‘Pizzeria Bianco’ ร้านพิซซ่าของชายผู้เรียนไม่จบที่ได้รับการยกย่องว่าอบพิซซ่าได้ดีที่สุดในโลก

“พิซซ่าที่ดีที่สุดในโลกไม่ได้อยู่ที่อิตาลี ไม่ได้อยู่ที่นิวยอร์ก แต่อยู่ที่ฟีนิกซ์” 

ข้อความนี้ถูกเขียนขึ้นโดย Ed Levine นักวิจารณ์อาหาร นักเขียนและคอลัมนิสต์ชื่อดัง ผู้ก่อตั้งเว็บไซด์ Serious Eats 

ก่อนที่เอ็ดจะเขียนข้อความที่ดูช่างท้าทายจิตใจของชาวนิวยอร์กและชาวอิตาเลียนนี้  เขาได้ออกตระเวนเดินทางกินพิซซ่าไปทั่วทั้งสหรัฐฯ และไปไกลจนถึงอิตาลีในปีเดียวกัน เสมือนหนึ่งว่าเขาเป็นอินเดียนา โจนส์ ที่กำลังเดินทางตามหาขุมทรัพย์อันลึกลับที่ไม่มีใครรู้จัก 

หลังจากที่เขากินพิซซ่าเข้าไปกว่า 1,000 ชิ้นภายในปีเดียว เขาก็สรุปได้ว่า ร้านที่อบพิซซ่าออกมาได้ดีที่สุดในโลกคือร้าน Pizzeria Bianco ซึ่งอยู่ที่ฟีนิกซ์ ในรัฐแอริโซนา ทางตอนใต้ของสหรัฐฯ

Photo : www.pizzeriabianco.com

ทันทีที่ข้อความนั้นถูกเผยแพร่ออกไป มีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย

คนทั้งหมดที่เห็นด้วยนั้น ล้วนแต่เป็นคนที่เคยได้ไปลองกินพิซซ่าที่ Pizzeria Bianco มาแล้วทั้งสิ้น ส่วนคนที่ไม่เห็นด้วยแน่นอนว่า คือคนที่ยังไม่เคยได้สัมผัสกับพิซซ่าของร้าน Pizzeria Bianco

หนึ่งในคนที่ไม่เห็นด้วยกับข้อความนี้ คือ นักวิจารณ์อาหารจากนิตยสาร Vogue เขาโทรไปคุยกับเอ็ด แล้วบอกกับเอ็ดว่า

“คุณมันเสียสติไปแล้ว”

“โอเค ถ้าอย่างนั้นคุณไปลองกินเองเลยที่ฟีนิกซ์ แล้วเราค่อยมาคุยกัน” เอ็ดตอบกลับ

จากนั้นไม่นานนักวิจารณ์อาหารคนนั้นบินไปที่ฟีนิกซ์ กินพิซซ่าที่ Pizzeria Bianco และโทรกลับมาหาเอ็ดจากสนามบินที่ฟีนิกซ์พร้อมบอกกับเอ็ดว่า

“คุณพูดถูกว่ะ”

Photo : www.pizzeriabianco.com

อิตาเลียนบอยในนิวยอร์ก

Pizzeria Bianco เป็นกิจการร้านพิซซ่าของ คริส บิอังโก (Chris Bianco) ชายอิตาเลียนวัย 60 (ณ ปี 2022) ที่เกิดและโตมาจากย่านบรองซ์ในนิวยอร์ก เขาป่วยเป็นโรคหอบหืดตั้งแต่อายุ 5 ขวบ คริสจึงมีอุปสรรคในการใช้ชีวิต เช่น เล่นกีฬาไม่ได้บ่อยๆ เหมือนเพื่อนคนอื่น อาการหอบหืดมักจะกำเริบตอนกลางคืนทำให้เขานอนไม่หลับ และมักจะงัวเงียไปเรียนตอนกลางวัน 

แต่ทุกเรื่องร้ายก็มักจะมีเรื่องดีอยู่ในนั้นเสมอ การที่คริสมักไม่ได้ไปร่วมเล่นกีฬากับเพื่อนๆ ทำให้คริสใช้เวลาส่วนใหญ่กับคนในครอบครัว คริสมักเข้าครัวทำอาหารกับคุณป้าและคุณแม่ ผู้หญิงที่คริสยกย่องว่าเป็นคนที่ทำอาหารเก่ง และมีลิ้นที่รับรสได้ดีที่สุดคนหนึ่งเลยทีเดียว ที่บ้านหลังน้อยในนิวยอร์กอันอบอุ่นของครอบครัวบิอังโกนี่เองที่เป็นที่แรกที่บ่มเพาะความรักในการทำอาหารของคริส

คริสรู้ตัวดีว่าเป็นคนที่เรียนหนังสือไม่เก่งเอาเสียเลย และมันก็ดูเหมือนกับว่าสมองเขามันก็ไม่อยากจะเอาดีทางด้านเรียนหนังสือจริงๆ เสียด้วย เขาเลยลาออกจากโรงเรียนมาตั้งแต่ตอนที่เขาอยู่เกรด 11 นั่นเท่ากับว่าเขาเรียนไม่จบมัธยมปลายซะด้วยซ้ำ

คริสพูดไว้ในสารคดี Chef’s Table: Pizza ว่าทันทีที่เขาลาออกจากโรงเรียน เขารู้ตัวว่าเขาจำเป็นต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อไม่ให้พ่อแม่ผิดหวังไปมากกว่านี้ (เพราะหลังจากลากออกจากโรงเรียน พ่อของคริสไม่พูดกับคริสไปเลย 1 ปี)

คริสเล่าว่าเขาตัดสินใจที่จะทำ 2 อย่าง คือ หนึ่ง-เป็นคนที่ใจดีกับคนอื่นเสมอ และสอง-เป็นคนที่ทำงานหนักกว่าใคร หนักเอาเบาสู้

และเขาก็ทำแบบนั้นจริงๆ

Photo : www.pizzeriabianco.com

นิวยอร์ก + อิตาลี = ส่วนผสมของพิซซ่าที่ลงตัว

ด้วยเชื้อสายอิตาเลียนประกอบกับการได้เกิดและโตในนิวยอร์ก ทั้งเลือดอิตาเลียนดินแดนที่เป็นต้นกำเนิดของพิซซ่าที่ไหลเวียนอยู่ในตัวเขา กับการได้เติบโตมาในที่ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นเมืองที่อบพิซซ่าได้อร่อยไม่แพ้ใครอย่างนิวยอร์ก ชีวิตของคริสเริ่มผูกพันกับการทำพิซซ่ามากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มตั้งแต่เมื่อตอนอายุ 13 ที่คริสได้ทำงานที่ร้านพิซซ่า 

ร้านพิซซ่าแรกที่เขาเริ่มทำงานคือ ร้านพิซซ่าอัลโด ที่ตั้งอยู่ที่ถนนครอยดอนอเวนิว ในนิวยอร์ก งานที่คริสได้รับมอบหมายให้ทำคือการแบกกระสอบแป้งขึ้น-ลงบันได จากชั้นใต้ดินเอาไปส่งให้พ่อครัวในครัว ต่อมาก็เริ่มได้เลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นคนขูดชีสมอซซาเรลลา และบางครั้งคริสก็ได้รับอนุญาตให้นวดแป้งพิซซ่าบ้าง สถานที่แห่งนี้เองที่เป็นที่จุดประกายให้คริสมีความรู้สึกว่า การทำพิซซ่า คือสิ่งที่เขาอยากจะทำในชีวิต 

อาจจะเป็นเพราะการลาออกจากโรงเรียนก่อนจบมัธยมปลาย แถมตอนที่เรียนอยู่ก็ยังไม่ใช่คนเรียนเก่งอีก คริสจึงรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ไม่ค่อยมีทักษะอะไรสักอย่างติดตัวเลย หลังลาออกจากโรงเรียนคริสอยากจะเพิ่มทักษะอะไรสักอย่างให้กับตัวเอง อีกทั้งถ้าทักษะนั้นมันสนับสนุนความรักในการทำพิซซ่าของเขาเข้าไปอีก มันคงจะเป็นเรื่องดีไม่น้อย

คริสได้เริ่มเข้าไปเรียนรู้การทำชีสมอซซาเรลลากับ ไมค์ เกรโค (Mike Greco) เจ้าของร้าน Mike’s Deli ในย่านบรองซ์ ผ่านการฝากฝังให้ทำงานของคุณแม่ของคริส ไมค์สอนให้คริสทำชีสมอซซาเรลลาจนกลายเป็นทักษะติดตัวคริส และเป็นส่วนสำคัญขององค์ประกอบในการทำพิซซ่าที่ Pizzeria Bianco เช่นทุกวันนี้ และทักษะการทำชีสมอซซาเรลลานี้เองที่ช่วยชีวิตคริสไว้ให้ตั้งตัวได้ตอนย้ายถิ่นที่อยู่ไปที่ฟีนิกซ์

แล้วทำไมคริสจึงไปฟีนิกซ์?

Leaving on a Jet Plane

ถ้ารางวัลที่ใหญ่ที่สุดของล็อตโต้อเมริกา คือการได้เงินรางวัลหลักหมื่นล้าน ถ้าอย่างนั้นคริสเองก็นับว่าเคยถูกรางวัลระดับประเมินค่าไม่ได้เช่นกัน 

รางวัลที่คริสได้ไม่ใช่เงินถุงเงินถังเป็นกอบเป็นกำเหมือนคนซื้อล็อตโต้ทั่วไป แต่คริสได้รับตั๋วเครื่องบินที่สามารถบินไปที่ไหนก็ได้ในอเมริกา และคริสเลือกที่จะใช้ตั๋วเครื่องบินนั้นบินไปที่ฟีนิกซ์ ซึ่งตอนนั้นคริสเองไม่ทันได้รู้ตัวเลยว่า การเลือกบินไปฟีนิกซ์ในครั้งนั้นของเขาในปี 1985 จะเปลี่ยนแปลงเส้นทางชีวิตของเขาจากพนักงานร้านพิซซ่าและร้านขายของชำในย่านบรองซ์ให้กลายเป็นมาสเตอร์ทางด้านการอบพิซซ่าระดับประเทศ

“ถ้าคุณถามคริสตอนนี้ เขาเองก็คงยังให้คำตอบคุณไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมตอนนั้นเขาจึงเลือกบินมาที่ฟีนิกซ์” เอ็ดเคยเขียนเล่าเรื่องราวของคริสไว้ในคอลัมน์ของ The New York Times 

ถึงแม้ว่าจะไม่รู้ว่าทำไมหรืออะไรที่ดลใจให้คริสบินมาที่ฟีนิกซ์  แต่คริสรู้สึกชอบและตกหลุมรักที่นี่ในทันทีที่มาถึงและใช้เวลาอยู่ที่นี่ จากนั้นคริสจึงเริ่มตัดสินใจย้ายมาลงหลักปักฐานที่ฟีนิกซ์

จากที่เกิดและโตมาที่นิวยอร์ก คริสจึงไม่ได้รู้จักใครมากนักในฟีนิกซ์ คริสเริ่มทำชีสมอซซาเรลลาในอพาร์ตเมนต์เล็กๆ ของเขาที่นั่น และนำชีสมอซซาเรลลาเหล่านั้นไปเดินขายตามบ้านคนทั่วไป ฟังดูเป็นเรื่องราวที่บ้าบิ่นมากกับการที่อยู่ๆ ก็เอาชีสเดินไปขายตามบ้านต่างๆ แบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แต่ปณิธานที่คริสตั้งเอาไว้หลังจากที่ลาออกจากโรงเรียนก่อนเรียนจบ คือ เขาจะทำงานให้หนักไม่แพ้ใครหน้าไหนทั้งนั้น คริสจึงไม่มีทางเลือกให้เดินถอยหลัง จากนี้เขาต้องเดินไปข้างหน้าเพียงอย่างเดียว

Photo : www.pizzeriabianco.com

เป็นทั้งคนทำชีสและเซลลส์แมน

หลังจากเริ่มด้วยการเดินไปเคาะประตูบ้านแต่ละหลัง ที่แล้วที่เล่า ขายได้บ้างไม่ได้บ้าง คริสเริ่มขยับขยายเอาชีสมอซซาเรลลาของตัวเองไปขายให้กับร้านพิซซ่า ปรากฏว่าชีสมอซซาเรลลาของคริสเข้าตาร้านพิซซ่าหลายแห่ง คริสเริ่มมีรายได้จากการขายมอซซาเรลลาให้กับร้านขายพิซซ่าในฟีนิกซ์

จนกระทั่งคริสได้พบกับ Guy Coscos เจ้าของร้านขายของชำในฟีนิกซ์ที่ได้พูดคุยและทำความรู้จักกับคริสและเสนอพื้นที่ตรงมุมของร้านขายของชำของเขาให้คริสได้เปิดร้านพิซซ่าที่อบจากเตาถ่าน หลังจากเปิดร้านพิซซ่าในมุมเล็กๆ ของร้านขายของชำคริสบอกกับตัวเองเลยว่า “นี่แหละคือสิ่งที่เขาจะทำเพื่อใช้เลี้ยงชีวิต”

ปี 1989 คริสย้ายที่อยู่อีกครั้งไปที่ซานตาเฟ่ รัฐนิวเม็กซิโก คริสได้พบและทำงานกับ Deborah Madison เชฟและนักเขียนชื่อดังทางด้านเมนูมังสวิรัติ และ David Tanis ผู้ช่วยเชฟของเดโบราห์ที่ซานตาเฟ่ คริสได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ๆ เกี่ยวกับการทำอาหารและได้ฝึกปรือทักษะในการทำอาหารให้คมคายและกลมกล่อมมากขึ้นไปอีก

Photo : www.pizzeriabianco.com

กำเนิด Pizzeria Bianco

ปี 1994 คริสกลับมาที่ฟีนิกซ์อีกครั้งเพื่อเปิดร้านพิซซ่า Pizzeria Bianco คริสนำทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเขาประสบ พบเจอ และเรียนรู้มาตั้งแต่เด็กจนโตใส่เข้าไปในการทำร้านพิซซ่าแห่งนี้

เขาเอาทักษะการนวดแป้ง ทักษะการทำชีสมอซซาเรลลาจาก Mike’s Deli ใส่เข้าไปในพิซซ่าที่เขาอบ ผสมผสานเข้าใจวัตถุดิบที่เป็นพืชผักทั้งหมดจากเดโบราห์ ยิ่งไปกว่านั้นคริสเป็นคนที่เชื่อในหลักการของการสนับสนุนผลิตภัณฑ์ในชุมชน ส่วนผสมต่างๆ ที่คริสใช้ในร้านส่วนมากมาจากชุมชนหรือฟาร์มในแอริโซนาทั้งสิ้น

อย่างเช่นแป้งข้าวสาลีที่คริสใช้ในการอบพิซซ่าก็มาจากฟาร์มที่ชื่อว่า Oatman Farms รัฐแอริโซนา และด้วยความบังเอิญในปี 1985 ที่ไม่รู้ว่าอะไรนำพาให้คริสเลือกเดินทางมายังฟีนิกซ์หลังถูกรางวัลตั๋วเครื่องบิน แต่ปรากฏว่าแอริโซนาเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีประเพณีการทำแป้งข้าวสาลีที่ลึกล้ำที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และคริสก็ได้ค้นพบว่าแอริโซนาคือพื้นที่ที่ปลูกและส่งออกแป้งข้าวสาลีไปยังอิตาลีอีกด้วย

Photo : www.pizzeriabianco.com
Photo : www.pizzeriabianco.com

ความเรียบง่ายอันไร้ที่ติ

เมนูพิซซ่าในร้าน Pizzeria Bianco มีพิซซ่าให้เลือกเพียง 6 หน้าเท่านั้น ได้แก่ Margherita, Marinara, Rosa, Sonny Boy, Biancoverde และ Wiseguy แต่ความเรียบง่ายของเมนูที่มีให้เลือกเพียงแค่ 6 หน้าของคริสไม่ได้ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าตัวเลือกน้อยเกินไปเลย ตรงกันข้ามพวกเขารู้สึกว่ามันคือความเรียบง่ายแบบไร้ที่ติต่างหาก

แป้งพิซซ่าของคริสให้ความรู้สึกทั้งนุ่มทั้งหนาและบางกรอบในเวลาเดียวกัน กรอบตรงขอบด้านนอกและนุ่มหนึบหนับด้านใน ชีสมอซซาเรลลาของคริสซึ่งคริสและทีมงานจะทำมันสดๆ ในทุกๆ เช้าให้สัมผัสครีมมี่และนวลเนียนในปาก ส่วนซอสมะเขือเทศอีกหนึ่งหัวใจสำคัญของพิซซ่าที่คริสใช้ทาลงไปบนแป้งพิซซ่าให้ครสชาติเหมือนมะเขือเทศที่สุกที่สุดแบบกำลังพอดีไม่เละเหลวจนเกินไปแต่มาในแบบของซอส 

สิ่งละอันพันละน้อยขององค์ประกอบทั้งหมดนี้หลอมรวมกัน ทำให้พิซซ่าจากร้าน Pizzaria Bianco ของคริสขายดิบขายดี เป็นของดีของฟีนิกซ์ที่คนฟีนิกซ์รัก และเป็นเหมือนหมุดหมายที่คนรักพิซซ่าไม่ว่าจะเป็นเชฟ เป็นพิซซ่าเลิฟเวอร์ต้องมาให้ถึงสักครั้งในชีวิต

สถานที่ที่ห้ามพลาดสำหรับคนรักพิซซ่า

ร้านพิซซ่าของคริสป๊อปปูลาร์ในหมู่ชาวฟีนิกซ์มากจนถึงขนาดที่ว่ากำหนดการร้านเปิด 5 โมงเย็นแต่มีคนมาต่อแถวรอตั้งแต่ 10 โมงเช้า ด้วยอากาศที่ทั้งร้อนทั้งแห้งของฟีนิกซ์แต่คนก็ยังคงเข้าคิวยืนรอเพื่อจะได้กินพิซซ่าแสนอร่อยจากคริส

เมื่อชื่อเสียงของคริสเริ่มแพร่กระจายออกไป เขาเริ่มเป็นคนดังทั้งในหมู่คนรักพิซซ่าทั่วไปและในหมู่เชฟด้วยกันเอง ไมว่าจะเป็น Jimmy Kimmel, Rachael Ray, Martha Stewart นักเขียนที่ทำงานเกี่ยวกับอาหารทั้งคนทำหนังสือสูตรอาหาร คอลัมนิสต์ นักวิจารณ์อาหาร ใครๆ ต่างพากันมากินพิซซ่าของคริสกันทั้งสิ้น

คริสเริ่มกดดันตัวเองมากขึ้น ไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากให้ใครเขียนถึงเขาในทางไม่ดี แต่เพราะเขาไม่อยากให้ใครก็ตามที่มากินพิซซ่าที่ร้านเขาต้องผิดหวัง เขาแก้ปัญหานั้นด้วยการยืนอยู่หน้าเตาอบแล้วอบพิซซ่าทุกวัน ตลอดเวลาที่ร้านเปิด จนกระทั่งคุณหมอบอกเขาว่าเขาเริ่มมีปัญหาเรื่องระบบการหายใจเนื่องด้วยโรคหอบหืดที่เขาเป็นมาตั้งแต่เด็กบวกกับการสูดดมควันจากเตาและฝุ่นของผงแป้งเป็นเวลานานติดต่อกัน

คริสจึงต้องถอยหลังออกมาและเริ่มเรียนรู้สิ่งสำคัญของการทำธุรกิจ และทำให้ธุรกิจขยายตัวและยั่งยืนต่อไปได้ นั่นคือการที่เขาต้องไว้ใจลูกน้องให้ทำหน้าที่ต่างๆ แทนเขาบ้าง

หลังจากนั้นคริสเริ่มถอยออกมาจากหน้าเตาแต่กระจายงานและความรับผิดชอบให้ลูกน้องแทน คริสทำหน้าที่เป็นเพียงแค่ผู้ที่ทำให้กลไกของร้านอาหารมันดำเนินไปได้อย่างไม่สะดุด ธุรกิจของคริสดำเนินไปได้ด้วยดีถึงแม้จะประสบกับภาวะอันยากลำบากในช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมาเช่นเดียวกันกับที่ร้านอาหารหลายร้านต้องเผชิญ แต่ร้าน Pizzeria Bianco ของคริสก็ผ่านมันมาได้

Photo : www.pizzeriabianco.com

เคล็ดลับในการทำพิซซ่าที่อร่อยที่สุดในโลก

ร้าน Pizzaria Bianco และคริสยิ่งเป็นที่รู้จักเป็นวงกว้าง เมื่อร้านได้อยู่ในสารคดี Chef’s Table: Pizza ที่ฉายทาง Netflix และคริสได้เผยเคล็ดลับในการทำพิซซ่าของเขาในสารคดีไว้ว่า 

“บางคนบอกว่าเคล็ดลับขึ้นอยู่กับน้ำที่ใช้ แต่ผมว่าไม่ใช่นะ คืองี้นะ เคล็ดลับก็คือ ถ้าเอาของไม่ดีเข้าไปอบ คุณก็ได้ของไม่ดีออกมา ถ้าคุณเอาของห่วยๆ ใส่เข้าเตา คุณก็จะได้ของห่วยๆ ออกมา เพราะฉะนั้นเอาแต่ของดีใส่เข้าไป แล้วคุณก็จะได้ของอร่อยออกมา”

ฟังดูเรียบง่ายไม่มีอะไรยาก แต่สำหรับคนทั่วไปสิ่งเรียบง่ายอาจทำให้เพอร์เฟกต์ได้ยากเช่นกัน คริส ผู้เปรียบเสมือนปรมาจารย์โยดาแห่งวงการพิซซ่าได้รับรางวัล James Beard Awards (เปรียบเหมือนรางวัลออสการ์แห่งวงการอาหารในสหรัฐอเมริกา) ในปี 2003 สาขา Best Chef Southwest ซึ่งคริสเป็นเชฟพิซซ่าคนแรกที่ได้รับรางวัลนี้ แถมในปี 2022 คริส ยังได้รับรางวัลนี้อีกครั้งในสาขา Best Restaurateur

ถึงอย่างนั้นหลังรับรางวัลนี้คริสยังคงเอาแต่พูดยกยอทีมงาน และเหล่าชาวไร่ชาวสวนที่เป็นซัพพลายเออร์ของเขาว่าเป็นคนที่สมควรได้รับการยกย่องในการได้รางวัลในครั้งนี้

มาถึงวันนี้ไม่ว่าประโยคที่ว่า “พิซซ่าที่ดีที่สุดในโลกไม่ได้อยู่ที่อิตาลี ไม่ได้อยู่ที่นิวยอร์ก แต่อยู่ที่ฟีนิกซ์” จะเป็นจริงหรือไม่ มันคงไม่สำคัญกับคริสเท่าไหร่ เพราะเขาไม่เคยเอ่ยอ้างถึงสิ่งนั้น สิ่งสำคัญมีเพียงทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้ดี

อย่างที่เขาว่า “เอาแต่ของดีใส่เข้าไป แล้วคุณก็จะได้ของอร่อยออกมา” เท่านั้นเอง

อ้างอิง

Day 1 ของ KEEN ในประเทศไทย กับวิธีขายที่เต็มไปด้วยแพสชั่นของ Element72 จนเจ้าของแบรนด์ยังต้องยอมรับ

Element72

Element72 Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Element72

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

คุยเรื่อง digital transformation กับ ‘กนกกมล เลาหบูรณะกิจ’ MD คนไทยคนแรกของ Fujitsu

Fujitsu คือหนึ่งในแบรนด์ญี่ปุ่นที่ชื่อคุ้นหูและอยู่ในใจคนไทยหลายคน แต่ด้วยความที่ทำหลายอย่าง มีผลิตภัณฑ์และบริการหลายชนิด จึงเป็นเรื่องยากที่จะนิยามด้วยประโยคสั้นๆ ว่า Fujitsu ทุกวันนี้ทำธุรกิจอะไร

