเพลงและแบรนดิ้ง

25 ตุลาคม 2019 เทย์เลอร์ สวิฟต์ โพสต์ภาพนี้บนทวิตเตอร์ของเธอ

(Source : twitter)

พร้อมเขียนแคปชั่นประกอบว่า

ฉันเคยพูดในบทสัมภาษณ์เมื่อ 13 ปีก่อนว่า ‘ฉันแค่หวังว่าอัลบั้มที่ 2 ของฉันจะไปได้ดีพอๆ กับอัลบั้มแรก และวันหนึ่งฉันจะได้เป็นเฮดไลเนอร์ (ของคอนเสิร์ต) และเป็นเด็กคนเดิมกับตอนที่ฉันเริ่มเส้นทางศิลปิน’ เลื่อนผ่านโพสต์ของพวกคุณทำให้ฉันสัมผัสได้ถึงทุกๆ ความรู้สึก และฉันอยากขอบคุณ เพราะพวกคุณ (แฟนเพลง) จึงมีอัลบั้มที่ 2 3 4 5 6 7 พวกคุณทำให้ฉันได้เป็นเฮดไลเนอร์เพราะพวกคุณอยากเห็นฉันเล่นดนตรี และแรงสนับสนุนจากพวกคุณตลอดหลายปีที่ผ่านมาช่วยให้ฉันยังยึดมั่นกับเด็กคนเดิมคนนั้น คนที่ฉันเป็นตอนฉันเริ่มเส้นทางศิลปิน

เทย์เลอร์โพสต์ภาพอีกภาพเทียบกัน มันคือภาพมุมสูงจาก Reputation Stadium Tour ทัวร์คอนเสิร์ตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเธอครั้งหนึ่ง มีข้อมูลระบุว่าทัวร์นี้มีจำนวนผู้เข้าร่วมเกือบ 3 ล้านคน และตลอด 53 รอบการแสดงทำรายได้ถึง 345.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ดูเป็นสถิติที่ล้มได้ยากใช่เล่น แต่ขึ้นชื่อว่าเทย์เลอร์ สวิฟต์ นักร้อง นักแต่งเพลง ศิลปิน และเราขอมอบตำแหน่งนักธุรกิจ / นักการตลาดที่ชาญฉลาด เล่นเกมเก่งที่สุดในอุตสาหกรรมดนตรีโลกได้แบบไม่เขินอาย เธอเกิดมาเพื่อทุบสถิติเหล่านั้น

ไม่เชื่อก็ลองดูภาพนี้ประกอบ

The Eras Tour ทัวร์คอนเสิร์ตล่าสุดของเทย์เลอร์ไม่เพียงแต่ทุบสถิติด้านคนดูและรายได้ (จากจำนวนคนดูที่เข้าร่วมประมาณ 72,000 ต่อรอบ คาดการณ์ว่าหลังจากจบทัวร์จะมีคนดูราว 10 ล้านคนที่ได้เข้าร่วมทัวร์นี้ มากกว่านั้น เธอจะทำรายได้จากทัวร์นี้ได้กว่า 4.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ!) ส่งผลให้เธอกลายเป็นมหาเศรษฐีติดอันดับโลก จัดอันดับโดยนิตยสาร Forbes โดยมีมูลค่าทรัพย์สินรวมถึง 1.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ 

ล่าสุด นิตยสาร TIME ก็เพิ่งยกตำแหน่งให้เธอเป็น Person of The Year ของปี 2023 ด้วย

ความสำเร็จนี้ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย (และก็ไม่ได้ดังจากการโดนศิลปินชายคนหนึ่งแย่งไมค์เธอในงานประกาศรางวัลด้วย) เทย์เลอร์ทำได้ยังไง เราในฐานะสวิฟตี้ที่ตามเทย์เลอร์มาตั้งแต่ยุค Love Story ขอวิเคราะห์ให้ฟัง

