คุยกับผู้อยู่เบื้องหลัง Gashapon Bandai Official Shop ในไทยซึ่งขายดีที่สุดในโลกใน 20 วันแรก

เมื่อพูดถึงกาชาปอง แบรนด์ที่แฟนคลับสายอนิเมะ สายสะสมฟิกเกอร์ โมเดล ของเล่น คนรักการ์ตูนและเกมนึกถึงเป็นชื่อแรกคงหนีไม่พ้น Bandai ของญี่ปุ่น 

ล่าสุด Gashapon Bandai Official Shop ซึ่งถือเป็นแฟล็กชิปสโตร์สาขาแรกในไทยที่รวมกาชาปองลิขสิทธิ์แท้จากญี่ปุ่นมาไว้ด้วยกันที่เดียวหลายร้อยรุ่นก็เปิดให้แฟนๆ ได้เข้าไปสัมผัสประสบการณ์ และในเวลาไม่นานก็ทำสถิติขายดีที่สุดในโลกใน 20 วันแรก

เบื้องหลังความนิยมถล่มทลายของการหมุนตู้กาชาปองในไทย มาจากการบุกเบิกของ Big One Intertrade บริษัทแรกในไทยที่เป็นพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจกับ Bandai มาตั้งแต่ 20 ปีที่แล้ว โดยเริ่มทำธุรกิจตั้งแต่วันที่คนไทยยังไม่รู้จักว่ากาชาปองคืออะไรหรือการกดซื้อของเล่นแบบสุ่มมันสนุกยังไง

เรานัดพบกับ หมิว–ปวิตรา ทัศวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท บิ๊กวัน กรุ๊ป ในวันเปิดตัว Gashapon Bandai Official Shop เพื่อพูดคุยถึงเรื่องราวการทำธุรกิจของเล่นให้ผู้ใหญ่ เสน่ห์ของกาชาปองที่เสกคาแร็กเตอร์จากอนิเมะชื่อดังและการ์ตูนคลาสสิกในวัยเด็กให้มีชีวิตด้วยความใส่ใจในรายละเอียด การบริหารธุรกิจที่ไม่ได้ดูแค่ cash flow ไปจนถึงกลยุทธ์การขายและขยายทำเลที่ตั้งตู้ชากาปองที่หาไม่ได้จากในตำรา 

วันนี้หมิวอยากให้คนไทยได้สัมผัสประสบการณ์พิเศษของการหลุดเข้าไปอยู่ในโลกอนิเมะและการ์ตูนแบบย่านกาชาปองที่ญี่ปุ่นที่เต็มไปด้วยกาชาปองหลากหลายรุ่นจึงเปิดร้าน Gashapon Bandai Official Shop ที่สยามเซ็นเตอร์ซึ่งถือเป็น big step ที่สำคัญของวงการกาชาปองในไทย 

ภาพคนแออัดในวันเปิดร้านวันแรกคงเป็นสิ่งยืนยันได้ว่าเหล่าแฟนคลับที่รอซื้อสะสมในไทยนั้นหนาแน่นจริง

From Tokyo to Bangkok 
ต้นทุนทางธุรกิจคือความเชี่ยวชาญในลิขสิทธิ์

Bandai เป็นหนึ่งในบริษัทผู้ริเริ่มทำของเล่นลิขลิทธิ์จากคาแร็กเตอร์การ์ตูนและอนิเมะในญี่ปุ่น ทั้งกาชาปอง ฟิกเกอร์ แคนดี้ทอยและของเล่นต่างๆ โดยพัฒนาจากของเล่นราคา 10-20 เยนให้มีคุณภาพดีขึ้นจนมีมูลค่าเพิ่มถึง 100-200 เยน ใช้กลยุทธ์การขายที่ไม่เหมือนใครคือการกดสุ่มจากตู้หยอดเหรียญ กลายเป็นบริษัทของเล่นชื่อดังที่ถือลิขสิทธิ์เยอะที่สุดในญี่ปุ่น

พาร์ตเนอร์ในไทยของ Bandai คือบริษัท Big One โดยหมิวบอกว่าจุดเริ่มต้นของการตัดสินใจเป็นพันธมิตรกันมาจากการที่ทั้งสองบริษัทมีสิ่งที่คล้ายคลึงกัน

“เราเริ่มทำธุรกิจกับ Bandai ในปีแรกคือปี 2000 ตอนที่เราทำตู้กาชาปองกับเขา เราไม่มีประสบการณ์ในการทำตู้ของเล่นใดๆ เลย เราเป็นบริษัทผลิตขนมที่มีโรงงานผลิตขนม แต่ด้วยความที่เราทำงานกับการซื้อลิขสิทธิ์อยู่แล้ว และ Bandai เห็นเราในตลาดมาบ้างรวมทั้งเขาเองก็ขายทั้งของเล่นและขนมที่ผลิตเองด้วย ก็เลยเรียกเราไปคุย” 

“เราไปหา Bandai ที่ฮ่องกงโดยที่ความรู้เรื่องของเล่นเป็นศูนย์ แต่รู้จริงในตลาดขนมสำหรับเด็ก รวมถึงมีความเชี่ยวชาญในการทำสินค้าลิขสิทธิ์ในหมวดขนม เขาก็ถามว่าถ้าได้เป็นพาร์ตเนอร์กันเราจะสามารถทำอะไรได้บ้าง เขามองเห็นว่าเราน่าจะมีความเข้าใจในตลาดไทยจริงๆ ถึงคนไทยจะยังไม่รู้จักกาชาปองในตอนนั้นก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยต่อไปคนไทยก็ต้องรู้จักแบรนด์ Bandai ที่ทำสินค้าลิขสิทธิ์ระดับโลกแน่นอน เขาก็เลยให้โอกาสเรามาลองบุกตลาดไทยกันดู” 

ต้นทุนในการเริ่มบุกเบิกตลาดกาชาปองในไทยของ Big One จึงเป็นความเชี่ยวชาญด้านลิขสิทธิ์ ตั้งแต่ความรู้ในกระบวนการเลือกและซื้อ ไปจนถึงการปรู๊ฟแบบลิขสิทธิ์ทำให้ทำงานกับ Bandai ง่าย รู้ว่าควรสั่งสินค้าอะไรในช่วงไหนเพื่อให้เหมาะกับกลุ่มลูกค้าและตลาดในไทย

Big One จึงกลายเป็นเจ้าแรกที่นำเข้ากาชาปองมาไทยนับตั้งแต่นั้น 

From Cartoon Shop to Gashapon Flagship Store 
เส้นทาง 20 ปีของตู้กาชาปองในไทย  

เส้นทางการเติบโตของตู้กาชาปองในไทย เริ่มจากการตั้งอยู่ในร้านการ์ตูนและร้านซีดีขนาดเล็ก พึ่งพาเจ้าของร้านช่วยแนะนำให้กลุ่มมังงะเลิฟเวอร์ยุคบุกเบิกรู้จักการหยอดตู้ที่กดสุ่มออกมาแล้วได้ของเล่นที่ไม่รู้ว่าจะได้ตัวไหน ใช้เวลา 20 ปีในการสะสมฐานลูกค้า ทำให้คนรู้จักคำว่า ‘กาชาปอง’ จนตลาดเติบโตพร้อมเปิดแฟล็กชิปสโตร์ Gashapon Bandai Official Shop ที่สยามเซ็นเตอร์ในปัจจุบัน 

“ย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว เราค่อนข้างที่จะต้องสื่อสารกับญี่ปุ่นอย่างหนักว่าบ้านเราไม่สามารถวางตู้กาชาปองตามถนนได้เหมือนที่ญี่ปุ่น เพราะเราไม่ได้ใช้เงินบาทแต่ใช้เหรียญโทเคนของแบรนด์ในการหยอดตู้เท่านั้นและสมัยก่อนก็ยังไม่มีการพัฒนาตู้แลกเหรียญโทเคนขึ้นมา เราก็เลยต้องเลือกที่วางตู้กาชาปองตามร้านหนังสือการ์ตูนและร้านขายซีดีที่มีคนเฝ้าแคชเชียร์ให้ไปแลกโทเคนมาหยอดตู้ได้” 

พอเทคโนโลยีพัฒนาขึ้นจนสามารถกดแลกเหรียญที่ตู้อัตโนมัติได้เองโดยไม่ต้องพึ่งการซื้อเหรียญกับมนุษย์ รวมถึงคนรู้จักกาชาปองอย่างแพร่หลายมากขึ้น หมิวจึงขยายธุรกิจด้วยกลยุทธ์การเลือกทำเลที่ทำให้ผู้คนพบเจอตู้กาชาปองได้ง่ายขึ้น

“หนึ่งคือเลือกทำเลที่ traffic ดี สองคือเลือกที่ที่กลุ่มเป้าหมายของเราอยู่ ตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ ที่มีวัยรุ่น คนทำงานและเป็นทำเลที่เรามองแล้วว่าจะไม่ไปวางสู้กับตู้ปลอม” ทำเลทองเหล่านั้นได้แก่ Medium and More สาขาสีลมและสามย่าน, Loft, ร้านของเล่นและฟิกเกอร์อย่าง Toys“R”Us และ Hobby4U, เทอร์มินอล 21 อโศก, เซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ ฯลฯ 

หลายธุรกิจมักพบอุปสรรคของตลาดที่มีคู่แข่งทำสินค้าเลียนแบบหรือของปลอมด้วยคุณภาพที่ต่ำกว่าโดยตัดราคาขายในราคาถูกกว่า สำหรับธุรกิจตู้กาชาปอง อุปสรรคนั้นคือตู้กาชาปองลิขสิทธิ์ปลอม แม้คุณภาพของสินค้าข้างในจะแตกต่างกันลิบลับ แต่หากคนทั่วไปเดินผ่านแล้วมองเห็นแค่ตู้ภายนอกที่คล้ายคลึงกันมากจะทำให้เลือกหยอดตู้ที่ราคาถูกกว่า “ตู้ปลอมเลยเป็นการจุดชนวนให้เราได้คิดว่าจะสื่อสารแบรนด์ของเราให้แตกต่างจากตู้อื่นๆ ในตลาดยังไง” 

วิธีนั้นคือการเปิดสาขาแฟล็กชิปที่รวมกาชาปองทั้งหมดกว่า 300 รุ่นอยู่ด้วยกันในที่เดียว “ตามห้างอื่นๆ จะมีแค่ 10-20 ตู้ ถ้าไม่แน่ใจว่ากาชาปองตู้ที่เจอใช่ของจริงไหมหรือไม่รู้จะไปห้างไหน มาที่สาขาแฟล็กชิปยังไงก็เจอและได้ของจริงกลับไปแน่นอน นอกเหนือจากการเปิดร้านแล้วได้ยอดขาย เราอยากให้คนรับรู้ความเป็นกาชาปองของ Bandai ที่ถูกลิขสิทธิ์จริงๆ พอสินค้ามารวมกันเยอะๆ อิมแพกต์ต่อลูกค้ามันต้องมากขึ้น ต้องการทำให้แบรนด์และคาแร็กเตอร์เราชัดขึ้นว่าสินค้ากาชาปอง Bandai ของจริงต้องเป็นโลโก้นี้” 

อีกเหตุผลสำคัญคือเพื่อตอบโจทย์แฟนคลับที่หมุนกาชาปองเป็นประจำ “ลูกค้าบอกเราหลายรอบว่าเวลาไปหมุนตู้ตามห้าง ประสบการณ์จะไม่เหมือนไปที่ญี่ปุ่นเลย มันไม่ได้อารมณ์ว่ามีตู้เยอะ 300-400 ตู้
ส่วนใหญ่คนที่หมุนกาชาปองเป็นประจำจะมาหมุนอย่างน้อยทุกเดือนเพราะสินค้าเรามีมาใหม่และเปลี่ยนทุกเดือน ลูกค้าจะสื่อสารกับเราทางเฟซบุ๊กว่าของมาหรือยัง พอโพสต์ของใหม่เขาก็จะมากันเลยและสอบถามมาว่าสินค้าตัวนี้มีที่สาขาไหนบ้าง การมีสาขาใหญ่ที่มีของใหม่มาทุกอย่างก็จะช่วยลดการสอบถามตรงนี้ได้” 

เป็นความตั้งใจของหมิวที่อยาก ‘ยกญี่ปุ่นเล็กๆ’ มาไว้ที่ไทยเพื่อให้ลูกค้ามีประสบการณ์ใกล้เคียงเหมือนไปร้าน Bandai ที่ญี่ปุ่นให้มากที่สุดเท่าที่ Big One จะทำได้ 

Toy Magic in Real Life 
อาณาจักรของฟิกเกอร์ที่มีชีวิต 

เสน่ห์ของการหมุนตู้กาชาปองคือไม่รู้ว่าวันนี้มาแล้วจะได้เจอสินค้าอะไรหรือจะกดได้ตัวที่อยากได้ไหม ซึ่งหมิวบอกว่าเป็นความลุ้นที่สนุกในการซื้อของเล่น

“ถ้าหมดแล้วหมดเลย มันไม่เหมือนสินค้าทั่วไปที่คุณเดินไปกี่ครั้งก็จะอยู่ตรงนั้น ถ้าวันนี้สินค้าเข้าใหม่แล้วคุณไม่เข้ามากด บางทีอาจจะไม่ได้ผลิตตัวนี้อีกแล้วก็ได้ กดไปหนึ่งครั้งก็เป็นเหมือนไดอารีแล้ว อีกสิบปีอาจจะไม่มีตัวนี้อีกแล้ว หรือมีตลาดรีเซลที่พบว่าวันนั้นเคยกดมาในราคา 200 แต่ตอนนี้มาขายกัน 2,000 แล้วมันก็จะมีตัวหายากที่ต้องกดหลายครั้งกว่าจะกดตัวนี้มาได้”  

“ถ้าคนที่มองมาไกลๆ อาจจะมองว่าเราขายของเล่นเด็ก แต่ที่จริงคนที่จะมากดกาชาปองคือผู้ใหญ่” ลูกค้าผู้ใหญ่เหล่านี้ได้แก่ กลุ่ม ‘เด็กหนวด’ ที่หน้ามีหนวดแต่ใจเด็ก เป็นกลุ่มคนรักของเล่นที่อยากสะสมในสิ่งที่ชอบเพื่อตอบสนองแพสชั่นในตอนเด็ก, คนรักอนิเมะและกลุ่มแฟนคลับวัยรุ่นผู้เป็นแฟนพันธ์ุแท้ของอนิเมะเป็นเรื่องๆ ไป อย่างกันดั้ม วันพีซ และสายการ์ตูนกลุ่มที่แมสขึ้นมาอย่างเด็กๆ ที่ชอบอุลตร้าแมน คิตตี้ 

“เวลาเราเลือกสินค้ามาเราต้องการเลือกให้ตอบโจทย์ทุกคนในบ้าน สมมติคุณพ่อพาภรรยากับลูกเข้ามาพร้อมกัน อยากให้สัก 80% ของเมมเบอร์ในบ้านถูกใจและเอนจอยกับสินค้าที่ตัวเองชอบ ทั้งนี้เราจะแบ่งหมวดหมู่ของกาชาปองออกเป็น living things-nonliving things, anime และ girl-boy character 

“ถ้ามองจากภายนอก กาชาปองจะมีคาแร็กเตอร์ผู้ชายและผู้หญิง แต่ความจริงฐานลูกค้าคือกลุ่มเดียวกัน คาแร็กเตอร์ที่ดูบอยลูกค้าผู้หญิงก็ซื้อเยอะมาก เพราะลูกค้ามังงะไม่มีแบ่งแยกว่าสำหรับผู้หญิงหรือผู้ชาย จะได้หมดสำหรับทุกเพศ”  

ตัวอย่างคอลเลกชั่นที่ฮิตโดยกระแสไม่ดรอปลงไปเลยมาจากคาแร็กเตอร์ของการ์ตูนและอนิเมะที่หลายคนน่าจะคุ้นหู เช่น Spy x Family, Demon Slayer, Sumikko Gurashi Tamagotchi ฯลฯ ความพิเศษของกาชาปองคือในแต่ละคอลเลกชั่นจะมีกิมมิกพิเศษที่เสกฟิกเกอร์ให้ไม่ได้เป็นแค่คาแร็กเตอร์การ์ตูนธรรมดา แต่มีชีวิตด้วยรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างคอลเลกชั่นกันดั้มที่เป็นแบบครึ่งตัวและมียูนิตไฟ, รุ่นของวันพีซที่สร้างสรรค์ฟิกเกอร์เจ้าทากสื่อสารนั่งดูฉากประทับใจแห่งมิตรภาพของตัวเอก, หรือการนำสัญลักษณ์จากในเรื่องมาทำเป็นฟิกเกอร์ เช่น คอลเลกชั่นอุปกรณ์สำคัญจากดราก้อนบอลที่ประกอบไปด้วยเมฆสีทอง กระบองวิเศษ ดราก้อนเรดาร์ ฯลฯ  

ด้วยกิมมิกต่างๆ เหล่านี้ กาชาปองจึงดึงดูดแฟนคลับให้สนุกกับการหมุนตู้เพื่อสะสมให้ครบ บางคอลเลกชั่นจะทำไลน์อัพแต่ละชิ้นที่หากนำมาวางเรียงต่อกันจะเกิดสตอรีอย่าง ‘Let’s Get in Line Lion King’ ที่มีนาลา ซิมบ้า ทีโมน พุมบ้าทำท่าเดินเรียงแถวกัน หรือบางคอลเลกชั่นก็ครีเอตรูปแบบที่น่ารักไม่เหมือนใคร อย่าง Ringcolle! ที่ทำฟิกเกอร์เป็นรูปแหวนจากคาแร็กเตอร์ของดิสนีย์

“ตอนนี้รุ่นที่ขายดีมากคือ Capchara หรือกาชาปองหัวโต จากที่เมื่อก่อนจะใส่ของเล่นลงไปในแคปซูลทั้งหมดแล้วปิดฝา แต่รุ่นนี้จะมีหัวเป็นแคปซูล พอแกะส่วนหัวออกมาแล้วมีแขนขาอยู่ข้างในสำหรับเอามาประกอบ กลุ่มนี้ก็คือขายดีมากจน Bandai ทำมาเกือบจะทุกคาแร็กเตอร์เลย ไม่ว่าจะเป็นชินจัง ซูมิโกะ ซานริโอ ก็จะมีเป็นแบบ Capchara หมดเลย” 

“ส่วนการคาดการณ์ว่าอะไรจะฮิต หนึ่งคือเราต้องคอยติดตามว่าสายมังงะอ่านการ์ตูนอะไรกัน อะไรดังเราต้องรู้ เราต้อง on top of the game และไม่ใช่แค่ตามเทรนด์ที่ไทยแต่ต้องตามเทรนด์ที่ญี่ปุ่นด้วยเพราะญี่ปุ่นจะเร็วกว่าเราเสมอ สองคือเราดูสินค้าเป็นหลักว่าอะไรน่าจะเป็นท่ีนิยม บางครั้งถูกบ้างผิดบ้าง แต่มันก็อยู่ที่ gut feeling ที่เราตัดสินใจไปและทีมของเราก็เก่งมากๆ เราเลือกคนที่เป็นอนิเมะเลิฟเวอร์มาทำงานร่วมกัน” 

นอกจากสินค้าคาแร็กเตอร์จากมังงะแล้ว ตอนนี้ Bandai ยังทำกาชาปองรุ่น Bandai Original ที่ออกแบบลายเส้นการ์ตูนเป็นของตัวเอง รุ่นพิเศษที่เป็นที่นิยมในตอนนี้คือ living things ฯลฯ อย่างชุดสินค้าจำลองสัตว์สมจริง ‘The Diversity Of Life On Earth’ ที่รวมแมลงจากทั่วโลกทั้งด้วง หนอน ตุ๊กแก ตั๊กแตน
และตั้งชื่อรุ่นอย่างแพรวพราวเป็นชื่อพันธ์ุวิทยาศาสตร์ของแมลงชนิดนั้น เช่น Lucanus cervus, Prosopocoilus mirabiris ฯลฯ 

ดูเป็นของเล่นที่เนิร์ดมาก ที่แม้แต่หมิวเองก็มีช่วงที่ลังเลว่าคอลเลกชั่นนี้จะปังไหม “ตอนแรกเราไม่แน่ใจเลยว่าจะเอามาขายดีไหม แต่ทีม Bandai ที่ญี่ปุ่นก็คอนเฟิร์มว่ารุ่นนี้ขายดีมากเลยนะ เขาเพิ่งฉลองด้วงตัวที่ล้านไป เราก็เลยโอเคเอามาขาย ซึ่งที่ญี่ปุ่นจะมีวัฒนธรรมที่ชอบจับด้วง บ้านเราไม่ได้มีวัฒนธรรมแบบนั้น แต่สินค้าดีจนทำให้เราเข้าใจว่าทำไมคนถึงชอบ สมมติว่าคนที่ไม่อินกับแมลงในตอนแรกแบบเรา พอลองหยอดตู้แล้วแกะมาประกอบ จะพบว่ามีความใส่ใจในรายละเอียดสูงมาก”

ความสนุกคือการได้สำรวจหมวดหมู่ใหม่ๆ ของฟิกเกอร์และลงมือประกอบด้วยตัวเอง ซึ่งราคาของกาชาปองในร้านก็มีหลากหลายระดับ เริ่มต้นที่ 150 บาท กาชาปองรุ่นที่พรีเมียมหน่อยก็จะมีราคาสูงขึ้นไปแล้วแต่รุ่นและกิมมิกของแต่ละรุ่น

Manage 3 Flows : Cash Flow, Token Flow, Gashapon Flow
กลยุทธ์การบริหารสมบัติ

สำหรับสินค้าบางอย่างการมีตัวเลือกเยอะเกินไปอาจทำให้ลูกค้าตัดสินใจเลือกซื้อลำบาก แต่สำหรับกาชาปอง ‘ยิ่งเยอะ ยิ่งสนุก’ ยิ่งมีตู้กาชาปองตั้งเรียงรายเยอะและละลานตาจนเลือกไม่ไหวมากเท่าไหร่ แฟนคลับก็ยิ่งฟินมากขึ้นเท่านั้น เพราะการเดินเข้าร้านไม่ใช่แค่เดินเข้าไปซื้อของเล่นแล้วจบ แต่เหมือนเกมล่าหาสมบัติท่ามกลางตู้กาชาปองมากมาย

นอกจาก ‘นักล่าสมบัติ’ จะพบความสนุกจากความท้าทายในการหมุนตู้กาชาปองแล้ว เบื้องหลังการทำธุรกิจที่ต้อง ‘บริหารสมบัติ’ ที่มีจำนวนและรุ่นสินค้ามากมายมหาศาลก็มีความท้าทายคือการบริหารสต็อกให้ไม่มีสินค้าเหลือเยอะเกินไปและยังต้องเติม ‘สมบัติ’ ที่ว้าวและอัพเดตของใหม่อยู่เสมอ

หมิวบอกว่าเคล็ดลับการบริหารสต็อกกาชาปองให้มีประสิทธิภาพคือต้องวางแผนให้ดีตลอดเส้นทางที่ขนสมบัติมา ตั้งแต่การเลือกสินค้าที่ใช่ เลือกสถานที่ให้ถูก และเหมาะกับกลุ่มลูกค้า

มันเริ่มต้นจากการเก็งราคาสินค้า ทั้งคนสั่งซื้อและคนขายต้องรู้จริง สินค้าทุกอย่างต้องพรีออร์เดอร์เข้ามาดังนั้นทีมเราจะต้องมองล่วงหน้าว่าสาขานี้ในอีก 4-5 เดือนควรมีสินค้าอะไร อะไรจะขายดี การบริหารโอเปอเรชั่นและการเลือกสินค้าของแต่ละที่ก็ต้องไม่เหมือนกัน บางที่จะเน้นมังงะ อีกที่อาจจะเน้นการ์ตูน เราเดาแล้วซื้อขาดตั้งแต่ตอนนั้น ซึ่งดีเทลมันเยอะมาก ถ้าบางคาแร็กเตอร์ดังจริงแต่เราไม่ได้เอามาขาย ก็จะเสียโอกาสในการขายไป”

ในการทำธุรกิจทั่วไปสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญอีกอย่างคือการบริหารกระแสเงินสดหรือ cash flow แต่การทำธุรกิจกาชาปองนั้นต้องบริหาร token flow ด้วย กล่าวคือเวลา Big One ขายแคนดี้ทอยซึ่งเป็นการขายของเล่นทั่วไปจะใช้โมเดล ‘ของไปเงินมา’ แต่สำหรับกาชาปองกระบวนการซื้อ-ขายคือลูกค้าต้องแลกเหรียญโทเคนก่อนเพื่อนำไปหยอดตู้ แล้วจึงกดสุ่มแคปซูลกาชาปองจากตู้ 

“ในแง่โมเดลธุรกิจ มันลำบากที่เราต้องบาลานซ์ทั้งเหรียญและของ เราต้องทำความเข้าใจกับร้านค้าที่ตั้งตู้ว่าคุณต้องดูแลเหรียญด้วยนะเพราะลูกค้าไม่สามารถเอาเงินมาหยอดได้ ดังนั้นโอเปอเรชั่นที่สำคัญคือเราไม่ได้แค่ต้องวิ่งส่งของแต่ต้องวิ่งนับเหรียญด้วย ถ้าขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป เหรียญหรือกาชาปองก็จะขายไม่ได้เลย มันเลยเป็นธุรกิจที่ต้องบริหารสามอย่างพร้อมกัน ทั้งเงินสด, โทเคน, สินค้า ทุกอย่างต้องพร้อม แต่เราก็ตั้งใจว่าจะพยายามพัฒนาให้ในอนาคตจะสามารถยิงคิวอาร์โค้ดในการซื้อได้เลย”  

การทำธุรกิจกาชาปองจึงเป็นธุรกิจพรีออร์เดอร์ที่มีความท้าทายแตกต่างจากธุรกิจของเล่นทั่วไป ซึ่งที่ผ่านมาความภาคภูมิใจของหมิวคือทำให้ Bandai เชื่อใจในการบริหารได้ 

“กล้าพูดเลยว่าเราไม่มีปัญหาเรื่องสต็อก เพราะยอดขายของเราโตขึ้นมากแต่ขนาดคลังของเราเท่าเดิม การบริหารสต็อกเป็นสิ่งที่เราภูมิใจมาก แรกๆ Bandai ก็จะห่วงให้เราส่งสต็อกให้ดูทุกเดือน เขาจะคอยดูว่าเราเติบโตได้อย่างยั่งยืนไหม แต่หลังๆ เขาก็ไว้ใจเราจนไม่ต้องส่งไปให้ดูแล้ว เพราะเขาเชื่อว่าเราทำได้ กลายเป็นสิ่งที่ภูมิใจในทีมมากๆ” 

Quality Toys Never Trick Customer 
กว่าจะเป็น top-of-mind

ทั้งนี้กว่าจะประสบความสำเร็จในการทำให้ Bandai เชื่อใจได้ขนาดนี้ ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา การบุกเบิกกาชาปองเข้าสู่ตลาดไทยของ Big One ก็ไม่ง่ายและผ่านอุปสรรคต่างๆ มากมาย เพราะเริ่มขายกาชาปองในวันที่ยังไม่มีใครมองว่าเป็นสมบัติ

“เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ตลาดไทยจะไม่เหมือนตลาดญี่ปุ่นที่ลูกค้ามีความเข้าใจในสินค้าเยอะอยู่แล้ว  มันต้องชี้แจงและสื่อสารกับลูกค้าเยอะมากว่าทำไมต้องหยอดเงิน หยอดแล้วได้อะไร” มีตั้งแต่ลูกค้าที่กดกาชาปองออกมาแล้วไม่ได้ตัวที่ชอบเลยขอเปลี่ยนหรือขอเปิดดูตู้ไปจนถึงความไม่เข้าใจว่ากาชาปองคืออะไร เพราะสมัยก่อนคนจะมองแค่ว่ากาชาปองคือของเล่นอะไรก็ได้ที่อยู่ในแคปซูลไข่ 

“สมัยนั้นไม่ได้มีเฟสบุ๊คหรือสื่ออะไร เราก็จะอาศัยคุยกับร้านค้าในสถานที่ที่เอาตู้เราไปตั้งให้ไปอธิบายกับลูกค้าของเขาอีกทีนึงว่ากาชาปองมันสนุกยังไง หยอดแล้วจะได้อะไร” เมื่ออาศัยการสื่อสารซ้ำไปเรื่อยๆ และขยายตลาดอย่างไม่ลดละ ฐานลูกค้าของกาชาปองในไทยก็เติบโตและคึกคักขึ้นเรื่อยๆ โดยที่หมิวบอกว่าลูกค้าน่ารักขึ้นทุกปี

“กว่าเราจะก้าวข้ามสิ่งเหล่านี้มา ทุกอย่างต้องอาศัยลูกค้าเป็นกระบอกเสียงที่ดีที่สุดและเป็นฐานข้อมูลที่แข็งแกร่งที่สุด บางทีถ้าเราพูดเองว่าแบรนดิ้งของเราเป็นยังไง คนก็อาจจะรู้สึกว่าจริงเหรอ ใช่เหรอ ลูกค้าอาจจะอยากฟังความคิดเห็นจริงๆ ของลูกค้าด้วยกันมากกว่าฟังแบรนด์พูด”  

การมีลูกค้าที่เป็นกระบอกเสียงคือหนึ่งใน success story ของ Big One  “ทุกวันนี้เป็นจุดพีคที่สุดที่ลูกค้าคนไทยให้ความสำคัญกับลิขสิทธิ์ ช่วง 2 ปีที่ผ่านมารู้สึกว่าลูกค้าเข้าใจจริงๆ ว่าของมีลิขสิทธิ์มันต่างกับของปลอมยังไง แล้วให้คุณค่ากับของถูกลิขสิทธิ์มากกว่าราคา เขาจะเข้าใจและออกมาปกป้องว่าของจริงเป็นแบบนี้และทำไมต้องราคาต่างกัน ฐานลูกค้าเราชัดเจนมาก ถึงแม้ตู้ปลอมกับตู้จริงที่หน้าตาเหมือนกันจะอยู่ติดกันเลย แต่ลูกค้าก็ไม่กดของปลอมแล้วก็ช่วยเป็นกระบอกเสียงให้เรา”  

“นอกจากกาชาปอง เรามีส่วนที่ผลิตของเล่นกลับไปให้ Bandai ด้วย ซึ่งเป็นช่วงที่เราได้เรียนรู้จากเขาเยอะมากว่าของเล่นที่ดีเป็นยังไง เรานำความเนี้ยบของเขามาปรับใช้กับสินค้าของเราเอง เวลาจับสินค้าต้องไม่มีความคมใดๆ ผิวต้องเนียนกริบ พลาสติกที่เราใช้เป็นพลาสติก ABS ที่เอาเข้าปากแล้วไม่อันตราย”  

“ซึ่งพอเปลี่ยนกระบวนการคิดตั้งแต่เริ่มต้น สินค้าที่ออกมาย่อมไม่เหมือนกัน เราเริ่มจากตั้งคำถามว่าจะทำยังไงให้สินค้าที่ดูแพงจากญี่ปุ่นมีราคาที่เข้าถึงได้กับเด็กไทยและยังคงคุณภาพดีเพราะของที่ลิขสิทธิ์ถูกต้องไม่จำเป็นต้องแพงเสมอไป ซึ่งสินค้าของ Bandai ดีจริงๆ สำหรับราคาเท่านี้” 

หมิวสรุปว่าการสังเกตและสวมหมวกเป็นลูกค้าจะทำให้สามารถนำเสนอสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้ ซึ่งเธอเห็นตัวอย่างมาจาก Bandai ที่ขยายอาณาจักรของเล่นได้อย่างยิ่งใหญ่จากการใส่ใจลูกค้า

“คนญี่ปุ่นจะทำงานหนักมาก มีความใส่ใจในรายละเอียดเต็มร้อย สิ่งที่เราได้เรียนรู้คือเขามองดาต้าอะไรบ้าง เขาสังเกตตั้งแต่ลูกค้าเข้าร้าน เลือกเดินซ้ายหรือขวา อายบอลของลูกค้ามองที่ไหน ถ้าสมมติว่าลองไปเสิร์ชข้อมูลเกี่ยวกับแบรนด์ดู ก็จะพบว่าเราได้ฟีดแบ็กที่ดีจากลูกค้า ทั้งหมดทั้งมวลมาจากความเข้าใจว่าในการทำสินค้าลิขสิทธิ์ ลูกค้าจะคาดหวังอะไรบ้าง”

Community Product in a World of Spin
เล่นเกมธุรกิจแบบหมุนตามโลกให้สนุก

ก่อนแยกย้ายเราถามเธอถึงภาพความสำเร็จที่ Big One มองไว้ในอนาคตว่าจะเป็นยังไงต่อไป 

“วันแรกก็แฮปปี้แล้ว แค่แฟนคลับให้ความสนใจก็ดีใจมากแล้ว ณ วันนี้ สำหรับ Southeast Asia ก็ถือว่าเราเป็นช็อปกาชาปองที่ใหญ่ที่สุดแล้ว Bandai เองก็อยากให้เราขยายร้านเพิ่มตามหัวเมืองใหญ่ๆ เขามองว่าทำไมเราต้องทำให้เฉพาะคนกรุงเทพฯ เพราะที่จริงลูกค้าของเราก็มีทั้งภูเก็ต เชียงใหม่ ตอนนี้เรามีตั้งตู้กาชาปองตามหัวเมืองใหญ่อยู่แล้วแต่ไม่ได้เปิดเป็นร้าน

“อนาคตก็อยากเปิดร้านเยอะกว่านี้ ซึ่งถึง ณ ตอนนี้ผ่านมายังไม่ถึง 1 เดือน GBO สาขาไทยถือว่าเป็นสาขาที่มียอดขายดีที่สุดในรอบ 20 วันแรกหากนับจากทุกสาขาทั่วโลก นั่นหมายความว่าเรามีฟีดแบ็กที่ดี ร้านอาจจะไม่ใหญ่เท่าที่ญี่ปุ่น แต่ก็อยากทำให้ลูกค้ารู้สึกว้าวขึ้นอีกไปเรื่อยๆ ให้คนเห็นเราซ้ำๆ ไปที่ไหนก็เห็น 

“อยากให้ที่นี่เป็นคอมมิวนิตี้ที่แฟนคลับอนิเมะหรือแฟนคลับกาชาปองได้มาแลกเปลี่ยนกัน รวมถึงได้ฟีดแบ็กจากลูกค้ากลับมาหาเราว่าสินค้าตัวไหนกำลังดัง หรือมีอะไรที่เราต้องปรับปรุง เราก็จะใช้ big store ที่นี่เป็นที่เรียนรู้และปรับปรุงก่อนที่เราจะไปเปิดที่อื่น”

Big One ทำให้เห็นว่าไม่ใช่แค่ลูกค้าที่สนุกกับการหมุนตู้กาชาปองเพื่อหาของสะสมชิ้นใหม่ไปเรื่อยๆ
แต่คนทำธุรกิจก็ไม่เหนื่อยกับการปรับตัวและไม่หยุดอยู่กับที่ตามโลกที่หมุนไวเช่นกัน

“เวลา Bandai สอนเราทำ ถ้าเราไปมองว่าเหนื่อยหรือยากจังเลย เราก็จะไม่ได้ความรู้ แต่ถ้าเราทำตาม ประโยชน์ที่ตามมามันได้เยอะมาก เพราะฉะนั้น Bandai ถือเป็นครูให้เราเลย”

ไม่แปลกธุรกิจของ Big One จึงเติบโต ด้วยการสามารถสร้าง community product ที่ทำให้ทั้งคนทำธุรกิจและลูกค้าไม่มีใครอยากหยุดหมุน จนเกิดเป็นคอมมิวนิตี้ของคนรักของเล่นที่ยั่งยืน

ข้อมูลติดต่อ :
Facebook: GBO Thailand
Line: @bigonetoy

GSB Go Green สินเชื่อรักษ์โลกสำหรับผู้ที่จะเปลี่ยนจากการใช้พลังงานในปัจจุบันเป็นพลังงานทดแทน

ในยุคปัจจุบัน หนึ่งในสิ่งที่เป็นกระแสสำคัญคือการหันมาใช้พลังงานทดแทน ด้วยวิกฤตสิ่งแวดล้อมที่โลกเราต้องเผชิญ ซึ่งไม่มีแนวโน้มว่าปัญหาจะคลี่คลายหากพวกเราทั้งภาคธุรกิจและผู้บริโภคไม่ปรับตัวเปลี่ยนพฤติกรรม

เราจึงเห็นหลายคนหลายองค์กรหันมาเลือกใช้พลังงานทดแทนทั้งในชีวิตประจำวันและสถานประกอบการ

เพื่อเป็นอีกหนึ่งแรงสนับสนุนให้ผู้ที่ตั้งใจปรับตัวเพื่อความยั่งยืนของโลก ธนาคารออมสิน ที่มีจุดยืนในการเป็นธนาคารเพื่อสังคมและมีการดำเนินการตามแนวทาง sustainability จึงตั้งใจออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในชื่อ ‘สินเชื่อบุคคล GSB Go Green’ สินเชื่อสำหรับผู้ที่ตั้งใจเปลี่ยนวิถีการใช้พลังงานในชีวิตประจำวันโดยเฉพาะ

วัตถุประสงค์ของ สินเชื่อบุคคล GSB Go Green คือต้องการสนับสนุนผู้ที่อยากช่วยประหยัดพลังงานด้วยการเปลี่ยนจากการใช้พลังงานในปัจจุบันมาเป็นพลังงานทดแทน เช่น การติดตั้งโซลาร์เซลล์เพื่อใช้พลังงานแสงอาทิตย์มาช่วยในการประหยัดค่าไฟฟ้า การซื้อรถยนต์ไฟฟ้า (EV) รถยนต์ไฮบริด (Hybrid) จักรยานยนต์ไฟฟ้า หรือติดตั้ง EV Charger เพื่อเป็นการลดการใช้น้ำมัน รวมถึงการซื้ออุปกรณ์ประหยัดไฟเบอร์ 5 อีกด้วย

สำหรับจุดเด่นของ สินเชื่อบุคคล GSB Go Green คือ ดอกเบี้ยคงที่ต่ำสุด 1.99%* ต่อปี (นาน 3 เดือนแรก) และผ่อนต่ำแสนละ 199* บาท / เดือน (นาน 3 เดือนแรก)

กรณีใช้หลักทรัพย์เป็นประกัน จำนวนเงินให้กู้สูงสุดไม่เกินรายละ 5,000,000 บาท ให้กู้สูงสุดไม่เกิน 90% ของราคาประเมินหลักทรัพย์* สำหรับระยะเวลาในการชำระเงินกู้ กำหนดไว้ที่ไม่เกิน 30 ปี โดยเมื่อรวมอายุผู้กู้กับระยะเวลาที่ชำระเงินกู้ ต้องไม่เกิน 70 ปี (ยกเว้นกรณีวัตถุประสงค์เพื่อซื้อรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle: EV) รถยนต์ไฮบริด (Hybrid) หรือรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ไม่เกิน 15 ปี) ทั้งนี้ ในกรณีที่มีการกู้ร่วมกับบุคคลอื่นให้นับระยะเวลาชำระเงินกู้ตามอายุของผู้กู้ที่มีอายุน้อยที่สุดเพียงคนเดียว

ส่วนกรณีไม่มีหลักประกัน (Clean Loan) ทางธนาคารกำหนดให้กู้ได้สูงสุดไม่เกิน 10 เท่าของรายได้รวม และไม่เกินรายละ 500,000 บาท โดยระยะเวลาในการชำระเงินกู้กำหนดไว้ที่สูงสุดไม่เกิน 7 ปี โดยเมื่อรวมอายุผู้กู้กับระยะเวลาที่ชำระเงินกู้ต้องไม่เกิน 70 ปี ยกเว้น กรณีเป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระ หรือเจ้าของกิจการ ระยะเวลาชำระเงินกู้สูงสุด ไม่เกิน 5 ปี ทั้งนี้เป็นไปตามเกณฑ์การพิจารณาที่ธนาคารกำหนด

สำหรับใครที่สนใจยื่นสมัครได้แล้ววันนี้ – 30 ธันวาคม 2566 โดยอนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญาให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 มกราคม 2567 ที่ธนาคารออมสินทุกสาขา หรืออ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ bit.ly/3OXaOPH

หากมีข้อสงสัยสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ธนาคารออมสินทุกสาขา หรือ GSB Contact Center 1115 และสามารถติดตามข่าวสารอื่นๆ ได้ที่ www.gsb.or.th หรือ Facebook: GSB Society

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด

เปิดภาพสเกตช์และวิธีคิดของ Boon’s Hobby งานไม้สไตล์รัสติก ของสมบูรณ์วัย 72 ปี 

ปีนี้ บูรณ์–สมบูรณ์ วิวัฒนานุกูล มีอายุ 72 และกำลังจะก้าวย่างสู่วัย 73 ปี หลายคนอาจเคยรู้จักเขาในฐานะเจ้าของแบรนด์บ้านบูรณ์ ผู้ปัดฝุ่นและแปลงโฉมให้ไม้กวาดข้าวฟ่างสวยสะดุดตาจนต้องเหลียวหลัง

วันนี้สมบูรณ์ในวัยเกษียณส่งไม้ต่อให้ลูกสาวคนโตดูแลแบรนด์ไม้กวาดและหันมาสนุกกับแพสชั่นใหม่คือการแปลงร่างไม้เก่าให้เป็นงานไม้ดิบสไตล์รัสติกตามไอเดียในจินตนาการ 

หลายคนในยุคนี้อาจเคยชินกับภาพดีไซเนอร์รุ่นใหม่ที่เวลาสเกตช์ภาพต้องมีอุปกรณ์เยอะแยะ ทั้งสมุดวาดรูป ดินสอแรเงา ปากกาหมึกหลากสีสัน สีเฉพาะทางสำหรับสายอาร์ตและนักวาดรูป สมบูรณ์ไม่เคยเรียนด้านดีไซน์มาก่อน ไม่ใช้อุปกรณ์ทั้งหมดที่ว่ามาและไม่ใช้โปรแกรมออกแบบใดๆ รวมทั้งไม่สนใจว่าจะวาดรูปสวยหรือไม่ เขาสเกตช์ภาพด้วยปากกาลูกลื่นในกระดาษที่มีลักษณะคล้ายกระดาษสมุดโทรศัพท์สีเหลือง เขียนกำกับอธิบายฟังก์ชั่น โครงสร้าง ความหนาของไม้และรายละเอียดต่างๆ ด้วยลายมือ พร้อมเซ็นลายเซ็นชื่อ ‘สมบูรณ์’ ใต้ชื่อแบรนด์ Boon’s Hobby บนแผ่นโลหะทองเหลืองที่ติดแวววาวอยู่บนไม้สไตล์ดิบๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์  

“เราเป็นคนชอบคิดอยู่ตลอด ไม่ค่อยถามใคร” คือคำตอบจากสมบูรณ์ว่าเอาความกล้าที่จะคิดต่างมาจากไหน

บูน่า–บูรณา วิวัฒนานุกูล ลูกสาวคนเล็กผู้มาช่วยพ่อเล่าเรื่องงานอดิเรกในเพจบอกว่า “พ่อทำทุกอย่างโดยไม่เคยกลัว เวลาลูกค้าบอกอยากได้แบบนี้ เขาก็จะไม่กลัวว่าจะทำไม่ได้ จะใส่ไอเดียเพิ่มเข้าไป บางทีบรีฟแค่โต๊ะ ก็จะทำชั้นวางของหรือที่วางขาเพิ่มให้ด้วย”

ด้วยความแตกต่างที่ไม่เหมือนใคร วันนี้เลยชวนสมบูรณ์มาเปิดภาพสเกตช์และเล่าวิธีคิดกันสักหน่อยว่าการทำงานอดิเรกที่เติมเต็มแพสชั่นนั้นสนุกยังไง 

Product
ไอเดียไร้กรอบจากไม้ที่สะสม 

ย้อนกลับไป สมบูรณ์เกิดไอเดียสร้างสรรค์ผลงานจากไม้เหลือทิ้งที่เก็บสะสมไว้เยอะแต่ไม่ได้ใช้ทำประโยชน์อะไร

“เริ่มจากเพื่อนของพี่ชายที่ทำงานรับเหมาถามพี่ชายว่าจะเอาไม้ที่เหลือไปทำฟืนไหม พี่ชายเลยมาถามเราว่าจะเอาไม้ไปทำอะไรได้บ้าง เราก็บอกว่าเอาไม้มาก่อน แล้วก็เริ่มลองทำเก้าอี้เลย เราจะดูไม้ก่อนว่าไม้ชิ้นนี้ทำอะไรได้บ้าง แล้วค่อยมาออกแบบ ใส่ไอเดียเข้าไปแล้วประกอบเป็นชิ้น”

จากเก้าอี้ตัวแรก พอทำแล้วสนุก ก็มีผลงานชิ้นต่อไปอย่างม้านั่ง ชุดโต๊ะกาแฟ และอีกมากมาย สมบูรณ์สร้างสรรค์งานไม้ด้วยไอเดียนึกสนุกตามใจชอบ ส่วนใหญ่แต่ละชิ้นจึงมีเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น 

เขาใช้ไม้เหลือจากหลายแหล่ง ทั้งไม้จากโรงงานยาสูบ ไม้เก่าที่ซื้อเก็บไว้จากชาวบ้าน ไม้ที่ไม่ใช้แล้วจากหลังคาที่ผุ ทั้งหมดเป็นไม้เนื้อแข็งที่ปลวกไม่กิน ดังนั้นความเก่าของไม้จึงไม่ใช่ข้อเสียแต่กลายเป็นเสน่ห์ที่สวยงามแบบดิบๆ ด้วยลวดลายไม้ตามธรรมชาติ

พอทำไปเรื่อยๆ สมบูรณ์ก็มีงานอดิเรกเพิ่มคือเก็บสะสมไม้ตามที่ต่างๆ ทั้งไม้ที่ไปเจอในเรือประมง ไม้ที่ไปเดินเก็บมาเองตามชายหาดที่เกาะ ไม้ที่เจอโดยบังเอิญเวลาเที่ยวต่างประเทศอย่างญี่ปุ่น 

“บางทีเปิดกระเป๋ามาแล้วเจอไม้เต็มกระเป๋า” บูน่าเล่าถึงแพสชั่นที่ทำให้พ่อของเธอมีชีวิตชีวาหลังเกษียณในรูปแบบที่ต่างออกไปจากตอนทำงานในวัยหนุ่ม “พ่อเคยทำงานผลิตให้โรงงานแล้วต้องทำตามแบบมาตลอด พอได้มาทำงานอดิเรกของตัวเองแล้วชอบมาก เพราะว่าในแต่ละโปรดักส์จะสามารถใส่ไอเดียได้เต็มที่ สมัยก่อนลูกค้าคิดแบบมาแล้วก็ทำตามคำสั่ง แต่ตอนนี้ได้เป็นคนคิดเอง”

นอกจากประสบการณ์ในการทำไม้กวาดบ้านบูรณ์แล้ว สมบูรณ์ยังเคยทำกรอบรูปไม้ให้ Hallmark แบรนด์การ์ดอวยพรชื่อดังเป็นระยะเวลากว่าสิบปี จึงซึมซับความรู้ด้านงานไม้มาจากตรงนั้น และแม้จะมีความเชี่ยวชาญที่ขึ้นชื่อว่าทำให้แบรนด์ระดับโลกแต่ก็เลือกไม่หยุดอยู่ในกรอบและใส่ไอเดียแปลกใหม่เข้าไปในทุกครั้งที่สร้างสรรค์งานไม้ของตัวเอง 

เวลาสมบูรณ์เจอไม้ชิ้นยาว เขาจะไม่อยากตัดทิ้งเพราะเสียดายและอยากคงทรงไม้ธรรมชาติที่เจอตั้งแต่แรกไว้ เลยทำออกมาเป็นม้านั่งแบบยาวและใส่ขาเข้าไปให้เต็มความยาวของไม้นั้น เติมหัวและตั้งชื่อว่าอนาคอนด้า หรือไม้ชิ้นยักษ์ที่มีลวดลายคล้ายคลื่นก็นำมาทำเป็นม้านั่งและตั้งชื่อว่าปลาวาฬ โดยที่ตอนเริ่มทำก็ไม่ได้ตั้งต้นจากการคิดว่าถ้าลูกค้าซื้อแล้วจะเอาไปวางที่ไหน เป็นไอเดียที่เกิดจากการนึกสนุกล้วนๆ 

สมบูรณ์ตั้งชื่อผลงานแต่ละชิ้นอย่างตรงตัวตามภาพในหัว อย่างม้านั่งชื่อตั๊กแตนตำข้าวก็มาจากการเจอไม้ที่มีขนาดเล็กและผอมมาก จึงเกิดไอเดียต่อขาและทำรูปทรงให้คล้ายตั๊กแตน ซึ่งสมบูรณ์บอกว่าไม่น่าเชื่อว่าตัวนี้จะขายได้ แค่เริ่มทำเพราะชอบเท่านั้น 

บูน่าคิดว่าความเป็นออริจินัลของพ่อมาจากการไม่คิดตามใคร 

“เราเรียนสถาปัตย์ สาขาออกแบบอุตสาหกรรมมา มันจะมีคำว่า form follows function เป็นคำที่เด็กดีไซน์เรียนมา หมายความว่าปกติถ้าจะออกแบบงานแต่ละชิ้น มันต้องดูก่อนว่าฟังก์ชั่นของมันจะเป็นอะไร จะเป็นเก้าอี้ ชั้นวางของ หรือจะเป็นอะไร แต่ของพ่อจะเป็น form follows passion อันนี้คือสโลแกนของเขา 

“เช่น ปกติคนจะคิดก่อนว่าจะทำม้านั่ง แต่สำหรับพ่อจะไปนั่งดูไม้แล้วทำรูปทรงมาตามที่เขาอยากจะให้เป็น บางทีเขาจะมาถามเราว่าเห็นไม้ชิ้นนี้เป็นตัวอะไร บางทีพ่อก็จะเล่าว่าเห็นไม้เป็นแพะ งู จระเข้ แล้วเขาก็จะค่อยๆ งอกขาเก้าอี้เป็นขาสัตว์ต่างๆ ซึ่งมันจะไม่เหมือนเด็กดีไซน์ทั่วไปที่ทำงานทีก็ต้องเปิด pinterest เปิดหาแรงบันดาลใจ  

“เราว่าเป็นเพราะพ่อไม่เสพอะไรเลย มันเลยได้ผลงานออกมาเป็นแบบนี้ เราเคยเอาหนังสือดีไซน์ให้ดูเขาก็ไม่ดู เคยให้ดู pinterest เขาก็ดูบ้างแค่นิดหน่อย เขาชอบสังเกตแต่ถ้าให้ไปงานแฟร์เพื่อดูงานดีไซน์จริงๆ จะไม่ค่อยดู ซึ่งเราว่ามันก็ดีนะที่ไม่ติดกรอบอะไรเลย ไม่มีภาพจำว่างานของดีไซเนอร์ชื่อดังต้องเป็นแบบนี้ งานของญี่ปุ่นต้องเป็นสไตล์นี้ คือเขาไม่มีกรอบอะไรเลย บางทีแค่เห็นว่าเป็นนกก็เลยทำนกขึ้นมา เราก็เลยคิดว่าบางทีการไม่มีกรอบเลยมันก็ดีเหมือนกัน”

งานไม้ที่เซอร์ไพรส์ลูกค้า

ทั้งนี้นอกจากงานที่สนุกกับการทำตามใจตัวเองแล้ว Boon’s Hobby ก็รับงานสั่งทำตามออร์เดอร์ลูกค้าด้วย แต่สำหรับใครที่สนใจสั่งทำอาจต้องเว้นที่ว่างสำหรับความยืดหยุ่นเล็กน้อยเพราะสมบูรณ์บอกว่าอยากใช้ไม้เหลือใช้ที่มีอยู่มากกว่าหาไม้ใหม่ที่ตรงตามแบบในใจของลูกค้าเป๊ะๆ  

บูน่าอธิบายการเซตความคาดหวังระหว่างแบรนด์กับลูกค้าว่า “เพราะฉะนั้นถ้าลูกค้ามา เราก็จะบอกเขาว่าถ้าอยากได้งานที่เนี้ยบ เป๊ะ อาจจะไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่ เพราะที่นี่จะพยายามคงรูปทรงธรรมชาติของไม้เอาไว้ บางทีอาจจะไม่ได้ตามไซส์ที่ลูกค้าต้องการเป๊ะๆ เพราะเราอยากใช้ไม้ที่เรามี ไม้บางอันอาจจะมีหน้ากว้างไม่ถึงขนาดที่อยากได้ พอบอกไป ลูกค้าก็จะโอเค”

งาน custom-made สำหรับลูกค้าของสมบูรณ์จึงไม่ได้มีจุดเด่นที่ตรงตามแบบแต่เป็นการสร้างสรรค์งานที่เหนือความคาดหมาย เช่น เก้าอี้ที่ทำให้ลูกค้าผู้เป็นเจ้าของร้านเสื้อผ้าก็เริ่มจากไม่มีบรีฟ ลูกค้าอยากให้ออกแบบงานไม้อะไรก็ได้ตามสไตล์ของ Boon’s Hobby ออกมาเป็นเก้าอี้ที่จำลองลักษณะการเย็บแบบฝีจักรด้วยการนำเดือยไม้มาเรียงต่อกันเพื่อให้คล้ายรอยเย็บผ้า 

หรือบางงานลูกค้าก็บรีฟฟังก์ชั่นที่ต้องการ แล้วให้สมบูรณ์ออกไอเดียได้อย่างอิสระ ตัวอย่างเช่น อุปกรณ์ช่วยถอดรองเท้าบูตพร้อมที่ขัดดินออกจากรองเท้า โดยทั่วไปแล้วของชิ้นนี้จะมีหน้าตาคล้ายแท่นไม้สำหรับงัดรองเท้าเพื่อให้ถอดออกง่าย แต่สมบูรณ์เล็งเห็นว่าการใช้แท่นงัดรองเท้าแล้วยืนถอดทำให้ถอดออกยาก เลยตีความเป็นเก้าอี้สำหรับนั่งถอดรองเท้าได้สบายพร้อมแท่นงัด 

ส่วนชิ้นงานที่ดูเรียบง่าย ไม่น่าจะมีฟังก์ชั่นให้แต่งเติมไอเดียแหวกแนวอะไรลงไปได้อย่างกระดานหมากรุก สมบูรณ์ก็ทำเนินไม้นูนขึ้นมาเล็กน้อยตรงกลางกระดานเพราะจินตนาการว่าเวลาคนเล่นหมากรุกจะเหมือนข้ามภูเขาไปสู้กัน

เป็นงานที่ไม่เคย play safe และเหมาะกับลูกค้าที่ชอบความเซอร์ไพรส์ซึ่งบูน่าบอกว่า “เวลาบางคนอยากให้ในบ้านมีของอะไร ก็จะมาถามว่าคุณพ่อทำได้หรือเปล่า เลยทำของออกมาหลากหลาย เซตโต๊ะก็มีเยอะ ที่วางของตรงระเบียงต่างๆ โต๊ะข้างเตียง บันไดไม้ ที่วางต้นไม้ ป้าย” 

Price
ราคาของวงปีที่ยาวนาน 

ด้วยการคิดงานแบบศิลปะที่สร้างสรรค์ผลงานแต่ละชิ้นออกมาไม่เหมือนกันเลย การตั้งราคาจึงพิจารณาเป็นชิ้นต่อชิ้นเหมือนหลักการตั้งราคาเวลาทำงานศิลปะหรืองานฝีมือ ทำให้มีราคาสูงกว่าร้านเฟอร์นิเจอร์ทั่วไป 

“เราจะดูคุณค่าของไม้ก่อน รูปทรงของไม้ และความยากง่ายในการทำ” สมบูรณ์อธิบายสมการตั้งราคาที่บางครั้งขั้นตอนการทำไม่ยากแต่คุณค่าของไม้ที่ใช้เป็นไม้หายากก็จะทำให้มีราคาสูงขึ้น ในขณะที่บางงานใช้ไม้ขนาดเล็กแต่ขั้นตอนการทำซับซ้อน ก็จะพิจารณาจากหลายปัจจัยในการกำหนดราคาของแต่ละชิ้น

สาเหตุที่งานศิลปะหรืองานออกแบบที่สร้างสรรค์เหล่านี้มักมีราคาสูงเพราะต้องสะสมต้นทุนทางนามธรรมที่มองไม่เห็นอย่างต้นทุนในการลับคมทักษะความคิดสร้างสรรค์หรือสไตล์เฉพาะของแต่ละคนที่อาศัยการเก็บชั่วโมงบินที่ยาวนานกว่าจะมีสายตาของนักอออกแบบที่เฉียบคม 

ต้นทุนเหล่านี้ต้องสะสมผ่านกาลเวลาจนเกิดเป็นกึ๋นส่วนตัว เหมือนอย่างที่สมบูรณ์วัย 72 ปีสังเกตในสิ่งที่ไม่มีใครเห็นว่าลวดลายของไม้เก่าที่ผ่านการสะสมวงปีมายาวนานกว่า 100 ปีนั้นมีสไตล์    

“ส่วนใหญ่จะใช้ไม้เนื้อแข็งอายุร้อยปีขึ้นไป ไม้ประดู่ ไม้มะค่า ไม้เต็ง ไม้แดง พวกนี้ปลวกมันจะไม่ค่อยกิน ไม้พวกนี้ตอนแรกคนจะไม่เห็นคุณค่าเพราะเป็นสีดำๆ ไปหมด ต้องเอามาขัดมาล้างก่อนแล้วเราจะเห็นลายไม้ขึ้นมา ในการขัดเราจะค่อนข้างพิถีพิถัน ใช้แปรงทองเหลืองในการขัดที่มีความแข็งแรงถึงจะขัดได้ 

“อย่างเช่นมีไม้ชิ้นหนึ่งฝังดินอยู่ แค่ช่วงที่ฝังดินก็น่าจะไม่ต่ำกว่า 30-40 ปีแล้ว อยู่ในดินโดนทับไปทับมา มันทำให้เรารู้สึกอยากเอามาทำ เราก็ไปขุดขึ้นมา มันต้องแก่ระดับหนึ่งถึงจะเลื่อยได้” 

จากไม้เก่าที่คนทั่วไปมองว่าเป็นเศษขยะ พอนำมาขัดให้ลายไม้เด่นชัดและใส่จินตนาการเข้าไป ก็มีราคาตั้งแต่ 1,000 บาทสำหรับชิ้นเล็กไปจนถึง 20,000-30,000 บาท สำหรับชิ้นใหญ่อย่างโต๊ะ ช่วงราคาค่อนข้างกว้างเพราะมีสินค้าหลายประเภท 

งานอดิเรกของสมบูรณ์แสดงให้เห็นว่าคนเราจะตั้งราคาในของสิ่งใดไม่ได้ ถ้ามองไม่เห็นคุณค่าของสิ่งนั้นเสียก่อน 

Place
ขายตามใจสั่งมา 

การทำตามใจชอบหรือ ‘ใจสั่งมา’ โดยไม่ได้ปักธงว่าต้องขายดีคือความหมายของ ‘งานอดิเรกที่ขายได้’ ซึ่งแตกต่างจากการตั้งใจทำธุรกิจเพื่อตั้งใจขายตั้งแต่แรก 

แต่เดิมแบรนด์ไม้กวาดบ้านบูรณ์ของครอบครัวสมบูรณ์มีวางขายที่ Woot Woot ร้านขายของวินเทจย่านเจริญกรุงอยู่แล้ว บูน่าเล่าว่าพอพ่อเริ่มสนุกกับงานไม้ ก็เพิ่มสินค้าที่ฝากวางขายที่ร้านทีละชิ้นสองชิ้น  

“ตอนแรกจะเอากรอบรูปมาขายอย่างเดียวเพราะมีกรอบรูปที่เคยทำไว้เหลืออยู่ แต่เหมือนพ่อสนุก พอได้ไม้มาก็ทำเป็นเก้าอี้แล้วก็เอาไปให้ร้านขายเลย ตั้งใจทำมาชิ้นเดียวเอาสนุก คิดว่าขายได้หรือไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ทางร้านก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร ปรากฏพอวางหน้าร้านแล้วขายได้เลย เป็นลูกค้าฝรั่งมาซื้อไป ตอนนั้นยังไม่ได้ตั้งชื่อแบรนด์ด้วยซ้ำ”

แม้จะดูเป็นเรื่องบังเอิญที่พอทำมาก็ขายได้ทันทีแบบง่ายดาย แต่สาเหตุที่แจ้งเกิดได้ง่าย เพราะสไตล์งานไม้ของ Boon’s Hobby นั้นมีเอกลักษณ์เด่นชัด เป็นสไตล์รัสติกที่สอดคล้องกับความชอบของกลุ่มลูกค้าที่ร้านซึ่งรักงานวินเทจและงานคราฟต์อยู่แล้ว โดยส่วนใหญ่จะเป็นสายอาร์ตติสท์หรือกลุ่มคนที่ชอบแต่งบ้าน มีหลากหลายกลุ่มทั้งศิลปิน ดารา ผู้กำกับ ช่างภาพ ฯลฯ ที่ถูกใจในความคิดสร้างสรรค์ 

และเพราะเป็นงานอดิเรก ลูกค้าและพาร์ตเนอร์ของ Boon’s Hobby จึงเป็นเพื่อนที่สนใจในสไตล์เดียวกันด้วย “ตั้งแต่ทำ Boon’s Hobby มา พ่อจะได้เพื่อนใหม่เยอะมาก คนที่มาสั่งทำงานไม้ พอคุยไลน์เรื่องสินค้ากัน สุดท้ายก็จะสนิทกัน กลายเป็นมีเพื่อนเยอะ” 

“อย่างเจ้าของร้าน Mana.Chujai Café ก็เป็นลูกค้าของพ่อมาก่อน พอเขามาเปิดร้านก็เลยได้เอางานไม้ของพ่อมาวางขาย” ปัจจุบันช่องทางการขายผลงานของสมบูรณ์มีทางออฟไลน์ 2 ช่องทางคือร้าน Woot Woot และ Mana.Chujai Café ที่เป็นเพื่อนกัน  นอกจากนั้นสำหรับการขายและการสั่งทำอื่นๆ สามารถติดต่อได้ในช่องทางออนไลน์ 

Promotion
ถ้าคาแร็กเตอร์ชัด ก็ไม่ต้องพยายาม

ในฐานะที่บูน่าทำงานสายโฆษณาและช่วยพ่อทำ Boon’s Hobby ยามว่าง บูน่าบอกว่าหน้าที่ของเธอคือช่วยเล่าเรื่องของพ่อให้คนทั่วไปได้รับรู้

“พอพ่อเริ่มทำแล้วเอาไปวางขาย เราก็ทำแบรนดิ้งเพราะรู้ว่าถ้าทำแล้วเอาไปวางเฉยๆ โดยไม่มีสตอรีอะไร คนก็ไม่ได้รู้ถึงคุณค่าของงาน เหมือนไปเจเจ ไปเชียงใหม่ มันก็จะมีงานไม้ดิบๆ แบบนี้เหมือนกัน เราก็เลยเล่าเรื่องราวของพ่อให้ขนานกันไปด้วย”   

บูน่ารู้สึกว่างานอดิเรกของพ่อนั้นไม่ต้องออกแบบการสื่อสารมากมายนัก เพราะพ่อมีของที่ทำให้เกิดสตอรีอยู่แล้ว

“บางทีเราทำงานโฆษณาเพื่อขายของ ก็ต้องนั่งคิดคอนเซปต์และเมสเซจ แต่สำหรับพ่อจะมีคอนเทนต์ในตัวเอง ทำอะไรก็มีคอนเทนต์ แค่การตั้งชื่อหรือการมองไม้เป็นรูปของเขาก็เป็นเรื่องเล่าได้แล้ว เราเลยรู้สึกว่าไม่ได้ต้องพยายามสื่ออะไร แค่เล่าตรงๆ ว่าวันนี้พ่อทำอะไร เบื้องหลังของงานชิ้นนี้พ่อคิดอะไร เพราะพอความคิดของเขามันแปลก ไม่เหมือนใคร มันก็เป็นคอนเทนต์อยู่แล้ว ” 

เรื่องเล่าสนุกๆ ของงานไม้แต่ละชิ้นในเพจ Boon’s Hobby มีตั้งแต่เรื่องราวของ Robot เก้าอี้นั่งทรงเหลี่ยม, เรื่องเล่าของ E.T. ชั้นวางต้นไม้รูปทรงประหลาดตาจากการเอาไม้เล็กๆ หลายชิ้นมาต่อกัน, หลายสิบเรื่องที่เล่าเส้นทางการเดินทางของไม้ที่แปรแปลี่ยนเป็นรูปสัตว์ในจินตนาการนานาชนิด ทั้งปลาวัวจากไม้ที่เกาะช้าง, โคอาล่า, เก้าอี้แพะพี่และแพะน้อง ฯลฯ 

สไตล์ของสินค้าที่มีคาแร็กเตอร์ชัด ไม่เหมือนใครและไม่อิงกระแสช่วยทำให้ไม่เหนื่อยในการโปรโมตแบรนด์ บูน่าบอกว่าแม้แต่ตัวเธอเองในตอนแรกก็ยังมองว่าสมัยนี้ผู้คนน่าจะนิยมเทรนด์งานไม้เรียบๆ มินิมอล จึงเคยอยากแนะนำให้พ่อทำสไตล์เรียบง่ายมากกว่า ซึ่งพอปล่อยให้พ่อได้ทำตามสิ่งที่ชอบมาเรื่อยๆ ทุกวันนี้ก็พบว่ามีกลุ่มคนที่ชอบเหมือนพ่อจริงๆ “โชคดีที่ตอนนั้นไม่ได้เบรกไว้ก่อน ถ้าทำเรียบๆ ก็คงไม่มีคาแร็กเตอร์แล้ว”

หากมีสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งที่สมบูรณ์อยากเล่าให้คนที่ติดตามแบรนด์รับรู้ก็คงเป็นคุณค่าของงานไม้  “อยากให้ลูกค้าไม่ว่าจะเป็นเด็กรุ่นใหม่หรือคนรุ่นไหนก็แล้วแต่ได้เห็นคุณค่าของไม้ กว่าไม้ชิ้นหนึ่งจะออกมาเป็นลักษณะแบบนี้ได้ต้องเติบโตมาเป็นร้อยปี ไม้พวกนี้ถูกทิ้งไว้เฉยๆ บางทีก็ถูกโยนเข้ากองไฟ เราก็อยากให้คนเห็นมูลค่าของมัน”

Pass
ผ่านมาเยอะและปล่อยให้ผ่านไป 

P สุดท้ายที่สมบูรณ์ในวัย 72 ปีใช้ในการทำ Boon’s Hobby คือ “Pass” การผ่านอะไรมาเยอะแล้วปล่อยให้มันผ่านไป   

คือการไม่ยึดติด ทำสิ่งที่ไม่เหมือนเดิมในแต่ละวันซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมงานของสมบูรณ์ถึงไม่ค่อยซ้ำกัน เพราะทำเสร็จแล้วเริ่มใหม่ตลอด สำหรับงานที่เคยประสบความสำเร็จมาแล้ว ก็ลืมมันไป แล้วเริ่มไอเดียสดใหม่ในงานต่อไปเรื่อยๆ “บางทีเราทำงานผ่านอะไรมาเยอะ ล้มลุกบ้าง ถ้าเรามานั่งย้อนหลังอยู่เรื่อยตลอดเวลา เราก็จะเดินหน้าไม่ได้ อยู่กับที่ตลอด”  

ในสายตาของบูน่าผู้เป็นลูกสาวที่เห็นพ่ออินกับงานไม้มาตลอดหลายปีที่ผ่านมา เธอบอกว่า “สำหรับบางงานที่มีปัญหา พ่อก็จะลืม ลืมง่ายแล้วก็จะเริ่มต้นใหม่ได้เร็ว แม้แต่อะไรที่ดีแล้วก็ไม่จำ เพราะพ่ออยากทำสิ่งใหม่ไปเรื่อยๆ ด้วยความที่ทำมาเยอะ พ่อจะชอบทำอะไรที่มัน beyond เช่น ถ้าทำม้านั่งก็จะไม่ทำแบบที่คนอื่นทำมาเยอะแล้ว จะคิดว่าต้องทำอะไรที่มันไม่ซ้ำเดิมหรือทำแบบใหม่บ้าง ซึ่งมันเป็นความคิดที่วัยรุ่นมาก”

เมื่อถามคุณพ่อสมบูรณ์ว่ามีคำแนะนำอะไรให้คนหนุ่มสาวที่อยากเดินหน้าออกแบบงานดีไซน์หรือ
ริเริ่มงานอดิเรกเป็นของตัวเองไหม สมบูรณ์แนะนำว่า 

“ให้คิดเอง”

ขอขอบคุณสถานที่ Mana.Chujai Café

ข้อมูลติดต่อ :
วางจำหน่ายที่หน้าร้าน 2 แห่ง : Woot Woot Store, เจริญกรุง 30 และ Mana.Chujai Café ลาดพร้าววังหินซอย 3
Facebook : Boon’s Hobby
Instagram : Boonshobby
Email : [email protected]
Phone : 0879344114

เบื้องหลังการปั้นแบรนด์ยาดมสมุนไพรของเก่ง–ธีระพงศ์ ระบือธรรม

ยิ่งใช้ ยิ่งนาน ยิ่งหอม คือซิกเนเจอร์ของยาดมหงส์ไทย

ยาดมหงส์ไทย หรือที่ใครๆ เรียกติดปากว่า ‘ยาดมกระปุกเขียว’ เติบโตมาแล้ว 17 ปี โดดเด่นตั้งแต่บรรจุภัณฑ์ กลิ่นหอมของสมุนไพรที่เป็นเอกลักษณ์ เป็นอีกตัวช่วยที่เราเชื่อว่าใครหลายคนในที่นี้มีติดตัวแน่ๆ เหนื่อยล้าแค่ไหน แค่หยิบหงส์ไทยขึ้นมาสูดปื๊ดสักทีนึง สมองก็ปลอดโปร่ง โล่งแน่ๆ

สรรพคุณของยาดมดีขนาดไหนคนที่เคยใช้คงไม่ต้องบรรยายมาก แต่หากถามว่าหงส์ไทยนิยมขนาดไหนนะหรือ ก็ขนาดที่ว่าศิลปินดังๆ รวมถึงศิลปินระดับโลกอย่าง ‘ลิซ่า BLACKPINK’ ยังมียาดมหงส์ไทยติดตัว จนพลอยทำให้สินค้าขาดตลาดเพราะแฟนๆ แห่ไปซื้อตาม

กว่าสินค้านอกกระแสอย่างยาดมหงส์ไทยจะกลายมาเป็นสินค้าที่อยู่ในกระแส ฮิตติดลมอย่างทุกวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะกว่าจะเป็นที่รู้จัก เก่ง–ธีระพงศ์ ระบือธรรม เจ้าของผู้ก่อตั้งต้องผ่านอุปสรรคมามากมาย

1. ค้นพบพรสวรรค์การขายตอนเป็นทหาร

ธุรกิจยาดมหงส์ไทยของธีระพงศ์เป็นรูปเป็นร่างตอนที่เขาอายุสามสิบ แต่ก่อนหน้านั้นเขาผ่านสารพัดประสบการณ์มาอย่างทุลักทุเล เขาเคยทำอาชีพทั้งเมสเซนเจอร์ที่โรงพิมพ์ ทำงานถ่ายภาพ ทำโบรชัวร์ และตัดสินใจไปอยู่วัด 1 เดือน แต่จุดเปลี่ยนชีวิตที่ทำให้ธีระพงศ์ค้นพบพรสวรรค์ในการขาย การพูด คือตอนไปเป็นทหารซึ่งต้องไปอยู่ร้านค้าในกองร้อยและต้องทำยอดขายให้ได้มากกว่าที่กำหนด

“เราโดนให้ไปอยู่ร้าน PX ซึ่งเป็นร้านค้าของกองร้อย และต้องทำยอดขายให้ได้มากกว่าคนเก่า คนเก่าทำไว้ 1,200 บาท เราเข้าไปทำก็กลายเป็น 6,000 บาท, 8,000 บาท เยอะสุดก็ 30,000 กว่าต่อเดือน ถือว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในตอนนั้น”

2. ทำธุรกิจขายแคบหมูมาก่อน

หลังออกจากการเป็นทหาร ธีระพงศ์เริ่มทำธุรกิจแรกด้วยการขายแคบหมูและน้ำพริก โดยฝากขายตามร้านโชห่วย แม้ธุรกิจแคบหมูและน้ำพริกจะไปได้ดีในช่วงแรก แต่ทว่าธุรกิจก็ค่อยๆ ดิ่งลง

3. ลงเรียนทำพิมเสนน้ำเพราะอ่านเจอในมุมสร้างอาชีพในหนังสือพิมพ์

หลังจากนั้นเขาบังเอิญไปอ่านหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ เจอมุมสร้างอาชีพสอนทำพิมเสนน้ำ เขาจึงไปลงคอร์ส และเริ่มลองทำพิมเสนน้ำเป็นครั้งแรก และเพราะว่าธีระพงศ์ไม่ได้เรียนหนังสือ สูตรการทำธุรกิจของหงส์ไทยจึงไม่มีในตำราเล่มใด ทุกอย่างเกิดจากการเรียนรู้ ลอง และพัฒนาไปเรื่อยๆ อย่างไม่หยุดยั้ง

ธีระพงศ์บอกกับเราว่า “เราไม่ได้เรียนหนังสือ สูตรการทำธุรกิจจึงไม่ได้มีตำรา ไม่มีต้นสายปลายเหตุ แนวการทำธุรกิจของเราเลยอาจจะแปลกๆ หน่อย บางคนบอกมันจะเป็นไปได้เหรอ แต่ทุกวันนี้ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้ว หงส์ไทยทำธุรกิจไปสุด และเดินทางมาถึงเส้นเหมือนกัน”

ตอนนั้นเหมือนธุรกิจพิมเสนน้ำของเขาจะไปได้ดี ขายแบบเทน้ำเทท่า แต่ทว่าคู่แข่งที่มีมากขึ้นและตัดราคากันก็ทำให้ไปไม่รอด ไม่เพียงแค่พิมเสนน้ำของธีระพงศ์ที่ไปไม่รอด แต่ทั้งตลาดตอนนั้นก็ไม่รอดเช่นกัน

พิมเสนน้ำของหงส์ไทยออกจากตลาดไปอยู่หลายปี ก่อนที่จะกลับมาอีกครั้งจากการตามหาของลูกค้าที่ตามหาตลอดช่วงที่หายไป การกลับมารอบใหม่นี้ในช่วงปี 2548-2549 ยาดมหงส์ไทยกระปุกสีเขียวก็ถือกำเนิดขึ้น

4. ชื่อหงส์ไทย มาจากรูปปั้นหงส์ที่เจอระหว่างทางตอนไปทำงานที่ต่างจังหวัด

ส่วนชื่อของหงส์ไทยนั้น ธีระพงศ์บอกว่า “ได้มาจากตอนที่เราไปทำงานสารคดี ลงไปที่ภูเก็ตครั้งแรกเจอรูปปั้นหงส์ระหว่างทาง คิดว่าหงส์ตัวนั้นสวยมาก เวลาเดินทางไปทำงานที่ภูเก็ตครั้งไหนๆ เลยเฝ้ามองตลอด พอมาทำพิมเสนน้ำ ตอนจะตั้งชื่อเลยนึกถึงหงส์ตัวนั้น ก็เลยตั้งชื่อแบรนด์ว่าหงส์ไทย”

5. ช่วงแรกใช้วิธีเดินเร่ขายก่อนจะกระจายไปทั่วประเทศ

หงส์ไทยไม่ใช่แค่ทำธุรกิจแบบแค่ออกผลิตภัณฑ์ เพิ่มไลน์โปรดักต์ใหม่ เพื่อยอดขายที่มากขึ้นอย่างเดียว แต่หงส์ไทยทั้งเปลี่ยนวิธีการขายจากเคยเดินเร่ขายในช่วงแรก ก็ปรับกลยุทธ์เป็นการวางขายตามร้านขายสมุนไพร ร้านสะดวกซื้อ และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ

6. ช่วงแรกผลิตได้วันละ 10 ชิ้น ตอนนี้ยาดมกระปุกเขียวผลิตได้เดือนละ 300,000 ชิ้น

การทำธุรกิจของหงส์ไทยเจอปัญหามาเยอะตลอดช่วง 8 ปีแรก โดยเป็นเรื่องของคน พนักงานเข้าๆ ออกๆ กว่าจะแก้ปัญหาได้ก็ใช้เวลาหลายปีจนวันนี้หงส์ไทยแข็งแกร่งเพราะผ่านมรสุมมาทุกยุค พนักงานจาก 20 คน ตอนนี้มีกว่า 200 คน และปีนี้น่าจะมีพนักงานถึง 300 คน ทำให้จากที่เริ่มทำเองคนเดียวผลิตสินค้าได้วันละ 10 ชิ้น ตอนนี้ยาดมกระปุกเขียวผลิตได้เดือนละ 300,000 ชิ้น

7. หงส์ไทยใช้วิธีการพัฒนากลิ่นด้วยการหาค่ากลางจนได้กลิ่นที่ลงตัว

ลึกซึ้งไปกว่านั้นเพราะกว่าผลิตภัณฑ์หงส์ไทยจะออกมาแต่ละชิ้น ธีระพงศ์หยิบเอาดาต้ามาใช้เช่นกัน ดาต้าที่ว่านี้คือฟีดแบ็กและคำวิจารณ์ของลูกค้าตำหนิว่ากลิ่นไม่หอม ก็เอามาปรับปรุงพัฒนาอยู่ตลอด

“กลิ่นเป็นศาสตร์ เมื่อเราหาค่ากลางได้ ทำให้ยาดมหงส์ไทยเป็นยาดมที่ทุกกลุ่มดมได้ ยาดมกระปุกสีเขียวเป็นกลิ่นสากล กระปุกสีเหลืองเป็นกลิ่นเฉพาะ ส่วนกระปุกสีขาวกลิ่นมาตรฐาน ทุกอย่างพัฒนาแล้วกลิ่นต้องดีกว่าเดิม”

8. หงส์ไทยพัฒนามาแล้วมากกว่า 500 รอบ

จากการพัฒนากลิ่นให้เป็นเอกลักษณ์มาอย่างต่อเนื่อง จึงไม่แปลกใจที่ยาดมกระปุกเขียวสุดฮิตที่ขายดีที่สุดของหงส์ไทยนี้จะถูกปรับปรุงพัฒนามาแล้ว 30 รอบ และผลิตภัณฑ์ของหงส์ไทยทั้งหมด 50 กว่ารายการนี้ถูกพัฒนารวมทั้งหมดกว่า 500 รอบไปแล้ว

9. ยึดหลัก ‘ทำออกมาขายแล้วขาดทุนได้ แต่ต้องไม่ลดคุณภาพ’

สิ่งที่แตกต่างของหงส์ไทยอีกเรื่องคือคุณภาพ ‘ทำออกมาขายแล้วขาดทุนได้ แต่สิ่งสำคัญคือต้องไม่ลดคุณภาพ’ ที่ทำให้หงส์ไทยยืนระยะอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ หลักการทำธุรกิจโดยปกติทั่วไปต้องคิดถึงต้นทุน ทำแล้วมีกำไร แต่วิถีการทำธุรกิจของธีระพงศ์กลับไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะเขาเชื่อว่าการพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคคือสิ่งที่ควรทำที่สุด

เขายังบอกอีกว่า สินค้าที่วางขายในตอนนี้มี 5 ผลิตภัณฑ์ที่ทำแล้วขาดทุนตั้งแต่วางขายเลย แต่หงส์ไทยก็เลือกที่จะทำและวางขายอยู่ดี เพราะแม้ว่าสินค้าทั้งห้าตัวนี้จะขาดทุน แต่เมื่อรวมกับทั้งหมดที่มีหักลบกันแล้ว หงส์ไทยแค่กำไรน้อยลงเท่านั้นเอง

นั่นหมายความว่าหงส์ไทยเลือกที่จะแตกต่าง และพัฒนาจุดยืนเรื่องคุณภาพมาตั้งแต่ต้น และไม่อยู่ในตลาดที่เป็นตัวเลือกและแข่งขันเรื่องราคา แต่ออกมายืนนอกตลาด และทำตลาดของหงส์ไทยเองที่เมื่อลูกค้ามาซื้อแบรนด์หงส์ไทยแล้ว จะไม่กลับไปซื้อแบรนด์อื่นในตลาดอีก

10. เติบโตอย่างแข็งแกร่ง

ณ ตอนนี้ ธีระพงศ์บอกว่าคือยุคที่หงส์ไทยพร้อมที่จะขึ้นไปยืนอยู่ในท็อป 10 ของตลาดยาดมในไทย และตั้งเป้าว่าไม่เกินปี 2568 จะต้องมีโรงงานที่มีมาตรฐานมากขึ้นกว่าเดิม ที่ตอนนี้กำลังเป็นรูปเป็นร่างแล้ว

เบื้องหลังวิธีคิดการตั้งชื่อร้านที่ ปลา อัจฉรา นิยามหลักการว่า ‘เพ้อเจ้อริ่ง’

“เชื่อไหมว่าการตั้งชื่อร้านเป็นเรื่องที่ให้ความสำคัญเป็นอันดับ 1 เลยนะเวลาทำแบรนด์”

ปลา–อัจฉรา บุรารักษ์ ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารร้านอาหารในเครือ iberry Group พูดถึงการให้ความสำคัญกับชื่อร้านอาหารที่เธอเป็นผู้ก่อตั้งและร่วมก่อตั้ง

“ถ้าชื่อแบรนด์เราดี มันจะเป็นต้นทุนที่ดีในการคลอดแบรนด์ มันช่วยเรื่องการมองเห็น การจดจำ การรับรู้ของคน ถ้าเรา pick ชื่อที่ใช่ มันจะส่งให้แบรนด์เราติดตลาดได้เลยนะ พอคิดได้ว่าเราอยากจะขายอะไร เราก็เริ่มคิดชื่อเลย แล้วก็ตอนที่เราตั้งชื่อแบรนด์ เราจะแทนแบรนด์นั้นให้เป็นคน แต่ละแบรนด์เลยจะมีคาแร็กเตอร์ที่เป็นคนที่ลุคต่างกันออกไป”

ไม่แปลกใจที่เราจะได้เห็นร้านก๋วยเตี๋ยวเรือที่ชื่อ ‘ทองสมิทธิ์’ ร้านยำแซ่บลืมที่ชื่อ ‘เบิร์นบุษบา’ กระทั่งร้านหมูกระทะที่เธอเพิ่งเปิดอย่าง ‘ชิ้น โบ แดง’ สิ่งที่น่าสนใจคือแต่ละชื่อที่เธอตั้งล้วนมีโครงสร้างที่แตกต่างจากชื่อร้านอาหารประเภทเดียวกันอย่างสิ้นเชิง แถมความแหวกแนวที่ว่านี้ยังกระตุกจิต กระชากใจผู้พบเห็นให้อยากมาชิมรสชาติ ทั้งที่อาจไม่รู้ว่าแต่ละร้านของปลานั้นขายอะไรบ้าง

เพราะนอกจากรสชาติอาหารแล้ว การจะทำแบรนด์ให้สำเร็จได้นั้นประกอบไปด้วยปัจจัยหลายอย่าง และศาสตร์การตั้งชื่อก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ปลา iberry จริงจัง Capital เลยพาทุกคนไปลงลึกเบื้องหลังศาสตร์การตั้งชื่อแบบ ‘เพ้อเจ้อริ่ง’ ที่เธอบัญญัติขึ้น ว่าการทำงานของศาสตร์ที่ว่านั้นเป็นยังไง

1. iberry

iberry เป็นร้านแห่งจุดเริ่มต้นของปลา อัจฉรา ในวัย 22 จุดเด่นของ iberry คือเป็นร้านไอศครีมรสชาติออร่อยที่รังสรรค์ขึ้นจากผลไม้ไทยและเทศ จุดเด่นนี้เองที่เป็นที่มาของชื่อร้าน เพราะปลาเพียงเอาคำว่า ‘ice cream’ ผสมรวมกับคำว่า ‘berry’ ผลไม้ตระกูลเปรี้ยวที่นิยมใช้เป็นส่วนผสมหลักของไอศครีม

2. กับข้าว’ กับปลา

ร้านอาหารที่เน้นเสิร์ฟเมนูอาหารไทยหลากหลายเมนู ทั้งเมนูอาหารจานเดียว และเมนูที่กินกับข้าว ปลาเล่าว่าชื่อร้านที่ว่า ‘กับข้าว’ กับปลา’ นั้นสะท้อนถึงสิ่งที่ร้านอาหารแห่งนี้เน้นเสิร์ฟ ทั้งยังสื่อว่าเมื่อมาทานข้าวร้านนี้ก็เหมือนลูกค้าทุกคนกำลังทานข้าวร่วมโต๊ะกับปลา อัจฉรา ยังไงยังงั้น

3. รส’นิยม

รส’นิยม เป็นอาหารรสมือคุณป้าที่เน้นขายอาหารเมนูที่คนไทย ‘นิยม’ สั่ง ไม่ว่าจะขนมจีนน้ำยาปักษ์ใต้ ข้าวราดกะเพรา ผัดไทย ลูกชิ้นทอด นอกจากชื่อร้านจะมาจากการเน้นขายเมนูยอดนิยมแล้ว ปลายังคิดชื่อ ‘รส’นิยม’ ได้จากคำว่า ‘good taste’ หรือการมีรสนิยมที่ดีด้วย

4. iBERISTA

iBERISTA คือร้านกาแฟในเครือ iberry ที่ปลาบังเอิญเปิดขึ้นมาเพราะพื้นที่ของ กับข้าว’ กับปลา สาขาเกษรพลาซ่านั้นค่อนข้างใหญ่ หลักการการตั้งชื่อนั้นไม่ยาก เพราะเมื่อรู้แน่ชัดว่าจะขายกาแฟ เธอก็หยิบเอาคำว่า ‘iberry’ ซึ่งเป็นเครือหลักของเธอ มาผสมรวมกับคำว่า ‘barista’ หรือคนชงกาแฟนั่นเอง ถือเป็นชื่อที่ไม่เพียงแต่เก๋ แต่อ่านแล้วรู้เลยว่าขายอะไร และอยู่สังกัดไหน

5. โรงสีโภชนา

โรงสีโภชนาคือร้านอาหารแนวไทย-จีน ในพื้นที่หลังสวนและนางลิ้นจี่ แต่แรกเริ่มเดิมทีปลาจะเปิดร้านนี้ที่ล้ง 1919 แถบเจริญนคร ซึ่งเคยเป็นโกดังเก็บข้าวมาก่อน คำว่า ‘โรงสี’ ซึ่งสะท้อนถึงฟังก์ชั่นเดิมของสถานที่ ทั้งยังสื่อถึงความเป็นลูกจีนได้ดี จึงเป็นคำตั้งต้นหลักที่เธอคิดได้ จากนั้นจึงเติมคำว่า ‘โภชนา’ ลงไป ซึ่งสะท้อนถึงความโอลด์สคูลของร้านอาหารได้ดี

6. ข้าวต้มกุ๊ยโรงสี

ข้าวต้มกุ๊ยโรงสีคือร้านอาหารที่ขายข้าวต้มกุ๊ยและกับข้าวในแพลตฟอร์มออนไลน์เดลิเวอรี ที่ได้ชื่อนี้มาเพราะปลามองว่าข้าวต้มกุ๊ยโรงสีเป็นซับเซตของโรงสีโภชนานั่นเอง เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่ไม่ได้อยากทานเมนูหนักๆ ช่วงเย็น

7. ทองสมิทธ์

ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือพรีเมียมอย่างทองสมิทธ์เป็นการร่วมหุ้นระหว่างปลาและเพื่อนๆ ส่วนชื่อร้านนั้น ปลาเล่าว่าชื่อ ‘ทองสมิทธ์’ ได้จากการที่เธอเสนอเพื่อนๆ ว่าเธอชอบคำว่า ‘ทอง’ เพราะดูหนักแน่นหรูหรา จากนั้นจึงลองหาคำนั้นผสมคำนี้ จนได้คำว่า ‘สัมฤทธิ์’ หมายถึงทำอะไรก็สัมฤทธิ์ผล ซึ่งมีรากศัพท์เดียวกับคำว่า ‘สมิทธ์’ เมื่อนำมารวมกัน ปลามองว่านอกจากจะอ่านเข้าปากและเพราะแล้ว ฝรั่งยังออกเสียงได้ง่ายด้วย

8. เจริญแกง

ในบรรดาร้านอาหารทั้งหมด เจริญแกงถือเป็นร้านที่ปลาปั้นเร็วที่สุดเพื่อจัดการกับวัตถุดิบที่มีในช่วงโควิด-19 เริ่มระบาด แต่ถึงจะเกิดขึ้นเร็วยังไง เธอก็ยังไม่วายคิดหาชื่อร้านกว่า 108 ชื่อ จนได้ชื่อ ‘เจริญแกง’ มา

ซึ่งชื่อว่า ‘เจริญแกง’ ก็สะท้อนถึงเมนูข้าวแกงง่ายๆ แต่อร่อยและทำจากวัตถุดิบชั้นดี ซึ่งเธอมองว่าหาได้ยากในแพลตฟอร์มเดลิเวอรี

9. ฟ้าปลาทาน

หลักการคือปลาต้องการให้มีคำว่า ‘ปลา’ อยู่ในชื่อแบรนด์ ลองผสมคำไปเรื่อยๆ จนปิ๊งคำว่า ‘ฟ้าประทาน’ ขึ้นมาได้ เมื่อนำสองคำนี้มารวมกันจึงเกิดเป็น ‘ฟ้าปลาทาน’ ร้านขายข้าวต้มปลาจากสารพัดสายพันธุ์ปลาและอาหารทะเลชั้นดี ที่อร่อยเหมือนฟ้าประทานมาให้เลย

10. เบิร์นบุษบา

ร้านนี้ปลามีหลักการชัดเจนว่า หนึ่ง–คิดถึงโปรดักต์ที่อยากขายเป็นหลัก ซึ่งก็คือยำ สอง–แต่ร้านยำของเธอต้องไม่มีคำว่า ยำ แซ่บ เผ็ด สาม–ยังต้องเรียบง่าย จำได้ทันที และอินเตอร์ และสี่–ต้องสื่อถึงความเป็นไทย จนมาเจอคำว่า ‘บุษบา’ ที่ฝรั่งก็น่าจะอ่านออก แล้วจึงรวมกับคำว่า ‘เบิร์น’ ที่สื่อถึงการกินยำแซ่บๆ จนปากเบิร์นได้ด้วย

11. Fran’s

ร้านบรันช์อร่อยๆ ที่กลายเป็นกระแสในช่วงหนึ่งอย่าง Fran’s เกิดจากการที่ปลาอยากได้ชื่อที่จำง่ายๆ แต่เท่ จนเจอคำที่ยังไม่เคยมีคนใช้อย่าง ‘Fran’ ซึ่งเป็นสแลงที่หมายถึง เพื่อน เพื่อนที่ดี เพื่อนสนิท เมื่อนำมาตั้งเป็นชื่อร้าน เธอจึงเติม ’s ลงไป เพื่อสื่อว่าเป็นร้านของเพื่อน ซึ่งสะท้อนความจริงที่ว่า Fran’s นั้นเกิดจากการรวมตัวของกลุ่มเพื่อนนั่นเอง

12. อันเกิม-อันก๋า

ปลาเฉลยว่าชื่อนี้ได้มาจากการที่เธอไม่อยากใช้ชื่อเมืองหรือชื่อสถานที่ในเวียดนามมาตั้งเพราะอาจมีปัญหาในการจดชื่อ ปลาจึงหยิบเอาคำง่ายๆ มาลองแปลใน google translate เทียบกับภาษาไทย และปรึกษาเพื่อนที่เป็นคนเวียดนามว่าถูกต้องแค่ไหน จนได้เป็น ‘อันเกิม-อันก๋า’ ที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ‘กินข้าวกินปลา’ นั่นเอง

13. ชิ้น โบ แดง

ร้านหมูกระทะที่ปลายืนยันให้เขียนว่า ‘กะทะ’ เพราะตั้งแต่เธอยังเด็ก หลักสูตรภาษาไทยที่ร่ำเรียนมานั้นสะกดเช่นนี้ นอกจากจะแตกต่างด้านการสะกด ชื่อว่า ‘ชิ้น โบ แดง’ ยังสะท้อนถึงคอนเซปต์ของแบรนด์ที่ต้องการ ‘เชิดชูหมูกระทะของคนไทยให้ก้องกังวาลไกลไปทั่วหล้า’ เหมือนกับว่าหมูแต่ละชิ้นที่ปลาคัดสรรมาจะทำให้ต่างชาติอึ้งทึ่งจนรู้สึกว่านี่คือร้านอาหารระดับมาสเตอร์พีซ

ทั้งหมดนี้คือหลักการตั้งชื่อของปลาซึ่งดึงดูดลูกค้าให้อยากลิ้มอยากลองให้ได้ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่ทำให้ร้านอาหารของปลาประสบความสำเร็จและขยายได้ไม่รู้กี่สาขาคือรสชาติและคุณภาพที่หาตัวจับยากนี่เอง

คุยกับเชฟบิ๊ก แห่ง ‘อยากทำแต่ไม่อยากกิน’ ผู้พิสูจน์ตัวเองกับที่บ้าน จนมีธุรกิจร้านอาหาร และเป็น TOP CHEF Thailand 2023

บาร์ลับ ผู้หญิง และเหล้ารสหนูตาย วัฒนธรรมการดื่มที่เฟื่องฟูในยุคเหล้าต้องห้าม

นึกภาพว่า ถ้าวันพรุ่งนี้แอลกอฮอล์กลายเป็นสิ่งผิดกฎหมาย เราจะเป็นยังไง 

เราอาจจะเลิกดื่มไปโดยปริยาย กลายเป็นดินแดนไร้ความเมา หรือเราจะลงใต้ดินและอาจยิ่งรู้สึกว่าเหล้าเบียร์ยิ่งหอมหวานและการดื่มเป็นสิ่งที่ยิ่งสนุกน่าทดลอง

ถ้าเรามองกลับไปในประวัติศาสตร์ที่ไม่ไกลนัก คำตอบคืออย่างหลัง เหล้าเบียร์เป็นเครื่องดื่มและสันทนาการที่มนุษย์เรารัก รักเกินกว่าที่จะกำจัดพวกมันออกไปจากสังคม ทว่าประเทศที่แสนเสรีอย่างอเมริกากลับเคยทำให้แอลกอฮอล์ผิดกฎหมาย เกิดการแบนเหล้าเบียร์กันขนานใหญ่ในระดับชาติ 

ความน่าสนใจของการออกกฎหมายที่เด็ดขาดนี้กลับทำให้การผลิตและการบริโภคแอลกอฮอล์ในอเมริกายิ่งเฟื่องฟูขึ้น บางส่วนกลายเป็นรากฐานทางวัฒนธรรมอเมริกันร่วมสมัยในปัจจุบัน บางส่วน การแบนที่ทำให้เหล้าลงใต้ดิน กลับทำให้พื้นที่และวัฒนธรรมอเมริกันเสรีมากขึ้นในยุคที่เรารู้จักกันในนาม Prohibition Era อันเป็นยุคที่ค่อนข้างลักลั่นคือเป็นรอยต่อที่อเมริกันค่อยๆ ก้าวเข้าสู่ความเป็นดินแดนเสรีและความเท่าเทียม และอันที่จริงการออกกฎหมายแบนและผลักให้พื้นที่การดื่มลงไปอยู่ใต้ดินกลับยิ่งทำให้การผลิตและวัฒนธรรมการดื่มเหล้าแข็งแรงมากขึ้น

กิจกรรมการดื่มกันอย่างลับๆ ในช่วงเหล้าผิดกฎหมายของอเมริกา จากหม้อต้มเหล้าเถื่อนที่ต้องปรุงรสจนกลายเป็นที่มาของค็อกเทล การเปิดพื้นที่เป็นบาร์ลับที่เรียกว่าบาร์ speakeasy บาร์เหล้าที่เมื่อร้านเหล้ากลายเป็นที่ลับ พื้นที่การกินดื่มกลายเป็นพื้นที่ที่ผู้หญิงเข้ามามีส่วนร่วมได้ ภาพบาร์เท่ๆ ที่เต็มไปด้วยหนุ่มสาวสมัยใหม่เป็นพื้นที่แห่งเสรีภาพและอิสรภาพของคนสมัยใหม่ที่กลายเป็นรากฐานหนึ่งของวัฒนธรรมของทุกวันนี้

Prohibition Era ยุคสมัยยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ

เวลาเราพูดถึงชาติตะวันตก รวมถึงสมัยของการล่าอาณานิคม ในวัฒนธรรมตะวันตกการผลิตและบริโภคแอลกอฮอล์เป็นเรื่องธรรมดา แต่ในช่วงที่เกิดอาณานิคมขึ้น องค์ประกอบหนึ่งที่คนขาวใช้นำทางในการตั้งถิ่นฐานคือศาสนา หลายส่วนของพื้นที่อาณานิคมเป็นพื้นที่เคร่งศาสนา การดื่มเหล้าเป็นเรื่องธรรมดา แต่การเมามายนับเป็นเรื่องผิดบาป ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 จึงเกิดกระแสของความอดกลั้น (the temperance movement) คือเป็นการเน้นย้ำคุณธรรมเกี่ยวกับการหักห้ามและควบคุมใจและกายของตน ซึ่งแน่นอนว่าการดื่มเหล้าเป็นการละเมิดการควบคุมตนเอง คือไม่ใช่แค่เมาแต่เป็นการพาตัวเองไปสู่ความสุขซึ่งอาจเป็นประตูสู่บาปอื่นๆ ต่อไป

กระแสเรื่องความอดกลั้นเกิดขึ้นต่อเนื่องในหลายประเทศทั้งในยุโรปและอเมริกา กระแสทางศีลธรรมนี้กลายเป็นกระแสใหญ่จนหลายประเทศทั้งในยุโรป คือแถบสแกนดิเนเวียเช่นนอร์เวย์ ฟินแลนด์ และอเมริกาคืออเมริกาทั้งประเทศ แคนาดา กระทั่งบางส่วนในพื้นที่อาณานิคมในอินเดียออกกฎหมายแบนเหล้ากันในระดับรัฐ สำหรับอเมริกามีการตั้งสมาคม The American Temperance Society (ATS) ความเคลื่อนไหวในการจัดการเหล้าในฐานะศัตรูของความดีค่อยๆ เคลื่อนไหวมาตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1850 คืออเมริกากว้างใหญ่มาก ก็ค่อยๆ ผลักดันกฎหมายบางรัฐก่อนที่หลายๆ รัฐจะทดลองแบนบ้าง

มุมมองของศาสนาที่มีต่อเหล้าในยุคนั้น ค่อนข้างมองว่าเหล้าพวกนี้เป็นตัวร้าย เป็นปีศาจ ชื่อเล่นของกระแสจึงเรียกว่าเป็นสงครามศักดิ์สิทธิ์คือ ‘the dry crusade’ โดยการกลับมาของนักรบคุณธรรมต่อเหล่าเหล้าเบียร์มาชัดเจนขึ้นหลังจากสงครามกลางเมืองจบลงในปี 1865 

4 ปีต่อมาก็เกิดพรรคสุราต้องห้าม เป็นพรรคระดับชาติที่ว่าด้วยการแบนเหล้าเป็นแกนหลักในนาม Prohibition Party ในช่วงนี้เกิดกระแสในหลายพื้นที่ทางสังคมมาก เช่น เกิดสมาคมสตรีขึ้น ด้านหนึ่งเป็นการเริ่มพูดเรื่องสวัสดิภาพสตรี มีการยกเรื่องความปลอดภัยของผู้หญิง อย่างหนึ่งคือการไม่ถูกทำร้ายโดยสามีขี้เมา 

กระแสการรบกับเหล้าสัมพันธ์กับการให้ภาพโทษของสุราในฐานะปีศาจ เป็นที่มาของโกงกินทางการเมือง เริ่มเกิดรัฐไร้เหล้า (dry state) ส่วนใหญ่เป็นรัฐทางตอนใต้ หรือมีนักกิจกรรม เช่นมีนักสู้เหล้าเบียร์สาวนามว่า แครี่ เนชั่น (Carrie Nation) คือจะเดินอาดๆ เข้าโรงเหล้า (saloon) พร้อมขวานและเอาขวานจามใส่ขวดเหล้าเพื่อแสดงการต่อต้าน วิธีของคุณแครี่นับว่ารุนแรง เพราะโดยทั่วไปนักต่อต้านหญิงมักจะใช้วิธีรณรงค์โดยสันติ ไปร้านเหล้า ไปร้องเพลง สวดมนต์ และขอให้เจ้าของร้านเลิกขายเหล้า

ในที่สุด ความเคลื่อนไหวให้แบนเหล้าอย่างเป็นทางการจึงกลายเป็นวาระทางการเมือง บางส่วนสัมพันธ์กับอิทธิพลที่มีนัยทางศาสนาเช่นการเสื่อมความนิยมของกลุ่มศาสนาที่สนับสนุนกิจการเหล้าเบียร์ เช่นโรมันคาทอลิกที่ร่ำรวยถูกแทนด้วยโปรแตสแตนต์ หรือกลุ่มเยอรมันลูเธอรันที่ลดบทบาทลงในช่วงหลังสงครามโลกหลังเยอรมนีกลายเป็นศัตรู ในภาคประชาชนเอง การรณรงค์ของสตรีขยายตัวเข้าถึงกลุ่มรากหญ้า ช่วงนั้นหลายๆ รัฐเริ่มแบนเหล้า จนในที่สุด ในวันที่ 17 มกราคม 1920 สหรัฐได้ออกกฎหมายใหญ่ เป็นรัฐธรรมนูญที่ห้ามการผลิต นำเข้า ขนส่ง และขายสุรา ก้าวเข้าสู่ยุคเหล้าต้องห้ามอย่างเป็นทางการ การดื่มเป็นสิ่งต้องห้ามนานถึง 13 ปี

และแน่นอนว่าอย่างที่เรารู้กัน ยิ่งห้ามคือยิ่งยุ การที่เหล้าหนีลงใต้ดิน สปอยล์เลยว่า ด้วยยุคสมัยที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป กลายเป็นว่าการผลิตและการบริโภคเหล้านั้นยิ่งเฟื่องฟูและแพร่หลายไปในหลากกลุ่มสังคมขึ้น บางส่วนของอเมริกันในฐานะยักษ์ใหญ่ของอุตสาหกรรมและวัฒนธรรมกินดื่มในปัจจุบันก็เป็นมรดกจากยุคแห่งการห้ามปรามนี้เอง

แค่คิดก็ปวดท้อง จากเหล้าเถื่อนสุดโหดถึงแก้วค็อกเทล

พอรัฐแบนเหล้า สิ่งที่เกิดขึ้นทันทีคือโรงบ่มเบียร์ โรงกลั่นเหล้า และโรงไวน์ทั้งหมดปิดตัวลงในทันที เมื่อพื้นที่ผลิตสุราหลักหายไป แต่คนไม่หยุดดื่ม ทำให้สิ่งที่เฟื่องฟูขึ้นในยุคแรกคือเหล้าเถื่อน 

ในช่วงนั้นมีสองพื้นที่ผลิตเหล้าที่สำคัญคือ เหล้าเถื่อน หรือ bootlegger และเหล้าชุมชน ที่เรียกว่า moonshine สองคำนี้ค่อนข้างซ้อนทับกัน โดยทั่วไปเหล้าเถื่อนจะหมายถึงเหล้าผิดกฎหมายทั่วไป รวมถึงการลักลอบขนและจำหน่ายเหล้าผิดกฎหมายต่างๆ ส่วนมูนไชน์จะหมายถึงการผลิตสุราในความหมายกว้างๆ ที่อยู่นอกกฎหมาย

สำหรับกิจการเหล้าเถื่อน ในช่วงแบนเหล้าระยะแรกๆ เหล้าเถื่อนและคนขายเหล้าเถื่อนเป็นแหล่งค้าสุราที่สำคัญ แต่ในยุคนั้นไม่ใช่แค่การแอบขนเหล้ามาขาย แต่คือการที่พวกคนทำเหล้าเถื่อนโดยใช้วิธีปรับเอาแอลกอฮอล์ในอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น หมึกพิมพ์ น้ำหอม หรืออุตสาหกรรมอื่นๆ มาทำเป็นเหล้าปลอม การทำเหล้าปลอมคือการทำ denatured alcohol คือการเอาเอทานอลมาแต่งกลิ่นและรสให้พอกินได้ (แต่อันตรายต่อสุขภาพเหมือนเดิม) และดื่มแทนเหล้าจริงแก้ขัด โดยทั่วไปแอลกอฮอล์อุตสาหกรรมจะทำเป็นยิน วิสกี้ปลอมได้ 3 เท่า ในช่วงนั้นประเมินว่า 1 ใน 3 ของแอลกอฮอล์ 150 ล้านแกลลอนที่ผลิตได้ถูกนำไปทำเป็นเหล้าปลอม

นอกจากเหล้าปลอมที่อันตรายที่ระบาดขึ้นในช่วงนั้น เหล้าทำเองที่เรียกรวมๆ ว่ามูนไชน์ก็เฟื่องฟูขึ้นพร้อมๆ กัน พอไม่มีเหล้าขาย ก็เริ่มต้มเหล้ากันเองเป็นพื้นที่เล็กๆ ทีนี้ในการทำเหล้ากันเองที่บ้าน แน่นอนว่ารสเหล้าค่อนข้างแย่ ไม่ว่าจะด้วยเทคนิคการทำหรือการที่คนทำเหล้าไม่สามารถเสี่ยงบ่มเหล้าในถังตามเวลาได้ ความอ้วกแตกจากการหนีอาการตาบอดจากเหล้าปลอมจึงแลกมาด้วยการที่คนทำเหล้าลองแต่งรสและกลิ่นของเหล้าที่ทำขึ้น สิ่งที่เพิ่มในตอนนั้นสุดหลอนด้วยการใส่ซากหนูตายหรือเนื้อเน่าลงในถัง ย่นระยะการบ่มของเน่าในเหล้าเป็นไม่กี่วันเพื่อให้รสคล้ายเบอร์เบิน นอกนั้นก็มีสูตรสยองอื่นๆ เช่นทำยินด้วยการผสมน้ำมันจูนิเปอร์ลงในแอลกอฮอล์ ปรุงเหล้าสก็อตด้วยน้ำมันรักษาเนื้อไม้

ด้วยหลายสาเหตุ ช่วงแบนเหล้านี้สุรากลุ่มเหล้า (spirit) เป็นเหล้าประเภทที่วงการเหล้าเถื่อนนิยมมากกว่าเบียร์หรือไวน์ สัดส่วนราคาของยินและวิสกี้มีราคาสูงกว่าในการขนและขายในแต่ละครั้ง ในช่วงนั้นเหล้าสำคัญๆ คือยินและรัมจึงเฟื่องฟูขึ้นจากหลายสาเหตุ เช่น ยินเป็นเหล้าที่เรียบง่ายที่สุด ผสมง่าย ทำได้ไว บางครั้งผลิตขึ้นแบบโกงๆ คือเอาแอลกอฮอล์ น้ำมันจูนิเปอร์ กลีเซอรีน เจือน้ำนิดหน่อย เขย่าเข้าด้วยกัน นอกจากยินแล้ว รัมเป็นอีกหนึ่งเหล้าลักลอบขนเข้ามาจากประเทศแถบแคริบเบียน ในยุคนั้นจึงเกิดสูตรค็อกเทลยอดนิยมจากยินและรัมเช่น Bee’s Knees คือการเอาน้ำผึ้งไปช่วยกลบรสแรงๆ ของยิน 

ในช่วงนี้เองที่ค็อกเทล กลายเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่สำคัญของชาวอเมริกันในยุคเหล้าผิดกฎหมาย ตัวเหล้าที่ได้มาอาจจะเป็นทั้งเหล้าลักลอบขนที่คนขายเติมน้ำลงไปให้ขายได้เยอะๆ เหล้าเถื่อนจากผู้ผลิตที่ทำกันเองคือพวกมูนไชน์ ไปจนถึงเหล้าปลอม ด้วยรสและเหล้าเท่าที่หาได้ทำให้การดื่มในยุคนั้นเน้นการผสมเหล้าด้วยสิ่งปรุงอื่นๆ ใส่โคคา-โคล่าลงไป เจือด้วยเลมอน โซดา จินเจอร์เอลหรือมินต์ นำไปสู่การเปิดพื้นที่ลับและพื้นที่บ้านเป็นพื้นที่กินดื่ม จึงค่อยๆ ก่อตัวขึ้นเป็นบาร์ลับ หรือ speakeasy ที่กลายเป็นที่มาของบาร์ค็อกเทลยุคใหม่ในทุกวันนี้

บาร์ลับ และการเข้าวงการของผู้หญิง

ก่อนที่เราจะเข้าไปสู่บาร์ลับ อันเป็นพื้นที่ดื่มเหล้าลับๆ ในหลายรูปแบบของยุคนั้น ประเด็นสำคัญหนึ่งคือยุคแบนเหล้าเป็นยุคที่มีความเปลี่ยนแปลงไปสู่ยุคสมัยใหม่ ในแง่ความคิด เราจะเริ่มเห็นบทบาทที่เปลี่ยนไปในแง่ความเท่าเทียมในหลายด้าน ทั้งผู้หญิง และการที่ยุคต้องห้ามเป็นยุคร่วมกับยุคที่เราเรียกว่ายุคแจ๊สเอจ ย้อนไปในสมัยก่อนแบนเหล้า การแบนเหล้ามีมานานแล้ว 

สมัยก่อนพื้นที่ดื่มเหล้าเป็นพื้นที่ของผู้ชายเท่านั้น นึกภาพร้านเหล้าที่เราเรียกว่าซาลูน มีบาร์ มีคาวบอย พื้นที่เหล่านั้นเป็นพื้นที่ของผู้ชาย บางช่วงของอเมริกามีกฎหมายแบนผู้หญิงออกจากร้านเหล้าทั้งการเข้าถึงและการทำงาน ทำให้ผู้หญิงถูกกีดกันออกจากทั้งพื้นที่สาธารณะและกิจกรรมการบริโภคแอลกอฮอล์ไปโดยปริยาย

ความสนุกคือ ผู้หญิงเองเป็นแกนนำหนึ่งในการผลักดันกฎหมายแบนเหล้า แต่เมื่อกิจการและการดื่มเหล้าลงใต้ดิน ด้วยความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยเช่นช่วงนั้นผู้หญิงเริ่มได้สิทธิต่างๆ เช่นการเลือกตั้งไปจนถึงการศึกษา พื้นที่เหล้าที่ลงไปลับตาคนจึงเป็นโลกที่ผู้หญิงเป็นทั้งผู้ผลิตและเป็นผู้บริโภคอย่างเป็นทางการ

วงการเหล้าเถื่อนเป็นพื้นที่แรกๆ ที่พอเหล้าลงใต้ดินกลายเป็นว่าผู้หญิงเป็นผู้ช่วยสำคัญของวงการ จากต้มเหล้าเองในครัว ช่วงแอบขาย ไปจนถึงลักลอบขนย้าย กระทั่งเข้าไปอยู่วงการอาชญากรรมระดับลึกๆ ที่ลงมือฆ่าแกงกัน เช่น มีรายงานจากศาลเมืองดีทรอยต์ว่ามีการไต่สวนและกล่าวหาคุณแม่วัยสาวที่ขึ้นศาลพร้อมลูกอ่อนเพราะแอบขายไวน์ให้กับแขกที่มาที่บ้าน

หรือมีรายงานตัวเลขบัญชีของบ้านพัก (boarding house) ในเดนเวอร์ของหญิงคนหนึ่งพบว่าเธอแอบขายแอลกอฮอล์ให้ลูกค้าและมีรายได้จากการขายเหล้าเล็กๆ น้อยๆ ได้วันละ 150 ดอลลาร์สหรัฐ ในสมัยนั้นผู้ชายผิวขาวทำเงินได้ 1,300 ดอลลาร์สหรัฐ เรียกได้ว่าพวกเธอสามารถหาเงินได้อย่างงาม บางคนก็ใช้เป็นหนทางในการมีชีวิตที่ดี พื้นที่ครัวของผู้หญิงจึงกลายเป็นพื้นที่สำคัญหนึ่งที่ทั้งผลิตและใช้บริการเหล้าได้ในยุคเหล้าขาดแคลน

การแบนเหล้า ส่วนหนึ่งทำได้แค่แบนในพื้นที่สาธารณะ ในยุคนั้นพื้นที่ครัวเรือน บ้าน และห้องครัวจึงกลายเป็นพื้นที่ทั้งเพื่อการผลิตแอลกอฮอล์ นอกจากนี้ในระดับครัวเรือนเช่นการจัดเลี้ยงที่บ้านก็มีหลักฐานว่าอเมริกันที่มีฐานะยังคงภาคภูมิใจในการเลี้ยงอาหารพร้อมแสดงฝีมือและหัดผสมค็อกเทลเพื่อสร้างความบันเทิงในครัวเรือน ความบันเทิงที่บางครั้งกิจกรรมการดื่มน้ำชายามบ่ายกลายเป็นการจิบเหล้าเล็กๆ น้อยๆ หนึ่งในเครื่องครัวใหม่ที่มาคู่กับถาดน้ำชา คือกาน้ำชาที่หน้าตาเหมือนกับเชคเกอร์

อันที่จริงความตึงเครียดของการแบนเหล้าในทศวรรษดังกล่าวก็ออกจะแปลกๆ คือผิดกฎหมาย แต่ก็รับรู้ว่ามี เช่น การบริโภคเหล้าในครัวเรือน ในปี 1924 มีข้อความในหนังสือพิมพ์เขียนว่า ไม่มีบ้านไหนในฝั่งตะวันตกของประเทศที่แม่บ้านของครอบครัวมีอันจะกินจะไม่เชี่ยวชาญการชงค็อกเทล และอันที่จริงร้านแบบ speakeasy จริงๆ ก็ลับแบบไม่ลับเท่าไหร่

บาร์ลับ ลูกค้าผู้หญิงยุคใหม่ ไปจนถึงการเดต

พื้นที่สำคัญเมื่อแบนแอลกอฮอล์คือการเกิดขึ้นของร้านลับที่เรียกว่า speakeasy คำนี้เป็นคำกว้างๆ หมายถึงพื้นที่ขายเหล้าในรูปแบบต่างๆ ที่ต้องกระซิบ ต้องบอกพาสเวิร์ดที่ถูกต้องถึงจะเข้าไปใช้บริการได้ ตัวบริการมีลักษณะตั้งแต่ห้องลับในร้านอาหาร พื้นที่เต้นรำ บาร์ที่มีดนตรีสดเล่น พื้นที่ร้านลับแบบนี้ถือเป็นจุดตัดของหลายความเปลี่ยนแปลงและมิติทางวัฒนธรรมสมัยใหม่หลายอย่างมาก ในช่วงนี้ผู้หญิงเริ่มได้สิทธิต่างๆ และแน่นอน จากซาลูนแบบคาวบอย ในร้านลับเหล่านี้ด้วยความที่เป็นพื้นที่นอกกฎหมายแต่ต้น ดังนั้นการจำกัดพื้นที่ของผู้หญิงจึงไม่มีผลในพื้นที่ ทั้งหลายที่ยังเปิดพื้นที่โดยมีลูกค้าสุภาพสตรีเป็นเป้าหมายโดยเฉพาะ

นึกภาพเหล่าผู้หญิงยุคใหม่ ตัดผมบ็อบ คีบบุหรี่ ถือแก้วค็อกเทลเป็นรูปแบบไลฟ์สไตล์การหย่อนใจช่วงค่ำคืนที่เฟื่องฟูขึ้น พวกร้านลับเหล่านี้จึงมีบริการที่หลากหลายมาก จากบริการจัดเลี้ยงที่บ้านที่ออกแบบอาหารเครื่องดื่มเพื่อสุภาพสตรีโดยเฉพาะ ไปจนถึงร้านอาหารอิตาเลียนที่เสิร์ฟอาหารและบริการไวน์เป็นการส่วนตัวให้กับสาวงาม หนึ่งในภาพสำคัญคือการที่พื้นที่กินดื่มลับๆ เหล่านี้มักจะมีห้องแต่งตัวหรือ powder room ห้องผัดหน้าที่ว่าคือคำสวยๆ ของห้องน้ำหญิง ส่วนหนึ่งสัมพันธ์ทั้งกับการแต่งกายและการแต่งหน้าของผู้หญิงที่ลดความเคร่งครัดลง ในพื้นที่หย่อนใจคือในพื้นที่กินดื่มลับจึงมีห้องบริการทั้งสำหรับเติมหน้าดูผม และที่สำคัญคือเป็นสุขาที่แยกเป็นพื้นที่เฉพาะในพื้นที่กินดื่มที่เคยมีแต่ห้องน้ำชาย

พื้นที่ร้านลับเหล่านี้ไม่ได้มีภาพสยดสยองหรือนอกกฎหมาย ส่วนใหญ่มองว่าเป็นพื้นที่ของรสนิยม เป็นพื้นที่ของความเป็นอิสระ หลายที่เป็นพื้นที่ที่เปิดกว้างทั้งภาพที่ชายหญิงพบปะ ไปจนถึงการเริ่มปะปนกันในหลายระดับ พื้นที่นอกกฎหมายเหล่านี้จึงแทบจะพ้นจากทุกกฎเกณฑ์ พื้นที่สำคัญๆ เช่นแจ๊สบาร์ที่เล่นดนตรีแจ๊สที่ผิดกฎหมาย ในสมัยนั้นเหล่าหนุ่มสาวที่แม้จะเป็นคนผิวขาวก็สวมชุดหรูหรา คลุมขนมิงค์ และสร้อยมุก เพื่อเดินทางไปยังย่านฮาเรมเพื่อสนุกไปกับการดื่มและดนตรีในดินแดนของคนผิวดำ 

บางพื้นที่ของนิวยอร์กร้านลับเหล่านี้เป็นพื้นที่ของเหล่าคนดัง เริ่มเกิดวัฒนธรรมเซเลบ ร้านเหล่านี้เป็นที่รวมของคนที่บางครั้งเรียกตัวเองว่าเป็น gintellecia มีนักคิด นักเขียน เริ่มเกิดคอลัมน์ซุบซิบและข่าวตำรวจบุกบาร์และมีคนดังของเมืองอยู่ในพื้นที่ ในช่วงนั้นคติของการกินดื่มเปลี่ยนไปและทำให้เห็นบรรยากาศรวมๆ จากการกินดื่มแบบก่อนคือ wine, woman and song ไปสู่ gins, janes and jazz

ตรงนี้เองเราจะเห็นว่าประเด็นเรื่องสิทธิสตรี บรรยากาศของวัฒนธรรมความบันเทิงที่ตัดเข้าหากันทั้งการดื่ม ดนตรี และแนวคิดเสรีที่เติบโตขึ้นในพื้นที่ลับเหล่านี้กำลังเฟื่องฟูและก่อร่างเป็นรากฐานของวัฒนธรรมในปัจจุบันทั้งบาร์ โรงเต้นรำ การชงเหล้า ในพื้นที่ลับๆ ที่ผู้คนมาหย่อนใจกันในขณะนั้นมีอีกจุดตัดที่ถูกพูดถึงคือการมาถึงของรถยนต์ 

รถยนต์และพื้นที่บาร์ลับร้านลับนี้กลายเป็นอีกเงื่อนไขของวิถีสมัยใหม่ของหนุ่มสาว คือในสมัยก่อนผู้ชายและผู้หญิงไม่พึงใช้เวลาร่วมกัน การเดินไปด้วยกันหรือกระทั่งผู้หญิงที่เดินตามลำพังจะถูกเพ่งเล็ง การมาถึงของรถยนต์ทำให้รูปแบบการจีบกันสะดวกจากสายตาผู้คนได้ง่ายขึ้น ด้วยผับ บาร์ลับ ไนต์คลับที่เฟื่องฟูขึ้นในยามราตรี ในทศวรรษ 1920 เป็นห้วงเวลาแห่งความหวือหวาฉูดฉาด กิจกรรมใหม่ของหนุ่มสาวที่เกิดในยุคนั้นคือการไปเดต คือการที่หนุ่มสาวเลือกและลอบพบปะสานสัมพันธ์กันโดยลับสายตาจากพ่อแม่

สำหรับประวัติศาสตร์อันยาวนาน ระยะเวลาการแบนแอลกอฮอล์ในสหรัฐฯ ในที่สุดก็สิ้นสุดลง ส่วนหนึ่งการต่อต้านแอลกอฮอล์ถดถอยและจบสิ้นลงในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ (the Great Depression) ในช่วงปลายทศวรรษ 1920 ในที่สุดการแบนเหล้าถูกยกเลิกไปในปี 1933 หลังจากยกเลิกแล้วร้านเหล้าลับนอกกฎหมายก็ค่อยๆ หายไป แต่พื้นที่การกินดื่ม ลานเต้นรำ บาร์แจ๊ส วัฒนธรรมค็อกเทล และการไปเดตก็ยังคงดำรงอยู่ในฐานะวิถีชีวิตสมัยใหม่ 

อันที่จริงบรรยากาศของการกินดื่มในยุคต้องห้ามนับเป็นเสน่ห์และรากฐานสำคัญของวัฒนธรรมเช่นค็อกเทลบาร์ ไปจนถึงบาร์ลับทั้งเพื่อการเต้นรำและฟังดนตรีในหลายรูปแบบ ในช่วงปี 1980 ที่อเมริกาก็มีกระแสเปิดบาร์ลับในตีม speakeasy เป็นการเปิดร้านที่เน้นค็อกเทลที่ปรุงขึ้นพิเศษในดินแดนที่เราต้องเสาะหาทางเข้ากระทั่งพูดภาษาอย่างเฉพาะเจาะจง บาร์เหล่านี้จะเสิร์ฟค็อกเทลคุณภาพสูง เหล้าประเภทต่างๆ ที่อาจนำไปบ่มกับส่วนผสมพิเศษ การรวบรวมยิน รัม หรือเหล้าใดๆ จากทั่วโลกเข้าผสมผสานกับไซรัปหรือวัตถุดิบที่เหนือจินตนาการไปจนถึงบาร์ที่ตั้งใจเสิร์ฟเฉพาะค็อกเทลคลาสสิกจากยุคต้องห้าม

ในยุคก่อนและหลังโควิดเป็นต้นมา ด้วยการสื่อสารผ่านออนไลน์ ความที่เราอยากได้ความรู้สึกพิเศษๆ เราจึงเริ่มเห็นร้านในนามบาร์ลับ ร้านลับที่เราอาจจะต้องผลักชั้นหนังสือ เดินขึ้นบันไดอันแปลกประหลาด หรือยกหูตู้โทรศัพท์เพื่อขอทางเข้าไปในร้านต่อไป

การห้ามและการแบนนับเป็นกระบวนการที่มักให้ผลอย่างประหลาด กรณีของอเมริกาการแบนเหล้ากลับกลายเป็นความเฟื่องฟู ในภาพรวมอาจมีงานวิจัยชี้ว่าอัตราการบริโภคแอลกอฮอล์ลดลงในช่วงที่มีการแบน นอกจากนี้ในวัฒนธรรมใหม่ที่ดูฉูดฉาดจากการดื่มเหล้ากันในพื้นที่ลับ พื้นที่บันเทิงยามค่ำคืนและที่ลับๆ เป็นรากฐานของอาชญกรรมในระดับเมือง เช่น ย่านราตรี การมีแก๊งมาเฟียไปจนถึงธุรกิจมืดอื่นๆ 

นอกจากผลทางสังคม ประเด็นการแบนเหล้าชะงักอย่างที่สุดจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ การทำให้การกินดื่มกลายเป็นเรื่องต้องห้ามทำให้รัฐสูญเสียรายได้อย่างมหาศาล เม็ดเงินอันเป็นกิจกรรมธรรมดาออกไปอยู่นอกระบบและนอกสายตาของรัฐ 

ที่สำคัญคือการแบนกลับวางรากฐานวัฒนธรรมการกินดื่มและสันทนาการที่กลายเป็นตัวตนสำคัญของวัฒนธรรมอเมริกันร่วมสมัย วัฒนธรรมที่เราเองก็มีร้านลับ บาร์ค็อกเทลที่รับมรดกจากทศวรรษที่คนต้องกระซิบเพื่อสั่งเหล้าสักแก้ว เสี่ยงกับอาการตาบอดจากการกินเหล้าปลอมจิบเหล้าที่ปรุงรสด้วยหนูตาย ไปจนถึงพื้นที่หรูหราที่อาบไปด้วยแสงวิบวับ สาวงาม และดนตรีของคนผิวดำ

อ้างอิง

คุยกับผู้ก่อตั้ง Mango Art Festival หนึ่งในเทศกาลศิลปะที่ครบเครื่องที่สุดในไทย

เมื่อพูดถึงงานอาร์ตแฟร์หรืองานอาร์ตเฟสติวัล มิตรรักคอศิลปะส่วนใหญ่อาจรู้จักกันว่าเป็นงานแสดงและค้าขายศิลปะที่เหล่าบรรดาศิลปิน, แกลเลอรี, ภัณฑารักษ์, ผู้ค้างานศิลปะ และผู้คนในวงการศิลปะต่างๆ หลากหลาย ร่วมกันจัดเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้สนใจศิลปะทั้งในประเทศและนานาชาติมาเข้าชมและซื้อหางานศิลปะ โดยส่วนใหญ่จะจัดขึ้นในเมืองสำคัญต่างๆ ในหลายประเทศทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นงาน Art Basel ที่จัดขึ้นที่เมืองบาเซล สวิตเซอร์แลนด์ ก่อนจะขยายไปจัดที่เมืองไมอามี สหรัฐอเมริกา และฮ่องกง, งาน Formosa Art Fair ที่จัดขึ้นที่เมืองไทเป ประเทศไต้หวัน และงาน Art SG ที่สิงคโปร์ เป็นต้น

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเราเองก็เกิดกระแสการจัดงานอาร์ตแฟร์กันอย่างคึกคัก หนึ่งในนั้นคืองาน Mango Art Festival ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในเทศกาลศิลปะที่ครบเครื่องที่สุดในประเทศไทย

 Mango Art Festival ได้รวมเอาความหลากหลายของงานศิลปะหลากแขนงมารวมกัน ในหลากสาย ลักษณะ สีสัน รูปแบบ และเทคนิค ทั้งงานจิตรกรรม, ประติมากรรม, ภาพพิมพ์, สตรีทอาร์ต, อาร์ตทอย ไปจนถึงงานออกแบบ งานหัตถกรรม ดนตรีและศิลปะแสดงสด

งาน Mango Art Festival 2023 ครั้งล่าสุดจัดขึ้นเป็นปีที่ 3 ที่ River City Bangkok ภายใต้ธีม ‘Rise’ ที่เน้นการแสดงผลงานของศิลปินรุ่นใหม่สู่สายสาธารณชน รวมถึงมีศิลปิน แกลเลอรี และผู้จัดอาร์ตแฟร์จากต่างประเทศเข้าร่วมแสดงผลงาน เพื่อเชื่อมโยงและขยายพรมแดนทางศิลปะ รวมทั้งนำเสนอประสบการณ์ใหม่อันน่าตื่นเต้นให้กับวงการและผู้เข้าร่วมชมงาน

เรามีโอกาสได้สนทนากับผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการโครงการ Mango Art Festival อย่าง คุณบี–สุชาย พรศิริกุล ถึงที่มาที่ไปของหนึ่งในเทศกาลศิลปะที่ครบเครื่องและเปี่ยมสีสันที่สุดในบ้านเรา 

ส่วนวิธีคิดของเขาเป็นยังไง มาร่วมรับฟังไปพร้อมๆ กัน

ย้อนกลับไปคุณเริ่มสนใจงานศิลปะตั้งแต่เมื่อไหร่

ก่อนอื่นขอเกริ่นก่อนว่า จริงๆ ผมไม่ได้เรียนทางสายศิลปะมา แต่เรียนมาทางสายโบราณคดี คือสมัยก่อนมหาวิทยาลัยศิลปากรที่ผมเรียนจะมี 4 คณะที่วังท่าพระ คือคณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์, คณะสถาปัตยกรรม, คณะมัณฑนศิลป์ และคณะโบราณคดี ผมเรียนที่คณะโบราณคดี วิชาเอกโบราณคดี วิชาโทประวัติศาสตร์ศิลปะ เพราะฉะนั้นก็จะมีอาจารย์คณะจิตรกรรมฯ หลายท่านมาสอน ผมก็ซึมซับบรรยากาศในรั้วศิลปากรนี่แหละ แล้วในมหาวิทยาลัยก็จะมีหอศิลป์ของมหาวิทยาลัย ท้องพระโรง ตำหนักกลาง วังท่าพระ หอศิลป์คณะจิตรกรรม ผมก็ได้ดูงานดีๆ มาตลอด หรือศิลปินชั้นครูหลายคนที่มีงานที่ทรงคุณค่าในปัจจุบัน ผมก็ได้สัมผัสกับหลายท่านในมหาวิทยาลัย ทั้งอาจารย์ชลูด นิ่มเสมอ, อาจารย์เฟื้อ หริพิทักษ์ หรืออาจารย์สุเชาว์ ศิษย์คเณศ เวลาเดินผ่านคณะจิตรกรรมฯ ผมก็คุ้นเคยกับบรรยากาศของแวดวงศิลปะ 

การที่เราได้เรียน 4 ปีในรั้วศิลปากร และเรียนวิชาโทประวัติศาสตร์ศิลปะ ทำให้ผมมีพื้นเพทางศิลปะมาบ้าง ถึงแม้พอเรียนจบ ผมจะไปทำธุรกิจส่วนตัวเกี่ยวกับสิ่งทอ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับศิลปะ แต่ผมก็สะสมงานศิลปะมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว เพราะสมัยนั้นงานศิลปะที่ราคาสูงมากๆ ในปัจจุบัน อย่างงานของอาจารย์สุเชาว์ นั้นขายให้แกลเลอรีในราคา 3,000-4,000 บาท เท่านั้น เพราะอาจารย์ฐานะไม่ค่อยดี ไม่มีเงินซื้อแคนวาสวาดภาพก็ใช้แคนวาสเก่า หรือแคนวาสขนาดเล็กๆ วาดแทน หรือสมัยเรียน เพื่อนรุ่นเดียวกันกับผมก็มีศิลปินอย่างสมโภชน์ ทองแดง และอีกหลายๆ คนในรุ่น ผมก็ได้เก็บสะสมงานของพวกเขา บางทีเขาก็คิดราคาแบบเพื่อนๆ กัน เป็นค่าแคนวาส ค่าซื้อสี บางชิ้นใหญ่ๆ ผมได้มาหลักพันบาทก็มี

ตอนผมทำธุรกิจส่วนตัวเกี่ยวกับสิ่งทอ ก็จะมีโอกาสได้เดินทางไปต่างประเทศ ไปงานแฟร์เกี่ยวกับแฟชั่นที่ปารีส, เซี่ยงไฮ้, ฮ่องกง ทุกๆ ครั้งถ้ามีโอกาส มีช่วงวันว่าง เราก็จะไปตามพิพิธภัณฑ์ต่างๆ โดยเฉพาะพิพิธภัณฑ์ศิลปะ เพราะตอนเรียน อาจารย์สุมน ศรีแสง ที่คณะจิตรกรรมฯ ท่านฉายสไลด์ให้นักศึกษาดู เมื่อก่อนยังไม่มีเครื่องโปรเจ็กเตอร์ ก็ปิ้งฟิล์มสไลด์ให้ดูภาพวาดของโมเนต์ (Claude Monet), มาเนต์ (Édouard Manet), แวน โกะห์ (Vincent van Gogh) งานของศิลปินระดับโลกในยุคต่างๆ ผมก็จดจำเอาไว้ว่า ถ้ามีโอกาสต้องไปดูงานจริงให้ได้สักครั้งในชีวิต พอผมได้ไปปารีสครั้งแรก น่าจะช่วง พ.ศ. 2535 ก็มีโอกาสได้ไปพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ (Musée du Louvre), พิพิธภัณฑ์ออร์แซ (Musée d’Orsay) ผมรู้สึกเหมือนได้เปิดโลก ได้เห็นงานดีๆ เยอะมาก แล้วก็เป็นงานที่ผมเคยเรียนมาแล้วด้วย ก็เลยกลายเป็นแพสชั่นส่วนตัวว่าต้องไปดูงานศิลปะในพิพิธภัณฑ์ทั่วโลกไปเรื่อยๆ ให้ได้

แล้วจุดไหนที่ทำให้คุณเริ่มต้นทำ Mango Art Festival

พอดีมีช่วงหนึ่งผมได้มีโอกาสพบกับศิลปินแห่งชาติท่านหนึ่ง ชื่ออาจารย์ชวลิต เสริมปรุงสุข และได้มีโอกาสสะสมผลงานของอาจารย์ เพราะผมรู้จักหลานของอาจารย์ ได้ผลงานมาชุดใหญ่สมัย พ.ศ. 2542 ปกติอาจารย์จะอยู่ที่อัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ 9 เดือน อยู่ที่เมืองไทยประมาณ 3 เดือน พอเวลาอาจารย์กลับมาเมืองไทยผมก็มีโอกาสได้เจอท่าน ได้พูดคุยเรื่องศิลปะกับอาจารย์มาโดยตลอด

จนมีช่วงหนึ่ง ผมมีความคิดว่าศิลปะน่าจะอยู่ในชีวิตประจำวันของคน ประจวบกับผมได้มีโอกาสทำพื้นที่แสดงศิลปะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ช่างชุ่ย พอดีผมได้เจอคุณลิ้ม–สมชัย ส่งวัฒนา ผู้ก่อตั้ง ซึ่งเป็นลูกค้าสิ่งทอของผม ได้พูดคุยกัน ก็เลยได้ทำอาร์ตสเปซที่ช่างชุ่ยในชื่อ ‘สมบัติ ผลัดกันชม’ และที่ SO Gallery เพราะผมอยากจะเอางานศิลปะหรือพื้นที่ทางศิลปะเข้าไปอยู่ในพื้นที่ชุมชน ที่คนชอบมาเดิน เหมือนเดินไปดูอย่างอื่นแล้วก็แวะมาดูศิลปะ ไม่ต้องตั้งอกตั้งใจไปดู ก็มีจัดแสดงผลงานประติมากรรมของศิลปินอย่าง วัชระ ประยูรคำ คนก็ไปดูกันเยอะมาก ช่วงหลังก็จะเน้นจัดแสดงผลงานของศิลปินหน้าใหม่ หรือศิลปินที่อยากหาพื้นที่แสดงงาน

ในช่วง 3-4 ปีที่ทำที่ช่างชุ่ยก็น่าจะจัดไปเกือบ 30 นิทรรศการ ตอนหลังผมก็ไปเปิดอีกพื้นที่หนึ่งที่ล้ง 1919 เป็นพื้นที่ทางประวัติศาสตร์อายุ 100 กว่าปี เป็นหอศิลป์สไตล์จีน ชื่อ ‘ยู่หยวน อาร์ต แอนด์ แอนทีค’ พอช่วงหนึ่งโควิดระบาด ร้านค้าในล้ง 1919 ปิดกันไปเยอะ ก็มีพื้นที่ว่าง ตรงไหนว่างผมก็เอางานศิลปะไปแสดงหมด คุยกับศิลปินรุ่นใหม่ๆ ว่าใครอยากจะเอางานมาแสดงก็เข้ามาจัดแสดงกันแต่ละห้องๆ จนในช่วงนั้น ล้ง 1919 กลายเป็นหมุดหมายหนึ่งของคนรักงานศิลปะในกรุงเทพฯ มีศิลปินรุ่นใหญ่มาแสดงงาน อย่างอาจารย์สมลักษณ์ ปันติบุญ และอีกหลายๆ ท่านมาจัดแสดงงานกันเยอะมาก น่าจะถึง 40-50 นิทรรศการ

ช่วงระหว่างทำที่ล้ง 1919 ผมก็คุยกับผู้บริหาร คุณเปี๊ยะ (รุจิราภรณ์ หวั่งหลี) ว่าเรามาลองจัดอาร์ตเฟสติวัลกันสักครั้งไหม คุณเปี๊ยะก็ไฟเขียวให้ผมทำทันที จนเกิดเป็นล้ง 1919 อาร์ตแฟร์ 2020 ขึ้นมา คนก็ตื่นเต้นกันมาก เพราะพื้นที่สวยมาก

หลังจากนั้นผมก็ได้เจอกับคุณหน่อง (วิรคุณ บุณยรัตพันธุ์) ผู้บริหาร Joyman Gallery และคุณท็อป (ไผทวัฒน์) จ่างตระกูล ที่เคยทำ Hotel Art Fair มาก่อน ซึ่งคุณท็อปอยากจะจัดอาร์ตแฟร์รูปแบบใหม่ขึ้นมา เราสามคนก็คุยกันว่าเราจะทำในรูปแบบของล้ง 1919 อาร์ตแฟร์ แต่จะทำให้ครบเครื่อง โดยมีศิลปะทุกแขนง มีงานศิลปะ งานดีไซน์ มีงานคราฟต์ มีศิลปะการแสดง มีดนตรี และมีพื้นที่เล็กๆ ให้ศิลปินอิสระ ก็เลยกลายเป็นที่มาของ Mango Art Festival ครั้งแรก

ทำไมถึงใช้ชื่อ Mango Art Festival เกี่ยวอะไรกับมะม่วง

ชื่อนี้มาจากคุณท็อป จ่างตระกูล เพราะเขาเคยคิดจะใช้ชื่อ Bangkok Art Festival แต่เขาคิดว่าอาจจะมีข้อจำกัดในการจัด ถ้าเราติดคำว่า Bangkok ลงไป เราก็จะไปจัดที่เชียงใหม่ ภูเก็ต หรือไปจัดในต่างประเทศก็ไม่ได้ ก็เลยเลือกชื่อที่เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งขึ้นมา ที่เป็นสัญลักษณ์ของความหลากหลาย เหมือนกับศิลปะที่มีความหลากหลาย มีความสุก ความดิบ มีทั้งศิลปินรุ่นเยาว์ รุ่นใหญ่ รุ่นเล็ก มามิกซ์แอนด์แมตช์ในเฟสติวัลนี้ เราก็นึกถึง ‘มะม่วง’ ขึ้นมา และมะม่วงเองก็เป็นสินค้าส่งออกของประเทศไทยด้วย เราก็วางเป้าหมาย ว่าเราจะเอาศิลปินและงานศิลปะของไทยไปสู่ต่างประเทศ โดยเริ่มจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก่อน

ตั้งใจพาศิลปะไทยโกอินเตอร์?

ใช่ เพราะศิลปินไทยไม่แพ้ชาติใดในเอเชียอยู่แล้ว เพียงแต่อาจจะต้องมีคนที่เชื่อมโยง พาเขาออกไปสู่สากล หรือไม่ก็พาแกลเลอรีเมืองนอกเข้ามาเจอพวกเขา ก็กลายเป็นที่มาของงาน Mango Art Festival ครั้งแรก พอจัดขึ้นมาก็กลายเป็นไวรัลเลย คนมากันถล่มทลาย ที่จอดรถที่ล้งไม่พอ ต้องไปจอดกันที่ ICONSIAM หรือที่ River City แล้วนั่งเรือข้ามฟากมา ตอนนั้นคนพูดถึงงาน Mango Art Festival ครั้งแรก ว่าเป็นเทศกาลศิลปะที่ครบเครื่อง เพราะเมื่อก่อนเวลาจะไปดูงานศิลปะก็ต้องไปแกลเลอรี ซึ่งจะมีแค่งานของศิลปินคนเดียวหรือกลุ่มเดียว แต่เรามีทั้งหมดเลย ทั้งแกลเลอรี ทั้งศิลปินที่มาออกบูทกันหลากหลาย

พอพูดถึงงานอาร์ตแฟร์แบบนี้ก็ทำให้นึกไปถึงงานอย่าง Art Basel ที่มีแกลเลอรีและศิลปินต่างๆ มาออกบูทกัน

ใช่ แต่ที่ Art Basel เขาจะเน้นที่งานศิลปะอย่างเดียว ไม่มีพวกดนตรีหรือศิลปะการแสดงแบบของเราที่มีศิลปะแตกต่างหลากหลายแขนงมารวมกัน 

หลังจากจัดงานที่ล้ง 1919 ครั้งแรกเสร็จ เราก็ทราบจากทางผู้บริหารว่าเขาจะต้องส่งมอบพื้นที่ให้กับทาง ThaiBev ที่มาทำสัญญาเช่าต่อ เราก็มองกันว่าจะหาที่จัดงานที่ไหนกันดี ก็เล็งเอาไว้หลายที่ ไม่ว่าจะเป็นที่ BACC (หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร) หรือศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ แต่ช่วงนั้นศูนย์ประชุมสิริกิติ์ปิดซ่อม เราก็มามองที่ River City Bangkok ก็ไปคุยกันจนตกลงกันได้ว่าจะทำที่นี่ โดยทำสัญญา 3 ปี คือปี 2565, 2566, 2567 ซึ่งทาง River City เองก็ให้เราใช้พื้นที่ในราคาที่สามารถจับต้องได้ ทำให้เราเปิดให้เช่าพื้นที่ได้ในราคาไม่แพง ศิลปินหน้าใหม่ๆ ก็สามารถมาร่วมงานในราคาที่เขารับได้

ตอนจัดปีแรกที่ River City ผลตอบรับดีมาก แต่เราอาจจะไปเน้นกิจกรรมบนเวทีเยอะไปหน่อย แต่ในปี 2566 นี้เรากลับมาดูแลแกลเลอรีและศิลปินที่มาจัดแสดงผลงาน โดยทางเราพาผู้ซื้อเข้ามาเยี่ยมชมงาน และจัดให้มีทัวร์พิเศษสำหรับนักสะสมหรือกลุ่มผู้ซื้องานศิลปะต่างๆ ที่สนใจ ด้วยความที่พื้นที่ตรงนี้อยู่กลางเมือง มีที่จอดรถ เดินทางมาก็สะดวก ทั้งทางเรือ รถไฟฟ้าใต้ดิน และยังอยู่ในย่านชุมชน ซึ่ง River City ก็เป็นหมุดหมายที่นักท่องเที่ยวต้องมาอยู่แล้ว ในปีที่สอง งาน Mango Art Festival ก็ประสบความสำเร็จและเป็นที่พูดถึงกันมาก คนมากันเยอะมาก จนทำให้ในปี 2023 มีศิลปินอยากจะเข้าร่วมงาน Mango Art Festival กันมากจนพื้นที่เราไม่พอ ทำให้ศิลปินพลาดโอกาสไปประมาณ 30 กว่ารายที่เราไม่สามารถให้พื้นที่เขาได้

นอกจากจัดงาน Mango Art Festival ที่กรุงเทพฯ คุณก็ยังมีการไปจัดงานอาร์ตแฟร์ที่จังหวัดอื่นด้วย

คือในปี 2565 เราได้มีโอกาสจัดงาน Mango Art Festival ขนาดย่อมร่วมกับโรงแรม Public House ซึ่งเป็นโรงแรมเปิดใหม่ที่อยู่ใจกลางสุขุมวิท 31 ในชื่องานว่า Urban Collectibles โดยเราจัดแสดงงานกันในห้องพักโรงแรมและล็อบบี้ ซึ่งเน้นไปที่งานแบบสตรีทอาร์ต, คาแร็กเตอร์อาร์ต และอาร์ตทอย เพราะเราอยากจะให้มีรูปแบบที่แตกต่างจาก งาน Mango Art Festival ตัวหลัก เลยจัดเป็นงานแบบชิคๆ หน่อย แต่ศิลปินสตรีทอาร์ตหลายกลุ่มที่เข้ามาร่วมก็เป็นศิลปินสตรีทอาร์ตเบอร์ต้นๆ ของประเทศไทย

พอช่วงปลายปี 2565 เดือนธันวาคม คุณเอก (อนุศักดิ์ พาณิชยากรณ์) และคุณเก๋ (อัญชลี ศรีวิภาสถิตย์) ผู้บริหารของ De Siam Antiques Chiangmai ร้านขายของเก่าที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เขาได้มาชมงานนี้แล้วชอบ เขาก็เลยชวนผมให้ไปจัดงาน Mango Art Festival ที่โกดัง De Siam Antiques ที่จังหวัดเชียงใหม่ของเขา ซึ่งมีพื้นที่ 100 กว่าไร่  มีหลองข้าว (ยุ้งข้าว) โบราณ มีต้นไม้อายุ 200 ปี เราก็จัดทีมขึ้นไปเที่ยวชมโกดัง De Siam ที่เชียงใหม่ ทีมงานก็ว้าวกันมาก แต่ก็เป็นโจทย์ที่ยากมากด้วย ว่าจะเอางานศิลปะเข้าไปอยู่ในนั้นได้ยังไง ก็คุยกันหลายรอบ กว่าจะลงตัว โดยเราใช้พื้นที่ในโกดังเก็บเฟอร์นิเจอร์เก่าเป็นพื้นที่แสดงงานด้วย จนเกิดเป็นงานอาร์ตแฟร์ที่ชื่อว่า Treasure Discover ที่คุณท็อปเป็นคนตั้ง โดยเราคิดเลือกศิลปินจากภาคเหนือ โดยเน้นที่เชียงใหม่ ให้เขาเสนอผลงาน และจัดงานในช่วง Chiang Mai Design Week เรามีรถโบราณจัดแสดงในงาน เรามีดนตรีเล่นสดในสวน มีศิลปินเบอร์ต้นๆ ของเชียงใหม่ ไม่ว่าจะ C.A.P Studio ของ กิติก้อง (ติลกวัฒโนทัย) แกลเลอรี Seescape ของ ต่อลาภ ลาภเจริญสุข มีโซนโกดังที่คิวเรตโดย มิร์ทิลล์ ทิแบย์เรงซ์ จาก Toot Yung Art Center ส่วนในโซนหลองข้าว เราได้รับเกียรติจากศิลปินรุ่นใหญ่ และศิลปินแห่งชาติอย่างหอศิลป์อาจารย์อินสนธิ์ วงค์สาม, หอศิลป์อาจารย์จรูญ บุญสวน, Museum of Something (MOS) และศิลปินจากคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, เชียงใหม่อาร์ตมิวเซียม, หอศิลป์สันกำแพง รวมถึงศิลปินสตรีทอาร์ตอย่างกลุ่ม Dream Space Gallery, ศิลปินเซรามิก และศิลปินรุ่นใหม่อีกมากมาย

ศิลปินที่มาออกงาน Mango Art Festival มีผลตอบรับยังไงบ้าง

ศิลปินที่มาออกงานส่วนใหญ่มียอดขายที่ดี เพราะว่างานนี้เป็นหมุดหมายของการซื้อ-ขายงานศิลปะในบ้านเรา บางบูทก็ Sold Out ตั้งแต่วันแรกเลย แต่ฟีดแบ็กโดยรวมเราก็ยังไม่รู้ว่ามีแค่ไหน เพราะเราอาจจะยังไม่มี KPI (ดัชนีชี้วัดความสำเร็จ) ตรงนั้น แต่พองาน Mango Art Festival ปี 2565 จบเดือนพฤษภาคม เราให้จองบูทสำหรับปี 2566 ในเดือนสิงหาคม-กันยายนก็จองกันเต็มหมดแล้ว จนเราต้องมาคุยกับทาง River City ให้หาพื้นที่ว่างเพิ่มให้เรา จนในที่สุดเราก็ได้พื้นที่มาประมาณ 30 กว่าสเปซ 

นี่น่าจะเป็นเครื่องยืนยันว่าการซื้อ-ขายเกิดขึ้นจริง ซึ่งเป็นแค่การขายกันเองภายในประเทศเท่านั้น เพราะปีที่แล้วการระบาดของโควิด-19 ทำให้การเดินทางระหว่างประเทศไม่สะดวกแบบปีนี้ ในปีนี้เรามีทั้งศิลปินต่างชาติ แกลเลอรีต่างชาติ มีการซื้อ-ขายแลกเปลี่ยน หรือการเชื่อมโยงที่จะดึงศิลปินไทยไปแสดงในต่างประเทศ หรือศิลปินต่างประเทศเข้ามาแสดงที่เมืองไทย ผมว่าดีกว่าปีที่แล้วแน่นอน เนื่องจากปีนี้การระบาดทั่วของโควิด-19 จบไปตั้งแต่ปลายๆ ปีที่แล้ว เราก็มีบูทจากต่างประเทศ ทั้งฟิลิปปินส์, ไต้หวัน, มาเลเซีย, เยอรมนี หรือศิลปินต่างชาติที่อยู่ในประเทศไทย ทั้งเมียนมา สหรัฐอเมริกา และศิลปินจากยุโรปในหลายๆ ประเทศที่เข้าร่วมในงานนี้ ที่สำคัญคือมีผู้จัดเทศกาล Formosa Art Fair ที่ไทเป ไต้หวัน มาร่วมออกบูทกับเราด้วย โดยเป็นการแลกเปลี่ยนกัน เราให้บูทเขาจัดแสดงที่นี่ แล้วเขาก็จะให้เราไปออกบูทของ Mango Art Festival ที่ไทเป ไต้หวัน ในเดือนสิงหาคมนี้ ตอนนี้เรากำลังคัดเลือกกันว่าเราจะชวนศิลปินท่านไหนไปจัดแสดงที่นั่น

อีกอย่างเรายังได้รับความร่วมมือจากกระทรวงศิลปวัฒนธรรมของประเทศจีนให้เซ็น MOU ร่วมกัน เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนการออกบูทในงานอาร์ตแฟร์ที่ประเทศจีนเช่นเดียวกัน จุดประสงค์ที่ผมกับคุณท็อปคุยกันก็คือ ที่ผ่านมาเราเดินทางไปดูงานอาร์ตแฟร์ในหลายประเทศ ทั้ง Art Jakarta ที่ฟิลิปปินส์, Art SG ที่สิงคโปร์, Art Basel ที่ฮ่องกงและสวิตเซอร์แลนด์ เราไปดูกันทุกที่ เราคิดว่าเมืองไทยเรามีศักยภาพพอที่จะเป็น Unique Art Festival หรือ Unique Lifestyle Festival ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ในอนาคต ถ้าเราทำแพลตฟอร์มตรงนี้ให้แข็งแรง เราลับคมศิลปินหน้าใหม่ให้เข้มแข็ง เราก็จะโกอินเตอร์ได้ไม่อยาก คุณท็อปเองก็มีโครงการที่จะพาศิลปินไปออกงานอาร์ตแฟร์ที่สหรัฐอเมริกาด้วย ซึ่งจะเป็นขั้นตอนต่อไป

ก่อนหน้านี้ประเทศไทยไม่ค่อยมีงานอาร์ตแฟร์แบบนี้เกิดขึ้น คุณคิดว่าเป็นเพราะอะไร 

ผมว่าสมัยก่อนระบบนิเวศของวงการศิลปะไทยอาจจะไม่ได้คึกคักแบบทุกวันนี้ เหมือนที่คุณพิริยะ ผู้ก่อตั้ง The Art Auction Center เคยพูดว่า ในบ้านเราสมัยก่อนงานศิลปะเป็นของสูงส่ง คนที่เก็บงานศิลปะต้องเป็นคนในชนชั้นหนึ่งเท่านั้น แต่ผมว่าในช่วงหลายๆ ปีนี้ ในรอบสิบปีก็แล้วกัน สิ่งเหล่านี้ค่อนข้างเปลี่ยนไป มีคนรุ่นใหม่ในความสนใจศิลปะ หรือว่าศิลปะเข้ามาในชีวิตประจำวันมากขึ้น มีแกลเลอรีเล็กๆ ใหญ่ๆ เกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด สิ่งนี้ทำให้วงการศิลปะบ้านเราเติบโตขึ้น แล้วพอมีงานศิลปะก็มีผู้เสพ ผู้ชมเข้าไปดู ก็เชื่อมโยง เลยทำให้วงการศิลปะมีความคึกคัก และในปัจจุบันงานศิลปะเข้าถึงได้ง่ายขึ้น เพราะเรามีโซเชียลมีเดีย มีเฟซบุ๊ก มีอินสตาแกรม เมื่อก่อนจัดกันที่ไหน? เราจะแจ้งคนดูยังไง? ต้องไปออกทีวีเหรอ? เดี๋ยวนี้ลงเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ทวิตเตอร์ เราก็รู้แล้ว คนก็ตามไปดูกัน ผมว่าโซเชียลมีเดียนี่เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ระบบนิเวศของวงการศิลปะขยายวงกว้างอย่างรวดเร็ว และศิลปินก็ใช้สื่อพวกนี้ในการโพสต์งานตัวเองไปสู่ต่างประเทศใช่ไหม ตอนนี้ศิลปินทุกคนใช้อินสตาแกรมกันหมด

คุณมีเป้าหมายจะผลักดันให้งาน Mango Art Festival ไปถึงไหน

เราตั้งเป้าไว้ตั้งแต่ปีแรกว่าเราจะไม่ทำให้เป็นอาร์ตแฟร์ที่ดีที่สุดทันที แต่เราจะค่อยๆ ทำให้ดีขึ้นเรื่อยๆ จะมีความหลากหลาย มีอะไรพิเศษขึ้นมาทุกปี คือทุกปีต้องไม่เหมือนเดิม ต้องมีสิ่งใหม่ๆ เข้ามา แต่เราจะไม่บอกว่าคืออะไร ต้องติดตามกันต่อไปครับ

คุณคิดว่าตลาดศิลปะของบ้านเราสามารถเทียบชั้นระดับสากลได้หรือยัง

ผมคิดว่าฝีมือหรือความคิดสร้างสรรค์ของคนทำงานในบ้านเรานั้นไม่แพ้ใครเลย แต่ว่าตลาดเรายังไม่ถึงระดับนั้น ด้วยหลายสิ่งหลายอย่าง อย่างในสิบปีที่ผ่านมา ทุกคนก็ต้องคิดถึงเรื่องปากท้องกัน จะทำงานสร้างสรรค์ ปากท้องก็ต้องอิ่มก่อนใช่ไหม เราก็ทำราคางานศิลปะให้สูงได้ยาก อย่างในต่างประเทศ งานของศิลปินหน้าใหม่ๆ เขาก็ไปไกลถึงหลักล้านแล้ว แต่ในบ้านเรายังไปไม่ถึงตรงนั้น ในตลาดศิลปะของอินโดนีเซีย สิงคโปร์ หรือแม้กระทั่ง เวียดนาม ราคาเขาไปไกลกว่าเราเยอะ หลัก 100 ล้านก็ยังมี ของเราแพงที่สุดเท่าที่ได้ยินก็ 20 กว่าล้าน เรายังไม่เคยเห็นงานของศิลปินไทยขึ้นไปถึงระดับ 100 ล้านเลย

เพดานเรายังไม่สูง?

แต่ศิลปินบางคนถ้าเกิดไปอยู่ในสังกัดที่ดี ขั้นตอนการทำงานที่ดี อย่างเช่น นที อุตฤทธิ์ นี่อีกหน่อยผมว่าราคาก็จะไต่สูงไปถึงระดับนั้นได้ แต่ถ้ายังอยู่แต่ในบ้านเราก็คงไปได้แค่ 20-30 ล้านก็เยอะที่สุดแล้ว

ท้ายสุด คุณคิดว่าจะทำงาน Mango Art Festival ไปถึงเมื่อไหร่

ใจจริงก็อยากให้มีไปตลอด มีไปเรื่อยๆ แต่เราก็ต้องดูผลตอบรับจากการจัดงานแต่ละครั้งด้วย ถ้าหากทุกคนในวงการศิลปะบ้านเราเห็นว่า Mango Art Festival ควรจะอยู่ต่อไป ก็อยากให้ยื่นมือเข้ามาช่วยๆ กัน อย่าปล่อยให้เราโดดเดี่ยว แต่ยังไงเราก็ทำต่ออยู่แล้ว เพราะว่าเป้าหมายของเราไม่ใช่ธุรกิจเป็นหลัก แต่คือความหลงใหล สัดส่วนของเราคือแพสชั่น 70% ธุรกิจ 30% แต่อย่างไรก็ตามมันก็ต้องเลี้ยงตัวเองได้ เลี้ยงทีมงานได้ด้วย เราอยากให้ Mango Art Festival เข้าไปอยู่ในระบบนิเวศของศิลปะในบ้านเรา เป็นฟันเฟืองเล็กๆ อันหนึ่งที่อยู่คู่กับระบบนิเวศของวงการศิลปะในประเทศไทย

จากสายรุ้งสู่พายุ เส้นทางแห่งความขัดแย้งของแบรนด์ ในห้วงเวลาแห่ง Pride Month

โลกของการตลาดและการโฆษณามีการพัฒนาอยู่เสมอ การปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมจึงเป็นสิ่งที่แบรนด์ต่างๆ ต้องวางกลยุทธ์ให้รอบคอบ

เช่นเดียวกันในเดือนมิถุนายนของทุกปีซึ่งเป็นเดือน Pride Month ที่เหล่า LGBTQ+ จะมารวมตัวกันเพื่อเฉลิมฉลองตัวตนและต่อสู้เพื่อความเท่าเทียม

เมื่อกระแสมา สังคมเริ่มยอมรับในความหลากหลายมากขึ้น หลายแบรนด์จึงกระโดดเข้ามาทำ Pride Marketing หรือการตลาดที่เกี่ยวกับเทศกาล Pride Month ด้วยเช่นกัน 

ทว่าการทำ Pride Marketing ยังถือเป็นโจทย์หินของหลายแบรนด์ เพราะหากแค่ทำสินค้าหรือแคมเปญที่มีสีสายรุ้ง แต่แก่นของธุรกิจกลับไม่ได้มีอะไรที่สนับสนุนความหลากหลายและความเท่าเทียมทางเพศอย่างแท้จริง นั่นก็คงเป็นเพียงแค่การเกาะกระแส เป็นเพียงแค่ Rainbow Washing และกลายเป็นผลลัพธ์เชิงลบกับแบรนด์แทนที่จะได้รับการสนับสนุนจากผู้คน

อีกมุมหนึ่งการทำ Pride Marketing ยังถือเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับแบรนด์ที่มีฐานลูกค้าเป็นกลุ่มอนุรักษนิยม ซึ่งเรื่องนี้ก็มี case study จากแบรนด์ในต่างประเทศให้เห็นด้วยเช่นกัน

อย่างเมื่อไม่นานมานี้ที่ Bud Light เบียร์ชื่อดังในอเมริกา โดนดราม่าถล่มจากเหล่าอนุรักษนิยมอย่างหนัก เพียงเพราะใช้ ดีแลนด์ มัลเวย์นี อินฟลูเอนเซอร์ที่เป็นทรานส์เจนเดอร์มาช่วยโฆษณาแบรนด์ แม้โฆษณานั้นจะเป็นอะไรที่แสนธรรมดาคือเพียงแค่ ดีแลนด์ มัลเวย์นี ตั้งกล้องแล้วถ่ายคลิปดื่มเบียร์โชว์เพื่อโปรโมตแคมเปญชิงโชคกับแบรนด์ แต่ก็ทำให้เกิดกระแสบอยคอตต์เบียร์ Bud Light ในโลกออนไลน์อย่างหนัก ทั้งยังลามมาสู่ยอดขาย เพราะร้านขายเหล้าแห่งหนึ่งในรัฐอาร์คันซอก็บอกว่าทันทีที่เกิดการต่อต้านจากกลุ่มอนุรักษนิยมนี้ขึ้นมาก็ทำให้ยอดขายแบรนด์ Bud Light หายไปราว 20-25% ไปหลายวัน ส่วนสำนักข่าว The Wall Street Journal ก็รายงานว่ายอดขายของ Bud Light ลดลงกว่า 17% ในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว สวนทางกับอีกสองแบรนด์คู่แข่งอย่าง Coors Light และ Miller Light ที่มียอดขายเพิ่มมากว่า 18%

ไม่ใช่แค่ Bud Light เท่านั้นแต่ร้านค้าปลีกชื่อดังในอเมริกาอย่าง Target ก็ยังโดนดราม่าจากการทำแคมเปญที่เกี่ยวกับ LGBTQ+ ด้วยเช่นกัน เหตุผลที่ทำให้ Target เจอกับดราม่าครั้งนี้ก็เพราะทางร้านได้ทำสินค้าที่เป็นคอลเลกชั่นเกี่ยวกับ Pride Month ออกมา หนึ่งในนั้นคือสินค้าสำหรับเด็ก จนทำให้เกิดคำวิพากษ์วิจารณ์ในกลุ่มคนอนุรักษนิยมว่าการทำสินค้าธีม Pride Month เป็นการพูดเรื่องเพศสภาพกับเด็กก่อนถึงวัยอันควร รวมถึงยังเกิดการต่อต้านทั้งในออนไลน์และออฟไลน์ ลูกค้าบางคนถึงกับโวยวายและทำพฤติกรรมคุกคามใส่พนักงาน ไปจนถึงขว้างสินค้าคอลเลกชั่น Pride Month ลงพื้นเลยก็มี และด้วยกระแสต่อต้านที่รุนแรง ทำให้ Target ถึงกับต้องถอดสินค้าบางชิ้นที่ทำมาในธีม Pride Month ออกจากเชลฟ์เพื่อความปลอดภัยของพนักงานที่อยู่หน้าร้าน

ในวันที่ทั่วโลกรณรงค์และหันมายอมรับความหลากหลายทางเพศมากขึ้น ทว่าสิ่งที่ทำให้อเมริกามีกลุ่มคนที่ต่อต้าน LGBTQ+ ขึ้นมา ก็เพราะในสังคมอเมริกามีสิ่งที่เรียกว่า ‘การต่อสู้ในกลุ่มศิลปะและวัฒนธรรมในอเมริกา’ ซึ่งเรื่องความหลากหลายทางเพศ ก็ถือเป็นอีกประเด็นสำคัญในการต่อสู้ครั้งนี้ด้วย 

แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีหลายๆ แบรนด์ ในสหรัฐอเมริกาที่ไม่โอนเอนไปตามเสียงการต่อต้านของกลุ่มอนุรักษนิยม และยังคงยืนยันที่จะสนับสนุนความหลากหลายทางเพศ เพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเขาพร้อมปรับตัวเพื่อเปลี่ยนแปลงตามสังคมที่เปลี่ยนไป ด้วยคิดว่าการลุกขึ้นมาสนับสนุนความหลากหลายทางเพศนั้นมีผลดีมากกว่าผลเสียที่จะเกิดขึ้น และไม่ใช่แค่การทำ Rainbow Washing แต่พวกเขายังสนับสนุนความหลากหลายทางเพศจริงๆ ไม่ว่าจะเป็น Google ที่มีการมอบเงินเพื่อเอาไว้ส่งเสริมและรณรงค์กิจกรรมด้านความเท่าเทียมทางเพศ รวมถึงสวัสดิการต่างๆ ที่ไม่ต่างจากชายหญิง คือให้ผ่าตัดแปลงเพศได้เหมือนลาคลอด รวมถึงลาไปเลี้ยงลูกที่รับมาเลี้ยงได้

หรืออย่าง Johnson & Johnson สนับสนุนความหลากหลายทางเพศมาโดยตลอด หนึ่งในนั้นคือนโยบายที่บริษัทจะมอบสวัสดิการ เช่น ประกันสุขภาพ หรือค่ารักษาพบาลต่างๆ ให้กับคู่รักของพนักงานที่เป็น LGBTQ+ ด้วย 

อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนอาจเกิดความสงสัย ว่าทำไมบางแบรนด์ถึงถูกแบน และทำไมหลายแบรนด์ถึงไม่ถูกแบน 

อันที่จริงแล้วเรื่องนี้มีหลายปัจจัยประกอบด้วยกัน ทั้งเรื่องของกลุ่มลูกค้าหลักของแบรนด์ที่ทั้ง Bud Ligth และ Target มีฐานลูกค้าเป็นกลุ่มคนอนุรักษนิยมอยู่ไม่น้อย ส่วนแบรนด์ที่ไม่โดนแบนก็อาจเป็นเพราะพวกเขาเป็น first mover ที่มีจุดยืนเรื่องการสนับสนุนความหลากหลายอย่างชัดเจนมาเป็นเวลานานแล้วทั้งยังมีลูกค้าหลักเป็นกลุ่มคนหัวก้าวหน้า 

อีกประเด็นสำคัญก็คือเรื่องของอุบัติเหตุแบรนด์ที่ไม่มีใครคาดคิดว่าสิ่งที่จะทำมาเพื่อส่งเสริมกลับกลายมาเป็นผลกระทบเชิงลบแทน 

หากขยายไปไกลกว่าประเด็น LGBTQ+ ที่ผ่านมาในอดีตก็มีกรณีศึกษาอย่างเช่น Dolce & Gabbana แบรนด์แฟชั่นไฮเอนด์ที่เคยประสบอุบัติเหตุแบรนด์ครั้งใหญ่ เพียงเพราะตะเกียบคู่เดียว

ด้วยเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ ทั้งยังมีประชากรจำนวนไม่น้อยที่มีกำลังซื้อสูง จีนจึงกลายเป็นอีกตลาดสำคัญที่เหล่าแบรนด์หรูอยากจะจับลูกค้ากลุ่มนี้ให้ได้ เช่นเดียวกับ Dolce & Gabbana ทางแบรนด์จึงได้ออกโฆษณามาเพื่อเจาะตลาดกลุ่มนี้โดยเฉพาะ ซึ่งในโฆษณาเป็นภาพของนางแบบชาวเอเชียเอาตะเกียบมาคีบอาหารอิตาเลี่ยน มีเสียงในโฆษณาบอกว่านางแบบต้องกินอาหารอิตาเลียนยังไง ทว่าฟีดแบ็กที่ได้รับกลับเป็นดราม่าเรื่องใหญ่ ชาวจีนมองว่า Dolce & Gabbana กำลังเหยียดพวกเขาอยู่ เพราะไม่ใช่อาหารทุกอย่างที่คนจีนจะใช้ตะเกียบกิน หรือไม่จำเป็นต้องมาสอนวิธีการกินอาหารอิตาเลียนให้กับพวกเขา จากโฆษณาที่หวังทำมาจับกลุ่มลูกค้าคนจีนโดยเฉพาะก็กลับตาลปัตรเป็นวิกฤตใหญ่ของแบรนด์จนผู้บริหารถึงกับต้องออกคลิปขอโทษ 

ดังนั้นการทำการตลาดที่เกี่ยวกับประเด็นของเพศ สังคม วัฒนธรรม เชื้อชาติ ยังคงเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและเป็นโจทย์ท้าทายที่หลายแบรนด์ยังต้องมองหาสมดุลระหว่างลูกค้าที่เป็นอนุรักษนิยมและหัวก้าวหน้าเพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดต่อตัวแบรนด์

หรืออีกทางคือต้องหาจุดยืนของตัวเองให้ชัดเจน แม้จะเป็นการคัดคนที่มีจุดยืนต่างกับแบรนด์ออกไป แต่ก็ยังสามารถรักษาคนที่มีจุดยืนร่วมกับแบรนด์ไว้ได้ ต่างจาก Bud Light และ Target ที่เมื่อเทคแอ็กชั่นแบบครึ่งๆ กลางๆ คือจะสนับสนุน  LGBTQ+ ก็ไม่สุด จะอยู่ฝั่งอนุรักษนิยมก็ไม่สุดเช่นกัน จึงลามมาสู่อุบัติเหตุครั้งใหญ่ของทั้งสองแบรนด์อย่างที่เป็นอยู่เช่นทุกวันนี้