บริษัทจากแดนอาทิตย์อุทัยก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1935 โดยคำว่า ‘ฟูจิ’ มาจากภูเขาฟูจิในญี่ปุ่น และหากแยกเป็นคำๆ ‘ฟู’ หมายถึงความมั่งคั่ง ‘จิ’ เป็นคำพ้องเสียงชื่อต้นของ siemen ที่เป็น siemen เพราะการผลิตคอมพิวเตอร์ในช่วงแรกของฟูจิตสึนั้นใช้เทคโนโลยีของ siemen เข้ามาช่วย สุดท้ายคือ ‘สึ’ หมายถึงการสื่อสาร ซึ่งสื่อไปถึงธุรกิจในช่วงแรกของ Fujitsu ที่ทำเกี่ยวกับ telecommunication เป็นหลัก จากนั้นจึงค่อยๆ ขยับมาทำคอมพิวเตอร์ เซิร์ฟเวอร์ ซอฟต์แวร์ บริการด้านเทคโนโลยีสำหรับใช้ในองค์กรอีกมากมาย มาจนถึงปัจจุบันที่พัฒนาจนมีบริการทำ digital transformation ให้องค์กรต่างๆ

Fujitsu เข้ามาไทยเมื่อปี 1990 ในช่วงเวลาที่เรียกว่า ‘Japanese Boom’ ในช่วงเวลานั้นญี่ปุ่นได้ย้ายถิ่นฐานการผลิตสินค้าออกไปยังประเทศต่างๆ ทั่วเอเชีย ซึ่งไทยก็เป็นหนึ่งในนั้น จากวันแรกจนถึงวันนี้ Fujitsu ได้ขยับขยายและปรับธุรกิจให้เหมาะกับยุคสมัยจนสามารถยืนระยะในไทยมาได้นานถึง 32 ปี และตอนนี้ธุรกิจของ Fujitsu ในลาวและกัมพูชาก็อยู่ภายใต้การดูแลของ Fujitsu ประเทศไทยด้วยเช่นกัน 

สิ่งที่น่าสนใจคือเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา Fujitsu ได้ประกาศเปิดตัว กนกกมล เลาหบูรณะกิจ เป็น Managing Director คนใหม่ของบริษัท 

มองเผินๆ นี่คือการที่บริษัทหนึ่งตั้ง MD ใหม่ แต่ความพิเศษคือ กนกกมลถือเป็น MD คนไทยคนแรกของ Fujitsu ตั้งแต่บริษัทเข้ามาในไทย โดยที่ผ่านมา MD ทุกคนล้วนเป็นคนญี่ปุ่นทั้งสิ้น

โดยหากย้อนสำรวจเส้นทางชีวิตที่ผ่านมาของกนกกมลจะพบว่าเธอคือผู้ที่คลุกคลีอยู่กับบริษัทแห่งนี้มาอย่างยาวนาน

กนกกมลทำงานทั้งในอุตสาหกรรมโรงงาน เทรดดิ้ง ก่อนจะมาเริ่มทำงานกับ Fujitsu เมื่อ 24 ปีที่แล้วในแผนกการขาย จากนั้นค่อยๆ เติบโตเป็น Director, Vice President, Head of Sales ก่อนจะก้าวมาเป็น MD ในปัจจุบัน

Capital จึงถือโอกาสนี้ชักชวน MD คนใหม่มาพูดคุยกันถึงธุรกิจในปัจจุบันของ Fujitsu แนวคิดในการบริหารและการรับมือความเสี่ยงในธุรกิจที่ต้องเผชิญ รวมถึงพูดคุยถึงความท้าทายของ Fujitsu ในวันที่มีบริษัทเทคโนโลยีทั้งจากจีน อเมริกา หรือเกาหลีครองพื้นที่ในใจคนไทยไปแล้วมากมาย แล้ว MD คนใหม่อย่างเธอจะนำพา Fujitsu เดินไปทางไหน

สรุปแล้วทุกวันนี้ Fujitsu ในไทยทำธุรกิจอะไรอยู่บ้าง

เราทำธุรกิจเหมือนกับบริษัทแม่ที่ญี่ปุ่น จากบริษัท IT พัฒนามาเป็น ICT จนถึงปัจจุบันคือเป็น digital transformation company คือเข้าไปช่วยทำ digital transformation ให้กับองค์กรต่างๆ แล้วก็ทำมีธุรกิจอื่นที่ไม่ใช่ด้าน IT เช่นแอร์

ซึ่งเราดูในฝั่งของ digital transformation company เป็นหลัก ธุรกิจที่ Fujitsu เข้าไปทรานส์ฟอร์มให้ก็มีตั้งแต่ automotive, automobile, manufacturing, retail, finance ไปจนถึงหน่วยงานราชการ 

ทำหลายอย่าง แล้วคุณนิยามธุรกิจที่ Fujitsu ทำว่ายังไง

เราคือบริษัทที่เป็น sustainability transformation service provider หรือการทำ digital transformation ให้กับบริษัทลูกค้าให้ยั่งยืน 

การทำ digital transformation ให้ยั่งยืนที่ว่าเป็นยังไง

การทำ digital transformation ไม่ใช่แค่ทำครั้งเดียวแล้วก็จบ เพราะโลกเปลี่ยนแปลงทุกวัน คนเราก็มีวิวัฒนาการไปเรื่อยๆ องค์กรก็ต้องตามให้ทันความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นได้ เราก็เลยจะทำหน้าที่เป็นพาร์ตเนอร์กับลูกค้าในระยะยาว 

การทำหน้าที่ของเราคือให้คำปรึกษากับลูกค้าว่าเขาจะเอาเทคโนโลยีมาปรับเปลี่ยนให้ธุรกิจเข้ากับยุคสมัยได้ยังไง แล้วดูว่าเรามีฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์อะไรบ้างที่จะเข้าไปซัพพอร์ตการทำ digital transformation ให้กับลูกค้าได้

เพราะเราไม่ได้ก่อตั้งบริษัทมาเพื่อหวังกำไรครั้งเดียวแล้วก็จบ แต่อยากจะอยู่กับลูกค้าไปแบบยั่งยืน อย่างที่บอกว่าในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปทุกวัน ธุรกิจก็ต้องเปลี่ยนตามพฤติกรรมของผู้บริโภค การทำ digital transformation จึงไม่ใช่แค่ทำครั้งเดียวแล้วก็จบไป 

อะไรคือสิ่งที่คนมักเข้าใจผิดเกี่ยวกับการทำ digital transformation

การทำ digital transformation ในธุรกิจไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ก็ตาม สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันเลยคือต้องตั้งโจทย์ให้ชัดให้รู้ก่อนว่าการทรานส์ฟอร์มนี้ทำไปเพื่ออะไร อยากได้อะไร เพราะถ้าตอบคำถามเหล่านี้ไม่ได้ก็จบแล้ว แต่ถ้าตอบได้ก็มาดูข้อที่สองกันต่อว่าแล้วการเปลี่ยนแปลงไปสู่ภาพที่คุณเห็นไว้มันต้องใช้เทคโนโลยีอะไรมาซัพพอร์ตบ้าง

เวลาเข้าไปเป็นที่ปรึกษาเรื่องการทำ digital transformation คุณเริ่มต้นจากอะไร

เริ่มจากการดูว่าลูกค้ามี master plan ยังไง สิ่งที่เขาอยากจะเห็นหลังจากการทำ digital transformation เป็นแบบไหน แล้วเราก็จะไปทำความเข้าใจข้อมูลของลูกค้า พอเห็นกลยุทธ์และทิศทางของธุรกิจก็จะดูต่อว่าแล้วเราจะเอาเทคโนโลยีและดิจิทัลที่เรามีอยู่มาช่วยปรับเปลี่ยนให้ธุรกิจลูกค้าเปลี่ยนไปตามแผนที่ต้องการไว้ได้ยังไงบ้าง 

หลายคนหลงทาง คิดว่าการทำ digital transformation คือต้องเริ่มจากเทคโนโลยีหรือขอให้มีเทคโนโลยีนี้ก็เรียกว่า digital transformation แล้ว แต่ของ Fujitsu ไม่ใช่แบบนั้น การทำ digital transformation ของเราจะไม่ได้ใช้เทคโนโลยีนำ แต่จะใช้ core business เป็นตัวนำ ดูว่าธุรกิจของลูกค้าต้องการไปในทิศทางใด แล้วการเดินทางจากจุด A ไปจุด B ไปจนถึงเป้าหมายที่ลูกค้าวางไว้เราสามารถเอาเทคโนโลยีอะไรมาช่วยให้การเดินทางนั้นดีขึ้นได้บ้าง

ซึ่งต้องบอกว่านี่เป็นเพียงตัวอย่างให้เห็นภาพคร่าวๆ เพราะแต่ละธุรกิจก็มีรายละเอียดที่ต่างกันออกไป การทำ digital transformation เลยเป็นสิ่งที่มีความ customize มากๆ  

ยกตัวอย่างงานที่ Fujitsu เคยเข้าไปช่วยทรานส์ฟอร์มให้เห็นภาพหน่อยได้ไหม

อย่างเช่นถ้าโจทย์ของลูกค้าคืออยากลดพื้นที่ในการวางเซิร์ฟเวอร์ เราก็จะเสนอว่าถ้าอย่างนั้นก็ต้องเอาทุกอย่างขึ้นไปอยู่บนคลาวด์ไหม ไปดูว่าเซิร์ฟเวอร์มันมีจำนวนเท่าไหร่  แล้วก็ประมาณการว่าถ้าจะเอาข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ทั้งหมดขึ้นคลาวด์จะต้องใช้เวลาเท่าไหร่ ใช้เงินเท่าไหร่ ใช้คนจำนวนเท่าไหร่ แล้วก็ทำออกมาเป็นแผนให้ลูกค้าดู ถ้าลูกค้าโอเคทั้งหมดเราก็จะสามารถทำแบบ Big Bang หรือทรานส์ฟอร์มทีเดียวไปได้เลย 

แต่ถ้าลูกค้ายังติดเรื่องค่าใช้จ่าย หรือยังไม่มั่นใจว่าจะเปลี่ยนแปลงทั้งหมดในรวดเดียว เราก็จะทำแบบที่เรียกว่า Quick Win คือค่อยๆ เปลี่ยนไปทีละนิด เริ่มทำจากสเกลเล็กๆ ก่อนแล้วพอเห็นว่าโอเคก็ค่อยๆ ขยับไปทำสเกลที่ใหญ่ขึ้น โดยใช้กระบวนการ design thinking มาช่วยสื่อสารและขับเคลื่อนการทำ Quick Win ในแต่ละสเตปไป

ผู้บริหารหลายคนแม้จะมี Big Bang ที่อยากจะทำอยู่ในใจ แต่ก็เลือกที่จะทำแบบ Quick Win เพราะมันเป็นวิธีการทรานส์ฟอร์มที่ให้คนได้เห็นภาพทีละนิด ให้คนในองค์กรได้เห็นภาพการเปลี่ยนแปลงและความสำเร็จขึ้นไปเรื่อยๆ เมื่อค่อยๆ เห็นภาพก็จะเริ่มมีความเข้าใจและทำให้พนักงานค่อยๆ เคลื่อนที่ไปกับองค์กรได้

ตั้งแต่ทำ digital transformation มา บอกเลยว่าเรื่องคนนี่เป็นอะไรที่เปลี่ยนแปลงยากที่สุดแล้ว แม้พนักงานบางคนจะรู้ดีว่าการทรานส์ฟอร์มมันเป็นเรื่องสำคัญ แต่พอถึงเวลาจะทรานส์ฟอร์มจริงๆ ก็มีพนักงานอยู่หลายคนเหมือนกัน ที่แม้จะไม่ได้ต่อต้านแต่ก็ดื้อเงียบ สุดท้ายการเปลี่ยนแปลงมันก็ไม่เกิดขึ้น 

ทำไมคุณถึงคิดว่าเรื่องคนเป็นเรื่องที่ยากที่สุดในการทำ digital transformation ในธุรกิจ

ยกตัวอย่างของเราเองแม้จะเป็นบริษัท IT แต่คนที่ทำงานอยู่ในนั้นคือมนุษย์ แล้วถึงยังไงมนุษย์ก็ยังมีความเป็นมนุษย์อยู่ดี ซึ่งคนเรานั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงกันง่ายๆ แต่งานที่เราทำมันบังคับให้ต้องปรับเปลี่ยนตัวเองอยู่ตลอดเวลา

ดังนั้นที่นี่เราก็เลยมีการทำสิ่งที่เรียกว่า change management ทั้งในองค์กรของเราเองและองค์กรของลูกค้า คำว่า change management นี้ที่หมายถึงการทำกิจกรรมบางอย่างที่ให้พนักงานได้ฝึกการเปลี่ยนแปลง เปิดรับทักษะใหม่ๆ อย่างถ้าเป็นของลูกค้าพอเราวางระบบให้กับลูกค้าเสร็จ ก็จะมีการเข้าไปเทรนพนักงาน ซึ่งไม่ใช่การเทรนครั้งเดียวแล้วจบ เพราะการทำครั้งเดียวไม่อาจทำให้พนักงานใช้เทคโนโลยีเป็นจริงๆ ดังนั้นพอเทรนเสร็จก็มีการเวิร์กช็อป แล้วจะมีกระบวนการที่ให้ผู้บริหารได้มาใช้ด้วย พอพนักงานเห็นแบบนี้ก็จะกระตุ้นให้พวกเขารู้สึกว่าขนาดหัวหน้าเรายังใช้เลย แล้วเราจะไม่ใช้เทคโนโลยีนี้ให้เป็นได้ยังไง 

ที่ต้องทำขนาดนี้เพราะเรารู้สึกว่านอกจากเทคโนโลยีแล้ว สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือคนที่มาใช้เทคโนโลยีนั้น เพราะถึงเทคโนโลยีนั้นจะดีจะล้ำแค่ไหน แต่ถ้าขาดคนใช้มันอย่างต่อเนื่องมันก็คงไม่เกิดประโยชน์อะไรมากนัก ก็อาจจะเหมือนกับที่พี่โจ้–ธนา เธียรอัจฉริยะ เคยบอกว่าการทำงานที่ดีต้องทำงานให้สำเร็จไม่ใช่แค่ทำงานเสร็จ

ทุกวันนี้ธุรกิจที่ทำ digital transformation มีการแข่งขันกันมากน้อยแค่ไหน

ถ้าพูดถึงภาพรวมของตลาดยังมีคนที่ทำ digital transformation ในเชิงการเป็นคอนซัลต์เหมือนเราไม่เยอะมากนัก แล้วแต่ละรายก็จะมีความชำนาญที่แตกต่างกันไป ดังนั้นจึงยังไม่เกิดการแข่งขันกันในเชิงห้ำหั่นตัดราคา และการตัดสินใจของลูกค้าจะไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรื่องราคาเป็นหลัก แต่จะดูว่าบริษัทที่จะเลือกมาทำ digital transformation ให้มีคุณภาพไหม มีความน่าเชื่อถือหรือไม่ ผลงานที่ผ่านมาสามารถตอบโจทย์ธุรกิจของลูกค้าได้ไหม มีโซลูชั่นหรือบริการที่ส่งเสริม business plan ของเขาหรือเปล่า ทำให้รายได้ของธุรกิจโตได้กี่เปอร์เซ็นต์ ประหยัดค่าใช้จ่ายหรือพลังงานได้มากน้อยแค่ไหน จะเป็นเหตุผลแนวนี้มากกว่า 

อะไรคือเหตุผลที่ทำให้ลูกค้าต้องเลือก Fujitsu มาเป็นคนช่วยทรานส์ฟอร์มธุรกิจให้

ลูกค้าของ Fujitsu ส่วนใหญ่คือคนที่เคยทำธุรกิจกับเราอยู่แล้ว เป็นคนที่เข้าใจในคุณภาพของเรา หรือเป็นลูกค้าที่ได้มาจากการบอกต่อๆ กัน ซึ่งลูกค้าก็ล้วนกลับมาปรึกษาเราตลอดเพราะ jouney ของการทำ digital transformation มันไม่เคยหยุด มันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ตามโลกที่หมุนตลอดเวลา อีกอย่างด้วยความเป็น global company เราก็สามารถแชร์ know-how ข้ามประเทศกันได้ด้วย สมมติเช่น Fujitsu ที่อเมริกาเคยเจอแบบนี้มา แล้วมีลูกค้าที่ไทยเจอปัญหาคล้ายๆ กันเราก็สามารถเอาความรู้ที่เคยแก้ปัญหาให้ลูกค้าที่อเมริกามาแก้ปัญหาให้ลูกค้าที่ไทยได้ อีกอย่างคือในวงการ Fujitsu มีชื่อเสียงของการเป็นพาร์ตเนอร์แบบระยะยาวกับลูกค้า เพราะเราไม่ได้แค่เอาซอฟต์แวร์ไปวางให้กับลูกค้าแล้วก็จบ แต่มีการทำสิ่งที่เรียกว่า change management ให้กับลูกค้าเหมือนอย่างที่ได้เล่าไป

เมื่อเป็นองค์กรที่ต้องไปทรานส์ฟอร์มให้กับคนอื่น แล้ว Fujitsu ทรานส์ฟอร์มตัวเองยังไง 

ด้วยความเป็นธุรกิจที่ต้องเปลี่ยนก่อนลูกค้า เราเลยมีโปรแกรมที่เรียกว่า Fujitra ซึ่งมาจากคำว่า Fujitsu + Transformation ที่เอาไว้คอยเทรนพนักงาน ซึ่งการเทรนที่ว่าไม่ได้มีแค่เรื่องเทคโนโลยีใหม่ๆ เท่านั้น เพราะอย่างล่าสุดเรามีการเทรนที่เรียกว่า Purpose Craving คือให้พนักงานมาหาเป้าหมายชีวิตของตัวเอง

ที่ต้องเทรนเรื่องนี้ก็เพราะว่าการทำ digital transformation ไม่ใช่แค่มีเทคโนโลยีอย่างเดียวแล้วจะทำได้ แต่ต้องอาศัยเรื่องคนและวัฒนธรรมในองค์กรด้วยเช่นกัน 

แล้วตัวคุณเองที่อยู่กับ Fujitsu มา 24 ปีมีวิธีการทรานส์ฟอร์มตัวเองยังไง เพราะการเปลี่ยนแปลงตัวเองก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องง่าย

ใช่ การลุกขึ้นมาเปลี่ยนตัวเองมันไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย แต่ดีที่ Fujitsu เป็นองค์กรที่เปิดโอกาสให้มีการเรียนรู้ตลอด บริษัทเขาก็จะมีอะไรใหม่ๆ มาให้เราได้เรียนรู้เสมอ เช่นถ้ามีเทรนอะไรใหม่มาเขาก็จะบอกว่ายูไปเรียนตรงนี้สิ ยูต้องไปเทรนตรงนี้นะ ต้องไปรับรู้ว่าโลกมันเป็นแบบนี้แล้ว พออยู่ในองค์กรแบบนี้มันก็เลยเป็นการผลักดันให้เราต้องเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ตลอดเวลาไปโดยอัตโนมัติ

แต่ประสบการณ์ที่สั่งสมมา ความรู้ในอดีตหลายๆ อย่างก็ยังใช้ได้อยู่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะกับเรื่องคนเพราะแม้โลกจะหมุนไปยังไงคนก็ยังมีความเป็นคน มีรักโลภโกรธหลงอยู่ดี ส่วนสิ่งใหม่ๆ เราก็ต้องยิ่งเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา เพราะเราทำงานที่ต้องเปลี่ยนและรู้ก่อนคนอื่น และคนทำงานแบบนี้คงไม่มีใครเอาสิ่งที่ล้าหลังไปนำเสนอให้กับลูกค้า

ด้วยงานที่ทำและธุรกิจที่บริหาร คุณเองปกติเป็นคนหลงใหลในเทคโนโลยีอยู่แล้วหรือเปล่า 

เราหลงใหลในการแก้ปัญหาธุรกิจให้กับลูกค้ามากกว่า เพียงแต่การแก้โจทย์ธุรกิจให้กับลูกค้าทำให้เราต้องเรียนรู้เรื่องเทคโนโลยีไปด้วย อย่างเช่นถ้าเราจะขายระบบ ERP ให้ลูกค้าก็ต้องมานั่งศึกษาแล้วว่า ERP คืออะไร เข้าไปช่วยแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้ยังไงบ้าง 

โจทย์ไหนที่แก้ให้กับลูกค้าแล้วคุณรู้สึกภูมิใจบ้าง 

จะมีลูกค้าทำน้ำมันปาล์มอยู่รายหนึ่งที่เขากำลังจะเตรียมตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์ แล้วเขาต้องเร่งวางระบบเตรียมระบบอะไรต่างๆ มากมาย แต่ระหว่างทางในการเตรียมตัวของเขาก็เจอกับอุปสรรคเยอะมาก เช่นมีคนออกเยอะบ้าง ข้อมูลบางอย่างไม่พร้อมบ้าง แต่สุดท้ายเราก็มีส่วนช่วยวางระบบช่วยเตรียมข้อมูล เราไปเก็บข้อมูลจากแผนกต่างๆ ในบริษัทของลูกค้า พอได้ข้อมูลต่างๆ จากลูกค้ามากองรวมกันแล้วก็เอาไปใส่ในซอฟต์แวร์ที่เรามีอยู่ แล้วก็ถามลูกค้าว่าเขาอยากได้ outcome แบบไหนที่จะทำให้เขาได้ไอเดียในการทำ Strategic decision

ยกตัวอย่างความหมายของคำว่า outcome ที่ว่านี้ให้เห็นภาพมากขึ้นก็อย่างเช่น บางครั้งน้ำมันปาล์มในต่างจังหวัดก็จะมีราคาขึ้น-ลงแตกต่างกันไปในแต่ละช่วงเวลา เราก็ต้องดีไซน์ระบบที่ทำให้ลูกค้าสามารถทำนายได้ว่าราคาแต่ละช่วงมีแนวโน้มเป็นยังไง ความต้องการใช้น้ำมันปาล์มช่วงไหนสูงหรือต่ำ พอลูกค้าเห็นแนวโน้มจากข้อมูลบนระบบที่เราทำขึ้นมา ก็ทำให้ลูกค้าสามารถทำ Straegic Decission Making หรือตัดสินใจได้ในตอนทำแผนการผลิตว่าถ้าเห็นข้อมูลแบบนี้จะสั่งลดหรือเพิ่มกำลังการผลิตดี

จนสุดท้ายเราก็ช่วยแก้ปัญหาจนเขาสามารถจบโปรเจกต์ได้ทันเดดไลน์ มันก็เป็นสิ่งที่เราภูมิใจ

แล้วโจทย์ไหนท้าทายที่สุดตั้งแต่ทำงานที่ Fujitsu มา 

คือบางครั้งลูกค้าก็จะมีความ aggressive จะต้องได้สิ่งที่ต้องการภายในเวลาเท่านั้นเท่านี้ ก็กลายเป็นแรงกดดันให้กับคนที่อยู่หน้างาน

เหตุการณ์หนึ่งตอนที่เราเป็น Head Of Sales มีลูกค้าเจ้าหนึ่งที่เขาดีลมากับเรา 10 กว่าปี แต่ก็มีบางสิ่งบางอย่างที่เขาทรีตกับทีมเราไม่ดี ก็เลยเป็นจุดที่ต้องตัดสินใจเหมือนกันว่าเราจะดีลกับลูกค้ารายนี้ยังไง ถ้าเราเลือกทีมก็มีสิทธิ์ที่จะเสียลูกค้าที่ดีลมาสิบกว่าปีนี้ไป แต่ถ้าเลือกลูกค้าทีมก็ไม่อยู่กับเราเหมือนกัน 

