‘Café Joyeux’ คาเฟ่แห่งความสุขจากฝรั่งเศสที่ขับเคลื่อนโดยคนที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญา

Café Joyeux

Café Joyeux Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

‘เสรีกัญชา’ โอกาสหรือกับดักทางธุรกิจของคนไทยในมุมมองของ Alex Haze เจ้าของเพจ High Thailand

หลังจากกัญชาถูกกฎหมาย หลายคนก็เริ่มกล้าพูดเรื่องกัญชามากขึ้น หัวข้อเกี่ยวกับกัญชากลายเป็นบทสนทนาระดับทอล์กออฟเดอะทาวน์ในสังคมไทยทั้งฝ่ายที่เห็นข้อดีและข้อเสีย

แน่นอน การที่กัญชาถูกกฎหมายช่วยปลดล็อกให้ธุรกิจด้านกัญชาในไทยผุดจากใต้ดินขึ้นมาอยู่บนดิน แต่การผ่านของกฎหมายแบบฉับพลันทันที ทำให้หลายคนตั้งคำถามว่าขอบเขตของการซื้อ ขาย และใช้งานอยู่ตรงไหน รวมไปถึงข้อกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของผู้ใช้งานในสังคมด้วย

ย้อนกลับไปเมื่อเกือบสิบปีที่แล้ว ในวันที่กัญชาในประเทศไทยยังผิดกฎหมาย คนสายเขียวตัวจริงอย่าง Alex Haze ลูกครึ่งไทย-ฟินแลนด์ที่ใช้ชีวิตในทวีปยุโรป ผู้ตกหลุมรักกัญชามานับสิบปีจึงลุกขึ้นมารันเพจเฟซบุ๊กชื่อ High Thailand เพื่อให้ความรู้เรื่องกัญชาที่ถูกต้องกับคนไทย ด้วยหวังว่าทุกคนจะเห็นกัญชาในมุมที่มีประโยชน์ ไม่ใช่เพียงยาเสพติด

เมื่อเปิดเสรีกัญชาไทย ประเด็นเรื่องธุรกิจกัญชาจึงถูกจับตามองความเป็นไปมากเป็นพิเศษ ในวันที่ระบบการจัดการกัญชาไทยยังไม่ชัดเจน นี่คือโอกาสของนักธุรกิจหรือกับดักทางธุรกิจของคนไทย อเล็กซ์พร้อมตอบคำถามให้หายสงสัย

อะไรคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้คุณลุกขึ้นมาให้ความรู้เรื่องกัญชา

ตอนที่เรียนจบเราย้ายไปสวีเดน ตัดสินใจไม่ทำงานที่ไทย ผมเป็นลูกครึ่งฟินแลนด์ แต่ถือสัญชาติสวีเดน ช่วงที่ย้ายไปยุโรปก็ยังว่าง ตอนนั้นไทยยังไม่มีเพจให้ความรู้เกี่ยวกับกัญชา ยังไม่มีเพจที่ทำให้การสูบกัญชาเป็นเรื่องโอเค เพราะยังมีความเป็นขี้ยาอยู่ เราเคยลองแล้วชอบก็ตั้งคำถามว่า ทำไมถึงผิดกฎหมาย ทำไมรัฐบาลไม่ให้พูดถึง ทำไมเราเรียนหนังสือที่มีการพูดถึงกัญชาแค่ 2 ประโยค ทำไมข้อมูลพวกนี้ไม่มีให้อ่าน

 เรารู้สึกว่า เฮ่ย ถ้างั้นเริ่มทำดีกว่า เพื่อนรอบข้างไม่มีใครอินกับเรา ก็เลยคิดว่าทำคนเดียวก็ได้ เพราะเราเชื่อตรงนี้มาก

ย้อนกลับไปเมื่อ 9 ปีที่แล้ว ข้อมูลกัญชาในอินเทอร์เน็ตมีน้อยมาก ถึงจะหาในเน็ตได้แต่ก็ไม่ใช่เชิงลึก ต้องหาหนังสืออ่านเพิ่ม เลยไปที่ห้องสมุดสาธารณะในสตอกโฮล์ม ไปบอกเขาว่าฉันอยากอ่านเรื่อง Cannabis บรรณารักษ์ถามว่าทำไมอยากอ่านเรื่องนี้ เพราะคนทั่วไปเข้าหาหนังสือพวกนี้ไม่ได้ ยิ่งสะกิดต่อมความสงสัยเลยว่า ทำไมข้อมูลทุกอย่างถูกล็อกไปหมดเลยวะ นี่ขนาดประเทศสวีเดน ที่เขามีความเปิดกว้างนะ เราเลยรู้สึกว่าความรู้ควรเปิดกว้างให้ทุกคน

เลยเข้าไปยื่นเรื่องว่าจะเอาข้อมูลนี้ไปทำอะไร สุดท้ายเข้าถึงจุดข้างในสุด เจอหนังสือเยอะ และมีโอกาสได้อ่านเยอะมากๆ ซึ่งสิ่งที่ผมได้อ่านมันตีพิมพ์มานานแล้ว แต่แค่กฎหมายปิดไว้ ไม่ให้คนรู้และเข้าถึง ผมว่า เฮ่ย ไม่ได้แล้ว เรื่องพวกนี้ต้องเขียนว่ะ โดยเฉพาะเมืองไทยที่เขาไม่ให้เรารู้อะไรเลย ก็ต้องหาความรู้ด้วยตัวเองให้มากที่สุด เพื่อให้รู้เท่าทันคนอื่น

เราเลยทำเพจให้ความรู้เรื่องนี้ ส่วนมากจะเป็นข่าวเรื่องกฎหมายกัญชา มีแนะนำวิธีใช้กัญชา แนะนำกัญชารูปแบบต่างๆ เน้นเป็นข่าววัฒนธรรมกัญชา เป็นข่าวจากสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ ผมชอบวัฒนธรรมกัญชาที่อยู่ในหนัง ดนตรี และการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย ซึ่งเนื้อหาเราจะแปลและเขียนเองทั้งหมด

ต้องบอกว่า 9 ปีที่แล้ว การโพสต์คอนเทนต์กัญชาเป็นเรื่องที่ยังน่าช็อกกันอยู่ ไม่มีใครกล้าโพสต์รูปดอก, พันลำ (Joint), เครื่องบดกัญชา (Grinder) เป็นข้อห้าม (taboo) ไปหมด ทุกคนมีความกลัว เพราะเป็นเรื่องผิดกฎหมาย 

จากที่คุณศึกษากัญชามีประโยชน์ยังไง 

เราอ่านหนังสือเกี่ยวกับกัญชาในด้านร่างกายด้วย เพราะการเข้าถึงกัญชาไม่ใช่แค่การสูบ คุณต้องเข้าใจว่าสารพวกนี้มีปฏิกิริยากับร่างกายของคุณยังไง และส่งผลกระทบกับแต่ละคนแตกต่างกัน tolerance (การตอบสนองต่อยา) ของแต่ละคนเป็นยังไง กัญชามีหลายรูปแบบและหลายที่มา 

สิ่งที่เราช็อกมากที่สุดคือสารในกัญชาอย่าง Cannabinoid  ร่างกายเรามีระบบที่เรียกว่า endocannabinoid system (ระบบ endocannabinoid คือระบบที่เจอในร่างกายของสัตว์มีกระดูกสันหลัง ทำหน้าที่ปรับระบบภายในของร่างกายให้สมดุล มีเซลล์ประสาทรับสารแคนนาบินอยด์ (cannabinoid) และเอนโดแคนนาบินอยด์ (endocannabinoids))

แล้วบังเอิญว่าระบบนี้กับสารตัวนี้มันลงล็อกกันได้พอดี ผมขนลุกตั้งแต่ครั้งแรกที่อ่านเจอประเด็นนี้ ทำไมร่างกายของเราถึงสร้างระบบนี้เพื่อรองรับสารที่มีอยู่ในกัญชา เหมือนมันถูกสร้างมาเพื่อกันและกัน 

ผมเชื่อว่ากัญชาถูกสร้างมาเพื่อให้มนุษย์ใช้ สัตว์ป่าจำพวกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมก็มีระบบนี้ หมาก็มีระบบนี้เหมือนกัน แต่อาจไม่ได้มีมากเท่ากับมนุษย์ อย่างอาหารหมาปัจจุบันก็มีการใส่สาร CBD แล้ว เพราะหมามีความวิตกกังวลเวลาพาไปหาสัตวแพทย์ ก็จะให้น้ำมันกัญชาหมา เพื่อลดความวิตกกังวลลง ทำให้เอาหมาไปฝึกและเอาหมาไปเข้าสังคมได้ กลายเป็นว่าทุกคนได้รับประโยชน์จากกัญชาได้ พ่อและคุณยายเราก็ใช้ในเชิงสุขภาพได้

หลังจากศึกษาเรื่องกัญชาและอยู่ต่างประเทศมานาน คุณคิดว่าธุรกิจกัญชาในต่างประเทศน่าสนใจยังไง

จากที่เห็นมา ธุรกิจจะเกิดขึ้นได้ก็เมื่อกฎหมายเปิด ความจริงธุรกิจพวกนี้มีในใต้ดินอยู่แล้ว ทั้งคนปลูก คนสูบ หรือคนป่วยที่ใช้กัญชารักษา แค่ทุกอย่างไม่ได้เดินหน้าต่อเพราะกฎหมาย ถ้ามีกฎหมายปุ๊บ ธุรกิจในสเกลใหญ่เกิดทันที อย่างตอนนี้ที่น่าสนใจมากๆ คือด้านสายพันธุ์ที่อเมริกา สมัยยุค 80s เวลาเขาแข่งขันสายพันธุ์กันมันจะมีแค่ Sativa, Indica และ Hybrid ต่อมาสักพักก็เริ่มแบ่ง catagory มีสายพันธุ์อินดอร์กับเอาต์ดอร์เพิ่มขึ้นมา

อย่างเมื่อ 2 ปีที่แล้วในรัฐแคลิฟอร์เนีย ที่ได้เริ่มมีการผลักดันกัญชา Sun-Grown ซึ่งเป็นสายพันธุ์ประเภทที่ปลูกในดินและแดดธรรมชาติ และสายพันธุ์นี้เกิดขึ้นได้เต็มตัวเพราะกฎหมายที่เปิดเสรีเต็มตัว ซึ่ง Sun-Grown จะเป็นสายพันธุ์ที่มาแรงมากในอนาคต เพราะด้วยเทรนด์ที่หลายคนต้องการสิ่งที่เฮลตี้และออร์แกนิก ซึ่งจะมีอะไรเฮลตี้ไปกว่าสิ่งที่มาจากดินและน้ำ 

แล้วนี่ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจนะ เพราะไทยเรามีพร้อมทั้งดิน น้ำและสายพันธุ์พื้นเมืองของเราเอง ผมเลยคิดว่าถ้าจับจุดเรื่องการปลูกกลางแจ้งได้ แล้วทำผลิตภัณฑ์ตัวเองให้ดี ถ้าตีโจทย์ตรงนี้ได้ ก็จะเป็นตลาดอีกอันหนึ่งได้เลย

อันที่สอง ที่ผมเห็นแล้วสนใจมาก คือที่แคนาดามีบริษัทที่ชื่อว่า ‘Canopy Growth’ เป็นบริษัทที่ใหญ่มาก เป็นสถานที่ที่เอาไว้ศึกษาวิจัยเรื่องกัญชา ครอบคลุมด้านการค้นคว้าและพัฒนา และให้คนมาซื้อหุ้นได้

