China Trends

การตลาดที่ทำให้โตแบบก้าวกระโดดฉบับแบรนด์อาหารจีนในไทย

เทรนด์หมาล่ามาแรงที่ไปไหนก็เจอ หรือชาชีส ชาผลไม้ที่สดชื่นถูกใจใครหลายคนจนคิวยาวเหยียด แล้วไหนจะไอศรีมรสนมราคาแสนถูกที่กระจายตัวไปทั่วกรุงเทพมหานครอีก ไม่ต้องเป็นคนช่างสังเกตก็ย่อมสัมผัสได้ว่าเราได้ถูกแบรนด์อาหารจากจีนล้อมไว้หมดแล้ว

ย้อนกลับไปในปี 2019 ปีที่ร้านหม้อไฟหมาล่าจากมณฑลเสฉวน ประเทศจีนอย่าง ‘ไหตี่เลา’ (Haidilao) หรือที่ใครหลายๆ คนเรียกกว่าไฮตี้เหลา เปิดสาขาแรก ณ เซนทรัลเวิร์ลด์ ถ้าหากใครจำกันได้ตอนนั้นแบรนด์หม้อไฟแบรนด์นี้ได้สร้างปรากฏการณ์การต่อคิวเข้าร้านแบบน็อนสตอป นับตั้งแต่เวลาห้างเปิดไปจนถึงเวลาร้านปิดหรือตี 3 ในช่วงแรก และสิ่งที่น่าสนใจคือระหว่างการรอคอยหลายชั่วโมงนั้น ทางร้านมีบริการสุดพิเศษต่างๆ ที่พวกเราเหล่าคนไทยไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นบริการทำเล็บ บริการเครื่องดื่ม ขนมฟรี ทั้งยังมีบอร์ดเกมให้เล่น จนทำให้การรอคอยยาวนานไม่เลวร้ายนัก ยังไม่นับรวมกับการเซอร์วิสสุดพิเศษ หรือโค้ดลับน่าตื่นเต้น ชวนให้เราได้ลองจำไปพูดแลกกับของที่ระลึกฟรีหลังจากที่ได้เข้าไปใช้บริการภายในร้านอีกด้วย 

ถึงวันนี้แม้ระยะเวลาจะผ่านมาแล้วกว่า 5 ปี กระแสนิยมของแบรนด์เชนจากประเทศจีนก็ไม่มีทีท่าจะลดลง ตรงกันข้ามกลับขยับขยายยิ่งกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ไหตี่เลาที่ในปัจจุบันก็ยังขยายสาขาไปทั่วกรุงเทพฯ รวมไปถึงสาขาในจังหวัดชลบุรี ภูเก็ต และเชียงใหม่ นอกจากนั้นยังมีแบรนด์เชนจีนแบรนด์ใหม่ๆ ชวนให้เราได้ออกไปตระเวนลิ้มลองอย่างในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เราจะเห็นแบรนด์เครื่องดื่มชาผลไม้ ชานมพรีเมียม ตลอดจนแบรนด์ชาชีสที่โด่งดังในประเทศจีนนั้นก้าวเข้ามาเปิดสาขากันในประเทศไทยอยู่เสมอๆ อีกด้วย

คำถามที่น่าสนใจคือนอกจากเรื่องทุนที่ทำให้แบรนด์อาหารจากจีนขยับขยายไปทั่ว อะไรทำให้การเติบโตนั้นได้รับการต้อนรับจากลูกค้าชาวไทยเป็นอย่างดี

เพราะประสบการณ์หรือบรรยากาศภายในร้านที่หาจากแบรนด์อาหารในไทยไม่ได้ เพราะรสชาติที่ถูกปาก ปริมาณ ราคาที่คุ้มค่า เพราะการขยายสาขาที่ทำให้เข้าถึงได้ง่าย เพราะความเป็นต้นตำรับและความเชี่ยวชาญในหมวดหมู่อาหารนั้นๆ เพราะโปรโมชั่น กิจกรรมที่ทำให้เราได้ร่วมสนุกกันอยู่บ่อยๆ หรือเพราะการตลาดที่ยิงเข้าตรงใจคนไทย

วันนี้ Capital จะพาทุกคนไปเยือนร้านอาหารและเครื่องดื่มจากจีนทีละร้าน เพื่อทำความรู้จักและส่องกลยุทธ์การทำมาร์เก็ตติ้งของทั้ง 5 แบรนด์ในประเทศไทย ที่ถึงแม้คุณจะไม่ใช่แฟนหมาล่าหรือชาจีนก็น่าจะคุ้นหูคุ้นตาชื่อแบรนด์เหล่านี้

MIXUE
ปีที่ก่อตั้ง : 1997
ปีที่เปิดสาขาแรกในไทย : 2022
จำนวนสาขาในไทย : 200 สาขา

MIXUE (มี่เสวี่ย) เป็นแบรนด์ไอศครีมและชานมที่มีมาสคอตเป็นตุ๊กตาหิมะ (Snow King) ลุคใจดี แบรนด์จากเมืองเจิ้งโจว มณฑลเหอหนาน ก่อตั้งโดย จาง หง เฉา (Zhang Hong Chao) นักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่ได้เปิดแผงลอยขายน้ำแข็งไสและเครื่องดื่มข้างโรงเรียนแห่งหนึ่งในปี 1997 หลังจากธุรกิจแผงลอยนั้นไปได้ไม่สวยเท่าไหร่ จาง หง เฉา ตัดสินใจลองอีกครั้ง เปิดธุรกิจน้ำแข็งไสเช่นเดิมเป็นครั้งที่สอง ด้วยชื่อเรียกของร้านเต็มๆ ว่า ‘Mixue Bingcheng’ (มี่เสวี่ยปิงเฉิง) และธุรกิจน้ำแข็งไสในรอบนี้ก็ดูท่าจะไปได้ด้วยดี จนทำให้ในปี 2006 นั้น จาง หง เฉา ตัดสินใจที่จะลองขายโปรดักต์ใหม่ๆ อย่างไอศครีมโคนที่กำลังเป็นกระแสในประเทศจีนอยู่ในช่วงนั้น ตามมาด้วยเมนูเครื่องดื่มอย่างชานมไข่มุก ชามะนาว และกาแฟที่ทั้งมอบรสชาติที่ดีในราคาที่ถูกแสนถูก ถูกกว่าบรรดาร้านอื่นๆ ที่ขายสินค้าเดียวกัน โดยจาง หง เฉาเชื่อว่าการทำราคาได้ถูกกว่าแบรนด์อื่นๆ คือจุดแข็งสำคัญอย่างหนึ่งของ MIXUE ที่ทำให้ตัวแบรนด์สามารถเป็นที่รู้จักได้อย่างรวดเร็วและมีลูกค้าประจำได้อย่างง่ายดาย

แต่การจะทำให้บรรดาเมนูไอศครีมและเครื่องดื่มนั้นขายในราคาที่ถูกลงกว่าเดิมได้ จาง หง เฉา ต้องปรับเปลี่ยนสูตรในการทำเมนูต่างๆ เพื่อจะให้ราคาของแต่ละเมนูลดลงได้กว่า 20% ของราคาเดิม ด้วยราคาอันแสนย่อมเยา เป็นมิตร จึงทำให้แบรนด์ MIXUE เข้าไปนั่งในใจผู้บริโภคในจีนจนสามารถขายเป็นแฟรนไชส์ไปทั่วประเทศได้อย่างรวดเร็ว

โดยภายใน 15 ปีนับตั้งแต่ปี 2007 MIXUE สามารถขยายสาขาไปได้ราวๆ 22,000 สาขาทั่วประเทศจีน จาง หง เฉา ลงทุนเพิ่มเติมไปกับการสร้างโรงงานซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญในการผลิตวัตถุดิบหลักของแต่ละเมนูให้ได้จำนวนมากๆ ในคราวเดียวกัน ตลอดจนลงทุนในระบบโลจิสติก เพื่อให้วัตถุดิบต่างๆ ได้ถูกส่งไปยังเหล่าแฟรนไชส์ทั่วประเทศได้อย่างทันท่วงที 

นอกจากสาขาแฟรนไชส์ภายในประเทศแล้ว ในปี 2008 MIXUE ก็ได้เริ่มทำการขยับขยายสาขาแฟรนไชส์ไปยังต่างประเทศได้สำเร็จ โดยในปัจจุบัน MIXUE มีสาขาแฟรนไชส์ทั้งหมด 14 ประเทศ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือประเทศไทยของเราที่ทางแบรนด์ MIXUE ได้เข้ามาเปิดสาขาแรกในเดือนกันยายน ปี 2022 โดยตั้งอยู่ตรงข้ามกับมหาวิทยาลัยรามคำแหง หรือสาขารามคำแหง 53 นี่เอง

ภายในระยะเวลาเพียง 1 ปี MIXUE สามารถเปิดสาขาในประเทศไทยไปได้แล้วกว่า 200 สาขา และยังมีแพลนที่จะเปิดเพิ่มขึ้นให้ถึง 2,000 สาขาภายใน 3 ปี โดยนอกจากการขยายสาขาอย่างรวดเร็วแล้ว ความน่าสนใจของแบรนด์ MIXUE คือการที่แบรนด์ยังสามารถรักษาจุดแข็งอย่างการทำราคาเมนูไอศครีมให้เริ่มต้นที่เพียง 15 บาท และเมนูเครื่องดื่มที่เริ่มต้นด้วยราคา 20 บาทได้ แม้ว่าสาขาที่ว่านั้นจะคือสาขาสยามแสควร์ที่ใครๆ ก็เดาได้ว่าค่าที่น่าจะสูงกว่าสาขาอื่นๆ

ด้วยสาขาที่ถูกเปิดขึ้นอย่างรวดเร็วในหลายๆ ประเทศ ส่งผลให้บริษัท MIXUE Ice Cream & Tea ผู้ซึ่งเป็นคนขายแฟรนไชส์ทั้งหมดได้รับกำไรกันไปแบบเต็มๆ โดยในปี 2019 บริษัท MIXUE Ice Cream & Tea ได้กำไรสุทธิไปกว่า 2,170 ล้านบาท, ในปี 2020 บริษัทยังได้กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากปี 2019 ประมาณ 927 ล้านบาท หรือที่รวมเป็นจำนวน 3,097 ล้านบาท และในปี 2021 เอง บริษัท MIXUE Ice Cream & Tea มีกำไรสุทธิพุ่งสูงถึง 9,376 ล้านบาท 

ปัจจุบัน MIXUE มีสาขาทั้งหมดรวม 36,153 สาขาทั่วโลก นับเป็นแบรนด์ที่มีสาขาแฟรนไชส์มากสุดอันดับ 5 ของโลก ถือว่าเป็นรองจากแบรนด์ฟู้ดเชนอย่าง Mcdonald’s, Subway, Starbucks และ KFC เท่านั้น

Naixue 
ปีที่ก่อตั้ง : 2015
ปีที่เปิดสาขาแรกในไทย : 2023
จำนวนสาขาในไทย : 1 สาขา

Nixue (ไน่เสวี่ย) หรือที่คนไทยมักออกเสียงชื่อแบรนด์กันว่า ‘ไนซือ’ เป็นแบรนด์ชารูปแบบใหม่ที่จะมาปฏิวัติวงการน้ำชาแบบดั้งเดิมของจีนให้มีสีสันมากขึ้น ผ่านเมนูเครื่องดื่มสมัยใหม่ที่ยังคงรสชาติของชาตะวันออกได้อย่างดี เช่น เมนูชานม ชานมดอกไม้ ชาผลไม้ และชาชีส เป็นต้น นอกจากนั้น Naixue เองยังตั้งใจเน้นการใช้วัตถุดิบคุณภาพดีเกรดพรีเมียมอย่าง ใบชาต้นตำรับ นมสด และเนื้อผลไม้สดมาเป็นจุดเด่นของแบรนด์ เชิญชวนให้เหล่าผู้บริโภคสามารถวางใจในคุณภาพเครื่องดื่มที่ตนเองกำลังจะเลือกซื้อเลือกดื่มกันอีกด้วย 

โดยนอกจากที่คนไทยเราจะดัดแปลงชื่อแบรนด์ให้ง่ายขึ้นด้วยการเรียก ‘ไนซือ’ แทน ‘ไน่เสวี่ย’ Naixue เอง ก็ยังได้รับสมญานามจากชาวเน็ตไทยให้เป็นหนึ่งในแบรนด์ ‘ชาชีสผลไม้ที่จริงใจ’ ไปแล้วด้วย 

ไม่ใช่เพียงแค่เครื่องดื่มประเภทชาเท่านั้นที่ ​Naixue ตั้งใจยกระดับสินค้า แต่ยังมีเมนูขนมปังสไตล์ยุโรปและขนมเบเกอรีที่ถูกพัฒนาสูตรมาเพื่อช่วยเสริมประสบการณ์การดื่มชาให้ได้รสชาติที่อร่อยกลมกล่อมมากขึ้น ทั้งยังช่วยให้ตัวแบรนด์สามารถใช้เมนูขนมเหล่านี้ปรับตัวไปได้กับวิถีการดื่มชาของผู้บริโภครุ่นใหม่ๆ ทั่วโลก 

แล้ว Naixue กลายมาเป็นแบรนด์ชาสุดฮิตได้ยังไง?

ย้อนกลับไปในปี 2015 ที่เมืองเซินเจิ้น แบรนด์ Naixue แต่เดิมมีชื่อเรียกเต็มๆ ว่า Nayuki’s Tea (แปลว่า ชาของนายูกิ) เขียนด้วยอักษรคันจิในภาษาญี่ปุ่นอย่าง ‘奈雪の茶’ ก่อนในภายหลังจะถูกเปลี่ยนให้เป็นอักษรจีนโดยทั้งหมดหรือ  ‘奈雪的茶’

โดย Nayuki’s Tea เป็นแบรนด์ชาของสองสามีภรรยาที่มีจุดเริ่มต้นมาจากความทรงจำสุดพิเศษในวัยเด็กของ เผิง ซิน (Peng Xin) ผู้ซึ่งเป็นภรรยา หรือก็คือกลิ่นหอมของขนมปังอบที่แม่ของเธอมักจะเสิร์ฟคู่ไปกับชาร้อนๆ บนโต๊ะอาหารให้กับเหล่าสมาชิกในครอบครัวได้ดื่มกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ช่วงเวลาของการสนทนาที่เคล้าไปด้วยเสียงหัวเราะแห่งความสุข

จากจุดเริ่มต้น เราอาจจะเห็นได้ว่าแบรนด์ Naixue นั้น มาจากความหลงใหลในขนมปังและชาของเผิง ซินเพียงเท่านั้น แต่ด้วยแพสชั่นที่มีต่อสิ่งเหล่านี้ จึงทำให้เธอมีความยืนหยัดที่อยากจะส่งมอบชาคุณภาพสูงให้กับผู้คนในวงการชาได้บริโภคชาดีๆ มีสุขภาพที่ดี รู้สึกสดชื่น และเอนจอยไปกับโมเมนต์ ณ ตอนดื่ม และสิ่งที่ทำให้ Naixue โดดเด่นและประสบความสำเร็จได้เหนือแบรนด์อื่นๆ ในท้องตลาด นั่นก็คือการมอบทั้งความจริงใจและความซื่อสัตย์ให้กับกลุ่มลูกค้าด้วยการตัดสินใจเลือกใช้แต่วัตถุดิบที่คำนึงถึงประโยชน์ต่อสุขภาพ ควบคู่ไปกับการโปรโมตวิถีการดื่มชาคู่ไปกับเมนูขนมปัง-เบเกอรีดั่งภาพความทรงจำของเธอ

4 ปีให้หลังจากการก่อตั้งแบรนด์ Naixue สามารถขยายสาขาไปได้กว่า 51 เมืองในประเทศจีนหรือราวๆ 350 สาขา แต่แม้สาขาจะเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ เผิง ซิน กับ เจา หลิน (Zhao Lin) สามีของเธอนั้นก็ยังไม่มีวี่แววที่จะหยุดพัฒนาแบรนด์ของพวกเขาเลยสักวัน มิหนำซ้ำยังตั้งคำถามสำคัญทางธุรกิจกับตัวพวกเขาเองด้วยอย่าง ‘ถ้าเราเป็นลูกค้า เราจะต้องการอะไรในแบรนด์นี้อีกบ้าง?’ ตลอดจนเสาะหาวิธีการที่จะทำให้แบรนด์นั้นเติบโตเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็วผ่านการใช้ชาพรีเมียมและคราฟต์ขึ้นมาอีกหน่อย แพ็กเกจจิ้งที่สวยงาม-ฟังก์ชั่น บรรยากาศของสาขาที่ต้องให้ความรู้สึกอบอุ่น พร้อมเชิญชวนลูกค้าให้เข้ามานั่งได้เสมอ รวมไปถึงการจ้างทีมผู้เชี่ยวชาญด้านขนมเบเกอรีจากประเทศญี่ปุ่นมาปรับปรุงสูตรขนมปังอบสไตล์ยุโรปของ Naixue ให้ดียิ่งขึ้นไปอีก

ปัจจุบัน Naixue ถือเป็นแบรนด์เครื่องดื่มชาแบรนด์เดียวที่ได้รับการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก อีกทั้ง Naixue เองยังถูกยกย่องให้เป็นแบรนด์ชาระดับไฮเอนด์ที่มีสาขากระจายอยู่ตามหัวเมืองต่างๆ กว่า 1,400 สาขาใน 100 ประเทศทั่วโลก และจากรายงานในเดือนธันวาคม ปี 2022 ก็ได้ระบุเอาไว้ว่า Naixue มีกำไรสุทธิอยู่ที่ราวๆ 2.3 พันล้านบาท ทั้งยังมีจำนวนผู้สมัครสมาชิกของทางร้านไปมากกว่า 56.6 ล้านรายในปี 2022 และ 75 ล้านรายในปี 2023 อีกด้วย

ก่อนในเดือนธันวาคม ปี 2023 ที่ผ่านมา Naixue สาขาแรกของประเทศไทยก็ได้ถูกเปิดขึ้นพร้อมกับศูนย์การค้าใหม่ใจกลางสุขุมวิทอย่าง Emsphere ซึ่งก็แน่นอนอยู่แล้วว่าเราอาจจะต้องใช้เวลาต่อแถวรอคิวกันไปอีกสักพัก 

CHAGEE
ปีที่ก่อตั้ง : 2017
ปีที่เปิดสาขาแรกในไทย : 2022
จำนวนสาขาในไทย : 2 สาขา

CHAGEE (ชาจี) แบรนด์ชานมสไตล์ต้นตำรับจากมณฑลยูนนาน หรือที่คนไทยอาจรู้จักกันในนามของ ‘ร้านชานมไร้ไข่มุก’ แบรนด์ชาที่ตั้งใจนำเสนอวัฒนธรรมชาจีนแบบพรีเมียมให้ออกมาในรูปแบบเมนูสุดร่วมสมัย โดยจุดขายอย่างหนึ่งของชาจีคือการเลือกใช้ใบชาสดๆ จากไร่ชาออร์แกนิกที่ใหญ่ที่สุดในโลกของชาจี (Chagee Organic Tea Farm) มารังสรรค์ในทุกๆ หมวดหมู่เมนูของทางร้าน ไม่เว้นแม้แต่เมนูซิกเนเจอร์อย่างชานม ที่ในปัจจุบัน แบรนด์ชานมหลายๆ แบรนด์ทั่วโลกนิยมหันมาใช้ชาผง หรือชาแบบทรีอินวันกันซะมากกว่า

BaWang ChaJi หรือ CHAGEE ก่อตั้งขึ้นในปี 2017 ก่อนจะเปิดสาขาแรกในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกันบนถนน 51 ในเมืองคุนหมิง ซึ่งนับเป็นช่วงเวลาที่ค่อนข้างท้าทายสำหรับการทำแบรนด์ชาที่ตั้งใจนำเสนอชาจีนแบบดั้งเดิมเอามากๆ เพราะคนจีนโดยส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะทั้งวัยรุ่นเองก็ดีหรือในวัยทำงานเอง แทบไม่มีใครหันกลับมาสนใจการดื่มชาจีนแบบพิถีพิถันกันสักเท่าไหร่นัก สวนกันกับความนิยมของชานมที่มาแรงแซงทางโค้ง จากรสชาติที่เข้าถึงง่าย รอไม่นาน พกพาสะดวก พร้อมดื่มในคราเดียวกันขนาดนี้

นี่จึงเป็นเหตุผลหลักๆ ให้ CHAGEE ตัดสินใจพลิกโอกาสนำเอาใบชาสดๆ คุณภาพดีเหล่านั้นมาชงเป็นชานมที่โดดเด่นเรื่องกลิ่นหอม รสชาติที่สดชื่นไม่เหมือนใคร ทั้งยังลงทุนเพิ่มในแง่ของวัตถุดิบหลักอย่างการเลือกใช้นมสดพาสเจอร์ไรส์จากฟาร์มในประเทศนิวซีแลนด์ ก่อนจะตัดสินใจเพิ่มหมวดหมู่เมนูชานมผลไม้ที่ใช้ผลไม้แบบสดๆ จากซัพพลายเออร์ท้องถิ่น เข้ามาเป็นทางเลือกใหม่ๆ ให้กับผู้บริโภคสมัยใหม่ได้ลิ้มลองกันอีกด้วย

ด้วยคอนเซปต์ของ Chagee อย่างแบรนด์ชานมที่มีความตั้งใจที่จะทำให้ผู้คนหันกลับมาให้ความสำคัญกับชาจีนสไตล์ต้นตำรับแล้ว แน่นอนว่าสิ่งที่จะมัดใจผู้บริโภคได้นั้นก็คือ ‘คุณภาพ’ เพราะหากมองในมุมผู้บริโภคที่เลือกดื่มชานมแล้วล่ะก็ มันคงดีกว่าจริงๆ ถ้าได้ดื่มชานมที่อร่อยและดีต่อสุขภาพเช่นกัน 

ภายในระยะเวลา 4 ปี นับตั้งแต่ CHAGEE ได้ตัดสินใจเปิดสาขาแรก ณ เมืองคุนหมิง CHAGEE ก็สามารถสามารถขยายสาขาแฟรนไชส์ออกไปได้ 10 กว่าเมืองทั่วประเทศจีน ก่อนจะทยอยเปิดสาขาในต่างประเทศในปีถัดๆ มารวมแล้ว 2,900 กว่าสาขาทั่วโลกที่การันตีด้วยยอดขายเมนูเครื่องดื่มซิกเนเจอร์อย่าง ‘ชานมมะลิ’ (Boya Juexian) 20 ล้านแก้วต่อปีในปี 2021 และเพิ่มขึ้นเป็น 100 ล้านแก้วในปี 2022 

ปัจจุบัน CHAGEE มีสาขาในประเทศไทยทั้งหมด 2 สาขาและทั้ง 2 สาขาตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ อย่างเซ็นทรัลเวิลด์และสยามสแควร์ซอย 1 โดยความน่าสนใจของ CHAGEE ที่นอกเหนือจากใบชานำเข้าและแพ็กเกจจิ้งจากประเทศจีนแล้ว วัตถุดิบอื่นๆ อย่างนมสดและผลไม้ก็จะถูกคัดสรรมาจากฟาร์มและสวนของเกษตรกรท้องถิ่นในประเทศไทยเอง เช่น ส้ม แตงโม มะนาว เป็นต้น 

ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของวัตถุดิบ แต่ CHAGEE ยังมีกลยุทธฺ์ในการทำตลาดที่เหมาะสมสำหรับกลุ่มลูกค้าและคนรักชาในประเทศไทยอยู่เสมอๆ ยกตัวอย่างเช่น การจัดกิจกรรมในช่วงเทศกาลคริสต์มาสของเดือนธันวาคม 2023 ที่ผ่านมาหรือ ‘CHAGEE Lucky Cup’ ที่ปรับเปลี่ยนแก้วเมนูชานมไวต์พีชไซส์ L แบบออริจินัล ให้กลายมาเป็นชานมแก้วแดงซ่อนของขวัญที่คนเฝ้ารอคอย โดยของรางวัลที่ซ่อนอยู่ภายใต้รอยปรุของแก้วนั้นมีให้ลุ้นตั้งแต่เครื่องสำอางเคาน์เตอร์แบรนด์ อาร์ตทอย คูปองส่วนลดเครื่องดื่ม ไปจนถึงของใช้กุ๊กกิ๊ก ถือเป็นหนึ่งกลยุทธ์ในการทำมาร์เก็ตติ้งที่ชาญฉลาดและคืนกำไรให้แก่ลูกค้า ทั้งยังไวรัลบนแพลตฟอร์ม TikTok ประเทศไทยอีกด้วย

SHU DAXIA
ปีที่ก่อตั้ง : 2015
ปีที่เปิดสาขาแรกในไทย : 2023
จำนวนสาขาในไทย : 1 สาขา

SHU DAXIA (สู่ต้าเสีย) คือแบรนด์หม้อไฟหมาล่าต้นตำรับจากนครเฉิงตู มณฑลเสฉวนของประเทศจีนที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2015 

แม้จะเป็นระยะเวลาเพียง 9 ปี แต่ SHU DAXIA ถือเป็นอีกแบรนด์เชนร้านหม้อไฟหมาล่าที่เติบโตอย่างรวดเร็วด้วยจุดเด่นในการตกแต่งร้านที่แสนจะอลังการและไม่จำเจผ่านการจำลองบรรยากาศสถานที่ที่ล้อไปกับความหมายของชื่อแบรนด์อย่าง ‘จอมยุทธ์’ ชวนให้ผู้คนที่ได้แวะเวียนเข้ามาต่างประทับใจในประสบการณ์เหล่านี้อย่างไม่รู้ลืม จน SHU DAXIA ถูกยกย่องว่าเป็น 1 ใน 10 อันดับร้านหม้อไฟหมาล่าที่ดีที่สุดในประเทศจีนอีกด้วย

ด้วยจุดแข็งที่โดดเด่นของ SHU DAXIA ทำให้ตัวแบรนด์สามารถเปิดหน้าร้านไปได้ถึง 650 สาขาในประเทศจีน ทั้งยังสามารถขยายสาขาออกนอกประเทศได้ทั้งในโซนเอเชีย อเมริกา และในประเทศไทยด้วย 

หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าหน้าร้านในแต่ละประเทศหรือแม้กระทั่งในแต่ละสาขาของ SHU DAXIA นั้นถูกออกแบบและตกแต่งมาให้ไม่เหมือนกัน ในปี 2023 ที่ผ่านมา SHU DAXIA สาขาแรกในประเทศไทยหรือสาขา Crystal Design Center (CDC) ได้ถูกเปิดตัวมาด้วยคอนเซปต์โรงเตี๊ยมจักรพรรดิ์ ที่จัดเต็มด้วยสถาปัตยกรรมจีนทั้งร้านหรือไซส์ขนาดอาคาร 3 ชั้น ไม่ว่าจะเป็นรูปปั้นมังกรสีทองล่องลอยอยู่บนเพดานของร้านที่คอยรับ-ส่งผู้เข้ามาใช้บริการทุกคน, เซตโต๊ะ-ที่นั่งฉบับจีนดั้งเดิม ตกแต่งแตกต่างกันออกไปตามโซนและห้อง VIP, หม้อไฟหมาล่าหัวมังกรที่มีน้ำซุปกว่า 7 รสชาติให้เลือก ตลอดจนการจำลองบรรยากาศของสระบัวด้วยเอฟเฟกต์ควันที่จะชวนให้เรารู้สึกถึงความเย็นสบาย แม้จะกินหม้อไฟรสเผ็ดชาก็ตาม ถ้าจะให้อธิบายถึงความอลังการทั้งหมด ก็คงไม่เท่ากับการได้ไปสัมผัสประสบการณ์กันด้วยตัวเองจริงๆ

ไม่ใช่แค่การตกแต่งภายในร้านที่ SHU DAXIA มีความจริงจังที่จะทำให้สิ่งนี้กลายเป็นจุดเด่นของแบรนด์ หรือความตั้งใจในการสร้างประสบการณ์ให้แก่ลูกค้าเท่านั้น แต่แน่นอนว่าคุณภาพของวัตถุดิบ อาหาร และน้ำซุปก็ต้องอร่อย เพียงพอที่จะทำให้ตัวแบรนด์นั้นสามารถขายตัวมันเอง จนผู้คนถึงได้ติดใจและแวะเวียนกลับมาซ้ำ

แม้ SHU DAXIA อาจจะไม่ได้ทำการตลาดที่หวือหวามากนัก แค่เพียงบรรยากาศและคุณภาพวัตถุดิบก็อาจจะเพียงพอแล้วสำหรับการเป็นร้านหม้อไฟหม่าล่าครองใจลูกค้าบางกลุ่ม แต่ก็แน่นอนล่ะว่า ไลฟ์สไตล์ของผู้คนในแต่ละประเทศนั้นมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง นี่จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลให้ SHU DAXIA ประเทศไทย ได้ลองจัดกิจกรรมเพื่อลูกค้าคนไทยดูบ้าง นั่นก็คือการเปิดตัวแบรนด์แคมเปญคนแรกด้วยการดึง Mark Tuan (มาร์ค ต้วน) นักร้อง แรปเปอร์ นักแต่งเพลงสัญชาติอเมริกัน-ไต้หวัน และหนึ่งในสมาชิกวงเค-ป๊อปอย่าง GOT7 มาร่วมกิจกรรมดินเนอร์สุดเอกซ์คลูซีฟกันในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2024 นี้ด้วย

Haidilao
ปีที่ก่อตั้ง : 1994
ปีที่เปิดสาขาแรกในไทย : 2019
จำนวนสาขาในไทย : 9 สาขา

Haidilao (ไหตี่เลา) คือแบรนด์หม้อไฟหม่าล่าต้นตำรับจากมณฑลเสฉวน ก่อตั้งในปี 1994 โดยจาง หย่ง (Zhang Yong) ที่เกิดในครอบครัวชนชั้นแรงงานในชนบทของประเทศจีน ผู้ที่ไม่เคยได้นั่งกินข้าวในร้านอาหารดีๆ สักครั้งจนอายุ 19 เขายังเคยเป็นช่างเชื่อมในโรงงานแทร็กเตอร์ด้วยค่าจ้าง 470 บาทต่อวัน ก่อนที่ในปี 1994 จะตัดสินใจลาออกจากงาน เอาเงินที่เก็บหอมรอมริบมาเปิดร้านหม้อไฟหมาล่าขนาด 4 โต๊ะเป็นของตัวเอง ร่วมกับภรรยาและเพื่อนอีกสองคน 

ชื่อของร้าน Haidilao มีความหมายแปลไทยได้ว่า ‘ตักจากก้นทะเล’ แต่ที่มาที่ไปของชื่อแบรนด์นั้น ไม่ได้มาจากก้นทะเลหรอก แต่มาจากการเล่นไพ่นกกระจอกระหว่างจาง หย่งกับภรรยา และเมื่อไพ่ใบสุดท้ายที่คนเสฉวนมักเรียกกันว่า ‘ไหตี่เลา’ มาถึง ทั้งคู่จึงปิ๊งไอเดียการตั้งชื่อแบรนด์ขึ้นมาทันที

ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา จาก Haidilao ธุรกิจหม้อไฟหมาล่าแบบเล็กๆ ได้เติบโตกลายมาเป็นธุรกิจในขนาดและสเกลที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถเปิดสาขาแฟรนไชส์ได้กว่า 900 สาขาทั่วโลก แต่ถึงแม้ระยะเวลาจะผ่านมานานแค่ไหน หัวใจของ Haidilao ภายใต้การบริหารของจาง หย่ง ก็ยังคงเน้นหลักการบริการที่ใส่ใจและมอบประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้าเป็นสำคัญ

ไม่ว่าจะเป็นหลากหลายบริการพิเศษระหว่างรอคิว ตลอดจนบริการภายในร้านที่เหล่าพนักงานจะคอยดูแลเราอย่างใกล้ชิดอยู่เสมอ ยังมีการแสดงเปลี่ยนหน้ากากให้ได้ดูกันเป็นรอบๆ ไหนจะโชว์ดึงเส้นบะหมี่สดแบบประจันหน้า หรือถ้าหากได้มาในวันสำคัญอย่างวันเกิด หรือวันครบรอบ Haidilao ก็ยังมีช่อดอกไม้ ของหวาน รวมไปถึงการ์ดอวยพรให้กับเรา และในวันที่ต้องการความสงบอย่างการแวะมากินคนเดียว เราก็ได้นั่งกับน้องตุ๊กตาผมสีแดง มาสคอตของ Haidilao สุดน่ารักอีกด้วย

แต่ที่ว่ามาก็ยังไม่ใช่ทั้งหมดของ Haidilao เพราะยังมีกิจกรรมสนุกๆ อย่างการบอกโค้ดลับภาษาจีนต่างๆ เพื่อแลกกับของที่ระลึกกันแบบฟรีๆ ให้ได้หิ้วกลับบ้าน รวมไปถึงกิจกรรมอีกมากมายที่ก็มีให้เราได้คอยติดตามไปร่วมสนุกกันอยู่เรื่อยๆ 

เรียกได้ว่า Haidilao เป็นแบรนด์เชนหมาล่าหม้อไฟที่มีบริการครอบคลุมให้กับลูกค้าทุกกลุ่ม ทุกเพศ และทุกวัย ทั้งยังตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้คนในแต่ละประเทศได้ดี เห็นได้ชัดจากการออกโปรโมชั่นและกิจกรรมที่แตกต่างกันออกไป อย่างในสาขาประเทศไทยก็เพิ่งจะมีกิจกรรมเต้นแลกเนื้อ หรือกิจกรรมที่ชวนให้ลูกค้าได้ลุกขึ้นเต้นเหล่าเพลงฮิตใน TikTok เพื่อแลกรับเนื้อวากิวฟรี 1 ถาด หรือถ้าจะให้พูดถึงโปรโมชั่นล่ะก็ Haidilao ก็เคยมีทั้งโปรลับๆ เสิร์ฟเบียร์ฟรีไม่อั้นหลัง 4 ทุ่มสำหรับสาขาเซ็นทรัลปิ่นเกล้า หรือจะเป็นโปรเนื้อหรือหมูที่สั่ง 1 ถาด แถม 1 ถาดหลัง 4 ทุ่มที่สาขาเซ็นทรัลพระราม 9 เป็นต้น

ในปัจจุบัน Haidilao สามารถขยายสาขาแบรนด์เชนหมาล่าหม้อไฟต้นตำรับจากเสฉวนไปแล้ว 1,600 กว่าสาขาทั่วโลก 

อ้างอิง

Writer

นักเขียน ผู้ซึ่งมี ‘มัทฉะ’ เป็นส่วนหนึ่งของการดำรงชีวิต

Illustrator

บรรณาธิการศิลปกรรม Email: [email protected]

You Might Also Like