สุดท้ายเราก็เลยเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้องมากกว่าคือเลือกทีม เพราะหลักการทำงานของ Fujitsu คือ Put People First

แต่สุดท้ายมันก็เป็นเรื่องที่จบแบบ happy ending นะ เราก็เข้าไปคุยกับลูกค้าในรายละเอียดว่าทำไมถึงต้องพูดกันขนาดนี้ เราร่วมงานกันก็ไม่จำเป็นต้องพูดด้วยวาจารุนแรงขนาดนั้น ไปทำให้ลูกค้าเข้าใจในจุดยืนของเรา และทำให้เขาเห็นว่าเราอยากเป็น long term partnership กับเขาอย่างจริงใจ

โจทย์สำคัญของการเป็น MD ในตอนนี้ของคุณคืออะไร

เนื่องจากเราเป็นบริษัทที่ทำด้าน service provider ก็เลยอยากจะทำให้สัดส่วนรายได้ที่มาจากฝั่งของเซอร์วิสเพิ่มมาเป็น 60-70% ของยอดขายทั้งหมดภายในอีก 3 ปีข้างหน้า แล้วก็คิดว่าอยากจะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยผลักดันเรื่องของ green economy ด้วย อยากให้โซลูชั่นของเรามันเป็นสิ่งเดียวกับที่เรา provide ให้กับลูกค้าได้เลย เช่นโซลูชั่นที่เป็น green manufacturing เป็นต้น 

เพราะไม่ใช่แค่ในไทย แต่ในตอนนี้ Fujitsu ระดับโลกก็กำลังผลักดันให้การทำงานขององค์กรมี sustainability ด้วยเช่นกัน

อะไรที่ทำให้อยู่ในองค์กรนึงมายาวนานกว่า 24 ปี

เพราะเขาให้โอกาสเรา โอกาสที่ว่าไม่ใช่แค่เรื่องของตำแหน่ง แต่หมายโอกาสให้เรียนรู้และลองทำสิ่งต่างๆ อีกมากมาย ภาพของ Fujitsu คือบริษัทที่เน้นบุกบริษัทที่เป็นญี่ปุ่นด้วยกัน ถึงจุดนึงเราเห็นโอกาสว่าน่าจะลองไปลุยในบริษัทที่ไม่ใช่ญี่ปุ่นดูบ้าง เขาก็บอกแล้วแต่ยูเลย อยากจะทำอะไรอยากจะตั้งสาขาก็ทำได้เลย อะไรที่ดูแล้วเป็นประโยชน์กับบริษัทไม่ว่าผลลัพธ์มันจะดีหรือไม่ดีเขาก็ให้เราลองทำ เลยรู้สึกว่าที่นี่เป็นบริษัทที่ให้โอกาสจริงๆ

อีกอย่างคือเขายอมรับความหลากหลายมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว มีคัลเจอร์ที่เป็นแบบ global company มานานแล้ว โอบรับความหลากหลายไม่ว่าจะเป็นเพศหรือเชื้อชาติไหนก็ได้รับโอกาสเท่ากัน พออยู่ในองค์กรแบบนี้มานาน ตอนขึ้นมาเป็น MDใหม่ๆ แล้วคนบอกว่าเราคือ MD ผู้หญิงคนแรกของ Fujitsu ประเทศไทย ก็เลยไม่ได้ไปขีดเส้นใต้ตรงนั้นไปมากกว่าการเป็น MD คนไทยคนแรก ของ Fujitsu ประเทศไทย 

เพราะคัลเจอร์ของที่นี่ไม่ได้ไฮไลต์เรื่องเพศหรือเชื้อชาติไปมากกว่าความสามารถที่เคยทำมา

ทำไมจึงเกิดวิกฤตกิมจิในเกาหลีใต้ ดินแดนที่มีคนเปรียบว่า “กิมจิก็เหมือนกับอากาศ”

วิกฤตกิมจิ

วิกฤตกิมจิ Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Gadget Story ผู้จัดจำหน่ายแก็ดเจ็ตนิชแต่ดี ที่ทำให้คีย์บอร์ด Keychron กลายเป็นปรากฏการณ์ในไทย

ถ้าคุณรู้จักเมคานิคอลคีย์บอร์ด เป็นไปไม่ได้ที่คุณจะไม่รู้จัก Keychron แบรนด์เมคานิคอลคีย์บอร์ดระดับโกลบอลที่คนไทยนิยมที่สุด

แต่มีความเป็นไปได้ที่คุณอาจจะยังไม่รู้จัก Gadget Story บริษัทที่พาแก็ดเจ็ต niche แต่ดีจากต่างประเทศเข้ามาให้คนไทยได้ใช้ ไม่ว่าจะเป็นแผ่นรองข้อมือ DeltaHub, สายชาร์จ 6 in 1 ยี่ห้อ Rolling Square และที่ขาดไม่ได้คือ Keychron แบรนด์เมคานิคอลคีย์บอร์ดเจ้าของยอดระดมทุนถึง 200 ล้านบาทใน Kickstarter

เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นตอนที่เพื่อนสามคนคุยกันว่าอยากได้เมคานิคอลคีย์บอร์ดดีๆ มาใช้ทำงาน แต่ในตลาดเมืองไทย ถ้าไม่ใช่คีย์บอร์ดรุ่นพื้นฐานธรรมดาก็มีแต่คีย์บอร์ดเกมมิ่งหน้าตาฉูดฉาด พวกเขาจึงเริ่มมองหาแบรนด์ที่มีขายในต่างประเทศจนไปจบที่ Keychron แบรนด์ที่โดดเด่นทั้งด้านคุณภาพและดีไซน์ เปลี่ยนภาพลักษณ์แก็ดเจ็ตที่เคยดูเฉพาะกลุ่มชาวเทคให้เป็นสินค้าไลฟ์สไตล์เหมาะกับใครก็ได้ที่ชอบของสวยงาม

ด้วยความเชื่อมั่นในแบรนด์และความไม่เชื่อว่าจะมีแค่พวกเขาที่ตามหาแก็ดเจ็ตแบบนี้ ในปี 2019 ทั้งสามคนรวมตัวกันตั้งบริษัท Gadget Story เพื่อขอจัดจำหน่ายคีย์บอร์ดแสนเท่รวมไปถึงแก็ดเจ็ตต่างประเทศแบรนด์อื่นๆ ที่ดีไซน์ดีมีเรื่องเล่าไม่แพ้กัน

ผ่านมา 3 ปี Gadget Story เติบโตจนมีฝันว่าจะนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ พร้อมๆ กับที่ได้โอกาสจาก Keychron ให้เปิดบริษัท Keychron Thailand ดูแลแบรนด์สาขาประเทศไทยอย่างเข้มข้นกว่าเดิม

ในวันที่พวกเขากำลังก้าวเข้าสู่เฟสใหม่ เราขอเวลา ชุติพัทธ์ ตั้งกุศลจิต CEO แห่ง Gadget Story และ Keychron Thailand มาคุยกันถึงเรื่องราวของพวกเขาตั้งแต่การค้นหาคีย์บอร์ดที่ใช่ไปจนถึงความตั้งใจอยากใช้แก็ดเจ็ตยกระดับชีวิตของคนทำงานทุกคน

และนี่คือสตอรีของบริษัทที่เราคิดว่าน่าสนใจไม่แพ้แบรนด์ที่พวกเขาขายเลย

Gadget Story มีแก็ดเจ็ตในพอร์ตมากมาย ชิ้นไหนที่เป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง

founder ทั้ง 3 คนของ Gadget Story พูดง่ายๆ ก็คือเป็นมนุษย์เงินเดือนธรรมดานี่แหละ เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเรียน พอทำงานก็แยกย้ายกันไป จุดเริ่มต้นมันเกิดจากการที่เรามองหาคีย์บอร์ดดีๆ มาใช้เอง เรามีฟังก์ชั่นที่อยากได้อยู่ในหัวว่าประมาณนี้ๆ ปรากฏว่าหาที่มีขายในไทยแล้วไม่เจอที่ตอบโจทย์ ก็เลยเริ่มหาสินค้าที่มีขายในต่างประเทศจนไปเจอ Keychron ซึ่งเป็นแบรนด์เมคานิคอลคีย์บอร์ดระดับโกลบอล เราสั่งซื้อมาใช้สรุปว่าโอเคเลย มันเจ๋ง มันตอบโจทย์แล้วในไทยยังไม่มีสินค้าตัวนี้ขายเราเลยมองเห็นโอกาส คิดว่าน่าสนใจที่จะเอาเข้ามาจำหน่าย

สเปกคีย์บอร์ดที่อยากได้ตอนนั้นเป็นยังไงและสิ่งที่ตลาดในไทยมีขายเป็นแบบไหน

เราหาคีย์บอร์ดที่ปุ่มไม่หนามากเพราะเราทำงานออฟฟิศ เวลาใช้คีย์บอร์ดก็อยากได้ฟีลลิ่งคีย์บอร์ดโน้ตบุ๊กหรือคีย์บอร์ดทั่วไป แป้นตื้นๆ หน่อย แต่พอไปหาก็เจอแต่คีย์บอร์ดธรรมดาๆ สีดำฟูลไซส์ทั่วไปซึ่งเป็น rubber dome หรือปุ่มยาง พิมพ์นานๆ ก็อาจจะเมื่อยมือ แต่เราต้องการมากกว่านั้นเมื่อก่อนก็เลยไปใช้คีย์บอร์ดเกมมิ่ง

มองย้อนกลับไป 3 ปีก่อน ถ้าอยากได้คีย์บอร์ดเมคานิคอลที่ฟีลลิ่งการพิมพ์ดีๆ มีการเชื่อมต่อที่เสถียรคุณอาจจะต้องไปมองหาคีย์บอร์ดเกมมิ่งที่มีแบรนด์เจ้าตลาดในไทยอยู่แล้วหลายแบรนด์ ซึ่งมันจะมาในราคาค่อนข้างสูง ดีไซน์ก็หวือหวา เฟี้ยวฟ้าวมีไฟ อาจจะไม่เหมาะกับคนที่อยากเอามาใช้ทำงานที่ออฟฟิศหรือที่บ้าน

เราใช้คีย์บอร์ดเกมมิ่งจนมันพังก็เลยต้องหาคีย์บอร์ดใหม่จนได้มาเจอ Keychron รุ่น K1 ที่เป็นเมคานิคอลคีย์บอร์ดพิมพ์สัมผัสได้ดี ฟังก์ชั่นเทียบเท่าคีย์บอร์ดเกมมิ่งเลยแต่ว่าดีไซน์จะเป็นแบบมินิมอล เรียบง่าย เรียบหรู เหมาะกับคนทำงาน

เมคานิคอลคีย์บอร์ดแตกต่างจากคีย์บอร์ดทั่วๆ ไปยังไง และทำไมต้อง Keychron

สิ่งแรกที่ได้จากเมคานิคอลแน่นอนคือฟีลลิ่ง สัมผัสที่แตกต่างจากคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์หรือโน้ตบุ๊กทั่วไป อย่างที่สองคือเรื่องเสียง เมคานิคอลคีย์บอร์ดมันจะมีสวิตช์ที่อยู่ใต้ keycap (ปุ่มพลาสติก) หลายประเภท แต่ละสวิตช์ก็จะให้เสียงและสัมผัสที่แตกต่างกันด้วย เรื่องที่สามเป็นเรื่องของดีไซน์ เมคานิคอลคีย์บอร์ดบางตัวจะมี keycap ที่โค้งมนเข้ามาช่วยเสริมเรื่อง ergonomic นิดนึงทำให้เวลาพิมพ์งานมีประสิทธิภาพ โปรดักทีฟมากขึ้น

ที่จริงในตลาดเมคานิคอลก็มีหลากหลายแบรนด์ให้เลือก Keychron เป็นแบรนด์อันดับต้นๆ ที่มีจุดเด่นในเรื่องของดีไซน์ สีต่างๆ ที่เป็นซิกเนเจอร์ มีฟีเจอร์การเชื่อมต่อไร้สายที่ดี เสถียร และมีหลากหลายเลย์เอาต์ ตอบโจทย์คนหลายกลุ่มซึ่งแบรนด์อื่นๆ อาจจะไม่ได้มีให้เลือกเยอะขนาดนี้

จากที่ซื้อมาใช้เอง อะไรทำให้มั่นใจว่ามีดีมานด์ในไทยมากพอที่จะนำ Keychron เข้ามาจำหน่าย

ตอนนั้นเราดูการใช้งานของตัวเอง ความต้องการของคนรอบข้าง แล้วก็สิ่งที่มีขายในตลาด ประเทศไทยตลาดคีย์บอร์ดมันก็ไม่ได้กว้างมาก เราพอเห็นอยู่ว่ามีร้านอะไรที่ขายบ้าง พอไปดูสินค้าที่เขาขายในร้านทุกเจ้าก็มีคล้ายๆ กันและมีอยู่ไม่กี่แบรนด์ ซึ่งจริงๆ แล้วถ้าเรามองออกไปรอบข้าง แค่ประเทศเพื่อนบ้านใกล้ๆ เราก็จะเจอตัวเลือกที่น่าสนใจเต็มไปหมด เราก็เลยมองว่ามีโอกาสตรงนี้อยู่

ทาร์เก็ตหลักของ Gadget Story ณ ตอนนั้นคือใคร

ทาร์เก็ตแรกคือกลุ่มที่เป็น Mac user เพราะว่าจุดเด่นของ Keychron คือเขามีเลย์เอาต์แบบคีย์บอร์ดแมคร้อยเปอร์เซ็นต์ ซื้อมาปุ๊บ แกะออกจากกล่อง เชื่อมต่อแมคแล้วใช้ได้เลยไม่ต้องลงโปรแกรม ไม่ต้องตั้งค่าอะไรในเครื่องเพิ่ม แล้วเดี๋ยวนี้คนใช้ device มากกว่าหนึ่งเครื่อง ใช้แมคกับวินโดวส์ ใช้แมคกับมือถือ Keychron มันสามารถสลับใช้ระหว่างเครื่องได้ลื่นไหลมาก

3 ปีที่แล้วเมคานิคอลคีย์บอร์ดยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง สิ่งนี้เป็นอุปสรรคกับการขายไหม

เรื่องคนไทยไม่ค่อยรู้จักเมคานิคอลคีย์บอร์ดก็เป็นอุปสรรคหนึ่งที่เราในฐานะ Keychron Thailand ต้องใช้เวลาบิลด์ให้คนเข้าใจมันมากขึ้น แต่อุปสรรคเรื่องการขายที่เราเจอคือ Keychron เป็นแบรนด์โกลบอล ดีมานด์มันเยอะมาก ฉะนั้นอุปสรรคคือเรื่องจำนวนสต็อกที่เราได้มาน้อยกว่าดีมานด์ในไทย เราเคย sold out ในชั่วโมงเดียว เร็วสุดที่เคยขายหมดคือประมาณ 10 นาที ยิ่งช่วงโควิดที่มีปัญหาเรื่องชิปขาดแคลนยิ่งทำให้มีสินค้าน้อยลงไปอีก

คิดว่าอะไรทำให้ขายดีขนาดขายหมดในหลักนาทีตั้งแต่ช่วงแรกๆ

ดีมานด์กลุ่ม first adopter (คนที่เปิดรับเทคโนโลยีใหม่ๆ) ในไทยค่อนข้างเยอะอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้วิธีการที่เขาจะหา Keychron มาใช้คือเขาต้องสั่งซื้อจากต่างประเทศซึ่งการจัดส่งก็ใช้เวลานานหรือไม่รู้ว่าจะได้สินค้าเมื่อไหร่​ บางทีสินค้าเสียหาย รวมถึงการชำระเงินหรือการติดต่อก็ค่อนข้างยุ่งยาก คนที่เขาเชี่ยวชาญเขาอาจจะซื้อจากต่างประเทศก็จริงแต่ว่ามีคนอีกกลุ่มใหญ่เลยที่เขายังไม่มีโอกาสหรือยังไม่กล้าสั่งเอง ผมมองว่าการที่ Keychron ได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดีก็เพราะคนกลุ่มนี้เขารออยู่นี่แหละ

เอาจริงๆ เรามั่นใจในสินค้าระดับหนึ่งแต่ไม่คิดว่ามันจะขายหมดเร็วขนาดนี้ (หัวเราะ) พอฟีดแบ็กเกินคาดยิ่งทำให้เรามั่นใจว่าตลาดตรงนี้มันเป็นอย่างที่เราแพลนไว้

นอกจากการทำให้สินค้าซื้อง่าย เข้าถึงง่ายแล้ว คุณปรับอะไรให้เข้ากับกลุ่มลูกค้าคนไทยไหม

Keychron Thailand มีคีย์บอร์ดที่มาพร้อมเลย์เอาต์ภาษาไทย ด้วยความที่เราเป็นพาร์ตเนอร์กับแบรนด์โดยตรงทำให้สามารถทำตัวอักษรภาษาไทยบนคีย์แคปได้สวยงาม คือคีย์บอร์ดบางยี่ห้อเขาผลิตเป็นภาษาอังกฤษภาษาเดียวขายทั่วโลกแล้วค่อยมาใส่ภาษาไทยลงไป แต่เราคุยกับผู้ผลิตตั้งแต่แรกว่าคนไทย พฤติกรรมยังใช้ฟอนต์ภาษาไทย เราอยากให้มันดูลงตัวสวยงามเพราะกลุ่มลูกค้า Mac user เขาต้องการความเนี้ยบ ความสวย มันก็ตอบโจทย์นี้

แต่จริงๆ ต่อให้เขาสั่งมาใช้จากต่างประเทศผมก็มองว่าไม่ได้เป็นข้อเสียนะเพราะถือว่าเขาก็เป็นลูกค้าของแบรนด์ Keychron อยู่ดี ถ้าเขาใช้แล้วชอบในอนาคตเขาก็อาจจะกลับมาซื้อสินค้ากับเรา ซึ่งเราก็จะมีการรับประกัน มีบริการหลังการขายให้เขา ผมเชื่อว่าไม่มีแบรนด์คีย์บอร์ดแบรนด์ไหนในไทยที่ให้เซอร์วิสลูกค้าขนาดนี้

ยกตัวอย่าง ถ้าคีย์บอร์ดเสียเรามีบริการไปรับเครื่องให้ถึงบ้านแล้วให้คีย์บอร์ดสำรองไปใช้ชั่วคราวระหว่างเคลม อันนี้มันเกิดจากอินไซต์ที่เราเจอว่าลูกค้าหลายคนเขาต้องทำงานส่งวันนี้ ถ้าคีย์บอร์ดเสียเขาจะทำยังไง ดังนั้นเราต้องมีอุปกรณ์สำรองให้เขา

หลังจาก Keychron ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี สินค้าที่คุณนำเข้ามาตัวถัดไปคืออะไร

โจทย์ของบริษัทคือเราอยากเป็นผู้จำหน่ายไอทีแก็ดเจ็ตที่ไม่เหมือนใครและช่วยให้คนไทยมีประสิทธิภาพในการทำงานหรือใช้ชีวิตได้ดีขึ้นเราเลยไม่ได้กำหนดว่าสินค้าที่เอาเข้ามาจะต้องเป็น mobile หรือคอมพิวเตอร์ แต่ดู value ที่แบรนด์มอบให้กับลูกค้ามากกว่า

 ช่วงปลายปี 2019 ต้นปี 2020 เราก็เริ่มเอาสินค้าแบรนด์อื่นเข้ามาขายชื่อ DeltaHub เป็นแบรนด์แผ่นรองข้อมือ ergonomic (สรีรศาสตร์) เรามองว่าแผ่นรองข้อมือในปัจจุบันมันก็มีหลายแบรนด์แหละแต่พอมาศึกษาแล้วมันก็อาจจะไม่ตอบโจทย์เรื่อง ergonomic อย่างแท้จริง เรามองว่า DeltaHub มันมีฟังก์ชั่น มีดีไซน์ที่ตอบโจทย์สุขภาพก็เลยนำเข้ามา

แบรนด์อื่นๆ ที่ตามมาก็จะเป็น Rolling Square แบรนด์สายชาร์จ 6 in 1 ที่พัฒนาให้เชื่อมต่อได้ 6 รูปแบบในหัวเดียว และล่าสุดคือ Nuphy แบรนด์เมคานิคอลคีย์บอร์ดที่มาตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าใหม่ๆ คือเน้นสีสันสดใสไม่ได้มินิมอลเหมือน Keychron

นอกจากเอาสินค้าเข้ามาขายเพิ่มเราก็แยกบริษัทด้วย ตอนแรก Gadget Story เป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้าทุกแบรนด์รวมถึง Keychron แต่เพราะเราคุยกับเจ้าของแบรนด์ Keychron แล้วเห็นว่าพวกเรามีวิชั่น มองอนาคตตรงกันมากเขาเลยให้โอกาสเราตั้งบริษัท Keychron Thailand โดยเฉพาะเพื่อเพิ่มศักยภาพในการทำการตลาด บริหารจัดการแบรนด์ให้โตขึ้นอีก

เวลาเลือกของเข้ามามีเกณฑ์ในการเลือกคืออะไร

เรามีเกณฑ์หลักๆ อยู่ประมาณ 4 อย่าง เรื่องแรกคือการเป็น trend leader เราอยากให้สินค้าที่เราจัดจำหน่ายไม่เหมือนใครหรือว่าเอาเข้ามาแล้วมันจะสามารถนำกระแสได้ อย่างเช่น Keychron นี่ก็นำกระแสหรือปลุกกระแสเมคานิคอลคีย์บอร์ดให้กลับมา

เรื่องที่สองคือดีไซน์ ทำให้ภาพลักษณ์แก็ดเจ็ตดูสวยงามมากขึ้น 

เรื่องที่สามคือ productivity ฟังก์ชั่นการใช้งาน คือนอกจากสวยแล้วต้องใช้งานได้จริง มีฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์ลูกค้า 

ส่วนเรื่องที่สี่คือคอมมิวนิตี้ อันนี้อาจจะดูฉีกหน่อยแต่เรามองว่าปัจจุบันสำหรับสินค้าหรือแม้แต่กิจกรรมต่างๆ คอมมิวนิตี้เป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก อย่างเรื่องอาหารก็มีกลุ่มคนรักกะเพราหมูกรอบ คนรักอาหารญี่ปุ่น บุฟเฟต์ กับสินค้าไอทีแก็ดเจ็ตคอมมิวนิตี้ก็เป็นสิ่งที่สำคัญเหมือนกัน ดังนั้นเกณฑ์หนึ่งที่เราคิดก่อนนำสินค้าเข้ามาคือแบรนด์นี้จะสร้างคอมมิวนิตี้ในไทยได้ไหม จะสามารถก่อให้เกิด value อะไรได้บ้าง สินค้าของเราจะช่วยให้ชีวิตเขาดีขึ้นยังไงจนทำให้เขามาแชร์ มาบอกต่อ มันเป็นเรื่องดีทั้งฝั่งแบรนดิ้งและยูสเซอร์เอง ถามว่าจะเกิดคอมมิวนิตี้ได้ยังไง ผมว่ายิ่งสินค้าอยู่ในชีวิตประจำวันของคนจริงๆ เขาใช้งานจริงๆ ใช้งานทุกวัน ก็จะยิ่งทำให้เกิดคอมมิวนิตี้หรือว่าการพูดคุยกันมากขึ้น

จากชื่อบริษัท Gadget Story แปลว่าสตอรีก็มีส่วนสำคัญในการเลือกสินค้าเข้ามาไหม

ส่วนหนึ่งคือสตอรีของแบรนด์แล้วก็สตอรีของผู้พัฒนา ส่วนใหญ่เราจะไปศึกษาสตอรีเขาว่าที่มาที่ไปเป็นยังไง วัตถุประสงค์ของแบรนด์คืออะไร แล้วก็มาดูตลาดในไทยว่ามันเชื่อมโยงกับสินค้านั้นไหมถึงตัดสินใจที่จะเอาเข้ามา