ชาวแคนาดาที่ไม่ได้สูบกัญชาก็ซื้อ เพราะมองว่าอีก 10 ปี บริษัทนี้ไปไกลแน่ เขาไม่ได้ผลักดันแค่ธุรกิจขายของเฉยๆ แต่เขามองการรีเสิร์ชและพัฒนาผลิตภัณฑ์กัญชา เขาพาร์ตเนอร์กับศิลปินดังระดับโลกอย่าง Snoop Dogg และ Seth Rogan และพวกค่ายสายพันธุ์ใหญ่ในทวีปยุโรปอย่าง Green House (เจ้าของ Strain Hunters ค่ายเมล็ดกัญชาและร้าน Cannabis Club ในอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ และบาร์เซโลนา ประเทศสเปน ซึ่งทำสารคดีเกี่ยวกับกัญชาไปในเวลาเดียวกัน) 

Canopy Growth น่าสนใจเพราะเขากำลังจะร่วมงานกับ Constellation Brands เป็นบริษัทเครื่องดื่ม ที่มีทั้งไวน์ เหล้า และเบียร์ ซึ่งยี่ห้อดังๆ ที่หลายคนรู้จัก เช่น เบียร์ Corona และ Modelo สองบริษัทจะมารวมตัวกัน แต่ยังรอกฎหมายอยู่ ถ้ากฎหมายลงตัวทุกอย่างก็จะปล่อยออกมา ซึ่งผมว่าน่าจะใหญ่มาก และเขาบอกว่าภายในปี 2025 มูลค่าของตลาดกัญชาทั่วโลกน่าจะทำเงินได้สูงถึง 30-33 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 

อย่างต่อมาคือร้าน Dispensary (เจ้าของสถานที่ปลูกและขายกัญชา) ในรัฐที่ถูกกฎหมายอย่าง MedMen ซึ่งเป็นเหมือน Apple Store ในสหรัฐอเมริกาเลย เป็นหนึ่งในร้านแรกๆ ที่ขายประสบการณ์การซื้อ-ขายกัญชาเพื่อตีตลาด luxury cannabis ที่มาพร้อมกับเทรนด์สายพันธุ์ exotic ในเวลานี้ เทรนด์ธุรกิจนี้จะเริ่มมีพาร์ตเนอร์ในวงการดาราและศิลปินฮิปฮอปเพื่อขยายสาขาและแบรนด์ของตัวเองออกไป นับว่าเป็นอีกตลาดที่น่าจับตามอง

ในฝั่งยุโรปอาจจะยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก อย่างอัมสเตอร์ดัมที่คนมักเข้าใจผิด เพราะกัญชาไม่ได้ถูกกฎหมาย เขาเป็น ‘Tolerance Policy’ คือให้ปลูกกัญชาได้ พกพาได้ และมีการอนุญาตได้ เปิดให้มีการค้าขายแบบถูกกฎหมาย แต่ยังไม่มีการเก็บภาษีตรงไปตรงมา แต่ในด้านค่ายเมล็ดก็มีการพัฒนาสายพันธุ์แคนนาบินอยด์เด่นอย่าง THCV และ CBG จากค่ายของ Dutch Passion ที่เป็นผู้นำด้านการพัฒนาเมล็ด Feminized และ Autoflower 

ส่วนประเทศเยอรมนี มีการเซ็น Legalize Recreational (กัญชาเพื่อการสันทนาการ) กับ Medical Cannabis (การใช้กัญชาทางการแพทย์) ไปแล้ว แต่ยังไม่ดำเนินการ ซึ่งอาจเกิดขึ้นจริงในปี 2023-2024 ถ้าเยอรมนีเปิดประตูนี้ปุ๊บ ทุกอย่างจะเซ็นผ่านทั้งยุโรปจะวิ่งตามอย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ 

สำหรับประเทศอังกฤษที่ผมอยู่ตอนนี้ มีกัญชาทางการแพทย์ที่ถูกกฎหมายเท่านั้น เราจะเห็นผลิตภัณฑ์ CBD เช่น เครื่องดื่ม CBD สกัดเยอะมาก หรือมี tincture สำหรับหยอดก็มีขายในร้านขายยา 

ส่วนที่สวิตเซอร์แลนด์ มีการลดทอนความเป็นอาชญากรรม (decriminalize) และกัญชาทางการแพทย์ถูกกฎหมายแล้ว มีการซื้อ-ขายดอกและผลิตภัณฑ์กัญชง THC ต่ำกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ได้และกำลังรอให้ตลาดสันทนาการเปิด ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นภายใน 1-2 ปีนี้ 

ถ้ามีการวางระบบและการจัดการภาษีธุรกิจก็จะมีการควบคุมด้านของผู้บริโภค ตอนนี้คนเลยเหมือนโดนอั้น เพราะรอสัญญาณไฟเขียวที่จะเปิดธุรกิจ จะมีความแตกต่างกัน เพราะฉะนั้นเราเปรียบเทียบกฎหมายยุโรป สหรัฐอเมริกากับไทยไม่ได้ 

เปรียบเทียบกฎหมายไม่ได้เพราะอะไร

เพราะเมืองไทยเรากระโดดจากกัญชาทางการแพทย์มา มาเป็นการลดทอนความเป็นอาชญากรรม พร้อมกับปลดกัญชาทั้งต้นออกจากยาเสพติด แต่เราไม่ได้ทำให้ถูกกฎหมายเสรีร้อยเปอร์เซ็นต์ไง อย่างลดทอนความเป็นอาชญากรรมที่ยุโรป เขาขายได้แต่ก็ยังต้องมีการควบคุมที่เข้มงวด แต่ไม่ได้ปล่อยขายแบบเรา ตอนนี้เมืองไทยเราไม่จำกัดจำนวนต้นและจำนวนการขาย ยังไม่ต้องมีใบอนุญาต ชาวไร่สามารถเก็บจากหลังบ้านแล้วเอามาขายได้เลย เด็กมหาวิทยาลัยที่ปลูกในห้องนอนก็เอามาขายได้เลย  

การลดทอนความเป็นอาชญากรรมในต่างประเทศ ไม่ได้หมายความว่าเราขายได้เสมอไป เราแค่พกพาได้ เจอตำรวจเขาไม่จับเรา อย่างโปรตุเกส คุณพกพากัญชาแล้วบินเข้าประเทศเขาได้ ถ้าไปอัมสเตอร์ดัม ซื้อกัญชาถุงใหญ่แล้วสูบไม่หมดก็ไปโปรตุเกสต่อได้เลย แต่โปรตุเกสไม่เปิดให้มีการซื้อ-ขายในตลาดอย่างที่ไทยทำ เมืองไทยนี่ปล่อยสุดๆ ซึ่งแต่ละที่เขาปล่อยไม่เท่ากัน มันขึ้นอยู่กับกฎหมาย เมืองไทยยังไม่เสรีอย่างเต็มที่ ยังไม่โปร่งใส ซึ่งเมื่อ legalize (ถูกกฎหมาย) เต็มตัวแล้วทุกอย่างต้องมีระบบ ต้องระบุว่าใครมีใบอนุญาตได้ ใครซื้อ-ขายได้ ซื้อ-ขายได้ในจำนวนเท่าไหร่ เมืองไทยยังไม่มีตรงนี้ เราจึงยังคงครึ่งทางอยู่ แต่กลับขายของกันได้และหาเงินได้แล้ว

การที่กัญชาในประเทศไทยยังไม่มีการจัดระบบที่ดีพอ มีข้อดีหรือข้อเสียยังไง

ข้อเสียแน่ๆ เลยคือ ทุกคนเริ่มถามรัฐบาลว่า ทำไมไม่วางระบบก่อนแล้วค่อยปล่อยกฎหมาย แต่อย่างที่รู้กันว่าเมืองไทยไม่เคยให้ความรู้ประชาชนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว พอเขาปล่อยขายปุ๊บ คุณยังไม่เคยสอนเลยว่ากัญชาคืออะไร ดอกกัญชาหน้าตาเป็นยังไง เมาแล้วเป็นยังไง เมืองไทยไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องการให้ความรู้ประชาชน 

เมื่อประชาชนไม่มีความรู้ นายทุนพวกนี้ เขาก็มีโอกาสหากินจากพวกเราได้ ถ้าประชนเขารู้และฉลาด นายทุนหลอกขายน้ำ ‘กลิ่นกัญชา’ ขวดละ 20-30 บาทไม่ได้หรอก มันเมคเซนส์ที่ไม่ต้องให้ความรู้อีกอย่างคือกฎหมายที่อาจเปลี่ยนตลอดเวลา ซึ่งสำหรับคนที่เป็นเจ้าของสถานที่ปลูกและขายกัญชา ในตอนนี้มันยังไม่มีกฎหมายจำกัดจำนวน คุณขายได้ แต่พรุ่งนี้ รัฐอาจจะบอกว่าไม่ได้ คุณต้องมีใบอนุญาตเปิด คุณต้องมีใบประกอบการเพื่อส่งขายจำนวนเท่านี้ๆ เอ้า ฉิบหายแล้ว ไอ้พวกพ่อค้าตัวเล็กๆ จะวิ่งไปทางไหนล่ะ เงินก็ไม่มี อะไรก็ไม่มี มีโอกาสถูกจับอีก อย่างที่รัฐโคโรลาโด ประเทศสหรัฐอเมริกา เขาทำให้ถูกกัญชากฎหมายตั้งแต่ปี 2012 เปิดให้ใช้เพื่อการสันทนาการ (Recreational) ซึ่งทุกคนไม่คิดว่าปัญหาที่ตามมาสำหรับธุรกิจคือระเบียบข้อบังคับที่เปลี่ยนตลอดเวลา กฎเปลี่ยนตลอดเวลา คนก็ยังไม่รู้ว่านี่คือครั้งสุดท้ายแล้วหรือเปล่าวะ ธุรกิจเราจะรันแบบไหนดี นั่นคือสิ่งที่เมืองไทยควรระวัง

สิ่งที่ทำได้ก็คือการที่เตรียมทำเอกสารอนุญาตให้ครบและเลือกทำงานเป็นพาร์ตเนอร์กับคนในวงการเดียวกันไว้ เมืองไทยตอนนี้คนก็เริ่มวิ่งจับมือกันแล้ว เพราะถ้าพาร์ตเนอร์กับคนที่มีอิทธิพลได้มาก ธุรกิจของคุณก็ยิ่งวิ่งเอกสารได้เร็วและราบรื่น ไม่มีใครมาสั่นสะเทือน 

ซึ่งการเปิดกัญชาเสรีครั้งนี้ดีต่อการท่องเที่ยวของไทยด้วย

กัญชาเสรีของไทยมีข้อดีต่อเรื่องการท่องเที่ยวอย่างสุดๆ แน่ๆ อันนี้ร้อยเปอร์เซ็นต์เลย เมื่อก่อนผมทำงานกับบริษัททัวร์กัญชาและเป้าหมาย ที่ประเทศไทยกำลังมุ่งคือ Cannabis Destination ให้คนสามารถเที่ยวและสูบกัญชาบินไปเที่ยวได้ เช่น มาลิ้มลองกัญชาริมทะเล Medical Wellness ในอเมริกาตอนนี้มีทัวร์กัญชาและ Bed & Breakfast เยอะมากแล้ว และตอนนี้มีหลายประเทศที่กัญชาถูกลดทอนความเป็นอาชญากรรมและสามารถพกพากัญชาได้ เช่น บางรัฐในอเมริกา สวิตเซอร์แลนด์ แคนาดา เนเธอร์แลนด์ หรือโปรตุเกส สามารถบินไปมากับเมืองไทยได้ เป็น Cannabis Trip ได้ แวะมาสูบกัญชาให้คนฮอปปิ้งและเดินทางต่อได้ เราเตรียมขาย Amazing Thailand และ Amazing Weed ด้วย รวมถึงการทำ Sandbox และเป็น recreational spot โซนสีเขียวสำหรับกัญชาตามแต่ละจุดยอดนิยมในประเทศได้

