สูตรกลิ่นความสำเร็จ
คุยกับ ‘หงส์ไทย’ ยาดมกระปุกเขียวที่ยืนระยะด้วยคุณภาพและขาดตลาดเพราะลิซ่า BLACKPINK
‘วิธีดมยาดมที่ถูกต้อง… ถ้าเราจะดมด้วยจมูกข้างขวา ให้ใช้นิ้วชี้ และนิ้วโป้งปิดข้างซ้าย ทีนี้เวลาเราดม สูดขึ้นไปสักปื้ดมันก็จะขึ้นสมอง และทำให้จมูกเราโล่ง’
ประโยคข้างต้นคือเทคนิควิธีใช้ยาดมที่ ‘เก่ง–ธีระพงศ์ ระบือธรรม’ ผู้ก่อตั้งและเจ้าของบริษัท สมุนไพรไทย หงส์ไทย จำกัด วัย 47 ปี บอกกับเราอย่างอารมณ์ดีในวันที่เราไปเยือนออฟฟิศสำนักงานใหญ่ที่อยู่ติดริมถนนย่านพุทธมณฑลสาย 2
ยาดมหงส์ไทย หรือที่ใครๆ เรียกติดปากว่า ‘ยาดมกระปุกเขียว’ เติบโตมาแล้ว 17 ปี โดดเด่นตั้งแต่บรรจุภัณฑ์ กลิ่นหอมของสมุนไพรที่เป็นเอกลักษณ์ เป็นอีกตัวช่วยที่เราเชื่อว่าใครหลายคนในที่นี้มีติดตัวแน่ๆ
จากจุดเริ่มต้นอย่างทุลักทุเล ก่อนจะเติบโตมาจนทุกวันนี้ วันที่ยาดมหงส์ไทยมีรายได้หลักหลายสิบล้าน และเผลอๆ ในปีนี้น่าจะแตะหลักร้อยล้าน มีสินค้าภายใต้แบรนด์หงส์ไทยมากกว่า 50 แบบ และจากที่ผลิตสินค้าได้ไม่เท่าไหร่ ตอนนี้สามารถผลิตสินค้าได้ราว 300,000 ชิ้นต่อเดือน แต่ก็ยังไม่เพียงพอกับความต้องการของผู้บริโภค
อะไรคือส่วนผสม เคล็ดลับความสำเร็จของแบรนด์หงส์ไทยที่กำลังฮิตอยู่ตอนนี้ ฮอตฮิตชนิดที่ว่าศิลปินระดับโลกอย่าง ‘ลิซ่า BLACKPINK’ ยังมียาดมหงส์ไทยติดตัว จนพลอยทำสินค้าขาดตลาดเพราะแฟนๆ แห่ไปซื้อตาม
ขอชวนไปส่องดูสูตรความหอมของยาดมหงส์ไทยกระปุกเขียวไปพร้อมๆ กัน
เริ่มต้นพบพรสวรรค์การขาย
วันที่เราพบเจอกัน ธีระพงศ์บอกกับเราว่าถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด อีกไม่เกิน 2 ปีน่าจะได้เห็นโรงงานพื้นที่ขนาด 1 ไร่ พร้อมเครื่องจักรที่มีความเป็นมาตรฐานมากขึ้นของแบรนด์หงส์ไทย ซึ่งตั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากสำนักงานใหญ่ที่เรากำลังอยู่นี้
โดยก่อนหน้าที่เขาจะเดินทางมาพูดคุยกับเรา เขาเดินทางไปดูพื้นที่ของโรงงานใหม่เรียบร้อยแล้ว
ก่อนที่ภาพอนาคตของหงส์ไทยจะฉายชัดขึ้น ธีระพงศ์เริ่มพาเรานั่งไทม์แมชชีนย้อนไปในอดีต ภาพเก่าๆ ในหัวค่อยๆ พรั่งพรูออกมาเป็นบทสนทนาที่เต็มไปด้วยรสชาติของชีวิตแห่งการเรียนรู้และเปลี่ยนแปลง
สูตรการทำธุรกิจของหงส์ไทยที่เขาเล่าไม่มีในตำราเล่มใด ทุกอย่างเกิดจากการเรียนรู้ ลอง และพัฒนาไปเรื่อยๆ อย่างไม่หยุดยั้ง
“เราไม่ได้เรียนหนังสือ สูตรการทำธุรกิจจึงไม่ได้มีตำรา ไม่มีต้นสายปลายเหตุ แนวการทำธุรกิจของเราเลยอาจจะแปลกๆ หน่อย บางคนบอกมันจะเป็นไปได้เหรอ แต่ทุกวันนี้ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้ว หงส์ไทยทำธุรกิจไปสุด และเดินทางมาถึงเส้นเหมือนกัน”
ในชีวิตคนเราคงไม่มีใครที่จะล่วงรู้ได้ว่าเราควรจะเริ่มต้นสร้างแบรนด์ของตัวเองตอนไหน สำหรับยาดมแบรนด์หงส์ไทยเองก็เช่นกัน
ย้อนกลับไป ธุรกิจยาดมหงส์ไทยของธีระพงศ์เป็นรูปเป็นร่างตอนที่เขาอายุสามสิบ แต่ก่อนหน้านั้นเขาผ่านสารพัดประสบการณ์มาอย่างทุลักทุเล เจอทั้งเรื่องดีที่เอามาใช้กับการทำธุรกิจหงส์ไทยจนถึงปัจจุบัน ส่วนเรื่องร้ายที่เจอก็เก็บเป็นประสบการณ์สอนให้ขึ้นใจ พร้อมรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ทันท่วงที
“เส้นทางชีวิตของผม ผมออกมาช่วยเหลือที่บ้านตั้งแต่อายุ 13 ปี เห็นพ่อขับแท็กซี่ทำงานคนเดียว เลี้ยงลูก 6 คน เราเห็นภาพซ้ำๆ ของครอบครัว ช่วงสุดท้ายของชีวิตการเรียนชั้นประถมกลายเป็นช่วงที่เราเข้าใจในการใช้ชีวิต เราถามกับตัวเองว่าถ้าเราไม่เรียน แล้วออกมาช่วยที่บ้านจะดีกว่าไหม จนตัดสินใจไม่เรียน ม.1 อย่างน้อยก็แบ่งเบาภาระ หาประสบการณ์ทำงานเทียบไป”
อายุ 13 กับการหางานไม่ว่าจะตอนนี้หรือตอนนั้นไม่ง่าย ธีระพงศ์ตระเวนไปสมัครงานที่ไหนก็ไม่มีใครรับเพราะอายุไม่ถึง จนมีคนรู้จักแนะนำให้เขาไปทำงานเป็นพนักงานหยิบของในร้านอิเล็กทรอนิกส์ย่านบ้านหม้อ ประสบการณ์การทำงานที่แรกติดตัวธีระพงศ์จนถึงทุกวันนี้กับการทำธุรกิจแบบครอบครัว
ทำงานเป็นเมสเซนเจอร์ที่โรงพิมพ์ ทำงานถ่ายภาพ ทำโบรชัวร์ และตัดสินใจไปอยู่วัด 1 เดือน ที่เราพูดทั้งหมดนี้ ธีระพงศ์ล้วนทำมาหมดแล้ว
จุดเริ่มต้นที่เปลี่ยนชีวิตที่ทำให้ธีระพงศ์ค้นพบพรสวรรค์ในการขาย การพูด และเริ่มธุรกิจขายแคบหมูและน้ำพริกฝากขายตามร้านโชห่วยคือตอนที่เขาติดทหาร
“เราโดนให้ไปอยู่ร้าน PX ซึ่งเป็นร้านค้าของกองร้อย และต้องทำยอดขายให้ได้มากกว่าคนเก่า คนเก่าทำไว้ 1,200 บาท เราเข้าไปทำก็กลายเป็น 6,000 บาท, 8,000 บาท เยอะสุดก็ 30,000 กว่าต่อเดือน ถือว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในตอนนั้น
“หลังออกจากทหารเราก็ทำธุรกิจขายแคบหมู ฝากขายตามร้านโชห่วย แม้ธุรกิจแคบหมูและน้ำพริกจะไปได้ดีในช่วงแรก แต่ทว่าธุรกิจก็ค่อยๆ ดิ่ง เราก็เลยรู้สึกว่าแล้วจะยังไงต่อ ก็เลยไม่รู้จะทำอะไร เลยอ่านหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ไปอ่านเจอมุมสร้างอาชีพสอนทำพิมเสนน้ำ เราก็ไปลงคอร์ส และเริ่มลองทำพิมเสนน้ำขายแทนแคบหมูในช่วงปี 2542 ตอนทำขายแรกๆ ก็ยังไม่ตอบโจทย์ ไม่สำเร็จเท่าไหร่ เราก็เปลี่ยนอาชีพไปทำสารคดี และทำพิมเสนน้ำอยู่บ้าง”
หลังเลิกล้มไปในช่วงแรกตอนยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ทำให้ธีระพงศ์กลับมาวางแผนธุรกิจอีกครั้ง
ครั้งนี้เขาไม่ฝากขายสินค้ากับร้านโชห่วย แต่ทำพิมเสนน้ำวางขายในปั๊มน้ำมันแทน แม้จะจับทางถูก ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แต่ทว่าคู่แข่งที่มีมากขึ้นและตัดราคากันก็ทำให้ไปไม่รอด
ไม่เพียงแค่พิมเสนน้ำของธีระพงศ์ที่ไปไม่รอด แต่ทั้งตลาดตอนนั้นก็ไม่รอดเช่นกัน
“ช่วงนั้นขายดีมากๆ เกิดการตัดราคากัน เจ้านั้นส่ง 25 เจ้านี้ส่ง 20 ส่วนเจ้าโน้นก็ตัดเหลือ 15 บาท ลูกค้าที่เคยสั่งกับเราก็ถามเราหว่าส่งได้ไหมในราคานี้ เราลองเอามาดูว่าเขาทำยังไง สรุปว่าคุณภาพไม่มี ถามว่าเราทำให้ได้ไหม ทำได้นะ แต่ต้องไปลดสเปก ลดคุณภาพ เลือกต้นทุนต่ำ แต่จะให้ผมทำผมไม่ทำนะ ทำไปลูกค้าก็ใช้ไม่ได้ ที่สุดตลาดก็ค่อยๆ ซาลงเพราะของไม่มีคุณภาพ”
กลับมาอย่างเต็มภาคภูมิด้วยชื่อหงส์ไทย
หลังจากห่างหายจากวงการพิมเสนน้ำไป 2 ปี เขากลับมาสู่การทำธุรกิจนี้อีกครั้งด้วยคำพูดจุดประกายที่รอมาทั้งชีวิตจากลูกค้าที่แวะเวียนมาถามหาสินค้าตลอดช่วงที่หายไป
“หายไปไหนมา ยังมีลูกค้ามาตระเวนหาพิมเสนน้ำของเราอยู่เลยนะ” ธีระพงศ์เล่าด้วยความตื่นเต้นหลังจากแวะกลับไปที่ปั๊มน้ำมันที่เคยเอาพิมเสนน้ำไปวางขาย
และประโยคที่จุดประกายความหวังที่เขารอคอยมาทั้งชีวิต คือคำพูดของลูกค้าที่แวะเวียนมาตามหาพิมเสนน้ำของหงส์ไทยตลอดช่วงเวลาหายไป ที่บอกว่า “เผื่อน้องเขามาส่ง”
เพราะเอาเข้าจริงคงไม่มีใครคอยและตามหาสินค้าที่หายไปจากตลาดแล้วหลายปี
คำหนึ่งที่ธีระพงศ์นึกขึ้นได้ในใจหลังจากนั้นคือ ‘นี่แหละทำอะไรดีๆ แล้วไม่มีวันตาย’ นั่นคือสิ่งที่หงส์ไทยสะสมมา คือคุณภาพและการไม่เอาเปรียบใคร
ปี 2549 คือการกลับมารอบใหม่ และยาดมหงส์ไทยกระปุกสีเขียวก็ถือกำเนิดขึ้น
“ส่วนชื่อหงส์ไทย ได้มาจากตอนที่เราไปทำงานสารคดี ลงไปที่ภูเก็ตครั้งแรกเจอรูปปั้นหงส์ระหว่างทาง คิดว่าหงส์ตัวนั้นสวยมาก เวลาเดินทางไปทำงานที่ภูเก็ตครั้งไหนๆ เลยเฝ้ามองตลอด พอมาทำพิมเสนน้ำ ตอนจะตั้งชื่อเลยนึกถึงหงส์ตัวนั้น ก็เลยตั้งชื่อแบรนด์ว่าหงส์ไทย”
การกลับมารอบใหม่ของหงส์ไทยครั้งนี้ธีระพงศ์ตั้งใจทำสินค้าชิ้นใหม่ที่ดีกว่าเดิม ทำพิมเสนน้ำเหมือนเดิม แต่เพิ่มเติมคือถ้าลูกค้าต้องการสินค้าแบบไหน หงส์ไทยก็จะพยายามไปเรียนรู้ ศึกษาพัฒนามาให้ได้ ทำการขายด้วยการเดินขายในตลาดเพื่อเก็บข้อมูล และพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคมากที่สุด
ธีระพงศ์ทำทุกอย่างเองตั้งแต่ต้นจนจบทั้งตั้งชื่อ โลโก้ แพ็กเกจจิ้ง พัฒนาสินค้า ถ้าจะบอกว่าหงส์ไทยมีสินค้าเยอะและหลากหลายที่สุดเจ้าหนึ่งในวงการเลยก็ว่าได้
“จากเดินขายในช่วงแรก เก็บข้อมูลไปเรื่อยๆ คนซื้อไปใช้บอกปากต่อปาก จนกลายเป็นที่นิยม จนมาวันนี้เราก็แทบไม่ได้เดินขายแบบเดิมอีกแล้ว แต่สินค้าของหงส์ไทยสามารถซื้อได้ที่ร้านสมุนไพร ร้านสะดวกซื้อ หรือตัวแทนของเราที่มีทั่วประเทศ”
ขาดทุนได้ แต่ต้องไม่ลดคุณภาพ
จากที่มีตึกไม่กี่คูหา มาตอนนี้สำนักงานใหญ่ของแบรนด์หงส์ไทยเป็นตึกออฟฟิศสีเขียวเรียงติดกันหลายสิบคูหา และยังมีสำนักงานสาขากระจายไปหลายแห่ง
จากที่ผลิตสินค้าได้วันละสิบ วันละร้อยชิ้น ตอนนี้มีกำลังผลิตยาดมกระปุกเขียวมากถึงเดือนละ 300,000 ชิ้น
หลักการทำธุรกิจโดยปกติทั่วไปต้องคิดถึงต้นทุน ทำแล้วมีกำไร แต่วิถีการทำธุรกิจของธีระพงศ์กลับไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะเขาเชื่อว่าการพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคคือสิ่งที่ควรทำที่สุด
ทำออกมาขายแล้วขาดทุนได้ แต่สิ่งสำคัญคือต้องไม่ลดคุณภาพ
“เมื่อเราพัฒนาสินค้าให้ดีขึ้น เท่ากับว่ากำไรยิ่งน้อยลง เราพัฒนาขึ้นไปอีก กำไรก็น้อยลงไปอีก ถ้าคุณพัฒนาแล้วกำไรมากขึ้น นั่นแปลว่าผู้บริโภคเหลือคุณภาพน้อยลง หงส์ไทยไม่ทำแบบนั้น
“อย่างสินค้าที่วางขายในตอนนี้มี 5 ผลิตภัณฑ์ที่ทำแล้วขาดทุนตั้งแต่วางขายเลย แต่เราก็เลือกที่จะทำและวางขาย แม้สินค้าทั้งห้าตัวนี้จะขาดทุน แต่เมื่อรวมกับทั้งหมดที่เรามีหักลบกันแล้ว เราก็แค่กำไรน้อยลงเท่านั้นเอง”
หงส์ไทยเลือกที่จะแตกต่าง และพัฒนาจุดยืนเรื่องคุณภาพมาตั้งแต่ต้น ไม่อยู่ในตลาดที่เป็นตัวเลือกและแข่งขันเรื่องราคา แต่ออกมายืนนอกตลาด และทำตลาดของหงส์ไทยเองที่เมื่อลูกค้ามาซื้อแบรนด์หงส์ไทยแล้ว จะไม่กลับไปซื้อแบรนด์อื่นในตลาดอีก
“ที่เราเกิดและเติบโตในยุคนี้ เราเชื่อว่าเพราะเราคิดต่างทั้งระบบ ถ้าเราไม่ให้ใจกับผู้บริโภค คุณก็ไม่มีวันได้ใจผู้บริโภคหรอก
“เรารู้แล้วว่าผู้บริโภคใช้แล้วถูกใจ แต่ถูกใจอย่างเดียวไม่พอ ต้องกลับมาซื้อใหม่ กลับมาซื้อใหม่อย่างเดียวก็ไม่พอ ต้องมาซื้อตลอด เราจะทำยังไงให้กระบวนการตรงนี้เกิดกับผู้บริโภค”
พัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง
เชื่อว่าใครที่เคยใช้ยาดมหงส์ไทย หรือตอนนี้มียาดมกระปุกเขียวอยู่ในมือ ลองหยิบขึ้นมาดมดูก็จะรู้ว่ายาดมหงส์ไทยมีกลิ่นที่แตกต่าง
กลิ่นที่แตกต่างของหงส์ไทยนี้ธีระพงศ์บอกกับเราว่า มาจากการพัฒนาที่หงส์ไทยสามารถหาค่ากลางของกลิ่นได้ ทำให้ยาดมของหงส์ไทยใช้ได้กับคนทุกวัย
ถ้าถามว่าหงส์ไทยพัฒนามากแค่ไหนละก็ ที่เห็นสินค้าที่วางเรียงรายอยู่หน้าเรานี้ ทั้งพิมเสน ยาดม ยานวด ยาหม่อง สเปรย์แอลกอฮอล์สมุนไพร และอีกมากมาย ถูกพัฒนาทั้งหมดรวมกันไม่ต่ำกว่า 500 รอบ
“เราพัฒนามาตลอด เมื่อลูกค้าตำหนิกลิ่นไม่หอม ตำหนิอะไรมาเราก็เอามาปรับปรุง เราไม่หยุดพัฒนาเลย กลิ่นเป็นศาสตร์ เมื่อเราหาค่ากลางได้ ทำให้ยาดมหงส์ไทยเป็นยาดมที่ทุกกลุ่มดมได้ยาดมกระปุกสีเขียวเป็นกลิ่นสากล กระปุกสีเหลืองเป็นกลิ่นเฉพาะ ส่วนกระปุกสีขาวกลิ่นมาตรฐาน ทุกอย่างพัฒนาแล้วกลิ่นต้องดีกว่าเดิม”
ยาดมหงส์ไทยกระปุกสีเขียวที่ขายดีที่สุดก็พัฒนากลิ่นมาแล้วมากกว่า 30 รอบ
เติบโตอย่างแข็งแกร่ง
ขวบปีที่ 17 ของแบรนด์หงส์ไทยพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าคำตอบของการทำธุรกิจคือคุณภาพ แต่กว่าจะเติบโตมาจนถึงทุกวันนี้ในช่วงขวบปีแรกก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน ธีระพงศ์บอกว่าหงส์ไทยปัญหาเจอมาเยอะ 8 ปีแรกเจอมรสุมเรื่องคน เจอภาวะสมองไหล พนักงานเข้าๆ ออกๆ กว่าจะแก้ปัญหาได้ก็ใช้เวลาหลายปีจนวันนี้หงส์ไทยแข็งแกร่งเพราะผ่านมรสุมมาทุกยุค
พนักงานจาก 20 คน ตอนนี้มีกว่า 200 คน และปีนี้น่าจะมีพนักงานถึง 300 คน
รายได้หลักหลายสิบล้าน ก็น่าจะแตะถึงหลักร้อยล้านแน่ๆ
ธีระพงศ์บอกว่าตอนนี้กำลังเข้าสู่ยุคที่ 7 ของเขา นั่นคือยุคที่หงส์ไทยพร้อมที่จะขึ้นไปยืนอยู่ในท็อป 10 ของตลาดยาดมในไทย พร้อมกับขยายใหญ่ที่ตั้งเป้าไม่เกินปี 2568 จะต้องมีโรงงานที่มีมาตรฐานมากขึ้นกว่าเดิม ที่ตอนนี้กำลังเป็นรูปเป็นร่างแล้ว
และเมื่อต่างชาติมาเที่ยวประเทศไทย แล้วจะซื้อของกลับไปฝากสักชิ้นหนึ่ง หนึ่งในนั้นต้องเป็นสินค้าแบรนด์หงส์ไทย
ก่อนที่จะถึงภาพที่วาดฝันไว้ในอนาคตนั้น ตอนนี้ธีระพงศ์พาเราขึ้นไปชั้นสองและสามของตึก ลัดเลาะไปดูถึงขั้นตอนการทำยาดมกระปุกสีเขียวตั้งแต่แพ็กเกจจิ้ง แปะสติ๊กเกอร์ บรรจุสมุนไพร ไปจนปิดซีลพร้อมส่งขาย ที่ทุกขั้นตอนล้วนแล้วแต่ทำด้วยคำว่าคุณภาพ
“ยิ่งใช้ ยิ่งนาน ยิ่งหอม กลายเป็นซิกเนเจอร์ของยาดมหงส์ไทย และหากไม่หอมให้เอาไปตากแดด
“ใช้นานได้นับปีถ้าไม่ทำหายก่อน” ธีระพงศ์ปิดท้ายบทสนทนา