“You say ‘What a Mind’ This happens all the time.”
– Sweet Nothing

ศิลปินแบบใด ทัวร์คอนเสิร์ตได้ทีละ 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ลำพังตัวเลขขนาดนี้ ร้อยทั้งร้อยเห็นก็ต้องบอกว่าทำธุรกิจหลายอย่างแน่ๆ แต่เทย์เลอร์ไม่ขายเครื่องสำอาง ไม่ออกน้ำหอมใหม่ ไม่ออกใดๆ ที่ศิลปินดังแล้วมักจะทำกัน

เธอแค่ซื่อตรงกับสิ่งที่เธอรักและทำมาตลอด นั่นคือดนตรี

เส้นทางการเป็นศิลปินของเทย์เลอร์เริ่มต้นตั้งแต่ตอนเธออายุ 16 ปี เธอเดบิวต์อัลบั้มแรกในฐานะนักร้องแนวคันทรีย์ที่น่าจับตามองที่สุดคนหนึ่ง  ด้วยภาพลักษณ์ของสาวผิวขาวผมบลอนด์ผู้มีความสามารถในการร้องและแต่งเพลงรัก มีเพลงฮิตอย่าง Teardrops On My Guitar และ Our Song ที่ถลาขึ้นชาร์ตอยู่บ้าง

แต่จุดที่ดังเป็นพลุแตกจริงๆ ต้องยกให้ Fearless อัลบั้มที่ 2 ที่บรรจุเพลงดังอย่าง You Belong With Me และ Love Story หลังจากนั้นชื่อเสียงของเทย์เลอร์ก็ไต่ระดับขึ้นเรื่อยๆ จนดังสุดขีดตอนปล่อย 1989 อัลบั้มที่เธอสลัดภาพศิลปินคันทรีมาเป็นสาวป๊อปเต็มตัว ซึ่งคนฟังหลายคนยกให้เป็น pop bible แห่งยุคสมัย

ไม่ว่าเทย์เลอร์จะทำเพลงแนวไหน สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์เสมอคือเนื้อเพลงที่จับใจคนฟังได้ง่ายดาย น่าแปลกที่แม้ว่าเพลงส่วนใหญ่มักเล่าเรื่องราวจากประสบการณ์และจินตนาการของเธอแต่คนฟังรู้สึกเชื่อมโยงได้ ถึงจะเป็นเรื่องรักๆ เลิกๆ แต่นั่นแหละคือประเด็น 

เพราะเธอรู้ว่าหลายคนเคยมีประสบการณ์คล้ายกัน จึงนำความรู้สึกเหล่านี้มาเล่าได้อย่างสละสลวยผ่านเนื้อเพลงและเมโลดี้ จนบางครั้งการฟังเพลงเทย์เลอร์ไม่ต่างจากการได้ฟังเรื่องเล่าดีๆ สักเรื่อง

มุมมองความสัมพันธ์และชีวิตของเทย์เลอร์ยังโตตามวัย ทำให้แฟนๆ ที่ติดตามรู้สึกว่าได้เติบโตไปพร้อมกัน นอกจากเรื่องรักและการเลิกรา เทย์เลอร์ยังเล่าประเด็นอื่นๆ ที่คนทั่วไปอินได้ไม่ยาก เช่นภาวะตั้งคำถามถึงคุณค่าในตัวเองในเพลง Anti-Hero การให้กำลังใจคนใกล้ตัวที่กำลังป่วยอยู่ใน Soon You’ll Get Better (ขณะที่แต่ง แม่ของเทย์เลอร์กำลังต่อสู้กับโรคมะเร็ง) ไปจนถึงวิพากษ์ระบอบชายเป็นใหญ่ใน The Man 

สมาชิก Reddit คนหนึ่งรวบรวมคำบอกรักในเพลงของเทย์เลอร์ แสดงให้เห็นว่าเธอเก่งกาจเรื่องการใช้ภาษาแค่ไหน

ภาพ : Reddit

หากมองในมุมธุรกิจ เทย์เลอร์ถือว่าสร้างแบรนดิ้งได้แข็งแรง ส่งมอบสิ่งที่เธออยากทำและตอบความต้องการของลูกค้าไปพร้อมๆ กัน นั่นอาจเป็นคำตอบว่าทำไมเธอปล่อยเพลงไหนออกมาก็มีคนฟังมหาศาล

“I’d be a fearless leader. I’d be an alpha type.”
– The Man

เทย์เลอร์คือตัวแม่ ตัวมัม ตัวมารดาแห่งอุตสาหกรรมเพลงตะวันตก 

หลายครั้ง เธอพิสูจน์ตัวเองว่าไม่ใช่หมากในเกมของใคร แต่เป็นผู้คุมเกมที่ล้มแล้วลุกได้ ฆ่าไม่ตายเว่อร์ๆ

ตัวอย่างหนึ่งคือเหตุการณ์ที่ Kanye West กับ Kim Kardashian ปล่อยคลิปเสียงเทย์เลอร์ที่บอกว่าเธอโอเคกับเนื้อเพลง Famous ของคานเย (ซึ่งมีเนื้อเพลงจาบจ้วงเทย์เลอร์สุดๆ) จนแฮชแท็ก #TaylorSwiftIsOverParty ติดเทรนด์โลกในทวิตเตอร์ หลายคนคิดว่าคราวนี้เทย์เลอร์ล้มแรงเกิน น่าจะหายไปจากวงการแน่ๆ แต่ในปี 2017 เธอก็กลับมาพร้อม Reputation อัลบั้มแนวอิเล็กโทรป๊อปที่เล่าเรื่องราวฉาวโฉ่ในชีวิต มีซิงเกิลคัมแบ็กอย่าง Look What You Made Me Do ที่เป็นกระแสในโลกอินเทอร์เน็ตอยู่ช่วงใหญ่ และทำให้เทย์เลอร์ดังกว่าเดิม 

ตัวอย่างสองคือ Taylor’s Version 6 อัลบั้มแรกที่เทย์เลอร์นำมาอัดใหม่ เรื่องมีอยู่ว่า เทย์เลอร์ลาออกจาก Big Machine Records ค่ายเก่าที่ทำเพลงกันมาตั้งแต่อัลบั้มแรก และพยายามจะซื้อลิขสิทธิ์เพลงทั้งหมดมาเป็นของตัวเอง แต่ Scooter Braun เจ้าของค่ายก็เสนอข้อสัญญาที่เทย์เลอร์ไม่โอเค เธอจึงอัดเพลงทั้ง 6 อัลบั้มใหม่ โดยเปลี่ยนรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ไม่ให้เหมือนต้นฉบับ และทยอยปล่อยออกมาทีละอัลบั้ม แถมมีแทร็กพิเศษเพิ่มเข้ามาด้วย ทั้งหมดเพื่อกระตุ้นให้คนฟังเพลงของเธอหันมาฟัง Taylor’s Version และทำให้เธอรับรายได้จากเพลงของเธอแบบเต็มๆ ไม่นับความจริงที่ว่า เทย์เลอร์เคยไฝว้กับแพลตฟอร์มสตรีมมิงหลายเจ้าเรื่องส่วนแบ่งรายได้ให้ศิลปินได้รับรายได้ที่เป็นธรรมอีก

ถ้าเปรียบกับธุรกิจ มันคือการจัดการวิกฤตและการหาโอกาสทางธุรกิจ เทย์เลอร์รู้จุดแข็งของตัวเอง ตระหนักถึงชื่อเสียงและอิทธิพลที่มีเป็นอย่างดี เธอไม่ยอมอยู่เฉยๆ เมื่อถูกรังแกแต่ทำให้เห็นเป็นตัวอย่างว่าใครกันแน่คือคนที่ถือไพ่เหนือกว่า

“‘Cause I’m a mastermind.”
– Mastermind

ไม่เกินจริงที่เธอนิยามตัวเองไว้ในเพลงหนึ่งว่าเจ้าความคิด

ก่อนจะปล่อยงานออกมาสักชิ้น ก่อนจะอัพรูปบนโซเชียลมีเดียสักรูป ก่อนจะพูดสปีชสักบท เธอคิดอย่างรอบคอบ วางแผนอย่างรัดกุม และหยอด easter egg เล็กๆ น้อยๆ ให้แฟนๆ เดาถึงผลงานในอนาคต

ก่อนปล่อยอัลบั้ม Reputation เทย์เลอร์ลบโพสต์บนไอจีทั้งหมดของตัวเองทิ้ง แล้วโพสต์คลิปงู CGI เพื่อประกาศว่ายุคใหม่ของเธอกำลังจะเริ่มต้น (ทำไมต้องเป็นงู เพราะคิม คาร์ดาเชียนเคยทวิตแซะเธอด้วยอิโมติคอนงูน่ะสิ)

ก่อนปล่อยอัลบั้ม Midnights เธอประกาศในเวที MTV Video Music Award ขณะรับรางวัลว่าจะออกอัลบั้มใหม่ ไม่บอกว่าชื่ออัลบั้มอะไร แต่เจอกันได้ตอน ‘เที่ยงคืน’ ของวันที่ 21 ตุลาคม 

ก่อนจะปล่อย 1989 (Taylor’s Version) เธอเปลี่ยนสีชุดแสดงโชว์ใน The Eras Tour ทั้งหมดเป็นสีฟ้า (สีประจำอัลบั้ม 1989) เพื่อต้อนรับ era ใหม่

พูดถึง The Eras Tour นี่ก็เป็นตัวอย่างของการคิดโชว์ที่ชาญฉลาดสุดๆ เช่นกัน ทุกครั้งที่เทย์เลอร์ปล่อยอัลบั้มใหม่ เธอจะทัวร์คอนเสิร์ตต่อตลอด แต่ในยุคโรคระบาดที่ปล่อยมาหลายอัลบั้ม เทย์เลอร์ไม่ได้ทัวร์ที่ไหนเลย เมื่อโควิดซาจึงกลับมาพร้อมกับทัวร์ยิ่งใหญ่ที่นอกจากจะรวมเพลงจากทุกๆ อัลบั้มที่ไม่เคยออกทัวร์ เธอยังแสดงเพลงจากอัลบั้มก่อนหน้าในทัวร์ด้วยกลายเป็นทัวร์ความยาวราวๆ 3 ชั่วโมงที่แฟนคลับจะได้ฟังเพลงจากทุกยุคอย่างเต็มอิ่ม

The Eras Tour ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของวงการเพลงอเมริกัน เพราะถึงตอนนี้ที่แม้ทัวร์ไม่จบ มันก็เป็นทัวร์ที่ทำรายได้สูงที่สุดในโลกไปแล้ว (ราว 1 พันล้านบาท) ทัวร์ของนางยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในเมืองต่างๆ ที่ไปเยือน ทั้งโรงแรม ร้านอาหาร และร้านค้า จนอาจกระตุ้นเศรษฐกิจในอเมริกาได้กว่า 4.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ไม่แปลกเท่าไหร่ที่ตอนประกาศทัวร์เอเชียว่าจะเล่นแค่ 2 ประเทศคือสิงคโปร์กับญี่ปุ่น พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ทวิตชวนเธอมาเปิดคอนเสิร์ตที่ไทยบ้าง

พ้นไปจากนั้น เทย์เลอร์ยังดันเพดานด้วยการทำหนังคอนเสิร์ต Taylor Swift: The Eras Tour ออกฉายทั่วโลก ให้แฟนๆ ที่ทั้งเคยไปและไม่เคยไปคอนเสิร์ตได้มาเอนจอยร่วมกันในโรงหนัง และก็อย่างที่หลายคนเดาได้–มันกลายเป็นหนังคอนเสิร์ตที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลไปแล้ว

I’ve heard every album, listened to the radio.
Waited for something to come along.
That was as good as our song.”
– Our Song

ถ้าเปรียบสวิฟตี้เป็นลูกค้าและเทย์เลอร์เป็นผู้ประกอบการ เธอก็เป็นผู้ประกอบการที่ใส่ใจฟังเสียงลูกค้ามาก

ทุกงานประกาศรางวัล เทย์เลอร์จะขอบคุณแฟนเพลงเสมอ ไม่นับคำสดุดีอีกร้อยพันที่เธอพูดบนเวทีคอนเสิร์ต เธอทำให้แฟนคลับรู้สึกว่าเสียงของพวกเขามีคุณค่า และมีผลต่อการทำงาน และชีวิตของเธอมากมาย

เช่นว่า หลายปีก่อนตอนที่อัลบั้ม Red ถูกปล่อยออกมา เธอเคยหลุดให้สัมภาษณ์ในรายการหนึ่งเกี่ยวกับ All Too Well แทร็กที่ 5 ประจำอัลบั้มว่าจริงๆ เพลงนี้มีความยาวกว่า 10 นาทีตอนเธอทำดราฟต์แรก หลายต่อหลายปีหลังจากนั้น สวิฟตี้เรียกร้องให้เธอปล่อยเวอร์ชั่นเต็มออกมาตลอด แล้วเธอก็ทำจริงๆ ในตอนปล่อยอัลบั้ม Red (Taylor’s Version) แถมยังทำหนังสั้นจากเวอร์ชั่นนี้อีกต่างหาก

หรืออย่าง Cruel Summer ซิงเกิลฮิตที่เราเห็นว่าติดชาร์ตบิลบอร์ดในครึ่งปีหลังนี้ ตอนปล่อยออกมาครั้งแรกพร้อมอัลบั้ม Lover แทร็กนี้เป็นแทร็กที่เทย์เลอร์กับทีมมองข้าม แต่ด้วยกระแสของ The Eras Tour และยอดการสตรีมของแฟนๆ ในช่วงนี้ เทย์เลอร์ตัดสินใจตัดเพลงนี้เป็นซิงเกิล และดันให้ขึ้นอันดับ 1 บิลบอร์ดได้สำเร็จ ในเวลา 4 ปีหลังจากปล่อยครั้งแรก

วันดีคืนดีเช่นวันคริสต์มาส เธอยังทำโปรเจกต์ Swiftmas ที่เลือกของขวัญพิเศษส่งไปให้แฟนๆ เป็นรายคน โดยพิจารณาจากรีแอ็กชั่นของพวกเขาบนออนไลน์ และบางครั้ง ก่อนจะปล่อยอัลบั้ม เทย์เลอร์ก็แอบจัดเซสชั่นลับๆ ที่ชวนแฟนคลับตัวยงมาฟังอัลบั้มใหม่ก่อนเขาก่อนใคร ทำถึงขนาดนี้จะไม่ให้สวิฟตี้หลงได้ยังไงกันล่ะใช่ไหม

อย่างที่นิตยสาร TIME บอกไว้ ปี 2023 คือปีทองของเทย์เลอร์ สวิฟต์ จริงๆ และในฐานะแฟนคลับที่ติดตามมานาน เราก็หวังว่าเธอจะเป็นศิลปินที่รักการทำดนตรี ตัวมารดาแห่งวงการ เจ้าความคิดที่เชี่ยวชาญด้านการตลาด และผู้ประกอบการที่แคร์เสียงแฟนๆ แบบนี้ตลอดไป

อ้างอิง

‘บุดด้าอ้วน’, ‘ยุงอดิดาส’, ‘ปลานินจา’สำรวจปรากฏการณ์ด้อมใจฟู ของคัลแลน-พี่จอง

ถ้าตอนนี้คุณรู้จักคำว่า ‘บุดด้าอ้วน’, ‘ยุงอดิดาส’ หรือ ‘ปลานินจา’ บอกเลยว่าคุณโดนยูทูบเบอร์ชาวเกาหลีที่ชื่อคัลแลน และพี่จองตกเข้าด้อมใจฟูเรียบร้อยแล้ว

สำหรับใครที่ยังไม่เคยดูคลิปในช่อง Cullen HateBerry เราขอแนะนำสั้นๆ ว่าเป็นยูทูบเบอร์สายท่องเที่ยว ที่เน้นเที่ยวในจังหวัดต่างๆ ของประเทศไทย โดยมี host หลัก 2 คนคือ คัลแลน (พัค กีดึก) และพี่จอง และบางอีพีก็มีเพื่อนๆ น้องๆ มาร่วมแจมด้วย ปัจจุบันช่อง Cullen Hateberry มีผู้ติดตามกว่า 1.5 ล้านคน ในแต่ละคลิปมียอดวิวทะลุ 1 ล้านวิวในเวลาอันรวดเร็ว และมีเอนเกจเมนต์กว่า 20 ล้านครั้ง

จากปรากฏการณ์ดังกล่าว ทำให้พวกเขาถูกทาบทามจากกรมอุทยานแห่งชาติฯ ให้เป็นพรีเซนเตอร์การท่องเที่ยว ซึ่งทั้งสองคนก็ยินดีและไม่คิดค่าตัวใดๆ และยังได้ร่วมงานกับ Samsung ในแคมเปญล่าสุด

หากใครที่ติดตามคลิปแรกๆ จะเห็นว่าคัลแลนไม่ได้เริ่มต้นจากคลิปท่องเที่ยว แต่จะเน้นคลิปที่พูดถึงการใช้ชีวิตในเมืองไทยมากกว่า และพูดภาษาเกาหลีเป็นหลัก นั่นหมายความว่ากลุ่มเป้าหมายของช่องคือ คนเกาหลี

‘นำเสนอมุมมองใหม่ๆ ในการท่องเที่ยว’

เมื่อเวลาผ่านไปหนุ่มเกาหลีรายนี้ก็เริ่มแกร่งกล้ากับการใช้ภาษาไทยมากขึ้น จนทำให้เขาตัดสินใจทำคลิปโดยใช้ภาษาไทยเป็นหลัก ซึ่งการเดินทางในแต่ละทริปก็น่าสนใจอย่างมาก เพราะคัลแลนมักไปตามลำพัง เช่ารถมอเตอร์ไซค์ เน้นเที่ยวเมืองรอง ซึ่งบ่อยครั้งก็เป็นการเดินทางที่ไม่มีการวางแผน จองโรงแรมหน้างาน ทำให้คนดูอย่างเราได้สัมผัสถึงประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ไม่เคยทำมาก่อน

ในส่วนของการเลือกสถานที่ สำหรับคนไทยถ้าอยากเที่ยวในประเทศก็คงหนีไม่พ้นเมืองใหญ่อย่างเชียงใหม่ กระบี่ หรือภูเก็ต แต่คัลแลนก็จะเลือกจังหวัดที่คนไม่ค่อยนึกถึง เช่น บึงกาฬ สุรินทร์ บุรีรัมย์ หรืออุบลราชธานี เป็นต้น บางจังหวัดก็เป็นเมืองรองที่คนส่วนใหญ่อาจไม่เคยไปหรือไม่คิดจะไป การที่ทั้ง 2 หนุ่มไปเที่ยว และถ่ายทอดประสบการณ์ต่างๆ ทำให้หลายคนเกิดคำถามว่านี่เป็นซอฟต์พาวเวอร์หรือไม่ เพราะเราดูแล้วก็อยากไปเที่ยวตาม ซึ่งไม่ใช่แค่คนไทย แต่คนเกาหลีเองก็ตามรอยพวกเขา

‘คอนเทนต์ที่สะท้อนมุมมองต่อชาวต่างชาติที่เปลี่ยนไป’

มีหลายสำนักวิเคราะห์ว่าเป็นเพราะหน้าตาที่ดูดี คอนเทนต์สนุกดูได้ทุกเพศทุกวัย แต่ถ้ามองให้ลึกไปกว่านั้น ปรากฏการณ์คัลแลนและพี่จอง เป็นปรากฏการณ์ที่สะท้อนถึงมุมมองที่เปลี่ยนไปของสังคมไทยหลายประเด็น

อาทิ ประเด็นเรื่องความเปิดกว้างของสังคมไทยที่มีต่อชาวต่างชาติ ในอดีตชาวต่างชาติมักถูกมองว่าเป็นคนแปลกหน้า แต่ในปัจจุบันชาวต่างชาติได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย เห็นได้จากชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงาน ศึกษา หรือท่องเที่ยวในไทยเป็นจำนวนมาก ทำให้คนไทยเริ่มคุ้นชินกับชาวต่างชาติ นอกจากนี้ยังมีกระแสความนิยมทางวัฒนธรรม เช่น วัฒนธรรมเกาหลี ที่ส่งผลต่อการทานอาหาร ภาษา และการแต่งกายของคนไทย ยิ่งทำให้คนไทยเปิดรับวัฒนธรรมต่างชาติได้มากขึ้น

ต่อมาเป็นประเด็นความสนใจในเรื่องการท่องเที่ยว เนื่องจากตอนนี้ผู้คนเริ่มมองหามุมมองการท่องเที่ยวแบบใหม่ๆ ซึ่งคอนเทนต์ของคัลแลนและพี่จองก็เป็นตัวอย่างที่ดีในการนำเสนอมุมมองที่ต่างไป ส่วนหนึ่งเพราะคัลแลนนำเสนอในมุมมองของคนเกาหลีที่อาศัยอยู่ในไทยเป็นเวลานาน จึงมีความเข้าใจในวัฒนธรรมไทยเป็นอย่างดี เช่น การไปในสถานที่ที่นักท่องเที่ยวสวนใหญ่ไม่ไป อย่างถ้ำนาคา ที่บึงกาฬ ซึ่งเป็นที่ที่ได้รับความนิยมในหมู่คนไทย แต่สำหรับคนต่างชาติ ต่างศาสนา ต่างความเชื่อ จะไม่ค่อยมีคลิปในสถานที่แห่งนี้มากนัก การทำคลิปของคัลแลนและพี่จองจึงช่วยให้ผู้ชมต่างชาติเห็นประเทศไทยในมุมมองที่แตกต่างออกไปจากไกด์บุ๊ก

‘พูดไทยไม่เก่ง แค่สื่อสารได้ก็พอ’

ในส่วนของภาษาที่พูดผิดๆ ถูกๆ ถือเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ทำให้คอนเทนต์แตกต่างจนกลายเป็นสิ่งที่หลายคนสนใจ โดยเฉพาะการเรียงรูปประโยค และคำศัพท์ใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจ เช่น “จริงๆ อร่อย” หรือ “บุดด้าอ้วน” ที่หมายถึง พระมหากัจจายนะ เป็นต้น ซึ่งแม้จะผิดรูปประโยคหรือเรียงคำไม่ถูกตามหลักไวยากรณ์ แต่ในมุมของคนฟังก็เข้าใจสิ่งที่พวกเขาต้องการสื่อสาร

อีกส่วนสำคัญที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ คลิปของคัลแลนและพี่จองไม่ใช้คำหยาบ จึงทำให้คลิปเข้าถึงง่าย และตอบโจทย์คนทุกเพศทุกวัย

‘เรื่องปกติของคนไทย กลายเป็นเรื่องแปลกใหม่ของต่างชาติ’

สำหรับคนไทย การเห็นช้างเดินอยู่ตามถนนอาจเป็นเรื่องปกติ แต่ในมุมของต่างชาติแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องปกติ ซึ่งรีแอ็กของคัลแลนและพี่จองเปรียบได้กับตัวแทนของนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่เห็นสิ่งแปลกใหม่และน่าสนใจเหล่านี้ คลิปท่องเที่ยวของคัลแลนและพี่จองจึงเปรียบเหมือนเป็นตัวแทนประสบการณ์ของคนที่อยากเที่ยว แต่ยังไม่ได้เที่ยว

นอกจากนี้ยังมีการนำเสนอมุมมองใหม่ๆ ในการเที่ยวชมสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย ทำให้ผู้คนได้เห็นความสวยงามและเสน่ห์ของสถานที่ท่องเที่ยวเหล่านั้นในมุมมองที่แตกต่างไปจากเดิม ส่งผลให้ผู้คนเกิดความสนใจและอยากที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น

‘ปลุกกระแสการท่องเที่ยว’

ด้วยบุคลิกที่สดใสและร่าเริงของทั้ง 2 คน ยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศไทย ซึ่งก็สะท้อนให้เห็นถึงอัธยาศัยไมตรีและความเป็นมิตรของคนไทย ทำให้นักท่องเที่ยวมีมุมมองที่ดีต่อประเทศไทยมากขึ้น เห็นได้จากยูทูบเบอร์เกาหลีที่มาเที่ยวภูกระดึงตามรอย หรือการซื้อพาสปอร์ตท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติหมด 90,000 เล่มอย่างรวดเร็ว

สำหรับภาพรวมการท่องเที่ยวในไทยนับตั้งแต่โควิดซาลง หลายภาคส่วนต่างคาดหวังให้ธุรกิจท่องเที่ยวของไทยกลับมาคึกคักอีกครั้ง แต่ในความจริงแล้วเวลานี้ภาคการท่องเที่ยวในไทยยังไม่ฟื้นตัว และเรายังต้องพึ่งพาเม็ดเงินจากการท่องเที่ยวจำนวนมาก ต่างจากเกาหลีที่ตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมายังคงส่งออกวัฒนธรรม และคอนเทนต์ต่างๆ เราเสพสิ่งเหล่านี้ผ่านสื่อต่างๆ โดยไม่ต้องมีประสบการณ์จริง เมื่อเทียบกับบ้านเราการนำเสนอด้วยประสบการณ์จริงและภาพจริงยังมีผลอยู่

ซึ่งปรากฏการณ์คัลแลนและพี่จองมีส่วนสำคัญในการส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศไทย โดยช่วยสร้างการรับรู้และความสนใจต่อการท่องเที่ยวไทยในวงกว้าง สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้ประเทศ

จากปรากฏการณ์ดังกล่าว ต้องยอมรับว่าเวลานี้การเสพคอนเทนต์ท่องเที่ยวของคนไทยไม่ได้มองแค่ว่าผู้ดำเนินรายการต้องมีข้อมูลครบ รอบรู้ประวัติศาสตร์ หรือแน่นๆ อีกต่อไป การที่คัลแลนและเพื่อนๆ ได้รับความนิยมขนาดนี้ก็การันตีได้ชัดว่า ผู้ชมต้องการเนื้อหาที่จริงใจ นำเสนอด้วยมุมมองใหม่ เน้นความเรียล ความธรรมชาติที่ดูแล้วใจฟู แม้จะพูดผิด อธิบายผิดบ้างก็ไม่เป็นไร เพราะในมุมของการตลาด ความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ทำให้คอนเทนต์ไม่น่าเบื่อ และอยากติดตามอีพีต่อไป

ข้อมูลจาก