ในอนาคตอาจมีเส้นทางของตลาดกัญชา เห็ดเมา และกระท่อมสำหรับเทรนด์ plant-based medicine (การกินพืชเพื่อสุขภาพเป็นอาหารหลัก) เปิดโอกาสให้คนมารักษาและใช้ยาพวกนี้ได้ มีคนมาเที่ยว มาสูบ หรืออาจจะมาซื้อยาด้วย มุมมองของคนใช้ยารวมถึงคนรุ่นใหม่เปลี่ยนไปเยอะมาก ผมคิดว่าไม่ว่าวันนี้หรือวันข้างหน้ามันจะต้องเกิดขึ้นแน่ ๆ

ถ้าอย่างนั้นคุณคิดเห็นยังไงกับกัญชาในไทย ทั้งในแง่กฎหมาย ธุรกิจ และผู้บริโภค

ตอนแรกที่เห็นกฎหมาย ผมว่าไม่ใช่แล้ว มันต้องมีอะไรทะแม่งๆ ซ่อนอยู่ คือมันน่ายินดีที่ทุกคนปลูกได้และขายดอกได้ แต่ว่ากฎหมายมีข้อจำกัดเรื่องสารสกัดจากกัญชาหลายคนอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร สารสกัดคือสิ่งที่เอามาใส่ในในพวกครีมทาหน้า เครื่องสำอาง และเครื่องดื่ม ผมเลยเอะใจตรงนี้นิดนึงว่า ทุกคนสามารถปลูกดอกได้ แต่จะมีสักกี่คนที่นำใบอนุญาตมาทำผลิตภัณฑ์ขายต่อได้ แล้วใครจะมีสิทธิ์ได้ใบอนุญาต 

อย่างตอนแรกผมคิดว่า เจ้าของสถานที่ปลูกและขายกัญชาต้องมีใบอนุญาต แต่ปรากฏว่าไม่ เขาปล่อยให้คนขายได้เต็มที่ 

เหมือนกับรัฐบาลบอกว่ากูให้มึงเท่านี้ก็แฮปปี้มากๆ แล้ว ให้เราปลูก ขายดอกได้ และสูบได้ แค่นี้ก็พอแล้วมึงจะเอาอะไรอีก กฎหมายมันต้องมีการควบคุมบางอย่างมากกว่านี้ ผมเลยมองว่า คนที่ได้ผลประโยชน์สูงสุดอาจเป็นแค่นักธุรกิจนายทุนที่เข้าถึงสิทธิใบอนุญาตธุรกิจเครื่องดื่มและเครื่องสำอางได้ แต่คนทั่วไปอาจจะมีโอกาสขายได้แค่ดอก

ใครจะมีโอกาสเข้าไปถึงธุรกิจเครื่องสำอาง เครื่องดื่ม แอลกอฮอล์ และยา เมื่อพูดถึงเหล้าปุ๊บเราก็รู้เลยว่าธุรกิจในไทยไม่ได้ปล่อยให้ใครเข้าไป ผมกลัวที่สุดว่ามันจะเป็น Monopoly กับพวกเครื่องดื่มและผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนของกัญชามากกว่า 0.2 เปอร์เซ็นต์มีแค่กลุ่มพวกเขาที่ขายได้ นักธุรกิจตัวเล็กจะไม่มีโอกาสในการทำพวกนี้ หรือถ้ามี คุณอาจต้องเป็นพาร์ตเนอร์กับนายทุนหรือมาเฟียเพื่อที่จะได้เข้าไปสู่ธุรกิจ ถ้าเกิดกฎหมายยังเป็นแบบนี้ ก็พอจะมองเห็นได้ว่าใครจะได้ประโยชน์

สมมติในเวลานี้ 6 เดือนเขาอาจจะปล่อยให้ทุกคนปลูกได้ไม่อั้น ให้ดอกท่วมตลาด แล้วพอท่วมตลาด โรงงานก็สามารถรับเอาดอกมาสกัดใส่พวกเครื่องดื่ม ใส่ยา และเครื่องสำอาง พอไม่มีระบบและการควบคุมราคาจากรัฐบาล ในอนาคตคนที่จะควบคุมตลาดคือนายทุน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวลใจ

ตอนแรก จำได้ไหมที่เขาปล่อยให้คนปลูก แต่ว่าคนที่ปลูกต้องเป็นวิสาหกิจชุมชนที่เกิดจากการรวมคน 7-10 คนเท่านั้น คุณ (เน้นเสียง) แล้วรัฐวิสาหกิจมันไม่ได้รวมตัวง่ายนะ เราต้องมีโรงเรือน มีแผนผังไปยื่น ต้องติดตั้งระบบความปลอดภัย เอาง่ายๆ วิสาหกิจชุมชนต้องมีทุนเป็นสิบล้าน ก็เลยกลายเป็นว่าตัดวงจรชาวนาเล็กๆ ไปเลย ถ้าอยากปลูกก็ปลูกไม่ได้หรอก ถ้าสังเกตช่วงนั้น ผู้ปลูกวิ่งหานายทุน นายทุนวิ่งหามาเฟีย ชาวบ้านหาพื้นที่กัน ทุกคนรวมตัวกันหมด เลยเป็นแต้มต่อให้นายทุน เพราะนายทุนก็มีโรงเรือน มีเวลา และมีคนปลูกให้ แค่นี้ก็นำหน้าคนอื่นไปแล้ว เพราะฉะนั้นวันที่เขาออกกฎหมายเมื่อเดือนที่แล้ว นายทุนมีของเตรียมไว้แล้ว เพื่อเอามาใช้งานได้ต่อ อย่างเครื่องดื่มที่เซเว่นก็เริ่มออกมาแล้วไง และใครมีสิทธิ์ที่จะได้ใบอนุญาตมากกว่ากัน พอมองแบบนี้ก็จะเริ่มเห็น

ส่วนธุรกิจใหญ่ เท่าที่ผมเห็นข้อเสียจะมีเจ้าใหญ่บางร้านที่ไปเหมาซื้อจากผู้ปลูกรายเล็ก อาจเหมาซื้อด้วยการกดราคาต่ำลง เอามาขายหน้าร้านตัวเองและปรับราคาขึ้น และอาจทำให้คนอื่นไม่มีโอกาสได้ขาย คงมีหลายร้านที่ทำแบบนี้ แต่อาจดูไม่แฟร์กับคนกลุ่มผู้ปลูกรายเล็กๆ โดยเฉพาะร้านที่มีชื่อเสียงที่มีคอนเนกชั่นพวกนี้ ซึ่งอาจกลายเป็นตลาดที่โตเฉพาะกลุ่มในอนาคต 

แล้วในแง่ของผู้บริโภค ผมมองว่าที่แย่คือการถูกเอาเปรียบ เมื่อเราไม่มีข้อมูลความรู้พวกนี้จะโดนหลอกขายได้ง่ายๆ อย่างน้ำมันกัญชาหลอดละ 2,500 ขายให้กับอีโหน่อีเหน่เขาไม่รู้ เขาก็ซื้อ พอมาเล่าและให้ผมดูยา โดยเฉพาะน้ำมันที่ได้มาแบบไม่รู้ที่มาที่ไป อีกทั้งเป็นคุณภาพที่ไม่ควรขาย 2,500 ผมบอกว่าแบบนี้ไม่ใช่แล้ว ผมคุยกับลุงดำ (อร่าม ลิ้มสกุล) ที่อยู่เกาะเต่า เขาเป็น breeder (คนปลูกกัญชา) ทำยาและสอนชาวบ้าน ยาของเขาใสเป็นทองคำ เขาจะช่วยคนป่วยในราคาทำบุญหลักร้อยบาท

ถ้าผู้บริโภคไม่มีความรู้จะเสียเปรียบตรงนี้ แต่ข้อได้เปรียบของคนที่มีความรู้ คือยิ่งมีโอกาสได้เลือกซื้อของเยอะขึ้น ทำให้มีอิสระในการเลือก กลายเป็นว่าเชียงใหม่ก็มีคนขาย พัทยาก็มีคนขาย หรือถ้าไปกรุงเทพฯ ก็มีตั้งหลายร้านให้เลือกซื้อจะว่าไปตลาดออนไลน์ก็คึกคักใช่เล่น

คุณคิดว่าสิ่งสำคัญสำหรับผู้คนในการเตรียมรับมือกับเสรีกัญชาคืออะไร

สุดท้ายที่สำคัญที่สุดคือความรู้ ในฐานะที่เราเป็น journalist หรือนักเขียน เราอยากให้ความรู้คนให้มากที่สุด อยากให้คนเท่าทัน และอยากให้ทุกคนขยายความรู้ตัวเองที่สุด หาเพจที่เราไว้ใจได้ สื่อที่เรารู้ว่า เขาพูดเรื่องจริงแน่ แต่มันก็ต้องทำการบ้านของตัวเองด้วย ไม่งั้นเราก็จะได้รับข้อมูลผิดๆ

เอฟเฟกต์ของกัญชาที่รัฐไม่เคยบอก คนต้องหากันเอาเอง และมันน่ากลัว เพราะกลายเป็นว่ารัฐโยนความรับผิดชอบให้คนขาย เมื่อไม่มีความรู้ให้ ประชาชนก็ต้องเลือกเอง อาจกลายเป็นว่า ชาวบ้านต้องช่วยกันอีกแล้ว อย่างพวกสมาพันธ์กัญชาก็ต้องรวมตัวกันเอง ถ้าอยากได้ regulation ก็ต้องรวมตัวกันทำ 

คุณคาดหวังอะไรกับวงการกัญชาไทย

ตอนนี้ทุกคนเปิดขายดอกหลายชื่อและหลายแบบ ทั้งออร์แกนิก อินเดอร์ เอาต์ดอร์ และหลายสายพันธุ์ แต่ว่าคุณภาพอาจจะไม่ได้ดีทุกคน ซึ่งหลังจากคนมีความรู้และมีประสบการณ์มากขึ้น คุณภาพของดอกในตลาดน่าจะเริ่มชัดเจนขึ้น 

ยิ่งนับวันมีข่าวจากสื่อว่า กัญชาแย่ คนที่ทำงานกันตรงนี้ในสื่อก็ยิ่งต้องช่วยกันสร้างและแชร์คอนเทนต์ให้ความรู้มากขึ้นว่า กัญชาใช้ให้ถูกควรทำยังไง เท่าที่เห็นพวกเพจธุรกิจหลายๆ ที่ก็เริ่มให้ความรู้ของตัวเองแล้ว เพราะพึ่งพาใครไม่ได้

เราหวังว่าการใช้กัญชาในวงกว้างจะปลอดภัยมากขึ้น เพราะว่าในเชิงของธุรกิจสิ่งที่สำคัญคือการสร้างมาตรฐานที่ดีให้ตัวเอง เพื่อที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าและขายของได้ ที่คาดหวังมากที่สุดคือการเปลี่ยนมุมมองการใช้ยาของคนไทย โดยเฉพาะกัญชาไม่ใช่ขี้ยาแล้ว คุณสามารถเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตแล้วใช้กัญชาทุกวันได้

อย่างที่รู้กันว่าประเทศไทยเรามีกัญชาสายพันธุ์พื้นเมืองเยอะ แต่แค่ไม่ได้รับการพัฒนาให้สายพันธุ์แข็งแรงและยังไม่มีการสนับสนุนจากรัฐบาล ผมเลยหวังว่าเราจะมีผู้ปลูกที่มาเล่นสายพันธุ์ไทยกันมากขึ้น เราต้องเพิ่มความรู้และพัฒนาฝีมือการทำกิ่งชำ ยกระดับตัวกัญชาที่เรามีอยู่แล้ว ซึ่งปัจจุบันสายพันธ์ุไทยโดนถอนทิ้งไปเยอะมาก 