สตอรีที่คุณสนใจเป็นแบบไหน ยกตัวอย่างให้ฟังหน่อย

อาจจะเรียกว่าเป็นสตอรีที่มาที่ไปของแบรนด์ เหตุผลของการทำแบรนด์ที่ฟังแล้วรู้สึกถึงความจริงใจ เห็นถึงความอยากทำให้ชีวิตคนดีขึ้นเพราะเราเองก็อยากให้ชีวิตคนทำงานดีขึ้นด้วยแก็ดเจ็ตที่เราจำหน่าย 

อย่าง Keychron มันเกิดจากเจ้าของที่อยู่ในวงการคีย์บอร์ดมา 20 กว่าปีอยากทำคีย์บอร์ดที่สามารถตอบโจทย์คนทำงานและทุกๆ คน ถ้ามองในมุมสตาร์ทอัพคือเขาอยากจะ distrupt ตลาดคีย์บอร์ดแบบเดิมๆ อยากจะให้ทุกคนมาใช้เมคานิคอลคีย์บอร์ดให้หมด

ส่วนแผ่นรองข้อมือ DeltaHub จุดเริ่มต้นคือเจ้าของเขาเห็นว่าหนึ่งในสิบโรคที่คนยุโรปเป็นมากที่สุดคือ โรคที่ชื่อว่า Carpal Tunnel Syndrome หรือโรคโพรงประสาทข้อมืออักเสบ เขามองว่ามันเป็น pain ที่เกิดจากการทำงาน การใช้เมาส์ที่ไม่ถูกต้อง เขาก็ไปดูแผ่นรองข้อมือที่มีในตลาด มันเหมือนจะดีนะแต่พอวิเคราะห์ด้วยหลักสรีรศาสตร์แล้วมันไม่ได้ดีขนาดนั้น ข้อมือยังต้องเจอแรงกดทับอยู่ เขาเลยเอาเทคโนโลยีมาใช้ มีการรีเสิร์ชร่วมกับนักกายภาพจนออกมาเป็นโปรดักต์ตัวนี้ได้

แต่นอกจากอ่านเรื่องราวของเขาแล้วเราก็ต้องมีการ get in touch กับแบรนด์ ไปดูวิชั่นและมิชชั่นของเขาด้วย ส่วนมากแบรนด์ที่เราเอาเข้ามาเป็นแบรนด์ไม่ใหญ่ เป็นแบรนด์เกิดใหม่ เพราะฉะนั้นเราจะเข้าถึงเจ้าของได้ง่ายทำให้มีโอกาสได้คุยทำความรู้จักกัน

การเป็นผู้จัดจำหน่ายแปลว่าคุณอาจจะเจอคนที่อยากนำเข้าแบรนด์เดียวกัน อะไรคือจุดเด่นที่ทำให้ Gadget Story ชนะใจเจ้าของแบรนด์ต่างๆ ทำให้พวกเขาไว้ใจที่จะขายในไทยผ่านคุณ

ด้วยความที่แบรนด์ที่เราเอาเข้ามาจำหน่ายเป็นแบรนด์ใหม่และเป็นสตาร์ทอัพ เขาไม่รู้จักว่าตลาดโลคอลเป็นยังไงใช่ไหมฉะนั้นเราทำหน้าที่ให้เขาตั้งแต่วิเคราะห์ตลาด ดูทาร์เก็ตลูกค้า บริหารจัดการโกดัง ดูแลโซเชียลมีเดีย รวมไปถึงทำบริการหลังการขายครบวงจร แบรนด์ไม่ต้องทำเองเลยแค่เช็กแบรนด์ดิ้งและรอดูรีพอร์ตอย่างเดียว เรียกว่าเราเป็น end-to-end service บริการครบวงจรให้กับแบรนด์เลย

กับแต่ละแบรนด์เราก็ tailor-made ให้หมดตามแบรนด์ดิ้งของเขา ตั้งแต่โซเชียลมีเดียจนถึงบริการหลังการขาย อย่างถ้าเป็นผู้จัดจำหน่ายทั่วไปเขามักจะใช้ customer service กลางของบริษัทซึ่งมันมีความเป็นโปรเฟสชันนอลแต่เรามองว่าเราอยากเข้าใจลูกค้าของแต่ละแบรนด์จริงๆ ทรีตเขาให้เหมาะสมจริงๆ ก็เลยให้บริการหลังการขายของแต่ละแบรนด์ไม่เหมือนกันตามทาร์เก็ต

ตอนนี้เราขยายธุรกิจไปทางด้านโปรดักชั่นด้วยเพราะว่าสินค้าไอทีที่เราจำหน่ายเป็นของที่มี quality ค่อนข้างสูง ลูกค้าเขาก็คาดหวังและให้ความสำคัญกับโปรดักชั่นในการขายที่มีคุณภาพเช่นกัน

เรามองว่าการทำ end-to-end service แบบนี้เป็นจุด compititive adventage ของเรา แบรนด์เองสามารถขยายธุรกิจได้เร็ว เราก็มีความคล่องตัวในการบริหารแบรนด์ ร้อยเปอร์เซ็นต์ของแบรนด์ที่เราดูแลตอนนี้เป็นสตาร์ทอัพทั้งหมด สิ่งที่สตาร์ทอัพต้องการก็คือการตัดสินใจที่รวดเร็ว พอเราเป็นสตาร์ทอัพทั้งคู่มันก็เลยทำให้แบรนด์ที่เราดูแลโตได้ค่อนข้างไวในไทยผมว่ามันเป็นจุดเด่นของเราที่เจ้าใหญ่ๆ อาจจะทำได้ไม่เท่า เหมือนที่เขาเรียกว่าตัวเล็กต่อยเบาแต่ต่อยรัว (หัวเราะ)

การขายแก็ดเจ็ตในไทยต่างจากการขายแก็ดเจ็ตในตลาดอื่นๆ ไหม

ผมยกตัวอย่างจากสิ่งที่ไม่ใช่แก็ดเจ็ตก่อนแล้วกัน พวกงานศิลปะ  งานแฮนด์เมดที่จะเห็นว่าต่างประเทศ เช่น ประเทศในยุโรปค่อนข้างให้คุณค่างานดีไซน์ ไอเดีย งานทำมือ มันจะมีราคาค่อนข้างสูงและคนก็รับได้ที่จะจ่ายในราคานั้น

กับสินค้าไอทีแก็ดเจ็ตผมมองว่าตลาดโลกเขาก็ใส่ใจและให้คุณค่าเรื่องดีไซน์และฟังก์ชั่น เขาดูว่ามันตอบโจทย์ไหม ฟังก์ชั่นในการใช้งานเป็นยังไง ราคาอาจจะไม่ได้เป็นเกณฑ์หลักในการตัดสินใจขนาดนั้นแต่ว่าถ้าเป็นลูกค้าไทย ส่วนใหญ่จะถามก่อนว่าสินค้าราคาเท่าไหร่ เรื่องราคามาเป็นอันดับแรก ตรงนี้ก็เป็นความท้าทายว่าถ้าเราอยากส่งมอบสินค้าที่มีฟีเจอร์  มีดีไซน์สวยงาม ราคาสูง เราจะทำยังไง

คุณทำยังไงให้คนเข้าใจและเปิดใจรับราคาสินค้าได้

เราพยายามทำให้ลูกค้าเห็นถึงข้อดี เห็นว่าฟังก์ชั่นของสินค้าของเรามันจะมาช่วยเหลือเรื่องการทำงานหรือช่วยให้ใช้ชีวิตให้ดีขึ้นได้ยังไง ให้คุณค่ากับสตอรีกับแบ็กกราวนด์ของสินค้า

ยกตัวอย่าง Keychron สมมติลูกค้าบอกว่าปกติเขาซื้อคีย์บอร์ดตัวละ 900 ทำไมเขาต้องเปลี่ยนมาซื้อคีย์บอร์ดตัวละ 3,000 ด้วย ถามว่ามันใช้พิมพ์งานได้เหมือนกันไหม มันก็ได้ แต่เราก็ชวนเขาดูเรื่องฟังก์ชั่นที่เพิ่มเข้ามานอกเหนือจากการพิมพ์ การเชื่อมต่อทำได้เหมือนกันไหม เสถียรเหมือนกันไหม วัสดุ ดีไซน์ต่างๆ กระทั่งปัจจุบันนี้ก็ยังมีลูกค้ามาถามว่าทำไมแพงซึ่งเราแฮปปี้มากนะที่จะอธิบายเพราะถือว่าเราได้โอกาสในการพูดคุย สร้างความเข้าใจกัน

อีกเรื่องคือการสื่อสารแบรนด์ดิ้ง เดี๋ยวนี้คนซื้อไอทีแก็ดเจ็ตเพราะว่ามันบ่งบอกถึง personality มันมีความหมายสำหรับบางคนซึ่งสินค้าเราก็ตอบโจทย์ตรงนี้ เมคานิคอลคีย์บอร์ดเดี๋ยวนี้มันก็ไม่ได้จำกัดอยู่ในเฉพาะในหมู่เกมเมอร์หรือว่า expert user แล้วแต่เป็นสิ่งที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ ฉะนั้นการสื่อสารให้เห็นไลฟ์สไตล์ ดูเข้าถึงง่ายเป็นสิ่งสำคัญ เราเลยเน้นทำโปรดักชั่นต่างๆ ให้ดูดี อันนี้ก็เป็น key factor นึงที่จะทำให้คนมาสนใจ 

จากตอนเปิดบริษัทจนถึงตอนนี้กลุ่มลูกค้าที่คุณเจอแตกต่างกันไหม

ถ้าช่วงแรกต้องบอกว่าลูกค้าของเราเป็นกลุ่ม tech savvy เป็นคนที่ชื่นชอบสินค้าไอทีจ๋าๆ อยู่แล้วแต่ว่าตอนนี้ก็ถือว่ามันแมสขึ้น กลุ่มลูกค้าก็จะเป็นกลุ่มทั่วไปค่อนข้างเยอะขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเราถือว่ามาถูกทาง

คิดว่าทำไมสินค้าไอทีแก็ดเจ็ตที่ niche ขึ้น มีดีไซน์มากขึ้น ไม่ดูไอทีจ๋าถึงแมสขึ้นเรื่อยๆ ในไทย

ผมว่าส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของจังหวะ ช่วงที่กระแสสินค้าพวกนี้กำลังมามันเป็นช่วงโควิดที่คนกำลังเวิร์กฟรอมโฮม จะเห็นว่ากลุ่มนึงที่ดังขึ้นมาคือกลุ่มจัดโต๊ะคอมพ์เพราะเหมือนคนอยู่บ้านแล้วเห็นว่าสเปซที่นั่งทำงานเป็นเรื่องสำคัญ อยากทำให้มุมทำงานมันดีขึ้น

นอกจากเรื่องเวิร์กฟรอมโฮมก็มีกระแสเวิร์กไลฟ์บาลานซ์หรือเรื่องความสุขในการทำงาน สภาพแวดล้อมในการทำงานด้วย เดี๋ยวนี้การทำงานเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากขึ้น ดีเทลมากขึ้น บางคนเขาไม่ได้อยากทำงานจนตายแต่อยากทำงานอย่างมีความสุข ฉะนั้นเพื่อสร้างบรรยากาศในการทำงานให้ดี ทำให้ตัวเองมีความสุขกับการทำงานเขาก็พยายามหาอุปกรณ์ต่างๆ เข้ามาเสริม เช่น คีย์บอร์ด

อย่างถ้าพูดถึง Keychron มันไม่ได้มีแค่ฟังก์ชั่นแต่มันบ่งบอกไลฟ์สไตล์ มันสวย มินิมอลก็เลยได้รับความนิยมมาก บางคนซื้อเพราะว่าดีไซน์ การใช้งานเป็นของแถมด้วยซ้ำ แล้วเขาถึงได้สัมผัสฟีลลิ่งการพิมพ์ว่ามีคีย์บอร์ดแบบนี้ด้วยเหรอ เจ๋งดี  เขาก็หันมาสนใจเมคานิคอลคีย์บอร์ดมากขึ้น พอมันเป็นกระแส ไม่ว่าจะเป็น tech savvy หรือคนทั่วไปก็เข้าถึงสินค้าแก็ดเจ็ตได้หมด โดยเฉพาะกลุ่มคนทำงานที่เขากำลังหาอุปกรณ์ทำงานพอดี

รู้มาว่าเป้าหมายของ Gadget Story คือการเข้าตลาดหลักทรัพย์ คุณมีแผนการยังไงในการพาบริษัทไปให้ถึงจุดนั้น

ด้วยความที่แบรนด์ที่เราดูแลอยู่ตอนนี้เป็นแบรนด์สตาร์ทอัพ อยู่ในมาร์เก็ตใหม่ เรามองว่ามันมีโอกาสที่จะเติบโตได้มากกว่านี้ใน 5 ปี 10 ปีอยู่แล้ว แต่การเพิ่มยอดขายอย่างเดียวอาจจะยังไม่พอ มันยังมีเรื่องของพาร์ตเนอร์ชิปที่เราเริ่มมองหามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพาร์ตเนอร์ชิปในฝั่งดีลเลอร์ พาร์ตเนอร์ธุรกิจต่างๆ เช่น ด้านธุรกิจการเงิน royalty program ต่างๆ มีนักลงทุน หรือแม้แต่ดีไซเนอร์

ถามว่าทำไมมีดีไซเนอร์ เพราะเราจะเห็นว่าปัจจุบันนี้เทรนด์การคอลแล็บกำลังมา ในกลุ่มสินค้าแก็ดเจ็ตก็ด้วย พอเรามีคอนเนกชั่นกับทางแบรนด์โดยตรงเราก็สามารถมีโปรเจกต์ที่แมตช์แบรนด์ดิ้งของแบรนด์เข้ากับดีไซเนอร์คนไทยที่มีชื่อเสียงได้ อันนี้เป็นอีกกลยุทธ์ที่บริษัทเราก็มองไว้เพื่อที่จะพาเราให้เป็นที่รู้จักแล้วก็เติบโตมากขึ้น

แล้วเป้าหมายที่ใหญ่กว่าการเข้าตลาดหลักทรัพย์ล่ะ ภาพ Gadget Story ในอนาคตที่คุณมองเห็นเป็นแบบไหน

เราต้องการเป็นบริษัทผู้นำที่ส่งมอบสินค้าไอทีแก็ดเจ็ตทันสมัยใหม่ล่าสุดจากทั่วโลกเพื่อรองรับการทำงานและการใช้ชีวิตในอนาคต ไม่ว่าจะอยู่ในยุคไหนหน้าที่ของเราคือการเฟ้นหาและนำสินค้าที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานได้ดีที่สุด ณ ช่วงเวลานั้นมาส่งมอบให้ลูกค้าด้วยวิธีการและบริการที่ดีที่สุด นี่คือวิชั่นหลักของ Gadget Story

Tailored Casual เครื่องแบบนอกเวลางานของวิศวกร ผู้จัดการฝ่ายการตลาด และเจ้าของแบรนด์ OFFICIEL BEAU

ครั้งแรกที่เห็นชุดของแบรนด์ OFFICIEL BEAU เราคิดว่าผู้อยู่เบื้องหลังสไตล์โก้หรูเปี่ยมไปด้วยรสนิยมนี้ต้องเป็นนักออกแบบที่ทำงานคร่ำหวอดในวงการสร้างสรรค์แน่ๆ

หากแต่เมื่อได้รู้จัก โบ๊ท–สิริชัย วิพัฒนพร เขากลับแนะนำตัวสั้นๆ ว่าเป็นวิศวกร ที่ปัจจุบันผันตัวมาทำงานด้านการตลาด เป็น Marketing Manager ของบริษัทฮิลติ หรือ Hilti (Thailand) ผู้ผลิตและผู้นำทางนวัตกรรมในกลุ่มอุตสาหกรรมก่อสร้างขนาดใหญ่ 

ชีวิตของโบ๊ทสนุกและให้แรงบันดาลใจแก่เรามากๆ ตั้งแต่เส้นทางการทำงานไปจนถึงเรื่องการสร้างแบรนด์เสื้อผ้าจาก 0 ที่นำหลักการทำงานแบบวิศวกรมาพัฒนาเสื้อผ้า ทดลองแบบซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนมั่นใจพร้อมขาย ซึ่งแม้จะเพิ่งเปิดตัวแบรนด์ได้ไม่นาน OFFICIEL BEAU ก็ได้รับความรักจากแฟนๆ โดยลูกค้า 90 เปอร์เซ็นต์ เป็นลูกค้าเก่าที่กลับมาซื้อซ้ำอยู่เสมอ

นั่นเป็นเพราะ OFFICIEL BEAU ไม่ได้ขายเสื้อผ้า แต่กำลังมอบสไตล์ให้ผู้คนที่รู้จักตัวตนและรู้ความต้องการของตัวเอง 

เหมือนที่ Coco Chanel ได้กล่าวไว้ว่า ‘Fashion changes, but style endures’ แฟชั่นเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลา แต่สไตล์นั้นไม่เปลี่ยน

ถือสายวัดตัวและกระดาษร่างแบบ ตาม Capital ไปพูดคุยกับโบ๊ท ถึงชุดทำงานของเขา ตั้งแต่เป็นวิศวกรบนแท่นขุดเจาะน้ำมัน วิศวกรฝ่ายขายในบริษัทชั้นนำที่เปลี่ยนการทำงานของเซลส์ในวงการ ไปจนถึงบทบาทปัจจุบันที่เป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาดในบริษัทใหญ่ และเจ้าของแบรนด์ OFFICIEL BEAU แบรนด์เสื้อผ้ามีสไตล์ที่กำลังมาแรงและเป็นที่น่าจับตา

Part 1
วิศวกรภาคสนาม หัวหน้าทีมวิศวกรฝ่ายขาย และผู้จัดการฝ่ายการตลาด

จากแรงบันดาลใจในวัยเด็ก ที่ได้ดูหนังเรื่อง Armageddon (1998) ทำให้โบ๊ทตั้งเป้าหมายจะเป็นวิศวกรที่แท่นขุดเจาะน้ำมัน แม้เส้นทางชีวิตจะนำพาเขาเข้าไปสู่สาขาเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เขาก็ไม่ละทิ้งความฝัน กลับมุ่งมั่นที่จะทำทุกวิถีทางให้เฉียดเข้าใกล้อุตสาหกรรมปิโตรเคมีให้มากที่สุด

โบ๊ทเริ่มต้นทำงานเป็นวิศวกรภาคสนามไปติดตั้งเครื่องจักรขนาดใหญ่ในโรงกลั่นน้ำมันและโรงไฟฟ้า ที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง สามปีต่อมา โบ๊ทได้รับการแนะนำให้ไปทำงานในบริษัทสัญชาติเยอรมัน ได้ทำงานเซอร์วิสบนแท่นขุดเจาะน้ำมันตามความฝัน 

ขณะที่ใช้ชีวิต 6-7 เดือนที่กลางทะเล โบ๊ทก็พบว่านี่ไม่ใช่ชีวิตที่เขาต้องการ และหากเขาเลือกที่จะอยู่ทำงานเป็นผู้เชี่ยวชาญในเส้นทางนี้ต่อไป เขาจะต้องแลกกับชีวิตส่วนตัวและเวลากับคนรอบข้าง ระหว่างที่กำลังคิดว่าจะเลือกทางเดินชีวิตเส้นไหน โบ๊ทก็ได้รับคำแนะนำจากผู้ใหญ่ที่เคารพท่านหนึ่ง ว่าให้ลองทำงานในฝั่งการขาย เขาจึงเริ่มทำงานเป็น Sales Engineer ในบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง แม้ไม่เคยผ่านงานด้านการขายมาก่อน แต่ผู้บริหารก็เชื่อมั่นว่าโบ๊ทจะทำได้ จากประสบการณ์การทำงานในอุตสาหกรรมที่ผ่านมา ความเข้าใจที่มีต่อสินค้าที่ขาย และการเปิดรับอะไรใหม่ๆ อยู่เสมอ

อะไรทำให้คุณตัดสินใจเปลี่ยนสายงานจากวิศวกรบนแท่นขุด มาเป็นเซลส์ในบริษัทชั้นนำ

จริงๆ ลึกๆ แล้วผมชอบศิลปะมาโดยตลอด อยากเป็นสถาปนิก แต่ด้วยเติบโตที่ต่างจังหวัดตอนเด็กๆ ไม่มีใครมาไกด์ พ่อกับแม่ขอให้เลือกเรียนวิศวะ ผมก็ลองดูเพราะคิดว่าเราพอไปได้ ช่วงเวลา 3 ปีที่อยู่ on-site ต้องทำงานเกือบทุกวัน ย้ายไประยองบ้าง ไปสระบุรีบ้าง ในที่สุดผมได้ทำตามความฝัน คือมีโอกาสไปทำงานบนเเท่นขุดกลางทะเล แต่ทำได้ระยะเวลาสั้นๆ กลับคิดถึงชีวิตที่ต้องการจริงๆ ตอนนั้นอายุ 24-25 ได้เงินเดือนค่อนข้างเยอะเลยนะ แต่ผมก็อยากใช้ชีวิต อยากค้นหาตัวเองไปด้วย

จากที่เคยคิดว่าการเป็นวิศวกรบนแท่นขุดคือชีวิตของเรา สุดท้ายผมพบว่าชีวิตเรามีหลายมิติ มีความซับซ้อนมากกว่านั้น เลยอยากเปิดโอกาสให้ตัวเอง ตอนนั้นแค่ตั้งโจทย์ให้ตัวเองว่าทำอะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับงานวิศวกรที่เราพอทำได้ ในขณะเดียวกันก็ยังมีโอกาสทำสิ่งที่อยากทำขนานไปด้วยได้ เช่น การได้ไปเดินดูเสื้อผ้ามือสองของวินเทจที่ตลาดจตุจักรช่วงวันหยุด เสาร์-อาทิตย์

การทำงานเป็นเซลส์ทำให้คุณต้องเปลี่ยนตัวเองยังไงบ้าง

ความยากคือผมเป็นคนขี้อายและพูดไม่เก่ง ด้วยความเป็นวิศวกรภาคสนามก็จะเน้นปฏิบัติซะมากกว่า แต่การเป็นเซลส์นั้น การพูดเเละการฟังเป็นเรื่องสำคัญมาก ต้องรู้จักพูดโน้มน้าว สื่อสารตรงไปตรงมาให้เข้าใจได้ง่าย และฟังให้เข้าใจถึงความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า ไปจนถึงเราจะเปิดการสนทนายังไง นี่คือสิ่งที่ต้องเรียนรู้ใหม่ทั้งหมด ในช่วงแรกๆ ผมไม่สามารถทำให้ลูกค้าเดินเข้ามาพูดกับผม แล้วซื้อของกับผมได้ ก็ค่อนข้างกดดัน เป็นช่วงเวลาหนึ่งปีเต็มๆ ที่ขายของไม่ได้เลย กลายเป็นว่าผมรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่าในองค์กร 

จากคนที่มีความมั่นใจเต็มร้อย คุณผ่านความรู้สึกนั้นมาได้ยังไง

ผมเพิ่งรู้ว่าการเป็นตัวเองมากไปมันทำงานไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องเบรกตัวเอง มองหาว่าผมพอจะปรับอะไรได้บ้าง ระหว่างนั้นเจ้านายญี่ปุ่นเขาก็แนะนำว่า คุณเป็นวิศวกรฝ่ายขาย คุณจะทำมันไม่ได้เลยถ้าคุณไม่เริ่มต้นพูด นี่คือสิ่งที่ควรปรับเป็นอย่างแรก simple มาก เขาบอกว่าทุกๆ ครั้งที่ไปเจอลูกค้าให้พยายามหยิบยกอะไรก็ได้สัก 1-2 เรื่องขึ้นมาพูด เพื่อทลายกำแพงระหว่างเรากับเขา ไม่ใช่ว่ามาปุ๊บ ตั้งของ ตั้งคอมพ์ เซตอัพอุปกรณ์แล้วก็เล่าว่าเครื่องนี้ดีอย่างงั้นอย่างงี้ มันไม่ได้

พอเริ่มปรับ ใช้วิธีเริ่มต้นคุยเรื่องส่วนตัวบ้าง ดินฟ้าอากาศบ้าง บรรยากาศก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง หลังจากนั้นผมกลายเป็น best sales หลายปีเลยนะ ทำยอดขายและกำไรตลอดระยะเวลา 7 ปี มากกว่า 350 ล้าน ยังจำที่เจ้านายเคยบอกว่า เวลาที่ผมเล่าเรื่อง ผมคือคนที่พูดได้น่าฟัง เพียงแต่ผมไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง ก็แค่นั้น

การจะเป็น best sales ได้นั้นเรียกร้องทักษะอะไรบ้าง

ผมคิดว่าเป็นความจริงใจนะ เวลาเราฟังปัญหาของลูกค้า เราแค่พูดในสิ่งที่เรารู้ สิ่งที่เราไม่รู้หรือทำไม่ได้เราไม่เคยพยายามปกปิด แสร้งว่ามันทำได้หรือพูดให้โอเวอร์เกินจริง เขาก็จะรู้สึก secure แล้วก็รู้สึกอยากจะคุยกับเราจริงๆ 

การที่ใครสักคนจะตัดสินใจซื้อของราคาหลักล้านบาทในวันเเรกที่เจอกันมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย นอกจากคุณสมบัติของเครื่องมือที่ตอบโจทย์หรือบริการหลังการขายแล้วนั้น ความเชื่อมั่นของลูกค้าที่มีต่อเราก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย งานของเราคือต้องทำให้ลูกค้าเข้าใจสเปกของผลิตภัณฑ์ก่อน การตอบคำถาม ข้อสงสัย เเละให้คำแนะนำลูกค้าได้อย่างตรงไปตรงมา ไม่ปิดบัง ซื่อสัตย์ ซึ่งคือความจริงใจที่มีต่อลูกค้า เป็นส่วนที่เราต้องให้ความสำคัญเสมอ ผมเคยเจอเซลส์หลายคน ที่มีความกดดันจากยอดขาย ทำให้เขาพยายามทุกวิถีทางให้ลูกค้าซื้อของ จนหลงลืมสิ่งเหล่านี้ ซึ่งก็อาจทำได้ในบางครั้ง แต่ไม่มั่นคงในระยะยาว

อะไรคือสิ่งหล่อเลี้ยงให้คุณรู้สึกสนุกกับงานเซลส์

เซลส์เป็นงานที่มีรายละเอียดเยอะมาก ยิ่งถ้าสินค้าที่ขายมีราคาค่อนข้างสูง สมมติเรานึกถึงเจ้าของบริษัททุนจดทะเบียน 50-100 ล้าน วันหนึ่งมีสายแปลกๆ โทรเข้ามา ใครคนนั้นจะเล่าเรื่องให้เจ้าของบริษัทหรือผู้บริหารที่มีเวลาน้อยมากๆ ได้ยังไง เซลส์จึงต้องทำรีเสิร์ชหาข้อมูลเยอะมาก ต้องรู้แบ็กกราวนด์ของลูกค้าระดับหนึ่ง และต่อให้ผู้บริหารรับนัด เขาก็ไม่มีทางจะตัดสินใจซื้อของราคาหลักล้านได้ในทันที มันค่อนข้างมีขั้นตอนที่ยุ่งยากและระยะเวลาค่อนข้างมาก 

สิ่งที่เราต้องคิดถึงเป็นสำคัญคือ ผลประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับ และอะไรคือสิ่งที่เราจะบอกลูกค้าก่อนที่เราจะไปเจอเขา เพื่อให้เขารู้สึกว่าเรากำลังมาเพื่อแก้ปัญหาให้คุณนะ และถ้าเป็นไปได้ก็ต้องพยายามทำให้ลูกค้ารู้สึกพร้อมที่จะตัดสินใจเรื่องราคาให้ได้ในทันที หากทิ้งระยะเวลาไว้นาน ความต้องการของลูกค้าก็จะลดลงเรื่อยๆ สุดท้ายแล้วเขาก็จะไม่คิดถึงมันอีกเลย การที่ผมตั้งโจทย์ว่าจะเป็น best sales ได้ยังไงนั้น ผมก็ต้องปิดการขายให้เร็วที่สุด ในที่สุดแผนนี้ก็กลายมาเป็นกลยุทธ์หลักของทีม 

คุณดูจะไปได้ดีมากกับสายงานนี้ อะไรคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ตัดสินใจย้ายงานอีกครั้งหนึ่ง

หลักๆ ก็เป็นเรื่องสุขภาพ ช่วง 2 ปีที่แล้ว ผมป่วยหนักมากจนต้องหยุดงาน 2-3 เดือน หมอบอกว่าเป็นโรคไทรอยด์เป็นพิษ และเป็นอัมพาตตอนกลางคืน ซึ่งเป็นเคสที่ค่อนข้างหนัก หมอบอกว่าเป็นมานานแล้วแต่เราไม่รู้ เป็นโรคที่เกิดจากความเครียดทำให้ฮอร์โมนในร่างกายรวนไปหมด ร่างกายและมือสั่น หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติประมาณ 3 เท่า

ก่อนหน้านี้ร่างกายส่งสัญญาณใดๆ มาก่อนไหม

มี แต่น้อยมาก เช่น เหงื่อออกเยอะ ขี้ร้อน คนอื่นหนาวมาก แต่ผมเหงื่อแตก จริงๆ แล้วโรคนี้ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชายนะสำหรับผู้ชายเกิดขึ้นได้ใน 2 กรณี คือ กรรมพันธุ์กับความเครียด เนื่องจากความเครียดจะหลั่งสารพิษในร่างกายเรา ทำให้อวัยวะในร่างกายทำงานหนักเพื่อกำจัดมัน 

ซึ่งในสายงานเซลส์งานค่อนข้างเครียดเเละกดดันเลย เราต้องขับรถเยอะมาก ไปประชุมกับลูกค้าต่างจังหวัดเกือบทุกวัน แล้วก็ขับรถกลับมากรุงเทพฯ เพื่อทำงานที่ออฟฟิศต่อ เจอรถติดหลายชั่วโมง ตอนนั้นเข้าใจว่าทำงานหนักเพื่อพิสูจน์อะไรบางอย่าง ยิ่งทำผลงานดีก็ยิ่งกลายเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองมาก มีความคิดเป็นของตัวเอง ใจร้อน ไม่ฟังใคร เเต่เมื่อป่วยจึงได้รู้ว่าอะไรสำคัญ

คุณเปลี่ยนไปยังไงในวันที่กลับมาคิดถึงสุขภาพกายและใจมากขึ้น

เมื่อก่อนเราอาจจะไม่มีเป้าหมายชีวิตที่ชัดเจนขนาดนั้น เราเเค่ทำงานให้หนัก หาเงินเพื่อไปมีความสุข และเป็นคนที่รับทุกเรื่องไม่ว่าจะสำคัญหรือไม่ เรื่องของคนอื่นเราก็เข้าไปช่วยแก้ปัญหาตลอด เพราะคิดว่าเป็นเรื่องที่เราพอจะช่วยได้ หลังจากป่วยผมกลายเป็นคนที่มองอะไรกว้างขึ้น lean ทุกอย่างให้น้อยที่สุด ทำแต่สิ่งที่จำเป็น หัดบอกปฏิเสธ เรียนรู้ที่จะฟังและยอมรับความต้องการของตัวเองมากขึ้น

ช่วงแรกของการรักษา ร่างกายเราไม่ตอบสนองกับยาที่หมอให้เลย ซึ่งอาจจะต้องลงเอยที่การผ่าตัด ที่ผ่านมาเราใช้ร่างกายหนักเกินไป หมอต้องให้กินแร่กัมมันตรังสีเพื่อหยุดการทำงานของต่อมไทรอยด์ ผลที่ตามมาคือระบบเผาผลาญในร่างกายไม่ทำงาน เป็นช่วงชีวิตที่ยากลำบากมาก แต่ก็ผ่านมาได้ เพราะการมีวินัย ปฏิบัติตามที่หมอสั่งจนหายดีได้ภายใน 7 เดือน ทั้งๆ ที่หมอเคยบอกว่าเป็นเคสที่ยากมากอาจจะต้องใช้เวลารักษา 2-3 ปี จึงจะหาย

เมื่อผ่านเรื่องที่ยากและไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิตได้ หลังจากหายดี ทัศนคติผมก็เปลี่ยนไปด้วย เราเหมือนเป็นคนใหม่เลย การป่วยมันให้อะไรดีดีกับเราเยอะเหมือนกันนะ ทำให้ผมกล้าออกมาจากคอมฟอร์ตโซน เป็นจุดเริ่มต้นของอะไรหลายอย่าง รวมถึงการทำแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเอง

คุณตัดสินใจยังไงต่อหลังจากเลือกเดินออกจากคอมฟอร์ตโซน

หลังจากทำงานในสายด้านการขายมา 7 ปี ผมเปลี่ยนสายงาน เปลี่ยนผลิตภัณฑ์ เปลี่ยนอุตสาหกรรมอีกครั้ง มาทำงานเป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาด คอยสนับสนุน sales engineer ให้ขายของและทำยอดได้ตามเป้า

บทบาทหน้าที่ของหัวหน้าทีมการตลาดและทีมขาย แตกต่างกันยังไง

ต่างกันเยอะนะ เซลส์จะมองยอดในระยะสั้น แต่มาร์เก็ตติ้งจะมอง long term 3-5 ปี ที่สำคัญไม่ได้ยอดขายอย่างเดียว แต่ต้องมองโพซิชั่นของแบรนด์ ว่าเราอยู่ตรงไหนของตลาด เป็นงานเชิงกลยุทธ์ ดูว่านโยบายจากบริษัทแม่เป็นยังไง แล้วเราจะประยุกต์ใช้กับแผนระดับภูมิภาคและระดับประเทศเรายังไง วัฒนธรรมหรือพฤติกรรมลูกค้าเป็นแบบไหนเราจะปรับแผนการทำงานยังไงเป็นต้น ซึ่งตอนนี้ผมเพิ่งเริ่มมาทำงาน ยังเป็นคนที่คิดแบบเซลส์อยู่ 

ถ้าคิดแบบเซลส์มากไป งานฝั่งมาร์เก็ตติ้งก็จะเสีย แต่ถ้าคิดแบบมาร์เก็ตติ้งมากไป เซลส์ก็จะทำงานได้ยาก การที่บริษัทเราทำยอดขายได้เยอะ ไม่ได้แปลว่า marketing strategy เราดีนะ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความสม่ำเสมอ ที่จะทำให้องค์กรเติบโตไปเรื่อยๆ เพราะถ้าปีนี้ขายดี ปีหน้ายอดขายตกลงมา แปลว่าคุณวางแผนมาไม่ดี เป็นผลลัพธ์ที่ไม่มั่นคงเเละยั่งยืนในระยะยาว

ถ้าโจทย์ตอนทำงานเป็นเซลส์คือ best sales คุณในวันนี้คาดหวังอะไรจากงานที่ทำ

บอกตามตรงว่างานนี้ค่อนข้างใหม่สำหรับผมมากๆ ผมอาจจะบอกไม่ได้มากว่าจะทำมันได้ดีหรือเปล่า แต่คิดว่าถ้าทำมันได้ในระดับนึง เราคงจะรู้สึกว่าเราได้พิสูจน์ตัวเอง รู้สึกว่าเรามีคุณค่าในองค์กรนั้นๆ อันนี้คือสิ่งที่ผมบอกตัวเองเสมอไม่ว่าคุณจะอยู่ตรงไหนขององค์กรหรือสังคม เราต้องมีส่วนสำคัญระดับหนึ่ง ไม่งั้นชีวิตจะไม่มีความหมาย บางคนอาจจะต้องการชื่อเสียง เงิน ทอง ซึ่งสุดท้ายแล้วมันคือการถูกยอมรับทางสังคม ผมเองก็ต้องการเหมือนกัน เพียงเเต่ผมอยากสื่อสารออกมาในรูปแบบของการทำงานมากกว่า เป็นเหตุผลให้เราพยายามผลักดันตัวเองในงานที่ทำ และให้ความสำคัญกับหน้าที่ตรงหน้าแค่นั้นเอง

Part 2
เจ้าของแบรนด์ OFFICIEL BEAU

ก่อนหน้านี้คุณบอกว่าสนใจศิลปะและชอบการแต่งตัว ช่วงที่ทำงานหนักๆ แฟชั่นหรือศิลปะเข้ามามีส่วนทำให้อิ่มเอมใจระหว่างงานที่ทำมากน้อยแค่ไหน

น่าจะเป็นช่วงเวลาส่วนตัวมากกว่านะ เพราะในเวลางาน เราไม่สามารถแต่งตัวสวยงามอย่างที่คิดได้เลย ด้วยงานที่ทำผมต้องใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว ผูกเน็กไท ใส่กางเกงสแล็ก รองเท้าหนังสีดำ แค่นั้นเลย 

ได้ใส่อะไรที่ตัวเองชอบสักนิดไหม เช่น นาฬิกา?

นาฬิกาอาจจะได้บ้าง ต้องโกนหนวดทุกวัน ต้องแต่งตัวเรียบร้อย สะอาดสะอ้าน จุดประสงค์หลักคือ ไม่ว่าเรากำลังจะไปเจอใคร ตั้งแต่ระดับคนงานไปจนถึงเจ้าของบริษัท เราต้องสามารถคุยหรือเข้าหาเขาได้หมดเลยและดูเป็นมืออาชีพน่าเชื่อถือ บางคนอาจจะยอมรับไม่ได้ แต่ผมเข้าใจได้เพราะรู้สึกว่า เราไม่ได้มาทำงานเพื่อเป็นตัวแทนของตัวเอง แต่เราเป็นตัวแทนของบริษัท สิ่งที่ลูกค้ามองมาที่เราคือชื่อเสียงของบริษัท เพราะฉะนั้นเราก็จะแยกโลกออกไปเลยชัดเจน ว่านี่คืองานประจำนะ นี่คือชีวิตในเวลาส่วนตัวนะ

โลกสองใบนี้แตกต่างกันแค่ไหน

ในเวลางานจะแต่งตัวทางการมาก ส่วนนอกเวลาผมชอบใส่เสื้อยืดธรรมดา พื้นฐานผมเป็นคนขี้อายมากๆ ไม่อยากเป็นจุดสนใจ ทำให้ผมไม่กล้าลองผิดลองถูกสักเท่าไหร่ เพราะกลัวความผิดพลาด ผมยอมรับตัวเองเลยว่านี่คือจุดอ่อนของตัวเอง ผมไม่มี self-esteem ไม่มี self-appreciate ใดๆ ขณะที่กับเรื่องงานเรามั่นใจมาก แต่กับการแต่งตัวอะไรก็ได้ที่ทำให้เรารู้สึกปลอดภัย

แต่งตัวแบบไหนที่รู้สึกว่าปลอดภัย

เสื้อผ้าโทนสีขาว สีกรม สีครีม แค่นี้เลย กับรองเท้าขาว รองเท้าดำ ไม่มีอะไรฉูดฉาดและแฟนซี เครื่องแบบตอนทำงานประจำค่อนข้างเป็นทางการเเละจริงจังมากๆ ทำให้ผมคิดถึงและโหยหาความเรียบง่าย สบายๆ ไม่พยายาม ใส่อะไรก็ได้ที่ทำให้รู้สึกได้พักผ่อน แต่ขณะเดียวกันก็ต้องถูกกาลเทศะ 

สบายที่ว่าหมายถึงสบายตาหรือยังไง

ใช่ สบายตาเราเเละรู้สึกสวมใส่สบายด้วย เมื่อสีหรือองค์ประกอบต่างๆ ที่เราชอบนั้นเรียบ สิ่งที่เราให้ความสำคัญต่อมาคือวัสดุและการตัดเย็บ พื้นฐานเราชอบเสื้อผ้าวินเทจเพราะมันผ่านการใช้งานมาแล้ว มันดูนุ่ม ใส่สบายและถ่อมตัว

การจะแต่งตัวเรียบๆ สบายๆ ได้ ต้องผ่านอะไรมาบ้าง หรือมีใครเป็นต้นแบบในการแต่งตัวบ้างไหม

อาจจะเป็นเพราะเราชอบงานศิลปะ ชอบ Picasso และ Le Corbusier ที่เป็นศิลปินเเละสถาปนิกยุค 1930-1970 เวลาเรามองไปที่เขา เราเห็นแต่ตัวตนเขา เราไม่เห็นเสื้อผ้า หมายความว่า เขาจะใส่อะไรไม่รู้เลย สิ่งที่มากกว่าสไตล์หรือเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ คือสิ่งที่เขาทำรวมถึงสิ่งที่เขาฝ่าฟันมา ความรักที่มีในงาน มันดูมีเสน่ห์มาก นั่นทำให้ไม่ว่าเขาจะใส่อะไรก็ดูสบายตาและเป็นธรรมชาติ

สิ่งที่สำคัญที่มากกว่าความสวยงามและความมั่นใจจากเสื้อผ้าที่สวมใส่ คือการรู้ว่าคุณคือใครและคุณทำอะไร ลองสังเกตคนที่อายุมากขึ้นเรื่อยๆ เราจะเห็นว่าพวกเขามีสไตล์มาก ทำไมสิ่งที่เขาเลือกมันนิ่งเเละเด็ดขาดมาก เราไปทำแบบเขาไม่ได้ เพราะเขาใช้ชีวิตมาแล้ว เขาผ่านประสบการณ์มาแล้วและรู้ว่าต้องเลือกอะไรให้กับตัวเอง 

แล้วคุณรู้ตัวตอนไหนว่าต้องเลือกอะไรให้กับตัวเอง

เราไม่ได้มีเวลาและโอกาสในการค้นหาสไตล์ตัวเองขนาดนั้น รู้แค่ว่าชอบใส่เสื้อยืดสีขาว ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวอาจจะเป็นผลพวงมาจากการที่เราใส่เสื้อผ้าตอนทำงานบวกกับเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเอง ไม่อยากเป็นจุดสนใจ ก็เลยเข้าใจตัวเองว่าชอบใส่แบบไหนตั้งแต่นั้นมา ผมพยายามสร้าง contrast ระหว่างความ formal กับ casual เข้าด้วยกัน เช่น ใส่เสื้อยืดกับกางเกงสแล็กที่ดูเป็นทางการ อย่างกางเกงเอวสูง ขากางเกงไม่เล็ก มีความเป็นกระบอก มีวอลลุ่ม มีพื้นที่ให้มีมูฟเมนต์สบายๆ ผมคิดว่าหลายๆ คนยังไม่กล้าใส่กางเกงทรงกระบอกมากนัก

เราจะเห็นดีไซเนอร์หลายๆ คนใส่เสื้อยืดธรรมดากับกางเกงที่ตัดเย็บเนี้ยบมาก แค่นี้ก็ดูน่าค้นหาแล้วนะ คนที่มีสไตล์มีสไตล์เพราะตัวตนข้างในของเขาไม่ใช่สิ่งที่เขาสวมใส่ เช่นคำว่า elegant บางคนอาจจะนึกถึงเสื้อผ้าที่สวมใส่ต้องมีราคาแพง แต่สำหรับผมอาจจะหมายถึง การที่เราเข้าใจตัวเอง รู้ว่าอะไรเหมาะกับเรา สิ่งที่เราพูดเเละปฏิบัติกับครอบครัว คนรัก เเละคนรอบข้างอย่างเท่าเทียม คิดว่านี่คือความ elegant จริงๆ

ทำไมทุกครั้งเวลาพูดถึงผู้ชายที่ดู elegant เราต้องนึกถึงหนุ่มฝรั่งเศส อิตาลี เสมอ

ก็ไม่เสมอไปนะครับ ทุกคน elegant ได้ ส่วนหนึ่งผมคิดว่าอาจจะเพราะเขามีศิลปะอยู่ในทุกอย่างของชีวิต ศิลปะทำให้คนอ่อนโยน นุ่มนวล คิดถึงความรู้สึกของคนอื่น ไม่เป็นมนุษย์แข็งๆ พูดจาโผงผาง ศิลปะทำให้เข้าใจชีวิตและเข้าใจคนอื่นมากขึ้น

ก่อนหน้านี้มีความฝันว่าอยากมีแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเองมาก่อนไหม แล้วอะไรคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้เริ่มต้นทำแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเอง

ไม่เคยมีความฝันมาก่อนเลย แฟนเรา (ธนันญาฐ์ อภิเชษฐ์พงศ์ เจ้าของแบรนด์ Pudee) ทำแบรนด์เสื้อผ้าอยู่แล้ว เขาเห็นเราสนุกกับการแต่งตัว ตัดกางเกงทำงานใส่เอง ก็เชียร์ให้ทำแบรนด์มาตลอด แต่เราไม่มั่นใจในตัวเอง เพราะสิ่งที่เราชอบมัน niche มากเลย คนไม่ชอบหรอก ทำเจ๊งแน่ๆ เขาบอกอะไรเราก็ไม่ฟัง ไม่เชื่อ ไม่ลอง ไม่เริ่ม แต่ที่ชอบตัดกางเกงเพราะเราใส่ ready to wear ไม่ได้ หุ่นเราไม่ปกติ การจะใส่กางเกงทำงานหรือกางเกงสแล็กให้สวยมันเลยต้องตัดแบบ made to measure ซึ่งช่วยเสริมบุคลิกภาพเรามากกว่า เพราะแต่ละคนมีรูปร่างแตกต่างกัน ถ้าเรารู้จุดอ่อนเราก็ปกปิดและรู้จุดแข็งตัวเองเราก็เสริมมันเข้าไป

อยู่มาวันหนึ่งได้เจอพี่แพท–ณภัทร สุทธิธน (ครีเอทีฟไดเรกเตอร์) พี่แพทก็ชมว่ากางเกงที่เราใส่สวยดี ผมก็บอกว่าผมลองตัดออกมาใส่เล่นๆ ดู เป็นกางเกงที่ลองปรับมาจากกางเกงวินเทจที่เราชอบ แต่ปรับให้มันใส่ง่ายขึ้น ใช้งานได้จริง เพราะวินเทจจริงๆ บางครั้งก็ขากว้างไป เอวสูงไป ผมก็ลดทอนส่วนนั้นลง ซึ่งพี่แพทก็ตัดสินใจ ยื่นมือเข้ามาช่วย ดูทิศทางและภาพรวมให้ เราก็เริ่มเชื่อว่าหรือเราน่าจะพอทำได้ แต่ก็ยังรู้สึกกดดัน ว่าต้องตั้งใจทำมันออกมาดีจริงๆ เพราะพี่เขาอุตส่าห์หยิบยื่นโอกาสให้เรา ซึ่งงานประจำที่ทำอยู่ก็หนักมากๆ และเราไม่เคยมีความรู้เรื่องเสื้อผ้ามาก่อนเลย

ตอนนั้นคุณเริ่มต้นยังไง

ก่อนหน้านี้ใช้เงินรักษาตัวไปเยอะมากๆ แล้วก็เพิ่งทำบ้านด้วย เลยวางแผนว่าจะค่อยๆ เจียดเงินเดือนมาลองทำแบรนด์ เริ่มจากหาช่างและทำเสื้อกับกางเกงออกมาทดลองใส่เองก่อน ไม่ยอมขายใครเลย ค่อยๆ ทำทุกเดือนจนครบหนึ่งปี ถึงเริ่มรู้สึกว่าพร้อมเปิดตัวแบรนด์

คุณได้นำทักษะในงานประจำมาใช้กับการทำแบรนด์ยังไงบ้าง

สิ่งที่ได้จากงานวิศวกรคือ PDCA (plan, do, check, action)  ก็คือวางแผนก่อน แล้วลองทำดู แล้วเช็กว่าสิ่งที่ทำโอเคหรือยัง ถ้าลงตัวค่อยลงมือทำเต็มที่ ซึ่งผมวนเวียนอยู่ในกระบวนการนี้ตลอดหนึ่งปีเต็มๆ หมดเงินไปเยอะมาก ซึ่งพี่แพทก็บอกว่าการทำ R&D แบบนี้เป็นสิ่งที่ดีต่อแบรนด์ เมื่อมั่นใจกับเสื้อผ้าที่ทำออกมา ขั้นตอนต่อไปคือการเล่าเรื่อง โจทย์ของเราคือนำเสนอเสื้อผ้าที่เรียบง่ายแบบนี้ยังไงให้น่าสนใจ 

Officiel Beau เป็นภาษาฝรั่งเศส Beau เป็นคำ masculine สำหรับผู้ชาย ที่แปลว่าหล่อเหลา เจ้าสำอาง รูปงาม เป็นคำเชยๆ โบราณนิดนึง ที่ทุกวันนี้เค้าไม่น่าจะพูดกันเเล้ว

อย่างคอลเลกชั่นแรกเราทำเสื้อผ้าที่นึกถึง ศิลปิน ดีไซเนอร์และสถาปนิกยุค 1930-1970 มีเสื้อเชิ้ตแขนยาว กางเกงสแล็กเรียบง่ายธรรมดา ผ่านการปรับให้รู้สึกวินเทจน้อยลง เช่น นำ French Victorian shirt ที่ผู้ชายยุค 1930 ใส่เป็นชุดทำงาน ชุดอยู่บ้าน หรือแม้แต่ใส่เป็นชุดนอน เราหยิบมาทำเพราะมันดูสบาย ใส่ง่าย ขณะเดียวกันก็พยายามใส่สีเอิร์ทโทนลงไปให้ดูสบายตา ไม่แข็งเกินไป ตั้งใจทำเสื้อผ้าผู้ชายให้ผู้ชายใส่ แต่เวลามองมาแล้วมีความ feminine touch อ่อนละมุน ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผู้ชายคงไม่กล้าใส่เสื้อผ้าโทนสีครีม เพราะกลัวจะดูหวานจนเกินไป สิ่งที่น่าสนใจคือ ผู้ชายที่เข้าใจตัวเองและกล้าก้าวออกมาจากกรอบเหล่านี้ เขามักจะเป็นคนที่ค้นพบสิ่งใหม่ๆ เรารู้สึกว่าผู้ชายควรจะใส่เสื้อผ้าสีอะไรก็ได้ที่อยากใส่

แล้วคุณทำยังไงให้คนกล้าใส่เสื้อผ้าสไตล์นี้

เราให้ภาพเล่าเรื่อง สร้างบรรยากาศที่เกี่ยวกับศิลปะและงานดีไซน์ให้ลูกค้าเห็นคอนเซปต์ บวกกับภาพถ่ายที่ทำให้เสื้อผ้าดูน่าใส่ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีมาก ส่วนคอลเลกชั่นที่สอง เราได้แรงบันดาลใจจากเครื่องแต่งกายทหารยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 มาทำให้ดูใส่ง่ายขึ้น เหมาะกับอากาศบ้านเรา

การทำแบรนด์ Officiel Beau ทำให้คุณต้องเรียนรู้ทักษะอะไรใหม่ๆ บ้าง

เรียนรู้ใหม่หมดเลย ตอนเป็นวิศวกรเราทำงานภายใต้แรงกดดันเพราะมูลค่างานค่อนข้างเยอะ ขณะที่งานเซลส์และมาร์เก็ตติ้ง เราถนัดเรื่องการสื่อสารกับคนหลากหลายระดับตั้งแต่คนงานไปจนผู้บริหารระดับสูง ต้องวางตัว ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน แต่สำหรับเสื้อผ้ายากมาก การทำโปรดักต์คือสิ่งใหม่สำหรับเรา อีกคนที่ต้องขอบคุณมากๆ คือพี่โหน่ง–บัณฑิต รัศมีโรจน์ ที่มาช่วยดูและให้คำปรึกษาเรื่องวัสดุและการตัดเย็บ เพราะเรื่องผ้าจะดูแค่ภายนอกไม่ได้ บางทีตัดออกมาดูสวยแต่ใส่แล้วอาจจะรู้สึกขาดอะไรบางอย่าง

หลังจากเปิดตัวแบรนด์ ผลตอบรับจากลูกค้าเป็นยังไง

ดีกว่าที่คิดมาก สิ่งที่ชุ่มชื่นหัวใจที่สุดคือ 90 เปอร์เซ็นต์ เป็นลูกค้าเดิมที่กลับมาซื้อซ้ำ แล้วก็ซื้อเยอะมากๆ และส่วนใหญ่จะมาขอบคุณที่เราทำเสื้อผ้า ทำให้เขามั่นใจในตัวเอง เสริมบุคลิกภาพเขา และไม่คิดมาก่อนว่าเสื้อผ้าเรียบๆ ที่ใส่สบายจะทำให้เขาได้รู้สึกเป็นตัวเองขนาดนี้

ที่คุณบอกว่าไม่ชอบเป็นจุดสนใจ แต่การที่คุณชอบใส่เสื้อผ้าโทนสีอ่อนแบบนี้มันเรียกร้องสายตาคนที่มองมาแน่นอน คุณรับมือกับสายตาที่มองมาเหล่านั้นยังไง

ถ้าบอกว่าไม่แคร์สายตาคนอื่นเลยก็คงจะไม่ใช่ซะทีเดียว แต่ผมต้องยอมรับตรงๆ ว่า ผมไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นเลย เพราะเรารู้ตัวว่าเราแต่งตัวเพื่อตัวเองไม่ได้แต่งตัวเพื่อให้คนอื่นสนใจ เสื้อผ้าที่ใส่ทำหน้าที่ปกปิดร่างกาย แต่สไตล์คือตัวตนเราข้างใน การที่คนทักว่าเราแต่งตัวแบบไหนมันก็แค่เรื่องภายนอก ถ้าได้พูดคุยเรียนรู้กันเขาจะไม่มีคำถามเลยว่าทำไมเราถึงแต่งตัวแบบนี้ 

ผมโดนว่าประจำว่าแต่งตัวแก่มาก ซึ่งถ้าเราเป็นคนไม่มี self-esteem เราก็จะกลายเป็นคนสูญเสียความมั่นใจ แล้วพลิ้วไหวกับทุกเรื่อง กับทุกเทรนด์ กลายเป็นคนที่เปลี่ยนไปตามคนอื่นเรื่อยๆ ทำไมเราถึงไม่พยายามหาตัวเองให้เจอ แล้วก็เป็นตัวเองที่เรียบง่ายที่สุด จะอีก 10 ปี 20 ปี ก็ยังแต่งตัวแบบเดิมอยู่ 

Youniform – Boat Sirichai Wipattanaporn

ชื่อ : สิริชัย วิพัฒนพร
ตำแหน่ง : ผู้จัดการฝ่ายการตลาด
ที่ทำงาน : Hilti (Thailand)

ตามไปดูเสื้อผ้าลุคทำงาน ลุคที่ให้แรงบันดาลใจ และลุคที่เป็นตัวเองที่สุด

ลุคแรกเป็นลุคที่โบ๊ทมีความเชื่อมโยงกับตอนทำงานเป็นวิศวกร

“ด้วยงานที่ทำจำเป็นต้องแต่งตัวแบบ business man เสื้อเชิ้ตขาว ผูกเน็กไท กางเกงสแล็ก นอกนั้นก็มีชุดตอนทำงานที่ไซต์งานอันนั้นคือชุดหมีเลย ไม่ค่อยแฟชั่นเท่าไหร่ แต่ทุกครั้งที่ไปออกไซต์เจอคนงานใส่เสื้อยืดสีขาวทับด้วยเสื้อ western ลายสกอตที่คนชอบเรียกเสื้อตัดอ้อย ใส่กับกางเกงยีนส์ สำหรับเราแล้วเขาดูเท่มากๆ ผสมกับเสื้อผ้าสไตล์ทหาร ซึ่งคนส่วนใหญ่เข้าใจว่าเสื้อทหารคือเสื้อลายพราง จริงๆ ทหารสมัยสงครามโลกมีชุดที่เนี้ยบสีกากีทั้งตัว เราก็ทำไม่ให้มันดูแมนจนเกินไป และถ้าสังเกตจะเห็นว่าลุค Officiel Beau ส่วนใหญ่จะเป็น tone on tone  ขาวบนขาว กรมบนกรม ครีมบนครีม ดำบนดำ ซึ่งจะทำให้แต่งตัวได้ง่ายขึ้น”

เพื่อให้เห็นภาพว่าลุคนี้เป็นยังไง เราขอให้โบ๊ทแบ่งปันเคล็ดลับการแต่งตัวเสริมบุคลิกภาพที่คุณผู้ชายนำไปแต่งตัวตามได้ดังนี้

“ผมคิดว่าผู้ชายมีบอดี้ที่เซ็กซี่อยู่แล้ว เสริมได้ด้วยการแต่งตัวให้มีซิลูเอต อย่างการใส่กางเกงที่เอวสูงประมาณช่วงสะดือมันจะทำให้ดูมีเอวและไหล่ที่ชัดขึ้น ไหล่จะดูสวยขึ้น และบอดี้ก็จะดูเซ็กซี่ขึ้น ช่วงขาจะดูยาว ซึ่งการสอดเสื้อใส่ข้างในกางเกง หลายคนกลัวว่าจะดูตลก ดูแก่ แต่มันช่วยให้ดูหุ่นดีขึ้นได้นะ และผมรู้สึกมันคือเสน่ห์อย่างนึง เวลาเห็นคนมีอายุใส่แบบนี้ แม้แต่ใส่กางเกงขาสั้นเขาก็ยังเอาเสื้อสอดเข้าข้างใน ใส่กางเกงเอวสูง มันดู French มาก น่ารักดี”

ลุคที่สองเป็นลุคที่โบ๊ทอยากให้คนกล้าใส่เสื้อลินินกันมากขึ้น 

“คนส่วนใหญ่มองว่าเสื้อลินินเหมาะกับคนมีอายุใส่ สำหรับผมสัมผัสของมันให้ความรู้สึกว่าเราได้ออกไปเที่ยวแค่นั้นเลย แรงบันดาลใจมาจากทหารยุค 1950 ที่ในเวลาราชการเขาจะใส่เสื้อกล้ามใต้ชุดเครื่องแบบ แต่นอกเวลางานเขาแค่ถอดเครื่องแบบแล้วหยิบเสื้อลินินมาสวมทับแล้วออกไปนั่งที่บาร์หรือริมทะเล โดยที่ไม่หลงลืม discipline หรือวินัยที่มียังคงสอดเสื้อกล้ามในกางเกง ขณะเดียวกันความนุ่มนวลของเสื้อลินินทำให้เขาได้มีเวลาที่ผ่อนคลายไปด้วย”

ความสนุกของการแต่งตัวลุคนี้ โบ๊ทแนะนำว่า ควรจะมีจุดนำสายตาคือตำแหน่งของขอบเอว เพื่อให้เห็นช่วงขาที่ยาว “ลองปรับจากเสื้อพอดีตัวมาเป็นเสื้อหลวมนิดนึงเพื่อให้วัสดุของเสื้อผ้าได้ทำงานอย่างเต็มที่ มีน้ำหนักขึ้น มีพื้นที่มากขึ้น ไม่ต่างจากการใส่เสื้อสูทหรือทักซิโด้ที่ควรจะใส่ให้หลวมเล็กน้อย”

ปิดท้ายด้วย ลุคสุดท้ายที่โบ๊ทเป็นตัวเองที่สุด 

“ผมชอบเสื้อยืดขาวมาก หลักการเลือกเสื้อยืดคือ ไม่จำเป็นต้องมีไซส์เดียวเสมอไป ยกตัวอย่างเช่นใส่เสื้อยืดพอดีตัวกับกางเกงเอวสูงทรงหลวมนิดนึง ทำให้เกิดความ contrast มันจะดูสบายตาขึ้น ในทางกลับกันถ้าข้างบนใส่เสื้อตัวเล็ก ข้างล่างก็ใส่กางเกงค่อนข้างเล็ก สำหรับผมอาจจะทำให้ดูอึดอัดไปนิดนึง”

จับตาดูแรงจูงใจของการติดสินบนในธุรกิจ ผ่านกลไกในเกม Santiago

ทำไมนักธุรกิจจำนวนมากจึงติดสินบน?

คนเคร่งศาสนาบางคนอาจตอบว่า ก็เพราะนักธุรกิจสมัยนี้ขาดคุณธรรมจริยธรรม แต่นักเศรษฐศาสตร์จะตอบว่า นักธุรกิจติดสินบนก็เพราะตัวเองได้ประโยชน์จากการติดสินบนมากกว่าถ้าไม่ทำ

ยกตัวอย่างเช่น ในธุรกิจที่เจ้าหน้าที่รัฐรีดไถ ‘เงินใต้โต๊ะ’ เป็นกิจวัตรมาช้านานจนเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในวงการ นักธุรกิจต้องจ่ายสินบนเพราะไม่มีทางเลือกอื่นถ้าอยากทำธุรกิจ ในบางธุรกิจเจ้าหน้าที่อาจไม่รีดไถสินบนตรงๆ แต่ความไร้ประสิทธิภาพและช้าเป็นเต่าคลานของระบบราชการส่งผลให้นักธุรกิจหลายคนตัดสินใจจ่ายอยู่ดี เพื่อเร่งรัดกระบวนการให้ทำงานเร็วอย่างที่ควรเป็น

ธุรกิจหลายวงการมีลักษณะทั้งสองอย่างประกอบกันจนเราแยกไม่ออกอีกต่อไปว่า ตกลงนักธุรกิจจ่ายสินบนเพราะถูกเจ้าหน้าที่รัฐบังคับหรือสถานการณ์บังคับ รู้แต่เพียงว่าสินบนกลายเป็น ‘ค่าใช้จ่าย’ ในการทำธุรกิจ

คำถามอีกสองข้อที่นักเศรษฐศาสตร์สนใจคือ การติดสินบนของนักธุรกิจ ‘คุ้มค่า’ หรือไม่เพียงใดในระยะยาว และผลลัพธ์และผลพวงวงกว้างในระยะยาวของการติดสินบนมาช้านานคืออะไร 

นักเศรษฐศาสตร์และนักวิจัยด้านบริหารธุรกิจจำนวนไม่น้อยทำวิจัยเพื่อพยายามตอบคำถามนี้ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ยกตัวอย่างเช่น งานของ Kimberly Eddleston, Elitsa Banalieva และ Alain Verbeke ปี 2019 เรื่อง The Bribery Paradox in Transition Economies and the Enactment of ‘New Normal’ Business Environments (ความย้อนแย้งของสินบนในเศรษฐกิจเปลี่ยนผ่านและการมาถึงของสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ ‘นิวนอร์มอล’) เสนอว่า ถึงแม้ในระยะสั้นนักธุรกิจที่จ่ายสินบนอาจมี ‘ความได้เปรียบในการแข่งขัน’ (เหนือคู่แข่งที่ไม่จ่ายหรือจ่ายน้อยกว่า) ในระยะยาวผู้ประกอบการที่จ่ายสินบนอาจกลายเป็นว่าสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจชนิดใหม่ เป็น ‘นิวนอร์มอล’ ที่มีคอร์รัปชั่นและอุปสรรคกีดขวางการทำธุรกิจสูงมาก โดยเฉพาะในประเทศเปลี่ยนผ่าน (transition countries อีกชื่อเรียกของกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออกที่เคยเป็นสมาชิกสหภาพโซเวียต และประเทศยุโรปกลางและยุโรปตะวันออกที่เคยตกอยู่ใต้อิทธิพลโซเวียต–คำว่า ‘เปลี่ยนผ่าน’ ในที่นี้หมายถึงเปลี่ยนผ่านจากระบอบเศรษฐกิจแบบรวมศูนย์มาเป็นระบอบตลาดเสรี ซึ่งรัฐในหลายประเทศยังมีอำนาจสูงมาก) 

ทีมวิจัยเรียกสถานการณ์ที่นักธุรกิจผู้ติดสินบนได้ประโยชน์ระยะสั้น แต่กลับต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยอุปสรรคมากกว่าเดิมในระยะยาวว่า ‘ความย้อนแย้งของสินบน’ (bribery paradox) และพบข้อมูลหลักฐานสนับสนุนสมมุติฐานนี้ในกลุ่มตัวอย่างที่เป็นบริษัทขนาดเล็กและกลาง (SME) 310 บริษัทจากประเทศเปลี่ยนผ่าน 22 ประเทศ

งานวิจัยอีกชิ้นเมื่อไม่นานมานี้โดย Bernard Gauthiera, Jonathan Goyette และ Wilfried A.K. Kouaméc ชื่อ ‘Why do firms pay bribes?’ (ทำไมบริษัทจึงติดสินบน) ปี 2021 รายงานผลการศึกษาการจ่ายสินบนโดยบริษัท 18,005 แห่งในประเทศกำลังพัฒนา 75 ประเทศทั่วโลก ทีมวิจัยพบว่าวัฒนธรรมเรียกสินบนของเจ้าหน้าที่รัฐอาจส่งผลให้บริษัทที่จ่ายสินบน ‘ชดเชย’ ค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่มในส่วนนี้ด้วยการหลบเลี่ยงภาษี และผลลัพธ์นี้ก็อาจสร้าง ‘กับดักด้อยพัฒนา’–การหลบเลี่ยงภาษีและคอร์รัปชั่นพัวพันกันเนื่องจากกลไกกำกับดูแลของหน่วยงานที่เก็บภาษีหย่อนยานและไร้ประสิทธิผล และการที่รัฐไม่ได้รับเงินภาษีอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยก็เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ

การสื่อสารผลลัพธ์และผลพวงระยะยาวของการจ่ายสินบนอาจเป็นเรื่องไม่ง่ายสำหรับบอร์ดเกมที่ใช้เวลาเล่นไม่กี่ชั่วโมง แต่เกมจำนวนมากสื่อเรื่อง ‘แรงจูงใจ’ ของการติดสินบนผ่านกลไกเกม โดยไม่ต้องสอนตรงๆ ได้อย่างแจ่มชัดและสนุกสนาน เกมแนวนี้ที่ผู้เขียนชอบมากคือ Santiago โดย Claudia Hely และ Roman Pelek สองคู่หูนักออกแบบจากเยอรมนี 

Santiago เล่นง่ายและเล่นจบได้ภายใน 60-75 นาที เกมนี้ผู้เล่น 3-5 คนสลับกันประมูลแปลงพืชเศรษฐกิจมาปลูกบนกระดานกลาง จ่ายสินบนเพื่อจูงใจให้สร้างคลองชลประทานผ่านที่นาของตัวเอง นับคะแนนครั้งเดียวเมื่อจบเกม เกมจะจบเมื่อไม่มีแปลงเกษตรกรรมให้ประมูลอีกต่อไป (เล่น 9-11 ตา ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้เล่น) คะแนนนับจากมูลค่าของแปลงพืชเศรษฐกิจชนิดเดียวกันที่อยู่ติดกัน ยิ่งทำไร่นาผืนใหญ่ยิ่งได้คะแนนมาก เช่น แปลงอ้อยขนาด 6 แปลง ให้ผลผลิต (yield) รวมกันเท่ากับ 4 จะมีมูลค่า 6×4 = 24 คะแนน จากนั้นเอาตัวเลขนี้มาบวกกับเงินสดที่เหลือในมือเป็นคะแนนรวม

ในเมื่อแปลงเกษตรกรรมมีมูลค่าสูงกว่าเงินสดมาก เกษตรกรในเกมนี้ทุกคนจึงต้องพยายามขยายแปลงของตัวเองและดูแลไม่ให้แปลงนั้นขาดน้ำ เพราะแปลงไหนที่ขาดน้ำผลผลิตจะลดลงเรื่อยๆ จนกลายเป็นทะเลทราย ปลูกอะไรไม่ได้อีกต่อไป

‘น้ำ’ ในเกมนี้จึงเป็นทรัพยากรที่มีค่าไม่แพ้ ‘เงิน’ 

แต่ละตาในเกมมี 7 ช่วง เริ่มจากการเปิดประมูลแปลงพืชเศรษฐกิจ ซึ่งในเกมนี้มีพืชท้องถิ่น 5 ชนิดที่ปลูกจริงบนเกาะซานติเอโกในชื่อเกมในสมัยก่อนตกเป็นอาณานิคมโปรตุเกส (ปัจจุบันเกาะนี้เป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐกาบูเวร์ดี ทางตะวันตกของทวีปแอฟริกา) ได้แก่ อ้อย กล้วย มันฝรั่ง ถั่ว และพริกแดง ทุกคนในเกมจะได้แปลงพืชไปคนละผืน -ใครเสนอเงินมากที่สุดได้เลือกคนแรก ลดหลั่นกันลงมา ใครบอกผ่านก่อนหรือเสนอเงินประมูลน้อยสุดจะไม่ได้เลือกแปลงพืช (ต้องหยิบแปลงสุดท้ายที่เหลืออยู่ หลังจากที่ทุกคนเลือกกันหมดแล้ว) แต่จะได้เป็น ‘ผู้คุมคลองชลประทาน’ (canal overseer) ประจำตานั้นๆ 

หลังจากที่ทุกคนได้แปลงพืชเศรษฐกิจแล้วก็จะผลัดกันวางแปลงของตัวเองลงในหมู่บ้าน (กระดานกลาง) โดยวางเม็ดความเป็นเจ้าของสีของตัวเองลงบนแปลงตามจำนวนผลผลิต ใครจ่ายเงินประมูลสูงสุดได้วางก่อน ในตาแรกทุกคนจะอยากวางแปลงให้ติดกับบ่อน้ำบาดาล (สุ่มวางก่อนเริ่มเกม) เพราะบ่อน้ำการันตีว่าไร่นาจะไม่ขาดน้ำ และคลองชลประทานต้องเริ่มสร้างจากบ่อน้ำ 

จากนั้นก็ถึงช่วงของ ‘การติดสินบน’ ในเกมนี้ ซึ่งก็คือการเสนอเงินให้ ‘ผู้คุมคลองชลประทาน’ ประจำตา เพื่อจูงใจให้สร้างคลองชลประทานผ่านแปลงของเรา ซึ่งแน่นอนว่าถ้าหากผู้คุมคลองเป็นเจ้าของแปลงที่อยู่ติดกับแปลงของเรา เราก็อาจไม่อยากจ่ายสินบนเลยหรือจ่ายไม่มาก เพราะคิดว่ามีผลประโยชน์ร่วมกันกับเขาอยู่แล้ว ในขณะที่ผู้เล่นคนอื่นๆ ที่แปลงของตัวเองอยู่ห่างออกไปอาจต้องทุ่มเสนอสินบนมากหน่อย 

ความสนุกของกติกาช่วงนี้ใน Santiago ก็คือ ผู้คุมคลองชลประทานประจำตาไม่จำเป็นต้องรับสินบน จะตัดสินใจสร้างคลองตามแนวที่ตัวเองอยากได้ ไม่สนข้อเสนอของใครเลยก็ได้ แต่ถ้าทำแบบนั้นต้องยอมจ่ายธนาคารมากกว่าข้อเสนอสินบนสูงสุด 1 บาท ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคนเสนอสินบนสูงสุดเสนอ 5 บาท ผู้คุมคลองที่อยากสร้างไปแนวอื่นต้องจ่ายธนาคาร 6 บาท แต่เมื่อตัดสินใจรับสินบนของใครมาแล้ว ผู้คุมคลองก็ต้องสร้างคลองตามแนวที่ผู้ให้สินบนต้องการ 

เกมนี้อนุญาตให้ผู้เล่นหลายคน ‘ลงขัน’ ร่วมกันกดดันผู้คุมคลองได้ ถ้ามีผู้เล่นมากกว่า 1 คนที่อยากสร้างคลองเส้นเดียวกัน เช่น ผู้เล่นคนแรกเสนอ 3 บาทให้สร้างคลองผ่านแปลงตัวเอง อีกคนอาจประกาศว่า เขาเสนอเพิ่มเงินอีก 2 บาทให้สร้างคลองที่คนแรกอยากได้ รวมเท่ากับเสนอสินบนสำหรับเส้นนั้น 5 บาท 

โดยทั่วไปผู้คุมคลองจะไม่อยากควักตังหรือ ‘เข้าเนื้อ’ ตัวเอง เพราะการรับสินบนจากผู้เล่นคนอื่นๆ เป็นวิธีหาเงินสดวิธีหลักในเกม (ตอนจบตาทุกคนจะได้เงินสดเพิ่ม แต่ได้แค่คนละ 3 บาทเท่านั้น) ด้วยเหตุนี้การมองหาหรือสร้าง ‘ผลประโยชน์ร่วม’ เช่น สร้างแปลงพืชในแนวเดียวกันกับแปลงของผู้คุมคลอง จึงเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในเกมนี้ ส่งผลต่อแรงจูงใจและ ‘ขนาด’ ของสินบนที่คนอยากเสนอ

หลังจากที่ผู้คุมคลองสร้างคลองในแนวที่ตัวเองต้องการ (จะรับหรือไม่รับสินบนก็ตามแต่) ผู้เล่นแต่ละคนมีโอกาสตัดสินใจว่าจะสร้างคลองของตัวเองหรือไม่ ขั้นตอนนี้ไม่ต้องใช้เงิน แต่ผู้เล่นมี ‘คลองส่วนตัว’ แค่คนละคลองเท่านั้นตลอดทั้งเกม 

ดังนั้นหลายคนก็จะอยากเก็บ ‘คลองส่วนตัว’ ไว้ใช้ในยามคับขัน และก็ต้องตระหนักว่าเมื่อใดที่ใช้คลองส่วนตัวไปแล้ว หลังจากนั้นอำนาจการต่อรองช่วงชิงคลองก็จะลดน้อยถอยลงมาก (กดดันให้อาจต้องทุ่มเงินสินบนมากกว่าเดิม)

ก่อนจบตา แปลงพืชทุกแปลงที่ไม่ได้อยู่ติดกับคลองชลประทานหรือบ่อน้ำจะค่อยๆ แห้ง และผลผลิตเริ่มลดลง (สะท้อนด้วยการดึงเม็ดความเป็นเจ้าของออก 1 เม็ด) เมื่อใดไม่มีเม็ดผลผลิตให้ดึงออกแล้วก็จะต้องพลิกไร่นาผืนนั้นให้กลายเป็นทะเลทราย

Santiago เป็นเกมเศรษฐศาสตร์ที่สื่อเรื่องแรงจูงใจของสินบนและผลประโยชน์ร่วมได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ละตาเต็มไปด้วยการตัดสินใจยากๆ เช่น เราจะอยากทุ่มเงินประมูลในช่วงแรกเพื่อเอาแปลงพืชมาขยายแปลงเดิมของตัวเองเพื่อเพิ่มมูลค่า หรือว่าจะยอมสละสิทธิ์นั้นเพื่อหาตังค์เข้ากระเป๋าหรือเพื่อให้อุ่นใจว่าตานี้แปลงจะมีน้ำผ่านแน่ๆ ในฐานะผู้คุมคลองชลประทาน 

การตัดสินใจใน Santiago ละม้ายคล้ายโลกธุรกิจจริงตรงที่การตัดสินใจที่ ‘ดี’ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราอยากทำเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับความสามารถในการประเมินว่าคู่แข่งคนอื่นๆ อยากทำอะไร และเขามีผลประโยชน์ร่วมกับเราหรือไม่ การสร้างผลประโยชน์ร่วมกันจะคุ้มค่ากว่าการทุ่มเงินติดสินบนผู้คุมคลองหรือไม่ ฯลฯ 

กติกาของเกมนี้เขียนชัดเจนว่า ทุกช่วงเวลาผู้เล่นจะต่อรอง ขอร้อง เสนอข้อแลกเปลี่ยน หรือสัญญาอะไรกันอย่างไรก็ได้ แต่ไม่มีใครจำเป็นต้องทำสัญญา ลั่นวาจาแล้วหักหลังก็ไม่ถือว่าผิดกติกาแต่อย่างใด

กติกาและกลไกทั้งหมดนี้ทำให้ Santiago เป็นเกมสุดมันในโลกอันโหดร้ายที่ต้องลุ้นกันทุกตาจนกว่าจะจบเกม แถมยังสื่อแบบไม่สอนเรื่องบทบาทของ ‘สินบน’ ว่าทำไมมันจึงแพร่หลายนักในสังคมของเรา 

และเงื่อนไขแบบไหนกันในสังคมที่เอื้อให้การทุจริตคอร์รัปชั่นเบ่งบานเฟื่องฟูอยู่ยั้งยืนยง

สำนักพิมพ์ Biblio กับเบื้องหลังวิธีคิดและทำหนังสือขายดีมากมาย แม้จะเริ่มต้นธุรกิจในช่วงโควิด

Biblio คือสำนักพิมพ์ที่เชื่อว่า หนังสือยังคงเป็นเครื่องมือที่ถ่ายทอดชุดความคิดของคนได้สมบูรณ์และครบถ้วนที่สุด โดยมีโจทย์คือการทำหนังสือให้อยู่ในชีวิตประจำวันและเป็นหนังสือประจำชั้นของคนอ่าน

Biblio เริ่มต้นธุรกิจในช่วงโควิด ซึ่งระหว่างที่หน้าร้านหนังสือปิดลงชั่วคราว และงานประจำปีอย่างงานสัปดาห์หนังสือก็เลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด Biblio กลับออกหนังสือเยอะมาก หนำซ้ำ หนังสือเกือบทุกเล่มยังขึ้นชั้นขายดีในร้านหนังสือทั้งออนไลน์และออฟไลน์ทุกร้าน เช่น ปาฏิหาริย์แมวลายส้มผู้พิทักษ์หนังสือ, วะบิ ซะบิ : แด่ความไม่สมบูรณ์แบบของชีวิต, The Why Cafe คาเฟ่สำหรับคนหลงทาง หรือ ที่จริงแล้ว ฉันเป็นคนเก็บตัวนะ เป็นต้น

จากความน่าสนใจที่ว่าเราจึงนัดพูดคุยกับ จีระวุฒิ เขียวมณี บรรณาธิการบริหารและผู้ก่อตั้งสำนักพิมพ์ Biblio จากคนทำหนังสือสู่ผู้ประกอบการ ที่ต้องวางแผนทั้งการผลิต การตลาด การสื่อสาร และการขาย เพื่อให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้ 

สิ่งที่น่าสนใจคือ ไม่ใช่แค่หนังสือจะขายได้ แต่ยังขายดีมาก (ย้ำมาว่า มาก!)

ตามไปดูเบื้องหลังสายตาที่จีระวุฒิใช้มองหาต้นฉบับน้ำดี ที่ไม่ได้มีแค่นิยายฟีลกู๊ด การเลือกมองหาพล็อตเรื่องใหม่ๆ มาเซอร์ไพรส์ผู้อ่านอยู่เสมอ ไปจนถึงการบรรจงหีบห่อหนังสือด้วยวิธีคิดที่แตกต่าง เพราะไม่ใช่แค่ดีไซน์หน้าปกที่สวยงาม หรือชื่อหนังสือที่โดนใจเท่านั้น แต่ยังมีกลยุทธ์มากมายที่ Biblio ใช้นำพาให้หนังสือขึ้นไปครองลำดับชั้นขายดีอย่างต่อเนื่อง

โจทย์ของการทำสำนักพิมพ์ Biblio คืออะไร

ตอนเป็นคนทำหนังสือ ผมมีโจทย์ของตัวเองที่อยากทำหนังสือให้อยู่ในชีวิตประจำวันของคนอ่าน อยากให้หนังสือเราเข้าไปอยู่บนชั้นวาง ซึ่งอย่างชั้นหนังสือบ้านผมจะมีความหลากหลายมาก มีทั้งวรรณกรรมระดับโลก หนังสือป๊อปอ่านง่าย นิยายก็มี ซึ่งเมื่อเรามาอยู่ในฐานะคนทำ ผมก็เลยตัดใจจะทำหนังสือแนวที่ค่อนข้างสังเคราะห์ง่ายหรือย่อยง่าย ขณะเดียวกันก็ให้ความบันเทิง ซึ่งก็จะมีหนังสือในบางหมวดที่ให้ความรู้ในเชิงลึกกับคนอ่าน แต่ก็ไม่ถึงขั้นเคร่งเครียดเป็นตำราเรียนขนาดนั้น คนอ่านจะหยิบมาอ่านวันไหนก็ได้ หรือจะอยู่ในกองดองก่อนก็ได้ แล้วรอวันฟ้าเปิดที่เขาเลือกหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาดู 

คอนเซปต์ของเราก็คือ อยากให้หนังสือเข้าถึงคนอ่านให้ง่ายที่สุด จาก Biblio เราจึงแตกออกมาเป็น 3 สำนักพิมพ์ ได้แก่ สำนักพิมพ์ Bibli ที่ทำนิยายเอเชีย จากญี่ปุ่น เกาหลี หรือไต้หวันก็ตาม สำนักพิมพ์ Being ที่ทำหนังสือ non-fiction book จากทั่วโลก มีทั้งปรัชญา ประวัติศาสตร์ เกร็ดความรู้หรือหนังสือจิตวิทยาที่เข้ามาดูแลเรื่องกระบวนการทำงานของจิตใจ และสำนักพิมพ์ Beat ที่เป็นความตั้งใจส่วนตัว เราอยากจะฟื้นคืนหนังสือแปลนิยายตะวันตกให้กลับมาน่าสนใจมากขึ้น หลังจากที่ก่อนหน้านี้รู้สึกว่านิยายแปลตะวันตกหายไปจากตลาดหนังสือบ้านเรา

ประสบการณ์ที่มาผ่านตั้งแต่ทำนิตยสารจนงานในสำนักพิมพ์ทำให้การเริ่มต้นสร้าง Biblio ง่ายหรือยากยังไง

การที่โตมากับการทำสื่อสิ่งพิมพ์ก็เหมือนได้ลงเรียนวิชาคนทำหนังสือ 101 เพราะว่าวิธีคิดวิธีทำงานของการทำนิตยสารหรือทำสื่อสิ่งพิมพ์มีรายละเอียดที่ใกล้เคียงกับการทำพอกเก็ตบุ๊ก ทั้งเรื่องของการนำเสนอเรื่องราวออกมาให้น่าสนใจ หรือการเลือกหยิบประเด็นที่คิดว่าสังคมน่าจะรู้ มาพูดคุยและนำเสนอผ่านบทความหรือสกู๊ปในนิตยสาร ซึ่งผมเชื่อว่าพ็อกเก็ตบุ๊กยังคงเป็นเครื่องมือที่สมบูรณ์แบบที่สุด ที่จะถ่ายทอดชุดความคิดของเราได้ค่อนข้างครบถ้วน ประสบการณ์ที่ผ่านมาจึงมีส่วนสำคัญมากๆ ที่ทำให้เรานับหนึ่งกับการทำธุรกิจสำนักพิมพ์ได้

ย้อนกลับไป คุณต้องเรียนรู้อะไรบ้างในวันแรกๆ ที่เปลี่ยนจากคนทำนิตยสารมาเป็นคนทำหนังสือ

ตอนทำนิตยสารทุกอย่างต้องคิดให้เสร็จภายใน 1 สัปดาห์นั้น แล้วก็ปิดเล่มให้ได้ภายใน 1 เดือน แต่งานพ็อกเก็ตบุ๊กเป็นงานที่ไม่มีช่วงเวลา หนังสือมีอายุ 2-3 ปี หรือบางเล่มก็อยู่ยาวนานได้เป็น 10 ปี เพราะฉะนั้นกระบวนการคิดและทำหนังสือสักเล่มจะใช้เวลามากกว่า แต่ว่ากระบวนการแต่ละขั้นไม่ได้ช้าเลย หลังจากที่เราคิดจบแล้วว่าจะนำเสนอหนังสือเล่มนี้ยังไง ทีมเบื้องหลังต้องวางแผนล่วงหน้า แล้วทำทีละขั้นไปอย่างรวดเร็ว สิ่งสำคัญคือ ตลอดระยะเวลา 5-6 เดือนที่ทำหนังสือ เราจะรักษาภาพที่คิดไว้ในวันแรกให้ชัดเจนไม่เปลี่ยนแปลงได้ยังไง เพราะระหว่างทางอาจจะมีเรื่องจังหวะความสนใจ สถานการณ์สังคมและบ้านเมือง ไปจนถึงเทรนด์ของคนอ่าน อาจจะทำให้ต้องปรับและเปลี่ยนทิศทางไป พ็อกเก็ตบุ๊กจึงเป็นงานที่ใช้เวลาและท้าทายว่าเราจะควบคุมดูแลแก่นหรือใจความหลักของหนังสือยังไง ทั้งสารที่ต้องการสื่อและภาพที่เราอยากนำเสนอ

จากคนทำหนังสือมาเป็นผู้ประกอบการ คุณต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองยังไงบ้าง

ตอนที่เป็นคนทำหนังสือ เราอยู่ในฐานะบรรณาธิการที่ดูแลการต้นฉบับเป็นหลัก ไม่ได้มีหน้าที่ดูแลเรื่องการตลาดหรือการขายมากนัก แค่คิดว่าจะทำหนังสือหรือโปรดักต์ต่างๆ ออกมายังไงให้ทันและมีปริมาณที่มากเพียงพอในแต่ละปีเพื่อสร้างยอดขายแก่บริษัท แต่พอมาเปิด Biblio เราไม่สามารถมองข้ามเรื่องใดไปได้เลยโดยเฉพาะเรื่องธุรกิจ

การขายกลายเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ เพราะแต่ละเดือนคุณจะเห็นตัวเลขค่าใช้จ่ายต่างๆ เงินเดือนพนักงาน ค่าเช่าออฟฟิศ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าพิมพ์หนังสือ ในฐานะผู้ประกอบการเราต้องวางแผนการขาย ให้ความสำคัญกับการหารายได้มากขึ้นกว่าเดิม ทั้งลงลึกเรื่องการตลาด ศึกษาช่องทางการขายว่าหนังสือของเรามีช่องทางการกระจายออกไปเพียงพอหรือยัง ดูจากเส้นทางหนังสือหนึ่งเล่มว่าเดินทางไปไหนบ้าง ผ่านบริษัทสายส่งและร้านค้าปลีก แล้วแต่ละช่องทางมีประสิทธิภาพมากแค่ไหนในการสร้างรายได้กลับมา กระบวนนี้สำคัญพอๆ กับการทำหนังสือออกมาให้ดี เพราะจะแก้ปัญหาเรื่องหนังสือดีแต่ไปไม่ถึงกลุ่มคนที่อ่าน

จากคนที่ทำคอนเทนต์มาตลอด เมื่อต้องมาดูแลเรื่องการตลาด คุณเริ่มต้นจากอะไร

เมื่อก่อนเราอาจจะฝากสายส่งแล้วก็รอดูยอดขายตอนสิ้นเดือนใช่มั้ย แต่พอเรามาทำสำนักพิมพ์เอง มันรอแบบนั้นไม่ได้แล้วเราต้องสื่อสารกับฝ่ายตัวแทนจำหน่ายของเรามากขึ้น 

เริ่มตั้งแต่ เราต้องมองหนังสือนี้ 360 องศาว่านำเสนอมุมไหนได้บ้าง เพื่อทำให้ฝ่ายขายเห็นศักยภาพของหนังสือและสื่อสารต่อไปยังผู้จัดการร้านหนังสือ เพื่อที่เขาจะนำข้อมูลนั้นไปใช้ประโยชน์ในการขายลูกค้า เพราะอย่าลืมว่าเวลาสำนักพิมพ์ไปออกงานหนังสือเราได้เจอผู้อ่านของเราโดยตรง แต่อีก 300 กว่าวัน ร้านเป็นตัวแทนขายหนังสือให้เรา เรามีหน้าที่ย้ำเมสเซจว่าหนังสือเล่มนั้นๆ น่าสนใจหรือดีพอที่เขาจะหยิบยกมาทำการตลาด หรือเอาไปส่งต่อลูกค้าได้ยังไง 

นี่คือสิ่งที่ Biblio ตั้งใจทำมาตลอดตั้งแต่วันแรกที่เปิดสำนักพิมพ์ เราอยากช่วยให้พาร์ตเนอร์ทำงานง่ายขึ้น และยังทำให้หนังสือของเราไปต่อได้ในเชิงธุรกิจ ทำให้เราประมาณการรายได้ที่จะกลับมาได้ ซึ่งถ้ามันเกินคาดเราก็พอจะมองออกว่าต่อยอดยังไงได้ หรือถ้ามันน้อยกว่าคาดขึ้นมา เราก็กลับมาหาทางแก้ไขได้

นอกจากกลยุทธ์เรื่องการสื่อสารแล้ว มีอะไรอยู่เบื้องหลังการเป็นหนังสือขายดีอีกบ้าง

ถึงแม้จะเป็นหนังสือที่มาจากสำนักพิมพ์หรือแบรนด์เดียวกัน หนังสือแต่ละเล่มมีรายละเอียด ข้อดีและจุดเด่นที่แตกต่างกันไป หน้าที่ของเราคือทำให้จุดเด่นนั้นแข็งแรงที่ก่อนจะปล่อยออกไป นอกจากนี้ก็ต้องมอนิเตอร์ติดตามผลว่าเมสเซจที่สื่อออกไปหรือยอดขายเป็นไปตามเป้าแค่ไหน ไปจนถึงตำแหน่งการวางหนังสือบนชั้นในร้าน เสียงตอบรับ คำวิจารณ์ และความคิดเห็นในอินเทอร์เน็ต สมมติหนังสือเล่มที่เราเพิ่งปล่อยออกไป มีกระแสที่แผ่วหรือคนพูดถึงน้อย แปลว่าเรายังขาดอะไรไป ต้องเติมข้อมูลบางอย่าง หรือข้อมูลที่เสนอไปตอนแรกมันไม่โดนใจกลุ่มเป้าหมาย หรือไม่ใช่สิ่งที่คนอ่านอยากรู้จากหนังสือเล่มนั้น เราก็กลับมาวิเคราะห์ว่ามีประเด็นอื่นไหม หาก๊อกสองสำหรับการโปรโมต 

ซึ่งเราไม่ได้ทำอย่างนี้กับหนังสือทุกเล่ม แค่บางเล่มเท่านั้น ต้องเข้าใจก่อนว่าหนังสือบางเล่ม เราก็ต้องให้เวลาเขาทำงานกับคนอ่านด้วยตัวเองเหมือนกัน หนังสือหลายๆ เล่มที่เราทำในช่วง 3 เดือนแรกก็ทำให้ใจหาย ทั้งยอดน้อยและกระแสที่เงียบ แต่พอหนังสือได้เดินทางไปถึงคนอ่านที่เป็นกลุ่มเป้าหมายจริงๆ อาจจะด้วยเนื้อหาของหนังสือทำงานกับคนอ่าน แล้วก็เกิดการบอกต่อ เกิดรีวิวพูดถึง กลายเป็นว่ายอดขายในเดือน 4 5 6 เพิ่มขึ้นมาก็มีเหมือนกัน บางครั้งก็เป็นเรื่องธรรมชาติของโปรดักต์เองด้วย แต่โดยภาพรวมแล้ว เราก็ต้องคอยโฟกัสกับหนังสือที่เราปล่อยไปว่าดีพอหรือยัง ตรงนี้สำคัญมาก

ในช่วงแรกที่เปิดตัวสำนักพิมพ์ หนังสือเกือบทุกเล่มของสำนักพิมพ์ติดอันดับหนังสือขายดี มันเป็นเพราะเจอแนวทางที่ถนัดหรือเปล่า และทำไมหนังสือแนวนี้ถึงเป็นที่นิยมในเวลานั้น

ถ้าถามผมเมื่อปีก่อนหรือสองปีก่อน ผมอาจจะตอบได้เลยว่าแนวทางหนังสือที่เรามั่นใจมากที่สุดคือ หนังสือประเภทนิยายแปลญี่ปุ่นแนวฟีลกู๊ด ให้แรงบันดาลใจ มีข้อคิดเกี่ยวกับการใช้ชีวิตแทรกอยู่ในนั้น แต่เวลานี้ที่คนอ่านเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด มีความต้องการเมสเซจสำคัญบางอย่างจากหนังสือที่เลือกอ่าน สำนักพิมพ์เองก็ต้องค่อยๆ ปรับ เราจะทำแต่นิยายฟีลกู๊ดอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมองหานิยายแปลประเภทอื่นที่สร้างความตื่นเต้นหรือให้กับความสนใจแก่ผู้อ่านอย่างแท้จริงด้วย เพราะบางครั้งมันไม่ต้องโลกสวยอย่างเดียวก็ได้ บางครั้งโลกมันอาจจะโหดร้ายแต่ก็มีแง่มุมดีๆ ให้เรียนรู้อยู่

ความสนใจที่เปลี่ยนไปของคนและสังคมกระทบการทำงานหรือแนวทางของสำนักพิมพ์แค่ไหน

สำหรับคนทำสื่อไม่ว่าจะสื่อประเภทไหน ความเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นและต้องเจอตลอดเวลา แต่พอเป็นพ็อกเก็ตบุ๊ก ผมคิดว่าการที่คนอ่านเปลี่ยนไปส่วนหนึ่งเป็นเพราะในตลาดมีหนังสือสไตล์เดียวกันออกมาเยอะ และผู้อ่านก็มีทางเลือกเยอะขึ้นมากๆ หลายคนก็มองหาหนังสือที่พูดถึงอะไรใหม่ๆ นี่คือสิ่งที่เราต้องพยายามมองให้ออกว่าคนอ่านกำลังจะย้ายสายตาไปทางไหนขณะเดียวกันเราก็ต้องไปหาหนังสือที่อยู่ในหมวดหมู่เหล่านั้นมาทำให้ได้

จากหนังสือที่ผ่านมือมาทั้งหมด มีหนังสือเล่มไหนที่คุณเอามาปรับใช้กับธุรกิจได้บ้าง

ปรับใช้ในเชิงธุรกิจแบบร้อยเปอร์เซ็นต์อาจจะไม่มี แต่ในเชิงวิธีคิดและการทำงานผมอยากจะพูดถึงหนังสือนิยายเล่มหนึ่งที่ค่อนข้างเปลี่ยนความคิดของผมในเรื่องการทำหนังสือในช่วงหลังนี้ หนังสือเล่มนั้นก็คือ The Midnight Library หนังสือพูดถึงผู้หญิงที่ผ่านความชอกช้ำในชีวิตมาหลายครั้งหลายหน จนตัดสินใจที่จะฆ่าตัวตาย แล้วเธอก็รับโอกาสที่สองให้กลับไปแก้ไขสิ่งผิดพลาดในชีวิต

ตอนที่เราเลือกทำหนังสือเล่มนี้ ช่วงเวลาขณะนั้นเราคาดการณ์ว่าคนค่อนข้างจะรู้สึกชอกช้ำกับความเปลี่ยนแปลงในสังคม และความรู้สึกหดหู่ยามใช้ชีวิตในช่วงโควิดระบาด บ้างเจอความผิดพลาด ล้มเหลวจากสิ่งที่ตัวไม่ได้ก่อ การได้เจอหนังสือที่พูดกับเขาว่า คุณสามารถที่จะมีโอกาสที่สองในชีวิต มีทางเลือกที่จะแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดได้ หรือมีทางที่คุณจะสามารถตั้งหลักกับชีวิตใหม่ในวันพรุ่งนี้ได้ นี่เป็นคีย์เวิร์ดสำคัญที่ผมพยายามมองหา แล้วพอเรามาเจอหนังสือเล่มนี้มันก็ตอบโจทย์นั้นได้พอดี 

หลังจากเปิดตัวหนังสือออกไป The Midnight Library ก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากคนอ่าน ไม่เพียงขายดีแต่ยืนระยะอยู่บนชั้นขายดี ทำให้ผมได้เรียนรู้ว่าการมองหาและมองเห็นทิศทางของผู้อ่านเป็นอะไรที่สำคัญมากสำหรับการทำสำนักพิมพ์

ซึ่งเมื่อก่อนเราจะคาดคะเนจากความรู้สึกส่วนตัวหรือข้อมูลยอดขายจากต่างประเทศ ในการเลือกทำหนังสือ แต่ตอนนี้เราต้องมองข้อมูลที่เกิดขึ้น ทั้งจากพฤติกรรมในการสั่งซื้อหนังสือผ่านทางแฟนเพจของเรา หรือพฤติกรรมในการสั่งซื้อผ่านเว็บไซต์ของเรา ดูข้อมูลตัวเลขว่าผู้อ่านมีปฏิกิริยาหรือมีความสนใจกับคอนเทนต์ที่เรานำเสนอไปประเภทไหน ข้อมูลเหล่านี้เราเอามาวิเคราะห์ได้ว่าผู้อ่านให้ความนิยมกับเนื้อหาประเภทใด แล้วก็เป็นไปได้ว่าถ้าเรามีหนังสือแนวนี้ออกมาในอนาคต ผู้อ่านก็น่าจะให้ความสนใจ ไปจนถึงดูข้อมูลทางการตลาดก็ทำให้เราเห็นภาพรวมทิศทางของหนังสือ เพื่อที่จะวางแผนทำหนังสือที่ใกล้เคียงกันหรือรสชาติที่ดีขึ้นกว่าเดิมมานำเสนอในช่วง 5-6 เดือนข้างหน้า

มีหนังสือเล่มไหนบ้างที่กระแสในต่างประเทศอาจจะไม่ได้ดีมาก แต่ขายดีในไทยสุดๆ

หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า ขนมปังของพรุ่งนี้ แกงกะหรี่เมื่อวันวาน เป็นหนังสือชุดแรกของ Biblio ที่ปล่อยออกไปในช่วงเปิดสำนักพิมพ์ ตอนที่ผมเห็นนิยายเล่มนี้ยอมรับเลยว่าไม่ได้คาดหวังกับความสำเร็จหรือยอดขายของหนังสือเล่มนี้มาก เพราะเราก็มองว่าเนื้อหาค่อนข้างดราม่า แต่พอเรามาลงรายละเอียดกับตัวหนังสือต้นฉบับมากขึ้น มันทำให้เรามองเห็นรายละเอียดที่ทำให้หนังสือเล่มนี้น่าสนใจมากกว่าเดิม

ตอนแรกเรามองมันคือหนังสือเมโลดราม่าจากญี่ปุ่น แต่ ไม่ เราจะไม่พูดว่านี่คือหนังสือเมโลดราม่า เราจะพูดว่านี่คือนิยายสำหรับคนที่กำลังผ่านการสูญเสียคนสำคัญในชีวิตไปและอยู่ในช่วงที่เขากำลังฟื้นฟูตัวเองกลับมา พอเราเปลี่ยนมุมในการนำเสนอหนังสือรวมถึงวิชวลต่างๆ มันทำให้หนังสือเล่มนี้พิเศษขึ้นมา จากหนังสือนอกสายตา แต่เราเห็นว่ามีแววปั้นได้ เราก็แค่เอามาจับแต่งหน้าแต่งตัวใหม่ กลายเป็นว่าหนังสือเล่มนี้ประสบความสำเร็จทั้งเรื่องคำวิจารณ์และยอดขาย และเราก็สามารถที่จะหาหนังสือในโทนนี้ตามมาต่อได้อีกในช่วงปีถัดไป

แล้วกับหนังสือที่เก็งไว้ว่าจะต้องปังแน่ๆ แต่ดันไปเป็นอย่างที่คิด คุณแก้เกมหรือมีแผนรับมือยังไง

ตอนนั้นหนังสือเล่มแรกที่ทำและเปิดตัวภายใต้สำนักพิมพ์ คือ Last letter จดหมายรักฉบับสุดท้าย กำลังจะมีภาพยนตร์เข้าฉายในบ้านเรา ตั้งใจจะทำการตลาดร่วมกับค่ายหนังเพื่อโปรโมททั้งหนังและหนังสือพร้อมกัน แต่ดันมาโชคร้ายเจอโควิดระบาดระลอกแรก คนไม่สามารถเข้าไปโรงหนังได้ และร้านหนังสือก็ปิด ทำให้สิ่งที่เตรียมไว้ไปไม่ถึงกลุ่มเป้าหมาย สิ่งที่คนสนใจอาจจะไม่ใช่หนังสือ แต่กำลังสนใจว่าจะต้องปรับตัวหรือใช้ชีวิตยังไงท่ามกลางสถานการณ์โรคระบาดและเรื่องการเมืองก็เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่หนังสือนิยายรักก็ต้องการเวลาจากคนอ่านมากๆ ที่จะซึมซับเรื่องราวรายละเอียดต่างๆ 

ซึ่งถ้าผมย้อนเวลากลับไปได้ ผมคงเปลี่ยนลำดับการปล่อยหนังสือเล่มแรกของสำนักพิมพ์ใหม่ เพราะการเปิดตัวด้วยหนังสือที่ดีที่สุดหรือใกล้เคียงกับคำว่าสมบูรณ์แบบที่สุดเป็นปัจจัยสำคัญมากของการเปิดตัวสำนักพิมพ์ ไม่เพียงจะกำหนดหน้าตาของเรา ยังทำให้ผู้อ่านรับรู้ว่า Biblio เป็นสำนักพิมพ์ที่มีความเชื่อแบบไหน สื่อสารเรื่องอะไร กับใคร ไม่ได้หมายความว่าหนังสือเล่มแรกที่เราปล่อยไปนั้นไม่ดีนะ แต่กำลังหมายความถึงลำดับของหนังสือช่วงแรกนั้นสำคัญมาก ถ้ากลับกันผมอาจจะเอาเล่ม ปาฏิหาริย์แมวลายส้มผู้พิทักษ์หนังสือ เป็นหนังสือเล่มแรกของสำนักพิมพ์ สิ่งที่ได้เรียนรู้จากเรื่องนี้คือ ถ้าเราจะทำโปรดักต์หรือจะเปิดไลน์ใหม่ๆ ของสำนักพิมพ์ขึ้นมา โปรดักต์เล่มแรกชุดแรกนั้นสำคัญมาก

ไลน์อัพหนังสือของ Biblio และสำนักพิมพ์ในเครือมีเยอะมาก เป็นเพราะต้องการเพิ่มยอดขายหรือเปล่า การออกหนังสือเยอะๆ สำคัญต่อธุรกิจสำนักพิมพ์ยังไง

ใช่ครับ เป็นเรื่องยอดขายเลย ตอนเปิดบริษัทผมวางแผนเส้นทางในช่วง 5 ปีแรกของบริษัทไว้ว่า ปีที่ 1 เราจะเป็นบริษัทขนาดไหน ปีที่ 2 เราจะเป็นบริษัทที่ทำอะไรบ้าง ปีที่ 3 เราจะมีแตกไลน์โปรดักต์อะไรอีก ปีที่ 4 จะเป็นยังไง หรือกระทั่งปีที่ 5 ซึ่งผมค่อนข้างเห็นภาพ Biblio ชัดเจนว่าจากสำนักพิมพ์ขนาดเล็กภายใน 5 ปีเราจะขยับไปสู่การเป็นสำนักพิมพ์ขนาดกลางที่มีหนังสือออกใหม่ต่อเนื่องทุกๆ เดือนได้ ซึ่งการจะไปถึงเป้าหมายตรงนั้นได้ก็ต้องขยับตัว เพิ่มจำนวนหนังสือเราให้เพียงพอที่จะสร้างยอดขายแต่ละเดือนได้

เพราะถ้าเรามองว่าเราเป็นสำนักพิมพ์เล็กๆ แล้วเราจะทำหนังสือปีละประมาณ 10-12 เล่ม มันไม่เพียงพอต่อการทำยอดขายให้เราสามารถเลี้ยงคนทั้งบริษัทได้ หรือว่ามีทุนที่จะเอาไปต่อยอดสิ่งอื่นๆ ตามมาได้ 

การทำหนังสือเยอะๆ ในแต่ละปีช่วยทำให้เรามองเห็นยอดขาย มองเห็นรายได้ทั้งปี ว่าถ้าเราออกหนังสือเท่านี้ เราจะมีรายได้กลับมาประมาณเท่านี้ แล้วถ้าเราทำไม่ถึงเป้าหมาย แปลว่ายอดขายเราจะหายไปนะ พอเราวางแผนกับฝ่ายการตลาดเราจะเห็นภาพเดียวกัน สมมติสำนักพิมพ์เราออกหนังสือ 30 ปก จะมี income มาเท่าไหร่ช่วงไตรมาสเท่าไหร่ หักค่าใช้จ่ายเราจะมีกำไรเท่าไหร่ ไปต่อยอดอะไรได้อีกบ้าง เราจะสามารถประเมินทิศทาง ซึ่งสำคัญมากต่อการทำสำนักพิมพ์ในยุคนี้ 

หากแต่ละปีต้องออกหนังสือจำนวนเยอะขนาดนั้น คุณมีวิธีคัดสรรหนังสือแต่ละเล่มยังไงให้ตัวตนของสำนักพิมพ์ยังคงชัดเจน

มันก็เป็นเรื่องที่ยากขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละปีเหมือนกัน เพราะธรรมชาติของตลาดพอโปรดักต์หรือหนังสือเล่มไหนขายดี ทุกคนก็จะนำเสนอโปรดักต์ที่หน้าตาคล้ายๆ กัน หรือตอบโจทย์คนอ่านในลักษณะเดียวกันตามออกมา แล้วเราจะทำยังไงให้หนังสือของเรายังมีคาแร็กเตอร์ที่คนอ่านมองแล้วรู้สึกว่า โอเค ต่อให้มีหนังสือประมาณ 10-20 ปกในเดือนนั้นที่ใกล้เคียงกัน เขาก็ยังอยากหยิบหนังสือของเรามาพิจารณาอยู่ และขณะที่เราต้องแข่งขันกับสำนักพิมพ์ด้วยกันเองแล้ว เราก็ต้องแข่งขันกับมุมมองของคนอ่านที่ปรับเปลี่ยนไปด้วย บางครั้งหนังสือที่ขายดีเมื่อ 2 ปีที่แล้ว เราใช้สูตรแบบเดิมที่เราเคยทำตอนนี้ไม่ได้แล้วนะต้องปรับเปลี่ยน

นอกจากเนื้อหาที่คัดสรรมาอย่างแหลมคม Biblio ยังได้ชื่อว่าเป็นสำนักพิมพ์ที่ให้คุณค่าความสวยงามและงานออกแบบ สิ่งเหล่านี้สำคัญต่อธุรกิจยังไง

ผมให้ความสำคัญเรื่องงานออกแบบปกหนังสือหรือเรื่องการผลิตมาตั้งแต่วันแรกที่เปิดบริษัท และถ้าเป็นเมื่อก่อนผมก็อาจจะตอบว่าปกมีส่วนสำคัญมากๆ ในการทำหนังสือสักเล่มให้ประสบความสำเร็จ

แต่พอมาถึงวันนี้ คำตอบผมอาจจะปรับเปลี่ยนไป ปกอาจจะสำคัญก็จริง แต่ถ้าเราทำหนังสือที่ปกสวย แต่เราไม่สามารถสื่อสารรายละเอียดที่อยู่เบื้องหลังของปกออกมาได้ ไม่สามารถสร้างการรับรู้กับคนอ่านได้ มันก็จะกลายเป็นแค่หนังสือที่ปกสวยดีแค่นั้น

ก่อนที่ผู้อ่านจะตัดสินใจซื้อหนังสือ เราได้นำเสนอเนื้อหาจับใจคนอ่านได้แค่ไหน สิ่งนี้ก็สำคัญมากพอกับการทำให้หนังสือปกสวยเหมือนกันนะ

ขณะที่หลายคนไม่เห็นแสงสว่างในธุรกิจสิ่งพิมพ์ อะไรทำให้คุณยังสนุกกับการทำธุรกิจสำนักพิมพ์นี้อยู่

ตอนเริ่มทำสำนักพิมพ์ ผมไม่ได้มองเรื่องการทำหนังสืออกมาให้เสร็จก่อนเป็นหลัก ผมมองพวก element ของมัน ว่าตั้งแต่ต้นทางจนปลายทางหนังสือเราจะเดินทางไปยังไงเพื่อไปถึงตรงนั้นให้ได้มากที่สุด 

ไม่ต่างจากทุกธุรกิจ มันมีเรื่องของโปรดักต์ การพัฒนาโปรดักต์ การมีทุนในการทำโปรดักต์นี้ออกมา การคำนวณต้นทุนต่างๆ หรือช่องทางการจัดจำหน่าย ช่องทางการขาย ไม่ว่าจะเป็นออนไลน์ ออฟไลน์ ออนคลาวด์อะไรก็ตามแต่ ธุรกิจสำนักพิมพ์ก็เช่นกัน หนังสือเป็นผลงานศิลปะเชิงพาณิชย์ ซึ่งหนังสือจะเข้าไปทำงานกับจิตใจของคนอ่าน เพราะฉะนั้นเราก็ต้องตรวจสอบเหมือนกันว่าหนังสือที่เราทำอยู่ทุกวันนี้มีคุณค่าเพียงพอแก่ผู้อ่านแล้วหรือยัง เพราะถ้าเรามองหนังสือเป็นเพียงสินค้าประเภทหนึ่งมากเกินไป เราก็จะไม่ได้ใส่ใจลงไปมากพอ มันก็จะกลายเป็นสินค้าที่กินอิ่มแต่ไม่ประทับใจ 

ซึ่งใจอย่างเดียวก็ไม่พอ การมองภาพรวมของธุรกิจก็สำคัญด้วยเหมือนกัน มันไม่ได้หมายความว่าหนังสือดีมีคุณค่าจะขายยาก หรือมองหาช่องทางทางการตลาดไม่ได้ ยกตัวอย่างตอนเราทำหนังสือของ Leonardo da Vinci ที่เขียนโดยคุณ Walter Isaacson คนที่เขียนเรื่อง Steve Jobs ตอนนั้นเราก็ค่อนข้างลังเลเหมือนกันว่าจะเลือกปล่อยหนังสือเล่มนี้ในช่วงเวลาไหนดี มันยากมากจริงๆ เพราะว่าหนังสืออัตชีวประวัติหนา 600-700 หน้า แล้วเราทำทั้งปกอ่อนปกแข็ง มันจะไปได้ไหมในตลาดหนังสือที่คนอาจจะชอบหนังสือที่เนื้อหาเบากว่านี้ แต่เราก็รู้สึกว่าโปรดักต์ที่มันยาก ถ้าเราจับมาพลิกหารายละเอียดดีๆ และหยิบมาให้คนอ่านได้เห็นมันก็กลายเป็นของล้ำค่าขึ้นมา กลายเป็นว่าหนังสือที่เรามองว่าขายยาก กลับกลายเป็นหนังสือที่ขายดี จริงๆ อาจไม่ได้เรียกว่าขายดี เรียกว่าขายได้ และทำให้เรามีกำไรบ้าง 

ความยาก-ง่ายของการทำธุรกิจสิ่งพิมพ์ไม่ได้วัดกันด้วยสถานการณ์ของคนอ่านในปัจจุบันเท่านั้น แต่ว่าอยู่ที่กระบวนการที่สำนักพิมพ์จะพิจารณาและผลักดันหนังสือแต่ละเล่มออกมาให้มันยังอยู่ในความสนใจของตลาดได้ เพราะว่าถ้าเราทำหนังสือตามใจตัวเอง คิดว่าแบบนี้ดี คิดว่าขายได้ แต่ไม่ทำรีเสิร์ช เราไม่มีข้อมูล data เข้ามาวิเคราะห์ เราไม่ทำการตลาดกับมัน อยู่ใน bubble ที่คิดว่าสิ่งเราทำถูกไปหมด แล้วเมื่อปล่อยหนังสือออกไปผลไม่ได้เป็นอย่างที่คิด ก็คิดว่าคนไม่อ่าน หรือสังคมนี้มันไม่อ่านหนังสือกันแล้ว 

คือผมรู้สึกว่ายุคนี้ คนที่อ่านเขาอ่านหนังสืออยู่แล้ว มีคนซื้อหนังสืออยู่แล้ว เพียงแต่ว่าสำนักพิมพ์เอง บทบาทสำนักพิมพ์ที่ต้องเปลี่ยนไป การนำเสนอหนังสือสักเล่มออกไปต้องศึกษาหลายเรื่องมากขึ้น ต้องดูแลมันมากขึ้นกว่าเดิม ไม่ใช่ว่าปล่อยหนังสือออกไปแล้วให้มันขายตัวมันเองได้โดยที่เราไม่ได้ไปซัพพอร์ตอะไรมันเลย เราทำแบบเดิมไม่ได้แล้ว 

ในยุคที่สื่อสิ่งพิมพ์ยังบูมอยู่ นิตยสารเล่มยังขายได้ หนังสือพิมพ์ยังขายได้พ็อกเก็ตบุ๊กก็ขายได้ เพราะอยู่ในจุดที่สำนักพิมพ์ทำหนังสืออะไรมาคนอ่านก็ซื้อ แต่วันนี้ในวันที่นิตยสารเปลี่ยนเป็นออนไลน์เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว หนังสือพิมพ์แทบไม่มีใครอ่านแล้ว แล้วทำไมคุณจะมองว่าคนยังต้องซื้อพ็อกเก็ตบุ๊กทุกเล่มที่ยังออกมาอยู่ มันก็เกิดการคัดสรรใช่มั้ย แล้วเราจะทำยังไงให้หนังสือเรายังอยู่ในสายตาการคัดสรรของคนอ่านอยู่ นี่แหละคือสิ่งที่มันแตกต่างออกไป

ในฐานะที่คุณอยู่ในธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์มานาน เราจะหาหรือโอกาสในอุตสาหกรรมนี้ยังไง

คนอ่านในยุคนี้แตกตัวออกไปเป็น niche market ค่อนข้างเยอะ สำนักพิมพ์หลายสำนักพิมพ์ก็มีความเป็น niche market สำหรับกลุ่มคนอ่านของตัวเองอยู่ เป็นเหตุผลว่าทำไมสำนักพิมพ์ใหญ่ๆ ก็ต้องแตกแบรนด์ย่อยของตัวเองออกมาเพื่อรองรับกลุ่มคนอ่านที่เป็น niche มากขึ้น ซึ่งพอเราพูดถึง niche market ก็มีโอกาสที่เราจะได้หนังสือที่มีเนื้อหาแนวทางใหม่ๆ เกิดขึ้นได้ เช่นหนังสือ The Thursday Murder Club ชมรมไขคดีฆาตกรรมวันพฤหัสฯ เป็นตัวอย่างของเนื้อหาที่มาเพื่อ niche market

ก่อนหน้านี้หนังสือแนวนิยายสืบสวนที่เกี่ยวกับการฆาตกรรมและไขคดี ส่วนใหญ่จะเดินเรื่องด้วยตัวละครที่เป็นคนเก่งกาจ ฉลาดรอบรู้ อารมณ์ประมาณ Sherlock Holmes หรือไม่ฉลาดก็ต้องบู๊เก่ง แต่ว่าหนังสือเล่มนี้ซึ่งดังมากที่อังกฤษ เรื่องราวของผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในบ้านพักคนชรา แต่มีใจรักไขคดีฆาตกรรม วันหนึ่งเกิดเหตุคดีฆาตกรรมในหมู่บ้านพักคนชรา พวกเขาที่สังขารไม่เอื้ออำนวยเท่าไหร่จึงมารวมตัวกัน การผสมตัวละครที่ดูแล้วไม่น่าทำอะไรสำเร็จมาประกอบกับคดีฆาตกรรมที่จริงจัง ให้ส่วนผสมที่แตกต่างออกไปซึ่งสร้างกลุ่มคนอ่านใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นตามมาด้วย ถือเป็นหนังสือเล่มที่ขายดีอันดับหนึ่งของบูท Biblio ในงานหนังสือครั้งที่ผ่านมา แซงหน้าหนังสือญี่ปุ่นหวานๆ ทั้งหลายของเรา เป็นสิ่งที่เราไม่ได้คาดการณ์มาก่อนเลยว่านิยายแปลตะวันตกจากอังกฤษจะขายดีที่บ้านเรา

niche market เหล่านี้เกิดขึ้นได้จากการที่สำนักพิมพ์แต่ละสำนักพิมพ์เลือกหนังสือที่แตกต่างกันออกมา ซึ่งหากมองที่เทรนด์ สิ่งที่ขาดไปจากตลาดคือหนังสือที่กล้าจะแตกต่างแต่ยังมีคุณภาพสูง จริงๆ แล้วคนอ่านหนังสือมองหาอะไรแปลกใหม่ตลอดเวลานะ ถ้าสำนักพิมพ์จะป้ายยาอะไรตัวยามันต้องน่าสนใจจริงๆ ซึ่งผมคิดว่าทิศทางการทำหนังสือในอีก 1-2 ปีนี้คงสนุกมากขึ้นสำหรับทุกๆ สำนักพิมพ์ ที่จะสร้างแนวทางใหม่ๆ ให้เกิดขึ้น

ในอนาคตคุณมีเป้าหมายยังไง ตั้งใจจะพา Biblio และสำนักพิมพ์ในเครือไปถึงจุดไหน

ความตั้งใจของผมที่มีตั้งแต่วันแรกคือ เราอยากทำสำนักพิมพ์ที่แตกต่างและสร้างหนังสือที่มีความหมายกับคนอ่าน ปีแรกเราพยายามทำให้ตัวเองชัดเจนในแนวทางนั้น ซึ่งมันก็ผ่านมาแล้ว และเป็นไปตามที่เราคิดไว้ ปีที่ 2 ก็เป็นปีของความต่อเนื่อง เราต้องพิสูจน์ตัวเองว่าปีแรกไม่ได้เป็นเรื่องของความโชคดีเพียงอย่างเดียวแต่เป็นผลจากการทำงานเบื้องหลังหลายอย่าง 

พอเข้าปีที่ 3 เป็นปีที่เราต้องเลือกมากขึ้น คัดสรรมากขึ้น มองหาโอกาสที่น่าสนใจและแตกต่างออกมาเพื่อนำเสนอหนังสือ เราไม่สามารถที่จะทำอะไรแบบเดิมโดยใช้สูตรสำเร็จจาก 1-2 ปีแรกได้ เราจะต้องหาแนวทางใหม่หรือมองหา section ใหม่ของหนังสือที่จะนำเสนอ

ในอีก 4-5 ปีข้างหน้า ผมอยากให้ Biblio เป็นมากกว่าหนังสือ กลายเป็นแบรนด์ มีผลิตภัณฑ์ที่เชื่อมโยงกับการทำหนังสือ หรืออาจจะมีร้านหนังสือที่เป็นมากกว่าร้านหนังสือเกิดขึ้นมา เป็นพื้นที่สร้างประสบการณ์การอ่าน และการจะไปถึงเป้าหมายนั้นได้ก็ขึ้นกับผลประกอบการ และปัจจัยต่างๆ ในธุรกิจ

Day 1 ของ Madmatter ที่คิดถึงการขยายธุรกิจให้เติบโตอีกขั้น ผ่านการเป็น full-line fashion

Madmatter

Madmatter Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Madmatter

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม