Aging Population, Rising Youth Unemployment, and Global Talent Mobility คือสังคมผู้สูงอายุ คนทำงานจะอายุมากขึ้น ในขณะที่คนรุ่นใหม่ว่างงานเยอะขึ้น หรือเมื่อหากต้องการทำงาน จะมองหาการย้ายประเทศ
Advanced technology and Generative Al คือคนทำงานต้องมีทักษะด้านเทคโนโลยี และ AI
Talent and Skill Shortage คือความสามารถและทักษะที่แรงงานขาดแคลน
Dynamic of People and Work Relationship คือ ความสัมพันธ์ระหว่างคนและองค์กร ในสมัยก่อนคนมักมองว่าจะนำชีวิตตัวเองไปฝากไว้กับองค์กร ต้องการเกษียณการทำงานที่นี่ แต่ตอนนี้คนรุ่นใหม่มองว่าต้องการทำงานเพื่อให้ได้เงิน และไม่ได้มองภาพการทำงานว่าต้องทำงานแบบครอบครัว หรือมีความผูกพันใดๆ เป็นความสัมพันธ์แบบวิน-วิน คือองค์กรได้งาน และพนักงานได้เงิน เมื่อองค์กรบอกว่าตัวเองทำงานแบบครอบครัว คนรุ่นใหม่ก็จะถามต่อว่า ครอบครัวแบบไหน?
Perfumes mentioned: 1. Zara – applejuice $12.90 2. Zara – orchid $20.90 3. Le Monde Gourmand – Fleur de Blonde $25 4. Le Monde Gourmand – Sel Ocean $26
We asked the woo office how they’re loud budgeting in 2024 🎤 ‘Loud Budgeting’ is a term brought to fame by creator @Lukas Battle when he declared that ‘Quiet Luxury’ is out for the new year. It’s intentional spending. It’s regaining financial agency. It’s definitely not about being frugal at the cost of feeling content, it’s more about making a conscious financial choice that’s wholly yours. As Battle says in the video, “It’s more chic, more stylish and more of a flex than spending money.” #loudbudgeting
หนังสือ Rental person who does nothing: a memoir, Shoji Morimoto – เขาปฏิเสธว่าการเขียนหนังสือไม่นับว่าเป็นการทำอะไร เพราะจริงๆ แล้วเขาไม่ได้เขียน แต่มีคนอื่นเขียนให้ เขาเพียงแค่ตอบคำถามไปอย่างง่ายๆ เท่านั้น
able แปลว่า be able to do something และความสำเร็จของแบรนด์ Touchable ก็มาจากมายด์เซตที่เชื่อว่าสามารถทำได้ทุกสิ่งและอยากสร้างสรรค์ผลงานดีไซน์ชิ้นสวยที่ใช้งานได้จริง
จิรพรรณ โตคีรี Designer Director & Founderของบริษัท Able Interior Workshop Co.,Ltd. หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อแบรนด์ Touchable เรียนจบสายอาร์ตมาแล้วเริ่มจากการลองผิดลองถูกในการดีไซน์เฟอร์นิเจอร์ด้วยตัวเอง ก่อตั้งโรงงานและสร้างบริษัทเองจากศูนย์ตั้งแต่อายุราว 24-25 โดยเริ่มจากมีพนักงานแค่ 1 คน จนวันนี้จิรพรรณในวัย 55 ปีกลายเป็นแม่ทัพหัวเรือใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังผลงานการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ให้กับโรงแรมดังทั้งในไทยและต่างประเทศมากมายอย่าง Mandarin Oriental, Siam Kimpinski Hotel Bangkok, The Okura Prestige Bangkok, JW Marriott Phuket, Sri Panwa Phuket, Avani+ Luang Prabang, THE WAY Dhaka, Nagini Bar at Three Nagas ฯลฯ
The Eras Tour ทัวร์คอนเสิร์ตล่าสุดของเทย์เลอร์ไม่เพียงแต่ทุบสถิติด้านคนดูและรายได้ (จากจำนวนคนดูที่เข้าร่วมประมาณ 72,000 ต่อรอบ คาดการณ์ว่าหลังจากจบทัวร์จะมีคนดูราว 10 ล้านคนที่ได้เข้าร่วมทัวร์นี้ มากกว่านั้น เธอจะทำรายได้จากทัวร์นี้ได้กว่า 4.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ!) ส่งผลให้เธอกลายเป็นมหาเศรษฐีติดอันดับโลก จัดอันดับโดยนิตยสาร Forbes โดยมีมูลค่าทรัพย์สินรวมถึง 1.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ล่าสุด นิตยสาร TIME ก็เพิ่งยกตำแหน่งให้เธอเป็น Person of The Year ของปี 2023 ด้วย
ความสำเร็จนี้ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย (และก็ไม่ได้ดังจากการโดนศิลปินชายคนหนึ่งแย่งไมค์เธอในงานประกาศรางวัลด้วย) เทย์เลอร์ทำได้ยังไง เราในฐานะสวิฟตี้ที่ตามเทย์เลอร์มาตั้งแต่ยุค Love Story ขอวิเคราะห์ให้ฟัง
“You say ‘What a Mind’ This happens all the time.” – Sweet Nothing
เส้นทางการเป็นศิลปินของเทย์เลอร์เริ่มต้นตั้งแต่ตอนเธออายุ 16 ปี เธอเดบิวต์อัลบั้มแรกในฐานะนักร้องแนวคันทรีย์ที่น่าจับตามองที่สุดคนหนึ่ง ด้วยภาพลักษณ์ของสาวผิวขาวผมบลอนด์ผู้มีความสามารถในการร้องและแต่งเพลงรัก มีเพลงฮิตอย่าง Teardrops On My Guitar และ Our Song ที่ถลาขึ้นชาร์ตอยู่บ้าง
แต่จุดที่ดังเป็นพลุแตกจริงๆ ต้องยกให้ Fearless อัลบั้มที่ 2 ที่บรรจุเพลงดังอย่าง You Belong With Me และ Love Story หลังจากนั้นชื่อเสียงของเทย์เลอร์ก็ไต่ระดับขึ้นเรื่อยๆ จนดังสุดขีดตอนปล่อย 1989 อัลบั้มที่เธอสลัดภาพศิลปินคันทรีมาเป็นสาวป๊อปเต็มตัว ซึ่งคนฟังหลายคนยกให้เป็น pop bible แห่งยุคสมัย
ตัวอย่างหนึ่งคือเหตุการณ์ที่ Kanye West กับ Kim Kardashian ปล่อยคลิปเสียงเทย์เลอร์ที่บอกว่าเธอโอเคกับเนื้อเพลง Famous ของคานเย (ซึ่งมีเนื้อเพลงจาบจ้วงเทย์เลอร์สุดๆ) จนแฮชแท็ก #TaylorSwiftIsOverParty ติดเทรนด์โลกในทวิตเตอร์ หลายคนคิดว่าคราวนี้เทย์เลอร์ล้มแรงเกิน น่าจะหายไปจากวงการแน่ๆ แต่ในปี 2017 เธอก็กลับมาพร้อม Reputation อัลบั้มแนวอิเล็กโทรป๊อปที่เล่าเรื่องราวฉาวโฉ่ในชีวิต มีซิงเกิลคัมแบ็กอย่าง Look What You Made Me Do ที่เป็นกระแสในโลกอินเทอร์เน็ตอยู่ช่วงใหญ่ และทำให้เทย์เลอร์ดังกว่าเดิม
ตัวอย่างสองคือ Taylor’s Version 6 อัลบั้มแรกที่เทย์เลอร์นำมาอัดใหม่ เรื่องมีอยู่ว่า เทย์เลอร์ลาออกจาก Big Machine Records ค่ายเก่าที่ทำเพลงกันมาตั้งแต่อัลบั้มแรก และพยายามจะซื้อลิขสิทธิ์เพลงทั้งหมดมาเป็นของตัวเอง แต่ Scooter Braun เจ้าของค่ายก็เสนอข้อสัญญาที่เทย์เลอร์ไม่โอเค เธอจึงอัดเพลงทั้ง 6 อัลบั้มใหม่ โดยเปลี่ยนรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ไม่ให้เหมือนต้นฉบับ และทยอยปล่อยออกมาทีละอัลบั้ม แถมมีแทร็กพิเศษเพิ่มเข้ามาด้วย ทั้งหมดเพื่อกระตุ้นให้คนฟังเพลงของเธอหันมาฟัง Taylor’s Version และทำให้เธอรับรายได้จากเพลงของเธอแบบเต็มๆ ไม่นับความจริงที่ว่า เทย์เลอร์เคยไฝว้กับแพลตฟอร์มสตรีมมิงหลายเจ้าเรื่องส่วนแบ่งรายได้ให้ศิลปินได้รับรายได้ที่เป็นธรรมอีก
ก่อนปล่อยอัลบั้ม Midnights เธอประกาศในเวที MTV Video Music Award ขณะรับรางวัลว่าจะออกอัลบั้มใหม่ ไม่บอกว่าชื่ออัลบั้มอะไร แต่เจอกันได้ตอน ‘เที่ยงคืน’ ของวันที่ 21 ตุลาคม
ก่อนจะปล่อย 1989 (Taylor’s Version) เธอเปลี่ยนสีชุดแสดงโชว์ใน The Eras Tour ทั้งหมดเป็นสีฟ้า (สีประจำอัลบั้ม 1989) เพื่อต้อนรับ era ใหม่
พูดถึง The Eras Tour นี่ก็เป็นตัวอย่างของการคิดโชว์ที่ชาญฉลาดสุดๆ เช่นกัน ทุกครั้งที่เทย์เลอร์ปล่อยอัลบั้มใหม่ เธอจะทัวร์คอนเสิร์ตต่อตลอด แต่ในยุคโรคระบาดที่ปล่อยมาหลายอัลบั้ม เทย์เลอร์ไม่ได้ทัวร์ที่ไหนเลย เมื่อโควิดซาจึงกลับมาพร้อมกับทัวร์ยิ่งใหญ่ที่นอกจากจะรวมเพลงจากทุกๆ อัลบั้มที่ไม่เคยออกทัวร์ เธอยังแสดงเพลงจากอัลบั้มก่อนหน้าในทัวร์ด้วยกลายเป็นทัวร์ความยาวราวๆ 3 ชั่วโมงที่แฟนคลับจะได้ฟังเพลงจากทุกยุคอย่างเต็มอิ่ม
The Eras Tour ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของวงการเพลงอเมริกัน เพราะถึงตอนนี้ที่แม้ทัวร์ไม่จบ มันก็เป็นทัวร์ที่ทำรายได้สูงที่สุดในโลกไปแล้ว (ราว 1 พันล้านบาท) ทัวร์ของนางยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในเมืองต่างๆ ที่ไปเยือน ทั้งโรงแรม ร้านอาหาร และร้านค้า จนอาจกระตุ้นเศรษฐกิจในอเมริกาได้กว่า 4.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
พ้นไปจากนั้น เทย์เลอร์ยังดันเพดานด้วยการทำหนังคอนเสิร์ต Taylor Swift: The Eras Tour ออกฉายทั่วโลก ให้แฟนๆ ที่ทั้งเคยไปและไม่เคยไปคอนเสิร์ตได้มาเอนจอยร่วมกันในโรงหนัง และก็อย่างที่หลายคนเดาได้–มันกลายเป็นหนังคอนเสิร์ตที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลไปแล้ว
I’ve heard every album, listened to the radio. Waited for something to come along. That was as good as our song.” – Our Song
เช่นว่า หลายปีก่อนตอนที่อัลบั้ม Red ถูกปล่อยออกมา เธอเคยหลุดให้สัมภาษณ์ในรายการหนึ่งเกี่ยวกับ All Too Well แทร็กที่ 5 ประจำอัลบั้มว่าจริงๆ เพลงนี้มีความยาวกว่า 10 นาทีตอนเธอทำดราฟต์แรก หลายต่อหลายปีหลังจากนั้น สวิฟตี้เรียกร้องให้เธอปล่อยเวอร์ชั่นเต็มออกมาตลอด แล้วเธอก็ทำจริงๆ ในตอนปล่อยอัลบั้ม Red (Taylor’s Version) แถมยังทำหนังสั้นจากเวอร์ชั่นนี้อีกต่างหาก
หรืออย่าง Cruel Summer ซิงเกิลฮิตที่เราเห็นว่าติดชาร์ตบิลบอร์ดในครึ่งปีหลังนี้ ตอนปล่อยออกมาครั้งแรกพร้อมอัลบั้ม Lover แทร็กนี้เป็นแทร็กที่เทย์เลอร์กับทีมมองข้าม แต่ด้วยกระแสของ The Eras Tour และยอดการสตรีมของแฟนๆ ในช่วงนี้ เทย์เลอร์ตัดสินใจตัดเพลงนี้เป็นซิงเกิล และดันให้ขึ้นอันดับ 1 บิลบอร์ดได้สำเร็จ ในเวลา 4 ปีหลังจากปล่อยครั้งแรก