ไทยมี 77 จังหวัด อย่างสายพันธุ์ทางภาคใต้กับภาคเหนือก็ให้เอฟเฟกต์ที่แตกต่างกันออกไป เราอาจจะมีเป็นแสนสายพันธุ์ เราต้องไปเสาะหา ผมคาดหวังว่าจะมีการใช้และพัฒนาสายพันธ์ุของเรามากขึ้น 

รวมถึงการศึกษาวิจัยของบุคลากรทางการแพทย์และนักศึกษา เพราะในเมื่อกฎหมายเปิดแล้วเราก็สามารถมีวิจัยได้มากขึ้น ทั้งการทำรีเสิร์ชกับคนทั่วไปและผู้ป่วย ผมหวังว่าจะมีการศึกษามากขึ้น และเกิดการสนับสนุนผู้ผลิตรายเล็ก ซึ่งก็คือชาวนาชาวไร่  เพราะวงการกัญชาต้องจับมือกันทุกฝ่าย ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาก็บอกแล้วว่าเราทำกันแค่กลุ่มเดียวไม่ได้ และจะให้คนกลุ่มเดียวรวยไม่ได้ คุณต้องจับมือคนทุกคนในสังคมไปด้วยกัน ไม่งั้นกัญชาก็จะไปต่อไม่ได้ เราต้องผลักดันผู้ปลูกรายเล็กด้วย

ในเมื่อรัฐบาลบอกแล้วว่า กัญชาจะเป็นสิ่งที่ทำให้ชาวนามีเงินมากขึ้น คุณก็ต้องมีองค์กรมารองรับเขาด้วย ตอนนี้เรามีกลุ่มคนไทยที่ทำสมาพันธ์ เพราะตั้งใจจะไปรับดอกจากพวกชาวนา เพราะชาวนาเขายังเข้าไม่ถึงในส่วนนี้ เขาเป็นคนปลูก แต่ไม่มีหน้าร้าน และไม่ได้เล่นโซเชียลมีเดีย ซึ่งต้องทำให้โปร่งใสและช่วยคนทุกคนจริงๆ

Yvon Chouinard ผู้ก่อตั้ง Patagonia บริจาคทั้งบริษัทเพื่อช่วยโลกรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ

“ตอนนี้มีแค่โลกเท่านั้นที่เป็นหุ้นส่วนของเรา”

ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา หนึ่งในข่าวที่ถูกพูดถึงไปทั่วโลกคือข่าวที่ Patagonia ตัดสินใจยกทั้งบริษัทให้องค์กรการกุศลเพื่อช่วยโลกรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศอันเลวร้าย อย่างประโยคข้างต้นที่ อีวอน ชูนาร์ด (Yvon Chouinard) ประกาศเอาไว้

การประกาศครั้งนี้ถ้าดูแค่สิ่งที่เกิดขึ้นอาจจะดูเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่คนที่รู้จัก Patagonia มาบ้างย่อมทราบดีว่าพวกเขามีแนวคิดที่จะช่วยเหลือโลกใบนี้มาโดยตลอด

สำหรับคนที่อาจจะยังไม่รู้จัก Patagonia คือแบรนด์เสื้อผ้าเอาต์ดอร์สัญชาติอเมริกัน อย่างพวกเสื้อแจ็กเก็ต กระเป๋าเดินป่า รองเท้าสำหรับเดินเขา หมวกไหมพรม และสินค้าต่างๆ สำหรับคนที่หลงใหลในการเดินป่าปีนเขาชอบใช้ชีวิตเอาต์ดอร์ สิ่งที่เป็นหัวใจของ Patagonia คือวิธีการทำธุรกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ทั้งการลดการทำลายธรรมชาติและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยหนึ่งในโฆษณาของแบรนด์ที่ยังถูกพูดถึงจนวันนี้คือตอนที่ Patagonia ลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ว่า “Don’t Buy This Jacket” เพื่อให้ลูกค้ามีสติในการซื้อสินค้ามากกว่าแค่ซื้อเพราะอยากได้

ย้อนกลับไปนับตั้งแต่ปี 1985 ทางแบรนด์ได้ร่วมก่อตั้งโครงการ ‘1% for the Planet’ ที่มีบริษัทอีกหลายพันแห่งมาร่วมสัญญากันว่าจะมอบ 1% ของยอดขายทั้งหมดให้กับองค์กรด้านสิ่งแวดล้อม ต่อมาในปี 2017 ก็เริ่มโครงการให้ลูกค้าสามารถส่งเสื้อผ้าที่ไม่ใช้แล้วกลับมา พวกเขาก็เอาไปทำความสะอาดซ่อมแซมและขายผ่านเว็บไซต์ Worn Wear เปลี่ยนเป้าหมายบริษัทเป็น ‘We’re in business to save our home’ หลังจากนั้นปี 2019 ก็ทำโครงการ Recrafted ผลิตเสื้อผ้าจากเศษผ้าที่ใช้แล้วด้วย

นอกจากนั้นพวกเขายังเป็นบริษัทแรกๆ ที่ใช้ผ้าฝ้ายออร์แกนิกและวัสดุรีไซเคิลในเครื่องแต่งกายทำให้เกิดความนิยมที่แพร่กระจายอย่างกว้างขวาง นำไปสู่การผลักดันให้มีการรับรองเกษตรอินทรีย์แบบปฏิรูป

แม้แต่ในที่ทำงาน Patagonia ก็เหมือนมาก่อนกาลหลายสิบปี อย่างแนวคิดเรื่อง ‘เวลาทำงานยืดหยุ่น’ ของพนักงานที่สามารถลาไปไปปีนเขาและเล่นกระดานโต้คลื่นได้ แถมเริ่มโครงการตั้งศูนย์รับเลี้ยงเด็กสำหรับพนักงานตั้งแต่ปี 1984 แล้ว

ตั้งแต่ Patagonia ก่อตั้งขึ้นมาในปี 1973 อีวอน ชูนาร์ด และครอบครัวของเขาได้ดูแลบริษัทเสื้อผ้าแนวเอาต์ดอร์มาโดยตลอด แต่ตอนนี้ผ่านมาราวๆ 5 ทศวรรษ กรรมสิทธิ์ของบริษัทกำลังจะถูกเปลี่ยนมือไปอยู่กับหน่วยงานที่สร้างขึ้นใหม่ 2 แห่ง เพื่อจัดการโครงสร้างการดำเนินการของบริษัทและยกระดับการรับมือเรื่องของวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่เลวร้ายลงเรื่อยๆ

และที่สำคัญกว่าคือการยกระดับการรับมือเรื่องของวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่เลวร้ายลงเรื่อยๆ โดยหุ้นของบริษัทในส่วนที่ผู้ถือหุ้นมีสิทธิ์โหวต (voting stock) ราว 2% จะถูกโอนไปให้หน่วยงานที่ชื่อว่า Patagonia Purpose Trust ส่วนที่เหลืออีก 98% จะถูกโอนเข้าสู่หน่วยงานการกุศลที่ชื่อว่า ‘Holdfast Collective’

เป้าหมายของ Patagonia Purpose Trust คือการสร้างโครงสร้างทางกฎหมายแบบถาวรเพื่อดูแลวัตถุประสงค์และค่านิยมของบริษัทไม่ให้เบี่ยงเบนไปจากเจตนารมณ์ของชูนาร์ด และยังคงแสดงให้เห็นว่าระบบทุนนิยมสามารถทำงานเพื่อโลกได้ ในขณะเดียวกัน บริษัทกล่าวว่าผลกำไรประจำปีทั้งหมดที่ไม่ได้นำกลับมาลงทุนในธุรกิจ คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี จะถูกแจกจ่ายโดย Patagonia เป็นเงินปันผลให้กับ Holdfast Collective เพื่อนำไปเป็นทุนแก่องค์กรด้านสิ่งแวดล้อมระดับรากหญ้า ลงทุนในธุรกิจและสนับสนุนผู้สมัครทางการเมืองที่ทำงานเพื่อปกป้องธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ สนับสนุนชุมชนที่ต้องการความช่วยเหลือและต่อสู้กับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ชูนาร์ดกล่าวว่า

“แทนที่เราจะเข้าตลาดหุ้น คุณอาจจะเรียกว่าเราเข้าไปสู่เป้าหมายแทนมากกว่า แทนที่จะดึงเอาคุณค่าของธรรมชาติมาสร้างเป็นความร่ำรวยของนักลงทุน เราจะใช้ความร่ำรวยที่ Patagonia สร้างขึ้นเพื่อรักษาต้นกำเนิดของความร่ำรวยทั้งหมดเอาไว้”

มูลค่าของบริษัท Patagonia ถูกประเมินเอาไว้ประมาณ 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว ๆ 1 แสนล้านบาท และมีรายได้ต่อปีราวๆ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ถ้าย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นของบริษัท ชูนาร์ดไม่เคยเลยในชีวิตที่คิดอยากเป็นนักธุรกิจหรือสร้างบริษัทของตนเอง เขาอยากเป็นช่างฝีมือมาโดยตลอด ตอนแรกๆ สร้างอุปกรณ์ปีนเขาและเพื่อนๆ สนใจเลยขายสร้างรายได้นิดๆ หน่อยๆ จนกระทั่งในปี 1970 หลังจากกลับมาแคลิฟอร์เนียจากทริปปีนเขาที่สกอตแลนด์ เขาก็ใส่เสื้อรักบี้ที่เขาใช้สำหรับการปีนเขาสกอตแลนด์อยู่บ่อยๆ เพราะปกคอเสื้อมันหนาทำให้สายอุปกรณ์ไม่บาดคอ เพื่อน ๆ ก็ชอบมาก เขาเลยคิดว่างั้นลองนำเข้าแล้วก็ขายดูละกัน จนกระทั่งกลายเป็นร้านขายอุปกรณ์ปีนเขาและเสื้อผ้า ตั้งชื่อว่า ‘Chouinard Equipment’ ก่อนจะเปลี่ยนเป็น ‘Patagonia’ หลังจากไปปีนเขาที่นั่นกับเพื่อนสนิทแล้วประทับใจมาก

ในหนังสือ “Let My People Go Surfing: The Education of a Reluctant Businessman” ที่ชูนาร์ดเขียนเขาบอกว่า ถ้าเขา ‘ต้องเป็นนักธุรกิจ’ เขาก็จะเป็น ‘ในแบบที่เขาอยากเป็นเท่านั้น’

“การทำงานต้องมีความสุขในทุกๆ วัน […] เราต้องอยู่ท่ามกลางเพื่อนๆ ที่แต่งตัวแบบไหนก็ได้ตามใจชอบ แม้กระทั่งเท้าเปล่าก็ไม่เป็นไร”

ในจดหมายถึงพนักงานชูนาร์ดเขียนว่าเขาพยายามค้นหาวิธีที่จะเอาเงินไปช่วยเรื่องวิกฤตสภาพภูมิอากาศในขณะที่ยังคงรักษาคุณค่าของบริษัทไว้เหมือนเดิม แต่ก็ไม่เจอทางเลือกที่ดีเลย ครั้นจะขายบริษัทและบริจาคผลกำไรทั้งหมดก็คงช่วยได้ แต่ก็ไม่ได้รับประกันว่าค่านิยมของบริษัทจะยังอยู่เหมือนเดิม การเข้าตลาดหุ้นก็ไม่ใช่ทางเลือก เพราะต้องเจอแรงกดดันที่ไม่มีวันสิ้นสุดของนักลงทุนในวอลล์สตรีทเพื่อสร้างผลกำไรในระยะสั้นโดยแลกกับความรับผิดชอบในระยะยาว

“เป็นเวลากว่าครึ่งศตวรรษแล้วที่เราได้เริ่มต้นการทดลองเป็นธุรกิจที่มีความรับผิดชอบ ถ้าหากจะมีความหวังให้โลกนี้ยังคงสวยงามในอีก 50 ปีข้างหน้า มันจำเป็นที่เราทุกคนต้องทำทุกอย่างที่สามารถทำได้ด้วยทรัพยากรที่เรามี ในฐานะของผู้นำธุรกิจที่ผมไม่เคยอยากเป็น ผมก็ทำในส่วนของผม

“ผมจริงจังมากๆ ที่จะรักษาโลกใบนี้เอาไว้”

ตอนนี้ชูนาร์ดและบอร์ดบริหารจะยังคงดูแลทั้ง Patagonia Purpose Trust และ Holdfast Collective ต่อไปอยู่เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีอะไรที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นในอนาคต อย่างเช่นการป้องกันไม่ให้เกิดการหาผลประโยชน์ในกลุ่มผู้นำเอง หรือโครงสร้างของบริษัทที่ออกแบบมาอย่างดีเพื่อรักษาค่านิยมของบริษัทกลับไม่สามารถทำในสิ่งที่ต้องการได้เต็มที่ พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือว่าพวกเขายังต้องดูแลและจัดการต่อไปอีกสักพักจนกว่าทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางและมั่นใจได้ว่าสิ่งที่สร้างขึ้นมานั้นไม่มีช่องโหว่ในด้านใดก็ตาม

ไม่ว่าจะเป็นการปีนเขาหรือการทำธุรกิจชูนาร์ดเผชิญหน้ากับความท้าทายมาโดยตลอด เขาหวังว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับบริษัทอื่นๆ ที่มองหาวิธีเชื่อมระหว่างทุนนิยมและวิกฤตสภาพภูมิอากาศให้อยู่ด้วยกันได้ ชูนาร์ดเคยกล่าวเอาไว้ว่า

“มันเป็นยอดเขาที่ไม่มีวันสิ้นสุด คุณปีนไปเรื่อยๆ ไม่มีวันหยุด ไม่มีวันที่จะไปถึงจุดสูงสุด แต่มันคือการเดินทาง”

ตอนนี้อนาคตของ Patagonia นั้นชัดเจนแล้ว ความท้าทายต่อไปคือบริษัทจะต้องคงความทะเยอทะยานดำเนินธุรกิจให้สร้างผลกำไรไปพร้อมๆ กับช่วยเหลือเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่อยากทำด้วย นักวิเคราะห์หลายคนออกมาแสดงความเป็นห่วงว่าหลังจากนี้ Patagonia อาจสูญเสียความมุ่งมั่นและไม่พัฒนาต่อไปเพราะไม่มีเป้าหมายในเชิงธุรกิจตามหลักทุนนิยมให้บริษัทเติบโตอีกต่อไปแล้ว

เราไม่มีทางรู้หรอกว่าเป้าหมายที่ Patagonia วางเอาไว้นั้นจะสำเร็จหรือไม่ และจะมีบริษัทอื่นๆ ทำตามมากขนาดไหน (หรือมีรึเปล่า) แต่สำหรับชูนาร์ดแล้วเขารู้สึกเบาใจ แก้ปัญหาคาใจที่เขามีมาโดยตลอดว่าถ้าผู้ก่อตั้งบริษัทไม่อยู่แล้วมันจะยังคงเป็นเหมือนเดิมอยู่หรือเปล่า และผลกำไรของบริษัทจะถูกนำไปช่วยเหลือโลกต่อไปไหม อย่างที่เขากล่าวในการสัมภาษณ์กับ The New York Times ว่า

“ผมรู้สึกโล่งใจอย่างมากที่จัดชีวิตให้เป็นระเบียบแล้ว สำหรับเรา นี่เป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว”

อ้างอิง

‘Dynamic Island’ ภารกิจเปลี่ยนรอยบากที่เป็นบั๊กเป็นโอกาสในธุรกิจของ iPhone 14 Pro

ทุกครั้งที่ Apple เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของบริษัทมักได้รับความสนใจจากสื่อและประชาชนทั่วไปเป็นอย่างมาก การเปิดตัว iPhone สินค้าที่เป็นพระเอกของบริษัทมาตั้งแต่ปี 2007 ถือว่าเป็นหนึ่งกิจกรรมประจำปีอย่างหนึ่งที่หลายคนตั้งตารอคอย

แต่ต้องยอมรับครับว่าช่วงหลังๆ Apple ไม่ค่อยมีอะไรที่ทำให้รู้สึก ‘ว้าว’ สักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่เราจะเห็นการอัพเกรดฮาร์ดแวร์กล้อง ชิป แบตเตอรี่ หน้าจอสว่างขึ้น ชัดขึ้น และซอฟต์แวร์นิดๆ หน่อยๆ ตัวเครื่องก็เพิ่มสี ปรับขนาดหน้าจอ เปลี่ยนชื่อเรียก อาจจะมีเปลี่ยนโฉมบ้างอย่างตอน iPhone 3G เปลี่ยนเป็น iPhone 4 หรือ iPhone 11 เปลี่ยนเป็น 12 แล้วก็เอาออกมาวางขาย แต่ถามว่าขายได้ไหม ก็ยังขายได้ เพราะทุกคนทราบดีเรื่องของคุณภาพ iPhone ไม่เป็นรองใคร แต่มันเริ่มซ้ำๆ เดิมๆ วนไปเหมือนเดิมทุกปี (ดีหน่อยที่ปีนี้ประเทศไทยถูกปรับให้เป็นประเทศ Tier 1 วางขายพร้อมกับอเมริกาเลย สามารถจองได้ตั้งแต่วันที่ 9 กันยายน 2022 เป็นต้นไป)

แต่ปีนี้ที่สิ่งที่ทำให้รู้สึกถึงความเจ๋งของ Apple คือฟีเจอร์ที่เรียกว่า ‘Dynamic Island’

ภาพ : Apple

หลังจากข่าวลือว่า Apple จะเปลี่ยนรอยบากหรือ notch บนหน้าจอให้กลายเป็นรูรูปเหมือนเม็ดยาออกมาได้สักพัก ตอนแรกก็คิดครับว่าก็คงเหมือนสมาร์ตโฟนยี่ห้ออื่นแหละ ทำให้รอยบากลดลง ใส่กล้องหน้าใส่เซนเซอร์เข้าไปในรูปรูวงรีแล้วก็จบ นอกจากจะไม่ได้มีอะไรน่าตื่นเต้นแล้ว ยังมาช้ากว่าเพื่อนไปอีกหลายปีด้วย คนอื่นๆ เขาทำกันมาตั้งนานแล้ว ซึ่งหลายคนคิดผิด–ผิดไปมากเลยทีเดียว

ขอพาทุกคนย้อนกลับไปในปี 2018 ซึ่งเป็นการฉลองครบรอบสิบปีของการเปิดตัว iPhone ตอนนั้น Apple เปิดตัว iPhone X ออกมาสู่ตลาด สร้างเสียงฮือฮาอย่างมาก มันเป็นรุ่นแรกที่ไร้ปุ่ม Home ที่หลายๆ คนรัก (และยังรักอยู่) แนะนำฟีเจอร์ใหม่อย่าง Face ID ที่ใช้ใบหน้าเพื่อปลดล็อกโทรศัพท์และทำธุรกรรมต่างๆ บน iOS (อย่างการซื้อแอพบน ​AppStore) และแน่นอน รุ่นนี้คือรุ่นแรกที่นำ ‘รอยบาก’ หรือ notch มาสู่ iPhone และคนก็ด่าและแซะกันสนุกปาก

ยกตัวอย่าง Samsung คู่แข่งตลอดกาลของ Apple หลังจาก iPhone X เปิดตัวพร้อมรอยบากก็ปล่อยโฆษณาที่ชื่อว่า ‘Growing Up’ ออกมาแซะทันที ในวิดีโอนี้ก็จะเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่เติบโตมาพร้อมๆ กับ iPhone รุ่นต่างๆ โดยมีเพื่อนที่ใช้ Samsung เติบโตมาด้วยกัน โดยในแต่ละรุ่นก็แสดงว่า iPhone นั้นด้อยกว่าตรงไหนบ้าง เช่น กันน้ำ จดโน้ต หรือชาร์จไร้สาย (ซึ่ง Samsung มักจะออกฟีเจอร์เหล่านี้มาก่อนและ iPhone ตามมาทีหลังเสมอ) จุดพีคคือตอนสุดท้ายครับที่ชายหนุ่มคนนี้เปลี่ยนโทรศัพท์เป็น Samsung แล้วเดินผ่านหน้า Apple Store ซึ่งมีแถวยืนอยู่ ในแถวนั้นมีผู้ชายคนหนึ่งที่ทรงผมด้านหน้าเหมือนรอยบากของ iPhone X เลยนั่นเอง

ไม่ใช่เพียงแค่คู่แข่งเท่านั้นที่ออกมาแซะ แต่ผู้ใช้งานด้วย หลายคนเรียกมันว่าเป็น ‘บั๊ก’ หรือความผิดพลาดในการออกแบบของ Apple และผิดหวังที่พวกเขาทำได้แค่นี้

รอยบากที่ว่าแบ่งผู้ใช้งานออกเป็นสองกลุ่ม คนที่ใช้ไปแล้วไม่สนใจเลย กับอีกกลุ่มหนึ่งที่ยังไงก็ไม่ชอบเอามากๆ (ซึ่งหลังๆ มาสมาร์ตโฟนจากบริษัทอื่นๆ ก็ออกมามีรอยบากกันแทบทุกเจ้าเลยนะ)

ช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเราเห็นบริษัทสมาร์ตโฟนอื่นๆ พยายามจะแก้ไขปัญหาเจ้ารอยบากนี้มาโดยตลอด Samsung หลายรุ่นลดขนาดรอยบากลงเหลือเพียงแค่จุดดำๆ ที่เป็นกล้องหน้า Asus ออกรุ่น Zenfone 8 Flip ที่เอากล้องหน้าออกไปเลย แต่ใช้กล้องหลังที่พลิกมาข้างหน้าได้แทน หรือที่ดูจะน่าสนใจสุดอย่าง Xiaomi Mix 4 ที่ซ่อนกล้องหน้าไว้ใต้หน้าจอและแสดงผลเต็มหน้าจอเลย เมื่อเปิดกล้องหน้า ตรงส่วนหน้าจอตรงนั้นจะดับเพื่อให้กล้องสามารถมองทะลุมาได้ แต่เวลาถ่ายภาพด้วยกล้องหน้าที่อยู่ใต้หน้าจอมันก็จะมัวๆ ฟุ้งๆ เหมือนอยู่ในความฝันและไม่ได้รับความนิยมสักเท่าไหร่

ส่วน Apple เองก็ไม่นิ่งนอนใจ ว่าไปแล้วพวกเขาก็พยายามปรับขนาดรอยบากให้เล็กลงมาเรื่อยๆ แต่มันก็ยังมีอยู่ตรงนั้นแหละ ถามว่าจำเป็นต้องมีไหม ก็จำเป็น เพราะกล้องหน้ายังไงก็ไม่มีทางหายไปไหนได้ ลองดูสถิติผู้ใช้งาน Instagram, BeReal, TikTok หรือ Snapchat ดูก็ได้ มันเติบโตและคนก็ใช้เยอะขึ้นเรื่อยๆ ด้วย สะท้อนว่ากล้องหน้ายังคงจำเป็น

ภาพ : Apple

รอยบากเป็นเหมือน ‘Necessary Evil’ ปีศาจร้ายที่จำเป็นต้องมี เพราะต้องเอากล้องหรือเซนเซอร์ไว้ตรงนั้น แต่มันก็เป็นพื้นที่สีดำอันไร้ประโยชน์บนหน้าจอ ถ้าไม่ชอบก็ต้องทนเอา

จนกระทั่งปีนี้ Apple ได้ทำในสิ่งที่ไม่มีคนคาดคิด

เมื่อมันเอาออกไม่ได้ ก็ใช้ให้มันเป็นประโยชน์

แทนที่จะยอม iPhone ติดบั๊กไปเรื่อยๆ เปลี่ยนรอยบากตรงนี้ให้เป็นฟีเจอร์เลยละกัน เมื่อออกนอกกรอบไม่ได้ ก็ใช้กรอบนี้แหละเพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เข้าไปให้มันมีประโยชน์ จนออกมาเป็นฟีเจอร์ที่เรียกว่า ‘Dynamic Island’

ในวิดีโอการเปิดตัวบอกว่า “เป้าหมายของเราคือการออกแบบพื้นที่แจ้งเตือนที่ชัดเจนและสม่ำเสมอและสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในแบ็กกราวน์ในรูปแบบที่สวยงามและตื่นตาตื่นใจ”

เพราะฉะนั้น แทนที่จะเป็นเพียงแค่รูรูปเม็ดยาเหมือนอย่างที่เราคิดกันเอาไว้ Apple ใส่ฟีเจอร์ใหม่เข้าไปให้มันเปลี่ยนแปลงรูปทรงตามฟังก์ชั่นและสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนั้นไปเลย ถ้ามีการแจ้งเตือนก็จะขยาย ‘เกาะ’ เล็กๆ สีดำนั้นให้กว้างขึ้นเพื่อแสดงผลสิ่งที่กำลังทำงาน อย่างเช่นเรียก Grab ให้มารับ ก็จะแสดงว่าอีกกี่นาทีรถจะมาถึงระหว่างที่ใช้แอพอื่นอยู่ หรือถ้าอย่างฟังเพลงก็จะโชว์รายละเอียดในช่องนั้น พอมีคนโทรเข้ามาก็จะขยายรูให้ใหญ่ขึ้นเพื่อให้กดรับหรือวางสาย และอื่นๆ อีกมากมาย

แนวคิดของ Apple คือแทนที่จะ ‘แสร้ง’ ทำไม่รู้ไม่เห็นว่ามันมีรูรูปแคปซูลตรงนั้น ก็เอามันมาใช้ประโยชน์ให้เต็มที่ไปเลยดีกว่า

การเผชิญหน้ากับข้อจำกัดแล้วใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างโอกาสจากข้อจำกันนั้นทำให้นึกถึงเรื่องราวของ Netflix ที่ครั้งหนึ่งตอนที่เพิ่งเริ่มก่อตั้งบริษัทได้ไม่กี่ปี ตอนนั้นธุรกิจหลักคือร้านเช่าแผ่นดีวีดีออนไลน์อยู่ ปัญหาหนึ่งที่ลูกค้าบ่นเสมอคืออยากได้ดีวีดีให้เร็วขึ้น เพราะตอนนั้นใช้ตัวกลางเป็นไปรษณีย์ เมื่อดีวีดีออกจากโกดังหลักของ Netflix ก็ใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 2 วันเพื่อไปถึงบ้านลูกค้า เมื่อลูกค้าดูเสร็จก็หย่อนไปรษณีย์คืนมาใช้เวลาอีก 2 วันกว่าจะมาถึงโกดังหลัก ลูกค้าต้องรอประมาณ 4 วันเพื่อจะได้ดูเรื่องต่อไปซึ่งถือว่าเป็นระยะเวลาที่นานมาก

Netflix ทราบดีว่าพวกเขาไม่สามารถไปเร่งให้ไปรษณีย์ทำงานเร็วขึ้นได้ และแน่นอนการจะไปสร้างโกดังขนาดใหญ่ตามพื้นที่ต่างๆ มันเป็นเรื่องที่ใช้เงินมหาศาลและไม่อยากทำ มันเป็นข้อจำกัดที่พวกเขาเผชิญหน้าและพยายามหาทางออกมาโดยตลอด

ภาพ : Apple

จนกระทั่งวันหนึ่ง มาร์ก แรนโดล์ฟ (Marc Randolph) ซีอีโอของบริษัทในตอนนั้นเห็นสถิติบางอย่างนั่นก็คือคนส่วนใหญ่จะเช่าหนังเรื่องเดียวกันในปริมาณที่เยอะมากในช่วงหนึ่ง เช่นช่วงนั้นแผ่นเรื่อง Jurassic Park เพิ่งออก คนก็จะอยากเช่าเรื่องนี้กันเยอะมาก เพราะฉะนั้นแทนที่จะรอให้ดีวีดีกลับมาถึงโกดังหลักโดยใช้เวลาสองวัน พวกเขาตัดสินใจเช่าห้องเล็กๆ เพื่อเป็นโกดังขนาดจิ๋วในพื้นที่แต่ละแห่ง พอคนหนึ่งดู Jurassic Park จบ หย่อนในตู้จดหมาย มันก็จะมาที่โกดังเล็ก ๆ อันนี้ที่มีพนักงานแค่คนเดียว ใช้เวลาเพียง 1 วันและดีวีดี Jurassic Park ก็จะถูกส่งต่อให้คนอื่นที่อยู่ในพื้นที่เดียวกันเลย ใช้เวลาแค่ 1 วันเช่นกัน

เพราะฉะนั้นดีวีดีเรื่องหนึ่งแทนที่จะใช้เวลา 4 วันเพื่อจะไปถึงลูกค้าอีกคนหนึ่ง มันก็ใช้เวลาแค่เพียงสองวันเท่านั้น แต่ในประสบการณ์ใช้งานจริงๆ มันเร็วกว่านั้นด้วยเพราะส่วนใหญ่แล้วไปรษณีย์จะมาส่งดีวีดีเรื่องต่อไปในวันถัดไปเลย ยกระดับประสบการณ์การใช้งานอย่างมากให้กับลูกค้า และใช้เงินเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น

เมื่อเผชิญหน้ากับข้อจำกัด สิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำคือมองหาทางต่อสู้กับมัน เอามันออกไป ใช้เทคโนโลยี ใช้ทรัพยากรมนุษย์ เงิน หรืออะไรก็ตาม บางทีก็แก้ได้ บางทีก็แก้ไม่ได้ แต่สิ่งที่ชัดเจนคือต้องใช้พลังงานเยอะมาก ในบางสถานการณ์ก็ถือว่าจำเป็น แต่มันมีอีกอย่างหนึ่งที่เราทำได้เช่นกันก็คือการใช้ข้อจำกัดหรือกรอบที่ถูกวางเอาไว้ให้เป็นเครื่องมือเพื่อสร้างแนวคิดสร้างสรรค์​เพื่อให้ไปถึงเป้าหมายที่วางเอาไว้

กลับมาที่ iPhone ถามว่าทำไมคนถึงเกลียดรอยบาก? 

เอาเข้าจริงอาจเพราะมันดูไร้ประโยชน์ก็ได้ (แม้จะจำเป็น)​ แต่ตอนนี้ Apple ได้แก้ไขปัญหาตรงนี้แล้วอย่างสร้างสรรค์ ‘Dynamic Island’ เปลี่ยนรอยบากที่เป็นบั๊กให้กลายเป็นฟีเจอร์ใน iPhone 14 Pro ไปเรียบร้อยแล้ว และเชื่อว่าต่อจากนี้สมาร์ตโฟนรุ่นอื่นๆ ก็คงเริ่มหันมามองรอยบากของตัวเองใหม่อีกครั้ง 

กรอบหรือรูดำ ๆ ที่มันช่างดูน่าเกลียดบนหน้าจอ ที่จริงแล้วมันมีประโยชน์มากกว่าที่คิด เพียงแค่ยังไม่มีใครคิดในกรอบได้อย่าง Apple เท่านั้น

ต้องปรบมือให้ Apple, อันนี้ ‘ว้าว’ ของจริง

อ้างอิง

Day 1 ของ Studio 360 ร้านขายเครื่องเขียนที่ใช้ใจคัดสรรสิ่งของ

Day 1 ของ Studio 360 ร้านขายเครื่องเขียนที่ใช้ใจคัดสรรสิ่งของ

Day 1 ของ Studio 360 ร้านขายเครื่องเขียนที่ใช้ใจคัดสรรสิ่งของ Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 ของ Studio 360 ร้านขายเครื่องเขียนที่ใช้ใจคัดสรรสิ่งของ

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

ชวน ROOFHAIR มาหยิบ 12 สิ่งที่เป็นที่สุดของ ROOF HAIR มาใส่ตระกร้า

ชวน ROOFHAIR มาหยิบ 12 สิ่งที่เป็นที่สุดของ ROOF HAIR มาใส่ตระกร้า

ชวน ROOFHAIR มาหยิบ 12 สิ่งที่เป็นที่สุดของ ROOF HAIR มาใส่ตระกร้า add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

SEO Keyword

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

นามบัตร 5 ใบในเส้นทางธนาคารของ พัชร สมะลาภา ตั้งแต่นักวิเคราะห์ จนถึงผู้บริหารกสิกรไทย

“ชีวิตผมไม่ได้มีอะไรตื่นเต้นเลยนะ”

พัชร สมะลาภา นายธนาคารแห่งกสิกรไทย ออกตัวทันทีเมื่อเราชวนเขามาพูดคุยในคอลัมน์ ‘ณ บัตรนั้น’ ซึ่งเป็นพื้นที่เอาไว้บอกเล่าประสบการณ์การทำงานของแต่ละคนผ่านนามบัตรแต่ละใบ ด้วยเชื่อว่าน่าจะเป็นเรื่องที่สนุกและเป็นประโยชน์ต่อคนทำงาน

ด้วยความที่ทำงานอยู่ในสายการเงินการธนาคารอย่างเดียวมาเป็นเวลาเกือบ 30 ปี งานที่ทำก็ขลุกอยู่กับเรื่องตัวเลขและข้อมูลเป็นหลัก เส้นทางการทำงานไม่ได้มีอะไรที่โลดโผนมากนัก แม้ย้ายองค์กรเนื้องานที่ทำก็ยังคล้ายเดิมอยู่ดี เขาจึงออกตัวเช่นนั้นก่อนบทสนทนาจะเกิดขึ้น

และเมื่อได้ฟังรายละเอียดลึกลงไปในนามบัตรแต่ละใบ กลับไม่เป็นอย่างที่เขาว่า 

ไม่ว่าจะเป็นนักวิเคราะห์ ผู้ดูแลเงินลงทุน นายหน้าขายหลักทรัพย์ หรือผู้บริหารของกสิกรไทย แนวคิดการทำงานของเขาในแต่ละตำแหน่งล้วนแต่สนุกสนานและขัดจากภาพลักษณ์ภายนอกที่หลายคนคิดว่าคนทำอาชีพเป็นนายแบงก์น่าจะเป็นกัน–โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายแบงก์ที่เป็นผู้บริหารระดับสูงซึ่งมีชื่ออยู่ในลำดับต้นๆ ในบอร์ดบริหารขององค์กรที่มีพนักงานหลักหมื่นคน

01

นักวิเคราะห์
บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด

“ตอนเด็กๆ ผมเรียนอยู่ประสานมิตร พอตอน ม.1 ถึงย้ายไปอเมริกา ก็อยู่และเติบโตที่เมืองนอกมาโดยตลอด ด้วยความเป็นเด็กเอเชียตัวเล็กๆ ผอมๆ พูดอังกฤษก็ไม่ค่อยได้ เล่นกีฬาก็สู้กับฝรั่งตัวใหญ่ๆ ไม่ค่อยไหว เลยพยายามเอาตัวรอดเลือกสิ่งที่คิดว่าพอจะชอบและพอทำได้ดีซึ่งก็คือเลขนี่แหละ เพราะเวลาไม่มีอะไรทำก็เอาเลขมานั่งบวกลบเล่นไปเรื่อยๆ

“กระทั่งมาทำงานก็อยู่กับตัวเลขมาโดยตลอด งานแรกที่ทำคือนักวิเคราะห์ที่บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร ตอนนั้นเพิ่งกลับมาจากเมืองนอกใหม่ๆ ก็เป็นเด็กที่ไฟแรงสุดๆ มั่นใจมาก คิดว่าตัวเองเก่ง ผลลัพธ์ของความมั่นใจนั้นก็เลยออกมาเป็นบทวิเคราะห์ที่คนอ่านไม่ได้ประโยชน์อะไร มีแต่เราที่ได้โชว์ออฟตัวเอง บางครั้งที่นักลงทุนทำตามบทวิเคราะห์ของเราแล้วได้กำไรก็คิดว่าตัวเองเก่ง ซึ่งพอหลังๆ ถึงเพิ่งได้มารู้ว่าเขาไม่ได้ซื้อเพราะบทวิเคราะห์ที่เราเขียนหรอก การจะลงทุนอะไรสักอย่างมันมีปัจจัยอีกหลายอย่างมากมายที่ใช้ประกอบการตัดสินใจ

“ถึงอย่างนั้นการเป็นนักวิเคราะห์ก็ให้อะไรกับผมหลายอย่าง โดยเฉพาะเวลาที่มีคนมาบอกว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้ดีนะ แต่คำว่าดีที่ว่ามันต้องจับต้องได้ ต้องมีตัวเลขหรือข้อมูลมาซัพพอร์ตสิ่งที่บอกว่าดีนั้นด้วย

02

เจ้าหน้าที่นายหน้าขายหลักทรัพย์
บริษัท Deutsche Morgan Grenfell Securities (UK) 

“เป็นนักวิเคราะห์ได้อยู่สองปี จากนั้นก็เปลี่ยนหน้าที่ไปเป็นเซลส์เป็นนายหน้าขายหลักทรัพย์ หน้าที่ของผมในตอนนั้นคือเอาสิ่งที่นักวิเคราะห์เขียนมาดูแล้วไปคุยกับนักลงทุนที่เขามีเงินเยอะๆ ว่าหุ้นนั้นดีนะ หุ้นนี้อย่าซื้อเลย อะไรดีไม่ดีก็พูดไป

“การเป็นเซลส์ในตอนนั้นถือเป็นเรื่องที่ยากมาก (เน้นเสียง) เพราะตอนนั้นเราเป็นเด็ก ไปถึงก็ยังไม่มีลูกค้า ต้องค่อยๆ โทรไปทำความรู้จักทีละคน แถมแต่ละคนก็มีเวลาให้ไม่มาก โอกาสเจอกันก็น้อย ไหนจะต้องโน้มน้าวเขาอีก กว่าจะจับทางเขาถูกก็ยากมากเหมือนกัน จนเคยเกิดสงสัยว่าหรือการเป็นเซลส์จะไม่ใช่งานที่เราถนัด

“ซึ่งพอมองย้อนกลับไปจริงๆ แล้วการเป็นเซลส์เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผมมีวันนี้ได้เหมือนกันนะ ทักษะสำคัญหลายๆ อย่างที่ใช้อยู่ตอนนี้ก็ได้มาจากตอนที่เป็นเซลส์นี่แหละ คือเมื่อก่อนผมเป็นคนที่มีอะไรในหัวเยอะแยะเต็มไปหมด แต่เรียบเรียงไม่เป็น ไม่รู้ว่าต้องพูดอะไรก่อนหลัง แล้วก็กลายเป็นคนพูดไม่รู้เรื่อง (หัวเราะ) ซึ่งการเป็นเซลส์มันบังคับให้เราต้องพูดจาให้รู้เรื่อง เพราะลูกค้าเขามีเวลาให้เรานิดเดียว ดังนั้นเวลาเขาพูดอะไรต้องตั้งใจฟัง จับประเด็นที่เขาสื่อให้ได้ ส่วนเวลาพูดก็ต้องพูดสั้นๆ เอาให้มันได้ใจความที่ต้องการจะสื่อจริงๆ”

03

นักบริหารเงินลงทุน
บริษัท เมอร์ริล ลินซ์ แอนด์ โก อิงค์ ประเทศออสเตรเลีย และประเทศไทย

“เป็นเซลส์ได้ราว 2-3 ปี ก็ไปเรียนต่อด้านบริหาร พอ 2 ปีเรียนจบ แล้วตอนนั้นหลักทรัพย์ภัทรเขาไปเป็นพาร์ตเนอร์กับบริษัทที่ทำเกี่ยวกับการเงินที่ชื่อว่า เมอร์ริล ลินซ์ แอนด์ โก อิงค์ ผมก็เลยกลับเข้าไปทำงานบริษัทนี้ ทำหน้าที่เป็นนักบริหารเงินลงทุน วิธีการทำงานก็คือเอาเงินไปซื้อบริษัทอื่นเพื่อเอามาบริหารให้มันดีขึ้น เมื่อดีขึ้นก็จะเอาหุ้นที่เคยซื้อมาในราคาถูกไปขายต่อแล้วบริษัทก็จะได้กำไรจากส่วนต่าง

“ความสนุกของงานนี้คือการที่ได้แก้ปัญหาอะไรหลายอย่างเยอะมาก มันไม่เหมือนเวลาเล่นหุ้นที่ไม่พอใจเมื่อไหร่ก็ขายทิ้งได้ แต่งานที่ผมทำมันขายทิ้งไม่ได้ ซื้อมาแล้วก็ต้องถือครองมันต่อไป มันเลยเป็นงานที่ต้องใช้ความรู้เยอะมาก ทั้งเรื่องการตลาด การเงิน การจัดการ หรือความรู้อะไรก็ตามแต่ที่ทำให้บริษัทนั้นงอกเงยขึ้นมาให้ได้ เช่นเราควรจะเลิกทำผลิตภัณฑ์ตัวนี้แล้วย้ายไปทำอีกตัวดีไหม หรือเราจะอดทนยอมขาดทุนไปก่อนเพื่อจะได้กำไรในอนาคต เอาตัวเลขกับข้อมูลต่างๆ มาดู แต่บางครั้งถ้าตัวเลขไม่ชัดเจนก็ต้องใช้ประสบการณ์ที่เคยมีมาช่วยเดาๆ กันไป 

“ผมจะเดาตลอดเพราะเอาเข้าจริงไม่มีใครรู้หรอกว่าอนาคตมันจะเกิดอะไรขึ้นจริงไหม บางคนคือบอกว่าเดี๋ยวก่อน ขอเอาไปวิเคราะห์ก่อน นู่นนั่นนี่ แต่สำหรับผมการคิดแบบนี้มันไม่ได้อะไร ผมเป็นประเภทที่คิดๆ เดาๆ ทำๆ ไปก่อน แล้วเดี๋ยวพอมันเริ่มเห็นทางก็ค่อยๆ หาทางทำหาทางแก้จากสิ่งที่เริ่มเห็นกันต่อไป”

04

รองกรรมการผู้จัดการ / กรรมการผู้จัดการ 
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย จำกัด (K ASSET)

“2-3 ปีหลังของการทำงานที่เมอร์ริล ลินซ์ฯ ก็ต้องไปอยู่ที่ออสเตรเลีย เพราะบริษัทใหญ่ๆ ที่เราลงทุนอยู่ที่นั่น สักพักนึงก็รู้สึกเบื่อก็เลยตัดสินใจกลับมาไทย กลับมาถึงก็ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี สุดท้ายคุณปั้น (บัณฑูร ล่ำซำ) ก็เลยชวนให้มาอยู่ที่กสิกรไทย

“ตอนอยู่เมอร์ริล ลินซ์ฯ ทีมที่ผมอยู่มีแค่  4 คนเท่านั้น แต่พอมาอยู่ K ASSET จาก 4 คนก็เพิ่มเป็น 200 คนเยอะขึ้นแถมยังมีเรื่องการทำงานที่ดูเป็นลำดับขั้นเพิ่มขึ้นมาอีก อาจจะด้วยความเคยชินจากตอนที่อยู่เมอร์ริล ลินซ์ฯ เวลาเห็นใครทำงานผมก็เดินไปคุยกับเขา อยากรู้อะไรก็เดินถามไปเรื่อยๆ จนหลายคนที่ K ASSET มองว่ามันเป็นการทำงานที่แปลก อยู่ๆ เราเดินไปที่โต๊ะเลยได้ยังไง ทำไมจะคุยอะไรถึงไม่เรียกประชุมก่อน

“พอเป็นแบบนี้มันก็เลยทำให้ผมสื่อสารกับใครไม่ได้เลย ผมไม่เข้าใจว่าทำไมมีอะไรไม่บอกกันมาตรงๆ เพราะผมเป็นคนที่ถ้ามีอะไรก็จะบอกตรงนั้นเลย แต่ก็อาจจะลืมไปว่าก็เพราะเราเป็นหัวหน้าไง ลืมคิดว่าอีกฝ่ายที่เป็นลูกน้องเขาอาจกลัวว่าถ้าพูดมาแล้วเดี๋ยวเขาจะดูไม่ดี จะเสียฟอร์ม หรือทำให้เราคิดว่าเขาเป็นคนไม่มีความสามารถได้ 

“ก็ใช้เวลาปรับตัวอยู่นานมาก จากนั้น 2-3 ปีก็เริ่มดีขึ้น พอได้คุยกันก็ต่างคนต่างรู้ว่าไม่มีอะไร กลายเป็นการทำงานที่สนุกสนาน จนเวลาต่อมาก็ได้ย้ายจาก K ASSET ไปอยู่ในส่วนของธนาคารใหญ่ คราวนี้ล่ะหนักเลย เจอคัลเจอร์ช็อกเข้าอย่างแรง”

05

รองกรรมการผู้จัดการ / รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส / กรรมการผู้จัดการ 
ธนาคารกสิกรไทย

“ด้วยความที่เป็นองค์กรที่มีมานาน 70 กว่าปี ที่นี่ก็จะมีระบบมีลำดับขั้นในแบบของมัน ซึ่งพอผมเข้าไปพนักงานเขาก็จะพยายามเข้ามาปฏิบัติกับผมอย่างที่เคยทำมา มาถึงเอาน้ำมาตั้งให้ที่โต๊ะ ผมจะไปจังหวัดไหนก็มีคนมายืนรับ พูดจาอวยไปเรื่อย ซึ่งผมว่ามันเป็นอะไรที่น่าอึดอัดมาก ผมก็โอ๊ย (ลากเสียง) เป็นอะไรกัน เพราะตอนนั้นผมก็บอกเขาชัดเจนแล้วว่าการจะทำงานถ้าเราจะสนใจแต่ไต่เต้าอย่างเดียวมันไม่ได้ นอกจากเราจะช็อกกับคัลเจอร์ของที่นี่แล้ว เอาจริงๆ พนักงานเขาก็ช็อกกับเราด้วยเหมือนกันว่าไอ้นี่จะเอาอะไร เสิร์ฟน้ำก็ไม่เอา ช่วยทำนู่นนี่ก็ไม่เอา ตกลงจะเอาอะไรกันแน่ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องใหม่มากสำหรับคนทำงานแบงก์ในยุคก่อน

“หรืออย่างเรื่องขายประกัน สมมติมีเป้าหมายว่าจะขายประกันให้ได้ 100 ฉบับ คนที่เป็นหัวหน้าก็จะไปบอกลูกน้องว่าต้องขายให้ได้ 100 นะ ซึ่งคนที่ลำบากที่สุดก็คือพนักงานที่เป็นน้องๆ มันก็เลยกลายเป็นที่มาของการขายประกันแบบพี่ช่วยหนูซื้อเถอะ อะไรแบบนี้เป็นต้น ผมก็เลยบอกกับคนที่เป็นหัวหน้าว่าเมื่อไหร่คุณจะเลิกสั่งแล้วไปช่วยลูกน้องหาลูกค้ามาให้ครบ 100 คน ถ้าเป็นแบบนี้เดี๋ยวผมไปบอกน้องๆ ที่เป็นคนขายเองก็ได้เพราะคุณไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากเป็นตัวกลางในการไปบอกต่อ ทุกคนก็ตกใจหมดถามว่าทำไมผมถึงพูดแบบนี้ พวกเขาก็คอยอินสไปร์น้องๆ อยู่นะ ผมก็ตอบกลับไปว่าไม่จริง ถ้าอินสไปร์ด้วยตำแหน่ง ผมทำได้มากกว่าพวกคุณอีก ซึ่งตอนนั้นคนที่ทำงานอยู่กับผมก็เครียดเหมือนกัน

“สองปีแรกที่มาอยู่ในธนาคารก็แทบจะไม่ได้อยู่ในออฟฟิศเลย ส่วนใหญ่ใช้เวลาไปกับการไปสาขาซะมากกว่า เวลาไปก็แค่ไปถามเขาว่าทำอะไร ซึ่งทุกคนจะตกใจและกลัวมาก แล้วเขาก็จะเก็งจะสืบกันหนักมากว่าวันนี้ผมจะไปสาขาไหน จะถามเรื่องอะไร สมมติวันนี้มีไป 5 สาขา พอเสร็จจากสาขาแรกเขาก็จะโทรไปบอกให้สาขาที่ 2, 3, 4, 5 ให้เตรียมตัวกันไว้ แต่เดี๋ยวนี้เริ่มเปลี่ยนไปแล้ว เวลาผมไปสาขาทุกคนก็จะเล่าว่างานไหนไม่เสร็จ งานไหนลืม งานไหนไม่รู้ ซึ่งผมว่ามันโอเคมากๆ เลย รู้สึกว่าเป็นอะไรที่บรรลุเป้าหมายมาก ไม่ต้องมาผักชีโรยหน้า แล้วก็ไม่ต้องเครียดมานั่งเก็งกันว่าวันนี้ผมจะไปไหน ยิ่งกับคนอย่างผมยิ่งเก็งไม่ได้ด้วย 

“ซึ่งเอาจริงๆ ผมชอบไปสาขามากกว่ามานั่งวิเคราะห์นั่งพูดวิชั่นอยู่ในออฟฟิศเสียอีก เพราะการไปสาขามันทำให้เราได้เจอกับผู้คน ที่สำคัญคือได้รู้อินไซต์พนักงานซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะคนเป็นหัวหน้าถ้าไม่รู้ว่าลูกน้องเป็นยังไงนี่ไม่ได้เลย 

“หรืออย่างตอนทรานส์ฟอร์มสาขาก็เป็นอะไรที่สนุก มันได้เข้าไปแตะกับชีวิตของคนมากๆ ได้ไปคุยกับพนักงานว่าหัวหน้ามีหน้าที่ช่วยนะ ไม่ได้มีหน้าที่สั่ง มีปัญหาอะไรต้องคุยกันให้หมด อย่าซุกปัญหาไว้ใต้พรมเพียงแค่เพราะถ้าบอกไปแล้วกลัวจะโดนหัวหน้าดุ แล้วเวลาคุยกันอย่ามัวแต่ไปห่วงไปบ้าคลั่งเรื่อง KPI มาก เพราะผมสนใจ output ที่ออกมาดีมากกว่า KPI

“ผมเป็นคนดูข้อมูลน้อยมาก อย่างเรื่องการทรานส์ฟอร์มสาขาที่ให้หัวหน้ามาช่วยลูกน้องมากขึ้น เรื่องเหล่านี้มันไม่ได้มีอะไรที่เกี่ยวกับข้อมูลเลย เป็นเรื่องคนล้วนๆ ถ้าเกิดดูแล้วพนักงานไม่มีความสุข มันไม่ต้องดูข้อมูลหรอก ซึ่งพอเริ่มปรับ output ในแง่ของงานมันก็ทำให้เรามีเครือข่ายที่แข็งแรงขึ้น เวลาไปคุยกับพาร์ตเนอร์ต่างๆ เขาก็อยากจะมาใช้เครือข่ายของธนาคารเรา ส่วน output ในแง่ของคน ตอนนั้นคนก็รู้สึกแฮปปี้ขึ้น เป็นความรู้สึกที่จับต้องได้ว่าคนทำงานไม่ได้มานั่งเซ็งเหมือนแต่ก่อน ทำให้เกิดสภาพแวดล้อมและคัลเจอร์ใหม่ๆ ที่ทำให้พูดคุยกันได้มากกว่าเดิม ไม่ได้มีความเป็นลำดับขั้นตอนมากเท่าแต่ก่อน ซึ่งมันเป็นเรื่องที่สนุกนะ การที่เราอยู่ในองค์กรหนึ่งที่มีเพื่อนร่วมงานอยู่เยอะๆ แล้วเราสามารถไปเปลี่ยนความคิดเขา ให้เขาลุกขึ้นมาทำอะไรใหม่ๆ จนเขารู้สึกดีกับมันได้

“จากรองกรรมการผู้จัดการก็มาเป็นกรรมการผู้จัดการ การเลื่อนตำแหน่งมันก็มีทั้งข้อดีและไม่ดี ข้อไม่ดีคือคนจะคาดหวังให้เรารู้ทุกเรื่อง ซึ่งในความเป็นจริงคนเราไม่ได้รู้ไปทุกเรื่องหรอก แต่ข้อดีก็คือด้วยตำแหน่งของเรา มันทำให้เรามีสิทธิ์ที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆ อย่าง เปลี่ยนในสิ่งที่คิดว่าไม่ถูกต้องให้มันถูกได้ เปลี่ยนในสิ่งที่ทำให้ชีวิตคนทำงานดีขึ้น ซึ่งถ้าไม่ได้มีตำแหน่งตรงนี้สั่งไปใครเขาจะทำตาม

“ส่วนงานที่กำลังทำและรู้สึกสนุกมากๆ อยู่ในตอนนี้คือโปรเจกต์ที่เรียกว่า BIZ X* มันก็จะคล้ายๆ กับตอนที่ทำอยู่เมอร์ริล ลินซ์ฯ  นั่นแหละ คือธนาคารจะให้ทรัพย์สินเรามาก้อนหนึ่ง แล้วเราก็ต้องไปหาพาร์ตเนอร์มาร่วมมือกันเพื่อทำให้สินทรัพย์ของเราและพาร์ตเนอร์มีมูลค่าเพิ่มขึ้น เหมือนเป็นการเอาความสามารถต่างๆ ของธนาคารมาใช้ได้อย่างเต็มที่ เพราะธนาคารสามารถที่จะทำอะไรหลายๆ อย่างได้อีกมาก แต่มันอาจจะติดกับเรื่องระบบอะไรต่างๆ นานา ศักยภาพที่มีอยู่ก็เลยไม่ถูกดึงนำมาใช้”

“เหมือนเรามาเริ่มสร้างบริษัทใหม่ที่ต้องมานั่งไล่เรียงดูว่างานนี้เราจะเดินไปทางไหนดี resource เดิมที่มีอยู่เอาอะไรมาใช้ได้บ้าง ต้องจ้างใครมาช่วยทำ ธุรกิจจะไปทางไหน จะบุกตลาดไหนดี ซึ่งมันเป็นงานที่เหนื่อยแต่ก็สนุก เพราะส่วนตัวแล้วเป็นคนชอบทำอะไรใหม่ๆ ชอบตั้งเป้าหมายยากๆ มันเป็นความสนุกและสะใจส่วนตัวด้วย ซึ่งพอทำงานมานานก็เป็นธรรมดาที่มีเบื่อ แต่พอได้มาทำ BIZ X ก็รู้สึกว่าตัวเองมีชีวิตชีวามากขึ้น ไม่ใช่ต้องนั่งประชุมอย่างเดียว

“ตั้งแต่วันแรกที่ทำงานใน KBank จนถึงวันนี้ ที่นี่ทำให้ผมได้เรียนรู้เรื่องการบริหารคนจริงๆ เพราะเมื่อก่อนพูดกับคนก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง คุยประสานกับใครก็ไม่ค่อยเก่ง เบลอมาก สื่อสารกับคนยากสุดๆ ถึงทุกวันนี้เรื่องการบริหารคนก็ยังไม่ได้เป็นอะไรที่ง่ายสำหรับผมนะ ด้วยความเป็นหัวหน้าจะพูดจะจาอะไรก็ต้องระวังให้มาก แต่ถ้าเราระวังมากไปเดี๋ยวก็จะไม่เป็นตัวเองเข้าไปอีก พอไม่เป็นตัวเองมันก็โคตรจะฝืน จะพูดสัก 3 คำก็ต้องระวัง ดังนั้นมันก็เลยต้องหาบาลานซ์ตรงนี้ให้เจอ

“จากที่ทำงานมาทั้งหมด ผมว่าทักษะสำคัญของคนเป็นผู้บริหาร คือต้องกล้าตัดสินใจ ซึ่งการจะตัดสินใจได้ต้องมีจิตใจที่เด็ดขาดพอสมควร ไม่ใช่ตัดสินใจแบบครึ่งๆ กลางๆ หากผลของการตัดสินใจนั้นไม่ดีอย่างที่คาดก็ต้องอยู่กับมันให้ได้ เพราะการตัดสินใจนั้นมันอยู่บนพื้นฐานที่เราคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว และเป็นการตัดสินใจที่ไม่ได้หวังร้ายกับใคร

“ผมว่าทุกการตัดสินใจมันให้ทั้งผลที่ดีและไม่ดีนั่นแหละ แต่ถ้าเรากลัวพลาดจนไม่ตัดสินใจเลย นั่นคงไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่”

*ตัวอย่างงานภายใต้โปรเจกต์ BIZ X เช่น การไปจับมือกับ LINE เพื่อทำ social banking ที่ให้ผู้ใช้สามารถเปิดบัญชี KBank สามารถโอน-ยืม-จ่ายเงิน บน LINE ได้ ทำ e-Wallet สำหรับจ่ายกับร้านค้าที่อยู่ในเครือ OR เช่น ปั๊ม ปตท., คาเฟ่อเมซอน และล่าสุดคือการไปจับมือกับร้านสะดวกซื้อชุมชน ‘ถูกดี มีมาตรฐาน’ ของกลุ่มคาราบาว ที่เข้าไปทำทั้งระบบชำระเงินหรือเอาข้อมูลในการจับจ่ายใช้สอยของผู้คนมาเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์การปล่อยสินเชื่อ เป็นต้น

‘Red Lobster’ ร้านซีฟู้ดในฟลอริด้าที่บียอนเซ่ยังพูดถึงในบทเพลง สู่สาขาใหม่ในไทย

‘Red Lobster’ ร้านซีฟู้ดในฟลอริด้าที่บียอนเซ่ยังพูดถึงในบทเพลง สู่สาขาใหม่ในไทย

‘Red Lobster’ ร้านซีฟู้ดในฟลอริด้าที่บียอนเซ่ยังพูดถึงในบทเพลง สู่สาขาใหม่ในไทย Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด